►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8  (อ่าน 39377 ครั้ง)

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หืออออ ทำไมน้องไปอยู่กับยัยกินหญ้าได้ ไหนจะนายสรัญอะไรนี่อีก
มีการสมคบคิดอะไรกันรึเปล่า ดูช่วงเวลาเหมาะเจาะเกินไป

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
อ้าววว ทำไมคล้าวทำแบบนี้อะ  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ แก้มกลม

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นังกินหญ้าหล่อนข่มขู่อะไรน้องคล้าวของพี่แสนหรือเปล่าเนี่ย ร้ายนะย๊ะ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้น้องกินหญ้าแย่งซีนไปเต็มๆ ถึงไม่มีบทพูดมากมายก็เหอะ
ว่าแต่น้องคล้าวทำไมไม่รับสายพี่แสนเลยนะ ใจร้ายมากๆ ไม่น่ารักเลย
ต้องให้เฮียฉุดมาให้พี่แสนปล้ำอย่างที่คิดไว้ หุหุหุ
 :haun4:  :haun4:
แต่รู้สึกว่าสรัญน่ากลัวขึ้นทุกทีนะ ระวังตัวด้วยนะแสน เป็นห่วงจัง

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องคล้าว ทำไมมีอะไรไม่บอกพี่แสนล่ะ ทำแบบนี้พี่เค้าเสียใจนะ ถ้าโดนนังกินหญ้าข่มขู่อะไรมา ก็น่าจะมาปรึกษาเฮียๆ ก่อน จะได้หาทางแก้ทันง่ะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
นี่คือความรู้สึกจากใจนะ ไม่ว่าคล้าวจะทำไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราเสียความรู้สึกมากเพราะถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแสน ควรถามแสนก่อนไหม? หรือถ้าโดนยุยง คล้าวก็ไม่ได้โง่นิ

สรุปเราเทคล้าวแล้วแม้สุดท้ายจะกลับมา แม้สุดท้ายแสนจะเข้าใจและให้อภัย แต่เราไม่โอเค

ใครมีหมาแดงขอขวดสิจะเอาไปฆ่าหญ้าพร้อมวางยาสรัญ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
น่าจะมีเหตุ อะไร สักอย่าง รอ วันคลี่คลาย รอ..ต่อไป ลุ้นๆ จนกว่า ...คิดถึง และ ขอบคุณผู้เขียน จร้า

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มารอเรื่องนี้ หายไปจะครบเดือนละ คิดถึงครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 18

ผมลองบิดกุญแจสตาร์ทรถดูอีกรอบ ก่อนจะต้องถอนหายใจอย่างยอมแพ้ เมื่อลองเป็นรอบที่สิบแล้วเครื่องยนต์ที่เหมือนจะติดก็ดันไม่ติดสักที

เมื่อเช้าขับมาก็ยังดีๆ อยู่ มันเป็นอะไรของมันวะ น้ำมันก็ยังอยู่เกือบเต็มถัง ได้แต่มองแล้วถอนหายใจด้วยความเซ็งอีกรอบก่อนจะตัดสินใจโทรหาช่าง เดี๋ยวรอให้ช่างมาก่อนแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับเอง

วันนี้ผมให้คนขับรถไปส่งป๊ากับแม่ขึ้นเครื่อง เพราะทั้งคู่นัดไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนรวมทั้งพ่อแม่ของธงรบด้วย เฮียแผนก็ไม่อยู่ ไปดูงานที่ต่างประเทศหลายวันแล้ว เฮียโทรมาบอกว่าจะกลับมาถึงเย็นนี้ ส่วนธงรบ มันเพิ่งโทรมาบอกว่าจะไปคุยกับน้องเอญ่าก่อน ไม่รู้ว่ามันคุยเสร็จรึยัง เลยตัดสินใจยังไม่โทรไปหามันดีกว่า

ระหว่างที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอช่างอยู่ในรถก็มีสายเรียกเข้ามาพอดี ผมมองชื่อคนโทรเข้าด้วยความแปลกใจว่าโทรมาทำไมในเมื่อเพิ่งจะแยกกันมา

“ว่าไงจูดี้ มีอะไรรึเปล่า”

“คุณแสนลืมกระเป๋าตังค์ไว้บนโต๊ะค่ะ”

“อ้าวเหรอ”

“นี่คุณแสนถึงไหนแล้วคะ”

“ผมยังอยู่ที่ลานจอดรถอยู่เลย พอดีรถผมเสีย งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปเอาก็แล้วกัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้จูดี้เดินออกมาแล้วค่ะ เดี๋ยวจูดี้ถือไปให้ เมื่อเช้าเห็นรถคุณแสนอยู่ใกล้ๆ รถของจูดี้พอดี รอแป๊บนะคะ”

“โอเค ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่าเจ้านาย”

ก๊อกๆๆ

เมื่อวางสายแล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกฝั่งที่ผมนั่ง ตอนแรกก็นึกว่าจูดี้มาถึงแล้ว พอเห็นว่าเป็นพี่สรัญผมก็เลยลดกระจกลงต่ำกว่าเดิมจากที่เปิดระบายอากาศไว้เพียงเล็กน้อยในตอนแรก

“สวัสดีครับน้องแสน”

“สวัสดีครับพี่สรัญมาได้ยังไงครับเนี่ย”

“พอดีตอนแรกพี่ว่าจะมาชวนแสนไปทานข้าว แต่พอไปหาที่ร้านคนในร้านบอกว่าแสนกลับแล้ว บังเอิญพี่เห็นรถแสนพอดี เลยลงมาชวนไปทานข้าวด้วยกันครับ” พี่สรัญอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“พอดีว่ารถผมเสียน่ะครับ กำลังรอช่างมาเอาไปซ่อมอยู่”

“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวพี่รอเป็นเพื่อนครับ ถ้าช่างมาแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ” ผมมองหน้าพี่สรัญ เหลือบมองไปที่รถตู้ที่จอดอยู่ใกล้ๆ แล้วเอ่ยปฏิเสธ

“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยครับ เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันซะหน่อย ไปครับ แสนไปรอบนรถพี่ดีกว่าจะได้ไม่ร้อนด้วย” พี่สรัญยังคงชวนด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับอีกสักพักเดี๋ยวช่างก็คงมาแล้ว”

“ระหว่างที่รอช่าง ไปรอบนรถพี่ดีกว่าครับ เย็นสบายกว่าเยอะเลย”

“รออีกแป๊บเดียวเองครับ ถ้าช่างมาเดี๋ยวผมค่อยไปก็ได้ ขี้เกียจลุกเดินไปเดินมาครับ”

“แต่พี่ว่า...”

“มัวแต่ลีลาอยู่นั่นแหละ ลงมา!”

ผมมองคนที่เข้ามาเอาปืนจ่อนิ่งๆ ก่อนจะมองสบตาพี่สรัญที่ตอนนี้ถูกผลักไปยืนข้างๆ แล้วมองมาด้วยแววตาที่เหมือนอยากจะขอโทษและรู้สึกผิด

ที่จริงผมก็รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เขามาเคาะกระจกแล้ว รอยยิ้มพี่สรัญยังคงเหมือนเดิม แต่แววตาที่เคยสดใสมันหม่นหมองและมองมาด้วยรู้สึกผิดจนผมเอะใจเลยไม่ยอมลงไปง่ายๆ แต่พอปืนมาจ่อแบบนี้จะไม่ลงก็คงไม่ได้แล้วละ

“กูบอกให้ลงมา ไม่งั้นกูยิงสมองกระจายแน่ ลงมา!!”

ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะก้าวลงจากรถช้าๆตามที่มันบอก แล้วกวาดสายตามองรอบๆ พอไม่เห็นใครอยู่แถวนี้เลยก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครช่วยได้เลย ซวยจริงๆ

“ยกมือขึ้นไว้ที่บนหัว แล้วเดินไปขึ้นรถ อย่าตุกติกนะมึง กูยิงจริงๆ ด้วย”ผมทำตามคำสั่งอย่างช้าๆ แต่พอมันเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็หันกลับไปคว้ามือที่ถือปืนแล้วหมุนตัวกลับไปเข่าเข้าที่ท้องของมัน ก่อนจะแย่งปืนมันมาถือไว้แล้วถอยห่างออกไป

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” ผมหันปืนไปหาคนที่โดนเตะเมื่อมันตั้งตัวได้แล้วทำท่าจะถลาเข้ามาหา แต่ก่อนที่จะตะโกนขอให้คนช่วยหรือทำอะไรต่อ ก็ดันมีคนโผล่เข้ามาซะก่อน

“มึงนั่นแหละหยุดถ้าไม่อยากให้อีนี่ตาย” ผมได้แต่เม้มปากแน่น เมื่อสถานการณ์ที่กำลังเป็นต่อถูกพลิกกลับทันที เพราะมีคนร้ายอีกคนล็อคคอแล้วเอาปืนจ่อหัวจูดี้ไว้

“ฮือ คุณแสนจูดี้ขอโทษ” จูดี้ส่งสายตาขอโทษมาให้ ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะเข้าใจว่าจูดี้ก็คงไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรอก

“วางปืนลง” ไอ้คนที่ใช้ปืนขู่ผมแสยะยิ้มก่อนจะบอกอย่างเป็นต่อ

“เร็วๆ สิ” อีกคนก็คอยเร่งจนผมต้องค่อยๆ ย่อตัวลงแล้ววางปืนกับพื้นอย่างไม่กล้าตุกติก

ถ้าตัวคนเดียวผมคงจะกล้าเสี่ยง เพราะเรื่องการต่อสู้ฝีมือผมก็เก่งพอตัวและคิดว่าพอจะเอาตัวรอดได้ แต่นี่มีจูดี้อีกคน ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายเธอ เลยได้แต่ยอมทำตามอย่างจำใจ

ผัวะ!

“อึก!” ไอ้คนที่โดนผมเข่ามันปราดเข้ามาหยิบปืนแล้วจับผมเข่าจนจุกแทบจะทรุดลงไปกับพื้น มันทำท่าจะเข้ามากระทืบซ้ำ แต่พี่สรัญเข้ามาประคองผมไว้แล้วห้ามไว้ก่อน

“หยุดนะ! ไหนว่าจะไม่ทำร้ายเขาไง”

“ไม่เห็นเหรอว่ามันทำร้ายผมก่อน” คนร้ายหันไปตะคอกพี่สรัญ

“จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แล้วรอให้ตำรวจมาลากคอไปก่อนใช่ไหม” พี่สรัญขู่เมื่อมันทำท่าจะเข้ามาทำร้ายผมอีก

“เออ รีบๆ ไปขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวพ่อมึงมาแล้วจะยุ่ง” คนร้ายอีกคนที่จับจูดี้ไว้รีบห้ามไว้เหมือนจะเห็นด้วยกับพี่สรัญ

“ปล่อยจูดี้ก่อน เธอไม่เกี่ยวอะไรด้วย ปล่อยเธอไปซะ” ผมพยายามต่อรอง เพราะกลัวว่าจูดี้จะเป็นอันตรายไปด้วย

พวกมันสองคนสบตากันทำให้ผมสังหรณ์ใจไม่ดี เมื่อคนที่จับจูดี้ไว้มองด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ผมรีบสะบัดตัวออกจากพี่สรัญแล้วเข้าไปคว้าแขนคนร้ายออกจากหัวจูดี้

ปัง!!

ผมดึงแขนที่ล็อคคอจูดี้ออก เข่าไปที่ท้องมันแล้วผลักจูดี้ให้หลบเข้าไปในซอกรถ

“หนีไป!!” ดีที่จูดี้ปฏิกิริยาไวพอ จึงรีบวิ่งหนีไปทันที

ปังๆๆ

“ว้าย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”จูดี้วิ่งหนีไปได้ไกลแล้วก็ตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย

ผลัวะ!!

“โอ๊ย!”

“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง” คนร้ายคนแรกเข้ามาตบหน้าผมด้วยด้ามปืนจนหน้าหันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหู ก่อนที่มันจะเข่าผมจนจุกอีกรอบ

“อึก”

“มันหนีไปได้ จะตามไปอีกก็เจอคนเข้าพอดี รีบไปเถอะ ก่อนที่พ่อจะแห่กันมา”พอได้ยินคนร้ายอีกคนบอกแบบนั้นผมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยจูดี้ก็รอดไปได้และคงจะไปบอกให้คนอื่นมาช่วยผมได้

“โธ่โว้ย! ไปขึ้นรถ” คนร้ายคนแรกสบถอย่างหัวเสียก่อนที่มันจะจับแขนผมแล้วลากไปขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ที่เดิมโดยที่คนร้ายคนที่สองเป็นคนขับ ส่วนมันก็ลากผมเข้าไปด้านใน พี่สรัญเดินขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย

เมื่อรถออกไปสักพัก มันก็หาเชือกมามัดแขนผมไพล่หลัง เอาผ้ามาปิดตา แล้วเอาผ้าที่ใส่ยาสลบมาปิดปากปิดจมูกผม ผมได้แต่กลั้นใจไว้แล้วดิ้นตามสัญชาติญาณจนกลั้นไม่ไหวสูดเข้าไปเต็มปอดก่อนสติจะค่อยๆ ดับวูบลง

*****************************************************************

ผมรู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนหัวหนักมาก แม้จะรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ยังลุกไม่ไหวเพราะเวียนหัว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาสลบที่ยังไม่หมดดี

“เป็นยังไงบ้างครับน้องแสน”

ผมพยายามลุกขึ้นนั่งโดยมีพี่สรัญช่วยประคอง พอลุกขึ้นได้ก็กวาดสายตามองรอบๆ ตัว ก็เห็นว่าผมนอนอยู่บนเตียงในห้องๆ หนึ่งกับพี่สรัญสองคน

“พี่สรัญ” ผมมองหน้าพี่สรัญนิ่งๆ

“ครับ น้องแสนอยากรู้อะไรถามมาได้เลย” พี่สรัญยังคงยิ้มให้ด้วยสีหน้าหม่นๆ

“พี่สรัญทำแบบนี้ทำไมครับ”

“ดูเหมือนน้องแสนไม่แปลกใจเลยนะครับ” พี่สรัญไม่ได้ตอบ แต่ถามผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจแทน

“ที่จริงผมก็รู้สึกสงสัยอยู่ครับว่าพี่สรัญเข้าหาผมทำไม ตอนแรกก็สงสัยว่าพี่สรัญน่าจะโดนคุณกิน เอ่อ เอญ่าขอให้ช่วยแก้แค้นธงรบ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่สรัญจะจับผมมาแบบนี้ครับ”

“แสนไม่คิดว่าพี่จีบแสนจริงๆ เหรอ”

“ไม่ครับ ถึงพี่สรัญจะแสดงออกว่าจีบผม แต่แววตามันฟ้องว่าพี่สรัญไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับผมจริงๆ อย่างมากก็แค่เอ็นดูผมเหมือนน้องคนหนึ่งเท่านั้นเอง” พี่สรัญฟังแล้วก็ยิ้มสายตามองมาด้วยแววตาเอ็นดูอย่างไม่ปิดบังเหมือนก่อนหน้านี้

“แสนคิดถูกแล้ว เอญ่าอยากแก้แค้นคุณรบจริงๆ เลยมาขอให้พี่แยกแสนออกจากคล้าวเพราะเอญ่าโกรธที่คุณรบให้ความสำคัญกับแสนมากกว่าเธอ แต่ที่พี่ร่วมมือกับเธอ เพราะเป้าหมายของพี่อยู่ที่แสนอยู่แล้ว”

“ทำไมล่ะครับ ผมมั่นใจว่าไม่เคยมีความแค้นกับพี่สรัญมาก่อนแน่ๆ” ผมพยายามทบทวนความทรงจำแต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำร้ายพี่สรัญตอนไหน

“แสนไม่มี แต่เกียรติก้องวัฒนาน่ะมี”

ผมชะงักก่อนจะสบตาพี่สรัญด้วยความแปลกใจ เกียรติก้องวัฒนา? ป๊ากับเฮียน่ะเหรอ?

