พิมพ์หน้านี้ - ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: maneethewa ที่ 02-08-2018 09:10:33

หัวข้อ: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 02-08-2018 09:10:33
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


###########################################

 :impress: :impress: :impress:

สวัสดีค่า นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแนวแฟนตาซีอีกเรื่องของ Maneethewa นะคะ

ที่จริงชุดนี้มี Plan จะเขียน 3 เรื่อง คือ ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจที่จบไปแล้ว มนต์รักริมทุ่งที่กำลังเขียนอยู่นี้ และรักนี้มีปีก ที่เปลี่ยนชื่อจากลูกเป็ดขี้เหร่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเขียนได้จบครบทุกเรื่องไหม แหะๆ

บุคคลและสถานที่บางแห่งสมมติขึ้นมาตามความเหมาะสมของเนื้อเรื่องไม่มีอยู่จริงนะคะ

อาจจะลงช้าหน่อย เพราะค่อนข้างเขียนช้าค่ะ อีกอย่างพออ่านทวนก็เผลอแก้แล้วแก้อีก ถถถ นิสัยเสียจริงๆ

กำหนดการลงก็ไม่ค่อยตายตัวค่ะ รอให้ได้หลายๆ ตอนหรือรอให้จบแล้วค่อยมาอ่านก็ได้ค่า ที่ลงไว้เพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเองให้ไม่กล้าเทค่ะ แหะๆๆ

ส่วนน้องสองก้อน ก้อนดินกับก้อนหิน มีกำหนดรวมเล่มภายในปีนี้ค่ะ ถ้าทราบวันที่แน่นอนจะมาแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งค่ะ
แวะไปทักทายทั้งคู่ได้ตามลิงค์นี้นะคะ


@ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58607.0)

เป็นกำลังใจให้เราด้วยค่า

 :L2: :L2: :L2:

###########################################

เพจ - Maneethewa (มณีเทวา) (https://www.facebook.com/Maneethewa/?ref=settings)
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 02-08-2018 09:28:28
►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄


บทนำ

   “ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไถแล้วเศร้า”

   ผมนอนเคี้ยวเอื้องช้าๆ หูก็ฟังเพลงที่ดังวนรอบแล้วรอบเล่าจนเบื่อจะแย่ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อไอ้คนเปิดมันไม่เบื่อสักที แล้วควายอย่างผมจะมีปัญญาอะไรไปห้ามได้ จะหนีไปไหนก็หนีไม่ได้ เพราะถูกผูกไว้กับเสาในคอกซึ่งล้อมด้วยไม้ไผ่ จึงทำได้แค่กลอกตาแล้วทนฟังต่อไปแบบนี้ ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วอยากจะตะโกนบอกว่า

   หนวกหูโว้ยยยย!

   แต่เสียงที่ดังออกมาคือ

   “มออออออออ”

   วุ้ย! เซ็งจริงๆ!

   ผมถอนหายใจเฮือกๆ กับความเป็นจริงที่เป็นอยู่

   “ทองกวาวววววว” เสียงอ้อแอ้ยานคางทำให้ผมต้องหันไปมองไอ้คนที่กำลังเรียกอยู่ แล้วก็ต้องกลอกตามองบนอีกรอบ เมื่อไอ้คนขี้เมาที่หนวดเครารุงรังมันมาเกาะคอกมองมาตาเยิ้ม มือข้างหนึ่งถือขวดเหล้า 40 ดีกรีที่พร่องจนเกือบจะถึงก้นขวดไว้ อีกข้างหนึ่งก็พยายามเกาะไม้ไผ่ที่ล้อมคอกพยุงตัวเองไว้ ไม่งั้นคงล้มหัวทิ่มไปแล้ว

   “ทองกวาวจ๋า ทองกวาวววว อึก ทองกวาวร๊ากกกพี่คล้าวม๊ายจ๊ะ อึก มีแต่ทองกวาวนี่แหละน้าที่ร๊ากกกพี่คล้าววว ไม่เหมือนดาวเรือง ดาวเรืองไม่ร๊ากพี่คล้าวเลย ดาวเรืองทิ้งพี่คล้าว อึก ไปแล้ว ฮือ”

   ไอ้คนเมามันพูดไปสะอึกไป พอพูดจบน้ำตาก็ไหลพรากๆ ไม่หยุด ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพิงคอกแล้วร้องไห้ สภาพเมาเหมือนหมาแบบนี้นี่ไม่รู้ว่าวันนี้ซัด 40 ดีกรีไปแล้วกี่ขวด ผมได้แต่ส่ายหัวในสภาพอันทุเทศทุรังของมัน

   ไม่รู้จะเศร้าอะไรนักหนา... กะอีแค่เมียทิ้ง

   ผมมองคนที่ไถลตัวลงไปนอนร้องไห้กับพื้นแล้วถอนหายใจ

   ไอ้คนตรงหน้าผมมันชื่อไอ้ ‘คล้าว’ ครับ มันเป็นเจ้าของของร่างผมในตอนนี้

   ส่วนผมในตอนนี้เป็น ‘ควาย’ ที่ชื่อ ‘ทองกวาว’ ตอนได้ยินชื่อครั้งแรกนี่ได้แต่อึ้งและช็อค

   ต่อมาก็ได้แต่ร้องโวยวาย ไอ้เหี้ยยยย! นี่ควายตัวผู้นะสัด! ชื่อมีเป็นร้อยเป็นพันไม่ตั้ง เสือกตั้งชื่อให้ควายตัวผู้ว่า ‘ทองกวาว’ มึงควรเกรงใจเพศกูบ้าง อยากจะยกขาถีบไอ้คนตั้งชื่อมาก แต่พอดีถูกผูกอยู่ในคอก เลยได้แต่ร้องและดิ้นฮึดฮัดอย่างขัดใจ ส่วนคำด่าที่พ่นออกไป ก็ได้ยินแต่เสียง

   มออออ

   โอยยยย กูเครียดดดดด

   แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ ตอนนี้ผมเป็นแค่ควายตัวหนึ่ง จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เลยได้แต่ยอมรับชื่อนี้แบบจำยอม ได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองทีไรก็ได้แต่เบ้ปาก กลอกตามองบน ถอนหายใจเฮือกๆ เพราะรับไม่ได้อย่างแรง

   อันที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นควายมาตั้งแต่เกิดหรอก รู้แค่ว่าก่อนหน้านี้ก็ยังเป็นคนอยู่ดีๆ นี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็มาอยู่ในร่างของควายเฉยเลย

   มั่นใจอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองเคยเป็นมนุษย์มาก่อนแน่นอน แต่ความทรงจำอื่นๆ กลับไม่มีเลย จำไม่ได้สักนิดว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน และมีที่มาที่ไปยังไง

   แค่มาอยู่ในร่างของควายก็ว่าแย่แล้ว ดันมาเป็นควายความจำเสื่อมอีก ยิ่งโคตรแย่เข้าไปใหญ่

   เฮ้อ! ชีวิต

   ตอนแรกที่ตื่นมาในร่างนี้นี่ผมถึงกับสติแตกกันเลยทีเดียว ได้แต่แหกปากร้องลั่นจนไอ้คล้าวตกใจวิ่งมาดูหน้าตาตื่น

   พอสำรวจแล้วเห็นตัวผมปกติดี มันก็มองผมงงๆ ส่วนผมพอเห็นมันก็หยุดแหกปากแล้วมองกลับด้วยความงงไม่แพ้กัน เพราะจำไม่ได้ว่ามันเป็นใคร

   สุดท้ายก็ได้แต่ทำใจ เพราะอยู่มาหลายเดือนแล้ว ตื่นมาทีไรก็ยังอยู่ในร่างนี้เหมือนเดิม

   ยังดีที่ไอ้คล้าวมันดูแลผมเป็นอย่างดี ยังไม่มีทีท่าว่าจะฆ่ากินแต่อย่างใด ก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย

   เฮ้อ! ผมได้แต่ทอดถอนใจกับชีวิตของตัวเอง

   พอหันไปมองไอ้คล้าวอีกทีก็เห็นว่ามันก็หลับไปแล้ว ก็ได้แต่ปล่อยให้หลับต่อไป เพราะไม่มีปัญญาจะช่วยอะไรได้ อย่างน้อยก็มีกองไฟที่มันสุมไว้ก่อนมันจะเมาหัวทิ่มช่วยไล่ยุงไล่แมลงและพวกสัตว์มีพิษได้บ้าง

   ผมเงยหน้ามองฟ้าในคืนเดือนมืดที่เต็มไปด้วยดวงดาวทอประกายระยิบระยับสวยจับตา ก่อนจะถอนหายใจอีกรอบแล้วหลับตาลงเพื่อพักผ่อนบ้าง


##############################################

เป็นกำลังใจให้นักเขียนกับน้องทองกวาวด้วยนะคะ

:impress2: :L2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 up 6/8/18
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 06-08-2018 10:26:57
บทที่ 1

   เอ้กอี้เอกเอ้กกกกกก เอ้กอี้เอกเอ้กกกกกก

   เสียงไก่ตัวผู้ที่ขันประชันกันทำให้ผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมาตามความเคยชิน มองไปรอบๆ ตัวก็พบว่ายังคงมืดอยู่ แหงนมองไปทางทิศตะวันออกก็เห็นดาวประกายพรึกยังทอประกายโดดเด่นอยู่เพียงดวงเดียวเหมือนทุกวัน

   ผมหันมามองไอ้คล้าวที่นอนกอดขวดเหล้าไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้มันก็เริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตามความเคยชินเหมือนกัน ต่อให้เมาหัวทิ่มขนาดไหนแต่มันก็จะตื่นมาในเวลานี้ทุกวัน มันปล่อยขวดเหล้าที่กอดไว้พยายามยันตัวลุกขึ้นมานั่งแล้วกุมขมับ

   สงสัยจะแฮงค์

   รู้ทั้งรู้ว่าถ้ากินเหล้าหนักขนาดนี้แล้วตื่นมาอาการจะย่ำแย่แค่ไหนก็ยังไม่เข็ด ยังคงกรอกเหล้าเข้าไปทุกวันเหมือนเดิม

   เฮ้อ! อย่างที่คนเขาว่าจริงๆ ‘ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์’ ก็หวังว่าไอ้คล้าวมันจะทำใจได้ในเร็ววัน จะได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมสักที

   ไอ้คนที่ผมกำลังนินทาในใจลุกขึ้นแล้วเดินเซๆ ขึ้นบ้านไป

   บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้หลังเล็กยกใต้ถุนสูง ตั้งอยู่บริเวณท้ายหมู่บ้านติดกับทุ่งนาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเป็นที่นาของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้และหมู่บ้านใกล้เคียงที่ชาวบ้านแถวนี้ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ

   ส่วนที่ดินของไอ้คล้าวถ้ารวมทั้งบ้านทั้งที่นาซึ่งอยู่ติดกันแล้วน่าจะได้ประมาณห้าไร่เศษ

   จากที่ฟังทุกคนคุยกันกับฟังไอ้คล้าวมาปรับทุกข์ด้วยทุกวัน ทำให้รู้ว่าไอ้คล้าวมันอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด เพราะพ่อกับแม่มันตายไปหมดแล้ว ญาติๆ ก็ไม่มีเหลือสักคน อาศัยเงินทองที่แม่ทิ้งไว้ให้บ้างกับความช่วยเหลือจากหลวงตาช่วยส่งเสียจนสามารถเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้

   ไอ้คล้าวอยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่มีเงินพอจะส่งเสียตัวเองได้ พอจะขอทุนกู้ยืม เกรดของมันก็สู้คนอื่นๆ ไม่ได้ เพราะช่วงหลังเลิกเรียนและวันหยุดมันก็หางานทำ เพื่อไม่ให้เป็นภาระให้กับหลวงตามากนัก จึงทำให้ไม่สามารถทุ่มเทกับการเรียนได้อย่างเต็มที่เหมือนคนอื่นๆ

   ต่อให้รู้สึกเสียใจสักแค่ไหน มันก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่โชคชะตา ยอมก้มหน้าก้มตาใช้สมบัติที่มีทำงานหาเลี้ยงตัวเองอย่างขยันขันแข็ง

   ถึงแม้ว่ามันจะมีฐานะค่อนข้างจน แต่เนื่องจากมันรูปหล่อ ขยัน และนิสัยดี ทำให้มีสาวๆ มาติดพันมันหลายคน แต่คนที่ทำให้มันหวั่นไหวและตกหลุมรักได้ก็คือสาวสวยอันดับหนึ่งของตำบลที่ชื่อ ‘ดาวเรือง’

   ดาวเรืองเป็นลูกของคนที่ค่อนข้างมีฐานะในหมู่บ้าน ด้วยความที่เกิดมาสวย พ่อแม่ตามใจจึงทำให้เป็นคนที่เอาแต่ใจ แม้พ่อแม่จะห้ามแค่ไหนก็ยังดื้อรั้นจะแต่งกับไอ้คล้าวให้ได้ จนสุดท้ายพ่อแม่เธอก็ต้องยอม แม้พ่อแม่เธอจะยอมให้แต่งกับมัน แต่หลังแต่งแล้วก็แทบจะตัดหางปล่อยวัดไม่ยอมช่วยเหลืออะไรอีกเลย

   หลังแต่งงานช่วงแรกๆ เธอก็ยังพอทนความลำบากได้อยู่หรอก แต่พอผ่านไปไม่กี่เดือนเธอก็เริ่มทนไม่ไหว ช่วงที่ผมมาอยู่ที่นี่ ทั้งคู่ก็เริ่มระหองระแหงกันแล้ว เพราะดาวเรืองคอยแต่จะหาเรื่องทะเลาะกับไอ้คล้าวไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งๆ ที่มันก็ยอมให้ตลอด ไม่เถียง ไม่หือไม่อือสักคำ ยอมให้เธอด่าว่าทุบตีไม่เคยตอบโต้เลยสักครั้ง

   จากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาหาเธอที่บ้านช่วงที่ไอ้คล้าวไปทำงานนอกบ้านตลอด แค่ดูสายตาก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคิดกับดาวเรืองยังไง

   ส่วนสายตาของดาวเรืองก็มีวี่แววชื่นชมและให้ท่าอย่างเห็นได้ชัด

   ตอนแรกๆ ก็แค่หยอดกันไปหยอดกันมา ไม่นานก็เริ่มจับมือถือแขน หลังๆ มานี่เริ่มจะกอดจูบลูบคลำจนแทบจะได้เสียกันอยู่แล้ว

   ผมอยากจะบอกสิ่งที่ได้เห็นใจแทบขาด แต่จะทำยังไงได้ล่ะ พอเจอหน้ามันแล้วอยากจะพูดอะไรตั้งมากมาย แต่สิ่งที่ออกไปคือ

   มอออออ

   โว๊ยยยยยย

   อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้มึงฟังไม่ได้สักคำ ร้องเพลงให้ฟังแม่งเลย ถึงจะได้ยินแค่เสียงควายร้องอย่างเดียวก็เถอะ

   แม่งเอ๊ย! กูขอโทษนะไอ้คล้าว

   พอทำอะไรไม่ได้ก็เลยหงุดหงิด เวลาดาวเรืองเข้าใกล้ก็เลยออกอาการฮึดฮัดฟึดฟัด เหวี่ยงเขาใส่บ้าง ดีดขาใส่บ้าง จนผู้หญิงคนนั้นกรี๊ดกร๊าดทุกครั้งไป พอไอ้คล้าวไม่เห็นดาวเรืองก็แอบเอาไม้มาฟาดผมทุกที แต่หนังผมหนา ไม่ค่อยสะเทือนเท่าไหร่หรอก แค่รู้สึกแสบๆ คันๆ เท่านั้นเอง

        พอเห็นผมไม่สะดุ้งสะเทือน แม่ดอกทอง เอ๊ย! ดาวเรืองก็ยุให้ไอ้คล้าวขายผมทิ้งแล้วเอาเงินมาซื้อทองให้เธอใส่
ยังดีที่ไอ้คล้าวไม่ได้ทำตาม เพราะมันรักควายตัวนี้มาก ทองกวาวเป็นควายที่แม่มันทิ้งไว้ให้ ที่สำคัญยังเป็นควายที่ใช้ไถนาได้ ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินจ้างรถไถด้วย

   เพราะถูกขัดใจในเรื่องของผม ดาวเรืองเลยยิ่งออกอาการเหวี่ยงวีนใส่ไอ้คล้าวมากกว่าเดิม บอกว่าทนลำบากมาอยู่กับมันมานานแล้ว แค่ทองสักเส้นก็ไม่มีปัญญาซื้อให้

   ผมไม่เห็นจะลำบากตรงไหน เท่าที่เห็นไอ้คล้าวทำงานอยู่คนเดียวงกๆ ผู้หญิงคนนี้ก็แค่ทำกับข้าว แล้วก็แต่งตัวสวยๆ นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไปวันๆ ยิ่งวันไหนอารมณ์ไม่ดีก็ไม่ยอมทำอะไรเลย ไอ้คล้าวต้องทำเองหมด ทั้งทำกับข้าว ซักผ้า กวาดบ้าน ปลูกผัก ทำนา รับจ้าง ฯลฯ

   ผัวทาสที่แท้ทรู

   แต่ในที่สุดก็มีคนหวังดีหลายคนมาบอกสิ่งที่ผมอยากบอกให้ไอ้คล้าวฟังว่าดาวเรืองมีชู้ แต่มันดันไม่เชื่อ

   จนไอ้ไม้ลูกน้องคนสนิทของมันวางแผนให้มาเห็นดาวเรืองอยู่กับผู้ชายคนนั้นตามลำพัง แต่พอดาวเรืองบีบน้ำตาตัดพ้อ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ มันก็เชื่อ แถมยังปลอบอกปลอบใจดาวเรืองด้วยการเอาเงินเก็บที่เก็บไว้เป็นทุนเพื่อเรียนต่อไปซื้อทองให้ดาวเรืองอีก

   โว๊ยยยย ไอ้คล้าวววววว

   ไอ้ฟายยยยยยยยยย
   มึงเนี่ยน่าจะมาเป็นควายยิ่งกว่ากูอีก
   โง๊โง่ววววววววว
   ง่าววววววววววววว
   โง่เง่าเต่าตุ่น
   โง่แบบอินฟินิตี้
   โง่แบบไม่มีวันจบ

        ด่าไปก็ไม่รู้สึก ผมเลยงอนมันแม่ง! เจอหน้าไอ้คล้าวก็สะบัดหน้าหนีจนคอแทบเคล็ด ไอ้ไม้เห็นแล้วขำจนปวดท้อง หาว่าผมเป็นสันนิบาต ไอ้เวร! อยากดีดขาคู่ใส่มาก แต่ยังไม่ว่าง เพราะงอนอยู่

         ...

   ต่อมาไม่นานดาวเรืองก็หนีไป

   ผู้หญิงคนนั้นหายไปพร้อมกับเสื้อผ้าของใช้ทั้งหมด รวมทั้งเงินเก็บของไอ้คล้าวและทองที่ไอ้คล้าวซื้อให้ด้วย

   ไอ้คล้าวไปตามหาที่บ้านพ่อตาแม่ยาย ทางนั้นก็บอกว่าไม่เจอ แต่มันรู้ดีว่าทางนั้นกำลังปิดบังอยู่แน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะไปตามตื๊ออ้อนวอนสักแค่ไหน ทางนั้นก็ไม่เห็นใจ บอกเพียงว่าไม่รู้ไม่เห็นมาตลอด

   หลังจากโดนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ามันก็จำต้องยอมแพ้ แล้วมันก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็น กินเหล้าเมาเหมือนหมาทุกวัน

   ผมถอนหายใจอีกเฮือก มองคนที่ใส่ผ้าขาวม้าผืนเดียวเดินลงบันไดบ้านมาด้วยความรู้สึกที่สงสารและสมน้ำหน้า ก่อนตาจะเป็นประกาย เมื่อมันเดินเข้ามาใกล้แล้วเห็นว่ามันโกนหนวดโกนเคราที่ปล่อยให้รกเหมือนมหาโจรมานานเรียบร้อยแล้ว

   ผมมองหน้าหน้าเข้มๆ ที่ปราศจากหนวดเครานั้นอย่างคิดถึง ไล่มองคิ้วเข้มๆ ที่รับกับดวงตาเรียวใหญ่สีดำสนิท จมูกโด่งเป็นสัน กับริมฝีปากได้รูปสีเข้มเป็นธรรมชาติ เพราะมันไม่สูบบุหรี่ ผมสั้นๆ สีดำสนิทรับกับหัวทุยๆ ผิวคร้ามแดดที่โผล่พ้นผ้าขาวม้ามายิ่งทำให้เจ้าของเรือนร่างยิ่งดูคมเข้มเข้าไปอีก

   ยิ่งมองยิ่งน้ำลายจะไหล

   นอกจากรู้ว่าตัวเองเป็นมนุษย์แล้ว มีอีกอย่างที่รู้ได้ด้วยความรู้สึกคือผมเป็นมนุษย์เพศผู้ที่ชอบผู้ชายอีกด้วย เพราะเวลาอยู่ใกล้ผู้หญิงสวยๆ อย่างดาวเรืองแล้วรู้สึกเฉยๆ ขนาดเธอนุ่งกระโจมอกมาอยู่ตรงหน้าก็ยังรู้สึกเฉยๆ เลย

   ไม่เหมือนเวลาอยู่ใกล้ผู้ชาย ยิ่งผู้ชายหน้าตาดีๆ ก็ยิ่งชอบมอง

   ยิ่งอยู่ใกล้ไอ้คล้าวยิ่งรู้สึกได้ชัดเจน เพราะไอ้คล้าวเป็นผู้ชายที่มีเซ็กส์แอพพีลสูงมาก เป็นคนที่ปล่อยฟีโรโมนอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งเวลามันอาบน้ำเหมือนตอนนี้นะ

   อื้อหืออออ

   โอ่งอาบน้ำมันอยู่ใกล้กับคอกผม ยิ่งทำให้ผมได้มองด้วยความฟินทุกวัน

   ผมมองน้ำที่ไหลผ่านกล้ามเนื้อสวยๆ ตั้งแต่แผงอกล่ำๆ ลงมาที่กล้ามเนื้อท้องเป็นลอน เลื่อนลงมาสู่เป้าตุงๆ นั้นแล้วได้แต่กลืนน้ำลาย

   เอื้อก คนอะไรฮ็อตยังกะฟายเยอร์

   “เป็นอะไรทองกวาว หิวเหรอ น้ำลายไหลเชียว” ไอ้คล้าวมันหันมาถามระหว่างที่ฟอกสบู่ ผมมองมือที่ล้วงลงไปในผ้าขาวม้าแล้วน้ำลายไหล

   ซี้ดดดด แซ่บมากกกก เห็นแล้วอยากจะไปช่วยถู อยากจะลูบไล้ทั้งเนื้อทั้งตัว

   ตอนนี้รู้สึกร้อนๆ ในโพรงจมูกพิกล รู้สึกเหมือน.... กำเดาจะไหล

   หืดหาดๆๆ รู้สึกเหมือนอาการหอบหื่นจะกำเริบอีกด้วย

   “ร้อนล่ะสิ เดี๋ยวสายๆ พี่จะพาไปแช่น้ำ รอไปก่อนนะ” มันบอกเมื่อเห็นผมหอบหนักขึ้น

   เนี่ย! มันก็น่ารักแบบเนี๊ยะ แทนตัวเองว่าพี่กับควาย ไม่เคยหยาบคายด้วยสักครั้ง แล้วจะไม่ให้หื่น เอ๊ย! ไม่ให้หลงยังไงไหว

   แต่อยากจะบอกมันเหลือเกินว่ากูไม่ได้ร้อนโว้ยยยย กูหื่นนนน

   ขัดใจตรงที่เห็นแล้วทำอะไรไม่ได้นี่แหละ ดูได้แต่ตา แต่แตะต้องไม่ได้ นี่ถ้าเป็นคนเหมือนกันนะ ผมคงจะปล้ำมันไปแล้ว

   วุ้ย! โคตรเซ็ง!

   ได้แต่พยายามคิดในแง่บวกว่ายังดีที่มีอาหารตาให้มองทุกวัน ไม่งั้นได้เฉาตายแน่ๆ ผมมองไอ้คล้าวที่เปลี่ยนผ้าขาวม้าแล้วเดินขึ้นบ้านไปตาละห้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตากินฟางที่ยังเหลือในรางต่อไป

   แดกคนไม่ได้ แดกฟางไปพลางๆ ก็ได้วะ!

   หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ไอ้คล้าวมาจูงผมออกจากคอกไปผูกไว้บริเวณที่มีหญ้าอ่อนๆ ขึ้น ก่อนที่จะถือเคียวกับกระสอบเดินออกจากบ้านไป

   ผมยืนเล็มหญ้าไป สายตาก็เงยขึ้นมองหาไอ้คล้าวไปเป็นระยะอย่างไม่รู้ตัว

   พอถึงเวลาเพล ไอ้คล้าวก็หอบกระสอบหญ้ากลับมาแล้ววางพิงคอกไว้ ก่อนที่จะจูงผมเดินไปที่บึงน้ำของหมู่บ้าน เมื่อเดินไปถึง มันก็ยืนรออยู่ริมบึง แต่ผมไม่ยอมเดินลง ผมเดินไปรุนหลังให้มันเดินลงน้ำไปด้วย

   “เดี๋ยวๆ จะทำอะไรน่ะทองกวาว ฮะๆๆๆ” แล้วผมก็ยิ้มอย่างสมใจ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของมัน

   ตั้งแต่ดาวเรืองทิ้งไปก็เห็นรอยยิ้มมันน้อยลงทุกที ยิ่งเสียงหัวเราะยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่ได้ยินเลย มีแต่เวลาที่อยู่กับทองกวาวเท่านั้นแหละ ที่เห็นมันยิ้มได้บ้าง

   “ได้ๆ ลงด้วยก็ได้ เลิกรุนได้แล้ว เดี๋ยวไปหาฟางมาถูตัวให้ก่อน” พูดจบก็เดินกลับไปที่ทุ่งนาแล้วถือฟางแห้งมาหนึ่งกำ มาถึงก็ถอดเสื้อวางไว้บนกิ่งไม้แล้วก็เดินนำลงน้ำไป

   เมื่อเห็นมันเดินลงน้ำไปก่อนแล้ว ผมก็ก้าวลงตามไปติดๆ น้ำเย็นๆ ทำให้รู้สึกสบายตัวจนต้องทอดถอนใจ ยิ่งไอ้คล้าวเอาฟางแช่น้ำให้นุ่มขึ้นแล้วเอามาถูตามตัวยิ่งรู้สึกฟินขึ้นไปอีก

   พอมันขยับมาขัดถูข้างหน้า ก็อดจะมุดน้ำลงไปดูวิวข้างล่างไม่ได้ พอเห็นซิกแพคใกล้ๆ ต่อมหื่นก็กำเริบ ทำให้เผลอขยับไปเลียซิกแพคที่ล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้าทันที

   “ฮะๆๆๆ จั๊กจี้น่าทองกวาว” เนื่องจากลิ้นผมค่อนข้างสาก ทำให้มันหัวเราะและเกร็งหน้าท้องเพราะจั๊กจี้ ยิ่งเห็นก็ยิ่งกระตุกต่อมหื่นผมเข้าไปใหญ่ มันพยายามดันหัวผมออก แต่แรงคนหรือจะสู้แรงควาย ผมได้แต่ตามไปเลียซ้ำๆ

   นี่ถือเป็นข้อดีอีกอย่างของการเป็นควาย เพราะต่อให้หื่นแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้

   หืดหาดๆ หื่นโว้ยยยย

   กว่าไอ้คล้าวจะถูทั่วทั้งตัว ผมก็ได้กำไรยาวๆ ไป

   อา... อาบน้ำตอนกลางวันนี่มันสดชื่นจริงๆ ว่าไหมครับ

   หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ไอ้คล้าวก็จูงผมไปผูกให้กินหญ้าต่อแล้วมันก็เดินเข้าหมู่บ้านไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไปกินเหล้าอีกแน่ๆ

   เฮ้อ!
   
   
   พระอาทิตย์คล้อยต่ำๆ ลงเรื่อยๆ ความมืดก็เริ่มเข้ามาเยือน ผมหันไปมองทางไปบ้านด้วยความกระวนกระวาย ป่านนี้แล้วไอ้คล้าวยังไม่มาอีก ปกติต่อให้มันเมาแค่ไหนมันก็กลับมาจูงผมเข้าคอกแล้ว หลังจากชะเง้อรอจนฟ้ามืดก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครสักคนเดินตรงมาหา

   “ทองกวาว” เสียงไอ้ไม้ตะโกนเรียกหาทำให้ผมต้องร้องตอบไปเพื่อบอกให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้

   “มอออ”

   พอได้ยินเสียงผมมันก็รีบสาวเท้าเร็วๆ เข้ามาหา

   “พี่คล้าวมันเมาหนักมาก มารับไม่ได้ ไปกับพี่นะทองกวาว” ไอ้ไม้มันแทนตัวเองกับผมว่าพี่ตามไอ้คล้าวไปด้วย
   
        หลังจากปลดหลักออกจากดินแล้วมันก็สาวเชือกจูงผมเดินกลับบ้าน ระหว่างทางมันก็เล่านั่นเล่านี่ให้ผมฟังทุกอย่างตามความเคยชินเหมือนลูกพี่มันนั่นแหละ

   บางครั้งเล่าไปก็ถามความเห็นผมไปด้วย โถ... อย่างกับควายจะเข้าใจงั้นแหละ แต่พอดีผมไม่ใช่ควายไง เลยเข้าใจและทำให้ผมพลอยได้รู้เรื่องต่างๆ ไปด้วย แค่ตอบกลับไปไม่ได้เท่านั้นเอง

   “จะว่าไปก็สงสารพี่คล้าวนะทองกวาว มีคนที่ไปเรียนในกรุงเทพฯ ไปเจอพี่ดาวเรืองที่นั่น แล้วก็ได้รู้ว่าพี่ดาวเรืองไปอยู่กินกับลูกเถ้าแก่ร้านทองแล้ว เลยมาบอกพี่คล้าวให้พี่คล้าวตัดใจซะ แต่ทองกวาวก็รู้ใช่ไหมว่าพี่คล้าวรักพี่ดาวเรืองมากแค่ไหน เลยซัดเหล้าเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เมายิ่งกว่าหมาอีก โงหัวแทบไม่ขึ้น ถึงได้มารับทองกวาวไม่ได้” มันถอนใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะพูดต่อ

   “พี่ไม้ละอยากให้พี่คล้าวทำใจได้เร็วๆ ผู้หญิงแบบนั้นไม่มีอะไรดีพอให้พี่คล้าวทุ่มเทหรอก มีดีแค่สวยอย่างเดียว นิสัยก็ไม่ดี เอาแต่ใจจะตาย พี่อยากให้พี่คล้าวตัดใจซะที อยากให้เจอคนที่ดีกว่านี้”

   เนี่ย! ขนาดไอ้ไม้ที่ดูโง่ๆ ยังคิดได้ แล้วทำไมไอ้คล้าวถึงคิดไม่ได้สักที

   ทั้งคนทั้งควายถอนหายใจมาพร้อมๆ กัน ไอ้ไม้หันมามองผมแล้วก็หัวเราะ

   “เป็นห่วงพี่คล้าวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

   “มอออ”

   “บางทีพี่ก็รู้สึกว่าทองกวาวน่ะฉลาดเกินควาย บางทีก็รู้สึกว่าทองกวาวเหมือนคนๆ หนึ่ง แต่มองยังไงทองกวาวก็ยังเป็นควายแล้วจะเป็นคนได้ไงวะ วู้! ยิ่งพูดยิ่งงง ช่างมันเถอะ พี่คล้าวรักทองกวาวมากนะ ทองกวาวก็ช่วยปลอบพี่คล้าวด้วยแล้วกัน สักวันพี่คล้าวคงทำใจได้”

   “มอออ”

   “นี่ทองกวาวตอบรับพี่ หรือบังเอิญทองกวาวร้องเองวะ เฮ้อ! กูนี่ท่าจะบ้า พูดกับควายเป็นตุเป็นตะ”

   ผมก็ว่างั้นแหละ คนปกติที่ไหนเค้าคุยกับควายกัน

   ไอ้ไม้จูงผมไปกินน้ำแล้วก็จูงเข้าคอก มันเทหญ้าที่ไอ้คล้าวเกี่ยวทิ้งไว้ให้ ตักน้ำใส่ถังข้างๆ ไว้ แล้วก็เดินขึ้นบ้านไป สงสัยจะขึ้นไปดูไอ้คล้าว ขึ้นไปได้สักพักมันก็เดินลงมาหาผมแล้วบอก

   “พี่คล้าวหลับไปแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาดูใหม่นะทองกวาว เออว่ะ สงสัยกูจะบ้าจริงๆ ทำไมต้องมารายงานควายด้วยวะเนี่ย วุ้ย!” มันบ่นไปแล้วก็เดินเกาหัวไป ผมได้แต่ส่ายหัวกับอาการของมัน ก่อนจะมองไปทางบ้านด้วยความเป็นห่วง


   โครม!

   เสียงโครมครามจากบนบ้านกลางดึกทำให้ผมสะดุ้งตื่น แล้วผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ เมื่อทุกอย่างเงียบลงผมก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะเป็นห่วงคนข้างบน แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้อง

   “มอออ”

   สายตาก็จ้องเขม็งไปบนบ้าน ไม่นานก็เห็นว่าไอ้คล้าวเดินเซๆ ออกมาแล้วพยายามก้าวลงบันได ผมได้แต่ลุ้นอย่างใจหายใจคว่ำ กลัวว่ามันจะตกลงมาคอหักตายห่าก่อนที่จะถึงพื้น พอมันก้าวลงมาถึงพื้นเท่านั้นแหละ ผมก็ถอนใจเฮือกด้วยความโล่งใจ

   พอโล่งใจแล้วก็อดจะหงุดหงิดไอ้คนที่เดินเซตรงเข้ามาหาไม่ได้

   มันทำบ้าอะไรของมันเนี่ย!

   “ทองกวาวจ๋า” เมื่อเดินมาเกาะคอกได้มันก็เรียกเสียงหวานทันที

   อยากจะตอบจ๋าให้อยู่หรอก แต่รู้ดีว่าคงออกไปแต่เสียงมอ เลยเงียบแล้วรอฟังคนเมาพูดฝ่ายเดียว

   “ทองกวาวรู้ม๊าย ดาวเรืองมีคนหม่ายแล้ว ดาวเรืองทิ้งพี่ไปแล้ว” มันพูดไปน้ำตาไหลไปอย่างน่าสงสาร

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะปลอบยังไง ได้แต่ขยับเข้าไปใกล้แล้วเลียน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นการปลอบโยน

   ลิ้นยิ่งสากๆ อยู่ด้วย ตื่นมาหนังหน้าถลอกก็อย่ามาว่ากันนะ

   “ทองกวาวอย่าทิ้งพี่ไปนะ” มันขยับเข้ามากอดคอผมไว้แน่น

   ไม่ทิ้งไปไหนหรอก

   “สัญญากับพี่นะทองกวาว”

   สัญญา... ตราบใดที่ยังอยู่ในร่างนี้ ก็จะคอยอยู่เคียงข้าง จนกว่าจะหมดลมหายใจแน่นอน

   “พี่คล้าวรักทองกวาวนะ”

   อือ... กูก็รักมึงเหมือนกัน แล้วเมื่อไหร่มึงจะกลับมารักตัวเองสักที

   เสียงโต้ตอบที่ได้ยินขึ้นในหัว ทำให้ไอ้คล้าวปล่อยมือที่กอดคอทองกวาวออก

   ในสายตาคนเมา กลับเห็นภาพผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาแทนทองกวาวควายสุดที่รัก

   ผู้ชายที่ปรากฏเป็นรูปร่างเลือนรางตรงหน้ามองมาด้วยแววตาห่วงใย คล้าวพยายามสะบัดหน้า ลองหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมามองใหม่ ก็ยังเห็นเป็นภาพผู้ชายคนเดิม จึงได้แต่มองภาพตรงหน้านิ่งๆ แล้วคิดว่าตัวเองอาจจะกำลังฝัน จึงทิ้งตัวลงนอนแล้วหลับตาลง เผื่อจะช่วยให้ตื่นจากฝันได้ แต่ด้วยความที่ยังไม่สร่างเมาบวกกับร้องไห้จนเหนื่อยจึงทำให้เผลอหลับไป แต่ก่อนที่จะหลับ หูยังแว่วได้ยินเสียงที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   ฝันดีนะ

   แล้วคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่เขาหลับสนิท ไม่ฝันร้ายเหมือนทุกคืน


:L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-08-2018 11:12:10
น่าติดตามมากค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ

ปล. อย่าลืมเปลี่ยนเลขบทใหม่กับวันที่อัพตรงหัวข้อเรื่องของกระทู้แรกด้วยนะคะ เวลาแสดงชื่อจะได้เห็นว่าตอนต่อไปมาแล้ว
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 06-08-2018 13:47:57
สนุกค่าาา ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 06-08-2018 17:31:22
สุดยอดเลย อยากจูงมือผู้แต่งมาเขียนต่อเลย ชอบๆมาก เนื้อเรื่อง ภาษา เยี่ยมมากๆ ต้องสนุกมากแน่ นอน ติดตามๆ และ รออออออ
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-08-2018 23:42:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 07-08-2018 07:57:26

ชอบ ๆๆๆๆๆๆๆๆ    :m4:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 12-08-2018 10:19:02
1  ปีผ่านไป .......ไวจังเนอะ....มิดจี่รี่ 0_๐
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-08-2018 10:52:50
มารอพี่คร้าว
 :o11:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 1 Up 6/8/61
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 12-08-2018 11:03:07
น่าสนในนะ ไปอยู่ในร่างควายแล้วจะคุยกันรู้เรื่องได้ยังไงนี่  รอตอนต่อไปค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 2 (Up 13/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 13-08-2018 12:43:20
บทที่ 2

   เมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน ไอ้คล้าวก็ลุกขึ้นมากุมหัวด้วยอาการแฮงค์เหมือนทุกวัน แต่พออาการเริ่มดีขึ้น มันกลับมานั่งมองหน้าผมนิ่งๆ ซะอย่างงั้น

   เป็นอะไรวะ ผีเข้าเหรอ?

   “ทองกวาว”

   “มอออ”

   “ทองกวาว”

   “มอออ”

   “ทองกวาว”

   โว๊ะ! จะเรียกอะไรนักหนา ผมมองหน้าไอ้คนเรียกตาเขียว ก่อนจะสะบัดหน้าหนีด้วยความรำคาญ แต่ถึงจะหันหน้าหนีไปแล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมา ทำให้ต้องหันมามองไอ้คนจ้องด้วยความสงสัย

   จ้องอย่างกะจะเข้ามาสิง เมื่อคืนผีเข้ารึเปล่าเนี่ย!

   “พี่คล้าวววว” เสียงเรียกของไอ้ไม้ที่ดังมาตั้งแต่ร้อยเมตร ช่วยดึงสายตาไอ้คล้าวให้หันไปจากตัวผมได้ ผมถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องโล่งใจก็เถอะ

   “ตื่นแล้วเหรอพี่ ผมอุตส่าห์พาไปนอนบนบ้านแล้ว ทำไมมานอนอยู่นี่อีกแล้วล่ะ” ไอ้ไม้มองลูกพี่มันด้วยสีหน้างงๆ

   “อ๋อ ลงมาคุยกับน้องรักอีกแล้วล่ะสิ” ไอ้ไม้หันมามองผม ทำให้ไอ้คล้าวหันมามองตามไปด้วย สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยทำให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังชอบกล

   เป็นอะไรของมันวะ

   “เป็นอะไรอะพี่ ทำไมมองทองกวาวแบบนั้น” ไอ้ไม้มันถามขึ้นมาตรงใจผมพอดี

   “มึงว่าไหมว่าพักหลังๆ มานี่ทองกวาวดู... แปลกๆ ไป กูรู้สึกว่าทองกวาวเหมือนไม่ใช้ทองกวาว” ผมนี่สะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำถาม ส่วนคนฟังก็เบิ่งตากว้างๆ แล้วรีบละล่ำละลักตอบ

   “ใช่พี่ นึกว่าคิดไปคนเดียวซะอีก ทองกวาวดูฉลาดขึ้น เหมือนไม่ใช่ควายเลย ฉลาดเหมือนหมา”

   ไอ้เวรไม้! ทำไมต้องเปรียบกูเป็นหมาด้วยวะ ผมหันไปมองมันตาเขียว

   “เนี่ยๆ เหมือนมันฟังเรารู้เรื่องด้วยอะพี่” มันหันไปฟ้องไอ้คล้าวที่ยังคงจ้องผมนิ่งๆ

   เวรแล้วไง! ลืมตัว

        ไอ้ไม้มันจับหน้าผมไว้แล้วขยับหน้ามาจ้องตาผมใกล้ๆ อยู่ๆ หัวใจผมก็เริ่มเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างร้อนตัว มันหรี่ตามองอย่างจับผิด ก่อนจะพูดออกมาว่า

   “สารภาพมา... มึงเป็นหมาปลอมตัวมาใช่ไหม”

        ผมเผลอทำหน้าเซ็งใส่ไอ้คนถาม ก่อนจะ.... โขกหัวมันแม่ง!

        ปึก!

        “โอ๊ย! ทองกวาวมันเจ็บนะ” ไอ้ไม้ปล่อยมือออกไปจับหน้าผากตัวเองแล้วมองมาด้วยแววตาตัดพ้อ

         ผมเมินมันแล้วก้มหน้าลงกินฟางแห้งในรางต่อไป ลืมไปว่ายังไงตอนนี้ผมก็เป็นควาย ต่อให้ข้างในไม่ใช่ แต่ยังไง๊ ยังไงร่างกายก็ยังเป็นควาย จะต้องไปใส่ใจกับคำพูดเพ้อเจ้อของไอ้คนไม่เต็มเต็งนี่ทำไมล่ะ

          ผมมองลูกพี่ลูกน้อง ที่ยังคงจ้องอย่างกะจะเข้ามาสิงอย่างใจเย็นขึ้น

          ควายกว่าทองกวาว ก็ไอ้สองตัวนี้แหละ

         มิน่าล่ะ ถึงได้คบกันได้ เพราะมันโง่พอๆ กันนี่เอง

   คนหนึ่งโง่เพราะผู้หญิง อีกคนน่าจะโง่มาตั้งแต่เกิด สงสารคนเป็นพ่อเป็นแม่มันนะครับ

   ผมเคี้ยวเอื้องต่อไปอย่างสบายใจ

   “ว่าแต่... มึงมาทำไมแต่เช้าล่ะไม้” ไอ้คล้าวมันละสายตาจากผมไปถามไอ้ไม้ ซึ่งคนถูกถามเบิ่งตากว้างเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก

   “ชิบหาย! ลืมไปเลยว่าหลวงตาให้มาขอแรงพี่ไปช่วยซ่อมบันไดกุฏิน่ะพี่”

   “ได้สิ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะรีบไปเลย มึงจะไปก่อนหรือจะรอ”

   “รอก็ได้พี่ เดี๋ยวผมเอาทองกวาวไปผูกให้”

   “อืม ขอบใจ” พูดจบก็มองหน้าผม ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป

   “ไป ทองกวาว ไปกับพี่ไม้ เดี๋ยวพี่ไม้จะพาไปกินหญ้าอ่อนๆ”

   ถึงจะอยากอยู่ดูไอ้คล้าวอาบน้ำก่อน แต่ไม่อยากทำตัวเป็นควายมีปัญหาเลยต้องตามไอ้ไม้ไปกินหญ้าแต่โดยดี ไม่เป็นไรยังมีเวลาอีกนาน เดี๋ยวตอนเที่ยงค่อยลวนลามรวบยอดทีเดียวก็แล้วกัน ผมคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ


   
   พอถึงตอนเที่ยงคนที่มาจูงผมไปกินน้ำกลับเป็นไอ้ไม้ เพราะไอ้ไม้มันบอกว่าไอ้คล้าวยังช่วยงานที่วัดไม่เสร็จ ทำให้แผนในการลวนลามของผมต้องล่มไป

   เซ็งเลย!

   ผมเลยรีบกินน้ำแล้วรีบขึ้น ไม่แช่น้ำเล่นน้ำตามปกติ ซึ่งไอ้ไม้มันก็จูงไปหาที่ผูกบริเวณที่มีร่มและมีหญ้าอ่อนๆ ขึ้นให้ผมได้เล็มหญ้าต่อไป ผมก็ก้มหน้าก้มตาเล็มหญ้าอย่างมีความสุข พอรู้สึกร้อนๆ ก็เข้าไปนอนพักร้อนใต้ร่มไม้เป็นระยะ

   จนถึงตอนบ่ายๆ ไอ้ไม้ก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาผม

   “ทองกวาววววว ทองกวาวเห็นพี่คล้าวไหม” มันถามแล้วกวาดสายตามองหาต่อไป จึงไม่ทันเห็นว่าผมส่ายหัวให้

   “ไปไหนของเค้าวะ มีคนบอกว่าพี่คล้าวเมาแล้วเดินออกจากร้านมาแล้ว แต่ไปหาที่วัดก็ไม่เจอ ไปหาที่บ้านก็ไม่เจออีก เลยมาดูที่นี่ นึกว่าพี่คล้าวมาหาทองกวาวซะอีก” มันหันมารายงานผมตามความเคยชิน ท่าทางร้อนรนของมันทำให้ผมพลอยร้อนใจไปด้วย

   “เดี๋ยวพี่ไปหาพี่คล้าวก่อนนะ เดี๋ยวเย็นๆ พี่ค่อยมาพากลับบ้าน” พูดจบก็รีบเดินออกไป

   ผมได้แต่ยืนจ้องตามหลังมันไปจนลับตา หลังจากนั้นสายตาก็เอาแต่คอยสอดส่ายหาไอ้คล้าว ยิ่งรอก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดสินใจเดินตรงไปหาหลักที่ตอกตรึงเชือกไว้กับพื้นดิน เอาขาเตะให้หลักมันหลวมแล้วใช้แรงดึงให้หลุดออกมา

   ผมเดินลากเชือกและหลักออกตามหาไอ้คล้าวไปเรื่อยๆ ลองเดินกลับไปดูที่บ้านก็ไม่เห็นใคร ในหมู่บ้านไอ้ไม้น่าจะหาอยู่ จึงตัดสินใจเดินออกไปหาทางทุ่งนา สายตาสอดส่ายมองหา ส่วนสมองก็พยายามคิดไปเรื่อยๆ ว่ามันจะไปที่ไหนได้บ้าง ผมไล่ดูทั้งกระท่อมของคนรู้จักที่มันเคยแวะทักทายก็ไม่เจอสักที่ จนผมนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ก็รีบก้าวเร็วๆ จนแทบจะวิ่งออกไป

   ผมมุ่งตรงไปที่ต้นไทรต้นใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า มันเป็นต้นไทรริมน้ำที่ไอ้คล้าวชอบพาดาวเรืองมาเล่นน้ำเป็นประจำ ทั้งคู่ชอบมาจู๋จี๋หยอกล้อกันจนควายอย่างผมต้องเบ้ปากด้วยหมั่นไส้ทุกครั้ง ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่แห่งความทรงจำแห่งหนึ่งของไอ้คล้าวก็ว่าได้

   เมื่อไปถึงใต้ต้นไทร ผมก็มองหาร่างที่คุ้นเคยอย่างร้อนรน จนสายตาไปสะดุดกับร่างๆ หนึ่งที่ลงไปแช่น้ำในลำธารเกือบทั้งตัว ผมรีบวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าไอ้คล้าวยังหายใจอยู่ โชคดีที่ส่วนหัวมันไม่ได้จมน้ำไปด้วย เมื่อมองไปรอบๆ ตัวก็ไม่มีคนสักคน เลยพยายามก้มลงงับคอเสื้อแล้วลากตัวมันขึ้นมาจากน้ำ

   “มออออ” ผมพยายามเรียกคนที่หลับไปอย่างเป็นห่วง แต่มันก็ไม่กระดิกสักนิด ยังคงหลับต่อไป แม้ว่าจะใช้จมูกดุนๆ ตัวมันก็ยังคงนิ่ง

   มันเป็นอะไรรึเปล่าวะ ถึงจะไม่จมน้ำก็จริง แต่ผมกลัวว่าจะโดนสัตว์มีพิษกัดเข้าน่ะสิ ผมหันไปมองรอบตัวอย่างร้อนรน พยายามร้องเรียกให้คนมาช่วยก็ไม่มีวี่แววคนสักคน จึงตัดสินใจลากไอ้คล้าวให้ออกห่างจากน้ำอีกหน่อย แล้วก็วิ่งกลับไปหาไอ้ไม้

   ผมวิ่งไปหาที่บ้านแล้วร้องหาก็ไม่เจอใคร ก็เลยวิ่งเข้าหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ชาวบ้านเห็นผมต่างก็ตกใจ พยายามจะช่วยจับไว้ให้เจ้าของ แต่ผมวิ่งหนีทัน มีคนหนึ่งจับเชือกไว้ได้ ผมก็ลากให้วิ่งตามไปด้วย โดยพยายามระวังไม่ให้คนลากต้องเจ็บ จนเมื่อวิ่งไปถึงวัดก็เห็นไอ้ไม้ยืนอยู่ที่นั่นพอดี ผมรีบวิ่งตรงไปหามันอย่างรวดเร็ว

   “มออออ”

   “ทองกวาว มาได้ยังไงน่ะ” ผมตรงไปหามันแล้วงับเสื้อมันลาก

   “เฮ้ยๆ เดี๋ยว จะพาไปไหนน่ะทองกวาว”

   “ตามเขาไปเถอะไม้ เขาน่าจะมาเรียกไปช่วยเจ้าของน่ะ” เสียงอันอ่อนโยนนั้นทำให้ผมชะงักแล้วปล่อยเสื้อไอ้ไม้ทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นเสียงของภิกษุชราท่านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นหลวงตาที่ทั้งไอ้คล้าว ไอ้ไม้ และคนทั้งหมู่บ้านเคารพนับถือ

   ผมผงกหัวให้ท่านสามทีแทนการกราบ เพราะไม่สามารถจะก้มลงไปกราบได้เนื่องจากติดพุง อีกอย่างถ้ากราบได้จริงคงอเมซิ่งเกินไปละ คงจะถูกจับไปออกงานวัดแน่ๆ

   ท่านมองมาด้วยแววตาปราณี ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นเหมือนมองทะลุมายังตัวตนจริงๆ ของผม ท่านยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะบอกทั้งผมและไอ้ไม้

   “รีบไปเถอะ”

   “ครับ” ไอ้ไม้รับคำก่อนจะชวนเพื่อนอีกสองคนตามไปด้วย

   ส่วนผมก้มหัวให้ท่านอีกครั้ง แล้วรีบวิ่งนำไอ้ไม้กับเพื่อนไป ก่อนจะไปก็ได้ยินเสียงคนที่ยืนอยู่แถวนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

   “เคยเห็นแต่คนตามหาควาย เพิ่งจะเจอควายตามหาคนก็คราวนี้แหละ”



   เมื่อไปถึงไอ้ไม้ก็สำรวจร่างกายไอ้คล้าวด้วยความร้อนรนไม่แพ้กัน พอเห็นว่ามันปลอดภัยดีก็ถอนใจอย่างโล่งอก พลอยทำให้ผมถอนหายใจตามไปด้วย

   ไอ้ไม้ตบสะโพกผมแล้วบอกให้ผมนั่งลงก่อนจะช่วยกันพยุงไอ้คล้าวขึ้นบนหลังของผม ผมพยายามเดินอย่างระมัดระวังโดยมีไอ้ไม้กับเพื่อนคอยพยุงไม่ให้ไอ้คล้าวหล่นลงมาอีกที

   เมื่อไปถึงบ้าน ไอ้ไม้กับเพื่อนก็ช่วยกันพยุงคนเมาขึ้นบ้านไปจัดการจนเรียบร้อย ก่อนที่มันจะลงมาหาผม เอาฟาง เอาน้ำใส่รางไว้ให้ แล้วมันก็กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาดูแลไอ้คล้าวต่อ

   นอกจากหลวงตาก็มีไอ้ไม้นี่แหละที่ดีกับไอ้คล้าวด้วยใจจริง เพราะทั้งคู่เป็นกำพร้าเหมือนกันและโตมาด้วยกัน แต่ไอ้ไม้มันโชคดีกว่าตรงที่ยังมีลุงกับป้าคอยส่งเสียเลี้ยงดูอยู่ ไม่เหมือนไอ้คล้าวที่ไม่เหลือใครเลย

   ผมได้แต่มองไปบนบ้านด้วยความห่วงใย ยังดีที่ไอ้ไม้ติดนิสัยรายงานทุกๆ เรื่องกับควายอย่างผม มันจึงมาเล่าให้ฟังระหว่างจุดไฟไล่ยุงให้ว่าไอ้คล้าวแค่นอนหลับ ไม่ได้เป็นอะไรไม่ต้องเป็นห่วง ทำให้ผมคลายกังวลและหลับลงได้
   
   เช้าวันต่อมาไอ้คล้าวก็เดินลงบันไดตรงมาหาผมในเวลาที่เคยตื่นเหมือนทุกวัน เมื่อกวาดสายตาดูแล้วเห็นว่าสภาพร่างกายมันดูเหมือนจะปกติดีทุกอย่างก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

   ไอ้คล้าวเดินมาหยุดตรงหน้าผมแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

   อื้อหือ! รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ

   มือสากๆ ของมันลูบหัวเบาๆ อย่างอ่อนโยนไม่แพ้รอยยิ้ม

   “ขอบใจนะทองกวาว”

   หือ? เรื่อง?

   “ขอบใจที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด” ไอ้คล้าวขยับเข้ามากอดคอแล้วซบกับตัวผมนิ่งๆ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นตั้งแต่จุดที่ถูกกอดลามไปจนถึงหัวใจ

   “เมื่อคืนไอ้ไม้เล่าให้ฟังแล้วว่าทองกวาวไปตามหาพี่และช่วยพี่กลับมา” มันผละออกแล้วขยับมาเอาหน้าผากชนหน้าผากผมไว้นิ่งๆ ทำเอาควายอย่างผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาเลย นี่ถ้าเป็นคนคงหน้าแดงไปแล้ว แต่โชคดีที่ตอนนี้เป็นควาย เลยยังคงดำเหมือนเดิม มีเพียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำอยู่ในอกฟ้องให้รู้ว่าตอนนี้ผมหวั่นไหวกับการกระทำนี้แค่ไหน

   “พี่คล้าวรักทองกวาวนะ”

   โว้ย! ไอ้คล้าวววว มึงจะอ่อยใครก็ได้ แต่จะมาอ่อยควายอย่างนี้ไม่ด้ายยยย

   ผมได้แต่ประท้วงและโวยวายในใจ

   พอมันทำให้ผมหวั่นไหวสมใจแล้ว มันก็ผละออกลูบหัวเบาๆ อีกที ก่อนจะไปทำธุระส่วนตัวเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ผมกลับหื่นไม่ออก ไม่กล้ามองมันอาบน้ำเหมือนทุกวัน เพราะมัวแต่เขิน

   งื้อ... อยากเอามือปิดหน้า แต่ยกขาไม่ไหว ได้แต่เอาหัวโขกไม้ไผ่ล้อมคอกแก้เขินแทน
   



   วันนี้ไอ้คล้าวก็ไปช่วยงานที่วัดเหมือนเดิม แต่ที่แปลกไปจากเดิมคือวันนี้ไม่ได้เมากลับมา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

   มันเล่าให้ฟังว่าวันนี้หลวงตาเทศน์มันจนหูชา อีกอย่างมันก็เริ่มคิดได้แล้วว่าขนาดควายอย่างทองกวาวยังเป็นห่วงมัน มันก็ควรจะรักตัวเองด้วย ฟังแล้วผมก็ได้แต่ดีใจที่มันคิดได้สักที

   ตอนเย็นมันพาผมไปลงกินน้ำล้างเนื้อล้างตัวที่ใต้ต้นไทร ผมแช่น้ำให้มันขัดตัวให้อย่างมีความสุข เมื่อขึ้นจากน้ำมันก็ขึ้นขี่หลังผมกลับบ้าน หลังจากที่ไม่ได้ขึ้นขี่มานานแล้วตั้งแต่ดาวเรืองทิ้งไป

   แต่ก่อนไอ้คล้าวชอบเอาดาวเรืองขึ้นหลังแล้วก็จีบกันบนหลังผมเนี่ย ผมนี่ได้แต่เบ้ปากกลอกตามองบน รู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะสลัดให้หล่นให้รู้แล้วรู้รอด แต่กลัวไอ้คล้าวจะบาดเจ็บเลยต้องทน ทั้งที่ในใจนั้นเกรี้ยวกราดมาก ตอนนี้มีแค่ไอ้คล้าวที่อยู่บนหลัง ผมนี่โคตรจะรู้สึกดี เลยค่อยๆ เดินเอื่อยๆ กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี ไอ้คล้าวก็คงอารมณ์ดีไม่ต่างกัน เพราะมันเริ่มร้องเพลงออกมา

หอม..เอย หอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง
มองเห็นบัว สล้าง ลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยค่อยก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้า
เจ้าบัวตูมบัวบาน
.....
หอม..ดินเคล้ากลิ่นไอฝน
ครวญระคนหอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่วพริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนาหวานแว่ว
แผ่วดังกังวาน
โอ้ เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ..

(เพลง มนต์รักลูกทุ่ง / ผู้แต่ง : ครูไพบูลย์ บุตรขัน)

   ไอ้คล้าวร้องเพลงไป มือก็ลูบหลังผมอย่างอ่อนโยนไปด้วย สายตาผมมองภาพพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทอแสงสีส้มอมแดงสวยจับตาจับใจ หูก็ตั้งใจฟังเสียงนุ่มๆ ที่กำลังร้องเพลงไปอย่างมีความสุข ไม่รู้ว่าควายมันยิ้มได้ไหม รู้แค่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างมาก

   อยากบอกออกไปเหลือเกินว่า

   ‘รักมึงเหมือนกันนะ ไอ้คล้าวของทองกวาว’


   
   หลังจากวันนั้นไอ้คล้าวก็กลับมาเป็นผู้เป็นคน เลิกกินเหล้าเมาเหมือนหมา กลับมาทำงานขยันขันแข็งเหมือนเดิม ซึ่งผมก็แสนจะดีใจ เพราะไม่ต้องเป็นห่วงว่ามันจะเมาแล้วไปจมน้ำที่ไหนอีก

   เมื่อเข้าฤดูทำนาไอ้คล้าวก็เอาแอกออกมาล้างมาขัดและเอาคันไถไปลับให้คมขึ้น ก่อนจะเริ่มต้นพาผมลงไถนาของตัวเอง

   ดีที่ควายอย่างผมทั้งหนังหนา ทั้งอึด ทั้งถึกและบึกบึน ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ทนไหว ขนาดมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าผมอย่างไอ้คล้าวยังทนไหวเลย ผมก็ต้องทนให้ได้เหมือนกัน ระหว่างนี้ไอ้คล้าวก็บำรุงผมอย่างเต็มที่ นอกจากหญ้ากับฟางแล้ว ตอนเย็นๆ ก็เอารำมาผสมน้ำให้ผมกินด้วย ผมจึงอ้วนพีและแข็งแรงมากๆ

   เมื่อไถนาเสร็จ ไอ้คล้าวก็หว่านข้าวเรียบร้อย หลังจากนั้นก็มีคนที่มีที่นาเล็กๆ มาจ้างไปไถนาบ้าง เพราะไอ้คล้าวคิดค่าจ้างถูกกว่ารถไถนามาก

   พอท้องทุ่งนาที่เคยรกเรื้อกลายเป็นพื้นที่โล่งๆ รอวันที่ต้นกล้าข้าวขึ้น ก็ถึงเวลาที่ผมได้พักจริงๆ สักที

   พักได้ไม่กี่วัน ระหว่างที่นอนเคี้ยวเอื้องชิลๆ อยู่ในคอก ไอ้ไม้ก็จูงควายตัวหนึ่งเดินตรงมาที่บ้าน

   “พี่คล้าววววว” มันยังคงเรียกไอ้คล้าวเสียงดังตั้งแต่ระยะร้อยเมตรเหมือนเดิม ไอ้คล้าวโผล่หน้ามาดูจากชานเรือน ก่อนจะเดินลงมาเมื่อเห็นไอ้ไม้

   ผมมองไอ้คล้าวเดินไปสำรวจควายที่เดินมาถึงหน้าคอกด้วยความสงสัย

   มันซื้อควายตัวใหม่เหรอ?

   “ดี สวยดี กำลัง ‘ขึ้น’ ด้วย ชอบไหมทองกวาว” หลังจากสำรวจรูปร่างควายตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกายแล้วก็หันมาถามผมเฉยเลย

   หือ? สวย? แล้วทำไมผมต้องชอบด้วย

   หมายความว่ายังไงวะไอ้คล้าว กูงง?

   “ทำไมทำหน้าเหมือนหมางงอย่างงั้นล่ะทองกวาว นี่เจ้าสาวทองกวาวไง พี่ไม้อุตส่าห์ไปคัดแบบแจ่มๆ มาให้เลยนะ”
คำเฉลยของไอ้ไม้ทำให้ผมหันขวับไปมองเจ้าสาว เอ๊ย! ควายตัวเมียตรงหน้าทันที ซึ่งสาวเจ้าก็มองกลับมาตาหวานจนผมขนลุก!

        “สวยถูกใจไหมทองกวาว” ไอ้คล้าวหันมาถามผมก่อนจะหันไปสั่งไอ้ไม้

       “เอาเข้าคอกไปเลยไม้จะได้รู้ว่าทองกวาวชอบรึเปล่า” ไอ้คล้าวบอกไอ้ไม้เมื่อเห็นว่าผมยังจ้องตาคุมเชิงกับสาวเจ้านิ่งๆ
ไอ้คล้าวเปิดประตูคอกออก ไอ้ไม้ก็เอาควายตัวเมียเข้ามาปล่อยหน้าคอก เมื่อควายสาวเดินเข้ามาในคอกแล้วก็เดินตรงเข้ามาหาผมทันที เมื่อสาวเจ้าเข้ามาใกล้ ผมก็รีบหนีสิครับ จะรออะไร

       กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเดินหนีควายตัวเมียที่พยายามเข้ามาสีไปรอบๆ คอกอย่างกระเจิดกระเจิง!

      “เอ่อ... ดูท่าทองกวาวมันจะไม่ชอบนะพี่” ระหว่างวิ่งหนี หูก็ฟังเสียงไอ้ไม้คุยกับไอ้คล้าวไปด้วย

      “กูก็ว่างั้นแหละ ไปเอาออกมาเถอะ” ได้ยินเสียงไอ้คล้าวถอนหายใจเฮือกก่อนจะสั่งลูกน้องมันให้มาเอาควายตัวเมียออกไป
เมื่อควายตัวเมียถูกจูงออกจากคอกไปพร้อมกับสายตาตัดพ้อแล้ว ผมก็ยืนหอบแดกอยู่ในคอก เหนื่อยยิ่งกว่าไถนาอีกสัด!

     “ทองกวาว”

     ...

    “ทองกวาว”

     ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับแม้ไอ้คล้าวจะเรียกซ้ำอีกรอบก็ตาม แถมด้วยการสะบัดหน้าหนีไปอีกทางด้วย

    “เอ่อ... เหมือนมันจะงอนเลยอะพี่” ไอ้ไม้มันแสดงความคิดเห็นเมื่อมันกลับจากผูกควายตัวนั้นไว้ห่างๆ เรียบร้อยแล้ว

    “ทองกวาวยังไม่ถูกใจเหรอ เดี๋ยวพี่คล้าวให้ไอ้ไม้ไปหาที่สวยๆ กว่านี้มาให้ใหม่นะ” ไอ้คล้าวพูดเหมือนจะง้องอน

     ไม่เอาโว้ยยยย ต่อให้สวยกว่านี้กูก็ไม่เอา กูไม่ได้พิศวาสตัวเมีย!

     ยิ่งเป็นควายตัวเมียยิ่งไม่พิศวาส ถ้าตัวผู้ล่ำกล้ามใหญ่อย่างมึงก็ว่าไปอย่าง

      เอ่อ... แต่ถ้าตัวเป็นควายตัวผู้ก็ไม่เอาเหมือนกันนะ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!

     พอเห็นว่าผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไอ้คล้าวก็เดินเข้ามาหาแล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน

     “ตกใจเหรอ พี่ขอโทษ โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะ ยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรพี่รอได้”

        เฮ้อ! ถ้าผมยังอยู่ในร่างนี้ กลัวว่ามันจะต้องรอจนชั่วชีวิตน่ะสิ ก็รู้อยู่หรอกว่าถ้าผสมพันธุ์แล้วจะได้ลูกควายมาให้มัน แต่ผมทำใจไม่ได้จริงๆ นะ

       ฮือออ ไอ้คล้าวกูขอโทษ


   หลังจากนั้นไอ้คล้าวก็ยุ่งอยู่กับการไปช่วยเตรียมจัดงานประจำปีของหมู่บ้านซึ่งจัดเป็นประจำทุกปีที่วัด ทำให้ผมรอดตัวจากการดูตัวไปอีกระยะ

   ช่วงที่มันว่างมันก็ตัดไม้ไผ่มาทำแคร่แล้วเอามาวางใกล้ๆ คอกของผม ตอนกลางคืนก็หอบหมอนหอบมุ้งครอบมานอนถอดเสื้ออวดซิกแพคอยู่ใกล้ๆ ผมนี่น้ำลายไหลแล้วไหลอีก

   คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งล่ำ  ... ใหญ่ กล้ามครับกล้าม อ่า... ผมหมายถึงกล้าม จริงๆ นะ แหะๆ เป็นผู้ชายที่งานดี งานละเอียด งานพรีเมี่ยม เห็นแล้วอยากลงไปคลุกจริงๆ ให้ตายสิ!

   ช่วงนี้นี่เป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากกกกก พอไอ้คล้าวไม่ได้กินเหล้าแล้วมันก็ดูแลเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี ถึงจะมีสาวๆ หอบปิ่นโตมาฝากถึงบ้าน มันก็เฉยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหวั่นไหวกับใครสักคนจนผมแสนจะโล่งใจ

   ผมรู้ตัวดีว่าในตอนนี้ผมคง ‘รัก’ มันเข้าแล้ว

   ถึงตอนนี้จะเป็นควายแต่ก็มีหัวใจนี่ครับ ยิ่งเป็นควายที่จิตใจเป็นคนก็ยิ่งไม่แปลกที่จะหลงรักคนอย่างมันได้ง่ายๆ

   พอนึกถึงสภาพของตัวเองแล้ว ก็คงได้แต่ทำใจ เพราะถ้ายังอยู่ในร่างนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีทางสมหวังอยู่แล้ว

   แต่ก็ช่างมันสิ ขอแค่ได้รักก็พอ ต่อให้มันไม่รักตอบก็ช่าง ได้มาเจอ มาใกล้ชิด ได้รักคนอย่างมันผมก็พอใจและมีความสุขมากแล้ว

   ผมมองคนที่เอาหญ้าใส่รางให้ด้วยแววตาอ่อนโยนและแสนรัก

   รักมึงนะไอ้คล้าว

   “จ้องขนาดนี้หิวเหรอทองกวาว กินสิ หญ้าอ่อนๆ ทั้งนั้นเลย” พูดจบมันก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดู

   ผมกลอกตาด้วยความเซ็ง มันไม่ดีก็ตรงเนี้ยะ สื่ออะไรไปมันก็ไม่เข้าใจ

   เซ็งโว้ยยยย

#####################################

น้องทองกวาวกับพี่คล้าวมาแล้วค่าาาาา

"ขึ้น" เป็นศัพท์แถวบ้านที่แปลว่ากำลังติดสัดค่ะ

อย่าสงสารพี่คล้าวเลยค่ะ สงสารทองกวาวดีกว่า รัก แต่พูดไม่ได้ ถถถ วงวาร

พยายามจะเข็นออกมาเรื่อยๆ ใจเย็นๆ นะคะทุกคนนนนนน

ถ้างานไม่เข้า อารมณ์ดีๆ มันก็จะเขียนได้เร็วหน่อยค่ะ แต่ถ้าเครียดๆ และงานเข้าต่อเนื่องนี่ ตันอย่างเป็นทางการค่ะ ฮึก

 :katai4:

#มนต์รักริมทุ่ง

รักกกกกกก
 :L1:
หัวข้อ: Re: ►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄ เริ่ม 2/8/18 บทที่ 2 (Up 13/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 14-08-2018 13:11:59
 :mew1: :กอด1:มาแร้วๆ ชอบเรื้องนี้สุดๆ ขอบคุณและเป็นกำลังใจ ให้ผู้แต่ง จร้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 13/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-08-2018 17:25:18
แหม ทองกวาวมีงอนด้วย ก็อย่างว่าแหละน้าาา หลงรักคนเลี้ยงเข้าให้แล้ว
ว่าแต่ตอนที่ไปลวนลามพี่คร้าว แล้วนุ้งทองกวาวไม่ตื่นตัวตรงนั้นบ้างเหรอ อิอิ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 13/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-08-2018 20:31:17
แหม ทองกวาวมีงอนด้วย ก็อย่างว่าแหละน้าาา หลงรักคนเลี้ยงเข้าให้แล้ว
ว่าแต่ตอนที่ไปลวนลามพี่คร้าว แล้วนุ้งทองกวาวไม่ตื่นตัวตรงนั้นบ้างเหรอ อิอิ
 :hao6: :hao6:

ทองกวาว แอบลวนลามพี่คร้าว..........
ตอนนั้นอยู่ในน้ำ  อะไรๆ ที่ตื่นตัว ก็เลยซ่อนอยู่ในน้ำ  :ling1:
แต่ เอ๊.......หรือพี่คร้าวแอบเห็นตรงนั้นที่ตื่นตัว   :m20:
เลยให้ไม้ หาสาวควายมาให้ทองกวาวไง  กร๊ากกกกกก   :laugh: :laugh: :laugh:
ทองกวาวอย่างอนเลยนะ   :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 13/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 16-08-2018 02:09:19
ทองกวาว พี่คล้าวน่ารักมากเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 13/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-08-2018 12:14:11
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 3 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 22-08-2018 09:28:57
บทที่ 3


   วันนี้เป็นวันแรกของงานประจำปีของหมู่บ้าน ไอ้คล้าวบอกว่าจะมีการจัดประกวดควายซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงานที่จัดขึ้นทุกปี

   หลังจากที่ขัดสีฉวีวรรณ บำรุงบำเรอผมอย่างเต็มที่ ไอ้คล้าวก็จูงผมมาร่วมงานประกวดในครั้งนี้ด้วย

   ระหว่างเดินเคียงมากับไอ้คล้าว ผมก็มองบรรยากาศในงานอย่างตื่นตาตื่นใจ สองข้างทางมีทั้งร้านรวงที่ขายทั้งของกินของใช้ตั้งเรียงรายติดกันไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีหลอดไฟหลากสีที่เอามาประดับเพื่อให้แสงสว่างและเพื่อความสวยงามตั้งอยู่ทั่วทุกจุดที่ผ่าน

   เมื่อแหงนมองไปข้างบนก็มองเห็นชิงช้าสวรรค์ตั้งอยู่ไกลๆ เห็นแล้วอยากขึ้นชะมัด แต่เขาคงไม่ให้ควายขึ้นไปหรอก ถึงจะขึ้นได้ก็คงยัดเข้าไปในกระเช้าไม่ได้อยู่ดี แค่นึกภาพตามร่างนี้ถูกยัดเข้ากระเช้าก็อดจะขำไม่ได้

   “ทองกวาวเป็นอะไร ทำไมตัวสั่น หนาวเหรอ หืม”

   กูขำโว๊ย ไม่ได้หนาว!

   เฮ้อ! ไม่ต้องใส่ใจขนาดนี้ก็ได้ป่ะ ไอ้คล้าวนี่ดูแลควายดียิ่งกว่าเมียอีกเนี่ย จนบางทีก็เผลอคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปก็คงจะดี แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้

   เฮ้อ!

   ผมหยุดเดินแล้วมองหน้าไอ้คล้าว ซึ่งมันก็มองกลับมาด้วยแววตาสงสัยว่าผมหยุดทำไม ก่อนที่มันจะทำท่าเหมือนจะนึกอะไรออก

   “ขี้ตรงนี้ไม่ได้นะทองกวาว มันสกปรก ไปรีบเดินเถอะจะได้ไปขี้ที่สนามประกวดเลย”

   โว้ยยยยยย กูไม่ได้ปวดขี้ แม่งเอ๊ย! เข้าใจไปคนละทิศคนละทางกันเลย ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความเพลีย

   ช่างแม่งเถอะ! คิดไปก็ปวดหัว คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาก็แล้วกัน!


   ไอ้คล้าวจูงผมไปถึงสนามประกวดควาย ซึ่งมีคอกที่กั้นเป็นล็อคๆ เรียงกันยาวเหยียด กะจากสายตาแล้วคงมีหลายสิบล็อค โดยเว้นช่องว่างแคบๆ ระหว่างล็อคเอาไว้เพื่อให้คณะกรรมการเดินสำรวจควายได้ง่ายๆ

   เมื่อไปถึง มันก็จูงผมเข้าล็อคหมายเลข 13 แหม่! ลัคกี้นัมเบอร์ด้วยแฮะ ก่อนที่มันจะอนุญาตให้ผมขี้ออกมาได้ ผมได้แต่กลอกตา นี่ถ้าเป็นควายจริงๆ คิดว่ามันจะอั้นไว้ได้นานขนาดนี้ไหม

   เฮ้อ! เพลียกับมันจริงๆ

   ระหว่างที่รอ ผมก็มองควายตัวอื่นๆ ที่ถูกเจ้าของจูงเข้ามาไปเรื่อยๆ บางทีถ้าคนจูงยังหนุ่มยังแน่นแถมหน้าตาดีบ้างก็เผลอมองนานหน่อย แต่มองจนทั่วทั้งงานก็ไม่มีใครสู้ไอ้คนที่ลูบหลังอย่างอ่อนโยนนี่ได้สักคน

   รู้สึกภูมิใจยังไงก็ไม่รู้

   เพียงไม่นานก็ถึงเวลาเปิดงานโดยมีนายอำเภอเป็นประธานในพิธี หลังพิธีเปิดงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มงานประกวดควายเป็นอย่างแรก ผมยืนนิ่งๆ ให้คณะกรรมการมาเดินวนรอบๆ เพื่อให้คะแนน ระหว่างที่กรรมการสำรวจผม ผมก็สำรวจคณะกรรมการแต่ละคนไปด้วย

   มีแต่คนแก่ๆ ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย

   “ชื่อทองกวาวเหรอ” ผมหันขวับไปมองเมื่อท่านนายอำเภอซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสินซึ่งมายืนอยู่หน้าคอก มองป้ายชื่อแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

   “ครับ” ไอ้คล้าวที่อยู่ข้างๆ รับคำด้วยสีหน้าขัดเขินอย่างน่าเอ็นดูจนผมได้แต่มองตาปรอย

   ผมละสายตาจากไอ้คล้าวไปสำรวจนายอำเภอที่แม้อยู่ในวัยกลางคนแล้ว แต่ก็ยังมีเค้าความหล่ออยู่ไม่น้อย นอกจากหล่อแล้วท่านยังมีความสง่าและความสุขุมนุ่มลึกที่คนหนุ่มๆ ไม่มี

   ยืนใกล้ๆ กันแบบนี้แล้วสาวๆ คงตัดสินใจเลือกไม่ถูก

   คนหนึ่งหล่อเหลาเบาปัญญา แฮ่ม! หมายถึงหล่อคมเข้มเร้าใจ ส่วนอีกคนหล่อสง่าดูมั่นคง

   ยืนนานๆ ก็ชักจะเพ้อเจ้อแฮะ แต่ว่าท่านนายอำเภอก็งานดีจริงๆ น้า ตอนหนุ่มๆ คงฮ็อตน่าดูเลย

   ผมมองคนทั้งคู่เคลิ้มๆ ไม่ขอเลือกได้ไหม ขอเหมาทั้งคู่เลย!

   กว่ากรรมการจะไล่ดูจนครบทุกคอก ผมก็ยืนจนเมื่อยขา ช่วงที่กรรมการไปดูคอกอื่นๆ ก็เลยทิ้งตัวลงนอนแก้เมื่อยบ้าง เมื่อมีคนมาก็ค่อยยืนให้ชื่นชมในรูปร่างอันถึกและบึกบึนของตัวเองต่อไป

   ระหว่างที่รอกรรมการรวบรวมคะแนน ไอ้ไม้ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหา

   “เป็นไงบ้างพี่คล้าว”

   “รอกรรมการตัดสินอยู่”

   “ตื่นเต้นไหมทองกวาว” มันหันมาถามด้วยแววตาตื่นเต้น

   โถ... ถามตัวเองเถอะไอ้หนู ถามอย่างกะควายจะตอบมันได้งั้นแหละ ไอ้สองตัวนี้นี่เคยชินกับการคุยกับควายจริงๆ    ผมเลิกสนใจคนทั้งคู่แล้วทิ้งตัวลงนอนแล้วเคี้ยวเอื้องมองคนที่เดินไปเดินมาชิลๆ

   “เรียนท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ผลการประกวดก็มาอยู่ในมือผมแล้วนะครับ ก่อนอื่นก็มาเริ่มที่รางวัลชมเชยก่อน รางวัลชมเชยของเรามีทั้งหมดสิบรางวัล และควายที่ได้รับรางวัลชมเชยทั้งสิบรางวัล ได้แก่ หมายเลข ....”

   “เฮ” สิ้นเสียงประกาศของพิธีกรในการประกวด เสียงเฮ เสียงโห่ ของเจ้าของควาย กองเชียร์ และคนที่มาร่วมชมการประกวดก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วอาณาบริเวณ

   พิธีกรเชิญเจ้าของควายทั้งสิบขึ้นเวทีไปรับเงินรางวัลกับท่านนายอำเภอ แต่ละคนยิ้มกว้างรับรางวัลและถ่ายรูปด้วยความยินดี จนคนที่ดูอยู่อดจะยิ้มไปด้วยไม่ได้

   “และแล้วก็มาถึงรางวัลสำคัญสำหรับการประกวดในครั้งนี้แล้วนะครับ รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่....” เสียงดนตรีเร่งเร้าชวนให้ลุ้นระทึก ทุกคนที่อยู่ในบริเวณต่างก็นิ่งและเงียบเสียงลงอย่างไม่รู้ตัว

   ผมมองลูกพี่ลูกน้องที่ยืนลุ้นจ้องพิธีกรประกาศผลอย่างเอ็นดู

   “หมายเลข... 35 เจ้าสายฟ้า”

   “เฮ” เสียงเฮดังลั่นพร้อมกับเจ้าของควายที่กระโดดโลดเต้นทำให้บรรยากาศครื้นเครงยิ่งขึ้น หลังจากเจ้าของควายขึ้นไปรับถ้วยรางวัลพร้อมเงินรางวัลแล้วพิธีกรก็ประกาศต่อ

   “ต่อไปก็เป็นรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่........ หมายเลข....... 2 เจ้าดำทมิฬ”

   “เฮ” เสียงเฮดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง คนที่ได้รางวัลที่ดีใจไป ส่วนคนที่พลาดรางวัลก็มีสีหน้าผิดหวัง รวมทั้งสองคนข้างหน้าผมด้วย

   “ต่อไปก็เป็นรางวัลใหญ่ที่สุดสำหรับการประกวดในครั้งนี้นะครับ ซึ่งรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศในครั้งนี้ประกอบไปด้วยถ้วยรางวัลชนะเลิศจากท่านนายอำเภอ และเงินสดจำนวนหนึ่งแสนบาท นอกจากนี้ควายที่รับรางวัลชนะเลิศยังจะได้เป็นตัวแทนไปประกวดกับจังหวัดอื่นๆ ในเวที ‘กระบืองามในสามโลก’ ซึ่งเป็นการประกวดระดับประเทศอีกด้วยครับ”

   ระหว่างที่พิธีกรประกาศก็ได้ยินเสียงฮือฮาจากผู้ชมเป็นระยะ

   “รางวัลชนะเลิศการประกวดควายงามปี 2561 ได้แก่...” เสียงดนตรีเร่งเร้าและยาวนานยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ ทำให้กองเชียร์ลุ้นจนแทบจะลืมหายใจ

   “หมายเลข.......” แถมยังลากเสียงยาวจนอยากจะปาข้าวของใส่หน้า

   “หมายเลข..... 13 เจ้าทองกวาว”

   “เฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”

   “เย้ ทองกวาวชนะแล้วพี่คล้าว ทองกวาวชนะแล้ววว เฮ” ไอ้ไม้มันกระโดดโลดเต้น แล้วกอดไอ้คล้าวด้วยความดีใจ ในขณะที่ไอ้คล้าวก็ยิ้มกว้างตบหลังลูกน้องมันหนักๆ ก่อนที่มันจะหันมายิ้มให้ผมด้วยแววตาที่เป็นประกายและเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ

   ส่วนผมก็ลุกขึ้นมายืนด้วยความดีใจ อยากกระโดดเหมือนกันแต่กระโดดไม่ขึ้นเพราะหนักพุง เมื่อเห็นมันหันมามองก็หันไปสบตาแล้วยิ้มให้มันด้วยความภูมิใจไม่แพ้กัน

   ไอ้คล้าววิ่งขึ้นไปรับรางวัลกับนายอำเภอบนเวที เมื่อรับรางวัลเรียบร้อยแล้วนายอำเภอก็เดินลงมาขอถ่ายรูปกับผมด้วย ไอ้คล้าวจึงเปิดคอกแล้วจูงผมออกมาข้างนอกเพื่อถ่ายรูปกับท่าน

   หลังจากนั้นก็มีหลายคนเข้ามาแสดงความยินดีกับไอ้คล้าวและมาดูควายที่ได้รับรางวัลอย่างผมด้วย ซึ่งผมก็ยืนนิ่งๆ ให้ทุกคนได้ชื่นชมแต่โดยดี

   นอกจากนี้ก็มีคนมาขอถ่ายรูปกับผมและไอ้คล้าวไม่ขาดสาย โดยเฉพาะสาวๆ ที่สนใจถ่ายกับเจ้าของควายเป็นพิเศษ ผมได้แต่มองตาขวาง แต่ไม่อยากทำตัวมีปัญหาเลยยืนให้ถ่ายรูปนิ่งๆ แต่โดยดี

   แต่เมื่อเห็นไอ้คล้าวเมินสายตาเชิญชวนของสาวๆ ทุกคน ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลย สายตายังคงมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนโยน พร้อมกับลูบหัวลูบตัวเบาๆ ตลอดเวลา ผมก็เลยโล่งใจและหันไปแสยะยิ้มให้กล้องต่อไป

   เมื่อคนโล่งขึ้นเพราะทยอยออกไปเดินเที่ยวงานแล้วก็มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหา

   “ไม่เห็นจะสวยเท่าไหร่เลย สู้ดำทมิฬของเราก็ไม่ได้” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นระหว่างยืนมองผมด้วยแววตาเหยียดๆ ไปด้วย

   “นั่นน่ะสิ สงสัยกรรมการจะตาถั่ว แก่กันแล้วก็เงี้ยะ” พอคนหนึ่งเริ่มอีกคนก็ตามทันที

   “ว่าไงนะ” ไอ้ไม้หันขวับไปมองไอ้คนพูดทันที

   “หูตึงอ่อ”

   อ่อพ่อง! อันนี้ผมคิดในใจ... ไอ้ไม้ไม่ได้พูด

   ไอ้คล้าวรั้งไอ้ไม้ไว้ เมื่อมันทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาไอ้พวกนั้น มันส่ายหน้าปรามๆ ไม่ให้มีเรื่อง ส่วนผมก็อดจะแปลกใจไม่ได้เมื่อไอ้ไม้มันดูหัวร้อนผิดปกติ

   “จุ๊ๆๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็ไอ้คล้าว... ที่เพิ่งถูกเมียทิ้งไปนี่เอง” ไอ้คนที่ดูท่าทางเหมือนลูกพี่มันเดินตรงมาหาไอ้คล้าวแล้วพูดด้วยสีหน้ายียวน จนผมรู้สึกอยากจะถีบยอดหน้าขึ้นมาตงิดๆ

   ไอ้คล้าวกัดฟันและกำมือตัวเองแน่นเมื่อเห็นหน้ามัน

   รู้สึกเหมือนทั้งคู่จะมีซัมติงรองกันมาก่อน

   “ไอ้เด่น มึงต้องการอะไร” ไอ้คล้าวถามไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

   “กูก็แค่มาทักทายมึงตามประสาเพื่อนเก่าเฉยๆ ดาวเรืองทิ้งไปนี่รู้สึกยังไงบ้างวะ”

   ไอ้คล้าวยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตากลับมีแววเจ็บปวดขึ้นมาครู่หนึ่ง ทำให้ไอ้คนที่จ้องอยู่เห็นทันจึงยิ้มเยาะแล้วพูดต่อ

   “ถึงดาวเรืองจะเลือกมึง แต่สุดท้ายคนจนๆ อย่างมึงก็ถูกทิ้งอยู่ดี นี่กูอุตส่าห์แนะนำให้ดาวเรืองเจอกับผัวใหม่ด้วยตัวเองเลยนะ แถมยังช่วยยุให้ผัวใหม่มันพาดาวเรืองหนีไปอีกด้วย นี่กูหวังดีทำเพื่อมึงเลยนะ เพราะกูสงสาร กลัวคนจนๆ อย่างมึงจะเลี้ยงดาวเรืองไม่ไหว”

   “ไอ้เหี้ยแด่น” ไอ้ไม้ตะคอกแล้วทำท่าจะพุ่งไปต่อย เมื่อไอ้คนตรงหน้าพูดถึงเรื่องของดาวเรือง ซึ่งลูกน้องของมันก็ทำท่าพร้อมจะมีเรื่องทันทีเหมือนกัน

   “ไอ้ไม้อย่า!”

   “ส่วนมึงนี่ก็ยังทำตัวเป็นหมาที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของเหมือนเดิมนะไอ้ไม้ มาอยู่กับกูดีกว่าไหม กูมีเงินเลี้ยงมึงให้อิ่มหนำสำราญยิ่งกว่าอยู่กับไอ้คล้าวอีกนะ”

   “ใครมันจะไปอยากอยู่กับคนชั่วๆ อย่างมึงวะ”

   “หึๆๆ งั้นพวกมึงก็แดกหญ้ากันต่อไปก็แล้วกัน”

   “มึงทำไปทำไม มึงทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร” ไอ้คล้าวกัดฟันถามด้วยสีหน้าเหมือนพยายามอดกลั้นอย่างที่สุด
ไอ้เด่นมันขยับเข้ามาใกล้แล้วจ้องตาไอ้คล้าวด้วยสีหน้านิ่งๆ

   “กูไม่ได้ ก็อย่าหวังว่ามึงจะได้เลย ไอ้คล้าว” พูดจบก็แสยะยิ้มแล้วหันหลังเดินจากไป

   “กลับโว้ย เหม็นสาบคนจนว่ะ” ก่อนจะทิ้งคำพูดกวนตีนส่งท้าย

   “ฮ่าๆๆๆๆๆ” ส่วนลูกน้องมันก็หัวเราะเหมือนคนไม่มีสมองตามไป

   บรรยากาศตอนนี้ผิดกับก่อนหน้านี้เหมือนหน้ามือกับหลังตีน ผมมองไอ้คล้าวที่กำเงินรางวัลในมือแน่น
มันยังไม่ลืมดาวเรืองสินะ ที่เห็นมันดูเหมือนปกติอยู่ทุกวันนี้ มันแค่พยายามซ่อนความรู้สึกของตัวเองไว้เท่านั้นเอง

   ผมได้แต่มองแผ่นหลังมันเงียบๆ

   สู้กับคนที่มันรัก สู้ให้ตายก็สู้ไม่ได้

   ยิ่งสู้ในสภาพที่เป็นควายแบบนี้ ตายแล้วไปเกิดใหม่ก็ไม่รู้จะสู้ได้รึเปล่าเลย

   เฮ้อ! เศร้าแท้ ชีวิตกู


   ขากลับนี่เราสองคนเดินกลับกันอย่างเงียบๆ ไอ้คล้าวเหมือนยังคิดอะไรอยู่ในใจสักอย่าง ในขณะที่ผมก็รู้สึกหงอยอย่างบอกไม่ถูก ส่วนไอ้ไม้นั้นหลังจากที่ปลอบไอ้คล้าวแล้วก็โดนไอ้คล้าวไล่ให้ไปเที่ยวงานวัดต่อ ซึ่งมันก็ยอมแยกไปแต่โดยดี เพราะเห็นว่าจะไปจีบสาวที่ชอบต่อ

   ไอ้คล้าวมันพาเดินกลับเลี่ยงคนไปอีกทาง ซึ่งเป็นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยว นานๆ จะเจอคนเดินผ่านมาสักคน

   “ปล่อยแป้งเดี๋ยวนี้นะไอ้แด่น”

   เสียงคุ้นๆ นั้นทำให้ผมหูผึ่ง ส่วนไอ้คล้าวก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

   “ถ้ากูไม่ปล่อย มึงจะทำไมฮึไอ้ไม้”

   “พี่เด่น ปล่อยแป้งนะ”

   เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นไอ้ไม้กับโจทย์ที่เพิ่งเจอไปเมื่อครู่อยู่กันครบ นอกจากนี้ยังมีสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ซึ่งไอ้เด่นมันโอบไว้ด้วย ยังไม่ทันได้ไปถึง ไอ้ไม้มันก็ถีบลูกน้องคนหนึ่งของไอ้เด่นไปซะก่อน

   แล้วไอ้คนที่เหลือก็เข้าไปรุมมันเหมือนหมาหมู่ทันที!

   “เฮ้ย! หยุดนะ” ไอ้คล้าวมันปล่อยเชือกที่จูงผมไว้แล้ววิ่งไปช่วยลูกน้องมันอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็รีบก้าวตามไปติดๆ
ผมมองคนทั้งคู่ที่สู้กับคนเกือบสิบด้วยความกระวนกระวายใจ ถึงจะฝีมือดีและแข็งแรงแค่ไหน ก็เสียเปรียบเพราะคนน้อยกว่า ผมเลยตัดสินใจส่งเสียงร้องเพื่อเรียกคนให้มาช่วย

   “มอออออ มอออออ มอออออ”

   ระหว่างที่รอก็พยายามเอาตัวเข้าไปกันไม่ให้พวกมันเข้าไปทำร้ายไอ้คล้าวกับไอ้ไม้ได้ ส่วนปากก็แหกร้องต่อไป

   “มอออออ มอออออ”

   “อย่ามาขวางทางสิวะ ไอ้ควายเหี้ย”

   คงไม่เหี้ยเท่ามึงมั้งสัด! กูไม่ขวิดมึงตายห่าก็ดีแค่ไหนแล้ว

   “มอออออ”

   “เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

   และแล้วการแหกปากร้องผมก็เป็นผล เมื่อมีชาวบ้านเกือบสิบคนวิ่งเข้ามาช่วย ซึ่งไอ้พวกนี้มันก็รีบวิ่งหนีไปทันที เพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกมัน

   “เป็นอะไรรึเปล่าไอ้คล้าว” คนที่เพิ่งมาถึงถามไอ้คล้าวด้วยความเป็นห่วง

   “พี่ไม้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ส่วนน้องแป้งก็ไปถามไอ้ไม้ด้วยความห่วงใยเหมือนกัน

   “ไม่เป็นไรครับลุง ขอบคุณที่เข้ามาช่วยนะครับ” มันยกมือไหว้ลุงและทุกคนที่มาช่วยอย่างเรียบร้อย ทำให้ไอ้ไม้ยกมือไหว้ขอบคุณตามลูกพี่มันด้วย

   น่ารักจริงๆ

   “เออๆ ไม่เป็นไร นี่มึงกับไอ้เด่นยังไม่ถูกกันอีกเหรอ” ซึ่งคนรับไหว้ก็คงรู้สึกเหมือนกันเพราะทุกคนยิ้มรับด้วยความเอ็นดู ก่อนจะถามมันต่อ

   “พี่คล้าวไม่มีปัญหาอะไรหรอกลุง มีแต่มันนั่นแหละที่มีปัญหา แค่แต่ก่อนพี่ดาวเรืองเลือกพี่คล้าว ไม่ได้เลือกมัน มันก็กัดไม่ปล่อยมาจนป่านนี้นี่แหละ แพ้แล้วพาลจริงๆ ไอ้หมาแด่นเนี่ย” ไอ้ไม้มันตอบแทน ทำให้ผมรู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้มันเป็นศัตรูกันนี่เพราะแย่งกันจีบดาวเรืองนี่เอง

   “เฮ้อ! มึงก็ระวังตัวไว้บ้างแล้วกัน ไอ้เด่นมันเกเร พ่อมันคอยตามใจและคอยปกป้อง กูกลัวมันจะไม่หยุดแค่นี้”

   “ขอบคุณครับลุง ผมจะระวัง”

   “เออๆ กลับบ้านไปเถอะ เดี๋ยวพวกลุงยืนรอตรงนี้ เผื่อพวกมันกลับมาอีก ไอ้ไม้ไปกับไอ้คล้าวเลยก็แล้วกัน อยู่คนเดียวมันอันตราย เดี๋ยวลุงจะพาแป้งไปส่งบ้านให้เอง”

   “ขอบคุณครับ / ขอบคุณค่ะลุง”

   น้ำใจของคนบ้านเดียวกัน ทำให้ไอ้คล้าวกับไอ้ไม้รวมทั้งผมยิ้มด้วยความซึ้งใจ ผมมองหน้าสองคนนี่แล้วรู้สึกเจ็บแทน หน้าหล่อๆ ของไอ้คล้าวนี่ยับเยินเลย คงหมดหล่อไปอีกสักพัก

   เซ็งเลย! อาหารตาของผม


   เมื่อไปถึงบ้าน ไอ้คล้าวก็หาน้ำแข็งมาประคบและหายามาผลัดกันทากับไอ้ไม้ที่แคร่ หน้าช้ำๆ หลายจุดนั่นวันพรุ่งนี้คงมีสีสันดีพิลึก

   “โอ๊ย! พี่คล้าว เบาพี่เบา”

   “มึงจะร้องทำไม ตอนโดนต่อยไม่เห็นมึงจะร้อง”

   “โธ่! ก็ตอนนั้นต่อหน้าน้องแป้งนี่พี่ มันก็ต้องรักษาภาพพจน์กันหน่อย จะได้ดูเท่ๆ” ฟังคำตอบแล้วทั้งไอ้คล้าวทั้งผมได้แต่ส่ายหน้า ไอ้คล้าวคงหมั่นไส้เลยจิ้มแรงๆ ไปอีกที

   “โอ๊ย! มือหนักชะมัด นี่มือหรือตีนพี่”

   “ลองตีนกูหน่อยไหมล่ะ”

   “พอเถอะพี่ ได้มาหลายตีนแล้วเนี่ย”

   “มึงก็กล้าไปมีเรื่องกับมันตัวคนเดียวนะ ถ้ากูไม่ไปเห็นจะเป็นยังไงมึงคิดบ้างไหม” ไอ้คล้าวถามด้วยน้ำเสียงดุๆ

   “แหะๆ ก็ตอนนั้นมันโมโหจนหน้ามืดนี่พี่ อยู่ๆ ไอ้ห่านั่นก็มาลากน้องแป้งไปกอดเฉยเลย จะทิ้งน้องแป้งหนีไปก็ไม่ได้ไงพี่”

   “เฮ้อ! ต่อไปก็ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน อย่าพากันไปอยู่ในที่เปลี่ยวๆ แบบนั้นอีก”

   “คร้าบพ่อ เอ๊ย! พี่” ไอ้ไม้มันว่าเสียงทะเล้น ก่อนจะร้องจ๊ากเมื่อไอ้คล้าวแกล้งกดแผลมันแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้

   พอทำแผลเรียบร้อยแล้วไอ้ไม้ก็กลับบ้าน บอกว่าจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานอนเป็นเพื่อน เพราะยังไงคืนนี้คงไม่ได้ไปเที่ยวงานแน่ๆ กลัวจะเจอไอ้พวกนั้นอีก ไอ้คล้าวเลยมาเดินวนรอบตัวผมดูว่าผมโดนลูกหลงไปบ้างรึเปล่า พอเห็นไม่มีอาการอะไรผิดปกติก็ถอนใจอย่างโล่งอก



   ผมนอนฟังเสียงดนตรีจากงานวัดที่ลอยมาตามลมจนเคลิ้มหลับไป ระหว่างที่ผมกำลังฝันดีว่ากำลังนอนกอดไอ้คล้าวอยู่นั้น หูก็ได้ยินเสียงย่ำฝีเท้าและเสียงกระซิบกระซาบกันดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ผมต้องตื่นมาด้วยความขุ่นมัวเพราะฝันดีๆ ถูกขัดจังหวะ

   เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นคนสองคนใส่ไอ้โม่งเดินตรงมาที่คอก ส่วนอีกห้าคนตรงไปที่บ้าน ซึ่งวันนี้ไอ้คล้าวขึ้นไปนอนบนนั้น  เพราะมีไอ้ไม้มานอนด้วย มุ้งครอบเพียงอันเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะจุผู้ชายตัวควายๆ สองคนได้

   ผมรีบผุดลุกขึ้นแล้วแหกปากร้องเตือนไอ้คล้าวทันที!

   “มอออออ มอออออ มอออออ”

   “ไอ้ควายเหี้ย! มึงจะร้องทำห่าอะไรวะ”

   ผมจำเสียงของมันได้ ไอ้คนเหี้ยที่ด่าผมเมื่อตอนกลางวัน!

   เมื่อไอ้คล้าวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มันก็รีบวิ่งมาที่หน้าบ้าน พอเห็นว่ามีไอ้โม่งกำลังเดินตรงไปหามัน มันก็วิ่งกลับเข้าไปแล้วหยิบอาวุธซึ่งเป็นดาบออกมาใหม่ พร้อมกับปลุกไอ้ไม้มาด้วย

   มันลงบันไดมาถือดาบคุมเชิงแล้วถาม

   “พวกมึงจะทำอะไร! ออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้นะ”

   ไอ้พวกนั้นไม่พูด แต่มองหน้ากันแล้วชักดาบพี่พกมาด้วยออกมาแล้วเข้าไปสู้กับมันแทน

   ผมได้แต่มองอย่างกระวนกระวายใจ พยายามสลัดไอ้สองคนที่เข้ามาแกะเชือกที่ผูกไว้และพยายามจะจูงผมไป  สายตาก็จ้องไปทางไอ้คล้าวกับไอ้ไม้อย่างเป็นห่วง

   เมื่อสลัดไอ้สองตัวข้างๆ จนล้มได้ก็วิ่งออกไปหาไอ้คล้าวกับไอ้ไม้ทันที

   แม่งเอ๊ย! มีแต่ตัวกับเขานี่ช่วยอะไรได้บ้างวะ

   ผมก้มหัวลงแล้วใช้เขาแกว่งใส่พวกมันเพื่อขู่จะขวิด และใช้ขาช่วยถีบพวกมันไปด้วย ยังดีที่พวกมันไม่ทำร้ายผม เดาว่าเป้าหมายของมันน่าจะมาเพื่อขโมยไปขายมากกว่า

   จังหวะที่ไอ้คล้าวไม่ทันระวังก็มีหนึ่งในนั้นเงื้อดาบจะฟันมันจากข้างหลัง

   ผมรีบพุ่งเข้าไปผลักไอ้คนนั้นออกไป

   “ไอ้ควายเหี้ย!” มันร้องด้วยความโมโหเมื่อถูกผลักล้มลง ก่อนจะลุกขึ้นมายืน แล้วชักปืนออกมายิง

   ปัง! ปัง! ปัง!

   “ทองกวาว!!!”

   “ไอ้เหี้ย! มึงจะยิงเรียกพ่อมึงมาเหรอวะ หนีเร็ว! ก่อนที่พ่อมึงจะแห่กันมา” มันบอกคนอื่นๆ ให้รีบหนี เพราะเสียงปืนคงจะเรียกคนที่อยู่ใกล้ๆ มาที่นี่แน่ๆ

   เจ็บ... เพิ่งรู้ว่าถูกยิงนี่เจ็บเหี้ยๆ เลยละ

   ผมทิ้งตัวลงนอนเพราะหลังจากอาการชาผ่านไปแล้ว ต่อมาก็รู้สึกเจ็บจนเหมือนจะขาดใจ

   “ทองกวาวเป็นยังไงบ้าง ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย” ไอ้คล้าวมันทรุดตัวลงนั่งแล้วถอดเสื้อกับผ้าขาวม้าออกมากดแผลของผมไว้มือไม้สั่น ผมโดนยิงถูกตัวทั้งสามนัด แม้ว่าไอคล้าวกับไอ้ไม้จะช่วยกันกดห้ามเลือดแต่เมื่อโดนยิงจังๆ แบบนี้ ยังไงเลือดก็ยังไหลออกมาจนชุ่มผ้าอยู่ดี

   “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย ฮือ ทองกวาวอย่าเป็นอะไรนะ” ไอ้ไม้มันตะโกนเรียกคนให้ช่วย ท่าทางมันละล้าละลังเหมือนจะอยากลุกไปตามคนมาช่วย แต่ก็กลัวว่าแผลที่กดไว้จะเปิดออกจึงกดแผลไป ตะโกนไป น้ำตาไหลพรากไป

   “ช่วยด้วย! ทองกวาว อย่าเป็นอะไรนะ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยแล้ว อดทนไว้ก่อนนะ อยู่กับพี่นะทองกวาว” ไอ้คล้าวมันมองแผลของผม ก่อนจะสบตาผมทั้งน้ำตา มือที่กดแผลไว้สั่นไม่แพ้น้ำเสียงที่สั่นพร่า

   ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่าอย่าร้องไห้ อยากจะช่วยเช็ดน้ำตาให้มัน อยากจะปลอบโยนมัน อยากจะอยู่เคียงข้างมันต่อไป แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้ลมหายใจของร่างทองกวาวเริ่มจะแผ่วลงเรื่อยๆ แล้ว

   “มอ”

   ขนาดจะบอกมันยังไม่ได้เลย ฮึก! น้ำตาผมไหลพรากออกมาด้วยความอัดอั้นและเจ็บปวด เจ็บทั้งแผลที่ถูกยิง เจ็บทั้งใจที่ไม่สามารถจะสื่ออะไรไปถึงมันได้เลย

   ลมหายใจของร่างนี้ค่อยๆ แผ่วลง ในขณะที่หนังตาก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพยายามฝืนมากแค่ไหนก็ฝืนไม่ไหว

   “ทองกวาว อย่าทิ้งพี่คล้าวไปนะทองกวาว ฮึก  ถ้าทองกวาวไม่อยู่แล้วพี่คล้าวจะอยู่ยังไง ฮึก ทองกวาว!!!”

   ลมหายใจผมขาดลงเมื่อสิ้นเสียงเรียกของไอ้คล้าว

   ถึงแม้จะรู้ว่าพูดไปแล้วก็ไม่มีวันที่มันจะได้ยิน แต่ก็อยากจะฝากสายลมบอกไปว่า

   ‘ทองกวาวรักพี่คล้าวนะ รัก... มากเหลือเกิน’


**************************************************************************

ที่จริงแล้วตัวละครชื่อ "เด่น" แต่พิมพ์เป็น "แด่น" ไม่ได้พิมพ์ผิดนะคะ

มันเป็นคำที่ไม้เรียกประชด เพราะแด่นเป็นคำเรียกสัตว์ที่มีขนด่างค่ะ

 :katai2-1:

ทองกวาวหื่นได้ ไม่มีใครระแวงค่ะ เพราะทองกวาวยังเป็นสัตว์อยู่ ต่อให้คึกแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า ถึงได้ลวนลามพี่คล้าวได้อย่างสบายใจค่ะ  :z1:

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกๆ คนนะคะ กอดดดด
 :L2: :pig4: :L2:

ยังคงค่อยๆ กระดึบต่อปายยยยยยย


 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-08-2018 10:21:17
สนุกมาก ทีนี้ ทองกวาว จะได้กลับมาเป็นคนเหมือนเดิมหรือเปล่า อยากอ่านต่อแล้วอะ ลุ้นๆๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-08-2018 11:49:53
เศร้าจังตอนนี้ ว่าแต่ทองกวาวไปเกิดที่ไหนคงไม่ทันโตได้ใช้การได้ ไปหาสิงร่างคนอื่นแน่ๆ อิอิอิ แบบคิดแล้วหื่นไปด้วย
อย่าร้องเลยนะพี่คร้าวมาซบอกเรานี่เต็มใจ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 2 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 22-08-2018 15:54:50
กลับไปร่างเดิม แล้วกลับมาตามหาคล้าวนะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 3 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 22-08-2018 18:22:19
โอย สงสาร ทองกวาว มาก คล้าว ไอ้ไม้ คงเศร้ามาก ที่ ทองกวาว จากไป คล้าว จะเอาควาย ตัวใหม่ มาแทน ละ ป่าว เน้อ ศร้า ที่สุดดดดด ฮือๆ ทองกวาว รีบกลับมาล่ะ.. รออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 3 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-08-2018 18:50:04
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 3 (Up 22/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 26-08-2018 08:21:28
มารอทองกวาว ว่าจะกลับไปร่างเดิมมั้ย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 28-08-2018 08:20:45
บทที่ 4

   ผมรู้สึกว่าตัวเองล่องลอยออกมาจากร่างของทองกวาว เห็นไอ้คล้าวกอดร่างของทองกวาวร้องไห้เหมือนคนหัวใจสลาย ส่วนไอ้ไม้ก็ร้องสะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ สักพักก็เห็นชาวบ้านวิ่งมาดู

   รู้สึกได้ว่าน้ำตาผมยังไหลออกมาไม่หยุด

   ‘ลาก่อนนะ... พี่คล้าวของทองกวาว’




   ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าตัวเองล่องลอยไปเรื่อยๆ จนไปโผล่ที่หน้าหลวงตาซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ ผมนั่งมองรอบๆ ตัวอย่างงงๆ ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่รู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว เมื่อท่านลืมตาขึ้นมามองผมด้วยแววตาปราณี ผมจึงก้มลงกราบท่าน

   “ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นไปตามกรรม มีพบก็ต้องมีจาก สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เพราะบุญและกรรมที่ทำร่วมกันมา ถึงเวลาที่โยมต้องกลับไปแล้ว”

   “ไปไหนครับ” ผมถามท่านงงๆ ไปสวรรค์เหรอ เอ๊ะ! หรือว่าต้องลงนรกหว่า ไม่มั่นใจว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่

   “กลับไปในที่ที่โยมควรอยู่ คนทางนั้นคงเป็นห่วงกันแย่แล้ว”

   ยังไม่ถามว่าใครเป็นห่วง แล้วทางนั้นคือที่ไหน ท่านก็หลับตาลงซะก่อน ก่อนที่จะมีลมพัดพาผมให้ล่องลอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายลมหยุดพัดลง

   เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าผมมาปรากฏตัวอยู่ที่ข้างเตียงๆ หนึ่ง ซึ่งมีร่างผ่ายผอมร่างหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียง อีกฝั่งของเตียงมีหญิงวัยกลางคนนั่งเก้าอี้กุมมือคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วร้องไห้ ส่วนชายวัยกลางคนอีกคนยืนจับบ่าผู้หญิงคนนั้นไว้ แววตาทั้งคู่มองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เศร้าหมอง

   “แสน เมื่อไหร่จะตื่นลูก ลูกหลับไปนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะกลับมาหาแม่สักที” ผู้หญิงคนนั้นพูดไปร้องไห้ไป ใบหน้าสวยๆ นั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทนหม่นหมอง

   ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าหัวใจมันเจ็บปวดเมื่อเห็นน้ำตาของเธอก็ไม่รู้

   “อย่าร้องไห้สิคุณ ถ้าลูกเห็นแล้วลูกจะไม่สบายใจนะ” ผู้ชายที่ยืนด้านหลังลูบหลังอย่างปลอบโยน แต่สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความทุกข์ไม่แพ้กัน

   “ฮึก แม่ขอโทษนะลูก แม่รักลูกนะ” ผู้หญิงคนนั้นเช็ดน้ำตา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงจูบหน้าผากคนบนเตียงอย่างอ่อนโยน แล้วถอยออกไปให้ผู้ชายอีกคนขยับเข้ามาก้มลงจูบหน้าผากคนบนเตียงบ้าง

   “กลับมาหาแม่กับป๊าเร็วๆ นะแสน” ผู้ชายคนนั้นลูบหัวคนบนเตียงอย่างเบามือ แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใย ก่อนที่ทั้งคู่จะจับจูงกันออกจากห้องไป

   ผมแตะหน้าผากตัวเองเบาๆ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึก ‘อุ่น’ เมื่อคนทั้งคู่จูบหน้าผากคนบนเตียงเมื่อครู่ ไม่ใช่อุ่นแค่หน้าผาก แต่รู้สึก ‘อุ่น’ ไปถึงหัวใจด้วย

   แปลกจริงๆ

   ผมแตะหน้าอกตัวเองเบาๆ ด้วยความงง กำลังจะขยับไปมองหน้าคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงชัดๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาซะก่อน จึงได้หันไปมองคนที่เดินเข้ามาแทน

   คนที่เดินเข้ามาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ผิวขาวจัด ใบหน้าหล่อเหลานั้นได้เค้าชายวัยกลางคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป คิดว่าคงเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

   เมื่อมาถึงเขาก็มาก้มมองคนที่นอนหลับบนเตียง พอเห็นว่าร่างบนเตียงยังคงนอนนิ่งๆ ก็ถอนหายใจ แล้วลูบหัวคนบนเตียงเบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาในห้อง หยิบเอาแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดูและจิ้มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   หลังจากอ่านและจิ้มไปได้สักพักใหญ่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาพักสายตา เขาเดินมากวาดสายตาสำรวจคนบนเตียงนิ่งๆ สักพัก ก่อนจะเดินกลับไปก้มหน้าก้มตาจิ้มแท็บเล็ตในมือต่อ

   ส่วนผมก็บ้าที่ยืนมองเขาทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้สึกเบื่อ

   คุ้น... ในส่วนลึกมันบอกว่าคุ้นเคยกับผู้ชายคนนี้ดี เหมือนกับว่าเคยเฝ้ามองเขาแบบนี้มาก่อน

   แต่เขาเป็นใครล่ะ ทำไมผมถึงจำไม่ได้เลย ผมพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก ผมเดินไปนั่งบนโซฟาฝั่งที่ว่างอยู่ มองมือเรียวยาวจับปากกาจิ้มลงบนแท็บเล็ตเรื่อยๆ

   เมื่อชะโงกลงไปมองหน้าจอก็เห็นทั้งตัวหนังสือ กราฟ และตัวเลขเป็นพรืด เห็นแล้วเวียนหัวพิกล ผมเลยเปลี่ยนไปจ้องหน้าเขาอย่างตั้งใจแทน เผื่อว่าจะนึกออกว่าเขาเป็นใคร

   แต่คงจะจ้องใกล้ไปหน่อย อยู่ๆ เขาก็ชะงัก แล้วกวาดตาเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง

   หาอะไรอะ ผีเหรอ? ผมเลิกลัก พลอยกวาดสายตามองตามรอบๆ ตัวด้วยความระแวงไปด้วย

   “แสน? แสนอยู่ที่นี่เหรอ” เขาวางแท็บเล็ตแล้วลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ร่างบนเตียง

   เขาเดินเข้าไปนั่งที่ข้างเตียงแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ ก่อนจะจับมือคนบนเตียงมากุมไว้ ผมก้าวตามไปยืนข้างๆ เพราะชักจะรู้สึกกลัวผีขึ้นมาเหมือนกัน

   “แสน... ถ้ามาแล้วก็กลับมาหาเฮีย หาแม่กับป๊าเถอะนะ อย่าให้เราต้องรออีกต่อไปเลย ทั้งแม่ ทั้งป๊าและเฮีย รู้สึกเหมือนใจจะขาดอยู่แล้ว ถ้าแสนกลับมา แสนอยากได้อะไรเฮียจะหามาให้ทุกอย่าง อยากจะไปไหนเฮียจะพาไปทุกๆ ที่ กลับมาเถอะนะ ได้โปรด” เสียงที่พูดออกมานั้นสั่นพร่าตามแรงอารมณ์ เหมือนเขากำลังเจ็บปวด และมันแปลกที่มันทำให้ผมรู้สึกปวดใจตามไปด้วย

   ผู้ชายคนนั้นซบหน้าลงบนมือซูบๆ นั้นนิ่งๆ พอก้มลงไปมองก็เห็นว่าเขาร้องไห้อยู่ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเย็นๆ ที่มือขึ้นมา จึงยกมือขึ้นมามองอย่างครุ่นคิด

   “ชาตินี้ผมไม่เคยขอหรือพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก่อนเลย เพราะผมเชื่อว่าถ้าต้องการหรืออยากได้อะไรก็ต้องแลกมาด้วยความพยายามของตัวเอง ไม่ใช่จากการอ้อนวอนร้องขอ แต่เรื่องของน้อง มันเกินความสามารถของผมแล้วจริงๆ หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มีอยู่จริง ผมขอให้ท่านช่วยพาน้องของผมกลับมาให้ครอบครัวของเราด้วยเถอะครับ ถ้าน้องหายป่วยแล้ว ผมจะบวชเพื่อศึกษาพระธรรมและอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ต้องการเป็นเวลาหนึ่งเดือนครับ” เขายกมือเจ้าของร่างบนเตียงขึ้นพนม พอกล่าวจบก็ยกขึ้นจรดหน้าผาก

   หลังสิ้นสุดคำพูดของเขา ตัวของผมก็เหมือนจะเรืองแสงขึ้นมา ผมมองมือตัวเองด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ดึงผมอย่างแรง ก่อนที่สติจะดับวูบไป



   ผมรู้สึกว่านิ้วมือตัวเองกระตุก ก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ แต่เหมือนตาจะสู้แสงไม่ได้เลยหลับตาลงไปใหม่ ผมพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเพดานขาวๆ ตรงหน้าก็จะขยับตัวจะลุกแต่ไม่มีแรง เลยอ้าปากจะเรียกใครสักคนให้มาช่วย แต่คอแห้งเป็นผงจนไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลย

   ผมพยายามหันคอไปมองรอบๆ เตียง แต่ไม่เห็นใครสักคน แค่ขยับตัวเท่านี้ก็เหนื่อยหอบและหมดแรงแล้ว จึงหลับตาลงอีกครั้ง ได้แต่หวังว่าถ้าลืมตาตื่นขึ้นมาครั้งหน้าจะได้เจอใครสักคน แต่ตอนที่ใกล้จะหลับก็รู้สึกได้ว่ามีมืออุ่นๆ ลูบหัวอย่างอ่อนโยน แต่ว่าลืมตาขึ้นมาดูไม่ไหวแล้ว

   ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง รู้สึกได้ว่ามีแรงมากกว่าตื่นครั้งที่แล้วขึ้นมาอีกหน่อย ผมหันไปมองฝั่งที่มีโซฟาตั้งอยู่ เห็นคนที่นั่งทำหน้าเครียดจ้องจอแท็บเล็ต จึงพยายามส่งเสียงเรียก

   “ฮะ... เฮีย”

   แม้เสียงที่เรียกไปจะแผ่วเบาสักแค่ไหน แต่คนที่ถูกเรียกกลับเงยขึ้นมามองทันทีเหมือนรออยู่ตลอดเวลา เมื่อสบตากับผมคนบนโซฟาก็ผุดลุกขึ้นจนแท็บเล็ตตกลงพื้น แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ กลับก้าวยาวๆ มาหาผมอย่างรวดเร็ว

   “แสน! แสนตื่นแล้วเหรอ แสนกลับมาหาเฮียแล้วเหรอ หมอ ต้องเรียกหมอสินะ” คนตรงหน้าลนลานเหมือนทำอะไรไม่ถูก พอพูดจบก็วิ่งออกไปจนผมงงว่าทำไมไม่กดออดเรียก

   “หมอ หมอครับ น้องผมฟื้นแล้ว หมอได้ยินไหมครับ น้องผมฟื้นแล้ว” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจนั้นทำให้ผมน้ำตาซึม เพราะตั้งแต่จำความได้ ‘เฮียแผน’ พี่ชายของผมไม่เคยหลุดมาดขนาดนี้มาก่อน

   ผมหลับตาลงพักสายตา เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนที่เฮียจะวิ่งนำหมอและพยาบาลเข้ามาจับมือผมเขย่า

   “แสน!” เมื่อเห็นผมลืมตาขึ้นมามอง หน้าเสียๆ นั้นก็ดีขึ้นทันตา ก่อนที่เฮียจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

   “คุณแผนถอยออกมาก่อนครับ ขอหมอตรวจคนไข้ก่อน”

   พอหมอบอกเฮียถึงได้ยอมขยับถอยออกไป แต่สายตายังคงมองมาด้วยสีหน้าห่วงใย ก่อนที่จะทำท่าเหมือนนึกอะไรออก จึงล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วถอยไปห่างๆ แต่สายตาไม่ละไปจากตัวผม

   เมื่อคนที่ปลายสายรับสายแล้ว เฮียก็ละล่ำละลักรายงานจนผมอดจะยิ้มทั้งที่ยังเพลียอยู่ไม่ได้

   “สวัสดีครับ แม่แสนตื่นแล้ว ใช่ครับแม่ น้องกลับมาหาเราแล้ว แม่กับป๊าให้คนขับรถมาให้นะครับ อย่าขับเอง ครับแม่ ตอนนี้น้องยังไม่หลับครับ” หลังจากวางสายแล้วเฮียก็เดินมาใกล้ๆ แล้วจ้องผมตาแทบไม่กระพริบ

   เมื่อหมอตรวจร่างกายผมคร่าวๆ เสร็จแล้ว เฮียแผนก็ถามขึ้นทันที

   “น้องผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ”

   “หลังจากที่หมอตรวจดูคร่าวๆ แล้ว ทั้งการหายใจและปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ในเกณฑ์ดีครับ เพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแรงอยู่เพราะคนไข้หลับไปนานมาก เดี๋ยวหมอจะขอตรวจร่างกายให้ละเอียดอีกที แล้วจะปรับยาปรับอาหารให้เหมาะกับสภาพร่างกายของคนไข้ เพราะคนไข้รู้สึกตัวแล้ว ถ้าร่างกายฟื้นตัวดีเมื่อไหร่ค่อยไปทำกายภาพบำบัดกับนักกายภาพก็แล้วกันครับจะได้แข็งแรงเร็วๆ ระหว่างนี้ก็ให้คนไข้จิบน้ำได้ ขยับร่างกายได้ตามปกตินะครับ กล้ามเนื้อจะได้ทำงานได้ดีขึ้น แต่ถ้าเหนื่อยหรือเพลียก็พักผ่อนไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งหักโหม”

   “ขอบคุณครับหมอ” เฮียแสนยิ้มแล้วยกมือไหว้คุณหมอวัยกลางคน ซึ่งหมอก็ยกมือรับไหว้แล้วยิ้มอย่างใจดี ส่วนผมนี่ยกมือไม่ขึ้น เมื่อครู่ลองขยับร่างกายตามที่หมอบอกแล้วเหนื่อยจนหอบแฮ่กเลยทีเดียว

   เมื่อหมอเดินออกไปแล้ว พยาบาลก็เอาน้ำมาป้อนให้ผมจิบ และแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวให้ผมและเฮียแผนฟัง ระหว่างที่ฟังพยาบาลอธิบายอยู่นั้นผมก็รู้สึกเพลียและหลับไปอีกรอบ


   เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เห็นทั้งเฮีย ทั้งป๊าและแม่อยู่กันครบ เมื่อเห็นผมลืมตา แม่ก็ผุดลุกขึ้นยืน แล้วก้มมามองหน้าผมทั้งน้ำตา

   “แสนลูกแม่”

   “แม่... ป๊า” เมื่อได้ยินเสียงแหบๆ ของผม แม่ก็ยิ้มทั้งน้ำตา ส่วนป๊าก็ชะโงกมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ตาคมกริบทรงอำนาจคู่นั้นรื้นขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่เมื่อท่านกระพริบตาเงารื้นนั้นก็หายไป

   ผมกับเฮียติดเรียกแม่กับป๊ามาตั้งแต่เด็กๆ เพราะย่าสอนให้เรียกป๊า ส่วนยายก็สอนให้เรียกแม่ จึงทำให้เราทั้งคู่ติดปากเรียกแบบนี้มาจนทุกวันนี้

   “น้ำ” เสียงของผมยังแหบและเบา เหมือนคอแห้งอยู่ตลอดเวลา เมื่อเฮียประคองให้จิบน้ำแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

   “ยังปวดตรงไหนอยู่ไหมลูก” แม่ถามด้วยสีหน้ากังวล

   “ไม่ปวด... ครับ.... เหนื่อย” แค่พูดก็เหนื่อยจนหอบแล้ว

   “เหนื่อยก็พักก่อนลูก หมอบอกว่าให้พักผ่อนมากๆ” แม่ลูบแขนผมเบาๆ ส่วนป๊าก็ลูบหัวอย่างอ่อนโยน อยากบอกเหลือเกินว่าผมไม่ใช่หมานะป๊า ชอบลูบหัวกันจริง แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูดได้ เลยหลับตาลงพักผ่อนแทน


   หลังจากนั้นผมก็หลับๆ ตื่นๆ ตลอด ตอนที่รู้สึกตัวก็พยายามขยับร่างกายตามที่หมอบอก ทำให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ

   ตอนนี้หมอมาถอดสายอาหารและสายสวนออกแล้ว เพราะอยากให้ผมพยายามรับประทานอาหารและขับถ่ายเอง

   หลังจากตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว หมอก็บอกว่าร่างกายของผมปกติดี เพราะบาดแผลทุกส่วนของร่างกายผมหายดีตั้งแต่หลังประสบอุบัติเหตุได้ไม่นาน แต่แปลกที่ผมหลับยาวไม่ยอมฟื้นขึ้นมา ทั้งๆ ที่ร่างกายทุกส่วนรวมทั้งสมองก็ทำงานปกติดี จนหมอต่างก็งงไปตามๆ กัน

   ตอนนี้ก็มีเพียงแค่ร่างกายที่อ่อนแรงเพราะหลับไปนานเท่านั้นเอง แค่พยายามฟื้นฟูด้วยการทำกายภาพบำบัดก็น่าจะกลับมาแข็งแรงได้ในไม่ช้า

   แม่บอกว่าจะมานอนเฝ้าผม แต่ทั้งป๊า เฮียแผน และผมบังคับให้กลับไปนอนที่บ้าน เพราะไม่อยากให้ท่านเหนื่อยจนเกินไป ขนาดเฮียที่แข็งแรงๆ มาเฝ้าผมนานๆ ก็ยังแย่เลย  เห็นสภาพทุกคนในบ้านแล้วก็ได้แต่สงสาร ระหว่างที่ผมหลับไปทุกคนคงเหนื่อยแย่ ผมบอกให้เฮียกลับไปนอนที่บ้านก็ไม่ยอม ยังยืนยันจะมานอนเฝ้าผมอยู่เหมือนเดิม

   ผ่านไปหลายวัน ร่างกายผมก็แข็งแรงขึ้นมาก เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังไม่รู้สึกตัว พอฟื้นแล้วก็ได้กำลังใจดี ทำให้สามารถพูดคุยได้นานมากขึ้น

   เมื่อเห็นอาการผมดีขึ้น ระหว่างที่อยู่กันสองคน เฮียแผนก็ถามผมขึ้นมา

   “จำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จะหลับไป”

   ผมพยายามทบทวนความทรงจำ

   ....

   หลังจากที่ผมเรียนจบ Fashion Design จากต่างประเทศ ผมก็กลับประเทศไทยมาเปิดห้องเสื้อในห้างแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ หลังจากเปิดห้องเสื้อได้ไม่นาน ก็ได้รับข่าวร้ายจากเพื่อนที่เป็นนักมวยที่ค่ายมวยจันทรเทพว่า ‘ก้อนดิน’ เด็กที่เคยเรียนมวยที่ค่ายจันทรเทพด้วยกันก่อนที่ผมจะไปเรียนต่างประเทศ ประสบอุบัติเหตุตกเขาเสียชีวิตแล้ว

   ผมไปร่วมงานด้วยความเสียใจ เพราะผมสนิทกับเด็กคนนี้มาก เนื่องจากก้อนดินเป็นเด็กที่น่ารักและมองโลกในแง่ดี เวลาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมจึงเอ็นดูก้อนดินมากเป็นพิเศษ

   หลังจากงานศพของก้อนดินผ่านไปไม่ถึงเดือน ผมก็ได้รับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อ ‘แคน’ เด็กในค่ายที่ผมสนิทด้วยอีกคนประสบอุบัติเสียชีวิตในไซส์งานก่อสร้าง

   ผมกลับจากงานศพด้วยความรู้สึกเศร้าและใจหาย ในใจมันวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศ ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปทักทายพวกเขาเลย เพราะมัวแต่ยุ่งๆ อยู่กับการเปิดห้องเสื้อเพื่อทำตามความฝันของตัวเอง ตั้งใจไว้ว่า ถ้ากิจการอยู่ตัวเมื่อไหร่ จะไปรับพวกเขามาเลี้ยงข้าว แต่กลับไม่มีโอกาสนั้น เพราะพวกเขาต่างก็จากไปแล้ว

   ผมซึมอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะทำใจยอมรับได้ พอเริ่มทำใจได้ เฮียแผนก็เตือนว่าตอนนี้เรามีศัตรูทางธุรกิจกำลังหาเรื่องเราอยู่ เพราะเฮียไปเปิดโปงพฤติกรรมการโกงของฝ่ายนั้น ให้ผมระวังตัวไว้ด้วย

   ตอนนั้นผมคิดว่ามันคงไม่น่าจะเกี่ยวกับผม เพราะผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจของที่บ้านเลย แต่ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิด เมื่อระหว่างที่ผมกำลังจะขับรถกลับบ้าน ปรากฏว่ารถของผมเบรกไม่ได้ จึงทำให้ผมหักหลบรถไปชนต้นไม้ข้างทาง ก่อนที่ผมจะหมดสติไป

   ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้นมา ผมฝันเห็นก้อนดินกับแคนด้วย ฝันเห็นทั้งคู่สบายดี ผมก็สบายใจ แม้จะเป็นแค่ความฝันก็เถอะ แต่น่าแปลกที่ในฝันนั้น ผมเห็นก้อนดินอยู่กับมังกร แคนกลายเป็นเป็ด ส่วนตัวเองกลายเป็นควายซะอย่างงั้น

   ฝันได้แฟนตาซีชะมัด

   ผมเล่าเรื่องวันที่เกิดเหตุให้เฮียแผนฟัง ซึ่งเฮียก็บอกว่าเป็นฝีมือของคนพวกนั้นจริงๆ

   หลังเกิดเหตุ เมื่อสืบแล้วพบว่าผมประสบอุบัติเหตุเพราะอะไร เฮียกับป๊าก็โกรธมาก เร่งขุดหาหลักฐานการโกงและเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมดเพื่อลากคนพวกนั้นเข้าคุกแบบไม่ให้ผุดได้เกิดเลยทีเดียว

   แต่ถึงจะบอกว่าจำเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุได้ทั้งหมด แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนว่าลืมอะไรไปสักอย่าง รู้สึกเหมือนว่าเรื่องที่ผมลืมนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ แต่พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก

   ผมลืมอะไรไปนะ


   วันหนึ่งเมื่อผมตื่นขึ้นมาเจอหน้าคนยืนอยู่ข้างเตียง ผมก็แกล้งทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ทันที

   “ทำหน้าอย่างนี้หมายความว่ายังไงฮึ” ไอ้คนถามมันถามด้วยสีหน้าหมั่นไส้ขึ้นมาทันที

   “ไม่น่าถามนะธงธง” ผมเรียกมันด้วยชื่อที่ผมใช้แหย่มันประจำ

   “โอ๊ย!” แค่พูดจบผมก็โดนดีดหน้าผากทันที

   “เฮีย! เจ็บ” ผมเบะปากแล้วหันไปฟ้องเฮีย

   “ธงรบ! แสนมันเจ็บอยู่นะ” ซึ่งเฮียก็ช่วยปราม แล้วลูบหน้าผากที่ถูกดีดเบาๆ

   “ขอโทษครับเฮีย ผมลืมตัว”

   ไอ้คนที่ดีดหน้าผากผมยิ้มแหยๆ เมื่อถูกเฮียดุ

   ผู้ชายหน้าตาคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับเฮียที่ยืนอยู่ข้างเตียงผมนี่ มันชื่อ ‘ธงรบ’ ครับ เป็นเพื่อนสนิทของผมเอง เรารู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาล เอาจริงๆ จะว่าไปก็รู้จักกันตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ ถ้าเด็กในท้องมันคุยกันได้อะนะ

   แม่ของเราท้องในเวลาใกล้ๆ กัน เพราะครอบครัวของเราสนิทกันมาหลายรุ่นแล้วทำให้ได้เจอกันบ่อยๆ
เฮียบอกว่าก่อนหน้านี้มันไปประชุมที่ต่างประเทศเป็นอาทิตย์ ทำให้ตั้งแต่ฟื้นมาผมไม่เห็นหน้ามันมาเยี่ยมเลย เห็นแต่คนอื่นๆ ในครอบครัวมัน

   “นี่ลงเครื่องก็อุตส่าห์ตรงมาเยี่ยมเลยนะ ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ” ธงรบมันบ่น

   ผมกวาดตามองสภาพมัน ก็น่าจะจริง เพราะมันใส่สูทผูกเนคไทซะเต็มยศเลย ดูสีหน้าล้าๆ ของมันแล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมานิดหน่อย เลยแบมือออกไปตรงหน้ามันแทน

   “อะไร?” มันมองฝ่ามือผมแล้วมองหน้าผมงงๆ

   “ของฝาก” ธงรบถอนหายใจเฮือก ทำท่าจะตบลงบนมือผม แต่เมื่อเห็นสีหน้าปรามๆ ของเฮียแผนก็เลยแตะลงมาเบาๆ แทน

   “เอาตัวกูไปก่อนละกัน ไม่ได้แวะที่ไหนเลย เพราะรีบกลับมาหามึงเนี่ย” คำพูดคำจามันน่ารักจนผมหลุดยิ้ม เลยจับมือมันเขย่าเล่น

   “ให้ติดไว้ก่อน คราวหน้าขอสองเท่านะ”

   “ไอ้งก”

   ผมยิ้มเมื่อมันจับมือเขย่าตอบ รู้ว่ามันบ่นไปงั้นแหละ เพราะไม่ว่าเดินทางไปที่ไหน เมื่อกลับมามันก็หอบของชอบของผมมาฝากทุกที

   คนที่ตามใจผมพอๆ กับคนในครอบครัวก็มันนี่แหละ

   หลังจากนั้นถ้าธงรบไม่ได้เดินทางไปไหน หลังเลิกงานก็แวะก็มากวนประสาทผมทุกวัน บางวันก็มานอนเฝ้าแล้วไล่ให้เฮียแผนกลับไปพักผ่อนที่บ้านบ้าง

   มันก็น่ารักแบบนี้แหละครับ มันดูแลผมเป็นอย่างดีมาตลอด ทำให้ป๊ากับแม่วางใจให้มันช่วยดูแลผมแทน และถือว่ามันเป็นลูกอีกคนของป๊ากับแม่ไปแล้ว

******************************************************************

 :katai4: :katai4: :katai4:
บอกไว้เลยว่าไม่ถนัดดราม่าค่ะ แหะๆ เพราะฉะนั้นนิยายของเราก็จะสบายๆ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เหมือนคนแต่งนะคะ
 :m23:
หวังแค่คนอ่านที่หลงเข้ามาอ่านแล้วยิ้มได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ
 :m1:
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
 :m13:
ฝาก #มนต์รักริมทุ่ง ด้วยค่า
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-08-2018 09:10:28
ทองกวาวโปรไฟล์ดีเหมือนกันนะเนี่ย หายเร็วๆ นะ จะได้ไปตามหาพี่คล้าวด้วยกัน ป่านนี้กินเหล้าทุกวันแล้วมั้ง อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-08-2018 11:23:49
ทองกวาวเจ้าลืมพี่คล้าวแล้ว ฤา
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 28-08-2018 12:46:53
ทองกวาวจะลืมพี่คล้าวจิงดิ แถมธงรบมาอีก ตายๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-08-2018 14:28:09
รอ  ยังไงต่อ   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-08-2018 16:58:09
ทองกวาว เจ้าอย่าลืมพี่คล้าวนานนัก ป่านนี้พี่คล้าวเสียใจเมาหนักเดินตกบันไดบ้านตายไปแล้วมั้ง รีบกลับบ้านนาด่วนๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 28-08-2018 17:31:19
เย้ในที่สุดก็มาต่อ ...รอตอนต่อไป จร้า
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-08-2018 21:15:52
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 28-08-2018 21:19:42
สนุกมากกกก  ชอบ ๆ แฟนตาซีจริง ๆ ด้วย
เดาไม่ออกว่าเรื่องจะไปทิศทางไหนเลย น้องแสนจะกลับไปเจอพี่คล้าวตอนไหน
แต่สงสารน้องทองกวาวตัวจริง ก็ต้องจากพี่คล้าวไปจริง ๆ สินะ T^T
อ่าน ๆ ไป เจอชื่อ ก้อนดิน ก็เอ้ะ ชื่อคุ้น ๆ พอบอกอยู่กับมังกรนี่ นึกออกเลย
คุณคนเขียนเดียวกับ ดินแดนแห่งรักฯ นี่เอง ยิ่งมั่นใจว่าสนุกแน่ ๆ เลยค่ะ
แอบชอบไม้เป็นพิเศษ จะเชียร์ให้คู่กับเฮีย หรือ ธงรบ สักคนได้ไหมเนี่ย 555
รอตอนต่อไปนะคะ ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-08-2018 14:37:21
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-08-2018 19:16:30
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 30-08-2018 06:01:34
มารอทองกวาวว่าจะคืนความทรงจำเรื่องพี่คล้าวได้อย่างไร
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 4 (Up 28/8/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 03-09-2018 21:12:11
ยังไม่มาหรอคับ คิดถึงทองกวาวละ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 05-09-2018 08:27:44
บทที่ 5

   หลังจากทำกายภาพบำบัดจนสามารถเดินได้เองแล้ว ผมก็ได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้กลับบ้านได้

   ตอนแรกผมอยากกลับไปทำงานต่อเลย เพราะเป็นห่วงร้าน แต่ทุกคนในบ้านเห็นพ้องต้องกันว่าอยากจะให้ผมพักผ่อนจนกว่าจะแข็งแรงขึ้นกว่านี้ก่อน

   เฮียแผนบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงร้านเลย เพราะเฮียหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลร้านให้ระหว่างที่ผมป่วยแล้ว เมื่อไม่มีอะไรต้องห่วง ผมจึงต้องยอมพักต่อแต่โดยดี เพราะรู้ดีว่าถ้ายังดื้อดึงต่อไปก็รังแต่จะทำให้ทุกคนเป็นห่วงเปล่าๆ

   ตอนนี้เลยได้แต่กินๆ นอนๆ แล้วพักผ่อนไปเรื่อยๆ ระหว่างรอการอนุมัติจากทุกคนในบ้าน

   บางวันทุกคนก็ผลัดกันพาผมออกไปข้างนอกบ้าง เพื่อไม่ให้ผมเบื่อจนเกินไป

   อย่างวันนี้เป็นวันหยุดของเฮียแผน เฮียกับธงรบก็เลยพาผมมาเดินเล่นในห้าง ทั้งคู่เดินขนาบข้างผมเหมือนกลัวว่าผมจะหาย ระหว่างที่เดินอยู่สาวๆ ก็เหลียวมองตามกันคอแทบเคล็ด แต่ทั้งคู่ไม่ได้สนใจใครสักนิด เพราะมัวแต่ตามประกบและคอยระวังผมแจจนผมได้แต่กลอกตา

   หลังจากเดินดูของได้สักพัก ทั้งคู่ก็ชวนผมไปทานอาหารเที่ยง ก่อนจะพาไปเดินดูของต่อ ผมเลยขอแวะเข้าห้องน้ำก่อน ตอนแรกทั้งคู่จะตามมาเป็นเพื่อนด้วย แต่ผมห้ามไว้ บอกให้ดูเสื้อต่อไปเลย

   ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ จะต้องมีคนเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนเนี่ย!

   เฮ้อ! ไม่รู้จะห่วงอะไรนักหนา เพลียกับความโอเวอร์ของทั้งคู่จริงๆ

   ผมเดินมาได้สักพัก สายตาก็สะดุดเข้ากับป้ายโฆษณาที่อยู่ตรงบันไดเลื่อนซึ่งเป็นภาพทุ่งนาเขียวขจียาวสุดลูกหูลูกตา ภาพตรงหน้าทำให้ผมชะงักแล้วเผลอยืนมองอย่างเหม่อลอย

   คุ้น... มันรู้สึกคุ้นเคยและโหยหาอย่างบอกไม่ถูก ผมแตะเบาๆ บนหน้าอกตำแหน่งที่หัวใจกำลังเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

   “แสน แสน”

   “แสน ไอ้แสน!” ผมสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองดังลั่น ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร เสียงไอ้เพื่อนเวรนี่เอง

   “มึงจะตะโกนทำไมวะ” ผมหันไปมองมันตาเขียว

   “กูกับเฮียแผนเรียกมึงตั้งหลายครั้งแล้วมึงไม่ได้ยินนี่ กูก็เรียกดังขึ้นสิวะ ไหนบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ เป็นอะไรวะแสน”

   “เปล่านี่”

   “เปล่า? แล้วมึงมายืนจ้องโฆษณาเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างทำไม”

   “ธงรบ!” เฮียแผนดุเมื่อได้ยินคำแสลงหูอย่างวิญญาณหลุดจากร่าง

   “ขอโทษครับเฮีย” ไอ้คนโดนดุยิ้มแหยๆ ให้

   “ไม่รู้สิ กูรู้สึกคุ้นเคยภาพทุ่งนาแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก”

   “ห๊ะ! ทุ่งนาเนี่ยนะ” ธงรบมันทำหน้าแปลกใจ เพราะมันรู้ดีว่าผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาตลอด คงไม่มีทางที่จะคุ้นเคยกับทุ่งนาได้แน่ๆ

   “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ไปรอที่ร้านอาหารกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวตามไป” ผมมองภาพตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะตัดใจเดินไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้พี่กับเพื่อนมองหน้ากันงงๆ แล้วเดินตามหลังมา

   หลังรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ธงรบก็ลากเราสองคนไปดูหนัง ซึ่งผมแทบจะหลับคาโรงเพราะรู้สึกเพลียขึ้นมาเฉยๆ

   เมื่อหนังจบแล้วเดินออกจากโรงหนังมา สายตาก็ปะทะเข้ากับแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ไกลๆ ด้านหน้า เห็นแล้วรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ขาผมจ้ำตามไปอย่างไม่รู้ตัว

   “เฮ้ย! แสนจะไปไหน” ผมได้ยินเสียงธงรบร้องถาม แต่ไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่จดจ่อกับการจ้ำตามแผ่นหลังนั้นไปเรื่อยๆ จนเมื่อมีผู้คนที่ทยอยออกมาจากโรงอื่นๆ มากขึ้น ทำให้ภาพข้างหน้าเริ่มถูกบดบัง จนแผ่นหลังของคนๆ นั้นหายไปจากสายตา

   “แสน! มองหาใคร” เฮียแผนเดินมาหาผมแล้วมองตามสายตาผมไป

   “แสน เป็นอะไรวะ” ธงรบที่เดินตามมาติดๆ ก็ถามผมขึ้นมา

   “เป็นอะไร?” ผมหันไปถามธงรบงงๆ

   “มึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”

   หือ ใช่เหรอ? ผมหันไปมองเฮียแผน เฮียก็พยักหน้าให้ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

   “เกิดอะไรขึ้น บอกเฮียซิ”

   “ไม่รู้... แสน... ไม่รู้”

   ผมตอบไปด้วยความรู้สึกสับสน ถึงแม้ว่าร่างกายจะหายดีแล้ว แต่ผมก็ยังคงรู้สึก... ว่าผมลืมอะไรไปสักอย่าง มันติดอยู่ในหัว มันค้างคาอยู่ในใจ

   และรู้สึกว่ามันสำคัญ.... สำคัญมากๆ อีกด้วย

   ผมลืมอะไรไปนะ


   ผมกลับบ้านมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า เฮียแผนเดินมาส่งถึงห้องแล้วสั่งให้ผมนอนพัก ตอนแรกเฮียจะเข้ามาดูผมนอนด้วยซ้ำ แต่ผมห้ามเอาไว้ก่อน และต้องรับปากว่าจะนอนพักจริงๆ เฮียถึงได้ยอม

   ผมเดินมาทิ้งตัวนอนหงายบนเตียงมองเพดานนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วหลับตาลง คิดถึงภาพทุ่งนาสีเขียวขจีที่กว้างสุดลูกหูลูกตาที่เห็นในห้างแล้วหัวใจมันรู้สึกโหยหาเหลือเกิน ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานความอ่อนเพลียก็ทำให้ผมเผลอหลับไป

   “แสน แสนลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนกับสัมผัสนุ่มนวลจากมือที่กำลังเขย่าแขนเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นแม่มองมาด้วยแววตาห่วงใยก็ยิ้มให้

   “แม่” ผมลุกขึ้นมากอดเอวอ้อนๆ แม่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

   “ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปทานข้าวกัน แม่ทำของโปรดของแสนด้วย”

   “ครับแม่” ผมลุกขึ้นหอมแก้มแม่ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อออกมาก็ยังเห็นแม่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ ผมจึงเดินไปจูงมือท่านลงไปรับประทานอาหารมื้อเย็นข้างล่าง

   บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างครึกครื้น เมื่อมีกาฝากอย่างธงรบมาร่วมโต๊ะด้วย เพราะวันนี้คนที่บ้านมันไปงานเลี้ยงกันหมด ส่วนมันกลับชิ่งหนีมาที่นี่ซะอย่างงั้น

   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ธงรบก็ขอตัวกลับบ้าน ส่วนผมกับครอบครัวก็ย้ายไปดูทีวีด้วยกัน เพราะแม่ติดละครตอนเย็นมาก ส่วนผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงเพราะได้นอนไปบ้างแล้ว เลยมานั่งดูเป็นเพื่อนแม่

   เฮียแผนเอาแท็บเล็ตมานั่งจิ้มอยู่ข้างๆ ผมได้แต่มองอย่างอ่อนใจ ตั้งแต่ฟื้นมานี่เฮียแผนตามติดชีวิตผมมาก ตามอย่างกับเหาฉลาม ไม่เคยทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวเลยถ้าไม่จำเป็น

   “วันนี้มีละครเรื่องใหม่ด้วยนะลูก เค้าเอาเรื่อง ‘มนต์รักลูกทุ่ง’ มารีเมค แม่เคยดูตัวอย่าง พระเอกหล่อมากเลย”

   “อะแฮ่ม!” ป๊าถึงกับกระแอมเมื่อแม่ชื่นชมพระเอกละครอย่างออกนอกหน้า

   “ฮะๆๆๆๆ” ส่วนผมกับเฮียแผนที่เงยหน้าจากจอต่างก็หัวเราะ เมื่อแม่ค้อนป๊าตาคว่ำ ซึ่งป๊าก็ยิ้มขำแล้วหยอกแม่กลับ

   ผมมองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุข รู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของป๊ากับแม่ ดีใจได้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้

   พอละครจะมา แม่ก็จ้องหน้าจออย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้ผมพลอยหันไปสนใจจอด้วย เสียงเพลงประกอบละครเริ่มเรื่องดังขึ้นมา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์

หอม..เอย หอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง
มองเห็นบัว สล้าง ลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยค่อยก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินไปคลึงเคล้า
เจ้าบัวตูมบัวบาน
.....

   “แสนเป็นอะไรลูก” น้ำเสียงตกใจของแม่ทำให้ผมต้องหันไปมอง

   “ครับ?”

   “ร้องไห้ทำไมแสน ใครทำอะไรเรารึเปล่า บอกเฮียมา!” เฮียแผนถามด้วยสีหน้าจริงจัง ส่วนป๊าก็มองมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและห่วงใย

   หือ? นี่ผมร้องไห้เหรอ ผมยกมือขึ้นแตะๆ ใต้ตาก็ทำให้รู้ว่าน้ำตาผมกำลังไหลอยู่

   ผมมองหน้าทุกคนด้วยสีหน้างงงัน ไม่สามารถบอกทุกคนได้ว่าทำไมน้ำตาถึงไหล เพราะขนาดตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรถึงร้องไห้

หอม..ดินเคล้ากลิ่นไอฝน
ครวญระคนหอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่วพริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานี้มีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนาหวานแว่ว
แผ่วดังกังวาน
โอ้ เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ..

(เพลง มนต์รักลูกทุ่ง / ผู้แต่ง : ครูไพบูลย์ บุตรขัน)


   หูยังคงได้ยินเสียงเพลงประกอบละครที่ยังดังต่อเนื่อง แต่อยู่ๆ เสียงของคนร้องก็เปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มนุ่มของใครสักคนดังขึ้นมาในหัวของผมแทน ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งร้องเพลงนี้อยู่บนหลังควาย ต่อจากนั้นความทรงจำที่ผมไม่เคยเห็นก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกปวดหัว

   “โอ๊ย!”

   “แสน”

   “แสน”

   “แสนเป็นอะไรลูก”

   ทุกคนต่างถามผมด้วยน้ำเสียงตกใจ

   “ปวดหัว โอ๊ย!”

   ผมได้แต่กุมหัวแล้วกัดฟันแน่น รู้สึกปวดเหมือนหัวจะระเบิดออกมาเสี่ยงๆ ปวดมากจนทนไม่ไหว สุดท้ายสติก็ดับวูบไปท่ามกลางเสียงเรียกอย่างตกใจของทุกคน

   “แสน!!!”


   เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาเจอบรรยากาศที่คุ้นตา ทำให้รู้ว่าตอนนี้ผมมานอนอยู่โรงพยาบาลอีกแล้ว เมื่อเห็นว่าผมรู้สึกตัวแล้ว ป๊า แม่ และเฮียแผนก็ผุดลุกขึ้นมายืนข้างเตียงทันที

   “แสน เป็นยังไงบ้างลูก” แม่ถามด้วยสีหน้าห่วงใย

   “ยังปวดหัวอยู่ไหม” ป๊าถามต่อเมื่อเห็นผมยังมีสีหน้ามึนๆ อยู่

   “ไม่ปวดแล้วครับป๊า แสนไม่เป็นไรแล้วครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วง อย่าทำหน้าอย่างงั้นสิครับ”

   “จะไม่ให้แม่ห่วงได้ยังไง แสนดูปวดหัวมากซะขนาดนั้น แถมยังหมดสติไปอีก”

   “แล้วหมอบอกว่ายังไงล่ะครับ”

   “หมอตรวจดูแล้ว บอกว่าร่างกายแสนปกติดี หมอบอกว่าอาจจะเป็นผลจากการที่หลับไปนานน่ะ” ป๊าตอบแทน เมื่อแม่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้

   “หมอบอกว่าปกติก็น่าจะปกติแหละครับ อย่าเป็นกังวลเลย” ผมลูบแขนแม่แล้วเอ่ยปลอบใจทุกคนที่ยังมีสีหน้ากังวลไม่เลิก ก่อนจะถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   “แล้วนี่แสนกลับบ้านได้หรือยังครับ”

   “คุณหมอให้นอนดูอาการคืนหนึ่งก่อนน่ะแสน พรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็จะให้กลับบ้านได้” เฮียแผนที่ยืนเงียบอยู่นานตอบให้

   “ถ้าอย่างงั้นป๊าแม่กับเฮียก็กลับบ้านเถอะครับ แสนอยู่คนเดียวได้”

   “ไม่ได้!!!” อุย ประสานเสียงกันมาเลย

   “ป๊ากับแม่ไปพักเถอะครับ เดี๋ยวแผนอยู่กับน้องเอง”  หลังจากผมกับเฮียช่วยกันอ้อนวอน ป๊ากับแม่ถึงได้ยอมแพ้แล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
   

   เมื่อแม่กับป๊ากลับไปแล้ว ระหว่างที่เฮียแผนไปซื้อของ ผมก็นอนมองเพดานนิ่งๆ

   อันที่จริงพอฟื้นขึ้นมานอกจากจะหายปวดหัวแล้ว ผมยังได้ความทรงจำที่ลืมเลือนไปกลับคืนมาด้วย

   ความทรงจำในช่วงที่ไปใช้ชีวิตเป็น ‘ทองกวาว’ ควายแสนรักของ ‘ไอ้คล้าว’ คนที่ผม ‘รัก’

   ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้คล้าวจะเป็นยังไงบ้าง

   ยังเสียใจอยู่ไหม ?

   ทำใจได้รึยัง?

   หรือว่า.... จะลืมกันไปแล้ว

   คิดถึงเหลือเกิน

   ไอ้คล้าวของทองกวาว

   ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ด้วยความคิดถึงและโหยหา

   

        **************************************************************

ช่วงนี้พี่คล้าวเก็บตัวค่ะ แฮ่ เจอทองกวาว เอ๊ย! พี่แสน เฮียแผนกับธงรบไปพลางๆ ก่อนนะคะ

คงอีกสักพักกกกกกกกก พี่คล้าวถึงจะได้ออก

กราบแนบอก FC ทองกวาวทุกคนค่ะ

อยากลงให้ทุกวัน แต่ตันเหลือเกินนนนนน

#มนต์รักริมทุ่ง

:L2: :กอด1: :L1: :pig4: :กอด1:

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 05-09-2018 09:09:31
เย้ๆ มาแล่วๆ คิดถึง พี่คล้าว ส๊วดๆ รอคนเขียน ต่อปราย ^^  สู้ๆ น้าคนเขียนๆ รีบมาต่อ ไวๆ  :o8: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-09-2018 09:25:17
อร๊ายยย น่ารักมากๆ อยากเจอพี่คล้าวเร็วๆ แล้วนะ ว่าแต่ทองกวาวจะเข้าหาพี่คล้าวยังไงนะ รอลุ้นๆๆ
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 05-09-2018 10:40:46
มาซะที ดีใจ รอทองกวาวที่หน้าคอม ทุกวันเลย  /  ความทรงจำกลับมาก็ดีแล้ว จะได้เจอกัน ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-09-2018 10:41:11
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-09-2018 12:35:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-09-2018 14:42:45
มาต่อๆๆๆๆๆแล้ววววว คิดถึงๆๆๆๆๆ อย่างน้อยมาต่อวีคละครั้งก็ยังดีคับ ทองกวาวจำพี่คล้าวได้แล้ว แล้วเค้าจะเจอกันยังไงนี่ แถมตอนนั้นทองกวาวอยู่ในร่างควายอีก พี่คล้าวจะจำทองกวาวได้มั้ยนี่ หาหนุ่มลูกทุ่งเป็นนายเอกให้ธงรบซักคนนะคับหรือจะเป็นไอ้ไม้ดีหว่า555555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-09-2018 05:07:59
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 12-09-2018 05:38:22
มารอทองกวาวตามหาพี่คล้าวอยู่นะครับ มาได้แล้ววว คิดถึงๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 12-09-2018 18:21:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 5 (Up 5/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 12-09-2018 21:44:54
รอทองกวาว เจอะพี่คล้าวแล้ว พี่คล้าวจะจำทองกวาวได้หรือเปล่าน้อ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 13-09-2018 08:49:14
บทที่ 6

   วันรุ่งขึ้นผมก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ เพราะหลังจากตรวจร่างกายซ้ำอีกรอบแล้วก็พบว่าไม่มีความผิดปกติอะไรเลย จนหมองงไปตามๆ กัน

   เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ขอตัวเข้าห้องทันที แค่บอกว่ารู้สึกเพลียๆ อยากจะพักผ่อน ทุกคนก็รีบไล่ให้เข้าห้องเลย เมื่อล็อคประตูเรียบร้อยแล้วผมก็เปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อหาข้อมูลของไอ้คล้าวทันที

   ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมยังไม่กล้าเช็ค เนื่องจากมีแม่ ป๊า เฮียแผนกับธงรบอยู่ด้วยตลอด ผมกลัวว่าถ้าเจอข้อมูลที่เกี่ยวกับมัน ผมอาจจะเผลอแสดงอาการแปลกๆ ออกไปก็ได้ กลัวว่าทุกคนจะเป็นห่วง จึงพยายามอดทนไว้เพื่อกลับมาเช็คในห้องส่วนตัวเพียงลำพัง

   โทรศัพท์ก็ดันแบตหมด จะรอชาร์ทแบตจนเต็มก็ไม่ทันใจ เลยมาเปิดคอมพิเตอร์ในห้องเช็คไปก่อน

   เรื่องที่เกิดขึ้นในความทรงจำของผมมันมหัศจรรย์เกินกว่าที่ใครจะเชื่อว่าเกิดขึ้นจริง ผมเลยไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง กลัวจะถูกหาว่าเป็นบ้าไปซะก่อน

   ระหว่างรอเครื่องเปิด หัวใจผมก็เต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง สมองก็พยายามนึกข้อมูลที่พอจะมีในความทรงจำ เพื่อใช้ประกอบการค้นข้อมูล แต่ก็แทบจะจำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่ ได้แต่ใช้ชีวิตควายไปวันๆ

   ผมเปิดเว็บค้นหาขึ้นมาแล้วพิมพ์คำว่า ‘ไอ้คล้าวกับทองกวาว’ ลงไป

   ...

   มนต์รักลูกทุ่งขึ้นมาเต็มหมดเลย

   เห็นแล้วก็ได้แต่กลอกตา อดจะด่าไอ้คล้าวไม่ได้ ตั้งชื่อควายได้เข้าธีมเกิ๊น มนต์รักลูกทุ่งไหมล่ะมึง ทีนี้ลำบากใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ผม

   เฮ้อ! ผมได้แต่นวดขมับด้วยความเพลีย คิดหาคำค้นใหม่ที่มันเฉพาะเจาะจงกว่านี้

   ‘ควายชื่อทองกวาวที่ชนะเลิศการประกวดควายกับเจ้าของชื่อไอ้คล้าว’

   เนื้อหากับภาพคุ้นๆ ที่ปรากฏขึ้นมาทำให้ผมรีบคลิกเข้าไปดูทันที

   มันเป็นภาพของไอ้คล้าวกับทองกวาวที่ถ่ายรูปกับนายอำเภอในวันที่ชนะการประกวดควายในงานประจำปีของที่นั่น

   “ฮึก!”

   ไม่ใช่ฝัน ผมไม่ได้ฝันไปเองจริงๆ ด้วย ผมยกมือลูบภาพในหน้าจอด้วยดวงตาที่พร่ามัว เพราะน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด

   คิดถึง.... คิดถึงเหลือเกิน... ไอ้คล้าวของทองกวาว

   ผมมองภาพนั้นด้วยความโหยหา กด Favorite หน้าเว็บไว้ กดเซฟรูปนั้นเก็บลงในเครื่องและปริ้นท์ภาพนั้นมาไว้ดู ก่อนจะย้อนกลับไปดูหน้าค้นหาใหม่ เผื่อจะมีเรื่องราวต่อจากวันนั้นให้เห็นอีก

   ผมไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับหัวข้อหนึ่ง

   ‘ดับอนาถ! ควายทองกวาว ถูกโจรย่องฆ่าถึงบ้าน เจ้าของควายหัวใจสลาย’

   ผมรีบกดเข้าไปดูเนื้อหา แล้วกวาดสายตาอ่านข้อความ วันที่เกิดเหตุเป็นช่วงเมื่อหลายเดือนก่อนที่ผมจะฟื้นขึ้นมา ในข่าวบอกว่ามีโจรเกือบ 10 คนเข้าไปปล้นบ้านไอ้คล้าว ข่าวบอกว่าโจรคงตั้งใจจะไปขโมยควายทองกวาวและเงินรางวัลที่ได้จากการประกวด แต่ทองกวาวเข้าไปขวางจึงถูกโจรยิงตาย

   ท้ายข่าวเป็นภาพของทองกวาวที่นอนจมกองเลือดมีไอ้คล้าวกับไอ้ไม้นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ คงจะมีใครสักคนถ่ายรูปนี้ไว้ น่าจะเป็นภาพที่ทองกวาวเพิ่งจะตายไป เพราะฟ้ายังมืดอยู่ 

   ภาพต่อมาเป็นภาพของไอ้คล้าวที่ตาแดงก่ำกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าว

   มันบอกว่าจะไม่ชำแหละเนื้อของทองกวาวขาย เพราะทำใจไม่ได้กับการสูญเสียควายที่เป็นเหมือนน้องมากกว่าสัตว์เลี้ยง ถึงใครจะบอกว่ามันโง่มันก็ไม่แคร์

   ภาพต่อมาเป็นภาพของไอ้คล้าวกับไอ้ไม้และคนที่สนิทๆ กันในหมู่บ้าน ช่วยกันขุดหลุมแล้วฝังร่างของทองกวาวไว้ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ กับคอกของทองกวาว หลังจากเอาร่างทองกวาวฝังแล้วก็จุดธูปและโปรยดอกไม้ไว้บนหลุมอย่างสวยงาม

   ยิ่งดูน้ำตาก็ยิ่งรู้สึกเศร้าจนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

   “ฮึก ไอ้คล้าว... ฮือออออ”

   ผมได้แต่ร้องได้สะอึกสะอื้นกับเรื่องราวที่รับรู้หลังจากที่วิญญาณผมออกจากร่างของทองกวาวมา รู้สึกสงสารไอ้คล้าวจับใจ ยิ่งมีความทรงจำของทองกวาวด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเหมือนใจจะขาด

   ผมร้องไห้จนเหนื่อย ตอนนี้ตาคงบวมตุ่ยไปแล้ว แต่มันห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้จริงๆ พอน้ำตาหยุดไหล ผมก็หาผ้าชุบน้ำเย็นๆ ที่ถือมาดื่มด้วยประคบตาเผื่อจะหายบวมได้บ้าง

   ระหว่างที่ใช้ผ้าเย็นๆ ประคบใต้ตา ผมก็ลองหาข่าวเรื่องราวต่อจากนั้นไปด้วย ปรากฏว่าผ่านไปเป็นเดือนแล้วก็ยังไม่สามารถจับโจรได้ หลังจากนั้นข่าวนี้ก็ซาลงและเงียบไป คิดว่าพ่อของไอ้เด่นน่าจะมีอิทธิพลพอตัวจึงสามารถปกปิดความผิดให้ลูกชายและเพื่อนได้ เพราะผมคิดว่าไอ้คล้าวกับไอ้ไม้น่าจะบอกข้อมูลทุกอย่างให้ตำรวจไปแล้ว ซึ่งถ้าจะหาคนผิดจริงๆ ก็คงจะสามารถหาหลักฐานมาจับพวกมันได้

   ผมได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน และแช่งชักหักกระดูกทั้งไอ้พวกที่ทำผิด ทั้งไอ้พวกคนที่ควรจะรักษาความถูกต้องและความยุติธรรมที่ยอมพ่ายแพ้แก่อำนาจของเงิน

   นี่กูตายไปทั้งคน เอ๊ย! ทั้งตัวนะเฮ้ย!

   เฮ้อ! อย่างว่าแหละ ความยุติธรรมไม่เคยมีอยู่จริงในโลกใบนี้

   ‘แข็งๆ เงินง้างได้อย่างใจ’ อย่างที่ใครสักคนเคยบอกไว้จริงๆ ครับ

   หวังเพียงแค่ว่าสักวัน พวกมันจะถูก ‘กฎแห่งกรรม’ ลงโทษ เพราะไม่ว่ายังไง ‘กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ’

   พอปลอบใจตัวเองเรื่องความยุติธรรมและคลายอารมณ์โศกเศร้าได้บ้างแล้ว ก็มานั่งนึกว่าจะทำยังไงต่อไปดี จะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเลยก็ไม่ได้ เพราะความรู้สึก ‘รัก’ มันเต็มล้นอยู่ในหัวใจ

   ครั้นจะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่นิสัย เพราะตั้งแต่เด็กๆ เราสองพี่น้องก็ได้รับคำสอนจากป๊าว่าถ้าอยากได้อะไรก็ต้องใช้ความพยายาม ถ้าเราพยายามเต็มที่ก็จะไม่มีอะไรเกินความสามารถเราทั้งนั้น

   เพราะฉะนั้น...

   ถ้าอยากได้ไอ้คล้าวมาเป็นผั... แฮ่ม! มาเป็นของตัวเอง ก็ต้องพยายาม! ต้องวางแผนล่อ เอ๊ย! วางแผนให้รอบคอบเพื่อให้ไอ้คล้าวมาติดกับและไปไหนไม่รอด

   หึๆๆๆ

   ก๊อกๆ! ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

   “แสน แสนตื่นรึยัง”

   อ้าว! ชิบหายละ เฮียเรียก ผมเงยมองนาฬิกา ปรากฏว่าถึงเวลามื้อเย็นแล้ว เฮียคงมาเรียกไปกินข้าว เพิ่งรู้ว่าผมจมอยู่กับเรื่องไอ้คล้าวมานานมาก

   “แสน แสน”

   “ครับเฮีย เดี๋ยวล้างหน้าเสร็จแล้วแสนจะตามลงไป เฮียลงไปก่อนเลย”

   ผมปิดหน้าจอแล้วรีบไปล้างหน้าล้างตา พอเห็นสภาพตัวเองในกระจกแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เพราะตาบวมและแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา

   เฮ้อ! จะแก้ตัวยังไงดีล่ะเนี่ย

   ผมเดินลงไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อโผล่หน้าเข้าไปก็เป็นดังคาดเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของทุกคน

   “แสน เป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไม” แม่ถึงกับลุกเดินมาหา เมื่อเห็นสภาพของผม ส่วนป๊ากับเฮียก็มีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน

   “ไม่ได้เป็นอะไรครับ แสนแค่ฝันร้าย” ผมบอกเหตุผลที่เตรียมไว้ให้ทุกคนฟังแล้วโอบเอวแม่อ้อนๆ

   “โถ ลูก ขวัญเอ๊ย ขวัญมา” แม่จับหน้าไว้แล้วจูบหน้าผากปลอบอย่างอ่อนโยน

   “ไปๆ ทานข้าวกัน มีแต่ของโปรดแสนทั้งนั้นเลย” แม่จูงมือผมไปนั่งประจำที่ ก่อนจะตักนั่นตักนี่ให้ผมจนเต็มจาน

   “แล้วของโปรดแผนล่ะครับแม่” เฮียแผนแกล้งโวยวายประท้วง

   “แม่ไม่ให้อดก็บุญเท่าไหร่แล้วเราน่ะ กินๆ ไปเถอะจ้ะ”

   “โหยยยย แม่ลำเอียง”

   “ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นลูกรัก”

   เฮียแผนเบ้หน้า ขณะที่ป๊ากับแม่ต่างก็หัวเราะ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูสดชื่นขึ้นมาทันที ผมได้แต่สบตากับเฮียแผนแล้วขอบคุณในใจ
   

   หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว เราก็มานั่งดูทีวีด้วยกันเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ทั้งป๊าทั้งแม่มานั่งประกบอยู่คนละข้างบนโซฟาตัวเดียวกัน ส่วนเฮียแผนก็มานั่งจิ้มแท็บเล็ตบนโซฟาตัวที่อยู่ติดๆ กัน ทั้งๆ ที่โซฟาก็มีตั้งหลายตัว เหมือนทุกคนยังห่วงกับอาการของผมอยู่ ผมได้แต่มองด้วยความอ่อนใจและอุ่นใจไปพร้อมๆ กัน

   ระหว่างที่นั่งรอละครเริ่ม เราก็คุยกันไปเรื่อยๆ ป๊าคุยเรื่องที่บริษัทกับเฮีย เพราะตอนนี้ป๊าให้เฮียรับช่วงเป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือเกียรติก้องวัฒนาแทนป๊าอย่างเต็มตัวแล้ว ส่วนป๊าก็ถอยมาคอยเป็นที่ปรึกษาให้แทน นานๆ ถึงจะเข้าไปบริษัทสักที

   แม่ก็คุยเรื่องที่ร้านอัญมณีที่หุ้นกับเพื่อนๆ ให้ฟัง บางครั้งก็คุยถึงลูกเพื่อนๆ ให้เฮียกับผมฟังด้วย เผื่อว่าเราจะสนใจดองกับลูกๆ เพื่อนแม่ ผมแอบสบตากับเฮียแล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามโน่นถามนี่แทน ถามไปถามมาก็เผลอบ่นเรื่องชื่อของตัวเองขึ้นมา

   “ทำไมต้องตั้งชื่อแสนเป็นคำสร้อยของชื่อเฮียด้วยล่ะป๊า” เพราะเฮียแผนมีชื่อจริงว่า ‘ขุนแผน’ ส่วนชื่อจริงของผมคือ ‘แสนเสน่ห์’ ซึ่งป๊าบอกว่าเป็นคำสร้อยของชื่อเฮียอีกที

   ป๊าผมมีชื่อจริงว่า ‘สุธน’ เพราะตอนป๊าเกิด อาม่ากำลังติดละครจักรๆ วงศ์ๆ เรื่องพระสุธน - มโนราห์ ส่วนแม่ชื่อ ‘กุลุมา’ เพราะยายชอบเรื่องผู้ชนะสิบทิศ เนี่ย! ทั้งครอบครัวมีชื่อเป็นตัวเอกในวรรณคดีหมดเลย มีแต่ผมคนเดียวที่ได้คำสร้อยมา

   ไม่ยุติธรรม!

   “ใครใช้ให้มึงเกิดทีหลังล่ะ” ป๊ายังไม่ทันได้ตอบ เฮียที่จดจ่อกับแท็บเล็ตก็ตอบขึ้นมาด้วยความลืมตัว

   “เอ๊ะ! ตาแผน พูดกับน้องดีๆ สิ ใช้คำพูดกับน้องไม่น่ารักเลย” เฮียแผนสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงแม่เอ็ด เฮียวางแท็บเล็ตลงแล้วยิ้มแหยๆ ให้แม่

   อันที่จริงแต่ก่อนถ้าอยู่ลับหลังแม่ เราสองคนก็มีพูดกูมึงกันบ้าง แต่หลังจากผมฟื้นขึ้นมา เฮียก็ไม่เคยใช้คำนี้อีกเลย เพิ่งจะมาหลุดก็ตอนนี้แหละ แถมหลุดต่อหน้าแม่ด้วย หึๆๆ

   “ใช่ครับแม่ เฮียแผนนิสัยไม่ดี ไม่น่ารักเอาซะเลย” พูดจบผมก็ก้มแลบลิ้นแล้วยักคิ้วให้เฮียอย่างเป็นต่อ เพราะเป็นมุมที่แม่ไม่เห็น

   “แม่! ไอ้แสนแสบมันแลบลิ้นใส่แผน”

   “ตาแผน อย่าหยาบคายกับน้อง ตาแสนอย่าแลบลิ้นใส่พี่ โอ๊ย! คุณคะ ห้ามลูกบ้างสิคะ”

   “ฮะๆๆๆ ลูกๆ รักกันดีออก” ป๊าหัวเราะขำ เพราะรู้ดีว่าเราชอบแกล้งกันต่อหน้าป๊ากับแม่แบบนี้แหละ

   “เหอะ ใครรักไอ้ตัวแสบกันครับ ดื้อขนาดนี้” เฮียแผนวางแท็บเล็ตลงแล้วหันมาปรายตามองผมด้วยหางตา

   “ทำมาพูดดี ตอนน้องอยู่ห้อง ICU ใครกันนะที่แอบร้องไห้” แม่เอ่ยแซวเมื่อเห็นท่าทางน่าหมั่นไส้ของเฮียแผน

   “ใครร้องครับแม่ ไม่มี๊” เฮียแผนปฏิเสธเสียงสูงเลยทีเดียว

   “โถ เสียงสูงเชียวนะเฮีย ไม่ร้องจริงดิ” ผมลุกขึ้นไปนั่งข้างเฮียแล้วกระแซะไปใกล้ๆ

   “ไปไกลๆ ตีนกูเลย”

   “ตาแผน เอาอีกแล้วนะ!”

   “ฮะๆๆๆๆ” ผมกับป๊าหัวเราะ เมื่อเฮียโดนเอ็ดจนคอย่น

   “จริงสิครับ พูดถึงเรื่องนี้ แผนก็เพิ่งนึกออก ว่าตอนแสนอยู่โรงพยาบาล แผนเคยบนไว้ว่าถ้าแสนตื่น แผนจะบวชแก้บนเป็นเวลา 1 เดือน ป๊าครับ แม่ครับ แผนอยากบวช”

   ป๊ากับแม่อึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าแสดงความปลาบปลื้ม ปลื้มที่ลูกเอ่ยปากอยากบวชเอง ปลื้มที่ลูกทำในสิ่งที่ไม่เคยเชื่อเพื่อหาทางช่วยน้อง

   “ได้สิลูก ตามใจแผนเลย” แม่บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “แล้ววางแผนรึยังว่าจะบวชช่วงไหน” ป๊าถามต่อ

   “ตอนนี้แผนกำลังเร่งเคลียร์งานอยู่ครับป๊า ถ้าเสร็จงานยุ่งๆ แล้วก็คิดว่าจะบวชเลย แต่จะรบกวนให้ป๊าเข้าไปดูบริษัทช่วงที่แผนบวชแทนหน่อยน่ะครับ”

   ป๊าเพิ่งจะวางมือแล้วยกบริษัทให้เฮียแผนบริหารได้ไม่นาน ตอนนี้ป๊าจึงอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัท ถ้าป๊าเข้าไปช่วยบริหารให้ระหว่างที่เฮียบวช เฮียก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องงานอีก

   “ถ้าอย่างงั้นก็ดี ระหว่างนี้ป๊าจะเข้าไปบริษัทบ่อยขึ้นก็แล้วกัน”

   “ขอบคุณครับป๊า”

   “อืม” เฮียยกมือไหว้ป๊า ซึ่งป๊าก็ขยับมาลูบหัวเฮียเบาๆ

   “เฮีย”

   “หือ”

   “ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้ลงตรงบ่าเฮียอย่างซาบซึ้งกับสิ่งที่เฮียทำให้ ผมรู้ดีว่าเฮียรักผมมากแค่ไหน เพราะวันที่เฮียร้องไห้อยู่ข้างเตียงและขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอให้ช่วยผม ผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย

   “รักเฮียนะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กอดเฮียแผนแน่นแล้วซบหน้าลงบนบ่าเพื่อซ่อนน้ำตาไว้

   “รักแสนเหมือนกัน” เฮียลูบหัวเบาๆ แล้วกอดตอบแน่นๆ ไม่แพ้กัน

   ส่วนป๊ากับแม่ก็กอดกันแล้วมองมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกแสนรักและภาคภูมิใจที่ลูกทั้งสองรักกันแบบนี้



   งานบวชเฮียแผนเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความต้องการของเจ้าตัว เฮียเลือกบวชในวัดเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี วันที่เฮียบวชมีคนมาร่วมงานไม่มาก เพราะเราบอกแค่คนที่สนิทๆ กันได้รู้เท่านั้น คนที่มาจึงมีแค่เพื่อนป๊า เพื่อนแม่ เพื่อนสนิทเฮีย และเพื่อนสนิทผมอย่างธงรบเท่านั้น

   หลังเฮีย เอ๊ย! หลวงพี่บวชแล้ว แม่ก็ชวนผมเทียวไปเทียวมาทำบุญที่วัดแทบจะทุกวัน จนป๊าต้องห้ามไว้บ้างเพราะกลัวแม่จะเหนื่อยเกินไป

   ส่วนผมก็มัวแต่ยุ่งๆ กับงานบวชเฮีย พอหลังงานบวชก็ต้องคอยตามแม่ไปโน่นมานี่ และต้องเข้าไปดูร้านของตัวเองต่อ เพราะตอนนี้ร่างกายแข็งแรงเต็มที่และได้รับคำอนุญาตจากทุกคนในบ้านแล้ว

   ผมเลยไม่มีโอกาสได้จัดการเรื่องไอ้คล้าวต่อสักที ได้แต่มองรูปที่เอาไปล้างแล้วซ่อนไว้ทั้งในลิ้นชักใกล้ๆ เตียง ลิ้นชักโต๊ะที่ทำงาน และแอบใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ เพื่อบรรเทาความคิดถึงไปพลางๆ

   เมื่อผ่านไปเกือบเดือนทุกอย่างก็เริ่มลงตัว ผมจึงวางแผนไว้ว่าจะแอบไปทำบุญที่เมืองกาญฯ เพียงลำพัง หลังจากนั้นก็จะขับรถเลยไปที่สุพรรณฯ เพื่อตามหาไอ้คล้าวตามข้อมูลที่หามาได้ดูสักที

   แต่หลังจากที่ไปถึงวัด ถวายภัตตาหารเพล สังฆทาน และกรวดน้ำเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่มัวแต่เตร่คุยอยู่กับเด็กวัดที่เจอและคุยกันบ่อยๆ ในช่วงนี้จนสนิทกันไปแล้ว หลวงพี่แผนก็ให้เด็กวัดคนหนึ่งมาตามผมให้ไปหา

   ผมเดินตามเด็กวัดไปหาหลวงพี่ที่นั่งรออยู่บนปูนที่ล้อมโคนต้นโพธิ์ไว้ เมื่อไปถึงผมก็ก้มลงกราบอย่างไม่กลัวเปื้อน เนื่องจากพื้นบริเวณนี้สะอาดมาก เพราะมีเด็กวัดคอยปัดกวาดดูแลอย่างดี

   เมื่อกราบเสร็จผมก็พนมมือมองหลวงพี่ด้วยความสงสัยว่าหลวงพี่ตามกลับมาหาทำไม

   “โยมน้องตั้งใจจะไปไหน”

   “ห๊ะ!” ผมตะครุบปาก เมื่อเผลออุทานออกไปด้วยความลืมตัว เพราะแปลกใจในคำถามของหลวงพี่

   “แหะๆ ขอโทษครับ” หลวงพี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง

   “ออกจากที่นี่แล้ว โยมน้องตั้งใจจะไปที่ไหนต่อ” คำถามที่เฉพาะเจาะจงขึ้น ทำให้ผมกลอกตานึกหาคำตอบ จะโกหกก็ไม่ได้ เพราะอยู่ในวัดและอยู่ต่อหน้าพระด้วย

   โอย จะตอบยังไงดี

   “อย่าเพิ่งไปเลย รอหลวงพี่ก่อน เดี๋ยวค่อยไปพร้อมกัน”

   “อะไรนะครับ!?” ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจอีกรอบ เมื่อหลวงพี่พูดเหมือนรู้ว่าผมจะไปที่ไหน

   หลวงพี่แผนยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน ดวงตาที่มีแววเข้าอกเข้าใจนั้นทำให้ผมขนลุกขึ้นมาเฉยๆ แล้วหลุดปากถามสิ่งที่คิดออกไป

   “หลวงพี่... ซะ... ทราบเหรอครับ” หัวใจผมเต้นกระหน่ำด้วยความคาดหวัง

   หลวงพี่พยักหน้าแล้วมองมาด้วยแววตาที่เมตตาและสงสาร

   “อาตมา ‘เห็น’ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว” หลวงพี่แผนมองไปข้างๆ ตัวผม ก่อนจะดึงสายตากลับมามองผม ทำให้ผมเผลอมองตามและเผลอขยับหนีอย่างไม่รู้ตัว จนหลวงพี่ยิ้มขำ ก่อนท่านจะกลับมามีสีหน้าจริงจังและเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

   “อดทนหน่อยนะแสน”

   “ครับ... ฮึก แสนจะอดทน” เมื่อมีใครสักคนเข้าใจและรับรู้เรื่องราวที่ผมได้พบเจอมา ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกที่ต้องเก็บกดเอาไว้ด้วยความอัดอั้นจึงล้นทะลักออกมาเป็นน้ำตา

   “อย่าร้อง” หลวงพี่ปลอบ เหมือนจะเผลอลุกมาปลอบตามความเคยชิน แต่ห้ามตัวเองไว้ทัน มีเพียงสายตาที่ยังคงมองมาด้วยความห่วงใย

   “แสนแค่... ดีใจ” ผมเช็ดน้ำตาป้อยๆ พยายามกลั้นน้ำตาเพี่อไม่ให้หลวงพี่ต้องเป็นห่วง จนเหลือเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ

   “ไม่ต้องกังวล แสนมีพี่อยู่ข้างๆ เสมอนะ” คำปลอบโยนและคำแทนตัวที่เฮียแผนชอบใช้เวลาที่ผมเสียใจ ทำให้ผมยิ้มออกมาได้

   “ขอบคุณครับ” อยากจะบอกรักไปเหลือเกิน แต่ก็คงไม่เหมาะสม เลยได้แต่ใช้สายตาสื่อความรู้สึก ‘รัก’ บอกไปแทน ซึ่งหลวงพี่ก็คงเข้าใจเพราะหลวงพี่ยิ้มกลับมาด้วยความอ่อนโยน

   “ขับรถกลับบ้านดีๆ นะโยม”

   “ครับ งั้นผมลากลับเลยนะครับหลวงพี่” ผมยิ้มแล้วก้มลงกราบลาท่าน เพราะไม่อยากอยู่รบกวนท่านนานไปกว่านี้

   เมื่อเดินออกมาแล้ว ผมก็เดินทอดน่องซึมซับบรรยากาศที่เงียบสงบและร่มรื่นในวัดด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจมากกว่าที่เคย
   


      
************************************************


ก็ยังคงไม่ได้เจอกัน แหะๆๆๆ รอไปก่อนนะคะ หาตังค์เปย์ค่าตัวพี่คล้าวแป๊บ พี่คล้าวต้องเก็บเงินไปขอเมีย แค่กๆๆ

ขอบคุณสำหรับกำลังที่ให้มานะคะ สำหรับนักเขียนแล้วไม่มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ดีเท่ามีคนติดตามงานของเราแล้วค่ะ

ฝากแฮชแท็ก #มนต์รักริมทุ่ง ด้วยค่า

กราบแนบอกงามๆ กอดดดดด

    :L2: :L1: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 13-09-2018 10:02:11
โธ่ พ่อพระเอกของชั้น ค่าตัวแพงจริงด้วย นี่ก็ยังไม่ออกมาให้หายคิดถึงซะที 555 แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อย แสน ก็มีหลวงพี่ เป็นกองหนุนแล้ว เย้ๆๆ อิพี่คล้าว รอก่อนนะแก
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 13-09-2018 12:43:44
โอ้ยยยย เมื่อไหร่พี่คล้าวจะโผล่เนี่ย อยากได้พี่แผนอะ เป็นผู้ชายอบอุ่นจัง5555555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-09-2018 17:34:36
พี่คล้าวค่าตัวแพงจริง ยังไม่มาตอนนี้เลย ว่าแต่คนเขียนจ๊ะ ตอนหลวงพี่คุยกับแสน
มีหลายคำที่เป็นหลวงพี่แสนนะ สงสัยคิดถึงพี่คล้าวเหมือนคนอ่านแน่ๆ เลย
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-09-2018 18:34:36
 :hao7:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-09-2018 20:02:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-09-2018 07:41:47
หลวงพี่แผนเห็นอะไรหรือเจ้าคะ.
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 14-09-2018 17:47:35
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 14-09-2018 17:57:38
เฮ้ย พลาดเรื่องนี้ได้ไง โคตรน่ารัก
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 16-09-2018 09:11:09
บุญพาวาสนา ส่ง เดี้ยวได้เจอ คล้าว แน่นวล อิอิ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 16-09-2018 18:22:50
 :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 6 (Up 13/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 20-09-2018 19:48:14
 :z6: :z13: :z13: :z13: :pig2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 20-09-2018 20:02:42
บทที่ 7

   ผมมองพี่เลขาธนาที่ชะเง้อรอหลวงพี่ออกมาลาสิกขาด้วยความขำ ตั้งแต่หลวงพี่บวช พี่เขาก็ทำงานจนหัวหมุนยิ่งกว่าเก่า เจอกันทีไรก็บ่นกับผมทุกทีว่าเมื่อไหร่หลวงพี่จะสึกเสียที

   พอถึงกำหนดวันสึกแม่ก็ให้คนขับรถขับรถตู้มา จะได้เดินทางไป - กลับพร้อมกันทีเดียว พี่ธนาก็ไปรอพวกเราที่บ้านตั้งแต่เช้ามืด เหมือนกลัวว่าหลวงพี่จะไม่ยอมสึก จนป๊าแซวว่าทำงานกับป๊าไม่สนุกเหรอ พี่แกก็ทำหน้าหวาดๆ จนพวกเราหัวเราะด้วยความขำ (พี่ธนาแกกระซิบกับผมว่าเวลาทำงานป๊าดุและโหดกว่าหลวงพี่แผนมาก)

   หลังจากจบพิธีลาสิกขาแล้ว เฮียก็ออกมาด้วยท่าทางที่ดูสุขุมมากขึ้น เราทั้งหมดร่วมกันถวายภัตตาหารเพลและทำบุญกันก่อนที่จะกราบลาเจ้าอาวาสกลับบ้าน

   บรรยากาศบนรถตู้เป็นไปอย่างผ่อนคลายมาก แม่กับป๊านั่งอยู่เบาะข้างหน้า ถัดมาเป็นเฮียกับผม ส่วนพี่ธนาขอไปนั่งเป็นเพื่อนคนขับข้างหน้า พอได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ แม่ก็ให้คนขับรถพาแวะเที่ยวข้างทางเป็นระยะ

   ระหว่างทางผมกับเฮียก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะมีป๊ากับแม่คอยตามประกบอยู่ตลอด เฮียบอกระหว่างที่แม่กับป๊ากำลังให้พี่ธนาถ่ายรูปให้ที่น้ำตกไทรโยคน้อยว่าค่อยไปคุยกันที่บ้าน ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะถ้าคุยกันตอนนี้ก็กลัวว่าผมจะหลุดอาการแปลกๆ ออกไปจนทำให้ป๊ากับแม่สงสัยและเป็นห่วงได้

   เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนไม่ได้ดูละครด้วยกันเหมือนเคย เพราะวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พอป๊ากับแม่เข้าห้องไปแล้ว เฮียแผนก็เดินตามผมเข้าห้องก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียงตรงหน้าผม ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นก่อน

   “ไหนเล่าให้เฮียฟังซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น”

   “เฮียรู้เรื่องได้ยังไงครับ แล้วรู้มากแค่ไหน แสนจะได้เริ่มต้นเล่าถูก”

   “ตอนที่เฮียนั่งสมาธิอยู่ เฮียเห็นแค่คร่าวๆ ว่าช่วงที่แผนหลับอยู่ที่โรงพยาบาล วิญญาณของแผนไปอยู่ในร่างของ เอ่อ ควาย ระหว่างนั้นเฮียเห็นแสนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งหลายๆ ที่ แล้วก็ตัดไปตอนที่ถูกยิงตายเลย”

   เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกยิง น้ำตาผมก็รื้นขึ้นมา ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ในหัว ก่อนจะเริ่มต้นเล่าให้เฮียฟัง

   ตอนแรกๆ ผมเล่าไปพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บางช่วงก็เล่าไปกัดฟันไปด้วยความโมโห จนไปถึงตอนสุดท้ายที่ถูกยิง น้ำตาผมก็ไหลออกมาไม่หยุด ร้องสะอึกสะอื้นจนเฮียต้องลุกมากอดผมไว้แล้วลูบหลังปลอบอย่างอ่อนโยน

   “ชู่ว มันผ่านไปแล้วแสน ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว อย่าร้องอีกเลย”

   ผมก็ร้องจนเหนื่อย กว่าน้ำตาจะหยุดไหล เสื้อเฮียก็เปียกน้ำตาจนชุ่มไปหมด

   “เฮีย” ผมผละออกมามองหน้าเฮีย

   “หืม” เฮียขานรับพร้อมกับเช็ดคราบน้ำตาออกให้อย่างเบามือ

   “แสนคิดถึงไอ้คล้าว” มือที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ชะงักทันที เฮียสบตาผมนิ่งๆ แล้วถอนหายใจ

   “แน่ใจแล้วใช่ไหม” เฮียถามสั้นๆ แต่สายตาบ่งบอกว่าคำถามนี้มันครอบคลุมไปถึงความรู้สึกของผมด้วย

   “แน่ใจครับ แสนมั่นใจว่า ‘รัก’ มันจริงๆ”

   “แต่น้องมันชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอ แล้วดูแล้วน่าจะยังไม่ลืมเมียเก่าอีกด้วย”

   “แสนอยากลองพยายามดูก่อน เฮียช่วยแสนนะ นะเฮียนะ” ผมอ้อนเฮีย หลังจากไม่ได้อ้อนมานานหลายปีแล้ว

   เฮียแผนถอนหายใจก่อนจะดึงผมไปกอดแล้วลูบหัวเบาๆ ผมก็กอดตอบแล้วซบกับตัวเฮียนิ่งๆ

   “เฮ้อ! ถ้าแสนมั่นใจแล้ว เฮียจะช่วยก็ได้”

   “ขอบคุณครับเฮีย รักเฮียนะครับ” ถ้าเฮียรับปากจะช่วยแล้ว มั่นใจได้เลยไม่ว่าเรื่องอะไรก็สำเร็จแน่นอน!

   “เฮียกับไอ้เด็กนั่น รักใครมากกว่ากัน” เฮียถามมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนผมหลุดขำ

   “พรืด ฮะๆๆๆ รักเฮียมากกว่าอยู่แล้วครับ” ผมกอดเฮียแน่นขึ้น

   การเป็นคนรัก เมื่อเป็นแล้วก็สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นอย่างอื่นได้ แต่การเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัว มันเป็นสายสัมพันธ์ที่คงอยู่ไปตลอดชีวิต ไม่มีทางที่จะเลิกเป็นได้ ในอนาคตต่อให้ผมต้องผิดหวังหรือเสียใจ ผมก็มั่นใจว่าเฮียจะคอยปลอบโยนห่วงใยไม่มีวันทิ้งผมอย่างแน่นอน

   ผมอ้อนให้เฮียนอนที่ห้องด้วย เราสองคนนอนกอดกันเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็ก เวลาที่ป๊ากับแม่ไม่อยู่บ้านผมจะอ้อนให้เฮียมานอนเป็นเพื่อนทุกครั้ง พอโตมาก็ไม่ได้นอนด้วยกันอีกเลย

   หลังจากเฉียดความตายมา อะไรที่อยากทำ ผมก็จะรีบทำทันที อยากกอดก็กอด อยากหอมก็หอม อยากบอกรักก็บอก อยากอ้อนก็อ้อน อยากทำอะไรก็ทำเลย เพราะผมรู้แล้วว่าชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีทางรู้

   เมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ไม่ควรจะปล่อยให้เสียเวลาไปเปล่าๆ รักกันเมื่อยังหายใจดีกว่าต้องไปเสียใจในภายหลัง เพราะถึงตอนนั้น ต่อให้อยากทำแทบตาย ก็ไม่มีโอกาสทำได้อีกแล้ว

   ผมซุกตัวเข้าในอ้อมกอดอุ่นๆ ของเฮีย ก่อนจะหลับไปพร้อมรอยยิ้ม




   ผมหรี่ตามองส่วนเกินของครอบครัวที่มานั่งเสนอหน้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามแล้วมองหน้านิ่งๆ

   “ที่บ้านไม่มีใครให้อาหารรึไง ถึงได้มาหากินบ้านคนอื่นเนี่ย”

   “แค่กๆ”

   “หึๆ”

   “คนนะไม่ใช่แมว” พอหายสำลักแล้ว ธงรบก็หันมาต่อปากต่อคำกับผมทันที

   “แหม เปรียบซะน่ารัก ไม่ได้ดูขนาดตัวมึงเลยนะ” ผมอดจะแขวะไม่ได้

   “กูหล่อ กูจะเป็นตัวอะไรก็น่ารัก ไม่เชื่อมึงลองถามสาวๆ ดูสิ” ผมฟังแล้วได้แต่กลอกตา ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันแล้วจึงได้ถามมันดีๆ

   “แล้วนี่คนอื่นๆ ไปไหนกันหมด”

   “เป็นเจ้าของบ้าน แต่มาถามแขกอย่างกูเนี่ยนะ” มันบ่น แต่ก็ยอมบอกโดยดี

   “ป๊ากับแม่เพิ่งออกไปข้างนอก บอกว่าจะไปธุระ ส่วนเฮียก็เพิ่งจะออกไปบริษัทก่อนมึงมาแป๊บเดียวเอง” ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะกำลังจัดการกับอาหารเช้าที่แม่บ้านเอามาเสิร์ฟอยู่

   “แล้วนี่มาทำไมแต่เช้าเนี่ย ไม่ไปทำงานรึไง”

   “จะมารับไปพร้อมกันไง เห็นไหม กูมีน้ำใจจะตาย”

   ผมได้แต่ถอนหายใจ ตั้งแต่หายดีนี่ เวลาไปไหนมาไหนมักจะมีคนคอยขับรถให้ตลอด น้อยครั้งมากที่จะได้ขับรถเอง อย่างครั้งที่ไปวัดที่เมืองกาญฯ คนเดียวได้ก็เพราะหนีไปเงียบๆ ไม่ได้บอกให้ใครรู้ กลับมานี่โดนบ่นจนหูชาไปเลยทีเดียว

   “กูขับไปเองก็ได้ ไม่เห็นต้องมารับเลย”

   “ไม่เป็นไรหรอกน่า ทางเดียวกัน ไปด้วยกันจะได้ประหยัดน้ำมันไง” บริษัทธงรบกับห้างที่ผมเปิดห้องเสื้ออยู่ใกล้ๆ กัน เวลาที่คนขับรถไม่อยู่ ถ้ามันรู้ มันจะมารับผมประจำ สงสัยเฮียจะคอยบอก

   “เออๆ ตามใจมึงเหอะ” ผมรู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วง เลยยอมๆ ไป รอให้วางใจกันเมื่อไหร่แล้วค่อยขับเองก็แล้วกัน

   “เดี๋ยวตอนเที่ยงถ้าไม่ยุ่งมากจะมารับไปกินข้าวนะ” เมื่อผมลงจากรถแล้ว ธงรบก็เลื่อนกระจกบอกเหมือนเพิ่งจะนึกได้ ยังไม่ทันได้ตอบอะไร มันก็เลื่อนกระจกปิดแล้วขับออกไปซะก่อน

   ผมได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้าด้วยความเพลีย ไม่รู้จะห่วงอะไรกันหนักหนา หลังๆ มานี่มันดูแลผมดีจนไม่แน่ใจว่านี่เพื่อนหรือพ่อกันแน่

   
   พอเข้าร้านไปแล้วผมก็หัวหมุนกับงานทั้งการต้อนรับลูกค้าหน้าร้าน เช็คสต็อก และตามงานจากลูกน้องหลังร้านซึ่งเป็นห้องที่กั้นแยกจากกันอย่างชัดเจน ห้องหนึ่งกั้นเป็นห้องทึบเพื่อใช้เป็นห้องออกแบบและตัดเย็บ อีกห้องเป็นกระจกใสเพื่อไว้โชว์สินค้าภายในร้าน โดยมีประตูเชื่อมเข้าหากันได้

   ผมต้องการให้ร้านที่ขายและโชว์อยู่ใกล้ๆ กับร้านที่ใช้ตัดเย็บเพื่อให้ง่ายกับการบริหารจัดการ ป๊ากับแม่เลยเช่าพื้นที่ไว้ให้ค่อนข้างกว้าง

   ผมเปิดห้องเสื้อโดยใช้ชื่อร้านและชื่อแบรนด์ Maneethewa ดอกหญ้าที่แม่ชอบ ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุ ผมออกแบบเสื้อผ้าเตรียมไว้เพียงพอสำหรับตัดเข้าร้านและแม่ก็รู้เรื่องการเคลื่อนไหวของร้านผมพอสมควรเพราะผมเล่าความเคลื่อนไหวให้ฟังตลอด พอผมประสบอุบัติเหตุแม่ก็เข้ามาจัดการต่อได้โดยไม่มีปัญหาเท่าไหร่

   ระหว่างที่ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ก็จ้างคนให้มาช่วยดูแลไปก่อนแล้วเข้ามาดูร้านเองเป็นระยะ พอเสื้อผ้าที่ผมออกแบบในร้านพร่องลง แม่ก็จ้างคนออกแบบให้เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้สินค้าในร้านโล่งมากเกินไป และมีแบบใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้เลือกมากขึ้น

   พอผมหายป่วยและเข้ามาดูร้านได้ ผมเลยต้องเร่งออกแบบและตัดเสื้อผ้าเข้าร้านเพิ่ม อีกอย่างผมตั้งใจไว้ว่าอีกหน่อยจะจัด Fashion show เพื่อนำเสนอแบรนด์ของตัวเองให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นไปด้วย

   “คุณแสนคะ คุณรบมาพบค่ะ” ผมเงยหน้าจากแบบที่ร่างไว้เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กในร้าน ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไป คนมาพบก็เดินเข้ามาหาแบบไม่รอคำอนุญาต

   “เที่ยงแล้ว กินข้าว” ผมยกขึ้นนาฬิกามาดู ก็ปรากฏว่าเที่ยงกว่าแล้ว

   “ว่างรึไง” ผมถามด้วยความสงสัย ถึงบริษัทส่งออกอาหารของครอบครัวมัน หลักๆ แล้วจะมีพี่ๆ คอยรับผิดชอบ แต่มันก็เข้าไปช่วยงานเต็มตัว พักหลังๆ มามันก็เลยยุ่งไม่แพ้คนอื่นๆ ในครอบครัวเลย

   “ไม่ยุ่งเท่าไหร่ เจ๊กับเฮียไล่ให้มารับมึงไปกินข้าว ไปกันเถอะ หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว ถึงเวลากินข้าวแล้วไม่ยอมกิน นี่ถ้ากูไม่มารับนี่จะได้กินตอนไหน กินข้าวไม่ตรงเวลา ถ้าเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาแล้วจะทำไง” มันบ่นยืดยาวจนผมกลอกตา

   “พอๆ เลิกบ่นได้แล้ว บ่นอย่างกับคนแก่ นี่มึงโมโหหิวใช่ไหมเนี่ย ไป! ไปหาอะไรกินกัน” ผมรีบลุกแล้วลากมันออกจากร้านไป ก่อนที่มันจะบ่นเป็นหมีกินผึ้งยิ่งกว่านี้
   

   “ทำไมช่วงนี้เข้าร้านบ่อยจัง” พออาหารตกถึงท้องแล้ว ธงรบก็ดูอารมณ์ดีขึ้น มันเลยถามด้วยความสงสัย เพราะปกติผมไม่ได้เข้าร้านบ่อยเหมือนตอนนี้ บางช่วงที่ต้องการความสงบในการออกแบบก็จะอยู่ที่บ้านบ้าง หรือเตร่ไปหาแรงบันดาลใจที่อื่นบ้าง

   “ช่วงนี้กำลังเร่งตัดเสื้อผ้าที่ออกแบบชุดใหม่ออกมาวางในร้าน เลยต้องเข้าร้านมาตรวจดูความเรียบร้อยบ่อยหน่อย หลังจากเสื้อผ้าชุดนี้เสร็จแล้ว กูมีแพลนจะออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่และจะจัดงานแฟชั่นโชว์ เพื่อโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นน่ะ” ธงรบมันผงกหัวเหมือนรับรู้

   “มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน”

   “เออ ถึงตอนนั้นก็มีเรื่องให้ช่วยแน่ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยบอกสาวๆ ในสต็อกมึงมาร่วมงานก็ยังดี”

   “หึๆ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ สบ๊าย จะเอากี่คนก็ว่ามาได้เลย” ผมเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ไอ้คนเนื้อหอม

   “รถไฟชนกันขึ้นมาละ กูจะหัวเราะให้ฟันร่วง”

   “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง กูสับรางเก่ง อีกอย่าง ต่อให้ชนกันกูก็ไม่เดือดร้อน เพราะตกลงไว้ตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้วนี่ว่าจะไม่มีการผูกมัดกัน”

   “เฮ้อ! ถึงจะอย่างงั้นก็เถอะ ผู้หญิงเค้าก็คงมีหวังบ้างแหละ อย่าเล่นกับความรู้สึกคนอื่นให้มากนัก สงสารผู้หญิงเค้า”

   “เออๆ จะระวังแล้วกัน มึงบอกเฮียมึงเหอะ นั่นก็ใช่เล่นที่ไหน”

   “ไม่มีแล้วเหอะ ตั้งแต่สึกออกมา เฮียก็จำศีลแล้ว” หลังจากสึกมาแล้ว เฮียแผนก็เพลาๆ เรื่องคู่ขาคู่ควงมากขึ้น พักนี้ถึงได้มีเวลาให้ผมมากขึ้น ได้ยินพี่เลขาธนาบอกว่าถ้ารู้อย่างนี้ยุให้บวชไปนานแล้ว เพราะไม่ต้องมาปวดหัวกับการสับรางรางสาวๆ ให้บ่อยเหมือนแต่ก่อน

   
   หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้วเราก็แยกย้ายกันกลับไปทำงาน ตอนเย็นๆ ธงรบก็มานั่งรอผมเลิกงานเพื่อจะรับกลับบ้าน จนผมต้องยอมเลิกแล้วกลับก่อน เพราะกลัวมันจะรอนาน หลังจากเก็บของเรียบร้อยแล้วกำลังจะลุกจากเก้าอี้ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือซะก่อน พอเห็นชื่อคนโทรหาก็ได้แต่ยิ้มแล้วกดรับ

   “ครับเฮีย”

   “ธงรบไปรับรึยัง”

   “มาแล้วครับ”

   “ดี วันนี้กินข้าวก่อนเลยนะ เฮียเคลียร์งานอยู่น่าจะกลับช้า เดี๋ยวหาอะไรกินแถวนี้เลย ฝากบอกป๊ากับแม่ด้วย”

   “ครับ เดี๋ยวแสนบอกให้ เฮียก็อย่าหักโหมมากนะครับ”

   “ครับๆ เดี๋ยวเสร็จแล้วเฮียรีบกลับ”

   “ดีมากครับ ขับรถดีๆ ด้วยนะครับ”

   “โอเค แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเฮียทำงานก่อน”

   “ครับ”

   มิน่าล่ะวันนี้ถึงเงียบไปทั้งวัน ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย มีแค่แม่ที่โทรมาถามว่ากินข้าวเที่ยงหรือยัง สงสัยวันนี้เฮียคงยุ่งมาก เพราะปกติแล้วจะโทรมาหาอย่างน้อยวันครั้ง สงสัยจะวางใจเพราะฝากฝังผมไว้กับธงรบแล้ว

   “ติดกันจริงๆ ทั้งพี่ทั้งน้อง” ไอ้คนรอมันยืนล้วงกระเป๋ามองมาด้วยสายตาหมั่นไส้

   “อิจฉารึไง”

   “เหอะ! ใครจะไปอิจฉากัน ไป! รีบกลับได้แล้ว กูหิวข้าวแล้ว”

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูล่ะ”

   “กูจะไปกินบ้านมึง”

   “ใครชวนไม่ทราบ”

   “กูไม่ง้อมึงหรอก กูไปขอป๊ากับแม่ก็ได้”

   แค่มันไปส่ง ผมที่บ้าน ป๊ากับแม่ก็คงชวนให้อยู่กินข้าวด้วยแล้ว ก็มันเป็นลูกรักอีกคนนี่ ผมเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะตามแรงลากของมันไป

   เหอะ! นี่ผมไม่ได้อิจฉามันจริงๆ นะครับ


********************************************************

มีแต่คนลุ้นให้พี่คล้าวกับทองกวาวได้เจอกัน แต่ก็ยังไม่เจอ.... แหะๆๆ
ขอเวลาให้เคลียร์งานกันก่อนนะคะ
พระเอกนายเอกเหรอ?
เปล่า... คนเขียนเนี่ย....
หลบตรีงแป๊บ แหะๆ
เอาจริงๆ ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองค่ะ กว่าจะเคลียร์สารพัดงานไปทำอย่างอื่นได้ก็ต้องใช้เวลา
ขอเวลาอีกนิดดดดด รอกันอีกหน่อยนะคะ ได้เจอกันแน่นอนค่า

ฝากพี่คล้าว ทองกวาว พี่แสนด้วยนะคะ แล้วก็ฝาก แฮชแท็ก #มนต์รักริมทุ่งด้วยค่า
รักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกคนอ่าน แต่รักคนเม้นท์มากกว่านิดหน่อย 55555

********************************************************

#♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่า ฝากลูกตัวใหม่ เอ๊ย คนใหม่ด้วยนะคะ
#blanchard  ดีใจที่ชอบค่า ฝากพี่คล้าวกับทองกวาวด้วยนะคะ
#dahlia   ขอบคุณที่แวะมาอ่านและให้กำลังใจทุกตอนนะคะ คนอ่านชอบ คนเขียนก็ดีใจ (มากกกก) กอดดดดด
#donutnoi  ขอบคุณค่า ไว้แวะมาอีกนะคะ
#Fallinlove  ดีใจที่ชอบค่า ชอบเขียนแฟนตาซีเหมือนกันค่ะ จินตนาการสนุกดี 55555 แล้วก็ขอบคุณที่เอ็นดูน้องสองก้อนของเรานะคะ แม่มันปลื้มมากกกก
แค่คนอ่านชอบและยิ้มได้ คนเขียนก็มีกำลังใจแล้วค่า ฝากติดตามพี่คล้าวกับน้องทองกวาวที่ตอนนี้เป็นพี่แสนด้วยนะคะ กอดดดดดดด
#fon270640  ดีใจที่ชอบค่า ไว้แวะมาอีกนะคะ
#k2blove    ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจมาทุกตอนนะคะ พี่คล้าวค่าตัวแพงจริงๆ ค่ะ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออก พอดีคนเขียนแกลบไม่มีเงินจ่ายค่าตัว แฮ่ รออีกนิดดดดนะคะ ใกล้ได้ค่าตัวครบแล้วค่า
ปล.ของคุณที่เตือนเรื่องคำผิดนะคะ เบลอจริงๆ ค่ะ กอดดดดดด
#kawisara   ทองกวาวจำได้แล้วค่า
#lovenine   ขอบคุณที่ติดตามให้กำลังใจมาทุกตอนนะคะ คนอ่านชอบ คนเขียนก็ดีใจและมีกำลังใจในการเขียนต่อไปมากค่ะ กอดดดดดดดดด
#sirin_chadada   ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ ไม่ได้ลงมานานลืมสนิทเลยค่ะ แหะๆ ไว้แวะเข้ามาใหม่นะคะ
#snoopyme   ดีใจที่ชอบค่า ฝากพี่คล้าวกับทองกวาวด้วยนะคะ
#wutwit   ขอบคุณที่ให้ติดตามและมาเม้นท์ให้กำลังใจทุกตอนนะคะ เวลาที่คนอ่านชอบและคอยติดตามลูกๆ นี่ปลื้มมมมากค่ะ กอดดดดดด
#กาแฟมั้ยฮะจ้าว   ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่า แวะมาบ่อยๆ นะคะ
#วายซ่า   โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ แฮ่ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เจอกัน ถถถ
#ommanymontra ขอบคุณที่คอยติดตามค่า
#puiiz ขอบคุณที่คอยติดตามค่า
#สีหราช   ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่า ไว้แวะมาอีกนะคะ

ที่จริงชอบตอบเม้นท์นะคะ เพราะอยากสื่อสารกับคนอ่านบ้าง แต่เล้าตอบยากมาก และเคยเจอเม้นท์ของคนอ่านในนิยายของคนอื่น ว่าเอาเวลาตอบเม้นท์ไปเขียนนิยายดีกว่า อูยยย ใจร้ายยยยย แต่คิดว่า FC น้องทองกวาวคงไม่ใจร้ายหรอก... เนอะ

 :pig4: :L1: :กอด1:
 :katai4:
[/color]
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-09-2018 20:35:33
พี่คล้าวค่าตัวแพงกว่าณเดชอีกนะเนี่ย เมื่อไหร่จะได้เจอกันซักที
ปล.ของธงรบคู่ไม้ละกัน คิดแล้วท่าจะสนุก
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-09-2018 21:01:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-09-2018 21:04:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-09-2018 21:48:41
พี่คล้าว จะเป็นไงบ้างนะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: fon270640 ที่ 21-09-2018 00:22:49
พี่คล้าวค่าตัวแพงมากเลยสินะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 21-09-2018 01:11:50
พี่คล้าวค่าตัวแพงเหลือเกิน 555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 21-09-2018 18:36:16
ค่าตัวพี่คล้าวแพงจิง 55 รอตอนต่อปรายอิอิ ติดตาม พี่คล้าวและทองกราว ทุกตอน แว่ะตาหลอด คิดถึงๆ มนต์รักริมทุ่ง เสมอ เป็นกำลังใจผู้แต่งเสมอจร้า กอดดดดด ^^ :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-09-2018 21:33:16
อิพี่คล้าว แวร์ อาร์ ยู เป็นพระเอกค่าตัวแพงมาก มาแต่ชื่อเนี่ย 555555 รอกันต่อไป
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 7 (Up 20/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 22-09-2018 10:16:21
ทองกวาวจะหาพี่คล้าวเจอมั๊ยน้า  ขอให้หากันเจอเร็วๆ นะ.
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 28-09-2018 08:49:10
บทที่ 8

   หลังจากที่ผมกับเฮียแผนต่างก็เร่งเคลียร์งานกันหัวหมุน จนผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ เราก็หายใจหายคอโล่งกันสักที ระหว่างที่ผมกำลังนั่งมองรูปไอ้คล้าวอยู่บนเตียงก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้อง จึงเอารูปยัดไว้ใต้หมอนแล้วเดินไปเปิดประตู

   “เฮีย ว่าไงครับ”

   “เฮียมีเรื่องจะคุยด้วย”

   “เข้ามาสิครับ” เมื่อเดินเข้ามาแล้วเฮียแผนก็ล็อคประตูไว้ ผมมองด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เดินไปนั่งรอที่เตียง เฮียก็ลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเหมือนเดิมแล้วเริ่มคุยทันที

   “เฮียให้คนไปสืบมาแล้วนะ เด็กนั่นมีชื่ออยู่ที่หมู่บ้านนั้นจริงๆ” ผมฟังแล้วอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เฮียแผนมองหน้าผมแล้วก็ถอนหายใจ

   “ในเมื่อแสนมั่นใจแล้ว เฮียก็จะช่วย เฮียว่าจะให้ทุนเด็กวัดในวัดที่เฮียไปบวช แล้วก็จะไปวัดที่สุพรรณฯ เพื่อให้ทุนกับเด็กวัดที่นั่นด้วย วัดที่เมืองกาญฯ เฮียติดต่อเจ้าอาวาสไปแล้ว ส่วนวัดที่สุพรรณฯ ว่าจะไปกันเอง เผื่อแสนจะได้เจอเด็กคนนั้นด้วย” ตาผมเป็นประกายด้วยความดีใจขึ้นมาทันที

   “แต่เรื่องทุนนี่เฮียขอให้สิทธิเจ้าอาวาสเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกันนะ เฮียให้ทุนระดับปริญญาตรีวัดละ 3 ทุน จนกว่าจะจบปริญญาตรี ถ้าเด็กแสนไม่ได้ก็ค่อยหาทางอื่นสนับสนุนก็แล้วกัน” ผมฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มที่เฮียยุติธรรมพอและวางแผนคิดเผื่อในกรณีที่ไอ้คล้าวไม่ได้รับทุนด้วย

   “ดีใจล่ะสิ จะได้เจอเด็กมันแล้วน่ะ” พอเห็นผมยิ้มหน้าบานไม่หยุด เฮียก็หน้าหงิกขึ้นมาทันที

   “ฮะๆๆ เฮียอย่าเพิ่งงอนสิ เรื่องดีใจน่ะแสนไม่ปฏิเสธหรอกว่าดีใจจริงๆ ที่จะได้เจอไอ้คล้าวอีกครั้ง แต่ที่ดีใจมากกว่านั้นคือดีใจที่เฮียแผนใส่ใจแล้วก็พยายามช่วยแสนอย่างเต็มที่อย่างนี้ต่างหาก” ผมลุกขึ้นไปกอดเฮียแน่นๆ ด้วยความตื้นตันใจ

   “ขอบคุณนะครับเฮีย”

   “เฮ้อ! ทำยังไงได้ล่ะ ก็ดันเอ่ยปากไปแล้วนี่ว่าถ้าฟื้นมาแล้วอยากได้อะไรจะหามาให้ทุกอย่าง” เฮียแผนงึมงำอยู่บนหัวผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้ม รู้ดีว่าถึงเฮียจะขัดใจ แต่เฮียก็เป็นคนที่รักษาคำพูดของตัวเองเสมอ ต่อให้ผมในตอนนั้นจะไม่รู้ตัวก็ตาม
*****************************************************
   ผมตื่นมาแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น เพราะวันนี้เฮียแผนบอกว่าจะพาผมเดินทางไปวัดที่สุพรรณบุรี เพื่อติดต่อเจ้าอาวาสในการให้ทุนเด็กวัดที่นั่น หลังจากนั้นก็จะถือโอกาสเดินเล่นในหมู่บ้านแล้วไปที่บ้านไอ้คล้าวอย่างเนียนๆ ด้วย

   ตอนที่บอกว่าจะไปให้ทุนเด็กๆ ที่วัด แม่ก็เอ่ยปากว่าอยากไปด้วยทันที แต่โชคดีที่ช่วงนี้ป๊ากับแม่ติดธุระที่ต่างจังหวัดหลายวันพอดี ทั้งคู่จึงออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้ผมกับเฮียโล่งใจที่ป๊ากับแม่ไปด้วยไม่ได้ เพราะเราอยากจะไปสืบเรื่องนี้กันตามลำพัง ถ้าทั้งคู่ไปด้วยก็คงทำอะไรไม่สะดวกและคงไม่วายมีพิรุธให้ป๊ากับแม่สงสัยแน่ๆ

   นอกจากสองวัดนี้แล้ว เฮียก็ให้คนช่วยหาข้อมูลและคัดเลือกวัดที่อยู่ห่างไกลความเจริญอีกหลายวัดเพิ่มด้วย หลังจากป๊าฟังเฮียพูดเรื่องทุนการศึกษาจบ ป๊ากับแม่ก็ช่วยกันสมทบทุนเพิ่มอีกวัดละสองทุน เพราะปกติป๊ากับแม่ก็ชอบทำบุญอยู่แล้ว นอกจากการทำบุญบริจาคตามวัดแล้ว ป๊ากับแม่ก็ยังให้ทุนการศึกษาเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดาร บริจาคเงินตามสถานสงเคราะห์อีกหลายแห่งทั้งในนามบริษัทและไม่ประสงค์ออกนามด้วย

   ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อรับประทานอาหารเช้า เมื่อไปถึงก็เห็นเฮียแผนนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก่อนแล้ว

   “อรุณสวัสดิ์”

   “อรุณสวัสดิ์ครับเฮีย”

   “กินข้าวให้หมดด้วย หมดเมื่อไหร่เฮียถึงจะพาไป” เมื่อคนในครัวยกข้าวต้มกับน้ำส้มมาเสิร์ฟ เฮียก็พูดเหมือนล่อลวงให้เด็กกินข้าวจนผมอดจะค้อนไม่ได้

   รอจนผมกินอาหารเช้าหมดนั่นแหละ เฮียแผนถึงได้ยอมลุกจากเก้าอี้ แล้วไปเตรียมของรอที่รถก่อนอย่างที่บอกจริงๆ ผมได้แต่รีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าของตัวเองตามไปบ้าง เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางตาม GPS ที่ตั้งไว้ทันที

   เฮียขับรถไปเรื่อยๆ แบบไม่เร่งรีบ เพราะจากกรุงเทพฯ ไปสุพรรณบุรีห่างกันแค่ประมาณร้อยกิโลเมตรเท่านั้นเอง ระหว่างทางเราก็คุยกันไปตลอดทาง แต่ผมรู้ตัวดีว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก ซึ่งเฮียแผนก็เข้าใจดี จึงเปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วย เพื่อให้ผมผ่อนคลาย

   เมื่อเข้าสู่เขตชนบท สองข้างทางก็มีแต่ท้องทุ่งนาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ผมเหม่อมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกโหยหา พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างเต็มที่ เฮียแผนคงเข้าใจความรู้สึกของผม จึงเอื้อมมือมาลูบแขนปลอบโยนเบาๆ ผมจึงหันไปยิ้มให้ด้วยความรู้สึกอุ่นใจ

   ยิ่งเข้าใกล้เขตหมู่บ้านหัวใจผมก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่คุ้นตาและบรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ไหว เฮียแผนละมือมาลูบแขนผมไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้ามาถึงเขตวัดผมจึงพยายามเช็ดน้ำตาแล้วห้ามความรู้สึกตัวเองไว้อย่างเต็มที่

   หลังจากแจ้งความประสงค์กับชาวบ้านที่อยู่ในวัดว่าต้องการพบเจ้าอาวาส เพียงไม่นานหลวงตาก็ให้คนมาเชิญไปพบที่กุฏิ

   ผมเดินตามเฮียแผนขึ้นกุฏิไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น พยายามจำกัดสายตาไว้ที่พื้นกุฏิเพื่อระงับอาการตื่นเต้นของตัวเอง เมื่อไปถึงด้านหน้าเจ้าอาวาสแล้ว เราทั้งสองก็ทรุดตัวลงนั่งแล้วก้มลงกราบอย่างเรียบร้อย

   “กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ” เมื่อกราบเรียบร้อยแล้ว เฮียแผนก็พนมมือแล้วเริ่มบทสนทนาทันที

   “เจริญพร โยมทั้งสองต้องการพบกับอาตมาเรื่องอะไรหรือ?”

   หลวงตาถามเฮียแผน ก่อนที่ดวงตาที่มีแววอ่อนโยนปราณีคู่นั้นจะมองมาที่ผมแล้วยิ้มให้เหมือนกับว่าเรารู้จักกันมาก่อน ทำให้หัวใจผมเต้นกระหน่ำขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นและพยายามระงับอารมณ์ตัวเอง จนเฮียแผนที่สังเกตอยู่แล้วต้องปล่อยมือพี่พนมข้างหนึ่งมาลูบแขนผมเบาๆ

   “รีบคุยธุระกันก่อนเถอะโยม จะได้คุยเรื่องอื่นกันต่อ” หลวงตาหันไปคุยกับเฮียแผนต่อ ซึ่งเฮียแผนก็เข้าเรื่องทันที

   “ผมมีความประสงค์จะให้ทุนกับเด็กวัดของที่นี่ครับ เป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 5 ทุน โดยผมจะให้หลวงตาเป็นผู้เลือกคนเข้ารับทุนตามแต่จะเห็นสมควรน่ะครับ”

   “ดี ดีจริงๆ เป็นบุญของเด็กมัน เดี๋ยวอาตมาจะส่งรายชื่อเด็กไปให้โยม เอ่อ..”

   “ขุนแผนครับ เรียกแผนเฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวผมทิ้งเบอร์ไว้ให้ก็แล้วกันครับ ถ้าหลวงตาตัดสินใจเมื่อไหร่ก็โทรไปหรือไม่ก็ให้คนไลน์ไปแจ้งรายชื่อกับผมก็ได้ครับ ผมจะได้ดำเนินการขั้นตอนในการให้ทุนต่อไป” พูดจบเฮียแผนก็หยิบนามบัตรยื่นให้ลวงตา

   “ได้สิ เดี๋ยวถ้าอาตมาตัดสินใจแล้วจะให้คนติดต่อไปก็แล้วกัน ว่าแต่จำเป็นต้องเป็นต้องเป็นเด็กที่ขึ้นปีหนึ่งอย่างเดียวหรือเปล่า ต้องดูผลการเรียนประกอบด้วยไหม”

   “แล้วแต่หลวงตาเลยครับ จะเป็นเด็กที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายก็ได้ หรือจะเป็นเด็กที่ยังไม่เรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ครับ ส่วนผลการเรียนคงไม่ต้อง ขอแค่สอบเข้าเรียนได้ เป็นเด็กดีและหลวงตาเห็นว่าสมควรได้รับทุนก็พอครับ”

   “อืม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอาตมาจะจัดการให้... ตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน” ประโยคแรกแววตาปราณีคู่นั้นหันมาหาผม ก่อนจะหันไปมองเฮียแผนแล้วพูดต่อ

   “ขอบคุณมากครับ”

   “อาตมาสิควรขอบคุณ ขอบคุณแทนเด็กที่นี่ด้วยนะ”

   “คนบางคนก็สมควรได้รับโอกาสครับ”

   “หึๆ นั่นสินะ เรื่องทุนโยมแผนมีเรื่องอะไรที่จะบอกหรือกำชับอีกไหม”

   “ไม่มีแล้วครับ”

   “แล้วโยมล่ะ มีอะไรจะถามหรือเปล่า” พอเฮียแผนบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว หลวงตาก็หันมาถามผมต่อทันที จนผมเกือบสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว

   “ผม... คือผม “ ผมมองท่านด้วยความรู้สึกสับสนและไม่มั่นใจ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไงดี

   “อย่างที่อาตมาเคยบอก ว่าสัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุมีผลทั้งสิ้น” ตาของผมเบิกกว้าง เมื่อหลวงตาพูดเหมือนตอนที่วิญญาณผมมาที่นี่

   “ที่ผมต้องมาที่นี่ก็เพราะกรรมเหรอครับ” หลวงตาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่รอยยิ้มที่ส่งมาตีความหมายว่าใช่

   “แล้วตอนนี้แสนปลอดภัยรึยังครับ จะมีอันตรายอะไรอีกรึเปล่า” เฮียแผนถามขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล

   “เคราะห์หนักผ่านไปแล้ว ทั้งที่ชดใช้ด้วยตัวเอง และมีคนช่วยแบ่งเบา” หลวงตาตอบเฮียด้วยรอยยิ้ม

   ประโยคหลังทำให้เราสองคนหันมามองหน้ากัน ก่อนเฮียแผนจะถอนใจแล้วยิ้มด้วยความโล่งอก ส่วนผมนั้นยิ้มด้วยความปลื้มใจที่เฮียรักและเป็นห่วงผมเสมอ

   “มีอะไรจะถามอีกไหม” หลวงตาถามด้วยน้ำเสียงปราณี

   “แล้วไอ้คล้าว....” ผมอยากจะถามถึงมันเหลือเกิน แต่ไม่กล้า กลัวว่าหลวงตาจะรู้ว่าผมคิดและรู้สึกอะไรกับมัน

   “ตอนนี้มันไปทำงานที่กรุงเทพฯ เห็นบอกว่าอยากจะเก็บเงินเรียนปริญญาตรี อีกนานกว่าจะกลับ คงจะกลับมาช่วงเกี่ยวข้าวเลยนั่นแหละ” ฟังแล้วหัวใจก็ห่อเหี่ยวด้วยความผิดหวัง เมื่อเห็นอาการของผม หลวงตาเพียงยิ้มแล้วพูดต่อ

   “คนเราจะพบเจอกันได้ก็เพราะเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมา การพลัดพรากจากก็เช่นกัน ทุกสิ่งล้วนเกิดจากกรรม กรรมซึ่งหมายถึงการกระทำ ต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับโยมทั้งสองแล้ว”

   “หลวงตาทราบ?” หลวงตาเพียงยิ้มรับ

   “ต่อไปก็ต้องพยายามหน่อยนะ” คำพูดของหลวงตาทำให้ผมรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที

   “ครับ ผมจะพยายาม” ในเมื่อหลวงตารู้ และไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจ ก็ทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้น ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่!
**********************************************
   หลังจากหมดธุระและหมดข้อสงสัยในทุกเรื่องแล้ว เราทั้งสองก็กราบลาหลวงตาและบอกว่าจะไปเที่ยวรอบๆ หมู่บ้าน ซึ่งหลวงตาก็น่าจะรู้เป้าหมายของเราดี จึงปล่อยให้เราไปกันเอง ไม่ได้ให้ใครตามไป ก่อนจะจากมาหลวงตาก็ถามผมด้วยรอยยิ้ม

   “จำทางได้ใช่ไหม”

   “จำได้แม่นเลยครับ” ผมตอบรับด้วยแววตาเป็นประกาย

   ผมบอกให้เฮียแผนขับรถไปตามเส้นทางที่อยู่ในความทรงจำเรื่อยๆ จนไปถึงท้ายหมู่บ้านก็จอดรถทิ้งไว้ข้างทางก่อนจะเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่โดดเด่นที่ปลายทุ่ง

   ผมเร่งฝีเท้าไปด้านหน้าเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว สายตามองตรงไปที่บ้านหลังนั้นโดยไม่ละสายตา เมื่อไปถึงก็ยืนมองตัวบ้านนิ่งนานด้วยความรู้สึกโหยหา

   ประตูบ้านปิดสนิทและลงกลอนไว้แน่นหนา ผมละสายตาจากตัวบ้านแล้วกวาดสายตามองรอบๆ ตัว รู้สึกว่าทุกอย่างแทบจะอยู่ในสภาพเดิมเหมือนในความทรงจำของทองกวาวทุกอย่าง

   ผมเดินไปแตะต้นสะเดาที่ชอบเอาตัวถูกับลำต้นหยาบๆ ของมันเมื่อรู้สึกคัน เดินไปแตะกอมะลิที่ออกดอกพราวเต็มต้นแม้เจ้าของไม่อยู่

   ก่อนที่จะเดินตรงไปยังคอกควายที่อยู่ไม่ห่างจากตัวบ้าน ผมไล้ไม้ไผ่ล้อมคอกไปเรื่อยๆ สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะละอองน้ำกลั่นออกมาบดบังสายตา

   ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งสายตาก็สะดุดเข้ากับเนินดินแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ร่มไม้ไม่ไกลจากคอก เท้าผมก้าวไปหาเนินดินอย่างไม่รู้ตัว เมื่อไปถึงก็เห็นป้ายที่ทำจากไม้ เขียนชื่อด้วยสีขาวว่า ‘ทองกวาว’

   ผมลูบป้ายชื่อที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตานั้นเบาๆ ความรู้สึกข้างในมันตีขึ้นมาจนรู้สึกจุกในอก ก่อนที่น้ำตามันจะไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

   “ฮึก ฮืออออ” ผมทรุดตัวลงร้องไห้สะอึกสะอื้นหน้าหลุมศพของทองกวาวด้วยความรู้สึกโหยหา

   การที่ได้มาอยู่ที่นี่หลายเดือน ทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับที่นี่เหมือนเป็นบ้านอีกหลัง ยิ่งได้มาเห็นบ้านหลังนี้ ความทรงจำตอนอยู่ในร่างของทองกวาวก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น

   โดยเฉพาะความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนที่จะตายและต้องจากไอ้คล้าวไป

   “ฮึก ไอ้คล้าว ฮืออออ”

   เฮียแผนที่เดินตามมาเงียบๆ ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แล้วดึงผมไปกอด

   “ไม่เอาน่า อย่าร้องสิ ชู่ว” เฮียแผนเอ่ยปลอบ มือที่กอดก็ขยับลูบหลังปลอบโยนไปด้วย

   “ฮืออออ”

   “เฮ้อ! งั้นร้องให้พอก็แล้วกัน เฮียจะอยู่ข้างๆ เอง” เมื่อเห็นผมร้องไม่ยอมหยุด เฮียแผนถอนหายใจ ก่อนจะปล่อยให้ผมร้องไห้ต่อไป อุทิศอกเป็นที่ซับน้ำตาให้ผมเงียบๆ

   ผมร้องไห้จนเหนื่อย ให้น้ำตาช่วยระบายความอัดอั้นทุกอย่างที่อยู่ข้างใน จนเมื่อหัวใจรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น น้ำตาก็ค่อยๆ หยุดไหลไปเอง

   เมื่อน้ำตาหยุดไหลแล้ว เฮียแผนก็จูงมือผมไปที่โอ่งน้ำแล้วตักน้ำให้ล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่น ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น

หลังจากควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว ผมจึงพาเฮียเดินเล่นรอบๆ บ้าน ประหนึ่งเป็นบ้านของตัวเอง หยิบปลายข้าวที่อยู่ใต้ถุนเรือนหว่านให้ไก่ที่เดินหากินอยู่แถวๆ นั้น ระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ให้เฮียฟังไปเรื่อยๆ

ผมพาเฮียเตร่ชมท้องทุ่งนาที่เต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังตั้งท้องเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ในไม่ช้าก็คงจะสุกเป็นสีทองอร่ามทั่วท้องทุ่ง

ชี้ชวนให้ดูบึงน้ำที่ไอ้คล้าวพาไปกินน้ำและแช่น้ำคลายร้อนทุกวัน พาเดินไปที่ลำธารที่ไอ้คล้าวชอบพาไปนอนหลบแดดคลายร้อนและแช่น้ำเล่น

ผมอยากให้เฮียได้รู้จักกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำแห่งนี้

   ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าในสักวัน จะมีโอกาสได้มาเดินเคียงข้างกับไอ้คล้าวเหมือนตอนที่อยู่ในร่างของทองกวาวอีกครั้ง

****************************************************************
 :mc1: :mc1: :mc1:

หย่อนไว้แล้ววิ่งหนี เพราะก็ยังไม่ได้เจอกัน แฮ่!
อย่าเพิ่งด่าเราน้า ตอนนี้ยังเจอกันไม่ได้จริงจริ๊งงงงงงง
ครั้งหน้าเจอกันแน่นอนค่ะ สัญญาเมื่อสายัณห์.... สัญญา .... มุกกากแต่อยากเล่น ถถถ

****************************************************************

# wutwit พอดีคนเขียนจนค่ะ ไม่มีตังค์จ่ายค่าตัว แหะๆ รออีกนิดดดดนะคะ ปล.บางทีคนอ่านก็น่ากลัวอะ เดาแม่นกันจริง 555555
# puiiz  :L2: :L2:
# ommanymontra  :L2: :L2:
#iceman555 ตอนหน้ามาดูกันค่ะ แหะๆ รออีกนิดนะคะ
#fon270640 ค่าตัวแพงไม่เท่าไหร่ คนเปย์จนนี่สิคะปัญหา ถถถ
#19th แพงมากค่า คนเขียนก็จนมากด้วย ไม่มีตังค์เปย์ ถถถ
#lovenine แพงจริงๆ ค่ะ คนเขียนไม่มีตังค์เปย์ ถถถ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ กอดดดดดดดด
#dahlia ตอนนี้ก็มาแต่ชื่อค่ะ แหะๆๆ รออีกนิดนะคะ ตอนหน้าเจอกันแน่นอนนนนน
#วายซ่า คราวหน้ามาลุ้นกันค่า


รักกกกกกกกกก  :L1:
กอดดดดดดดดดดดด  :กอด1:
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-09-2018 09:31:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 28-09-2018 11:00:54
โอ้ยยยย ไอ้คล้าวค่าตัวแพงกว่าณเดช+มาริโอ้ไปแล้วนะเนี่ย ยังๆๆๆๆ ยังไม่ออกมาอีก
ปล.ขอไอ้ไม้ออกมาด้วยเน้อ คิดถึงทั้งคู่เลย อยากได้ไม้คู่ธงรบ555555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-09-2018 11:01:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:  ขอให้เจอกันไวๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-09-2018 14:01:29
สงสารทองกวาวนะ ยิ่งช่วงนี้บรรยากาศฝนฟ้ามืดครึ้ม พอบรรยายบรรยากาศแล้ว เหมือนตัวเองเดินไปกับแสนด้วย
ไม่เป็นไรจ๊ะ พี่คล้าวค่าตัวแพง ยังไงก็รอได้จ้าา
 :oni3: :oni3: :oni3:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-09-2018 15:36:57
ตอนหน้าได้เจอก็ยังดี สงสารน้องร้องไห้แล้วร้องไห้อีก  :sad4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-09-2018 16:59:51
พี่คล้าวมาทำงานอะไรที่ กทม แล้วมากับใคร อยู่กับครายยยยยย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-09-2018 17:06:45
 o18


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 28-09-2018 19:03:48
 แอบน้ำตาซึม ทองกวาว ก็ผูกพัน รักไอ้คล้าว อ่ะเนอะ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมา ฝ่าฟันหว่านไถ่นา มาด้วยกัน คิดถึงไอ้คล้าว ยุ นะ ม่ะรุ้ เป็นไงบ้าง แต่ เป็นคู่กรรม กันแล้ว ไอ้คล้าวไม่รอดมือทองกราว แน่นอน ถถถ (หลวงตาบอกไว้ล่ะ) ขอบคุณ ผู้แต่ง ทุกบท ทุกตอน รอตลอด คิดถึงไอ้คล้าวทองกราว และ ผู้แต่ง เสมอ จ้า กอดดดดดด :กอด1: o13 :hao5: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 29-09-2018 09:38:54
น้องกลับมารำลึกความหลัง แต่ไอ้คล้าวกลับไปทำงานกรุงเทพฯ ถ้าบังเอิญเจอกัน คล้าวจะรู้สึกมั๊ยว่าเป็นน้องทองกวาว
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 8 (Up 28/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 04-10-2018 06:00:51
มารอพี่คล้าว
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/10/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 05-10-2018 20:13:38
บทที่ 9

   ผมมองไปที่ประตูห้องประชุมที่บริษัทของเฮียแผนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวาย วันนี้เป็นวันหยุด แต่เฮียนัดเด็กทุนที่เจ้าอาวาสแต่ละวัดคัดเลือกให้มาสัมภาษณ์ที่บริษัท

   แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น มีไอ้คล้าวของผมอยู่ด้วย ทำให้ผมตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง

   นอกจากเฮียแล้วก็มีเพื่อนสนิทเฮียอีกสองคนคือพี่วินกับพี่กรและธงรบที่สนใจช่วยสนับสนุนทุนในครั้งนี้มานั่งช่วยสัมภาษณ์ด้วย ที่จริงก็ไม่ได้จะสัมภาษณ์จริงจังอะไรหรอก เพราะเราให้เครดิตกับเจ้าอาวาสไปแล้ว ที่นัดมาก็เพื่อทำความรู้จักกับคนที่ได้รับทุนมากกว่า เฮียแผนจึงให้ผมนั่งเพื่อฟังสัมภาษณ์ไปด้วย

   นอกจากสัมภาษณ์แล้ว เฮียแผนยังให้น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่และคนที่สอบติดแล้วนำเอกสารมาด้วยเพื่อดำเนินการในการให้ทุนต่อไป ส่วนคนที่ยังสอบไม่ได้ก็ให้เตรียมเอกสารบางส่วนมา รอให้สอบติดก่อนแล้วค่อยมาดำเนินการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยอีกครั้ง

   ก่อนที่จะถึงเวลานัด พี่ๆ กับธงรบก็นั่งจิบกาแฟคุยกันสบายๆ มีแต่ผมที่รู้สึกกระวนกระวายจนทนไม่ไหว ต้องเดินไปนอกห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน กลัวว่าธงรบจะรู้สึกผิดสังเกตแล้วถามอะไรออกมา

   ผมเดินไปที่สวนเล็กๆ ข้างๆ ตึกที่ทำไว้เพื่อเป็นที่พักผ่อนสำหรับพนักงาน สีเขียวๆ ของต้นไม้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ผมเดินไปดูดอกมะลิที่กำลังออกดอกพราวเต็มต้น เห็นแล้วนึกถึงบ้านหลังน้อยริมทุ่ง ผมเด็ดดอกมะลิดอกหนึ่งขึ้นมาดม กลิ่นหอมหวานของมันทำให้อดจะยิ้มออกมาไม่ได้

   “ขอโทษครับ”

   ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นๆ ของคนที่มาอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อหันกลับไปแล้วเห็นหน้าคนที่ทักก็ได้แต่ยืนอึ้ง

   “คือ ไม่ทราบว่าห้องสัมภาษณ์ทุนไปทางไหนครับ?” คนตรงหน้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ

   ไอ้คล้าว!

   ผู้ชายหน้าตาคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือไอ้คล้าวของผมไม่ผิดแน่ ต่อให้คนตรงหน้าแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำดูสุภาพแปลกตา แต่ผมก็จำคนที่อยู่ในใจตั้งแต่เป็นทองกวาวได้

   ผมได้แต่จ้องคนตรงหน้าตาแทบไม่กระพริบ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ เพราะกลัวเหลือเกินว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแค่ความฝันหรือภาพลวงตา

   “เอ่อ เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของผมเป็นแบบไหน คนตรงหน้าถึงได้ถามด้วยสีหน้ากังวลแบบนั้น

   “...”

   “คุณ! ร้องไห้ทำไมครับ เจ็บตรงไหนรึเปล่า หรือว่างูกัดวะ” ไอ้คล้าวถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ทำให้ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ เมื่อเห็นผมยังนิ่งมันก็พึมพำเบาๆ ก่อนจะชะโงกมองไปที่กอมะลิแล้วกวาดตามองสำรวจเร็วๆ

   “ฮึก” แต่ยิ่งเห็นท่าทางห่วงใยของมันก็ยิ่งทำให้น้ำตาผมไหลออกมามากขึ้น ไอ้คล้าวก็ยิ่งละล้าละลังเหมือนทำอะไรไม่ถูก มันกวาดสายตาสำรวจจนทั่วตัวผม พอเห็นว่าผมแค่ร้องไห้ไม่ได้มีอาการอะไรผิดปกติ ก็ยืนอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ ต่อไป

   “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” เมื่อเห็นผมยังร้องไห้ไม่หยุด มันก็ถามอย่างมีน้ำใจ พักนี้ชักจะร้องไห้บ่อยไปแล้ว แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันทำให้หัวใจวุ่นวายเหลือเกิน

   “ช่วย ฮึก อยู่เป็นเพื่อนผมสักครู่ได้ไหม”

   “ได้สิครับ” มันตอบรับอย่างว่าง่าย ทั้งๆ ที่มีสีหน้าสงสัย แต่ก็ยังรักษามารยาท ไม่ได้ถามอะไรออกมา

เพราะผมรู้ว่ามันเป็นคนใจดี มีน้ำใจกับคนอื่นเสมอ ผมจึงใช้เรื่องนี้รั้งมันไว้ข้างๆ ต่ออีกสักนิด ตอนนี้ทำได้เพียงแค่นี้ ต่อให้อยากกอดสักแค่ไหน แต่ในฐานะคนที่เพิ่งเจอกันนั้น... ผมยังไม่มีสิทธิ์

อยากกอดเหลือเกิน อยากบอกออกไปเหลือเกินว่าทองกวาวอยู่นี่แล้วนะ พี่คล้าวของทองกวาว

แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ ขืนพูดออกไปมันต้องหาว่าผมเป็นบ้าแน่ๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นในหัวใจไปเรื่อยๆ

“ฮึก ฮืออออ”



   ไอ้คล้าวยืนอยู่เป็นเพื่อนผมเงียบๆ แม้จะไม่มีบทสนทนาสักคำ แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

   ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้งในสภาพที่เป็นมนุษย์ทั้งคู่ ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่ายังมีโอกาสอีกมากที่จะได้อยู่เคียงข้างกันเหมือนตอนนี้ แค่ต่อไปต้องพยายามไขว่คว้าหาโอกาสให้เต็มที่และอย่ายอมแพ้ง่ายๆ หัวใจของไอ้คล้าวต้องเป็นของผมอย่างแน่นอน ผมคิดด้วยความมุ่งมั่น

   เมื่อคิดได้อย่างนั้น น้ำตาผมก็ค่อยๆ หยุดไหล พอเห็นผมหยุดร้องไอ้คล้าวก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าที่ดูยับๆ ในกระเป๋ายื่นให้ผม

   “ยังไม่ได้ใช้นะครับ ยับไปหน่อย แต่สะอาดแน่นอนครับ” มันบอกเมื่อเห็นผมจ้องผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นนิ่งๆ ที่จริงไม่ได้รังเกียจอะไรสักนิด ที่เงียบไปเพราะคิดไม่ถึงว่ามันจะส่งผ้าเช็ดหน้าให้มากกว่า

ผมยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าในมือมัน แต่พอมือแตะกันก็ต้องสะดุ้งทั้งคู่ เมื่อรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านและรู้สึกเหมือนไฟช็อตขึ้นมาครู่หนึ่ง เราทั้งคู่จึงเผลอมองหน้ากันและสบตากันนิ่งๆ

ตุบ!

ก่อนที่จะสะดุ้งกันอีกรอบ เมื่อกระรอกตัวหนึ่งหล่นลงมาใกล้ๆ เราสองคนพอดี

เราทั้งคู่หันไปมองกระรอกที่วิ่งกลับขึ้นไปบนต้นไม้ ก่อนจะหันกลับมามองมือที่ยังแตะค้างกันอยู่เหมือนเดิม พอรู้ตัวต่างคนต่างก็รีบดึงมือของตัวเองออกมา แล้วก็เผลอสบตากันอีกครั้ง ก่อนจะรีบหลบตาแล้วหันหน้ากันไปคนละทาง

   ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวจนต้องเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นรัวจนกลัวหัวใจจะวาย พอเหลือบไปมองไอ้คล้าวก็เห็นมันยกมือที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ขึ้นลูบท้ายทอยเหมือนกำลังเก้อเขิน หน้ามันดูนิ่งๆ เหมือนเดิม แต่ใบหูแดงจนเห็นได้ชัด

ท่าทางของมันดูน่ารักจนผมต้องกลั้นยิ้ม

น่ารักจังเลยโว้ย! น่ารักจนอยากลากเข้าพุ่มไม้... แต่กลัวโดนกระทืบ ต้องพยายามย้ำกับตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา รอให้เป็นคนรักกันก่อนเถอะ จะลากเข้าพุ่มไหนก็คงไม่เป็นปัญหา... ฝากเอาไว้ก่อนนะพุ่มไม้ เอ๊ย! ไอ้คล้าว

ผมใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาและบังรอยยิ้มกว้างขวางของตัวเองไว้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ให้คงที่ แล้วหันไปมองหน้าไอ้คล้าว เมื่อมันหันมามองก็เอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มบางๆ

   “ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนนะครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ” ไอ้คล้าวตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้ายังมีความเก้อเขินจนผมรู้สึกใจชื้น เพราะอย่างน้อยมันก็ยังหวั่นไหวกับความใกล้ชิดเมื่อครู่บ้าง

   พออยู่ในร่างมนุษย์ ถึงได้รู้ว่าไอ้คล้าวมันสูงมาก ขนาดผมที่สูง 175 ก็ยังอยู่แค่ประมาณใบหูของมันเท่านั้นเอง มันน่าจะสูงพอๆ กับเฮียแผนและธงรบ ประมาณจากสายตาแล้วคงไม่ต่ำกว่า 185 แน่ๆ

   “เมื่อครู่คุณถามผมเรื่องห้องสัมภาษณ์ทุนใช่ไหมครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้มันคลายความเก้อเขินลง รุกมากไปก็ไม่ดี เดี๋ยวไก่ตื่น

   “ใช่ครับ”

   “ตามผมมาเลยครับ เดี๋ยวผมพาไป”

   “ไม่รบกวนใช่ไหมครับ”

   “ไม่รบกวนหรอกครับ ผมต่างหากที่รบกวนเวลาคุณตั้งนาน” ผมส่งสายตากรงอกเกรงใจไปให้

   “ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” ซึ่งคนใจดีอย่างมันก็รีบค้านทันที

   พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งให้ เมื่อเห็นมันเริ่มมีอาการเก้อเขินอีกครั้ง ผมก็หันหลังเดินนำไปแล้วแอบยิ้ม

   นี่เห็นว่าเพิ่งจะเจอกันหรอกนะ เลยยอมปล่อยไปก่อน ต่อไปก็เตรียมตัวไว้เถอะ เจอรุกหนักกว่านี้แน่ๆ หึๆๆๆ

   ไอ้คล้าวเดินเยื้องๆ ตามหลังมา ระหว่างทางผมก็พยายามชวนคุยไปเรื่อยๆ จะได้สร้างความสนิทสนมให้มากขึ้นและลดความห่างเหินระหว่างเราลง

   “รบกวนคุณมาตั้งนาน ยังไม่ทราบชื่อของคุณเลย”

   “ผมคล้าวครับ”

   “แสนครับ เรียกพี่แสนก็ได้ เพราะถ้ามาสัมภาษณ์ทุนแสดงว่าน้องคล้าวน่าจะเป็นรุ่นน้องพี่” ผมบอกชื่อตัวเองบ้าง แล้วก็เนียนให้มันเรียกพี่ไปเลยจะได้ดูสนิทกันมากขึ้น

   “ครับ พี่แสน” ไอ้คล้าวมีท่าทีลังเลในตอนแรก แต่ก็ยอมเรียกแต่โดยดี

   ดีมาก ว่าง่ายๆ จะได้ ‘ใจ’ เร็วๆ หึๆ

   “นี่มาคนเดียวเหรอครับ” ผมถามด้วยความแปลกใจ เพราะเห็นรายชื่อไอ้ไม้อยู่ในชื่อเด็กทุนที่หลวงตาส่งมาด้วย แต่กลับเห็นไอ้คล้าวมาคนเดียว

   “ครับ” เมื่อเห็นผมหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ มันก็อธิบายต่อ

   “ที่จริงมีรุ่นน้องอีกคนที่สนิทกันได้รับทุนด้วยครับ แต่วันนี้ติดธุระสำคัญ มาไม่ได้ ก็เลยขอมาวันหลังแทน ส่วนอีกสามคนก็คงมาพร้อมกัน พอดีผมอยู่ใกล้อยู่แล้วเลยต้องมาคนเดียวครับ”

       “เหรอครับ” ไอ้ไม้คงติดธุระสำคัญจริงๆ ถึงได้มาด้วยไม่ได้ เพราะปกติไอ้ไม้ติดลูกพี่มันจะตาย

   “แล้วน้องคล้าวมาจากจังหวัดไหนครับ”

   “ผมมาจากสุพรรณฯ ครับ”

   ผมพยายามหาเรื่องชวนคุย แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วก็ตาม ผมชวนคุยไปเรื่อยๆ ไอ้คล้าวก็ตอบคำถามของผมอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญสักนิด ทำให้ผมได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

   จนไปถึงห้องประชุมที่จัดให้น้องๆ นั่งรอสัมภาษณ์ ผมก็บอกให้ไอ้คล้าวเข้าไปรอข้างในได้เลย เดี๋ยวจะมีคนมาเรียก มันยกมือไหว้ขอบคุณอย่างเรียบร้อยจนผมอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   หลังจากส่งไอ้คล้าวแล้ว พอดูเวลาก็ใกล้เวลาเริ่มสัมภาษณ์พอดี ผมจึงเดินกลับไปที่ห้องสัมภาษณ์ซึ่งเป็นห้องประชุมเล็กอีกห้อง

   พอเข้าไปก็เห็นทุกคนนั่งประจำที่แล้ว เฮียแผนนั่งอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยธงรบที่นั่งขวามือ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นพี่วิน ถัดจากพี่วินก็เป็นพี่กรที่นั่งข้างๆ เพื่อน เก้าอี้ที่ว่างจึงเป็นที่นั่งข้างๆ ธงรบ ผมเดินไปนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างเงียบๆ

   เมื่อเฮียกับธงรบเห็นสภาพของผมที่ตอนนี้ตาน่าจะบวมเพราะร้องไห้มาก็ขมวดคิ้วทันที ทั้งคู่ทำท่าจะอ้าปากถาม แต่พี่เลขาธนาพาน้องคนแรกเข้ามาในห้องซะก่อน จึงได้เงียบไป

   หลังจากสัมภาษณ์จบแล้วคงโดนพ่อๆ ซักอีกแน่ๆ เฮ้อ!

   ผมนั่งฟังสัมภาษณ์เงียบๆ นานๆ ถึงจะถามขึ้นมาสักที ถึงน้องๆ จะมีอาการตื่นเต้นกันทุกคน แต่ก็พยายามพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้บรรยากาศในห้องเป็นไปอย่างผ่อนคลาย

   ยิ่งถึงคิวน้องๆ ที่มาจากวัดที่เฮียแผนไปบวชก็ยิ่งเป็นกันเองและเฮฮามากขึ้น เพราะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

   จนเมื่อถึงคนสุดท้าย พอน้องมันเดินเข้ามา เฮียแผนก็หันมามองผมทันที ผมหันไปสบตาแล้วยิ้มให้ เป็นอันรู้กันว่าคนนี้แหละที่ผมเฝ้ารอที่จะได้พบหน้ามาตลอด

   “สวัสดีครับ” น้องมันยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย เมื่อหันมาเห็นผมนั่งอยู่ด้วยก็ชะงักไปก่อนจะค้อมศีรษะให้ ซึ่งผมก็ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นให้ดูอ่อนโยนที่สุด

   “เชิญนั่ง” เฮียแผนแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นเราสบตากันนานเกินไป

   น้องกำลังอ่อยอยู่ เฮียจะขัดทำไมเนี่ย! ผมแอบบ่นในใจ

   “ชื่ออะไรครับ” พี่วินถามขึ้นมาก่อน เมื่อเฮียแผนยังนิ่งไม่ยอมเริ่มทักน้องเหมือนก่อนหน้านี้ เอาแต่จ้องน้องมันนิ่งๆ

   “ผมคิมหันต์  รักดี ชื่อเล่นชื่อคล้าว มาจากสุพรรณฯ ครับ”

   “อ๋อ พี่คล้าวของทองกวาวในเรื่องมนต์รักลูกทุ่งใช่ไหม” ผมแอบสะดุ้ง เมื่อธงรบมันถามยิ้มๆ คงตั้งใจจะช่วยให้น้องผ่อนคลาย แต่ดันทำให้ผมใจเต้นเมื่อได้ยินชื่อเก่าของตัวเอง

   “ครับ” ไอ้คล้าวรับคำ แต่แววตามันหมองลงไปครู่หนึ่ง เดาว่าน่าจะเป็นเพราะได้ยินชื่อของทองกวาวแน่ๆ

   ผมได้แต่ส่งสายตาปลอบโยนไปให้โดยที่มันไม่รู้ตัว ดูท่าแล้วมันน่าจะยังไม่ลืมทองกวาวของมัน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีใจที่มันไม่ลืมกัน ถึงแม้ว่าเป็นผมในร่างควายก็เถอะ

   “คุณวางแผนไว้ว่าจะสอบเข้าเรียนคณะอะไรครับ” เฮียแผนถามด้วยรอยยิ้มมุมปากและน้ำเสียงนิ่งๆ จนเพื่อนเฮียทำหน้าแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฮียก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่ตอนนี้ทำท่าเหมือนจะกินหัวเด็กแทนซะอย่างนั้น

   “ผมตั้งใจไว้ว่าจะสอบเข้าคณะเกษตรศาสตร์ครับ” น้องมันตอบอย่างสุภาพ หน้านิ่งๆ นั้นดูจริงจัง แต่แววตาเป็นประกาย คงจะดีใจที่มีโอกาสได้เรียนเหมือนที่เคยฝันไว้ เห็นแล้วผมก็พลอยรู้สึกดีใจไปกับมันด้วย แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้ม เมื่อธงรบหรี่ตามองมาด้วยแววตาสงสัยเต็มที่

   แย่แล้ว! ลืมตัว

   ผมได้แต่ปั้นหน้านิ่ง พยายามนึกหาข้อแก้ตัวกับมันก่อนจะถูกซักหลังจากนี้

   “มีแฟนรึยังครับ” แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร คำถามของเฮียแผนก็ทำเอาผมหันขวับไปมองจนคอแทบเคล็ดทันที

   “ห๊ะ!” อันนี้ไม่ใช่เสียงน้องครับ แล้วก็ไม่ใช่เสียงผมด้วย แต่เป็นเสียงของอีกสามคนที่เหลือที่ทำหน้าตื่นๆ เมื่อเจอคำถามเฮียเข้าไป

   ถามอะไรของเฮียยยย

   ส่วนคนถูกถามก็ได้แต่ทำหน้างง มันคงจะสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องทุน แต่ด้วยความซื่อของมัน น้องมันก็ยอมตอบแต่โดยดี

   “ตอนนี้ไม่มีครับ”

   “แสดงว่าเคยมี?” เฮียยังคงถามต่อโดยไม่สนใจคนที่เหลือซึ่งกำลังอึ้งอยู่เลย

   “ครับ” มันรับคำด้วยสีหน้าเศร้าๆ คงกำลังนึกถึงดาวเรืองอยู่

   “ทำไมถึงเลิกกัน”

   เอ่อ... คำถามมันไม่ละลาบละล้วงไปเหรอเฮีย

   “...” น้องมันมีสีหน้าลำบากใจที่จะตอบ

   “เฮีย... ” พอเห็นสีหน้าของมัน ผมก็พยายามเอ่ยปากห้าม แต่เฮียแผนส่งสายตามาบอกให้หยุด ผมก็ได้แต่ถอนใจแล้วปล่อยให้เฮียใช้อำนาจมิชอบถามเด็กผมต่อ เฮียยอมเปลี่ยนคำถามให้ แต่เป็นคำถามที่ฟังแล้วก็ยังแปลกๆ อยู่ดี

   “ยังรักเขาอยู่ไหม”

“ครับ” แค่ได้ยินว่ามันยังรักดาวเรืองอยู่ หัวใจผมก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที เฮียแผนหันมาส่งสายตาปลอบโยนให้ผมก่อนจะถามต่อ

   “แล้วถ้าเขามาขอคืนดี จะกลับไปคืนดีไหม”

   “...” ไอ้คล้าวมันเงียบไป แววตามันเหม่อลอยไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมาตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

   “คงไม่ครับ”

   “เพราะอะไร พอจะบอกได้ไหม” เพิ่งจะมาเกรงใจอะไรตอนนี้เฮีย ผมได้แต่ถอนหายใจเพลียๆ ให้กับคำถามของเฮีย

   “เพราะต่อให้ยังรักอยู่ แต่ผมก็ไม่เหลือความเชื่อใจให้เธออีกแล้วครับ ถ้าไม่มีความเชื่อใจ มีแต่ความรู้สึกระแวง ต่อให้คืนดีกัน ก็คงไปไม่รอดอยู่ดีครับ”

   “อืม ดี”

   เฮียพยักหน้าพอใจกับคำตอบ ส่วนผมก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ได้แต่หวังว่ามันจะทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำถามต่อมา

   “แล้วคิดยังไงกับเพศที่สาม”

   “เพศที่สาม?” คล้าวทวนคำงงๆ

   “อย่างตุ๊ด กะเทย ทอม เกย์ ประมาณนั้น รังเกียจไหม?” เฮียแผนขยายความ

   “ไม่รังเกียจครับ เพราะพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากผมหรือคนอื่นเลยครับ”

   “แล้วถ้า... มีคนพวกนี้มารักมาชอบ เธอจะรู้สึกยังไง จะรังเกียจรึเปล่า”

   น้องมันทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบ

   “เขาก็แค่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับผมเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำผิดอะไร ผมคงไม่รังเกียจครับ”

   “ดี” เฮียแผนยิ้มแววตามีความพอใจ ส่วนผมลุ้นจนแทบจะลืมหายใจตั้งแต่ได้ยินคำถาม ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบของมัน

   หลังจากนั้นคำถามของเฮียแผนก็ดูจะผ่อนคลายขึ้น อย่างเช่น ตอนนี้อาศัยอยู่กับใคร ทำงานอะไร ชอบกินอะไร มีเพื่อนสนิทกี่คน จบแล้วอยากทำงานที่ไหน ซึ่งน้องมันก็ตอบทุกคำถามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดสักนิด เฮียแผนถามอยู่คนเดียวจนพอใจถึงได้ยอมปล่อยให้น้องมันไปได้

   ไอ้คล้าวมันลุกขึ้นยกมือไหว้ หันมาค้อมศีรษะให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป

   ผมได้แต่มองตามหลังของไอ้คล้าวตาละห้อย

   พอหันมาอีกทีก็ต้องสะดุ้ง เมื่อธงรบหรี่ตามองอย่างสงสัย ส่วนเฮียแผนก็โดนเพื่อนจ้องเขม็งไม่ต่างกัน

   “นี่มึงเปลี่ยนแนวเหรอไอ้ขุนแผน” พี่วินที่นั่งอยู่ข้างๆ เฮียถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าข้องใจ

   “เปลี่ยนแนวอะไร” เฮียถามนิ่งๆ ก่อนจะหยิบน้ำมาจิบน้ำแก้คอแห้ง ก็ใครใช้ให้ซักน้องมากขนาดนั้นล่ะ ถ้าเป็นเสื้อผ้าป่านนี้คงสะอาดไปแล้ว

   “ก็มึงถามอย่างกับจะจีบน้อง”

   “แค่กๆๆ” เฮียแผนสำลักน้ำขึ้นมาทันที

   “นั่นน่ะสิ นี่มึงเปลี่ยนแนวมาชอบผู้ชายเมื่อไหร่วะ ถ้าเป็นผู้ชายน่ารักอย่างน้องแสนกูจะไม่แปลกใจเลย แต่นี่น้องมันล่ำมากเลยนะเว้ย” พี่กรเสริมด้วยสีหน้าแปลกใจขั้นสุด

   ผมได้แต่กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น เมื่อเห็นเฮียทำหน้าพิลึกกับคำถามเพื่อน ก่อนที่เฮียจะหันไปมองเพื่อนตาเขียวเมื่อพี่กรพาดพิงถึงผม

   ฮ่าๆๆๆๆๆ ตลก!

   “เฮีย ผมหิวข้าว” ผมกลั้นหัวเราะ แล้วรีบช่วยเฮียก่อนที่จะถูกเพื่อนซักไปมากกว่านี้

   “น้องกูหิวข้าวแล้ว ไปแสนไปกินข้าวกัน” พูดจบก็รีบลุกแล้วมาคว้ามือผมจูงเดินออกไปทันที ปล่อยให้ธงรบกับพี่ๆ นั่งงงกันสักพักก่อนจะผุดลุกขึ้นตามมา

   “เฮ้ย! รอด้วยสิ”

   เมื่อออกมาจากห้อง เฮียก็พาเดินไปที่ห้องประชุมใหญ่ที่พี่ธนากับเลขาพี่ๆ อีกสองคนช่วยกันจัดการเรื่องเอกสารอยู่ แต่เพราะประสิทธิภาพการทำงานที่ดีเยี่ยมของพี่ๆ ทำให้เคลียร์ได้เร็ว ตอนนี้ในห้องจึงเหลือแต่พี่ๆ ทีมเลขาที่กำลังช่วยกันเก็บของอยู่

   ป่านนี้ไอ้คล้าวคงจะกลับไปแล้ว เพราะมันยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ต้องรอให้สอบได้ก่อน ค่อยมาจัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยอีกที ผมอดจะถอนหายใจด้วยความเสียดายไม่ได้

   อยากเห็นหน้าอีกสักนิด ยังไม่หายคิดถึงเลย

   “ใจเย็นๆ ยังมีโอกาสอีกนาน” เฮียบีบมือเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของผม

   “ครับเฮีย”

   หลังจากนั้นเราทั้งแปดก็ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารที่จองไว้ด้วยกัน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังมีสัมภาษณ์น้องๆ ที่เหลืออีกชุด

   ตอนแรกธงรบทำท่าจะตามกลับไปที่บ้านด้วย ผมรู้ว่ามันสงสัยเรื่องไอ้คล้าวและตั้งใจจะมาซักผมต่อ แต่โดนที่บ้านโทรตามให้ไปงานเลี้ยงซะก่อน มันเลยจำใจต้องกลับบ้าน ก่อนจะกลับมันยังเข้ามากระซิบให้ผมเสียวสันหลังเล่นด้วย

   “กูยังไม่ลืมนะ พรุ่งนี้กูจะมาถามใหม่”

   คงต้องหาข้อแก้ตัวดีๆ ไว้ซะแล้ว!



   เมื่อกลับมาถึงบ้าน พอเห็นว่าป๊ากับแม่ยังไม่กลับ เฮียก็เดินนำไปที่ห้องของผม เมื่อเข้าห้องและนั่งประจำที่แล้วก็เริ่มถามทันที

   “ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์เกิดอะไรขึ้น แสนร้องไห้ทำไม ทำไมในห้องทำเหมือนรู้จักกันแล้ว ไปเจอกันที่ไหน”

   อื้อหือ มาเป็นชุดเลย

   “แสนเจอน้องมันที่สวน พอดีน้องมันมาถามทางไปห้องสัมภาษณ์ พอเห็นหน้าแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้องมันก็เลยอยู่ปลอบครับ เลยทำความรู้จักตอนนั้นเลย”

   “ใจดีนี่” เฮียพึมพำเบาๆ

   “ครับ ปกติมันก็ใจดีมีน้ำใจกับทุกๆ คนอยู่แล้วครับ ยิ่งกับคนที่มันแคร์ มันก็ยิ่งใจดีและเอาใจใส่มากกกกก” ผมบอกด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง

   “โอ๊ย! เฮียยยย” ก่อนที่จะต้องร้องลั่นเมื่อเฮียจับแก้มทั้งสองข้างดึงจนยืด

   “หน้าบานเชียวนะน้องทองกวาว” เฮียว่าด้วยน้ำเสียงเหมือนมันเขี้ยวเต็มที่ มือทั้งสองก็ยังดึงแก้มผมไม่หยุด

   “เอียยยยยยย”

   นี่เฮียคงไม่ได้ด่าน้องว่าควายหรอกนะ... ใช่ไหม?
   


****************************************************************

ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้วค่าาาาาาาาาาาาา เจอแล้วก็จบได้เนอะ / โดนตบ
พอเจอกันก็เปลี่ยนสถานะกันนิดหน่อย จากพี่คล้าวกับน้องทองกวาว ก็เป็นพี่แสนกับน้องคล้าวแทน ฮี่ๆ
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีดราม่านะคะ เพราะนักเขียนไม่ถนัด (ที่จริงก็ไม่ถนัดซักแนว ถถถ)
ฝากพี่แสนกับน้องคล้าวด้วยค่า น่าจะไม่ยาวเท่าน้องดิน เพราะปมไม่ได้เยอะเหมือนเรื่องนั้นค่ะ
รักคนอ่านทุกคน อยากให้รู้ไว้ว่าคุณคือพลังในการเขียนของเราเสมอ (ที่ไม่กล้าเทก็เพราะมีคนอ่านนี่แหละ ไม่งั้นคงท้อและเทไปนานแล้วค่า แหะๆๆ)
รักกกกกกกก

****************************************************************

puiiz  :pig4:  :L2: :กอด1:
wutwit  :pig4: มาแล้วค่าาาา แม่มันเก็บเงินไปเปย์ได้แล้ว 55555 ส่วนน้องไม้รอก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องจะมาทักทายในตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณที่คอยมากระตุ้นนะคะ เราเลยคึกเป็นพักๆ 55555
iceman555  :pig4: เจอกันแล้วค่ะ ยาวนานเหลือเกิน โปรดโทษพระพรหม อย่าโทษคนเขียนเลยนะคะ
k2blove  :pig4: ช่วงนี้บรรยากาศอึมครึมพอๆ กับความรู้สึกคนเขียนเลยค่ะ ฝนตก ออกหากินไม่ได้ ฮึก หาค่าตัวมาเปย์คล้าวได้แล้วนะคะ เจอกันสักที
19th  :pig4: เจอแล้วพี่แสนก็ต้องร้องค่ะ เพราะไอ้คล้าวไม่รู้จัก ถถถ
dahlia  :pig4: อยู่กับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ไม่ใช่ละ 55555 รอพี่คล้าวมาตอบนะคะ
ommanymontra  :pig4:  :pig4: :L2: :กอด1:
lovenine  :pig4: คนที่จำได้ฝ่ายเดียวนี่น่าสงสารนะคะ สงสารลูก ใครทำลูกแม่ ถถถ ต้องติดตามค่ะ ว่าคล้าวจะว่ายังไงต่อไป เป็นกำลังใจให้พี่แสนกับนักเขียนด้วยนะคะ กอดดดดด
วายซ่า  :pig4: ตอนนี้ยังจำไม่ได้เลยค่ะ ถถถ คงไม่มีใครคิดหรอกว่าควายจะมาเป็นคนได้ โปรดติดตามตอนต่อไป



ระหว่างรอเรื่องนี้ แวะไปอ่านก้อนดิน ก้อนหินพลางๆ ก่อนก็ได้ค่า จบแล้วววว

ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58607.0)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-10-2018 21:25:57
ตอนนี้ ไอ้คล้าวเปิดตัวมีดีแค่รูปร่างสูงใหญ่ แต่ทำไมกลายเป็นเฮียแผนแย่งซีนไปเสียหมด ถึงอย่างนั้นก็รักเฮียแผนนะ เป็นพี่ที่สุดยอดมากกกก ขอบอก ช่วยให้แสนคลายกังวลแบบ One stop service   อยากรู้ว่าพี่แผนนะชอบเพศที่สามมั่งป่าว มีคนสนใจอยู่ตรงนี้คน1 อิอิอิ คนเขียนคงไม่ว่าเรานะ รักคนเขียนจุ๊บๆ
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-10-2018 21:49:45
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 05-10-2018 21:52:32
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-10-2018 23:21:51
โหห เฮียแผนถามซะละเอียดยิบเลย อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-10-2018 23:22:24
 o13


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 06-10-2018 05:57:40
มาซักที...ขอวีคละตอนนะครับ ตอนหน้าไอ้ไม้มาหรอ อิอิอิ...รอดูว่ามันจะทำไรเด๋อๆๆๆมั้ย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 06-10-2018 11:01:31
น้องคล้าวเจอพี่ทองกวาวแล้ว มีสปาร์กกันเล็กน้อย 55555

รอดูตอนเฮียแผนเจอน้องไม้ เผื่อเฮียจะเปลี่ยนแนวมั่ง.  :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 06-10-2018 15:44:45
ได้เจอก็ยังร้องไห้อีกน้อ 555 ไม่เป็นไรนะน้องแสน มีเฮียแผนแบ็คอัพดีขนาดนี้ เดี๋ยวก็เสร็จ เอ๊ย จีบสำเร็จ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 06-10-2018 16:31:16
น่่าติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 06-10-2018 21:56:20
โอ้ยยยยย พ่อพระเอกค่าตัวแพง 5555555555 สนุกมาๆค่ะ ชอบๆ รอติดตามน๊าาา
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 07-10-2018 01:11:43
ดีใจ เขาได้เจอกันแล้ว :-[
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-10-2018 07:21:08
  ไอ้ไม้ไปไหน ของเค้านะ นี่อีกคนที่ลืมไม่ได้ ในที่สุดก็เจอ กันซะที อิอิ รอลุ้นกันต่อไป  ถ้าไอ้คล้าวรู้ว่าพี่แสนเคยอยู่ในร่างทองกวาว ละก็ ซ๊อคโลก กันละที่นี่ ถถถ รอติดตามตอนต่อๆๆ ไป รักคนเขียน จ้า (ป.ล ห้ามเทกันน๊าาาา ถถถ) :pig3: :fox2: :pigwrite: :pigwrite: :music:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 9 (Up 5/9/61) : P3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-10-2018 11:00:16
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 13-10-2018 10:58:20
บทที่ 10

   ผมนั่งมองดอกไม้ในสวนข้างบริษัทด้วยความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส วันนี้เป็นอีกวันที่นัดน้องๆ ที่เหลือมาสัมภาษณ์ต่อจากเมื่อวาน ระหว่างที่รอเวลา ผมจึงขอเฮียลงมาเดินเล่นที่สวนไปพลางๆ ก่อน

   พอเดินดูดอกไม้จนเมื่อย ก็มานั่งพักบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างทางเดินในสวน สายตามองต้นไม้สลับกับน้องๆ ที่ทยอยเดินเข้ามาเป็นระยะ แต่ละคนมีท่าทีตื่นเต้นและกระตือรือร้นกันมาก

   เด็กๆ นี่พลังงานเยอะจังเลยน้า

   นึกถึง ‘เด็ก’ ที่เจอกันเมื่อวานก็อดจะยิ้มปลื้มอยู่คนเดียวไม่ได้ ก่อนที่จะชะงักแล้วเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินเสียงคุ้นๆ ที่ดังใกล้เข้ามา

   “ตึกนี้เหรอพี่คล้าว”

   “อืม”

   “หูย เห็นแล้วขนลุกเลยพี่”

   “ตื่นเต้น?”

   “เปล่า ปวดขี้”

   “โอ๊ย! พี่คล้าว ตบหัวทำไม”

   “ยังจะมีอารมณ์เล่นอีก”

   “โธ่! แก้ตื่นเต้นไงพี่ นี่ผมตื่นเต้นจนเยี่ยวจะราดแล้ว”

   “เฮ้อ! อยู่ต่อหน้าคณะกรรมการสัมภาษณ์ก็อย่าล้นให้มากนัก สำรวมหน่อย”

   “คร้าบพ่อ เอ๊ย! พี่ ผมจะพยายามเรียบร้อยที่สุด ดีใจเนอะ ในที่สุดก็มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาแล้ว ผมนึกว่าจบ ม.6 แล้วต้องเลิกเรียนซะแล้ว”

   “อืม ในเมื่อได้โอกาสมาแล้วก็ต้องพยายามให้เต็มที่”

   “ครับ ผมจะตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบ อ๊ะ! ขอโทษที่เสียงดังครับ” ไอ้ไม้มันชะงักแล้วเอ่ยขอโทษ เมื่อเดินโผล่จากมุมแล้วเห็นผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างทางเดิน

   “สวัสดีครับคุณแสน” ไอ้คล้าวยกมือไหว้อย่างสุภาพเมื่อเห็นผม ทำให้ไอ้ไม้ยกมือไหว้ตามด้วยแม้จะทำหน้างงๆ ก็ตาม

   “รู้จักเหรอพี่” มันกระซิบถามไอ้คล้าวแต่เสียงก็ยังดังจนผมได้ยิน ไอ้คล้าวเลยทำตาดุใส่ให้มันเงียบ

   “นี่คุณแสน เป็นคณะกรรมการสัมภาษณ์ด้วย”

   “สวัสดีครับคุณแสน” ฟังแล้วไอ้ไม้ก็ทำตาโตก่อนจะยกมือไหว้อีกรอบแล้วยิ้มแหยๆ ให้

   “ไม่ต้องเรียกคุณหรอก เรียกพี่เหมือนเดิมเถอะ” ผมท้วง เมื่อน้องมันเรียกคุณ แทนที่จะเรียกพี่เหมือนเมื่อวาน

   “แต่...”

   “ไม่มีแต่ทั้งนั้น ไม่งั้นพี่จะคิดว่าเราไม่อยากเป็นเพื่อนกับพี่”

   “เปล่านะครับ ผมแค่เกรงใจ” น้องมันรีบปฏิเสธทันที

   “งั้นก็เรียกพี่เหมือนเดิม”

   “ครับพี่แสน” ไอ้คล้าวทำหน้าลังเล ก่อนจะยอมเรียกเมื่อเห็นผมทำหน้าจริงจัง

   “ดีมาก” ผมพยายามกลั้นยิ้มเต็มที่ ได้ยินมันเรียกพี่แล้วชื่นใจจริงๆ

   “แล้วเราล่ะชื่ออะไรครับ” ผมหันไปถามไอ้ไม้บ้าง

   “ผมชื่อไม้ครับ”

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับน้องไม้”

   “พี่แสนเรียกไม้เฉยๆ หรือจะเรียกไอ้ไม้ก็ได้ครับ เรียกน้องแล้วผมจั๊กจี้พิกล”

   “ไอ้ไม้!”
   “เนี่ย เรียกอย่างพี่คล้าวผมชินหูกว่าพี่”

   “ฮะๆๆๆๆ” ผมอดจะขำไม่ได้ ไอ้ไม้นี่มันไอ้ไม้จริงๆ เลย ส่วนไอ้คล้าวก็ทำหน้าเพลีย เมื่อพยายามปรามแล้วแต่น้องมันก็ยังล้นเหมือนเดิม

   “น้องไม้นี่เป็นรุ่นน้องที่น้องคล้าวบอกว่าได้ทุนอีกคนใช่ไหม”

   “ครับพี่ พอดีเมื่อวานผมติดธุระมาไม่ได้ วันนี้พี่คล้าวเลยมาเป็นเพื่อนครับ ว่าแต่... ผมขออะไรอย่างได้ไหมครับ” ไอ้ไม้มันทำสีหน้าจริงจัง

   “หืม จะขออะไรเหรอ”

   “พี่เรียกผมว่าไม้อย่างเดียวเถอะครับ กราบละ เรียกน้องไม้มันไม่ชินหูจริงๆ นะพี่”

   “ฮ่าๆๆๆๆ โอเคๆ ไม้อย่างเดียวก็ได้ครับ”

   “งั้นคุณ เอ่อ พี่แสนเรียกผมคล้าวแหมือนกันเถอะครับ” ไอ้คล้าวมันรีบเปลี่ยนจากคุณเป็นพี่เมื่อเห็นผมมองดุๆ

   “นั่นสิครับพี่ เรียกน้องคล้าวนี่ฟังแล้วขนลุกพิกล” ไอ้ไม้ทำท่าทางขนลุกอย่างปากว่า

   “ไอ้ไม้!”

   “ฮ่าๆๆๆ เอาเถอะๆ พี่จะเรียกตามที่เราบอกก็แล้วกัน ป่ะ! ไปที่ห้องสัมภาษณ์กันเถอะ นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว” ผมลุกขึ้นแล้วเดินนำไปอย่างอารมณ์ดี เมื่อดูนาฬิกาแล้วใกล้จะถึงเวลาเริ่มสัมภาษณ์ทุกที เลยไม่มีเวลาเต๊าะน้องมันต่อ

   ผมพาทั้งคู่ไปที่ห้องประชุม แล้วบอกให้คล้าวรอในห้องประชุมด้วยเลย พอผมฝากน้องไว้กับทีมเลขาเรียบร้อยแล้ว คล้าวก็เอ่ยปากขอช่วยงานพี่ๆ ทีมเลขาระหว่างรอ ซึ่งพี่ๆ ก็ยินดีที่มีคนมาช่วยอีกแรง

   ผมมองน้องที่เข้าไปช่วยเรียงเอกสารอย่างตั้งใจ เมื่อวางใจแล้วก็เดินตรงไปที่ห้องสัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้ม

   คงต้องเปลี่ยนคำเรียกตามที่น้องๆ มันขอบ้างแล้ว

   จากที่เคยเรียก ‘ไอ้คล้าว’ ในใจ ก็เปลี่ยนเป็น ‘น้องคล้าว’ แทน

        อืม.... ไม่เห็นจะน่าขนลุกตรงไหนเลย

   น้องคล้าวของพี่แสน

   เนี่ย! น่ารักจะตาย!


   
   บรรยากาศการสัมภาษณ์ในวันนี้เป็นไปอย่างผ่อนคลายไม่ต่างจากเมื่อวาน ยิ่งตอนสัมภาษณ์ไม้ ความซื่อบวกความบ้าของน้องมันก็ทำให้พี่ๆ หัวเราะไม่หยุด

   ผมนึกถึงที่ไม้มันคุยกับคล้าวที่สวน จำได้ว่ามันรับปากกับลูกพี่มันว่าต่อหน้าคณะกรรมการจะทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด แล้วนี่อะไร ตอบคำถามแต่ละอย่างนี่เอาซะฮากันครืน ไม่รู้เรียบร้อยตรงไหนของมัน สงสัยจะลืมตัวแน่นอน ผมได้แต่ส่ายหัวด้วยความขำ

   พอสัมภาษณ์จนครบทุกคนแล้วเราก็ปล่อยให้น้องๆ กลับได้เลย ระหว่างที่พี่ๆ กับธงรบกินน้ำและคุยกันอยู่ ผมก็ขอตัวไปห้องน้ำเพื่อไม่ให้ธงรบสงสัย ก่อนจะรีบหนีไปในห้องประชุมอีกห้องทันที เมื่อไปถึงก็เห็นคล้าวกับไม้กำลังช่วยพี่ๆ รวบรวมเอกสารอยู่

   “เสร็จหรือยังครับ” ผมถามพี่ธนา แต่ตาก็จ้องน้องมันแล้วยิ้มด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นทั้งคู่ช่วยตรวจเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจ

   “เสร็จแล้วครับคุณแสน เหลือที่น้องคล้าวกับน้องไม้อีกชุดก็เรียบร้อยครับ” พอพี่ธนาพูดจบ คล้าวก็รวบรวมเอกสารที่ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วส่งให้พี่ธนาพอดี

   “เรียบร้อยครับพี่”

   “ขอบใจมากนะ น้องคล้าว น้องไม้” พี่ธนาเอ่ยขอบคุณน้องๆ ทั้งคู่

   “ครับ” คล้าวรับคำด้วยรอยยิ้ม

        “ยินดีรับใช้ครับพี่” ส่วนไม้ก็รับคำด้วยความทะเล้น

   “แล้วนี่คล้าวกับไม้จะไปไหนอีกไหม ถ้าไม่รีบไปทานข้าวด้วยกันก่อนสิ” ผมเอ่ยชวนทั้งคู่

   “ไม่ดีกว่าครับ” คำตอบจากไม้

        “ไม่เป็นไรครับ” คำตอบจากคล้าว

        ประสานเสียงกันมาเลย

   “พวกผมไม่รบกวนดีกว่าครับ” ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนที่คล้าวจะเป็นคนตอบแทนไม้ที่มีสีหน้าแปลกๆ
โธ่! นี่ชวนไปกินข้าวนะ ไม่ได้จะลวงไปฆ่า ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย

   “ไม่รบกวนเลย ไหนๆ ก็อยู่ช่วยงานตั้งนาน” ผมพยายามล่อลวง เอ๊ย! ชวนอีกครั้ง

   “เราเต็มใจช่วยครับ พวกผมดีใจมากที่ได้รับทุนนี้ ดีใจที่ได้โอกาสเรียนต่อตามที่ฝันสักที แค่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กครับ เทียบไม่ได้เลยกับโอกาสที่พี่ๆ ให้มา” คล้าวตอบมาด้วยสีหน้าจริงจัง

        เฮ้อ! แค่ชวนไปกินข้าว จำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้ไหม

   “ไม้ล่ะ ไม่อยากไปทานข้าวกับพี่เหรอ” เมื่อชวนลูกพี่มันไม่ได้ ก็ลองชวนลูกน้องมันดู เผื่อสำเร็จ ไม้มันเหลือบมองลูกพี่มันก่อนจะหันมาตอบผม

   “เอาตรงๆ นะพี่” พอผมพยักหน้าให้พูดตรงๆ ได้เลย ไม้ก็ร่ายยาว

   “ผมไม่กล้าไปกินด้วยหรอกพี่ ฐานะของพี่ๆ ต่างกับเรามากกกก ถ้าไปกินด้วย ผมคงทำตัวไม่ถูก ต้องไม่กล้ากินอะไรแน่เลย แค่คิดก็เกร็งแล้วเนี่ย อย่าโกรธผมนะพี่” ประโยคหลังนี่พูดด้วยสีหน้าละห้อย เหมือนกลัวผมจะโกรธ

   “โอเค พี่เข้าใจละ ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ถ้าไปกับพี่คนเดียวนี่ได้ใช่ไหม ครั้งหน้าถ้าพี่ชวน ห้ามปฏิเสธเด็ดขาดนะ” ผมมัดมือชกไว้ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสทีหลังก็ยังไม่สาย

   “ครับ” ทั้งสองรับคำด้วยรอยยิ้มโล่งใจ ส่วนผมก็แอบยิ้มอย่างสมใจเมื่อได้คำตอบที่ต้องการ

   “ถ้าอย่างงั้นพวกผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับพี่แสน สวัสดีครับพี่ๆ” คล้าวยกมือไหว้ผมและพี่ๆ ไม้ก็รีบทำตาม ผมสบตาคล้าวแล้วยิ้มให้ด้วยแววตาสื่อความหมาย น้องมันชะงักไปก่อนจะหลบตาผมแล้วรีบเดินออกจากห้องไป

   หืม เหมือนน้องมันจะเข้าใจแฮะ ผมหรี่ตามองแผ่นหลังกว้างๆ นั้นไป แล้วหมายมาดในใจว่าจะต้องหาโอกาสลองหยั่งเชิงดูอีกที จะได้หาทางรุกให้มากกว่านี้

        ครั้งหน้าจะไม่ให้บ่ายเบี่ยงแบบนี้อีกแล้วนะครับน้องคล้าวของพี่แสน หึๆๆ
   
   พอน้องๆ ออกไปได้สักพัก เฮียกับธงรบก็เดินมาตามพวกเรา เพื่อไปรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันเหมือนเดิม แล้วก็คุยเรื่องทุนกันต่อ

   พี่วินกับพี่กรยกเรื่องนี้ให้บ้านเราจัดการต่อได้เลย เพราะวางใจว่าน้องๆ ทุกคนน่าจะเป็นเด็กดี พี่ๆ ทั้งสองจะโอนเงินให้อย่างเดียว ถ้าไม่พอหรือมีอะไรให้ช่วยก็ขอให้บอก

   น้องๆ ที่ได้รับทุนส่วนใหญ่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แต่บางคนครอบครัวยากจนมาก กลัวจะเป็นภาระของครัวครัว จึงมีแนวโน้มว่าจะสละสิทธิ์มากกว่า จะขอทุนกู้ยืมก็ไม่ได้ เพราะทุนมีจำนวนจำกัด แล้วส่วนใหญ่ก็เลือกให้กับเด็กที่มีผลการเรียนดีกว่าด้วย

   มีส่วนน้อยที่อยู่ชั้นปีอื่น เช่นน้องที่เรียนแพทย์ เภสัช หรือสถาปัตย์ เจ้าอาวาสเลือกมาเพราะที่บ้านต้องลำบากในการหาเงินส่งเรียน บางครอบครัวต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อส่งลูกเรียน น้องๆ บางคนก็ต้องเรียนไปด้วยหาเงินไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัว ทำให้เหนื่อยและท้อเพราะต้องพยายามหนักกว่าคนอื่นหลายเท่า

   น้องๆ กลุ่มนี้เราก็ให้เตรียมเอกสารค่าเทอมและให้เปิดบัญชีธนาคารเดียวกันมาให้เรียบร้อยเลย นอกจากค่าเทอมที่ให้ตามจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็จะให้เป็นรายเดือนเท่ากันทุกคน แต่ถ้าใครไม่พอจริงๆ ก็สามารถแจ้งเพื่อขอเพิ่มเติมได้

   นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่ยังไม่จบมัธยมปลายและยังรอสอบแบบน้องคล้าวของผมกับไม้ ซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจน เจ้าอาวาสจึงขอทุนไว้เผื่อหลังจากน้องเรียนจบแล้วจะได้มีทุนเรียนต่อ

   ซึ่งเราก็ปรึกษากันแล้วว่าถ้าวัดไหนส่งน้องกลุ่มหลังนี้มาก็ให้คัดคนเพิ่มเข้ามาได้ ส่วนเด็กที่ยังเรียนไม่จบ ก็จะยกยอดไว้รอจนกว่าน้องจะสอบได้ต่อไป


   หลังจากพูดคุยปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้ธงรบมันไม่ติดธุระที่ไหน มันเลยตามกลับมาที่บ้านด้วย พอลงจากรถได้มันก็เดิมตามเป็นเห็บหมา

   เอ๊ย! ไม่สิ ผมไม่ใช่หมาสักหน่อย เปรียบซะเข้าตัวเลย

   เฮียแผนเดินนำเราไปที่ห้องพักผ่อนของครอบครัว พอแม่บ้านเอาน้ำกับอาหาร่างมาเสิร์ฟแล้วเดินออกไป มันก็เริ่มถามทันที

   “อธิบายมา”

   “อธิบายอะไร” ผมจิบน้ำ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

   ธงรบมันเลยหันไปหาเฮียที่นั่งยิ้มอยู่อีกฝั่งแทน ซึ่งเฮียก็ส่ายหัวเหมือนจะบอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าเฮียคงให้ผมเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะบอกธงรบหรือไม่

   “เด็กนั่นไง”

   “เด็กไหน วันนี้เจอเด็กตั้งเยอะ กูจำไม่ได้หรอก”

   “อย่ามาเฉไฉนะแสนเสน่ห์ บอกกูมาซะดีๆ ว่ามึงมีซัมติงอะไรกับไอ้เด็กคล้าวนั่น”

   “มึงหึงรึไง”

   “หึงพ่อง”

   “เฮียยยย ธงๆ มันพาดพิงป๊าเรา”

   “หึๆ” เฮียแผนหัวเราะขำๆ เมื่อเห็นผมกวนประสาทธงรบ แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร ยังคงจิบกาแฟนั่งฟังเงียบๆ ต่อ

   “แล้วมึงเคยเจอน้องมันรึเปล่าล่ะ” พอเจอคำถามของผม ธงรบก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบ

   “ไม่นะ กูไม่คุ้นหน้าน้องมันเลย หน้าตาแบบนั้น ถ้าเจอกูต้องจำได้สิ”

   “นั่นไง กูจะไปมีซัมติงกับน้องมันได้ยังไง ในเมื่อมึงก็อยู่กับกูตลอด ถ้ากูเคยเจอน้องมัน มึงก็ต้องเคยเจอด้วยสิ”

   “มันก็ใช่... แต่ท่าทางมึงผิดปกติ รึว่า... ” ธงรบตอบ ก่อนที่จะชะงักเหมือนนึกอะไรออก มันชี้หน้าผมหน้าตาตื่น

   “อย่าบอกนะว่า... นี่มึงปิ๊งน้องมันเหรอ? เจอกันครั้งเดียวเนี่ยนะ!” ผมอดจะอึ้งไม่ได้ เมื่อธงรบมันเดาได้ใกล้เคียงความจริงมาก

   “ท่าทางแบบนี้ ใช่แน่เลย กูพูดถูกใช่ไหม?”

   “มึงไม่คิดว่าเฮียแผนเป็นคนปิ๊งน้องมันอย่างที่พี่วินกับพี่กรสงสัยบ้างเหรอ”

   “แค่กๆๆ” เฮียแผนสำลักกาแฟขึ้นมาทันที

   “ไม่มีทาง นั่นไม่ใช่เสป็คเฮีย ดูยังไงน้องมันก็เสป็คมึงชัดๆ อีกอย่างท่าทางของเฮียเหมือนสัมภาษณ์คนที่จะมาเป็นลูกเขยมากกว่าจะสัมภาษณ์คนที่จะมาเป็นแฟนอย่างที่พี่ๆ สงสัย”

   “ทำไมต้องลูกเขยวะ” ผมถามนอกเรื่องด้วยความสงสัย มันควรจะเป็นน้องเขยมากกว่าสิ

   “ก็เฮียดูแลมึงมากกว่าน้อง หวงอย่างกับลูก”

   “แฮ่ม! กูนั่งหัวโด่อยู่นี่ เกรงใจกูบ้างเถอะ”

   “ฮ่าๆๆ ขอโทษครับเฮีย แต่มันจริงนี่นา หรือเฮียจะเถียง” ธงรบมันหัวเราะเมื่อเฮียแผนกอดอกหรี่ตามอง แต่มันก็มิได้นำพา ยังคงหัวเราะแบบไม่เกรงกลัวตีนเฮียเลย

   “เอาเป็นว่ากูมั่นใจว่าต้องเกี่ยวกับมึงมากกว่าแน่นอน กูฟันธง!” ธงรบบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

   “แสนรู้จริงๆ” จนผมอดจะชมมันไม่ได้

   “กูไม่ใช่กระต่าย” ผมกลอกตาเมื่อมันเปรียบเทียบซะน่ารักเลย

   “อย่าเฉไฉ ตอบกูมา” มันยังคงกัดไม่ปล่อย

   “แล้ว... ถ้าเกิดกูชอบน้องมันจริงๆ ล่ะ”

   “...”

   ธงรบมีสีหน้าอึ้งๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็สงสัยเองแท้ๆ สักพักมันก็หันไปถามเฮียแผน

   “เฮียไม่ว่าอะไรเหรอครับ”

   เรื่องที่ผมชอบผู้ชายมันไม่ได้เป็นความลับครับ ธงรบเป็นคนแรกที่รู้ เพราะมันอยู่กับผมแทบจะตลอดเวลา ส่วนคนในครอบครัว ถึงจะไม่พูดกันตรงๆ แต่ทุกคนก็รู้กันดี แม่จึงไม่เคยพาผมไปดูตัวกับลูกสาวหลานสาวเพื่อนเหมือนเฮียแผน แต่แอบแนะนำลูกชายหลานชายที่มีรสนิยมแบบผมให้แทน เฮ้อ!

   “ถ้าแสนมั่นใจแล้วคิดว่าจะห้ามได้เหรอ” เฮียแผนเลิกคิ้วถามกลับ ฟังแล้วธงรบก็ขมวดคิ้วแล้วหันมาถามผมต่อด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

   “มึงแน่ใจเหรอแสน ดูแล้วน้องมันไม่น่าจะชอบผู้ชายเลยนะ”

   “เป็นห่วงกูเหรอ” ผมถามยิ้มๆ

   “ห่วงหมาแถวๆ นี้มั้ง”

   “ไอ้เหี้ยธงๆ”

   “ไอ้ควายแสน บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกแบบนี้” ตะโกนซะกูนึกถึงร่างเก่าเลยมึง เชื่อเถอะว่ามันโมโหเรื่องที่เรียกมันว่าธงๆ ยิ่งกว่าเรียกว่าเหี้ยอีก

   ส่วนผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเคยเป็นควายมาจริงๆ ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เถียงไม่ออกจนเฮียที่รู้เรื่องดีหลุดหัวเราะ ส่วนธงรบก็หลุดขำเมื่อเห็นสีหน้าผม ก่อนที่มันจะถอนหายใจแล้วยอมรับ

   “เออ กูเป็นห่วง น้องมันดูเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงปกติ โอกาสแห้วเยอะมากเลยนะมึง กูว่ามึงตัดใจดีกว่า” ธงรบบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

   “กูบอกเฮียแล้วว่าอยากลองพยายามดูก่อน ในอนาคตต่อให้ผิดหวังกูก็จะยอมรับแต่โดยดี” ผมก็บอกมันอย่างจริงจังเหมือนกัน
   “ถ้าเฮียรู้แล้ว แสดงว่ามึงเคยเจอน้องมาก่อนใช่ไหม”

   “อืม” ผมยอมรับโดยดี แต่ไม่อธิบายอะไรเพิ่ม เพราะขี้เกียจคิดหาคำโกหกว่าเจอกันที่ไหน ยังไง

   “รักแรกพบอย่างงั้นเหรอ?”

   “ก็...ประมาณนั้น” ให้มันเข้าใจแบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก

   “เฮ้อ! เอาเถอะ ถ้ามึงแน่ใจแล้วก็แล้วแต่มึงละกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก แต่บอกก่อนนะว่ากูจะขอดูเด็กมึงก่อน ถ้าไม่โอเค มึงต้องตัดใจ เข้าใจไหม”

   “รู้แล้วละน่า เฮียก็พูดแบบนี้เหมือนกัน นี่มึงเป็นเพื่อนรึพ่อกูกันแน่เนี่ย” ผมได้แต่กลอกตา เมื่อมันพูดเหมือนเฮียแผนไม่มีผิด แต่ผมก็ได้แต่รับปาก เพราะรู้ดีว่าทั้งคู่เป็นห่วง

   อีกอย่าง ผมมั่นใจในตัว ‘เด็กของผม’ ด้วย ว่ามันมีดีพอให้ทั้งสองคนนี้ยอมรับแน่นอน


**********************************************

เพิ่งจะเจอกัน พี่แสนไม่กล้ารุกมากค่ะ เดี๋ยวควาย เอ๊ย! ไก่ตื่น
พี่แสนเลยค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปค่ะ
พี่แสนสู้ๆ

**********************************************

k2blove ☼ อย่าว่าแต่คนอ่านเลยค่ะ คนเขียนก็คิด ว่าพระเอกยังจำเป็นอยู่ไหม 55555 หลงรักเฮียแผนเหมือนกันค่ะ พอดีอยากมีพี่ชาย ขอแค่รักลูกๆ ของเรา คนไหนก็ได้ค่า ยกให้ไปเลย
puiiz ☼  :L2: :pig4:
unicorncolour  ☼  :L2: :pig4:
iceman555 ☼  :L2: :pig4:
ommanymontra ☼   :L2: :pig4:
wutwit ☼ อาทิตย์ละตอนน่าจะพอไหวค่ะ น้องไม้มาแล้วนะคะ มาพร้อมความฮา 55555
วายซ่า ☼ น้องไม้มาแล้วค่า แต่จะสปาร์กกับใคร รอลุ้นเอานะคะ ฮี่ๆๆๆ
19th ☼ ใช่ค่ะ ทั้งพี่ทั้งเพื่อนสนับสนุนเต็มที่ เดี๋ยวก็เสร็จ แค่กๆ จีบสำเร็จแน่นอนค่ะ 55555
aoihimeko ☼ กราบงามๆ ค่ะ อย่าลืมแวะมาอีกนะคะ
singalone ☼ ค่าตัวพระเอกแพง ก็ไม่เท่าคนแต่งจนค่ะ เปย์ไม่ไหวแล้ว ถถถ
Al2iskiren ☼ ดีใจที่หาทางให้เจอกันได้สักทีเหมือนกันค่ะ ถถถ โอกาสเจอกันยากมาก
lovenine ☼ ไอ้ไม้มาแล้วค่า รอลุ้นว่าจะจำได้ไหม ฮี่ๆ พยายามเขียนให้จบค่ะ ไม่กล้าเทเพราะมีคนอ่านคนให้กำลังใจนี่แหละค่ะ กอดดดดด
กาแฟมั้ยฮะจ้าว ☼  :L2: :pig4:


:L2: :กอด1:  :L1: :pig4:

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 13-10-2018 13:31:52
น้องไม้มาพร้อมความเกรียนเหมือนเดิมเลย 555

พี่แสนรุกน้องคล้าวหนักมาก ระวังไก่ตื่นก่อนนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 13-10-2018 14:21:48
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะแสน เดี๋ยวน้องคล้าวจะต๊กกะใจ :laugh:
ว่าแต่เก็บน้องไม้ไว้ให้ธงธงได้มั้ย ดูๆแล้วน่าจะเข้ากันได้  :-[
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-10-2018 14:45:28
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-10-2018 19:10:34
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 13-10-2018 19:25:34
น้องไม้น่ารักแฮะ เกรียนดี  :m20: ส่วนน้องคล้าว รู้ตัวแล้วก็เตรียมใจไว้เลย เจอพี่แสนแน่ :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-10-2018 23:06:12
แหม พี่แสน กล้าพูดเน๊อะว่าเด็กของผม ยังไงก็จะให้ได้งั้นเถอะ
ตอนนี้ชอบไม้ รู้เลยว่าล้นเป็นยังไง อิอิอิ เพิ่มสีสรรเข้าไป
แต่ปล่อยไม้ไว้คนหนึ่งเถอะ อย่าจับคู่กับใครเลยนะคนเขียน
อีกคนคือธงรบ ชอบแบบถามตรงๆได้ดีถ้าเป็นเราคงอายไม่กล้าตอบ
ชอบความแบ่งบท ทำให้ทุกคนมีตัวตน
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 14-10-2018 22:00:15
คล้าว เป็นคนบ้านทุ่งแต่ก็ไฝ่หาความรู้คิดถึง บรรยากาศ ท้องทุ่งของไอ้คล้าว เนอะ ในใจ ของมัน ยังคิดถึง น้องทองกวาว อยู่มั้ย ..ตงิดๆ คนที่ทิ้งไอ้คล้าวไป อย่ากลับมานะ  เกลียดดดดดด55 ดีใจไอ้ไม้มา ละ ความรัก ของ แสน จะเป็นยังไง รอลุ้นกัน ต่อ  ไป ขอบคุณ คนเขียน ที่แว่ะมา เป็นกำลังใจให้คนเขียน ตลอดไป  รักคนเขียน มากกก  กอดดดดดด  :pig3: :pigwrite: :sleep2: :impress: o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-10-2018 00:39:24
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 13/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-10-2018 13:42:00
แสนจะรุกน้องยังไงน๊า.  รอๆๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 20-10-2018 13:16:53
บทที่ 11

   ผมนั่งสเก็ตเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ที่ศาลาในสวนหลังบ้าน ระหว่างทำงานก็เปิดเพลงลูกทุ่งจากโทรศัพท์ฟังไปด้วย ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา นอกจากเพลงสากลที่ฟังประจำแล้ว ผมก็ฟังเพลงลูกทุ่งมากขึ้น เพราะตอนอยู่ที่โน่นคล้าวมันเปิดให้ฟังทุกวัน อย่างเพลงรอยไถแปรนี่ ตอนที่มันโดนทิ้ง ผมต้องทนฟังวันละหลายๆ รอบจนแทบจะละเมอร้องได้เลยทีเดียว

   ส่วนเพลงโปรดที่ฟังบ่อยที่สุดก็เพลงมนต์รักลูกทุ่งที่คล้าวมันเคยร้องให้ฟัง ผมหามาฟังทุกเวอร์ชั่น ฟังทีไรก็นึกถึงเสียงร้องนุ่มๆ ของมันทุกที

   อยากฟังเสียงของมันอีกสักครั้งจังเลย

   ผมละมือจากสมุดสเก็ตแล้วเหม่อมองดอกพวงครามที่กำลังออกดอกพราวเต็มต้น แต่ในหัวกลับนึกถึงภาพท้องทุ่งนาที่อาบด้วยแสงพระอาทิตย์ยามอัสดง

   “แสน พักทานของว่างก่อนลูก” ผมละสายตาจากดอกไม้แล้วหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นแม่ถือถาดอาหารเดินมาหา    ผมรีบลุกขึ้นเดินไปรับถาดจากมือแม่มาวางไว้บนโต๊ะในศาลา หยิบโทรศัพท์มาปิดเสียงเพลง แม่ก้าวมานั่งข้างๆ ก่อนจะเปิดฝาชามออก เมื่อเห็นอาหารที่อยู่ชามผมก็ยิ้มกว้าง

   “สละลอยแก้วของโปรดแสน กำลังเย็นๆ เลยจ้ะ ทานก่อนสิลูก”

   “ขอบคุณครับแม่ แม่ทานรึยังครับ ทานกับแสนไหม ถ้าไม่พอเดี๋ยวแสนวิ่งไปเอามาให้”

   “แม่ชิมไปบ้างแล้วจ้ะ แสนทานเลย แม่แก่แล้ว ทานหวานๆ มากไม่ค่อยดี”

   “ครับแม่” ผมตักสละลอยแก้วเข้าปาก รสชาติที่หวานกำลังดีและเย็นชื่นใจ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น แม่นั่งมองผมกินด้วยแววตาอ่อนโยน

   “อร่อยมากครับ” ผมยิ้มตาหยีเมื่อเขมือบสละในถ้วยจนหมด

   “อิ่มไหมลูก ถ้าไม่อิ่ม เดี๋ยวแม่ไปตักมาให้อีก”

   “พอแล้วครับแม่ แสนอิ่มแล้ว”

   “แสนผอมลงมากเลย แม่อยากให้มีเนื้อมีหนังกว่านี้” แม่ขยับมาลูบแขนเบาๆ แล้วมองด้วยสีหน้ากังวล

   “นี่น้ำหนักแสนขึ้นมาหลายโลแล้วนะครับแม่ ทั้งแม่ทั้งเฮียขุนดีขนาดนี้ แต่ถึงจะผอมไปหน่อยแต่แสนแข็งแรงนะครับ เฮียลากแสนเข้าฟิตเนสทุกวันเลย” ผมทำหน้าเซ็งๆ เมื่อนึกถึงเวลาที่ต้องเข้าฟิตเนสกับเฮีย ก็ผมขี้เกียจนี่ครับ ชอบนั่งๆ นอนๆ มากกว่า

   “ดีแล้วลูก จะได้แข็งแรงมากๆ แล้ววันนี้ไม่เข้าร้านเหรอลูก”

   “ไม่ครับ แสนเคลียร์งานในร้านไว้แล้ว ช่วงนี้แสนกำลังออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ เตรียมไว้จัดงานแฟชั่นโชว์ จะได้โปรโมทร้านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วยครับ”

   “ดีจ้ะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ แม่กับป๊าจะช่วยเต็มที่เลยจ้ะ”

   “ตอนนี้ช่วยเป็นกำลังใจให้แสนก็พอครับ” ผมกอดแม่อ้อนๆ

   “อันนี้ไม่ต้องขอแม่ก็ให้เต็มที่เหมือนกันจ้ะ” แม่กอดตอบแล้วลูบหัวอย่างอ่อนโยน

   ผมกระชับอ้อมกอดแน่นๆ แล้วยิ้ม โชคดีจริงๆ ที่ฟ้าให้โอกาสผมได้กลับมากอดแม่อีกครั้ง

   “ทำอะไรกันสองแม่ลูก” เสียงทักของป๊าทำให้ผมผละออกจากแม่แล้วส่งยิ้มให้

   “อ้อนอะไรแม่ฮึแสน” ก่อนจะหุบยิ้มเมื่อเฮียทักด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

   “ทำไม เฮียอิจฉารึไง”

   “ทำไมต้องอิจฉา แม่เฮียเหมือนกัน” พูดจบก็ก้าวเข้ามานั่งอีกข้างแล้วจับแขนผมออก ก่อนจะคว้าแม่ไปกอดคนเดียว

   “มาแย่งแสนได้ไง แสนกอดก่อน ป๊าดูเฮียสิ” ผมหันไปฟ้องป๊าเมื่อเฮียแกล้งกอดแม่แน่น

   “ฮะๆๆๆ” ป๊าเอาแต่หัวเราะอย่างเดียว ผมเลยขยับไปกอดทับเฮียซะเลย

   “เฮ้อ! เล่นกันเป็นเด็กๆ ไปได้” แม่บ่นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ไม่ได้ขยับออกจากอ้อมแขนของเราสักนิด

   “มาๆ เดี๋ยวป๊ากอดด้วย” พูดจบป๊าก็เดินมาเบียดแล้วรวบกอดเราทั้งหมดเอาไว้

   “ฮ่าๆๆๆๆ” จนทุกคนอดจะหัวเราะไม่ได้

   “เล่นอะไรกันอยู่ครับเนี่ย น่าสนุกจริง” เสียงกาฝากของบ้านเราดังขัดขึ้นมา ทำให้ป๊าผละออกไปก่อน แล้วก้อนกอดของเราก็เริ่มคลายออก

   “ยุ่ง” ผมหันไปหาเรื่องไอ้คนที่มาขัดจังหวะ

   “แม่ครับแสนว่ารบ” มันทำเสียงเล็กเสียงน้อยอ้อนแม่จนผมอยากจะตบหัวสักที

   “เอาน่าอย่าเพิ่งตีกัน อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะรบ” แม่ห้ามยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าเราแค่แกล้งกันเล่นเท่านั้นเอง

   “ครับแม่ ผมไม่พลาดอยู่แล้ว”

   “คุยกันไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวแม่ไปดูในครัวก่อน”

   “ครับแม่”

   “ป๊าก็ว่าจะไปดูต้นไม้เหมือนกัน ไปคุณ เราไปจู๋จี๋กันเถอะ ปล่อยให้เด็กๆ เล่นกันไป”

   “คุณนี่” แม่ตีไหล่ป๊าแก้เขินเมื่อเห็นพวกเรามองด้วยสายตาล้อเลียน

   “ฮ่าๆๆๆ” ป๊าหัวเราะชอบใจก่อนจะโอบเอวแม่เดินออกไป

   “บ้านช่องตัวเองไม่ยอมกลับ ม๊ากับป๊ามึงไม่ให้อาหารรึไง” พอแม่ไปแล้ว ผมก็หันมาเล่นงานไอ้คนที่เป็นส่วนเกินของครอบครัวทันที

   “หนีไปงานเลี้ยงกันหมดทั้งบ้าน กูขี้เกียจไปด้วย” ธงรบทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะก้าวมานั่งตรงข้ามผมกับเฮีย แล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดรูปส่งให้ดู มันเป็นรูปที่เรากอดกันกลมเมื่อครู่ เห็นแล้วผมก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้

   “ส่งให้กูด้วย” เดี๋ยวจะเอาไปขยายใส่กรอบไว้ในห้อง

   “เออ” มันกดส่งให้ก่อนจะบุ้ยไปที่สมุดสเก็ตแล้วถาม

   “แล้วนั่น ถึงไหนแล้ว”

   “ก็มากกว่า 50% แล้วละ กูอยากให้งานออกมาดีที่สุดเลยทำไปเรื่อยๆ ไม่รีบ”

   “เออ มีอะไรให้ช่วยก็บอก”

   “อืม ขอบใจ”

   “แสนจะไปดูผ้าวันไหน” เฮียแผนที่นั่งจิ้มแท็บเล็ตอยู่เงียบๆ ถามขึ้นมา

   “ดูก่อนครับเฮีย เดี๋ยวจะลองติดต่อไปที่สหกรณ์ที่ศรีสะเกษก่อนว่ามีผ้าในสต็อคเยอะไหม จะได้ไปไม่เสียเที่ยว”

   ผมตั้งใจไว้ว่าจะใช้ผ้าไทยในงานชุดนี้ เพราะนอกจากอยากประชาสัมพันธ์ร้านตัวเองแล้ว ผมก็ยังอยากจะประชาสัมพันธ์ผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ผมจึงวางแผนว่าจะไปดูผ้าแต่ละแห่งด้วยตัวเอง เผื่อจะได้ไอเดียใหม่ๆ มาด้วย

   “จะไปช่วงไหนก็บอก เดี๋ยวเฮียไปเป็นเพื่อน”

   “ครับเฮีย”

   “ถ้าเฮียไม่ว่างก็บอก เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนมันเอง” ธงรบมันรับช่วงต่อ

   “ไม่ต้องๆ ถ้าไม่ว่างกูไปเองได้”

   “ไม่ได้!!” พ่อ No.2, No.3 ประสานเสียงกันจนผมเกือบสะดุ้ง

   “แสนไปได้จริงๆ นะเฮีย แต่ก่อนก็ไปไหนมาไหนคนเดียวประจำ ไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมท้วงเมื่อทั้งสองคนออกอาการห่วงเกินเหตุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุผมก็ขับรถเตร่ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด

   “เฮ้อ! เฮียเป็นห่วงแสน เฮียรู้ว่าแสนไม่เคยประมาท แต่ครั้งนั้น... มันทำให้เฮียรู้สึกแย่มากที่เป็นต้นเหตุให้แสนต้องเป็นอันตรายแบบนั้น ให้เฮียได้ดูแลแสนเถอะนะ อย่าเพิ่งรำคาญเฮียเลย”

   “กูก็เหมือนกัน กูไม่อยากปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวอีกแล้ว เห็นมึงหลับไปนานขนาดนั้นแล้วกูจะบ้านะแสน มึงทนๆ กูไปก่อนละกัน”

   นี่สินะ สาเหตุของการเกาะติดของทั้งคู่ในพักหลังๆ มานี้

   “มันไม่ให้ความผิดเฮียเลยนะเฮีย ไม่ใช่ความผิดมึงด้วยรบ มันเป็นเพราะคนพวกนั้นต่างหาก อย่าโทษตัวเองกันอีกเลย”

   “แต่เฮียไม่สบายใจนี่นา”

   “นั่นน่ะสิ”

   “เฮ้อ! เอาที่สบายใจกันเลยครับ แสนแค่เกรงใจ ไม่อยากให้เสียเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนกัน แต่ถ้ายืนยันอย่างงั้นก็ตามใจเลย”

   พอผมพูดจบทั้งคู่ก็ยิ้มอย่างพอใจ ส่วนผมก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ยังไงทั้งคู่ดูแลผมอย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว ถ้าจะเพิ่มเลเวลขึ้นอีกนิดก็จะเป็นไรไป เพื่อให้พี่บังเกิดเกล้ากับเพื่อนที่บังคับให้ผมเป็นน้องมันตั้งแต่เด็กสบายใจก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยแหละครับ

*********************************************************

   ผมนั่งมองสมุดสเก็ตนิ่งๆ เพราะคิดอะไรไม่ออก วันนี้ผมแวะเข้ามาดูร้านเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าที่โชว์และงานตัดเย็บหลังร้าน หลังจากดูเรียบร้อยแล้วก็มานั่งสเก็ตงานต่อ แต่สมองก็โล่งเกินกว่าจะร่างอะไรออกมาได้

   เฮ้อ! คิดไม่ออกแฮะ

   ผมวางดินสอในมือก่อนจะเก็บของแล้วเดินออกไปข้างนอก

   “คุณแสนจะกลับแล้วเหรอคะ” เด็กในร้านถาม เมื่อเห็นผมเดินดุ่มๆ ออกไป

   “เดี๋ยวผมไปเดินเล่นหน่อยน่ะครับ แต่ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าผมกลับแล้วนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลย”

   “ค่ะคุณแสน”

   พนักงานคงชินกับความอินดี้ของผมแล้วจึงรับคำง่ายๆ เพราะปกติผมก็นั่งอยู่กับที่ได้ไม่นาน ถ้านึกอะไรไม่ออกก็มักจะลุกเดินออกไปดื้อๆ อยู่เป็นประจำ

   ผมเดินทอดน่องในห้างอย่างไม่มีจุดหมาย พอเมื่อยก็เดินลงบันไดเลื่อนให้มันเลื่อนไปเรื่อยๆ สายตาก็มองรอบๆ ตัวไปเรื่อยเปื่อย จนสะดุดตากับร้านดอกไม้ร้านหนึ่งจึงลงจากบันไดเลื่อนเดินตรงเข้าไปหา สีสันสดใสของดอกไม้ดึงดูดให้ผมยืนมองนิ่งๆ
 
   เห็นแล้วนึกถึงดอกมะลิที่บ้านทุ่ง ถึงจะไม่มีสีสันเท่าดอกไม้นอกพวกนี้ แต่ก็สวยละมุนละไมและมีคุณค่าต่อจิตใจมากกว่า

   พอนึกถึงดอกมะลิแล้วก็อดจะนึกถึงบ้านไม้หลังนั้นกับเจ้าของบ้านด้วยไม่ได้ หลังจากวันสัมภาษณ์ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลย เพราะยังไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรในการติดต่อไปดี ตอนนี้เลยคิดถึงจนรู้สึกเหมือนจะลงแดงเข้าไปทุกที ได้แต่ดูรูปในกระเป๋าจนซีด คงต้องคิดหาข้ออ้างดีๆ ในการเข้าหาน้องมันแล้ว

   เมื่อไหร่จะเจอกันอีกนะ แค่เจอกันก็ยังยาก คงอีกนานกว่าจะมีโอกาสได้ไปบ้านหลังนั้นอีก อยากจะไปดูดอกมะลิด้วยกัน อยากจะดูดาว ดูพระจันทร์ด้วยกันอีกครั้งจังเลย

   อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย

   ตั้งเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ตอกย้ำตัวเองเข้าไปอีก

   ผมหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงมาดู พอเห็นชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘ธงๆ’ บนหน้าจอก็ปล่อยให้มันดังแทงใจตัวเองสักพักก่อนจะกดรับ

   “ทำไมรับช้า” ผมกลอกตากับประโยคทักทายของมัน นี่เพื่อนหรือพ่อ ถามจริง

   “ไม่ว่าง หายใจอยู่”

   “นั่นมุกหรือเปลือกหอย”

   “ของมึงกากกว่ากูอีกเหอะ มีอะไรว่ามา”

   “เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยไม่ได้นะ มีงานด่วนต้องไปข้างนอก”

   “เออ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมากินเป็นเพื่อนทุกวันก็ได้ กูกินคนเดียวได้น่า กระเพาะไม่ได้ติดกันซะหน่อย”

   “กูพอใจ” ฟังคำตอบของมันแล้วผมก็ถอนหายใจเฮือกแบบจงใจให้มันได้ยินด้วย

   “งั้นเอาที่มึงสบายใจเลยรบ”

   “ฮ่าๆๆ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเย็นๆ ไปรับ”

   “ถ้าอยู่ไกลจากที่นี่มากก็ไม่ต้องย้อนกลับมานะ กลับบ้านมึงไปเลย เดี๋ยวกูกลับเองได้”

   “เออๆ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”

   “อืม ขับรถดีๆ นะ”

   “โอเค” หลังรับคำแล้วมันก็วางสายไป ผมมองโทรศัพท์ยิ้มๆ ก่อนจะเปิดดูไลน์ที่เฮียส่งมากำชับให้กินข้าวจึงหันหลังเพื่อเดินกลับไปหาอะไรกิน

   ปึก! โครม

   “โอ๊ะ!” แต่เพราะมัวแต่มองหน้าจอไม่ได้มองทางจึงชนโครมเอากับคนที่เดินผ่านมาพอดี เอกสารในมือของคนที่ถูกชนหล่นกระจาย รวมทั้งสมุดสเก็ตที่ผมถือติดมือมาด้วย ส่วนตัวผมก็เกือบหงายเงิบ ยังดีที่คนชนคว้าไว้ทัน

   พอตั้งหลักได้ผมก็เงยหน้าเพื่อจะเอ่ยขอโทษ

   “ขอโทษครับ” ก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่ประคองไว้ชัดๆ

   “คล้าว”

   “พี่แสน”

   “อุ๊ย” เสียงอุทานของคนที่เดินผ่านมา ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเราสองคนอยู่ในท่าที่ชวนให้เข้าใจผิดแค่ไหน

   ตอนนี้เหมือนเรากอดกันอยู่กลายๆ ใกล้ชิดกันมากจนได้ยินหัวใจของอีกฝ่าย จึงรีบผละออกจากกันทันทีราวถูกของร้อน ก่อนเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง

   ผมรู้สึกเลยว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว เอาจริงๆ ก็ชอบอยู่หรอกนะที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของน้องมัน แต่ขออยู่ในที่ลับตาหน่อยได้ไหม อยู่ที่สาธารณะแบบนี้มันก็เขินนะครับ!

   ผมเหลือบมองคู่กรณีก็เห็นน้องมันลูบท้ายทอยตัวเองอยู่ ซึ่งเป็นท่าทางที่คล้าวชอบแสดงออกเวลาที่เขินหรือทำอะไรไม่ถูก เห็นแล้วก็ต้องแอบยิ้ม ก่อนจะก้มลงเก็บของที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นแก้เขิน

   “อ๊ะ!” ผมหลุดอุทานเมื่อเราบังเอิญเก็บเอกสารชิ้นเดียวกันทำให้มือของผมทับมือของน้องอย่างไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องหน้าร้อนอีกครั้ง เพราะหน้าเราสองคนอยู่ห่างกันแค่คืบ

   เราสองคนเผลอสบตากันก่อนที่จะเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าของผมคงแดงจัดแน่ๆ ส่วนคล้าวก็ออกอาการไม่แพ้กัน เพราะใบหูของน้องแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

   พอช่วยกันเก็บเอกสารบนพื้นจนหมด ผมก็ยื่นเอกสารให้คล้าว น้องมันก็รับไปเงียบๆ ต่างคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไรในบรรยากาศที่ชวนให้เก้อเขินแบบนี้

   “พี่ขอโทษนะที่ไม่ระวัง” ในฐานะที่อายุมากกว่า ผมเลยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

   “ไม่เป็นไรครับ”

   “แล้วนี่คล้าวจะไปไหนเหรอ”

   “ผมมาติวครับ”

   “ติว?”

   “ครับ ผมมาติวบางวิชาเพิ่ม รื้อฟื้นความรู้เตรียมสอบเข้ามหาลัยครับ” ฟังคำตอบแล้วก็ได้แต่ยิ้มให้กับความตั้งใจของน้อง

   “แล้วนี่ติวเสร็จแล้วเหรอ?”

   “เสร็จแล้วครับ”

   “คล้าวจะไปไหนต่อไหม ติดธุระที่ไหนอีกรึเปล่า?”

   “ไม่มีแล้วครับ ผมว่าจะกลับเลย”

   “คือ... พอดีพี่กำลังจะไปทานข้าวคนเดียว” ผมย้ำคำว่าคนเดียวด้วยน้ำเสียงหงอยๆ เพื่อให้น้องมันเห็นใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วส่งสายตาอ้อนวอนไปสำทับ

   “ถ้าไม่รบกวนไปทานข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม” คล้าวยังคงจ้องตาผมนิ่งๆ น้องเงียบไปจนผมใจเสีย แต่เมื่อสังเกตดีๆ ถึงได้รู้ว่าน้องกำลังเหม่อ

   “คล้าว”

   “ครับ ได้สิครับ” พอได้รับคำตอบผมก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ คล้าวมองหน้าผมสักพักก็เบือนหน้าหนี

   ผมขมวดคิ้วสงสัยในปฏิกิริยาของน้อง แต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นใบหูของน้องมันแดงก่ำ  เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี เพราะมันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าน้องมันก็หวั่นไหวกับผมบ้างเหมือนกัน

   ถ้าเป็นแบบนี้ก็รุกได้เต็มที่แล้วสินะ หึๆๆ

   “ทานอะไรกันดีครับ” ผมถามน้องพร้อมกับยิ้มให้อย่างสดใส

   “อะไรก็ได้ครับ ตามใจพี่แสนเลย” คล้าวตอบโดยไม่สบตาผม

   ถ้าบอกว่าอยากกินน้องล่ะ จะตามใจพี่ด้วยไหม ผมได้แต่คิดในใจแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียว

   “งั้นเราไปที่ศูนย์อาหารกันดีกว่านะ มีอาหารให้เลือกหลากหลายดี” พูดจบผมก็เดินนำไป คล้าวก็เดินตามมาเงียบๆ    ระหว่างทางผมสังเกตเห็นสายตาที่สาวๆ แอบมองคนที่เดินตามมาตลอด เห็นแล้วก็รู้สึกกังวลจนอดจะเหลือบไปมองไม่ได้ ว่าน้องมันมีปฏิกิริยากับสาวๆ ยังไง

   แต่เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าน้องมองตรงมาที่ผมด้วยสายตาครุ่นคิด ผมก็เผลอสะดุดขาตัวเอง

   “โอ๊ะ!”

   “ระวังครับ” คล้าวมันรั้งแขนผมไว้เมื่อเห็นผมเกือบล้มหน้าคว่ำ ทำให้ตอนนี้แผ่นหลังของผมปะทะเข้ากับตัวของน้องมันแทน
ผมมองมือที่ยังจับต้นแขนไว้แน่นก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองหน้าคล้าว พอสบตากันในระยะประชิดอีกครั้งก็ชะงักกันไปทั้งคู่ คล้าวเป็นฝ่ายหลบตาก่อน แล้วก็ปล่อยมือจากต้นแขนของผม ส่วนผมก็ผละออกแล้วเอ่ยขอบคุณน้องเบาๆ

   “ขอบคุณครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   ท่าทีเก้อเขินของน้องมันทำให้ผมเดินยิ้มเหมือนคนบ้า

   ผมเดินไปซื้อคูปองสองใบแล้วยื่นให้คล้าว น้องมันจะปฏิเสธแต่ผมก็กล่อมให้น้องรับจนได้ เราแยกกันไปซื้ออาหารของตัวเองก่อนจะพากันเดินหาโต๊ะว่าง แล้วทานอาหารกันเงียบๆ

   ผมรู้สึกได้ว่าคล้าวมันแอบมองมาบ่อยๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง น้องมันก็หลบตาทันที ผมได้แต่แอบยิ้มและปล่อยให้น้องมันแอบมองต่อไป คิดว่าตอนนี้น้องมันน่าจะกำลังรู้สึกสับสน เพราะสายตาของผมแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับน้อง

   ต้องให้เวลาน้องคิดทบทวนความรู้สึกตัวเองหน่อย ผมเข้าใจว่าคงไม่ง่ายเลยที่จะยอมรับว่าหวั่นไหวกับเพศเดียวกัน

   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ผมก็ชวนคล้าวลุกเพื่อให้คนอื่นได้มานั่งบ้าง เมื่อคืนคูปองเรียบร้อย ผมก็เดินไปหาน้องที่ยืนรออยู่แล้วถาม

   “คล้าวจะกลับเลยรึเปล่า”

   “ครับพี่แสน”

   “กลับบ้านที่สุพรรณฯ เหรอครับ”

   “เปล่าครับ ตอนนี้ผมพักอยู่ในกรุงเทพฯ” เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของผม คล้าวก็อธิบายต่อ

   “ก่อนหน้านี้ผมกับไม้มาทำงานเก็บเงินไว้เรียนต่อกันครับ หลังจากนั้นหลวงตาก็โทรมาบอกว่ามีคนให้ทุนพวกเรา ผมเลยวางแผนไว้ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อติวบางวิชาเพิ่ม ถ้าวันไหนที่ไม่มีติวก็จะทำงานไปพลางๆ ครับ”

   “แล้วน้องไม้ล่ะครับ”

   “ตอนนี้ไม้ช่วยงานในร้านอาหารของญาติอยู่ครับ ไม้มันเพิ่งจะเรียนจบ แต่ไม่ได้สอบไว้ เพราะไม่มีเงินเรียน เดี๋ยวถ้าร้านหาคนได้มันก็คงมาติวเหมือนกันครับ ไม่งั้นคงสู้รุ่นน้องๆ ไม่ได้”

   “แล้วนี่คล้าวลงติววันไหนบ้างครับ”

   “ผมลงไว้สามวันครับพี่แสน มีวันอังคาร ศุกร์กับอาทิตย์ครับ”

   “อืม แล้วถ้าติวเสร็จคล้าวต้องไปทำงานต่อไหมครับ”

   “ไม่ครับ เพราะผมติวครึ่งวัน งานที่ผมทำนี่เป็นงานรายวัน ต้องทำเต็มวันครับ”

   “งั้น... ถ้าติวเสร็จแล้ว พี่จ้างคล้าวทำงานต่อได้ไหม”

   “งานอะไรครับ”

   “คือ... พี่ทำงานออกแบบเสื้อผ้า มันเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่บางทีพี่ก็คิดอะไรไม่ออก ต้องออกไปหาแรงบันดาลใจในการทำงานข้างนอก ถ้าไม่รบกวนพี่ก็อยากจะให้คล้าวไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม”

   ฟังจบน้องมันก็มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะมองหน้าผมแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

   “พี่แสนไม่ต้องจ้างหรอกครับ ผมไปเป็นเพื่อนได้”

   “ไม่ได้ พี่ไม่อยากรบกวนเวลาคล้าวเฉยๆ”

   “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงตอนบ่ายผมก็ว่างอยู่แล้ว ถ้าผมพอจะช่วยอะไรได้ผมก็เต็มใจช่วย ผมอยากจะตอบแทนพี่ๆ บ้างครับ”

   “อืม ถ้างั้นเรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลัง สรุปว่าคล้าวตกลงแล้วใช่ไหม” เอาไว้ค่อยไปกล่อมให้รับทีหลังก็แล้วกัน

   “ครับพี่แสน” ผมยิ้มด้วยความดีใจ

   “ถ้าอย่างงั้นพี่ขอไลน์ ขอเบอร์หน่อยสิครับ จะได้นัดกันอีกที” ผมเนียนขอช่องทางติดต่อ ถึงข้อมูลพวกนี้จะมีอยู่ในประวัติเด็กทุนอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่เหมือนขอเป็นการส่วนตัวนี่ครับ ขอจากเจ้าตัวมันรู้สึกเป็นกันเองมากกว่า

   “ได้ครับ” ผมแอบยิ้มเมื่อน้องตอบรับแต่โดยดี

   หลังจากแลกเบอร์แลกไลน์กันแล้ว ผมก็ปล่อยให้น้องกลับไปก่อน วันนี้ได้แค่นี้ก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว ยิ่งคิดว่าต่อไปจะได้โอกาสอยู่ใกล้ชิดกันหลังติวเสร็จอีกผมก็ยิ่งอารมณ์ดี

   ผมมองเพื่อนใหม่ในไลน์แล้วยิ้มกริ่ม

   ตอนนี้ได้แค่ไลน์กับเบอร์ แต่อนาคตพี่ต้องได้หมดทั้งตัวและหัวใจอย่างแน่นอน เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลย พี่คล้าวของทองกวาว

   ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่า น้องคล้าวของพี่แสนสินะ ผมยิ้มก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งไลน์ไป

   “ถึงห้องรึยังครับ”

Part คล้าว

   ผมวางสายจากหลวงตาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น เห็นแจ้งเตือนจากไลน์ที่หน้าจอขึ้นเป็นร้อย เพราะนานๆ จะเปิดอ่านสักที เนื่องจากรำคาญข้อความจากบางกลุ่มที่หาสาระอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องทนอยู่ในกลุ่มต่อไป เพราะไอ้ไม้มันบังคับให้อยู่เพื่อติดตามข่าวสารของแต่ละกลุ่ม ข้อความล่าสุดเป็นข้อความจากพี่แสนที่เพิ่งจะแอดมา ผมจึงเปิดขึ้นมาดู

   “ถึงห้องรึยังครับ”

   ผ่านไปสักพักก็ส่งมาอีกรอบ

   “ถ้าถึงแล้วบอกพี่ด้วยนะ พี่เป็นห่วง”

   เห็นข้อความแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้ ก่อนที่จะรีบพิมพ์ตอบไป เพราะดูจากเวลาเห็นว่าพี่แสนส่งมาได้สักพักแล้ว

   “ถึงแล้วครับ” ผ่านไปได้ไม่กี่วินาทีก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปควายโอเคจากพี่แสนมา พอเห็นแล้วก็อดจะหลุดขำไม่ได้ เพราะมันไม่เข้ากับพี่แสนเลยสักนิด

   ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงมองเพดานนิ่งๆ

   ท่าทีของพี่แสนในวันนี้ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าพี่แสนน่าจะคิดกับผมมากกว่าเด็กทุนของพี่เขา แต่แปลกที่พอรู้อย่างนี้แล้วผมกลับไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเป็นเรื่องผิดปกติอะไรสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าไม่หลอกตัวเอง นอกจากจะไม่รู้สึกแปลกแล้ว ผมกลับรู้สึกหวั่นไหวกับพี่แสนอีกต่างหาก

   พี่แสนเป็นผู้ชายที่ผิวขาวจัดเหมือนคนไม่ค่อยโดนแดด นอกจากนี้ยังเป็นผู้ชายที่หน้าตาค่อนไปทางน่ารักมากกว่าจะหล่อ อาจจะเป็นเพราะตาโตๆ สีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายสดใสรับกับจมูกได้รูปและริมฝีปากสีสด ทำให้ใบหน้านั้นดูละมุนมากกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ แถมรูปร่างยังผอมเพรียวจนไม่กล้าจับต้องแรง เพราะกลัวพี่เขาจะเจ็บ

   แต่ผมคิดว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวจริงๆ น่าจะเป็นเพราะใบหน้าของพี่แสนเป็นใบหน้าเดียวกับผู้ชายที่ผมเคยเห็นซ้อนทับกับหน้าของทองกวาวมากกว่า

   ตอนเห็นหน้าพี่แสนครั้งแรกผมก็ได้แต่อึ้งด้วยความตกใจ เพราะผมจำใบหน้าที่เคยมองมาด้วยแววตาห่วงใยและส่งสายตาปลอบโยนมาให้เมื่อครั้งที่เสียใจจากดาวเรืองได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่แสนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

   ยิ่งเห็นน้ำตาพี่แสนไหลก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก มันรู้สึกร้อนรนเหมือนจะทนเห็นน้ำตาพี่เขาไม่ได้และยังรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกด้วย แต่พอเห็นพี่แสนยิ้ม ผมก็รู้สึกสบายใจและอยากจะยิ้มตามไปด้วย จนผมแปลกใจกับความรู้สึกตัวเองมาก

   พอกลับมาทบทวนความรู้สึกของตัวเองแล้วก็ยิ่งสับสน เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถลืมดาวเรืองได้หมดหัวใจ แต่เมื่อเจอพี่แสนกลับรู้สึกหวั่นไหวในระยะเวลาแค่สั้นๆ ที่สำคัญยิ่งผมนึกถึงพี่แสนบ่อยขึ้นเท่าไหร่ เงาของดาวเรืองในหัวใจของผมก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที

   แปลกที่รู้สึกเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมานาน ไม่ได้รู้สึกเหมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกันในระยะเวลาสั้นๆ สักนิด

   ระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกสับสน หลวงตาก็โทรมาหาพอดี หลวงตาถามสารทุกข์สุกดิบผมกับไม้เหมือนกับทุกครั้ง ก่อนจะถามว่ามีอะไรจะปรึกษาท่านหรือเปล่า

   พอผมเงียบไปเพราะคิดไม่ตกว่าจะเล่าให้ท่านฟังดีหรือไม่ หลวงตาก็บอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังมีอะไรอยู่ในใจว่าไม่ต้องคิดมาก ให้ผมปรึกษาท่านได้ทุกเรื่อง

   ผมจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้หลวงตาฟัง หลวงตาฟังแล้วก็หัวเราะ ท่านบอกว่ามันเป็นเรื่องของโชคชะตา การที่คนเรามีโอกาสมาพบกันได้นั้นก็เพราะเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาก่อน

   หลวงตายังบอกอีกว่า เรื่องบางเรื่องก็ควรปล่อยให้มันค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ ขอแค่ยึดมั่นในความดีและไม่เบียดเบียนทำร้ายคนอื่นก็พอแล้ว

   หลังจากวางสายจากหลวงตา ผมก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น จึงตัดสินใจปล่อยความรู้สึกให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตาอย่างที่หลวงตาท่านว่า ตอนนี้แค่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ

   ผมหลับตาลงพักสายตา แต่สมองกลับนึกถึงหน้าแดงๆ ของพี่แสนแล้วก็ได้แต่ยิ้มอยู่คนเดียว


*********************************************

ไม่ต้องคิดมากแล้วจ้ะน้องคล้าว หลวงตาไฟเขียวแล้วววว
พี่แสนรุกตรงๆ อ่อยมันตรงๆ นี่แหละค่ะ จะจีบเด็กใจต้องกล้า หน้าต้องด้าน 55555
มาถึงตอนนี้ก็ได้ครึ่งทางแล้วฮูเร่ ฮึบๆ อีกนิดนะแม่น้องทองกวาว

ฝากแฮชแท็ก #มนต์รักริมทุ่ง ด้วยค่า กราบงามๆ

Page : Maneethewa สมาชิกน้อยนิด น่ารักๆ

https://www.facebook.com/Maneethewa/

*********************************************

#วายซ่า ☼ ไม้นี่มันไม้จริงๆ ค่ะ ถถถ พี่แสนรีบค่ะ พี่แสนบอกว่าอยากเป็นอมตะแล้ว 55555
#Al2iskiren ☼ น้องหวั่นไหวแล้วค่า สนิทกันต้้งแต่เป็นควาย กร๊ากกก ส่วนน้องไม้ รอลุ้นนะคะ
#iceman555 ☼   :pig4: :กอด1:
#puiiz ☼   :pig4: :กอด1:
#19th ☼  เจอพี่แสนรุกหนักค่ะ อ่อยจริง อ่อยจัง 55555
#k2blove ☼  พี่แสนมั่นใจค่ะว่าต้องได้กินอยา่งแน่นอน แค่กๆๆๆ ส่วนทั้งสองคนนั้นนนนน.... อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ บอกให้เธอฟังไม่ได้สักกกกกกคำ แฮ่
#lovenine ☼  เขียนเรื่องนี้นี่คิดถึงบรรยากาศที่บ้านมากเลยค่ะ ทุ่งนากว้างๆ ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน สวยมากกก จะพยายามเข็นให้จบไวๆ ค่า FC เราน้อย แต่ก็มาบ่อยพอให้ชื่นนนนใจค่ะ กอดดด
#ommanymontra ☼   :pig4: :กอด1:
#aoihimeko ☼  รุกแบบอ่อยหนักมากค่ะ 55555



 
:m1: :m1: :m1:
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 10 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-10-2018 14:11:44
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-10-2018 14:29:06
โอ๊ยยย น้องแสนจะไปไหนรอด อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-10-2018 14:35:06
หวายๆๆๆๆๆ ถ้าแสนรู้ว่าน้องมีใจให้ด้วยแบบนี้ จับปล้ำไปเลยยยยย5555555 ขอธงรบคู่ไม้เน้อออ อยากเห็นอะไรแสบๆๆๆเด๋อๆๆๆจากเจ้าไม้มัน
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 20-10-2018 15:15:38
อิอิ นี่ขนาดยังไม่รู้ว่าน้องก็แอบมีใจให้นะ

ปล. ชอบตอนพี่แสนอยู่ในร่างควาย ตลกี
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-10-2018 16:05:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 20-10-2018 20:18:09
อย่าปล่อยให้น้องหลุดมือค่ะพี่แสน จักชุดใหญ่เลยค่ะกว่าจะเจอกันแบบนี้
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-10-2018 21:25:50
พี่แสนอ่อยอย่างไม่ปิดบัง ส่งสายตาปิ้งๆ ตลอด อย่างว่าบางอย่างต้องรีบนะ
ขืนเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไอ้คร้าวคงได้หายไปจากสายตาเป็นแน่ แล้วแสนจะเสียใจ
ชอบตรงหลวงตาท่านบอกไปว่าบุญกรรมร่วมทำกันมา เข้ากับยุค 4.0 ฝุดๆ
ช่วงนี้ฝนตกบ่อย นึกถึงบรรยากาศท้องทุ่ง วันหยุดที่ผ่านมาไปเที่ยวแถวสุพรรณ
ร้อนตับแตก อากาศเปลี่ยนคนเขียนรักษาสุขภาพด้วยนะ เป็นห่วงกลัวไม่ได้อ่าน อิอิอิ
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2018 00:11:29
 :man1:

 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 21-10-2018 00:40:24
มีสติ๊กเกอร์ไลน์เป็นรูปควายซะด้วย ทำคะแนนทุกทางเลยเนอะ :m20:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 22-10-2018 23:46:24
ทึ่งในความอ่อยของพี่แสนจริงๆ ก็จังหวะมันเอื้ออ่ะนะ.  o18

น้องคล้าวก็ดูจะเคลิ้มกับสายตาออดอ้อนของพี่แสนนิ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 23-10-2018 14:22:56
ตอนเป็นควาย คือทำอะไรไม่ได้ไง

พอเป็นคนเลยจัดเต็มแบบอ้อยคว่ำ. 555

ดีใจที่คล้าวจำเงาร่างนั่นได้ ถึงแม่จะเห็นแค่ชั่วครู่

นี่แหละหนาวาสนามันนำพา. อิอิ



ปล.ไปอ่านสองก้อนมาละ อยากบอกว่าลงเรือผีแบบ หิน-ดิน. หุๆ. แบบ..แอบคิดไงว่าหินจะกรายร่างได้  ฮา~~~~
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 11 (Up 20/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-10-2018 21:50:13
หลวงตาชี้ทางสว่างแล้ว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตานะน้องคล้าว  :-[
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 31-10-2018 08:42:46
บทที่ 12

   ผมเอาเรื่องที่คุยกับคล้าวมาเล่าให้เฮียแผนฟังระหว่างที่เรานั่งรถกลับบ้านด้วยกัน

   เมื่อตอนบ่ายๆ หลังจากที่แยกกับคล้าวมาแล้ว ผมก็กลับไปนั่งสเก็ตเสื้อผ้าในห้องเสื้ออย่างอารมณ์ดี เฮียแผนก็โทรมาบอกให้ผมรอไปก่อน เฮียจะมารับกลับบ้านเอง เพราะธงรบโทรไปบอกเฮียว่ายังติดธุระอยู่ เลยมารับผมไม่ได้

   ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่ากลับเองได้ เฮียก็ไม่ยอม ยังยืนยันจะมารับให้ได้ ผมเลยต้องยอมรอแต่โดยดี

    ผมบอกเฮียไว้ก่อน เพราะผมวางแผนไว้ว่าวันไหนที่จะไปข้างนอกกับคล้าว ผมจะขับรถมาเอง

   เฮียแผนนั่งฟังผมเล่าเงียบๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด พอฟังจบก็บอก

   “เฮียจะไปด้วย” ผมหันขวับไปมองหน้าเฮียทันที เฮียแผนเหลือบมามองหน้าผมก่อนจะหันกลับไปมองถนนแล้วพูดต่อ

   “ครั้งแรกเฮียขอไปด้วยก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เฮียถึงจะวางใจให้ไปตามลำพังได้”

   “ก็ได้ครับ” ผมได้แต่ตามใจ เพราะรู้ดีว่าห้ามไปก็คงไม่ฟัง คงต้องปล่อยให้ไปเห็นเองว่าผมดูแลตัวเองได้ และคล้าวมันไม่มีปัญหาอะไร เฮียถึงจะสบายใจ

*******************************************

   ผมวางโทรศัพท์จากเฮียแผนที่โทรมาบอกว่าติดธุระด่วน ไม่สามารถไปกับผมได้ ตอนแรกก็โล่งใจที่จะได้ไปกันตามลำพัง เพราะกลัวว่าคล้าวมันจะทำตัวไม่ถูก แต่เฮียบอกว่าไม่ต้องห่วงธงรบจะไปเป็นเพื่อนผมแทนเฮียเอง

   อยากจะตอบเฮียเหลือเกินว่าไม่ได้ต้องการเลยสักนิด แต่ก็พูดไม่ออก

   ผมมองธงรบที่มานั่งเล่นโทรศัพท์รอตรงโซฟามุมห้องแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเพลียกับความห่วงจนเกินเหตุของสองคนนี้ ทั้งคู่รับช่วงผลัดกันดูแลผมเป็นอย่างดีเหมือนผมเป็นเด็กอนุบาลมากกว่าเป็นผู้ชายอายุ 24 ขนาดป๊ายังไม่ตามติดชีวิตผมขนาดนี้เลย

   อ้อ! ลืมไป ผมเพิ่งรู้มาว่าที่ป๊ากับแม่ไม่ได้มาคอยตามติดผม ก็เพราะมีสองคนนี้คอยรายงานอยู่ตลอดเวลาต่างหาก ทั้งคู่ก็เลยวางใจได้

   เฮ้อ! เรื่องที่ผมประสบอุบัติเหตุแล้วหลับไปนานนี่ทำเอาคนรอบตัวผมฝังใจไปตามๆ กันเลยครับ ได้แต่หวังว่าทุกคนจะวางใจสักทีว่าผมปลอดภัยดีและดูแลตัวเองได้แล้ว จะได้ไม่ต้องห่วงจนเกินควรขนาดนี้

   โดยเฉพาะธงรบ เพราะบริษัทมันอยู่ใกล้กับห้องเสื้อผม มันเลยคอยมารับมาส่งผมประจำ แถมป๊ากับม๊าและพี่ๆ ของมันก็ยังสั่งให้มันมาคอยดูแลผมด้วย เราก็เลยไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนคนในร้านแซวประจำว่าธงรบทำตัวเหมือนเป็นแฟนของผม

   ซึ่งผมก็ได้แต่เถียง ว่ามันทำตัวเป็นพ่อผมต่างหาก ผมถึงได้เรียกมันว่าพ่อ No.3 ในใจประจำ

   อันที่จริงที่มันคอยดูแลผมแบบนี้ เพราะผมเกิดทีหลังมัน ทุกคนในครอบครัวมันเลยบอกให้มันดูแลผมเหมือนน้อง ยิ่งมันเป็นลูกคนเล็กของบ้าน มันก็เลยทำตัวเป็นพี่ผมมาตลอด

   แต่ผมว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้มันดูแลผมเหมือนทุกวันนี้ก็คงเป็นเพราะเมื่อตอนช่วงประถม ตอนที่ครอบครัวเราไปเที่ยวทะเลด้วยกัน ธงรบมันแกล้งลากผมไปทิ้งไว้ในบริเวณน้ำลึกระดับคอแล้วผมโดนคลื่นซัดจนจมน้ำหายไปมากกว่า

   ยังดีที่เฮียแผนกับพี่ๆ ของมันนอนอาบแดดส่องสาวเล่นอยู่แถวนั้น เลยรีบลงไปช่วยกันงมจนหาตัวผมเจอ แต่ตอนนั้นผมไม่หายใจแล้ว โชคดีมีพยาบาลที่มาเที่ยวอยู่แถวนั้นเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลจนผมฟื้นกลับมาได้

   หลังจากนั้นผมก็ป่วยหนักต้องพักรักษาตัวนานกว่าจะหาย ธงรบและครอบครัวรู้สึกผิดมาก ป๊ากับม๊ามันเลยสั่งให้มันคอยดูแลผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

   เราสองคนก็เลยตัวติดกันมาโดยตลอด มาแยกกันก็ตอนที่ผมไปเรียนที่ต่างประเทศ ตอนแรกมันจะตามไปเรียนด้วยด้วยซ้ำ แต่ผมห้ามไว้ เพราะผมอยากให้มันมีชีวิตเป็นของตัวเองบ้าง ไม่ต้องมาคอยดูแลผมตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมา

   อีกอย่างผมอยากให้มันมีแฟนและเอาใจใส่แฟนให้เต็มที่ ที่ผ่านมามันคบกับใครก็ไปไม่เคยรอด เพราะมันคอยแต่จะตามดูแลผมจนไม่มีเวลาให้แฟน แฟนมันต่างก็น้อยใจและหึงหวงผมกันทุกคน

   แต่มันก็ไม่สนใจความปรารถนาดีของผมเลย ช่วงปิดเทอมก็ตามป๊ากับแม่ไปหาผมถึงที่โน่น แฟนก็ไม่ยอมมี มันบอกว่ารำคาญที่มีแฟนทีไรแฟนแต่ละคนของมันก็หึงหวงมันกับผมแบบไร้สาระ

   ผมฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจด้วยความเพลีย คิดดูแล้วถ้าเป็นผม ผมก็หึง ใครมันจะอยากให้แฟนตัวเองดูแลเพื่อนยิ่งกว่าเมียแบบนี้ล่ะ

   พอพูดกับมัน มันก็บอกว่าถ้าจะเป็นแฟนมันก็ต้องยอมรับเรื่องนี้ได้ เพราะมันไม่มีวันปล่อยให้ผมอยู่ลำพังจนเป็นอันตรายอีก อีกอย่างป๊ากับม๊ารวมทั้งพี่ๆ ของมันก็สนับสนุนการกระทำของมันอย่างเต็มที่อีกด้วย ผมก็เลยพูดไม่ออก ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย คิดว่าถ้าวันไหนมันเจอคนที่มันรัก มันก็คงจะห่างๆ จากผมได้เองแหละ

   “หิวแล้ว เด็กมึงเสร็จยังแสน” ไอ้คนที่ผมนินทาในใจเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมาถาม เมื่อดูเวลาก็เห็นว่าเที่ยงแล้วผมเลยลุกจากเก้าอี้

   “น่าจะเสร็จแล้วละ ไปรอที่ศูนย์อาหารเลยก็ได้ กูนัดน้องไว้ที่นั่น” ธงรบรีบลุกขึ้นกอดคอผมเดินออกไป เห็นสาวๆ ในร้านส่งยิ้มล้อเลียนมาแล้วก็ได้แต่ถอนใจ บอกว่าไม่ใช่แฟนกันก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะไอ้คนที่กอดคอผมอยู่ก็ขยันสร้างกระแสเหลือเกิน คงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อน

   ระหว่างที่เดินผมก็ควักโทรศัพท์ออกมาไลน์หาคล้าวไปด้วย

   “เสร็จรึยังครับ” รอไม่นานน้องก็ตอบกลับมา

   “เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะรีบตามไปนะครับ”

   ผมส่งสติ๊กเกอร์ควายโอเคไปให้น้อง แล้วไปซื้อคูปองรอที่ศูนย์อาหารเลย พอได้คูปองธงรบก็เดินไปสั่งอาหารก่อน สงสัยจะหิวอย่างที่บอกจริงๆ

   รอไม่นานก็เห็นคล้าวเดินมาหาตรงจุดนัดพบ ร่างสูงๆ นั้นดึงดูดสายตาคนรอบข้างเป็นอย่างดี ทั้งๆ ที่คล้าวแต่งตัวธรรมดามาก น้องมันใส่เสื้อยืดสีดำพอดีตัวอวดอกแน่นๆ ที่ผมจำได้แม่นว่าเวลาไม่ใส่เสื้อแล้วซิกแพคมันน่าลูบแค่ไหน กางเกงยีนส์สีซีดๆ กับผ้าใบเก่าๆ หน้าหล่อๆ นั้นนิ่งเฉย แต่เท่านี้สาวๆ ที่เดินผ่านต่างก็ส่งสายตาให้เป็นระยะ เห็นแล้วก็ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ อยากเอาผ้าคลุมหัวแล้วลากไปเก็บไว้ดูคนเดียวที่บ้านจริงๆ

   “สวัสดีครับพี่แสน” เมื่อมาถึงคล้าวก็ยกมือไหว้อย่างเรียบร้อยพร้อมทั้งส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้

   เห็นรอยยิ้มน้องมันแล้วรู้สึกชนะอย่างบอกไม่ถูก

   “สวัสดีครับ” ผมรับไหว้แล้วส่งคูปองให้น้อง คล้าวมันยังไม่รับคูปองแต่หยิบเงินออกมาส่งให้ผม

   “ไม่เป็นไรเอาไปเถอะ ไม่กี่บาทพี่เลี้ยงเอง”

   “ไม่เป็นไรครับผมเกรงใจ คราวก่อนพี่แสนก็เลี้ยงแล้ว”

   “พี่ก็เกรงใจเหมือนกันที่รบกวนเวลาพักผ่อนคล้าว ถ้าไม่รับพี่จะรู้สึกผิดมากเลยนะ” ผมพยายามเกลี้ยกล่อมน้อง

   “จะยืนคุยกันอีกนานไหม หิวแล้ว เราก็รับๆ ไปเถอะ แสนมันรวย แค่นี้ไม่สะเทือนขนหน้าแข้งมันหรอก ขนหน้าแข้งมันเยอะ” ผมถองใส่ธงรบที่เดินมากอดคอผมทันทีที่ได้ยินประโยคสุดท้ายของมัน ซึ่งมันก็รีบยกมือออกแล้วหลบทันที

   “สวัสดีครับ” น้องมันเลยยกมือไหว้ธงรบอย่างคนมารยาทดี ซึ่งธงรบมันก็รับไหว้แต่สายตาจ้องน้องอย่างพินิจพิจารณา

   มึงไม่สิงน้องมันเลยล่ะ ถ้าจะจ้องขนาดนี้

   “สวัสดี พี่ชื่อธงรบเป็นเพื่อนแสน เราล่ะหน้าคุ้นๆ เป็นเด็กทุนด้วยใช่ไหม ชื่ออะไรนะ พี่ลืม” ผมเหล่ตามองไอ้คนที่ทำเป็นลืมอย่างหมั่นไส้

   แหม... ทีตอนซักกูละจำแม่นเชียวนะ ไม่เห็นลืมแบบนี้บ้างล่ะ

   “ผมชื่อคิมหันต์ครับ เรียกคล้าวก็ได้ ผมเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับทุนจากพี่ๆ ครับ” น้องมันตอบอย่างสุภาพ

   “อ้อ นึกออกแล้ว พี่คล้าวของทองกวาวใช่ไหม” ผมแอบสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อเดิมของตัวเอง ส่วนคล้าวเหลือบมองผมก่อนจะหันไปตอบธงรบ

   “ครับคุณธงรบ”

   “เฮ้ย! ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น แล้วคุณอะไรกัน เรียกพี่รบเหมือนที่เรียกพี่แสนก็ได้” ธงรบมันบอกก่อนจะหยิบคูปองจากมือผมยัดใส่มือคล้าวอย่างรวดเร็ว

   “เอ้า เอาไปเถอะไม่ต้องเกรงใจ แล้วก็ไปซื้อข้าวได้แล้ว พี่หิวจนจะกินควายได้ทั้งตัวแล้ว” พูดจบก็จับมือผมลากออกมาทันที

   “มึงจะรีบไปตามควายรึไงรบ ช้าหน่อยสิวะ ขากูจะพันกันอยู่แล้วเนี่ย” ผมบ่นเมื่อมันลากผมเดินเร็วจนขาแทบจะพันกัน

   “รอให้น้องมึงคืนคูปองรึไง ต้องรีบหนีตอนที่น้องมันไม่ทันได้ตั้งตัวสิ อีกอย่างกูหิวมากกกก ช้ากว่านี้กูจะกินหัวน้องคล้าวมึงแทนข้าวแล้วนะ” ธงรบบ่นเป็นหมีกินผึ้ง แต่ก็ยอมผ่อนฝีเท้าให้แต่โดยดี

   “หิวก็ไปกินก่อนไป๊ เดี๋ยวกูซื้อข้าวเสร็จแล้วจะรีบตามไปที่โต๊ะ” ผมบอกแล้วผลักให้มันกลับไปที่โต๊ะก่อน

   “เร็วๆ นะ” มันยังไม่วายเร่ง

   “เออน่า” ผมบอกมันแล้วรีบไปซื้อร้านที่คนน้อยๆ หน่อย เพราะรู้ว่ามันต้องนั่งรอไม่ยอมกินก่อนแน่ๆ เมื่อไปถึงก็เห็นมันนั่งรออย่างที่คิดจริงๆ

   “กินก่อนเลย ไม่ต้องรอน้องมันหรอก ถ้าไม่อิ่มจะได้ไปหาอย่างอื่นมากินต่อ” ผมนั่งลงข้างๆ มันก่อนจะบอกให้มันกินไปก่อนเลย เพราะรู้ดีว่าถ้ามันหิวขนาดนี้  อย่างเดียวไม่น่าจะอิ่ม มันก็คงจะคิดเหมือนกัน เลยเริ่มจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามทันที

   ผมละสายตาจากธงรบมองไปหาคล้าว เมื่อเห็นว่าน้องมันมองหาก็ยกมือกวักเรียก พอมองเห็นผมคล้าวก็เดินมาหาแล้วนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับผม ผมยิ้มให้คล้าวแล้วเริ่มกินข้าวของตัวเอง คล้าวจึงกินเริ่มกินของตัวเองเงียบๆ เหมือนกัน

   หลังจากก๋วยเตี๋ยวในชามหมด ธงรบก็ลุกไปเตร่หาของกินต่อ ส่วนผมแค่อย่างเดียวก็อิ่มแล้วจึงถามคล้าวเผื่อน้องมันยังไม่อิ่ม

   “ถ้าไม่อิ่มไปหาอะไรทานต่อก็ได้นะคล้าว ไม่ต้องเกรงใจพี่” ผมจ้องคล้าวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะรู้ดีว่าน้องมันต้องเกรงใจแน่

   “ครับ พี่แสนเอาอะไรเพิ่มไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้” คล้าวมีสีหน้าเกรงใจ แต่พอผมมองด้วยสีหน้าจริงๆ ก็รับคำ

   “ไม่ล่ะ พี่อิ่มแล้ว เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำมาให้ เอาน้ำอะไรครับ”

   “น้ำเปล่าก็ได้ครับ” ผมยิ้มให้คล้าว ก่อนจะลุกไปซื้อน้ำมาเผื่อทั้งคู่ด้วย พอกลับมาที่โต๊ะก็มานั่งท้าวคางมองทั้งคู่ยืนรออาหาร เห็นแล้วก็อดจะอมยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้

   “เป็นบ้าเหรอ นั่งยิ้มอยู่คนเดียว” ผมหุบยิ้มฉับเมื่อธงรบมันเดินกลับมานั่งแล้วทัก ส่วนคล้าวที่เดินตามมาได้ยินก็ยิ้มขำ

   “กินๆ ไปเลย ปากจะได้ไม่ว่าง” ผมเลื่อนจานให้ไอ้คนปากหมา ซึ่งมันก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจะกินของมันแต่โดยดี

   หลังจากอิ่มกันแล้ว เราก็เดินไปที่ลานจอดรถ ที่ธงรบจอดไว้เมื่อเช้า ตอนแรกที่คุยกัน เฮียแผนให้ผมติดรถธงรบมา  เฮียจะรีบเคลียร์งานช่วงเช้าแล้วขับรถมารับ แต่พอเฮียไม่ว่าง เลยต้องใช้รถธงรบแทน

   ระหว่างที่เดินไปที่รถ อยู่ๆ ธงรบมันก็ถามขึ้นมา

   “คล้าวขับรถเป็นหรือเปล่า”

   “เป็นครับ”

   “แล้วมีใบขับขี่ไหม”

   “มีครับพี่รบ”

   “ถ้าพี่จะรบกวนให้คล้าวขับรถให้แสน คล้าวจะสะดวกไหม”

   “เฮ้ย! ไม่เป็นไร ขับเองได้” ผมรีบค้านเมื่อเราเดินมาถึงรถพอดี

   “ผมสะดวกครับพี่รบ เดี๋ยวผมขับให้เอง” แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจผมเลย ยังคงโต้ตอบกันเหมือนผมเป็นหัวหลักหัวตอ ผมจึงได้แต่กลอกตามองคนทั้งคู่โต้ตอบกันต่อไป

   “งั้น คราวนี้ก็ลองขับดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าคล้าวขับดีกว่าแสน พี่จะได้ฝากให้ช่วยขับให้แสนในครั้งต่อๆ ไปด้วย”

   “ได้ครับ”

   “ธงรบ” ผมพยายามค้านอีกรอบ

   “เงียบไปเลยแสน” มันหันมาห้ามผมก่อนจะหันไปคุยกับคล้าวต่อ

   “ที่พี่ต้องรบกวนคล้าว ก็เพราะแสนมันเคยประสบอุบัติเหตุแล้วหลับไปนานมาก มันเพิ่งจะฟื้นมาได้ไม่นาน และเพิ่งจะแข็งแรงขึ้น พี่กับเฮียแผนพี่ชายมันไม่อยากจะให้มันขับรถเอง เพราะเป็นห่วง คล้าวเข้าใจพี่ใช่ไหม”

   “ครับพี่รบไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะขับอย่างระมัดระวังที่สุดครับ” คล้าวหันมามองหน้าผม ก่อนรับคำด้วยสีหน้าจริงจัง

   “ขอบคุณที่เข้าใจพี่นะ” ธงรบตบบ่าคล้าวหนักๆ

   “ครับพี่” คล้าวรับคำอย่างหนักแน่นอีกครั้ง

   ผมได้แต่ถอนหายใจกับการเจรจาของทั้งคู่ ธงรบมันทำอย่างกับจะฝากฝังลูกไว้กับครูอนุบาล ซึ่งคุณครูก็รับฝากด้วยความมุ่งมั่น

   พอธงรบยื่นกุญแจรถให้ คล้าวก็รับแล้วเดินไปตำแหน่งคนขับเลย ธงรบมันหันมาบอกผม

   “ไปนั่งหลัง”

   “ทำไมต้องนั่งหลัง”

   “กูจะดูน้องมันขับรถ” พูดจบก็เปิดประตูหลังแล้วจับผมยัดลงไป ก่อนตัวมันเองจะเข้าไปนั่งข้างคนขับ ผมได้แต่มองตาปริบๆ

   “ไปวัดอรุณฯ นะครับ” คล้าวสบตากับผมทางกระจกหลังแล้วถามเพื่อความแน่ใจ เพราะก่อนที่จะถึงวัน ผมก็คุยกับน้องไปแล้ว

   “ใช่ครับ” ผมตอบพลางยิ้มให้ น้องมันหลบตาแล้วเริ่มสตาร์ทรถ ส่วนธงรบก็หรี่ตามองคล้าวแล้วหันมามองหน้าผม ผมจึงยักคิ้วให้มันไปที

   “รัดเข็มขัดด้วย” ผมบอกธงรบ ก่อนจะนั่งพิงเบาะสบายๆ แล้วก็มองคนขับไปด้วย อยู่ตรงมุมนี้ก็ดีแฮะ ได้มองหน้าน้องมันสะดวกๆ หน่อย ถึงจะเห็นแค่กกหูก็ยังดี หึๆ

   หลังจากฝ่ารถติดไปถึงวัดพอก้าวลงจากรถมาได้ธงรบมันก็ขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ ทันที

   “จ้องขนาดนั้น ไม่แดกน้องมันไปเลยล่ะ”

   “แดกได้กูแดกไปแล้ว” พอฟังคำพูดผม ธงรบก็ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ทันที ก่อนที่เราจะทำหน้าเฉยๆ เมื่อคล้าวมันเดินอ้อมรถมาหา

   “จะไปไหนก็นำไปเลย” ธงรบมันบอกผมแล้วดันหลังให้ออกเดินก่อน

   “ให้ผมถือให้ไหมครับ” คล้าวมองสมุดเสก็ตที่ผมถือติดมือมาด้วย ผมจึงยื่นให้น้องช่วยถือ เพราะผมว่าจะถ่ายรูปเอาไว้น่าจะเร็วกว่าเสก็ตภาพแน่ๆ ถ้าคิดอะไรออกแล้วค่อยขอจากน้องอีกที

   ผมเอากล้องขนาดเล็กที่พกออกมาจากกระเป๋า แล้วก็เริ่มเดินเตร่ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป้าหมายหลักที่ตั้งใจจะไปคือพระปรางค์ประธานเพราะตั้งใจจะขึ้นไปก่อนที่จะหมดแรงซะก่อน

   เมื่อไปถึงผมถ่ายภาพรวมของพระปรางค์ ก่อนจะเดินนำขึ้นบันไดนำหน้าไป ระหว่างทางก็หันไปถ่ายรูปเครื่องกระเบื้องที่ประดับพระปรางค์และวิวระหว่างทางไปด้วย ผมเพลินกับการชมความงามของวัดและการถ่ายรูปซะจนแทบจะลืมคนที่ตามมาด้วยทั้งสองคน พอหันกลับไปดูก็เห็นทั้งคู่ก็เดินตามมาเงียบๆ

   “ระวังครับ” คล้าวรีบเตือนแล้วเอามือดันหลังผมเอาไว้ เมื่อเห็นผมมองกลับลงไประหว่างทางขึ้นบันได

   “จะหันมาทำไม” ส่วนธงรบที่เดินหลังสุดก็ดุสำทับ จนผมต้องรีบหันกลับ เพราะเหมือนจะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเหมือนกัน

   ผมเดินขึ้นไปแล้ววนถ่ายรูปในแต่ละชั้นจนถึงด้านบนสุดที่สามารถขึ้นได้ เมื่อทั้งสองตามมาทันแล้วก็หันไปถ่ายรูปวิว และกระเบื้องด้านบนต่อ หลังจากเดินวนถ่ายจนพอใจแล้ว ผมก็ยืนมองวิวด้วยความสบายใจ

   พอหายเหนื่อยแล้วก็ลงจากพระปรางค์แล้วก็เดินไปที่จุดอื่นๆ ต่อ เดินจนเหนื่อยอีกรอบก็ไปนั่งพักกันที่ศาลาริมน้ำ ระหว่างที่คล้าวไปห้องน้ำ ผมก็นั่งเปิดรูปดูอย่างพอใจ เพราะได้มาทั้งรูปพระปรางค์ประธาน พระปรางค์เล็ก 4 องค์ ยักษ์เฝ้าซุ้มประตู มณฑปพระพุทธบาท พระอุโบสถ พระวิหารหลวงทั้งภาพรวมและจุดที่สนใจ

   “หมดแล้ว?” ธงรบที่ชะโงกมาดูด้วยถามขึ้น เมื่อผมเปิดรูปที่ถ่ายมาดูจนหมดแล้ว

   “อืม นี่ก็เยอะแล้วนะ”

   “แล้วมึงไม่ถ่ายรูปน้องมันไว้บ้างล่ะ”

   ผมอึ้ง เมื่อลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย

   “ธงรบ กูลืมมมมมมมม โอ๊ย! ลืมได้ยังไงวะ มีโอกาสทั้งที ทำไมมึงไม่เตือนกูบ้างอะ” ผมอดจะโวยวายกับมันไม่ได้

   “หึๆๆๆ ถ้ากูเตือนมึง จะได้รูปแบบนี้มาเหรอ” พูดจบมันก็เอาโทรศัพท์มาเปิดรูปให้ดู ซึ่งพอเห็นรูปที่มันถ่ายไว้ตา ผมก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะมันเป็นรูปของผมที่มีคล้าวเดินตามต้อยๆ อยู่ใกล้ๆ คอยระวังหลัง ระวังคนให้ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย บางรูปก็เป็นรูปเดี่ยวๆ ของน้องในยามเผลอ

   “ธงรบบบบ น่ารักที่สุด กูรักมึงว่ะ” ผมบอกพร้อมกับยิ้มกว้างๆ ให้มัน

   “กูก็น่ารักมาตั้งนานแล้ว มึงเพิ่งจะรู้สึกรึไง” มันกอดอกบอกด้วยน้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้สุดๆ

   “จะน่าเตะมากกว่าน่ารักก็ตรงหลงตัวเองนี่แหละมึงอะ”

   “ว่ากูเหรอ” ธงรบขยับมาล็อคคอแล้วขยี้หัวจนยุ่งไปหมด

   “ธงรบ! ปล่อยนะไอ้บ้า ฮ่าๆๆๆ หัวยุ่งหมดแล้ว ปล่อยยย” ผมพยายามดันแขนมันออก แต่สู้แรงควายอย่างมันไม่ได้

   “น้ำครับ” เสียงของคล้าวทำให้เราทั้งสองคนชะงัก ธงรบปล่อยมือจากคอผม ผมจึงขยับออกมาจัดผมที่ยุ่งๆ ของตัวเอง แล้วแยกเขี้ยวใส่มัน ก่อนจะหันไปยิ้มให้คล้าวที่มองมานิ่งๆ

   “ขอบคุณมากครับ” ผมขอบคุณแล้วรับขวดน้ำเย็นๆ ที่คล้าวส่งมาให้

   “สองมาตรฐานชัดๆ” ธงรบพึมพำว่าผม ก่อนจะรับน้ำจากคล้าวมาและขอบคุณน้องเหมือนกัน

   หลังจากหายเหนื่อยแล้ว ผมก็ชวนทั้งคู่ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้าน ตอนแรกคล้าวจะปฏิเสธ แต่ผมก็หาทางโน้มน้าวไปจนได้  คล้าวขอเลี้ยงพวกเราบ้าง ธงรบจึงพาไปร้านก๋วยเตี๋ยวที่ขายอยู่แถวนั้น

   พออิ่มกันแล้ว ขึ้นรถปุ๊บ ธงรบก็หลับไปเลย ผมสังเกตเห็นว่าคล้าวเงียบๆ ไปตั้งแต่ก่อนออกมาจากวัด จึงถามด้วยความเป็นห่วง

   “คล้าว เหนื่อยเหรอครับ”

   “ครับ?” คล้าวเหลือบมองมาทางกระจกหลังด้วยสีหน้าสงสัยกับคำถามของผม ผมสบตาน้องทางกระจกแล้วพูดต่อ

   “ก็ตั้งแต่ออกจากวัดมาคล้าวก็เงียบๆ พี่ก็คิดว่าคล้าวน่าจะเหนื่อยแน่ๆ แถมยังต้องมาขับรถให้พี่อีก พี่ขอโทษที่รบกวนนะครับ คราวหน้าพี่คงไม่รบกวนคล้าวอีกแล้ว” ถึงจะเสียดายที่จะไม่ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ แต่ถ้าน้องไม่มีความสุข ผมก็คงไม่กล้ารบกวนอีกแล้ว

   “เปล่านะครับ ผมไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย ที่เงียบไปเพราะผมเผลอคิดอะไรนิดหน่อย ขอโทษที่ทำให้พี่แสนเข้าใจผิดนะครับ คราวหน้าผมก็ยินดีมาขับให้ ไม่รบกวนอะไรเลยครับ” คล้าวพูดพร้อมกับมองสบตาผมทางกระจกด้วย ผมจ้องตอบ เพราะอยากรู้ว่าน้องมันพูดมาจากใจจริงหรือเพราะแค่เกรงใจกันแน่

   “พี่ว่า... หันไปมองถนนดีกว่านะ อย่าไปมองกระจกหลังบ่อยๆ เลย มันอันตราย” เสียงของไอ้คนที่หลับไปดังขึ้นมา ทำให้เราหันไปมองพร้อมกัน ก่อนที่คล้าวจะรีบหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม

   “ขอโทษครับ” พอคล้าวหันไปมองถนน ธงรบมันก็ชวนคุยต่อ

   “ใกล้ถึงห้องคล้าวรึยัง”

   “ใกล้แล้วครับ เลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้างหน้านี้ไม่ไกลก็ถึงแล้วครับ”

   “ไกลจากป้ายรถเมล์เหมือนกันนะเนี่ย ปกติเข้ามายังไงล่ะ มาวินเหรอ”

   “เดินมาครับ ถ้าวันไหนไม้มันไม่ยุ่งมันก็ขับมอเตอร์ไซต์มารับครับ”

   “ร้านอยู่ใกล้ๆ ห้องพักเหรอครับ” ผมถามขึ้นมาบ้าง

   “ครับร้านอยู่ไม่ไกลจากห้องพักมาก เดินไม่นานก็ถึงครับ”

   “เดี๋ยววันหลังพี่จะมาอุดหนุนบ้าง” ผมส่งยิ้มให้คล้าวทางกระจก

   “ครับ” คล้าวรับคำแล้วหลบตา ผมจึงยิ้มกริ่มอย่างพอใจ

   “อะแฮ่ม! รู้สึกคันๆ คอยังไงไม่รู้” ไอ้คนที่นั่งข้างคนขับมันขัดจังหวะ ถ้าคันนักเดี๋ยวก็ช่วยเกาด้วยส้น... ซะหรอก เหอะ!
หลังจากเข้าซอยมาไม่นาน คล้าวก็จอดรถหน้าห้องเช่าซึ่งเป็นตึกปูนสามชั้นเก่าๆ แห่งหนึ่ง พอปลดเข็มขัดออกก็ยกมือไหว้เราทั้งคู่

   “ขอบคุณนะครับพี่แสน ขอบคุณครับพี่รบ”

   “ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณคล้าว” ผมพูดแล้วยิ้มให้

   “ผมยังยืนยันเหมือนเดิมว่าผมยินดีครับ” คล้าวหันมาสบตา

   “อืม พี่เห็นแล้วละว่าเราขับรถดี คราวต่อไปถ้าพี่ไม่ว่างมาด้วย พี่ฝาก ‘เพื่อน’ พี่ด้วยนะ” ธงรบมันย้ำคำว่าเพื่อนจนผมสะดุดใจ

   “ครับพี่รบ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะดูแลพี่แสนให้เป็นอย่างดี”

   “ขอบใจมาก”

   ผมได้แต่มองคนสองคนคุยกันตาปริบๆ

   “แล้วเจอกันนะครับพี่แสน”

   “ครับ แล้วเจอกันครับคล้าว” ผมยิ้มหวานๆ ให้ น้องมันก็หลบตาแล้วเดินจากไป ผมมองตามจนน้องมันเดินเข้าไปในตึกจนลับตา

   พอหันกลับมาก็เห็นธงรบมันก็ลุกไปนั่งตำแหน่งคนขับแล้ว ผมจึงลุกไปนั่งข้างคนขับบ้าง พอรถออกตัว ผมก็ถามเรื่องที่สงสัยอยู่ทันที

   “ที่พูดกับคล้าวเมื่อกี๊หมายความว่าไง”

   “เรื่องไหนล่ะ พูดหลายเรื่อง กูจำไม่ได้ทุกเรื่องหรอกนะ”

   “ที่มึงย้ำคำว่าเพื่อนกับน้องมันน่ะ”

   “อ๋อออ” ธงรบมันลากเสียงยาวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์จนน่าตบกะโหลกสักที

   “อธิบายมา”

   “กูคิดว่าน้องมันน่าจะเข้าใจผิด”

   “เรื่อง? อธิบายยาวๆ ซิ มึงจะขยักไว้ทำซากอะไรมิทราบ เดี๋ยวกูตบหัวทิ่ม”

   “ฮ่าๆๆๆ พอเป็นเรื่องน้องมันนี่หัวร้อนขึ้นมาเชียวนะ เออๆ พูดแล้วๆ อย่านะมึง เดี๋ยวได้ไปทักทายต้นไม้ข้างทางหรอก” มันรีบพูดเมื่อเห็นผมเงื้อมมือจะตบหัวมันจริงๆ

   “ตอนที่อยู่ที่ศาลาริมน้ำ กูเห็นคล้าวมันเดินกลับมา กูก็เลยแกล้งแสดงความใกล้ชิดกับมึง เพื่อดูท่าทีของน้องมัน”

   “เพื่อ?”

   “ก็กูอยากจะรู้ว่าถ้าน้องมันเห็นความสนิทสนมมากๆ ของเราสองคน น้องมันจะมีท่าทีรังเกียจไหม”

   “แล้ว?”

   “เท่าที่เห็นน้องมันก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอะไร แต่...” ธงรบมันเหลือบมองผมแล้วยิ้มมุมปาก

   “ดูเหมือนว่าน้องมันจะเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นอะไรกันมากกว่า หึๆๆ”

   “เฮ้ย! มิน่าล่ะ” ผมพึมพำเมื่อนึกได้ว่าคล้าวมันมีอาการแปลกๆ ตั้งแต่ตอนนั้น

   “แล้วมึงคิดดูสิ ถ้าไม่ ‘รู้สึก’ อะไร แล้วน้องมันจะมีท่าทีแปลกๆ ทำไมวะ”

   ฟังจบแล้วคิดตามก็ชักจะเห็นด้วย เลยได้แต่ยิ้มจนแก้มแทบแตกอยู่คนเดียว

   “แหม ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเชียวนะมึง หุบๆ ยิ้มบ้างก็ได้ เห็นแล้วหมั่นไส้” ธงรบมันเหลือบมองแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อ

   “ก็กูมีความสุข กูจะยิ้มจนแก้มแตกมันก็เรื่องของกู ไม่เสือกสิครับ”

   “ไม่ต้องมายิ้มแบบนี้ให้กูเลยนะ กูไม่ชิน มันขนลุก!”

   ผมยักไหล่ แล้วนั่งยิ้มอย่างมีความสุขต่อไป

*******************************************

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 31-10-2018 08:55:43
   เมื่อกลับมาถึงบ้าน ธงรบมันก็พาไปที่ห้องพักผ่อนของครอบครัว บอกว่าเฮียให้รอที่นี่ เดี๋ยวเฮียจะกลับมาคุยด้วย ผมได้แต่สงสัยว่าไปคุยกันตอนไหน แล้วก็สงสัยว่าผมหรือมันที่เป็นน้องเฮียกันแน่

   แต่เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน พอได้กินมาอิ่มๆ และเจอแอร์เย็นๆ ตาก็เริ่มปรือ จนในที่สุดก็เผลอหลับไป

   เสียงพูดคุยที่ดังแว่วๆ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็เห็นเฮียแผนกับธงรบนั่งคุยกันอยู่ไม่ไกล ผมนอนตะแคงอยู่บนโซฟาและมีผ้าห่มห่มไว้ มิน่าล่ะถึงรู้สึกอุ่นๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดท่าทางแล้วเอาผ้าห่มมาห่มให้ ผมนอนมองทั้งคู่คุยกันเงียบๆ ต่อไปเพราะยังขี้เกียจลุกอยู่

   “ก็ถือว่าน้องมันใช้ได้อยู่นะเฮีย”

   “ใช้ทำอะไร”

   “ใช้ขับรถ”

   โว๊ะ! มุก 5 บาท 10 บาท ก็ยังจะเล่น

   เฮียแผนยังไม่ทันได้ตอบอะไร ผมก็ถอนหายใจเฮือกอย่างทนไม่ไหว จนทั้งคู่รู้ตัวแล้วหันมามอง

   “ตื่นแล้วเหรอ”

   “ครับ เฮียมานานหรือยังครับ” ผมถามแล้วลุกขึ้นนั่งพิงโซฟา เฮียแผนก็ลุกมานั่งข้างๆ พร้อมกับธงรบที่ลุกมานั่งใกล้ๆ เหมือนกัน

   “เพิ่งมาถึงไม่นาน”

   “กินข้าวมาหรือยังครับ กินอะไรไหม เดี๋ยวแสนไปดูในครัวให้”

   “เรียบร้อยแล้ว รบบอกว่าแสนกินมาแล้ว ส่วนป๊ากับแม่ไปงานเลี้ยงกับบ้านรบ เฮียเลยจัดการมาเรียบร้อยแล้ว”

   “แล้วนี่คุยกันเรื่องอะไรกันอยู่ครับ”

   “คุยเรื่องเด็กมึงนั่นแหละ” ธงรบเป็นคนตอบ ก่อนที่เฮียจะอธิบายต่อ

   “เฮียกำลังถามรบอยู่ว่าไปเที่ยววันนี้เป็นยังไงบ้าง”

   “ก็สนุกดีครับ แสนถ่ายรูปมาเยอะเลย”

   “แล้วคล้าวล่ะเป็นไงบ้าง”

   “แหะๆ แสนมัวแต่ถ่ายรูปจนลืมสนใจน้องไปเลยครับเฮีย”

   “มันไม่สนใจใครเลยต่างหากครับเฮีย แสนมันมัวแต่ถ่ายรูป ไม่ได้ดูทางดูคนเลยสักนิด จนคล้าวมันต้องคอยระวังคนให้ คอยกันไม่ให้ใครมาชน แล้วก็ระวังไม่ให้มันไปชนใครด้วย น้องมันต้องคอยขอโทษคนเป็นระยะ บางครั้งก็คอยบังแดดให้ บางครั้งเอาสมุดเสก็ตที่ช่วยถือคอยพัดให้ นี่ถ้าสนิทกันกว่านี้นี่คงมีเช็ดเหงื่อให้ด้วยแหละ เพราะน้องมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเวลาแสนมันเช็ดเหงื่อกับแขนเสื้อ”

   ผมอ้าปากค้างฟังคำพูดของธงรบ

   เฮ้ย! คล้าวดูแลผมขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมผมไม่รู้ตัว

   “นี่มึงหายใจอยู่ป่ะเนี่ย” ธงรบมันทำหน้าเอือมๆ ใส่ เมื่อเห็นสีหน้ามึนๆ ของผม

   “แล้วมึงล่ะ เห็นเงียบๆ เก็บข้อมูลเพียบเลยนะ”

   “กูทำหน้าที่ผู้สังเกตการณ์ที่ดีไง”

   “ถ้าอย่างงั้นก็ดี เฮียจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

   “เฮียไม่ต้องห่วงเลยครับ คล้าวมันขับรถดีกว่าแสนหลายเท่า แถมดูแลดีขนาดนี้นี่ ยิ่งกว่ามีหวัง” ผมหน้าหงิกตอนประโยคแรก ก่อนที่จะตาเป็นประกายในประโยคหลัง

   “จริงเหรอ กูมีหวังจริงเหรอ” ผมถามเพื่อความมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง ว่าคล้าวมันหวั่นไหวกับผมบ้างแล้ว

   “เออ! อย่าทำหน้าดีใจขนาดนี้ได้ไหม กูเห็นแล้วหมั่นไส้” ธงรบทำสีหน้าหมั่นไส้อย่างที่พูดจริงๆ นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงโดนผลักหัวไปแล้ว

   “ก็กูดีใจ มึงจะทำไม” ผมลอยหน้าลอยตาใส่มัน ก่อนที่จะงงเมื่อโดนเฮียแผนรวบไปกอดซะอย่างงั้น

   “เฮีย?”

   “เฮียกับเด็กนั่นใครสำคัญกว่ากัน” ผมอึ้งกับคำถามสักพักก่อนจะ

   “อุบ ฮ่าๆๆๆๆ” ผมหลุดหัวเราะอย่างทนไม่ไหว พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเฮียทำหน้าไม่สบอารมณ์ ก็เลยกอดตอบเฮียแล้วซบกับคอเฮียอ้อนๆ

   “รักเฮียที่สุด”

   “กูด้วย ต้องรักกูมากกว่าด้วย” ธงรบมันท้วง ก่อนจะขยับมาโวยวายใกล้ๆ

   ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ทำไมถึงได้ขี้หวงกันขนาดนี้นะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรัก ความหวง ความห่วงของพวกเขา ทำให้ผมมีความสุขที่สุด

   ก็การเป็นที่รักน่ะ มันให้ความรู้สึกดีจะตายไป


*****************************************************************
หนีไปต่างจังหวัด เพิ่งจะกลับมาค่า
กะจะไปดูทะเลหมอก แต่อากาศร้อน หมอกจางเหลือเกินค่ะ ถถถ

*****************************************************************


Puiiz ☼  :L2: :pig4:
iceman555  ☼ ไม่รอดแน่นอนค่ะ
wutwit ☼ จัดหนักเลยค่ะทีนี้ ส่วนไม้นั้น หึๆๆๆๆๆ
PsychePie   ☼  อยากกินเด็กต้องอ่อยหนักๆ ค่ะ ปล.ที่จริงก็อยากให้อยู่ในร่างควายต่อ แต่มันคุยกันไม่รู้เรื่องงงงงง ถถถ
MayA@TK   ☼  :L2: :pig4:
dahlia  ☼ พี่แสนจัดให้ค่ะ
k2blove ☼  อยากกินเด็กต้องรุกหนักๆ ค่ะ ส่วนหลวงตาก็อยู่ทีมชงอย่างเป็นทางการ 5555 แต่อากาศร้อนจริงๆ ค่ะ เพิ่งไปต่างจังหวัดมาร้อนหนักมากกกกกกก ออกแดดทีรู้สึกเหมือนจะเกรียมเลยค่ะ รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ กอดด
ommanymontra ☼  :L2: :pig4:
19th ☼ พี่แสนเอาทุกทางค่ะ อยากได้มากแล้ว 5555
วายซ่า  ☼  รุกหนัก อ่อยหนักมากค่ะ คนมันดวงสมพงษ์กันอะนะ
Aoihimeko  ☼  ใช่ค่ะ ตอนเป็นควายได้แค่มอง พอเป็นคนได้ก็หึๆ อย่าหวังว่าจะรอดเลยไอ้คล้าว
ปล. ก้อนหินเป็นลูกค่า เป็นอย่างอื่นไม่ด้ายยยย 55555 ขอบคุณที่แวะไปอ่านนะคะ กอดดด
Al2iskiren  ☼  ใช่ค่ะ หลวงตาไฟเขียวแล้ว เต็มที่เลยลูกกก




ขอบคุณที่รอและติดตามเสมอนะคะ กอดดดด
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-10-2018 09:39:41
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-10-2018 09:42:35
  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 31-10-2018 13:17:52
เด็กก็มีใจ ต้องลุยแบบเต็มสูบแล้น
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-10-2018 13:37:47
โอ๊ยยย น้องคล้าวหึงเหรอลูก เอ็นดู อิอิอิอิ  อีแสนดีใจ จนหน้าบานเป็นชามข้าวหมาละ 555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 31-10-2018 20:03:58
ตอนนี้ พี่ธงรบแย่งซีนไป แต่เป็นการสังเกตุการณ์ได้ดีเยี่ยม น่ารักมาก ยืมมากอดหน่อยพี่รบ
ส่วนแสน ก็ยิ้มปากฉีกไปถึงไหนๆ นี่ถ้าไม่ได้ธงรบคอยบอกจะรู้ตัวไหมเนี่ย
ส่วนน้องคล้าว ก็เริ่มคิดแล้วเมื่อเห็นคนเขาสนิทกัน เอาน่าคนเราถ้าไม่มีใจให้เขาก็คงเฉยๆ นะน้องคล้าว
ต่อด้วยเฮียแผนมาสรุปให้ตอนท้าย แต่ก็ยังอยากทราบอยู่เหมือนเดิมว่า เฮียแผนมีคนอ่านแอบชอบอยู่รู้ตัวบ้างป่าว
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 01-11-2018 17:44:33
ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดๆเข้าไปอีกหน่อย อิอิ ไกล้คล้าว จะโดนพี่แสนกิน ละ 55 รอลุ้นกันต่อปราย  ว่างกะเข้ามาดูจ้า คิดถึง.. มนต์รักริ่มทุ่ง เสมอ คิดถึง คนเขียน ด้วยจ้า  กอดดดดด
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: MimoreQ ที่ 01-11-2018 18:09:49
แสนตอนเป็นควายหื่นมาก เป็นคนละสงบสุด55555555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 12 (Up 31/10/61) : P4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 01-11-2018 22:29:15
พี่แสนมีเพื่อนเป็นมือชงแบบนี้ น้องคล้าวไม่รอดเห็นๆ

เฮียแผนมีแอบนอยด์กลัวน้องรักไม่เท่าผู้ โถ.....มาทางนี้ก็ได้ค่ะเฮีย เราจะดูแลเฮียเอง.  o18
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 13-11-2018 08:28:06
บทที่ 13

   ผมเหลือบมองคนที่นั่งตรงตำแหน่งคนขับแล้วก็หันไปแอบยิ้มกับกระจกซ้ายมืออยู่คนเดียว วันนี้เป็นวันที่ผมจะได้ไปเที่ยวกับคล้าวเพียงสองต่อสอง เพราะเฮียแผนเชื่อวิจารณญาณของธงรบ จึงได้ปล่อยให้ผมมากับคล้าวตามลำพังได้

   แต่ว่าเฮียกับธงรบก็ยังไม่อนุญาตให้ผมขับรถมาเอง ยังคงให้ติดรถของธงรบมาเหมือนเดิม ธงรบมาส่งผมแล้วก็จอดรถไว้ให้ผม ส่วนตัวเองก็เดินไปที่ทำงานซึ่งเป็นตึกที่อยู่ใกล้ๆ กับห้างแทน

   หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่ศูนย์อาหารเสร็จแล้ว เราสองคนก็ออกเดินทางกันทันที ถึงคล้าวจะยังคงไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม แต่บรรยากาศก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น น้องดูไม่ค่อยเกร็งเหมือนตอนที่รู้จักกันช่วงแรกๆ

   “เรียนพิเศษเป็นยังไงบ้างครับ” ผมชวนคุย เมื่อรถออกมาได้สักพัก

   “ดีครับ ได้รื้อฟื้นความรู้แล้วทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้นครับ”

   “แล้วมีวิชาไหนที่ยังติดอีกไหม เผื่อเป็นวิชาที่พี่ถนัด พี่จะได้ช่วยติวให้”

   “ผมว่าจะลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มด้วยครับ แต่คงไม่รบกวนพี่แสนหรอกครับ ผมเกรงใจ”

   “ไม่ต้องเกรงใจเลย คิดซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่มาเป็นเพื่อนพี่ไง โอเคไหม”

   “แต่...”

   “พี่ให้โอกาสเลือก... ว่าจะให้พี่ติวให้... หรือจะให้พี่จ่ายค่าเสียเวลาที่มาเป็นเพื่อนให้”

   “พี่แสน” คล้าวเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ผมทำหน้านิ่งๆ เพื่อต่อรอง ทั้งๆ ที่พอได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองแล้วใจเหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟ อยากจะยิ้มให้แก้มปริ คล้าวหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะถอนหายใจแล้วบอก

   “ตกลงครับ”

   “ดีมาก เป็นน้องเป็นนุ่งต้องว่าง่ายๆ ครับ”

   แต่ถ้าไม่นุ่งเมื่อไหร่ พี่จะตามใจเต็มที่เลย หึๆๆๆ

ผมแอบหันไปยิ้มให้กับกระจก แต่ดันเป็นช่วงที่ติดไฟแดง คล้าวจึงหันมามองแล้วดันสบตากันทางกระจกพอดี ผมหุบยิ้มฉับแล้วทำหน้าจริงจังเต็มที่

“หึๆ คิดอะไรอยู่ครับ”

“ไม่มี๊” อ่า... เสียงสูงไป๊ เอาใหม่

“เอ่อ ไม่มีครับ พี่ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ผมตอบแล้วก็เหลือบไปมองก็เห็นคล้าวมองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปาก สีหน้าที่เหมือนรู้ทันของน้องทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง โชคดีที่ไฟเขียวขึ้นพอดี คล้าวจึงหันไปมองถนน แต่สีหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่

อา.... เห็นแล้วอยากจะกระโจนใส่ แล้วจับกินให้หมดทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ให้คนอื่นได้เห็นอีก

อันที่จริงผมยอมรับว่าก็ยังหื่นไม่ต่างจากตอนเป็นทองกวาวนักหรอก แต่ตอนนี้เป็นมนุษย์ไง มันหื่นออกนอกหน้าไม่ได้ มันต้องคีพลุคไว้ก่อน กลัวคล้าวมันรู้ธาตุแท้แล้วจะเผ่นไปซะก่อน

รอให้จีบติดก่อนเถอะ หึๆๆๆ

ว่าแล้วก็น้ำลายไหล ซับน้ำลายแป๊บ

วันนี้เป้าหมายของเราคือวัดสระเกศราชวรมหาวิหารหรือวัดภูเขาทอง เพราะผมจำได้ว่ามีภาพจิตกรรมสวยๆ ที่นั่น และวิวบนยอดของภูเขาทองสวยมากด้วย นอกจากจะมาหาแรงบันดาลใจแล้วก็ยังได้พาเด็กมาเที่ยวด้วย เพราะผมถามแล้วคล้าวบอกว่ายังไม่เคยมา

เมื่อไปถึงจุดหมายและหาที่จอดรถได้แล้ว ผมก็เดินตรงไปที่อุโบสถด้านหน้าเพื่อชมและถ่ายภาพจิตรกรรมก่อน ผมเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปภาพจิตรกรรมด้านในที่สวยงามจับตาจับใจไปทุกด้าน

ผมบอกให้คล้าวเดินดูได้ตามสบายเพราะตอนนี้เราอยู่ในร่ม น้องจึงเดินดูอยู่ห่างๆ พอช่วงที่คล้าวเผลอผมก็แอบถ่ายรูปเอาไว้บ้าง เพราะไม่มีธงรบคอยถ่ายให้เหมือนครั้งที่แล้ว

หลังจากถ่ายรูปทั้งภาพทั้งคนจนจุใจแล้ว ผมก็เดินตรงไปที่ภูเขาทองเลย เพราะกลัวจะหมดแรงเดินขึ้นไปซะก่อน บริเวณทางขึ้นช่วงแรกๆ มีร่มไม้ร่มรื่น จึงรู้สึกเย็นสบาย บันไดไม่ชันมาก จึงเดินได้แบบสบายๆ ไม่เหนื่อยมากนัก

จนเมื่อพ้นชั้นแรกไปก็เป็นฟ้าโล่งๆ ยังดีที่อากาศครึ้มๆ จึงไม่ร้อนมาก คล้าวหยิบหมวกแก๊ปที่อยู่ในเป้ขึ้นมาส่งให้ผม ผมมองตาปริบๆ มิน่าล่ะวันนี้ถึงได้สะพายเป้มา พกหมวกมาด้วยนี่เอง

“ผมซักแล้วครับ สะอาดดี” เมื่อเห็นผมมองหมวกเงียบๆ คล้าวก็บอก ผมรีบยื่นมือไปรับหมวกมาใส่ทันที ก่อนที่จะเงยมองหน้าคล้าวแล้วยิ้มหวานๆ ให้

“ขอบคุณครับ พี่แค่แปลกใจ ไม่คิดว่าคล้าวจะพกมาเผื่อพี่ พี่ไม่ได้รังเกียจนะ” ผมรีบอธิบายเพราะกลัวน้องเข้าใจผิดคิดว่ารังเกียจ

“ครับ” คล้าวรับคำแล้วเบือนหน้าหนี

พอเห็นใบหูน้องมันเริ่มแดงๆ ก็อดจะยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ จากที่สังเกตมาหลายครั้งแล้วพบว่า เวลาที่ผมยิ้มหวานๆ ให้ คล้าวจะออกอาการหูแดงทุกที อาการแบบนี้นี่น่าจะเพราะแพ้รอยยิ้ม ถ้ามันจะทำให้น้องมันหวั่นไหวได้ล่ะก็ ผมจะยิ้มหวานให้บ่อยๆ เลยก็ได้ หึๆๆๆ

“แล้วของคล้าวล่ะครับ ไม่ได้เอามาด้วยเหรอ”

“เอามาครับ” คล้าวหยิบหมวกอีกใบมาใส่เอง พอเห็นว่าหมวกที่ใส่เหมือนกันเป๊ะทั้งสองใบผมก็ยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปอีก เพราะเหมือนกับว่าตอนนี้เราใส่หมวกคู่อย่างกับคู่รักเลย

ผมมองหมวกบนหัวคล้าวแล้วแตะหมวกที่อยู่บนหัวตัวเองก่อนจะยิ้มด้วยแววตาเป็นประกาย คล้าวก็คงรู้สึกได้ถึงสายตาและความคิดของผม เลยแตะหมวกตัวเองเหลือบมองหมวกผมแล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

“เค้าใส่หมวกคู่เหมือนกันด้วยล่ะแก แฟนกันชัวร์” เสียงของเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังดังมาเข้าหู ทำให้ผมยิ้มจนปากจะฉีก ตีนกาน่าจะขึ้นมาอีกหลายรอย ส่วนคล้าวนี่หูที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงขึ้นไปอีก ท่าทีเก้อเขินเหมือนทำอะไรไม่ถูกของคล้าวตอนนี้นี่....

น่ารักและน่าฟัดเป็นที่สุด!

ไหนเมื่อกี๊ใครชง ทำดีมากน้อง อยากได้บอกอะไรบอกพี่มา พี่จะเปย์ให้ ผมหันไปยิ้มให้น้องที่พูดเมื่อครู่ ซึ่งน้องทั้งสามคนก็ยิ้มตอบแล้วทำท่าเหมือนอยากจะหวีดเต็มที

“เดินต่อกันเถอะ” ผมหันกลับแล้วเนียนจับมือคล้าวจูงเดินต่อ ได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ ตามมาแล้วก็อดจะเดินยิ้มไม่ได้ ยิ่งคนที่ถูกจูงไม่ดึงมือออกก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขเข้าไปใหญ่

พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็จำใจต้องปล่อยมือคล้าวเพื่อหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูประฆังที่เรียงรายอยู่ ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดแล้วถ่ายรูปวิวด้านล่างต่อไป พอขึ้นไปถึงด้านบนก็ถอดหมวกออกให้คล้าวที่ยื่นมือรอเอาไปเก็บไว้ในเป้ ก่อนที่เราจะเข้าไปทำบุญและกราบพระพุทธรูปด้านใน

ผมชวนคล้าวถ่ายรูปด้านในและแอบถ่ายคนที่เดินมาด้วยเวลาเผลอจนพอใจ ก็ชวนน้องขึ้นไปตรงทางขึ้นสวรรค์เพื่อขึ้นไปชมภูเขาทองด้านบน

แม้ว่าอากาศจะร้อน แต่ลมที่พัดมาตลอดเวลาทำให้รู้สึกทนไหว คล้าวหยิบหมวกมาให้ผมใส่อีกครั้ง ก่อนที่ผมจะเดินวนถ่ายรูปรอบภูเขาทองและวิวที่ด้านล่าง

เมื่อถ่ายรูปจนพอใจ ผมก็ชวนคล้าวลงเพราะเริ่มจะรู้สึกร้อนมากขึ้น เดินลงมาเรื่อยๆ ก็เห็นประตูที่มีเถาวัลย์ปกคลุมเหมือนซุ้มแล้วไม่มีคนก็อดจะยกกล้องขึ้นถ่ายไว้ไม่ได้

“คล้าวเข้าไปยืนข้างล่างหน่อย เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้” คล้าวหันมามองหน้าผมก่อนจะเดินลงไปแต่โดยดี

“ตรงนั้นแหละ โอเคครับ” พอได้ระยะที่เหมาะสมผมก็ยกกล้องขึ้นถ่ายคนที่ทำหน้านิ่งๆ รัวๆ ทันที พอถ่ายเสร็จแล้วเช็คภาพในกล้องก็ยิ้มอยู่คนเดียว เดี๋ยวเอาลงเครื่องแล้วเอามาเป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์กับคอมฯ ดีกว่า

“ถ่ายรูปคู่ไหมคะพี่ เดี๋ยวหนูถ่ายให้” ผมเงยหน้าจากกล้องขึ้นมามองหน้าคนถามทันที พอเห็นว่าเป็นน้องๆ ที่เจอตรงทางขึ้นก็อดจะยิ้มให้ไม่ได้ ยิ่งข้อเสนอเข้าทางอย่างนี้ก็ยิ่งไม่ปฏิเสธ ผมเปิดกล้องแล้วส่งให้น้อง

“รบกวนด้วยนะครับ”

“ยินดีมากค่า” น้ำเสียงของน้องดูดีใจยิ่งกว่าผมซะอีก จนผมหลุดหัวเราะขำอย่างเอ็นดู ก่อนจะรีบเดินไปหาคนที่ยืนรออยู่แล้ว ผมยิ้มให้คล้าวก่อนจะไปยืนข้างๆ แล้วยิ้มให้กล้อง

“ขยับเข้าไปใกล้ๆ กันหน่อยค่า ชิดกันอีกนิดดดด” ผมกับคล้าวขยับเข้าหากันจนแขนชนกัน จึงเผลอหันไปมองหน้ากัน พอผมยิ้มให้ คล้าวก็รีบเบือนหน้าหนี ปล่อยให้ผมยิ้มกริ่มมองหูแดงๆ นั้นอย่างเอ็นดู

“ยิ้มนะคะ หนึ่ง สอง” ผมรีบหันกลับไปมองกล้องเมื่อน้องส่งสัญญาณให้

“เรียบร้อยแล้วค่า นี่ถ้าไม่อยู่ในวัดนะจะให้กอดกันจริงๆ ด้วย” ผมหลุดหัวเราะ เมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วได้ยินประโยคหลังที่น้องพึมพำกับเพื่อนอีกสองคน

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมกล่าวขอบคุณน้องแล้วรับกล้องมา

“ยินดีมากเลยค่ะพี่ ถ้าเจอพวกหนูแล้วอยากถ่ายตรงไหนก็บอกได้เลยค่า ไม่ต้องเกรงใจ แต่ถ้าพี่ๆ ไม่ว่าอะไรหนูขอถ่ายรูปคู่ของพี่ๆ ด้วยได้ไหมคะ” ผมฟังแล้วก็หันไปมองหน้าคล้าว เพราะผมเองไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้ารูปคู่ของเราจะถูกเผยแพร่ออกไป กลัวก็แต่คล้าวจะอายมากกว่า พอผมหันไปมองด้วยสีหน้ากังวล คล้าวก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะบอก

“ตามใจพี่แสนครับ” พอได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี ได้ยินเสียงหวีดจากสามสาวเบาๆ

ผมเดินตรงไปหาคล้าวแล้วจ้องตาน้องอย่างจริงจังก่อนจะถาม

“คล้าวมั่นใจใช่ไหม” ผมพยายามสื่อทางสายตาว่าไม่ใช่แค่เรื่องถ่ายรูป แต่หมายถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปด้วย

“ครับ ผมมั่นใจ” พอได้ฟังคำตอบกับสบแววตาที่มั่นคงคู่นั้น ผมก็ยิ้มหน้าบาน เพราะมันหมายความว่าไม่ใช่แค่เรื่องรูปแต่หมายถึงเรื่องความรู้สึกของผมด้วย

พอเห็นรอยยิ้มผม น้องมันก็ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนจนผมเริ่มรู้สึกหน้าร้อนๆ จึงเดินเอากล้องไปฝากให้น้องๆ ถ่ายรูปให้ด้วย ก่อนจะกลับมายืนข้างๆ คล้าวแล้วยิ้มกว้างให้กล้องจนตาหยี

น้องทั้งสองคนกดถ่ายกันรัวๆ ส่วนอีกคนที่ว่างอยู่ก็ยิ้มหน้าบานไม่แพ้คนถูกถ่ายจนผมอดจะหัวเราะขำไม่ได้ เดาไม่ยากว่าน้องๆ น่าจะเป็นสาววาย ถึงได้ดูมีความสุขเวลาเห็นผมกับคล้าวใกล้ชิดกันแบบนี้

ผมหันไปมองคล้าวที่ยิ้มบางๆ ให้กล้อง ซึ่งน้องมันคงรู้สึกถึงสายตาของผมจึงมองกลับมา เราต่างก็ยิ้มให้กันก่อนจะเขินกันเองจึงหันหน้าหนีกันไปคนละทาง

“ขอบคุณพี่ๆ มากนะคะ” น้องๆ ทั้งสามเดินเอากล้องมาส่งให้ผมก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณ ทำให้เราสองคนรีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบรับคำขอบคุณน้องๆ ซึ่งพอขอบคุณเสร็จ น้องๆ ก็รีบเดินลงไปก่อนเพราะกลัวจะรบกวนเราสองคน
ผมหันไปยิ้มให้คล้าว ก่อนจะเดินนำลงบันไดไปเรื่อยๆ อย่างไม่เร่งรีบ โดยทิ้งคำถามที่ถามเมื่อครู่ไว้ให้คล้าวคิดต่อ เพราะผมว่าผมแสดงออกชัดเจนแล้วว่ารู้สึกยังไงกับน้องมัน แค่ยังไม่พูดออกมาให้ชัดเท่านั้นเอง

ต่อจากนี้ก็แค่รอ รอให้คล้าวทบทวนความรู้สึกของตัวเองก่อน ถ้าน้องมันให้โอกาสผมก็จะได้รุกอย่างเต็มที่

แต่ถ้าไม่... ผมก็คงต้องหาทางอื่นต่อไป ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก หึๆๆ

หลังจากลงมาจากภูเขาทองแล้ว ระหว่างเดินกลับผมก็ถ่ายรูปที่จุดที่สนใจเพิ่มเล็กน้อย โดยมีคล้าวเดินตามเงียบๆ มาเงียบๆ เหมือนเคย

พอออกมาจากวัด คล้าวก็บอกว่าขอเลี้ยงอาหารผมบ้าง ผมจึงให้น้องมันแวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง หลังจากทานอาหารเสร็จผมตั้งใจว่าจะไปส่งคล้าวที่ห้องพักก่อน แต่น้องมันไม่ยอม คล้าวมันขับรถมาส่งผมที่ห้างถึงที่จอดรถเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกไปนั่งรถเมล์กลับห้องเอง

เมื่อคล้าวกลับไปแล้วธงรบก็โทรมาถามพอดีว่ากลับหรือยังตอนนี้มันรออยู่ที่ห้องเสื้อของผม พอผมบอกว่าอยู่ที่ลานจอดรถ มันก็ให้รอที่เดิมก่อนที่มันจะเดินมาหาแล้วก็ขับรถกลับไปที่บ้านของผม

ผมต้องรายงานความคืบหน้าให้ธงรบกับเฮียแผนฟังต่อ ผมเล่าไปยิ้มไปอย่างมีความสุขจนธงรบมันออกอาการหมั่นไส้เลยจับผมไปขยี้หัวจนหัวยุ่ง โดยที่เฮียแผนไม่ห้ามสักคำ สงสัยจะหมั่นไส้ผมอยู่เหมือนกัน หึๆๆ ช่วยไม่ได้นี่นา คนกำลังมีความสุข

ยิ่งกลับเข้าห้องแล้วไปเช็คภาพที่อยู่ในกล้องก็ยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก เพราะรูปคู่ที่น้องๆ ช่วยถ่ายให้มีแต่รูปสวยๆ ทั้งนั้นเลย
ผมเลือกภาพที่เราสองคนเผลอสบตาและยิ้มให้กันมาตั้งเป็นภาพหน้าจอของคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะนอนมองภาพนั้นในมือถือแล้วหลับไปพร้อมรอยยิ้ม


***************************************************************

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 13-11-2018 08:31:50
ผมมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างหงอยๆ

วันนี้เป็นวันที่คล้าวต้องมาติวที่ห้างและเป็นวันที่เรานัดไปวัดกันต่อด้วย แต่นี่ผมติดต่อน้องมันไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไลน์ไปก็เงียบ โทรไปก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ จะไปหาก็ไม่กล้า กลัวว่าจะรบกวนน้องมันมากไป

หรือว่าน้องมันจงใจหลบหน้าวะ

“เฮ้อ!” ได้แต่ถอนใจกับภาพหน้าจอต่อไป

“ไง หูลู่หางตกเชียวนะ” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงธงรบ ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่

“กูไม่ใช่หมา” ผมหันไปเถียงตามความเคยชิน แต่ธงรบมันไม่ได้สนใจ มันมองนาฬิกาข้อมือที่เลยเวลาเที่ยงมาตั้งนานแล้วก็ขมวดคิ้ว

“นี่ก็เลยเวลามานานแล้ว ไม่ใช่ว่าน้องมันจงใจหนีมึงนะ”

“สัด! กูยิ่งใจไม่ดีอยู่” ผมด่ามันก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกแล้วถามมันอย่างไม่มั่นใจ

“กูรุกน้องมันมากไปเหรอวะรบ”

“เท่าที่ฟังมึงเล่า ก็ไม่นะ มึงแค่แสดงออกชัดเจนไม่ได้เกินเลยอะไรมากนัก อีกอย่าง เท่าที่ฟังดูก็เหมือนน้องมันจะหวั่นไหวกับมึงบ้างแล้วด้วย”

“งั้น แล้วทำไมน้องมันเงียบไปล่ะวะ” ผมถามธงรบด้วยสีหน้าข้องใจสุดๆ

“ไปดูที่ห้องไหม เดี๋ยวกูพาไป”

“จะดีเหรอวะ มันจะไม่รบกวนน้องมันมากไปเหรอ”

“ถ้าข้องใจก็ต้องไป ถ้าน้องมันตั้งใจจะหลบก็ถามให้มันรู้เรื่องกันไปเลย มึงจะได้ตัดใจเร็วๆ ไม่ต้องปล่อยให้ยืดเยื้อ” ธงรบมันพูดจบก็มองนาฬิกาที่ผนังและนาฬิกาข้อมืออีกรอบก่อนจะมองหน้าผมด้วยสีหน้าขัดใจ

“แต่ตอนนี้... มึงต้องไปกินข้าวกับกูเดี๋ยวนี้ นี่มันเที่ยงกว่าแล้ว ป่านนี้ยังไม่กินข้าวอีก เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาจะทำยังไง” คุยกันเรื่องคล้าวอยู่ดีๆ องค์พ่อ No.3 ก็เข้ามาประทับมันเฉยเลย ธงรบเดินมาลากผมขึ้นจากเก้าอี้แล้วก็บ่นจนผมหูชาไปจนถึงศูนย์อาหาร

แค่กินข้าวช้าไม่ถึงชั่วโมง จำเป็นต้องบ่นขนาดนี้ไหม สงสัยมันคงจะหิวแน่ๆ ผมฟันธง!



หลังจากอิ่มแล้ว ผมก็โดนธงรบไซโคให้ไปหาคล้าวที่หอพักต่อ ผลคือตอนนี้ผมต้องนั่งรถมากับมันด้วยความรู้สึกเหมือนใจหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก

แต่พอมาถึงหน้าหอคล้าว ธงรบก็โดนเลขาโทรตามเพราะมีงานด่วน

“ไปคนเดียวได้ไหม หรือจะกลับพร้อมกูก่อน เดี๋ยวกูทำธุระเสร็จแล้วค่อยมาใหม่” ธงรบมันหันมาถามด้วยสีหน้ากังวล

“กูไปคนเดียวก็ได้ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว” มาถึงที่แล้ว จะกลับไปให้เที่ยวทำไม เข้าไปคุยให้มันรู้กันไปเลย ผมมองตึกตรงหน้าด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น

“แน่ใจใช่ไหม”

“อือ กูไปคนเดียวได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ามีอะไรเดี๋ยวกูโทรหา รีบไปเถอะ”

“โอเค มีปัญหาอะไรก็รีบโทรบอกกูนะ ถ้ามารับไม่ได้ เดี๋ยวกูให้คนมารับแทน”

“เออ ไปได้แล้ว ขับรถดีๆ ด้วย” ผมลงจากรถมาแล้วไล่มันไปทันที เมื่อมันยังรีๆ รอๆ และมีสีหน้ากังวลไม่เลิก ผมจึงเดินเข้าหอพักไป มันจะได้ออกไปสักที

ผมเดินเข้าไปถามเจ้าของหอซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี พอบอกว่าเป็นเพื่อนของคล้าวมาหาเพราะติดต่อน้องไม่ได้ เจ้าของหอซึ่งเป็นคุณป้าวัยกลางคนก็บอกเลขที่ห้องเสร็จสรรพ นอกจากนั้นก็ชมความหล่อของคล้าวให้ผมฟังจนผมได้ยืนฟังมึนๆ

เอ่อ... มันจะไม่เป็นอันตรายกับคนที่อยู่หอเหรอครับป้า ถึงมันจะดีที่ผมหาคล้าวได้ง่ายๆ แต่ถ้าผมเป็นศัตรูแทนที่จะเป็นเพื่อนล่ะ ไม่อยากจะคิดเลย

ผมเดินบ่นพึมพำอยู่คนเดียว  เผลอๆ ก็มาถึงห้อง 315 ตามที่ป้าบอกได้ยังไงไม่รู้ พอมาถึงจริงๆ ก็ได้แต่มองประตูตาปริบๆ ไม่รู้ว่าความมุ่งมั่นเมื่อตอนอยู่ข้างล่างหายไปไหนหมด ตอนนี้ถึงได้เหลือแต่ใจฝ่อๆ กับปอดแหกๆ เท่านั้น

อยากจะจ้องให้มันทะลุไปถึงข้างใน แต่ทำไม่ได้ เลยได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมกำลังใจ แล้วยกมือขึ้นทำท่าจะเคาะประตู

เคาะ ไม่เคาะ เคาะ ไม่เคาะ เคาะ ไม่เคาะดีหว่า

“มาหาไอ้คล้าวเหรอครับ” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงคนทัก พอหันไปมองก็เห็นผู้ชายรุ่นๆ เดียวกับคล้าวยืนอยู่ข้างๆ พอเห็นผมทำหน้ามึนๆ ผู้ชายคนนั้นก็พูดต่อ

“วันนี้ไอ้คล้าวน่าจะอยู่ห้องนะครับ เพราะมันไม่สบาย เคาะเรียกเลย” ระหว่างที่ผมกำลังตกใจเมื่อรู้ว่าคล้าวไม่สบาย คนพูดก็ก้าวมายืนหน้าประตูแล้วเคาะแทนเรียบร้อยแล้ว

ปังๆๆๆ

“ไอ้คล้าว ไอ้คล้าว มีคนมาหา” ไอ้คนเคาะมันตะโกนเรียกเสียงลั่นจนผมกลัวว่าห้องข้างๆ จะเปิดมาด่าเอา แต่พอเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่มีใครออกมาด่า ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ไอ้คล้าว ได้ยินไหม ตายรึยังวะ” คนเรียกยังคงเคาะและเรียกอย่างต่อเนื่อง

แกร็ก!

“มีอะไร” พอประตูเปิดออกคล้าวก็โผล่มาถามด้วยเสียงแหบๆ

“มีคนมาหามึงเนี่ย กูไปก่อนนะ รีบ” พูดจบก็รีบเดินออกไปทันทีจนผมได้แต่ขอบคุณตามหลังไป

“ขอบคุณครับ” คนฟังก็คงได้ยินจึงยกมือโบกมาให้โดยไม่ได้หันกลับมายังคงจ้ำไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ

รีบอย่างกับจะไปตามควาย

“พี่แสนสวัสดีครับ” พอได้ยินเสียงแหบๆ ของคล้าว ผมก็หันกลับมาสำรวจคนที่ยืนพิงของประตูอยู่ตรงหน้า แม้แสงตรงทางเดินจะน้อย แต่ก็เห็นท่าทางอิดโรยของคล้าวได้ชัด

“ไม่สบายเหรอ”

“ครับ ถ้าไม่รังเกียจเข้ามาในห้องก่อนสิครับ” คล้าวลูบหน้าตัวเองก่อนจะเบี่ยงตัวออกแล้วถอยเข้าไปข้างใน ผมจึงเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูให้

“ร้อนหน่อยนะครับ” คล้าวเดินไปเปิดประตูหลังห้องเพื่อระบายอากาศแล้วกลับมายืนลูบหัวแก้เก้อ เมื่อเห็นผมกวาดตามองสภาพห้องแคบๆ ที่มีเพียงตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะและเก้าอี้อย่างละ 1 ตัว บนพื้นมีเสื่อกับผ้าห่มและหมอนอีกใบวางอยู่ นอกจากนั้นก็มีของใช้อีกไม่กี่ชิ้น พอเห็นผมหันรีหันขวาง คล้าวก็เดินไปยกเก้าอี้พลาสติกที่อยู่ข้างโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งมาให้

“นั่งก่อนสิครับ” ผมมองเก้าอี้แล้วก็มองหน้าคล้าว

“แล้วคล้าวล่ะ”

“ผมนั่งพื้นก็ได้ครับ” พูดจบก็นั่งลงบนเสื่อที่ปูนอน ผมจึงลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงตรงข้ามคล้าวด้วย

“เดี๋ยวผมถูพื้นให้ก่อนครับ” คล้าวทำท่าจะลุกไปหาอะไรมาถูพื้นจริงๆ ผมจึงจับแขนไว้

“ไม่ต้องแล้วครับ นั่งลงเลย คล้าวตัวร้อนมาก ทานข้าวรึยัง แล้วทานยารึยังครับ” ผมถามเป็นชุดเมื่อจับแขนคล้าวแล้วสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวน้อง

“ทานข้าวเช้าแล้วครับ แต่ผมเพิ่งตื่น ยังไม่ทานมื้อเที่ยง”

“มีอะไรทานหรือยัง” ผมกวาดสายตามองรอบห้องแล้วน่าจะไม่มีอะไรพอจะกินได้ เลยลุกขึ้นยืนแล้วบอก

“เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ดีกว่า ทานอะไรดีครับ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปซื้อเอง” คล้าวรีบยืนขึ้นห้าม

“ไม่สบายอยู่นอนไปเถอะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้เอง”

“แต่ผมเกรงใจ ไม่อยากรบกวนพี่แสนนี่ครับ”

“พี่เต็มใจ โอเคไหม พี่ลงไปใกล้ๆ นี่แหละ นอนรอไปก่อนอย่าดื้อ” ผมจับบ่าคล้าวแล้วกดให้นั่งลง พร้อมกับสำทับด้วยเสียงดุๆ เมื่อคล้าวทำท่าจะค้าน ผมก็รีบเดินออกไปทันที

ผมลงไปเดินหาร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ใกล้ๆ พอสั่งข้าวต้มไว้แล้วก็เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อยากับนมและขนมปังติดมือมาด้วย เมื่อได้ข้าวต้มแล้วก็เดินกลับไปที่ห้อง หอพักไม่มีลิฟต์ เดินขึ้นบันไดสามชั้นก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน

พอเดินไปถึงห้องผมก็เคาะประตูเรียก แต่เคาะได้แค่ครั้งเดียว ประตูก็เปิดออกทันที คล้าวยืนอยู่หน้าประตูเหมือนยืนรออยู่แล้ว น้องมันมาช่วยถือของแล้วเดินนำไปข้างใน ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับคนป่วยดื้อๆ ที่ไม่ยอมนอนรอ

“ทั้งหมดเท่าไหร่ครับพี่แสน เดี๋ยวผมจ่ายคืนให้”

“ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าเป็นของเยี่ยมไข้”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ครับ อย่าดื้อ ไม่งั้นพี่จะโกรธที่ป่วยแล้วไม่ยอมบอกพี่ ปล่อยให้พี่เป็นห่วง”

“ขอโทษครับ พอดีวันก่อนผมเปียกฝน กลับมาถึงห้องโทรศัพท์ผมก็ตกไปในถังน้ำจนพังไปแล้ว ผมจำเบอร์พี่แสนไม่ได้เลยไม่ได้โทรบอก วันนี้ตั้งใจจะไปหา แต่ผมไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เลยลุกไม่ค่อยไหวครับ ขอโทษนะครับ” คล้าวยกมือไหว้ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ส่วนผมได้ฟังแล้วก็โล่งอก พอรู้ว่าน้องมันไม่ได้จะหลบหน้าก็ใจชื้นขึ้นเยอะเลย

“ไม่เป็นไรครับ แค่เห็นว่าคล้าวไม่เป็นอะไรมากพี่ก็สบายใจ รีบทานข้าวดีกว่าครับจะได้ทานยา” คล้าวลุกไปหยิบชามมาเทข้าวต้ม

“แล้วพี่แสนทานข้าวรึยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ คล้าวทานเลย” พอผมบอกคล้าวก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้ม พอได้ครึ่งชามก็ทำท่าจะวางช้อน แต่พอเหลือบมาเห็นผมมองลุ้นๆ น้องมันก็ฝืนตักเข้าปากต่อจนหมดชาม ผมยื่นยาและน้ำให้คล้าว น้องมันก็รับไปกินแต่โดยดี

“เช็ดตัวหน่อยไหมไข้จะได้ลดแล้วก็จะได้สบายตัวด้วย” ผมพูดแล้วก็ไม่ฟังคำตอบ เดินไปหยิบกะละมังเล็กๆ ที่อยู่หน้าห้องน้ำไปใส่น้ำแล้วมาวางไว้ข้างๆ ตัว

“มีผ้าขนหนูไหมครับ” คล้าวหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่หล่นอยู่ใกล้ๆ หมอนมาจุ่มลงในกะละมัง

“เดี๋ยวผมเช็ดเองก็ได้ครับ” พูดจบก็ยกผ้าขนหนูขึ้นมาบิดแล้วเช็ดหน้าเช็ดตัว

ผมไล่สายตาตามผ้าผืนเล็กที่ไล้ไปตามลำคอไล่ลงมาที่กล้ามเนื้อแขนก่อนจะมุดเข้าไปใต้เสื้อแล้วก็อดจินตนาการถึงซิกแพคที่เคยเห็นเมื่อตอนที่เป็นทองกวาวไม่ได้

ผมพยายามละสายตาจากภาพน่ามองตรงหน้าเต็มที่ พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบตากับเจ้าของซิกแพคเข้าพอดี เมื่อโดนจับได้ว่าแอบมองอยู่ ก็รู้สึกว่าหน้ามันร้อนๆ ขึ้นมาทันที

เราสองคนต่างก็เบือนหน้าหนีกันไปคนละทางด้วยความขัดเขิน พอเหลือบมองไปเห็นคล้าวยังกำผ้าอยู่ในมือก็เผลอหลุดปากสิ่งที่คิดไปทันที

“พี่เช็ดหลังให้ไหม”

“...”

“คือ.. คล้าวน่าจะเอื้อมไปเช็ดไม่ถึงใช่ไหม พี่ก็เลย...ก็เลยจะช่วยเช็ดให้ไง” ผมพยายามแก้ตัว เอ๊ย! อธิบายเหตุผลให้คล้าวฟังโดยไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าน้อง เพราะกลัวว่าน้องมันจะรู้สึกอึดอัด

พูดจบแล้วบรรยากาศก็ยังคงเงียบกริบจนทำอะไรไม่ถูก ระหว่างที่กำลังนึกหาคำพูดมาทำลายความเงียบ ผ้าผืนเล็กที่อยู่ในมือคล้าวก็ยื่นมาอยู่ตรงหน้า ผมค่อยๆ เงยมองหน้าคล้าวก็เห็นน้องมันมองมานิ่งๆ

“ผมเช็ดไม่ถึงครับ” ผมยื่นมือไปรับผ้าอย่างมึนๆ พอผมรับผ้าแล้ว คล้าวก็หันหลังให้ทันที ทำให้ผมเห็นว่าใบหูทั้งสองข้างของคล้าวนั้นแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

เห็นแล้วอยากจะกัดให้หายมันเขี้ยวดูสักที

น่ารักเกินไปแล้วโว้ย!

ผมกำผ้าขนหนูในมือแน่น พยายามห้ามตัวเองไม่ให้เผลอไปกัดหูคล้าวอย่างที่ใจอยากจะทำ

ใจเย็นๆ แสน มันยังไม่ถึงเวลา

ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะ ผมจ้องใบหูแดงๆ นั้นอย่างหมายมาด ถ้ามีสิทธิ์เมื่อไหร่นะ จะงับมันทั้งตัวไล่ตั้งแต่หัวจรดหางเลย คอยดู!
ความคิดผมชะงักลง เมื่อคล้าวถอดเสื้อออกเพื่อให้ผมเช็ดตัวสะดวกขึ้น ผมได้แต่จ้องแผ่นหลังกว้างๆ นั้นอย่างหลงใหล ได้แต่กลืนน้ำลายและพยายามรวบรวมสมาธิกลับมาอยู่กับสิ่งที่ต้องทำ

ผมเอาผ้าในมือจุ่มน้ำและบิดให้หมาด ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แผ่นหลังของคล้าว มือสั่นๆ ของผมค่อยๆ วางผ้าลงบนต้นคอของคล้าว

พอผ้าแตะถูกตัว น้องมันก็สะดุ้งและเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย พลอยทำให้ผมสะดุ้งตามไปด้วย แต่เมื่อคล้าวมันนิ่งและหายเกร็ง ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ลากผ้าผืนเล็กจากต้นคอลงมาตามแนวกระดูกสันหลัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเย็นหรือเพราะอะไรถึงได้เห็นน้องมันขนลุกขึ้นมา

ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่หนังหน้าลามมาทั้งตัว ได้แต่กลั้นใจเช็ดต่อไปให้ทั่วแผ่นหลังของคล้าว ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วอยากจะปาผ้าขนหนูลงพื้นแล้วปล้ำแม่งเลย

โว้ยยยย มันท้าทายความอดทนกันเกินไปแล้ววววว

“อะแฮ่ม! เสร็จแล้วครับ ใส่เสื้อเลยครับ จะได้ไม่หนาว” ผมกัดฟันบอกคล้าว ถึงจะชอบที่น้องมันไว้ใจ กล้าถอดเสื้อต่อหน้า แต่ก็กลัวใจตัวเองเหลือเกิน กลัวว่าจะเผลอปล้ำน้องมันเอา

ยังดีที่คล้าวมันว่าง่าย หยิบเสื้อขึ้นมาใส่ก่อนจะหันหน้ามาหา เพราะถ้าหันมาแล้วเห็นซิกแพคข้างหน้า ผมอาจจะหน้ามืดเผลอปล้ำน้องมันไปจริงๆ ก็ได้

“ทีนี้ก็พักผ่อนได้แล้วครับ จะได้หายเร็วๆ อันนี้นามบัตรพี่ครับ เบอร์โทรตามนี้เลย มีอะไรก็ไทรไปหาพี่ได้ ถ้าไม่ดีขึ้นก็บอกเดี๋ยวพี่จะพาไปหาหมอเอง” ผมนึกขึ้นได้จึงหยิบนามบัตรในกระเป๋าส่งให้คล้าวจะได้ติดต่อกันได้ พอรับนามบัตรไปแล้ว คล้าวก็เอี้ยวตัวไปหยิบกระดาษมาเขียนเบอร์โทรศัพท์แล้วยื่นให้ผม

“อันนี้เบอร์ไม้ครับ พี่แสนโทรมาเบอร์มันก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่เมื่อไหร่ผมจะโทรไปบอกนะครับ”

“โอเคครับ ถ้างั้นพี่กลับก่อนก็แล้วกัน หายไวๆ นะครับ”

“พี่แสนกลับยังไงครับ”

“เดี๋ยวพี่กลับแท็กซี่ครับ” คล้าวมีสีหน้ากังวลเมื่อฟังคำตอบของผม นี่ติดเชื้อห่วงเกินเหตุจากธงรบมาหรือไง

“พี่กลับเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า กลางวันแสกๆ แบบนี้ไม่อันตรายหรอก” ผมพยายามพูดให้น้องมันสบายใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกมา คล้าวรีบลุกขึ้นเดินตามมาถึงประตู พอเดินพ้นประตูแล้วผมก็หันกลับไปมองคนป่วยดุๆ

“ส่งพี่แค่นี้แหละ พี่กลับเองได้ ไปพักผ่อนได้แล้วครับ อย่าดื้อ” พอเห็นสีหน้ากังวลของคนป่วย ผมก็ดุสำทับ ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอก

“ถ้ากลับถึงบ้านแล้วพี่จะโทรมาบอกไม้เลย โอเคไหมครับ”

“ครับ” พอคล้าวรับคำ ผมก็ยิ้มให้แล้วเดินหันหลังออกมา

ผมเดินไปเรื่อยๆ ด้วยความสบายใจผิดกับตอนขามาลิบลับ พอรู้ว่าน้องมันไม่ได้หนีหน้าก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งน้องมันให้โอกาสเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกมีความหวัง

รู้สึกว่าใกล้หัวใจเข้าไปอีกนิด ได้แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้วครับ ผมเดินยิ้มไปเหมือนคนบ้า

มีความสุขจังเลยน้า

********************************************************

พอดีช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย แล้วปรับตัวไม่ทันก็เลยเปื่อยค่ะ
พอเปื่อยก็คิดอะไรไม่ออก เลยนานเลย ต้องขอโทษด้วยค่า
ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

********************************************************

#ommanymontra ☼  :L2: :L1: :L2:
#puiiz ☼  :L2: :L1: :L2:
#PsychePie ☼ ปล้ำเลยดีไหมคะ 55555
#iceman555 ☼ พี่มันหน้าบานแล้วบานอีกค่ะ ถ้าไม่เกรงใจคงปล้ำน้องไปละ 55555
#k2blove ☼ ธงรบเป็นทุกอย่างค่ะ ทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ 55555 ส่วนเฮียแผนนี่ก็พี่ชายในฝันเลยค่ะ อยากได้พี่ชายแบบนี้มากกกกก อิจฉาพี่แสนขึ้นมาเลย
#lovenine ☼ อีกสักพักคงได้กินค่ะ แค่กๆๆๆ แวะมาเป็นกำลังใจให้บ่อยๆ นะคะ คนเขียนขาดความอบอุ่น 5555
#MimoreQ ☼ ตอนเป็นคนก็หื่นค่ะ แต่พี่แกต้องคีพลุค ทั้งๆ ที่อยากกินเด็กจะแย่ ถถถ
#วายซ่า ☼ มีคนช่วยต้อนเยอะ ไม่รอดแน่ค่ะ 5555 ส่วน fc เฮียแผนก็เยอะนะคะ สามี เอ๊ย พี่ชายในฝัน

พอมีคนหายไปก็ได้แต่หงอยและสงสัยว่าหายไปไหน ไม่ชอบกันแล้วเหรอ ถถถ
ถ้าไม่รบกวนมากไป ก็ขอให้อยู่เป็นกำลังใจให้กันไปจนจบเรื่องด้วยนะคะ
กอดดดดดดดดดด
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-11-2018 12:04:28
โอ๊ยย ได้เช็ดตัวไปอี๊กกก อิอิอิ เลือดกำเดาไหลละอีพี่แสน
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2018 12:21:50
 :man1:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-11-2018 15:35:48
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 13-11-2018 17:12:51
ทำไมพึ่งมาเห็นนน สนุกมากค่ะ
 รอวันที่แสนจะหื่นใส่เคล้าแบบเต็มสตรีมอยู่นะ อิอิ
 :haun4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-11-2018 18:36:18
โอ้ย พี่แสนทำไมหื่น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อย่างนี้ รุกไวไปน้องเขาปรับตัวไม่ทันนะ
ในใจคิดได้ยังไงว่าจะปล้ำคนป่วย เอาน่าคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน
ว่าแต่เราก็คิดไปกับแสนด้วยระหว่างเช็ดตัวให้น้อง อิอิอิ
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 13-11-2018 18:47:38
ชอบอ้ายแสนหื่น ยัดเยียดความเป็นผัวให้น้องเลย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-11-2018 19:33:16
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 13-11-2018 22:09:51
ดูท่าพี่เค้าจะหมดความอดทนกับความน่าเอ็นดูของน้องคล้าวเร็วๆ นี้แน่  o18
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 14-11-2018 05:17:40
อุต๊ะ. สองตอนรวด อิ่มไปเลย 555
ว่าแต่น้องคล้าวของพี่แสนตอนพี่เขาสถิตร่างควายไฉนแลดูพ่อคุณถึกยิ่งนัก พอพี่เขาเป็นคนนี่โดนฝนนิดถือป่วยไข้  แหม....รึนี่จะเป็นการอ่อยกลับ. ฮาาาาา. เผ้อไปเรื่อย

ปล.ไม่หายไปไหนนะยังติดตามแต่สิ่งที่นามติดเราพอกันก็คืองาน งาน และงาน 555. +1 จ้า
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-11-2018 18:04:48
เป็นกำลังใจ เสมอจร้า สู้ๆ รอลุ้น กันต่อ คิดถึง เสมอๆ ..รอออออ จ้า
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 13 (Up 13/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 21-11-2018 02:16:10
เข้ามารอคล้าวกับแสน อยากอ่านแล้วว
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 22-11-2018 10:47:52
บทที่ 14

   ผมมองอาหารเยี่ยมไข้ที่เตรียมมาด้วยแล้วก็ยิ้ม แต่พอเหลือบไปมองคนขับรถแล้วก็ได้ถอนหายใจ

   เมื่อวานผมกลับมาถึงบ้านด้วยความสุขใจ พอมาถึงบ้านปุ๊บก็โทรไปบอกไม้ทันทีตามที่รับปากคล้าวไว้ ซึ่งไม้ก็บอกว่าเดี๋ยวจะรีบวิ่งไปบอกคล้าวให้

   แต่ผมดันลืมรายงานพ่อๆ ธงรบถึงได้โทรมาบ่นจนหูชา เพราะมันโทรมาตอนที่อยู่ห้องคล้าวแต่ผมไม่ได้รับแถมยังลืมโทรกลับอีกต่างหาก เลยได้แต่ขอโทษและต้องยอมตามใจมันไปสักพัก

   เมื่อเช้าผมโทรไปถามอาการคล้าวกับไม้ เห็นน้องมันบอกว่าคล้าวดีขึ้นบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่หายดี ไม้เลยบังคับให้ลูกพี่มันหยุดพักอีกวัน

   วันนี้ผมก็เลยบอกไม้ไว้ว่าจะไปเยี่ยมคล้าวอีกรอบ ซึ่งพอธงรบมันรู้มันก็บอกว่าจะมาส่ง พอบอกว่ามาเองได้ก็ไม่ยอมฟัง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันกับเฮียจะวางใจให้ผมไปไหนมาไหนได้เองสักที

   “มองหน้าหาเรื่องเหรอ” ไอ้คนขับรถมันถามขึ้นเมื่อเห็นผมจ้องมันแล้วถอนหายใจ ผมเลยทำหน้าเหม็นเบื่อใส่มันทันที

   “อยากมีเรื่องป่ะล่ะ” ผมถามด้วยความหมั่นไส้รอยยิ้มกวนๆ ของมัน

   “จะได้ไปหาเด็กแล้วทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย เอาน่า... มึงก็ทนๆ กูกับเฮียไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวอีกสักพัก... ใหญ่ๆ แล้วจะปล่อยให้มึงไปไหนมาไหนคนเดียวเองแหละ”

   “สักพักนี่อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี บอกมาเลย”

   “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ มึงจะงอแงทำไมเนี่ย มีคนไปรับไปส่งไม่ดีรึไง”

   “ไอ้ดีมันก็ดี แต่กูไม่อยากให้มึงกับเฮียต้องลำบากเทียวส่งเทียวรับเวลาไปไหนมาไหนไง นอกจากจะเหนื่อยแล้วยังทำให้มึงกับเฮียเสียเวลาด้วย”

   “หึๆ เลิกบ่นเรื่องนี้ได้แล้วน่า มึงบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เพื่อความสบายใจของกูกับเฮีย มึงก็ทำใจเถอะ มึงก็รู้ว่ากูกับเฮียเต็มใจดูแลมึงเสมอ”

   “แล้วหนีงานมานี่เฮียๆ เจ้ๆ ไม่ว่ารึไง”

   “ไม่เห็นว่าอะไร พอบอกว่าจะมาส่งมึงก็ไล่ให้มาเลย ก็รู้อยู่ว่ามึงอะลูกรักป๊ากับม๊าแถมยังเป็นน้องรักเฮียกับเจ้กูด้วย”
อันนี้ก็รู้แหละครับ ครอบครัวมันเอ็นดูผมมาก เคยเปรยๆ ว่าอยากให้เราสองคนคบกันเป็นแฟนด้วยซ้ำ แต่แค่คิดก็ขนลุกกันแล้วครับ เรารู้ไส้รู้พุงกันดีเกินไป ไม่เหมาะกับจะเป็นคนรักกันหรอก เป็นเพื่อนกันไปแบบนี้อะดีแล้ว

   “เออๆ ถ้าเหนื่อยก็อย่าฝืนก็แล้วกัน ถ้าไม่สบายกันขึ้นมาละก็... กูจะโกรธ”

   “อ้าว”

   “ไม่ต้องมาอ้าวเลย ถ้าไม่ยอมดูแลตัวเองทำให้ตัวเองป่วยหรือไม่ปลอดภัยละก็ กูจะโกรธจริงๆ ด้วย”

   “มึงวางใจเถอะ กูกับเฮียแข็งแรงกว่ามึงเยอะ ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่ายๆ หรอก มึงเอาเวลาไปห่วงเด็กเปื่อยของมึงเถอะ”

   “เหอะ จะรอดูก็แล้วกัน” มัวแต่เถียงกับมัน รู้ตัวอีกทีมันก็จอดอยู่หน้าหอพักแล้ว

   “ไปๆ ลงไปได้แล้ว” ผมหันไปค้อน เมื่อมันไล่ลงจากรถ

   “แล้วมึงไม่ได้ด้วยเหรอ”

   “ไม่อะ ไม่อยากไปเป็นก้าง เออ มึงบอกว่าร้านที่น้องไม้ทำงานอยู่แถวๆ นี้ใช่ป่ะ อยู่ตรงไหนวะ เดี๋ยวกูไปคุยกับน้องไม้รอ”

   “อืม ก็ดีนะ มึงจะได้ไม่เบื่อ มึงขับตรงเข้าไปข้างในแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกหน่อยก็เจอแล้ว ร้านอยู่ซ้ายมือ น้องไม้บอกกูเมื่อวาน”

   “เออ น่าจะหาไม่ยาก ถ้าคุยเสร็จแล้วก็โทรมา เดี๋ยวกูมารับ”

   “โอเค” ผมลงจากรถแล้วก็เดินเข้าหอไป ปล่อยให้ธงรบมันขับรถไปหาน้องไม้ต่อ

   ผมเดินขึ้นบันไดไปจนมาถึงห้อง 315 ก็เคาะประตูทันที รอไม่นานคล้าวก็เปิดประตูออกมาเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

   “สวัสดีครับพี่แสน”

   “สวัสดีครับ” ผมรับไหว้คล้าวแล้วสังเกตดูสีหน้าน้องมันไปด้วย พอเห็นว่าสีหน้าดีกว่าเมื่อวานก็วางใจ

   “เข้ามาข้างในก่อนครับ” คล้าวขยับมาช่วยถือของในมือแล้วเดินนำเข้าไป ผมจึงปิดประตูให้

   “นั่งเลยครับ ผมถูพื้นเรียบร้อยแล้ว” คล้าวผายมือไปตรงที่ผมนั่งเมื่อวาน ซึ่งตอนนี้มีผ้าห่มปูไว้ ผมมองผ้าห่มบนพื้นแล้วก็หันไปมองคล้าว พอวางของแล้วคล้าวก็หันกลับมาเห็นผมยังยืนอยู่ น้องมันก็บอก

   “ผมกลัวพี่นั่งไม่สบายเลยปูผ้าให้นั่ง”

   “ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่มาเยี่ยมนะ ไม่ได้อยากมารบกวนให้คล้าวต้องลำบาก”

   “ไม่ลำบากเลยครับ ได้ขยับร่างกายให้เหงื่อออกบ้างแล้วรู้สึกดีขึ้นครับ พี่แสนนั่งเถอะครับ” ผมยอมนั่งลงเพราะถ้าผมไม่นั่งคล้าวก็คงไม่ยอมนั่งลงด้วย

   “พี่เอาข้าวต้มปลามาฝาก คล้าวทานข้าวหรือยัง ถ้ายังก็ทานเลย ข้าวต้มยังร้อนๆ อยู่ครับ” วันนี้ผมมาส่งเสบียงแต่เช้า คล้าวจะได้ไม่ต้องออกไปหาอะไรกินเองอีก

   “ขอบคุณครับ” คล้าวยกมือไหว้ ก่อนจะลุกไปหยิบชามมาเทข้าวต้มจากปิ่นโตเถาแรก ผมตักข้าวต้มใส่มาสองเถา อีกสองเถาก็ใส่ข้าวสวยมา ส่วนกับข้าวก็ใส่ถุงแยกมาต่างหาก เอามาเผื่อมื้อกลางวันไปด้วยเลย นอกจากนี้ก็มีขนมแล้วก็นมอีกสองแพ็ค เผื่อว่าน้องมันไม่อิ่ม

   “พี่แสนทานมาหรือยังครับ”

   “เรียบร้อยแล้วครับ คล้าวทานเลย จะได้ทานยา” พอผมบอก คล้าวก็ตักข้าวเข้าปากอย่างว่าง่ายจนหมดชาม น้องมันก็หยิบยามากินเรียบร้อย

   “ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะ คล้าวจะได้พักผ่อน” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้น แล้วก็ต้องชะงักเมื่อคล้าวยื่นมือมาจับแขนผมไว้ ผมหันไปมองหน้าคล้าว น้องมันก็รีบปล่อยมือทันทีเหมือนลืมตัวมากกว่าจะตั้งใจรั้งผมไว้

   “จะกลับแล้วเหรอครับ” ผมได้แต่กลั้นยิ้มกับคำถามที่เหมือนไม่อยากจะให้กลับนั่น พอจ้องตานิ่งๆ คล้าวก็หลบตาแล้วลูบท้ายทอยเหมือนทำอะไรไม่ถูก

   “อืม พี่อยู่เป็นเพื่อนคล้าวก่อนก็ได้ คล้าวเช็ดตัวรึยังครับ”

   “ครับ” น้องมันรับคำแผ่วๆ

   “ถ้างั้นก็นอนได้แล้วครับ จะได้หายเร็วๆ นี่คงตื่นมาถูพื้นแต่เช้าใช่ไหม” คล้าวไม่ตอบ แสดงว่าผมเดาถูก น้องมันทิ้งตัวลงนอนกับเสื่อ ผมจึงหยิบผ้าห่มมาคลี่แล้วห่มให้ ก่อนจะลุกไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดให้หมาดแล้ววางไว้บนหน้าผากให้ คล้าวมองตามผมเงียบๆ พอผมมานั่งข้างๆ ก็ยังมองนิ่งๆ น้องมันมีสีหน้าลังเลก่อนจะเปิดปากถาม

   “ทำไมพี่แสนถึงได้ดีกับผมขนาดนี้ครับ” ผมอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำถาม หลุบเปลือกตาลงครุ่นคิดว่าจะตอบน้องมันยังไงดี ก่อนที่จะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นสบตาคล้าวอย่างจริงจัง

   “คล้าวรู้ใช่ไหม ว่าพี่ ‘คิด’ กับคล้าวมากกว่าน้องที่รู้จักและ ‘หวัง’ ว่าความสัมพันธ์ของเราจะพัฒนาไปมากกว่าความเป็นพี่น้อง” ผมตัดสินใจถามไปตรงๆ เพื่อให้น้องเข้าใจความรู้สึกผมไปเลยและตัดสินใจได้ว่าจะเอายังไงต่อ

“ครับ” คล้าวรับคำด้วยสีหน้านิ่งๆ จนผมหวั่นใจ

“คล้าว... รังเกียจพี่ไหม” ผมถามเบาๆ แล้วหลุบตาลงซ่อนความหวั่นไหวของตัวเองเพราะกลัวในคำตอบ

“ไม่ครับ ผมไม่เคยรังเกียจพี่แสนเลย” คล้าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ผมกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วถามคำถามที่ผมอยากได้คำตอบที่สุดและกลัวผิดหวังในคำตอบที่สุดด้วย

“แล้ว... พี่ เอ่อ พี่ พะ พอจะมีหวังบ้างไหม” ผมถามอย่างตะกุกตะกัก น้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ พอถามจบก็ก้มหน้าลงหลับตาลงทันที หัวใจก็เต้นกระหน่ำเร็วขึ้นด้วยความหวาดกลัวในคำตอบเหลือเกิน

ก่อนที่ผมจะสะดุ้ง เมื่อคล้าวยื่นมือมาปัดผมที่ระอยู่ข้างแก้มให้อย่างอ่อนโยน

“พี่แสนครับ”

“ครับ” ผมรับคำแต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

“ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิ”

“ผมคู่ควรกับความรู้สึกของพี่เหรอครับ... คนธรรมดาอย่างผม คู่ควรกับความหวังของพี่เหรอครับ”

พอได้ยินคำถามนี้ผมก็ลืมตาขึ้นมาแล้วเงยหน้าสบตาคล้าวก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คู่ควรสิ คนอย่างคล้าวคู่ควรกับความรู้สึกของพี่แน่นอน”

คล้าวค่อยๆ คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาคมๆ คู่นั้นเปล่งประกายระยับ ทำให้ผมรู้สึกเขินจนต้องหลบตา

“ผม... แล้วแต่พี่แสนเลยครับ” ผมหันขวับมามองหน้าคล้าวทันที พยายามตีความคำว่าแล้วแต่พี่จากปากคล้าว ถ้าแล้วแต่พี่นี่ปล้ำเลยนะ เอ๊ย! ไม่ใช่สิ ยังไม่ถึงเวลา

พอเห็นสีหน้ายิ้มๆ กับแววตามั่นคงของคล้าวก็ทำให้ผมกล้าพูดออกไป

“ถ้าอย่างงั้น... เรามาทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆ ดีไหม ไม่ใช่ในฐานะพี่น้อง แต่ทำความรู้จักในฐานะคนที่จะพัฒนาไปเป็นคนรักต่อไปในอนาคต” ผมถามแล้วก็ได้แต่ลุ้นรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ได้ครับ” พอได้รับคำตอบจากคล้าวก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี คล้าวก็ยิ้มตอบกลับมาเหมือนกัน

“ขอบคุณนะครับที่เห็นค่าของคนอย่างผม”

“พี่สิต้องขอบคุณที่คล้าวให้โอกาสพี่ ทั้งๆ ที่คล้าวไม่ได้ชอบผู้ชายมาก่อน” เราสองคนสบตากันก่อนจะยิ้มให้กัน

“โอเค นอนได้แล้วครับ” คล้าวมองหน้าผมสักพักก็ขยับไปนอนดีๆ แล้วหลับตาลงโดยที่ริมฝีปากยังประดับด้วยรอยยิ้ม

ผมมองหน้าคล้าวแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ในที่สุดน้องมันก็เปิดใจให้สักที ต่อไปนี้ผมก็รุกได้อย่างเต็มที่แล้วสินะ นั่งมองอยู่นานก็ชักจะเมื่อย พอเห็นคล้าวหายใจอย่างสม่ำเสมอเหมือนหลับไปแล้ว เลยล้มตัวลงนอนตะแคงแล้วเท้าศีรษะมองต่ออย่างไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด

*****************************************

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น พอลืมตาขึ้นมาก็ต้องชะงักเพราะตรงหน้าคือแผงอกกว้างๆ ที่อยู่ใกล้สายตามาก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหน้าเจ้าของอกที่กำลังหลับอยู่ แขนข้างหนึ่งของคล้าววางพาดไว้บนเอวของผม มีผ้าห่มที่ผมห่มให้คล้าวห่มตัวของเราทั้งคู่ไว้

จำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมนอนมองหน้าคล้าวอยู่ พอลมพัดเข้ามาในห้องรู้สึกเย็นสบายจนทำให้ตาเริ่มปรือๆ ก่อนจะเผลอหลับไป แต่ทำไมถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้วะ ตกลงว่านี่เผลอหลับหรือซ้อมตาย

พอรู้ตัวว่าตกอยู่ในสภาพไหนก็รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัวทันที หัวใจเต้นกระหน่ำขึ้นเรื่อยๆ จนกลัวว่าหัวใจจะวาย ได้แต่นอนตัวแข็งไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวว่ารบกวนการนอนของคล้าว

คือ... ได้อยู่ใกล้ชิดกันก็ดี แต่พอไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนเหมือนทุกทีแล้วมันไม่ชินนี่สิ

“ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงของคล้าว พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นคล้าวก้มมองมาด้วยแววตาพราวระยับไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นเลยสักนิด ทำให้รู้สึกว่าหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้เลยว่าตอนนี้หน้าของผมคงแดงก่ำแน่ๆ

ผมเหลือบตามองแขนที่ยังพาดอยู่บนเอว คล้าวมองตามสายตาผมก่อนจะค่อยๆ ขยับแขนออกช้าๆ พอหลุดจากวงแขนนั้นได้ผมก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งหน้าแดงต่อ

“พอดีผมเห็นพี่แสนหลับ กลัวว่าพี่จะหนาวก็เลยห่มผ้าให้ครับ” คล้าวบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติแต่ตาพราวๆ กับรอยยิ้มมุมปากนั้นทำให้ผมต้องหรี่ตามอง

ห่มผ้าให้แล้วจำเป็นต้องกอดด้วยเหรอ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ไม่กล้าถามออกไป เพราะกลัวจะได้รับคำตอบที่ทำให้เขินยิ่งกว่าเดิม

ทำไมถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของคล้าวมันเจ้าเล่ห์ชอบกล เหมือนรอยยิ้มของไอ้คล้าวตอนอยู่กับทองกวาว ไม่ใช่น้องคล้าวที่สุภาพเรียบร้อยของพี่แสนเหมือนเดิม

เห็นแล้วมันเขี้ยวอยากเข้าไปฟัด แต่ก็รู้สึกระแวงรอยยิ้มนั่นพิกล เลยได้แต่นั่งมองคนที่นอนท้าวศีรษะมองมา ก่อนที่จะสะดุ้งอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นว่าเป็นเบอร์ธงรบก็รีบกดรับ

“ว่าไง”

“จะกลับได้หรือยัง นี่กูกินน้ำหมดไปหลายขวดแล้วนะ เข้าห้องน้ำไปหลายรอบแล้วด้วย ถ้าอยู่นานกว่านี้กูคงต้องกินน้ำหมดร้านแน่” พอรับสายแล้วธงรบมันก็บ่นมาเป็นชุด พอมองนาฬิกาก็เห็นว่าเกือบสิบโมงแล้ว มาถึงตั้งแต่แปดโมงกว่าๆ นี่หลับไปเป็นชั่วโมงเลยเหรอ

“แสนๆ ทำไมเงียบ มีอะไรรึเปล่า”

“เปล่าๆ กลับเลยก็ได้ เดี๋ยวกูลงไปรอข้างล่างก็แล้วกัน” ผมรีบตอบเมื่อธงรบถามด้วยน้ำเสียงกังวล เหลือบ พอกดวางสายแล้วก็ขยับไปจับหน้าผากคล้าวที่ลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่ผมรับโทรศัพท์ดู เมื่อเห็นว่าตัวไม่ร้อนแล้วก็วางใจขึ้น

“ตัวไม่ร้อนเท่าไหร่แล้ว ตอนเที่ยงก็อุ่นอาหารในปิ่นโตทานแล้วทานยาด้วยนะครับ”

“พี่แสนจะกลับแล้วเหรอครับ” น้ำเสียงเหมือนไม่อยากให้กลับ ฟังแล้วก็อยากจะอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืน แต่ยังทำไม่ได้ ได้แต่ยิ้มปลอบแล้วบอก

“ครับ ธงรบไปรอในร้านอาหารที่ไม้ทำงานนานแล้ว” ผมลุกขึ้นยืน คล้าวก็ลุกขึ้นตาม พอผมเดินออกไปถึงหน้าห้องก็หันกลับมาหาคนป่วยแล้วก็นึกขึ้นได้ ผมล้วงโทรศัพท์เครื่องหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้คล้าว

“อันนี้เป็นมือถืออันเก่าของพี่ พี่ไม่ใช้แล้ว คล้าวเอาไปใช้ก่อนเถอะครับ”

“แต่”

“ไม่มีแต่ครับ ยังไงพี่ก็เก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว คล้าวเอาไปใช้จะมีประโยชน์มากกว่า”

“ขอบคุณครับ ถ้าผมซื้อเครื่องใหม่เมื่อไหร่แล้วผมจะคืนให้นะครับ” คล้าวยกมือไหว้ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็ได้ครับ” ผมรับคำด้วยความอ่อนใจกับความเกรงใจของน้อง แต่ก็สมกับเป็นไอ้คล้าวของผมนั่นแหละ ผมยิ้มและมองน้องมันด้วยความเอ็นดู

“พักผ่อนเยอะๆ นะครับจะได้หายไวๆ”

“ครับพี่แสน พรุ่งนี้ผมก็น่าจะหายแล้ว วันอาทิตย์ก็ไปเป็นเพื่อนพี่ได้แล้วครับ”

“ยังไม่อนุญาตครับ เอาเป็นอาทิตย์หน้าเลยดีกว่า ให้พี่มั่นใจว่าคล้าวหายดีจริงๆ ก่อนค่อยไปก็แล้วกันครับ”

“ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ” คล้าวรับคำแล้วยิ้ม สายตาที่มองมาอ่อนโยนจนทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที

“งะ งั้นพี่กลับก่อนนะ แล้วเจอกันนะครับ” ผมรีบบอกลาแล้วรีบเดินออกมาก่อนจะทำอะไรไม่ถูกไปมากกว่านี้

“หึๆ แล้วเจอกันครับ” พอได้ยินคำบอกลาที่กลั้วเสียงหัวเราะของคล้าวก็ทำเอาผมขาแทบขวิด

ตั้งใจจะมารุก ไหงแค่นี้ถึงกับไปไม่เป็นวะไอ้แสน ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย! ผมได้แต่บ่นตัวเองอยู่ในใจ แล้วรีบจ้ำออกมาอย่างไว
พอลงมาข้างล่างก็เห็นธงรบจอดรถรออยู่แล้ว เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถรัดเข็มขัดเรียบร้อยแล้วธงรบถึงได้ทัก

“หน้าแดงเชียว ร้อนเหรอ” ฟังแล้วก็ได้แต่ลูบหน้าตัวเองเผื่อว่าจะหายร้อนลงบ้าง พอจะหันไปตอบธงรบ มันก็หรี่ตามองแล้วถามขึ้นมาใหม่ซะก่อน

“มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า ทำไมนอกจากหน้าแดงแล้วยังทำหน้าพิลึกแบบนั้น” ผมหันไปถลึงตาใส่มันเพราะนึกคำตอบโต้ไม่ทัน

“พิลึกบ้านมึงสิ”

“บ้านมึงกับบ้านกูก็อยู่ใกล้ๆ กัน งั้นก็พิลึกเหมือนกันสิ” มันพูดด้วยสีหน้ากวนประสาทก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้

“อย่านอกเรื่อง เล่ามาเลย” รู้สึกว่าคนที่พานอกเรื่องน่ะมึงนะธงรบ

“กลับกันก่อนดีไหม จะให้เล่าตรงนี้เลยเหรอ” ผมเลิกคิ้วถามมัน ธงรบก้มมองนาฬิกาแล้วทำหน้าขัดใจแล้วก็ยอมออกรถไปแต่โดยดี พอออกจากซอยมาได้มันก็เร่งอีกที

“เล่ามา หูกูว่าง พร้อมฟังมาก”

“ขี้เสือก!”

“เขาเรียกใส่ใจโว้ย!”

แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากเล่า ก็มีคนโทรตามมันซะก่อน ธงรบมันเลยรีบขับรถไปส่งผมที่ห้าง ก่อนที่มันจะรีบไปทำธุระ พอตอนเย็นมันก็มารับกลับบ้าน ผมเลยรอเล่าให้เฮียฟังพร้อมกันทีเดียวเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเล่าหลายรอบ

พอกลับไปถึงบ้าน นั่งลงบนโซฟาปุ๊บ ธงรบก็มานั่งลงข้างๆ พร้อมกับเฮียแผนที่มานั่งขนาบอีกข้าง แล้วไอ้คนช่างใส่ใจมันแล้วเริ่มทันที

“เล่ามาเลย อย่าลีลา กูจะอกแตกตายอยู่แล้วเนี่ย ทำงานแทบไม่มีสมาธิเลย”

“ขี้เสือกจริงๆ มึงอะ” อดจะด่ามันไม่ได้ ธงรบมันเลยล็อคคอไปขยี้หัวเล่น

“โว้ย! ปล่อยนะไอ้เหี้ยรบ!” ผมโวยวายไปดิ้นไปแต่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุดเพราะไอ้คนกอดแรงอย่างกับควาย

“เฮีย ช่วยแสนด้วย”

“หึๆ เลิกเล่นได้แล้วน่า” เฮียแผนกอดอกมองก่อนจะปรามพร้อมกับหัวเราะไปด้วย พอธงรบปล่อยมือผมก็หันไปค้อนเฮียที่ไม่ยอมช่วยกันเลย ปล่อยให้ธงรบยีหัวจนยุ่งไปหมด

“ไหน วันนี้เกิดอะไรขึ้น เล่าให้เฮียฟังซิ” พอเฮียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังผมเลยเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไปเจอคล้าวในวันนี้ให้ทั้งคู่ฟัง

“สรุปว่าคบกันแล้ว?” ฟังยังไม่ทันจบ ธงรบมันก็ถามแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที

“ยัง”

“อ้าว!” ธงรบมันอุทานพร้อมกับที่เฮียเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็น้องมันเพิ่งจะเปิดใจให้นี่ครับ จะขอคบมันก็คิดว่าเร็วไป แสนก็เลยขอโอกาสให้น้องมันได้ศึกษาและทำความรู้จักกันไปก่อน ถ้าน้องมันมั่นใจเมื่อไหร่แล้วแสนค่อยขอคบอีกที” ผมหันไปอธิบายสิ่งที่คิดให้เฮียแผนฟัง

“ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อคุยกันชัดเจนแล้ว มั่นใจเมื่อไหร่ค่อยคบกันก็ยังไม่สาย แต่ก็เผื่อใจเอาไว้บ้างนะ ถ้าไปกันไม่ได้แสนก็ถอยออกมา เฮียยังอยู่ตรงนี้เสมอ” เฮียแผนจับบ่าผมทั้งสองข้างไว้ สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย

“ครับเฮีย” ผมรับคำด้วยรอยยิ้ม รู้สึกอุ่นใจกับความห่วงใยของเฮียเสมอ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเฮียก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างมาตลอด

“จะให้ช่วยอะไรก็บอก” ธงรบบอกพร้อมกับตบไหล่เบาๆ

“อือ ขอบใจมึงมาก” ผมหันไปยิ้มให้ธงรบที่มองมาด้วยแววตาห่วงใยไม่ต่างกัน

ผมรับความห่วงใยของทั้งคู่เอาไว้ ในเมื่อตอนนี้คล้าวมันเปิดใจให้แล้ว ยังไงผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกน่า ใครมันจะไปยอมแดกแห้วกัน แสนเสน่ห์ซะอย่าง!


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 22-11-2018 10:58:30

ผมนั่งวาดลายไทยตามแบบที่ชอบไว้สมุดสเก็ต ทั้งลายกนกใบเทศ ลายเทศหางโต ลายหน้ากระดาน ลายกระจัง ลายประจำยาม นำมาใส่เครื่องประกอบลายบางส่วนเพื่อให้ลวดลายที่วาดดูโดดเด่นมากขึ้น ตั้งใจไว้ว่าจะเอาลายไทยพวกนี้ไปปักใส่ผ้าสีพื้นก่อนจะนำมาตัดเป็นชุดตามที่ออกแบบไว้อีกที

“คุณแสนคะ” ระหว่างที่กำลังมีสมาธิกับการวาดอยู่ก็มีพนักงานเข้ามาเรียกผมด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ทำให้ต้องละมือจากการวาดเงยหน้าขึ้นรับคำ

“ครับ ว่าไงครับพี่มิ้น”

“มีคนมาหาค่ะคุณแสน”

“ใครครับ”

“น้องเค้าบอกว่าชื่อคล้าวค่ะ พี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เลยมาถามคุณแสนก่อนค่ะว่าจะพบหรือเปล่า” ตาผมเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินชื่อของคนที่มาหา

“พบครับ เดี๋ยวผมออกไปด้วยเลย” ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินนำพี่มิ้นออกไปทันที

เมื่อออกไปจนถึงหน้าร้าน ก็เห็นเด็กในร้านคนหนึ่งกำลังเดินวนรอบตัวคล้าวอยู่ มีบางคนที่ยืนมองอย่างสนอกสนใจ ส่วนคนโดนสำรวจก็ยืนตัวแข็ง มองตามคนที่เดินวนรอบตัวด้วยแววตาไม่ไว้วางใจ

เห็นท่าทางที่เหมือนหมาโกลเด้นตัวโตๆ มองสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เข้ามาใกล้ แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงใจเจ้าของแล้วก็ทำให้ผมยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“แหม ยิ้มแบบนี้นี่แสดงว่าน้องเค้าเป็นคู่แข่งคุณรบหรือเปล่าคะ” พี่มิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มล้อเลียน

“โธ่ พี่มิ้น ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าธงรบมันเป็นพ่อผมครับ ไม่ได้เป็นอย่างอื่นตามที่พี่ๆ คิดกัน”

“เอ งั้นก็แสดงว่าน้องคนนี้เป็น ‘อย่างอื่น’ ของคุณแสนเหรอคะ” พี่มิ้นถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

“หึๆ ก็อยากให้เป็นอยู่ครับ แต่เสียดายที่ยังไม่ได้เป็นนี่สิ” คำตอบของผมทำให้พี่มิ้นตาโต ผมยิ้มขำท่าทางของพี่มิ้น ก่อนจะเดินตรงไปหาคล้าวเมื่อเห็นว่าน้องมันมองตรงมาที่ผมแล้ว

“พี่แสนสวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ คล้าวมาเรียนพิเศษเหรอ แล้วนี่หายดีแล้วเหรอครับถึงได้ออกมาที่นี่ได้” ผมรับไหว้ก่อนจะถามและสังเกตสีหน้าของคล้าวด้วยความเป็นห่วง

“หายดีแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ” คล้าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนจนผมชักจะรู้สึกเขินขึ้นมา

“อะแฮ่ม! แค่กๆๆๆ” และเราคงจะยืนจ้องตากันอยู่แบบนั้นถ้าตัวแสบๆ ในร้านไม่กระแอมเรียกร้องความสนใจขึ้นมาซะก่อน

“ไม่มีงานทำกันเหรอครับ” ผมกวาดสายตามองคนที่มายืนมุงเราแล้วถามด้วยรอยยิ้มเย็นๆ

“อุ๊ย! พี่ว่าพี่ไปเช็คเสื้อผ้าหน้าร้านก่อนดีกว่าค่ะ พอดีนึกขึ้นได้ว่าเช็คค้างไว้” พี่มิ้นเป็นคนแรกที่เริ่ม ก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วถือสมุดไปยืนอยู่ตรงราวเสื้อผ้าที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าว

“เอ่อ หนูตัดผ้าค้างไว้ ไปตัดต่อก่อนนะคะ” พูดจบก็หันรีหันขวางก่อนจะค่อยๆ เดินตรงไปหลังร้าน

“คุณแสนขา คือจูดี้สนใจคุณน้องคล้าวอะค่ะ น้องเค้าเหมาะที่จะเป็นนายแบบในงานแฟชั่นโชว์ของคุณแสนม้ากมาก ดูสิคะคนอะไรไม่รู้หน้าค้มคม ล้อหล่อ ไท้ไทย เหมาะกับธีมไทยๆ ของคุณแสนที่สุด หุ่นก็แซ่บอีกด้วย อุย!”

จูดี้สาวประเภทสองตัวเล็กที่เดินสำรวจรอบตัวคล้าวเอ่ยขึ้น เรียกสายตาของทุกคนให้หันกลับมามองคล้าวอีกครั้ง ก่อนที่จูดี้จะสะดุ้งเมื่อผมเผลอถลึงตาให้เมื่อเห็นว่าจูดี้ทำท่าจะยื่นมือไปแตะตัวคล้าว

“คิกๆๆๆ” พอเห็นปฏิกิริยาของผม ทุกคนในร้านก็หัวเราะกันคิกคัก ส่งสายตาล้อเลียนกันถ้วนหน้าจนผมต้องถลึงตาใส่แก้เขินแต่ก็ไม่มีใครสลด พอหันกลับมามองคล้าวก็เห็นว่าน้องมันมองมายิ้มๆ แววตาเป็นประกายระยับจนผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที

“แหมมมมมมม คุณแสนหวงคุณน้องคล้าวก็ไม่บอก ถ้าคุณแสนหวง จูดี้ก็ไม่กล้าแตะหรอกค่ะ ฮิๆๆๆๆ” จูดี้ตอกย้ำด้วยน้ำเสียงและสีหน้าล้อเลียนเต็มที่ ส่วนคนที่เหลือก็หัวเราะชอบใจกันทุกคน

“ตัดเงินเดือน” เมื่อนึกอะไรออก ผมก็บอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“อูยยยย / โหยยย ขอโทษค่า คุณแสนขา” เสียงอุทธรณ์ของทุกคนทำให้ผมกอดอกยิ้มด้วยความรู้สึกเหนือกว่าขึ้นมาทันที

“หึๆๆๆ” แต่ผมกลับทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่ยืนขำอยู่ตรงหน้า ทำได้แค่ยืนหน้าแดงอยู่อย่างนั้น

แต่พอนึกถึงคำพูดของจูดี้ ผมก็กวาดสายตามองคล้าวอย่างจริงจัง จะว่าไปก็จริงอย่างที่จูดี้บอก คล้าวเหมาะที่จะเป็นนายแบบในแฟชั่นชุดนี้จริงๆ ทั้งรูปร่างที่แข็งแรง และหน้าตาที่ดูคมเข้มแบบไทยๆ

“อืม เหมาะมากจริงๆ” ผมพึมพำเบาๆ

“ใช่ไหมล่ะคะ เห็นครั้งแรกจูดี้ก็ชอบเลย เอ่อ หมายถึงชอบหุ่นน้องเค้าอะค่ะ คุณแสนอย่ามองแรงขนาดนั้นสิคะ ฮิๆๆๆ” ผมได้แต่ปรายตามองดุๆ เมื่อจูดี้ยังล้อไม่เลิก ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังแอบมองแล้วหัวเราะคิกคักไม่หยุด ยิ่งเป็นช่วงที่ไม่มีลูกค้าแบบนี้ก็ยิ่งล้อกันถนัดนักล่ะ 

ผมบอกให้ทุกคนเรียกว่าพี่หรือน้องตั้งแต่แรกก็ไม่มีใครยอมเรียกสักคน บอกว่าเกรงใจเจ้าสัวสุธนกับคุณกุสุมา พ่อกับแม่ของผม เรียกแต่คุณแสนอยู่นั่นแหละ ดื้อกันจริงๆ ผมส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะหันกลับมามองคล้าวที่ยังทำหน้าสงสัยอยู่เลยอธิบายให้ฟัง

“พอดีพี่จะจัดงานแฟชั่นโชว์ครับ แล้วจูดี้เห็นว่าคล้าวรูปร่างหน้าตาเหมาะกับธีมไทยๆ ของพี่ พี่ก็เห็นว่าคล้าวเหมาะจะเป็นนายแบบในธีมนี้มาก มาเป็นนายแบบให้พี่ได้ไหมครับ” ผมถามคล้าวพร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนไปด้วย

“เอ่อ พี่แสนมั่นใจเหรอครับ” คล้าวถามด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ

“มั่นใจสิครับ พี่มั่นใจว่าคล้าวต้องทำได้ดีแน่ๆ” ผมยิ้มให้คล้าวด้วยความมั่นใจ เพราะคล้าวที่ผมรู้จักเป็นคนที่มีความพยายาม ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ อย่างแน่นอน

“ถ้าพี่แสนว่าอย่างงั้น ก็แล้วแต่พี่แสนเห็นสมควรเลยครับ”

“คล้าวตกลงแล้วนะ ขอบคุณมากครับ” ผมยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจเมื่อคล้าวยอมตกลง เพราะมันจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และทำให้ผมมีเวลาจีบคล้าวมากขึ้นด้วย

“ถ้าผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างพี่แสนก็บอกได้เลยนะครับ ผมยินดีช่วยทุกอย่าง” คล้าวบอกด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง

“ช่วยไปกินข้าวกันก่อนดีไหม” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงธงรบก็แทรกขึ้นมาซะก่อน พอหันไปดูก็เห็นว่ามันเดินนำไม้มา มาด้วยกันได้ไงวะ

“สวัสดีครับพี่รบ” คล้าวไหว้ธงรบ ในขณะที่ไม้มันก็ยกมือไหว้ผมเหมือนกัน

“สวัสดีครับพี่แสน”

“สวัสดีครับ ไม้มากับมันได้ไงเนี่ย” ผมถามในสิ่งที่นึกสงสัยทันที

“ผมมาพร้อมพี่คล้าวครับ แต่ไม่กล้าเข้ามา เลยขอรออยู่ข้างนอกครับพี่ แหะๆ” ไม้มันยืนตัวลีบบอกด้วยสีหน้าเกรงๆ

“พอดีเห็นยืนชะเง้อคอยืดคอยาวอยู่หน้าร้าน เลยพาเข้ามาด้วย” ธงรบอธิบายเพิ่มเติม

“วันนี้มาพร้อมกันเหรอครับ” ผมมองไม้แล้วก็ยิ้มขำเมื่อน้องมันพยายามขยับไปหลบหลังธงรบ เพราะสาวๆ ในร้านแอบมองมันอยู่

“ครับ พอดีที่ร้านญาติไม้หาคนมาแทนได้แล้ว ไม้มันก็เลยมาติวพร้อมกับผมเลยครับ” คล้าวเป็นคนตอบ เพราะไม้มันกำลังยืนเขินเมื่อสาวๆ ส่งยิ้มให้

“อย่าเพิ่งคุยกันเลย หิวข้าวแล้ว ไปกินข้าวก่อนเถอะ” ธงรบเอ่ยขัดเมื่อผมอ้าปากจะถามต่อ

“เออๆ ไปกินที่ไหนดีล่ะ” ผมรีบเออออก่อนที่ธงรบมันจะโมโหหิวขึ้นมา

“ศูนย์อาหารเถอะ ใกล้และไวดีด้วย ตอนนี้กูหิวมาก” เชื่อแล้วว่าหิวจริงๆ ถึงได้ย้ำบ่อยขนาดนี้ เมื่อเช้าก็กินข้าวมาด้วยกัน อยู่ที่ทำงานเฮียๆ เจ้ๆ ก็คงไม่ปล่อยให้อดอยากหรอก ทำไมถึงได้ดูหิวโหยขนาดนี้เนี่ย

“โอเคๆ เดี๋ยวไปหยิบกระเป๋าก่อน” ผมรีบเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วบอกคนที่ร้านไว้ว่าจะไปข้างนอก ก่อนจะชวนคล้าวกับไม้ไปที่ศูนย์อาหารด้วย

เมื่อไปถึงศูนย์อาหารธงรบก็เดินดุ่มๆ ไปหาของกินทันที ผมได้แต่ส่ายหัวด้วยความเพลีย สงสัยว่ากระเพาะมันต้องมีหลุมดำแน่ๆ ถึงได้กินเก่งขนาดนี้

หลังจากรับประทานอาหารกันจนอิ่มแล้ว ผมก็มองหน้าคล้าวแล้วก็นึกขึ้นได้

“เออ พี่ก็ลืมถามไปว่าคล้าวมาหาพี่ทำไม มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ผมแค่จะมาบอกว่าผมหายแล้วครับ ถ้าพี่แสนจะไปไหนผมก็ไปเป็นเพื่อนได้” พอลูกพี่มันพูดจบ ไม้ก็หันมาพูดกับผมด้วยสีหน้ากระตือรือร้น

“ตอนนี้ผมว่างแล้วนะครับพี่แสน วันไหนที่พี่แสนจะไปวัดก็บอกได้เลย เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนด้วย ผมนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องวัดเลยนะครับ”

“วัดถนนน่ะสิ” คล้าวเอ่ยขัดขึ้นเรียบๆ

“โหย ผมเลิกวัด เอ๊ย! เลิกแว๊นแล้วครับพ่อ เอ๊ย! พี่ แหะๆ”

“ขับรถซิ่งเหรอเราน่ะ” ธงรบถามด้วยสีหน้าสนใจ

“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ” มันเหลือบมองลูกพี่มันแล้วก็ตอบเบาๆ ดูท่าว่าน่าจะซิ่งไม่เบานั่นแหละ คล้าวถึงได้หน้าเรียบสนิทขนาดนั้น

 “หึๆ เดี๋ยววันหลังพี่จะพิสูจน์เอง” พอไม้มันหันไปมองงงๆ ธงรบก็พูดต่อ

“แสนมันมีคล้าวไปเป็นเพื่อนแล้ว ไม้ไปเป็นเพื่อนพี่ดีกว่า พี่ก็อยากได้ผู้ช่วยเหมือนกันนะ” เมื่อมันพูดจบ ผมก็หรี่ตามองมันทันที เมื่อรู้สึกตงิดๆ กับคำพูดมันชอบกล

ปกติถ้าไม่มีผม ธงรบก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ไม่เคยจะเรียกร้องให้ใครไปเป็นเพื่อนแบบนี้หรอก ธงรบเมินผมแล้วมองไม้นิ่งๆ เหมือนรอคำตอบ ไม้มันเลยหันมามองผมด้วยสีหน้ามึนๆ เหมือนกำลังงงกับสถานการณ์อยู่

“พี่แล้วแต่ไม้เลยครับ ถ้าไม้ไปเป็นเพื่อนพี่พี่ก็ดีใจ หรือถ้าอยากจะไปกับธงรบพี่ก็ไม่ว่าอะไรครับ เอาตามที่ไม้สบายใจเลย” ผมพูดแล้วก็ยิ้มให้ไม้เพื่อไม่ให้น้องมันลำบากใจ

“พี่รบไม่มีเพื่อนเหรอครับ” พอผมพูดจบไม้มันก็หันไปถามธงรบอีกครั้ง

“ครับ ถ้าไม่รบกวนเกินไป ไม้ช่วยไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิครับ”

“งั้นก็ได้ครับ พี่คล้าวไปเป็นเพื่อนพี่แสนแล้ว เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนพี่รบก็ได้”

“ขอบคุณครับ” ธงรบมันรับคำแล้วยิ้มมุมปาก ชวนให้เพื่อนอย่างผมสงสัยมากว่ามันคิดอะไรอยู่

“แล้ววันนี้จะไปไหนไหมครับ” คล้าวถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตกลงกันได้แล้ว

“อืม วันนี้ยังไม่ไปไหนดีกว่าครับ ถ้าคล้าวกับไม้ไม่รีบไปไหนไปดูหนังกันไหมครับ”

“พี่คล้าว” ผมยิ้มขำเมื่อไม้มันตาเป็นประกายแล้วหันไปส่งสายตาอ้อนวอนลูกพี่มัน

“ก็ได้ครับ พี่แสนอยากดูเรื่องอะไรครับ” คล้าวมองหน้าไม้ก่อนจะหันมาถามผม

“แล้วแต่คล้าวกับไม้เลยครับ” ผมให้น้องๆ เลือก เพราะดูเหมือนไม้จะมีเรื่องที่อยากดูอยู่แล้ว พอบอกไปแล้วไม้มันก็ยิ้มกว้างทันที

“ไปดู Avengers กันดีไหมครับ” ไม้ออกความคิดเห็นด้วยแววตาที่เป็นประกายเหมือนเด็กๆ

“ก็ดีนะ กำลังอยากดูอยู่พอดี” พอธงรบมันเห็นด้วย ไม้ก็หันไปยิ้มกว้างให้ธงรบ

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ธงรบมันบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินนำไปก่อน มีไม้ตามเดินตามไปชวนคุยเรื่องหนังอย่างกระตือรือร้น ท่าทางดีใจของมันทำให้ผมยิ้มด้วยความเอ็นดู

“ดูเหมือนไม้จะดีใจมากนะ” ผมเดินตามหลังเคียงมากับคล้าวแล้วก็ชวนคุยไปด้วย

“ครับ มันบ่นอยากดูเรื่องนี้มาหลายวันแล้วครับ แต่ผมคอยปรามไว้ เพราะมันเพิ่งจะดูเรื่องอื่นไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ถ้าไม่ปรามมันไว้บ้างมันคงไปดูแทบทุกเรื่องครับ ผมไม่อยากให้มันใช้เงินสิ้นเปลืองมากนัก” คล้าวมองไม้ด้วยสายตาเอ็นดูปนระอา

“ไม้ชอบดูหนังเหรอครับ”

“ครับ มันชอบมาก ตอนเด็กๆ มันเคยบอกว่าอยากเป็นคนถ่ายหนังด้วยครับ” คล้าวบอกด้วยรอยยิ้ม

“แล้วคล้าวล่ะครับอยากเป็นอะไร”

“ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นหลายอย่างเลยครับ ทั้งตำรวจ ทหาร นักบิน”

“แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

“ตอนนี้ขอแค่ได้เรียนต่อผมก็พอใจแล้วครับ จะเรียนอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

“ตอนสัมภาษณ์จำได้ว่าคล้าวบอกว่าจะเรียนเกษตรใช่ไหม”

“ครับ ผมคิดว่าอย่างน้อยก็สามารถนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาการเกษตรที่หมู่บ้านได้ครับ”

“ก็ค่อยๆ คิดไปก็แล้วกันครับ ยังพอมีเวลาตัดสินใจ พี่อยากให้คล้าวตัดสินใจเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากเป็นจริงๆ เพราะมันจะทำให้คล้าวมีความสุขกับการเรียนมากกว่า การได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ รัก และสนใจ มันทำให้เรามีความสุขกับการเรียนและเป็นแรงผลักดันให้เรามีความพยายามโดยไม่ต้องฝืนอีกด้วยนะครับ” เพราะผมก็เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบเหมือนกัน และผมก็มีความสุขกับมันมาก

“ขอบคุณนะครับ” คล้าวขอบคุณด้วยแววตาอ่อนโยนส่วนผมก็งงว่าน้องมันขอบคุณเรื่องอะไร พอเห็นสีหน้างงๆ ของผมคล้าวเลยขยายความให้

“ขอบคุณที่ห่วงใยและใส่ใจผมเสมอ ผมจะกลับไปคิดอย่างที่พี่แสนแนะนำนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ คล้าวก็รู้ว่าพี่เต็มใจ” ได้โอกาสแล้วก็เต๊าะซะหน่อย คล้าวลูบท้ายทอยเขินๆ ในขณะที่ผมยิ้มหวานให้ คล้าวหลุดหัวเราะทำให้ผมหัวเราะขำไปด้วย แล้วเราสองคนก็ยืนยิ้มให้กัน

“พี่คล้าวๆ เอารอบไหนดี” น้ำเสียงตื่นเต้นของไม้ทำให้เราหันไปมองพร้อมกัน ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าเรามายืนอยู่หน้าโรงหนังกันแล้ว ไม้ยืนมองตารางเวลาฉายและโปรแกรมหนังแต่ละเรื่องอย่างสนอกสนใจ ส่วนธงรบยืนกอดอกหรี่ตามองเราสองคนด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ

“ทำอย่างกับโลกนี้มีกันแค่สองคน” ธงรบมันพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ทำให้หูของคล้าวแดงมากขึ้น ส่วนผมก็ยักไหล่ให้มัน แล้วไงใครแคร์ล่ะ ไม้มันหันมามองเรางงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าเราคุยอะไรกันอยู่

“เอ่อ ตกลงเอารอบไหนดีครับ”

“แล้วแต่ไม้เลยครับรอบไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากฝึกภาษาก็เลือกภาษาอังกฤษเลยครับ”

“แหะๆ เอาไว้คราวหน้าดีกว่าครับ คราวนี้ผมขอดูสนุกๆ ก่อนได้ไหมครับพี่” ไม้มันส่งสายตาอ้อนวอนมาให้

“หึๆ ตามใจครับ เดี๋ยวพี่ค่อยหาแผ่นหนังไปให้ดูก็แล้วกัน พี่มีเก็บไว้เยอะ ว่างๆ คล้าวกับไม้จะได้ดูเพื่อฝึกภาษาไปด้วย มันมีส่วนช่วยได้นะครับ แล้วเดี๋ยววันไหนว่างๆ พี่จะช่วยติวให้อีกที”

“ขอบคุณครับ/ขอบคุณครับพี่” คำขอบคุณของทั้งคู่ทำให้ผมยิ้มอย่างเอ็นดู น่ารักทั้งลูกพี่ลูกน้องจริงๆ เลย ผมหันไปสบตาธงรบ มันก็คงเข้าใจ มันจึงเดินเลี่ยงไปซื้อตั๋ว ปล่อยให้ผมคุยกับทั้งคู่ต่อ

พอธงรบเกลับมาน้องๆ ก็พยายามจ่ายเงินให้ แต่ธงรบใจแข็งกว่าผมเยอะ น้องๆ ก็ดูเกรงใจมันมากกว่าด้วย เลยต้องยอมให้มันจ่ายไป ส่วนผมก็ยืนมองขำๆ เรื่องมัดมือชกนี่ไว้ใจธงรบได้เลยครับ มันถนัดนักละ หึๆ

คล้าวเลยบอกจะขอเลี้ยงน้ำอัดลมกับป๊อบคอร์นแทน เพื่อความสบายใจของน้องๆ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร เมื่อถึงเวลาหนังใกล้ฉายเราก็เดินเข้าโรงหนังกัน ธงรบกับไม้เดินนำหน้าได้ยินเสียงคุยเรื่องหนังกันอย่างถูกคอ ผมกับคล้าวเดินตามหลังไป ระหว่างที่ฟังคนข้างหน้าพูดเพลินๆ คล้าวก็เอ่ยขึ้นมา

“คราวหน้าถ้ามาด้วยกันอีกผมขอเลี้ยงบ้างนะครับ”

“ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีกเหรอครับ” ผมหันไปมองหน้าคล้าวที่มองมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“พี่แสนเลี้ยงผมมาหลายครั้งแล้วนี่ครับ ผมก็อยากจะตอบแทนบ้าง”

“แต่ในฐานะที่พี่เป็นพี่ และพี่ก็ทำงานแล้ว พี่เลี้ยงน้องก็ถูกแล้วนี่ครับ” ผมพยายามพูดให้น้องมันสบายใจ

“แต่ในฐานะของคนที่อยู่ในระหว่างศึกษาดูใจกัน ก็ควรเท่าเทียมกันไม่ใช่เหรอครับ”

“...”

ยอม... ถ้าเป็นเหตุผลนี้คงต้องยอมทุกอย่าง อยากจะเปย์หรืออยากจะทำอะไรก็ตามใจทุกเรื่องเลยครับ

ทำไมมันน่ารักอย่างนี้นะ น่ารักจนอยากลากเข้ามุมตึก แต่ทำไม่ได้ ได้แต่หยุดยืนมองคล้าวแล้วก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่น้องมันจริงจังกับเรื่องของเราแบบนี้ พอสบตาผมได้สักพัก คล้าวก็เบือนหน้าหนีแล้วลูบท้ายทอยแก้เขิน ใบหูทั้งสองข้างแดงก่ำจนเห็นได้ชัด ยิ่งเห็นก็ยิ่งอารมณ์ดี

ให้ตายสิ! หยุดยิ้มไม่ได้เลย

“แฮ่ม! ก็ไม่อยากจะขัดจังหวะหรอกนะ แต่หนังใกล้ฉายแล้ว จะยืนจ้องตากันอีกนานไหม” ธงรบมายืนกอดอกมองมาด้วยสายเอือมๆ อยู่ตรงหน้า ส่วนไม้ที่อยู่ด้านหลังก็มองเราสองคนไปมาเหมือนกำลังประมวลผลอยู่

“ก็ไปสิ รออะไรล่ะ” ผมบอกก่อนจะดันหลังมันให้รีบเดินออกไปจากตรงนี้ เพราะสังเกตเห็นว่ามีบางคนกำลังมองมาที่เราอยู่

“กล้าถามนะ รอมึงออกจากโลกส่วนตัวก่อนน่ะสิ จ้องเหมือนอยากจะลากน้องมันไปแดก” ธงรบลากผมให้เดินเร็วๆ จนห่างจากสองคนหลังก็พูดเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน

“ก็อยากอยู่” ผมพึมพำเบาๆ

“กูไม่อนุญาต ถ้ายังไม่ตกลงปลงใจกันจริงจัง ห้ามชิงสุกก่อนห่ามเด็ดขาด” หูเสือกดีได้ยินไปอีก ว่าแต่... ชิงสุกก่อนห่าม? อะไรของมึ๊ง

อีกอย่าง...

“ทำไมกูต้องขออนุญาตมึงด้วยวะ” ผมถามด้วยความข้องใจ

“ในฐานะที่มึงเป็นลูก เอ๊ย! เป็นน้องกู มึงต้องเชื่อฟังกู”

“ได้ข่าวว่าเราเกิดปีเดียวกันนะรบ”

“กูเกิดก่อนหลายเดือน ยังไงกูก็ต้องเป็นพี่ เข้าใจไหมครับน้องแสน” มันดึงตัวผมไปกอดคอแล้วขยี้หัวแรงๆ

“ปล่อยสิวะ หัวยุ่งหมดแล้ว”

“รับปากก่อน”

“เออๆ ปล่อยได้แล้วคนมองแล้วสัด!” ผมรีบรับปากเมื่อคนที่เดินเข้าโรงหนังเริ่มมองมาที่เราด้วยความสนใจ

พอธงรบปล่อยมือผมก็หันแยกเขี้ยวให้มัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามในสิ่งที่ยังติดใจอยู่

“ทำไมมึงถึงชวนน้องไม้ไปกับมึงวะ”

“กูก็ช่วยกันไม่ให้น้องมันไปเป็นก้างมึงไง”

“ทำไมกูถึงรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นวะ”

“จะมีอะไร ไม่มี๊ มึงอะคิดมาก”

“เหรออออ” เสียงสูงขนาดนี้นี่นะไม่มี อมพระประธานมาพูดก็ไม่เชื่อหรอก

“เอออออ ไปๆ รีบเข้าไปได้แล้ว เกะกะคนอื่นเค้า”

ยังไม่ทันได้ซักมันต่อ เราก็เดินเข้าโรงหนังพอดี ธงรบรอจนน้องๆ เดินทันแล้วจัดแจงดันไม้ให้เดินเข้าไปก่อน มันเดินตามแล้วลากผมไปด้วย ให้คล้าวอยู่ด้านนอกสุด

ฝากไว้ก่อนเถอะ อยู่กันตามลำพังเมื่อไหร่ ผมซักจนสะอาดแน่ๆ

ผมนั่งดูหนังอย่างมีความสุข เพราะหนังสนุกแถมได้มากับคนสำคัญแล้วก็ยิ่งมีความสุข เสียดายเฮียแผนยุ่งๆ มาด้วยไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยมาดูเป็นเพื่อนเฮียอีกรอบก็แล้วกัน

ผมเอื้อมมือไปหยิบป๊อบคอร์นที่วางอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับคล้าว แต่แทนที่จะจับได้ป๊อบคอร์นกลับจับโดนมือของคล้าวที่กำลังหยิบอยู่แทน ด้วยความที่เริ่มชินกับความมืดพอหันไปมองก็เห็นคล้าวมองมาอยู่แล้ว ผมก็เลยยิ้มให้ คล้าวมันจะเห็นไหมไม่รู้ รู้แต่ว่ามันอดจะยิ้มไม่ได้จริงๆ อยากจะเนียนจับต่อก็เกรงใจ จำใจต้องดึงมือกลับมาช้าๆ

พอหลุดจากมือผมได้ คล้าวก็ทำท่าเหมือนจะเอามือไปลูบท้ายทอยตัวเองตามความเคยชิน ผมเลยรีบคว้ามือข้างนั้นไว้แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือให้เบาๆ

แต่เพราะข้างในมันมืดเลยเผลอก้มลงไปจนแทบจะชิดกับมือ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคล้าวก้มลงมาเหมือนกัน ทำให้หน้าเราห่างกันแค่คืบ

แสงจากจอหนังที่ส่องมาเป็นระยะทำให้พอจะมองเห็นแววตาที่เป็นประกายท่ามกลางความมืด ผมหลุบตามองริมฝีปากของคล้าวแล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อย่างเผลอไผล

“อะแฮ่ม”

ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกระแอมจากฝั่งขวามือ พอหันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นธงรบกำลังจ้องเขม็งมา ผมเลยปล่อยมือคล้าวแล้วขยับมาที่ของตัวเอง

“ต่อหน้าต่อตาเลยนะมึง” ธงรบมันขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ

“อะไร กูแค่เช็ดมือให้น้องมัน”

“เหรอออ”

“เอออออ” พอตอบไปมันก็ผลักหัวผมด้วยความหมั่นไส้ ผมเลยผลักคืนเพื่อความเท่าเทียม ก่อนจะหันไปสบตาคล้าวแล้วยิ้มให้เหมือนเดิม คราวนี้คล้าวยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขินโดยที่ผมไม่ได้ห้ามเพราะมือสะอาดแล้ว

สรุปว่าออกไปจากโรงหนังแล้วป๊อบคอร์นเรายังเหลือเกือบเต็มถัง

“ไม่กินเหรอพี่” ไม้มันถามเมื่อเห็นป๊อบคอร์นที่แทบจะไม่พร่องเลย ผมหันไปมองหน้าคนถือ นึกถึงสาเหตุที่มันไม่พร่องแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้

“พอดีพี่อิ่มแล้วครับ”

“อิ่มข้าวเหรอครับ” ไม้มันยังถามด้วยสีหน้าซื่อๆ

“เปล่าครับ พี่ ‘อิ่มใจ’” พูดด้วยรอยยิ้มกริ่มๆ สายตาก็มองตัวต้นเหตุของความ ‘อิ่มใจ’ไปด้วย

“งั้นเอามาให้ผมกินก็ได้ครับ เสียดาย” พอคล้าวส่งให้ไม้มันก็รีบรับแล้วเดินไปหยิบกินไปไม่ได้สนใจสายตาใครเลย
ส่วนผมก็มองคนเขินจนหูแดงก่ำเพลินแล้วยิ้มกว้างอย่างมีความสุข โดยไม่แคร์สีหน้าพะอืดพะอมของธงรบสักนิด

ก็มัน ‘อิ่มใจ’ จริงๆ นี่นา มาดูหนังครั้งนี้นี่คุ้มจริงๆ ครับ หึๆๆๆ



***********************************************************

ช่วงปลายปีนี่อีเว้นท์เยอะมากจนเพลียค่ะ สมองมันก็เลยฝ่อ จินตนาการก็หดหายตามไปด้วย กว่าจะได้แต่ละตอนนี่หืดขึ้นคอ ช้ายิ่งกว่าทากถูกยาชาซะอีก รอเราหน่อยนะคะ เราจะค่อยๆ กระดึบๆ ไปเรื่อยๆ

 :katai5: :katai5: :katai5:

***********************************************************


#iceman555 ☼ พี่มันแอบหื่นค่ะ อยากกดน้องจะแย่ แต่ไม่กล้า ถถถ วงวารพี่แสนนะคะ
#ommanymontra ☼  :L2: :กอด1: :L2:
#MayA@TK ☼  :L2: :กอด1: :L2:
#taltal020441 ☼ ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า ตอนนี้พี่แสนยังไม่มีโอกาสค่ะ กลัวไก่ตื่นด้วย ต้องรออีกนิดดดด 5555 ไว้แวะมาอีกนะคะ
#k2blove ☼ พี่แสนหื่นตั้งแต่เป็นทองกวาวแล้วค่ะ แต่ตอนนี้ต้องคีพลุค 5555 สงสารพี่เค้านะคะ อยากกินแต่ไม่กล้า
#PsychePie ☼ มันจะดีเหรอคะ เดี๋ยวน้องถีบบบบบบบบบ
#puiiz ☼  :L2: :กอด1: :L2:
#วายซ่า ☼ ใกล้แล้วค่ะ ใกล้หมดความอดทนเต็มที ถ้าไม่มีงานเข้านะคะ แค่กๆๆๆ
#aoihimeko ☼ น้องมันอีเว้นท์เยอะค่ะ ทั้งทำงาน ทั้งติว ทั้งตากแดดตากฝนตากแอร์ ก็เลยเปื่อยเลย บางทีเด็กมันก็ร้ายค่ะ เด็กมันยั่วจนพี่แสนจะตบะแตกแล้ว 555555
#lovenine ☼ ขอบคุณมากค่า กอดแน่นๆ มาแล้วนะคะ
#taltal020441 ☼ มาแล้วค่าาาา



สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ

(http://i66.tinypic.com/90vg3s.jpg)

(http://i66.tinypic.com/et5si8.jpg)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-11-2018 11:10:06
 :L1: :pig4: :L1:



 o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-11-2018 12:38:22
อีธงรบมีแผนไรอีกอะ รู้นะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-11-2018 16:05:42
พ่อ ...เอ๊ย!! ธงรบคิดอะไรกับน้องไม้ใช่ไหม

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 22-11-2018 17:09:14
นั่นไงธงรบกับไม้ซัมติงแน่นอน แล้วพี่แผนละมีซักคนด้วยมั้ย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-11-2018 19:52:45
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-11-2018 21:30:56
ตอนนี้อ่านแล้วอิ่มใจ บรรยากาศเหมือนไปลอยกระทงกับคนรู้ใจ อิอิอิ
แสนใจเย็นๆ อย่าออกนอกหน้ามากนัก ธงรบนี่ชักยังไงแล้ว กันไม้ออก
มาจริงเหรอ ซักสงสัย // สุขสันต์วันลอยกระทงนะจ๊ะคนเขียน
 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 22-11-2018 22:02:55
พอน้องมันมาเป็นนายแบบให้ อ้ายแสนต้องออกอาการหืดหาดเพราะน้องโชว์หุ่นแน่ๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 22-11-2018 23:52:44
ธงรบไม่เนียนนนนะไม่เนียน 555 ไม้หนีไปป
อยากเห็นน้องคล้าวไปได้ดี แต่เริ่มเจ้าเล่ห์แล้วนะเราอ่ะ

หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 25-11-2018 06:01:05
แหม เด็กมันแอบร้ายจริงๆ หยอดทีละลายๆ 555
ว่าแต่ได้กลิ่นอะไรโชยมา.....  เหมือนธงรบกำลังจะล่อลวงเด็กเลย. คึๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: mijimaria ที่ 26-11-2018 21:46:34
  :hao3: แหม่ ธงรบเรารู้นะว่าเธอกำลังเต๊าะน้องไม้น่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 14 (Up 22/11/61) : P5
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 27-11-2018 20:29:58
 สุขสันต์ วันลอย กระทงๆ จ้า โอยๆ หวานๆ กันละ 55 ทองกวาว นี่ หื่น ตลอด คงคอนเซ็บ เดิม แต่ หื่นในร่าง ควาย มัน ตลก แล้ว คล้าว จะรุ ว่า พี่แสน คือ ทองกวาว ของมัน ตอน ไหนน๊าาา  ลุ้น ต่อไป จร้า คิดถึง คนเขียน และ ทองกวาว ตลอดจร้า   :mew4: o13 :-[ :c3: :yeb:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 01-12-2018 13:53:14
บทที่ 15

   “เฮีย...แสนว่าจะไปดูผ้าครับ” ผมเปรยขึ้นมาระหว่างที่นั่งร่างแบบเสื้อผ้าอยู่ในห้องกระจกที่ติดกับสระว่ายน้ำหลังบ้าน ส่วนเฮียแผนก็มานั่งจิ้มแท็บเล็ตอยู่ข้างๆ ตามประสาคนติดน้องเหมือนเคย

   ถึงจะเป็นวันหยุดแต่เฮียก็ไม่ค่อยจะหยุดจริงๆ สักที ทำแต่งานตลอดเวลาจนผมรู้สึกเหนื่อยแทน แล้วก็ชอบมาอยู่ใกล้ๆ ผมตลอด คอยตามติดยิ่งกว่าป๊ากับแม่ซะอีก คู่นั้นนี่ชอบหนีเที่ยวแทบทุกวัน เย็นๆ โน่นแหละถึงจะเจอตัว ถ้าไม่ติดงานเลี้ยงน่ะนะ

   “พาหุรัดเหรอ ไปสิ เดี๋ยวกูขับรถให้”

   “สัด!” ผมด่าไอ้ส่วนเกินที่มานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บ้านคนอื่น ไม่รู้ทำไมถึงไม่ชอบอยู่บ้านตัวเอง ชอบมาสิงบ้านคนอื่นอยู่ได้ ทำเหมือนไม่มีบ้านเป็นของตัวเองอย่างงั้นแหละ

   “ว่างเหรอมึงอะ ช่วงนี้ไม่มีนัดกับสาวๆ รึไง” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะปกติถ้าเฮียอยู่กับผม มันก็จะแว้บไปหาสาวๆ ในสต็อกของมันบ้าง

   ที่รู้ก็เพราะเวลาเจอสาวๆ ของมันทีไรพวกเธอก็ชอบอวดกับผมตลอดว่าธงรบอยู่กับพวกเธอ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะมาหึงมาหวงกับผมทำไม แต่ช่วงหลังๆ นี่ผมเห็นหน้ามันบ่อยยิ่งกว่าหน้าป๊ากับแม่ตัวเองอีก เผลอๆ อาจจะบ่อยกว่าเฮียซะด้วยซ้ำ

   “ไม่อะ เบื่อ”

   “เบื่ออะไรวะ”

   “ผู้หญิง” ผมวางสมุดสเก็ตแล้วลุกไปจับหน้าผากมันดู

   “ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า”

   “สัด! กูไม่ได้ป่วย”

   “ฮ่าๆๆๆ กูจะไปรู้เหรอ ปกติมึงควงสาวๆ ไม่เคยขาด อยู่ๆ ก็บอกเบื่อผู้หญิง กูก็นึกว่าป่วยสิวะ”

   “เฮ้อ! กูแค่เบื่อที่พวกเธอชอบหึงหวงไร้สาระ”

   “หึงมึงกับกูใช่ไหม” เห็นสีหน้าธงรบก็พอจะเดาออก พอได้ยินคำถามผม เฮียแผนก็วางแท็บเล็ตแล้วหันมาสนใจบทสนทนาของเราทันที

   “ธงรบ” พอเห็นมันไม่ยอมตอบผมก็เรียกมันด้วยสีหน้าจริงจัง

   “เออๆ นั่นแหละ แม่งไร้สาระ”

   “เฮ้อ สำหรับคนที่คบกันมันไม่ไร้สาระเลยนะรบ กูก็เตือนมึงแล้วว่าให้อยู่ห่างๆ จากกูบ้าง”

   “ไม่รู้ละ สำหรับกูถือว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ กูก็ดูแลมึงแบบนี้มาตลอด ทำไมไม่เข้าใจวะ”

   “ก็มึงดูแลกูดียิ่งกว่าแฟนมึงไง มึงต้องใส่ใจ ต้องให้ความสำคัญเขามากกว่ากูสิ”

   “ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย มึงเป็นน้องกูนี่”

   “เพื่อนไหมรบ กูเกิดปีเดียวกับมึงนะ”

   “กูจะให้เป็นน้อง มีปัญหาไหม” มันยักคิ้วให้กวนๆ เห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมือ อยากจะเอาหมอนอุดจมูกมันมาก

   “เรื่องของมึงเหอะ!” รำคาญ!

   “มึงไม่ต้องสนใจหรอก กูจะรอเจอคนที่เข้าใจกู แต่ถ้าใครมาหาเรื่องมึงก็บอก เดี๋ยวกูจัดการให้”

   “กว่าจะเจอคนแบบนั้นคงต้องรอชาติหน้ามั้ง” ผมประชด

   คนที่จะยอมให้คนรักสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเองนี่มันมีที่ไหนกัน ส่วนคนมาหาเรื่องนี่ไม่จำเป็นต้องบอกมันหรอก ผมจัดการเองได้ นี่แสนเสน่ห์ศิษย์ครูเทพแห่งค่ายมวยจันทรเทพนะครับ เรื่องหมัดมวยนี่ผมก็ไม่แพ้ใครหรอก

   “แต่กูว่าคงไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก”

   “ว่าไงนะ” ผมถามเมื่อได้ยินธงรบมันพึมพำอยู่คนเดียวแล้วยิ้ม

   “ไม่มีอะไร” ผมหรี่ตามองเมื่อมันปฏิเสธ

   “หัดมีความลับกับกูเหรอรบ” ผมกอดอกมองหน้ามันนิ่งๆ

   “ไหนมึงว่าจะไปดูผ้าไม่ใช่เหรอ” มันเปลี่ยนเรื่องทันทีจนผมอยากจะเอาหมอนมาอุดหน้ามันขึ้นมาจริงๆ

   “แสนจะไปวันไหน” ยังไม่ทันได้เล่นงานมันเฮียแผนก็ถามขึ้นมาก่อน

   “ว่าจะไปอาทิตย์หน้าครับเฮีย”

   “อาทิตย์หน้าเฮียยุ่งนี่สิ แทบจะปลีกตัวไปไม่ได้เลย เลื่อนไปก่อนได้ไหม”

   “แต่ทางสหกรณ์ผ้าโทรมาบอกแสนว่าจะสมาชิกจะเอาผ้ามาลงอาทิตย์หน้าครับเฮีย เห็นบอกว่าเพิ่งทอเสร็จหลายผืนเลย แสนอยากจะไปเลือกก่อนครับ”

   “รบล่ะ” พอได้ยินคำตอบของผม เฮียก็หันไปถามธงรบแทน

   “อาทิตย์หน้าป๊าให้ผมไปดูงานที่ต่างประเทศครับเฮีย รับปากป๊าไปแล้วด้วย” ธงรบตอบด้วยสีหน้ากังวล

   “แสนไปเองได้” พอทั้งคู่หันขวับมามองด้วยสีหน้าที่ไม่เห็นด้วยผมก็รีบพูดต่อ

   “ไม่ต้องมามองหน้ากันเลย แสนหายดีแล้ว สัญญาว่าจะระวังตัวดีๆ ถ้าเป็นห่วงเดี๋ยวแสนขึ้นเครื่องไปก็ได้ โอเคไหมครับ” พอพูดจบทั้งคู่ก็มองหน้ากัน แล้วธงรบก็ถามเฮีย

   “ให้คล้าวไปเป็นเพื่อนดีไหมครับเฮีย”

   “ก็ได้นะ ตอนนี้คนพวกนั้นโดนกวาดเข้าคุกหมดแล้ว เฮียอนุญาตให้ไปด้วยกันก็ได้”

   พอผมทำหน้างงๆ ว่าคนพวกนั้นคือใคร เฮียแผนจึงอธิบายให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ที่ไม่ยอมให้ผมไปไหนมาไหนคนเดียว เพราะยังจัดการกับพวกคนร้ายที่เคยทำร้ายผมยังไม่หมด แต่ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว จึงยอมอนุญาตให้ไปได้ ทีนี้ก็รู้สาเหตุแล้วว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้คอยตามติดชีวิตผมขนาดนี้

   “ไม่เห็นบอกแสนบ้างเลย”

   “เฮียกับรบไม่อยากให้แสนกังวลและใช้ชีวิตแบบหวาดระแวง อยากให้ใช้ชีวิตไปตามปกติมากกว่า ก็เลยตัดสินใจตามดูแลและคอยระวังให้ ขอโทษนะที่ตัดสินใจกันเองโดยพลการ” ตอนแรกก็รู้สึกอยากงอนทั้งคู่ แต่พอฟังเหตุผลแล้วก็งอนไม่ลงเลย

   “เฮ้อ ไม่งอนก็ได้ครับ” พอผมยิ้มเฮียแผนก็ขยับมาลูบหัวเบาๆ

   “เดี๋ยวเฮียไถ่โทษด้วยการอนุญาตให้คล้าวไปด้วยดีไหม”

   “ดีครับ” ผมรับคำหน้าบาน

   “โอ๊ย!” ก่อนจะกุมหน้าผากแล้วแยกเขี้ยวใส่ธงรบเมื่อมันดีดหน้าผากผมอย่างแรง

   “ดีใจออกนอกหน้าเชียวนะ กูหมั่นไส้”

   ผมเลยคว้าหมอนมาอุดหน้ามันแม่ง!

   “เฮีย ช่วยด้วย แสนมันจะฆ่าผม” พอมันหลุดมาได้มันก็ร้องให้เฮียช่วยทันที

   “หึๆๆ” แต่คิดว่าเฮียจะช่วยมันเหรอ เฮียแค่กอดอกมองแล้วหัวเราะขำๆ อยู่ข้างๆ

   ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นน้องรัก หึๆ

   เมื่อได้รับอนุญาตแล้วตอนเย็นๆ ผมก็โทรไปหาคล้าว พอเอ่ยปากชวน น้องมันก็รับปากทันที คล้าวบอกว่าจะไปเคลียร์งานให้ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะช่วงนี้เพื่อนที่ทำงานกำลังต้องการเงินอยู่พอดี

ผมจึงเจรจาเรื่องค่าเสียเวลาไปด้วย ทั้งอ้อนวอนก็แล้ว บังคับก็แล้ว คล้าวก็ยังดื้อปฏิเสธท่าเดียว จนเฮียแผนผ่านมาได้ยินแล้วขอคุยด้วยนั่นแหละถึงได้ยอม ไม่รู้ว่าเฮียพูดว่าอะไร เพราะเฮียเดินไปคุยไกลจนผมไม่ได้ยิน


****************************************************


(มีต่อค่ะ)   
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 01-12-2018 13:54:56

   ผมนั่งมองข้างทางสลับกับเหลือบมองคนที่กำลังขับรถแล้วยิ้มอย่างมีความสุข วันนี้เป็นวันที่ผมกับคล้าวออกเดินทางไปดูผ้าที่จังหวัดศรีสะเกษด้วยกัน

   ในตอนแรกผมตั้งใจว่าจะนั่งเครื่องบินไป แต่ธงรบบอกว่าขับรถไปเองน่าจะดีกว่า จะได้ขนผ้ากลับมาด้วยเลย แล้วก็ถือโอกาสพาคล้าวแวะเที่ยวระหว่างทางไปด้วย เพราะคล้าวยกเวรที่ร้านสะดวกซื้อให้เพื่อนไปแล้ว จึงหยุดได้หลายวัน

   เราสองคนออกจากกรุงเทพฯ กันตอนกลางคืนหลังคล้าวเลิกงาน ตอนแรกผมจะขับเอง แต่คล้าวบอกว่าขับได้ เพราะเคยขับรถพาหลวงตาและคนในหมู่บ้านไปทำบุญทางภาคอีสานบ่อยๆ

   “ถ้าง่วงก็แวะพักได้ตลอด อย่าฝืนนะครับ พี่ไม่รีบ”

   “ครับ ถ้าพี่แสนง่วงก็หลับได้เลยนะครับ ไม่ต้องฝืนเหมือนกัน” ผมยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไรไป เพราะตั้งใจไว้ว่าจะนั่งเป็นเพื่อนคล้าวให้นานที่สุด

   ช่วงแรกๆ ก็พอไหวอยู่หรอก แต่พอผ่านไปสองชั่วโมงกว่าๆ หลังออกจากกรุงเทพฯ มา ถนนเริ่มโล่ง หนังตาผมก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เลยบอกกับตัวเองว่าขอพักสายตาหน่อยแล้วก็หลับตาลง




   “พี่แสนครับ” เสียงเรียกและแรงเขย่าที่ต้นแขนเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นคล้าวยิ้มและมองมาด้วยแววตาอ่อนโยน

   “เข้าห้องน้ำก่อนไหมครับ” พอคล้าวบอกผมจึงมองไปข้างนอกก็เห็นว่าเราอยู่ในปั๊มแห่งหนึ่ง

   “ถึงไหนแล้วครับ”

   “ถึงโคราชแล้วครับ”

   “ว่าจะนั่งเป็นเพื่อนคล้าว หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ขอโทษนะครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ ผมขับได้ พี่แสนพักได้เลยครับไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวผมแวะพัก ไม่ฝืนแน่นอนครับ” ผมยิ้มให้คล้าวก่อนจะออกจากรถไปเข้าห้องน้ำและยืดเส้นยืดสายสักหน่อย พอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อผ้าเย็น กาแฟ และขนมขบเคี้ยวมาด้วย

   “ผ้าเย็นกับกาแฟครับ” พอเข้าไปในรถผมก็ยื่นกาแฟกับผ้าเย็นให้คล้าว

   “ขอบคุณครับ” คล้าวรับกาแฟไปดื่มแล้ววางผ้าเย็นไว้ก่อน เพราะเพิ่งจะล้างหน้ามา

   ผมนั่งเป็นเพื่อนคล้าวได้สักพักก็หลับไปเหมือนเดิม ตั้งแต่หายป่วย ผมก็ไม่ค่อยได้นอนดึกเหมือนแต่ก่อน ทำให้ฝืนอยู่เป็นเพื่อนคล้าวได้ไม่นานนัก พอลืมตามาอีกทีฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว และเพิ่งจะรู้ว่าคล้าวเอาผ้าห่มมาห่มให้

   อดจะนึกสงสัยไม่ได้ว่านี่นอนหรือว่าซ้อมตาย ถึงขนาดคล้าวห่มผ้าให้ก็ไม่รู้สึกตัวสักนิด ยิ่งหันไปเห็นสีหน้าอ่อนเพลียของคล้าวก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก

   “ตื่นแล้วเหรอครับ เข้าห้องน้ำก่อนไหมครับ เดี๋ยวผมแวะให้”

   “ก็ดีครับ คล้าวจะได้พักด้วย” ผมรีบตอบเมื่อเห็นป้ายปั๊มน้ำมันอยู่อีกไม่ไกล

   เราทั้งคู่ลงมาทำธุระล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ผมก็ชวนคล้าวเดินไปหากาแฟดื่ม ระหว่างที่นั่งรอกาแฟ ผมก็มองคล้าวด้วยความเป็นห่วง

   “ไหวไหมครับ พักนอนก่อนก็ได้นะ”

   “ยังไหวครับ ยังไงก็ใกล้จะถึงแล้ว เดี๋ยวค่อยพักทีเดียวดีกว่าครับ”

   “โอเคครับ” ถ้าคล้าวว่าไหวก็คงไหวจริงๆ อีกอย่างเหลืออีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมายแล้วด้วย พอไปถึงแล้วค่อยพักยาวๆ ทีเดียวก็น่าจะดีเหมือนกัน หลังจากดื่มกาแฟแล้วผมก็ชวนคล้าวทานข้าวให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทางต่อ เพราะไม่แน่ใจว่าร้านอาหารที่โน่นเปิดหรือยัง

   เมื่อใกล้จะถึงจุดหมาย ผมก็โทรไปแจ้งกับสมาชิกสหกรณ์ที่ติดต่อกันอยู่ ซึ่งลุงแซนก็บอกให้เราเข้าไปที่สหกรณ์ได้เลย เดี๋ยวจะมีคนไปเปิดสหกรณ์รอ

   ‘เฮือนม่านไหม’ เป็นชื่อของสหกรณ์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ขององค์การบริหารตำบลแห่งนี้ เป็นแหล่งจำหน่ายผ้าไหมทอมือที่คนในตำบลทอกันเองแล้วเอามาฝากขาย

   นอกจากนี้ก็ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ชาวบ้านทำเองมาวางขายอีกด้วย มีทั้งเสื่อที่ทอจากต้นกกและต้นเตย ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผักตบชวาและไม้ไผ่ เช่น กระเป๋า กระติบข้าว ตะกร้า สุ่มไก่ ไซ ชะลอม กระจาด ซึ่งมีทั้งขนาดใหญ่ที่ใช้ได้จริงและขนาดเล็กๆ ที่เหมาะสำหรับตั้งโชว์ เป็นของที่ระลึก หรือเป็นแบบพวงกุญแจก็มี

   รวมทั้งอาหารที่สามารถหาได้ตามฤดูกาล อย่างปลาช่อนแดดเดียว น้ำพริกปลาแห้ง กล้วยฉาบ และอาหารอื่นๆ ตามที่ที่ประชุมสหกรณ์ตรวจสอบความสะอาดให้สามารถนำมาขายได้

   แต่ถ้าใครไม่สะดวกที่จะมาซื้อที่สหกรณ์ ก็สามารถสั่งของได้ทางเพจ ‘เฮือนม่านไหม’ ก็จะมีบริการส่งแบบออนไลน์ให้กับลูกค้าทั่วประเทศ แต่ที่ผมต้องมาดูผ้าด้วยตัวเอง ก็เพราะเวลาถ่ายรูปผ้า สีของผ้าจะเพี้ยนไปจากสีจริงที่มองเห็นด้วยตาพอสมควร เลยมาดูด้วยตาตัวเองจะดีกว่า

   เมื่อไปถึงเรือนไทยซึ่งมีป้าย ‘เฮือนม่านไหม’ ติดไว้ด้านหน้า ก็เห็นว่ามีคนยืนรออยู่ตรงบันไดด้านหน้าเรือนแล้ว พอเดินไปใกล้ๆ แล้วเห็นคนที่ยืนรอชัดๆ ผมก็ยิ้มให้ทันที

   “น้องซอ”

   “พี่แสนสวัสดีครับ” น้องซอยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ผมอย่างเรียบร้อย

   “สวัสดีครับ เห็นลุงแซนบอกว่าซอสอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว ดีใจด้วยนะครับ แล้วนี่เรียนใกล้ๆ บ้านเหรอครับถึงได้กลับบ้านได้”

   “ผมเรียนที่ภาคใต้ครับ แต่พอดีปิดเทอมก็เลยกลับบ้านครับพี่แสน”

   “โห ไกลเหมือนกันนะ คิดถึงบ้านแย่เลยสิ”

   “คิดถึงมากเลยครับพี่ ผมจัดกระเป๋ากลับบ้านไว้ก่อนปิดเทอมเป็นอาทิตย์เลยครับ” ซอเล่าให้ฟังด้วยท่าทางเขินๆ ทำให้ผมยิ้มด้วยความเอ็นดู

   “เออ ลืมแนะนำไป คล้าวนี่น้องซอ น้องซอนี่พี่คล้าวครับ” เทียบกันแล้วคล้าวน่าจะเป็นพี่ เพราะน้องซอเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย อายุคงไม่เกิน 18 ส่วนคล้าวตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 20 ได้แล้ว

   “สวัสดีครับพี่” น้องซอยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย

   “สวัสดีครับ” คล้าวก็ยิ้มแล้วรับไหว้อย่างสุภาพ

   “ขึ้นไปข้างบนดีกว่าครับ ผ้าจากสมาชิกมาส่งครบเมื่อวาน ผมเห็นแล้วมีแต่สวยๆ ทั้งนั้นเลยครับ เมื่อวานช่วยป้าๆ จัดดูเพลินไปเลย ดีที่พี่แสนมาก่อน จะได้เลือกก่อน เพราะอาทิตย์หน้าจะมีทัวร์จากกรุงเทพฯ มาลงพอดีเลยครับ” ซอเดินนำขึ้นบันไดไปด้วยและคุยไปด้วย

   “ต้องขอบคุณพ่อเราที่โทรบอกพี่ก่อน”

   “พ่อบอกว่าในฐานะที่พี่แสนเป็นลูกค้าประจำ ก็ต้องได้สิทธิพิเศษเป็นธรรมดาครับ ปีที่แล้วยอดขายผ้าไหมพุ่งขึ้นเพราะพี่แสนเลย ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสคนบ้านเรา” พอเดินขึ้นไปถึงบนเรือน น้องซอก็หันมาขอบคุณผมด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้ง ทำเอาผมรู้สึกเขินขึ้นมาเลย

   “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ฝีมือคนที่นี่ดีอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีพี่ พี่ก็เชื่อว่างานฝีมือของคนที่นี่จะเป็นที่รู้จักและขายดีแน่นอนครับ” น้องซอไม่ได้ตอบอะไร แต่ยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะหันกลับเดินนำไปที่ห้องเก็บผ้าไหมแล้วผลักประตูเข้าไป

   พอเดินตามน้องซอเข้ามาด้านในแล้วตาผมก็เป็นประกาย เมื่อด้านในนี้เต็มไปด้วยผ้าไหมมากมายหลากหลายสีสัน แขวนไว้บนราวไม้ไผ่ที่ขึงเป็นชั้นๆ ไล่ระดับกันไว้รอบห้อง ตรงกลางห้องเป็นชั้นไม้ที่ทำเหมือนราวตากผ้าทำมือที่ไล่เป็นชั้นๆ จากล่างขึ้นบนไว้สำหรับวางผ้าไหมเช่นเดียวกัน ยิ่งเดินดูยิ่งชอบใจ เพราะผ้าทุกผืนทอได้อย่างละเอียดลออและงดงามไม่ซ้ำกันจนอยากจะเหมากลับไปให้หมด

   บริเวณพื้นด้านล่างที่ชายผ้าไหมลงไปไม่ถึง ก็มีการนำล็อคไม้ที่ทำเป็นช่องขนาดพอดีสำหรับใส่ผ้าขาวม้าที่พับใส่ถุงวางเรียงกันอย่างสวยงามไว้รอบห้อง

   “เลือกตามสบายเลยครับพี่แสน” น้องซอบอกด้วยรอยยิ้มกว้างขวางเหมือนจะอวด

   “ผ้าไหมมัดหมี่ก็สวย ผ้าไหมแพรวาก็สวยมากเลยครับ พี่เลือกไม่ถูกเลย” พอหันไปมองก็เห็นสีหน้าที่ภาคภูมิใจของซอ

   “ครับ ตอนนี้กลุ่มแม่บ้านของเราพยายามพัฒนาฝีมือกันอยู่ครับ มีขอไปศึกษาดูงานที่อื่นแล้วก็กลับมาออกแบบลายใหม่ๆ ของตัวเอง จะได้มีลายที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือกได้มากขึ้นครับ”

   ผมฟังไปสายตาก็มองผ้าในห้องอย่างชื่นชม ก่อนจะเดินเลือกผ้าอย่างมีความสุข โดยมีน้องซอคอยสอยและหยิบผ้าผืนที่ผมสนใจมาให้ดู ส่วนคล้าวก็ช่วยรับผ้าที่ผมเลือกไปถือให้

   ผมเลือกผ้าเพลินจนได้ผ้าไหมมาเป็นสิบผืนและเลือกผ้าขาวม้ามาอีกหลายผืน นอกจากจะใช้ตัดในงานแฟชั่นโชว์ได้แล้ว ที่เหลือก็สามารถนำไปตัดเข้าร้านได้ด้วย นอกจากนี้ก็ยังได้ผ้าพันคอสวยๆ ไปฝากแม่และเพื่อนๆ แม่ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และหาลูกค้าให้กับสหกรณ์อีกทางหนึ่งด้วย

   หลังจากเลือกผ้าเสร็จแล้ว พอจะจ่ายเงิน น้องซอก็หยิบคิวอาร์โค้ดของธนาคารแห่งหนึ่งขึ้นมาตั้งแล้วยิ้มแฉ่งเหมือนจะอวดจนผมหลุดหัวเราะด้วยความเอ็นดูแล้วเอ่ยชม

   “ทันสมัยมากครับ”

   “จะได้อินเทรนด์ไงครับพี่ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าด้วย จะได้ไม่ต้องพกเงินสดมาเยอะไงครับ”

   “ใครเป็นคนคิดครับเนี่ย”

   “ผมเองครับ” น้องซออวดด้วยน้ำเสียงภูมิใจจนผมอดจะยกมือไปขยี้หัวด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   “เก่งมากครับ” ยิ่งชมก็ยิ่งยิ้มกว้างจนผมต้องหลุดหัวเราะอีกครั้ง

   “พี่อยากไปดูอีกฝั่งหน่อย เผื่อจะได้ของอย่างอื่นติดไม้ติดมือกลับด้วย น้องซอช่วยเปิดอีกฝั่งให้ได้ไหมครับ”

   “ได้สิครับ” พูดจบก็เดินนำไปเราไป

   เรือนไทยหลังนี้เป็นเรือนแฝดมีทางเชื่อมถึงกันได้ บริเวณทางเชื่อมที่ด้านล่างเป็นบ่อบัวที่ตอนนี้ดอกบัวหลากสีสันบานชูช่ออวดความงามแข่งกันอยู่ สวยจนอดจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ไม่ได้

   เรือนฝั่งด้านหน้าทางเข้าที่เอาไว้สำหรับวางผ้าไหมขายอย่างเดียว เนื่องจากต้องใช้พื้นที่ในการโชว์ผ้าเยอะ ส่วนอีกฝั่งซึ่งอยู่ด้านในนั้นวางขายผลิตภัณฑ์ทำมืออย่างอื่นและอาหารด้วย ซึ่งทั้งสองฝั่งมีบันไดขึ้นเรือนทั้งสองข้าง เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการได้โดยไม่ต้องเดินอ้อม

   พอเข้าไปด้านในก็อดจะชื่นชมฝีมือของคนที่นี่ไม่ได้ ด้านในมีแต่ของสวยๆ เต็มไปหมด ผมได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับอีกหลายชิ้น ทั้งกระเป๋าสะพายที่ถักจากผักตบชวาหลายใบ เสื่อพับที่ทำจากต้นกก ปลาช่อนแดดเดียว น้ำพริกปลาแห้ง พวงกุญแจและของฝากอื่นๆ กลับไปฝากคนที่บ้านและที่ร้านด้วย

   พอสายๆ หน่อยก็มีลูกค้าแวะเข้ามาซื้อของบ้าง ซึ่งก็มีคนดูแลคนอื่นมาช่วยน้องซอขายด้วย ผมเดินเลือกของอย่างเพลิดเพลิน กว่าจะซื้อของเสร็จก็ใกล้เที่ยงพอดี มิน่าล่ะถึงรูปสึกหิวขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว

   “แถวนี้มีร้านอาหารใกล้ๆ บ้างไหมครับน้องซอ”

   “ถ้าพี่แสนไม่รังเกียจ ไปทานข้าวบ้านผมไหมครับ” น้องซอชวนด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

   “จะดีเหรอ พี่เกรงใจ”

   “ไม่ต้องเกรงใจเลยครับ ป้าบอกว่าอยากทำอาหารเลี้ยงตอบแทนพี่แสนบ้าง บ้านผมอยู่ไม่ไกล ไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว... ไปนะครับ” ได้ยินน้ำเสียงอ้อนๆ นั้นแล้วก็ใจอ่อนยวบ

   “ถ้าไม่เป็นการรบกวน... ก็ได้ครับ”

   “เย้!” น้องซอร้องอย่างลืมตัว

   “ฮ่าๆๆ” ก่อนจะยิ้มเขินๆ เมื่อผมหลุดหัวเราะ ขนาดคล้าวที่ยืนนิ่งๆ ยังหลุดยิ้มขำ

   “เดี๋ยวผมช่วยขนของขึ้นรถเสร็จแล้วพี่แสนขับรถตามผมไปนะครับ”

   “ได้ครับ”

   หลังจากขนของเสร็จแล้ว น้องซอก็ขับมอเตอร์ไซต์นำหน้าไป ผมขับตามไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ไปถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งด้านล่างสร้างจากปูนทั้งชั้น ส่วนด้านบนนั้นสร้างจากไม้ น้องซอจอดรถแล้วไปเลื่อนประตูให้ผมเข้าไปจอดด้านในซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลังบ้าน

   “บ้านสวยนะครับ” หลังจากกวาดสายตามองแล้วก็อดจะชื่นชมไม่ได้ ตัวบ้านดูสวยแบบเรียบง่าย รอบๆ บ้านก็ร่มรื่นเพราะเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี

   “พ่อผมเป็นคนออกแบบเอง แล้วก็ช่วยช่างสร้างจนเสร็จด้วยครับ” น้องซอบอกแล้วยิ้มกว้างยิ่งกว่าตอนอวดผ้าซะอีก เห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้มด้วยความเอ็นดู

   “คุณแสนมาแล้วเหรอลูก”

   “ครับป้า” พอน้องซอรับคำแล้ว หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูแล้วส่งยิ้มมาให้

   “สวัสดีครับ” ผมกับคล้าวยกมือไหว้

   “สวัสดีค่ะคุณแสน”

   “เรียกแสนเฉยๆ ก็พอครับ อย่าเรียกคุณเลย” พอผมบอก คุณป้าก็ยิ้ม

   “เข้ามาพักในบ้านก่อนเลยจ้ะ ซอพาคุณแสนเข้าบ้านสิลูก” ผมเผลอขมวดคิ้วฉับ เมื่อคุณป้ายังเรียกคุณเหมือนเดิม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพอพูดจบคุณป้าก็เดินเข้าบ้านไป

   “ไปครับพี่แสน เข้าไปพักด้านในก่อน” น้องซอยิ้มก่อนจะเดินนำอ้อมพาไปด้านหน้าบ้าน พอเดินขึ้นไปด้านบนก็มองเห็นบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ห่างไปไม่ถึงร้อยเมตร

   “ตรงนั้นเป็นบึงน้ำเหรอครับ”

   “ครับพี่ เป็นบึงน้ำสาธารณะของหมู่บ้านเราครับ เราเลี้ยงปลาไว้ พอปลาโตเมื่อไหร่ก็จะเปิดให้คนเข้ามาจับพร้อมกันครับ รอบๆ บึงก็มีต้นกกขึ้นเองตามธรรมชาติเอาไว้ทอเสื่อครับพี่แสน ที่จริงผมก็อยากพาไปดูนะ แต่ตอนนี้ร้อนมากเลย” ผมพยักหน้าเข้าใจ ถึงจะอยากไปเดินดูแค่ไหน แต่ก็คงสู้แดดตอนเที่ยงไม่ไหวหรอก

   “พี่แสนนั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะไปช่วยป้าก่อน ถ้าเสร็จแล้วจะมาเรียกนะครับ” น้องซอเดินนำเข้าไปตรงชานที่ตั้งแคร่ไม้ไผ่ไว้ชิดกับแพง

   “ให้พวกพี่ช่วยอะไรไหมครับ”

   “ไม่ต้องหรอกครับ ผมว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้วละ” น้องซอบอกก่อนจะเดินไปหาน้ำมาเสิร์ฟแล้วก็เดินหายไปด้านหลังบ้าน ไม่นานก็เริ่มยกอาหารออกมา ผมกับคล้าวเลยเดินไปช่วยลำเลียงมาด้วย

   “ป้าก็ลืมถามไปว่าอาหารบ้านๆ แบบนี้คุณแสนกับเพื่อนทานได้รึเปล่าคะ” ระหว่างที่น้องซอตักข้าวอยู่ คุณป้าก็ถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล

   “ได้ครับได้ ผมกับน้องทานง่ายอยู่แล้ว ปลาร้าผมก็ทานได้ครับ” ผมยิ้มแล้วกวาดสายตามองอาหารตรงหน้า มีทั้งลาบหมู น้ำพริก ผักหลายอย่างในถาดทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ต้มปลานิล ไข่เจียว และแกงอะไรสักอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

   “อันนี้แกงผักหวานค่ะ ป้าใส่เนื้อหมูแทนไข่มดแดง เพราะกลัวจะทานไม่เป็นกัน คุณแสนลองทานดูนะคะเผื่อจะชอบ” พอเห็นผมจ้องแกงถ้วยนั้น คุณป้าก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม

   “ผมบอกแล้วไงครับ ว่าไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ คิดว่าผมเป็นลูกเป็นหลานอีกคนเถอะนะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แบบที่ใช้กับคนที่บ้าน

   “ก็ได้จ้ะ น้องแสน ทานเลยลูก” คุณป้าบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเอ็นดูจนผมยิ้มหวานเพราะได้สมใจแล้ว

   “แล้วลุงแซนล่ะครับ ไม่มาทานข้าวด้วยกันเหรอ”

   “พ่อไปประชุมที่ต่างจังหวัดครับพี่ วันนี้คงไม่ได้กลับ” น้องซอตอบแทน เพราะคุณป้ากำลังตักกับข้าวให้ผมกับคล้าวอยู่

   “ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้าให้น้องซอ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณคุณป้า

   หลังจากที่ได้ชิมอาหารแล้วก็ได้แต่เอ่ยปากชม เพราะอาหารอร่อยทุกอย่างเลย ยิ่งแกงผักหวานยิ่งอร่อย ชอบจนอยากจะขอสูตรไปทำกินเองที่บ้านด้วย

   เราทั้งสามเติมข้าวอีกคนละสองรอบ เจริญอาหารจนคุณป้ายิ้มแก้มปริ ผมนี่อิ่มจนจุก รู้สึกเข้าใจงูเหลือมที่เพิ่งกินอิ่มจนกระดิกไม่ได้ขึ้นมาเลย หลังจากอิ่มแล้วก็ช่วยกันยกของไปเก็บแล้วก็กลับมานั่งพักพุงกันที่เดิม

   “พี่แสนจะไปไหนต่อไหมครับ” น้องซอถามขึ้นหลังจากที่คุณป้าไปเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงหนอนไหมแล้ว

   “พี่ว่าจะหาที่พักพักสักคืนก่อนครับ อยากให้พี่คล้าวได้พักก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางกลับ แถวนี้มีโรงแรมหรือรีสอร์ตใกล้ๆ ไหมครับ”

   “ถ้าไม่รังเกียจพักที่นี่ไหมครับ เมื่อคืนพ่อกับป้าคุยกัน บอกไว้ว่าถ้าพี่แสนต้องค้างคืนก็ให้ชวนพักด้วยกันที่นี่เลย” พอผมถามจบน้องซอก็ชวนอย่างกระตือรือร้น

   “แต่พี่ไม่อยากรบกวน...”

   “ไม่รบกวนเลยครับ ถ้าพี่แสนพักด้วย พวกเราจะดีใจมากๆ เลย” พูดจบก็จ้องรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
 
   “ถ้างั้นรบกวนหน่อยนะครับ” สายตาที่เหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของนั้นทำให้ผมใจอ่อนยวบ เผลอตกปากรับคำไปอย่างลืมตัว

   “เย้! งั้นพี่แสนกับพี่คล้าวนอนพักไปก่อนนะครับ จะพักตรงนี้หรือจะเข้าไปในห้องดีครับ” ผมหันไปมองคล้าวเพื่อขอความเห็น

   “ตรงนี้ก็ได้ครับ ลมเย็นดี” พอคล้าวบอก น้องซอก็เดินเข้าบ้านไปหอบหมอนหอบผ้า ยกพัดลมมาเปิดให้ หลังจากเรียบร้อยแล้วก็ปล่อยให้เราพักผ่อน แล้วขอตัวไปช่วยที่สหกรณ์ต่อ

   หลังจากที่น้องซอไปแล้ว ผมก็บอกให้คล้าวนอนพัก ซึ่งคล้าวก็นอนลงอย่างว่าง่าย พอทิ้งตัวลงนอนก็ตะแคงตัวหันหน้ามาทางผม

   ผมนั่งมองคนที่นอนอยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุข พอรู้สึกเมื่อยก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ตะแคงหันหน้ามองคล้าวเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าคิ้วของคล้าวขมวดนิดๆ ก็ใช้นิ้วแตะหว่างคิ้วแผ่วเบาหวังจะช่วยให้คลายออก แต่คนที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับลืมตาขึ้นมามองผมแล้วเอ่ยปากถาม

   “พี่แสนรู้จักซอมานานแล้วเหรอครับ”

   “ก็เป็นปีแล้วครับ ก่อนที่พี่จะเปิดร้าน พี่ก็ตระเวนหาผ้าสวยๆ ไปตัดเสื้อผ้าเข้าร้าน แล้วก็มาเจอสหกรณ์ของที่นี่ พี่เลยลองแวะมาดู เห็นผ้าที่นี่สวยและลวดลายเป็นเอกลักษณ์ดีก็เลยซื้อไปหลายผืน หลังจากนั้นก็มาซื้อเองบ้าง สั่งออนไลน์บ้าง ก็เลยติดต่อกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาครับ” พออธิบายจบผมก็นึกสงสัยว่าคล้าวถามทำไม สายตาและสีหน้าผมคงแสดงออกชัด คล้าวจึงหลุบเปลือกตาลงก่อนจะพูดเบาๆ ผิดวิสัยจนผมต้องเงี่ยหูฟัง

   “พี่แสนดูสนิทกับน้องมาก”

   “ครับ ตอนแรกพี่รู้จักกับลุงแซนพ่อของน้องซอก่อน หลังๆ มาลุงแซนให้ซอติดต่อพี่ผ่านไลน์แทน ก็เลยทำให้สนิทกันไปด้วยครับ อีกอย่าง... น้องซอเป็นเด็กน่ารักด้วย ทั้งขยันขันแข็ง สุภาพ มีสัมมาคารวะ ใครเห็นก็อดจะเอ็นดูไม่ได้หรอกครับ” ผมพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงคนที่พูดถึง

   “แล้วผมล่ะครับ”

   “ครับ?” ผมมองคล้าวงงๆ เมื่อไม่เข้าใจคำถาม

   “พี่แสนบอกว่าน้องซอน่ารัก แต่ผม...ไม่น่ารักเหมือนน้อง” ผมอึ้งไปนิดเมื่อฟังจบ ก่อนหัวใจจะเต้นรัวเร็วขึ้นเมื่อเข้าใจถึงอาการผิดปกติของคล้าว

   โธ่เอ๊ย! เด็กขี้อิจฉา

   ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจและเผลอส่งสายตาล้อเลียนไปให้จนคล้าวมีท่าทีเก้อเขินขึ้นมา ยิ่งอยู่ใกล้ในระยะประชิดแบบนี้ยิ่งเห็นว่าผิวหน้าและใบหูแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด

   น่ารักจะอยากจะฟัด แต่กลัวจะประเจิดประเจ้อเกินไป เดี๋ยวชาวบ้านแถวนี้จะช็อคเอา เลยได้แต่ยิ้มกว้างและหลุดหัวเราะออกมา

   “ฮะๆ มันเทียบกันไม่ได้เลยครับ” พูดจบคล้าวก็มีสีหน้าขรึมลง ทำให้ผมต้องรีบพูดต่อ

   “พี่เอ็นดูน้องซอเหมือนเอ็นดูน้องชาย แต่สำหรับคล้าวแล้ว คล้าวรู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่ได้คิดและมองคล้าวในฐานะนั้น แต่ถ้าถามว่าน่ารักไหม....” ผมเอื้อมมือไปแตะใบหน้าคล้าวเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ

   “สำหรับพี่แล้วคล้าวน่ารักที่สุด น่ารักจนอยากให้มาเป็น ‘ที่รัก’ กันเร็วๆ เข้าใจไหมครับ” คล้าวยกมือมาทับมือของผมแล้วเอียงหน้าแนบกับมือข้างนั้นเหมือนจะอ้อน คราวนี้คนที่เขินกลับเป็นผม เพราะรอยยิ้มที่คล้าวส่งมานั้นแสนจะอ่อนโยนจนแทบละลาย

   “เข้าใจแล้วครับ” คล้าวจับมือผมมาวางไว้ตรงกลางระหว่างเราสองคนแล้วกุมไว้ ผมดึงผ้ามาปิดไว้กันไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะบอกคนที่ไม่ยอมนอนสักที

   “เข้าใจก็นอนพักได้แล้วครับ” ซึ่งคล้าวก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย ไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าคล้าวหลับไปแล้ว ส่วนผม หลังนอนมองหน้าคล้าวได้สักพัก พอเจอลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามา ตาก็เริ่มปรือแล้วก็หลับตามไป
   
(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 01-12-2018 13:55:26

   ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงวัวควายร้อง พอลืมตาขึ้นมาก็ชะงักเมื่อสายตาปะทะกับแผงอกกว้างในระยะประชิด พอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของแผงอกแน่นๆ นั้นกำลังมองมาด้วยแววตาอ่อนโยน

   “ตื่นนานรึยังครับ” ผมเอื้อมมือไปปัดผมที่ตกมาปรกตาให้คล้าว คล้าวก็เอื้อมมือมาปัดให้ผมเหมือนกัน

   “ตื่นก่อนพี่แสนไม่นานครับ” คล้าวตอบยิ้มๆ พอเห็นสีหน้าที่ดูสดชื่นขึ้นของคล้าวก็อดจะยิ้มตามไม่ได้ อยากจะนอนสบตากันอยู่อย่างนี้ต่อไป แต่ก็กลัวคนจะเข้ามาเห็น เลยจำใจขยับลุกขึ้นมานั่ง จึงได้เห็นว่ามีผ้าคลุมตัวพวกเราอยู่

   ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นว่าเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว คล้าวลุกและเก็บผ้าห่มพับอย่างเรียบร้อย ผมรู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นจึงหยิบขึ้นมาดูก็เห็นข้อความที่น้องซอส่งมา

   “ตื่นหรือยังครับพี่ๆ ถ้าตื่นแล้วก็ไปเดินเล่นริมบึงรอไปพลางๆ ก่อนนะครับ อากาศไม่ร้อนแล้ว เดี๋ยวผมไปซื้อกับข้าวก่อนครับ”

   “น้องซอบอกว่ากำลังไปซื้อกับข้าว ให้เราเดินเล่นริมบึงรอไปก่อนครับ”

   ฟังจบคล้าวก็ลงจากแคร่ไปยืนรอแล้วส่งมือมาให้โดยไม่มองหน้า เห็นใบหูแดงๆ ก็ได้แต่อมยิ้ม ผมลุกตามไปแล้วยื่นมือไปจับ ปล่อยให้คล้าวจูงมือเดินไปเรื่อยๆ

   เราสองคนจูงมือเดินเคียงกันไปได้ไม่นานก็ถึงบึงน้ำขนาดใหญ่ที่กะจากสายตาแล้วน่าจะกินพื้นที่หลายไร่

   รอบๆ บึงเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หลายชนิด บริเวณริมน้ำมีกอหญ้าขึ้นรอบบึงน่าจะเป็นต้นกกอย่างที่น้องซอบอกไว้  ในบึงมีดอกบัวตูมๆ ชูช่ออยู่เต็มไปหมด สายลมพัดมาเอื่อยๆ  ทำให้รู้สึกเย็นสบาย

   พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แสงสีทองสาดส่องมาทำให้บรรยากาศในยามนี้สวยงามจับตาจับใจ เห็นแล้วนึกถึงบ้านริมทุ่งของคล้าวเหลือเกิน

   ผมหยิบกล้องออกมาถ่ายภาพคล้าวและวิวสวยๆ ตรงหน้าเอาไว้ ชาวบ้านที่จูงวัวควายมากินน้ำเมื่อเดินผ่านก็ส่งยิ้มมาให้

   เมื่อชาวบ้านจูงวัวคลายกลับไปหมดแล้ว ผมก็เอื้อมไม่กุมมือของคล้าวเดินต่อ ซึ่งเจ้าตัวก็ก้มลงมองมือที่กุมกันอยู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประสานให้แน่นขึ้นแล้วเดินต่อไป ทำให้ผมยิ้มอย่างมีความสุข

   รู้สึกสุขและสงบจนอยากจะอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

   “พี่แสน พี่คล้าวววว” เราสองคนเดินต่อไปจนเกือบจะรอบบึงแล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นไกลๆ

   เพียงไม่นานคนเรียกก็วิ่งมาถึง

   “แฮ่กๆๆ”

   “น้องซอ”

   “ผม แฮ่กๆ”

   “ใจเย็นๆ ครับน้องซอ หายใจเข้าลึกๆ หายเหนื่อยแล้วค่อยพูด ไม่ต้องรีบ” พอบอกแบบนั้นน้องซอก็ยืดตัวขึ้นแล้วหายใจลึกๆ อย่างว่าง่าย พอหายใจทันแล้วก็ยิ้มเขินๆ ให้

   “ผมมาตามไปทานข้าวครับ กับข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

   “โอเคครับ”

   น้องซอเดินนำแล้วก็ชวนคุยไปตลอดทาง เมื่อกลับไปถึงบ้านก็เห็นว่ามีกับข้าววางไว้บนแคร่เรียบร้อยแล้ว น้องซอก้าวขึ้นบนแคร่แล้วตักข้าวใส่จาน

   “แล้วคุณป้าล่ะครับ”

   “ป้ามีอีเว้นท์ด่วนครับพี่ ทำกับข้าวเสร็จก็เก็บผ้าเก็บผ่อนหนีไปทำบุญต่างจังหวัดแล้ว ดีนะที่พี่แสนกับพี่คล้าวอยู่ด้วย ผมเลยมีเพื่อนทานข้าว” น้องซอตักข้าวเสร็จก็หันมาตอบ

   “ทานเลยครับ วันนี้มีแกงหน่อไม้สด ปลาหลดทอดกระเทียม แล้วก็มีซุปมะเขือครับ ทานได้ไหมครับ”

   “ได้ครับได้ น่าทานมากเลย” อาหารทุกอย่างอร่อยมาก คุณป้าทำรสไม่จัดมาก ถูกปากจนต้องเติมข้าวอีกสองรอบ นี่ถ้าอยู่ที่นี่หลายวัน น้ำหนักผมคงขึ้นมาอีกหลายกิโลแน่ๆ

   หลังจากทานข้าวและขนของไปเก็บแล้ว น้องซอก็หายากันยุงมาจุด แล้วก็ชวนคุยรอให้อาหารย่อยอยู่ที่เดิม ผมเดินออกนอกชายคาแหงนมองดูท้องฟ้าก็เห็นว่าฟ้าโปร่งมากทำให้เห็นดวงดาวที่ทยอยโผล่ออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

   “ที่นี่บรรยากาศดีมากเลยนะครับ” ผมหันมายิ้มให้น้องซอที่มายืนมองดาวอยู่ข้างๆ

   “ถ้าชอบก็แวะมาเที่ยวกันอีกนะครับพี่แสน พี่คล้าว” น้องซอหันมาชวนด้วยรอยยิ้มสดใส ทำให้ผมยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู

   พอหันไปมองคล้าวที่ยืนอยู่อีกข้างก็เห็นว่ากำลังมองมาที่เราสองคนอยู่ เห็นแล้วก็นึกถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อตอนบ่าย เลยเหลือบไปมองน้องซออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าน้องแหงนมองท้องฟ้าอยู่ ผมก็เอื้อมมือไปกุมมือคล้าวไว้ รู้สึกได้ว่าคล้าวกระชับมือให้แน่นขึ้น จึงหันไปสบตาแล้วยิ้มให้กันก่อนจะแหงนมองดาวต่อไป

   น้องซอจัดที่นอนให้เราสองคนนอนให้ห้องของตัวเอง ส่วนตัวเองก็ไปนอนห้องพ่อแทน ตอนกลางคืนอากาศเย็นสบายผิดกับช่วงกลางวันลิบลับ น้องซอเปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมระบายอากาศ และกางมุ้งกันยุงให้

   ผมนอนตะแคงมองคล้าวที่นอนอยู่ข้างๆ ท่ามกลางความมืด พอเห็นว่าคล้าวหลับไปสักพักแล้วก็แอบขยับไปจูบหน้าผากแล้วกระซิบบอกเบาๆ

   “ฝันดีนะครับพี่คล้าวของทองกวาว” ตอนที่เป็นควายบอกได้แค่ในใจ แต่ตอนนี้ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้แล้ว มีโอกาสพูดให้ฟังได้สักที ผมยิ้มอย่างมีความสุขและคิดว่าคืนนี้คงจะหลับฝันดีแน่นอน

   ก่อนที่จะเคลิ้มหลับไปก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก และได้ยินเสียงกระซิบนุ่มๆ บอกฝันดีที่ข้างหู

   อืม เป็นฝันที่ดีจริงๆ




   
   รุ่งเช้าผมตื่นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น หลังจากทำธุระส่วนตัวและรับประทานอาหารเช้าง่ายๆ ที่น้องซอทำให้แล้วก็เตรียมตัวเดินทางกลับเลย

   ผมกับคล้าวขอบคุณน้องซอและฝากขอบคุณลุงแซนและคุณป้า (ที่ตอนนี้ยังไม่กลับบ้าน) ที่ต้อนรับและให้การดูแลเป็นอย่างดี ผมโบกมือลาน้องซอที่ยืนโบกมือลาด้วยรอยยิ้มที่สดใส ก่อนจะหันมามองหน้าคล้าวแล้วบอก

   “ไว้มีโอกาสมากันใหม่นะครับ”

   “ครับ”

   ที่ที่มีความทรงจำดีๆ ร่วมกันแบบนี้ เอาไว้ค่อยหาโอกาสมาเที่ยวด้วยกันอีกสักครั้ง

   ผมเปิดหาข้อมูลวัดที่อยู่ข้างทางแล้วชวนคล้าวแวะทำบุญไหว้พระ มีวัดแห่งหนึ่งหลวงพ่อให้สายสิญจน์เรามาคนละเส้น พอขึ้นรถเรียบร้อยแล้วผมก็ยื่นสายสิญจน์ที่ได้มาไปตรงหน้าคล้าว

   “เดี๋ยวพี่ผูกให้ครับ” คล้าวยื่นมือมาให้อย่างว่าง่าย ผมบรรจงผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือข้างนั้นอย่างตั้งใจ พอผูกเสร็จก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วก็ยื่นสายสิญจน์และมืออีกข้างของตัวเองไปให้

    “ผูกให้พี่หน่อยครับ” คล้าวรับสายสิญจน์ไปแล้วบรรจงผูกให้อย่างเบามือ พอผูกเสร็จก็ลูบตรงปมอย่างนุ่มนวล ผมจ้องหน้าคนที่ตั้งใจผูกอย่างเผลอไผล พอผูกเสร็จคล้าวก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพอดี เหมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้เราสองคนค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กันเรื่อยๆ จนจมูกแทบจะชนกัน

   ปิ๊น! ก่อนที่จะดุ้งโหยงทั้งคู่ เมื่อได้ยินเสียงแตรจากรถยนต์ที่กำลังแล่นผ่านไป

   เราสองคนหันไปมองรถคันนั้น ก่อนจะหันมามองหน้ากัน แล้วลูบหัวลูบหูตัวเองให้วุ่นด้วยความเขิน นี่ถ้าไม่ได้ยินเสียงแตรคงจะเผลอจูบน้องมันไปแล้ว

   แสนเสน่ห์ สติโว้ยสติ! นี่มันในวัด! จะจูบกันในวัดไม่ได้ ถ้านอกวัดก็ว่าไปอย่าง แฮ่ม!

   หลังจากนั้นเราสองคนแวะเที่ยวข้างทางไปเรื่อยๆ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำพอดี ขากลับผมก็ยังคงหลับตลอดทางเหมือนเดิม หลังจากส่งคล้าวเรียบร้อยแล้วผมก็รีบกลับบ้าน เพราะทั้งเฮียทั้งธงรบส่งข้อความและโทรตามบ่อยยิ่งกว่าขาไปซะอีก
 
   กลับไปถึงบ้านก็เจอบรรดาพ่อๆ รออยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งพ่อบังเกิดเกล้าและพ่อ No.2 No.3 ป๊ารู้แค่ว่าผมไปดูผ้ากับเพื่อนที่เฮียกับธงรบรับประกันว่าไว้ใจได้ พอเห็นผมกลับมาอย่างปลอดภัยก็ชวนแม่ไปนอน ปล่อยให้พ่อ No.2 No.3 ซักต่อจนสะอาด พอถามกันจนพอใจนั่นแหละทั้งคู่ถึงได้ปล่อยให้ผมไปพักได้

   ผมนอนมองสายสิญจน์ที่ข้อมือแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ยิ่งนึกถึงตอนที่ผลัดกันผูกข้อมือให้กันและเกือบจะได้จูบกันก็ยิ่งยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า

   อยากจะรู้เหลือเกินว่าตอนนี้เข้าไปอยู่ในหัวใจได้บ้างหรือยังนะ

   พี่คล้าวของทองกวาว
   
   


**************************************************

ตอนนี้มันก็จะเหม็นความรักหน่อยๆ นะคะ 5555555

ที่จริงตอนแรกว่าจะให้บ้านน้องซออยู่สุรินทร์ค่ะ แต่ไม่ค่อยได้ไปแถวนั้น เลยเปลี่ยนอยู่ศรีสะเกษดีกว่า เพราะถ้าต้องเขียนเรื่องน้องซอจะได้ไม่ติดขัด (ถ้ามีไฟเขียนต่ออะนะ)

ตอนเด็กๆ เคยไปช่วยป้าๆ เลี้ยงหนอนไหมสนุกมากค่ะ ดูหนอนกินใบหม่อน นั่งดูป้าทอผ้าไหม แล้วก็ขอป้าถ้าป้าทอสีที่ชอบ แต่ทอไม่เป็น เพราะมันยากไปหน่อย

ฝันอยากให้มีสหกรณ์ในหมู่บ้าน เพื่อรวมตัวกันขายของหลายๆ อย่าง มันน่าจะมีกำลังต่อรองและได้ราคามากกว่าผ่านพ่อค้าคนกลางแน่ๆ ค่ะ แต่นะ... ก็ได้แต่ฝัน

**************************************************

#ommanymontra   :L2: :กอด1:
#iceman555 ธงรบไม่เนียนเลยนะคะ 555555
#MayA@TK พี่รบคิดไม่ซื่อค่ะ แค่กๆๆๆ
#wutwit ธงรบไม่เนียนเลยค่ะ ใครก็จับได้ 5555
#puiiz  :L2: :กอด1:
#k2blove ดีใจที่ชอบค่า ตอนนี้จะหวานกว่าตอนที่แล้วอีกค่ะ ส่วนธงรบนี่ หึๆๆๆ
#PsychePie พี่มันหื่นค่ะ พอเป็นคนต้องแอบหื่นค่ะ คีพลุคนิดนึง
#taltal020441 ไม่เนียนจริงๆ ค่ะ ไม้หนีเร้วลูกกก 5555 ส่วนน้องคล้าวนี่พอไม่สนิทก็ไม่กล้า แต่พอแนบสนิท เอ๊ย สนิทแล้วก็จะกล้าขึ้นเองค่ะ
#aoihimeko เด็กมันยั่วค่ะ ต้องให้พี่แสนจัดให้หนัก แต่ไม่รู้ใครจะหมดสภาพกว่ากัน 5555 ส่วนธงรบ มันร้ายค่ะ ไว้ใจไม้ด้ายยย
#mijimaria ธงรบบอกว่านี่ผมเนียนแล้วนะ 55555
#lovenine พี่แสนอยากหื่นมากค่ะ แต่ต้องคีพลุค ถถถ วงวารพี่แสนนะคะ เดี๋ยวอีกสักพักถึงจะหื่นได้ชัดเจน แค่กๆๆๆ รอไปก่อนนะคะ

กราบแนบอกคนเม้นท์คนอ่านและ FC พี่คล้าวกับทองกวาวทุกคนค่ะ

 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-12-2018 14:29:11
อ้าววว อีแตรรถจะบีบเพื่อ ไม่ได้ดูจังหวะเลย  55555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-12-2018 15:06:29
หวานต่อเนื่องนะ คล้าวมีความหึงน้องซอ แต่น้องซอก็ดูเฟรนลี่ดีใครเห็นก็คิดไปแบบนั้น เข้าใจคล้าวนะ
ว่าแต่ในวัดนะ เกือบไปไหมละ ดีที่มีแตรรถ คิดแล้วเขินแทน
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 01-12-2018 15:36:55
เปิดเรื่องมาก็ฮา เจอควายจอมหื่น 1 อัตรา สักพักพาร้องไห้ สะเทือนใจไปกับพี่คล้าว
ชอบทุกตัวละครจ้า สนุกๆ มาลุ้นกับความรักของพี่แสน(ทองกวาว) กับน้องคล้าวจ๊ะ
จะรอดูคุณพ่อNo.3 เต๊าะเด็กยังไง หึหึ  โอ๊ย...เมื่อยแก้ม อ่านไปยิ้มไป
                   :mew1: :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-12-2018 18:03:15
วู้...เหม็นฟามรัก!  555+

อิน้องมันต้องแน่ใจแล้วแน่เลยว่าอิพี่คือทองกวาวของตัวเอง ก็นะ อิพี่มันดันเซ่อตอนบอกฝันดีนิเนาะ อยากให้เขาเป็นที่รักกันเร็ว เราจะได้เห็นฉากรักเร็วๆด้วย หุหุ

ส่วนรบ แกกำลังวางแผนที่จะเข้าป่าไปฟัน เอ้ย ตัดไม้ใช่ไหม?  ตอบ!!!
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2018 21:20:30
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 15 (Up 1/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 01-12-2018 21:26:24
นุ้งคล้าวอย่าน้อยใจที่ไม่ไดู้น่ารัก น่าทะนุถนอม
แค่นี้อ้ายแสนก็หืดหาด หิวจัดแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 08-12-2018 08:58:27
บทที่ 16

   หลังจากกลับมาจากซื้อผ้า ผมก็กลับมาหัวหมุนกับการเตรียมงานแฟชั่นโชว์ต่อ ทั้งเลือกผ้ามาตัดชุดตามที่ออกแบบไว้ ตระเวนหาผ้าที่เหมาะสมกับแบบมาเพิ่ม คัดเลือกและติดต่อนายแบบนางแบบที่เหมาะกับธีมของชุด ดูสถานที่เพื่อเตรียมติดต่อไว้ก่อนที่จะถึงวันงาน

   โชคดีที่ได้ทุกคนในครอบครัวคอยแบ่งเบาในส่วนที่พอจะช่วยได้ อย่างเรื่องติดต่อสถานที่ หลังจากฟังความต้องการของผมแล้ว ป๊ากับเฮียก็ช่วยแนะนำสถานที่ให้เลือกและช่วยจัดการต่อให้ ส่วนนางแบบนายแบบแม่ก็ให้คนช่วยประสานให้ เพราะแม่เคยติดต่อมาเดินแบบโชว์เครื่องประดับมาก่อน

   ครั้งนี้นอกจากจะนำเสนอเสื้อผ้าจากร้าน Maneethewa ของผมแล้ว ผมยังอยากจะนำเสนอเครื่องประดับจากร้านกุสุมาอัญมณีของแม่ไปพร้อมๆ กันด้วย

   หลังจากผมบอกแม่ว่าจะจัดงานและอยากโชว์ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับพร้อมกัน แม่ก็ให้ผมไปเลือกอัญมณีที่ร้านได้ตามสบาย หรือถ้ายังไม่พอใจก็ให้นักออกแบบเครื่องประดับที่ไว้ใจได้ออกแบบใหม่ให้เข้ากับชุดของผมได้เลย

   นอกจากนี้ ยังได้กำลังใจดีๆ จากคล้าว ที่หลังจากติวเสร็จก็มากินข้าวเป็นเพื่อน แล้วก็ลากไม้มาช่วยงานที่พอจะช่วยได้ทุกวัน บางวันถ้าผมว่างก็ช่วยติวภาษาอังกฤษให้ทั้งคู่ บางวันธงรบก็ช่วยติววิชาคำนวณเพิ่มให้

   “ข้อนี้ผมทำถูกไหมพี่”

   “ตรงนี้ไม่ถูก ต้องย้ายตัวนี้ไปแทนค่าตรงนี้”

   “ตรงนี้เหรอพี่”

   “ใช่”

   “ทำไมมันยากอย่างนี้วะ!”

   “ไอ้ไม้!”

   “อุย ขอโทษครับพี่รบ” ไม้มันยกมือไหว้ธงรบ เมื่อโดนลูกพี่มันดุ

   “ไม่เป็นไร” ส่วนธงรบก็ยิ้มแล้วมองไม้ด้วยแววตาเอ็นดู

   ผมยืนมองทั้งสามนั่งติวกันแล้วก็ได้แต่ขำ ไม้มันชอบเผลอหลุดคำหยาบประจำ ทำให้ลูกพี่มันต้องคอยปราม ทั้งๆ ที่ธงรบมันไม่ได้ว่าอะไร พอได้ยินเสียงผมหัวเราะทั้งสามคนก็หันมามองผม คล้าวส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมยิ้มตอบไปโดยอัตโนมัติ

   “ทำไมมายืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่ตรงนี้”

   “มึงสิบ้า” ผมหุบยิ้มฉับแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้คนชอบกวนประสาท

   “มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” คล้าวถามด้วยสีหน้าห่วงใย เห็นแล้วชื่นใจจริงๆ

   “ตอนนี้ยังไม่มีครับ พี่แค่เข้ามาหยิบของ ติวกันต่อเถอะ” ผมยิ้มให้คล้าว แค่ช่วยมาให้เห็นหน้าบ่อยๆ ก็มีกำลังใจมากแล้ว

   “เสียงอ่อนเสียงหวานเชียวนะ สองมาตรฐานชัดๆ” ธงรบมันบ่นเมื่อผมเดินไปใกล้ ผมเลยเอาสมุดที่หยิบมาฟาดมันไปทีด้วยความหมั่นไส้

   “โอ๊ย! เจ็บ น้องไม้ครับพี่เจ็บจังเลย” ธงรบหันไปสำออยกับไม้ที่นั่งอยู่ตรงข้าม

   “ตอแหล!”

   “หึๆ” คล้าวหัวเราะแล้วมองธงรบอย่างรู้ทัน ส่วนไม้ได้แต่มองทุกคนงงๆ เหมือนประมวลผลไม่ทัน

   ตอนนี้ไม้มาติวกับคล้าวทุกวัน พอติวเสร็จก็มาหาผมกันทั้งคู่ ส่วนธงรบก็มาหาผมประจำอยู่แล้ว เลยได้เจอกันตลอด ทำให้ผมรู้ว่าธงรบมันสนใจไม้ เพราะมันแสดงออกชัดเจนไม่ได้ปิดบังอะไร

   ผมเลยลากมันไปซักเพื่อให้แน่ใจ เพราะมันไม่เคยสนใจผู้ชายมาก่อน พอธงรบบอกว่าจริงจัง ผมเลยวางใจ ถ้ามันพูดแบบนี้แสดงว่ามันทบทวนความรู้สึกตัวเองดีแล้ว เลยปล่อยให้มันเต๊าะไม้ต่อไป ซึ่งไม้มันก็ดูมึนๆ งงๆ คงคิดว่าธงรบแกล้งเล่นมากกว่า เด็กบื้ออย่างมันตามใครไม่ทันหรอก

   เห็นแล้วก็ทั้งขำทั้งเพลีย ไม่รู้จะสงสารใครดี ระหว่างไม้ที่โดนคนอย่างธงรบสนใจ หรือธงรบที่ดันไปสนใจคนซื่อบื้ออย่างไม้
 
   ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ผมส่ายหัวแล้วเดินออกไปทำงานต่อ ปล่อยให้ทั้งสามคนติวกันต่อไป


*******************************************


   ผมมองคล้าวเดินออกมาจากห้องลองผ้าด้วยแววตาเป็นประกาย ปกติแค่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนก็ดูดีอยู่แล้วเพราะคล้าวมีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแรงสวยงาม อกผายไหล่ผึ่ง บุคลิกดีมีความมั่นใจในตัวเอง พอมาใส่เสื้อผ้าที่ตัดมาพอดีกับรูปร่างแบบนี้ยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่

   ผมกวาดสายตาไล่มองทั้งตัวอีกรอบ ก่อนจะขยับเข้าไปจัดปกเสื้อให้ พอสัมผัสผ้าไหมที่เรียบรื่นนุ่มมือก็เผลอลูบตั้งแต่บ่าลงมาเรื่อยๆ มารู้สึกตัวตอนคล้าวต้องจับมือเอาไว้ เพราะลูบต่ำไปจนเกือบถึงเอวแล้ว

   เวรแล้วไง ลืมตัว!

   พอเงยหน้าไปมองก็เห็นคล้าวยิ้ม แววตาที่มองมาก็วาววับซะจนต้องรีบดึงมือออก

   “แฮ่ม! เอ่อ สบายตัวดีไหมครับ”

   “แค่กๆๆๆ” เสียงกระแอมไอรอบๆ ตัวทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ยังมีก้าง เอ๊ย! คนในร้านเป็นพยานอีกหลายคน

   รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ขึ้นมาเลย

   “คำถามชวนคิดมากค่ะคุณแสนขา ว่าแต่น้องคล้าว ‘สบายตัว’ ดีไหมคะ คิกๆๆๆ” จูดี้ที่อยู่ใกล้ๆ เอ่ยปากแซวเป็นคนแรก ทำเอาคนอื่นหัวเราะกันครืน แล้วส่งสายตาล้อเลียนมาจนต้องถลึงตาปราม แต่ก็ไม่มีใครสนใจสักนิด

   พอหันไปมองคล้าวก็เห็นมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มขำๆ เห็นแล้วก็รู้สึกเขินมาอีก เลยต้องเปลี่ยนคำถาม

   “อึดอัดตรงไหนไหมครับ”

   “เอร๊ยยย คุณแสนขา ถ้าน้องคล้าวบอกว่า ‘อึดอัด’ ตรงบางจุดนี่คุณแสนจะช่วยให้น้องหายอึดอัดเหรอค้า” จบประโยคก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากทุกคนอีกระลอกไม่เว้นแม้แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   โว้ย!ไม่ได้หมายถึงอึดอัดแบบนั้น!

   ผมหันไปถลึงตาใส่ทุกคนอีกรอบ  แต่ก็ไม่มีใครสนใจเหมือนเดิม เลยได้แต่ส่ายหน้าเพลียๆ เอาเถอะ จะล้อ จะแซวก็ตามสบาย เอาที่สบายใจกันเลย!

   “หึๆ พอดีแล้วครับ” คล้าวหัวเราะแล้วตอบผม เมื่อเห็นว่าหน้าผมเริ่มจะคว่ำแล้ว

   “โอเคครับ ถ้าพอดีแล้วพี่จะได้ไม่ต้องแก้ ว่าแต่..พี่ขอถ่ายรูปไว้หน่อยได้ไหมครับ” ผมส่งสายตาขอร้องไป

   “ได้สิครับ” พอได้รับอนุญาต ผมก็ยิ้มกว้าง รีบหยิบมือถือออกมาแล้วจัดท่าทางให้คล้าวก่อนจะกดถ่ายรัวๆ อย่างกับเป็นตากล้องมืออาชีพ

    แต่พอสบตากับนายแบบที่มองกล้องด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วมือไม้ก็เริ่มสั่น ใจก็พลอยสั่นตามไปด้วย ผมเลื่อนสายตาจากหน้าจอไปสบตากับคล้าวโดยไม่ผ่านหน้าจอ เราทั้งคู่คงสบตากันนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น

   “โอ๊ย! เหม็นความรักจังเลยนะคะพี่มิ้น” ถ้าจูดี้เจ้าเก่าเจ้าเดิมไม่เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน

   ผมสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว ส่วนคล้าวก็หลุบตาลงมองพื้นแล้วลูบท้ายทอยแก้เก้อ ทีนี้ต่างฝ่ายต่างก็ออกอาการเขิน เพราะลืมตัวว่าไม่ได้อยู่กันสองคนเหมือนเคย ยังดีที่วันนี้ธงรบมันติดธุระเลยลากไม้ไปทำธุระด้วย ไม่งั้นมันคงเข้าทีมจูดี้ร่วมล้อเลียนผมแล้ว

   ผมทำเป็นไม่สนใจคำล้อเลียนจากคนในร้าน มือก็กดถ่ายรูปคล้าวต่อไปโดยไม่ต้องจัดท่าทางแล้ว เพราะท่าทางเขินๆ แบบนี้น่าดูกว่าเป็นไหนๆ พอถ่ายจนพอใจแล้วผมก็ปล่อยให้คล้าวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

   หลังจากวัดตัวและตัดชุดเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มให้นางแบบนายแบบทยอยมาลองชุด เริ่มจากนายแบบใกล้ตัวอย่างคล้าวก่อน

   ผมกำหนดวันจัดงานไว้เรียบร้อยแล้ว การเตรียมงานค่อนข้างก้าวหน้าไปมากพอสมควร ช่วงนี้ก็ให้นายแบบที่มาลองชุดช่วยสอนเดินแบบให้คล้าวและให้คล้าวซ้อมเดินไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะซ้อมเดินบนเวทีจริงอีกที

   “เรื่องฝึกเดินมั่นใจขึ้นหรือยังครับ” ผมถามคล้าวระหว่างที่คล้าวช่วยจับผ้าให้ผมตัดอยู่

   “ครับ เท่าที่เห็นพี่ๆ เดินให้ดู เดินแบบผู้ชายไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ เดี๋ยวผมลองซ้อมบนเวทีอีกทีก็น่าจะมั่นใจขึ้นครับ พี่แสนไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะพยายามให้เต็มที่ครับ” คล้าวบอกด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นแล้วอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   “ไม่ต้องกดดันตัวเองมากนะ พี่ไม่อยากให้คล้าวเครียด” ผมมองคล้าวด้วยแววตาห่วงใย สาเหตุที่เสนอให้คล้าวมาเดินแบบให้ เพราะผมอยากช่วยคล้าวหารายได้อีกทางเท่านั้น ไม่อยากให้น้องมันกดดันตัวเองมากไป

   “ครับ พี่แสนไม่ต้องเป็นห่วง” คล้าวมองตอบมาด้วยแววตาอ่อนโยน

   “เด็กดี” เผลอหลุดคำที่อยู่ในความคิดออกไป คล้าวชะงักทันทีก่อนที่หน้าคมๆ นั้นจะเริ่มแดงขึ้นจนลามไปถึงใบหู แต่สายตาไม่ได้ละไปจากสายตาผมเลย

   “อะแฮ่ม! รู้สึกว่าวันนี้ในร้านจะมีมดเยอะจังเลยนะคะพี่มิ้นขา” เราสองคนชะงัก ก่อนจะละสายตาไปมองจูดี้ที่เอ่ยแทรกขึ้นมา

   “ธรรมดาแหละจ้ะ เพราะวันนี้บรรยากาศแถวนี้มันหวานมากกกก” พี่มิ้นรีบรับมุกทันที ทำเอาทุกคนหัวเราะคิกคักและมองมาด้วยแววตาล้อเลียนเต็มที่

   “หักเงินเดือน” ผมบอกเสียงเรียบ

   “หูยยยย/โหยยย” เสียงโอดครวญดังขึ้นมาแทนเสียงหัวเราะทันที

   “โธ่ คุณแสนขา จูดี้ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะจริงๆ นะคะ จูดี้แค่ส่งเสียงเตือนเพราะรอใช้ผ้าที่คุณแสนกำลังตัดแค่นั้นเองค่ะ แหะๆ” ผมส่ายหน้าด้วยความระอา ก่อนจะหันกลับมาตัดผ้าเจ้าปัญหาให้

   พอส่งผ้าให้จูดี้แล้วผมก็หันกลับมาสบตาคล้าว ก่อนที่เราสองคนจะยิ้มให้กันอีกครั้ง

   “อะแฮ่ม/แค่กๆๆ”

   คราวนี้ผมทำเป็นเฉย แล้วไงล่ะ ก็คนมันใจตรงกัน จะยิ้มให้กันก็ไม่เห็นแปลก ปล่อยให้บรรดาก้างทั้งหลายไอให้คอแตกตายกันไปเลย!
   

*******************************************

   
   ผมนั่งมองนายแบบนางแบบที่กำลังซ้อมเดินอยู่บนแคทวอร์กอย่างพอใจ หลังจากเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาฟิตติ้ง ซ้อมจัดคิว และซ้อมเดินครั้งใหญ่ตอนใกล้จะถึงวันงาน

   “ใครเลือกนางแบบให้มึงวะ” ธงรบหันมากระซิบถามผม ระหว่างที่นั่งดูการซ้อมครั้งสุดท้าย ก่อนหน้านี้นี่ผมวิ่งวุ่นอยู่หลังเวที พอทุกอย่างลงตัวแล้วถึงได้ถูกไล่ให้มานั่งดูอยู่ด้านหน้าได้

   “ก็ช่วยๆ กันเลือกกับแม่กับคนที่ร้าน มีอะไรรึเปล่า” ผมถามเมื่อเห็นมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

   “คนที่กำลังเดินมานั่นน่ะ กิ๊กเก่ากู” ผมมองตามสายตามันไป ก็เห็นนางแบบที่กำลังเดินมาหน้าเวทีมองมาที่เราสองคนอยู่พอดี

   “อืม แล้วไงวะ” ผมถามด้วยความงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับคำถามก่อนหน้านี้ด้วย

   “เธอไม่ค่อยชอบมึงเท่าไหร่”

   “หืม ผู้หญิงคนนี้กูไม่เคยเจอเลยนะ เค้าจะไม่ชอบกูเรื่องอะไรวะ”

   “เรื่องเดิมๆ นั่นแหละ หาว่ากูอยู่กับมึงมากไป ไร้สาระ!”

   ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ บอกมันไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่ฟังว่าสำหรับคนที่คบหากัน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างที่มันคิด

   “คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เค้าคงแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกหรอกน่า”

   “กูก็หวังว่างั้น แต่ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกกูนะ เดี๋ยวกูจัดการให้”

   “โอเค ถ้ามีปัญหากูจะรีบฟ้องมึงเลยครับพี่รบ” ผมหันไปทำหน้าทะเล้นใส่มัน ไม่รู้ว่ามันเขินหรือหมั่นไส้ มันเลยผลักหัวผมจนเกือบตกเก้าอี้

   หลังจากซักซ้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับเข้าไปช่วยทุกคนเก็บของและเช็คของด้านหลังเวทีต่อ ส่วนนายแบบนางแบบก็เริ่มทยอยกลับ เมื่อเห็นว่านางแบบที่เป็นกิ๊กเก่าธงรบเดินเข้ามาหาธงรบ ผมเลยเดินเลี่ยงไปทางอื่นแทน

   พอหันไปเห็นคล้าวกำลังช่วยเก็บของอยู่ ผมก็เดินเข้าไปหา

   “เหนื่อยไหมครับ” คล้าวเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้

   “ไม่เหนื่อยเลยครับ” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่ซึมตามไรผมให้อย่างเบามือ ซึ่งคล้าวยืนนิ่งให้ผมเช็ดแต่โดยดี

   “อะแฮ่ม! คุณแสนขา จูดี้ก็เนื้อยเหนื่อยเหมือนกันนะคะ” จูดี้ที่ยืนเก็บของอยู่แถวๆ นั้นเอ่ยแซวขึ้นมา เรียกสายตาของคนที่เหลือให้มองตรงมาที่เราสองคนด้วย ผมหยิบกล่องกระดาษเช็ดหน้าที่อยู่ใกล้ๆ ส่งให้

   “เอาไปเช็ดเอง”

   “โหยยยย ลำเอียง จูดี้ก็อยากให้มีคนเช็ดหน้าให้บ้างอะไรบ้าง”

   “เดี๋ยวหนูหาน้ำมะพร้าวมาเช็ดให้ดีไหมคะเจ้ขา” น้องที่อยู่แถวๆ นั้นเอ่ยแซว ทำให้คนอื่นๆ หัวเราะกันครืน ไม่เว้นแม้แต่ผมกับคล้าวด้วย ทำเอาจูดี้ค้อนตาแทบกลับ

   “หัวเราะอะไรกัน” ธงรบถามเมื่อเดินมาถึง จูดี้จึงรีบเข้าไปฟ้องธงรบทันที

   ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างทิ่มแทง พอหันไปมองก็เห็นนางแบบคนนั้นกำลังจ้องมาที่ผมเขม็ง ข้างๆ มีนายแบบคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะผมถือว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดกับเธอ

   ระหว่างทางกลับบ้าน ธงรบบอกให้ผมระวังไว้บ้าง เพราะรู้สึกเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมรับการเลิกราในครั้งนี้สักเท่าไหร่ แถมยังโทษว่าเป็นความผิดของผมอีกด้วย

   ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความเพลียและไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงของธงรบหลายๆ คนถึงไม่หนักแน่นกันบ้าง ปกติเวลาธงรบมันคบใคร มันก็คบทีละคน จะเสียอยู่ตรงที่บางครั้งมันให้ความสำคัญกับเพื่อนอย่างผมมากไปเท่านั้นเอง

   แต่ถ้าเชื่อใจกันเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สักวันถ้ามันรักคนๆ นั้นหมดใจ มันก็คงจะยกความสำคัญให้คนๆ นั้นอย่างเต็มที่เองนั่นแหละ แต่ไม่มีใครเข้าใจไง มันเลยคบแล้วเลิก คบแล้วเลิกอยู่แบบนี้ ก็ได้แต่หวังว่าถ้ามันจีบไม้ติดแล้วไม้จะเข้าใจมันบ้าง ผมอยากให้มันมีความสุขและมีชีวิตเป็นของตัวเองสักที


*******************************************
   
   เมื่อถึงวันงานทุกคนก็ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด อันที่จริงก็ยุ่งตั้งแต่ก่อนวันงานนั่นแหละ เหนื่อยจะแย่ แต่ก็สนุกกับมันมากเหมือนกัน การได้ทำในสิ่งที่เรารักนี่ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็มีความสุข ผมรู้สึกว่าโชคดีจริงๆ ที่ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักแบบนี้

   ผมเดินไปหาคล้าวที่แต่งตัวเสร็จแล้วกำลังยืนรอคิวอยู่ พอเห็นว่าคล้าวมีสีหน้าเครียดๆ เลยเดินไปใกล้ๆ แล้วเรียกคล้าวออกมาก่อน เพราะกว่าจะถึงคิวก็คงอีกสักพัก

   “ตื่นเต้นไหมครับ”

   “ครับ” คล้าวพยายามส่งยิ้มให้ผม แต่ดูก็รู้ว่าน้องมันเกร็ง ผมเลยเอื้อมมือไปจับมือที่เย็นเฉียบขึ้นมากุมไว้ จ้องตาคล้าวด้วยแววตาจริงจังแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

   “พี่มั่นใจว่าคล้าวทำได้” คล้าวคลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น

   “สู้ๆ นะครับ” เมื่อรู้สึกว่ามือคล้าวเริ่มอุ่นขึ้นผมจึงได้ปล่อยมือ

   “ขอบคุณครับ ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง” คล้าวใช้มือปัดเส้นผมที่ระใบหน้าให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินกลับไปเข้าคิวเหมือนเดิม แต่ท่าทางที่ดูมั่นใจขึ้นนั้นก็ทำให้ผมได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู

   ผมลุ้นตลอดเวลาให้งานในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ก็ยังมีปัญหาให้แก้ไขกันตลอด ขนาดซักซ้อม นัดแนะกันมาซะดิบดีก็ยังเจอปัญหาอย่างชุดของบางคนคับไปหลวมไป นางแบบบางคนมาช้า ทำให้ต้องแก้ชุด สลับคิวกันให้วุ่น

   พอถึงคิวคล้าวผมก็ต้องแอบไปส่องลุ้นตอนน้องมันเดิน คล้าวทำได้ดีจนผมยิ้มปลื้ม พอน้องมันเดินกลับมาก็ได้แต่สิ่งยิ้มไปให้ เพราะไม่สามารถปลีกตัวไปคุยด้วยได้

   ตั้งแต่เริ่มงานก็รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด จนเมื่อถึงชุดฟินาเล่นั่นแหละผมถึงได้ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ทุกคนมาช่วยจัดเสื้อผ้าให้ผม ก่อนจะไล่ให้ผมเดินขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายในฐานะดีไซเนอร์

   ผมเดินออกไปรับดอกไม้จากเฮียแผน แล้วส่งยิ้มให้ป๊ากับแม่ที่มองมาด้วยสีหน้าภูมิใจอยู่บริเวณแถวหน้า ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับกล้องจากสื่อที่เราเชิญให้มาร่วมงาน เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์งานในครั้งนี้

   หลังจากนั้นก็มีให้สัมภาษณ์แล้วก็ถ่ายรูปต่อกันอีกสักพัก จนเมื่อแขกเหรื่อทยอยกลับ งานจบลงด้วยดีก็รู้สึกว่าหายเหนื่อยขึ้นมาทันที

   ผมให้เฮียพาป๊ากับแม่กลับไปก่อน เพราะทั้งสามคนต้องรีบไปงานบวชของลูกเพื่อนสนิทที่อื่นต่อ แต่ก่อนจะไปก็ผลัดกันถามย้ำแล้วย้ำอีกว่าผมจะไม่น้อยใจใช่ไหมที่ไม่ได้อยู่ช่วยเก็บของ ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มด้วยความอุ่นใจที่คนในครอบครัวห่วงความรู้สึกของผมมาก่อนเสมอ

   “แสนไม่น้อยใจใช่ไหมลูก”

   “ไม่เลยครับ แม่ ป๊ากับเฮียไปกันเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงแสน งานก็จบแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เก็บของเอง แสนอยู่ได้ครับ”

   “เดี๋ยวรบอยู่เป็นเพื่อนแสนเองครับแม่ แม่กับป๊าไม่ต้องเป็นห่วงครับ” พอธงรบมันบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผม แม่ถึงได้วางใจ พอครอบครัวผมกลับไปแล้ว มันก็บอกว่าจะเดินไปหาไม้ที่ยืนอยู่แถวหลังๆ คงไม่กล้าเดินเข้ามาหาเรา ผมเลยบอกมันว่าจะเดินเข้าไปด้านหลังก่อน

   ผมเดินเข้าไปด้านหลังเวทีก็เห็นทีมงานทุกคนต่างก็เก็บของกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและผ่อนคลาย พอกวาดสายตามองหาคล้าวก็เห็นว่าคล้าวยืนอยู่คนเดียวจึงเดินตรงเข้าไปหา

   แต่ยังไม่ทันถึงตัวก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสะดุดอะไรสักอย่างจนเกือบล้มตรงหน้าคล้าว แต่ว่าคล้าวคว้าไว้ทัน และไม่รู้ว่าล้มอีท่าไหนถึงได้อยู่ในท่าที่เหมือนซบกันแบบนั้น

   ผมหรี่ตามองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นกิ๊กเก่าของธงรบนี่นา ผมก้าวต่อไปจนถึงตัวทั้งคู่ พอมาใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่าคล้าวพยายามดันร่างเธอออก แต่เธอกลับเกาะแน่นอย่างกับปลิง ผมหรี่ตามองภาพตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถาม

   “เป็นอะไรรึเปล่าครับ” พอได้ยินเสียงของผม ผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ ขยับร่างออกจากร่างของคล้าวอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะใช้มือเกาะแขนของคล้าวไว้แน่น

   “เอญ่ารู้สึกปวดข้อเท้าค่ะ” เธอตีสีหน้าเหมือนเจ็บปวดอย่างที่ปากว่า ผมจึงก้มลงไปมองข้อเท้าก็ไม่เห็นเห็นมีอะไรผิดปกติ รอยบวมรอยแดงสักนิดก็ไม่มี เห็นแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าถ้าแสดงเก่งขนาดนี้ทำไมไม่ไปเป็นนักแสดง คงจะรุ่งกว่าเป็นนางแบบเยอะ    ผมเงยขึ้นมามองหน้าเธอแต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนคล้าวก็มองมาที่ผมด้วยสีหน้าลำบากใจ

   “ไปนั่งดีกว่าครับ คุณจะได้พักขา ” พอได้ยินคล้าวบอก จูดี้ก็รีบไปลากเก้าอี้มาวางแล้วก็แกะมือเอญ่าออกจากแขนคล้าวแล้วประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

   “นั่งเลยค่ะ จะได้รีบๆ หาย แล้วจะได้รีบๆ กลับ” จูดี้พูดด้วยรอยยิ้มหวานเจี๊ยบก่อนจะหันมาสบตาผมเหมือนรู้กัน

   “เอาน้ำแข็งประคบหน่อยไหมครับ เอ... หรือจะไปโรงพยาบาลดี” ผมถามยิ้มๆ

   “นั่นน่ะสิครับ เดี๋ยวผมพาไปเองก็ได้” ธงรบเดินเข้ามาพร้อมกับไม้แล้วถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่เสียงเรียบสนิท

   “ไม่เป็นไรค่ะ ได้นั่งพักแล้วรู้สึกดีขึ้นมากเลย” เอญ่ารีบบอก ฟังแล้วก็อยากจะกลอกตา แต่มันจะดูไม่สุภาพ เลยได้แต่ยิ้มเหมือนไม่รู้เท่าทันแล้วถาม

   “แล้วนี่คุณเอญ่าจะกลับยังไงครับ มีคนมารับรึเปล่า”

   “เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ” เสียงใครคนหนึ่งแทรกขึ้นมาตอบแทนเจ้าตัว พอหันไปมองก็คุ้นๆ ว่าจะเป็นนายแบบคนหนึ่งที่มาร่วมเดินแบบในครั้งนี้

   “สรัญ” เอญ่าเรียกด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

   “สวัสดีครับคุณแสน” ผู้ชายคนนี้มองเอญ่าแว่บหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มให้ผมและธงรบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

   “สวัสดีครับ” ผมตอบกลับตามมารยาท สรัญก็ยิ้มรับก่อนจะหันไปสนใจเอญ่า

   “ไปครับเอญ่า เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง” พูดจบก็ไม่รอให้เจ้าตัวตอบ รีบประคองนางแบบสาวจากไปทันที ผมได้แต่มองตามด้วยความงง ตกลงเขาเข้ามาช่วยผมใช่ไหม? พอหันมาสบตาธงรบก็เห็นมันทำหน้างงไม่แพ้กัน ก่อนมันจะยักไหล่เหมือนจะบอกว่าช่างมันเถอะ

พอเคลียร์เรื่องนี้แล้วเราก็ช่วยกันเก็บของต่อ ผมพาทีมงานไปเลี้ยงข้าวพร้อมทั้งลากคล้าวกับไม้ไปด้วย หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน ค่อยนัดเลี้ยงใหญ่อีกทีวันหลัง เพราะวันนี้เหนื่อยกันมากแล้ว

“น้องไม้มานั่งข้างหน้ากับพี่สิครับ” ยังไม่ทันได้ขึ้นรถธงรบมันก็หันไปบอกให้ไม้มานั่งข้างคนขับ ผมหันไปมองไม้ก็เห็นน้องมันหันไปสบตากับลูกพี่มัน ก่อนที่มันจะผงกหัวให้คล้าวแล้วเดินมานั่งหน้าตามคำขอ

ท่าทางแบบนี้ดูท่าแล้วธงรบน่าจะมีหวัง ผมแอบยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะเปิดประตูก้าวไปนั่งด้านหลังกับคล้าวอย่างอารมณ์ดี

“เหนื่อยไหมครับ” ผมถามคล้าวเมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เหนื่อยครับ สบายมากกว่าทำนาเยอะเลย” คล้าวตอบยิ้มๆ ทำให้ผมอดจะยิ้มตามไม่ได้ ระหว่างที่ธงรบมันเปิดไฟในรถหาของอยู่ ผมเห็นว่ามีคราบดำๆ ติดอยู่ที่แก้มคล้าวก็เลยหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วขยับเข้าไปเช็ดให้ พอสะอาดแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะชะงักเมื่อสบตากับคล้าวพอดี

ผมเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเราอยู่ใกล้กันมาก ใกล้จนเห็นเงาของตัวเองในดวงตาคล้าวชัดเจน ตาคมๆ ของคล้าวมองมาด้วยแววตาอ่อนโยนซะจนผมรู้สึกเหมือนจะละลาย

คล้าวเอื้อมมือมากุมมือที่ถือผ้าขนหนูไว้ก่อนจะเอียงหน้าซบกับมือของผม กิริยาที่เหมือนจะอ้อนนั้นทำให้หัวใจผมเหมือนจะเหลวเป็นน้ำ

น่ารักเกินไปแล้ว!

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมที่ดังขึ้นทำให้เราสองคนสะดุ้งขึ้นมาทันที พอหันไปมองที่มาของเสียงก็เห็นธงรบเอี้ยวตัวมาหรี่ตามองเราทั้งคู่ ส่วนไม้ก็มองเราตาปริบๆ

“ลืมกันรึเปล่าครับ ว่าไม่ได้อยู่กันสองคน ยังมีมนุษย์อยู่ตรงนี้อีกสองคนนะครับเพื่อน มึงเห็นกูเป็นอากาศธาตุเหรอ แหมมมม สร้างโลกส่วนตัวแบบไม่เกรงใจกันเลยนะ” ฟังแล้วก็ได้แต่ถลึงตาให้มัน พอหันไปมองคล้าวก็เห็นกำลังลูบท้ายทอยแก้เขินอยู่ ขนาดหน้าด้านๆ อย่างผมยังรู้สึกว่าหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาเลยนับประสาอะไรกับน้องมัน

“หึๆ นานๆ จะเห็นมึงเขินซะที เป็นบุญตาจริงๆ” ธงรบมองมาด้วยสีหน้าล้อเลียน เลยถลึงตาใส่มันไปอีกที

“เงียบน่า หาของเจอยัง ออกรถไปเลยไป”

“หึๆๆ” มันยังคงหัวเราะในลำคออย่างน่าหมั่นไส้ ผมเลยขยับไปฟาดแขนมันแรงๆ ไปสองที

“โอ๊ย! เขินแล้วต้องรุนแรงด้วย”

“เอาอีกทีไหม”

“พอๆ แขนกูแดงแล้วเนี่ย ไม้ครับ พี่เจ็บ” มันยื่นแขนไปให้ไม้ดู ทำหน้าเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา เห็นแล้วหมั่นไส้จนอยากจะซัดแรงๆ อีกหลายๆ ที

“ตอแหล ไม้อย่าไปสนใจมันครับ แค่นั้นไม่สะเทือนหนังหนาๆ ของมันหรอก”

“แหะๆ” ไม้มันหัวเราะเหมือนทำอะไรไม่ถูก

“เป่าให้พี่หน่อยสิ” ฟังแล้วได้แต่กลอกตา

“มึงเป็นเด็กอนุบาลรึไง” แต่มันไม่ได้สนใจผมสักนิด ยังคงยื่นแขนไปให้ไม้แล้วก็จ้องกดดันน้องมันอยู่อย่างนั้น ไม้มันแขนแล้วมองหน้าธงรบ ก่อนจะเหลือบมามองผมที่มองอย่างสนใจว่าไม้จะรับมือกับธงรบยังไง

“เอ่อ เดี๋ยวมันก็หายแล้วพี่ ผมโดนกระทืบหนักกว่านี้ยังไม่เจ็บเลย”

“เหรอ” อันนี้ลูกพี่มันถามเสียงเรียบ

“แหะๆ เจ็บหน่อยก็ได้” พอได้ยินคำตอบลูกน้อง คล้าวก็ส่ายหน้าด้วยความระอา

แต่ก่อนไม้มันไปมีเรื่องกับวัยรุ่นบ้านอื่นแล้วโดนกระทืบมาประจำ สาเหตุหนึ่งก็เพราะหน้าตามันกวนตีนอย่างเป็นธรรมชาติ วัยรุ่นบ้านอื่นเห็นหน้าแล้วหมั่นไส้ หรือบางทีมันก็มีน้ำใจไม่เข้าเรื่อง ชอบไปช่วยเพื่อนๆ ในหมู่บ้านเวลามีเรื่องจนพลอยโดนกระทืบมาด้วย กลับมาทีไรก็วิ่งโร่มาให้คล้าวทำแผลให้ทุกที

“ไปเถอะ น้องๆ จะได้กลับไปพักผ่อน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ผมตัดบท เพราะรู้สึกเพลียๆ ขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งธงรบก็ยอมขับออกไปแต่โดยดี

หลังจากส่งน้องๆ เรียบร้อยแล้ว ผมก็ย้ายมานั่งข้างคนขับแทน บรรยากาศในรถตกอยู่ในความเงียบ เพราะผมกำลังนึกถึงนางแบบที่ชื่อเอญ่าคนนั้น

   “มึงว่าเธอคิดจะทำอะไรวะ” ผมหันไปถามธงรบอย่างคิดไม่ตก

   “ไม่รู้กูเดาไม่ถูก แต่มึงก็ระวังไว้หน่อยแล้วกัน” ธงรบขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

   “อืม มึงไม่ต้องเป็นห่วง กูดูแลตัวเองได้”

   “กูขอโทษด้วยที่เอาปัญหามาให้มึง” ธงรบเหลือบมามองผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “มึงไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย จะขอโทษทำไม อีกอย่าง มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย จริงๆ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้” ผมพยายามคิดในแง่ดี

   “กูก็หวังว่าอย่างงั้น”

   อืม ผมก็หวังว่าอย่างนั้นเหมือนกัน
   

*************************************************************************

ตอนแรกคิดว่าจะให้จบภายใน 20 ตอน แต่ดูๆ แล้วน่าจะยัง ถถถ
ยังไงก็อยู่เป็นเพื่อนกันไปก่อนนะคะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

*************************************************************************


☼ iceman555 ต้องจัดการคนบีบแตรค่ะ ไม่รู้เรื่อง 55555
☼ k2blove มาค่ะ มาหวานต่ออีกตอน ก่อนที่จะ....แค่กๆๆๆ โปรดติดตามตอนต่อไป 55555
☼ suikajang ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่า ดีใจที่ชอบนะคะ ฝากพี่แสนกับน้องคล้าวด้วยค่ะ ส่งก้อนหินไปกราบแนบอกงามๆ 55555
☼ aoihimeko มาเหม็นความรักต่ออีกตอนค่ะ 55555 ส่วนฉากรัก คงอีกสักพักกกก อีเว้นท์เยอะกันเหลือเกิน แค่กๆๆ ธงรบนี่ไม่เนียนจริงๆ คนจับได้หมดแล้วววว
☼ puiiz  :L2: :pig4: :L2:
☼ PsychePie ใช่ค่ะ ถ้าน่ารักกว่านี้คงมีปล้ำ แค่กๆๆๆๆ

รักคนอ่านทุกคนค่า

 :L1: :L1: :L1:[/color]
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 08-12-2018 09:55:29
สตอมาก เห็นชื่อแล้ว  :beat:  เอญ่าถ้ามาสร้างปัญหาเดะให้ทองกวากควิดเลยนิ
      :L1:    :pig4:   :L2:

ปล.ส่งก้อนหินมาระวังโดนยึดนะจ๊ะ พูดแล้วก็คิดถึง จะมีเรื่องคุณไฟบ้างไหมค่ะ  :impress2: 
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-12-2018 10:40:45
ชะนีกับผู้ที่เข้ามาช่วยเอญ่าต้องร่วมมือกันแน่ๆเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-12-2018 11:36:30
ระวังหน่อยนะแสน คนที่จ้องทำลาย โอกาสจะมากกว่าคนที่ไม่ได้ระวังตัวนะจ๊ะ
ว่าแต่ส่งสายตาปิ้งๆ กันสองคนนะ เพลาๆ ลงบ้างก็ได้ คนอ่านอิจฉานะ
 :haun4: :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-12-2018 11:52:38
เจอมารผจญอีกแระ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: 111223 ที่ 08-12-2018 12:42:21
ระวังๆน้าน้องทองกราว ทำไมมามารมาผจญน้องอีกแว้วววว
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 08-12-2018 13:02:24
อย่าให้ได้มีจังหวะสร้างโลกส่วนตัวเชียว สร้างโลกส่วนตัวกันทันทีเลยน้า สองคนนี้อ่า ทั้งพี่ทั้งน้องเลย
ยัยเอญ่าทำให้เรานึกถึงเพื่อนสมัย ม ปลาย เล่นละครล้มเจ็บประมาณนี้เลย แต่ดูก็รู้ว่าปลอม
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2018 13:13:22
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: M_Y MILD ที่ 08-12-2018 15:01:28
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะะ สนุกมากๆเลย ติดตามน้ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 08-12-2018 15:09:48
น้องเอวยอกอยู่เป็นคนดีๆไม่ชอบหรอคะ? ถึงทำตัวเป็นเห็บ หมัด คอยแต่จ้องจะโดดกัดคนอื่น แผนตื้นๆที่คิดไว้เดี๋ยวให้แสนเอาดินมากลบให้มิดเลยนิ :katai3: (มโนไปไกลละ 555)

ทำไมตอนนี้น้องคล้าวมันน่ารักจังว้าาาาา. สู้ๆนะแสนลากเข้าห้องให้ได้  :pigha2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: Mynun ที่ 08-12-2018 22:29:01
ชอบตั้งแต่เรื่องก้อนหินแย้วววว มาเรื่องนี้ฟังเพลงไปด้วยอ่านไปด้วยฟินนนน ห้ามทิ้งต้องแต่งให้จบเข้าใจม้ายยยยยส
 :katai4: :ling1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-12-2018 00:06:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-12-2018 11:25:26
เฮียธงรุกน้องไม้หนักมาก.   :hao3:

ส่วนคู่นั้นก็หวานกันไม่เกรงใจใครเลย แต่ก็จวนเจียนจะได้จุ๊บกันหลายทีล่ะนะ.  :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 10-12-2018 14:12:19
ติดตามจ้า  สนุกอ่ะ ลุ้นว่าพี่แสนจะได้กินน้องคล้าวเมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: แก้มกลม ที่ 10-12-2018 22:12:01
ชะนีเอญ่ากับนายแบบที่ชื่อสรัญอะไรนั่นต้องเป็นมารความรักน้องคล้าวกับพี่แสนแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 16 (Up 8/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 11-12-2018 16:46:36
อย่าได้มีมาม่าเลยยยยย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 15-12-2018 13:53:42
บทที่ 17

   ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ

   หลายวันมาแล้วที่คล้าวไม่รับโทรศัพท์ผม วันแรกก็ยังไม่รู้สึกอะไร คิดว่าน้องมันคงยุ่ง เพราะหลังจากมาเดินแบบให้ผมแล้วก็มีคนติดต่อมาให้เป็นนายแบบในงานต่อๆ ไปอีกหลายงาน ซึ่งผมก็ให้การสนับสนุนและคอยให้คำแนะนำเป็นอย่างดี เพราะอยากให้น้องมันมีรายได้มากขึ้น

   จนวันต่อมานั่นแหละถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะส่งไลน์ไปคล้าวก็ไม่อ่าน ส่งข้อความไปก็เงียบ โทรไปก็ไม่รับ ทั้งๆ ที่ปกติคล้าวจะตอบทุกช่องทางที่ผมติดต่อไปเร็วทุกครั้ง ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอข้ามวันเลยสักครั้ง

   ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดในแง่ดีว่าน้องมันคงยุ่งจริงๆ ตอนเย็นๆ จึงไปหาที่หอพักเลย แต่ก็ไม่เจอ ผมจึงไปหาไม้ที่ร้านอาหารญาติไม้แทน

   ญาติของไม้บอกว่าช่วงนี้ทั้งสองคนไม่อยู่ที่ห้อง บอกว่าจะไปพักที่อื่นสักระยะหนึ่ง นั่นแหละผมถึงได้รู้ตัวว่ากำลังโดนหลบหน้าอย่างแน่นอน

ผมทั้งมึนทั้งงง เพราะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อก่อนหน้านี้ทุกอย่างก็ดูปกติดี ไม่มีวี่แววว่าจะมีปัญหามาก่อนสักนิด

“คุณแสนคะคุณแสน” ผมหลุดจากความคิดวุ่นวายในหัว เมื่อได้ยินเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นของพี่มิ้น

“ครับพี่มิ้น มีอะ...” ยังไม่ทันได้ถามจนจบ พี่มิ้นก็จับมือผมแล้วลากจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปทางฝั่งห้องตัดเย็บทันที

“เร็วๆ ค่ะมาดูนี่เร็ว เดี๋ยวไม่ทัน” ผมได้แต่เดินตามแรงลากไปด้วยความงงจนไปถึงหน้าจอโทรทัศน์ที่อยู่ในห้องก็ยังคงงงอยู่ว่าพี่มิ้นลากมาทำไม

“ต่อไปก็มาถึงข่าวคราวของน้องเอญ่า นางเอกคนใหม่ของช่อง x ค่ะ ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าเธอเพิ่งจะอกหักจากนักธุรกิจหนุ่มคนดัง แต่ตอนนี้มีข่าววงในออกมาว่ามีคนเข้ามาดามใจเธอแล้วค่ะ เป็นนายแบบหน้าใหม่ในวงการ”

ภาพตัดไปที่การสัมภาษณ์เอญ่าซึ่งผมจำได้แม่นว่าเป็นกิ๊กเก่าของธงรบที่ยืนให้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มหวานๆ ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นางแบบสาวด้วยสีหน้านิ่งๆ ก็คือคนที่ผมติดต่อไม่ได้มาจนถึงตอนนี้ แค่เห็นภาพก็รู้สึกเหมือนใจจะหายวูบขึ้นมาทันที

“ความสัมพันธ์ตอนนี้คืออะไรคะ”

“ตอนนี้ก็เป็นพี่เป็นน้องกันค่ะ”

“แล้วมีโอกาสพัฒนาไหมคะ”

“อันนี้ก็เป็นเรื่องของอนาคตค่ะ ใช่ไหมคะคล้าว”

   “ครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต” คล้าวตอบสั้นๆ ก่อนจะหลุบตาลงเหมือนจะตัดบท แล้วภาพก็ตัดมาที่รายการบันเทิงอีกครั้ง

   “ก็อย่างที่เห็นกันนะคะ ได้ข่าวว่าน้องนายแบบหน้าคมอายุน้อยกว่าน้องเอญ่าด้วยค่ะ แหม แต่เขาว่ากันว่ากินเด็กแล้วจะเป็นอมตะไงคะ แถมหล่อๆ แบบนี้คงมีคนอยากเป็นอมตะกันเยอะแน่นอนค่ะ เอาล่ะค่ะ ข่าวต่อไปก็เป็นเรื่องของ...”

   ผมยังคงยืนจ้องจอโทรทัศน์นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ภายในหัวยังมีแต่ข่าวที่ได้ยินวนเวียนเต็มไปหมด รู้สึกว่าหัวใจวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก

   “คุณแสนคะ” ผมหันมามองหน้าพี่มิ้นที่มองมาด้วยสีหน้าห่วงใย

   “ครับ” พี่มิ้นอึกอักเหมือนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก จนจูดี้ต้องพูดแทรกขึ้นมาก่อน

   “คุณแสนอย่าไปเชื่อข่าวเลยนะคะ นักข่าวขี้มโนไปอย่างนั้นเองค่ะ จูดี้เชื่อว่าน้องคล้าวคงไม่มีทางไปคบกับน้องกินหญ้านั่นแน่นอน” ทั้งๆ ที่เครียดอยู่ก็อดจะขำคำเรียกของจูดี้ไม่ได้

   “ใช่ค่ะ ต้องยิ้มเข้าไว้ค่ะ คุณแสนของจูดี้เหมาะกับรอยยิ้มมากที่สุด”

   “นั่นสิคะ คุณแสนอย่าทำหน้าเศร้าเลยพี่มิ้นเป็นห่วง”

   “ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มให้ทุกคนที่มองมาอย่างเป็นห่วงด้วยความตื้นตัน ดีใจที่มีพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต จากที่ได้ร่วมงานกันมาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นแค่พนักงานในร้านเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนครอบครัวในบ้านอีกหลังหนึ่งของผมด้วย

   “แสน” เสียงเรียกด้วยน้ำเสียงหอบๆ ทำให้เราทั้งหมดหันไปมอง เห็นธงรบเดินมาหาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลผมก็อดจะยิ้มไม่ได้

   “เป็นยังไงบ้าง” เมื่อเดินมาถึงตัวธงรบก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบน้อยครั้งจะได้ยิน

   “ไม่เป็นไร”

   อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉันเสียที

   เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์ของเฮียแผน ผมจึงหันไปบอกกับทุกๆ คน

   “ทุกคนไปทำงานเถอะครับ ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบก็พยักหน้าเรียกธงรบเข้าไปที่โต๊ะทำงานแล้วกดรับสายจากเฮียแผน

   “เฮียเห็นข่าวแล้วเป็นห่วง เลยโทรมาถามก่อนเข้าห้องประชุม แสนเป็นยังไงบ้าง” พอรับสายปุ๊บเฮียก็เข้าเรื่องทันที

   “ไม่เป็นไรครับเฮีย รบอยู่ที่นี่แล้ว เฮียไม่ต้องเป็นห่วง เข้าประชุมไปเถอะครับ”

   “ถ้ารบอยู่ด้วยเฮียก็วางใจ ไม่ต้องคิดมากนะ ทำใจให้สบาย เดี๋ยวเฮียออกจากห้องประชุมแล้วจะไปช่วยคิดช่วยจัดการอีกแรง”

   “ครับเฮีย” หลังจากวางสายแล้วผมก็มองหน้าจอแล้วยิ้มด้วยความอุ่นใจ ต่อให้ต้องเสียใจก็ยังมีคนที่รักคอยอยู่เคียงข้างเสมอแบบนี้แล้วผมจะต้องกลัวอะไรอีก

   “มันเกิดอะไรขึ้นวะ” ธงรบถามเมื่อเห็นว่าผมวางสายจากเฮียแผนแล้ว ผมนั่งลงบนเก้าอี้ในโต๊ะทำงาน มันก็เดินมานั่งตรงกันข้ามทันที

   “กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ กูก็ติดต่อคล้าวไม่ได้อย่างที่บ่นกับมึงก่อนหน้านี้ แล้วก็มาเห็นข่าวนี้นี่แหละ”

   “กูก็ติดต่อไม้ไม่ได้เหมือนกัน กูว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ” ธงรบพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด

   “กูก็ว่างั้น อยู่ๆ ก็ติดต่อคล้าวไม่ได้ แต่เห็นอีกทีกลับไปอยู่กับน้องกินหญ้าแล้ว”

   “ห๊ะ! ใครวะ”

   “น้องเอญ่ามึงไง จูดี้เรียกน้องกินหญ้า”

   “พรืด ฮ่าๆๆๆ คิดได้ไงวะ”

   นั่นสิ นึกถึงแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้เหมือนกัน

   “เดี๋ยวกูไปสืบให้เอง” พอหัวเราะจนพอใจแล้วธงรบก็บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

   “อืม ขอบใจมาก ช่วงนี้กูกำลังยุ่งกับออเดอร์ ฝากมึงด้วยแล้วกัน” งานแฟชั่นโชว์ที่จัดขึ้นได้ผลดีเกินคาด เพราะหลังจากจบงานแล้วก็มีลูกค้าหน้าใหม่ๆ มาซื้อสินค้าทั้งหน้าร้าน แต่สั่งตัดเป็นพิเศษเพิ่มอีกหลายราย ทำให้ช่วงนี้ผมยุ่งจนหัวหมุนไปหมด เลยต้องพักเรื่องหัวใจเอาไว้ก่อน

   “โอเค เดี๋ยวกูบอกเฮียกับเจ้ว่าช่วยจัดการธุระให้มึง เดี๋ยวกูก็ว่าง”

   “สัด! ทำมาอ้างกู ขี้เกียจก็ว่ามาเถอะ” ผมแกล้งว่ามัน

   “ก็อ้างมึงทีไรได้รับอนุมัติทุกทีนี่หว่า” มันยักไหล่แล้วยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
 
   แต่ก็อย่างที่มันบอกนั่นแหละ ทั้งป๊า ม๊า และเฮียๆ เจ้ๆ มันก็น่ารักกันจริงๆ ครับ เพราะเรื่องที่ผมจมน้ำเมื่อตอนเด็กแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ทุกคนฝังใจกันมาจนถึงทุกวันนี้ 

   ขนาดผมพูดจนปากเปียกปากแฉะว่าไม่ต้องเอาใจใส่ผมขนาดนั้นก็ได้ เพราะตอนนี้ผมแข็งแรงและดูแลตัวเองได้แล้ว ทุกคนก็ยังไม่สนใจ ยังคงช่วยกันดูแลผมเป็นอย่างดีเหมือนเดิม แถมยังคอยส่งน้องคนเล็กอย่างธงรบให้มาดูผมอย่างเต็มอกเต็มใจอีกด้วย

   ในความรู้สึกของผม ทุกคนในบ้านของธงรบก็เป็นเหมือนคนในครอบครัวของผมเหมือนกัน และคิดว่าคนบ้านนั้นก็คงคิดไม่ต่างกันอย่างแน่นอน



   หลังจากเลิกประชุมและเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว เฮียแผนก็โทรมาบอกให้ผมกับธงรบไปรอที่บ้านก่อน ผมกับธงรบมารอในห้องพักผ่อนได้ไม่นานก็เห็นเฮียแผนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่เมื่อเดินมาใกล้แล้วเห็นว่าผมยิ้มให้ สีหน้าเฮียก็คลายลงทันที

   “เป็นยังไงบ้างแสน มันเกิดอะไรขึ้น” เฮียแผนทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามผมแล้วก็เข้าประเด็นทันที

   ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฮียแผนฟัง เฮียแผนก็นั่งฟังเงียบๆ จนจบ ก่อนจะถามขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง

   “แสนเลือกเอาว่าจะให้เฮียไปกระทืบหรือจะให้เฮียไปฉุดมาให้แสนดี”

   “พรืด ฮ่าๆๆ ฉุดมาก็ดีนะเฮีย เดี๋ยวแสนจะปล้ำเอง ปล้ำเช้าปล้ำเย็น เอาให้หมดแรงกันไปข้าง รับรองว่าน้องมันไปไหนไม่รอดแน่”

   ป๊อก!

   “โอ๊ย! เฮียดีดหน้าผากแสนทำไมเนี่ย” ผมคลำหน้าผากด้วยความงง เมื่ออยู่ๆ เฮียก็ดีดหน้าผากกันเฉยเลย

   “เรานี่มัน...” เฮียแผนทำหน้าเหมือนมันเขี้ยว ก่อนจะช่วยลูบหน้าผากให้เบาๆ

   กลัวน้องเจ็บแล้วจะดีดทำไม ไม่เข้าใจอะ ทำอะไรย้อนแย้งกันจริงๆ เฮียเนี่ย

   “แรด! ถ้าเฮียไม่กล้าด่า ผมด่าให้ก็ได้” ธงรบมันพูดต่อให้ เมื่อเห็นเฮียหยุดแค่นั้น

   “ก็ดีกว่าขี้เสือก!” ผมหันไปเถียงมันทันที

   “แสนจะทำยังไงต่อ จะให้เฮียช่วยอะไรบอกมาได้เลย” ผมหันมายิ้มประจบเมื่อเฮียแผนถาม ก่อนจะอธิบายสิ่งที่คิดให้เฮียแผนฟัง

   “ธงรบมันบอกว่าจะไปสืบดูก่อนครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น แสนก็ว่าจะดูที่มาที่ไปก่อนค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไปครับเฮีย ตอนนี้เฮียแค่คอยเป็นกำลังใจให้แสนก็พอ” พอพูดจบผมก็ขยับเข้าไปกอดแล้วซบเฮียอ้อนๆ

   “เอาอย่างงั้นก็ได้ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรหรือมีอะไรให้เฮียช่วยก็รีบบอกนะ” ซึ่งเฮียแผนก็กอดตอบแล้วลูบหัวลูบหลังอย่างอ่อนโยนจนผมอดจะยิ้มไม่ได้

   “ครับเฮีย ถ้ามีอะไรแสนจะรีบบอกเฮียเลย” พูดจบก็ยักคิ้วให้ส่วนเกินที่มองมาด้วยสีหน้าหมั่นไส้เต็มที่

   หึๆ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครที่เป็นน้องรักกันแน่
   
************************************************************

   หลังจากนั้นระหว่างที่ธงรบตามสืบอยู่ ผมก็พยายามติดต่อหาคล้าวตลอด แต่ก็ยังคงติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม เหลือแค่คนเดียวที่คิดออกว่าคล้าวน่าจะติดต่ออยู่ตลอดก็คือหลวงตา แต่คงไม่กล้าโทรไปรบกวนและไม่คิดจะโทรไปรบกวนท่านด้วย

   ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่หยิบมาเช็คตามความเคยชินแล้วถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง หายไปไหนของเค้านะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง จะสบายดีหรือเปล่า จะมีใครรังแกไหม

   เฮ้อ! ถอนหายใจอีกทีเพราะไม่มีปัญญาทำอะไรได้ไปมากกว่านี้

   “คุณแสนคะ มีคนมาขอพบค่ะ เขาบอกว่าชื่อ...”

   เด็กในร้านยังไม่ทันพูดจบ ผมก็รีบเดินไปที่หน้าร้านอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะต้องถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่ผมรอ

   “สวัสดีครับคุณแสน” ผู้ชายตรงหน้าหันมาทักด้วยรอยยิ้ม จนผมต้องปั้นยิ้มการค้าตอบไป

   “สวัสดีครับคุณสรัญ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับผมครับ”

   “โธ่ คุณแสนทักซะเป็นทางการเลยนะครับ ผมก็แค่ชอบงานคุณแสนก็เลยมาอุดหนุนแล้วก็อยากจะทักทายคนเก่งๆ อย่างคุณแสนหน่อยน่ะครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำชื่นชมในประโยคหลัง

   “ขอบคุณนะครับ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามสบายเลยครับ” ผมกล่าวตามมารยาท

   “เอ่อ ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากนัก คุณแสนช่วยผมเลือกหน่อยได้ไหมครับ ในฐานะดีไซเนอร์คุณแสนน่าจะเลือกแบบที่เหมาะกับผมได้มากกว่าตัวผมแน่ๆ” ก่อนที่ผมกำลังจะเอ่ยขอตัว คุณสรัญก็เอ่ยขอขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเกรงอกเกรงใจซะจนผมปฏิเสธไม่ลง

   “ก็ได้ครับ”

   เนื่องจากคุณสรัญบอกว่างบไม่จำกัด ผมเลยช่วยคุณสรัญเลือกเสื้อผ้าด้วยความเพลิดเพลิน เพราะปกติพวกนายแบบนางแบบก็มีบุคลิกที่ดี เหมาะกับเสื้อผ้าหลายๆ แบบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใส่ตัวไหนก็เหมาะก็ดูดีไปหมด จนผมอดจะอิจฉาในรูปร่างของเขาไม่ได้

   “ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอเลี้ยงข้าวคุณแสนได้ไหมครับ” พอชำระเงินเรียบร้อย คุณสรัญก็หันมาถามผมทันที

   “เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไรครับ” ผมถามยิ้มๆ

   “ถือว่าผมเลี้ยงที่คุณแสนช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ผมก็ได้ครับ” คุณสรัญก็รีบตอบทันที

   “ก็คุณสรัญซื้อเสื้อผ้าร้านผมนี่ครับ ผมเลือกให้ก็ไม่แปลก อีกอย่าง คนที่เป็นฝ่ายได้ก็เจ้าของร้านอย่างผมนี่ครับ”

   “ถ้าอย่างงั้น เลี้ยงในฐานะที่เรารู้จักกันมากขึ้นก็ได้ครับ”

   คิกๆๆ ผมเหลือบตาไปปรามพนักงานที่กระดิกหูฟังอยู่รอบๆ แล้วหัวเราะคิกคักกันอย่างชอบใจ

   “นะครับ” พอเห็นว่าผมนิ่ง คุณสรัญก็ส่งสายตาอ้อนวอนมาอีก

   “ก็ได้ครับ ถ้าไปทานที่ศูนย์อาหาร ผมตกลงก็ได้”

   “โอเคครับ ศูนย์อาหารก็ศูนย์อาหาร” คุณสรัญรีบตอบรับด้วยรอยยิ้ม

    จากการที่ได้พูดคุยทำให้รู้ว่าคุณสรัญเป็นคนที่อัธยาศัยดีมาก ทั้งคุยเก่งและมีอารมณ์ขัน จนทำให้ผมพลอยยิ้มและหัวเราะไปกับบทสนทนาที่เขาสรรหามาชวนคุยตลอด

   “ถ้ามีโอกาส ผมแวะมาชวนคุณแสนไปทานข้าวอีกได้ไหมครับ” เมื่อมาถึงร้านแล้วคุณสรัญก็ถามผมด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม

   “ได้สิครับ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มตามมารยาท ในเมื่อคุยกันถูกคอ ถ้าจะคบหาเป็นเพื่อนผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

   พอได้รับคำตอบสมใจ คุณสรัญก็เดินจากไป ส่วนผมพอหันกลับมาก็เห็นคนในร้านจ้องมาที่ผมกันสลอน

   “อะแฮ่ม! มองอะไรกันครับ ทำงานไปสิครับทำงาน” พอปรามก็ไม่มีใครสลด มีแต่ส่งสายตาล้อเลียนและหัวเราะคิกคักกันเหมือนเดิม ผมเลยได้แต่ส่ายหัวด้วยความระอาแล้วเดินหนีเข้าห้องไป จะได้เลิกล้อกันสักที
   


   วันต่อผมก็ได้เจอคุณสรัญในงานเลี้ยงตอนเย็นที่ไปเป็นเพื่อนแม่อีกครั้ง

   เนื่องจากวันนี้มีงานเลี้ยงที่สำคัญพร้อมกันสองงาน บ้านเราก็เลยต้องแยกกันไป โดยที่เฮียแผนต้องไปเป็นเพื่อนป๊าเพราะเป็นงานที่เกี่ยวกับธุรกิจ ทำให้ผมต้องมาเป็นเพื่อนแม่ในงานเปิดตัวสินค้าของบริษัทเพื่อนแม่แทน

   แล้วก็บังเอิญได้เจอคุณสรัญกับแม่ในงาน แม่ของเรารู้จักกันอยู่แล้ว ก็เลยแนะนำให้เราสองคนรู้จักกันไว้ ซึ่งผมก็เพิ่งจะรู้ว่าที่แม่เลือกคุณสรัญไปเดินแบบให้ก็เพราะแม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อนนั่นเอง

   พอแนะนำตัวเสร็จ แม่ของเราก็ให้เรียกพี่เรียกน้องแทนคำว่าคุณเพื่อความเป็นกันเอง ก่อนจะจูงมือกันไปหาเพื่อนๆ แล้วปล่อยให้ผมยืนงงในดงผู้ร่วมงานกับคุณสรัญที่ตอนนี้ต้องเรียกพี่สรัญต่อไป

   “น้องแสนดื่มอะไรดีครับ” พี่สรัญถามขึ้นเมื่อบริกรเดินผ่านมา

   “อะไรก็ได้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ครับ” ผมดึงสายตาจากทางที่แม่เดินหายไปมาตอบพี่สรัญทั้งที่ยังคงงงอยู่

   “หึๆ ครับ”

ผมเกือบจะเผลอถลึงตาใส่ด้วยความลืมตัว เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะขำๆ จากคนถาม แต่นึกขึ้นได้ว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นเลยยั้งตัวเองไว้ทัน ถึงอย่างนั้นพี่สรัญก็ยังกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น นี่ถ้าเป็นธงรบผมคงซัดไปสักตุบสองตุบแล้วไม่ปล่อยไว้แบบนี้หรอก

“แสน” พูดถึงธงรบ ธงรบก็เดินมาหาพอดี

ตอนแรกก็เดินเข้างานมาด้วยกันอยู่หรอก แต่อยู่ๆ ม๊ามันก็ลากไปไหนไม่รู้ เดาว่าตอนนี้บรรดาแม่ๆ คงเจอกันแล้วถึงได้ปล่อยมันมา

   ทำไมรู้สึกตะงิดๆ ยังไงพิกล แต่ก็นึกไม่ออกว่ามันแปลกที่ตรงไหน

   “กินอะไรอยู่” ความคิดของผมชะงักลงเมื่อได้ยินคำถามของธงรบ

   “น้ำส้ม” พอฟังคำตอบแล้วมันก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ จนผมได้แต่กลอกตา

ทั้งมันและเฮียตกลงกันไว้ว่าจะอนุญาตให้ผมกินแอลกอฮอล์ได้ก็เฉพาะเวลาที่อยู่กับทั้งคู่เท่านั้น ห้ามไปกินที่ไหนคนเดียวเด็ดขาด แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากทำตามคำสั่งพ่อ No.2 No.3 อย่างเคร่งครัด ซึ่งผมก็ไม่ได้ต่อต้านหรือลำบากใจอะไร เพราะถือว่ามันเป็นความห่วงใยของทั้งคู่และทุกอย่างที่ทั้งสองคนระวังต่างก็เป็นผลดีกับผมทั้งนั้น

“สวัสดีครับคุณรบ” พี่สรัญทักทายธงรบก่อน เมื่อมันมัวแต่มองผม ไม่มีทีท่าว่าจะมองคนอื่นสักนิด

“อ้าว! สวัสดีครับคุณ?” ธงรบหันมามองแล้วทำท่าเหมือนพยายามนึกชื่อคู่สนทนา

“สรัญครับ”

“อ้อ สวัสดีครับคุณสรัญ” ธงรบยิ้มก่อนจะยื่นมือให้ ซึ่งพี่สรัญก็ยิ้มให้ตามประสาคนอัธยาศัยดีแล้วจับมือทักทายกลับ

“ทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ” พอปล่อยมือแล้วมันก็หันมาถามผมทันที

“พอดีเจอพี่สรัญกับแม่ แม่ของเราก็รู้จักกันเลยจูงมือกันไปโน่นแล้ว แล้วก็ปล่อยให้เราอยู่เป็นเพื่อนคุยกันต่อน่ะ”

“พี่สรัญ?” ธงรบหรี่ตาแล้วย้ำคำที่ผมเรียก

“แม่ให้เรียก” ผมอธิบายเหตุผลสั้นๆ ธงรบเลยพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจกัน

เราสามคนคุยเรื่องสรรพเพเหระกันไปเรื่อยๆ เพราะต่างคนต่างก็ชินกับการเข้าสังคมกันอยู่แล้ว เลยสามารถคุยกันได้แทบทุกเรื่อง จนเมื่อถึงเวลาเปิดตัวสินค้า เราทั้งสามจึงหันไปสนใจกิจกรรมบนเวทีแทน

ผมหรี่ตามองเมื่อเห็นคนที่กำลังเดินออกมาบนเวทีชัดๆ

“นั่นน้องกินหญ้ามึงนี่” ผมขยับไปกระซิบกับธงรบ

“สัด! ไม่ใช่ของกูโว้ย!” มันรีบปฏิเสธทันที

น้องกินหญ้าเดินออกมาพร้อมกับนักแสดงชายอีกคนซึ่งคุ้นๆ ว่าจะเป็นพระเอกที่กำลังเล่นละครด้วยกันซึ่งละครกำลังออนแอร์อยู่ช่วงนี้

ทั้งคู่แสดงท่าทางประกอบเพลงเพื่อพรีเซ้นท์สินค้าให้น่าสนใจมากขึ้น ส่วนสื่อที่เชิญมาก็เก็บภาพกันรัวๆ จนแสงแฟลชวูบวาบไม่ขาดสาย

พอการแสดงจบลงก็ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ร่วมงานดังกระหึ่ม หลังจากเจ้าของสินค้าได้ขึ้นไปกล่าวถึงสินค้าเรียบร้อยแล้วก็เป็นการสัมภาษณ์และถ่ายภาพร่วมกันอีกรอบ

ผมกวาดสายตามองรอบๆ งาน เผื่อว่าคล้าวจะมางานนี้ด้วย บอกตามตรงว่าพอไม่เจอกันหลายวันแล้วรู้สึกคิดถึงมาก ตอนนี้อยากเห็นหน้าน้องมันเหลือเกิน

สายตาของผมสะดุดเข้ากับแผ่นหลังกว้างที่ดูคุ้นตาของผู้ชายคนหนึ่ง จนเมื่อเห็นน้องกินหญ้าเดินลงมาแล้วตรงเข้าไปหาแล้วผู้ชายคนนั้นหันหน้าไปมองนั่นแหละ ผมถึงได้มั่นใจว่าเป็นคนที่ผมกำลังมองหาอยู่จริงๆ

น้องกินหญ้าเดินเข้าไปใกล้แล้วไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเขา อยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง จนสายตาคู่นั้นมาหยุดอยู่ที่ผม

เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวหยุดนิ่ง ผมจ้องคล้าวอยู่อย่างนั้น ในขณะที่คล้าวก็ยังคงจ้องมาที่ผมนิ่งๆ เหมือนกัน

จนเมื่อน้องกินหญ้าจับหน้าของคล้าวให้หันไปสนใจตัวเอง ผมจึงเผลอจะก้าวไปหาคล้าวแต่ห้ามตัวเองได้ทัน  ได้แต่มองน้องกินหญ้าจับแขนคล้าวลากไปในทิศทางตรงกันข้าม

คล้าวหันมามองผม ผมก็จ้องน้องมันนิ่งๆ จนแผ่นหลังนั้นลับไปจากสายตาเพราะมีคนอื่นๆ เข้ามาบดบัง ผมจึงถอนสายตากลับมามองแก้วที่กำเอาไว้แน่น

ธงรบมาหยิบแก้วออกจากมือผมแล้วส่งให้บริกรที่เดินผ่านมา ก่อนมันจะลูบมือผมเบาๆ  เหมือนจะปลอบโยน มันเอ่ยขอตัวกับพี่สรัญแล้วจูงมือผมเดินออกมาจากตรงนั้น

ธงรบโทรหาแม่ของเราแล้วบอกว่าจะพาผมกลับก่อน เพราะผมจะรู้สึกปวดหัว หลังจากแม่ซักไซ้จนวางใจว่าผมไม่เป็นอะไรมากแล้วก็บอกให้ธงรบพาผมกลับบ้านไปก่อนได้เลย เดี๋ยวแม่ๆ จะกลับพร้อมกันเอง

บรรยากาศในรถเงียบงัน เพราะผมไม่มีอารมณ์จะชวนธงรบคุย ในหัวยังมีแต่ภาพของคล้าวที่โดนลากจากไปวนเวียนอยู่อย่างนั้น ธงรบก็คงเข้าใจเลยเปิดวิทยุฟังเพื่อคลายบรรยากาศ

“มึงว่ารักแท้แพ้อะไรวะ” อยู่ๆ ธงรบถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“หือ อะไรของมึง” ผมถามกลับเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ก็ที่ดีเจถามนี่ไง รักแท้แพ้อะไร แพ้ใกล้ชิด แพ้ระยะทาง แพ้ความรวย แพ้หน้าตา แต่กูว่าแพ้ใกล้ชิดว่ะ คนที่อยู่ใกล้กันยังไงก็หวั่นไหวง่ายเป็นธรรมดา” มันพูดไปเรื่อยๆ เหมือนจะหาเรื่องชวนคุยมากกว่าจะถามจริงจัง
 
แต่ทำไมต้องเป็นเรื่องความรักด้วยวะ ฟังแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาเลยเนี่ย เฮ้อ!

“สำหรับกูเหรอ กูว่า ‘รักแท้แพ้ไม่รัก’ ว่ะ ต่อให้รักเขามากแค่ไหน หรือต่อให้รวย ให้หล่อ ให้อยู่ใกล้ชิดยังไง ถ้าเขาไม่รักตอบก็จบ” ธงรบมันอึ้งไปเมื่อฟังคำตอบของผม ก่อนที่มันจะถอนหายใจแล้วเอ่ยขอโทษ

“กูขอโทษ ลืมไปว่าไม่ควรชวนมึงคุยเรื่องนี้” มันทำหน้ารู้สึกผิดจนผมอดจะยิ้มให้มันสบายใจไม่ได้ แต่ก็คงเป็นรอยยิ้มที่แย่น่าดู เพราะคิ้วมันยิ่งขมวดเข้าไปใหญ่

“ช่างมันเถอะน่า มึงไม่ได้ตั้งใจนี่” ผมเอ่ยปลอบใจมัน

“ไหวไหมแสน” ธงรบถามด้วยสีหน้าห่วงใย

“ไหว”

ยังไงก็ต้องไหว

ผมหลุบมองสายสิญจน์ที่ผูกไว้กับสายนาฬิกานิ่งๆ อยู่อย่างนั้น


**********************************************************************

บางคนดักคอเหมือนรู้ใจค่ะ ไม่ดราม่า... มั้งคะ พอดีไม่ใช่สายดราม่าค่า
จะดราม่าก็ตรงตันแล้วคิดไม่ออกนี่แหละ แฮ่!
ช่วงปลายปีแบบนี้งานสุมหัวมากเลยค่ะ
ตอนต่อไปอาจจะมาช้าหน่อยนะคะ ขอเคลียร์งานหนีกลับบ้านก่อนนนน

**********************************************************************

suikajang ☼ นางร้ายกาจมากค่ะ จัดการเลยยยย ปล.รอก้อนหินเป็นเล่มนะคะ มีตอนพิเศษแถมให้หลายตอนเลยค่า ก๊าสสสส
MayA@TK ☼ ไว้ใจไม่ได้เลยนะคะ 2 คนนี้เนี่ย
k2blove ☼ ใช่ค่ะ คนพวกนี้ไว้ใจไม่ได้ มาตอนนี้ก็ยังสบตากันค่ะ แต่สบตากันด้วยความเศร้า ถถถ
iceman555 ☼ เดี๋ยวบอกให้เฮียแผนจัดการมันเลยค่ะ
111223 ☼ ความรักมันต้องมีอุปสรรคกันบ้างค่ะ แฮ่!
PsychePie ☼ สองคนนี้หวานไม่แคร์ใครเลยค่ะ ส่วนเอญ่านั้น นางยังร้ายได้กว่านี้ค่ะ
ommanymontra ☼  :L2: :กอด1: :L2:
M_Y MILD ☼ ยินดีต้อนรับค่ะ อย่าลืมแวะมาอีกนะคะ
aoihimeko ☼ นางร้ายนะคะ เป็นนางเอกละครซะเปล่า ยังไม่ทันได้ลากเลยค่ะเกิดเรื่องซะก่อน
Mynun ☼ ไม่เทแน่นอนค่าาา แต่อาจจะช้าไปนิด เอ่อ มากๆ ก็ได้ ถถถ รอกันหน่อยนะคะ
puiiz ☼  :กอด1: :L2: :กอด1:
วายซ่า ☼ ธงธงมันมือไว้ใจเร็วค่ะ ไม่ช้าเหมือนพี่แสน 555555 แต่คู่นี้นี่หวานแบบไม่เกรงใจใครเลยค่ะ ก่อนจะ....
Seilong2 ☼ ขอบคุณที่ติดตามค่า ไว้แวะมาทักทายกันอีกนะคะ
แก้มกลม ☼ สองคนนี้ไว้ใจไม่ได้เลยค่ะ ถถถ
Toon_TK ☼ ไม่ทันแล้วค่า แฮ่!


โปรดติดตามตอนต่อไป

:katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 15-12-2018 14:34:55
หืออออ ทำไมน้องไปอยู่กับยัยกินหญ้าได้ ไหนจะนายสรัญอะไรนี่อีก
มีการสมคบคิดอะไรกันรึเปล่า ดูช่วงเวลาเหมาะเจาะเกินไป
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-12-2018 15:47:28
อ้าววว ทำไมคล้าวทำแบบนี้อะ  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-12-2018 15:50:16
 :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-12-2018 02:52:06
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: แก้มกลม ที่ 16-12-2018 06:48:42
นังกินหญ้าหล่อนข่มขู่อะไรน้องคล้าวของพี่แสนหรือเปล่าเนี่ย ร้ายนะย๊ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-12-2018 07:58:56
ตอนนี้น้องกินหญ้าแย่งซีนไปเต็มๆ ถึงไม่มีบทพูดมากมายก็เหอะ
ว่าแต่น้องคล้าวทำไมไม่รับสายพี่แสนเลยนะ ใจร้ายมากๆ ไม่น่ารักเลย
ต้องให้เฮียฉุดมาให้พี่แสนปล้ำอย่างที่คิดไว้ หุหุหุ
 :haun4:  :haun4:
แต่รู้สึกว่าสรัญน่ากลัวขึ้นทุกทีนะ ระวังตัวด้วยนะแสน เป็นห่วงจัง
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-12-2018 13:46:15
น้องคล้าว ทำไมมีอะไรไม่บอกพี่แสนล่ะ ทำแบบนี้พี่เค้าเสียใจนะ ถ้าโดนนังกินหญ้าข่มขู่อะไรมา ก็น่าจะมาปรึกษาเฮียๆ ก่อน จะได้หาทางแก้ทันง่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 16-12-2018 16:19:01
นี่คือความรู้สึกจากใจนะ ไม่ว่าคล้าวจะทำไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราเสียความรู้สึกมากเพราะถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแสน ควรถามแสนก่อนไหม? หรือถ้าโดนยุยง คล้าวก็ไม่ได้โง่นิ

สรุปเราเทคล้าวแล้วแม้สุดท้ายจะกลับมา แม้สุดท้ายแสนจะเข้าใจและให้อภัย แต่เราไม่โอเค

ใครมีหมาแดงขอขวดสิจะเอาไปฆ่าหญ้าพร้อมวางยาสรัญ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 02-01-2019 18:48:19
น่าจะมีเหตุ อะไร สักอย่าง รอ วันคลี่คลาย รอ..ต่อไป ลุ้นๆ จนกว่า ...คิดถึง และ ขอบคุณผู้เขียน จร้า
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-01-2019 07:30:50
มารอเรื่องนี้ หายไปจะครบเดือนละ คิดถึงครับ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 14-01-2019 11:55:23
บทที่ 18

ผมลองบิดกุญแจสตาร์ทรถดูอีกรอบ ก่อนจะต้องถอนหายใจอย่างยอมแพ้ เมื่อลองเป็นรอบที่สิบแล้วเครื่องยนต์ที่เหมือนจะติดก็ดันไม่ติดสักที

เมื่อเช้าขับมาก็ยังดีๆ อยู่ มันเป็นอะไรของมันวะ น้ำมันก็ยังอยู่เกือบเต็มถัง ได้แต่มองแล้วถอนหายใจด้วยความเซ็งอีกรอบก่อนจะตัดสินใจโทรหาช่าง เดี๋ยวรอให้ช่างมาก่อนแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับเอง

วันนี้ผมให้คนขับรถไปส่งป๊ากับแม่ขึ้นเครื่อง เพราะทั้งคู่นัดไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนรวมทั้งพ่อแม่ของธงรบด้วย เฮียแผนก็ไม่อยู่ ไปดูงานที่ต่างประเทศหลายวันแล้ว เฮียโทรมาบอกว่าจะกลับมาถึงเย็นนี้ ส่วนธงรบ มันเพิ่งโทรมาบอกว่าจะไปคุยกับน้องเอญ่าก่อน ไม่รู้ว่ามันคุยเสร็จรึยัง เลยตัดสินใจยังไม่โทรไปหามันดีกว่า

ระหว่างที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอช่างอยู่ในรถก็มีสายเรียกเข้ามาพอดี ผมมองชื่อคนโทรเข้าด้วยความแปลกใจว่าโทรมาทำไมในเมื่อเพิ่งจะแยกกันมา

“ว่าไงจูดี้ มีอะไรรึเปล่า”

“คุณแสนลืมกระเป๋าตังค์ไว้บนโต๊ะค่ะ”

“อ้าวเหรอ”

“นี่คุณแสนถึงไหนแล้วคะ”

“ผมยังอยู่ที่ลานจอดรถอยู่เลย พอดีรถผมเสีย งั้นเดี๋ยวผมขึ้นไปเอาก็แล้วกัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้จูดี้เดินออกมาแล้วค่ะ เดี๋ยวจูดี้ถือไปให้ เมื่อเช้าเห็นรถคุณแสนอยู่ใกล้ๆ รถของจูดี้พอดี รอแป๊บนะคะ”

“โอเค ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่าเจ้านาย”

ก๊อกๆๆ

เมื่อวางสายแล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจกฝั่งที่ผมนั่ง ตอนแรกก็นึกว่าจูดี้มาถึงแล้ว พอเห็นว่าเป็นพี่สรัญผมก็เลยลดกระจกลงต่ำกว่าเดิมจากที่เปิดระบายอากาศไว้เพียงเล็กน้อยในตอนแรก

“สวัสดีครับน้องแสน”

“สวัสดีครับพี่สรัญมาได้ยังไงครับเนี่ย”

“พอดีตอนแรกพี่ว่าจะมาชวนแสนไปทานข้าว แต่พอไปหาที่ร้านคนในร้านบอกว่าแสนกลับแล้ว บังเอิญพี่เห็นรถแสนพอดี เลยลงมาชวนไปทานข้าวด้วยกันครับ” พี่สรัญอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“พอดีว่ารถผมเสียน่ะครับ กำลังรอช่างมาเอาไปซ่อมอยู่”

“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวพี่รอเป็นเพื่อนครับ ถ้าช่างมาแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ” ผมมองหน้าพี่สรัญ เหลือบมองไปที่รถตู้ที่จอดอยู่ใกล้ๆ แล้วเอ่ยปฏิเสธ

“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลยครับ เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันซะหน่อย ไปครับ แสนไปรอบนรถพี่ดีกว่าจะได้ไม่ร้อนด้วย” พี่สรัญยังคงชวนด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรครับอีกสักพักเดี๋ยวช่างก็คงมาแล้ว”

“ระหว่างที่รอช่าง ไปรอบนรถพี่ดีกว่าครับ เย็นสบายกว่าเยอะเลย”

“รออีกแป๊บเดียวเองครับ ถ้าช่างมาเดี๋ยวผมค่อยไปก็ได้ ขี้เกียจลุกเดินไปเดินมาครับ”

“แต่พี่ว่า...”

“มัวแต่ลีลาอยู่นั่นแหละ ลงมา!”

ผมมองคนที่เข้ามาเอาปืนจ่อนิ่งๆ ก่อนจะมองสบตาพี่สรัญที่ตอนนี้ถูกผลักไปยืนข้างๆ แล้วมองมาด้วยแววตาที่เหมือนอยากจะขอโทษและรู้สึกผิด

ที่จริงผมก็รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เขามาเคาะกระจกแล้ว รอยยิ้มพี่สรัญยังคงเหมือนเดิม แต่แววตาที่เคยสดใสมันหม่นหมองและมองมาด้วยรู้สึกผิดจนผมเอะใจเลยไม่ยอมลงไปง่ายๆ แต่พอปืนมาจ่อแบบนี้จะไม่ลงก็คงไม่ได้แล้วละ

“กูบอกให้ลงมา ไม่งั้นกูยิงสมองกระจายแน่ ลงมา!!”

ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะก้าวลงจากรถช้าๆตามที่มันบอก แล้วกวาดสายตามองรอบๆ พอไม่เห็นใครอยู่แถวนี้เลยก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครช่วยได้เลย ซวยจริงๆ

“ยกมือขึ้นไว้ที่บนหัว แล้วเดินไปขึ้นรถ อย่าตุกติกนะมึง กูยิงจริงๆ ด้วย”ผมทำตามคำสั่งอย่างช้าๆ แต่พอมันเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็หันกลับไปคว้ามือที่ถือปืนแล้วหมุนตัวกลับไปเข่าเข้าที่ท้องของมัน ก่อนจะแย่งปืนมันมาถือไว้แล้วถอยห่างออกไป

“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” ผมหันปืนไปหาคนที่โดนเตะเมื่อมันตั้งตัวได้แล้วทำท่าจะถลาเข้ามาหา แต่ก่อนที่จะตะโกนขอให้คนช่วยหรือทำอะไรต่อ ก็ดันมีคนโผล่เข้ามาซะก่อน

“มึงนั่นแหละหยุดถ้าไม่อยากให้อีนี่ตาย” ผมได้แต่เม้มปากแน่น เมื่อสถานการณ์ที่กำลังเป็นต่อถูกพลิกกลับทันที เพราะมีคนร้ายอีกคนล็อคคอแล้วเอาปืนจ่อหัวจูดี้ไว้

“ฮือ คุณแสนจูดี้ขอโทษ” จูดี้ส่งสายตาขอโทษมาให้ ผมได้แต่ถอนหายใจ เพราะเข้าใจว่าจูดี้ก็คงไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรอก

“วางปืนลง” ไอ้คนที่ใช้ปืนขู่ผมแสยะยิ้มก่อนจะบอกอย่างเป็นต่อ

“เร็วๆ สิ” อีกคนก็คอยเร่งจนผมต้องค่อยๆ ย่อตัวลงแล้ววางปืนกับพื้นอย่างไม่กล้าตุกติก

ถ้าตัวคนเดียวผมคงจะกล้าเสี่ยง เพราะเรื่องการต่อสู้ฝีมือผมก็เก่งพอตัวและคิดว่าพอจะเอาตัวรอดได้ แต่นี่มีจูดี้อีกคน ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายเธอ เลยได้แต่ยอมทำตามอย่างจำใจ

ผัวะ!

“อึก!” ไอ้คนที่โดนผมเข่ามันปราดเข้ามาหยิบปืนแล้วจับผมเข่าจนจุกแทบจะทรุดลงไปกับพื้น มันทำท่าจะเข้ามากระทืบซ้ำ แต่พี่สรัญเข้ามาประคองผมไว้แล้วห้ามไว้ก่อน

“หยุดนะ! ไหนว่าจะไม่ทำร้ายเขาไง”

“ไม่เห็นเหรอว่ามันทำร้ายผมก่อน” คนร้ายหันไปตะคอกพี่สรัญ

“จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แล้วรอให้ตำรวจมาลากคอไปก่อนใช่ไหม” พี่สรัญขู่เมื่อมันทำท่าจะเข้ามาทำร้ายผมอีก

“เออ รีบๆ ไปขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวพ่อมึงมาแล้วจะยุ่ง” คนร้ายอีกคนที่จับจูดี้ไว้รีบห้ามไว้เหมือนจะเห็นด้วยกับพี่สรัญ

“ปล่อยจูดี้ก่อน เธอไม่เกี่ยวอะไรด้วย ปล่อยเธอไปซะ” ผมพยายามต่อรอง เพราะกลัวว่าจูดี้จะเป็นอันตรายไปด้วย

พวกมันสองคนสบตากันทำให้ผมสังหรณ์ใจไม่ดี เมื่อคนที่จับจูดี้ไว้มองด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ผมรีบสะบัดตัวออกจากพี่สรัญแล้วเข้าไปคว้าแขนคนร้ายออกจากหัวจูดี้

ปัง!!

ผมดึงแขนที่ล็อคคอจูดี้ออก เข่าไปที่ท้องมันแล้วผลักจูดี้ให้หลบเข้าไปในซอกรถ

“หนีไป!!” ดีที่จูดี้ปฏิกิริยาไวพอ จึงรีบวิ่งหนีไปทันที

ปังๆๆ

“ว้าย ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”จูดี้วิ่งหนีไปได้ไกลแล้วก็ตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย

ผลัวะ!!

“โอ๊ย!”

“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง” คนร้ายคนแรกเข้ามาตบหน้าผมด้วยด้ามปืนจนหน้าหันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหู ก่อนที่มันจะเข่าผมจนจุกอีกรอบ

“อึก”

“มันหนีไปได้ จะตามไปอีกก็เจอคนเข้าพอดี รีบไปเถอะ ก่อนที่พ่อจะแห่กันมา”พอได้ยินคนร้ายอีกคนบอกแบบนั้นผมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยจูดี้ก็รอดไปได้และคงจะไปบอกให้คนอื่นมาช่วยผมได้

“โธ่โว้ย! ไปขึ้นรถ” คนร้ายคนแรกสบถอย่างหัวเสียก่อนที่มันจะจับแขนผมแล้วลากไปขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่ที่เดิมโดยที่คนร้ายคนที่สองเป็นคนขับ ส่วนมันก็ลากผมเข้าไปด้านใน พี่สรัญเดินขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย

เมื่อรถออกไปสักพัก มันก็หาเชือกมามัดแขนผมไพล่หลัง เอาผ้ามาปิดตา แล้วเอาผ้าที่ใส่ยาสลบมาปิดปากปิดจมูกผม ผมได้แต่กลั้นใจไว้แล้วดิ้นตามสัญชาติญาณจนกลั้นไม่ไหวสูดเข้าไปเต็มปอดก่อนสติจะค่อยๆ ดับวูบลง

*****************************************************************

ผมรู้สึกตัวขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนหัวหนักมาก แม้จะรู้สึกตัวแล้วแต่ก็ยังลุกไม่ไหวเพราะเวียนหัว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาสลบที่ยังไม่หมดดี

“เป็นยังไงบ้างครับน้องแสน”

ผมพยายามลุกขึ้นนั่งโดยมีพี่สรัญช่วยประคอง พอลุกขึ้นได้ก็กวาดสายตามองรอบๆ ตัว ก็เห็นว่าผมนอนอยู่บนเตียงในห้องๆ หนึ่งกับพี่สรัญสองคน

“พี่สรัญ” ผมมองหน้าพี่สรัญนิ่งๆ

“ครับ น้องแสนอยากรู้อะไรถามมาได้เลย” พี่สรัญยังคงยิ้มให้ด้วยสีหน้าหม่นๆ

“พี่สรัญทำแบบนี้ทำไมครับ”

“ดูเหมือนน้องแสนไม่แปลกใจเลยนะครับ” พี่สรัญไม่ได้ตอบ แต่ถามผมด้วยน้ำเสียงแปลกใจแทน

“ที่จริงผมก็รู้สึกสงสัยอยู่ครับว่าพี่สรัญเข้าหาผมทำไม ตอนแรกก็สงสัยว่าพี่สรัญน่าจะโดนคุณกิน เอ่อ เอญ่าขอให้ช่วยแก้แค้นธงรบ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่สรัญจะจับผมมาแบบนี้ครับ”

“แสนไม่คิดว่าพี่จีบแสนจริงๆ เหรอ”

“ไม่ครับ ถึงพี่สรัญจะแสดงออกว่าจีบผม แต่แววตามันฟ้องว่าพี่สรัญไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับผมจริงๆ อย่างมากก็แค่เอ็นดูผมเหมือนน้องคนหนึ่งเท่านั้นเอง” พี่สรัญฟังแล้วก็ยิ้มสายตามองมาด้วยแววตาเอ็นดูอย่างไม่ปิดบังเหมือนก่อนหน้านี้

“แสนคิดถูกแล้ว เอญ่าอยากแก้แค้นคุณรบจริงๆ เลยมาขอให้พี่แยกแสนออกจากคล้าวเพราะเอญ่าโกรธที่คุณรบให้ความสำคัญกับแสนมากกว่าเธอ แต่ที่พี่ร่วมมือกับเธอ เพราะเป้าหมายของพี่อยู่ที่แสนอยู่แล้ว”

“ทำไมล่ะครับ ผมมั่นใจว่าไม่เคยมีความแค้นกับพี่สรัญมาก่อนแน่ๆ” ผมพยายามทบทวนความทรงจำแต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำร้ายพี่สรัญตอนไหน

“แสนไม่มี แต่เกียรติก้องวัฒนาน่ะมี”

ผมชะงักก่อนจะสบตาพี่สรัญด้วยความแปลกใจ เกียรติก้องวัฒนา? ป๊ากับเฮียน่ะเหรอ?

“แสนรู้ไหมว่าพี่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณหญิงรัตนา” เมื่อเห็นผมมีสีหน้าตกใจพี่สรัญก็ยิ้มเศร้าๆ ให้ก่อนจะพูดต่อ
“พี่เป็นแค่ลูกบุญธรรมที่คุณหญิงรัตนารับมาเลี้ยง แสนรู้เรื่องที่เจ้าสัวสุธนกับคุณแผนมีปัญหากับบริษัทคู่แข่งใช่ไหม”

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเรื่องในครั้งนั้นทำให้รถผมถูกคนพวกนั้นตัดสายเบรกจนประสบอุบัติเหตุแล้ววิญญาณไปอยู่ในร่างของทองกวาว เป็นควายความจำเสื่อมอยู่ตั้งนาน

“คนที่ทำร้ายแสนคือพ่อแท้ๆ ของพี่เอง”

“อะไรนะ!!”

“พี่เป็นลูกนอกสมรสของผู้ชายคนนั้น”แววตาของพี่สรัญหม่นลงยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่จะละสายตาจากผมแล้วหันหน้าไปทางอื่น

“แม่พี่เป็นแค่เมียเก็บของเขา แม่ปล่อยให้พี่เกิดมาเพื่อใช้ผูกมัดผู้ชายคนนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว หลังจากที่แม่พี่บอกเขา เขาก็ตรวจ DNA จนมั่นใจว่าพี่เป็นลูกของเขาแน่ๆ

ถึงจะยอมรับว่าพี่เป็นลูก แต่เขาก็ไม่สามารถจะเลี้ยงดูพี่ได้ เพราะเมียหลวงทั้งรวยทั้งมีอำนาจมาก เขาไม่มีทางทิ้งเมียหลวงเพื่อมาอยู่กับแม่พี่หรอก เขาจึงเสนอเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งให้แม่พี่เพื่อตัดปัญหา

แม่พี่ได้แต่รับเงินมาเพราะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เนื่องจากถูกเมียหลวงข่มขู่ พอได้เงินมา แม่พี่ก็เอาพี่ไปทิ้งไว้ให้ยายเลี้ยง ทิ้งเงินไว้ให้จำนวนหนึ่งแล้วก็จากไป ปล่อยให้พี่โตมากับยายแบบตามมีตามเกิด

จนพี่อายุ 6 ขวบแม่ก็กลับมาแล้วเอาตัวพี่ไปหาพ่อเพื่อขอเงินเพิ่ม เพราะเงินที่ได้มาหมดแล้วจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย พอเงินหมดแม่ก็ไปอยู่กับผู้ชายอีกคน จนผู้ชายคนนั้นทิ้งแม่ไปรับเลี้ยงเด็กคนใหม่ที่สาวกว่าและสวยกว่า

ตอนนั้นแม่บังเอิญไปเห็นพ่อจึงนึกขึ้นได้ว่ามีพี่อยู่ จึงมาเอาตัวพี่ไปจากยายพาไปหาผู้ชายคนนั้น แล้วบอกว่าเงินที่ได้มาหมดลงเพราะใช้จ่ายไปกับการเลี้ยงดูพี่หมด ผู้ชายคนนั้นก็ให้เงินมาอีกก้อนเพื่อตัดปัญหาอีกครั้ง

ไม่นานเงินที่ได้มาก็หมดเหมือนเดิม เพราะแม่ติดทั้งเหล้าและการพนัน แต่จะเอาพี่ไปทิ้งไว้กับยายเหมือนเดิมก็ไม่ได้ เพราะยายเสียไปแล้ว

หลังจากนั้นพี่ต้องอดมื้อกินมื้อและถูกตีแทบทุกวัน แม่โทษว่าเป็นเพราะพี่ที่เกิดมาเป็นตัวซวย ทำให้ชีวิตของแม่ตกต่ำ ในตอนนั้นพี่คิดถึงยายมาก ถึงยายจะเลี้ยงพี่แบบตามมีตามเกิด แต่ยายก็ไม่เคยตีพี่โดยไม่มีเหตุผลเลยสักครั้ง

จนในวันหนึ่งระหว่างที่พี่เดินขายของอยู่ก็บังเอิญไปเจอกับผู้ชายคนนั้นกับเพื่อนของเขาและภรรยาของเพื่อนเขา ยังดีที่เขายังพอจำหน้าลูกของตัวเองได้ พอเพื่อนและภรรยาของเขาเห็นสภาพของพี่ก็เลยขอรับเลี้ยงพี่ไว้เอง เพราะทั้งคู่ไม่มีลูก โดยแลกกับเงินก้อนใหญ่ที่แม่พี่เรียกร้องไป

การที่ได้มาอยู่ในครอบครัวนี้ทำให้พี่มีความสุขมาก เพราะคุณหญิงรัตนากับคุณประจักษ์เลี้ยงดูพี่เหมือนพี่เป็นลูกแท้ๆ ของพวกท่าน

แต่พี่มีความสุขได้ไม่นาน แม่ก็แอบมาหาพี่ที่โรงเรียน แล้วบังคับให้พี่ขโมยเงินไปให้ใช้ แต่พี่ไม่ยอมทำจึงถูกตีทุกครั้ง จนคุณแม่รัตนารู้เพราะเห็นแผลที่พี่ถูกตี จึงบอกให้คุณพ่อจัดการให้

คุณพ่อข่มขู่จนแม่พี่กลัว จึงไม่มาหาพี่อีก แต่ก็ยังแอบไปขอเงินกับคุณแม่รัตนาเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าคุณแม่เป็นคนใจอ่อน ถึงพี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่ต้องวุ่นวายและเสียเงินเรื่อยๆ แต่คุณแม่รัตนาก็ไม่เคยโทษพี่เลย ท่านยังรักและเอ็นดูพี่เหมือนเดิม

จนเมื่อไม่นานมานี้ เมียหลวงของพ่อตายไป เขาก็เข้าไปบริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว แล้วก็มีปัญหากับเกียรติก้องวัฒนาอย่างที่แสนรู้นั่นแหละ พอแม่เข้าไปหาเขาเพราะหวังจะไปแทนที่เมียหลวง จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการออกหน้าทำเรื่องร้ายๆ ให้

พอพ่อถูกจับ แม่ก็โกรธบ้านแสนมากที่ทำให้เขาไม่ได้เป็นนายหญิงอย่างที่หวังเอาไว้ เลยมาบังคับให้พี่ช่วยจับตัวแสนมาเพื่อต่อรองกับเจ้าสัวสุธนกับคุณแผนให้ถอนฟ้องพ่อ เพราะรู้มาว่าสองคนนั้นรักแสนมาก

แม่พี่ขู่ว่าถ้าพี่ไม่ทำจะทำร้ายคุณแม่รัตนา แสนก็รู้ว่าคุณพ่อประจักษ์ พ่อบุญธรรมพี่เสียไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีคุณพ่อคอยคุ้มครองเหมือนแต่ก่อน พี่รู้ว่าเขาทำได้จริงแน่ๆ เลยจำใจต้องทำตาม พี่ขอโทษแสนด้วยนะ ที่ต้องทำให้แสนต้องลำบากแบบนี้”

พี่สรัญหันมาสบตาผมด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด ผมฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกด้วยความเห็นใจและหนักใจ

“แล้วเล่าให้ผมฟังแบบนี้ ไม่กลัวว่าผมจะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดพี่เหรอครับ”

“พี่ทำผิด พี่ก็ยอมรับผิด พี่เหนื่อยกับแม่เต็มทีแล้วแสน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ติดคุกก็ติดไป ขอแค่ปกป้องผู้มีพระคุณของพี่ได้ก็พอ”

“แล้วนี่เราอยู่ที่ไหนครับเนี่ย”ผมเปลี่ยนเรื่อง เมื่อสีหน้าพี่สรัญหม่นลงเรื่อยๆ

“บ้านพักลับๆ ของพ่อในป่าแถบกาญจนบุรีน่ะ”ไม่อยากจะนึกเลยว่าทำเอาไว้ทำไม พอผมถอนหายใจพี่สรัญก็เอ่ยปลอบ

“แสนทนหน่อยก็แล้วกันนะ สักพักแม่พี่คงจะมาถึง ถ้าต่อรองกับทางนั้นให้ปล่อยตัวพ่อพี่ได้แล้ว แม่ก็คงปล่อยแสนไป”

ผมอยากจะบอกว่าพี่สรัญมองโลกในแง่ดีเกินไป ถึงขนาดจับผมมาถึงนี่แล้วจะปล่อยไปง่ายๆ หรอก ได้แต่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไปให้พี่สรัญกังวลไปมากกว่านี้

“แสนหิวไหม เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน”

โครก! พอได้ยินคำถาม ท้องก็ร้องขึ้นพอดี

“นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับเนี่ย”ผมถามแก้เขิน เพราะเห็นพี่สรัญมองมาด้วยแววตาทั้งขำทั้งเอ็นดู

“แสนหลับไปเกือบทั้งวันเลย รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้ทาน อย่าหนีออกไปเลยมันอันตราย คนข้างนอกเป็นคนของแม่พี่ พี่คุมพวกเขาไม่ได้” พี่สรัญมองมาด้วยสายตาห่วงใยอย่างจริงจังทำให้ผมต้องรับปากว่าจะยังไม่หนี... ในตอนนี้

“ครับ” ถึงอยากหนีก็หนีไม่ได้หรอก เพราะยังไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกเลย พอผมรับคำพี่สรัญก็ยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

ผมถอนหายใจเฮือก รู้สึกโชคดีที่คนจับมามีพี่สรัญอยู่ด้วย ถ้าเป็นคนอื่นหรือถ้ามีแค่คนของแม่เขา สภาพผมคงแย่กว่านี้แน่ๆ

ผมคลำหาโทรศัพท์ตามตัวก็ไม่หาเจอ คิดอยู่แล้วว่าคงโดนเอาไปแล้วแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเอาไปตอนไหน ถ้าถูกเอาไปช้าหน่อยก็คงดี เผื่อจะมีคนตามสัญญาณ GPS จากโทรศัพท์ของผมได้

ป่านนี้ทุกคนน่าจะรู้แล้วว่าผมถูกจับมา

ตอนนี้ก็ทำให้แค่ภาวนา ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยเถอะ

***************************************************************************

ธงรบ

   “คุณทำแบบนี้ทำไม” ผมถามเอญ่าด้วยสีหน้าจริงจังทันทีที่เธอนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   หลังจากที่ผมสืบจนมั่นใจแล้วว่าเอญ่ามีส่วนกับการที่คล้าวหลบหน้าแสน ผมก็ตัดสินใจติดต่อเพื่อขอคุยกับเอญ่าตามลำพังก่อน เผื่อว่าจะเคลียร์กันได้โดยไม่ต้องให้แสนเข้ามาวุ่นวายไปด้วย ซึ่งพอผมติดต่อไป เอญ่าก็ตอบรับทันทีไม่มีอิดออดจนผมแปลกใจ

   ผมนัดเอญ่ามาคุยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในช่วงเวลาบ่ายๆ ที่บรรยากาศค่อนข้างเงียบ เมื่อเธอมาถึงผมก็เข้าเรื่องทันที

   “แหม ทำไมใจร้อนจังคะรบ จะไม่ให้เอญ่าได้พักให้หายเหนื่อยหน่อยเหรอคะ” เอญ่าพูดจบก็ยกน้ำส้มมาจิบด้วยท่าทางสบายๆ จนผมอยากจะถอนหายเฮือก เพราะดูก็รู้ว่าเธอตั้งใจจะกวนประสาทผม แต่ผมก็พยายามใจเย็นนั่งรอเงียบๆ และจ้องนิ่งๆ เพื่อกดดัน

   “หึ ไม่ว่ายังไงผู้ชายคนนั้นก็สำคัญสำหรับรบเสมอเลยนะคะ” เอญ่าพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันจนผมต้องถอนหายใจ

   “เรื่องของเรามันไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยนะเอญ่า”

   “ทำไมจะไม่เกี่ยวคะ ทั้งๆ ที่คบอยู่กับเอญ่าแท้ๆ แต่คุณก็เอาแต่ให้ความสำคัญกับคนอื่น คำก็แสน สองคำก็แสน มีอะไรก็รีบออกไปหาแล้วทิ้งเอญ่าไว้ตลอด”

   “ผมก็บอกแล้วไงว่าผมขอโทษ แต่ก่อนที่เราจะคบกัน ผมก็เคยบอกคุณไปแล้วว่าแสนเป็น ‘เพื่อน’ คนสำคัญของผม ผมจะดูแลแสนเหมือนเดิม คุณก็บอกว่าคุณเข้าใจและรับได้”

   “เอญ่าไม่คิดว่าคุณจะทำอย่างนั้นจริงๆ นี่คะ ไม่คิดว่าคุณจะให้ความสำคัญกับคนที่คุณบอกว่าเป็นเพื่อนมากกว่าแฟนอย่างเอญ่า”

   ฟังแล้วผมก็ได้แต่ถอนใจ พูดไปก็เหมือนพายเรือในอ่าง ไม่ไปไหนสักที

   “แล้วคุณต้องการอะไรเอญ่า ทำไมถึงดึงคล้าวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ให้เราจบกันด้วยดีไม่ได้เหรอ”

   “หึ ในเมื่อผู้ชายคนนั้นทำให้เอญ่าไม่มีความสุข ก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเลย”

   “เอญ่า!” ผมได้แต่เรียกเสียงหนักๆ ไม่คิดว่าเธอจะคิดอะไรแบบนี้ได้ ไร้เหตุผลที่สุด!

   “ผมเตือนด้วยความหวังดีในฐานะที่เราเคยคบกันนะเอญ่า ผมขอให้คุณเลิกทำเรื่องบ้าๆ นี่ซะ ก่อนที่เฮียแผนจะเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง คุณก็รู้ว่าเฮียแผนรักน้องชายมากแค่ไหน คุณคงไม่อยากมีปัญหากับเกียรติก้องวัฒนาจนต้องออกจากวงการก่อนเวลาอันควรใช่ไหม ต่อให้เป็นพ่อคุณก็ปกป้องคุณไม่ได้ด้วย ผมบอกไว้ก่อนว่าเฮียแผนไม่ได้ใจดีเหมือนผมหรอกนะ”

   ผมเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งเอญ่าก็คงเข้าใจ เพราะเมื่อเอ่ยถึงเฮียแผน แววตาของเธอก็วูบไหวขึ้นมาทันที พอเห็นเธอมีท่าทางเริ่มลังเล ผมก็พูดต่อ

   “ที่เฮียแผนยังไม่ลงมาจัดการเพราะผมขอมาจัดการเองก่อน ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็เลิกทำแบบนี้เถอะ อย่าไปยุ่งกับแสนกับคล้าวอีกเลย”

   เอญ่ามีสีหน้าทั้งครุ่นคิดและขัดใจ ก่อนจะหันมาจ้องผมด้วยสีหน้าจำยอม

   “ก็ได้ค่ะ เอญ่าจะเลิกยุ่งก็ได้ พอใจรึยังคะ” ได้ฟังคำตอบแล้วผมก็ได้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

เห็นแสนมันหงอยแบบนั้นแล้วผมแทบจะทนไม่ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟนเก่าและผมก็ผิดกับเธอจริงๆ แล้วละก็ คนที่จะจัดการให้เธอไม่มีที่ยืนในวงการก็คงจะเป็นผมนี่แหละ!

   “เชื่อเถอะว่ามันจะเป็นผลดีกับคุณมากกว่า ว่าแต่... คุณทำอะไร คล้าวถึงได้หลบหน้าแสนแล้วมาอยู่กับคุณได้”ผมถามเพื่อจะได้แก้ไขให้ตรงจุด น้องมันจะได้เลิกหลบหน้าแสนซะที

   “เอญ่าก็แค่...”

   ยังไม่ทันที่เอญ่าจะพูดจบ ก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ผมซะก่อน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมาก็ขมวดคิ้วฉับ แล้วรีบกดรับเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ

   “ว่าไงจูดี้”

   “คุณรบคะ คุณแสนถูกจับไปค่ะ ฮืออออ”

“อะไรนะ!!!” ผมอุทานด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มจูดี้ก็ร่ายต่อมาเป็นชุด

“ฮึก จะทำยังไงดีคะ จูดี้ติดต่อคุณท่านทั้งสองไม่ได้ ติดต่อคุณแผนก็ไม่ได้ ดีที่ติดต่อคุณรบได้แล้ว เราจะทำยังไงกันดี คุณแสนจะปลอดภัยไหมคะ แล้ว...”

“จูดี้ใจเย็นๆ ก่อน หายใจเข้าลึกๆ”

“ฮึก” ผมได้ยินเสียงสะอื้น ก่อนที่จูดี้จะพยายามหายเข้าลึกๆ ตามที่ผมบอก

“ใจเย็นขึ้นหรือยัง ทีนี้ก็ค่อยๆ เล่าให้ผมฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมฟังจูดี้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้งๆ ที่ภายในใจจะร้อนรนจนแทบบ้า แต่ก็ต้องพยายามตั้งสติให้มากที่สุด เพราะตอนนี้มีแค่ผมที่พอจะเป็นที่พึ่งแสนได้ เนื่องจากป๊ากับแม่พากันขึ้นเครื่องหนีไปเที่ยวต่างประเทศกับแก็งค์เพื่อนๆ แล้ว ส่วนเฮียแผนก็ยังกลับมาไม่ถึง ตอนนี้คงน่าจะอยู่บนเครื่อง จูดี้ถึงติดต่อไม่ได้

หลังจากฟังจบผมก็บอกให้จูดี้ใจเย็นๆ ยังไม่ต้องไปแจ้งความ เดี๋ยวผมจะจัดการต่อเอง อีกอย่างผมจะรอปรึกษาเฮียแผนก่อน ผมมั่นใจว่าตอนนี้แสนน่าจะยังปลอดภัย เพราะถ้ามันจะฆ่ามันก็คงจะฆ่าไปตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่จับตัวไปแบบนี้หรอก ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนร้ายคืออะไร แต่คิดว่าอีกไม่นานมันคงจะพยายามติดต่อเฮียแผนหรือป๊าแน่ๆ

ผมปลอบจูดี้ให้สบายใจว่าไม่ต้องเป็นห่วงแสน เดี๋ยวผมจะจัดการที่เหลือต่อเอง แต่จูดี้ก็ยังถามย้ำๆ ว่าแสนจะปลอดภัยไหม ซึ่งผมก็ได้แต่ย้ำอย่างหนักแน่นว่าแสนจะปลอดภัยอย่างแน่นอน จูดี้จึงยอมวางสายไป

หลังจากวางสายจากจูดี้แล้ว ผมก็หันมามองหน้าเอญ่าแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อย่างพยายามข่มอารมณ์

“คุณเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า”

“เรื่องอะไรคะ” เอญ่าถามด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ จึงถามต่อ

“สรัญจับตัวแสนไป คุณมีส่วนกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่าเอญ่า”

“อะไรนะคะ!” เอญ่ามีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด จากที่ผมสังเกตเหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะรู้เรื่องนี้จริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง ผมจึงย้ำต่อเพื่อความแน่ใจ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะเอญ่า ถ้าคุณรู้และไม่อยากเดือดร้อน คุณต้องบอกผมว่าจับแสนไปทำไม ถ้าคุณให้ความร่วมมือ ผมจะช่วยกันให้คุณเป็นพยาน”

“เอญ่าไม่รู้เรื่องนะคะ เอญ่าแค่แยกคล้าวออกมาจากเพื่อนคุณเท่านั้นเอง แต่เรื่องจับตัวเขาไปนี่เอญ่าไม่รู้เรื่องเลยนะคะรบ” เอญ่าอธิบายด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“แล้วคุณรู้จักสรัญได้ยังไง”

“เอญ่ารู้จักสรัญจากงานเดินแบบที่เพื่อนคุณจัดนั่นแหละค่ะ ตอนนั้นสรัญก็เข้ามาตีสนิทแล้วก็บอกจะช่วยเอญ่าเอาคืนคุณ เขาเสนอตัวเข้ามาช่วยวางแผน ให้เอญ่าแย่งคล้าวมา เอญ่าแค่อยากให้เพื่อนคุณถูกแย่งของรักบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะจับตัวเขาไปหรือคิดจะทำร้ายเขาเลยนะคะ”

ฟังแล้วก็ได้แต่งงและมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้ว่าสรัญต้องการอะไร แล้วจะไปตามหาแสนได้ที่ไหน ในเมื่อคนที่น่าจะรู้เรื่องอย่างเอญ่าก็ไม่รู้เรื่องสักนิด เหมือนเธอก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งของสรัญเหมือนกัน

“เอาเถอะ ถ้าคุณบอกว่าไม่รู้เรื่องผมก็จะเชื่อ แต่ถ้านึกอะไรออกคุณต้องบอกผมนะ เพราะถ้าสรัญบอกว่าคุณเกี่ยวข้องด้วยละก็ คุณเดือดร้อนแน่” ผมขู่เอญ่าไว้ ก่อนจะรีบขับรถกลับบ้าน

ผมพยายามโทรเข้าเครื่องแสน แต่ก็ติดต่อไม่ได้ คาดว่าคนร้ายน่าจะปิดเครื่องไปแล้ว พอโทรหาเฮียแผนก็ยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม จึงได้ส่งข้อความทิ้งไว้ให้เฮียโทรกลับมาหาด่วน ก่อนที่จะกลับไปรอที่บ้านแสนอย่างกระวนกระวาย

***************************************************************************

สวัสดีปี 2562 ค่า

แว้บมาหย่อนทิ้งไว้แล้วรีบวิ่งหนี แฮ่!
หายไปนานเลย เพราะก่อนหน้านี้มันเขียนไม่ออกค่ะ ถถถ เขียนแก้ๆ อยู่นั่นแหละ พอลองอ่านทวนแล้วมันไม่โอเค
เลยต้องรื้อใหม่หมด ต่อไปจะพยายามมาให้สม่ำเสมอกว่าเดิมค่ะ เพราะใกล้จะจบแล้ว เย้!

อย่าเพิ่งโกรธน้องคล้าวกันเลยนะคะ ที่น้องต้องทำแบบนี้เพราะน้องมีเหตุผล
ส่วนนายเอกของเรานี่ไม่มีใครสบายสักคน
ทั้งๆ ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเขียนให้จีบกันมุ้งมิ้งก็พอ แต่ไหงพี่แสนต้องลำบากลำบนขนาดนี้ไปได้ก็ไม่รู้ แหะๆ

ขอบคุณทุกๆ คนที่มาเป็นกำลังใจให้และยังไม่ลืมกันนะคะ

อยากจะกราบแนบอกงามๆ ทุกคน
 :L1: :pig4: :L1:
และกอดแน่นๆ อีกที
 :กอด1:
หนีไปปั่นงานต่อก่อนนะคะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 17 (Up 15/12/61) : P6
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-01-2019 12:51:55
มาทีนี่แสนลำบากอีกละ รอคล้าวมาแก้ตัวไปช่วยแสนให้ไว้เลย
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 14-01-2019 13:10:28
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-01-2019 14:38:08
สงสารแสนนะ ขอให้คนไปช่วยเร็วๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-01-2019 16:44:14
 :a5:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-01-2019 00:27:46
ขอให้ปลอดภัยนะแสน
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-01-2019 23:46:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-01-2019 23:48:03
ทำไมแสนเจอแจ็คพอตอยู่คนเดียวตลอดเลย

รอดูเฮียแผนออกศึกล่ะค่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 18 (Up 14/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 15-01-2019 23:50:35
หายไปนานเลยน้า 1 เดือนพอดี 555555
นึกว่าจิกลับมาพร้อมก้อนหินภาค 2
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 17-01-2019 11:27:41
บทที่ 19


คล้าว
   
   ผมมองรูปคู่ของผมกับพี่แสนที่อยู่ในกระเป๋าเงินแล้วได้แต่ถอนหายใจ หลายวันแล้วที่ไม่ได้เจอพี่แสน ตั้งแต่ที่ได้เจอในงานเลี้ยงวันนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเลย

   เฮ้อ!

   “พี่จะถอนหายใจให้หมดลมเลยรึไงพี่คล้าว”

   ผมหันไปมองไอ้ไม้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ ก่อนจะหันกลับมามองรูปแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก

   “ถ้าคิดถึงก็ไปหาสิพี่”

   “แล้วก็ถูกจับกลับมาอีกน่ะเหรอ” คราวก่อนที่ได้โอกาสหนีไปหาพี่แสนหลังจบงานเดินแบบ ผู้หญิงคนนั้นยังรู้เลย เพราะเธอส่งคนคอยตามพวกผมอยู่ ยังไม่ทันได้เจอพี่แสนก็จับตัวกลับมาแล้ว

“วู้ เราก็แอบๆ ไปสิพี่ คราวก่อนพลาดไปหน่อย คราวนี้เราก็ปลอมตัวไป ถ้าปลอมตัวดีๆ คุณเอญ่าไม่รู้หรอก ผมแอบไปเรียนแต่งหน้ากับช่างแต่งหน้าตอนที่พี่ไปเดินแบบด้วย ลองกันไหมพี่” ไม้มันทำเสียงตื่นเต้นเหมือนอยากลองของเต็มที่จนผมต้องหันไปมอง

หลังๆ มานี่เวลาผมไปเดินแบบไอ้ไม้มันก็ตามไปด้วย แล้วก็เห็นว่ามันชอบไปคุยกับพวกช่างแต่งหน้าตลอด เพิ่งจะรู้นี่แหละว่ามันไปคุยเรื่องนี้มา

   “มึงมีอุปกรณ์?”

   “มีสิพี่”

   “มึงไปเอามาจากไหน” ผมถามมันดุๆ ไม่ได้คิดว่ามันจะไปขโมยมาหรอก เพราะรู้นิสัยกันดี แค่กลัวว่ามันจะไปรบกวนขอเขามามากกว่า

   “พี่ๆ เค้าให้มาเล่น เพราะมันใกล้จะหมดอายุอะพี่ ของบางอย่างพี่เขาก็โละทิ้ง เพราะจะซื้อของใหม่ ผมไม่ได้ขโมยมานะ” ไอ้ไม้มันรีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าดุๆ ของผม แต่พอได้ฟังคำตอบของมันแล้วสีหน้าผมก็คลายลง

   “งั้นลองดูก็ได้” ถ้ามันจะทำให้มีโอกาสได้เจอกับพี่แสน ผมก็อยากจะลองเสี่ยงดู

   พอได้ยินผมบอกอย่างนั้น ไม้มันก็รีบไปรื้ออุปกรณ์ในกระเป๋าออกมาอย่างกระตือรือร้น ระหว่างที่ไอ้ไม้มันวุ่นวายอยู่กับการเตรียมของ ผมก็มานั่งมองรูปพี่แสนให้คลายคิดถึงต่อ พอนึกไปถึงสาเหตุให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ในตอนนี้ก็ได้แต่ถอนใจ

   หลังจากที่ผมไปเดินแบบให้พี่แสน ก็มีคนติดต่อมาให้ไปเดินแบบให้มากขึ้น ซึ่งพี่แสนก็คอยสนับสนุนและช่วยสกรีนงานให้ ช่วยให้คำปรึกษาและดูแลผมเป็นอย่างดี

   มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก เพราะผมได้อยู่ใกล้ชิดกับพี่แสน ได้ทำอะไรร่วมกัน ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งมันทำให้ความรู้สึกที่มีพี่แสนลึกซึ้งมากขึ้นไปด้วย

   แต่แล้ววันหนึ่ง ผมกับไม้ต้องไปงานเดินแบบกันสองคน เพราะพี่แสนไม่ว่าง เลยไม่ได้ไปเป็นเพื่อนผมเหมือนทุกครั้ง

หลังจากงานจบลง ระหว่างที่เรากำลังจะกลับบ้าน ผู้หญิงที่ชื่อเอญ่าก็เข้ามาหาผม แล้วเอารูปของผมกับพี่แสนที่อยู่ใกล้ชิดกันในมุมที่ไม่ว่าใครเห็นก็ดูออกว่าเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนหรือพี่น้องกัน มาขู่ให้ผมตีตัวออกห่างจากพี่แสน ไม่อย่างนั้นเธอจะเอารูปพวกนั้นไปให้นักข่าว เพื่อให้พี่แสนเสียชื่อเสียง และจะเอารูปพวกนี้ไปให้ครอบครัวพี่แสน แล้วบอกว่าพี่แสนชอบผู้ชาย เธอบอกว่าครอบครัวพี่แสนเป็นครอบครัวคนจีน พ่อกับแม่พี่แสนไม่มีทางยอมรับได้แน่

   ตอนนั้นผมแค่ฟังเธอเงียบๆ ตั้งใจว่าจะกลับไปถามพี่แสนให้แน่ใจก่อน เพราะพี่แสนเคยเล่าให้ฟังว่าทุกคนในครอบครัวรักและให้อิสระกับพี่แสนในทุกๆ เรื่อง แต่ผมไม่มั่นใจว่ามันรวมถึงเรื่องที่พี่แสนชอบผู้ชายด้วยรึเปล่า

พอเห็นผมยังเฉย ผู้หญิงคนนั้นก็เอานักข่าวคนหนึ่งที่อยู่ในงานมาขู่ด้วย บอกว่าถ้าผมไม่ทำตามตั้งแต่ตอนนั้นจะเอารูปไปลงข่าวทันที และห้ามไม่ให้ผมติดต่อพี่แสนเด็ดขาด เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังยึดโทรศัพท์เราสองคนไว้แล้วให้คนคุมเราสองคนกลับไปที่ห้องพัก ให้เก็บข้าวของแล้วพามาที่ห้องพักที่อยู่ตอนนี้ทันที

ผมได้แต่ยอมทำตามคำสั่งเธอ เพราะก่อนจะโดนต้อนขึ้นรถ ผมกับไม้ตั้งใจจะหนีแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะคนที่คุมเราไว้มีมากกว่าและฝีมือดีกว่าเราสองคนมาก

   ผมกับไม้ถูกคุมจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ โทรศัพท์ที่ถูกยึดไว้ก็ยังไม่ได้คืน ยังดีที่เธอยอมให้ผมออกมาทำงานที่รับไว้เหมือนเดิม แต่ก็ส่งคนไปรับไปส่งไปคุมตลอดเวลา เพื่อไม่ให้เราติดต่อกับพี่แสนได้ ผมกับไม้พยายามหนีตลอด แต่หนีไปกี่ครั้งก็โดนจับลากกลับมาที่นี่ทุกครั้ง

   ผมถามว่าเธอต้องการอะไรและทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เธอก็บอกว่าเธอต้องการจะเอาคืนพี่แสนเพราะพี่แสนทำให้เธอต้องเสียใจ

   พอผมขู่ว่าจะแจ้งตำรวจ เธอก็บอกว่าเธอไม่กลัว เพราะพ่อของเธอเป็นนักการเมืองที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจและรู้จักกับตำรวจยศใหญ่ๆ หลายนาย แถมยังขู่กลับว่าคนอย่างผมไม่มีปัญญาทำอะไรเธอได้หรอก ถึงจะเจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนธรรมดาอย่างผมคงทำอะไรเธอไม่ได้จริงๆ

   ผมจึงถามไปว่าเมื่อไหร่จะหยุดแล้วปล่อยเราสองคนไปสักที เธอก็บอกแค่ว่าจนกว่าเธอจะพอใจ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอถึงจะพอใจซะที ผู้หญิงนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากจริงๆ

   แต่ผมไม่คิดจะยอมทำตามคำสั่งเธอตลอดไปหรอก ผมกำลังหาโอกาสขโมยโทรศัพท์ของเธอเพื่อทำลายรูปทิ้งและหาโอกาสติดต่อกับพี่แสนให้ได้ ผมอยากจะเป็นอิสระสักที เพราะแค่นี้ผมก็คิดถึงพี่แสนและเป็นห่วงความรู้สึกของพี่แสนจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว

   วันที่บังเอิญได้เจอกันในงานเลี้ยง ผมอยากจะเดินไปหาพี่แสนมาก อยากบอกว่าคิดถึง และอยากขอโทษที่มีส่วนให้คนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายพี่แสนแบบนี้

   แต่ทำได้แค่เดินตามแรงลากของผู้หญิงคนนั้น แล้วมองตามพี่แสนจนลับตา เพราะเธอขู่ว่าถ้าผมตุกติกเมื่อไหร่ เธอจะให้คนทำร้ายพี่แสนทันที

   จะโกรธก็ได้ แต่อย่าเพิ่งเกลียดกันเลยนะครับพี่แสน ถ้าเป็นอิสระเมื่อไหร่ ผมจะชดใช้ให้พี่ทุกอย่าง

ผมสัญญา


   
   หลังจากที่ไม้มันจัดการแต่งหน้าแต่งตัวเราสองคนจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ผมกับไม้ก็เดินออกไปจากห้องเช่า ตอนที่เห็นคนของผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ร้านค้าหน้าห้องเช่าหัวใจก็เต้นรัวเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ แต่ผมก็พยายามนิ่งไว้เพราะมั่นใจว่าพวกมันจำเราไม่ได้แน่นอน

   ไอ้ไม้มันจับผมแปลงโฉมโดยใส่วิกผมหยิกฟูไปทั้งหัว เอาครีมทาผิวให้คล้ำมากกว่าเดิม บนใบหน้าก็ติดไฝเล็กๆ เหนือริมฝีปากและแต้มกระจนเต็มหน้า ส่วนตัวมันเองก็ใส่วิกผมยาวแล้วแต่งเป็นผู้หญิง แต่เป็นผู้หญิงตัวควายๆ ที่มีจริตจก้านน่าถีบเป็นอย่างมาก

ขนาดผมเองตอนแต่งเสร็จแล้วยังแทบจะจำตัวเองไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับคนอื่น ไม่คิดว่าไม้มันจะทำได้ดีขนาดนี้ พอผมชมหน่อยก็หน้าบานเป็นกระด้งจนอดจะผลักหัวด้วยความเอ็นดูไม่ได้

ไม้มันบอกว่าช่วงที่ไปรอผมทำงาน มันก็ชอบไปนั่งดูช่างแต่งหน้าทำงาน พอพวกเขาว่างก็ไปชวนคุย ที่มันสนใจก็เพราะมันอยากไปทำงานในกองถ่าย มันอยากเรียนรู้ไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์ในอนาคต

ช่วงที่ว่างๆ พวกช่างแต่งหน้าเลยช่วยสอนวิธีและเคล็ดลับการแต่งหน้าแต่งตัวให้มันอย่างไม่หวงความรู้ และให้เครื่องสำอางที่ใกล้หมดอายุรวมทั้งของที่ไม่เอาแล้วอย่างวิกผมให้มันมาลองแต่งเองดู

หลังจากพ้นจากห้องเช่ามาได้ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พอเห็นแท็กซี่ผ่านมาผมก็ตัดสินใจพาไม้ขึ้นแท็กซี่ทันที

ผมบอกให้แท็กซี่ไปส่งที่ร้านของพี่แสนก่อนเผื่อว่าพี่แสนจะยังไม่กลับบ้าน แต่เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าร้านปิดไปแล้ว ผมมองประตูร้านด้วยความแปลกใจเพราะปกติพี่แสนไม่เคยปิดร้านเร็วแบบนี้ เลยตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปที่บ้านพี่แสนต่อ

ผมจำที่อยู่พี่แสนได้เพราะเคยเห็นในบัตรประชาชนของพี่แสนและพี่แสนก็เคยพาแวะไปเอาของที่บ้านหลายครั้ง แต่ตอนที่ไปก็ไม่เคยได้เจอพ่อ แม่ และพี่ชายพี่แสนเลย

เมื่อไปถึงบ้านพี่แสน ผมก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านแล้วกวาดสายตามองเข้าไปด้านในก็ไม่เห็นใครสักคน ผมเลยมองหากริ่ง ในระหว่างที่กำลังจะเดินไปกดกริ่งก็มีคนทักขึ้นมาซะก่อน

“มาด้อมๆ มองๆ อะไรแถวนี้” ผมมัวแต่ใจจดใจจ่อกับคนข้างใน จนไม่ทันสังเกตว่ามีผู้ชายสองคนมายืนอยู่ใกล้ๆ เราตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอหันไปมองไอ้ไม้ก็เห็นมันกะพริบตาปริบๆ กลับมา ดูท่าแล้วมันก็คงไม่ทันสังเกตเหมือนกัน

ผมหันกลับมามองผู้ชายสองคนตรงหน้าแล้วรู้สึกไม่ไว้ใจ เพราะกลัวว่าจะเป็นคนของผู้หญิงคนนั้น  ต่อให้มั่นใจว่าไม่เคยเห็นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นมาก่อนก็ยังรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี

“พวกเราแค่เดินผ่านมาครับ พอเห็นบ้านสวยๆ ก็เลยอดจะมองไม่ได้” ผมบอกกับคนที่ยังคงจ้องมาที่เราสองคนเขม็ง

“นั่นสิคะคุณพี่ขา เราสองคนผัวเมียกำลังจะสร้างบ้านก็เลยดูๆ แบบเอาไว้อะค่ะ” พอเห็นผมส่งสายตาไปให้ ไอ้ไม้มันก็เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อ มันเลยจีบปากจีบคอพูดเสริม แต่ผมแทบจะกุมขมับเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผัวเมีย’ จากปากมัน ได้แต่ข่มใจไม่ให้ยกเท้าขึ้นถีบ ‘เมีย’ ที่ยืนยิ้มหวานจนน่าขนลุกให้คนแปลกหน้าอยู่

“แค่ผ่านมา ทำไมต้องยืนมองนานขนาดนั้น มีพิรุธขนาดนี้ไปคุยกับตำรวจหน่อยดีไหม”

“แล้วพวกคุณเป็นใครล่ะครับ อยู่ๆ ก็เข้ามาใส่ความเราแบบนี้”

“เราสองเป็น รปภ. ของที่นี่” บอกว่าเป็น รปภ. แต่ใส่ชุดธรรมดา ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณจะเป็น รปภ. หรือต่อให้เป็นคุณก็ไม่มีสิทธิ์จับเราด้วย” พูดจบก็ไม่รอให้ไม่รอคำตอบ ผมก็พยักหน้าให้ไม้ แล้วเดินนำออกมา แต่สองคนนั้นกลับมายืนขวางทางเราสองคนเอาไว้

ผมสบตากับไม้ ก่อนที่จะหันหลังวิ่งไปอีกทางอย่างรวดเร็ว แต่วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ดันมีคนโผล่ออกมาจากมุมกำแพงอีกสามคนมาช่วยกันจับเราสองคนเอาไว้

ผมกับไม้ถูกจับมือไพล่หลังแล้วถูกลากกลับไปที่บ้านพี่แสน ที่ยอมให้จับง่ายๆ ก็เพราะเห็นว่าสามคนหลังที่มาใส่ชุด รปภ. เหมือนที่เห็นตรงทางเข้า เลยบอกไม้ไม่ให้ขัดขืน

“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู

พี่รบ!

เมื่อเห็นพี่รบเดินออกมาดู คนทั้งห้าก็ลากเราสองคนไปยืนหน้าประตูต่อหน้าพี่รบแล้วรายงาน

“ผมเห็นในกล้องวงจรปิดว่าสองคนนี้มายืนด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านเจ้าสัวสุธนครับคุณธงรบ กลัวว่าจะเป็นคนร้าย เลยวอให้ รปภ. ที่อยู่ใกล้ๆ มาดักไว้ก่อน แล้วตามมาช่วยกันจับเอาไว้ จะให้จัดการยังไงต่อดีครับ”

พี่รบมองหน้าเราสองคนนิ่งๆ ก่อนจะกวาดสายตามองเราสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่แววตาคมๆ คู่นั้นจะเปล่งประกายวาบเหมือนนึกอะไรออก

พี่รบเปิดประตูแล้วเดินมาใกล้ๆ แล้วกวาดสายตามองเราสองคนอีกรอบโดยเฉพาะมองไอ้ไม้นานเป็นพิเศษ พอมองจนพอใจแล้วพี่รบหันมาสบตากับผมด้วยรอยยิ้มขำๆ

“พี่...”

“อะแฮ่ม!” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พี่รบก็กระแอมขึ้นมาก่อน แล้วพี่รบก็หันไปพูดกับรปภ.ทั้งห้าต่อ

“ผมรู้จักสองคนนี้ ปล่อยพวกเขาเถอะครับ” พอพี่รบบอกไปอย่างนั้น พวกเขาก็ปล่อยมือจากพวกผมด้วยสีหน้างงๆ ทั้งห้ากวาดตามองสภาพเราสองคนด้วยสีหน้าสงสัยว่าพี่รบรู้จักคนอย่างพวกเราได้ยังไง

“แน่ใจเหรอครับคุณรบ” รปภ.คนหนึ่งถามย้ำด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

“แน่ใจครับ ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้นะครับ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง” พี่รบขอบคุณพวกเขาด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบเงินในกระเป๋าออกมาส่งให้ พอทุกคนปฏิเสธก็เกลี้ยกล่อมให้ยอมรับจนได้ หลังจากที่คนทั้งห้าออกไปแล้วพี่รบก็หันมามองเราสองคนแล้วก็หลุดหัวเราะ!

“อุบฮ่าๆๆๆๆ”

ผมกับไม้ได้แต่มองหน้ากันด้วยความงงเมื่ออยู่ๆ พี่รบก็หัวเราะขึ้นมา

“นึกยังไงถึงได้แต่งตัวกันแบบนี้ฮึคล้าว ไม้”

“พี่รบดูออกด้วยเหรอครับ” ผมขมวดคิ้วถามด้วยความแปลกใจ

“อืม เอาจริงๆ ถ้ามองเผินๆ ก็ดูไม่ออกหรอก ต้องสังเกตดีๆ ถึงจะรู้” พี่รบบอกยิ้มๆ

“ว่าไง ทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนี้กัน” พี่รบถามย้ำเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ

“หนีเอญ่ามาใช่ไหม” ยังไม่ทันได้ตอบพี่รบก็ถามต่อทันที

“พี่รบทราบเหรอครับ” พี่รบพยักหน้า ก่อนจะเดินนำเข้าไป หลังจากปิดประตูบ้านแล้ว พี่รบก็เดินนำไปต่อพร้อมกับอธิบายต่อไปด้วย

“อืม พี่เพิ่งจะแน่ใจวันนี้แหละว่าที่คล้าวกับไม้หายหน้าไปก็เพราะเอญ่า ตอนแรกแสนกับพี่ก็แค่สงสัยว่าเอญ่าน่าจะเป็นต้นเหตุในเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ พี่ก็เลยตามสืบให้ เพราะช่วงนี้แสนมันยุ่ง

พี่เพิ่งกลับจากไปคุยกับเอญ่ามา เอญ่ายอมรับกับพี่แล้วว่าเธอเป็นคนกันคล้าวออกจากแสนเอง ตอนแรกพี่ตั้งใจว่าหลังจากคุยกับเอญ่าเรียบร้อยแล้ว พี่จะไปหาเราทั้งคู่ต่อ แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน ที่เหลือพี่ว่าเราเข้าไปคุยในบ้านกันดีกว่า” พี่รบหันมาบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป

เราสองคนเดินตามพี่รบไปเงียบๆ สายตาผมสอดส่ายหาคนที่อยากเจอมากที่สุดในตอนนี้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่แสน
พี่รบพาเราสองคนเข้าไปที่ห้องๆ หนึ่ง ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าพี่แสนคงจะรออยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่เห็นเหมือนเดิม ผมได้แต่ลอบถอนใจด้วยความผิดหวัง

เมื่อคนในบ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้วพี่รบก็บอก

“ห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวนนะนิด ยกเว้นถ้าเฮียแผนกลับมาถึงเมื่อไหร่ก็ให้เฮียรีบมาที่ห้องนี้ทันทีเลย”

“ได้ค่ะคุณรบ”

“พี่แสนล่ะครับพี่รบ” หลังจากประตูห้องปิดลง ผมก็ถามหาคนที่กำลังคิดถึงอยู่ทันที

“แสนถูกจับตัวไป”

“อะไรนะครับ!!!” ผมอุทานด้วยความตกใจ

“แค่กๆๆๆ” ส่วนไม้ก็สำลักน้ำที่กำลังดื่มทันที

“ใครจับพี่แสนไปครับจับไปเมื่อไหร่ จับไปทำไม แล้วตอนนี้พี่แสนอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้างครับ แล้ว...”ผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ใจเย็นๆ ก่อนคล้าว” พี่รบเอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมเหมือนจะสติแตกไปแล้ว

ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง เมื่อเห็นว่าผมใจเย็นขึ้นแล้วพี่รบก็เล่าต่อ

“แสนมันถูกสรัญจับตัวไป แต่พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจับไปทำไม ตอนนี้พี่รอการติดต่อกลับจากทางนั้นอยู่ คิดว่าไม่นานก็คงติดต่อมาแน่”

“ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างไหมครับ” พี่รบส่ายหน้าด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มก่อนจะพูดต่อ

“พี่เช็คสัญญาณ GPS จากโทรศัพท์แสนแล้ว แต่มันน่าจะถูกทำลายไปแล้ว เลยตรวจสอบไม่ได้ ตอนนี้พี่ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้ต้องทำยังไงเหมือนกัน ได้แค่บอกให้คนไปสืบข้อมูลเกี่ยวกับสรัญมา เผื่อจะมีเบาะแสอะไรบ้าง แต่ยังไม่กล้าแจ้งตำรวจเพราะกลัวแสนจะเป็นอันตราย นี่พี่ก็รอให้เฮียแผนกลับมาแล้วปรึกษากันก่อน เฮียน่าจะทำอะไรได้มากกว่าพี่ อีกไม่นานเฮียก็คงจะมาถึงแล้วละ”

ฟังแล้วรู้สึกเป็นห่วงพี่แสนใจจะขาด

“ว่าแต่ พี่สงสัยว่าเอญ่าขู่อะไรคล้าว คล้าวถึงได้ตีตัวออกห่างจากแสนแบบนี้ ตอนที่คุยกับเอญ่า ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ก็มีคนโทรมาบอกว่าแสนถูกจับไปซะก่อน” พี่รบถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

“คุณเอญ่าเอารูปที่ผมกับพี่แสนอยู่ใกล้ชิดกันมาขู่ครับ บอกว่าถ้าไม่ทำตามคำสั่งของเธอ เธอจะส่งรูปพวกนั้นให้ครอบครัวพี่แสนและส่งให้นักข่าว เธอบอกว่ามันจะทำให้พี่แสนเสียชื่อเสียง จะทำให้เกียรติก้องวัฒนาเสียชื่อเสียงที่มีลูกชาย เอ่อ ชอบผู้ชายด้วยกันครับ”

“นั่นสิพี่ ขู่เอาๆ ขู่เก่งยิ่งกว่าหมาหน้าปากซอยอีกพี่” ไอ้ไม้ที่นั่งเงียบๆ อยู่เสริมขึ้นเหมือนเหลืออดเต็มที พี่รบฟังแล้วก็ยิ้มขำและมองมันด้วยแววตาเอ็นดู ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ทีหลังไม่ต้องไปสนใจนะคล้าว เอญ่าจะขู่อะไรก็ให้ขู่ไป แสนมันสนใจที่ไหนล่ะ ไม่ต้องไปกลัวหรอก แสนมันจัดการได้อยู่แล้ว”

“เธอยังขู่ด้วยว่าถ้าผมไม่ทำตาม เธอจะทำร้ายพี่แสนด้วยครับ”

“อะไรนะ! นี่กล้าขู่ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“ครับ นอกจากขู่แล้วเธอก็ยังให้คนมาจับเราสองคนไปขังไว้ที่บ้านเช่าที่xxxด้วย โทรศัพท์ของเราสองคนก็ถูกเธอยึดไว้ แล้วเธอก็ยังให้คนมาเฝ้าเราไว้ตลอดเวลา ผมเลยติดต่อพี่แสนไม่ได้ พวกเราพยายามหนีตั้งหลายรอบ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จแล้วก็ถูกจับไปทุกครั้งเลยครับ”

“นี่เอญ่ากล้าทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันถึงขั้นกักขังหน่วงเหนี่ยวเลยนะ” พี่รบพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะถอนหายใจแล้วสบตาเราสองคนด้วยแววตารู้สึกผิด

“พี่ต้องขอโทษด้วยนะ เพราะเอญ่าโกรธที่ต้องเลิกกับพี่ ก็เลยพาลไปโทษว่าเป็นเพราะแสน ทำให้คล้าวกับไม้ต้องมาโดนหางเลขไปด้วย”

“มันไม่ใช่ความผิดของพี่รบนี่ครับ ถ้าจะผิดก็ผิดที่ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ต่อให้เสียใจยังไง เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายคนอื่นนี่ครับ”

“อืม มันก็จริง คล้าวกับไม้จะแจ้งตำรวจไหม เดี๋ยวพี่จะเป็นพยานให้เอง”

“เรื่องนี้พักไว้ก่อนก็ได้ครับ ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ผมเป็นห่วงพี่แสนมากกว่าครับ”

“นั่นสิ ไม่รู้ตอนนี้แสนเป็นยังไงบ้าง” พี่รบถอนหายใจ

“ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย ขนาดแค่จะปกป้องพี่แสนก็ยังทำไม่ได้เลย” ผมมองสายสิญจน์บนข้อมือที่พี่แสนผูกให้แล้วได้แต่ภาวนาให้พี่แสนปลอดภัย จะให้แลกกับอะไรก็ยอม ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตผม... ผมก็ยอม

“ขนาดพี่อยู่ใกล้กับมันมากกว่าคล้าว พี่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย เราไม่รู้ล่วงหน้านี่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็พยายามหาทางช่วยแสนให้เต็มที่ แสนจะต้องปลอดภัย เชื่อพี่สิ” พี่รบบอกเหมือนจะปลอบใจผมรวมทั้งปลอบใจตัวเองไปด้วย

“นั่นสิพี่ พี่แสนเป็นคนดี พี่แสนจะต้องปลอดภัยแน่ๆ พี่” ไอ้ไม้มันเสริมขึ้นหลังจากที่นั่งฟังหงอยๆ มานาน ไม้มันคงห่วงพี่แสนไม่ต่างกัน มันเคยพูดให้ผมฟังประจำว่ามันชอบพี่แสนและปลื้มพี่แสนมาก เพราะพี่แสนดีกับมันและดูแลมันอย่างดีมาโดยตลอด

ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์ของพี่รบก็ดังขึ้น พี่รบหยิบมาดูแล้วก็รีบกดรับทันที

“ครับเฮีย ใช่ครับ ตามที่ผมฝากข้อความเสียงไว้เลยครับ ตอนนี้ที่ผมทำไปแล้วคือให้คนไปสืบเรื่องสรัญอยู่ครับ เรื่องอื่นผมยังไม่กล้าตัดสินใจ เลยรอเฮียกลับมาก่อนครับ ครับ สรัญยังไม่ติดต่อมาเลยครับ ใกล้จะถึงแล้วใช่ไหมครับ ให้โทรหาพี่วินเหรอครับ เล่าได้เลยใช่ไหมครับ โอเคได้ครับ” หลังจากวางสายแล้วพี่รบก็กดโทรออกหาคนที่ชื่อวินเพื่อให้ช่วยตามหาเบาะแสอีกแรง ถ้าผมจำไม่ผิดคุณวินเป็นหนึ่งในคนที่ไปสัมภาษณ์ทุนพวกผมด้วย

หลังจากคุยกับคุณวินจบพี่รบก็วางสาย พร้อมกับที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกพอดี แล้วผู้ชายที่ผมเคยเห็นแค่ในรูปและจากข่าวในทีวี ก็ก้าวเข้ามาในห้อง เมื่อประตูห้องปิดลง เขาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“พวกมันติดต่อมารึยังรบ!”

‘คุณขุนแผน’


(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 17-01-2019 11:28:14
ขุนแผน
   
   ผมนั่งมองวิวด้านล่างและมองเมฆที่ลอยผ่านสายตาไปเรื่อยๆ ตามปกติถ้าอยู่บนเครื่องแบบนี้ผมจะต้องทำงานฆ่าเวลาไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

   แต่แปลกที่ครั้งนี้ผมกลับไม่มีสมาธิจะทำงานเลยสักนิด มันรู้สึกว่าในใจร้อนรนกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก จนต้องวางงานแล้วหันไปมองวิวเรื่อยๆ แทนแบบนี้

   ผมละสายตาจากวิวนอกหน้าต่างเมื่อแอร์โฮสเตสมาเสิร์ฟอาหาร พอเห็นอาหารตรงหน้าแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองหิวมากกว่าที่คิดเพราะท้องร้องประท้วงขึ้นมาทันที

   ตอนที่ทำงานอยู่ผมก็แทบจะไม่ได้กินอะไรเลย เนื่องจากรีบเคลียร์งานให้เรียบร้อยเพื่อจะได้กลับบ้านให้เร็วที่สุด ช่วงนี้ผมไม่อยากอยู่ห่างจากแสนสักเท่าไหร่ เพราะน้องดูเครียดๆ และดูไม่มีความสุขเท่าไรนัก สาเหตุก็มาจากเรื่องของไอ้เด็กคล้าวที่แสนกำลังตามจีบอยู่นั่นแหละ

   อันที่จริงผมจะเข้าไปจัดการให้เด็ดขาดไปเลยก็ได้ แต่ธงรบขอไว้ว่าอยากจะจัดการเองก่อน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าธงรบอยากให้โอกาสผู้หญิงคนนั้นในฐานะที่เคยคบกันมาก่อน

เพราะถ้าปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการเองล่ะก็ ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด เอาให้หมดหนทางในวงการบันเทิงไปเลย เพราะผมไม่ใจดีกับคนที่ทำร้ายน้องของผมหรอกนะ

ใครกล้าทำให้แสนเสียใจ ก็อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างมีความสุขเลย!

   ผมคิดด้วยความโมโหจนลืมตัวสับเนื้อปลาจนเละ พอเห็นสภาพอาหารในจานก็รู้สึกอิ่มขึ้นมาทันที จึงวางช้อนแล้วหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นท่อนอะไรดำๆ ตรงทางเดินข้างที่นั่ง เมื่อไล่สายตาขึ้นมาเรื่อยๆ จนเห็นตัวและส่วนหัวเจ้าของท่อนดำๆ นั่นชัดๆ ก็ต้องพ่นน้ำที่ดื่มออกมาทันที

   พรวด!

   “แค่กๆๆๆ”

   ควาย!!!

   แฮ่ม! ผมไม่ได้ด่าใครนะครับ แต่ที่ยืนอยู่ข้างผมในตอนนี้คือควายจริงๆ ควายสีดำตัวใหญ่มายืนมองหน้าด้วยท่าทางกระวนกระวายอยู่ข้างๆ ที่นั่งของผม

   มออออ

   แถมยังได้ยินเสียงร้องมันอีกด้วย!

   ผมกุมขมับแล้วหลับตาลง สงสัยจะเหนื่อยกับงานเกินไปจนทำให้เห็นภาพหลอน แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ยังเห็นควายตัวนั้นยืนอยู่ที่เดิม

   เอาละ! ผมไม่ได้ตาฝาด ผมกวาดตามองควายที่อยู่ตรงหน้าชัดๆ พอชะโงกหน้าไปมองดีๆ ถึงได้เห็นว่าตัวของมันโปร่งแสงเหมือนเป็นแค่เงาลางๆ ทะลุผ่านสิ่งของทุกอย่าง

   “ทองกวาว? ทองกวาวใช่ไหม?”ผมกระซิบถามเบาๆ เพราะกลัวคนอื่นจะหาว่าเป็นบ้าที่พูดอยู่คนเดียว

   มออออ

   “มาหานี่มีอะไรรึเปล่าทองกวาว เกิดอะไรขึ้น”

   มอออออออ

   ฟังแล้วอยากจะกุมขมับอีกรอบ มันแปลว่าอะไร? ใครก็ได้ช่วยแปลให้ที!

   ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าทองกวาว เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ทองกวาวจะสื่อสักนิด พอเห็นว่าผมไม่เข้าใจ ทองกวาวก็ถอนหายใจแล้วคอตกอย่างน่าสงสาร แต่ผมก็จนใจจริงๆ ไม่ได้มีบัฟฟาโลทรานส์เลทนี่นาจะได้ฟังภาษาควายออก

    “พูดภาษาคนได้ไหมทองกวาว” ผมถามทองกวาวอย่างมีความหวัง

   มอออ

ทองกวาวร้องแล้วส่ายหัว ก่อนจะมองตาผม ถอนหายใจอีกรอบ แล้วค่อยๆ หายไป

   “ทองกวาว เดี๋ยวสิ!”

   ทองกวาวไม่ฟังเสียงเรียกผมเลยสักนิด อยู่ๆ ก็มา แล้วก็หายไปซะเฉยๆ ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรเลย ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ชะโงกมามองด้วยสายตาหวาดระแวง

   ผมผงกหัวให้เป็นเชิงขอโทษที่รบกวน ก่อนจะจ้องตากลับแล้วยิ้มแบบตั้งใจโปรยเสน่ห์เต็มที่จนเธอเปลี่ยนมามีท่าทางเก้อเขินแล้วหลบกลับเข้าไปที่ของตัวเอง

   หลังจากนั้นผมก็แทบจะนั่งไม่ติดที่ เพราะการที่ทองกวาวมาหาด้วยท่าทางแบบนี้ คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ผมมองจุดที่ทองกวาวปรากฏตัวแล้วนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ได้พบกับทองกวาวครั้งแรก...

ตอนนั้นผมบวชพระอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินไปทำวัตรเย็นอยู่นั้น ก็มีควายตัวหนึ่งมายืนขวางทางอยู่

พอผมเดินไปใกล้มันก็หลีกทางให้ เมื่อผมเดินผ่านไปมันก็เดินตามไปเรื่อยๆ พอผมเห็นเด็กวัดอยู่แถวนั้นก็เลยเรียกมาถามเผื่อว่าจะเป็นควายที่หลุดมา จะได้ให้เจ้าของมารับคืนไป

“น้อยๆ มาดูหน่อยซิว่าควายตัวนี้ของใคร น้อยพอจะรู้ไหม ถ้ารู้ก็ช่วยไปบอกเจ้าของให้มารับคืนที”

“ควายที่ไหนครับหลวงพี่” น้อยถามผมด้วยสีหน้างงๆ เมื่อผมหันไปดูก็ไม่เห็นควายตัวนั้นแล้ว ตอนนั้นผมแค่แปลกใจว่าทำไมมันหนีไปได้เร็วจริง จึงให้เด็กวัดช่วยกันเดินหาจนรอบวัด... แต่ก็ไม่เจอ

   “ควายผีรึเปล่าหลวงพี่” น้อยถามด้วยท่าทางกลัวๆ

   “เคยได้ยินแต่ผีคน ผีควายมีด้วยเหรอโยม” ผมถามน้อยขำๆ

   แต่หลังจากนั้นผมก็ขำไม่ออก เพราะตอนเย็นๆ ก็เจอควายตัวนั้นแทบทุกวัน แต่ก็จับไม่เคยได้และหายไปเร็วมากทุกวัน พอตกกลางคืนระหว่างที่นั่งสมาธิ ช่วงที่จิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิผมก็เห็นมันอีกแทบทุกคืน

ในช่วงแรกๆ ผมเห็นแค่มันตัวเดียว จนกระทั่งผ่านไปหลายวัน ถึงได้เห็นเรื่องราวของมันกับผู้ชายที่ชื่อไอ้คล้าว จากเรื่องราวในฝันทำให้ผมได้รู้ว่ามันชื่อทองกวาว

หลังจากนั้นผมก็เห็นทองกวาวตาย แล้วก็เห็นวิญญาณของแสนล่องลอยมาอยู่ในร่างของทองกวาวแทน ผมได้เห็นสิ่งที่น้องต้องพบเจอ ทนเห็นน้องลำบาก แต่ไม่สามารถจะช่วยอะไรน้องได้เลย เวลาที่เห็นแสนลำบากทีไรก็ทำให้ผมหลุดจากสมาธิแทบทุกครั้ง

   พอผมไปถามหลวงตาในเรื่องที่ผมเจอ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไรไปสักคำ ท่านก็ตอบมาด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเหมือนกับรู้อยู่แล้ว

   “สัตว์ก็มีวิญญาณ มีรักและมีห่วงได้ไม่ต่างจากมนุษย์เหมือนกัน ห่วงนั่นแหละที่เป็นสาเหตุให้วิญญาณเหล่านั้นไปไหนไม่ได้ ส่วนกรรมก็เป็นตัวลิขิตให้ทุกชีวิตในโลกนี้และโลกอื่นได้วนเวียนมาพบเจอกันอีกครั้ง

   ในอนาคตข้างหน้าชีวิตจะเป็นเช่นไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรมหรือการกระทำในปัจจุบัน ขอแค่ยึดมั่นในความดี ละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่น ก็จะทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเอง เจริญพร” พอพูดจบท่านก็ยิ้มให้ก่อนจะหลับตาลง

   หลังจากกราบลาหลวงตาออกมาแล้ว ผมก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านต่อ สรุปได้ว่าสัตว์ทุกชนิดต่างก็มีวิญญาณ แล้วการที่แสนได้เจอทองกวาวและไอ้คล้าวก็เพราะเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมา และต่อไปผมจะต้องทำความดีให้มากขึ้น รวมทั้งไม่เบียดเบียนใคร ในภายภาคหน้าจะได้ไม่ลำบาก

   เรื่องทำความดีนี่ไม่น่าจะยากเท่าไหร่ เพราะปกติแม่ก็ชวนทำบุญตลอดอยู่แล้ว แต่เรื่องเบียดเบียนนี่สิ...ถ้าไม่มีใครล้ำเส้นมาทำร้ายกันก่อนก็น่าจะพอทำได้...มั้ง

   หลังจากนั้น ผมก็ยังคงฝันถึงเรื่องราวของแสนในร่างทองกวาวกับไอ้คล้าวอยู่เรื่อยๆ จนวันหนึ่งแสนมาหาผมที่วัดคนเดียว ผมรู้ทันทีว่าแสนตั้งใจจะไปหาไอ้คล้าวตามลำพัง ผมเลยบอกให้น้องรอไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปเป็นเพื่อนเอง

   แสนร้องไห้เหมือนอัดอั้นตันใจมานาน จนผมเกือบจะเผลอลุกไปปลอบตามความเคยชิน ต้องพยายามห้ามตัวเองไว้เต็มที่เพราะมันจะดูไม่เหมาะสม

   เมื่อลาสิกขาบทมาแล้วผมก็หาทางช่วยแสนตามหาไอ้คล้าว ทั้งๆ ที่ใจจริงนั้นไม่อยากจะช่วยเลยสักนิด เพราะอันที่จริงแล้วผมหวงน้องมาก แต่ในเมื่อหลวงตาทั้งสองท่านบอกเป็นนัยๆ ว่าทั้งสองคนเป็นคู่กัน และเพื่อความสุขของน้อง ผมเลยจำใจต้องช่วยแล้วปล่อยให้แสนตามจีบไอ้เด็กนั่นจนถึงทุกวันนี้

   ความคิดผมชะงักลงเมื่อเครื่องบินแลนด์ดิงลงสู่สนามบิน เมื่อออกมาจากเครื่องและเปิดโทรศัพท์ได้แล้ว ผมก็รีบเช็คโทรศัพท์ทันที พอเห็นสายเรียกเข้าจำนวนหลายสายจากธงรบและข้อความเสียงที่ธงรบทิ้งไว้ ผมจึงเปิดฟังทันที แต่พอฟังจบผมก็แทบจะทำโทรศัพท์ร่วงจากมือ

   “คุณแผน คุณรบให้มารับครับ คุณรบบอกให้คุณแผนกลับบ้านด่วนเลยครับ” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้าให้คนขับรถเดินนำแล้วเร่งฝีเท้าตามไป

   เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้วผมก็โทรหาธงรบทันที พอคุยกับธงรบจนรู้เรื่องแล้วก็บอกให้ธงรบโทรหาไอ้วิน ส่วนผมก็โทรหาไอ้กร เพื่อให้ช่วยหาเบาะแสของแสนอีกทาง ตอนนี้ผมติดต่อป๊าของผมกับป๊าของรบไม่ได้  เพราะทั้งคู่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในแก็งค์ที่สนิทกันแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่บนเครื่องบิน ถึงได้ติดต่อไม่ได้

   หลังจากนั้นผมก็โทรหาเพื่อนป๊าที่เป็นตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ กว่าจะคุยโทรศัพท์จบ ผมก็มาถึงบ้านพอดี ผมรีบเดินเข้าบ้านแล้วตรงไปยังห้องที่เด็กในบ้านบอกว่าธงรบรออยู่ เมื่อไปถึงผมก็เข้าเรื่องทันที

“พวกมันติดต่อมารึยังรบ!”

พอเห็นคนแปลกหน้าสองคนที่อยู่ในห้องกับธงรบผมก็ชะงักแล้วขมวดคิ้วฉับ

ไอ้คนหน้าแปลกสองคนนี่มันเป็นใคร?

ผมยกมือรับไหว้แบบงงๆ เมื่อสองคนนั้นยกมือไหว้อย่างสุภาพเรียบร้อย ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วถามธงรบ

“คล้าวกับไม้ครับเฮีย” ได้ยินแล้วก็หันขวับไปมองคนทั้งคู่อีกรอบ ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ ทำไมเปลี่ยนไปมากขนาดนี้!

“สองคนนี้ปลอมตัวหนีเอญ่ามาหาแสนครับเฮีย ผมเลยให้เข้ามารอในนี้เลย”

“อ้อ สรุปว่าเรื่องที่เราหายหน้าหายตาไปก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นสินะ” ผมหันไปหรี่ตามองไอ้เด็กคล้าวแล้วก็หันไปมองธงรบอีกครั้ง

“ผมไปคุยกับเอญ่าเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้เธอน่าจะไม่กล้าทำอะไรแล้ว แต่ถ้าเธอยังกล้า ผมจะจัดการเอง หรือเฮียจะจัดการยังไงก็ตามใจเลยครับ”

“ดี ถ้ายังกล้าทำให้แสนเป็นทุกข์อีก เฮียก็จะไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น ไหนเล่าให้ฟังซิ” พอพูดกับธงรบจบก็หันมาถามไอ้เด็กคล้าว แล้วกอดอกรอฟังเหตุผลที่หายหัวไป ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้นผมก็ไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน ใครที่ทำให้แสนเสน่ห์ของผมเป็นทุกข์นี่ยกโทษให้ไม่ได้!

“ผมขอโทษนะครับที่ทำให้พี่แสนเสียใจ” พอเล่าเรื่องราวทุกอย่างจบแล้วคล้าวก็ยกมือไหว้ขอโทษอย่างเรียบร้อยทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองสักนิด

คนที่ผิดคือผู้หญิงคนนั้นต่างหาก กล้าดียังไงมาทำร้ายจิตใจแสน ทั้งที่แสนไม่ได้ทำผิดอะไรกับเธอเลย น้องของผม ผมดูแลปกป้องเป็นอย่างดีมาตลอด คนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายแสนแบบนี้ ถ้ายังไม่ยอมหยุดอีกล่ะก็ได้เห็นดีกันแน่!

ผมมองคล้าวที่มองตอบมาด้วยแววตาจริงจัง พอเห็นสีหน้าที่ดูเป็นทุกข์นั่นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“มันไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่ต้องขอโทษหรอก ส่วนเรื่องข่าว ถ้าโดนใครขู่อีกก็ไม่ต้องไปสนใจ เดี๋ยวเฮียจัดการเอง อะไรที่เป็นความสุขของแสน ทั้งเฮีย ทั้งป๊าและแม่ไม่เคยห้ามอยู่แล้ว”

“ครับคุณแผน” คล้าวรับคำอย่างเรียบร้อย

“เฮีย... ต้องเรียกเฮียสิ” เห็นท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนี้แล้วก็อดจะใจอ่อนไม่ได้สิน่า

“ครับเฮีย” คล้าวอึ้งไปนิด ก่อนจะรับคำด้วยแววตาที่เป็นประกายขึ้น คงจะรู้ความนัยจากคำอนุญาตของผมดี

“ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจคนจนๆ อย่างผม” คล้าวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาคมกริบคู่นั้นก็มองผมอย่างแน่วแน่ ซึ่งผมก็ฟังออกถึงนัยที่คล้าวส่งมาเหมือนกัน

ผมสบตาคู่นั้นอย่างค้นคว้า เมื่อเห็นแต่ความจริงใจอยู่นั้นก็เลยต้องจำใจยอมรับอย่างเสียไม่ได้

“เรื่องฐานะสำหรับครอบครัวเฮียมันไม่สำคัญหรอกนะคล้าว ความจริงใจต่างหากที่สำคัญ ขอแค่รักและจริงใจกับแสน คอยดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่และทำให้แสนมีความสุขได้ เราก็พอใจแล้ว”

“ผมสัญญาว่าจะดูแลพี่แสนอย่างเต็มความสามารถ ให้สมกับโอกาสที่เฮียให้ครับ”

ผมได้แต่พยักหน้าให้อย่างเสียมิได้ ไม่อยากจะยกแสนให้เลย ให้ตายสิ!

“แล้วตอนนี้เราทำอะไรได้บ้างไหมครับเฮีย” เมื่อเคลียร์กันเข้าใจแล้ว คล้าวก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“ตอนนี้เราทำได้แค่รอ รอตำรวจรวบรวมกำลังคน แล้วก็รอคนพวกนั้นติดต่อมา” ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงน้อง แต่มันยังทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้แสนน่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะพวกมันยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมก็คิดเหมือนธงรบว่าถ้ามันจะฆ่าแสนมันก็คงจะฆ่าไปตั้งแต่แรกแล้ว ที่จับตัวแสนไปก็น่าจะจับไปเพื่อต่อรองอะไรสักอย่างแน่ๆ

แล้วผมก็ต้องรอให้ทางตำรวจเตรียมการณ์ให้พร้อมก่อน ถึงจะออกเริ่มตามหาแสนได้ เพราะผมไม่อยากให้มันมีอะไรผิดพลาดทั้งนั้น

ที่สำคัญ... ผมมั่นใจว่าแสนฉลาดและเก่งพอจะเอาตัวรอดได้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แสนตกอยู่ในอันตราย ตอนเด็กๆ ก็เคยมีคนพยายามจับแสนไปเรียกค่าไถ่ พอช่วยมาได้ผมกับป๊าก็เลยส่งแสนไปเรียนศิลปะป้องกันตัวไว้จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้

ความคิดของผมชะงักลงเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นเบอร์ของเพื่อนป๊าซึ่งเป็นตำรวจที่ผมโทรไปขอความช่วยเหลือโทรมา ผมจึงรีบกดรับ

“สวัสดีครับป๊า เรียบร้อยแล้วเหรอครับ ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” หลังจากวางสายแล้วผมก็หันไปถามอีกสามคนในห้อง

“จะไปช่วยแสนด้วยกันไหม”

“ไปครับ!” ทั้งสามคนประสานเสียงตอบพร้อมกัน

เราทั้งสี่เดินทางไปสมทบกับกำลังตำรวจที่เพื่อนป๊าจัดให้ หลังจากสืบรู้ว่าสรัญเป็นลูกนอกสมรสของไอ้คนที่ถูกผมส่งเข้าคุก ตำรวจก็หาเบาะแสได้ง่ายขึ้น

จากข้อมูลที่ได้พบว่าผู้ชายคนนั้นมีบ้านพักแห่งหนึ่งอยู่แถวๆ ป่าในจังหวัดกาญจนบุรี นอกจากนี้ก็ยังมีที่จังหวัดอื่นอีกหลายจังหวัด แต่เราต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าพวกมันน่าจะจับแสนไปไว้ที่กาญจนบุรีมากกว่า เพราะว่าอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด แต่ถ้าไม่อยู่ที่นี่ก็ค่อยไปที่อื่นต่อไป

แต่ก่อนที่จะได้ออกเดินทางผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพวกมันซะก่อน ตำรวจบอกให้ผมถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด เพื่อจะได้ตามสัญญาณจากโทรศัพท์มันได้

พวกมันเรียกร้องให้ผมถอนแจ้งความในคดีที่พวกมันถูกจับให้หมด เพื่อแลกกับความปลอดภัยของแสน

ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือโง่ที่ไม่รู้ว่าคดีอาญามันยอมความกันไม่ได้ เนื่องจากผมฟ้องพวกมันในข้อหาพยายามฆ่า จากเรื่องที่มันตัดสายเบรกรถของแสนทำให้น้องผมประสบอุบัติเหตุจนเกือบตาย นึกแล้วก็ยังแค้นไม่หาย

“เดี๋ยว! น้องฉันปลอดภัยดีไหม”

“ตอนนี้ยังปลอดภัยดีอยู่ แต่ถ้าคุณไม่ทำตามเงื่อนไขของเราล่ะก็ น้องชายคุณตายแน่” ผมกำโทรศัพท์แน่นเมื่อได้ยินคำขู่ของมัน ต้องพยายามใจเย็นๆ ไม่ขู่มันกลับเพราะกลัวจะทำให้เสียเรื่อง

“ฉันขอฟังเสียงน้องฉันหน่อย” พอผมพูดจบมันก็เงียบไป ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนคุยกันเบาๆ ลอดเข้าสายมา เหมือนว่ามันกำลังปรึกษากับใครบางคนอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนมันกำลังเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งได้ยินเสียงคนที่ผมกำลังเป็นห่วงใจจะขาด

“เฮียครับ...แสน...”

“แสน! แสนเป็นไงบ้าง” หัวใจผมเต้นรัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของแสน ก่อนที่เสียงของน้องจะหายไป

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ได้ยินแล้วก็จัดการให้เรียบร้อยด้วย ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงของน้องคุณอีก”

มันขู่อีกรอบ ก่อนจะบอกให้ผมจัดการถอนฟ้องให้เรียบร้อยภายในวันพรุ่งนี้ แล้วตอนเย็นๆ มันจะติดต่อกลับมาอีกที

   พวกมันสิ้นคิดมากที่กล้าจับตัวแสนไป ถ้าแสนปลอดภัยเมื่อไหร่ล่ะก็... ผมจะเอาคืนอย่างสาสม อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างมีความสุขเลย!

   หลังจากตำรวจมั่นใจแล้วว่าสัญญาณโทรศัพท์มาจากทางจังหวัดกาญจนบุรี เราก็ออกเดินทางกันทันที เราตามสัญญาณ GPS ไปเรื่อยๆ จนเข้าไปถึงช่วงที่เป็นหุบเขาทำให้สัญญาณขาดหายไป เมื่อไปถึงทางแยกก็เลยต้องจอดรถแอบข้างทางเพื่อจะปรึกษากันก่อนว่าจะเอายังไงต่อดี

   แต่ระหว่างที่เรากำลังจะลงไปปรึกษากันอยู่นั้น ผมก็หันไปเห็นควายตัวหนึ่งยืนอยู่บนถนนด้านหน้ารถของผม

   มอออออออ

   ทองกวาว!

ทองกวาวหันมาสบตาผมก่อนจะเริ่มออกวิ่งเหมือนต้องการจะนำทางไป

ผมวอไปบอกรถคันอื่นๆ ให้ตามผมมา ก่อนจะขับรถนำไปท่ามกลางความงงของทุกคน แต่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้คนอื่นเชื่อว่าที่ผมรู้ทางก็เพราะมีวิญญาณควายนำทางอยู่

ผมมองทองกวาวที่วิ่งนำไปเรื่อยๆ อย่างใจจดใจจ่อ ตอนนี้ก็ทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับทองกวาวแล้ว

แสน...รอเฮียก่อนนะ เฮียกำลังจะไปช่วยแล้ว!


***********************************************************************************

สำหรับเรา พระเอกของเราไม่จำเป็นต้องเก่ง ต้องเทพ ต้องรวยมากก็ได้ค่ะ
ขอแค่จริงใจและรักเดียวใจเดียวก็พอ อันนี้หมายถึงทั้งพระเอกในนิยายและผู้ชายในชีวิตจริงด้วย ฮิ้วววว
พระเอกของเราก็เลยกากๆ หน่อย แต่ที่น้องมันกากก็เพราะฐานะของน้องด้อยกว่าทุกคนด้วยแหละค่ะ
ที่ใช้ได้ที่สุดก็มีแค่ความจริงใจอย่างเดียวเลย ถถถ ลูกแม่
อย่าด่าน้องมันมากเลยนะคะ เพราะแม่มันจิตใจบอบบาง เกี่ยวไหม 55555
ใกล้จะจบแล้ว ฮึบๆๆๆๆ

รักคนอ่านและคนเม้นท์ทุกคนนนน

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

แต่ตอนนี้หนีไปปั่นงานต่อก่อนนะคะ

 :katai4: :katai4: :katai4:

#มนต์รักริมทุ่ง
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-01-2019 11:47:24
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-01-2019 13:08:49
ตอนนี้ทองกวาวแอบมาแย่งซีนเห็นๆ อะไม่สิ มีแต่เฮียแผนเท่านั้นที่เห็น
ขอให้ปลอดภัยน้าาาแสน ขอบคุณทองกวาว ส่วนคล้าวก็เจียมเนื้อเจียมตัวไปก่อนละกัน
 :m23: :m23: :m23:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-01-2019 15:45:03
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 17-01-2019 16:42:25
ปีไหม่มีความสุขมากๆ น๊าจร้า ถ้าไม่ได้วิญญาน ทองกราวช่วยนี่ก็แย่เหมือน กัน ขอไห่แสน ปลอดภัย รอ ยุ จ้า มาต้อ เร็วๆ น๊าาา  คถ ผู้เขียน เสมอๆ ^^
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-01-2019 21:18:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-01-2019 07:52:03
ทองกวาวววว หนูยังไม่ไปไหนเพราะห่วงพี่คล้าวหรือลูก.  โถ....

เฮียโชคดีมากที่มองเห็นทองกวาวได้.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 20-01-2019 05:28:31
ทองกวาวคือพระเอกที่แท้ทรู   :laugh:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 22-01-2019 08:18:52
บทที่ 20

แสนเสน่ห์

   หลังจากที่มันให้ผมคุยกับเฮียแล้วมันก็มาปิดปากผมไว้ แล้วคุยกับเฮียต่อ ผมฟังเงื่อนไขที่พวกมันยื่นให้กับเฮียแผนแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วจ้องหน้าพี่สรัญนิ่งๆ พอคุยจบมันก็เอามือออกแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่ออยู่กับพี่สรัญตามลำพังผมก็เหลือบไปมองที่ประตู เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาแล้วก็ถามพี่สรัญเบาๆ ด้วยความสงสัย

   “พี่ไม่รู้เหรอครับ ว่าคดีอาญามันถอนฟ้องและยอมความกันไม่ได้” พี่สรัญยิ้มให้ผมก่อนจะตอบ

   “รู้สิ พี่รู้ดี”

   “อ้าว!” แล้วทำไมไม่ห้ามล่ะ ปล่อยให้มันเรียกร้องต่อทำไม!

   “พี่ลองหลอกถามดูแล้ว แม่พี่ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนคนพวกนี้ก็เป็นพวกนักเลงปลายแถวที่แม่ใช้เงินพี่จ้างมาไม่รู้เรื่องกฎหมายพวกนี้หรอก” พี่สรัญถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“พี่เลวมากใช่ไหมที่อยากจะให้ตำรวจจับแม่ตัวเองเข้าคุก”

   “ไม่หรอกครับ ในความคิดผม ถ้าพี่สรัญเข้าข้างแม่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องต่างหากถึงจะผิด”

   “พี่ขอโทษด้วยนะที่ดึงแสนมาเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่รู้เรื่องคดีนี้ดีแต่พี่ก็ไม่ห้ามแม่ พี่ร่วมมือกับเขาแล้วปล่อยให้เขาเดินตามแผนต่อ เพราะพี่รู้ว่าเจ้าสัวสุธนกับคุณขุนแผนจะไม่มีวันยอมให้ใครก็ตามที่แตะต้องแสนลอยนวลไปได้แน่ๆ”

   “แต่พี่จะติดร่างแหไปด้วย” ผมมองพี่สรัญด้วยสีหน้ากังวล นอกจากเรื่องที่ใช้ผมเป็นเครื่องมือแล้ว ในความคิดของผม พี่สรัญก็ไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงเลย เพราะพี่สรัญก็พยายามดูแลปกป้องผมเต็มที่แล้ว ไม่ควรจะต้องมารับโทษไปกับแม่ของเขาด้วยเลย

   “พี่บอกแล้วไงว่าพี่ยอมรับผลจากการกระทำของตัวเอง ถ้ามันจะทำให้แม่หมดโอกาสที่จะไปทำร้ายแม่บุญธรรมของพี่และทำร้ายคนอื่นๆ อีก พี่ก็ยินดีจะรับโทษ” พี่สรัญบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

   ผมได้แต่มองพี่สรัญด้วยความสงสาร ทำไมพี่สรัญต้องมาเกิดเป็นลูกของผู้หญิงคนนี้ด้วยนะ เคยเจอแต่ในข่าวที่แม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายและจิตใจลูก เพิ่งจะเคยเจอกับคนใกล้ตัวก็คราวนี้แหละ

   คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะไม่รู้จะช่วยยังไงดี เอาเป็นว่าขอให้รอดไปได้ก่อนก็แล้วกัน ค่อยปรึกษากับเฮียแผนอีกที

   “แสนไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลแสนให้ดีที่สุด จะไม่ให้ใครทำร้ายได้แน่” พี่สรัญกลับเดาอาการผมไปอีกทาง ซึ่งผมก็ไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดนั้น ได้แต่ยิ้มตอบพี่สรัญไป แต่ก่อนที่เราจะได้คุยอะไรต่อก็มีคนเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะล่วงหน้าสักนิด

   ไร้มารยาทจริงๆ!

   “คุณ คุณผู้หญิงให้ไปหา” ไอ้คนที่เข้ามาเรียกเป็นคนเดียวกับที่ไปจับผมมา มันจ้องหน้าผมเขม็งแล้วแสยะยิ้มให้เหมือนจงใจกวนประสาท

   เห็นแล้วอยากเอารองเท้ายัดปากจริงๆ

   “อืม รู้แล้ว ไปสิ” พี่สรัญรับคำ แล้วยืนรอให้มันออกไปก่อนถึงได้เดินตามไป สงสัยกลัวมันจะเข้ามาทำร้ายผม
   ผมมองตามไอ้คนเดินนำไปอย่างหมั่นไส้ นี่ถ้าไม่มีปืนขู่และมีจูดี้ตัวประกันละก็ อย่าหวังว่าจะจับผมได้ง่ายๆ เลย แน่จริงตัวต่อตัวไหมล่ะ เหอะ!

   ระหว่างที่พี่สรัญไม่อยู่ พี่สรัญก็ล็อคห้องผมไว้ บอกว่าไม่ได้ล็อคเพื่อกันไม่ให้ผมหนี แต่เพื่อกันไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับผมมากกว่า พอถึงเวลาอาหารก็เอามาให้เอง แล้วหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเป็นเพื่อนด้วย

   ตอนแรกพี่สรัญจะนอนที่พื้น แต่ผมบังคับให้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน เพราะเตียงมันใหญ่พอสำหรับนอนสองคนได้สบายๆ หลังจากตกลงกันได้ ผมก็รีบนอนเพื่อเก็บแรงไว้เตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะต้องเจอต่อไป

*********************************************************************

   ปัง!

   ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ไกลๆ ก่อนจะลุกพรวดพราดไปเปิดไฟแล้วหันมามองหน้าพี่สรัญที่ยังนั่งทำหน้าตกใจอยู่บนเตียง

   “เกิดอะไรขึ้น” พี่สรัญถามก่อนจะลุกจากเตียงเดินมาหาผม

   ผมได้แต่ส่ายหน้าตอบ ก็นอนอยู่ด้วยกัน แล้วจะไปรู้ไหมว่าข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้น!

   ปึงๆๆๆ

   “เปิดประตู! เปิดประตูเร็วๆ” เราสองคนมองหน้ากันเมื่อมีคนมาเคาะประตูรัวๆ พี่สรัญตัดสินใจเดินไปเปิดประตูแล้วถามคนเคาะที่มีสีหน้ากระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด

   “เกิดอะไรขึ้น”

   “มีคนบุกรุก แต่ไม่รู้ว่าใคร เราต้องหนีกันก่อน ไปเร็ว!”

   “ต้องเก็บของไหม” พี่สรัญถามอย่างละล้าละลัง

   “ไม่ต้อง ไม่ทันแล้ว ต้องไปเดี๋ยวนี้”

   “ได้ๆ ฉันขอหยิบโทรศัพท์ก่อน” ระหว่างที่พี่สรัญเดินไปหยิบของ มันก็สั่งให้คนที่มาด้วยอีกสองคนมัดแขนผมไพล่หลังแล้วคอยประกบผมไว้ก่อนที่จะเดินนำไป

   เมื่อออกไปข้างนอกก็เห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนรออยู่ เดาว่าน่าจะเป็นแม่พี่สรัญ เพราะมีเค้าหน้าคล้ายๆ กัน พร้อมกับคนติดตามอีกสองคนซึ่งทั้งหมดมีปืนอยู่ในมือ ผมคงจะหนีไปตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ คงต้องหาโอกาสหนีทีหลัง

   “นำทางไปเลย” เธอบอกไอ้คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่จับผมมา

   “คนที่เหลือล่ะครับ” พี่สรัญถามแม่ของเขา แต่ไอ้คนที่เป็นหัวหน้าตอบแทนด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ารำคาญ

   “ให้ล่อพวกมันไปอีกทางแล้ว ไปได้แล้ว อย่าชักช้า!” พูดจบมันก็รีบเดินนำไปทันที

   “เดินให้มันเร็วๆ หน่อย อย่าลีลา เดี๋ยวกูยิงไส้แตก”

ผมกลอกตา เมื่อไอ้คนที่จับผมมาขู่ตามแบบตัวร้ายในละครเป๊ะ นี่ก็รีบจนขาจะขวิดแล้ว เดินมืดๆ กลางป่าแบบนี้ไม่หัวทิ่มก็บุญแล้ว แถมโดนมัดมือแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เสียการทรงตัวเข้าไปใหญ่

แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรไป เพราะรู้ดีว่ามันจงใจหาเรื่องกันเฉยๆ ดีที่มีพี่สรัญคอยประกบอยู่ข้างๆ มันเลยทำอะไรผมไม่ได้ ที่มันยังเกรงใจพี่สรัญก็เพราะมันยังไม่ได้ค่าจ้างทั้งหมดจากแม่พี่สรัญหรอก ไม่งั้นผมคงแย่

ปังๆๆๆ!

ผมเผลอชะงักเมื่อได้ยินเสียงปืนดังอยู่ด้านหลัง รู้สึกว่าเสียงน่าจะใกล้ๆ กับบ้านหลังที่เราเพิ่งจะออกมาเลย อดจะหวังไม่ได้ว่าเฮียกับธงรบจะมาช่วยผม แล้วก็อดจะห่วงทั้งคู่ไม่ได้เหมือนกัน

“เดินไป อย่าหยุด เดี๋ยวกูก็ยิงทิ้งหรอก” เมื่อเห็นผมหยุด ไอ้คนรอหาเรื่องมันก็ผลักหลังผมจนเกือบล้ม โชคดีที่พี่สรัญประคองไว้ทัน ไม่งั้นคงเจ็บตัวแน่

“มึงอย่าเพิ่งหาเรื่องมันไหมได้ไหมไอ้เหี้ย! รีบหนีก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ตายห่ากันหมดหรอก” ไอ้หัวหน้ามันหันมาด่าลูกน้องมัน เมื่อมันหาเรื่องผมมาตลอดทางไม่ยอมหยุด

“จิ๊” มันจุ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเงียบแต่โดยดี

สายตาที่ชินกับความมืดทำให้เห็นใบหน้ากวนประสาทของมันลางๆ เห็นแล้วอยากให้เสือออกมาลากไปกินให้มันจบๆ ซะ จะได้ไม่หนักแผ่นดิน ผมคิดในใจอย่างดุเดือด

“ใกล้ถึงรึยัง” หลังจากที่เดินมาได้สักพักใหญ่ๆ แม่พี่สรัญถามด้วยน้ำเสียงหอบๆ เพราะมันพาเดินมานานโดยไม่ได้พักเลย

“ใกล้แล้วคุณนาย ทนอีกนิด” หัวหน้ามันตอบแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด มันพาเดินมาท่ามกลางความมืดโดยไม่ต้องมีแสงสว่างนำทางสักนิด เหมือนกับว่ามันชินกับเส้นทางแถวนี้ดี

ผมกวาดตามองรอบๆ ตัวเผื่อหาทางหนีทีไล่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาก็เห็นเพียงต้นไม้และได้ยินแค่เสียงแมลงที่ร้องระงม ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นบ้านคนเลยสักหลัง คิดแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความเครียด ตอนนี้คงต้องพึ่งตัวเองอย่างเดียวแล้ว คงขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แน่

ยิ่งเสียงปืนที่ดังไล่หลังมาเงียบไปแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกกังวล ทั้งกลัวว่าคนที่มาช่วยจะตามหาไม่เจอ ทั้งกลัวว่าพวกเขาจะเป็นอันตรายด้วย

มันพาเดินต่อไปอีกไม่นานอย่างที่ว่า มันก็หยุดเดินแล้วบอกให้ทุกคนเงียบ ก่อนที่มันจะผิวปากเป็นสัญญาณ ไม่นานก็มีเสียงผิวปากตอบกลับมาและมีคนเดินออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง

“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้น”

“มีคนบุกไปที่นั่น ไป! เอารถออกเลย เราต้องหนีไปจากที่นี่ก่อน”

“ครับหัวหน้า” หลังจากรับคำแล้วมันก็เดินไปเอารถที่แอบไว้ไม่ไกลแล้วขับมาหาหัวหน้ามัน

ผมอดจะชมในใจไม่ได้ว่าพวกมันรอบคอบจริงๆ ที่เตรียมรถกับคนไว้อีกทางด้วย เมื่อรถมาจอดอยู่ข้างๆ แล้ว ไอ้คนที่ชอบหาเรื่องผมมันก็ถามขึ้น

“แล้วไอ้นี่ล่ะหัวหน้า” หัวหน้ามันมองหน้าผมก่อนจะมองหน้าลูกน้องมันแล้วพยักหน้า ลูกน้องมันก็หันปืนมาหาผม พี่สรัญเลยรีบเข้ามาขวางทันที

“แม่! ไหนว่าจะไม่ทำร้ายแสนไง” พี่สรัญหันไปพูดกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน

   “อย่าโง่ไปหน่อยเลย มันเห็นหน้าพวกเราแล้ว จะปล่อยมันไปได้ยังไง” หัวหน้ามันบอกอย่างหัวเสีย

   ผมก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าที่พวกมันเปิดเผยหน้าตาให้ผมเห็นแบบนี้ ก็คงไม่ปล่อยให้ผมรอดไปได้แน่ๆ

“แต่เราต้องใช้แสนต่อรองอีกไม่ใช่เหรอ ถ้าคุณแผนขอฟังเสียงแสนอีกจะทำยังไง” พี่สรัญพยายามหาเหตุผมมาต่อรอง

“ผมมีวิธีของผมน่า หลีกไป!” หัวหน้ามันหันปืนเข้ามาขู่พี่สรัญ

“แม่! อย่าทำอะไรแสนเลยนะ” พี่สรัญขอร้องแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“หลีกไปสรัญ” แม่เขาบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ลูกน้องของมันสองคนเดินมาล็อคตัวพี่สรัญไว้แล้วลากออกไป

“แม่! อย่านะ ฆ่าคนโทษหนักนะครับ แม่อย่าทำผิดอีกเลย” พี่สรัญพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ของเขาต่อ

“เงียบไปเลยนะสรัญ ถ้าครอบครัวมันไม่จับพ่อแกเข้าคุก มันก็คงไม่ต้องโดนแบบนี้หรอก ถ้าจะโทษก็โทษพ่อโทษพี่มันโน่น”

ผมอยากเถียงว่าถ้าไม่ทำผิดแล้วจะโดนจับเข้าคุกไหม แต่ไม่อยากกระตุ้นอารมณ์เธอให้เธออารมณ์ขึ้นกว่านี้ เพราะกลัวจะตายไวกว่าเดิม เลยต้องยอมอยู่เงียบๆ และมองหาทางหนีให้เร็วที่สุด

“ก็ถ้าเขาไม่โกง ไม่ทำผิด เขาก็คงไม่ต้องถูกจับหรอก!” ถึงผมจะไม่พูดแต่พี่สรัญก็พูดแทนให้แล้ว

“นี่แกเข้าข้างคนอื่นเหรอ เขาเป็นพ่อแกนะสรัญ!”

“พ่อที่ไม่เคยเลี้ยงดู ไม่เคยมาใส่ใจแบบนั้นไม่มีซะยังจะดีกว่า!

“สรัญ!”

“แน่จริงแม่ก็ฆ่าผมไปด้วยเลยสิ ยังไงแม่ก็ไม่เคยรักผม ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกอยู่แล้วนี่ พอผมมีความสุขแม่ก็มาทำลายมันทุกครั้ง เอาสิ! ฆ่าผมไปพร้อมกับแสนเลย!”

“สรัญ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“พอเถอะคุณนาย อย่ามัวทะเลาะกันอยู่เลย เสียเวลา จัดการไปให้มันจบๆ ดีกว่าจะได้รีบหนีซะที” หัวหน้ามันรีบห้ามเมื่อสองแม่ลูกยังทะเลาะกันไม่ยอมจบ พอจบคำไอ้คนที่มันเกลียดขี้หน้าผมก็หันมาแสยะยิ้มให้

“ลาก่อนนะมึง”

ผมรีบกระโดดหลบ เพราะหวังว่าจะมีโอกาสหลบพ้นได้บ้าง

ปัง!

   “โอ๊ย!”

   ผมเผลอหลับตาเมื่อได้ยินเสียงปืน คิดว่าคงถูกยิงแน่ๆ แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้เจ็บที่ตรงไหนก็รีบลืมตาขึ้นมาดู ก็เห็นว่าคนที่ถูกยิงเป็นลูกน้องคนหนึ่งของมัน

   “อย่าเพิ่งยิงมัน เก็บไว้เป็นตัวประกันก่อน” หัวหน้ามันหันมาสั่ง เมื่อเห็นว่ามีคนลอบโจมตี ทำให้ผมยังหนีไปไหนไม่ได้ เพราะไอ้คนที่จะยิงผมหันหน้าจากทิศทางที่ได้ยินเสียงปืน หันปืนมาจ่อผมต่อ

   ปังๆๆ!

   พอตั้งตัวได้พวกมันที่เหลือก็ระดมยิงไปรอบๆ ตัว เพราะคนที่ยิงใส่พวกมันน่าจะอยู่ไม่ไกล

   พลั่ก! ระหว่างที่พวกมันกำลังจะหาที่กำบัง พี่สรัญก็ศอกไอ้คนที่จับตัวไว้ ก่อนจะสะบัดตัวจนหลุดจากการล็อคตัวของพวกมันได้

ผมจึงได้โอกาสกระโดดเข้าไปเตะปืนในมือไอ้คนที่จ่อผมไว้ ตอนที่มันกำลังเสียสมาธิเพราะเสียงปืนที่ยิงโต้มาจนปืนกระเด็นไปไกล แขนผมหลุดจากเชือกที่มัด เพราะได้คัตเตอร์ที่พี่สรัญแอบยัดใส่มือไว้ตัดเชือกขาดพอดี ผมจับตัวมันโน้มลงมาเข่าที่ท้อง ตามด้วยประสานมือฟาดลงที่ท้ายทอยแรงๆ จนมันล้มลงแล้วเหยียบหลังซ้ำ

   “โอ๊ย!”

“แสนระวัง!”

ปัง!

“กรี๊ด สรัญ!”

ผมมองพี่สรัญที่เข้ามาบังกระสุนไว้ด้วยความตกใจ พอหันไปมองที่มาของกระสุนก็เห็นว่าปืนอยู่ในมือของแม่เขา เธอคงเก็บปืนที่หล่นเมื่อครู่แล้วตั้งใจจะยิงผม แต่พี่สรัญเข้ามาขวางไว้ก่อน พอเห็นเธอยืนอึ้งอยู่แบบนั้น หัวหน้ามันก็ลากเธอไปหลบหลังต้นไม้ใกล้ๆ และตอบโต้กับคนที่ยิงมาจนไม่มีเวลาสนใจผมอีก

“พี่สรัญ!”

“แสน...หนีไป” พี่สรัญกุมท้องตัวเองไว้แล้วพยายามบอกให้ผมหนี

“ไม่ครับ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน” ผมพยายามลากร่างพี่สรัญไปหาที่กำบัง จะให้ทิ้งคนที่เพิ่งจะช่วยชีวิตตัวเองไปได้ยังไง

“พี่...ขอโทษนะ” พี่สรัญเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ จนผมใจไม่ดี

“ผมไม่รับคำขอโทษของพี่ จนกว่าพี่จะหายแล้วมาขอโทษอีกที ผมถึงจะยกโทษให้ แฮ่กๆ” ผมพูดไปหอบไป เพราะพี่สรัญตัวใหญ่และหนากว่าผม ทำให้ผมต้องออกแรงลากจนหอบ

“อย่างน้อย...พี่ก็ปกป้อง...แสนได้” สายตาผมพร่ามัวไปด้วยน้ำตา เมื่อพี่สรัญยังยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเคย ก่อนที่พี่สรัญจะบ่นว่าเจ็บแผลแล้วสลบไป

“พี่สรัญ! ตื่นก่อน อย่าเพิ่งหลับ พี่สรัญ อดทนไว้ก่อนนะครับ!”

“อย่าอยู่เลยมึง” ผมเงยหน้าไปมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นไอ้คนที่คิดว่าสลบไปแล้วถือปืนเดินเข้ามาหา

ปัง!

ตาของผมเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่มารับกระสุนแทนอีกคน

“คล้าว!!!”

ปังๆๆ! ไอ้คนที่ตั้งใจจะยิงผมถูกยิงเจาะกลางหน้าผากจังๆ จนมันล้มลงไปทันที

ผมถลาเข้าไปหาคล้าวที่ล้มอยู่ใกล้ๆ แล้วกวาดตามอง ก็เห็นว่าคล้าวใช้มือกดบริเวณท้องไว้ ผมได้แต่มองอย่างใจเสียและทำอะไรไม่ถูก

“พี่แสน...ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

“ไม่...ฮึก ไม่เป็นไร คล้าวอดทนไว้นะ”
 “แสน! เป็นอะไรรึเปล่า” เมื่อเห็นคนที่โผล่ออกมาจากต้นไม้ ผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เฮีย! ฮึก คล้าวถูกยิง พี่สรัญก็ถูกยิง ฮึก ทำยังไงดี” ก่อนที่น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้จะไหลออกมาทันทีที่เห็นเฮียแผน เฮียกวาดตามองผมเร็วๆ พอเห็นผมไม่เป็นอะไรก็บอก

“แสนไปหลบหลังต้นไม้ก่อน” เฮียพูดจบก็รีบลากคล้าวไปหลบหลังต้นไม้ทันที

“เดี๋ยวแสนช่วย”

“ไปหลบเดี๋ยวนี้ ที่เหลือเฮียจัดการเอง” เฮียบอกเสียงดุๆ ผมจึงยอมเดินมาหลบแต่โดยดี เพราะตอนนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายและจิตใจอ่อนล้าจนแทบจะไม่ไหวแล้ว

“ระวังด้วยนะเฮีย” ผมบอกเฮียด้วยความเป็นห่วง พอเห็นว่าเฮียลากพี่สรัญตามมาและเห็นว่าเฮียปลอดภัยดีแล้ว ก็รีบมาดูคล้าวที่เลือดไหลออกจากแผลด้วยความกังวล

“ตำรวจประสานกับโรงพยาบาลให้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสักพักรถพยาบาลก็คงมาถึง” ปากบอกผม มือก็ช่วยกดแผลพี่สรัญไปด้วย ผมจึงดูคล้าวได้อย่างวางใจมากขึ้น

“ได้ยินไหมคล้าว อดทนไว้ก่อนนะ” ผมวางมือทับมือคล้าวไว้เพื่อช่วยกดห้ามเลือด

“พี่แสน”

“ครับ”

“ผมขอโทษ” ทำไมคนที่รับกระสุนแทนผมทั้งสองคนต้องขอโทษผมทั้งคู่ด้วยนะ ถึงจะไม่รู้ว่าคล้าวขอโทษเรื่องอะไร แต่ผมก็ก้มลงไปจ้องตาคล้าวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พี่ไม่รับ คล้าวต้องมาขอโทษพี่อีกครั้งหลังจากหายดีแล้ว พี่ถึงจะยกโทษให้ เข้าใจไหมครับ” ผมบอกกับคล้าวไม่ต่างจากที่บอกพี่สรัญ เพราะหวังว่าอย่างน้อยคนทั้งคู่จะได้มีกำลังใจในการต่อสู้กับพิษบาดแผล เพื่อกลับมาขอโทษผมอีกครั้ง

“พี่แสน” คล้าวยกมืออีกข้างมาแตะแก้มผม

“ครับ” 

“ผม...รัก” พูดได้แค่นั้นคล้าวก็มีสีหน้าเหมือนเจ็บปวดมาก ใบหน้ามีเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนที่คล้าวจะหลับตาลง

“คล้าวอย่าเพิ่งหลับนะ อดทนไว้ก่อนนะคล้าว อดทนเพื่อพี่นะครับคนดี” ผมกุมมือคล้าวข้างที่แตะแก้มผมไว้แน่น ทำให้คล้าวพยายามลืมตาขึ้นมามองผม

“คุณแผนครับ เคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับ” ผมหันไปมองคนที่เดินมาหาเฮีย เมื่อมองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่าเสียงปืนเงียบไปแล้ว

“ตรงนี้มีคนถูกยิงสองคน รถพยาบาลใกล้มาถึงหรือยังครับ” พอเฮียแผนถามจบ ผู้ชายคนนั้นก็วอถามทันที

“รถพยาบาลใกล้มาถึงแล้ว เราย้ายคนเจ็บไปรอที่ถนนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปตามคนมาช่วยก่อน” พูดจบก็เดินไปทันที ไม่นานก็มีคนอีกหลายคนเอาอุปกรณ์มาช่วยปฐมพยาบาลคล้าวกับพี่สรัญก่อนจะยกคนทั้งคู่ไป

แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินตามไป เฮียก็ก้าวมาหาแล้วรวบตัวผมไปกอดแน่นซะก่อน

“ปลอดภัยแล้วนะแสน” ผมกอดตอบเฮียแน่นไม่แพ้กัน

“แสนคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าเฮียอีกแล้ว”

“ไม่มีทาง เฮียไม่ปล่อยให้แสนเป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก”

“ขอบคุณนะครับเฮีย แสนรักเฮียนะ”

“เฮียก็รักแสนเหมือนกัน” เฮียเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูงมือผมเดินตามคนอื่นๆ ไป

เมื่อเดินไปถึงรถที่จอดอยู่ ก็เห็นธงรบยืนมองหาอะไรสักอย่างด้วยสีหน้ากระวนกระวาย แต่พอมันหันมาเห็นผม มันก็ก้าวเร็วๆ มาแล้วรวบตัวผมไปกอดไว้แน่น

“ดีจริงๆ ที่มึงปลอดภัย” ผมกอดตอบมันแล้วตบหลังมันเบาๆ

“ขอบใจนะรบ”

“มึงเป็นน้องกูนี่” ผมอดจะยิ้มไม่ได้ เมื่อมันยังคงมุ่งมั่นจะเป็นพี่ผมให้ได้

พอได้ยินเสียงไซเรนเข้ามาใกล้ ธงรบก็ปล่อยผม ผมรีบเดินไปดูคล้าวที่ตอนนี้มีตำรวจช่วยดูแลอยู่ แล้วก็มีไม้นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าคล้าวหลับตาอยู่ ผมก็เรียกชื่อน้องมันเบาๆ

“คล้าว” เมื่อได้ยินเสียงของผม คล้าวก็พยายามลืมตาขึ้นมามองด้วยสีหน้าอ่อนล้าจนผมกังวล

เมื่อรถพยาบาลจอดลง เจ้าหน้าที่ก็รีบเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลทันที พอเห็นคล้าวอยู่ในมือเจ้าหน้าที่แล้วผมก็พอจะวางใจได้บ้าง

ผมขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปส่งพวกเราที่โรงพยาบาลก่อน เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าคล้าวและพี่สรัญเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว เฮียเลยลากผมไปให้หมอตรวจร่างกายผมด้วย

เมื่อหมอบอกว่าผมไม่มีอาการอะไรผิดปกติ นอกจากมีอาการฟกช้ำแค่บางจุดและอ่อนเพลียเท่านั้น เฮียถึงวางใจยอมให้ผมไปรอหน้าห้องผ่าตัดได้ เราทั้งห้าจึงมานั่งรอหน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ

ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทั้งคู่ปลอดภัย

รีบกลับมาหาพี่นะคล้าว พี่รอคล้าวอยู่


คล้าว
   
   ผมฝัน.... ฝันเห็นเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก

ฝันเห็นตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก เพราะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกๆ วันพ่อจะพาผมออกไปหาปลา เก็บหอย จับปู เก็บผักกับพ่อแล้วเอามาให้แม่ทำกับข้าวกินด้วยกัน

ในตอนนั้นบ้านของผมมีควายอยู่หลายตัว เพราะพ่อเริ่มผสมพันธุ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีจนได้ควายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากที่พ่อตายไป แม่ก็ต้องขายควายเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้และเอาเงินมาไว้ใช้จ่ายในบ้าน เนื่องจากตอนนั้นแม่ก็เริ่มมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะ จึงทำให้ออกไปทำงานไม่ได้เหมือนแต่ก่อน

ต่อให้ผมไปทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ค่าจ้างไม่มากนัก เพราะผมยังเด็กอยู่ แม่จึงตัดสินใจขายควายจนหมดคอก เพื่อที่จะนำเงินมาใช้และเก็บบางส่วนไว้เป็นทุนให้ผมเรียนต่อไป

จนลุงคนหนึ่งที่สนิทกับพ่อสงสารเราที่ต้องไปจ้างให้คนอื่นไถนาให้ ก็เลยใจดีให้เรายืมควายตัวเมีย เพื่อให้เอาไปผสมพันธุ์และเลี้ยงดูจนกว่ามันจะคลอดลูก เมื่อลูกมันหย่านม เราก็ค่อยเอาแม่ควายไปคืนเจ้าของ แล้วลูกควายตัวนั้นก็จะเป็นของเรา

ผมรับหน้าที่เลี้ยงควายแทนแม่ เพราะตอนนั้นแม่ผมป่วยหนักขึ้นจนแทบจะทำอะไรไม่ได้แล้ว หลังจากทองกวาวเกิดมาได้ไม่นาน แม่ผมก็จากไปอีกคน ทำให้ผมผูกพันกับทองกวาวมาก เพราะนอกจากผมจะเป็นคนเลี้ยงมันมากับมือแล้ว ผมก็ถือว่าทองกวาวเป็นเพื่อนที่แม่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากไปอีกด้วย

ผมเห็นตัวเองเติบโตมาพร้อมกับทองกวาวเรื่อยๆ จนในวันหนึ่ง ผมเห็นทองกวาวถูกงูกัดตายในวันที่ผมไม่อยู่ เพราะผมไปช่วยคนในหมู่บ้านสีข้าวในตอนกลางคืน ผมเห็นทองกวาวร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงแล้วค่อยๆ หายแผ่วลงเรื่อยๆ

“ทองกวาว อย่าเป็นอะไรไปนะ ทองกวาว ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยทองกวาวด้วย”

ผมร้องเรียกทองกวาวและตะโกนให้คนมาช่วยทั้งน้ำตา แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน และผมก็ไม่สามารถสัมผัสตัวทองกวาวได้เลย  ได้แต่มองทองกวาวสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

ผมเห็นวิญญาณของทองกวาวออกจากร่างไป ก่อนที่จะมีวิญญาณของใครคนหนึ่งตามทองกวาวมาแล้วก็เข้าไปในร่างของทองกวาวแทน ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เพราะผมรู้จักคนๆ นั้นเป็นอย่างดี

พี่แสน!!!

หลังจากนั้น วิญญาณของพี่แสนในร่างของทองกวาวก็อยู่กับผมมาตลอด นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ผมรู้สึกว่าทองกวาวเปลี่ยนไปและฉลาดผิดปกติ

น้ำตาผมไหลอีกครั้งเมื่อเห็นพี่แสนในร่างทองกวาวถูกยิงตายเพราะเข้ามาช่วยผมไว้ เห็นความพยายามของพี่แสนในการตามหาผมหลังจากที่วิญญาณกลับเข้าร่างจนฟื้นขึ้นมาและจำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว

ยิ่งเห็นก็ยิ่งซาบซึ้งกับสิ่งที่พี่แสนทำเพื่อผมและมันก็ยิ่งทำให้รู้สึก ‘รัก’ พี่แสนมากขึ้นไปอีก

ผมมองไปรอบๆ ตัว เพื่อหาทางกลับไปหาพี่แสน ก็ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงคอกของทองกวาวที่บ้านริมทุ่งของผมเอง เมื่อหันกลับมาจากตัวบ้านผมก็เห็นทองกวาวยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

“ทองกวาว”

“มออออออ”

ผมก้าวเข้าไปหาทองกวาว ในขณะที่ทองกวาวก็เดินเข้ามาหาผมเหมือนกัน เมื่อไปถึงตัวทองกวาวผมก็เข้าไปกอดคอมันไว้แล้วซบหน้าลงกับคอของมันด้วยความคิดถึง

“พี่คล้าวคิดถึงทองกวาวเหลือเกิน”

“มออออ”

“มันมาลาเอ็งน่ะคล้าว” ผมเงยหน้าขึ้นจากคอทองกวาว เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ

“หลวงตา” ผมปล่อยมือจากทองกวาวแล้วก้มลงกราบท่าน

“ทองกวาวมันเป็นห่วงเอ็ง มันก็เลยไปไหนไม่ได้ แต่ตอนนี้เอ็งมีคนดูแลและหมดเคราะห์หมดโศกแล้ว มันก็เลยหมดห่วง ถึงเวลาที่มันต้องไปในที่ที่มันควรไปแล้ว”

ผมหันไปมองทองกวาวก็เห็นมันผงกหัวให้เหมือนจะยืนยันคำพูดของหลวงตา ผมลุกขึ้นไปลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเข้าไปกอดมันอีกครั้ง

   “ขอบใจนะทองกวาวที่อยู่เคียงข้างพี่มาตลอด ขอให้ทองกวาวไปสู่ภพภูมิที่ดี... พี่คล้าวรักทองกวาวนะ” พูดจบผมก็จูบหัวทองกวาวเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือแล้วถอยออกมา

   ถ้าตาไม่ฝาดผมว่าผมว่าผมเห็นทองกวาวยิ้มให้ทั้งน้ำตา ผมจึงยิ้มตอบทองกวาวทั้งน้ำตาไม่ต่างกัน ก่อนที่ร่างของทองกวาวจะค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีทองแล้วจางหายไป

   ลาก่อน... ทองกวาวของพี่คล้าว

   “เอ็งก็กลับไปได้แล้ว คนทางโน้นคงร้อนใจแย่แล้ว”

   “ผมกลับไปได้เหรอครับหลวงตา”

   หลวงตาไม่ได้ตอบแต่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเคย แล้วอยู่ๆ ก็มีลมพัดมาอย่างแรงจนผมต้องหลับตาลง ก่อนที่สติผมจะดับวูบไป
   

********************************************************************************

ทุกคนคิดถูกแล้วค่ะ พระเอกเรื่องนี้คือทองกวาว พี่คล้าวหลบปายยยยยยย

 :laugh5: :laugh5: :laugh5:

เห็นรูปนี้แล้วนึกถึงพี่คล้าวกับทองกวาวเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-01-2019 09:48:09
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-01-2019 11:00:11
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 22-01-2019 17:34:08
เพิ่งได้มาติดตามค่ะ อ่านรวดเดียวเลย
เอ็นดูน้องทองกวาวมาก 55555
หวังว่าคล้าวกะสรัญจะไม่เป็นอะไร
รอตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 22-01-2019 19:49:22
น้องคล้าวอย่าพยามไปปกป้องอ้ายแสนแกเลย แค่ยอมเป็นของอ้ายแสนอย่างเต็มใจก็พอ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-01-2019 20:26:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-01-2019 20:44:10
ที่แท้คล้าวก็เคยเห็นวิญญานของพี่แสนมาก่อนนี่เอง
ว่าแต่ คนเขียนเอาจูดี้ไปไว้ที่ไหน บทไม่มีเลย เขายิงกันเปรี้ยงๆ ปร้างๆ
อย่างน้อย น่าจะให้บทจูดีกรี๊ดดดดสักหน่อยก็ยังดี
ไม่มีอะไรอยากบอกแค่นี้แหละ
 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 22-01-2019 23:49:31
ทองกวาวเป็นห่วงพี่คล้าวจนไม่ยอมไปไหน ตอนนี้ก็ผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้ด้วยดีแล้ว ไปดีนะทองกวาว

ว่าแต่ยัยแม่ของสรัญกะหัวหน้าโจรถูกยิงตายไปหรือยังน่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 29-01-2019 11:50:42
บทที่ 21


แสนเสน่ห์

   ผมนั่งเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่รู้สึกว่าการรอคอยมันยาวนานและทรมานเหลือเกิน จนเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เดินออกมาจากห้องผมก็รีบลุกเข้าไปถาม

   “ขอโทษครับ อาการคุณคิมหันต์เป็นยังไงบ้างครับ”

   “ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วค่ะ โชคดีที่กระสุนไม่โดนอวัยวะสำคัญ คุณหมอให้ย้ายไปสังเกตอาการที่ ICU ก่อน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะย้ายไปพักที่หอผู้ป่วยค่ะ”

   “แล้วคุณสรัญล่ะครับ”

   “ปลอดภัยเหมือนกันค่ะ ญาติไปรอที่หน้าห้อง ICU ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะออกมาคุยเรื่องเอกสารอีกที ขอตัวก่อนนะคะ”

   “ขอบคุณมากครับ” พอได้ยินว่าทั้งสองคนปลอดภัยแล้วผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

   ผมไปรอหน้าห้อง ICU ที่อยู่ใกล้ๆ กับห้องผ่าตัดตามที่เจ้าหน้าที่บอก ส่วนเฮียแผนพอรู้ว่าทั้งคู่ปลอดภัยก็ไปจัดการเรื่องคดีกับตำรวจต่อปล่อยให้ธงรบกับไม้อยู่เป็นเพื่อนผม

   ระหว่างที่รอคล้าวกับพี่สรัญออกจาก ICU ผมก็จัดการเรื่องเอกสารและจัดการให้ทั้งคู่พักฟื้นที่ห้องพิเศษคนละห้องโดยไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเพราะทางตำรวจส่งคนมาดูแลความปลอดภัยให้แล้ว

   หลังจากนั้นธงรบก็ลากผมกลับบ้าน เพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะตอนนี้หมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม พอจะดื้ออยู่ต่อ ธงรบก็ไม่ยอมมันบ่นจนผมต้องยอมกลับแต่โดยดี พออาบน้ำเสร็จมันก็บังคับให้ผมกินข้าวต่อ จนผมยอมกินไปบ้างนั่นแหละ มันถึงได้ยอมพากลับมาที่โรงพยาบาลได้

เมื่อมาถึงพยาบาลก็แจ้งว่าย้ายคล้าวไปที่ห้องพิเศษแล้ว แต่พี่สรัญยังต้องอยู่ดูอาการในห้อง ICU ต่อ เพราะอาการยังไม่ค่อยStable เท่าไหร่

ผมเดินเข้าไปในห้องพิเศษตามที่พยาบาลพาไปเมื่อไปถึงก็ไปยืนมองคล้าวที่ยังหลับอยู่เงียบๆ ข้างเตียง พร้อมกับธงรบและไม้

คุณหมอบอกว่าคล้าวรู้สึกตัวมาแล้วรอบหนึ่ง ก่อนจะหลับต่อเพราะร่างกายยังอ่อนเพลียจากการเสียเลือดโชคดีที่กระสุนไม่โดนอวัยวะภายใน อาการของคล้าวก็เลยไม่หนักเท่าพี่สรัญที่ตอนนี้หมอยังต้องให้อยู่สังเกตอาการใน ICU ต่อ

ผมยื่นมือไปปัดเส้นผมที่ระหน้าออกให้เบาๆ และยืนมองต่อเงียบๆ เพราะกลัวจะรบกวนการพักผ่อนของคล้าว

“นั่งก่อนครับพี่แสน” ไม้ยกเก้าอี้มาให้ผมนั่ง

“ขอบคุณครับไม้”ไม้ยิ้มเขินๆ เมื่อเห็นผมยิ้มด้วยความเอ็นดู แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้นั่ง ธงรบมันก็ขัดขึ้นมาซะก่อน

“กูว่ามึงพักสักนิดก็ดีนะแสน คุณหมอก็บอกแล้วว่าอีกนานกว่าคล้าวจะตื่น มึงเองก็ดูเพลียๆ เหมือนกัน พักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะน็อคเอา” ธงรบบอกผมด้วยสีหน้ากังวล

“แต่...”

“ถ้าไม่อยากกลับไปพักบ้าน ก็พักที่นี่ก็ได้ ไปนอนพักที่เตียงญาติก่อนไป” ธงรบมันบอกพร้อมกับดึงแขนผมให้ลุกด้วย ผมหันไปมองหน้าคล้าว เมื่อเห็นว่าคล้าวยังหลับอยู่ก็ยอมเดินตามแรงลากของมันแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้มันเป็นห่วงไปมากกว่านี้

ธงรบดันให้ผมนอนลง ก่อนจะห่มผ้าให้อย่างเรียบร้อย แล้วลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าเหมือนกลัวผมจะหนี

“ไม่ต้องเฝ้าหรอกน่า กูไม่ไปไหนหรอก”

“มึงมันดื้อไง กูเลยต้องเฝ้า เฮียไม่อยู่กูต้องทำหน้าที่แทนเฮียมึงนอนไปเลย อย่าดื้อ รึต้องไห้กูกล่อมก่อน” ผมกลอกตา เมื่อมันบ่นไม่หยุด แต่ก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี เพราะกลัวมันจะร้องเพลงกล่อมจริงๆ ถ้าให้มันร้องเพลงให้ฟังล่ะก็...ฟังเสียงควายออกลูกหรือเสียงหมาหอนยังจะเพราะกว่าอีก

ตอนแรกก็เหมือนว่าจะไม่ง่วง แต่พอหลับตาลงสักพัก ได้แอร์เย็นๆ กำลังดี ก็ทำให้ผมค่อยๆ เข้าสู่นิทรารมย์

*********************************************************

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้สึกตัวเต็มที่แล้วผมก็ลุกขึ้นมานั่งนึกถึงความฝันก่อนที่จะตื่นขึ้นมา

ผมฝันว่าทองกวาวมาหา ถึงจะฟังภาษาควายไม่ออก แต่จิตใต้สำนึกกลับรู้ว่าทองกวาวมาเพื่อลา อาจจะเป็นเพราะเราเคยอยู่ในร่างเดียวกันมาก่อนก็ได้

ถึงจะรู้สึกใจหาย แต่ผมก็อยากให้ทองกวาวไปสู่ภพภูมิที่ดีมากกว่า เลยบอกทองกวาวว่าไม่ต้องเป็นห่วงคล้าว เพราะผมจะดูแลให้เอง ต่อให้คล้าวจะไม่รักผม ผมก็สัญญาว่าจะดูแลคล้าวให้เป็นอย่างดีไปชั่วชีวิต ถ้าตาไม่ฝาด ผมว่าผมเห็นทองกวาวยิ้มให้ผม ก่อนที่ร่างของทองกวาวจะหายไปแล้วผมก็ตื่นขึ้นมา

ไม่รู้ว่ามันเป็นความฝันหรือว่าทองกวาวมาหาผมจริงๆ แต่ผมก็หลับตาลงแล้วภาวนาขอให้บุญกุศลที่ผมเคยทำมาช่วยส่งให้ทองกวาวได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้นด้วยเถิด

เมื่อลืมตาขึ้นแล้ว ผมก็มองไปรอบห้อง เห็นแค่ไม้ที่นอนหลับอยู่บนโซฟา แต่ไม่เห็นธงรบ ไม่รู้ว่ามันไปไหน ผมลุกขึ้นเดินไปดูคล้าวก็เห็นว่าคล้าวยังคงหลับอยู่

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะทองกวาว ต่อไปนี้พี่จะดูแลคล้าวให้เอง” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม้เอามาวางไว้ให้ก่อนหน้านี้  เพื่อนั่งมองหน้าคล้าวต่อ

ระหว่างทางที่กลับบ้านไปอาบน้ำ ธงรบกับไม้ก็เล่าสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ต้องหลบหน้าผมไปให้ฟังหมดแล้ว ฟังแล้วก็ได้แต่โมโหน้องกินหญ้านั่น

ถ้ารู้แต่แรกว่าคล้าวถูกบังคับละก็ ผมคงจัดการน้องกินหญ้าไปเรียบร้อยแล้ว คงไม่ปล่อยให้คล้าวต้องถูกบังคับแบบนั้นหรอก

แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมไม่รีบร้อนตามเรื่องก็เพราะผมกลัว... กลัวว่าที่คล้าวถอยห่างไปแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะคล้าวเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้คิดอะไรกับผมไปมากกว่าพี่หรือผู้ให้ทุนกลัวว่าคล้าวอาจจะรู้สึกคิดผิดที่ก่อนหน้านี้เปิดโอกาสให้ผมได้ใกล้ชิด

สมองคิดแต่เรื่องในแง่ลบจนกลัวไปหมดจึงได้แต่ประวิงเวลาให้ตัวเองได้เก็บความทรงจำดีๆ ไว้ให้นานอีกสักนิด เมื่อทำใจได้เมื่อไหร่แล้วค่อยเผชิญหน้ากับความจริงเอง

เมื่อรู้ว่าคล้าวไม่ได้คิดจะหลบหน้าจริงๆ และพยายามที่จะกลับมาหาผมทุกวิถีทาง ก็รู้สึกว่าหัวใจมันทั้งโล่งและอิ่มเอมเป็นที่สุด ยิ่งคล้าวพยายามปกป้องผมก็ยิ่งเต็มตื้น เหมือนหัวใจได้รับการเยียวยาขึ้นมาทันที

ผมเอื้อมมือไปจับมือคล้าวมาแนบใบหน้าแล้วหลับตาลง ซึมซับความอบอุ่นให้มั่นใจว่าตอนนี้คล้าวอยู่ตรงนี้แล้ว ก่อนที่ผมจะรีบลืมตาขึ้นมา เมื่อรู้สึกว่ามือที่แนบใบหน้าอยู่นั้นมีการเคลื่อนไหว พอหันไปมองหน้าคล้าวก็เห็นว่าคล้าวลืมตาและมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนโยน

“พี่แสน” คล้าวเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบๆ ผมจึงลุกขึ้นปรับเตียงให้หัวสูงขึ้นก่อนจะรินน้ำให้คล้าวจิบ เพราะหมอบอกไว้ว่าถ้าคล้าวฟื้นแล้วก็ให้จิบน้ำได้

“พี่แสน...ปลอดภัยใช่ไหมครับ” หลังจากจิบน้ำแล้ว คล้าวก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ยังแหบน้อยๆพร้อมกับกวาดสายตามองผมด้วยแววตาห่วงใย

“พี่ปลอดภัยดีครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วยปกป้องพี่ไว้” ผมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“ผมเต็มใจครับ... ขอแค่พี่ปลอดภัย ต่อให้แลกด้วยชีวิตผมก็ยอม”คล้าวพูดช้าๆ พูดจบก็นิ่วหน้า เหมือนจะรู้สึกปวดแผลขึ้นมา

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ พักผ่อนก่อนดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว” คล้าวจับมือของผมที่กำลังจะกดปุ่มปรับเตียงไว้ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นจริงจัง ทำให้ผมต้องโน้มตัวลงไปฟังใกล้ๆ

“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้พี่แสนเสียใจ”

“ไม้เล่าให้พี่ฟังแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่ความผิดของคล้าวเลย ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”

“แต่ผม...ทำอะไรไม่ได้เลย จะหนี ก็ยังหนีไม่ได้ แค่กๆ”ผมรีบหยิบน้ำให้คล้าวจิบอีกครั้ง เมื่อคล้าวไอขึ้นมา

“พักก่อนดีไหมครับ”ผมมองจุดที่โดนยิงอย่างกังวล

“ไม่เป็นไรครับ”

ทำไมดื้อแบบนี้เนี่ย ตีได้ไหม!

พอเห็นผมตีหน้าดุๆ ใส่ คล้าวก็ยิ้มแล้วเอามือของผมไปแนบหน้าตัวเองทำแบบนี้ใครจะไปดุลงเล่า! ผมเม้มปากแน่นด้วยความเขิน รู้สึกเหมือนถูกอ้อนยังไงไม่รู้

“ตอนที่ผมถูกยิง ผมกลัว ว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับมาหาพี่แสน” คล้าวพูดช้าๆ ทีละคำ ก่อนจะพักหายใจให้หายเหนื่อย แล้วพูดต่อ

“กลัวว่าจะไม่มีโอกาส บอกพี่แสนว่า ‘รัก’” ผมชะงักกึก เมื่อได้ยินคำที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในตอนนี้

“คล้าวว่าไงนะครับ” ผมอึ้งไปสักพัก ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้หูฝาดไปเอง

“ผมรักพี่แสน... คล้าว รักพี่แสนครับ” หน้าซีดๆ นั้นเริ่มจะขึ้นสี โดยเฉพาะที่ใบหูนั้นแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันทำให้ผมรู้สึกเขินตามไปด้วย รู้สึกเลยว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่หน้าจนหน้าแดงไม่แพ้กัน เผลอๆ จะชัดมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะผิวของผมขาวจัด

แต่ถึงจะเขินยังไง ผมก็รู้สึกดีใจมากกว่า เลยได้แต่ยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า

“แน่ใจนะครับ ถ้าคล้าวยืนยันว่ารักพี่ พี่จะไม่ให้โอกาสคล้าวเปลี่ยนใจแล้วนะ”ผมถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

“ครับ ผมมั่นใจยิ่งรู้ว่าพี่แสนเคยอยู่ในร่างของทองกวาว แล้วปกป้องผมไว้ด้วยชีวิต ผมก็ยิ่งมั่นใจ”พูดจบคล้าวก็จ้องตาผมนิ่งๆ

“คล้าว... รู้”หัวใจผมเต้นกระหน่ำด้วยความคาดหวัง เมื่อคล้าวพูดเหมือนรู้ว่าผมเคยอยู่ในร่างของทองกวาวมาก่อน

“ครับ ตอนที่หลับไป ผมเห็นทุกอย่างแล้ว ขอบคุณนะครับ ที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด” คล้าวยกมือผมไปจูบเบาๆที่กลางฝ่ามือ ก่อนจะพูดต่อ

“ขอบคุณนะครับ ที่ตามหาผม” พูดจบก็จูบลงไปอีกครั้ง

“ขอบคุณนะครับ ที่รักกัน” คล้าวสบตาผมด้วยแววตาอ่อนโยน อยู่ๆน้ำตาของผมก็เอ่อคลอขึ้นมา ก่อนที่มันจะไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความดีใจดีใจที่คล้าวรู้ในเรื่องที่ผมคิดว่าคงไม่มีโอกาสจะบอกไปชั่วชีวิตแล้ว

เมื่อเห็นผมร้องไห้ คล้าวก็ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะไล้ลงมาที่ริมฝีปาก คล้าวหลุบตามองริมฝีปากของผมนิ่งๆ ผมจึงกดจูบนิ้วคล้าวเบาๆ

ผมสบตากับคล้าวนิ่งๆ ก่อนจะหลุบตาลงมองริมฝีปากของคล้าวเหมือนกัน ผมจับมือที่แตะริมฝีปากผมไว้ แล้วโน้มลงไปใกล้ๆ เมื่อใบหน้าของเราอยู่ในระยะประชิด คล้าวก็หลับตาลง ผมจึงแตะริมฝีปากลงไปแล้วกดไว้นิ่งๆ ชั่วครู่ก่อนจะขยับริมฝีปากขบเม้มอย่างห้ามไม่อยู่คล้าวตอบสนองกลับมาอย่างอ่อนโยนไม่แพ้กัน จนรู้สึกว่าเริ่มจะหายใจไม่ทันทั้งคู่ ถึงได้ตัดใจผละออกจากความอ่อนหวานตรงหน้าได้

“อะแฮ่ม!” ผมหันไปมองที่มาของเสียงกระแอม ก็เห็นธงรบกำลังยืนมองมาที่เราสองคนด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ ในมือถือข้าวของพะรุงพะรัง ส่วนไม้ก็นั่งกระพริบตามองเราปริบๆ บนโซฟา

ผมถอยออกมาจากคล้าวด้วยความขัดเขินในขณะที่คล้าวก็ยิ้มเขินๆ เหมือนกัน

“มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”ผมถามธงรบแก้เขิน

“ก็มาทันเห็นมึงกัดปากกันนั่นแหละ” แต่ผมคิดผิด เพราะคำตอบของมันยิ่งทำให้เขินหนักกว่าเดิม ผมจึงถลึงตาให้ไอ้คนที่ยิ้มกรุ้มกริ่มล้อเลียนมา

“สัส!”

“แหม เขินแล้วหยาบคายนะจ๊ะน้องแสน”ผมหันรีหันขวางพอเห็นแก้วน้ำก็หยิบขึ้นมาแล้วทำท่าจะปาใส่มัน

“เฮ้ยๆ อย่าปามานะ ไม่แซวแล้วก็ได้หึๆ” พูดจบมันก็เดินมาหยิบแก้ววางลงที่เดิมแล้วยืนข้างผม ส่วนไม้ก็เดินมาเกาะเตียงลูกพี่มันอีกฝั่งน้องมันเหลือบมองผมด้วยสีหน้าเขินๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเห็นฉากสวีทของผมกับคล้าวด้วยแน่ๆพอผมสบตากลับ ไม้มันก็หลบตาแล้วหันไปถามลูกพี่มัน

“เป็นไงบ้างพี่”

“กัดปากกันได้ขนาดนี้ไม่น่าจะเป็นไรแล้วมั้ง” ผมหันขวับไปมองไอ้เพื่อนเวรที่ยังกวนตีนไม่เลิก ด้วยความหมั่นไส้ เลยทุบหลังมันไปที

ปึก!

“โอ๊ย! มันเจ็บนะแสน กูจะฟ้องแม่ว่ามึงทำร้ายกู ไม้ครับ พี่เจ็บ” ผมเบ้ปากให้เมื่อมันหันไปอ้อนไม้

“ตอแหล หนังหนาๆ อย่างมันไม่เจ็บง่ายๆ หรอกครับไม้ อย่าไปเชื่อ”ไม้หันมามองผม ก่อนจะหันไปมองธงรบ พอสบตากันก็รีบหันไปถามลูกพี่มันต่อเหมือนไม่สนใจ แต่สังเกตดีๆ จะเห็นหูน้องมันแดงๆ และธงรบก็คงสังเกตเห็นเหมือนกันเพราะมันมองหน้าไม้แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมก็เบ้ปากอย่างหมั่นไส้อีกรอบ

“เจ็บมากไหมพี่”

“พอทน”คล้าวตอบสั้นๆ

“หมอบอกว่ายาชากับยาแก้ปวดน่าจะยังไม่หมดฤทธิ์ แต่ถ้าปวดมากก็บอกนะครับ หมอจะให้ยาแก้ปวดเพิ่ม”ผมบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ”คล้าวรับคำด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผมยิ้มหวานตามไปด้วย

“โอ๊ย! รู้สึกว่าแถวนี้มันเหม็นๆ ไหมครับไม้” ผมเหลือบไปมองว่าธงรบจะเล่นอะไร

“เหม็นอะไรพี่” ไม้มันก็ถามตอบซื่อๆด้วยสีหน้างงๆ แถมยังทำจมูกฟุดฟิดเหมือนจะสูดหากลิ่น

“เหม็นความรัก!”ธงรบมันมองไม้อย่างเอ็นดู ก่อนจะเฉลยแล้วหันมาทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ผมกับคล้าว

“หึๆ ช่วยไม่ได้ คนมันใจตรงกัน ไม่เหมือนคนแถวๆ นี้หรอกท่าทางจะแดกแห้ว” ผมหยักไหล่ให้ด้วยท่าทางที่เหนือกว่าทำเอาธงรบมันเขี้ยว เลยล็อคคอผมแล้วยีหัวเล่น

“นี่แน่ะๆ อวดนักเหรอ กูหมั่นไส้”

“พอๆ แล้ว ฮ่าๆๆๆ หัวกูยุ่งหมดแล้วสัส!”พอมันปล่อยแล้วผมก็ลูบๆ หัวตัวเองแล้วก็หันไปถลึงตาใส่มัน

“เออ ยังไม่ไปดูพี่สรัญเลยว่าเป็นยังไงบ้าง” ผมเพิ่งนึกถึงพี่สรัญขึ้นมา มัวแต่มาดูคล้าว ลืมพี่สรัญไปเลย

“ก่อนเข้ามากูไปดูมาแล้ว ตอนนี้หมอให้ย้ายจาก ICU มาอยู่ห้องข้างๆ แล้ว มีตำรวจนอกเครื่องแบบคอยดูแลความปลอดภัยให้ในห้อง ส่วนห้องเรา ตำรวจก็เฝ้าข้างนอกแทน

“อือ กูว่าจะไปดูพี่สรัญซะหน่อย”

“ตอนนี้ยังไม่ต้องไปหรอก เพราะยังหลับอยู่ ตำรวจที่เฝ้าบอกว่าหมอบอกอีกนานกว่าจะตื่น”

“ก็ได้ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเดี๋ยวค่อยไปเยี่ยมก็ได้”

“มึงไม่โกรธเหรอที่เขาจับมึงไปน่ะ”ธงรบมันถามด้วยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่าผมเป็นห่วงพี่สรัญ

“ตอนแรกก็โกรธ แต่พอรู้เหตุผลก็สงสารมากกว่า แล้วพี่สรัญก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายกูด้วย แถมยังเอาตัวมาบังกระสุนให้กูอีก กูโกรธไม่ลงหรอกว่ะ”

“เออ ไอ้คนใจดี”

“ถ้าคนที่ตั้งใจทำร้ายกูจริงๆ กูไม่มีวันใจดีด้วยหรอก มึงก็รู้”

“หึๆแล้วแต่มึงเลย แต่ถ้าจะให้จัดการยังไงก็ขอให้บอก ทั้งสรัญ ทั้งเอญ่าเลย”

ได้ยินชื่อผู้หญิงคนนั้นก็ได้แต่ขมวดคิ้วฉับ อดจะโกรธไม่ได้ที่เป็นต้นเหตุทำให้คล้าวต้องลำบากและทำให้ผมเสียใจมาตั้งนาน รอให้เรื่องยุ่งๆ ผ่านไปก่อน ค่อยๆ คิดไปว่าจะเอาคืนยังไง

ผมหันไปมองคล้าวก็เห็นว่าคล้าวหลับแล้วหลับทั้งๆ ที่พวกผมคุยกันเสียงดัง สงสัยจะเพลีย เพราะตั้งแต่ฟื้นมาก็พูดไม่หยุดเลยผมดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้คล้าว ก่อนจะปรับเตียงให้เอนลงเพื่อให้คล้าวได้นอนในท่าที่สบายๆ ขึ้น แล้วเราทั้งสามก็เดินไปนั่งที่โซฟา เพื่อไม่ให้เสียงรบกวนคนเจ็บมากนัก

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่คนข้างนอกจะเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาเมื่อเห็นคนที่เข้ามาหาผมก็ยิ้มกว้าง

“เฮีย”

“เป็นยังไงบ้างแสน”

“ชู่ว คล้าวหลับอยู่ครับ” ผมส่งสัญญาณให้เฮียแผนเบาเสียงลง ซึ่งเฮียก็พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินมานั่งลงข้างๆ ผม

“คุยกับตำรวจเรียบร้อยแล้วเหรอเฮีย” ธงรบถามเฮียเบาๆ

“อืม เรียบร้อยแล้ว แสนได้นอนบ้างรึยัง”

“นอนแล้วครับ แสนเพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เอง”

“ดีมาก ถ้าจะดูแลคนอื่นก็ต้องดูแลตัวเองดีๆด้วย เฮียเป็นห่วง”

“ครับเฮีย แสนไม่ดื้อหรอก”

“เหรอออออ” ธงรบมันลากเสียงยาวและดังจนผมต้องหันไปอุดปากมันก่อนจะหันมายิ้มประจบเฮีย

“หึๆ” เฮียหัวเราะเหมือนรู้ทันแล้วโยกหัวผมด้วยความเอ็นดู

“เฮียติดต่อป๊าได้แล้วนะ ป๊าบอกจะรีบพาแม่กลับมาเลย”

“ไม่ต้องให้ป๊ากับแม่กลับมาก็ได้ครับเฮีย ตอนนี้แสนก็ปลอดภัยแล้ว บอกให้เที่ยวต่อไปเลย นานๆ กว่าป๊ากับแม่จะได้ไปเที่ยวไกลๆ สักที เพิ่งจะไปถึงเองไม่ใช่เหรอครับ”

“เฮียก็บอกป๊าไปแล้วว่าให้เที่ยวต่อเลยแต่แม่มาได้ยินเฮียคุยกับป๊าพอดี แม่ก็เร่งให้ป๊ารีบกลับด่วนเลยขนาดเฮียยืนยันไปแล้วว่าแสนปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วง แม่ก็บอกว่าอยากมาเห็นกับตาตัวเองถึงจะวางใจได้”

“เดี๋ยวแสนโทรไปคุยกับแม่เองดีกว่าครับ เผื่อแม่จะได้สบายใจขึ้น”

“ไม่ทันแล้วมั้งป่านนี้ป๊าน่าจะรีบจองตั๋วกลับมาแล้วละ เพราะเฮียคุยกับป๊าและแม่ก่อนจะมาที่นี่หลายชั่วโมงแล้ว”

พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็รีบใช้โทรศัพท์เฮียโทรหาก็ติดต่อไม่ได้ แสดงว่าน่าจะอยู่บนเครื่องหรือไม่ก็น่าจะยุ่งๆ กับการหาเที่ยวบินกลับมาแน่ๆผมได้แต่มองหน้าจอตาปริบๆ จนเฮียต้องเอ่ยปลอบ

“ปล่อยให้กลับมาเถอะแสนถ้าไม่เห็นกับตาก็คงกังวลกันไม่เลิกอย่างที่แม่ว่านั่นแหละแล้วถ้ายังกังวลก็คงเที่ยวกันไม่สนุกหรอก เฮียเข้าใจนะ ถ้าเป็นเฮียก็คงรีบกลับมาเหมือนกัน” ฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างจำยอม

“ครับเฮีย”เพื่อความสบายใจของทุกคนผมก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากตามใจ

“หิวข้าวแล้วผมว่าเรากินข้าวกันก่อนเถอะ”พอมีช่องว่างธงรบก็ชวนกินข้าวทันที

สำหรับธงรบนี่เรื่องกินเรื่องใหญ่จริงๆ เจอหน้าทีไรก็ชวนกินข้าวตลอด หรือต่อให้ไม่เจอก็โทรมาถามตลอดว่ากินข้าวครบทุกมื้อรึเปล่า ทำตัวอย่างกับพ่อ อ้อ ลืมไป ก็มันเป็นพ่อ No.3 ของผมนี่นา

เราหิ้วอาหารไปกินกันข้างนอกเพราะกลัวกลิ่นอาหารจะรบกวนคนป่วย แล้วฝากให้คุณตำรวจเฝ้าคล้าวแทน หลังจากกินข้าวแล้วผมกับไม้ก็ขอนอนเฝ้าคล้าวที่นี่ ซึ่งเฮียก็ตามใจเพราะทนผมอ้อนไม่ไหว ส่วนธงรบก็กลับไปหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเป็นเพื่อน

ธงรบกับไม้ให้ผมนอนที่เตียงญาติคนเดียว แล้วธงรบก็ถือโอกาสปูผ้านอนกับไม้สองคนเพราะโซฟามันแคบเกินกว่าจะนอนได้ ผมนี่ได้แต่เบ้ปากอย่างหมั่นไส้ เพราะธงรบเนียนมากจนไม้ได้แต่มองตาปริบๆ

ที่จริงก็สงสารไม้อยู่หรอกนะ น้องมันคงเกรงใจเลยไม่กล้าขัด แต่ผมสงสารเพื่อนตัวเองมากกว่า กลัวเพื่อนจะกินแห้วเลยได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากไม้ รีบทิ้งตัวลงนอนแล้วแกล้งหลับทันที เพื่อเปิดโอกาสให้ธงรบมันหาทางตกลงกับไม้เอาเอง แต่แกล้งหลับได้ไม่นานผมก็ดันเผลอหลับไปจริงๆ

หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 29-01-2019 11:51:13
ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงพูดคุยเบาๆ ในห้อง เมื่อลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงหมอกำลังตรวจร่างกายคล้าวอยู่ในม่านพอดี มองไปรอบตัวก็เห็นธงรบนั่งอยู่บนโซฟา ส่วนไม้น่าจะอยู่กับคล้าวเพราะได้ยินเสียงจากด้านใน

“ไปอาบน้ำก่อนไป” พอธงรบเห็นว่าผมตื่นแล้วมันก็หันมาบอกผม ผมจึงลุกขึ้นแล้วเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นคล้าวมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ดูสดใสขึ้นส่วนหมอก็ออกไปแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่แสน”

“อรุณสวัสดิ์ครับคล้าว เป็นยังไงบ้างครับ เจ็บแผลมากไหม” หลังจากวางเสื้อผ้าที่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วก็เดินไปหาคล้าวแล้วถามอาการทันที

“ปวดพอทนครับ”

“ถ้าทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทนนะครับ” ผมรีบบอก เพราะเห็นตั้งแต่ตอนเป็นทองกวาวแล้วว่าคล้าวมักจะอดทนเวลาที่เจ็บป่วย เนื่องจากไม่ชอบไปหาหมอ

“ครับ” คล้าวรับคำด้วยรอยยิ้ม สายตาอ่อนโยนที่มองมาทำเอาผมเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมา แต่ก็มีความสุขจนอดจะยิ้มตอบไม่ได้

“อะแฮ่ม! ลืมรึเปล่าว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน จ้องตากันขนาดนี้นี่ถ้าเป็นปลากัดก็คงท้องไปแล้วมั้ง” ธงรบเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอือมๆ เมื่อเห็นเราจ้องตากันอยู่อย่างนั้น

“ช่วยไม่ได้นะ คนมันใจตรงกันน่ะ ไม่ได้กากเหมือนคนแถวนี้ซะหน่อย” ผมยักคิ้วให้มันอย่างจงใจกวนประสาท จนมันเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ ด้วยสีหน้าหมั่นไส้

“อะไรของมึง กากก็ยอมรับว่ากากสิหึๆ” อดจะหัวเราะขำๆ ไม่ได้ เมื่อมันหันไปส่งสายตาขอความเห็นใจจากไม้ แต่ไม้ดันทำเป็นมองไม่เห็นแล้วหันไปมองหน้าคล้าวแทน

ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารก่อนดี

ก๊อกๆ ผมหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู พอเห็นเฮียเดินเข้ามาก็ส่งยิ้มไปให้

“เฮีย”

“เมื่อคืนนอนหลับดีไหมหืม” เฮียแผนเดินมาโอบแล้วถามด้วยน้ำเสียงอย่างอ่อนโยน

“แสนหลับไม่รู้เรื่องเลยครับเฮีย เพิ่งจะตื่นเมื่อกี้เอง แหะๆ” พอฟังคำตอบผมจบ เฮียก็พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปถามคล้าวต่อ

“แล้วเราล่ะเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นรึยัง”

“ดีขึ้นแล้วครับ ดีกว่าเมื่อวานมาก”

“อืม”

“เฮียกำลังจะไปทำงานเหรอครับ”

“อืม เฮียแวะมาดูแสนก่อน อ้อ คนที่ร้านโทรมาหาเฮีย บอกว่าอยากมาเยี่ยมแสน แต่เฮียกลัวนักข่าวจะมาวุ่นวาย เลยบอกว่าไม่ต้องมาหรอก เพราะแสนปลอดภัยแล้ว แสนโอเคไหม”

“โอเคครับ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”ผมอยากจะอยู่อย่างสงบๆ ต่อไป ไม่อยากให้เป็นข่าวเหมือนกัน

“แม่เพิ่งจะโทรมาบอกว่าถึงสนามบินแล้ว แม่จะมาหาแสนที่นี่เลยนะ”

“จะดีเหรอครับ ให้กลับบ้านดีกว่าไหม เดี๋ยวแสนไปหาเองก็ได้ แม่กับป๊าจะได้พักผ่อนต่อด้วย”

“เฮียก็บอกไปแบบนั้นเหมือนกัน แต่แม่ยืนยันว่าจะมาหาแสนที่นี่เอง”เฮียมองหน้าคล้าวเหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่าสาเหตุที่แม่มาหาที่นี่เพราะอะไร นอกจากจะมาหาผมแล้ว แม่ก็น่าจะอยากมาดูคล้าวด้วยแน่ๆ

“โอเคครับ เฮียไปทำงานก่อนก็ได้นะ...” ผมชะงักแล้วขมวดคิ้วฉับด้วยความแปลกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นป๊ากับแม่ทางหน้าจอทีวีที่ปิดเสียงทิ้งไว้ ผมมองหารีโมทแล้วเร่งเสียง เพื่อฟังว่านักข่าวกำลังสัมภาษณ์ป๊าเรื่องอะไร

“เจ้าสัวรู้สึกยังไงกับข่าวที่ออกมาคะ”

หือ? ข่าวอะไรกัน

“ข่าวอะไรครับ” ป๊าถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัยและรอยยิ้มสุภาพตามมารยาทส่วนแม่ถูกกันให้รออยู่ไม่ไกลโดยมีคนขับรถกันไว้ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นบริเวณหน้าโรงพยาบาล

“ข่าวของลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวกับนายแบบคนหนึ่งน่ะค่ะ เห็นบอกว่าทั้งสองคนมีซัมติงกัน” พอได้ยินคำถามผมก็หันไปมองธงรบกับเฮียทันที เพราะสงสัยว่าข่าวนี้มันออกมาเมื่อไหร่ แล้วออกมาได้ยังไง

“ได้ข่าวว่าลูกชายคนเล็กของเจ้าสัว คุณแสนเสน่ห์เป็นเกย์ใช่ไหมคะ” นักข่าวอีกคนถามแทรกขึ้นมา แล้วคนต่อๆ มาก็ถามแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีมารยาท

“เจ้าสัวรู้สึกยังไงที่ลูกชายเป็นเกย์คะ”

“เจ้าสัวทราบมาก่อนไหมคะ ว่าลูกชายเป็นเกย์”

“แล้วเป็นทั้งคู่รึเปล่าคะ นอกจากคุณแสนเสน่ห์แล้ว คุณขุนแผนก็เป็นด้วยรึเปล่าคะ”

“เรื่องนี้มีผลกระทบกับธุรกิจรึเปล่าคะ เจ้าสัวตอบหน่อยค่ะ”

พอถูกถามเข้าเยอะๆ แต่ไม่เว้นช่องให้ตอบเลย ป๊าก็ยกมือเป็นปางห้ามญาติทันที

“เอาเป็นว่าผมจะตอบรวมๆ แล้วกันครับ ถามมารัวๆ แบบนี้ผมตอบไม่ทัน แต่ถ้าถามแทรกขึ้นมาอีกผมขอไม่ให้สัมภาษณ์ต่อนะครับ” ได้ยินอย่างนั้นนักข่าวก็พากันเงียบเสียงลงพอเห็นนักข่าวเงียบลงแล้ว ป๊าก็พูดต่อ

“รู้สึกยังไงถ้าลูกชอบผู้ชายน่ะเหรอ ผมรู้สึกเฉยๆ นะครับ เพราะแสนเป็นลูกชายที่ผมรักและภูมิใจในตัวเค้าเสมอ ต่อให้ลูกจะเป็นอะไรก็ตาม ผมก็ยังรักและไม่มีวันจะรักน้อยลง ต่อให้แสนเป็นตุ๊ดเป็นเกย์แล้วยังไงล่ะ ถ้าเป็นแล้วลูกมีความสุข ผมก็จะปล่อยให้ลูกเป็น”

“แล้วในฐานะของพ่อเจ้าสัวไม่คิดจะห้ามเหรอคะ” เมื่อป๊าพูดจบแล้วก็มีคนถามขึ้นมาอีก

“เรื่องความรู้สึกมันห้ามกันได้ด้วยเหรอครับ” ป๊าถามกลับยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อ

“ผมพูดในฐานะของคนที่เป็นพ่อและคนที่ผ่านโลกมาจนถึงตอนนี้แล้วกันนะครับผมว่าเราควรจะรับฟัง เข้าใจ และอยู่เคียงข้างลูกของเรามากกว่า เพราะบางทีเราอาจจะหลงลืมไปว่าสมัยเรายังเด็กนั้น เราก็เคยต้องการคนเข้าใจเหมือนๆ กับลูกหลานเราในตอนนี้นั่นแหละ

ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น ผมเคยเสียเพื่อนรักไปเพราะความที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ ทำให้เขาไม่มีที่พึ่ง จนตัดช่องน้อยแต่พอตัว สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราเรื่องบางเรื่องอาจจะดูเหมือนเรื่องเล็กๆแต่สำหรับลูกๆ หลานๆ ของเราที่ยังอ่อนประสบการณ์แล้ว มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนเป็นโลกทั้งใบสำหรับเขาก็ได้ พอไม่มีใครเข้าใจก็อาจทำให้รู้สึกว่าโลกทั้งใบสลายไปจนทำเขาก็อาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้

เราอาจจะเปลี่ยนโลกหรือเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิดของเราได้ ทำไมเราไม่ทำซะล่ะ อายุป่านนี้แล้วไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง ผมไม่อยากจะเคาะโลงศพ จุดธูปบอกรักลูกหรอกนะ สู้บอกรักและแสดงออกถึงความรักให้พวกเค้ารับรู้ตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าเพระฉะนั้นถ้าลูกทำอะไรแล้วมีความสุข ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ผมก็ยอมรับได้นะครับ

แล้วเรื่องนี้ก็คงไม่กระทบกับธุรกิจแน่นอนครับ เพราะมันเป็นแค่เรื่อง ‘ส่วนตัว’ ของลูกชายผม เคลียร์แล้วนะครับ แล้วก็ขอร้องว่าอย่าไปรบกวนลูกชายผมเลยนะเพราะลูกผมไม่ใช่ดาราหรือคนดังอะไรผมอยากให้ลูกใช้ชีวิตตัวเองต่อไปตามปกติ ผมต้องรีบไปธุระต่อแล้ว ขอตัวครับ” พูดจบป๊าก็เดินเลี่ยงออกมาจูงมือแม่เดินไปอีกทาง ทันทีโดยมีคนขับรถกันนักข่าวให้

   ฟังจบผมก็ยิ้มทั้งน้ำตา เรื่องที่ผมชอบผู้ชาย ผมไม่เคยบอกป๊ากับแม่ไปตรงๆ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ก็คิดว่าทั้งสองคนคงจะรับรู้อยู่บ้าง เพราะหลังๆ มานี้แม่ไม่เคยพาผมไปแนะนำให้รู้จักกับลูกสาวหลานสาวเพื่อนๆ เหมือนกับเฮียแผน

   “ชู่ว อย่าร้องสิ” เฮียแผนเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมเลยขยับเข้าไปกอดอ้อนเฮีย เฮียแผนก็กอดตอบแล้วลูบหัวอย่างเบามือ

   ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของป๊ากับแม่ และเป็นน้องของเฮีย เพราะผมได้รับความรักความเข้าใจจากทั้งสามมาโดยตลอดมันทำให้ผมอุ่นใจและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้มาจนถึงตอนนี้

   ก๊อกๆๆ

   “แสน เป็นยังไงบ้างลูก” ผมผละจากอ้อมกอดเฮียแผนแล้วหันไปมองหน้าประตู

   “แม่” ผมเดินเข้าไปกอดแม่แน่น หลับตาซึมซับความอบอุ่นจากอ้อมกอดแม่ แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอีก

   “ขวัญเอ๊ย ขวัญมานะลูก” แม่ลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน ส่วนป๊าก็เดินมาลูบหัวอย่างเบามือ

   “ร้องไห้ทำไมหืม เจ็บตรงไหนรึเปล่าลูก” ป๊าถามด้วยสีหน้ากังวลจนผมต้องรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วอธิบาย

   “แสนแค่ดีใจที่มีโอกาสได้กลับมาเจอป๊ากับแม่อีกครับ อีกอย่างเมื่อกี้แสนเพิ่งดูป๊าสัมภาษณ์มา ป๊ากับแม่โอเคกับเรื่องนี้จริงๆใช่ไหมครับ”

   “ป๊าโอเคจริงๆ อย่างที่ป๊าบอกไปนั่นแหละ แค่แสนมีความสุข ป๊าก็พอใจแล้ว” ได้ยินแล้วอยากร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งอีกรอบ

   “ขอบคุณนะครับป๊า รักป๊านะครับ” ผมกราบลงที่อกป๊าก่อนจะกอดแน่นๆแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

   “แล้วแม่ล่ะครับ”ผมหันไปถามแม่ แล้วรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

   “แม่ก็โอเคลูก ไม่งั้นแม่คงไม่แนะนำให้แสนรู้จักกับสรัญและเปิดโอกาสให้ไปไหนมาไหนด้วยกันหรอก” ผมได้แต่อ้าปากค้างเมื่อได้ฟังคำตอบของแม่ มิน่าล่ะถึงได้ตงิดๆ นัก นึกว่าคิดไปเองซะอีก ที่แท้แม่ก็ตั้งใจจะเป็นแม่สื่อให้ผมกับพี่สรัญนี่เอง

   “ที่จริงป๊ากับแม่ก็รู้เรื่องนี้มาสักพักแล้ว เพราะเฮียเรามาเลียบเคียงถามและออกโรงปกป้องตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าป๊ากับแม่รับไม่ได้ก็จะพาแสนไปอยู่ข้างนอกแล้วจะดูแลแสนเอง ทำอย่างกับป๊าเป็นพ่อใจยักษ์อย่างงั้นแหละ” ป๊าหันไปปรายตามองเฮียด้วยสีหน้าหมั่นไส้จนผมหลุดขำ

“ขอบคุณนะครับแม่ ผมรักแม่นะครับ” ผมยิ้มแล้วเดินไปกราบที่อกแม่และกอดแม่เหมือนกัน

   “แม่ก็รักแสนลูก ไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้เลยนะ แสนรักใครแม่ก็จะรักเหมือนกัน ขอให้เขารักแสนเหมือนที่แม่กับป๊ารักก็พอ”

   “แล้วเฮียล่ะ ไม่รักเฮียบ้างเหรอ” เฮียท้วงด้วยน้ำเสียงเหมือนจะงอนจนทุกคนหลุดขำ ผมผละจากอกแม่ไปกราบอกเฮียแล้วกอดเฮียแน่นๆ ก่อนจะบอกด้วยรอยยิ้ม

   “ขอบคุณนะครับเฮีย รักเฮียนะครับ” เฮียแผนกอดตอบแล้วลูบหลังอย่างอ่อนโยน

   “รักแสนเหมือนกัน”ผมยิ้มกว้างเมื่อป๊ายืนโอบเอวแม่มองมาด้วยรอยยิ้ม แววตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักและความภูมิใจ

   “คล้าวใช่ไหมจ๊ะ” แม่หันไปถามคนบนเตียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “ครับ สวัสดีครับ” คล้าวกับไม้ยกมือไหว้แม่กับป๊าอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่คล้าวก็นั่งเกร็ง เพราะหลังจากรับไหว้แล้วทั้งป๊าและแม่ก็พิจารณาคล้าวเงียบๆ

   “แผนเล่าให้ฟังว่าหนูช่วยชีวิตแสนไว้ ขอบคุณมากนะจ๊ะ” ผมหันไปมองหน้าเฮียด้วยความสงสัยว่าเล่าอะไรให้แม่ฟังไปบ้าง

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” คล้าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้แม่ยิ้ม ส่วนป๊าก็มีแววตาพอใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

   “แสนจะอยู่เฝ้าน้องต่อใช่ไหม ถ้างั้นแม่กับป๊ากลับบ้านก่อนนะจ๊ะ”

   “ครับแม่ แม่กับป๊าไปพักผ่อนเถอะครับ เดินทางมาเหนื่อยๆ”

   “แสนก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ฝากคล้าวดูแลพี่เค้าด้วยนะลูก” คำเรียกขานแทนตัวคล้าวและคำฝากฝังที่เหมือนจะตีความหมายได้กว้างนั้นทำให้ผมกระพริบตามองปริบๆ

   “ครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลพี่แสนให้ดีที่สุดครับ” ซึ่งคล้าวก็น่าจะฟังความนัยออก ถึงได้ตอบรับไปแบบนั้น

   “รู้ใช่ไหมว่าถ้าทำให้แสนเสียใจจะเกิดอะไรขึ้น” ป๊าถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่

   “จะไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอนครับ” คล้าวรับคำอย่างหนักแน่น

   “ดี จำคำของตัวเองเอาไว้ให้ดี” คล้าวสบตากับป๊าด้วยแววตาแน่วแน่จริงจัง จนป๊าถอนหายใจด้วยสีหน้าจำยอม

   “ถ้าไม่เห็นแก่แสน นี่ไม่ยอมหรอกนะ” ป๊าพึมพำคนเดียวอย่างขัดใจจนผมได้ยินแล้วอดจะยิ้มขำไม่ได้

   “คุณคะ” แม่ปรามเมื่อป๊าออกอาการหวงผม

   “ครับๆ เรากลับบ้านกันเถอะ คุณจะได้พักผ่อน”

   “แม่ไปก่อนนะ หายไวๆ นะลูก เดี๋ยวแม่จะมาเยี่ยมอีกที ว่างๆ ก็ไปหาแม่ที่บ้านได้” ผมฟังคำอนุญาตนั้นด้วยรอยยิ้ม

   “ขอบคุณมากครับ ที่ไม่รังเกียจผม” คล้าวยกมือไหว้ด้วยสีหน้าซาบซึ้ง

   “ขอแค่คล้าวเป็นคนดี จริงใจกับแสนและทำให้แสนมีความสุขได้ เท่านี้แม่ก็พอใจแล้วจ้ะ”

   “ขอบคุณนะครับแม่” ผมเข้าไปกอดแม่ด้วยความรัก แม่เป็นแม่พระสำหรับผมจริงๆ

   “เฮียไปทำงานก่อนนะ จะไปจัดการกับเรื่องข่าวด้วย” หลังจากป๊ากับแม่กลับไปแล้ว เฮียก็หันมาบอกผมด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางจะโกรธที่มีคนไปรบกวนป๊ากับแม่

   “ครับเฮีย อย่าหนักมือนักนะครับ” ผมพูดกับเฮีย แต่สายตามองธงรบ เพราะสงสัยว่าคนที่ปล่อยข่าวน่าจะเป็นคุณกินหญ้านั่น

   “อืม ไม่ต้องห่วงหรอก” เฮียโยกหัวผมอย่างเอ็นดู

   “ถ้าเป็นฝีมือเอญ่าจริงๆ เฮียจัดการได้ตามที่เห็นสมควรเลยครับ เพราะผมถือว่าผมเตือนเค้าแล้ว ผมถือว่าเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว” ธงรบหันไปบอกเฮีย

   “ได้ เฮียไปละ ดูแลตัวเองดีๆ นะแสน ฝากด้วยนะรบ คล้าว”

   “ครับ” ทั้งคู่รับคำพร้อมกัน ผมนี่ได้แต่กลอกตา โตขนาดนี้แล้ว ผมดูแลตัวเองได้น่า!

   “เดี๋ยวกูไปหาอะไรกินกับไม้ก่อน มึงรออยู่นี่นะ” พูดจบก็เดินไปลากไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ออกจากห้องไป ปล่อยให้ผมกับคล้าวมองหน้ากันงงๆ

   “ดีจังเลยนะ” ผมขยับเข้าไปหาคล้าวใกล้ๆ แล้วยิ้มให้คล้าวอย่างมีความสุข

ดีจริงๆ ที่เรื่องราวทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี

   “ครับ ครอบครัวพี่แสนน่ารักมาก” คล้าวยิ้มตอบแล้วแบมือให้ผม ผมจึงวางมือลงไป เราสองคนมองมือที่เกาะกุมกัน ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้กัน

   “ผมรักพี่แสนนะครับ” คล้าวยกมือข้างนั้นขึ้นจูบ ก่อนจะบอกรักอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาคมๆ คู่นั้นฉายแววรักใครจนผมเป็นปลื้ม

   “พี่ก็รักคล้าวครับ พี่คล้าวของทองกวาว อ้อ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเป็นน้องคล้าวของพี่แสนสินะ” เราสบตากันนิ่งๆ ก่อนจะยิ้มให้กัน

ผมค่อยๆ โน้มตัวลงไปหาคล้าว แล้วค่อยๆ ประทับจูบที่ริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะทวีความลึกซึ้งขึ้นตามอารมณ์ของเราทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดความรักให้กันและกันอีกครั้งและอีกหลายๆ ครั้ง
   
   
   

****************************************************************

จริงๆ แล้วเรื่องนี้คนที่เป็นพระเอกคือคุณป๊าค่ะ ตอนนี้คือป๊าหล่อมาก เฮียแผนยังสู้ไม่ได้เลย 55555
ตอนหน้าก็จะจบแล้วค่า ฮูเร่!

#มนต์รักริมทุ่ง



:L2: :กอด1: :L1: :กอด1: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4:
   
   
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-01-2019 12:55:07
 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-01-2019 16:14:26
แสน+คล้าว ตอนนี้หวานแหววมุ้งมิ้ง
ธงรบ+ไม้ ธงรบนี่เนียนสุดๆ ไม้ตามไม่ทันหรอก
เฮียแผน เป็นพี่ชายที่อบอุ่นจริงๆ มีแฟนหรือยังจ๊ะเฮีย อิอิอิ
ป๊า+ม้า นี่สุดยอดของความเป็นพ่อแม่เลย
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-01-2019 19:52:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-01-2019 22:34:14
 :man1:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 29-01-2019 22:40:46
อ้ายแสนเป็นคนโชคดีนะ มีครอบครัวที่สามารถเป็นเซฟโซนให้เราได้จริงๆ
มีกัลยาณมิตร และมีคนที่รัก
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 21 (Up 29/1/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 30-01-2019 07:26:23
ป๊าพูดดีมากเลย ซึ้งใจ  :monkeysad:
พี่แสน น้องคล้าว โชคดีที่มีครอบครัวที่เข้าใจ แต่หวานกันออกสื่อไม่เกรงใจคู่นั้นที่ยังไม่คืบเลย 5555
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 02-02-2019 08:45:01
บทที่ 22

   หลังจากเรื่องยุ่งๆ ผ่านพ้นไป ผมก็ต้องเข้ามาเคลียร์งานจนหัวหมุนต่อ ส่วนเรื่องคดี เฮียแผนกับป๊าก็ร่วมมือกันจัดการอย่างเรียบร้อยหมดจด เช็คแล้วเช็คอีกจนแน่ใจว่าจะไม่มีคนกล้ามาทำร้ายผมอีกแล้ว ถึงได้วางใจปล่อยให้ผมไปไหนมาไหนคนเดียวได้อีกครั้ง

   ส่วนพี่สรัญ เมื่อผมขอร้องไม่ให้ป๊ากับเฮียเอาเรื่อง ก็เลยถูกกันให้เป็นพยาน หลังจากอาการดีขึ้นแล้ว คุณหญิงรัตนาเพื่อนของแม่ก็พามาขอบคุณพวกเราที่บ้าน

พี่สรัญเล่าให้ฟังว่าแม่แท้ๆ ของเขาถูกลูกหลงจนตอนนี้กลายเป็นอัมพาตไปแล้ว ถึงจะรู้สึกผิด แต่พี่สรัญก็โล่งใจที่แม่ของเขาไม่มีโอกาสไปทำร้ายใครอีกแล้ว ซึ่งพี่สรัญก็บอกว่าจะดูแลแม่ของเขาต่อไป เห็นสีหน้าที่สดใสของพี่สรัญแล้วผมก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน ต่อไปนี้พี่สรัญจะได้มีความสุขจริงๆ สักที

   “น้ำครับพี่แสน” ความคิดผมชะงักลง เมื่อคล้าววางน้ำไว้บนโต๊ะทำงานที่ผมกำลังนั่งสเก็ตเสื้อผ้าอยู่

หลังจากแผลหายแล้วคล้าวก็มาติวเพื่อเตรียมความพร้อมสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่อ พอติวเสร็จถ้าไม่ได้รับงานเดินแบบหรือถ่ายแบบที่ไหน ก็มักจะมาช่วยงานผมทุกวัน กำลังใจดีขนาดนี้นี่ต่อให้งานเยอะแค่ไหนก็ไหวครับ

   “ขอบคุณครับ” ผมหยิบน้ำมาดื่มแล้วส่งยิ้มให้คล้าวก่อนจะถามน้องต่อ

   “วันนี้วันสุดท้ายของคอร์สติวใช่ไหมครับ เป็นยังไงบ้าง มั่นใจขึ้นรึยัง”

   “มั่นใจขึ้นมากแล้วครับพี่แสน ผมกับไม้อ่านหนังสือที่พี่ๆ หามาให้ด้วยและได้พี่ๆ ติวให้เพิ่มด้วย ตอนนี้พร้อมขึ้นมากเลยครับ ต่อไปก็กะว่าจะอ่านหนังสือทบทวนความรู้อย่างเดียวจนกว่าจะถึงวันสอบเลย คงไม่ติวเพิ่มแล้วครับ”

   “โอเค ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะครับ”

   “ครับ” คล้าวรับคำด้วยรอยยิ้มจนผมต้องยิ้มตาม

   “แล้วไม้ล่ะครับ อยู่ข้างนอกเหรอ”

   “ตอนมาถึงหน้าร้านก็โดนพี่รบลากออกไปซื้อของต่อแล้วครับ” คล้าวบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

   “เรื่องไม้กับธงรบ คล้าวโอเครึเปล่าครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ เพราะเราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันจริงจังสักที

   “ถ้าไม้โอเค ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ส่วนพี่รบก็มาคุยกับผมแล้วว่าพี่รบจริงจัง ผมก็เลยปล่อยให้เป็นเรื่องของสองคนนั้นไปครับ”

ได้ยินแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้ คล้าวและไม้มีทัศนคติที่ดีกันมาก คล้าวบอกว่าเป็นเพราะได้รับการสั่งสอนจากหลวงตา ทำให้ทั้งคู่มองโลกในแง่ดีแต่ก็มองในความเป็นจริงและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ง่ายๆ อีกด้วย

   “คุยอะไรกันอยู่” ธงรบเดินเข้ามาพร้อมกับไม้ ยังไม่ทันได้ตอบมันก็ถามต่อทันที

   “เรื่องที่จะไปดูผ้าที่เชียงใหม่รึเปล่า จะไปวันไหนวะ คล้าวไปด้วยรึเปล่า”

   “พี่แสนจะไปเชียงใหม่เหรอครับ” พอได้ยินคำถามของธงรบ คล้าวก็หันมาถามผมด้วยสีหน้าแสดงความสนใจ

   “ครับ พี่ว่าจะไปดูผ้ามาตัดชุดเพิ่มน่ะครับ ว่าจะไปดูผ้าตีนจกที่ม่อนแจ่มแล้วก็เตร่ไปดูผ้าฝ้ายทอมือแถวๆ นั้นด้วย”

   “อ้าว ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอยู่หรอกเหรอ” ได้ยินแล้วแทบจะกลอกตาใส่มันเลย

“ถ้าคุยแล้วน้องมันจะถามไหม มึงจะรีบไปไหนรบ!”

“ฮ่าๆๆ เออๆ โทษๆ ตกลงมึงจะไปวันไหนนะ”

“ว่าจะไปอาทิตย์หน้าแหละ”

“คล้าวว่างไหม ไปเป็นเพื่อนมันหน่อยได้รึเปล่า พอดีอาทิตย์หน้าพี่ติดธุระ เฮียก็ไม่ว่างเหมือนกัน พวกพี่เป็นห่วงไม่อยากให้มันไปคนเดียว” ธงรบมันหันไปถามคล้าวโดยไม่สนใจผมสักนิด

“กูไปคนเดียวได้น่า” ไม่ใช่เด็กซะหน่อยถึงจะไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ เฮียก็อีกคน พอบอกจะไปดูผ้าที่เชียงใหม่ ก็รีบเช็คตารางงาน พอเห็นว่าไม่ว่างก็โทรถามธงรบทันที พอธงรบบอกไม่ว่างเหมือนกันก็หันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจังว่ายังไม่ไปได้ไหม ฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ แต่ก็พอเข้าใจอยู่หรอก เพราะก่อนหน้านี้ชีวิตผมก็มีแต่เรื่องจนน่าเป็นห่วงจริงๆ

“ผมไปด้วยได้ครับ ตอนนี้ผมก็ไม่ต้องไปติวแล้วและอาทิตย์หน้าก็ไม่มีคิวงานด้วย ผมไปเป็นเพื่อนนะครับพี่แสน” พอเห็นคล้าวถามด้วยสีหน้าจริงจังและเต็มใจแล้วใจผมก็อ่อนยวบ

“ได้สิครับ” พอผมรับคำ คล้าวก็ยิ้มอย่างพอใจ ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย

รอยยิ้มนี่มันเหมือนกับโรคติดต่อจริงๆ ครับ พอเห็นคนยิ้มโดยเฉพาะคนที่สำคัญกับใจเราแล้ว มันก็อดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ทุกที

มีความสุขจังเลยน้า

“พอๆ เลิกจ้องตากันได้แล้ว กูอิจฉาตาลุกเป็นไฟไปหมดแล้วเนี่ย” ธงรบมันมองผมด้วยสีหน้าหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปคุยกับคล้าวต่อ

“ถ้าคล้าวไปเป็นเพื่อนมันได้พี่ก็วางใจ พี่กับเฮียจะได้หายห่วง ยังไงก็ฝากดูแลมันด้วยนะ ให้มันกินข้าวให้ครบทุกมื้อด้วย ว่าแล้วก็ชักจะหิว ป่ะ ไปหาอะไรกินดีกว่าแสน กูหิวแล้ว” ผมหันไปมองธงรบอย่างระอา เมื่ออยู่ๆ มันก็หันมาชวนกินข้าวเฉยเลย ไม่รู้มันไปอดอยากมาจากไหน เจอหน้ากันทีไรก็ชวนกินตลอดสิน่า!

*************************************************************************************

   ผมนั่งมองวิวข้างทางและฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข ยิ่งหันไปมองคนขับที่หันมาสบตาเวลาติดไฟแดงด้วยรอยยิ้มก็ยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่

   วันนี้เป็นวันที่ผมออกเดินทางไปเชียงใหม่กับคล้าว เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 5 เพราะผมตั้งใจไว้ว่าจะถือโอกาสขับรถพาคล้าวแวะเที่ยวข้างทางไปเรื่อยๆ ด้วย

   แต่พอถึงเวลาจริงๆ คล้าวก็ขอเป็นคนขับให้ จะดื้อก็ไม่ได้อีก เพราะมีแนวร่วมอีกหลายคนที่สนับสนุนให้คล้าวเป็นคนขับ ผมเลยได้แต่นั่งให้กำลังใจและบอกคล้าวว่าถ้าเหนื่อยก็ให้บอก เดี๋ยวผมช่วยขับเอง

   พอเข้าเขตจังหวัดสุพรรณบุรีแล้วก็อดจะชื่นชมความสวยงามของเกาะกลางถนน และวิวทั้งสองข้างทางที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่ได้ เห็นแล้วก็ทำให้คิดถึงบ้านริมทุ่งของคล้าวขึ้นมา ก็เลยหันไปถามความเห็นคล้าว เมื่อรถติดไฟแดงพอดี

   “ขากลับแวะบ้านคล้าวหน่อยดีไหมครับ”

   “พี่แสนอยากไปเหรอครับ” คล้าวหันมาถามด้วยรอยยิ้ม

   “ครับ เห็นต้นไม้เขียวๆ เห็นทุ่งนาแบบนี้แล้วพี่คิดถึงที่นั่น”

   “ได้สิครับ เอาไว้ขากลับเราแวะ ‘บ้าน’ กันนะครับ” พูดจบคล้าวก็ยื่นมือมาให้ผม ผมจึงวางมือลงไป มือของเรากระชับกันไว้แน่นจนรู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ ผมมองมือที่เกาะกุมกันไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้คล้าวอย่างมีความสุข

   หลังจากนั้นเราก็แวะเที่ยวข้างทางไปเรื่อยๆ ผมชวนคล้าวแวะไปดูนกดูปลาที่สวนนกชัยนาทก่อนเป็นที่แรก ก่อนจะตียาวไปไหว้พระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก แล้วแวะไปไหว้พระธาตุลำปางหลวงที่จังหวัดลำปางต่อ

   เราเข้าเดินทางมาถึงจังหวัดลำพูนในช่วงบ่ายๆ พอดี เมื่อพอดูเวลาแล้วคิดว่าน่าจะถึงเชียงใหม่ไม่ดึกจนเกินไป ผมก็เลยขอแวะไปดูผ้าไหมยกดอกลำพูนและผ้าฝ้ายทอมือที่ศูนย์วิจัยงานหัตถกรรมในจังหวัดลำพูนก่อน

   พอเห็นผ้าสวยๆ ก็ทำให้ผมเผลอชมเผลอเลือกจนลืมเวลา ผมได้ผ้าไหมและผ้าฝ้ายทอมือสวยๆ ติดไม้ติดมือมาอีกหลายสิบผืน จินตนาการแบบชุดที่เหมาะกับผ้าก็โลดแล่นจนต้องหยิบสมุดสเก็ตที่ถือติดมือมาด้วยมาร่างเอาไว้ก่อน

   กว่าจะออกจากลำพูนได้ฟ้าก็มืดพอดี ผมเลยให้คล้าวตรงเข้าไปที่เชียงใหม่ เพื่อพักในโรงแรมที่จองไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปดูผ้าและตระเวนเที่ยวกันอีกที

ตอนแรกผมว่าจะชวนคล้าวกินข้าวที่โรงแรมเลย เพราะเห็นว่าคล้าวขับรถมาทั้งวันแล้วกลัวว่าคล้าวจะเหนื่อย แต่คล้าวบอกว่ายังไม่เหนื่อย ถ้าอยากไปที่ไหนอีกก็บอกได้ ผมเลยชวนคล้าวไปหาอะไรกินข้างนอก ให้ท้องอิ่มแล้วค่อยไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกันต่อ

ระหว่างที่กำลังรอเช็คอินอยู่หน้าเคาเตอร์ของโรงแรม ก็มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งมาเช็คอินเหมือนกัน แต่น่าจะมีปัญหา เพราะพนักงานตรวจสอบรายละเอียดการจองแล้วไม่พบชื่อ ผมยืนตอบข้อความเฮียแผนอยู่ใกล้ๆ เลยได้ยินบทสนทนาพอดี

“แล้วไม่ทราบว่ามีห้องว่างไหมคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามพนักงานด้วยสีหน้าคาดหวัง ในขณะที่คนเป็นพ่อก็อุ้มลูกชายอายุไม่กี่ขวบยืนรออยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้ากังวล

“ตอนนี้ห้องพักของโรงแรมเราเต็มทุกห้องแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้ายังไงลองไปดูโรงแรมใกล้ๆ ดูก็ได้ค่ะ เผื่อจะมีห้องว่าง”

“ไม่มีห้องที่มีแคนเซิลเลยเหรอคะ พอดีลูกชายพี่เมารถค่ะ พี่อยากให้ลูกได้พักเร็วหน่อยเพราะกลัวแกจะป่วยน่ะค่ะ ถ้ายังไงรบกวนเช็คให้อีกทีได้ไหมคะ” คนเป็นแม่ขอร้องพนักงานด้วยสีหน้าอ้อนวอน พนักงานฟังแล้วก็มีสีหน้าลำบากใจ แต่ก็ยอมเช็คให้แต่โดยดี สักพักก็หันมาบอกด้วยสีหน้าเห็นใจ

“ไม่มีห้องว่างจริงๆ ค่ะ” ได้ฟังแล้วเธอก็มีสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะขอบคุณพนักงานเสียงอ่อยๆ แล้วหันไปถามสามีพร้อมกับแตะหน้าผากลูกด้วยสีหน้ากังวล

“ทำยังไงดีคะคุณ”

“ก็คงต้องไปดูโรงแรมอื่น เราไปนั่งเช็คในเว็บก่อนก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปเสียเที่ยว” คนเป็นสามีแสดงความเห็นด้วยสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน

ผมเงยมองคนทั้งคู่เงียบๆ เมื่อมองไปยังเด็กที่อยู่บนบ่าคนเป็นพ่อด้วยท่าทางอ่อนเพลียแล้วก็สงสาร จึงตัดสินใจเอ่ยปากช่วย

“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีผมจองห้องไว้สองห้อง ถ้าผมจะแบ่งให้ห้องหนึ่งไม่ทราบว่าสนใจไหมครับ” คนทั้งสองหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่พอฟังจบก็ยิ้มออกทันที

“สนใจค่ะ เดี๋ยวพี่จ่ายเงินให้เลยค่ะ ไม่ทราบว่าเท่าไหร่คะ” พูดจบก็รีบหยิบกระเป๋าเงินมาเตรียมจ่ายเหมือนกลัวผมจะเปลี่ยนใจ

“ไม่เป็นไรครับ ถือว่าผมยกให้น้องได้พักแล้วกันนะครับ”

“ไม่ได้หรอกครับ คุณอุตส่าห์มีน้ำใจช่วย รับไปเถอะนะครับ เพื่อความสบายใจของเราสองคน” คนเป็นพ่อท้วงด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้ผมต้องยอมรับเงินมาบางส่วนโดยไม่บอกราคาเต็มไป

หลังจากรับคำขอบคุณจากทั้งคู่และแยกย้ายกันเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ถามความสมัครใจของเพื่อนร่วมห้องสักคำ

“ต้องมาพักด้วยกันแบบนี้ คล้าวโอเคไหมครับ เมื่อกี้พี่ก็ลืมถามคล้าวก่อน”

“โอเคครับ เดี๋ยวผมนอนโซฟาก็ได้” คล้าวเอากระเป๋าวางไว้ข้างเตียง พร้อมกับตอบคำถามผมไปด้วย ผมมองไปที่โซฟาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะถึงโซฟามันจะใหญ่แต่ก็ไม่น่าจะนอนสบายเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้ผมรู้สึกหิวมากแล้ว พอเก็บของเสร็จก็เลยชวนคล้าวออกไปหาอะไรกินข้างนอกตามรีวิวร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ โรงแรม

หลังจากท้องอิ่มแล้วผมก็ชวนคล้าวไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน พอเจอบรรยากาศดีๆ ข้าวของหลากหลายก็เดินเพลินจนลืมเหนื่อย ได้ทั้งของกินของฝากติดไม้ติดมือจนพะรุงพะรังกันทั้งคู่ ขนาดคล้าวช่วยแบ่งไปถือเยอะแล้วก็ยังเต็มไม้เต็มมืออยู่ดี จนเมื่อรู้สึกว่าขาล้าแล้วนั่นแหละถึงได้ชวนคล้าวกลับโรงแรม

ผมวางข้าวของที่หิ้วมาไว้ข้างโซฟา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งแล้วถอนหายใจเฮือก เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเมื่อยจริงๆ ก็ตอนที่มาถึงห้องพักนี่แหละ

“โอ๊ะ!” ผมอุทานด้วยความตกใจ เมื่อคล้าวทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าแล้วช่วยนวดขาให้

“ไม่ต้องนวดหรอกครับ นั่งพักแป๊บเดียวก็น่าจะหายแล้ว” ผมรีบบอกและโน้มตัวลงไปรั้งมือของคล้าวไว้ พอดีกับที่คล้าวเงยหน้าขึ้นมามองพอดี ทำให้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่คืบ

ผมจ้องดวงตาคมๆ ของคนตรงหน้าอย่างเผลอไผล ก่อนที่ใบหน้าของเราจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันเหมือนมีแรงดึงดูด รู้ตัวอีกทีริมฝีปากของเราก็สัมผัสกันแล้ว

ผมหลับตาลงซึมซับความนุ่มนวลอ่อนหวานของรสจูบที่เริ่มจากสัมผัสเพียงแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ลึกซึ้งเร่าร้อนขึ้นตามอารมณ์

“อื้อ” ผมส่งเสียงประท้วงเมื่อเริ่มรู้สึกหายใจไม่ทัน พอผละออกมาหายใจได้ไม่นานริมฝีปากคล้าวก็ตามติดมาประกบต่อ กว่าคล้าวจะยอมปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระผมก็หอบแฮ่ก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย

พอเห็นสายตาร้อนแรงของคล้าวที่จ้องมองมาก็รู้สึกร้อนวูบวาบตั้งแต่ผิวหน้าก่อนจะลามไปทั้งตัว

ผมได้แต่เม้มปากแน่นก่อนจะหลบตาด้วยความเขิน จากการนวดขาให้หายเมื่อยในตอนแรก กลายมาเป็นเหนื่อยเหนื่อยมากยิ่งกว่าเดิมได้ยังไงก็ไม่รู้

“ระ... ร้อนเนอะ” ผมพยายามคิดหาคำพูดเพื่อมาคลายบรรยากาศที่ชวนให้เก้อเขินในตอนนี้ แต่สิ่งที่หลุดปากออกไปกลับขัดกันเข้าไปใหญ่ เพราะตอนนี้ในห้องเปิดแอร์จนเย็นฉ่ำจะไม่น่าจะร้อนได้

“หึ” ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะของคนตรงหน้ายิ่งเขินจนอยากมุดแผ่นดินหนี พอจะหันไปค้อนใส่ก็ดันเจอกับดวงตาที่เป็นประกายพราวของคนตรงหน้า เห็นแล้วก็เขินจนต้องหลบสายตาอีกรอบ

 โอ๊ย! ใครก็ได้ช่วยเอาผมไปจากตรงนี้ที ไม่รู้ความใจกล้าหน้าด้านที่เคยมีมันหายไปไหนหมด ถึงได้เขินอายง่ายแบบนี้

“หายเมื่อยรึยังครับ” คล้าวถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเหมือนจะช่วยหาทางออกให้ ผมเลยรีบตอบรับอย่างไว

“หายแล้วครับ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” พูดจบก็ลุกพรวดพราดเดินเข้าห้องน้ำไป

ปัง!

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเงาในกระจกก็เห็นว่าใบหน้าของตัวเองแดงก่ำ ริมฝีปากที่บวมขึ้นนั้นก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข ผมแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะแตะหัวใจตัวเองที่ยังเต้นกระหน่ำจากความใกล้ชิดเมื่อครู่ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น รู้สึกเหมือนภายในหัวใจมันพองฟูไปหมดเลย

กว่าจะระงับอาการเขินของตัวเองได้ก็ต้องใช้เวลาสักพัก แล้วก็เพิ่งนึกออกว่าเข้ามาแต่ตัว ลืมเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนด้วย จะออกไปเอาก็ยังไงอยู่ เลยตัดสินใจอาบน้ำเลย เพราะในห้องน้ำก็มีอุปกรณ์อาบน้ำพร้อมอยู่แล้ว

หลังจากอาบน้ำเสร็จก็หยิบผ้าขนหนูมาพันช่วงล่าง แต่ข้างบนก็ดูโล่งๆ พอจะพันทั้งตัวมันก็น่าจะดูแปลกๆ ผมได้แต่ขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง

“คิดอะไรมากวะแสน ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน” ผมพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำมาทั้งอย่างนั้น

“เสร็จแล้วเหรอ...ครับ” เสียงของคล้าวขาดหายไปเมื่อหันมาเห็นผม ก่อนที่ข้าวของในมือจะหลุดร่วงลงพื้นไป

“เอ่อ เสร็จแล้วครับ คล้าวไปอาบได้เลย” พอผมพูดจบก็เหมือนคล้าวจะรู้สึกตัวขึ้นมา

“ครับ” คล้าวรับคำเบาๆ แล้วก้มลงไปเก็บของบนพื้น ก่อนจะเดินลิ่วเข้าห้องน้ำไป ตอนที่คล้าวเดินมาใกล้ๆ ผมถึงสังเกตเห็นว่าใบหูของคล้าวแดงก่ำ เห็นแล้วก็รู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาอีกรอบ จึงรีบไปรื้อกระเป๋าหาเสื้อผ้ามาใส่ให้เรียบร้อย

หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็หันรีหันขวางเหมือนไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนดี ไอ้บรรยากาศแปลกๆ นี่มันมาได้ยังไงเนี่ย เล่นเอาทำตัวไม่ถูกเลย ผมปิดหน้าตัวเองไว้เผื่อจะคลายอาการขัดเขินลงได้บ้าง ก่อนจะตัดสินใจนั่งเล่นโทรศัพท์รอคล้าวบนโซฟา

ไม่นานคล้าวก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมแต่งตัวออกมาอย่างเรียบร้อย เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว คล้าวก็หันมาถามผม

“พี่แสนจะนอนเลยไหมครับ เดี๋ยวผมปิดไฟให้”

“ครับ เอ่อ คล้าวมานอนบนเตียงกับพี่เถอะครับ เตียงออกจะกว้าง นอนสองคนได้สบาย ไม่ต้องนอนโซฟาหรอกครับ เดี๋ยวปวดหลัง” พอพูดจบผมก็เดินไปนอนบนเตียงเพื่อให้คล้าวเห็นว่าที่ว่างมันยังเหลือมากพอที่จะนอนสองคนได้สบายๆ จริงๆ

คล้าวมองไปยังเตียงฝั่งที่ว่าง ก่อนจะวกกลับมามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วรับคำเสียงเบา

“ครับ” รับคำเสร็จ คล้าวก็เดินไปปิดไฟแล้วเดินขึ้นไปนอนที่เตียงอีกฝั่ง ผมนอนฟังเสียงเคลื่อนไหวของอีกคนนิ่งๆ สักพักบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ

“คล้าวครับ” ผมเรียกคล้าวเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าห้องมันเย็นๆ

“ครับ”

“อย่าลืมห่มผ้าด้วยนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย” พูดจบผมก็ขยับตัวแล้วดึงผ้าห่มออกมาจากขอบเตียง ก่อนจะสอดตัวลงไป หลังจากจัดการฝั่งตัวเองเรียบร้อยแล้วก็คิดว่าจะหันไปดูฝั่งคล้าว แต่พอชะโงกไปหัวก็ดันโขกกับคล้าวพอดี

“โอ๊ย!”

“โอ๊ะ!”

ผมถอยออกมาลูบหน้าผากป้อยๆ ก่อนจะหันไปเปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วหันกลับมาดูคล้าว

“พี่แสนเป็นยังไงบ้างครับ” คล้าวขยับตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะเชยคางผมขึ้นแล้วสำรวจหน้าผากผมด้วยสีหน้ากังวล พอเห็นไม่ชัดก็ใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าผมไว้แล้วขยับมาดูใกล้ขึ้นอีก

“ไม่เป็นไรครับ แค่เจ็บนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย” ผมหันไปมองหน้าผากคล้าวแล้วลองแตะลงไปเบาๆ เมื่อเห็นคล้าวยังนิ่งเฉย ไม่มีทีท่าจะเจ็บก็เลยแซวขำๆ

“หัวแข็งเหมือนกันนะเราน่ะ” ผมละสายตาจากหน้าผากลงมาก็สบตากับคล้าวพอดี ทำให้ผมเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน

ผมหลุบตามองริมฝีปากคล้าวแล้วนึกไปถึงรสจูบหวานๆ ก่อนหน้านี้ มือเลยเผลอไปลูบริมฝีปากของอีกคนอย่างเผลอไผล คล้าวปล่อยมือข้างหนึ่งจากใบหน้าผมมาจับหยุดมือผมไว้ ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากลงมาอย่างนุ่มนวล

ผมหลับตาลงรับสัมผัสด้วยความเต็มใจ แรกๆ นั้นสัมผัสเต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนหวาน ก่อนจะค่อยๆ ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างบดเบียด ดูดดึงริมฝีปากของกันและกันอย่างไม่ลดละ ปลายลิ้นถูกส่งไปทักทายลิ้นของอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อน กระตุ้นความปรารถนาให้ลุกโชนมาและทำลายความยับยังชั่งใจไปหมดสิ้น

คล้าวละริมฝีปากออกมาแล้วซบลงที่ซอกคอของผมนิ่งเหมือนพยายามจะหักห้ามใจ ร่างกายยังคงซ้อนทับกันอยู่โดยที่คล้าวไม่ได้ทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่ ทำให้สัมผัสได้ถึงความต้องการที่ร้อนผ่าวอยู่แถวๆ ต้นขา

ผมเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเขิน ก่อนจะตัดสินใจกระซิบบอกคล้าวด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นพร่า

“พี่ต้องการคล้าว”

คล้าวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมนิ่งๆ แววตาร้อนแรงที่มองมาทำให้ผมต้องหลบตาเพราะสู้สายตาไม่ไหว

“แน่ใจใช่ไหมครับ” เมื่อได้ยินคำถาม ผมก็หันมาสบตาคล้าวอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าเพื่อยืนยันความตั้งใจของตัวเองแล้วรับคำเสียงเบาแต่หนักแน่น

“ครับ” จบคำก็รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลที่หน้าผาก

   “ผมรักพี่แสน” ก่อนที่จะได้ยินถ้อยคำที่ทำให้หัวใจพองฟูจนอดจะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้

   “พี่ก็รักคล้าว อื้อ” คำสุดท้ายยังไม่ทันจบดี ริมฝีปากนุ่มๆ ก็บดจูบลงมาทันที ผมเมากับสัมผัสที่นุ่มนวลและร้อนแรงจนสมองเบลอไปหมด รู้ตัวอีกทีร่างกายก็เปลือยเปล่าหมดแล้ว

   ริมฝีปากของคล้าวไล่สัมผัสไปแทบจะทุกส่วนของร่างกาย ผ่านตรงไหนก็ทิ้งร่องรอยไว้แทบทุกส่วน เสียงครางผะแผ่วเคล้าคลอกันไปจนไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร แรงเสียดสีของร่างกายทำเอาความปรารถนาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แต่อยู่ๆ ความเคลื่อนไหวของคนที่อยู่บนร่างก็ชะงักลง ทำให้ผมลืมตาขึ้นมามองด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

   พอเห็นสีหน้าลำบากใจของคนบนร่าง ความปรารถนาที่ถูกปลุกขึ้นมาก็แทบจะมอดดับลงทันที ผมถามคล้าวเสียงเบาด้วยความหวั่นใจ

   “คล้าว.... รังเกียจเหรอครับ” คล้าวมีสีหน้าตกใจเมื่อฟังคำถามผม เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้หัวใจผมวูบโหวงเข้าไปใหญ่ พอเห็นสีหน้าผมหมองๆ ของผม คล้าวก็รีบอธิบาย

   “ไม่รังเกียจเลยครับพี่แสน” พูดจบก็ก้มลงจูบหน้าผากเบาๆ ก่อนจะผละออกมาสบตาแล้วพูดต่อด้วยท่าทางเก้อเขินจนผมแปลกใจ

   “ผมแค่ไม่เคย... เอ่อ กับผู้ชายมาก่อน... เลยไม่รู้ต้องทำยังไง” พูดจบก็รีบหลบตาผมทันที

ฟังเหตุผลแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้น ยิ่งเห็นท่าทางเหมือนทำอะไรไม่ถูกแล้วก็หลุดยิ้มอย่างเอ็นดู นี่ถ้าไฟสว่างๆ ผมมั่นใจว่าคงจะเห็นคนตรงหน้าหน้าแดงหูแดงแน่ๆ

ผมครุ่นคิดสักพักก็ตัดสินใจดันร่างคล้าวออกแล้วลุกขึ้นนั่ง พอจะลุกจากเตียงไปคล้าวก็รีบคว้าแขนไว้ ก่อนจะถามผมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร้อนรน

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 02-02-2019 08:45:44

“พี่แสนจะไปไหนครับ”

“พี่จะไป เอ่อ ไปเตรียมตัวในห้องน้ำก่อน” ผมหลบตาคล้าวแล้วบอกเสียงเบาด้วยความเขิน รู้สึกว่าผิวหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเลย

“...”

เมื่อเห็นว่าคล้าวเงียบไป ผมก็เหลือบไปมองหน้าด้วยวามสงสัย ก็ได้เห็นว่าคล้าวมีสีหน้าเก้อเขินเหมือนทำอะไรไม่ถูก พอเห็นผมมอง คล้าวก็สบตาแล้วเอ่ยปากเบาๆ เหมือนไม่มั่นใจ

“ตรงนี้ได้ไหมครับ... ผมอยากเห็น” ฟังแล้วเลือดก็วิ่งมาเลี้ยงที่หน้ายิ่งกว่าเดิมอ จะปฏิเสธก็ปฏิเสธไม่ลง ยิ่งเห็นสีหน้าเว้าวอนของคนตรงหน้าก็ใจอ่อนยวบยิ่งกว่าขี้ผึ้งลนไฟ เขินจนอยากระเบิดตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

โอ๊ย! เขินโว้ย อยากจะตะโกนให้ลั่นห้อง แต่ทำได้แค่เขินต่อไป คำว่าเขินตัวแตกเป็นยังไง ก็ได้รู้สึกเองในวันนี้แหละ

ผมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดึงแขนออกจากมือคล้าวแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ รู้สึกหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลมยังไงไม่รู้

“ต้องเอา เอ่อ เอาอุปกรณ์ก่อน” ผมตอบตะกุกตะกัก

“เอาอะไรครับ ผมหยิบให้” คล้าวยังคงรั้งไว้เหมือนกลัวผมจะหาย แต่ผมไม่อยากจะตอบเลย ถ้าพูดออกมาแล้วมันน่าอายเกินไป ได้แต่เลี่ยงบอกเลี่ยงๆ ไป

“พี่หยิบเอง” พูดจบก็ไม่รอให้คล้าวค้าน ผมรีบลุกพรวดพราดลากผ้าห่มคลุมตัวไปหยิบของในกระเป๋าออกมา พอเห็นของในมือแล้วก็อยากจะเอาหัวซุกกระเป๋าไว้เพราะความอาย แทบไม่กล้าจะกลับไปเลย

“พี่แสน” โอเค กลับไปก็ได้ ฮือ ทำไมการเสียตัวครั้งแรกมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้นะ ผมโอดครวญในใจ ก่อนจะค่อยๆ ลากผ้าห่มเดินกลับขึ้นเตียงไป

ผมกำของในมือแน่น พยายามไม่เหลือบมองสีหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า หลังจากหายใจลึกๆ เรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้วก็ยกผ้าห่มขึ้นบังร่างตัวเองไว้ ก่อนจะวางถุงยางไว้บนพื้นแล้วเปิดฝาเจลหล่อลื่นเทลงฝ่ามือตัวเอง ยังไม่ทันได้ทำขั้นตอนต่อไป คล้าวก็จับผ้าห่มด้านบนไว้แล้วจ้องตาผมก่อนจะบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผมอยากเห็น” ฟังแล้วอยากจะเป็นลมหนีอายให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ทำไม่ได้ไง เลยได้แต่ยอมปล่อยให้คล้าวดึงผ้าห่มลง

คล้าวมองของในมือผมนิ่งๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องรีบอธิบายอย่างร้อนตัว

“ธงรบมันยัดให้มา”

ไม่ได้ตั้งใจจะเอามาจริงๆ นะ!

คืนก่อนเดินทาง ธงรบมันเดินเข้าห้องมาแล้วถามหาเฮียแผนด้วยท่าทางมีพิรุธ พอบอกว่าเฮียแผนอยู่ที่ห้อง มันก็เดินดุ่มๆ เอาของมายัดใส่กระเป๋า จนผมต้องเข้าไปดูด้วยความสงสัยว่ามันยัดอะไรให้

แต่เมื่อเห็นของที่มันยัดมาก็แทบจะปาใส่หน้ามันคืน พอธงรบเห็นผมหน้าแดงมันก็หัวเราะ แล้วกระซิบบอกว่าควรพกติดตัวมาด้วย เพราะครั้งนี้เดินทางมาเที่ยวกันแค่สองคน ทางสะดวกเหมาะกับการเสียตัวมาก ได้ยินแล้วก็ต้องตบหัวมันแก้เขิน ไม่คิดว่าจะได้ใช้ เพราะผมจองโรงแรมไว้คนละห้อง

“หึ ครับ” ได้ยินเสียงหัวเราะที่หลุดมาก่อนจะรับคำแล้วก็เกือบจะเผลอค้อน แต่ยังไม่ทันได้นึกเคือง คล้าวก็ยื่นมือมาหยิบเจลหล่อลื่นในมือผมไปดู ก่อนจะหันมาถามผมด้วยสีหน้าอ่อนโยนจนแทบละลายอีกรอบ

“ใช้ยังไงครับ” ผมเม้มปากแน่นไม่ตอบ แต่พยายามหายใจลึกๆ เพื่อเรียกความกล้า แล้วเทเจลหล่อลื่นใส่ปลายนิ้วตัวเองจนชุ่ม ก่อนจะพยายามข่มความอายค่อยๆ แยกขาตัวเองออก ใช้นิ้วที่ชุ่มไปด้วยเจลหล่อลื่นค่อยๆ สอดเข้าไป

ผมขยับนิ้วเข้าไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น จนนิ้วแรกเข้าไปหมด ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มนิ้วที่สองตามทฤษฎีที่ศึกษามา ถึงจะไม่เคยปฏิบัติจริง แต่ทฤษฎีผมแน่นมาก เพราะผมศึกษามาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ

ระหว่างที่ทำผมไม่กล้ามองหน้าคล้าวเลย เพราะกลัวจะอายจนทนไม่ไหว แล้วจะวิ่งหนีไปเข้าห้องน้ำซะก่อน ต้องทำไปด้วยพยายามปลุกปลอบใจตัวเองไปด้วยว่าถ้าอยากได้ผัว เอ๊ย! สามีเด็กก็ต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้!

เมื่อนิ้วที่สองเข้าไปหมดแล้ว ระหว่างกำลังจะเอาออกเพื่อทำใจก่อนจะเพิ่มไปอีกนิ้ว คล้าวก็จับข้อมือผมไว้ ยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นไปมองคนจับ ก็ถูกริมฝีปากนุ่มๆ ประกบเข้าไปก่อน

   “อื้ม” รสจูบที่ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปลุกอารมณ์ของเราขึ้นมาใหม่ ระหว่างที่ผมยังมัวเมากับรสจูบอยู่นั้น นิ้วมือที่ชุ่มของคล้าวก็ค่อยๆ สอดเข้ามา เริ่มจากนิ้วเดียวจนเพิ่มเป็นสองนิ้วและสามนิ้วตามมา แต่คล้าวไม่ได้แค่สอดมาเฉยๆ เหมือนตอนผมทำเอง คล้าวกลับขยับหมุนวนจนไปเจอกับจุดที่ทำให้ผมสะดุ้ง

   “อ๊ะ! คล้าว มัน อื้อ” ผมพูดไม่เป็นภาษาเมื่อรู้สึกเสียวซ่านขึ้นมาจนเผลอร้องครางออกมาเพื่อระบายความรู้สึก

   “ตรงนี้เหรอครับ” คล้าวก็เหมือนจะจับจุดได้ จึงหมุนวนและกดตรงจุดเดิมซ้ำๆ จนผมเสียวซ่านแทบจะขาดใจ

   “อ๊า!” เมื่ออารมณ์พุ่งถึงขีดสุด ผมก็ปลดปล่อยออกมา ก่อนจะนอนหอบอย่างหมดแรง

“อื้อ” แต่ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยดี ก็ถูกกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้งจนกลัวว่าจะหัวใจวายก่อนได้เสียกันจริงๆ

“เข้ามา อึก คล้าวเข้ามาเลย” เมื่อรู้สึกว่าร่างกายพร้อมแล้ว ผมก็บอกกับกับคนที่กำลังดูดดึงหน้าอกด้วยเสียงหอบๆ

คล้าวผละออกไปจากร่างผม เมื่อหันไปดูก็เห็นคล้าวกำลังเอาใส่ถุงยางแล้วใช้เจลหล่อลื่นชโลมแก่นกายของตัวเองจนชุ่ม เห็นแล้วต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอาย ทั้งหวั่นใจกับขนาดที่เห็น ทั้งรอคอยอย่างไม่รู้ตัว

เพียงไม่นานคล้าวก็กลับเข้ามามอมเมาผมด้วยจูบอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ แทรกแก่นกายเข้ามาในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้

“อึก” แม้จะพร้อมแค่ไหน ก็ยังรู้สึกเจ็บจนผมต้องหายใจเข้าลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย คล้าวพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่สีหน้าก็ดูทรมานไม่ต่างกันจนผมต้องกลั้นใจบอก

“เข้ามา ทีเดียวเลยครับ” คล้าวสบตาเหมือนไม่มั่นใจ ผมเลยหลับตาแล้วขยับสะโพกเข้าหาจนคล้าวกัดฟันกรอดเพระทนไม่ไหว ก่อนจะเข้ามาทีเดียวจนสุด

“อื๊อ!” มันเจ็บจนน้ำตาซึม คล้าวจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แล้วพยายามปลุกเร้าอารมณ์ให้ผมอีกครั้ง

“ขยับเลยครับ” จนเมื่อรู้สึกว่าเริ่มดีขึ้นก็บอกให้คล้าวขยับได้เลย

แรกๆ คล้าวยังขยับอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ผมปรับตัว แต่เมื่อผมถูกระตุ้นในจุดที่ทำให้ผมรู้สึกเสียวซ่านก็เผลอหลุดปากขอให้อีกฝ่ายทำแรงๆ

เหมือนคำพูดของผมไปทำลายความยับยั้งชั่งใจของคล้าว เพราะหลังจากนั้น คล้าวก็ใส่แรงมาไม่ยั้ง เสียงหอบหายใจ เสียงครวญครางและเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังไปทั่วห้อง แต่ ณ จุดๆ นี้ต่างฝ่ายต่างก็หน้ามืดจนไม่รู้สึกอายแล้ว รู้สึกเพียงอยากให้แรงปราราถนาที่ลุกโชนอยู่ถูกปลดปล่อยออกมาเสียที

กว่าบทรักครั้งนี้จะจบลง ผมก็ปลดปล่อยไปอีกหลายรอบ แล้วกว่าคล้าวจะยอมปล่อยให้ผมได้พักผ่อน ผมก็ครางจนเสียงแหบเสียงแห้ง จะห้ามให้หยุดก็ใจไม่แข็งพอ แค่เห็นแววตาและสีหน้าเว้าวอนก็ใจอ่อนไปหมดแล้ว

ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนกับโดนรถหรืออะไรหนักๆ ทับ ร่างกายอ่อนล้าจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ยิ่งส่วนที่รับศึกหนักเมื่อคืนยิ่งอาการหนัก แค่ขยับก็เจ็บร้าวสะท้านสะเทือนไปทั้งตัว



ฮือ ทำไมคล้าวไม่อ่อนโยนกับพี่เลย

ผมได้แต่คร่ำครวญในใจ เพราะยังกระดิกตัวไม่ได้

“ตื่นแล้วเหรอครับ” ผมยังไม่ทันได้ตอบ คล้าวก็ก้าวขึ้นมาบนเตียงแล้วแตะหน้าผากผมด้วยสีหน้ากังวล

“เหมือนจะมีไข้” คล้าวพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนหันไปรื้อของในถุง หยิบปรอทออกมาเสียบจั๊กกะแร้ แล้วลุกไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาเช็ดตัวให้

ระหว่างที่เช็ดตัวอยู่ เสียงปรอทก็ดังพอดี

“มีไข้จริงๆ ด้วย” คล้าวหยิบมาดูแล้วก็พึมพำมด้วยสีหน้ากังวล

“เจ็บมากไหมครับ ผมขอโทษที่เอาแต่ใจนะครับ” พูดจบคล้าวก็ก้มลงมาจูบหน้าผากอย่างอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรครับ” ผมพยายามปลอบคล้าวด้วยเสียงแหบๆ

คล้าวรีบรินน้ำมาให้ผมดื่ม ผมก็ดื่มจนหมด เพราะรู้สึกคอแห้ง ส่วนคอแห้งเพราะอะไรนั้นไม่อยากจะนึกถึง พอนึกถึงขึ้นมาก็เหมือนจะร้อนหน้าขึ้นมาทันที

“ไปโรงพยาบาลดีไหมครับ” คล้าวถามด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายกังวล

“ไม่เป็นไรครับ นอนพักสักนิดก็คงจะดีขึ้น” ผมรีบตอบเพราะไม่อยากไปโรงพยาบาล จะให้บอกหมอว่ายังไงล่ะ ป่วยเพราะเสียซิงงั้นเหรอ เขินตายเลย ไม่เอาด้วยหรอก

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเช็ดตัวเสร็จก็ทานยาแล้วพักผ่อนเลยนะครับ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย เพราะไม่อยากไปโรงพยาบาล

เมื่อคืนคล้าวก็คงเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมแล้ว เพราะผมไม่รู้สึกเหนียวตัวจากเหงื่อและจากอะไรๆ ที่เกิดจากกิจกรรมเมื่อคืน

ผมปล่อยให้คล้าวเช็ดตัวให้ต่อ ให้พลิกซ้ายพลิกขวาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอเห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจของคนตรงหน้าก็อดจะยิ้มไม่ได้

เมื่อคล้าวเช็ดตัวเสร็จก็หันมาสบตากับผมแล้วยิ้มตอบ

“ยิ้มอะไรครับ” คล้าวก้มมากดจูบที่ริมฝีปากเร็วๆ แล้วผละออกมาถามด้วยร้อยยิ้มอ่อนโยน

“พี่แค่มีความสุข” ผมแตะแก้มคล้าว คล้าวก็แนบใบหน้ากับมือผมเหมือนจะอ้อน

“ผมก็มีความสุขมาก ขอบคุณนะครับ” คล้าวจับมือผมมากดจูบลงกลางฝ่ามือ ก่อนจะโน้มใบหน้ามาทำท่าเหมือนจะจูบ ผมเลยรีบเอามือปิดปากคล้าวไว้

“พี่ยังไม่ได้แปรงฟันเลย”

“หึๆ งั้นเดี๋ยวผมพาไปครับ” พูดจบก็ก้าวลงจากเตียงแล้วโน้มตัวมาอุ้มผมขึ้นจนผมอุทานอย่างตกใจเพราะไม่ทันตั้งตัว คล้าวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะอุ้มผมเดินไปส่งในห้องน้ำให้ทำธุระส่วนตัว

พอเปิดประตูห้องน้ำออกมา คล้าวก็เดินมาอุ้มกลับไปส่งที่เตียง ก่อนจะนำอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงที่

หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย คล้าวก็ให้กินยาแก้ไข้ที่ไปซื้อมาระหว่างที่ผมหลับ ก่อนจะทายาที่ช่องทางข้างหลังให้ ซึ่งมันทำให้ผมอายจนแทบจะขาดใจอีกรอบ จะขอทาเองคล้าวก็ไม่ยอม

บรรยากาศหวานชื่นหมือนคู่แต่งงานใหม่นี้ ทำให้ผมได้แต่ยิ้มอย่างมีความสุข นี่ถ้าธงรบอยู่ด้วย มันต้องทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เราสองคนอย่างแน่นอน

หลังจากเรียบร้อยแล้ว คล้าวก็บังคับให้ผมพักผ่อน ผมเลยบอกให้คล้าวขึ้นมานอนด้วยกัน โปรแกรมวันนี้เลยต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย เพราะสภาพร่างกายของผมไม่เอื้ออำนวย

ผมซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของคล้าว ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายที่แผ่ขยายไปถึงหัวใจ แล้วหลับไปอย่างมีความสุข
   
*************************************************************************************

   หลังจากพักผ่อนทั้งวันร่างกายผมก็ดีขึ้น วันต่อมาผมเลยชวนคล้าวออกไปดูผ้าตีนจกที่แม่แจ่มตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก ซึ่งผมก็ได้ผ้าสวยๆ มาอีกหลายสิบผืน รวมทั้งของฝากเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายชิ้น

ระหว่างทางก็แวะไหว้พระและแวะเที่ยวตามสถานที่ที่น่าสนใจไปเรื่อยๆ พอเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม วันต่อมาก็ออกไปเที่ยวต่อ

ผมพาคล้าวไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ก่อนจะชวนขึ้นรถไปเที่ยวพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และไปต่อที่หมู่บ้านม้งดอยปุย

วันต่อมาเราก็ไปเที่ยวที่ดอยอินทนนท์ ก่อนจะกลับมาพักผ่อนเอาแรงที่โรงแรม เพื่อเตรียมเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้นเราก็เดินทางออกจากเชียงใหม่กันตั้งแต่เช้า ระหว่างทางเดินก็แวะเที่ยวไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากตอนขามา กว่าจะถึงสุพรรณบุรีในช่วงบ่ายๆ

หลังจากที่ไปนมัสการหลวงตาที่วัดเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาที่บ้านริมทุ่งแล้วช่วยกันเก็บกวาดบ้านเอาไว้สำหรับนอนในคืนนี้

   เสร็จแล้วผมก็ชวนคล้าวเดินเล่น เราเดินทอดน่องตามคันนาไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เคยเจอตอนผมอยู่ในร่างทองกวาวหลายคน เมื่อเห็นคล้าวก็ตะโกนทักทายข้ามแปลงนามา ผมยืนฟังไปยิ้มไปเพราะเอ็นดูกับความน่ารักของคนที่นี่

กว่าจะไปถึงต้นไทรพระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินพอดี เราจูงมือกันเดินเลาะริมห้วยไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นผมก็ชวนคล้าวรำลึกความหลังไปด้วย

ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเรา ทั้งช่วงเวลาที่ลำบากด้วยกัน ช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกัน ผมเล่าความรู้สึกและความคิดตอนที่เป็นทองกวาวให้คล้าวฟัง เว้นเรื่องที่ผมชอบลวนลามคล้าวไว้ก่อน ยังไม่กล้าสารภาพกับคล้าว เพราะกลัวคล้าวจะรู้ว่าผมแอบหื่น

พอเรามาทำความเข้าใจการกระทำของกันและกันในครั้งก่อน ก็ทำให้เราสองคนต่างหลุดหัวเราะออกมาเป็นด้วยความขำ เพราะบางเรื่องนี่เราต่างก็เข้าใจไปคนละทิศคนละทางเลย

เมื่อเดินกลับมาถึงบ้านคล้าวก็ล้างโอ่งที่อยู่ใกล้ๆ คอกทองกวาวแล้วรองน้ำให้อาบ ระหว่างที่คล้าวไปเทอาหารที่เราซื้อติดมือมาในจาน ผมก็อาบอย่างทุลักทุเล เพราะไม่ถนัดนุ่งผ้าขาวม้า กว่าจะเสร็จผ้าขาวม้าที่นุ่งก็เกือบจะหลุดอยู่หลายรอบ

“ให้ช่วยไหมครับ” ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนผ้าขาวม้าอยู่ ก็ต้องหันขวับไปมองคนแซวที่กำลังยืนมองมาขำๆ

“ก็มาสิ” พอหลุดปากไป คล้าวก็เดินเข้ามาหาจนผมเผลอถอยหลัง เพราะไม่คิดว่าคล้าวจะมาจริง

เมื่อเดินมาถึงคล้าวก็หยิบผ้าขาวม้าผืนที่แห้งพันเอวให้อย่างแน่นหนา ก่อนจะกระตุกผืนที่เปียกอย่างรวดเร็วโดยที่ผมยังยืนงงอยู่ พอเปลี่ยนเสร็จคล้าวก็ขยับมาใกล้แล้วกดจูบลงที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วผละออกมาบอกด้วยแววตาพราวระยับ

“ไปแต่งตัวครับ ถ้าอยู่สภาพนี้ต่อไปเดี๋ยวจะไม่ได้ทานข้าว” ฟังแล้วรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที ต้องรีบเดินขึ้นบ้านไปอย่างรวดเร็วเพราะเห็นแววตาแล้วกลัวใจว่าคล้าวจะทำจริง

พอแต่งตัวเสร็จ เดินลงมาก็เห็นว่าคล้าวกำลังอาบน้ำอยู่ เลยทำเนียนไปนั่งเฝ้าอาหารแล้วนั่งจ้องคนที่กำลังอาบน้ำตาวาว เห็นแล้วน้ำลายแทบไหล ไม่ได้เพราะหิวข้าวนะ แต่หิวคนที่กำลังฟอกสบู่ตามตัวอยู่นี่แหละ

แต่พอคล้าวหันมา ผมก็หลบตาทำทีเป็นกำลังปัดอาหารเพื่อป้องกันไม่ให้อะไรมาตอมอยู่

“อ๊ะ!” ก่อนจะอุทานด้วยความตกใจ เมื่อถูกคนที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินมาหอมแก้มแรงๆ พอหันไปมองก็เห็นตัวการมองมายิ้มๆ เห็นแล้วรู้สึกคันหัวใจยิบๆ

ทำไมถึงได้เป็นคนเกเรแบบนี้เนี่ย เพราะอยู่ในถิ่นตัวเองอย่างงั้นเหรอ อย่าให้กลับไปบ้านผมได้นะ ผมจะ... จะ... จะหอมคืนเลยคอยดู หึๆๆ

“ยิ้มแบบนี้นี่คิดอะไรอยู่ครับ” พอได้ยินคำถามผมก็หุบยิ้มฉับแล้วรีบปฏิเสธ

“เปล่าครับ” คล้าวมีสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ แต่พอเห็นผมยิ้มประจบก็ก้มลงมาจูบเบาๆ อีกรอบแล้วบอก

“เดี๋ยวผมไปแต่งตัวก่อน ถ้าหิวก็ทานก่อนเลยนะครับ” พูดจบก็เดินขึ้นบ้านไป ปล่อยให้ผมค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย

หลังจากท้องอิ่มแล้ว คล้าวก็ทำความสะอาดแคร่ให้สะอาด เอาเสื่อและผ้ามาปู ก่อกองไฟเพื่อไล่แมลง ก่อนจะจับผมทายากันยุงจนทั่ว แล้วชวนผมนอนดูดาว

เราสองคนนอนมองดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้าเคียงกันเงียบๆ กลิ่นดอกมะลิลอยมาตามลมหอมจนผมต้องสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมๆ จนเต็มปอด

“คล้าว” ผมเรียกชื่อคล้าวโดยที่สายตายังไม่ละไปจากท้องฟ้า

“ครับ” คล้าวรับคำเบาๆ

“ร้องเพลงให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมครับ” ผมหันไปถามคล้าวด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

“ได้สิครับ พี่แสนอยากฟังเพลงอะไรครับ” คล้าวตะแคงตัวมาถาม

“มนต์รักลูกทุ่งครับ” เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของคล้าว ผมก็ตะแคงตัวไปทางคล้าวแล้วอธิบายต่อ

“พี่จำได้ว่าคล้าวเคยร้องให้พี่ฟังตอนพี่อยู่ในร่างทองกวาว พี่ชอบมากจนต้องโหลดมาฟังทุกเวอร์ชั่นเลย แต่เวอร์ชั่นที่ชอบที่สุดก็คือเวอร์ชั่นที่คล้าวร้อง พี่เลยอยากฟังอีกครั้ง” พอฟังจบคล้าวก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงมือผมไปจูบเบาๆ แล้วนำมือที่ประสานกันอยู่ไปวางไว้ตรงหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง ก่อนจะสบตาผมแล้วเริ่มร้องเพลง

หอมเอยหอมดอกกระถิน
รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง
เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง
มองเห็นบัวสล่างลอยปริ่มริมบึง
อยากจะเด็ดมาดมหอมหน่อย
ลองเอื้อมมือค่อยๆก็เอื้อมไม่ถึง
อยากจะแปลงร่างเป็นแมลงภู่ผึ้ง
แปลงได้จะบินมาคลึง
เคล้าเจ้าบัวตูมบัวบาน

หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน
ครวญระคนหอมแก้มนงคราญ
ขลุ่ยเป่าแผ่วพริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล
มนต์รักเพลงชาวบ้านลูกทุ่งแผ่วมา
ได้คันเบ็ดสักคันพร้อมเหยื่อ
มีน้องนางแก้มเรื่อนั่งเคียงตกปลา
ทุ่งรวงทองของเรานั้นมีคุณค่า
มนต์รักลูกทุ่งบ้านนาหวานแว่ว
แผ่วดังกังวาน
โอ้เจ้าช่อนกยูง
แว่วเสียงเพลงมนต์รักลูกทุ่ง
ซ้ำหอมน้ำปรุงที่แก้มนงคราญ

ผมนอนฟังคนตรงหน้าร้องเพลงด้วยรอยยิ้ม พอเพลงจบลง ผมก็ขยับไปจูบริมฝีปากคล้าวเบาๆ ก่อนจะกระชับมือที่ประสานกันให้แน่นขึ้นแล้วบอกด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่คลาย

“เอาไว้ร้องให้พี่ฟังอีกนะครับ”

“ครับ ผมจะร้องให้พี่แสนฟังไปตลอดชีวิตเลย” คล้าวบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังจนหัวใจผมเต็มตื้น เมื่อคล้าวขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ผมก็หลับตาลงรับสัมผัสนุ่มนวลอย่างเต็มใจ


*****************************************************************************************

จบแล้วววววววววววววว เย้ๆๆๆๆๆ
เป็นการเขียนเลิฟซีนที่ทั้งขำทั้งเขินเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ ขำในความกากของคล้าว ทำตัวให้สมกับเป็นพระเอกหน่อยลูกกกก
ส่วนพี่แสนก็มุ่งมั่นกับการเสียตัวเหลือเกิน ถถถ
ตอนที่แล้วว่าเหม็นความรักแล้ว ตอนนี้เหม็นหนักกว่าเดิมอีกค่ะ

ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ
บอกตามตรงว่าที่เขียนจบได้เพราะกำลังใจจากยอดอ่านและจากคอมเม้นท์ของทุกคนจริงๆ
เพราะยอดอ่าน ยอดเม้นท์ มันทำให้นักเขียนมือใหม่อย่างเรารู้ว่า มีคนรอ มีคนสนใจอยู่นะ
มันทำให้เรามั่นใจที่จะเขียน มั่นใจที่จะถ่ายทอดจินตนาการของเราออกมาค่ะ
กราบแนบอกทุกคนงามๆ อีกครั้งนะคะ

แต่ตอนนี้คงจะหมด passion ในการเขียนไปอีกพักใหญ่ๆ เลยค่ะ
 ทั้งที่มีพล็อตในหัวอีกล้านแปด เอาไว้คึกๆ จะมาฝึกปรือฝีมือใหม่แล้วกันค่ะ
เผื่อจะมีคนรอ เผื่อจะมีคนติดใจสำนวนเราบ้าง เผื่อจะได้เจอกับ…
พี่แคนที่ยังคิดว่าตัวเองเป็นเป็ด
น้องซอที่ชื่อไม่ได้หมายถึงเครื่องดนตรี
น้องณะที่ไปอยู่ในร่างนายบำเรอ
เรื่องผีๆ ที่อยากจะเขียนดูสักเรื่อง

พล็อตเยอะแยะไปหมด แต่ถ่ายทอดให้ได้ดั่งใจยากจริงๆ ค่ะ
ตอนนี้กลับไปเคลียร์งานประจำ เคลียร์กองดองต่อก่อน
ไว้เจอกันใหม่เมื่อไฟมานะคะ
See you next time
LOVE


:กอด1: :กอด1: :L1: :pig4: :L1: :กอด1: :กอด1:

ปล. ฝากเอ็นดูก้อนดินลูกอีกคนของเราด้วยนะคะ ใกล้จะออกเป็นรูปเล่มแล้วค่ะ ปกงามมากเลย

ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58607.0)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-02-2019 10:23:32
 :o8: :-[
จบได้น่ารัก คล้าวเองก็ทำตัวไม่ถูกว่าจะเริ่มยังไงกับผู้ชาย อันนี้ขำ อิอิอิ
แต่พี่แสนที่ดูเรียบร้อย แต่การเตรียมตัวเพื่อเสียตัวเนี่ยว้าววจริง ๆ
 :hao6: :hao6:
ขอบคุณที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ แล้วจะคอยติดตามเรื่องต่อไปจ้า
 :L2: :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-02-2019 11:18:42
 :3123: :3123: :3123: :L1: :L1: :L1: :L2: :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 02-02-2019 11:51:49
 :katai2-1:  :z1:  :m25: หว๊านหวานไปดูผ้าหรือฮันนี่มูนค่ะ จบไปอีกเรื่อง
แม่ดินรักนะ แต่รักนู๋หินมากกว่า  :m20:  ส่วนพ่อไซก็.....รักนะ รักอะแหละ รักในความมั่นคง เอ๊ะมาเม้นเรื่องอื่นจะดีหรา  :hao3:
แต่จะมีเรื่องคุณไฟไหมค่ะ สงสารเฮียแกนะ ถึงแรกๆ จะหมั่นไส้ก็เถอะ  :mew1:
จะรอติดตามเรื่องต่อไปของคุณค่ะ  :pig4:  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 03-02-2019 13:23:48
อุตส่าห์ฝ่าฟันจบมาถึงตอนจบแแบบร้อนแรง ต้องขอบคุณกามเทพธงรพอุ้มสม เตรียมพร้อมให้ลูกสาวอย่างดี  :laugh:

ขอบคุณไรท์มากค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 03-02-2019 20:34:41
ขำ พี่แสนกับน้องคล้าวผู้ไม่อ่อนโยน
ตอนพิเศษต้องพี่แสนผู้ไม่ออนโยนบ้างแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: TuEyyy ที่ 03-02-2019 22:56:24
 :-[ :-[ :-[ คล้าวจ๋าาา อะไรจะอ่อนโยนขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-02-2019 12:00:22
 :pig4: :pig4: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 04-02-2019 18:33:23
ถ้าแสนมีความสุข เราก็สุขด้วย

มีพิเศษๆไหมน้อ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-02-2019 22:58:42
 :L2: :L1: :pig4:

น่ารักมากๆเลย
ขอบคุณที่แบ่งปัน เรื่องสนุกๆ
เวลานักเขียนเหนื่อยๆ เบื่อๆก็พักก่อนนะของแบบนี้ต้องใจเย็นๆ ส่วนเราก็รออ่านต่อไป เย้เย้
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-02-2019 13:15:30
 :man1:



 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 08-02-2019 21:57:43
น่ารักมากๆ ขอบคุณ ผู้เขียน จ้า สำหรับ ความสุขในการอ่าน ที่มอบให้ เป็นกำลังให้คนเขียน จ้า ^^
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 08-02-2019 23:46:26
รอเรื่องใหม่อยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 09-02-2019 03:05:12
ชอบตอนเป็นพี่คล้าวกับทองกวาวมาก น่าร้ากกกก ชอบคล้าวตอนแรกๆ ด้วย หลังๆขรีมขึ้นเยอะเพราะเข้าเมือง :laugh:
พี่แสนคือมีแต่คนดีๆ รอบตัว ทั้งครอบครัวทั้งเพื่อน ดีมากๆ
ชอบภาษาการบรรยายมากค่ะ อ่านเพลินๆ เนื้อเรื่องสบายๆ ชอบความแฟนตาซีแบบนี้  o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 09-02-2019 18:05:36
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 09-02-2019 19:56:27
สนุกดีค่ะ ชอบตอนแสนอยู่ในร่างทองกวาว น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 10-02-2019 11:55:04
พี่แสนน่ารัก ขอน้องเองเลยนะ :impress2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: mizzmizz ที่ 10-02-2019 14:07:42
 :กอด1:
น่ารักอะไรขนาดนี้ฮะ พี่คล้าวของทองกวาว อิอิ
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายน่ารักๆ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-02-2019 22:01:00
เราแบบอยากให้เป็นน้องทองกวาวตลอดไปเลย ตอนนั้นน่ารักมากกกก แต่พอเป็นคนก็ลุ้นดีค่ะ สนุกมาก อ่านเพลินๆ ไม่หนักในหัวใจ ขอบคุณมากนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 13-02-2019 12:47:52
น่ารักมากครับ เนื้อเรื่องแปลกมากตอนต้น สนุกดีครับ เพลินๆๆ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 14-02-2019 23:03:25
น่ารักมาก มีความขำแสนตอนอยู่ร่างทองกวาวกับความใสซื่อของคล้าว ทองกวาวตัวจริงก็น่ารักเป็นเด็กดีมาก ขอบคุณคนเขียนมาก
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 16-02-2019 14:05:38
 :pig4: ตัวละครทุกคนน่ารักมากชอบบบ o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 17-02-2019 19:17:54
 o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 19-02-2019 02:30:44
 :-[
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 19-02-2019 23:19:20
ตอนแรกก็แปลกใจ นายเอกเป็นน้องควาย
พออ่านไปเรื่อยๆก็หลงรักทองกวาวเลย(กล้ามพี่คล้าวทำอะไรเราไม่ได้)

สนุกมากๆค่ะ ลุ้นสุดๆก็ตอนจีบคล้าวนี่ล่ะ กลัวน้องทำใจนาน
แต่ปรากฎว่าไม่เลย คนเขาผูกพันธ์กันมานี่เนอะ ><
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าอ้วงงง ที่ 26-02-2019 01:16:43
อารมณ์แบบเรื่อยๆมาเรียงๆดีค่ะ สบายๆ o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 19 (Up 17/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-02-2019 03:25:38
อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงคอยทีในอังกอร์เลยอะ (บ่งบอกถึงอายุ55)
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 20 (Up 22/1/62) : P7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-02-2019 03:32:29
 :hao5: ทองกราววว ฮื
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-02-2019 03:50:10
แหมมมม หมั่นไส้แสนจริง ๆ ไม่ค่อยเลยนะ  :z1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 27-02-2019 20:50:55
 :pig4: :pig4:
สนุกมากน่ารักมากเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: zzcors ที่ 03-03-2019 02:36:00
ชอบพระเอกดูกระหนุงกระหนิง
ชอบอ่านช่วงเป็นควายมาก
ไม่รู้ว่าต่อไปจะยังเป็นน้องคล้าวผู้หน่อมแน้ม น่ารักแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 03-03-2019 04:48:12
หวานกระอักให้ตายไปเลยจ้าาาาาาหนูคล้าวลูกพี่แสนจะเป็นลมแล้วววววว ป้าก็เช่นกันนนน
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 04-03-2019 19:41:50
 :a9: น่ารัก  :m3:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: hpsky ที่ 06-03-2019 09:31:17
สนุกมากกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 09-03-2019 13:09:08
ตอนกดเข้ามาอ่านตอนแรกในครั้งแรก
ถึงกับต้องวนไปอ่านซ้ำอีกทีนึงเลยค่ะ นายเอกเป็นควายรึนี่ 55555
เนื้อเรื่องน่ารักมากกก
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: zzcors ที่ 13-03-2019 05:09:49
โอ้ยยยยจบแล้ว ชอบตอนอยู่ในร่างทองกวาวมากกกกกกก อยากอ่านแนวพระเอกดูหงิมๆแค่ภายนอกอีกอ่ะ แพ้แนวนี้ เขินนนน
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: TiGgeRLuMOs62 ที่ 07-06-2019 06:25:54
ชอบตอนนายเอกอยู่ในร่างควาย กับบรรยากาศบ้านทุ่งมากเลยค่ะ
ดูสบายๆ อบอุ่น เฮฮาเต็มที่มาก
รักพี่ทองกวาว :L2:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 01-04-2020 08:04:56
ละมุนมาก พระนายคือดีย์ แต่ที่แย่งซียคือทองกวาว ไม่ว่าจะตอนที่แสนอยู่ในร่างทองกวาวหรือทองกวาวจริงๆตอนที่มาลาคล้าว ออกมาทีไรทำเราน้ำตาซึมทุกที
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 14-04-2020 13:51:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 22-04-2020 15:09:22
ชอบตอนนายเอกเป็นทองกวาวค่ะ พอเป็นคนปุ๊บหวานละมุน แถมมีสองชายคอยปกป้องคุ้มกัน ตามไปกินข้าวทุกตอน พระเอกเริดค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 20-07-2020 23:16:34
จบแล้วววว
น่ารักมากเลยค่ะ ตลกแสนตอนอยู่ในร่างของทองกวาว น่ารักดี
เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่ะ
ส่วนเรื่องของก้อนดิน เราอ่านมาก่อนที่จะมาอ่านเรื่องนี้แล้ว
เรื่องนั้นก็น่ารักมากๆเลยค่ะ ชอบมากกกก
ยังไงก็ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ►►☼☼มนต์รักริมทุ่ง☼☼◄◄ บทที่ 22 ตอนจบ (Up 2/2/62) : P8
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 18-08-2020 18:45:20
แสนน่ารักมากเลย ตั้งแต่อยู่ในร่างของทองกวาวละ  :กอด1: