ผมนั่งวาดลายไทยตามแบบที่ชอบไว้สมุดสเก็ต ทั้งลายกนกใบเทศ ลายเทศหางโต ลายหน้ากระดาน ลายกระจัง ลายประจำยาม นำมาใส่เครื่องประกอบลายบางส่วนเพื่อให้ลวดลายที่วาดดูโดดเด่นมากขึ้น ตั้งใจไว้ว่าจะเอาลายไทยพวกนี้ไปปักใส่ผ้าสีพื้นก่อนจะนำมาตัดเป็นชุดตามที่ออกแบบไว้อีกที
“คุณแสนคะ” ระหว่างที่กำลังมีสมาธิกับการวาดอยู่ก็มีพนักงานเข้ามาเรียกผมด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ทำให้ต้องละมือจากการวาดเงยหน้าขึ้นรับคำ
“ครับ ว่าไงครับพี่มิ้น”
“มีคนมาหาค่ะคุณแสน”
“ใครครับ”
“น้องเค้าบอกว่าชื่อคล้าวค่ะ พี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เลยมาถามคุณแสนก่อนค่ะว่าจะพบหรือเปล่า” ตาผมเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินชื่อของคนที่มาหา
“พบครับ เดี๋ยวผมออกไปด้วยเลย” ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินนำพี่มิ้นออกไปทันที
เมื่อออกไปจนถึงหน้าร้าน ก็เห็นเด็กในร้านคนหนึ่งกำลังเดินวนรอบตัวคล้าวอยู่ มีบางคนที่ยืนมองอย่างสนอกสนใจ ส่วนคนโดนสำรวจก็ยืนตัวแข็ง มองตามคนที่เดินวนรอบตัวด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ
เห็นท่าทางที่เหมือนหมาโกลเด้นตัวโตๆ มองสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เข้ามาใกล้ แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงใจเจ้าของแล้วก็ทำให้ผมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
“แหม ยิ้มแบบนี้นี่แสดงว่าน้องเค้าเป็นคู่แข่งคุณรบหรือเปล่าคะ” พี่มิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มล้อเลียน
“โธ่ พี่มิ้น ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าธงรบมันเป็นพ่อผมครับ ไม่ได้เป็นอย่างอื่นตามที่พี่ๆ คิดกัน”
“เอ งั้นก็แสดงว่าน้องคนนี้เป็น ‘อย่างอื่น’ ของคุณแสนเหรอคะ” พี่มิ้นถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“หึๆ ก็อยากให้เป็นอยู่ครับ แต่เสียดายที่ยังไม่ได้เป็นนี่สิ” คำตอบของผมทำให้พี่มิ้นตาโต ผมยิ้มขำท่าทางของพี่มิ้น ก่อนจะเดินตรงไปหาคล้าวเมื่อเห็นว่าน้องมันมองตรงมาที่ผมแล้ว
“พี่แสนสวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ คล้าวมาเรียนพิเศษเหรอ แล้วนี่หายดีแล้วเหรอครับถึงได้ออกมาที่นี่ได้” ผมรับไหว้ก่อนจะถามและสังเกตสีหน้าของคล้าวด้วยความเป็นห่วง
“หายดีแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ” คล้าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนจนผมชักจะรู้สึกเขินขึ้นมา
“อะแฮ่ม! แค่กๆๆๆ” และเราคงจะยืนจ้องตากันอยู่แบบนั้นถ้าตัวแสบๆ ในร้านไม่กระแอมเรียกร้องความสนใจขึ้นมาซะก่อน
“ไม่มีงานทำกันเหรอครับ” ผมกวาดสายตามองคนที่มายืนมุงเราแล้วถามด้วยรอยยิ้มเย็นๆ
“อุ๊ย! พี่ว่าพี่ไปเช็คเสื้อผ้าหน้าร้านก่อนดีกว่าค่ะ พอดีนึกขึ้นได้ว่าเช็คค้างไว้” พี่มิ้นเป็นคนแรกที่เริ่ม ก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วถือสมุดไปยืนอยู่ตรงราวเสื้อผ้าที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว
“เอ่อ หนูตัดผ้าค้างไว้ ไปตัดต่อก่อนนะคะ” พูดจบก็หันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ เดินตรงไปหลังร้าน
“คุณแสนขา คือจูดี้สนใจคุณน้องคล้าวอะค่ะ น้องเค้าเหมาะที่จะเป็นนายแบบในงานแฟชั่นโชว์ของคุณแสนม้ากมาก ดูสิคะคนอะไรไม่รู้หน้าค้มคม ล้อหล่อ ไท้ไทย เหมาะกับธีมไทยๆ ของคุณแสนที่สุด หุ่นก็แซ่บอีกด้วย อุย!”
จูดี้สาวประเภทสองตัวเล็กที่เดินสำรวจรอบตัวคล้าวเอ่ยขึ้น เรียกสายตาของทุกคนให้หันกลับมามองคล้าวอีกครั้ง ก่อนที่จูดี้จะสะดุ้งเมื่อผมเผลอถลึงตาให้เมื่อเห็นว่าจูดี้ทำท่าจะยื่นมือไปแตะตัวคล้าว
“คิกๆๆๆ” พอเห็นปฏิกิริยาของผม ทุกคนในร้านก็หัวเราะกันคิกคัก ส่งสายตาล้อเลียนกันถ้วนหน้าจนผมต้องถลึงตาใส่แก้เขินแต่ก็ไม่มีใครสลด พอหันกลับมามองคล้าวก็เห็นว่าน้องมันมองมายิ้มๆ แววตาเป็นประกายระยับจนผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที
“แหมมมมมมม คุณแสนหวงคุณน้องคล้าวก็ไม่บอก ถ้าคุณแสนหวง จูดี้ก็ไม่กล้าแตะหรอกค่ะ ฮิๆๆๆๆ” จูดี้ตอกย้ำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าล้อเลียนเต็มที่ ส่วนคนที่เหลือก็หัวเราะชอบใจกันทุกคน
“ตัดเงินเดือน” เมื่อนึกอะไรออก ผมก็บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อูยยยย / โหยยย ขอโทษค่า คุณแสนขา” เสียงอุทธรณ์ของทุกคนทำให้ผมกอดอกยิ้มด้วยความรู้สึกเหนือกว่าขึ้นมาทันที
“หึๆๆๆ” แต่ผมกลับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่ยืนขำอยู่ตรงหน้า ทำได้แค่ยืนหน้าแดงอยู่อย่างนั้น
แต่พอนึกถึงคำพูดของจูดี้ ผมก็กวาดสายตามองคล้าวอย่างจริงจัง จะว่าไปก็จริงอย่างที่จูดี้บอก คล้าวเหมาะที่จะเป็นนายแบบในแฟชั่นชุดนี้จริงๆ ทั้งรูปร่างที่แข็งแรง และหน้าตาที่ดูคมเข้มแบบไทยๆ
“อืม เหมาะมากจริงๆ” ผมพึมพำเบาๆ
“ใช่ไหมล่ะคะ เห็นครั้งแรกจูดี้ก็ชอบเลย เอ่อ หมายถึงชอบหุ่นน้องเค้าอะค่ะ คุณแสนอย่ามองแรงขนาดนั้นสิคะ ฮิๆๆๆ” ผมได้แต่ปรายตามองดุๆ เมื่อจูดี้ยังล้อไม่เลิก ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังแอบมองแล้วหัวเราะคิกคักไม่หยุด ยิ่งเป็นช่วงที่ไม่มีลูกค้าแบบนี้ก็ยิ่งล้อกันถนัดนักล่ะ
ผมบอกให้ทุกคนเรียกว่าพี่หรือน้องตั้งแต่แรกก็ไม่มีใครยอมเรียกสักคน บอกว่าเกรงใจเจ้าสัวสุธนกับคุณกุสุมา พ่อกับแม่ของผม เรียกแต่คุณแสนอยู่นั่นแหละ ดื้อกันจริงๆ ผมส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะหันกลับมามองคล้าวที่ยังทำหน้าสงสัยอยู่เลยอธิบายให้ฟัง
“พอดีพี่จะจัดงานแฟชั่นโชว์ครับ แล้วจูดี้เห็นว่าคล้าวรูปร่างหน้าตาเหมาะกับธีมไทยๆ ของพี่ พี่ก็เห็นว่าคล้าวเหมาะจะเป็นนายแบบในธีมนี้มาก มาเป็นนายแบบให้พี่ได้ไหมครับ” ผมถามคล้าวพร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนไปด้วย
“เอ่อ พี่แสนมั่นใจเหรอครับ” คล้าวถามด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
“มั่นใจสิครับ พี่มั่นใจว่าคล้าวต้องทำได้ดีแน่ๆ” ผมยิ้มให้คล้าวด้วยความมั่นใจ เพราะคล้าวที่ผมรู้จักเป็นคนที่มีความพยายาม ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่างแน่นอน
“ถ้าพี่แสนว่าอย่างงั้น ก็แล้วแต่พี่แสนเห็นสมควรเลยครับ”
“คล้าวตกลงแล้วนะ ขอบคุณมากครับ” ผมยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจเมื่อคล้าวยอมตกลง เพราะมันจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และทำให้ผมมีเวลาจีบคล้าวมากขึ้นด้วย
“ถ้าผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างพี่แสนก็บอกได้เลยนะครับ ผมยินดีช่วยทุกอย่าง” คล้าวบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง
“ช่วยไปกินข้าวกันก่อนดีไหม” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงธงรบก็แทรกขึ้นมาซะก่อน พอหันไปดูก็เห็นว่ามันเดินนำไม้มา มาด้วยกันได้ไงวะ
“สวัสดีครับพี่รบ” คล้าวไหว้ธงรบ ในขณะที่ไม้มันก็ยกมือไหว้ผมเหมือนกัน
“สวัสดีครับพี่แสน”
“สวัสดีครับ ไม้มากับมันได้ไงเนี่ย” ผมถามในสิ่งที่นึกสงสัยทันที
“ผมมาพร้อมพี่คล้าวครับ แต่ไม่กล้าเข้ามา เลยขอรออยู่ข้างนอกครับพี่ แหะๆ” ไม้มันยืนตัวลีบบอกด้วยสีหน้าเกรงๆ
“พอดีเห็นยืนชะเง้อคอยืดคอยาวอยู่หน้าร้าน เลยพาเข้ามาด้วย” ธงรบอธิบายเพิ่มเติม
“วันนี้มาพร้อมกันเหรอครับ” ผมมองไม้แล้วก็ยิ้มขำเมื่อน้องมันพยายามขยับไปหลบหลังธงรบ เพราะสาวๆ ในร้านแอบมองมันอยู่
“ครับ พอดีที่ร้านญาติไม้หาคนมาแทนได้แล้ว ไม้มันก็เลยมาติวพร้อมกับผมเลยครับ” คล้าวเป็นคนตอบ เพราะไม้มันกำลังยืนเขินเมื่อสาวๆ ส่งยิ้มให้
“อย่าเพิ่งคุยกันเลย หิวข้าวแล้ว ไปกินข้าวก่อนเถอะ” ธงรบเอ่ยขัดเมื่อผมอ้าปากจะถามต่อ
“เออๆ ไปกินที่ไหนดีล่ะ” ผมรีบเออออก่อนที่ธงรบมันจะโมโหหิวขึ้นมา
“ศูนย์อาหารเถอะ ใกล้และไวดีด้วย ตอนนี้กูหิวมาก” เชื่อแล้วว่าหิวจริงๆ ถึงได้ย้ำบ่อยขนาดนี้ เมื่อเช้าก็กินข้าวมาด้วยกัน อยู่ที่ทำงานเฮียๆ เจ้ๆ ก็คงไม่ปล่อยให้อดอยากหรอก ทำไมถึงได้ดูหิวโหยขนาดนี้เนี่ย
“โอเคๆ เดี๋ยวไปหยิบกระเป๋าก่อน” ผมรีบเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วบอกคนที่ร้านไว้ว่าจะไปข้างนอก ก่อนจะชวนคล้าวกับไม้ไปที่ศูนย์อาหารด้วย
เมื่อไปถึงศูนย์อาหารธงรบก็เดินดุ่มๆ ไปหาของกินทันที ผมได้แต่ส่ายหัวด้วยความเพลีย สงสัยว่ากระเพาะมันต้องมีหลุมดำแน่ๆ ถึงได้กินเก่งขนาดนี้
หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแล้ว ผมก็มองหน้าคล้าวแล้วก็นึกขึ้นได้
“เออ พี่ก็ลืมถามไปว่าคล้าวมาหาพี่ทำไม มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมแค่จะมาบอกว่าผมหายแล้วครับ ถ้าพี่แสนจะไปไหนผมก็ไปเป็นเพื่อนได้” พอลูกพี่มันพูดจบ ไม้ก็หันมาพูดกับผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น
“ตอนนี้ผมว่างแล้วนะครับพี่แสน วันไหนที่พี่แสนจะไปวัดก็บอกได้เลย เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนด้วย ผมนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัดเลยนะครับ”
“วัดถนนน่ะสิ” คล้าวเอ่ยขัดขึ้นเรียบๆ
“โหย ผมเลิกวัด เอ๊ย! เลิกแว๊นแล้วครับพ่อ เอ๊ย! พี่ แหะๆ”
“ขับรถซิ่งเหรอเราน่ะ” ธงรบถามด้วยสีหน้าสนใจ
“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ” มันเหลือบมองลูกพี่มันแล้วก็ตอบเบาๆ ดูท่าว่าน่าจะซิ่งไม่เบานั่นแหละ คล้าวถึงได้หน้าเรียบสนิทขนาดนั้น
“หึๆ เดี๋ยววันหลังพี่จะพิสูจน์เอง” พอไม้มันหันไปมองงงๆ ธงรบก็พูดต่อ
“แสนมันมีคล้าวไปเป็นเพื่อนแล้ว ไม้ไปเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า พี่ก็อยากได้ผู้ช่วยเหมือนกันนะ” เมื่อมันพูดจบ ผมก็หรี่ตามองมันทันที เมื่อรู้สึกตงิดๆ กับคำพูดมันชอบกล
ปกติถ้าไม่มีผม ธงรบก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ไม่เคยจะเรียกร้องให้ใครไปเป็นเพื่อนแบบนี้หรอก ธงรบเมินผมแล้วมองไม้นิ่งๆ เหมือนรอคำตอบ ไม้มันเลยหันมามองผมด้วยสีหน้ามึนๆ เหมือนกำลังงงกับสถานการณ์อยู่
“พี่แล้วแต่ไม้เลยครับ ถ้าไม้ไปเป็นเพื่อนพี่พี่ก็ดีใจ หรือถ้าอยากจะไปกับธงรบพี่ก็ไม่ว่าอะไรครับ เอาตามที่ไม้สบายใจเลย” ผมพูดแล้วก็ยิ้มให้ไม้เพื่อไม่ให้น้องมันลำบากใจ
“พี่รบไม่มีเพื่อนเหรอครับ” พอผมพูดจบไม้มันก็หันไปถามธงรบอีกครั้ง
“ครับ ถ้าไม่รบกวนเกินไป ไม้ช่วยไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิครับ”
“งั้นก็ได้ครับ พี่คล้าวไปเป็นเพื่อนพี่แสนแล้ว เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนพี่รบก็ได้”
“ขอบคุณครับ” ธงรบมันรับคำแล้วยิ้มมุมปาก ชวนให้เพื่อนอย่างผมสงสัยมากว่ามันคิดอะไรอยู่
“แล้ววันนี้จะไปไหนไหมครับ” คล้าวถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตกลงกันได้แล้ว
“อืม วันนี้ยังไม่ไปไหนดีกว่าครับ ถ้าคล้าวกับไม้ไม่รีบไปไหนไปดูหนังกันไหมครับ”
“พี่คล้าว” ผมยิ้มขำเมื่อไม้มันตาเป็นประกายแล้วหันไปส่งสายตาอ้อนวอนลูกพี่มัน
“ก็ได้ครับ พี่แสนอยากดูเรื่องอะไรครับ” คล้าวมองหน้าไม้ก่อนจะหันมาถามผม
“แล้วแต่คล้าวกับไม้เลยครับ” ผมให้น้องๆ เลือก เพราะดูเหมือนไม้จะมีเรื่องที่อยากดูอยู่แล้ว พอบอกไปแล้วไม้มันก็ยิ้มกว้างทันที
“ไปดู Avengers กันดีไหมครับ” ไม้ออกความคิดเห็นด้วยแววตาที่เป็นประกายเหมือนเด็กๆ
“ก็ดีนะ กำลังอยากดูอยู่พอดี” พอธงรบมันเห็นด้วย ไม้ก็หันไปยิ้มกว้างให้ธงรบ
“งั้นก็ไปกันเถอะ” ธงรบมันบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินนำไปก่อน มีไม้ตามเดินตามไปชวนคุยเรื่องหนังอย่างกระตือรือร้น ท่าทางดีใจของมันทำให้ผมยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ดูเหมือนไม้จะดีใจมากนะ” ผมเดินตามหลังเคียงมากับคล้าวแล้วก็ชวนคุยไปด้วย
“ครับ มันบ่นอยากดูเรื่องนี้มาหลายวันแล้วครับ แต่ผมคอยปรามไว้ เพราะมันเพิ่งจะดูเรื่องอื่นไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถ้าไม่ปรามมันไว้บ้างมันคงไปดูแทบทุกเรื่องครับ ผมไม่อยากให้มันใช้เงินสิ้นเปลืองมากนัก” คล้าวมองไม้ด้วยสายตาเอ็นดูปนระอา
“ไม้ชอบดูหนังเหรอครับ”
“ครับ มันชอบมาก ตอนเด็กๆ มันเคยบอกว่าอยากเป็นคนถ่ายหนังด้วยครับ” คล้าวบอกด้วยรอยยิ้ม
“แล้วคล้าวล่ะครับอยากเป็นอะไร”
“ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นหลายอย่างเลยครับ ทั้งตำรวจ ทหาร นักบิน”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ”
“ตอนนี้ขอแค่ได้เรียนต่อผมก็พอใจแล้วครับ จะเรียนอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ตอนสัมภาษณ์จำได้ว่าคล้าวบอกว่าจะเรียนเกษตรใช่ไหม”
“ครับ ผมคิดว่าอย่างน้อยก็สามารถนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาการเกษตรที่หมู่บ้านได้ครับ”
“ก็ค่อยๆ คิดไปก็แล้วกันครับ ยังพอมีเวลาตัดสินใจ พี่อยากให้คล้าวตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากเป็นจริงๆ เพราะมันจะทำให้คล้าวมีความสุขกับการเรียนมากกว่า การได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ รัก และสนใจ มันทำให้เรามีความสุขกับการเรียนและเป็นแรงผลักดันให้เรามีความพยายามโดยไม่ต้องฝืนอีกด้วยนะครับ” เพราะผมก็เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบเหมือนกัน และผมก็มีความสุขกับมันมาก
“ขอบคุณนะครับ” คล้าวขอบคุณด้วยแววตาอ่อนโยนส่วนผมก็งงว่าน้องมันขอบคุณเรื่องอะไร พอเห็นสีหน้างงๆ ของผมคล้าวเลยขยายความให้
“ขอบคุณที่ห่วงใยและใส่ใจผมเสมอ ผมจะกลับไปคิดอย่างที่พี่แสนแนะนำนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ คล้าวก็รู้ว่าพี่เต็มใจ” ได้โอกาสแล้วก็เต๊าะซะหน่อย คล้าวลูบท้ายทอยเขินๆ ในขณะที่ผมยิ้มหวานให้ คล้าวหลุดหัวเราะทำให้ผมหัวเราะขำไปด้วย แล้วเราสองคนก็ยืนยิ้มให้กัน
“พี่คล้าวๆ เอารอบไหนดี” น้ำเสียงตื่นเต้นของไม้ทำให้เราหันไปมองพร้อมกัน ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าเรามายืนอยู่หน้าโรงหนังกันแล้ว ไม้ยืนมองตารางเวลาฉายและโปรแกรมหนังแต่ละเรื่องอย่างสนอกสนใจ ส่วนธงรบยืนกอดอกหรี่ตามองเราสองคนด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ
“ทำอย่างกับโลกนี้มีกันแค่สองคน” ธงรบมันพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ทำให้หูของคล้าวแดงมากขึ้น ส่วนผมก็ยักไหล่ให้มัน แล้วไงใครแคร์ล่ะ ไม้มันหันมามองเรางงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าเราคุยอะไรกันอยู่
“เอ่อ ตกลงเอารอบไหนดีครับ”
“แล้วแต่ไม้เลยครับรอบไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากฝึกภาษาก็เลือกภาษาอังกฤษเลยครับ”
“แหะๆ เอาไว้คราวหน้าดีกว่าครับ คราวนี้ผมขอดูสนุกๆ ก่อนได้ไหมครับพี่” ไม้มันส่งสายตาอ้อนวอนมาให้
“หึๆ ตามใจครับ เดี๋ยวพี่ค่อยหาแผ่นหนังไปให้ดูก็แล้วกัน พี่มีเก็บไว้เยอะ ว่างๆ คล้าวกับไม้จะได้ดูเพื่อฝึกภาษาไปด้วย มันมีส่วนช่วยได้นะครับ แล้วเดี๋ยววันไหนว่างๆ พี่จะช่วยติวให้อีกที”
“ขอบคุณครับ/ขอบคุณครับพี่” คำขอบคุณของทั้งคู่ทำให้ผมยิ้มอย่างเอ็นดู น่ารักทั้งลูกพี่ลูกน้องจริงๆ เลย ผมหันไปสบตาธงรบ มันก็คงเข้าใจ มันจึงเดินเลี่ยงไปซื้อตั๋ว ปล่อยให้ผมคุยกับทั้งคู่ต่อ
พอธงรบเกลับมาน้องๆ ก็พยายามจ่ายเงินให้ แต่ธงรบใจแข็งกว่าผมเยอะ น้องๆ ก็ดูเกรงใจมันมากกว่าด้วย เลยต้องยอมให้มันจ่ายไป ส่วนผมก็ยืนมองขำๆ เรื่องมัดมือชกนี่ไว้ใจธงรบได้เลยครับ มันถนัดนักละ หึๆ
คล้าวเลยบอกจะขอเลี้ยงน้ำอัดลมกับป๊อบคอร์นแทน เพื่อความสบายใจของน้องๆ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร เมื่อถึงเวลาหนังใกล้ฉายเราก็เดินเข้าโรงหนังกัน ธงรบกับไม้เดินนำหน้าได้ยินเสียงคุยเรื่องหนังกันอย่างถูกคอ ผมกับคล้าวเดินตามหลังไป ระหว่างที่ฟังคนข้างหน้าพูดเพลินๆ คล้าวก็เอ่ยขึ้นมา
“คราวหน้าถ้ามาด้วยกันอีกผมขอเลี้ยงบ้างนะครับ”
“ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีกเหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าคล้าวที่มองมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่แสนเลี้ยงผมมาหลายครั้งแล้วนี่ครับ ผมก็อยากจะตอบแทนบ้าง”
“แต่ในฐานะที่พี่เป็นพี่ และพี่ก็ทำงานแล้ว พี่เลี้ยงน้องก็ถูกแล้วนี่ครับ” ผมพยายามพูดให้น้องมันสบายใจ
“แต่ในฐานะของคนที่อยู่ในระหว่างศึกษาดูใจกัน ก็ควรเท่าเทียมกันไม่ใช่เหรอครับ”
“...”
ยอม... ถ้าเป็นเหตุผลนี้คงต้องยอมทุกอย่าง อยากจะเปย์หรืออยากจะทำอะไรก็ตามใจทุกเรื่องเลยครับ
ทำไมมันน่ารักอย่างนี้นะ น่ารักจนอยากลากเข้ามุมตึก แต่ทำไม่ได้ ได้แต่หยุดยืนมองคล้าวแล้วก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่น้องมันจริงจังกับเรื่องของเราแบบนี้ พอสบตาผมได้สักพัก คล้าวก็เบือนหน้าหนีแล้วลูบท้ายทอยแก้เขิน ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำจนเห็นได้ชัด ยิ่งเห็นก็ยิ่งอารมณ์ดี
ให้ตายสิ! หยุดยิ้มไม่ได้เลย
“แฮ่ม! ก็ไม่อยากจะขัดจังหวะหรอกนะ แต่หนังใกล้ฉายแล้ว จะยืนจ้องตากันอีกนานไหม” ธงรบมายืนกอดอกมองมาด้วยสายเอือมๆ อยู่ตรงหน้า ส่วนไม้ที่อยู่ด้านหลังก็มองเราสองคนไปมาเหมือนกำลังประมวลผลอยู่
“ก็ไปสิ รออะไรล่ะ” ผมบอกก่อนจะดันหลังมันให้รีบเดินออกไปจากตรงนี้ เพราะสังเกตเห็นว่ามีบางคนกำลังมองมาที่เราอยู่
“กล้าถามนะ รอมึงออกจากโลกส่วนตัวก่อนน่ะสิ จ้องเหมือนอยากจะลากน้องมันไปแดก” ธงรบลากผมให้เดินเร็วๆ จนห่างจากสองคนหลังก็พูดเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน
“ก็อยากอยู่” ผมพึมพำเบาๆ
“กูไม่อนุญาต ถ้ายังไม่ตกลงปลงใจกันจริงจัง ห้ามชิงสุกก่อนห่ามเด็ดขาด” หูเสือกดีได้ยินไปอีก ว่าแต่... ชิงสุกก่อนห่าม? อะไรของมึ๊ง
อีกอย่าง...
“ทำไมกูต้องขออนุญาตมึงด้วยวะ” ผมถามด้วยความข้องใจ
“ในฐานะที่มึงเป็นลูก เอ๊ย! เป็นน้องกู มึงต้องเชื่อฟังกู”
“ได้ข่าวว่าเราเกิดปีเดียวกันนะรบ”
“กูเกิดก่อนหลายเดือน ยังไงกูก็ต้องเป็นพี่ เข้าใจไหมครับน้องแสน” มันดึงตัวผมไปกอดคอแล้วขยี้หัวแรงๆ
“ปล่อยสิวะ หัวยุ่งหมดแล้ว”
“รับปากก่อน”
“เออๆ ปล่อยได้แล้วคนมองแล้วสัด!” ผมรีบรับปากเมื่อคนที่เดินเข้าโรงหนังเริ่มมองมาที่เราด้วยความสนใจ
พอธงรบปล่อยมือผมก็หันแยกเขี้ยวให้มัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามในสิ่งที่ยังติดใจอยู่
“ทำไมมึงถึงชวนน้องไม้ไปกับมึงวะ”
“กูก็ช่วยกันไม่ให้น้องมันไปเป็นก้างมึงไง”
“ทำไมกูถึงรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นวะ”
“จะมีอะไร ไม่มี๊ มึงอะคิดมาก”
“เหรออออ” เสียงสูงขนาดนี้นี่นะไม่มี อมพระประธานมาพูดก็ไม่เชื่อหรอก
“เอออออ ไปๆ รีบเข้าไปได้แล้ว เกะกะคนอื่นเค้า”
ยังไม่ทันได้ซักมันต่อ เราก็เดินเข้าโรงหนังพอดี ธงรบรอจนน้องๆ เดินทันแล้วจัดแจงดันไม้ให้เดินเข้าไปก่อน มันเดินตามแล้วลากผมไปด้วย ให้คล้าวอยู่ด้านนอกสุด
ฝากไว้ก่อนเถอะ อยู่กันตามลำพังเมื่อไหร่ ผมซักจนสะอาดแน่ๆ
ผมนั่งดูหนังอย่างมีความสุข เพราะหนังสนุกแถมได้มากับคนสำคัญแล้วก็ยิ่งมีความสุข เสียดายเฮียแผนยุ่งๆ มาด้วยไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยมาดูเป็นเพื่อนเฮียอีกรอบก็แล้วกัน
ผมเอื้อมมือไปหยิบป๊อบคอร์นที่วางอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับคล้าว แต่แทนที่จะจับได้ป๊อบคอร์นกลับจับโดนมือของคล้าวที่กำลังหยิบอยู่แทน ด้วยความที่เริ่มชินกับความมืดพอหันไปมองก็เห็นคล้าวมองมาอยู่แล้ว ผมก็เลยยิ้มให้ คล้าวมันจะเห็นไหมไม่รู้ รู้แต่ว่ามันอดจะยิ้มไม่ได้จริงๆ อยากจะเนียนจับต่อก็เกรงใจ จำใจต้องดึงมือกลับมาช้าๆ
พอหลุดจากมือผมได้ คล้าวก็ทำท่าเหมือนจะเอามือไปลูบท้ายทอยตัวเองตามความเคยชิน ผมเลยรีบคว้ามือข้างนั้นไว้แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือให้เบาๆ
แต่เพราะข้างในมันมืดเลยเผลอก้มลงไปจนแทบจะชิดกับมือ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคล้าวก้มลงมาเหมือนกัน ทำให้หน้าเราห่างกันแค่คืบ
แสงจากจอหนังที่ส่องมาเป็นระยะทำให้พอจะมองเห็นแววตาที่เป็นประกายท่ามกลางความมืด ผมหลุบตามองริมฝีปากของคล้าวแล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างเผลอไผล
“อะแฮ่ม”
ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากฝั่งขวามือ พอหันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นธงรบกำลังจ้องเขม็งมา ผมเลยปล่อยมือคล้าวแล้วขยับมาที่ของตัวเอง
“ต่อหน้าต่อตาเลยนะมึง” ธงรบมันขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ
“อะไร กูแค่เช็ดมือให้น้องมัน”
“เหรอออ”
“เอออออ” พอตอบไปมันก็ผลักหัวผมด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยผลักคืนเพื่อความเท่าเทียม ก่อนจะหันไปสบตาคล้าวแล้วยิ้มให้เหมือนเดิม คราวนี้คล้าวยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขินโดยที่ผมไม่ได้ห้ามเพราะมือสะอาดแล้ว
สรุปว่าออกไปจากโรงหนังแล้วป๊อบคอร์นเรายังเหลือเกือบเต็มถัง
“ไม่กินเหรอพี่” ไม้มันถามเมื่อเห็นป๊อบคอร์นที่แทบจะไม่พร่องเลย ผมหันไปมองหน้าคนถือ นึกถึงสาเหตุที่มันไม่พร่องแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้
“พอดีพี่อิ่มแล้วครับ”
“อิ่มข้าวเหรอครับ” ไม้มันยังถามด้วยสีหน้าซื่อๆ
“เปล่าครับ พี่ ‘อิ่มใจ’” พูดด้วยรอยยิ้มกริ่มๆ สายตาก็มองตัวต้นเหตุของความ ‘อิ่มใจ’ไปด้วย
“งั้นเอามาให้ผมกินก็ได้ครับ เสียดาย” พอคล้าวส่งให้ไม้มันก็รีบรับแล้วเดินไปหยิบกินไปไม่ได้สนใจสายตาใครเลย
ส่วนผมก็มองคนเขินจนหูแดงก่ำเพลินแล้วยิ้มกว้างอย่างมีความสุข โดยไม่แคร์สีหน้าพะอืดพะอมของธงรบสักนิด
ก็มัน ‘อิ่มใจ’ จริงๆ นี่นา มาดูหนังครั้งนี้นี่คุ้มจริงๆ ครับ หึๆๆๆ
***********************************************************
ช่วงปลายปีนี่อีเว้นท์เยอะมากจนเพลียค่ะ สมองมันก็เลยฝ่อ จินตนาการก็หดหายตามไปด้วย กว่าจะได้แต่ละตอนนี่หืดขึ้นคอ ช้ายิ่งกว่าทากถูกยาชาซะอีก รอเราหน่อยนะคะ เราจะค่อยๆ กระดึบๆ ไปเรื่อยๆ
*********************************************************** #iceman555 ☼ พี่มันแอบหื่นค่ะ อยากกดน้องจะแย่ แต่ไม่กล้า ถถถ วงวารพี่แสนนะคะ
#ommanymontra ☼
#MayA@TK ☼
#taltal020441 ☼ ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า ตอนนี้พี่แสนยังไม่มีโอกาสค่ะ กลัวไก่ตื่นด้วย ต้องรออีกนิดดดด 5555 ไว้แวะมาอีกนะคะ
#k2blove ☼ พี่แสนหื่นตั้งแต่เป็นทองกวาวแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ต้องคีพลุค 5555 สงสารพี่เค้านะคะ อยากกินแต่ไม่กล้า
#PsychePie ☼ มันจะดีเหรอคะ เดี๋ยวน้องถีบบบบบบบบบ
#puiiz ☼
#วายซ่า ☼ ใกล้แล้วค่ะ ใกล้หมดความอดทนเต็มที ถ้าไม่มีงานเข้านะคะ แค่กๆๆๆ
#aoihimeko ☼ น้องมันอีเว้นท์เยอะค่ะ ทั้งทำงาน ทั้งติว ทั้งตากแดดตากฝนตากแอร์ ก็เลยเปื่อยเลย บางทีเด็กมันก็ร้ายค่ะ เด็กมันยั่วจนพี่แสนจะตบะแตกแล้ว 555555
#lovenine ☼ ขอบคุณมากค่า กอดแน่นๆ มาแล้วนะคะ
#taltal020441 ☼ มาแล้วค่าาาา
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