“แสนรู้ไหมว่าพี่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณหญิงรัตนา” เมื่อเห็นผมมีสีหน้าตกใจพี่สรัญก็ยิ้มเศร้าๆ ให้ก่อนจะพูดต่อ
“พี่เป็นแค่ลูกบุญธรรมที่คุณหญิงรัตนารับมาเลี้ยง แสนรู้เรื่องที่เจ้าสัวสุธนกับคุณแผนมีปัญหากับบริษัทคู่แข่งใช่ไหม”

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเรื่องในครั้งนั้นทำให้รถผมถูกคนพวกนั้นตัดสายเบรกจนประสบอุบัติเหตุแล้ววิญญาณไปอยู่ในร่างของทองกวาว เป็นควายความจำเสื่อมอยู่ตั้งนาน

“คนที่ทำร้ายแสนคือพ่อแท้ๆ ของพี่เอง”

“อะไรนะ!!”

“พี่เป็นลูกนอกสมรสของผู้ชายคนนั้น”แววตาของพี่สรัญหม่นลงยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่จะละสายตาจากผมแล้วหันหน้าไปทางอื่น

“แม่พี่เป็นแค่เมียเก็บของเขา แม่ปล่อยให้พี่เกิดมาเพื่อใช้ผูกมัดผู้ชายคนนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว หลังจากที่แม่พี่บอกเขา เขาก็ตรวจ DNA จนมั่นใจว่าพี่เป็นลูกของเขาแน่ๆ

ถึงจะยอมรับว่าพี่เป็นลูก แต่เขาก็ไม่สามารถจะเลี้ยงดูพี่ได้ เพราะเมียหลวงทั้งรวยทั้งมีอำนาจมาก เขาไม่มีทางทิ้งเมียหลวงเพื่อมาอยู่กับแม่พี่หรอก เขาจึงเสนอเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งให้แม่พี่เพื่อตัดปัญหา

แม่พี่ได้แต่รับเงินมาเพราะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เนื่องจากถูกเมียหลวงข่มขู่ พอได้เงินมา แม่พี่ก็เอาพี่ไปทิ้งไว้ให้ยายเลี้ยง ทิ้งเงินไว้ให้จำนวนหนึ่งแล้วก็จากไป ปล่อยให้พี่โตมากับยายแบบตามมีตามเกิด

จนพี่อายุ 6 ขวบแม่ก็กลับมาแล้วเอาตัวพี่ไปหาพ่อเพื่อขอเงินเพิ่ม เพราะเงินที่ได้มาหมดแล้วจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย พอเงินหมดแม่ก็ไปอยู่กับผู้ชายอีกคน จนผู้ชายคนนั้นทิ้งแม่ไปรับเลี้ยงเด็กคนใหม่ที่สาวกว่าและสวยกว่า

ตอนนั้นแม่บังเอิญไปเห็นพ่อจึงนึกขึ้นได้ว่ามีพี่อยู่ จึงมาเอาตัวพี่ไปจากยายพาไปหาผู้ชายคนนั้น แล้วบอกว่าเงินที่ได้มาหมดลงเพราะใช้จ่ายไปกับการเลี้ยงดูพี่หมด ผู้ชายคนนั้นก็ให้เงินมาอีกก้อนเพื่อตัดปัญหาอีกครั้ง

ไม่นานเงินที่ได้มาก็หมดเหมือนเดิม เพราะแม่ติดทั้งเหล้าและการพนัน แต่จะเอาพี่ไปทิ้งไว้กับยายเหมือนเดิมก็ไม่ได้ เพราะยายเสียไปแล้ว

หลังจากนั้นพี่ต้องอดมื้อกินมื้อและถูกตีแทบทุกวัน แม่โทษว่าเป็นเพราะพี่ที่เกิดมาเป็นตัวซวย ทำให้ชีวิตของแม่ตกต่ำ ในตอนนั้นพี่คิดถึงยายมาก ถึงยายจะเลี้ยงพี่แบบตามมีตามเกิด แต่ยายก็ไม่เคยตีพี่โดยไม่มีเหตุผลเลยสักครั้ง

จนในวันหนึ่งระหว่างที่พี่เดินขายของอยู่ก็บังเอิญไปเจอกับผู้ชายคนนั้นกับเพื่อนของเขาและภรรยาของเพื่อนเขา ยังดีที่เขายังพอจำหน้าลูกของตัวเองได้ พอเพื่อนและภรรยาของเขาเห็นสภาพของพี่ก็เลยขอรับเลี้ยงพี่ไว้เอง เพราะทั้งคู่ไม่มีลูก โดยแลกกับเงินก้อนใหญ่ที่แม่พี่เรียกร้องไป

การที่ได้มาอยู่ในครอบครัวนี้ทำให้พี่มีความสุขมาก เพราะคุณหญิงรัตนากับคุณประจักษ์เลี้ยงดูพี่เหมือนพี่เป็นลูกแท้ๆ ของพวกท่าน

แต่พี่มีความสุขได้ไม่นาน แม่ก็แอบมาหาพี่ที่โรงเรียน แล้วบังคับให้พี่ขโมยเงินไปให้ใช้ แต่พี่ไม่ยอมทำจึงถูกตีทุกครั้ง จนคุณแม่รัตนารู้เพราะเห็นแผลที่พี่ถูกตี จึงบอกให้คุณพ่อจัดการให้

คุณพ่อข่มขู่จนแม่พี่กลัว จึงไม่มาหาพี่อีก แต่ก็ยังแอบไปขอเงินกับคุณแม่รัตนาเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณแม่เป็นคนใจอ่อน ถึงพี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ต้องวุ่นวายและเสียเงินเรื่อยๆ แต่คุณแม่รัตนาก็ไม่เคยโทษพี่เลย ท่านยังรักและเอ็นดูพี่เหมือนเดิม

จนเมื่อไม่นานมานี้ เมียหลวงของพ่อตายไป เขาก็เข้าไปบริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว แล้วก็มีปัญหากับเกียรติก้องวัฒนาอย่างที่แสนรู้นั่นแหละ พอแม่เข้าไปหาเขาเพราะหวังจะไปแทนที่เมียหลวง จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการออกหน้าทำเรื่องร้ายๆ ให้

พอพ่อถูกจับ แม่ก็โกรธบ้านแสนมากที่ทำให้เขาไม่ได้เป็นนายหญิงอย่างที่หวังเอาไว้ เลยมาบังคับให้พี่ช่วยจับตัวแสนมาเพื่อต่อรองกับเจ้าสัวสุธนกับคุณแผนให้ถอนฟ้องพ่อ เพราะรู้มาว่าสองคนนั้นรักแสนมาก

แม่พี่ขู่ว่าถ้าพี่ไม่ทำจะทำร้ายคุณแม่รัตนา แสนก็รู้ว่าคุณพ่อประจักษ์ พ่อบุญธรรมพี่เสียไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีคุณพ่อคอยคุ้มครองเหมือนแต่ก่อน พี่รู้ว่าเขาทำได้จริงแน่ๆ เลยจำใจต้องทำตาม พี่ขอโทษแสนด้วยนะ ที่ต้องทำให้แสนต้องลำบากแบบนี้”

พี่สรัญหันมาสบตาผมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด ผมฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกด้วยความเห็นใจและหนักใจ

“แล้วเล่าให้ผมฟังแบบนี้ ไม่กลัวว่าผมจะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดพี่เหรอครับ”

“พี่ทำผิด พี่ก็ยอมรับผิด พี่เหนื่อยกับแม่เต็มทีแล้วแสน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ติดคุกก็ติดไป ขอแค่ปกป้องผู้มีพระคุณของพี่ได้ก็พอ”

“แล้วนี่เราอยู่ที่ไหนครับเนี่ย”ผมเปลี่ยนเรื่อง เมื่อสีหน้าพี่สรัญหม่นลงเรื่อยๆ

“บ้านพักลับๆ ของพ่อในป่าแถบกาญจนบุรีน่ะ”ไม่อยากจะนึกเลยว่าทำเอาไว้ทำไม พอผมถอนหายใจพี่สรัญก็เอ่ยปลอบ

“แสนทนหน่อยก็แล้วกันนะ สักพักแม่พี่คงจะมาถึง ถ้าต่อรองกับทางนั้นให้ปล่อยตัวพ่อพี่ได้แล้ว แม่ก็คงปล่อยแสนไป”

ผมอยากจะบอกว่าพี่สรัญมองโลกในแง่ดีเกินไป ถึงขนาดจับผมมาถึงนี่แล้วจะปล่อยไปง่ายๆ หรอก ได้แต่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้พี่สรัญกังวลไปมากกว่านี้

“แสนหิวไหม เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน”

โครก! พอได้ยินคำถาม ท้องก็ร้องขึ้นพอดี

“นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับเนี่ย”ผมถามแก้เขิน เพราะเห็นพี่สรัญมองมาด้วยแววตาทั้งขำทั้งเอ็นดู

“แสนหลับไปเกือบทั้งวันเลย รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน อย่าหนีออกไปเลยมันอันตราย คนข้างนอกเป็นคนของแม่พี่ พี่คุมพวกเขาไม่ได้” พี่สรัญมองมาด้วยสายตาห่วงใยอย่างจริงจังทำให้ผมต้องรับปากว่าจะยังไม่หนี... ในตอนนี้

“ครับ” ถึงอยากหนีก็หนีไม่ได้หรอก เพราะยังไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกเลย พอผมรับคำพี่สรัญก็ยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

ผมถอนหายใจเฮือก รู้สึกโชคดีที่คนจับมามีพี่สรัญอยู่ด้วย ถ้าเป็นคนอื่นหรือถ้ามีแค่คนของแม่เขา สภาพผมคงแย่กว่านี้แน่ๆ

ผมคลำหาโทรศัพท์ตามตัวก็ไม่หาเจอ คิดอยู่แล้วว่าคงโดนเอาไปแล้วแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเอาไปตอนไหน ถ้าถูกเอาไปช้าหน่อยก็คงดี เผื่อจะมีคนตามสัญญาณ GPS จากโทรศัพท์ของผมได้

ป่านนี้ทุกคนน่าจะรู้แล้วว่าผมถูกจับมา

ตอนนี้ก็ทำให้แค่ภาวนา ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยเถอะ

***************************************************************************

ธงรบ

   “คุณทำแบบนี้ทำไม” ผมถามเอญ่าด้วยสีหน้าจริงจังทันทีที่เธอนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   หลังจากที่ผมสืบจนมั่นใจแล้วว่าเอญ่ามีส่วนกับการที่คล้าวหลบหน้าแสน ผมก็ตัดสินใจติดต่อเพื่อขอคุยกับเอญ่าตามลำพังก่อน เผื่อว่าจะเคลียร์กันได้โดยไม่ต้องให้แสนเข้ามาวุ่นวายไปด้วย ซึ่งพอผมติดต่อไป เอญ่าก็ตอบรับทันทีไม่มีอิดออดจนผมแปลกใจ

   ผมนัดเอญ่ามาคุยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในช่วงเวลาบ่ายๆ ที่บรรยากาศค่อนข้างเงียบ เมื่อเธอมาถึงผมก็เข้าเรื่องทันที

   “แหม ทำไมใจร้อนจังคะรบ จะไม่ให้เอญ่าได้พักให้หายเหนื่อยหน่อยเหรอคะ” เอญ่าพูดจบก็ยกน้ำส้มมาจิบด้วยท่าทางสบายๆ จนผมอยากจะถอนหายเฮือก เพราะดูก็รู้ว่าเธอตั้งใจจะกวนประสาทผม แต่ผมก็พยายามใจเย็นนั่งรอเงียบๆ และจ้องนิ่งๆ เพื่อกดดัน

   “หึ ไม่ว่ายังไงผู้ชายคนนั้นก็สำคัญสำหรับรบเสมอเลยนะคะ” เอญ่าพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันจนผมต้องถอนหายใจ

   “เรื่องของเรามันไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยนะเอญ่า”

   “ทำไมจะไม่เกี่ยวคะ ทั้งๆ ที่คบอยู่กับเอญ่าแท้ๆ แต่คุณก็เอาแต่ให้ความสำคัญกับคนอื่น คำก็แสน สองคำก็แสน มีอะไรก็รีบออกไปหาแล้วทิ้งเอญ่าไว้ตลอด”

   “ผมก็บอกแล้วไงว่าผมขอโทษ แต่ก่อนที่เราจะคบกัน ผมก็เคยบอกคุณไปแล้วว่าแสนเป็น ‘เพื่อน’ คนสำคัญของผม ผมจะดูแลแสนเหมือนเดิม คุณก็บอกว่าคุณเข้าใจและรับได้”

   “เอญ่าไม่คิดว่าคุณจะทำอย่างนั้นจริงๆ นี่คะ ไม่คิดว่าคุณจะให้ความสำคัญกับคนที่คุณบอกว่าเป็นเพื่อนมากกว่าแฟนอย่างเอญ่า”

   ฟังแล้วผมก็ได้แต่ถอนใจ พูดไปก็เหมือนพายเรือในอ่าง ไม่ไปไหนสักที

   “แล้วคุณต้องการอะไรเอญ่า ทำไมถึงดึงคล้าวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ให้เราจบกันด้วยดีไม่ได้เหรอ”

   “หึ ในเมื่อผู้ชายคนนั้นทำให้เอญ่าไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเลย”

   “เอญ่า!” ผมได้แต่เรียกเสียงหนักๆ ไม่คิดว่าเธอจะคิดอะไรแบบนี้ได้ ไร้เหตุผลที่สุด!

   “ผมเตือนด้วยความหวังดีในฐานะที่เราเคยคบกันนะเอญ่า ผมขอให้คุณเลิกทำเรื่องบ้าๆ นี่ซะ ก่อนที่เฮียแผนจะเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง คุณก็รู้ว่าเฮียแผนรักน้องชายมากแค่ไหน คุณคงไม่อยากมีปัญหากับเกียรติก้องวัฒนาจนต้องออกจากวงการก่อนเวลาอันควรใช่ไหม ต่อให้เป็นพ่อคุณก็ปกป้องคุณไม่ได้ด้วย ผมบอกไว้ก่อนว่าเฮียแผนไม่ได้ใจดีเหมือนผมหรอกนะ”

   ผมเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งเอญ่าก็คงเข้าใจ เพราะเมื่อเอ่ยถึงเฮียแผน แววตาของเธอก็วูบไหวขึ้นมาทันที พอเห็นเธอมีท่าทางเริ่มลังเล ผมก็พูดต่อ

   “ที่เฮียแผนยังไม่ลงมาจัดการเพราะผมขอมาจัดการเองก่อน ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็เลิกทำแบบนี้เถอะ อย่าไปยุ่งกับแสนกับคล้าวอีกเลย”

   เอญ่ามีสีหน้าทั้งครุ่นคิดและขัดใจ ก่อนจะหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าจำยอม

   “ก็ได้ค่ะ เอญ่าจะเลิกยุ่งก็ได้ พอใจรึยังคะ” ได้ฟังคำตอบแล้วผมก็ได้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

เห็นแสนมันหงอยแบบนั้นแล้วผมแทบจะทนไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟนเก่าและผมก็ผิดกับเธอจริงๆ แล้วละก็ คนที่จะจัดการให้เธอไม่มีที่ยืนในวงการก็คงจะเป็นผมนี่แหละ!

   “เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นผลดีกับคุณมากกว่า ว่าแต่... คุณทำอะไร คล้าวถึงได้หลบหน้าแสนแล้วมาอยู่กับคุณได้”ผมถามเพื่อจะได้แก้ไขให้ตรงจุด น้องมันจะได้เลิกหลบหน้าแสนซะที

   “เอญ่าก็แค่...”

   ยังไม่ทันที่เอญ่าจะพูดจบ ก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ผมซะก่อน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมาก็ขมวดคิ้วฉับ แล้วรีบกดรับเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ

   “ว่าไงจูดี้”

   “คุณรบคะ คุณแสนถูกจับไปค่ะ ฮืออออ”

“อะไรนะ!!!” ผมอุทานด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มจูดี้ก็ร่ายต่อมาเป็นชุด

“ฮึก จะทำยังไงดีคะ จูดี้ติดต่อคุณท่านทั้งสองไม่ได้ ติดต่อคุณแผนก็ไม่ได้ ดีที่ติดต่อคุณรบได้แล้ว เราจะทำยังไงกันดี คุณแสนจะปลอดภัยไหมคะ แล้ว...”

“จูดี้ใจเย็นๆ ก่อน หายใจเข้าลึกๆ”

“ฮึก” ผมได้ยินเสียงสะอื้น ก่อนที่จูดี้จะพยายามหายเข้าลึกๆ ตามที่ผมบอก

“ใจเย็นขึ้นหรือยัง ทีนี้ก็ค่อยๆ เล่าให้ผมฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมฟังจูดี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้งๆ ที่ภายในใจจะร้อนรนจนแทบบ้า แต่ก็ต้องพยายามตั้งสติให้มากที่สุด เพราะตอนนี้มีแค่ผมที่พอจะเป็นที่พึ่งแสนได้ เนื่องจากป๊ากับแม่พากันขึ้นเครื่องหนีไปเที่ยวต่างประเทศกับแก็งค์เพื่อนๆ แล้ว ส่วนเฮียแผนก็ยังกลับมาไม่ถึง ตอนนี้คงน่าจะอยู่บนเครื่อง จูดี้ถึงติดต่อไม่ได้

หลังจากฟังจบผมก็บอกให้จูดี้ใจเย็นๆ ยังไม่ต้องไปแจ้งความ เดี๋ยวผมจะจัดการต่อเอง อีกอย่างผมจะรอปรึกษาเฮียแผนก่อน ผมมั่นใจว่าตอนนี้แสนน่าจะยังปลอดภัย เพราะถ้ามันจะฆ่ามันก็คงจะฆ่าไปตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่จับตัวไปแบบนี้หรอก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนร้ายคืออะไร แต่คิดว่าอีกไม่นานมันคงจะพยายามติดต่อเฮียแผนหรือป๊าแน่ๆ

ผมปลอบจูดี้ให้สบายใจว่าไม่ต้องเป็นห่วงแสน เดี๋ยวผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง แต่จูดี้ก็ยังถามย้ำๆ ว่าแสนจะปลอดภัยไหม ซึ่งผมก็ได้แต่ย้ำอย่างหนักแน่นว่าแสนจะปลอดภัยอย่างแน่นอน จูดี้จึงยอมวางสายไป

หลังจากวางสายจากจูดี้แล้ว ผมก็หันมามองหน้าเอญ่าแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างพยายามข่มอารมณ์

“คุณเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า”

“เรื่องอะไรคะ” เอญ่าถามด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ จึงถามต่อ

“สรัญจับตัวแสนไป คุณมีส่วนกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่าเอญ่า”

“อะไรนะคะ!” เอญ่ามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด จากที่ผมสังเกตเหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะรู้เรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง ผมจึงย้ำต่อเพื่อความแน่ใจ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะเอญ่า ถ้าคุณรู้และไม่อยากเดือดร้อน คุณต้องบอกผมว่าจับแสนไปทำไม ถ้าคุณให้ความร่วมมือ ผมจะช่วยกันให้คุณเป็นพยาน”

“เอญ่าไม่รู้เรื่องนะคะ เอญ่าแค่แยกคล้าวออกมาจากเพื่อนคุณเท่านั้นเอง แต่เรื่องจับตัวเขาไปนี่เอญ่าไม่รู้เรื่องเลยนะคะรบ” เอญ่าอธิบายด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“แล้วคุณรู้จักสรัญได้ยังไง”

“เอญ่ารู้จักสรัญจากงานเดินแบบที่เพื่อนคุณจัดนั่นแหละค่ะ ตอนนั้นสรัญก็เข้ามาตีสนิทแล้วก็บอกจะช่วยเอญ่าเอาคืนคุณ เขาเสนอตัวเข้ามาช่วยวางแผน ให้เอญ่าแย่งคล้าวมา เอญ่าแค่อยากให้เพื่อนคุณถูกแย่งของรักบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะจับตัวเขาไปหรือคิดจะทำร้ายเขาเลยนะคะ”

ฟังแล้วก็ได้แต่งงและมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้ว่าสรัญต้องการอะไร แล้วจะไปตามหาแสนได้ที่ไหน ในเมื่อคนที่น่าจะรู้เรื่องอย่างเอญ่าก็ไม่รู้เรื่องสักนิด เหมือนเธอก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของสรัญเหมือนกัน

“เอาเถอะ ถ้าคุณบอกว่าไม่รู้เรื่องผมก็จะเชื่อ แต่ถ้านึกอะไรออกคุณต้องบอกผมนะ เพราะถ้าสรัญบอกว่าคุณเกี่ยวข้องด้วยละก็ คุณเดือดร้อนแน่” ผมขู่เอญ่าไว้ ก่อนจะรีบขับรถกลับบ้าน

ผมพยายามโทรเข้าเครื่องแสน แต่ก็ติดต่อไม่ได้ คาดว่าคนร้ายน่าจะปิดเครื่องไปแล้ว พอโทรหาเฮียแผนก็ยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม จึงได้ส่งข้อความทิ้งไว้ให้เฮียโทรกลับมาหาด่วน ก่อนที่จะกลับไปรอที่บ้านแสนอย่างกระวนกระวาย

***************************************************************************

สวัสดีปี 2562 ค่า

แว้บมาหย่อนทิ้งไว้แล้วรีบวิ่งหนี แฮ่!
หายไปนานเลย เพราะก่อนหน้านี้มันเขียนไม่ออกค่ะ ถถถ เขียนแก้ๆ อยู่นั่นแหละ พอลองอ่านทวนแล้วมันไม่โอเค
เลยต้องรื้อใหม่หมด ต่อไปจะพยายามมาให้สม่ำเสมอกว่าเดิมค่ะ เพราะใกล้จะจบแล้ว เย้!

อย่าเพิ่งโกรธน้องคล้าวกันเลยนะคะ ที่น้องต้องทำแบบนี้เพราะน้องมีเหตุผล
ส่วนนายเอกของเรานี่ไม่มีใครสบายสักคน
ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนให้จีบกันมุ้งมิ้งก็พอ แต่ไหงพี่แสนต้องลำบากลำบนขนาดนี้ไปได้ก็ไม่รู้ แหะๆ

ขอบคุณทุกๆ คนที่มาเป็นกำลังใจให้และยังไม่ลืมกันนะคะ

อยากจะกราบแนบอกงามๆ ทุกคน
 :L1: :pig4: :L1:
และกอดแน่นๆ อีกที
 :กอด1:
หนีไปปั่นงานต่อก่อนนะคะ
 :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2019 13:03:12 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
มาทีนี่แสนลำบากอีกละ รอคล้าวมาแก้ตัวไปช่วยแสนให้ไว้เลย

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
สงสารแสนนะ ขอให้คนไปช่วยเร็วๆ น้าาา

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ขอให้ปลอดภัยนะแสน

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ทำไมแสนเจอแจ็คพอตอยู่คนเดียวตลอดเลย

รอดูเฮียแผนออกศึกล่ะค่า  :katai2-1:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
หายไปนานเลยน้า 1 เดือนพอดี 555555
นึกว่าจิกลับมาพร้อมก้อนหินภาค 2

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 19


คล้าว
   
   ผมมองรูปคู่ของผมกับพี่แสนที่อยู่ในกระเป๋าเงินแล้วได้แต่ถอนหายใจ หลายวันแล้วที่ไม่ได้เจอพี่แสน ตั้งแต่ที่ได้เจอในงานเลี้ยงวันนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลย

   เฮ้อ!

   “พี่จะถอนหายใจให้หมดลมเลยรึไงพี่คล้าว”

   ผมหันไปมองไอ้ไม้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ก่อนจะหันกลับมามองรูปแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก

   “ถ้าคิดถึงก็ไปหาสิพี่”

   “แล้วก็ถูกจับกลับมาอีกน่ะเหรอ” คราวก่อนที่ได้โอกาสหนีไปหาพี่แสนหลังจบงานเดินแบบ ผู้หญิงคนนั้นยังรู้เลย เพราะเธอส่งคนคอยตามพวกผมอยู่ ยังไม่ทันได้เจอพี่แสนก็จับตัวกลับมาแล้ว

“วู้ เราก็แอบๆ ไปสิพี่ คราวก่อนพลาดไปหน่อย คราวนี้เราก็ปลอมตัวไป ถ้าปลอมตัวดีๆ คุณเอญ่าไม่รู้หรอก ผมแอบไปเรียนแต่งหน้ากับช่างแต่งหน้าตอนที่พี่ไปเดินแบบด้วย ลองกันไหมพี่” ไม้มันทำเสียงตื่นเต้นเหมือนอยากลองของเต็มที่จนผมต้องหันไปมอง

หลังๆ มานี่เวลาผมไปเดินแบบไอ้ไม้มันก็ตามไปด้วย แล้วก็เห็นว่ามันชอบไปคุยกับพวกช่างแต่งหน้าตลอด เพิ่งจะรู้นี่แหละว่ามันไปคุยเรื่องนี้มา

   “มึงมีอุปกรณ์?”

   “มีสิพี่”

   “มึงไปเอามาจากไหน” ผมถามมันดุๆ ไม่ได้คิดว่ามันจะไปขโมยมาหรอก เพราะรู้นิสัยกันดี แค่กลัวว่ามันจะไปรบกวนขอเขามามากกว่า

   “พี่ๆ เค้าให้มาเล่น เพราะมันใกล้จะหมดอายุอะพี่ ของบางอย่างพี่เขาก็โละทิ้ง เพราะจะซื้อของใหม่ ผมไม่ได้ขโมยมานะ” ไอ้ไม้มันรีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าดุๆ ของผม แต่พอได้ฟังคำตอบของมันแล้วสีหน้าผมก็คลายลง

   “งั้นลองดูก็ได้” ถ้ามันจะทำให้มีโอกาสได้เจอกับพี่แสน ผมก็อยากจะลองเสี่ยงดู

   พอได้ยินผมบอกอย่างนั้น ไม้มันก็รีบไปรื้ออุปกรณ์ในกระเป๋าออกมาอย่างกระตือรือร้น ระหว่างที่ไอ้ไม้มันวุ่นวายอยู่กับการเตรียมของ ผมก็มานั่งมองรูปพี่แสนให้คลายคิดถึงต่อ พอนึกไปถึงสาเหตุให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ในตอนนี้ก็ได้แต่ถอนใจ

   หลังจากที่ผมไปเดินแบบให้พี่แสน ก็มีคนติดต่อมาให้ไปเดินแบบให้มากขึ้น ซึ่งพี่แสนก็คอยสนับสนุนและช่วยสกรีนงานให้ ช่วยให้คำปรึกษาและดูแลผมเป็นอย่างดี

   มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก เพราะผมได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่แสน ได้ทำอะไรร่วมกัน ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งมันทำให้ความรู้สึกที่มีพี่แสนลึกซึ้งมากขึ้นไปด้วย

   แต่แล้ววันหนึ่ง ผมกับไม้ต้องไปงานเดินแบบกันสองคน เพราะพี่แสนไม่ว่าง เลยไม่ได้ไปเป็นเพื่อนผมเหมือนทุกครั้ง

หลังจากงานจบลง ระหว่างที่เรากำลังจะกลับบ้าน ผู้หญิงที่ชื่อเอญ่าก็เข้ามาหาผม แล้วเอารูปของผมกับพี่แสนที่อยู่ใกล้ชิดกันในมุมที่ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนหรือพี่น้องกัน มาขู่ให้ผมตีตัวออกห่างจากพี่แสน ไม่อย่างนั้นเธอจะเอารูปพวกนั้นไปให้นักข่าว เพื่อให้พี่แสนเสียชื่อเสียง และจะเอารูปพวกนี้ไปให้ครอบครัวพี่แสน แล้วบอกว่าพี่แสนชอบผู้ชาย เธอบอกว่าครอบครัวพี่แสนเป็นครอบครัวคนจีน พ่อกับแม่พี่แสนไม่มีทางยอมรับได้แน่

   ตอนนั้นผมแค่ฟังเธอเงียบๆ ตั้งใจว่าจะกลับไปถามพี่แสนให้แน่ใจก่อน เพราะพี่แสนเคยเล่าให้ฟังว่าทุกคนในครอบครัวรักและให้อิสระกับพี่แสนในทุกๆ เรื่อง แต่ผมไม่มั่นใจว่ามันรวมถึงเรื่องที่พี่แสนชอบผู้ชายด้วยรึเปล่า

พอเห็นผมยังเฉย ผู้หญิงคนนั้นก็เอานักข่าวคนหนึ่งที่อยู่ในงานมาขู่ด้วย บอกว่าถ้าผมไม่ทำตามตั้งแต่ตอนนั้นจะเอารูปไปลงข่าวทันที และห้ามไม่ให้ผมติดต่อพี่แสนเด็ดขาด เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังยึดโทรศัพท์เราสองคนไว้แล้วให้คนคุมเราสองคนกลับไปที่ห้องพัก ให้เก็บข้าวของแล้วพามาที่ห้องพักที่อยู่ตอนนี้ทันที

ผมได้แต่ยอมทำตามคำสั่งเธอ เพราะก่อนจะโดนต้อนขึ้นรถ ผมกับไม้ตั้งใจจะหนีแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะคนที่คุมเราไว้มีมากกว่าและฝีมือดีกว่าเราสองคนมาก

   ผมกับไม้ถูกคุมจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ โทรศัพท์ที่ถูกยึดไว้ก็ยังไม่ได้คืน ยังดีที่เธอยอมให้ผมออกมาทำงานที่รับไว้เหมือนเดิม แต่ก็ส่งคนไปรับไปส่งไปคุมตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เราติดต่อกับพี่แสนได้ ผมกับไม้พยายามหนีตลอด แต่หนีไปกี่ครั้งก็โดนจับลากกลับมาที่นี่ทุกครั้ง

   ผมถามว่าเธอต้องการอะไรและทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เธอก็บอกว่าเธอต้องการจะเอาคืนพี่แสนเพราะพี่แสนทำให้เธอต้องเสียใจ

   พอผมขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ เธอก็บอกว่าเธอไม่กลัว เพราะพ่อของเธอเป็นนักการเมืองที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจและรู้จักกับตำรวจยศใหญ่ๆ หลายนาย แถมยังขู่กลับว่าคนอย่างผมไม่มีปัญญาทำอะไรเธอได้หรอก ถึงจะเจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนธรรมดาอย่างผมคงทำอะไรเธอไม่ได้จริงๆ

   ผมจึงถามไปว่าเมื่อไหร่จะหยุดแล้วปล่อยเราสองคนไปสักที เธอก็บอกแค่ว่าจนกว่าเธอจะพอใจ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอถึงจะพอใจซะที ผู้หญิงนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากจริงๆ

   แต่ผมไม่คิดจะยอมทำตามคำสั่งเธอตลอดไปหรอก ผมกำลังหาโอกาสขโมยโทรศัพท์ของเธอเพื่อทำลายรูปทิ้งและหาโอกาสติดต่อกับพี่แสนให้ได้ ผมอยากจะเป็นอิสระสักที เพราะแค่นี้ผมก็คิดถึงพี่แสนและเป็นห่วงความรู้สึกของพี่แสนจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว

   วันที่บังเอิญได้เจอกันในงานเลี้ยง ผมอยากจะเดินไปหาพี่แสนมาก อยากบอกว่าคิดถึง และอยากขอโทษที่มีส่วนให้คนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายพี่แสนแบบนี้

   แต่ทำได้แค่เดินตามแรงลากของผู้หญิงคนนั้น แล้วมองตามพี่แสนจนลับตา เพราะเธอขู่ว่าถ้าผมตุกติกเมื่อไหร่ เธอจะให้คนทำร้ายพี่แสนทันที

   จะโกรธก็ได้ แต่อย่าเพิ่งเกลียดกันเลยนะครับพี่แสน ถ้าเป็นอิสระเมื่อไหร่ ผมจะชดใช้ให้พี่ทุกอย่าง

ผมสัญญา


   
   หลังจากที่ไม้มันจัดการแต่งหน้าแต่งตัวเราสองคนจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ผมกับไม้ก็เดินออกไปจากห้องเช่า ตอนที่เห็นคนของผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ร้านค้าหน้าห้องเช่าหัวใจก็เต้นรัวเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ แต่ผมก็พยายามนิ่งไว้เพราะมั่นใจว่าพวกมันจำเราไม่ได้แน่นอน

   ไอ้ไม้มันจับผมแปลงโฉมโดยใส่วิกผมหยิกฟูไปทั้งหัว เอาครีมทาผิวให้คล้ำมากกว่าเดิม บนใบหน้าก็ติดไฝเล็กๆ เหนือริมฝีปากและแต้มกระจนเต็มหน้า ส่วนตัวมันเองก็ใส่วิกผมยาวแล้วแต่งเป็นผู้หญิง แต่เป็นผู้หญิงตัวควายๆ ที่มีจริตจก้านน่าถีบเป็นอย่างมาก

ขนาดผมเองตอนแต่งเสร็จแล้วยังแทบจะจำตัวเองไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับคนอื่น ไม่คิดว่าไม้มันจะทำได้ดีขนาดนี้ พอผมชมหน่อยก็หน้าบานเป็นกระด้งจนอดจะผลักหัวด้วยความเอ็นดูไม่ได้

ไม้มันบอกว่าช่วงที่ไปรอผมทำงาน มันก็ชอบไปนั่งดูช่างแต่งหน้าทำงาน พอพวกเขาว่างก็ไปชวนคุย ที่มันสนใจก็เพราะมันอยากไปทำงานในกองถ่าย มันอยากเรียนรู้ไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์ในอนาคต

ช่วงที่ว่างๆ พวกช่างแต่งหน้าเลยช่วยสอนวิธีและเคล็ดลับการแต่งหน้าแต่งตัวให้มันอย่างไม่หวงความรู้ และให้เครื่องสำอางที่ใกล้หมดอายุรวมทั้งของที่ไม่เอาแล้วอย่างวิกผมให้มันมาลองแต่งเองดู

หลังจากพ้นจากห้องเช่ามาได้ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พอเห็นแท็กซี่ผ่านมาผมก็ตัดสินใจพาไม้ขึ้นแท็กซี่ทันที

ผมบอกให้แท็กซี่ไปส่งที่ร้านของพี่แสนก่อนเผื่อว่าพี่แสนจะยังไม่กลับบ้าน แต่เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าร้านปิดไปแล้ว ผมมองประตูร้านด้วยความแปลกใจเพราะปกติพี่แสนไม่เคยปิดร้านเร็วแบบนี้ เลยตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปที่บ้านพี่แสนต่อ

ผมจำที่อยู่พี่แสนได้เพราะเคยเห็นในบัตรประชาชนของพี่แสนและพี่แสนก็เคยพาแวะไปเอาของที่บ้านหลายครั้ง แต่ตอนที่ไปก็ไม่เคยได้เจอพ่อ แม่ และพี่ชายพี่แสนเลย

เมื่อไปถึงบ้านพี่แสน ผมก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้วกวาดสายตามองเข้าไปด้านในก็ไม่เห็นใครสักคน ผมเลยมองหากริ่ง ในระหว่างที่กำลังจะเดินไปกดกริ่งก็มีคนทักขึ้นมาซะก่อน

“มาด้อมๆ มองๆ อะไรแถวนี้” ผมมัวแต่ใจจดใจจ่อกับคนข้างใน จนไม่ทันสังเกตว่ามีผู้ชายสองคนมายืนอยู่ใกล้ๆ เราตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอหันไปมองไอ้ไม้ก็เห็นมันกะพริบตาปริบๆ กลับมา ดูท่าแล้วมันก็คงไม่ทันสังเกตเหมือนกัน

ผมหันกลับมามองผู้ชายสองคนตรงหน้าแล้วรู้สึกไม่ไว้ใจ เพราะกลัวว่าจะเป็นคนของผู้หญิงคนนั้น  ต่อให้มั่นใจว่าไม่เคยเห็นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นมาก่อนก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี

“พวกเราแค่เดินผ่านมาครับ พอเห็นบ้านสวยๆ ก็เลยอดจะมองไม่ได้” ผมบอกกับคนที่ยังคงจ้องมาที่เราสองคนเขม็ง

“นั่นสิคะคุณพี่ขา เราสองคนผัวเมียกำลังจะสร้างบ้านก็เลยดูๆ แบบเอาไว้อะค่ะ” พอเห็นผมส่งสายตาไปให้ ไอ้ไม้มันก็เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อ มันเลยจีบปากจีบคอพูดเสริม แต่ผมแทบจะกุมขมับเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผัวเมีย’ จากปากมัน ได้แต่ข่มใจไม่ให้ยกเท้าขึ้นถีบ ‘เมีย’ ที่ยืนยิ้มหวานจนน่าขนลุกให้คนแปลกหน้าอยู่

“แค่ผ่านมา ทำไมต้องยืนมองนานขนาดนั้น มีพิรุธขนาดนี้ไปคุยกับตำรวจหน่อยดีไหม”

“แล้วพวกคุณเป็นใครล่ะครับ อยู่ๆ ก็เข้ามาใส่ความเราแบบนี้”

“เราสองเป็น รปภ. ของที่นี่” บอกว่าเป็น รปภ. แต่ใส่ชุดธรรมดา ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณจะเป็น รปภ. หรือต่อให้เป็นคุณก็ไม่มีสิทธิ์จับเราด้วย” พูดจบก็ไม่รอให้ไม่รอคำตอบ ผมก็พยักหน้าให้ไม้ แล้วเดินนำออกมา แต่สองคนนั้นกลับมายืนขวางทางเราสองคนเอาไว้

ผมสบตากับไม้ ก่อนที่จะหันหลังวิ่งไปอีกทางอย่างรวดเร็ว แต่วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ดันมีคนโผล่ออกมาจากมุมกำแพงอีกสามคนมาช่วยกันจับเราสองคนเอาไว้

ผมกับไม้ถูกจับมือไพล่หลังแล้วถูกลากกลับไปที่บ้านพี่แสน ที่ยอมให้จับง่ายๆ ก็เพราะเห็นว่าสามคนหลังที่มาใส่ชุด รปภ. เหมือนที่เห็นตรงทางเข้า เลยบอกไม้ไม่ให้ขัดขืน

“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู

พี่รบ!

เมื่อเห็นพี่รบเดินออกมาดู คนทั้งห้าก็ลากเราสองคนไปยืนหน้าประตูต่อหน้าพี่รบแล้วรายงาน

“ผมเห็นในกล้องวงจรปิดว่าสองคนนี้มายืนด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านเจ้าสัวสุธนครับคุณธงรบ กลัวว่าจะเป็นคนร้าย เลยวอให้ รปภ. ที่อยู่ใกล้ๆ มาดักไว้ก่อน แล้วตามมาช่วยกันจับเอาไว้ จะให้จัดการยังไงต่อดีครับ”

พี่รบมองหน้าเราสองคนนิ่งๆ ก่อนจะกวาดสายตามองเราสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่แววตาคมๆ คู่นั้นจะเปล่งประกายวาบเหมือนนึกอะไรออก

พี่รบเปิดประตูแล้วเดินมาใกล้ๆ แล้วกวาดสายตามองเราสองคนอีกรอบโดยเฉพาะมองไอ้ไม้นานเป็นพิเศษ พอมองจนพอใจแล้วพี่รบหันมาสบตากับผมด้วยรอยยิ้มขำๆ

“พี่...”

“อะแฮ่ม!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พี่รบก็กระแอมขึ้นมาก่อน แล้วพี่รบก็หันไปพูดกับรปภ.ทั้งห้าต่อ

“ผมรู้จักสองคนนี้ ปล่อยพวกเขาเถอะครับ” พอพี่รบบอกไปอย่างนั้น พวกเขาก็ปล่อยมือจากพวกผมด้วยสีหน้างงๆ ทั้งห้ากวาดตามองสภาพเราสองคนด้วยสีหน้าสงสัยว่าพี่รบรู้จักคนอย่างพวกเราได้ยังไง

“แน่ใจเหรอครับคุณรบ” รปภ.คนหนึ่งถามย้ำด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

“แน่ใจครับ ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้นะครับ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง” พี่รบขอบคุณพวกเขาด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบเงินในกระเป๋าออกมาส่งให้ พอทุกคนปฏิเสธก็เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับจนได้ หลังจากที่คนทั้งห้าออกไปแล้วพี่รบก็หันมามองเราสองคนแล้วก็หลุดหัวเราะ!

“อุบฮ่าๆๆๆๆ”

ผมกับไม้ได้แต่มองหน้ากันด้วยความงงเมื่ออยู่ๆ พี่รบก็หัวเราะขึ้นมา

“นึกยังไงถึงได้แต่งตัวกันแบบนี้ฮึคล้าว ไม้”

“พี่รบดูออกด้วยเหรอครับ” ผมขมวดคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

“อืม เอาจริงๆ ถ้ามองเผินๆ ก็ดูไม่ออกหรอก ต้องสังเกตดีๆ ถึงจะรู้” พี่รบบอกยิ้มๆ

“ว่าไง ทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนี้กัน” พี่รบถามย้ำเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ

“หนีเอญ่ามาใช่ไหม” ยังไม่ทันได้ตอบพี่รบก็ถามต่อทันที

“พี่รบทราบเหรอครับ” พี่รบพยักหน้า ก่อนจะเดินนำเข้าไป หลังจากปิดประตูบ้านแล้ว พี่รบก็เดินนำไปต่อพร้อมกับอธิบายต่อไปด้วย

“อืม พี่เพิ่งจะแน่ใจวันนี้แหละว่าที่คล้าวกับไม้หายหน้าไปก็เพราะเอญ่า ตอนแรกแสนกับพี่ก็แค่สงสัยว่าเอญ่าน่าจะเป็นต้นเหตุในเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ พี่ก็เลยตามสืบให้ เพราะช่วงนี้แสนมันยุ่ง

พี่เพิ่งกลับจากไปคุยกับเอญ่ามา เอญ่ายอมรับกับพี่แล้วว่าเธอเป็นคนกันคล้าวออกจากแสนเอง ตอนแรกพี่ตั้งใจว่าหลังจากคุยกับเอญ่าเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปหาเราทั้งคู่ต่อ แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน ที่เหลือพี่ว่าเราเข้าไปคุยในบ้านกันดีกว่า” พี่รบหันมาบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป

เราสองคนเดินตามพี่รบไปเงียบๆ สายตาผมสอดส่ายหาคนที่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่แสน
พี่รบพาเราสองคนเข้าไปที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าพี่แสนคงจะรออยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่เห็นเหมือนเดิม ผมได้แต่ลอบถอนใจด้วยความผิดหวัง

เมื่อคนในบ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้วพี่รบก็บอก

“ห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวนนะนิด ยกเว้นถ้าเฮียแผนกลับมาถึงเมื่อไหร่ก็ให้เฮียรีบมาที่ห้องนี้ทันทีเลย”

“ได้ค่ะคุณรบ”

“พี่แสนล่ะครับพี่รบ” หลังจากประตูห้องปิดลง ผมก็ถามหาคนที่กำลังคิดถึงอยู่ทันที

“แสนถูกจับตัวไป”

“อะไรนะครับ!!!” ผมอุทานด้วยความตกใจ

“แค่กๆๆๆ” ส่วนไม้ก็สำลักน้ำที่กำลังดื่มทันที

“ใครจับพี่แสนไปครับจับไปเมื่อไหร่ จับไปทำไม แล้วตอนนี้พี่แสนอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้างครับ แล้ว...”ผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ใจเย็นๆ ก่อนคล้าว” พี่รบเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมเหมือนจะสติแตกไปแล้ว

ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง เมื่อเห็นว่าผมใจเย็นขึ้นแล้วพี่รบก็เล่าต่อ

“แสนมันถูกสรัญจับตัวไป แต่พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจับไปทำไม ตอนนี้พี่รอการติดต่อกลับจากทางนั้นอยู่ คิดว่าไม่นานก็คงติดต่อมาแน่”

“ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างไหมครับ” พี่รบส่ายหน้าด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มก่อนจะพูดต่อ

“พี่เช็คสัญญาณ GPS จากโทรศัพท์แสนแล้ว แต่มันน่าจะถูกทำลายไปแล้ว เลยตรวจสอบไม่ได้ ตอนนี้พี่ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้ต้องทำยังไงเหมือนกัน ได้แค่บอกให้คนไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับสรัญมา เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง แต่ยังไม่กล้าแจ้งตำรวจเพราะกลัวแสนจะเป็นอันตราย นี่พี่ก็รอให้เฮียแผนกลับมาแล้วปรึกษากันก่อน เฮียน่าจะทำอะไรได้มากกว่าพี่ อีกไม่นานเฮียก็คงจะมาถึงแล้วละ”

ฟังแล้วรู้สึกเป็นห่วงพี่แสนใจจะขาด

“ว่าแต่ พี่สงสัยว่าเอญ่าขู่อะไรคล้าว คล้าวถึงได้ตีตัวออกห่างจากแสนแบบนี้ ตอนที่คุยกับเอญ่า ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ก็มีคนโทรมาบอกว่าแสนถูกจับไปซะก่อน” พี่รบถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

“คุณเอญ่าเอารูปที่ผมกับพี่แสนอยู่ใกล้ชิดกันมาขู่ครับ บอกว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งของเธอ เธอจะส่งรูปพวกนั้นให้ครอบครัวพี่แสนและส่งให้นักข่าว เธอบอกว่ามันจะทำให้พี่แสนเสียชื่อเสียง จะทำให้เกียรติก้องวัฒนาเสียชื่อเสียงที่มีลูกชาย เอ่อ ชอบผู้ชายด้วยกันครับ”

“นั่นสิพี่ ขู่เอาๆ ขู่เก่งยิ่งกว่าหมาหน้าปากซอยอีกพี่” ไอ้ไม้ที่นั่งเงียบๆ อยู่เสริมขึ้นเหมือนเหลืออดเต็มที พี่รบฟังแล้วก็ยิ้มขำและมองมันด้วยแววตาเอ็นดู ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ทีหลังไม่ต้องไปสนใจนะคล้าว เอญ่าจะขู่อะไรก็ให้ขู่ไป แสนมันสนใจที่ไหนล่ะ ไม่ต้องไปกลัวหรอก แสนมันจัดการได้อยู่แล้ว”

“เธอยังขู่ด้วยว่าถ้าผมไม่ทำตาม เธอจะทำร้ายพี่แสนด้วยครับ”

“อะไรนะ! นี่กล้าขู่ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“ครับ นอกจากขู่แล้วเธอก็ยังให้คนมาจับเราสองคนไปขังไว้ที่บ้านเช่าที่xxxด้วย โทรศัพท์ของเราสองคนก็ถูกเธอยึดไว้ แล้วเธอก็ยังให้คนมาเฝ้าเราไว้ตลอดเวลา ผมเลยติดต่อพี่แสนไม่ได้ พวกเราพยายามหนีตั้งหลายรอบ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จแล้วก็ถูกจับไปทุกครั้งเลยครับ”

“นี่เอญ่ากล้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันถึงขั้นกักขังหน่วงเหนี่ยวเลยนะ” พี่รบพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะถอนหายใจแล้วสบตาเราสองคนด้วยแววตารู้สึกผิด

“พี่ต้องขอโทษด้วยนะ เพราะเอญ่าโกรธที่ต้องเลิกกับพี่ ก็เลยพาลไปโทษว่าเป็นเพราะแสน ทำให้คล้าวกับไม้ต้องมาโดนหางเลขไปด้วย”

“มันไม่ใช่ความผิดของพี่รบนี่ครับ ถ้าจะผิดก็ผิดที่ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ต่อให้เสียใจยังไง เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายคนอื่นนี่ครับ”

“อืม มันก็จริง คล้าวกับไม้จะแจ้งตำรวจไหม เดี๋ยวพี่จะเป็นพยานให้เอง”

“เรื่องนี้พักไว้ก่อนก็ได้ครับ ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ผมเป็นห่วงพี่แสนมากกว่าครับ”

“นั่นสิ ไม่รู้ตอนนี้แสนเป็นยังไงบ้าง” พี่รบถอนหายใจ

“ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย ขนาดแค่จะปกป้องพี่แสนก็ยังทำไม่ได้เลย” ผมมองสายสิญจน์บนข้อมือที่พี่แสนผูกให้แล้วได้แต่ภาวนาให้พี่แสนปลอดภัย จะให้แลกกับอะไรก็ยอม ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตผม... ผมก็ยอม

“ขนาดพี่อยู่ใกล้กับมันมากกว่าคล้าว พี่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย เราไม่รู้ล่วงหน้านี่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็พยายามหาทางช่วยแสนให้เต็มที่ แสนจะต้องปลอดภัย เชื่อพี่สิ” พี่รบบอกเหมือนจะปลอบใจผมรวมทั้งปลอบใจตัวเองไปด้วย

“นั่นสิพี่ พี่แสนเป็นคนดี พี่แสนจะต้องปลอดภัยแน่ๆ พี่” ไอ้ไม้มันเสริมขึ้นหลังจากที่นั่งฟังหงอยๆ มานาน ไม้มันคงห่วงพี่แสนไม่ต่างกัน มันเคยพูดให้ผมฟังประจำว่ามันชอบพี่แสนและปลื้มพี่แสนมาก เพราะพี่แสนดีกับมันและดูแลมันอย่างดีมาโดยตลอด

ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์ของพี่รบก็ดังขึ้น พี่รบหยิบมาดูแล้วก็รีบกดรับทันที

“ครับเฮีย ใช่ครับ ตามที่ผมฝากข้อความเสียงไว้เลยครับ ตอนนี้ที่ผมทำไปแล้วคือให้คนไปสืบเรื่องสรัญอยู่ครับ เรื่องอื่นผมยังไม่กล้าตัดสินใจ เลยรอเฮียกลับมาก่อนครับ ครับ สรัญยังไม่ติดต่อมาเลยครับ ใกล้จะถึงแล้วใช่ไหมครับ ให้โทรหาพี่วินเหรอครับ เล่าได้เลยใช่ไหมครับ โอเคได้ครับ” หลังจากวางสายแล้วพี่รบก็กดโทรออกหาคนที่ชื่อวินเพื่อให้ช่วยตามหาเบาะแสอีกแรง ถ้าผมจำไม่ผิดคุณวินเป็นหนึ่งในคนที่ไปสัมภาษณ์ทุนพวกผมด้วย

หลังจากคุยกับคุณวินจบพี่รบก็วางสาย พร้อมกับที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกพอดี แล้วผู้ชายที่ผมเคยเห็นแค่ในรูปและจากข่าวในทีวี ก็ก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อประตูห้องปิดลง เขาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“พวกมันติดต่อมารึยังรบ!”

‘คุณขุนแผน’


(มีต่อค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
ขุนแผน
   
   ผมนั่งมองวิวด้านล่างและมองเมฆที่ลอยผ่านสายตาไปเรื่อยๆ ตามปกติถ้าอยู่บนเครื่องแบบนี้ผมจะต้องทำงานฆ่าเวลาไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

   แต่แปลกที่ครั้งนี้ผมกลับไม่มีสมาธิจะทำงานเลยสักนิด มันรู้สึกว่าในใจร้อนรนกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก จนต้องวางงานแล้วหันไปมองวิวเรื่อยๆ แทนแบบนี้

   ผมละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างเมื่อแอร์โฮสเตสมาเสิร์ฟอาหาร พอเห็นอาหารตรงหน้าแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองหิวมากกว่าที่คิดเพราะท้องร้องประท้วงขึ้นมาทันที

   ตอนที่ทำงานอยู่ผมก็แทบจะไม่ได้กินอะไรเลย เนื่องจากรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อยเพื่อจะได้กลับบ้านให้เร็วที่สุด ช่วงนี้ผมไม่อยากอยู่ห่างจากแสนสักเท่าไหร่ เพราะน้องดูเครียดๆ และดูไม่มีความสุขเท่าไรนัก สาเหตุก็มาจากเรื่องของไอ้เด็กคล้าวที่แสนกำลังตามจีบอยู่นั่นแหละ

   อันที่จริงผมจะเข้าไปจัดการให้เด็ดขาดไปเลยก็ได้ แต่ธงรบขอไว้ว่าอยากจะจัดการเองก่อน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าธงรบอยากให้โอกาสผู้หญิงคนนั้นในฐานะที่เคยคบกันมาก่อน

เพราะถ้าปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการเองล่ะก็ ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด เอาให้หมดหนทางในวงการบันเทิงไปเลย เพราะผมไม่ใจดีกับคนที่ทำร้ายน้องของผมหรอกนะ

ใครกล้าทำให้แสนเสียใจ ก็อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างมีความสุขเลย!

   ผมคิดด้วยความโมโหจนลืมตัวสับเนื้อปลาจนเละ พอเห็นสภาพอาหารในจานก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที จึงวางช้อนแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นท่อนอะไรดำๆ ตรงทางเดินข้างที่นั่ง เมื่อไล่สายตาขึ้นมาเรื่อยๆ จนเห็นตัวและส่วนหัวเจ้าของท่อนดำๆ นั่นชัดๆ ก็ต้องพ่นน้ำที่ดื่มออกมาทันที

   พรวด!

   “แค่กๆๆๆ”

   ควาย!!!

   แฮ่ม! ผมไม่ได้ด่าใครนะครับ แต่ที่ยืนอยู่ข้างผมในตอนนี้คือควายจริงๆ ควายสีดำตัวใหญ่มายืนมองหน้าด้วยท่าทางกระวนกระวายอยู่ข้างๆ ที่นั่งของผม

   มออออ

   แถมยังได้ยินเสียงร้องมันอีกด้วย!

   ผมกุมขมับแล้วหลับตาลง สงสัยจะเหนื่อยกับงานเกินไปจนทำให้เห็นภาพหลอน แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ยังเห็นควายตัวนั้นยืนอยู่ที่เดิม

   เอาละ! ผมไม่ได้ตาฝาด ผมกวาดตามองควายที่อยู่ตรงหน้าชัดๆ พอชะโงกหน้าไปมองดีๆ ถึงได้เห็นว่าตัวของมันโปร่งแสงเหมือนเป็นแค่เงาลางๆ ทะลุผ่านสิ่งของทุกอย่าง

   “ทองกวาว? ทองกวาวใช่ไหม?”ผมกระซิบถามเบาๆ เพราะกลัวคนอื่นจะหาว่าเป็นบ้าที่พูดอยู่คนเดียว

   มออออ

   “มาหานี่มีอะไรรึเปล่าทองกวาว เกิดอะไรขึ้น”

   มอออออออ

   ฟังแล้วอยากจะกุมขมับอีกรอบ มันแปลว่าอะไร? ใครก็ได้ช่วยแปลให้ที!

   ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าทองกวาว เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ทองกวาวจะสื่อสักนิด พอเห็นว่าผมไม่เข้าใจ ทองกวาวก็ถอนหายใจแล้วคอตกอย่างน่าสงสาร แต่ผมก็จนใจจริงๆ ไม่ได้มีบัฟฟาโลทรานส์เลทนี่นาจะได้ฟังภาษาควายออก

    “พูดภาษาคนได้ไหมทองกวาว” ผมถามทองกวาวอย่างมีความหวัง

   มอออ

ทองกวาวร้องแล้วส่ายหัว ก่อนจะมองตาผม ถอนหายใจอีกรอบ แล้วค่อยๆ หายไป

   “ทองกวาว เดี๋ยวสิ!”

   ทองกวาวไม่ฟังเสียงเรียกผมเลยสักนิด อยู่ๆ ก็มา แล้วก็หายไปซะเฉยๆ ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรเลย ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ชะโงกมามองด้วยสายตาหวาดระแวง

   ผมผงกหัวให้เป็นเชิงขอโทษที่รบกวน ก่อนจะจ้องตากลับแล้วยิ้มแบบตั้งใจโปรยเสน่ห์เต็มที่จนเธอเปลี่ยนมามีท่าทางเก้อเขินแล้วหลบกลับเข้าไปที่ของตัวเอง

   หลังจากนั้นผมก็แทบจะนั่งไม่ติดที่ เพราะการที่ทองกวาวมาหาด้วยท่าทางแบบนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ผมมองจุดที่ทองกวาวปรากฏตัวแล้วนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ได้พบกับทองกวาวครั้งแรก...

ตอนนั้นผมบวชพระอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินไปทำวัตรเย็นอยู่นั้น ก็มีควายตัวหนึ่งมายืนขวางทางอยู่

พอผมเดินไปใกล้มันก็หลีกทางให้ เมื่อผมเดินผ่านไปมันก็เดินตามไปเรื่อยๆ พอผมเห็นเด็กวัดอยู่แถวนั้นก็เลยเรียกมาถามเผื่อว่าจะเป็นควายที่หลุดมา จะได้ให้เจ้าของมารับคืนไป

“น้อยๆ มาดูหน่อยซิว่าควายตัวนี้ของใคร น้อยพอจะรู้ไหม ถ้ารู้ก็ช่วยไปบอกเจ้าของให้มารับคืนที”

“ควายที่ไหนครับหลวงพี่” น้อยถามผมด้วยสีหน้างงๆ เมื่อผมหันไปดูก็ไม่เห็นควายตัวนั้นแล้ว ตอนนั้นผมแค่แปลกใจว่าทำไมมันหนีไปได้เร็วจริง จึงให้เด็กวัดช่วยกันเดินหาจนรอบวัด... แต่ก็ไม่เจอ

   “ควายผีรึเปล่าหลวงพี่” น้อยถามด้วยท่าทางกลัวๆ

   “เคยได้ยินแต่ผีคน ผีควายมีด้วยเหรอโยม” ผมถามน้อยขำๆ

   แต่หลังจากนั้นผมก็ขำไม่ออก เพราะตอนเย็นๆ ก็เจอควายตัวนั้นแทบทุกวัน แต่ก็จับไม่เคยได้และหายไปเร็วมากทุกวัน พอตกกลางคืนระหว่างที่นั่งสมาธิ ช่วงที่จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิผมก็เห็นมันอีกแทบทุกคืน

ในช่วงแรกๆ ผมเห็นแค่มันตัวเดียว จนกระทั่งผ่านไปหลายวัน ถึงได้เห็นเรื่องราวของมันกับผู้ชายที่ชื่อไอ้คล้าว จากเรื่องราวในฝันทำให้ผมได้รู้ว่ามันชื่อทองกวาว

หลังจากนั้นผมก็เห็นทองกวาวตาย แล้วก็เห็นวิญญาณของแสนล่องลอยมาอยู่ในร่างของทองกวาวแทน ผมได้เห็นสิ่งที่น้องต้องพบเจอ ทนเห็นน้องลำบาก แต่ไม่สามารถจะช่วยอะไรน้องได้เลย เวลาที่เห็นแสนลำบากทีไรก็ทำให้ผมหลุดจากสมาธิแทบทุกครั้ง

   พอผมไปถามหลวงตาในเรื่องที่ผมเจอ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรไปสักคำ ท่านก็ตอบมาด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเหมือนกับรู้อยู่แล้ว

   “สัตว์ก็มีวิญญาณ มีรักและมีห่วงได้ไม่ต่างจากมนุษย์เหมือนกัน ห่วงนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้วิญญาณเหล่านั้นไปไหนไม่ได้ ส่วนกรรมก็เป็นตัวลิขิตให้ทุกชีวิตในโลกนี้และโลกอื่นได้วนเวียนมาพบเจอกันอีกครั้ง

   ในอนาคตข้างหน้าชีวิตจะเป็นเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรมหรือการกระทำในปัจจุบัน ขอแค่ยึดมั่นในความดี ละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเอง เจริญพร” พอพูดจบท่านก็ยิ้มให้ก่อนจะหลับตาลง

   หลังจากกราบลาหลวงตาออกมาแล้ว ผมก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านต่อ สรุปได้ว่าสัตว์ทุกชนิดต่างก็มีวิญญาณ แล้วการที่แสนได้เจอทองกวาวและไอ้คล้าวก็เพราะเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมา และต่อไปผมจะต้องทำความดีให้มากขึ้น รวมทั้งไม่เบียดเบียนใคร ในภายภาคหน้าจะได้ไม่ลำบาก

   เรื่องทำความดีนี่ไม่น่าจะยากเท่าไหร่ เพราะปกติแม่ก็ชวนทำบุญตลอดอยู่แล้ว แต่เรื่องเบียดเบียนนี่สิ...ถ้าไม่มีใครล้ำเส้นมาทำร้ายกันก่อนก็น่าจะพอทำได้...มั้ง

   หลังจากนั้น ผมก็ยังคงฝันถึงเรื่องราวของแสนในร่างทองกวาวกับไอ้คล้าวอยู่เรื่อยๆ จนวันหนึ่งแสนมาหาผมที่วัดคนเดียว ผมรู้ทันทีว่าแสนตั้งใจจะไปหาไอ้คล้าวตามลำพัง ผมเลยบอกให้น้องรอไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปเป็นเพื่อนเอง

   แสนร้องไห้เหมือนอัดอั้นตันใจมานาน จนผมเกือบจะเผลอลุกไปปลอบตามความเคยชิน ต้องพยายามห้ามตัวเองไว้เต็มที่เพราะมันจะดูไม่เหมาะสม

   เมื่อลาสิกขาบทมาแล้วผมก็หาทางช่วยแสนตามหาไอ้คล้าว ทั้งๆ ที่ใจจริงนั้นไม่อยากจะช่วยเลยสักนิด เพราะอันที่จริงแล้วผมหวงน้องมาก แต่ในเมื่อหลวงตาทั้งสองท่านบอกเป็นนัยๆ ว่าทั้งสองคนเป็นคู่กัน และเพื่อความสุขของน้อง ผมเลยจำใจต้องช่วยแล้วปล่อยให้แสนตามจีบไอ้เด็กนั่นจนถึงทุกวันนี้

   ความคิดผมชะงักลงเมื่อเครื่องบินแลนด์ดิงลงสู่สนามบิน เมื่อออกมาจากเครื่องและเปิดโทรศัพท์ได้แล้ว ผมก็รีบเช็คโทรศัพท์ทันที พอเห็นสายเรียกเข้าจำนวนหลายสายจากธงรบและข้อความเสียงที่ธงรบทิ้งไว้ ผมจึงเปิดฟังทันที แต่พอฟังจบผมก็แทบจะทำโทรศัพท์ร่วงจากมือ

   “คุณแผน คุณรบให้มารับครับ คุณรบบอกให้คุณแผนกลับบ้านด่วนเลยครับ” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้าให้คนขับรถเดินนำแล้วเร่งฝีเท้าตามไป

   เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้วผมก็โทรหาธงรบทันที พอคุยกับธงรบจนรู้เรื่องแล้วก็บอกให้ธงรบโทรหาไอ้วิน ส่วนผมก็โทรหาไอ้กร เพื่อให้ช่วยหาเบาะแสของแสนอีกทาง ตอนนี้ผมติดต่อป๊าของผมกับป๊าของรบไม่ได้  เพราะทั้งคู่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในแก็งค์ที่สนิทกันแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่บนเครื่องบิน ถึงได้ติดต่อไม่ได้

   หลังจากนั้นผมก็โทรหาเพื่อนป๊าที่เป็นตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ กว่าจะคุยโทรศัพท์จบ ผมก็มาถึงบ้านพอดี ผมรีบเดินเข้าบ้านแล้วตรงไปยังห้องที่เด็กในบ้านบอกว่าธงรบรออยู่ เมื่อไปถึงผมก็เข้าเรื่องทันที

“พวกมันติดต่อมารึยังรบ!”

พอเห็นคนแปลกหน้าสองคนที่อยู่ในห้องกับธงรบผมก็ชะงักแล้วขมวดคิ้วฉับ

ไอ้คนหน้าแปลกสองคนนี่มันเป็นใคร?

ผมยกมือรับไหว้แบบงงๆ เมื่อสองคนนั้นยกมือไหว้อย่างสุภาพเรียบร้อย ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วถามธงรบ

“คล้าวกับไม้ครับเฮีย” ได้ยินแล้วก็หันขวับไปมองคนทั้งคู่อีกรอบ ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ ทำไมเปลี่ยนไปมากขนาดนี้!

“สองคนนี้ปลอมตัวหนีเอญ่ามาหาแสนครับเฮีย ผมเลยให้เข้ามารอในนี้เลย”

“อ้อ สรุปว่าเรื่องที่เราหายหน้าหายตาไปก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นสินะ” ผมหันไปหรี่ตามองไอ้เด็กคล้าวแล้วก็หันไปมองธงรบอีกครั้ง

“ผมไปคุยกับเอญ่าเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้เธอน่าจะไม่กล้าทำอะไรแล้ว แต่ถ้าเธอยังกล้า ผมจะจัดการเอง หรือเฮียจะจัดการยังไงก็ตามใจเลยครับ”

“ดี ถ้ายังกล้าทำให้แสนเป็นทุกข์อีก เฮียก็จะไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น ไหนเล่าให้ฟังซิ” พอพูดกับธงรบจบก็หันมาถามไอ้เด็กคล้าว แล้วกอดอกรอฟังเหตุผลที่หายหัวไป ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้นผมก็ไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน ใครที่ทำให้แสนเสน่ห์ของผมเป็นทุกข์นี่ยกโทษให้ไม่ได้!

“ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พี่แสนเสียใจ” พอเล่าเรื่องราวทุกอย่างจบแล้วคล้าวก็ยกมือไหว้ขอโทษอย่างเรียบร้อยทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองสักนิด

คนที่ผิดคือผู้หญิงคนนั้นต่างหาก กล้าดียังไงมาทำร้ายจิตใจแสน ทั้งที่แสนไม่ได้ทำผิดอะไรกับเธอเลย น้องของผม ผมดูแลปกป้องเป็นอย่างดีมาตลอด คนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายแสนแบบนี้ ถ้ายังไม่ยอมหยุดอีกล่ะก็ได้เห็นดีกันแน่!

ผมมองคล้าวที่มองตอบมาด้วยแววตาจริงจัง พอเห็นสีหน้าที่ดูเป็นทุกข์นั่นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“มันไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่ต้องขอโทษหรอก ส่วนเรื่องข่าว ถ้าโดนใครขู่อีกก็ไม่ต้องไปสนใจ เดี๋ยวเฮียจัดการเอง อะไรที่เป็นความสุขของแสน ทั้งเฮีย ทั้งป๊าและแม่ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว”

“ครับคุณแผน” คล้าวรับคำอย่างเรียบร้อย

“เฮีย... ต้องเรียกเฮียสิ” เห็นท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนี้แล้วก็อดจะใจอ่อนไม่ได้สิน่า

“ครับเฮีย” คล้าวอึ้งไปนิด ก่อนจะรับคำด้วยแววตาที่เป็นประกายขึ้น คงจะรู้ความนัยจากคำอนุญาตของผมดี

“ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจคนจนๆ อย่างผม” คล้าวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมกริบคู่นั้นก็มองผมอย่างแน่วแน่ ซึ่งผมก็ฟังออกถึงนัยที่คล้าวส่งมาเหมือนกัน

ผมสบตาคู่นั้นอย่างค้นคว้า เมื่อเห็นแต่ความจริงใจอยู่นั้นก็เลยต้องจำใจยอมรับอย่างเสียไม่ได้

“เรื่องฐานะสำหรับครอบครัวเฮียมันไม่สำคัญหรอกนะคล้าว ความจริงใจต่างหากที่สำคัญ ขอแค่รักและจริงใจกับแสน คอยดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่และทำให้แสนมีความสุขได้ เราก็พอใจแล้ว”

“ผมสัญญาว่าจะดูแลพี่แสนอย่างเต็มความสามารถ ให้สมกับโอกาสที่เฮียให้ครับ”

ผมได้แต่พยักหน้าให้อย่างเสียมิได้ ไม่อยากจะยกแสนให้เลย ให้ตายสิ!

“แล้วตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างไหมครับเฮีย” เมื่อเคลียร์กันเข้าใจแล้ว คล้าวก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“ตอนนี้เราทำได้แค่รอ รอตำรวจรวบรวมกำลังคน แล้วก็รอคนพวกนั้นติดต่อมา” ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงน้อง แต่มันยังทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้แสนน่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะพวกมันยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมก็คิดเหมือนธงรบว่าถ้ามันจะฆ่าแสนมันก็คงจะฆ่าไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่จับตัวแสนไปก็น่าจะจับไปเพื่อต่อรองอะไรสักอย่างแน่ๆ

แล้วผมก็ต้องรอให้ทางตำรวจเตรียมการณ์ให้พร้อมก่อน ถึงจะออกเริ่มตามหาแสนได้ เพราะผมไม่อยากให้มันมีอะไรผิดพลาดทั้งนั้น

ที่สำคัญ... ผมมั่นใจว่าแสนฉลาดและเก่งพอจะเอาตัวรอดได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แสนตกอยู่ในอันตราย ตอนเด็กๆ ก็เคยมีคนพยายามจับแสนไปเรียกค่าไถ่ พอช่วยมาได้ผมกับป๊าก็เลยส่งแสนไปเรียนศิลปะป้องกันตัวไว้จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้

ความคิดของผมชะงักลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นเบอร์ของเพื่อนป๊าซึ่งเป็นตำรวจที่ผมโทรไปขอความช่วยเหลือโทรมา ผมจึงรีบกดรับ

“สวัสดีครับป๊า เรียบร้อยแล้วเหรอครับ ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” หลังจากวางสายแล้วผมก็หันไปถามอีกสามคนในห้อง

“จะไปช่วยแสนด้วยกันไหม”

“ไปครับ!” ทั้งสามคนประสานเสียงตอบพร้อมกัน

เราทั้งสี่เดินทางไปสมทบกับกำลังตำรวจที่เพื่อนป๊าจัดให้ หลังจากสืบรู้ว่าสรัญเป็นลูกนอกสมรสของไอ้คนที่ถูกผมส่งเข้าคุก ตำรวจก็หาเบาะแสได้ง่ายขึ้น

จากข้อมูลที่ได้พบว่าผู้ชายคนนั้นมีบ้านพักแห่งหนึ่งอยู่แถวๆ ป่าในจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ก็ยังมีที่จังหวัดอื่นอีกหลายจังหวัด แต่เราต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าพวกมันน่าจะจับแสนไปไว้ที่กาญจนบุรีมากกว่า เพราะว่าอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด แต่ถ้าไม่อยู่ที่นี่ก็ค่อยไปที่อื่นต่อไป

แต่ก่อนที่จะได้ออกเดินทางผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพวกมันซะก่อน ตำรวจบอกให้ผมถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด เพื่อจะได้ตามสัญญาณจากโทรศัพท์มันได้

พวกมันเรียกร้องให้ผมถอนแจ้งความในคดีที่พวกมันถูกจับให้หมด เพื่อแลกกับความปลอดภัยของแสน

ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือโง่ที่ไม่รู้ว่าคดีอาญามันยอมความกันไม่ได้ เนื่องจากผมฟ้องพวกมันในข้อหาพยายามฆ่า จากเรื่องที่มันตัดสายเบรกรถของแสนทำให้น้องผมประสบอุบัติเหตุจนเกือบตาย นึกแล้วก็ยังแค้นไม่หาย

“เดี๋ยว! น้องฉันปลอดภัยดีไหม”

“ตอนนี้ยังปลอดภัยดีอยู่ แต่ถ้าคุณไม่ทำตามเงื่อนไขของเราล่ะก็ น้องชายคุณตายแน่” ผมกำโทรศัพท์แน่นเมื่อได้ยินคำขู่ของมัน ต้องพยายามใจเย็นๆ ไม่ขู่มันกลับเพราะกลัวจะทำให้เสียเรื่อง

“ฉันขอฟังเสียงน้องฉันหน่อย” พอผมพูดจบมันก็เงียบไป ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ ลอดเข้าสายมา เหมือนว่ามันกำลังปรึกษากับใครบางคนอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนมันกำลังเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งได้ยินเสียงคนที่ผมกำลังเป็นห่วงใจจะขาด

“เฮียครับ...แสน...”

“แสน! แสนเป็นไงบ้าง” หัวใจผมเต้นรัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของแสน ก่อนที่เสียงของน้องจะหายไป

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ได้ยินแล้วก็จัดการให้เรียบร้อยด้วย ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงของน้องคุณอีก”

มันขู่อีกรอบ ก่อนจะบอกให้ผมจัดการถอนฟ้องให้เรียบร้อยภายในวันพรุ่งนี้ แล้วตอนเย็นๆ มันจะติดต่อกลับมาอีกที

   พวกมันสิ้นคิดมากที่กล้าจับตัวแสนไป ถ้าแสนปลอดภัยเมื่อไหร่ล่ะก็... ผมจะเอาคืนอย่างสาสม อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างมีความสุขเลย!

   หลังจากตำรวจมั่นใจแล้วว่าสัญญาณโทรศัพท์มาจากทางจังหวัดกาญจนบุรี เราก็ออกเดินทางกันทันที เราตามสัญญาณ GPS ไปเรื่อยๆ จนเข้าไปถึงช่วงที่เป็นหุบเขาทำให้สัญญาณขาดหายไป เมื่อไปถึงทางแยกก็เลยต้องจอดรถแอบข้างทางเพื่อจะปรึกษากันก่อนว่าจะเอายังไงต่อดี

   แต่ระหว่างที่เรากำลังจะลงไปปรึกษากันอยู่นั้น ผมก็หันไปเห็นควายตัวหนึ่งยืนอยู่บนถนนด้านหน้ารถของผม

   มอออออออ

   ทองกวาว!

ทองกวาวหันมาสบตาผมก่อนจะเริ่มออกวิ่งเหมือนต้องการจะนำทางไป

ผมวอไปบอกรถคันอื่นๆ ให้ตามผมมา ก่อนจะขับรถนำไปท่ามกลางความงงของทุกคน แต่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้คนอื่นเชื่อว่าที่ผมรู้ทางก็เพราะมีวิญญาณควายนำทางอยู่

ผมมองทองกวาวที่วิ่งนำไปเรื่อยๆ อย่างใจจดใจจ่อ ตอนนี้ก็ทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับทองกวาวแล้ว

แสน...รอเฮียก่อนนะ เฮียกำลังจะไปช่วยแล้ว!


***********************************************************************************

สำหรับเรา พระเอกของเราไม่จำเป็นต้องเก่ง ต้องเทพ ต้องรวยมากก็ได้ค่ะ
ขอแค่จริงใจและรักเดียวใจเดียวก็พอ อันนี้หมายถึงทั้งพระเอกในนิยายและผู้ชายในชีวิตจริงด้วย ฮิ้วววว
พระเอกของเราก็เลยกากๆ หน่อย แต่ที่น้องมันกากก็เพราะฐานะของน้องด้อยกว่าทุกคนด้วยแหละค่ะ
ที่ใช้ได้ที่สุดก็มีแค่ความจริงใจอย่างเดียวเลย ถถถ ลูกแม่
อย่าด่าน้องมันมากเลยนะคะ เพราะแม่มันจิตใจบอบบาง เกี่ยวไหม 55555
ใกล้จะจบแล้ว ฮึบๆๆๆๆ

รักคนอ่านและคนเม้นท์ทุกคนนนน

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

แต่ตอนนี้หนีไปปั่นงานต่อก่อนนะคะ

 :katai4: :katai4: :katai4:

#มนต์รักริมทุ่ง

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้ทองกวาวแอบมาแย่งซีนเห็นๆ อะไม่สิ มีแต่เฮียแผนเท่านั้นที่เห็น
ขอให้ปลอดภัยน้าาาแสน ขอบคุณทองกวาว ส่วนคล้าวก็เจียมเนื้อเจียมตัวไปก่อนละกัน
 :m23: :m23: :m23:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ปีไหม่มีความสุขมากๆ น๊าจร้า ถ้าไม่ได้วิญญาน ทองกราวช่วยนี่ก็แย่เหมือน กัน ขอไห่แสน ปลอดภัย รอ ยุ จ้า มาต้อ เร็วๆ น๊าาา  คถ ผู้เขียน เสมอๆ ^^

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ทองกวาวววว หนูยังไม่ไปไหนเพราะห่วงพี่คล้าวหรือลูก.  โถ....

เฮียโชคดีมากที่มองเห็นทองกวาวได้.  :katai2-1:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ทองกวาวคือพระเอกที่แท้ทรู   :laugh:

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 20

แสนเสน่ห์

   หลังจากที่มันให้ผมคุยกับเฮียแล้วมันก็มาปิดปากผมไว้ แล้วคุยกับเฮียต่อ ผมฟังเงื่อนไขที่พวกมันยื่นให้กับเฮียแผนแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วจ้องหน้าพี่สรัญนิ่งๆ พอคุยจบมันก็เอามือออกแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่ออยู่กับพี่สรัญตามลำพังผมก็เหลือบไปมองที่ประตู เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาแล้วก็ถามพี่สรัญเบาๆ ด้วยความสงสัย

   “พี่ไม่รู้เหรอครับ ว่าคดีอาญามันถอนฟ้องและยอมความกันไม่ได้” พี่สรัญยิ้มให้ผมก่อนจะตอบ

   “รู้สิ พี่รู้ดี”

   “อ้าว!” แล้วทำไมไม่ห้ามล่ะ ปล่อยให้มันเรียกร้องต่อทำไม!

   “พี่ลองหลอกถามดูแล้ว แม่พี่ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนคนพวกนี้ก็เป็นพวกนักเลงปลายแถวที่แม่ใช้เงินพี่จ้างมาไม่รู้เรื่องกฎหมายพวกนี้หรอก” พี่สรัญถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“พี่เลวมากใช่ไหมที่อยากจะให้ตำรวจจับแม่ตัวเองเข้าคุก”

   “ไม่หรอกครับ ในความคิดผม ถ้าพี่สรัญเข้าข้างแม่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องต่างหากถึงจะผิด”

   “พี่ขอโทษด้วยนะที่ดึงแสนมาเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่รู้เรื่องคดีนี้ดีแต่พี่ก็ไม่ห้ามแม่ พี่ร่วมมือกับเขาแล้วปล่อยให้เขาเดินตามแผนต่อ เพราะพี่รู้ว่าเจ้าสัวสุธนกับคุณขุนแผนจะไม่มีวันยอมให้ใครก็ตามที่แตะต้องแสนลอยนวลไปได้แน่ๆ”

   “แต่พี่จะติดร่างแหไปด้วย” ผมมองพี่สรัญด้วยสีหน้ากังวล นอกจากเรื่องที่ใช้ผมเป็นเครื่องมือแล้ว ในความคิดของผม พี่สรัญก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเลย เพราะพี่สรัญก็พยายามดูแลปกป้องผมเต็มที่แล้ว ไม่ควรจะต้องมารับโทษไปกับแม่ของเขาด้วยเลย

   “พี่บอกแล้วไงว่าพี่ยอมรับผลจากการกระทำของตัวเอง ถ้ามันจะทำให้แม่หมดโอกาสที่จะไปทำร้ายแม่บุญธรรมของพี่และทำร้ายคนอื่นๆ อีก พี่ก็ยินดีจะรับโทษ” พี่สรัญบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

   ผมได้แต่มองพี่สรัญด้วยความสงสาร ทำไมพี่สรัญต้องมาเกิดเป็นลูกของผู้หญิงคนนี้ด้วยนะ เคยเจอแต่ในข่าวที่แม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายและจิตใจลูก เพิ่งจะเคยเจอกับคนใกล้ตัวก็คราวนี้แหละ

   คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไงดี เอาเป็นว่าขอให้รอดไปได้ก่อนก็แล้วกัน ค่อยปรึกษากับเฮียแผนอีกที

   “แสนไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลแสนให้ดีที่สุด จะไม่ให้ใครทำร้ายได้แน่” พี่สรัญกลับเดาอาการผมไปอีกทาง ซึ่งผมก็ไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดนั้น ได้แต่ยิ้มตอบพี่สรัญไป แต่ก่อนที่เราจะได้คุยอะไรต่อก็มีคนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะล่วงหน้าสักนิด

   ไร้มารยาทจริงๆ!

   “คุณ คุณผู้หญิงให้ไปหา” ไอ้คนที่เข้ามาเรียกเป็นคนเดียวกับที่ไปจับผมมา มันจ้องหน้าผมเขม็งแล้วแสยะยิ้มให้เหมือนจงใจกวนประสาท

   เห็นแล้วอยากเอารองเท้ายัดปากจริงๆ

   “อืม รู้แล้ว ไปสิ” พี่สรัญรับคำ แล้วยืนรอให้มันออกไปก่อนถึงได้เดินตามไป สงสัยกลัวมันจะเข้ามาทำร้ายผม
   ผมมองตามไอ้คนเดินนำไปอย่างหมั่นไส้ นี่ถ้าไม่มีปืนขู่และมีจูดี้ตัวประกันละก็ อย่าหวังว่าจะจับผมได้ง่ายๆ เลย แน่จริงตัวต่อตัวไหมล่ะ เหอะ!

   ระหว่างที่พี่สรัญไม่อยู่ พี่สรัญก็ล็อคห้องผมไว้ บอกว่าไม่ได้ล็อคเพื่อกันไม่ให้ผมหนี แต่เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับผมมากกว่า พอถึงเวลาอาหารก็เอามาให้เอง แล้วหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเป็นเพื่อนด้วย

   ตอนแรกพี่สรัญจะนอนที่พื้น แต่ผมบังคับให้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน เพราะเตียงมันใหญ่พอสำหรับนอนสองคนได้สบายๆ หลังจากตกลงกันได้ ผมก็รีบนอนเพื่อเก็บแรงไว้เตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะต้องเจอต่อไป

*********************************************************************

   ปัง!

   ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ไกลๆ ก่อนจะลุกพรวดพราดไปเปิดไฟแล้วหันมามองหน้าพี่สรัญที่ยังนั่งทำหน้าตกใจอยู่บนเตียง

   “เกิดอะไรขึ้น” พี่สรัญถามก่อนจะลุกจากเตียงเดินมาหาผม

   ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบ ก็นอนอยู่ด้วยกัน แล้วจะไปรู้ไหมว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้น!

   ปึงๆๆๆ

   “เปิดประตู! เปิดประตูเร็วๆ” เราสองคนมองหน้ากันเมื่อมีคนมาเคาะประตูรัวๆ พี่สรัญตัดสินใจเดินไปเปิดประตูแล้วถามคนเคาะที่มีสีหน้ากระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

   “เกิดอะไรขึ้น”

   “มีคนบุกรุก แต่ไม่รู้ว่าใคร เราต้องหนีกันก่อน ไปเร็ว!”

   “ต้องเก็บของไหม” พี่สรัญถามอย่างละล้าละลัง

   “ไม่ต้อง ไม่ทันแล้ว ต้องไปเดี๋ยวนี้”

   “ได้ๆ ฉันขอหยิบโทรศัพท์ก่อน” ระหว่างที่พี่สรัญเดินไปหยิบของ มันก็สั่งให้คนที่มาด้วยอีกสองคนมัดแขนผมไพล่หลังแล้วคอยประกบผมไว้ก่อนที่จะเดินนำไป

   เมื่อออกไปข้างนอกก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนรออยู่ เดาว่าน่าจะเป็นแม่พี่สรัญ เพราะมีเค้าหน้าคล้ายๆ กัน พร้อมกับคนติดตามอีกสองคนซึ่งทั้งหมดมีปืนอยู่ในมือ ผมคงจะหนีไปตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ คงต้องหาโอกาสหนีทีหลัง

   “นำทางไปเลย” เธอบอกไอ้คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่จับผมมา

   “คนที่เหลือล่ะครับ” พี่สรัญถามแม่ของเขา แต่ไอ้คนที่เป็นหัวหน้าตอบแทนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ารำคาญ

   “ให้ล่อพวกมันไปอีกทางแล้ว ไปได้แล้ว อย่าชักช้า!” พูดจบมันก็รีบเดินนำไปทันที

   “เดินให้มันเร็วๆ หน่อย อย่าลีลา เดี๋ยวกูยิงไส้แตก”

ผมกลอกตา เมื่อไอ้คนที่จับผมมาขู่ตามแบบตัวร้ายในละครเป๊ะ นี่ก็รีบจนขาจะขวิดแล้ว เดินมืดๆ กลางป่าแบบนี้ไม่หัวทิ่มก็บุญแล้ว แถมโดนมัดมือแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เสียการทรงตัวเข้าไปใหญ่

แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรไป เพราะรู้ดีว่ามันจงใจหาเรื่องกันเฉยๆ ดีที่มีพี่สรัญคอยประกบอยู่ข้างๆ มันเลยทำอะไรผมไม่ได้ ที่มันยังเกรงใจพี่สรัญก็เพราะมันยังไม่ได้ค่าจ้างทั้งหมดจากแม่พี่สรัญหรอก ไม่งั้นผมคงแย่

ปังๆๆๆ!

ผมเผลอชะงักเมื่อได้ยินเสียงปืนดังอยู่ด้านหลัง รู้สึกว่าเสียงน่าจะใกล้ๆ กับบ้านหลังที่เราเพิ่งจะออกมาเลย อดจะหวังไม่ได้ว่าเฮียกับธงรบจะมาช่วยผม แล้วก็อดจะห่วงทั้งคู่ไม่ได้เหมือนกัน

“เดินไป อย่าหยุด เดี๋ยวกูก็ยิงทิ้งหรอก” เมื่อเห็นผมหยุด ไอ้คนรอหาเรื่องมันก็ผลักหลังผมจนเกือบล้ม โชคดีที่พี่สรัญประคองไว้ทัน ไม่งั้นคงเจ็บตัวแน่

“มึงอย่าเพิ่งหาเรื่องมันไหมได้ไหมไอ้เหี้ย! รีบหนีก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดหรอก” ไอ้หัวหน้ามันหันมาด่าลูกน้องมัน เมื่อมันหาเรื่องผมมาตลอดทางไม่ยอมหยุด

“จิ๊” มันจุ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเงียบแต่โดยดี

สายตาที่ชินกับความมืดทำให้เห็นใบหน้ากวนประสาทของมันลางๆ เห็นแล้วอยากให้เสือออกมาลากไปกินให้มันจบๆ ซะ จะได้ไม่หนักแผ่นดิน ผมคิดในใจอย่างดุเดือด

“ใกล้ถึงรึยัง” หลังจากที่เดินมาได้สักพักใหญ่ๆ แม่พี่สรัญถามด้วยน้ำเสียงหอบๆ เพราะมันพาเดินมานานโดยไม่ได้พักเลย

“ใกล้แล้วคุณนาย ทนอีกนิด” หัวหน้ามันตอบแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันพาเดินมาท่ามกลางความมืดโดยไม่ต้องมีแสงสว่างนำทางสักนิด เหมือนกับว่ามันชินกับเส้นทางแถวนี้ดี

ผมกวาดตามองรอบๆ ตัวเผื่อหาทางหนีทีไล่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาก็เห็นเพียงต้นไม้และได้ยินแค่เสียงแมลงที่ร้องระงม ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นบ้านคนเลยสักหลัง คิดแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความเครียด ตอนนี้คงต้องพึ่งตัวเองอย่างเดียวแล้ว คงขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แน่

ยิ่งเสียงปืนที่ดังไล่หลังมาเงียบไปแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกกังวล ทั้งกลัวว่าคนที่มาช่วยจะตามหาไม่เจอ ทั้งกลัวว่าพวกเขาจะเป็นอันตรายด้วย

มันพาเดินต่อไปอีกไม่นานอย่างที่ว่า มันก็หยุดเดินแล้วบอกให้ทุกคนเงียบ ก่อนที่มันจะผิวปากเป็นสัญญาณ ไม่นานก็มีเสียงผิวปากตอบกลับมาและมีคนเดินออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง

“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้น”

“มีคนบุกไปที่นั่น ไป! เอารถออกเลย เราต้องหนีไปจากที่นี่ก่อน”

“ครับหัวหน้า” หลังจากรับคำแล้วมันก็เดินไปเอารถที่แอบไว้ไม่ไกลแล้วขับมาหาหัวหน้ามัน

ผมอดจะชมในใจไม่ได้ว่าพวกมันรอบคอบจริงๆ ที่เตรียมรถกับคนไว้อีกทางด้วย เมื่อรถมาจอดอยู่ข้างๆ แล้ว ไอ้คนที่ชอบหาเรื่องผมมันก็ถามขึ้น

“แล้วไอ้นี่ล่ะหัวหน้า” หัวหน้ามันมองหน้าผมก่อนจะมองหน้าลูกน้องมันแล้วพยักหน้า ลูกน้องมันก็หันปืนมาหาผม พี่สรัญเลยรีบเข้ามาขวางทันที

“แม่! ไหนว่าจะไม่ทำร้ายแสนไง” พี่สรัญหันไปพูดกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   “อย่าโง่ไปหน่อยเลย มันเห็นหน้าพวกเราแล้ว จะปล่อยมันไปได้ยังไง” หัวหน้ามันบอกอย่างหัวเสีย

   ผมก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าที่พวกมันเปิดเผยหน้าตาให้ผมเห็นแบบนี้ ก็คงไม่ปล่อยให้ผมรอดไปได้แน่ๆ

“แต่เราต้องใช้แสนต่อรองอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณแผนขอฟังเสียงแสนอีกจะทำยังไง” พี่สรัญพยายามหาเหตุผมมาต่อรอง

“ผมมีวิธีของผมน่า หลีกไป!” หัวหน้ามันหันปืนเข้ามาขู่พี่สรัญ

“แม่! อย่าทำอะไรแสนเลยนะ” พี่สรัญขอร้องแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“หลีกไปสรัญ” แม่เขาบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ลูกน้องของมันสองคนเดินมาล็อคตัวพี่สรัญไว้แล้วลากออกไป

“แม่! อย่านะ ฆ่าคนโทษหนักนะครับ แม่อย่าทำผิดอีกเลย” พี่สรัญพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ของเขาต่อ

“เงียบไปเลยนะสรัญ ถ้าครอบครัวมันไม่จับพ่อแกเข้าคุก มันก็คงไม่ต้องโดนแบบนี้หรอก ถ้าจะโทษก็โทษพ่อโทษพี่มันโน่น”

ผมอยากเถียงว่าถ้าไม่ทำผิดแล้วจะโดนจับเข้าคุกไหม แต่ไม่อยากกระตุ้นอารมณ์เธอให้เธออารมณ์ขึ้นกว่านี้ เพราะกลัวจะตายไวกว่าเดิม เลยต้องยอมอยู่เงียบๆ และมองหาทางหนีให้เร็วที่สุด

“ก็ถ้าเขาไม่โกง ไม่ทำผิด เขาก็คงไม่ต้องถูกจับหรอก!” ถึงผมจะไม่พูดแต่พี่สรัญก็พูดแทนให้แล้ว

“นี่แกเข้าข้างคนอื่นเหรอ เขาเป็นพ่อแกนะสรัญ!”

“พ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดู ไม่เคยมาใส่ใจแบบนั้นไม่มีซะยังจะดีกว่า!

“สรัญ!”

“แน่จริงแม่ก็ฆ่าผมไปด้วยเลยสิ ยังไงแม่ก็ไม่เคยรักผม ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกอยู่แล้วนี่ พอผมมีความสุขแม่ก็มาทำลายมันทุกครั้ง เอาสิ! ฆ่าผมไปพร้อมกับแสนเลย!”

“สรัญ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“พอเถอะคุณนาย อย่ามัวทะเลาะกันอยู่เลย เสียเวลา จัดการไปให้มันจบๆ ดีกว่าจะได้รีบหนีซะที” หัวหน้ามันรีบห้ามเมื่อสองแม่ลูกยังทะเลาะกันไม่ยอมจบ พอจบคำไอ้คนที่มันเกลียดขี้หน้าผมก็หันมาแสยะยิ้มให้

“ลาก่อนนะมึง”

ผมรีบกระโดดหลบ เพราะหวังว่าจะมีโอกาสหลบพ้นได้บ้าง

ปัง!

   “โอ๊ย!”

   ผมเผลอหลับตาเมื่อได้ยินเสียงปืน คิดว่าคงถูกยิงแน่ๆ แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้เจ็บที่ตรงไหนก็รีบลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นว่าคนที่ถูกยิงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของมัน

   “อย่าเพิ่งยิงมัน เก็บไว้เป็นตัวประกันก่อน” หัวหน้ามันหันมาสั่ง เมื่อเห็นว่ามีคนลอบโจมตี ทำให้ผมยังหนีไปไหนไม่ได้ เพราะไอ้คนที่จะยิงผมหันหน้าจากทิศทางที่ได้ยินเสียงปืน หันปืนมาจ่อผมต่อ

   ปังๆๆ!

   พอตั้งตัวได้พวกมันที่เหลือก็ระดมยิงไปรอบๆ ตัว เพราะคนที่ยิงใส่พวกมันน่าจะอยู่ไม่ไกล

   พลั่ก! ระหว่างที่พวกมันกำลังจะหาที่กำบัง พี่สรัญก็ศอกไอ้คนที่จับตัวไว้ ก่อนจะสะบัดตัวจนหลุดจากการล็อคตัวของพวกมันได้

ผมจึงได้โอกาสกระโดดเข้าไปเตะปืนในมือไอ้คนที่จ่อผมไว้ ตอนที่มันกำลังเสียสมาธิเพราะเสียงปืนที่ยิงโต้มาจนปืนกระเด็นไปไกล แขนผมหลุดจากเชือกที่มัด เพราะได้คัตเตอร์ที่พี่สรัญแอบยัดใส่มือไว้ตัดเชือกขาดพอดี ผมจับตัวมันโน้มลงมาเข่าที่ท้อง ตามด้วยประสานมือฟาดลงที่ท้ายทอยแรงๆ จนมันล้มลงแล้วเหยียบหลังซ้ำ

   “โอ๊ย!”

“แสนระวัง!”

ปัง!

“กรี๊ด สรัญ!”

ผมมองพี่สรัญที่เข้ามาบังกระสุนไว้ด้วยความตกใจ พอหันไปมองที่มาของกระสุนก็เห็นว่าปืนอยู่ในมือของแม่เขา เธอคงเก็บปืนที่หล่นเมื่อครู่แล้วตั้งใจจะยิงผม แต่พี่สรัญเข้ามาขวางไว้ก่อน พอเห็นเธอยืนอึ้งอยู่แบบนั้น หัวหน้ามันก็ลากเธอไปหลบหลังต้นไม้ใกล้ๆ และตอบโต้กับคนที่ยิงมาจนไม่มีเวลาสนใจผมอีก

“พี่สรัญ!”

“แสน...หนีไป” พี่สรัญกุมท้องตัวเองไว้แล้วพยายามบอกให้ผมหนี

“ไม่ครับ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน” ผมพยายามลากร่างพี่สรัญไปหาที่กำบัง จะให้ทิ้งคนที่เพิ่งจะช่วยชีวิตตัวเองไปได้ยังไง

“พี่...ขอโทษนะ” พี่สรัญเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ จนผมใจไม่ดี

“ผมไม่รับคำขอโทษของพี่ จนกว่าพี่จะหายแล้วมาขอโทษอีกที ผมถึงจะยกโทษให้ แฮ่กๆ” ผมพูดไปหอบไป เพราะพี่สรัญตัวใหญ่และหนากว่าผม ทำให้ผมต้องออกแรงลากจนหอบ

“อย่างน้อย...พี่ก็ปกป้อง...แสนได้” สายตาผมพร่ามัวไปด้วยน้ำตา เมื่อพี่สรัญยังยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคย ก่อนที่พี่สรัญจะบ่นว่าเจ็บแผลแล้วสลบไป

“พี่สรัญ! ตื่นก่อน อย่าเพิ่งหลับ พี่สรัญ อดทนไว้ก่อนนะครับ!”

“อย่าอยู่เลยมึง” ผมเงยหน้าไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นไอ้คนที่คิดว่าสลบไปแล้วถือปืนเดินเข้ามาหา

ปัง!

ตาของผมเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่มารับกระสุนแทนอีกคน

“คล้าว!!!”

ปังๆๆ! ไอ้คนที่ตั้งใจจะยิงผมถูกยิงเจาะกลางหน้าผากจังๆ จนมันล้มลงไปทันที

ผมถลาเข้าไปหาคล้าวที่ล้มอยู่ใกล้ๆ แล้วกวาดตามอง ก็เห็นว่าคล้าวใช้มือกดบริเวณท้องไว้ ผมได้แต่มองอย่างใจเสียและทำอะไรไม่ถูก

“พี่แสน...ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

“ไม่...ฮึก ไม่เป็นไร คล้าวอดทนไว้นะ”
 “แสน! เป็นอะไรรึเปล่า” เมื่อเห็นคนที่โผล่ออกมาจากต้นไม้ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เฮีย! ฮึก คล้าวถูกยิง พี่สรัญก็ถูกยิง ฮึก ทำยังไงดี” ก่อนที่น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้จะไหลออกมาทันทีที่เห็นเฮียแผน เฮียกวาดตามองผมเร็วๆ พอเห็นผมไม่เป็นอะไรก็บอก

“แสนไปหลบหลังต้นไม้ก่อน” เฮียพูดจบก็รีบลากคล้าวไปหลบหลังต้นไม้ทันที

“เดี๋ยวแสนช่วย”

“ไปหลบเดี๋ยวนี้ ที่เหลือเฮียจัดการเอง” เฮียบอกเสียงดุๆ ผมจึงยอมเดินมาหลบแต่โดยดี เพราะตอนนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายและจิตใจอ่อนล้าจนแทบจะไม่ไหวแล้ว

“ระวังด้วยนะเฮีย” ผมบอกเฮียด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าเฮียลากพี่สรัญตามมาและเห็นว่าเฮียปลอดภัยดีแล้ว ก็รีบมาดูคล้าวที่เลือดไหลออกจากแผลด้วยความกังวล

“ตำรวจประสานกับโรงพยาบาลให้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสักพักรถพยาบาลก็คงมาถึง” ปากบอกผม มือก็ช่วยกดแผลพี่สรัญไปด้วย ผมจึงดูคล้าวได้อย่างวางใจมากขึ้น

“ได้ยินไหมคล้าว อดทนไว้ก่อนนะ” ผมวางมือทับมือคล้าวไว้เพื่อช่วยกดห้ามเลือด

“พี่แสน”

“ครับ”

“ผมขอโทษ” ทำไมคนที่รับกระสุนแทนผมทั้งสองคนต้องขอโทษผมทั้งคู่ด้วยนะ ถึงจะไม่รู้ว่าคล้าวขอโทษเรื่องอะไร แต่ผมก็ก้มลงไปจ้องตาคล้าวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พี่ไม่รับ คล้าวต้องมาขอโทษพี่อีกครั้งหลังจากหายดีแล้ว พี่ถึงจะยกโทษให้ เข้าใจไหมครับ” ผมบอกกับคล้าวไม่ต่างจากที่บอกพี่สรัญ เพราะหวังว่าอย่างน้อยคนทั้งคู่จะได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับพิษบาดแผล เพื่อกลับมาขอโทษผมอีกครั้ง

“พี่แสน” คล้าวยกมืออีกข้างมาแตะแก้มผม

“ครับ” 

“ผม...รัก” พูดได้แค่นั้นคล้าวก็มีสีหน้าเหมือนเจ็บปวดมาก ใบหน้ามีเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่คล้าวจะหลับตาลง

“คล้าวอย่าเพิ่งหลับนะ อดทนไว้ก่อนนะคล้าว อดทนเพื่อพี่นะครับคนดี” ผมกุมมือคล้าวข้างที่แตะแก้มผมไว้แน่น ทำให้คล้าวพยายามลืมตาขึ้นมามองผม

“คุณแผนครับ เคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับ” ผมหันไปมองคนที่เดินมาหาเฮีย เมื่อมองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าเสียงปืนเงียบไปแล้ว

“ตรงนี้มีคนถูกยิงสองคน รถพยาบาลใกล้มาถึงหรือยังครับ” พอเฮียแผนถามจบ ผู้ชายคนนั้นก็วอถามทันที

“รถพยาบาลใกล้มาถึงแล้ว เราย้ายคนเจ็บไปรอที่ถนนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปตามคนมาช่วยก่อน” พูดจบก็เดินไปทันที ไม่นานก็มีคนอีกหลายคนเอาอุปกรณ์มาช่วยปฐมพยาบาลคล้าวกับพี่สรัญก่อนจะยกคนทั้งคู่ไป

แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินตามไป เฮียก็ก้าวมาหาแล้วรวบตัวผมไปกอดแน่นซะก่อน

“ปลอดภัยแล้วนะแสน” ผมกอดตอบเฮียแน่นไม่แพ้กัน

“แสนคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าเฮียอีกแล้ว”

“ไม่มีทาง เฮียไม่ปล่อยให้แสนเป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก”

“ขอบคุณนะครับเฮีย แสนรักเฮียนะ”

“เฮียก็รักแสนเหมือนกัน” เฮียเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูงมือผมเดินตามคนอื่นๆ ไป

เมื่อเดินไปถึงรถที่จอดอยู่ ก็เห็นธงรบยืนมองหาอะไรสักอย่างด้วยสีหน้ากระวนกระวาย แต่พอมันหันมาเห็นผม มันก็ก้าวเร็วๆ มาแล้วรวบตัวผมไปกอดไว้แน่น

“ดีจริงๆ ที่มึงปลอดภัย” ผมกอดตอบมันแล้วตบหลังมันเบาๆ

“ขอบใจนะรบ”

“มึงเป็นน้องกูนี่” ผมอดจะยิ้มไม่ได้ เมื่อมันยังคงมุ่งมั่นจะเป็นพี่ผมให้ได้

พอได้ยินเสียงไซเรนเข้ามาใกล้ ธงรบก็ปล่อยผม ผมรีบเดินไปดูคล้าวที่ตอนนี้มีตำรวจช่วยดูแลอยู่ แล้วก็มีไม้นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าคล้าวหลับตาอยู่ ผมก็เรียกชื่อน้องมันเบาๆ

“คล้าว” เมื่อได้ยินเสียงของผม คล้าวก็พยายามลืมตาขึ้นมามองด้วยสีหน้าอ่อนล้าจนผมกังวล

เมื่อรถพยาบาลจอดลง เจ้าหน้าที่ก็รีบเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลทันที พอเห็นคล้าวอยู่ในมือเจ้าหน้าที่แล้วผมก็พอจะวางใจได้บ้าง

ผมขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปส่งพวกเราที่โรงพยาบาลก่อน เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าคล้าวและพี่สรัญเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว เฮียเลยลากผมไปให้หมอตรวจร่างกายผมด้วย

เมื่อหมอบอกว่าผมไม่มีอาการอะไรผิดปกติ นอกจากมีอาการฟกช้ำแค่บางจุดและอ่อนเพลียเท่านั้น เฮียถึงวางใจยอมให้ผมไปรอหน้าห้องผ่าตัดได้ เราทั้งห้าจึงมานั่งรอหน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ

ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทั้งคู่ปลอดภัย

รีบกลับมาหาพี่นะคล้าว พี่รอคล้าวอยู่


คล้าว
   
   ผมฝัน.... ฝันเห็นเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก

ฝันเห็นตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก เพราะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกๆ วันพ่อจะพาผมออกไปหาปลา เก็บหอย จับปู เก็บผักกับพ่อแล้วเอามาให้แม่ทำกับข้าวกินด้วยกัน

ในตอนนั้นบ้านของผมมีควายอยู่หลายตัว เพราะพ่อเริ่มผสมพันธุ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีจนได้ควายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากที่พ่อตายไป แม่ก็ต้องขายควายเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้และเอาเงินมาไว้ใช้จ่ายในบ้าน เนื่องจากตอนนั้นแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะ จึงทำให้ออกไปทำงานไม่ได้เหมือนแต่ก่อน

ต่อให้ผมไปทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ค่าจ้างไม่มากนัก เพราะผมยังเด็กอยู่ แม่จึงตัดสินใจขายควายจนหมดคอก เพื่อที่จะนำเงินมาใช้และเก็บบางส่วนไว้เป็นทุนให้ผมเรียนต่อไป

จนลุงคนหนึ่งที่สนิทกับพ่อสงสารเราที่ต้องไปจ้างให้คนอื่นไถนาให้ ก็เลยใจดีให้เรายืมควายตัวเมีย เพื่อให้เอาไปผสมพันธุ์และเลี้ยงดูจนกว่ามันจะคลอดลูก เมื่อลูกมันหย่านม เราก็ค่อยเอาแม่ควายไปคืนเจ้าของ แล้วลูกควายตัวนั้นก็จะเป็นของเรา

ผมรับหน้าที่เลี้ยงควายแทนแม่ เพราะตอนนั้นแม่ผมป่วยหนักขึ้นจนแทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว หลังจากทองกวาวเกิดมาได้ไม่นาน แม่ผมก็จากไปอีกคน ทำให้ผมผูกพันกับทองกวาวมาก เพราะนอกจากผมจะเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือแล้ว ผมก็ถือว่าทองกวาวเป็นเพื่อนที่แม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากไปอีกด้วย

ผมเห็นตัวเองเติบโตมาพร้อมกับทองกวาวเรื่อยๆ จนในวันหนึ่ง ผมเห็นทองกวาวถูกงูกัดตายในวันที่ผมไม่อยู่ เพราะผมไปช่วยคนในหมู่บ้านสีข้าวในตอนกลางคืน ผมเห็นทองกวาวร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงแล้วค่อยๆ หายแผ่วลงเรื่อยๆ

“ทองกวาว อย่าเป็นอะไรไปนะ ทองกวาว ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยทองกวาวด้วย”

ผมร้องเรียกทองกวาวและตะโกนให้คนมาช่วยทั้งน้ำตา แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน และผมก็ไม่สามารถสัมผัสตัวทองกวาวได้เลย  ได้แต่มองทองกวาวสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

ผมเห็นวิญญาณของทองกวาวออกจากร่างไป ก่อนที่จะมีวิญญาณของใครคนหนึ่งตามทองกวาวมาแล้วก็เข้าไปในร่างของทองกวาวแทน ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เพราะผมรู้จักคนๆ นั้นเป็นอย่างดี

พี่แสน!!!

หลังจากนั้น วิญญาณของพี่แสนในร่างของทองกวาวก็อยู่กับผมมาตลอด นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ผมรู้สึกว่าทองกวาวเปลี่ยนไปและฉลาดผิดปกติ

น้ำตาผมไหลอีกครั้งเมื่อเห็นพี่แสนในร่างทองกวาวถูกยิงตายเพราะเข้ามาช่วยผมไว้ เห็นความพยายามของพี่แสนในการตามหาผมหลังจากที่วิญญาณกลับเข้าร่างจนฟื้นขึ้นมาและจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว

ยิ่งเห็นก็ยิ่งซาบซึ้งกับสิ่งที่พี่แสนทำเพื่อผมและมันก็ยิ่งทำให้รู้สึก ‘รัก’ พี่แสนมากขึ้นไปอีก

ผมมองไปรอบๆ ตัว เพื่อหาทางกลับไปหาพี่แสน ก็ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงคอกของทองกวาวที่บ้านริมทุ่งของผมเอง เมื่อหันกลับมาจากตัวบ้านผมก็เห็นทองกวาวยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ทองกวาว”

“มออออออ”

ผมก้าวเข้าไปหาทองกวาว ในขณะที่ทองกวาวก็เดินเข้ามาหาผมเหมือนกัน เมื่อไปถึงตัวทองกวาวผมก็เข้าไปกอดคอมันไว้แล้วซบหน้าลงกับคอของมันด้วยความคิดถึง

“พี่คล้าวคิดถึงทองกวาวเหลือเกิน”

“มออออ”

“มันมาลาเอ็งน่ะคล้าว” ผมเงยหน้าขึ้นจากคอทองกวาว เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ

“หลวงตา” ผมปล่อยมือจากทองกวาวแล้วก้มลงกราบท่าน

“ทองกวาวมันเป็นห่วงเอ็ง มันก็เลยไปไหนไม่ได้ แต่ตอนนี้เอ็งมีคนดูแลและหมดเคราะห์หมดโศกแล้ว มันก็เลยหมดห่วง ถึงเวลาที่มันต้องไปในที่ที่มันควรไปแล้ว”

ผมหันไปมองทองกวาวก็เห็นมันผงกหัวให้เหมือนจะยืนยันคำพูดของหลวงตา ผมลุกขึ้นไปลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเข้าไปกอดมันอีกครั้ง

   “ขอบใจนะทองกวาวที่อยู่เคียงข้างพี่มาตลอด ขอให้ทองกวาวไปสู่ภพภูมิที่ดี... พี่คล้าวรักทองกวาวนะ” พูดจบผมก็จูบหัวทองกวาวเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือแล้วถอยออกมา

   ถ้าตาไม่ฝาดผมว่าผมว่าผมเห็นทองกวาวยิ้มให้ทั้งน้ำตา ผมจึงยิ้มตอบทองกวาวทั้งน้ำตาไม่ต่างกัน ก่อนที่ร่างของทองกวาวจะค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีทองแล้วจางหายไป

   ลาก่อน... ทองกวาวของพี่คล้าว

   “เอ็งก็กลับไปได้แล้ว คนทางโน้นคงร้อนใจแย่แล้ว”

   “ผมกลับไปได้เหรอครับหลวงตา”

   หลวงตาไม่ได้ตอบแต่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเคย แล้วอยู่ๆ ก็มีลมพัดมาอย่างแรงจนผมต้องหลับตาลง ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป
   

********************************************************************************

ทุกคนคิดถูกแล้วค่ะ พระเอกเรื่องนี้คือทองกวาว พี่คล้าวหลบปายยยยยยย

 :laugh5: :laugh5: :laugh5:

เห็นรูปนี้แล้วนึกถึงพี่คล้าวกับทองกวาวเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2019 08:58:49 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด