❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)  (อ่าน 83562 ครั้ง)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 :serius2: จะจบแล้วหรา อะไรๆดูยังไม่เคลียร์เลย จะเป็นยังไงต่อนะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ไอ้เวรเอ๊ยยยยย ช่วยแล้วยังจะมาทำระยำแบบนี้ ปล่อยให้พ่อแกตายเลยดีไหม ถ้ารักษาต่อจะเจอแบบนี้อยู่ดี ซุนไป่หานรีบมาาาาา รีบมาบั่นคอให้เวรนี้ทีดิ คึคึ!! เออออ!งานเข้าทุกทางทุกฝ่าย จะรอดกันไหมเนี้ย?!!! สู้ๆเว้ย!! สนุกค่าาา รอๆตอนต่อไปเลย ลุ้นนนว่าใครจะเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งและอัพนะคะ ^_^

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สนุกมากค่ะชอบๆๆๆๆ :L2:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เอ้าาา ไม่ด้ายยย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 31 ... ❀

           “ปล่อยข้า!!! ”

          อู่ลี่จินหวีดร้องสุดเสียง ความหื่นกระหายอันน่าขยะแขยงของฮงบาตูทำให้เขารู้สึกรังเกียจเป็นที่สุด แต่ไม่ว่าจะออกแรงดิ้นเท่าไรก็มิอาจหลุดพ้นจากพันธนาการของผู้ชายป่าเถื่อนคนนี้ได้เลยสักนิด ฮงบาตูดวงตามืดครึ้มนัก ยิ่งได้ยินเสียงร้อยโหยหวนของร่างข้างใต้ ก็กระหยิ่มยิ้มชั่วอย่างได้ใจ

          “ร้องเลย ร้องให้ดังๆ! ต่อให้เจ้าร้องตะโกนจนคอแหบแห้ง ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาทั้งสิ้น ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าอยู่ที่ได้”

          “สารเลว! ”

          “เจ้ากล่าวได้ถูก ผู้คนมักเอ่ยเรียกข้าเช่นนั้น” ฮงบาตูผละออกมาเพื่อสบกับดวงตาสวยที่ฉายแววราวกับลูกกวางตื่นกลัว ริมฝีปากกระตุกยิ้มข่มขวัญ เลือดในกายมันเดือนพล่าน ไม่คิดว่าร่างบางตรงหน้าจะกระตุ้นความปรารถนาที่จะครอบครองได้มากเพียงนี้

          “เจ้ามันไร้สามัญสำนึกนัก สัตว์มันยังรู้จักบุญคุณคน ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตพ่อของเจ้า แต่กลับตอบแทนด้วยการกระทำชั่วช้าเช่นนี้หรือ!” ลี่จินตวาดกร้าว ตั้งแต่เป็นหมอมาเขาไม่เคยมีความคิดนึกเสียใจที่รักษาคนเจ็บคนไข้เลยสักนิด แต่ครั้งนี้เห็นทีจะกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ สารเลวสิ้นดี!

          “เหอะ! พ่อของข้าก็ส่วนพ่อของข้า ข้ามิได้ติดค้างบุญคุณใดกับเจ้า เจ้าต่างหากที่ติดหนี้ชีวิตข้า! ให้ข้าได้ระบายกับร่างกายเจ้าเพื่อทดแทนเสีย! ”

          “ปล่อยข้า!! หยุดนะ! ”

          ไม่สนเสียงต่อต้านอีก ฮงบาตูโน้มลงไปซุกไซ้ลำคอขาวอันเนียนนุ่ม ยิ่งได้สูดดมกลิ่นกาย ยิ่งปลุกเร้าความตื่นตัวอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกอยากจะขย้ำเหยื่อใต้ล่างนี้ให้แหลกสลายคาคมเขี้ยว คิดกระนั้นก็ฝากฝังรอยฟันลงบนบ่าขาวละเอียด ขบกัดออกแรงจนอีกฝ่ายร้องลั่น

          อู่ลี่จินน้ำตาไหลพรากอย่างมิอาจกลั้น สภาพอันน่าทุเรศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจร่างกายตนเองนัก น่าน้อยใจที่เป็นบุรุษเช่นเดียวกันแท้ๆ แต่เรี่ยวแรงกลับมิอาจขัดขืนสัตว์เดรัจฉานตนนี้ได้เลยสักนิด…

          เกียรติของแพทย์ถูกทำลายจนหมดสิ้น รู้สึกไม่ต่างจากนางบำเรอในหอคณิกา

          ถ้าจะปล่อยให้ถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีกันเช่นนี้ เขายอมตายเสียยังดีกว่า ว่าแล้วก็กลั้นใจคิดจะกัดลิ้นตนเอง

          ฮงบาตูที่หน้ามืดตามัวอยู่นั้น เริ่มได้สติกลับมาตอนที่ร่างข้างใต้แน่นิ่งไปไม่ขยับ ใบหน้าคมเข้มเงยขึ้นจากลำคอที่ฝากฝังรอยเขี้ยว สักพักก็คาดเดาได้ว่าหมอตรงหน้าคิดทำสิ่งใด ไม่รอช้าฝ่ามือใหญ่ก็ฟาดเข้าที่แก้มจนอีกฝ่ายหน้าหัน

          “หยุดกระทำโง่ๆ คิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้าหรือ”

          พรึ่บ!

          “อื้อ! ”

          เพียงเสี้ยววินาทีฮงบาตูก็ใช้เศษเสื้อที่กระชากออกยัดเข้าไปในปากของอู่ลี่จิน มือเรียวที่ได้อิสรภาพเพียงครู่หนึ่งพยายามออกมาปัดป่ายทุบตีคนที่นั่งคร่อมอยู่ แต่สุดท้ายก็ถูกรวบไว้เหนือศีรษะอีกครั้งอย่างง่ายดาย

         น้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากริมขอบตาไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสูญสิ้นแล้วความหวัง แม้จะตายสวรรค์ก็ยังมิอาจประทานให้

          ช่วงเวลาที่แล้งสิ้นความหวังนี้ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้รำพึงถึงใบหน้าคนคนหนึ่ง...ปรารถนาให้ใครนั้นเข้ามาช่วย

          ยังหวังอยู่เสมอ....เชื่อใจว่าซุนไป่หานจะต้องมา…

          แต่ไม่เลย...วินาทีนี้ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย และใบหน้าอันน่สะอิดสะเอียน

          เขาเหนื่อยเต็มทนแล้ว ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังด้านนอกอย่างว่างเปล่า ดูเหมือนด้านนอกจะมีเสียงเอะอะโวยวายกับบางเรื่องอยู่ แต่...ถูกอย่างที่ฮงบาตูพูด ไม่มีใครสนใจ หรือผู้ใดเข้ามาในกระโจมนี้เพื่อช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน

          อู่ลี่จินหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม ปล่อยให้ร่างกายแปดปื้อนโดยมิอาจขัดขืน ทว่า...ความหวังที่คิดว่าแล้งสิ้นไปแล้วนั้น เขากลับไม่ได้ทันสังเกตเลยว่ามีใครบางคนได้แอบย่องเข้ามาในกระโจมอย่างเงียบเชียบ

          ทันใดนั้นเอง... ร่างที่คร่อมทับอยู่ก็ถูกกระชากออกไปจากตัวเขาอย่างกะทันหัน!

          “เจ้า อึก! ” ไม่ทันที่คนถูกขัดจังหวะได้พูดสิ่งใด ดาบเล่มยาวก็เสียบทะลุท้องโดยฉับพลัน ความเจ็บปวดไล่ต้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เลือดก้อนใหญ่กระอักออกมาจากริมฝีปากจนมิอาจเปล่งเสียงมิได้ ฮงบาตูเบิกตัวตามองผู้กระทำอย่างเคียดแค้น แต่ได้เพียงเสี้ยววินาทีร่างกายอันใหญ่โตก็ล้มลงไปกองกับพื้น

          อู่ลี่จินที่พึ่งได้รับอิสระก็รีบดึงผ้าออกจากปาก แล้วใช้ส้นเท้าหยัดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นร่างของชายชั่วนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น ดวงตาคู่สวยจึงเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเหลือบมองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ยืนถือดาบเปื้อนเลือด ทว่าใบหน้ากลับสวมหน้ากากรูปสัตว์ประหลาดอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าฮวง แต่ทำไมคนคนนี้ถึงได้ลงมือกับพวกของตนเอง

          “เจ้าเป็นใครน่ะ! ”

          ไม่ทันได้รับคำตอบ ร่างปริศนานั้นก็พุ่งตัวเข้ามาประชิด พร้อมกับเอานิ้วแตะริมฝีปากเขาเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ อู่ลี่จินหัวใจเต้นโครมครามนัก ไม่รู้คนผู้นี้มาดีหรือร้าย แต่สักพักพอเห็นว่าคนคนนี้มิได้ทำสิ่งใดต่อ เขาขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะยังไม่เชื่อใจเท่าไร แต่ดูท่าคนคนนี้คงมิได้มุ่งทำร้ายเขา ทว่าพอพินิจให้ดีแล้วรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตาเช่นนี้ ทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา

          “เจ้า...”

          เปล่งเสียงออกไปได้เพียงเท่านั้น คนภายใต้หน้ากากปริศนาก็ถอดออก เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นใบหน้าของใครคนนั้นคราแรก ดวงตาคู่สวยก็วาววับสั่นสะท้าน ริมขอบตาร้อนผ่าวสุดต้านจะกลั่นรื้อออกมาเป็นน้ำใสๆ

          “ท่าน...”

          ดวงหน้าหล่อเหลาคุ้นเคย เนตรสีดำลุ่มลึกประโลมจิตใจ ทั้งจมูก คิ้วริมฝีปาก ล้วนรังสรรค์ออกมากลายเป็น คนที่เขาคะนึงหามากที่สุด “รอข้านานหรือไม่” พอกันทีกับกำแพงหนาทึบที่ก่อขึ้นในจิตใจ จากนี้ไปเขาโกหกมิได้อีกแล้วว่าหัวใจหวังเพียงรอคนตรงหน้า อ้อมแขนโผเข้ากอดอีกฝ่ายอย่างโหยหา น้ำตาที่ปะปนไว้หลากความรู้สึกพรั่งพรูออกมาอย่างมิอับอาย “ขอบคุณ...ที่ท่านมา”

          ใบหน้างามซบลงบนบ่า ซุนไป่หานได้แต่สวมกอด จุมพิตปลอบโยนไปที่ข้างขมับ “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารอ” ไม่สิ่งใดสุขใจไปเท่าการได้เห็นคนที่รักปลอดภัย ทว่าช่วงเวลาแห่งความสงบนั้นแสนสั้น ซุนไป่หานค่อยๆ ผละอู่ลี่จินออกจากอ้อมอก

          “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”

          “ไว้ค่อยอธิบาย เรามีเวลาไม่มาก รีบไปกันเถอะ” ไป่หานย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงจะยังไม่ได้รับคำตอบ แต่ลี่จินพยักใบหน้ารับเบาๆ รีบจัดเสื้อผ้าที่ถูกฮงบาตูย่ำยีให้เรียบร้อย

          ซุนไป่หานเห็นภาพนั้นก็ปวดใจนัก หากมิได้เงื้อดาบแทงไอ้สุนัขชาติชั่วนี่อีกหลายร้อยแผลให้หายแค้นคงมิอาจข่มตาหลับ ไป่หานหันแผ่นหลังดาบเล่มยาวถูกเงื้อขึ้นสูง “อย่า...” แต่ก่อนที่ดาบจะย้ำลงไปยังร่างชายชั่วอีกครั้ง อู่ลี่จินก็รีบลุกขึ้นร้องห้าม เขาปรายสายตามองฮงบาตูที่นอนกระอักเลือดหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น

          “ปล่อยเขาไปเถิด”

          “มันทำระยำกับเจ้า เหตุใดถึงไม่ให้ข้าฆ่ามัน”

          “ท้องของเขาถูกแทงทะลุปอดแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องขาดใจตายอย่างทรมานเอง ไม่มีค่าพอที่ท่านต้องลงมืออีกต่อไป " ฮงบาตูยังไม่ตาย...แต่ถึงจะเป็นหมอแต่หัวใจดวงนี้กลับบอบช้ำเกินไปที่จะเมตตา นัยน์ตาคู่สวยของอู่ลี่จินมองภาพฮงบาตูอย่างว่างเปล่า

          “ไปกันเถิด...”

          เพียงก้าวออกมาด้านนอก กลิ่นเหม็นไหม้ก็โชยคลุ้ง ผู้คนต่างถือถังน้ำวิ่งกันให้วุ่นความวุ่นวายปรากฏสู่สายตา

          ลี่จินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ที่คนด้านนอกมิได้สนใจว่าซุนไป่หานลอบเข้ามาที่กระโจมได้อย่างไรอาจเป็นเพราะว่าทุกคนที่นี่วุ่นวายอยู่กับการดับเพลิง

          “ข้าลอบเข้ามา แล้วจุดไฟเผาคลังเสบียงของพวกมัน เพื่อเบนความสนใจระหว่างที่ข้าตามหาเจ้า”

          ไม่ว่าเปล่า ไป่หานรีบคว้ามืออีกฝ่ายแล้วให้วิ่งตามหลังเงียบๆ

          ลี่จินรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม แต่เขาอดเป็นกังวลมิได้

          “ท่านมาเพียงลำพังหรือ”

          “ข้าจำเป็นต้องมาช่วยเจ้าเพียงลำพัง หากยกคนมามากอาจเป็นที่สังเกต ทั่วทั้งบริเวณป่านี่มีพวกเผ่าฮวงอยู่เต็มไปหมด โชคดีที่เราจับเผ่าฮวงมาได้คนหนึ่ง เข้นจนได้คำตอบว่าฐานที่ตั้งอยู่ที่ใด ข้ายืมหน้ากากน่าขนลุกของพวกมันมาใส่เพื่อลอบเข้ามาที่นี่จากด้านหลังที่ไม่มีคนสังเกต”

          พอได้รับคำอธิบายก็รู้สึกใจหายนัก ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรบ้าบิ่นสิ้นคิดเช่นนี้

          “ลี่จินเจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่ากระโจมของหัวหน้าเผ่าอยู่ที่ใด”

          ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคำถามนี้ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องนัก ทั้งน้ำเสียงและแววตาของซุนไป่หานเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาราวกับคนล่ะคน แต่ถึงกระนั้นลี่จินเองก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังความลับให้ศัตรู “ข้ารู้” ก่อนนิ้วเรียวจะชี้ไปยังกระโจมหลังใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปในสุด

          ไป่หานพยักใบหน้า “ถึงไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ว่านี่อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทางเราได้เปรียบ”

          “ท่านจะทำสิ่งใด” ซุนไป่หานไม่ตอบคำถาม ร่างสูงรีบมุ่งตรงไปยังกระโจมหลังนั้นอย่างเงียบเชียบ

          ลี่จินเบิกตากว้าง ไม่ทันจะได้หักห้ามใดๆ ไป่หานก็ชักดาบออกมาฟันพวกที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าจนสิ้นชีพในดาบเดียว ก่อนจะมุ่งตรงเข้าไปในกระโจม

          เสียงร้องด้านหน้าทำให้คนที่นอนพักรักษาอยู่บนเตียงรู้สึกตัว แต่ไม่ทันไรก็เห็นชายหนุ่มเผ่าฮวงผู้หนึ่งเดินถือดาบเปื้อนเลือดเข้ามาหาอย่างคุกคาม และเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ไม่โอกาสเห็นภาพใดๆ อีก เมื่อคมดาบเงื้อขึ้นสูงแล้วตวัดลงมาอย่างรวดเร็ว “อย่า! ”

          ตุบ...

          วัตถุบางอย่างตกลงมาจากบ่ากลิ้งไปตามพื้น พอเพ่งมองให้ชัดก็พบว่าเป็นศีรษะของหัวหน้าเผ่า อู่ลี่จินที่ตัดสินใจตามซุนไป่หานเข้ามาด้านในด้วย เมื่อเห็นภาพที่คนตรงหน้าลงมือตวัดสันหลังก็เย็นสะท้านขึ้นมา ขณะที่ตรงอกก็รู้สึกพะอืดพะอมที่พบภาพที่ไม่น่าจดจำ

          “รีบไปกันเถอะ”

          “ท่านสังหารเขาต่อหน้าข้า”

          “ลี่จิน”

          “อย่างน้อยถ้าท่านจะฆ่าเขาก็ควรบอกข้าให้ไปซ่อนตัวหรือไม่ต้องตามมา” ลี่จินเบือนใบหน้าหนี เขารู้สึกไม่ชินสายตานักที่ต้องมาเห็นคนที่รักษากับมือต้องมาตายอย่างอเนจอนาถต่อหน้าเช่นนี้

          “ข้าขอโทษ แต่พวกเราต้องรีบหนีแล้ว”

          ไป่หานย้ำเสียงเครียด ลี่จินสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนถอนหายใจออกมา อย่างที่ไป่หานพูดนี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องเช่นนี้ พวกเขาต้องอาศัยจังหวะชุลมุนรีบหนีออกไปจากที่นี่

          ทว่า...ยังไม่ได้ขยับเท้าไปที่ใด ช่วงเวลาวุ่นวายเช่นนี้เผ่าฮวงสองคนที่เห็นเพื่อนถูกฆ่าตายอยู่หน้ากระโจมก็รีบวิ่งเข้ามาหาหัวหน้าเผ่าด้านในพอดี

          “พวกเจ้าเป็นใคร...ห..หัวหน้า! ” ไป่หานไม่รอช้ารีบลงมือตวัดดาบใส่เข้าที่กลางอกจนเลือดสีเข้มสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อน เผ่าฮวงผู้โชคร้ายสิ้นชีพลงในทันใด ทว่ากลับมีอีกคนที่หนีรอดออกไปได้แล้วรีบคว้าแตรเขาวัวมาเป่า เป็น สัญญาณเตือนว่ามีผู้บุกรุก

          ไป่หานหน้าซีดทันพลัน ก่อนจะรีบหันไปสั่งอู่ลี่จิน “รีบตามมา!” เพราะออกด้านหน้าไม่ได้อีกแล้ว ไป่หานเลยลงมือใช้ดาบฟันผ้าด้านหลังจนขาดเป็นรูใหญ่ ก่อนจะคว้ามืออู่ลี่จินแล้วรีบหนีออกไป

          ทั้งสองลัดเลาะไปตามกำแพง มีซอกไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกปิดบังด้วยพุ่มไม้หนาทึบ ไป่หานรีบใช้ช่องทางนั้นในการหลบหนีไปที่ชายป่า “ข้าผูกม้าไว้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี่ อดทนหน่อยพวกเราต้องหนีพ้น” มือที่กำกุมอยู่บีบแน่นขึ้นราวกับต้องการปลอบประโลมคนที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเพียงแค่นั้นก็พานให้หัวใจที่กังวลของเขาอุ่นขึ้น ทว่า…

          พรึ่บ!

          “ลี่จิน! ระวัง! ”

          เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอไผลไม่ระวัง ลูกธนูก็ยิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซุนไป่หานไม่รอช้ารีบพุ่งตัวไปปกป้องคนรัก พร้อมกับตวัดดาบในมือปัดคมศรไว้ได้ทัน อู่ลี่จินหัวใจหล่นวูบไปอยู่แทบเท้า หากไม่ได้คนตรงหน้าช่วยไว้เขาคงตายไปแล้ว

          “มันอยู่ตรงนั้น! ”

          “หนีเร็ว! ”

          ไม่รั้งรอสิ่งใด ไป่หานรีบคว้าข้อมือคนรักก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในป่า “จับมันให้ได้! ” เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งไล่ตามหลัง ลูกธนูนับสิบถูกกราดยิงออกไปนับสิบราวกับต้องการให้ไอ้พวกชั่วชาติที่กำลังหนีอยู่ตายอย่างอเนจอนาถ ให้สมกับที่สังหารเผ่าของพวกเขา

          “ฆ่ามันให้ได้ ฆ่ามัน!! ”

          เสียงตะโกนของใครบางคนดูเหมือนจะปลุกระดมความฮึกเหิมของพวกที่ใส่หน้ากากสัตว์ประหลาดได้อย่างดิบดี ซุนไป่หานกัดฟันแน่น ขณะที่ขาก็ยังขยับวิ่งไม่คิดหยุด ส่วนมือที่เหลืออยู่ก็กวัดแกว่งดาบใส่ลูกศรที่หลุดเข้ามาทิ้งอย่างแม่นยำ แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ก็ลำบากเต็มกลืน ลำพังแค่ตัวเขาคนเดียวนั้นไม่เท่าไร แต่เพราะมีคนรักอยู่ด้วยยิ่งทำให้เขากังวลหนัก แต่อย่างไรเขาจะไม่มีปล่อยให้ลี่จินเป็นอะไรอันขาด หากพวกเขาขึ้นม้าได้ก็จะรอด!

          “ตรงนั้น! ”

          ไป่หานรีบพาลี่จินพุ่งตัวไปยังด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลกันนั้นเขาผูกม้าเร็วแอบไว้ พอมาถึงก็รีบปลดเชือกแล้วคว้าเอวบางขึ้นมาอยู่บนหลังม้า ก่อนจะกระตุกบังเหียนอย่างรวดเร็วให้เจ้าม้าดำพุ่งทะยานออกไป

          ทว่า...การไล่ล่าก็ยังมิได้ลดหย่อนลง ไป่หานเร่งกระตุกบังเหียนม้าให้วิ่งเร็วยิ่งขึ้น แต่เผ่าฮวงกลับไม่ละใช้ฝูงสุนัขดำไล่ล่าเขาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งพวกมันยังชำนาญพื้นที่ในป่ามากกว่าเขาราวกับรู้ช่องทางในการหลบหนีเป็นอย่างดี ทั้งลูกธนูและคมหอกจึงถูกยิงและขว้างปาลงมาจากบนต้นไม้ราวกับห่าฝน

          อู่ลี่จินกอดเอวแกร่งเอาไว้แน่น ตัวก็โน้มลงต่ำเพื่อหลบคมหอกคมศร หัวใจเต้มคึกโครมอย่างหวาดกลัวจนแทบอยากจะร่ำไห้ระบาย แต่กระนั้นก็ยังเชื่อใจคนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าว่าจะทำให้เขาปลอดภัย

          และ...ด้วยความที่เป็นองครักษ์ที่ชำนาญการศึกและสู้รบ ไป่หานพยายามเร่งความเร็วม้าให้มากกว่าปกติเพื่อที่จะทำให้พวกที่ตามมาเล็งเป้าได้ยากขึ้น แต่เนื่องจากเป็นพื้นป่าคดเคี้ยวประกอบเป็นฤดูคิมหันต์ น้ำแข็งที่เกาะอยู่บางๆ บนดิน ทำให้เร่งความเร็วได้ไม่เต็มที่นัก

          อีกไม่ถึงหนึ่งลี้จะพ้นพื้นที่ป่าแล้ว ทว่า...ลูกธนูดอกหนึ่งกลับพุ่งตรงมาปักที่สะโพกของม้าเข้าอย่างจัง

          อาชาตัวดำหวีดเสียงร้อง ความตกใจทำให้มันกระเด้งเท้าหน้าขึ้นจากพื้นกะทันหันไป่หานมิอาจควบคุมบังเหียนเอาไว้ได้ แรงดีดทำให้อู่ลี่จินตกจากหลังม้าในฉับพลัน นัยน์ตาคู่สวยเบิกโต หัวใจหล่นวูบไม่ต่างจากร่างกาย แต่ก่อนจะตกถึงพื้น ไป่หานรีบกระโจนเข้าหาและคว้าตัวอีกฝ่ายมาสวมกอดป้องกันไว้ได้อย่างทันท่วงที

          วงแขนแกร่งโอบรัดอู่ลี่จินเอาไว้แนบแน่น แรงเหวี่ยงทำให้ทั้งสองเกลือกกลิ้งไปผืนป่าที่เย็นเยียบไม่ต่างจากก้อนดินที่ตกลงมาจากผาชัน เศษดินและก้อนกรวดเปรอะเปื้อน บาดผิวหนังจนแทบร้อน แต่กระนั้นไป่หานก็ยังอดทนไม่คิดไปปล่อยลี่จินไปเป็นอันขาด กว่าจะหยุดลงก็เมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับบางสิ่ง

          อึก!

          ลี่จินลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของซุนไป่หาน ทว่าเพราะแรงเหวี่ยงเมื่อครู่ทำให้รู้สึกมึนงงนัก พอตั้งสติได้ว่าเกิดสิ่งใดก็รีบผละตัวออกมาทันที ก่อนเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยใจที่สั่นคลอ “ท่าน! ” เพราะใช้ร่างกายปกป้องเขาเอาไว้ ทั่วทั้งตัวของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยบาดแผลถลอกเต็มไปหมด แต่นั่นก็ไม่เท่ากับบริเวณข้างเอวด้านซ้ายซึ่งเลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมาเป็นดวง พอเคลื่อนชายเสื้อออก ก็เห็ฯกิ่งไม้ขนาดเท่าคู้ตะเกียบปักทะลุออกมา ลี่จินหน้าซีด

          “ท่านบาดเจ็บ”

          “ม..ไม่เป็นไร แค่เศษไม้ หักออกก็สิ้นเรื่อง” เพราะเจนสนามรบมามากทำให้รู้ว่าไม่ควรทำสิ่งใด ไป่หานรีบเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้นั้นเร็วเท่าความคิด แต่พอจะลุกขึ้นยืนกลับรั้งร่างกายตนเองไว้ไม่อยู่ ดีที่ลี่จินแทรกตัวเข้าไปพยุงได้ทัน

          “ท่านเดินไม่ไหวแล้ว พวกเราต้องหาที่ซ่อนตัว

          “ไม่มีที่ซ่อนอีกแล้ว” เสียงแผ่วเบาเรียกใบหน้างามให้หันไปมองตามสายตาขององครักษ์หนุ่ม

          อู่ลี่จินหัวใจเย็นวาบขึ้นมาราวกับถูกแช่ในน้ำเย็นจัด เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีเสียงกู่ร้องก็ไล่ตามมาจากชายป่า ไม่ช้านัยน์ตาคู่สวยก็เบิกกว้าง เผ่าฮวงในชุดหน้ากากหนังสัตว์กลุ่มใหญ่พร้อมฝูงสุนัขป่ากำลังขี่ม้าตรงมาทางพวกเขา

          “ลี่จินทิ้งข้าไว้ แล้วรีบหนีไป” ประโยคสั้นๆ ที่ไม่คาดว่าจะได้ยินทำเอาใบหน้างามหันอย่างไม่อยากเชื่อ

          “ไม่...”

          “ข้าจะต้านพวกมันไว้”

          “ไม่ ท่านต้องไปกับข้า! ”

          “ลี่จิน! ”

          พอกันที!

          “หากท่านตาย ข้าก็จะขอตายพร้อมท่าน! ”

          เส้นความอดทนขาดสะบั้น ไม่ปล่อยไม่เสียเวลามากกว่านี้ อู่ลี่จินรีบพยุงร่างของคนดื้อดึงขึ้นพาดบ่า ก่อนจะขยับเท้าลากซุนไป่หานไปด้วย

          “เจ้าทำสิ่งใด! ”

          "ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ข้าจะลากท่านไปด้วย! ”

          ถึงจะไม่อยากทำเยี่ยงนี้แต่ซุนไป่หานดื้อดึงเกินไปคิดจะสละชีพเพื่อ ช่างสิ้นคิดนัก! แล้วใจเขาเล่าเคยคิดถึงมันบ้างไหม

          ซุนไป่หานพอเห็นลี่จินพยายามทำเช่นนี้จึงได้แต่ถอดใจและขยับเท้าตามไปด้วย ทว่าทั้งที่สถานการณ์แลดูสิ้นหวังแล้วแท้ๆ แต่อู่ลี่จินกลับทำให้เขาอมยิ้มมุมปากเล็กๆ เป็นไม่ได้ รู้สึกดีนักที่สวรรค์ลิขิตให้เขาพานพบกับหมอท่านนี้

          ก้าวขาหนีไปได้ถึงสะพานไม้ข้ามเหวลึก ทว่ายังไม่ทันจะได้ข้ามไป ที่ฝั่งตรงข้ามกลับมีพวกเผ่าฮวงดักรออยู่

          ลี่จินเบิกตากว้าง พวกมันใช้มีดตัดเชือกสะพานจากอีกฝั่งจนขาดต่อหน้าต่อตา สะพานไม้ร่วงหล่นลงไป อย่างสิ้นหวัง แต่พอจะหันหลังกลับไป พวกฮวงก็ไล่ต้อนพวกเขามาจนทัน

          “พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก เตรียมตัวตายซะ! ” เสียงคำรามจากชาวฮวงพ่นออกมาพร้อมกับคมดาบที่ชักออกจากฝัก ทั้งคันศร และคมหอก อาวุธทุกอย่างต่างพร้อมพุ่งตรงมาทางพวกเขาทั้งสิ้น

          ไป่หานกัดฟันแน่น ดูท่าทั้งเขาและลี่จินคงต้องจบลงตรงนี้เป็นแน่

          ขณะที่ความสิ้นหวังฉายออกมาจากแววตาของซุนไป่หานได้ครู่หนึ่ง อยู่ๆ ในหูของก็พลันได้ยินเสียงบางอย่างจากล่างพื้นดิน

          เสียงน้ำ…

          จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาพอจะคาดเดาบางสิ่งได้ ไป่หานชำเลืองสายตามอง จากมุมนี้เขาเห็นแม่น้ำสายเล็กๆ รอรับอยู่บริเวณก้นเหว แต่จากความสูงระดับนี้ก็เสี่ยงนัก แต่ว่า...

          “ถ้าต้องตายด้วยคมศพของพวกเจ้า ข้ากระโดดน้ำตายเสียยังดีกว่า”

          ไป่หานตัดสินใจ กระซิบชื่อคนข้างๆ

          “ลี่จิน..ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายเด็ดขาด เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”

          ลี่จินได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว หัวใจเต้นกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่พักเดียวก็เหมือนพอจะเดาเรื่องราวออก

          หมอหนุ่มคลี่ยิ้มบางเบา

          “ข้าเชื่อใจท่าน”

          ถ้อยคำสั้นๆ เอ่ยตอบรับ สองสายตาประสานกันอย่างลึกซึ้ง ไป่หานเคลื่อนแขนลงมากุมมืออีกฝ่ายแล้วบีบไว้แน่น

          ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เงียบสงบ

          สายลมเย็นพัดพลิ้วมา เส้นผมสีดำปลิวสยาย รอยยิ้มค่อยๆ มลายหายไปแทนที่ด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น ไม่รอช้าริมฝีปากของนักรับก็เขยื้อนเอ่ยถ้อยคำสุดท้าย

          “โดด!! ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2019 13:49:43 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 31 ...ครบ ❀

          เมื่อฤดูหนาวครั้งยังเป็นเด็ก ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่อู่ลี่จินเคยตกธารน้ำระหว่างที่ไปเก็บหญ้าหิมะที่เขาซิ่วฮวา ไข้ของเขาขึ้นสูงจัดร่างกายเหมือนกำลังถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟตลอดเวลา แต่เพราะต้องการสั่งสอนเด็กซุกซน ท่านปู่จึงให้เขาดื่มแค่น้ำขิง ในตอนนั้นเขาจำรสชาติเผ็ดร้อนได้ขึ้นใจ เขานึกโกรธท่านปู่มาก พอเริ่มมีแรงลุกขึ้นได้ทั้งที่ยังมีไข้ ด้วยความเป็นเด็กใจร้อนต้องการหายป่วยไวไวและเคยเห็นท่านปู่รักษาคนไข้มานักต่อนัก เลยคิดจะเลียนแบบบดยาให้ตนเอง สุดท้ายเขาป่วยหนักเพราะอาการแพ้เกสรดอกบัวอย่างรุนแรง

          ในตอนนั้นลี่จินรู้สึกทรมานอย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งแสบร้อนที่จมูก หายใจไม่ออก ร่างกายประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวจนคิดว่าคงไม่รอดเป็นแน่ สุดท้ายลำบากท่านปู่ต้องมาช่วยรักษาเยียวยารักษาให้ แต่ก็ไม่พ้นน้ำขิงร้อนอีกอยู่ดี

          เป็นความฝันที่น่าหงุดหงิดนักที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องในอดีต...แต่เพราะกลิ่นน้ำขิงในความทรงจำ ทำให้ดวงตาที่ปิดสนิทไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไรลืมขึ้นอีกครั้ง

          ภาพทุกอย่างกลับสว่างจ้าไปชั่วครู่ หนำซ้ำยังรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่าง อู่ลี่จินกะพริบตาซ้ำกว่าหลายครั้งกว่าภาพทุกอย่างชัดเจน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหินดาดกลมมนรายราดอยู่กับพื้น รายล้อมด้วยผนังสีดำสองฝั่ง ส่วนด้านในเป็นโพรงหิน ถัดมาคือเสียงดัง ‘ซู่’ ของน้ำตกไม่ใกล้ไม่ไกล พอเหลือบดวงตาไปที่ด้านซ้ายมือก็พบกองไฟที่มอดดับไปแล้ว ทว่ายังคงอุ่นๆ อยู่

          ที่นี่เหมือนจะเป็นโพรงถ้ำ แต่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น? เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? พอทบทวนความทรงจำได้ทั้งหมด ในคลองจักษุทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

          ใช่...เขากระโดดเหวลงมาพร้อมกับซุนไป่หานอย่างบ้าบิ่น จากนั้นก็จำสิ่งใดมิได้อีก ที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้ ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่ง...แต่

          หมอคนงามพยายามหยัดตัวลุกขึ้นยืน แต่เพียงขยับก็รู้สึกปวดระบมราวกับกระดูกข้างในร้าวไปหมด เขากัดฟันทน มีกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือพอที่จะค้ำตัวได้วางอยู่พอดี  เขาคว้ามันก็จะลุกขึ้นจนสำเร็จ นัยน์ตาคู่สวยกวาดรอบๆ อีกครั้ง ทว่าทั้งที่คาดหวังว่ะพบใครบางคนแต่กลับไม่พบใครเลยสักนิด

          ขณะที่หัวใจกำลังลอยเคว้ง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เงาดำสูงใหญ่ก็ก้าวเดินเจ้ามาที่ปากถ้ำ ซุนไป่หานที่เดินไปเก็บฟืนมาเติม เลิกคิ้วขึ้น พอเห็ฯอู่ลี่จินกำลังหันซ้ายหันขวาก็รีบทัก

          “ข้านึกว่าเจ้าจะนอนขี้เซาไปอีกวันเสียอีก”

          เสียงนุ่มทุ้มที่ได้ยินจากเบื้องหน้าทำให้รู้สึกหัวใจพองโตนัก เมื่อพบร่างแกร่งกำลังเดินกลับมา

          “ท่าน! ”

          ลี่จินร้องเรียกด้วยความดีใจ แต่เพียงขยับเท้าก็รู้เจ็บแปลบขึ้นมา จนทรงตัวได้ยากเย็น

          ซุนไป่หานทิ้งฟืน แล้วพุ่งตัวเขามาช่วยพยุงคนเจ็บ

          “เจ็บหรือไม่”

          “เล็กน้อยข้าทนได้”

          เพราะไป่หานเข้ามาทันเวลา เขาถึงได้ไม่เจ็บตัว อู่ลี่จินคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ ก่อนไป่หานจะค่อยๆ พยุงหมอร่างบางไปนั่งที่โขดหินตรงผนังถ้ำ

          พอได้นั่งก็รู้สึกดีขึ้น แต่เท้าก็ยังปวดอยู่ดี ลี่จินนึกทบทวนอาจเป็นเพราะตอนตกม้า ทำให้เส้นเอ็นพลิ๊ก แต่เพราะสถานการณ์เร่งเร้าตอนนั้นเลยทำให้ไม่รู้สึกตัว พอหลังจากตกลงมาจากที่สูงเจอน้ำเย็นจัด ไม่แปลกที่จะเกิดอาการบวม

          “เจ็บเท้าหรือ”

          “เล็กน้อย ข้าทนได้”

          สิ้นเสียงซุนไป่หานก็ย่อตัวลงข้างๆ มือหนาค่อยๆ ช้อนปลายเท้าคนเจ็บมาวางไว้บนต้นขา

          นัยน์ตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างตกใจ

          “ทะ...ท่านจะทำสิ่งใด”

          “ข้าจะนวดคลึงให้เจ้า”

          ไม่ปล่อยโอกาสให้คนที่นั่งอยู่ปฏิเสธ ไป่หานค่อยๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดคลึง เบาๆ ที่ปลายเท้าอีกฝ่าย อย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นสิ่งของบอบบาง

          พอเห็นความดื้อดึงของอีกฝ่ายแล้ว อู่ลี่จินก็ได้แต่ถอนหายใจ ปล่อยให้คนตัวโตทำตามใจชอบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี ไม่รู้ว่าช่วงที่เขาสลบไปจะทำให้คนตรงหน้าลำบากเพียงใดบ้าง “ข้าหลับไปนานเท่าไร” ลี่จินถามเสียงแผ่ว นัยน์ตาคมเข้มเหลือบขึ้นมอง

          “ตั้งแต่กระโดดลงมานี่ก็ใกล้จะครบ 3 ชั่วยามแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกังวลที่นี่ห่างไกลจากพวกนั้นนัก ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้วเห็นทีเราต้องพักกันเสียก่อน พอรุ่งเช้าค่อยออกเดินทาง”

          ลี่จินพยักใบหน้าแผ่วเบารับรู้ ระหว่างนนั้นนัยน์ตาก็ทอดมองซุนไป่หานไปด้วย

          จะว่าไปแล้วหากสังเกตดูดีๆ ทั้งใบหน้าละริมฝีปากของคนตรงหน้าช่างซีดขาวนัก ทว่ากลับมีเหงื่อเกาะพราวไปทั่ว ส่วนใต้ตาก็มีสีคล้ำ “สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย ท่านไม่เป็นไรแน่หรือ จริงด้วย...แผลที่เอวท่าน” พอนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ลี่จินก็รีบชักเท้าตนเองกลับ ก่อนยื่นมือไปสัมผัสที่ข้างแก้มอีกฝ่ายอย่างบไม่พูดพร่ำ ทันทีที่ได้สัมผัสอุณหภูมิอีกฝ่ายคิ้วเรียวก็กดเข้าหากัน

          “ท่านตัวร้อน” ไป่หานคลี่ยิ้มหนักอึ้ง

          “มือเจ้าเย็นไปต่างหาก”

          “ท่านกำลังป่วย”

          ลี่จินไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย หมอคนงามทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าถูกอีกฝ่ายดึงมือให้นั่งลงตามเดิม “ไม่เป็นไร เจ้านั่งพักเถิด ขาเจ้ายังเจ็บอยู่ ข้าจะเป็นคนออกไปหาอะไรให้เจ้ากิน”

          ขาดคำซุนไป่หานก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วรีบหันแผ่นหลังสาวเท้าทำท่าจะเดินออกไปจากปากถ้ำ

          แต่ว่ายังไม่ทันจะได้ออกไปจนพ้น อยู่ๆ คนด้านหน้าก็หยุดเดิน

          ไป่หานรู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างหมุนวนเป็นเกลียว สุดท้ายก็มิอาจรั้งร่างกายตนเองได้ ร่างสูงล้มลงไปกองกับพื้นเสียงดัง

          ตุบ!

          “ไป่หาน! ”

          อู่ลี่จินเบิกตากว้าง แต่เพราะรีบลุกขึ้นมาทำให้ข้อเท้าเจ็บแปลบขึ้นมาราวกับถูกเข็มทิ่ม อู่ลี่จินกัดฟันแน่นถึงจะปวดจนปิดเสียงร้องตนเองมิได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ว่านั่งมองอยู่เฉยๆ หมอหนุ่มกลั้นใจเดินกะเพกเข้าไป นั่งลงข้างๆ ก่อนยกศีรษะคนนอนอยู่มาหนุนลงที่ตักตนเอง

          “ท่าน ท่านได้ยินข้าไหม”

          เพราะซุนไป่หานอยู่ในอาการสะลึมสะลือ อู่ลี่จินจึงเรียกสติด้วยการใช้มือตบเบาๆ ที่ข้างแก้ม ดวงตาคู่เข้มปรือมองขึ้นอยู่พักหนึ่ง ภาพทุกอย่างช่างพร่าเบลอไปหมด ส่วนหัวก็รู้สึกหนักอึ้งราวกับพอกไว้ด้วยโคลนหนา

          “ล...ลี่...จิน...”

          อุณหภูมิที่ร้อนจัดทำให้หมอหนุ่มยิ่งใจไม่ดีนัก เขามองเสื้อผ้าที่เย็นชื้นของอีกฝ่าย ก่อนจะลงมือฉีกมันออก

          แผงอกกำยำปรากฏสู่สายตา กล้ามเนื้อด้านในล้วนเป็นมัดสวย เว้นเพียงผิวเนื้อที่ซีดขาวไม่ต่างจากศพ พอเลื่อนสายตาต่ำลงมาไปที่ด้านซ้ายของช่วงท้อง ก็พบว่ามีผ้าพันแผลไว้อย่างลวกๆ ซึ่งมีร่อยรองของน้ำสีแดงหลงเหลือไว้เป็นดวง

          ลี่จินขมวดคิ้ว เขารีบฉีกผ้านั่นออกอย่างไม่พูดพร่ำ รอยแผลเป็นวงขนาดกว้างเกือบเท่าปากถ้วยสุราทำให้ใจเขาสั่น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตกใจเท้ากับผิวเนื้อสีดำแดงที่สมานปิดรอยแผลขนาดใหญ่ คาดเดาได้ว่าเกิดจากถูกเหล็กร้อนๆ นาบลงไป

          “ท่านเสียเลือดมากไป...แต่รอยแผลไหม้ๆ นี่มันอะไรกัน...ท่านใช้เหล็กรนไฟปิดแผลใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร บ้าไปแล้วหรือ”

          ลี่จินกล่าวเสียงเครียด มองรอยไหม้บนบาดแผล ถึงเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่หากห้ามเลือดด้วยวิธีประทับเหล็กร้อนกับแผลใหญ่ ก็เท่ากับทำร้ายรอยแผลเดิม และยิ่งทำให้ร่างกายรับภาระหนักเพราะเลือดที่โดนความร้อนมากเกินไปจะจับตัวเป็นก้อนแค่บริเวณปากแผล หากเป็นยามปกติเขาคงไม่กังวล แต่เพราะอากาศและอุณหภูมิที่เย็นชื้น ทำให้แผลสมานตัวได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดไข้แทรกซ้อนได้

          “ข้าจำเป็นต้องปิดปากแผล ไม่ใช่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าไม่ได้”

          อู่ลี่จินหัวใจหล่นวูบ ประโยคที่ได้ยินจากคนในอ้อมแขนทำเอาพูดสิ่งใดมิออก ในอกทั้งซาบซึ้งและอึดอัด เมื่อในที่สุดแล้วตนเองกลับกลายเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด

          “ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”

          “ข้า...รู้สึกมึนหัวไปหมด” ไป่หานตอบอย่างอ่อนแรง ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ในหัวครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธีรักษา อย่างไรเขาจะไม่ยอมบุรุษผู้นี้เป็นอันใดไปแน่ หากคนป่วยรู้สึกมึนศีรษะเพราะร่างกายเสียสมดุล การฝังเข็มกดเลือดออกเพื่อปรับสมดุลเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  แต่ว่า...เขาไม่ล่วมยา ไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่างที่จะใช้แทนเข็มได้เลย

          เขาต้องการเข็ม หรือของแหลมๆ สักอย่าง

          นัยน์ตาคู่สวยกวาดมอง ตอนนั้นในหัวว่างเปล่าไปหมด แต่อย่างก็เปล่าไป่หานไว้ในสภาพเช่นนี้มิได้ ลี่จินตัดสินใจลุกขึ้น ค่อยๆ พยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงขององครักษ์หนุ่มเข้ามาด้านใน ทว่าระหว่างนั้นเอง…

          แกร๊ก

          เสียงวัตถุบางอย่างหล่นลงบนพื้นหิน ลี่จินหันไปมอง ก่อนจะพบว่ามันเป็นป้ายหินสีขาวสะอาดซึ่งแทนใบอนุญาตของแพทย์หลวง เขารีบหยิบมาขึ้นมา

          “ป้ายหินนี่..”เขามองมันอย่างพินิจ หากเดาไม่ผิดแผ่นป้ายนี้ทำมาจากหินอ่อน และตรงส่วนคล้องทำมาจากเหล็กลวดที่สามารถแทงเข้าไปในเนื้อผ้าได้ เช่นนั้น...

          ดวงตาผันเปลี่ยนไปอย่างแน่วแน่ ลี่จินวางป้ายประจำตัวลงกับพื้นอีกครั้ง แล้วมองหาหินขนาดเหมาะมือ ก่อนจะตัดสินใจทุบป้ายแพทย์นี้จนแตก

          ส่วนคล้องป้ายหลุดออกมา ลักษณะเป็นเหล็กบางเส้นเล็ก เขารีบฝนปลายเหล็กนั้นให้แหลมเพิ่ม ก่อนจะรีบกลับไปหาซุนไป่หานอีกครั้ง

          “อดทนหน่อย...ข้าต้องกดเลือดท่านออกเล็กน้อย” ไม่รอช้าประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนจะใช้ปลายเหล็กอันแหลมคมกดลงไปที่ด้านหลังกกหูด้านซ้ายเบาๆ จนเป็นแผลเล็กๆ กระนั้นจึงรีบใช้นิ้วกดลงไปเบาๆ ให้เลือดสีแดงข้นไหลออกมาบรรเทาอาการมึนศีรษะ

          “รู้สึกดีขึ้นหรือไม่”

          “อือ...”ไป่หานครางรับ ท่าทางเหมือนคุมสติยากเต็มที ลี่จินเม้มริมฝีปากลงอย่างเคร่งเครียด เขามองแผลที่เอวขององครักษ์หนุ่ม ก่อนตัดสินใจ

          “ท่านจะเจ็บมากหากข้ากรีดแผลที่เพิ่งสมานไป อีกอย่างตัวท่านเย็น….ข้าคิดว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ ท่านมันบ้าสิ้นดีทำไมถึงฝืนตนเองเช่นนี้! ”

          ถึงปากจะพร่ำบ่นเช่นนั้น แต่ทั้งน้ำเสียงกับหัวใจกลับสั่นไปพร้อมๆ กัน ทว่าไม่รู้ทำไม พอได้ยินน้ำเสียงดุๆ ที่คุ้นเคยเช่นนี้แล้ว กลับทำให้มุมปากของซุนไป่หานยกขึ้นมาอย่างปิดไม่ได้

          “ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่เจ้าพร่ำบ่นข้า แต่น่าแปลกที่ข้าชอบฟังเสียงบ่นของเจ้า”

          น่าแปลกทั้งที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ แต่ถ้อยคำของซุนไป่หานกลับทำให้หมอหนุ่มนึกขันขึ้นมาเสียไม่ได้...อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มหวาน เป็นครั้งแรกที่ยกมืออีกของบุรุษผู้นี้ขึ้นมากุมอย่างเขินอายใดๆ

          “อย่าพูดอีกเลยท่านต้องพักเสียหน่อย ข้าจะรีบออกไปหาสมุนไพร หรืออะไรก็ตามมารักษาท่านให้ได้”

          “แต่ขาเจ้าเจ็บอยู่”

          “อย่าห่วงเลยเทียบกับท่านแล้ว ตอนนี้ข้าแข็งแรงกว่าท่านมาก”

          ลี่จินย้ำด้วยรอยยิ้ม ไป่หานพยักหน้าแผ่วเบารับรู้ ก่อนหมอหนุ่มจะค่อยๆ พยุงคนตัวใหญ่ให้นอนพัก ส่วนตัวเขาก็ลุกขึ้นค่อยๆ ก้าวออกไปจากปากถ้ำโดยที่ไม่กังวลถึงความเจ็บที่ข้อเท้า...

          ...

          เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ได้จนอาทิตย์ลาลับตกดิน ในที่สุดลี่จินก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า ถึงจะเป็นป่าแต่ที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีทุกอย่างดั่งใจคิด โชคดีที่แถวนี้มีบัวรากน้ำเงินอยู่ด้วย ถึงแม้ดอกและใบของมันจะเป็นพิษ แต่หากนำใบบัวมาล้างเอายางออกแล้วตำให้ละเอียดซึ่งมีฤทธิ์เย็นเหมาะกับแผลไฟไหม้ แต่เขากลับหิ้วมาได้แค่ไม่กี่กำมือเดียวเท่านั้น

          “ข้ากลับมาแล้ว”

          เสียงเรียบเอ่ยทักไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเช่นเคย ดวงตาคู่สวยมองตรงไปยังร่างขององครักษ์หนุ่มที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น พอไม่ได้ยินเสียงใดตอบรับออกมาหัวใจของอู่ลี่จินก็วูบไหวอย่างระส่ำ

          “ไป่หาน...”

          หมอคนงามค่อยๆ ยกเท้าอย่างระมัดระวังรีบเข้าไปหา แต่แม้จะเข้าประชิดแล้วคนที่นอนนิ่งอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

          อู่ลี่จินดวงตาเบิกโต เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น พลางเอื้อมนิ้วไปจับชีพจรที่ต้นคอ…

          เบาบาง...แถมสัมผัสอุณหภูมิที่ผิวเนื้อก็เย็นเยียบไม่ต่างจากศพไร้วิญญาณ เพียงนั้นก็ราวกับเป็นคมมีดเล็กๆ ที่สะกิดสติสัมปชัญญะอันเยือกเย็นให้ค่อยๆ แตกพล่าน หัวใจบีบรัดอย่างรวดร้าว

          “ไป่หานท่านได้ยินข้าไหม ไป่หาน! ” เรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น ลี่จินประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาหนุนไว้ที่ตัก ใช้มือตบด้วยแรงกึ่งหนักกึ่งเบาที่ข้างแก้มอีกฝ่ายระรัว ทว่า…

          ไร้เสียงตอบรับ

          “ท่านฟื้นสิ! ”

          หัวใจเหมือนกำลังแหลากสลาย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมากลางออกอย่างท่วมท้น ความทรมานเช่นนั้นกลั่นรื้อจนริมขอบตาร้อนผะผ่าวอย่างไม่รู้ตัว

          ไม่...

          “ซุนไป่หานข้าจะไม่ยอมให้ท่านแกล้งข้าเช่นนี้...อย่ามาแกล้งตายต่อหน้าข้าแบบนี้นะ! ” ตอนนี้ในหัวของสับสนวุ่นวายอย่างไร้ตัวเลือก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีมลายหายลับไปเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เย็นชื้นและผิวเนื้อที่เริ่มซีดขาว

          เพราะตกน้ำ ประกอบเป็นฤดูคิมหันต์ทำให้อุณหภูมิยิ่งลดลงอย่างน่าวิตก อู่ลี่จินเป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเองพลางถูไปมาให้เกิดความอุ่นร้อน ก่อนรีบประคบกับใบหน้าของซุนไป่หาน ทำเช่นนี้ซ้ำๆ กันกว่าหลายสิบรอบจนผิวเนื้อของตนเองเริ่มแดงและหลุดลอก ทว่าคนที่นอนนิ่งก็ไม่มีสีหน้าที่ดีขึ้นเลยสักนิด

          ลี่จินกดชีพจรที่ต้นคออีกฝ่ายอีกครั้ง นัยน์ตาคู่สวยเบิกขึ้นเศร้าสร้อยดูเหมือนที่ทำเมื่อครู่จะไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ลี่จินบดกรามตนเองจนปวด อย่างไรเขาจะไม่ยอมแพ้

          “ต้องอุ่นกว่านี้”

          มือเรียวลงมือแหวกเสื้อที่ฉีกขาดของอีกฝ่ายออก เขาถูมือไปมาแล้วสัมผัสลงที่แผ่นอกกว้างซ้ำๆ กระทั่งความอุ่นร้อนทำให้เขาสัมผัสชีพจรที่เต้นออกมาชัดขึ้น หมอหนุ่มรีบลุก สิ่งเดียวที่เขาพอจะคิดออกแล้วพอจะเป็นประโยชน์เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายคือ ดินทรายร้อน ขี้เถ้า หรือถ่านไม้

          ลี่จินไม่รอช้ารีบเดินไปยังกองไฟที่เพิ่งมดดับไปเมื่อครู่ แต่ก้าวไม่ทันไรขากลับสะดุดล้มลงเพราะพื้นหินต่างระดับ “โอ๊ย! ” เพราะอุณหภูมิที่ลดลงมากกับการใช้งานที่หนักหน่วงทำให้ข้อเท้าของเขาบวมเป่งแต่กระนั้นก็ยังไม่ร้องครวญออกมาอย่างเจ็บปวด หมอหนุ่มกัดฟันอย่างอดทน ตอนนี้ไม่ใช่มาห่วงเรื่องของตัวเอง คิดแล้วก็ตะเกียกตะกายพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วยกเท้าไปยังกองไฟ

          ฟืนไม้มอดไหม้ไปแล้วกลายเป็นขี้เถ้าสีเทาดำ...ยังระอุอยู่

          อู่ลี่จินรีบย่อตัวลง ก่อนจะใช้มือที่ถลอกขุดพื้นทรายด้านล่าง โดยไม่สนใจว่ามือตนเองจะมีเลือดไหลซึมออกมาหรือไม่ ทนได้สักพักสุดเนื่องจากเป็นถ้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำตกความชุ่มชื้นในดินจึงมีสูง ลี่จินก็ขุดจนพบชั้นทรายที่เย็นชื้น ไม่รอช้า หมอหนุ่มรีบพอกมือตนเองด้วยทรายเย็นก่อนจะพลิกตัวหันไปโกยขี้เถ้าสีดำจากกองไฟมาไว้ในอุ้งมือกันความร้อน แล้วตรงไปหาซุนไป่หาน แล้วพอกมันลงบนแผ่นอกกว้าง

          เขาเดินไปเดินกลับเช่นนี้กว่าหลายหน แต่คนที่นอนแข็งทื่ออยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น เห็นกระนั้นก็ยิ่งใจเสียหนัก แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม หากปล่อยให้ร่างกายไร้การตอบสนองเช่นนี้คงไม่ดีแน่...ถึงจะไม่อยากทำเช่นนี้แต่ความเจ็บปวดเป็นตัวกระตุ้นการรับรู้ได้ดีที่สุด

          ลี่จินรีบควานหาเส้นเหล็กที่เขาใช้แทนเข็ม ไม่รอช้าร่างบางรีบก้มตัวลงไปใช้สองนิ้วกดลงไปเบาๆ ที่สีข้าง ก่อนจะเล็งชุดฝัง...เขาแทงแผลลึกลงไปพอประมาณคาไว้สักพักก่อนชักออก เลือดสีแดงไหลซึมออกมาเล็กน้อย แล้วใช้ปลายนิ้วออกแรงบีบผิวเนื้อบริเวณแผลเพื่อเรียกความเจ็บ แต่…

          “..ท่านอย่ามาทำแบบนี้กับข้านะ! ตอบข้าเดี๋ยวนี้! ขอร้องล่ะ พูดอะไรออกมาก็ได้ ร้องออกมาสักหน่อยก็ยังดี ฮึก...อย่ามาทำแบบนี้กับข้า คนบ้า ฟื้นสิ...ฟื้นขึ้นมา ฮึก ท่านจะมาช่วยข้าแล้วทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้”

          สิ้นหวังด้วยใจที่ปวดร้าวยิ่งนัก เมื่อสิ่งที่ทำไปทำหมดกลับไม่มีความหมายเลยสักนิด...ไม่มี...ไม่มีเลยสักอย่าง น้ำตาพรั่งพรูลงมาจากริมขอบตาเป็นสายอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอึกสะอื้นไม่มีวันที่ใครจะได้ยินกลับกึกก้องอย่างน่าหดหู่

ข้าจะเป็นหมอไปเพื่อเหตุใด ในเมื่อข้าไม่สามารถช่วยเหลือคนที่ข้ารักไว้ได้สักคน

          “ขอร้องล่ะ ช่วยส่งเสียงอะไรก็ได้ ฮึก อย่างมาเงียบไปเช่นนี้ ฟื้นขึ้นมา...ไป่หาน ฟื้นขึ้นมาเถอะ ข้าขอโทษ” น้ำตามิอาจเติมเต็มความโศกเศร้าที่ล้นอยู่ในใจได้ทั้งหมด แต่สวรรค์จะทำให้สิ้นหวังเช่นนี้แล้ว หมอหนุ่มก็ยังคงดื้อรั้น มิได้สนใจว่าความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นเช่นไร เขาถูมือตนเองจนถลอก หนังหลุดเป็นแผ่น แต่กระนั้นก็ยังมิเลิกให้ความอบอุ่น

          “ไป่หานท่านอย่าตายนะ...ได้โปรดอย่าตาย เช่นนั้นข้าจะเป็นหมอไปเพื่อสิ่งใดกัน”

          น้ำตาไหลลงมาอาบรดแก้มนี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาจะรั้งชีวิตของตรงหน้าไว้ ลี่จินยืดตัวขึ้น มือเรียวเอื้อมบีบเข้าที่สันกรามเรียกริมฝีปากให้เผยอออก หมอคนงามไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากลงแนบแน่น ก่อนใช้ฟันของตนเองกัดลงไปด้วยแรงๆ ที่ลิ้นของอีกฝ่าย

          นั่นคือส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของร่างกาย เขากระตุ้นขบกัดลิ้นที่เย็นแข็งของซุนไป่หานอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทั่งสะกิดของเหลวรสคาวคลุ้งมาได้สำเร็จ จึงสัมผัสได้ถึงร่างกายที่นิ่งสงบกระตุกเกร็งขึ้นมาวูบหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่พานให้หัวใจดวงเล็กที่ประกายไฟดวงน้อยขึ้นมาอีกครั้ง

          ที่เหลือก็แค่ให้ร่างกายนี่อบอุ่น อู่ลี่จินไม่รอช้า เขาถอดเสื้อผ้าของตนเองออกจนเหลือแค่ร่างกายท่อนบนที่เปล่าเปลือย “ข้าจะกอดท่านไว้ ฉะนั้นได้โปรดฟื้นขึ้นมา”

          สิ่งที่อบอุ่นที่สุดคือร่างกายของคน อู่ลี่จินแนบกายโอบกอดไว้แนบชิดมิได้สนใจ หากจะต้องทนหนาวจนตาย ก็ขอตายไปพร้อมกับบุรุษผู้นี้ …

          ความเงียบงันเข้าครอบงำ มีเพียงแค่เสียงหัวใจจากสองกายที่ผสานไว้ใต้ร่างเดียวกัน

          ฝนสีขาวปลายฤดูคิมหันต์โปรยปรายอ้อยอิ่งมาจากฟากฟ้า



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 ฮืออออออออออออออ เขียนเพลินจัดมันคือสองตอนดีๆ นี่เอง

อาทิตย์หน้าจบเรื่องราวของท่านหมอ โอสถดอกท้อ แล้วนะคะ (แต่เรื่องราวด้านในยังไมจบ) T_T รู้สึกใจหายยมากมาย ขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจและช่วยลุ้นและติดตามนิยายเรื่องนี้มาถึงตอนนี้นะคะ ♥     
                ปล. เรื่องราวหลังจากหมอจะไปต่อในภาคอ๋อง เรื่อง 'มงกุฏสีชาด' นะคะ
                ปลล. เนื้อเรื่องที่หายไปของกวนเจ๋อจะไปโผล่ในตอนพิเศษนะคะ แต่ดี้ยังไม่แน่ใจว่า บก. จะอนุมัติให้เอาลงเล่มไหมเพราะต้นฉบับเยอะเหลือเกิน ถ้ามันหนาไปก็จนไว้ในเล่มไม่ได้ ก็อาจจะลงในนี้ให้อ่านกันค่ะ ♥
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2019 14:01:19 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ขอเปิดเม้นด้วยเรื่องหมอลี่ก่อนเลยนะ งงมากตรงที่หมอกัดลิ้นจนเลือดออกแต่ไม่มีเอฟเฟคใดๆตามมาเลย รึกัดไปนิดเดียว? เลือดออกก็ไม่น่านิดเดียวนะ

เรื่องที่สอง   

ไม่สนเสียงต่อต้านอีก สะลึมสะลือบาตูโน้ม...

เพียงเสี้ยววินาทีฮงบาสะลึมสะลือก็ใช้เศษเสื้อที่กระชาก

 “ท้องของเขาถูกแทงทะลุปอดแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องขาดใจตายอย่างทรมานเอง ไม่มีค่าพอที่ท่านต้องลงมืออีกต่อไปโอ๊ยฮงบาตูยังไม่

 :a5: อ่านแล้วคิดว่าคนเขียนต้องทั้งสะลึมสะลือ ทั้งโอ้ยเลยล่ะคะ5555 :jul3: กำลังอ่านเครียดๆเลย ฟีลลิ่งไปกับสะลึมชะลือบาตูหมดเลย55555 แล้วฮงบาตูโดนอยู่คนเดียวด้วย โดนคนเขียนเกลียดรึเปล่าเนี่ย :m20:

รอตอนต่อไปปปป :pig4:

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ขอเปิดเม้นด้วยเรื่องหมอลี่ก่อนเลยนะ งงมากตรงที่หมอกัดลิ้นจนเลือดออกแต่ไม่มีเอฟเฟคใดๆตามมาเลย รึกัดไปนิดเดียว? เลือดออกก็ไม่น่านิดเดียวนะ

เรื่องที่สอง   

ไม่สนเสียงต่อต้านอีก สะลึมสะลือบาตูโน้ม...

เพียงเสี้ยววินาทีฮงบาสะลึมสะลือก็ใช้เศษเสื้อที่กระชาก

 “ท้องของเขาถูกแทงทะลุปอดแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องขาดใจตายอย่างทรมานเอง ไม่มีค่าพอที่ท่านต้องลงมืออีกต่อไปโอ๊ยฮงบาตูยังไม่

 :a5: อ่านแล้วคิดว่าคนเขียนต้องทั้งสะลึมสะลือ ทั้งโอ้ยเลยล่ะคะ5555 :jul3: กำลังอ่านเครียดๆเลย ฟีลลิ่งไปกับสะลึมชะลือบาตูหมดเลย55555 แล้วฮงบาตูโดนอยู่คนเดียวด้วย โดนคนเขียนเกลียดรึเปล่าเนี่ย :m20:

รอตอนต่อไปปปป :pig4:

5555555555555+ โอ้ยย มึนจริงๆ ค่ะ แก้แปปๆๆ  ปล.จริงๆหมอยังไม่ได้กัดนะคะ โดนตบก่อน แง เดี๋ยวอธิบายเพิ่มค่ะ ><
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2019 13:47:22 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะไหวมั้ย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ฮรืออ จะรอดไหมเนี้ย? โอ๊ยยลุ้น  ฟื้นขึ้นมานะไป่ห่าน ไม่เอาแบบนี้ดิ ใจไม่ดีเลย ): สงสารลี่จิน แง๊~~ ทำไมต้องมาเจอพวกนี้ด้วย ไอ้พวกห่าเอ๊ย ขอให้รอดเถ๊อะะะะ สาธุ เอาใจช่วย ลุ้นมากมาย ขอบคุณนะคะที่มาต่อ และรอตอนต่อไปเลยค่ะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ส่งท้าย ... ❀
       

          แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านเข้ามาในกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง ลมอ่อนๆ พัดโชยให้ม่านปิดลงมาบังแสงให้คนที่นอนอยู่พลิ้วไหวแผ่วเบา เปลือกตาที่ปิดสนิทมานานขยุกขยิกขึ้นอีกครั้ง ก่อนตามด้วยเสียงทุ้มแหบที่หลุดครางออกมาในลำคอ

          นัยน์ตาสีดำเข้มค่อยๆ ปรือขึ้นเชื่องช้า แสงสว่างเจิดจ้าจนพลันเอาภาพทุกอย่างพร่ามัวนัก กว่าทุกอย่างจะปรับเข้าที่ ก็เมื่อต้องเอื้อมมือมาบีบนวดเบาๆ ที่หัวตา ทุกอย่างถึงได้ชัดเจนขึ้น

          ราวกับเป็นกระโจมพักฟื้นที่ไหนสักแห่ง ขณะที่ด้านนอกมีเสียงเซ็งแซ่ดังไม่หยุด

          ซุนไป่หานรู้สึกสับสนงุนงงไปหมด ในหัวไม่สามารถปะติดปะเรื่องราวได้เลยสักนิด ราวกับภาพที่ตัดไปตัดมาอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือภาพแผ่นหลังบางของอู่ลี่จินที่กำลังเดินออกไปจากถ้ำ แล้วจากนั้นเขาก็ง่วง พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่นี่

          องครักษ์หนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง แต่เพียงขยับที่ช่วงเอวก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาอย่างมิอาจหักห้าม

          นัยน์ตาคู่เข้มสังเกตที่ข้างเอว ผ้าพันแผลสีขาวดูสะอาดสะอ้านปกปิดรอยแผลเขาไว้อย่างมิดชิดราวกับว่าเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ๆ ไป่หานพยายามจะเปล่งเสียงเรียกใครสักคนที่อยู่ด้านนอก แต่เพียงขยับปาก กลับต้องร้องครางออกมาด้วยความเจ็บอีกครั้ง ราวกับคนที่เผลอกัดฟันโดนลิ้นตนเอง…

          ไม่สิ...เขาไม่ได้สะเพร่าจนเผลอกัด แต่ลิ้นของเขามันเจ็บอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้า แถมรสคาวเฝื่อนของเลือดก็ยังคงหลงเหลือเจือจางอยู่ในปาก

          เกิดสิ่งใดขึ้น?

          “ใต้เท้าซุน”

          ไม่ทันได้คิดสิ่งใดต่อ คนที่เปิดกระโจมเข้ามาหาเข้าเป็นคนแรก เป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างกำยำในชุดเกราะเต็มยศ ไป่หานจำได้ทันที “เป่าเหรินหรือ” ใบหน้าของเหยียนเป่าเหรินประหลาดใจไปชั่วครู่พอเห็นคนที่ควรจะนอนพักอยู่กลับลุกขึ้นมา เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันกลับไปตะโกนเรียกคนด้านนอก

          “ใต้เท้าฟื้นแล้ว! ใครอยู่ด้านนอกรีบไปตามหมอ รีบไปตามหมอ! ”

          แม้จะมีคำถามมากมายเต็มอยู่ในหัว แต่ตอนนี้ลำคอเขาแห้งผากเหมือนกับทราย เป่าเหรินหันกลับมาบอกให้เขานั่งพักที่เตียงก่อนอย่าเพิ่งลุกขึ้นไปที่ใด ซุนไป่หานทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ช้าอีกฝ่ายก็ยกกระบวนน้ำมาให้เขาดื่ม

          ไป่หานกระหายน้ำนัก แต่พอได้ดื่มถึงได้รู้แน่ชัดว่าลิ้นของเขามีแผลเป็นแน่ มันถึงได้แสบสันจนแทบกระเดือกไม่ลง ทว่าก็พานก็รู้สึกมีเรี่ยวแรง และตื่นขึ้นเต็มสองตา เขาถามแม่ทัพบูรพาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

          “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

          “ที่จริงแล้ว...” เป่าเหรินทำหน้าตาแปลกๆ คล้ายยากจะอธิบาย แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบที่ชัดเจน ม่านกระโจมก็ถูกเลิกออกอีกครั้ง ตามด้วยเสียงสดใสคุ้นหูที่ขาดหายไปนาน

          “ใต้เท้าซุนท่านฟื้นแล้ว! ”

          “หมอฉิน...กวนเจ๋อหรือ”

          หลังจากนั้นคือซุนไป่หานเสียเองที่ทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อพบหมอแซ่ฉินตัวเล็กเดินเข้าหามาครบสามสิบสองส่วน แถมท่าทีของเจ้าตัวก็ทำเหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยสักนิด

          เป่าเหรินทำหน้ากล้ำกลืนตอบเบาๆ

          “หมอฉินเป็นคนไปเจอพวกท่านทั้งสอง แล้วเขาก็ให้ เอ่อ…คนจากเผ่าโจโฮ แบกพวกท่านทั้งสองกลับมา”

          คนจากเผ่าโจโฮ? ...ใคร? คิ้วทั้งสองกดลงจนเป็นปมแทบจะทัน ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมีคำถามมากมายเต็มไปหมด แต่ดูท่าคนที่หายตัวไปนานจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด

          “เจ้าปลอดภัยดีหรือ เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า”

          กวนเจ๋อยิ้มเจื่อนๆ ก่อนเกาแก้มแก้เขิน

          “คือ...ข้าน้อยปลอดภัยดี เพียงแต่ถ้าให้ข้าเล่าก็คงยาว...เอาเป็นว่าข้าไปเจอพวกท่านสองคนนอนสลบกันอยู่ในถ้ำแล้วข้าก็พากลับมา”

          สรุปใจความรวบรัดกระชับจนไม่กล้าสงสัยต่อ แต่พอหมอฉินพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ภาพใบหน้างามของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ตอนที่เขาสลบไป น่าแปลกที่เขาได้ยินเสียของอู่ลี่จินดังแผ่วเบา แถมทั่วทั้งร่างกายในเวลานี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเจือจางราวกับอีกฝ่ายไม่เคยห่างเขาไปที่ใดเลย พอนึกขึ้นได้เผลอถามเสียงดังกวนเจ๋อถึงกับผงะ

          “แล้วลี่จินล่ะ ลี่จินอยู่ที่ใด! ”

          “ข...เขาปลอดภัยดี ข้าต้มยาให้เขาแล้ว แต่ว่ายังมีไข้อยู่บ้าง ตอนนี้เขาพักอยู่กระโจมแพทย์ด้านหลัง”

          “ข้าจะไปหาเขา”ไม่พูดพร่ำองครักษ์หนุ่มรีบลุกพรวดออกจากเตียง ทั้งเปาเหรินกับกวนเจ๋อต่างตาหูตื่น ไม่คิดว่าพอเป็นเรื่องของลี่จิน จะเรียกนักรบหนุ่มผู้นี้ห่วงหาถึงเพียงนี้

          “ดะ..เดี๋ยวสิใต้เท้าซุนตอนนี้ท่านยังลุกขึ้นไม่ได้นะ”

ราวกับประโยคหักห้ามเป็นแค่ลมพัดพลิ้วเพียงวูบเดียว ไม่ทันที่ใครจะได้คว้ามือไว้ทั้งนั้น ซุนไป่หานก็ออกไปนอกกระโจมอย่างรวดเร็ว





♦♦♦♦♦





          ลมหนาวพัดพลิ้ว กลีบดอกท้อโปรยปรายลงจากต้นแผ่วเบา

          ยามกลีบดอกสีชมพูเบาบางสัมผัสสู่พื้น เป็นภาพประดุจปลายเท้าของนักเต้นรำ

          ภาพยามเช้าอันแสนสงบสุขเช่นนี้อู่ลี่จินเกือบเคยหลงลืมไปแล้ว เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เขาไม่มีความทรงจำหรือความผูกพันใดๆ เกี่ยวกับมารดาหรือบิดา รู้แค่เพียงตนเองถูกท่านปู่เลี้ยงดูมาอย่างสมบุกสมบัน แต่กระนั้นชีวิตก็มิได้ลำบาก

          ท่านปู่เป็นหมอคอยรักษาผู้คนโดยไม่รับค่าตอบแทน นั่นทำให้เขาเลื่อมใสในวิถีทางของแพทย์อย่างลึกซึ้ง แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่เด็กไม่ได้ความ กระทั่งท่านปู่จากไปโดยที่เขากระทำสิ่งใดมิได้เลยแม้แต่น้อย

          ประสบการณ์ที่พบเจอราวกันเป็นตราบาปในหัวใจของเด็กชาย จากนั้นถานเซียงก็รับเขามาเลี้ยงดูต่อ

          เมื่อใหญ่เขาก็สอบเข้าสอบที่สำนักแพทย์เพื่อเป็นหมอที่ถูกต้อง ในตอนนั้นเขาคิดผิดถนัดว่าการเป็นหมอหลวงจะได้ช่วยผู้คนได้มากกว่าหมอทั่วไปและได้เรียนรู้วิถีแพทย์ได้มากขึ้น แต่สุดท้ายกลับไม่มีสิ่งใดจริงสักอย่าง ในวังหลวงไม่เว้นแม้แต่สำนักหมอก็ยังมีการชิงดีชิงเด่นกันอย่างล้นพ้นจนรู้สึกแขยงกับภาพที่เห็น

          แต่แล้วโชคชะตากลับทำให้เขาได้พานพบกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งทำลายน้ำแข็งในจิตใจจนหลอมละลาย

          อู่ลี่จินไม่คาดคิดว่าตนจะให้ความสำคัญกับคนคนนั้นได้มากกว่าชีวิตตนเอง วินาทีที่รู้ว่าจะต้องสูญเสียคนผู้นั้นไปก็ราวกับหัวใจทั้งดวงกำลังแตกสลาย เขาทำทุกอย่าง...แต่เพราะร่างกายที่อ่อนล้าเต็มทนจึงมิอาจอยู่เฝ้ามองได้ถึงผลสุดท้าย

          ความหวาดกลัวทำให้เขาเลือกที่จะหลับตาลง...จนเผลอไผลคิดไปว่าหากลืมตาขึ้นมาแล้ว หากไม่พบใครผู้นั้นอีกเขาขอหลับลงตลอดไปชั่วนิรันดร์คงดีกว่า…

          ซุนไป่หานมิอาจล่วงรู้ความคิดของร่างที่หลับอยู่บนเตียง หลังจากที่เร่งฝีเท้าเข้ามายังกระโจมพักแพทย์ด้านหลัง หัวใจของเขาก็วูบไหวไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอู่ลี่จินยังไม่สติกลับคืนมา

          พื้นที่ริมขอบเตียงยุบลงไปด้วยน้ำหนักชายหนุ่ม ซุนไป่หานนั่งลงข้างๆ นัยน์ตาคู่เข้มฉายแววอ่อนโยนและห่วงใยนัก แต่พอดูจากสีหน้าเลือดฝาดของคนที่หลับสนิทแล้วดูเหมือนเขาจะคิดมากไป

          นับว่าเป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้มีใกล้ชิด องครักษ์หนุ่มลอบสังเกตทุกส่วนของโครงหน้าอันงดงามนั่นอย่างหลงใหล

          ยามนิทรานี้อู่ลี่จินช่างเหมือนรูปวาดเทพเซียนรูปงามนัก ขนตาเรียงกันเป็นแพรสวย ริมฝีปากบางเบาดุจกลีบบัว จมูกเป็นสันตรงเรียวเล็ก ผิวพรรณขาวผ่อง ไม่ว่ามองเท่าไรก็ไม่มีส่วนใดระคายตาเลยสักนิด

          ซุนไป่หานคลี่ยิ้มอ่อนโยน มือหนาเอื้อมเกลี่ยไรผมที่ปิดบังดวงหน้าอย่างแผ่วเบา ไม่ช้ากันนั้น ดุจมีแรงดึงดูดทางใจจนมิอาจหักห้ามได้อีก องครักษ์หนุ่มโน้มตัวลงไป ริมฝีปากประทับลงเปลือกตาคู่สวยอย่างทะนุถนอมและอ่อนโยนนัก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจากหมอที่บังคับให้เขาแลบลิ้นปลิ้นตาในวันนั้น จะกลายเป็นคนกุมหัวใจนักรบของเขาจนมิอาจถอดถอนได้อีก

          ทว่า...สัมผัสแผ่วเบาดุจปุยนุ่นบนเปลือกตานั้น กลับค่อยๆ เรียกสติของผู้นิทรา ให้ค่อยๆ กลับคืนมา

          นัยน์ตาคู่สวยกลมใสค่อยๆ ลืมขึ้น แสงแรกในยามเช้าครู่หนึ่งทำให้ภาพทุกอย่างพร่าเบลอ แต่เมื่อเข้ายามที่ชัดเจนแล้ว ภาพแรกที่เห็นกับเป็นรอยยิ้มและใบหน้าหล่อเหลาอันแสนคุ้นเคย…

          ความฝัน?

          “ไป่...”

          เอ่ยได้เพียงแค่นั้น ปลายนิ้วของอีกฝ่ายก็แตะลงเบาๆ ที่ริมฝีปาก

          “ชู่...เจ้าดูอ่อนเพลียนัก นอนพักต่อเถิด”

          เสียงนุ่มทุ้มดังกังวาน อู่ลี่จินชะงักงันสัมผัสที่ได้รับอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน กระนั้นรอยยิ้มที่อัดอั้นมาก็เผยออก หัวใจโลดเต้นด้วยความดีใจเหลือคณา

          “ท่านปลอดภัยแล้ว..ข้าช่วยท่านได้จริงๆ ” ไม่พูดเปล่าหมอคนงามยังหยัดตัวลุกขึ้น พลางยกมืออีกฝ่ายมากุมไว้อย่างไม่เขินอาย

          อู่ลี่จินบีบมืออีกฝ่ายด้วยความดีใจ จนน้ำตารื้น

          อุณหภูมิอบอุ่นนี้

          สัมผัสจากมือคู่นี้

          คือซุนไป่หานจริงๆ ไม่ผิดแน่ ความตื้นใจทำให้ริมขอบตารู้สึกร้อนผ่าว น้ำใสๆ กลั่นออกมาอย่างหักห้ามไม่อยู่พร้อมกับรอยยิ้ม ซุนไป่หานเห็นภาพเช่นนี้ก็ทนต่อไปมิได้อีกรีบคว้าหมอหนุ่มมาสวมกอด

          “ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่มีเจ้าข้าคงตายไปแล้ว” อู่ลี่จินไร้ซึ่งการขัดขืน เขาสวมกอดกลับ ฝังใบหน้าลงไปบนไหล่กว้าง น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

          “ใครว่า หากไม่มีท่านข้าก็คงตายไปแล้วเช่นกัน”

          พอผละออกจากกัน สองสายตาประสานกันลึกซึ้ง รอยยิ้มอ่อนโยนต่างมอบให้กัน กว่าหัวใจจะได้รับการเติมเต็มจนชุ่มชื้นก็เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่จินถึงได้เอ่ยถามอีกครั้ง

          “สีหน้าท่านดูดีขึ้นกว่าตอนนั้นมาก แต่ข้าก็ยังกังวล ให้ข้าตรวจสักหน่อย”

          มือเรียวเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มตรึงใจเผยให้อย่างหวานละมุน ทว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไปที่ใดต่อ ข้อมือบางก็ถูกคว้าไว้อย่างอ่อนโยน อู่ลี่จินชะงักเล็กน้อยมองตาอีกฝ่าย

          “ใต้เท้า...”

          “มือของเจ้า”

          พอสัมผัสมืออีกฝ่ายถึงได้รู้ว่ามันหยาบกระด้างขึ้นเล็กน้อยไม่นุ่มเหมือนแต่ก่อน แถมยังลอกเป็นผิวแดงเรื่อ ไม่ขาวเนียน

          “มือข้าไม่เป็นไร”

          “เจ้าทำสิ่งใดมา”

          “ข้าทำเพื่อช่วยท่าน”

          ถึงไม่รู้ว่าถูกอีกฝ่ายช่วยไว้อย่างไร แต่คำตอบนั้นก็พานให้หัวใจนักรบอุ่นซ่านขึ้นอย่างไม่เคยเป็น

          ไป่หานกุมมืออู่ลี่จินเอาไว้ พานให้หัวแม่เกลี่ยที่หลังมืออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

          “ขอบคุณ ลี่จิน”

          เพียงสองคำสั้นๆ แต่มีความลึกซึ้งเอิบอิ่มหัวใจนัก

          “ข้าชอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้ และข้าก็ชอบใจที่เจ้าชอบข้าด้วย”

          คำหวานพร่ำเอ่ยอย่างไม่อายปาก ได้ยินกระนั้นอู่ลี่จินก็นึกขันนัก ก่อนจะยกมืออีกฝ่ายขึ้นมาแนบแก้มตนเอง “คนหลงตัวเอง”

          “ข้าหลงเจ้าต่างหาก”

          “ข้าคิดว่าศีรษะท่านอาจได้รับการกระทบกระเทือนด้วยเป็นแน่”

          “เช่นนั้น” ซุนไป่หานทำหน้านึกคิด ก่อนจะวางมืออีกออกจากแก้ม แล้วโน้มตัวนอนลงไปวางศีรษะที่ต้นขานุ่ม “ข้าจะนอนหนุนตักเจ้า ให้เจ้าตรวจข้าได้ถนัดๆ ดีหรือไม่”

          ไม่พูดเปล่าคนที่นอนหนุนอยู่นั้นยังฉีกยิ้มกว้าง อู่ลี่จินที่ไม่ทันตั้งตัวพอโดนจู่โจมเช่นนี้แล้ว ถึงกับใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมา แต่กระนั้นก็ปล่อยให้คนมาดเยอะทำตามใจ

          “คนเจ้าเล่ห์ท่านล้มตัวนอนลงไปแล้ว จะถามข้าเพื่อสิ่งใด”

          มือเรียวค่อยๆ ลูบเส้นคนที่ทำตัวออดอ้อนอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มหวานประดับบนใบหน้างาม เป็นภาพที่อ่อนโยนนัก ช่วงเวลานี้ช่างสงบสุขหาสิ่งใดเปรียบ

          “ลี่จิน….จากนี้ไปเรียกแค่ชื่อของข้าได้หรือไม่”

          มือเรียวชะงัก รู้สึกหูตนเองร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว

          “ทะ...”

          ทว่า..ไม่ทันที่จะได้เอ่ยสิ่งใด เขาก็ถูกคว้ามือลงมาไว้อีกครั้ง…ก่อนซุนไป่หานจะจรดริมฝีปากอุ่นๆ ลงบนหลังมือขาวนุ่ม

          ความรู้สึกดีและอบอุ่นหัวใจ แผ่ซ่านจนก้อนเนื้อในอกพองโตนัก เพิ่งรู้ว่าการมีคนรักที่เข้าอกเข้าใจกันเป็นเรื่องที่หาสิ่งใดเปรียบมิได้

          “ไป่หาน...”

          วลีสั้นๆ ที่เป็นตัวแทนทุกสิ่งทุกอย่าง อู่ลี่จินเรียกชื่อของบุรุษผู้นี้ด้วยหัวใจที่ไร้กำแพงกั้นอีกต่อไป

          เวลายังคงเดินต่อไป…

          สายน้ำและสายลมยังไหลไปตามกระแสชีวิต

          ไร้ซึ่งผู้คนรบกวน ราวกับบนพื้นแผ่นดินมีเพียงพวกเขาเพียงสองคน

          “โอ๊ย! ” อยู่ๆ ซุนไป่หานก็ร้องครวญออกมา ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูคนที่นอนหนุนตักไม่ห่าง

          “ท่านเป็นสิ่งใด...เจ็บหรือ”

          “ข้ารู้สึกเหมือนลิ้นข้ามันจะขาดชอบกล ตอนนี้ยังเจ็บอยู่เลย ไม่รู้ว่าหมอฉินทำสิ่งใด”

          ได้ยินกระนั้นก็ร้องครางออกมาเงียบๆ ทบทวนแล้วก็พอเข้าใจอยู่ว่าเกิดจากสิ่งใดเพราะจำเป็นต้องกัดลิ้นอีกฝ่ายเพื่อกระตุ้นหัวใจ เลยอาจจะทำให้เจ็บอยู่บ้างซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับดีกว่าว่าเขาเป็นคนกัด

          ทว่าพอพูดถึงหมอแซ่ฉิน หัวใจของอู่ลี่จินก็เต้นกระตุกขึ้นมาด้วยความอยากรู้

          “หมอฉิน...กวนเจ๋อกลับมาหรือ”

          “แปลกแฮะ ปกติเจ้าเห็นข้าเจ็บเจ้าต้องขอดูแล้วว่าเจ้าเป็นอันใด แต่นี่เจ้ากลับถามหาเพื่อนตนเอง”

          “แผลที่ลิ้นท่านคงเป็นแค่แผลร้อนใน สักพักก็หาย แต่กวนเจ๋อข้าเป็นห่วงเขามาก ตั้งแต่ทราบข่าวว่าโดนจับตัวไปก็ไม่พบเขาอีกเลย ข้าเกือบคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่พอท่านพูดเช่นนี้มามันผิดหรือที่ข้าจะห่วงเพื่อนของข้า” ลี่จินร่ายยาวไป่หานได้ยินก้นึกขันนัก

          “ท่านหัวเราะเยาะข้าหรือ”

          “ข้าแค่แปลกใจ ปกติเจ้าเป็นคนพูดน้อย แต่พอเป็นเรื่องหมอฉินกับลิ้นของข้าเจ้ากลับพูดซะยาว นี่เจ้ายังไม่ได้เจอเขาอีกหรือ”

          ลี่จินส่ายใบหน้า แต่ถ้าไป่หานกล่าวเช่นนี้แปลว่าเจอตัวกวนเจ๋อแล้ว และเขาก็น่าจะปลอดภัยไป่หานพอเห็นหมอหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ก็คิดจะเรียกร้องความสนใจอีกครั้ง

          “แต่...ตอนนี้ช่างเรื่องหมอฉินก่อน อา~ข้าเจ็บลิ้นเหลือเกิน เจ้าช่วยดูให้ข้าทีสิ...”

          คนตัวโตลุกพรวดออกจากตัก เท่านั้นไม่พอยังทำเสียงเล็กเสียงน้อย อ้าปากแลบลิ้นให้เขาดูโดยเขาไม่สั่งเลยสักนิด อู่ลี่จินเห็นภาพเด็กๆ เช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะแกล้งพูดกับเด็กน้อยตัวโตตรงหน้าบ้าง

          “ข้าเจ็บตาอยู่คงช่วยดูให้เจ้าไม่ได้”

          มือเรียวยกขึ้นมาปิดดวงตาแสร้งทำเป็นเจ็บบ้าง แต่มีหรือที่คนขี้แกล้งจะยอมแพ้

          “โอ๊ย! ”

          ด้วยความหมั่นไส้ มือเรียวเอื้อมไปบีบจมูกคนตัวโต ไป่หานแสร้งร้องเจ็บ ยกมือขึ้นลูบจมูกตนเองอย่างน่าสงสาร

          “ข้าเจ็บนะ”

          “ตัวก็ใหญ่ ข้าบีบจมูกแค่เล็กน้อย อย่ามาแกล้งหลอกข้าหน่อยเลย”

          “หมออู่ใจร้าย ท่านจะไม่รับผิดชอบจมูกข้าหรือไร”

          “จมูกก็จมูกของท่าน เหตุใดข้าต้องรับผิดชอบ”

          เห็นแล้วอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้จนอยากจะบีบให้แรงขึ้นกว่าเดิม คนตัวโตเมื่อเห็นว่าลูกอ้อนนี้ไม่ได้ผล ก็ครุ่นคิดเลียริมฝีปากตนเอง

          “เช่นนั้น...” คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นอย่างสงสัย ทว่า...ไม่มีสิ่งใดที่พอเหมาะพอเจาะเท่ากับใบหน้าที่โน้มลงมาพอดี

          ไป่หานยืดตัวขึ้น วงแขนแกร่งคว้าลำคอของคนที่นั่งอยู่ให้โน้มลงมา ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนเองไปยังกลีบปากนุ่มของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น

          สัมผัสนั่นเล่นเอาอู่ลี่จินถึงกับตัวเกร็ง ถึงนี่จะไม่ใช่จุมพิตแรก แต่อย่างไรหมออย่างเขากลับไม่ชินเสียที ริมฝีปากล่างของเขาค่อยๆ ถูกแทะเล็มอย่างเชื่องช้า จนรู้สึกจั๊กจี้แต่อย่างไรก็กลับอดปฏิเสธมิได้ว่าทุกครั้งที่บุรุษผู้นี้ประทับจุมพิตลงมามันช่างอ่อนหวานนัก แต่ไม่ช้ารสสัมผัสเบาบางนั้นก็จางหายไปเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง

          “นี่คือจูบของข้า แต่มันเป็นของเจ้า”

          ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดมาจากอู่ลี่จิน มีเพียงนัยน์ตาของคนทั้งสองที่ผสานกันอย่างหวานซึ้ง ซุนไป่หานไม่รีรออีกแล้วที่จะเอ่ยความในใจ “...ข้ารักเจ้าลี่จิน” ประโยคเพียงสั้นๆ จากน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เรียกเอาหัวใจเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดจากข้างใน อู่ลี่จินรู้สึกใบหน้าร้อนเห่อจนแทบไหม้

          “น่ะ ...ไหนว่าจะให้ข้าตรวจ ท่านมาพ่นคำหวานใส่ข้าเช่นนี้ข้าจะตรวจได้อย่างไร”

          “เจ้าเขินหรือ” ไป่หานยิ้มกริ่ม

          “ข้ามิได้เขิน แต่…” ลี่จินเม้มริมฝีปากลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง สักพักก็เปลี่ยนเป็นคลี่รอยยิ้มเล็กๆ ให้คนรัก “แค่กำลังรอว่าเมื่อไร ท่านจะอ้าปากให้ข้าดูสักที” ไป่หานถึงกับหัวเราะลั่น ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งในระดับเดียวกัน

          ดวงตาทั้งสองประสานกันอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนหน้าผากคนทั้งคู่สัมผัสกัน

          “แต่เจ้าบอกว่าเจ้าตาเจ็บ เช่นนั้นข้าคงต้องป้อนลิ้นของข้า...ให้เจ้าตรวจเอง” สิ้นเสียงรสจูบหวานละมุนก็ถูกป้อนรสกลีบปากอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวาน จุมพิตเนิ่นนานดำเนินไปอย่างเชื่องช้าทว่าพานเอาบรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักจากนี้ไปแม้แต่เสียงเอะโวยวายด้านนอก ก็ไม่สามารถรบกวนพวกเขาได้





♦♦♦♦





          ในเวลาเดียวกันนั้น หลังจากที่หลบหนีจากเมืองหู่มาได้ หม่าเต๋อหวนก็ได้พาหยวนจิวหรงที่บาดเจ็บมาหลบภัยที่หมู่บ้านทางเหนือได้สำเร็จ ก่อนตนเองจะหมดสติไปเพราะเนื่องจากอาการเสียเลือด พวกชาวบ้านพยายามปฐมพยาบาลเบื้องต้น พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าจางรุ่ยเหรินซึ่งบาดเจ็บไม่ต่างได้ตามสมทบในอีกวันรุ่งขึ้น และได้รายงานว่าเมืองหู่ทั้งเมืองถูกเผาจนมอดไหม้ บ่าวไพร่ และมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก

          แต่ทั้งๆ ที่คิดว่าหยวนจิวหรงจะโกรธจนหน้ามืด แต่อ๋องหนุ่มกลับอยู่อาการสงบนิ่ง แม้ดวงตาคมกริบคู่นั้นจะดูเย็นมากขึ้นกว่าหลายส่วนราวกับพายุลูกใหญ่ที่หลบซ่อนตัวอยู่

          หยวนจิวหรงรู้ดีว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่ให้ก้าวขาเข้าวังทำเหมือนเด็กฟ้องพ่อก็คงน่าอายนัก อีกอย่างหากเขาต้องการบดขยี้เจ้าพวกคนชั่วช้าก็จำเป็นต้องโซ่เหล็กกระชากพวกมันลงมาจากหลังบัลลังก์

          เนื่องจากเดิมทีเมืองหู่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเถื่อนอยู่แล้ว หากเขาจะถูกโจรชั่วฆ่าตายก็ไม่เป็นอันที่สงสัย นางอสรพิษหญิงชั่วมารดาของหยวนอี้หมิงเลยต้องการจัดฉากให้ตาย

          แต่ใครจะยอมให้เป็นเช่นนั้น...ถึงเขาจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว แต่หากเขายังมีชีวิตอยู่ และเสด็จพ่อยังมิได้สละบัลลังก์ เช่นนั้นก็ความหมายหยวนอี้หมิงยังไม่ได้รับความไว้วางพระทัยในการครองบัลลังก์

          เขายังมีโอกาส

          คิดกระนั้นดวงตาคู่เข้มก็หรี่ลงจนคมกริบ ก่อนจะมีรับสั่งให้อีกสองวันให้หลัง เขาจะเดินทางกลับไปยังเมืองหู่เพื่อดูสภาพบ้านเมืองด้วยตาตนเอง

          ไม่ช้าก็ถึงวันเดินทางหยวนจิวหรงกลับมาที่เมืองหู่ สภาพของบ้านที่ทอดสู่สายตาเต็มด้วยซากปรักหักพัง และมอดไหม้ไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ประชาชนล้มเจ็บกันเป็นจำนวนมาก จิวหรงไม่รอช้ารีบให้หม่าเต๋อหวนระดมแพทย์ฝึกหัดเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน ขณะที่ตนเดินกลับมาตำหนัก มุ่งไปที่ต้นท้อบริเวณสวน

          เหลือแต่ซากมอดไหม้

          อ๋องหนุ่มสงบนิ่งอยู่ชั่วครู่ บัดนี้ต้นท้อสีชมพูที่เคยผลิบานกลับเหลือแต่ซากไม้ที่ดำสนิท หัวใจของเขากลวงโบ๋อย่างแสนเศร้า แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นกำหมัดตนเองจนแน่น ทว่าพยายามระงับหัวใจที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งโทสะใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย

          “ท่านอ๋อง...”

          เสียงฝีเท้าจากด้านหลังเรียกคนที่อยู่ในอารามกริ้ว พลิกตัวกลับมา

          จางรุ่ยเหรินบาดเจ็บ ตรงเข้มมีแผลแตก ส่วนหัวไหล่มีรอยถูกดาวแทงทะลุทั้งหมดได้รับการทำแผลจากหม่าเต๋อหวนอย่างเท่าที่พอจะทำได้

          อ๋องหนุ่มไม่ได้สอบถามรายละเอียดมากนัก แต่คนที่ทำให้คนสนิทหนุ่มมากฝีมืออย่างรุ่ยเหรินเสียท่าได้คงมีฝีมือมิใช่ธรรมดา และโชคดีนักที่เจ้าตัวสามารถถ่วงเวลาแล้วหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

          จางรุ่ยเหรินค่อยๆ สาวเท้าเข้ามา แต่พอเห็นสีหน้าเจ็บปวดของหยวนจิวหรงแล้ว สิ่งที่จะรายงานกลับกลืนหายลงคอ กระนั้นอ๋องเมืองหู่ถึงได้ส่ายพระพักตร์ รุ่ยเหรินถึงกับทิ้งเข่าก้มหัว

          “กระหม่อมสมควรตาย ที่ปกป้องบ้านเมืองไว้มิได้”

          “ไม่เป็นไร มันเป็นความผิดข้า ไม่ใช่ความผิดเจ้า หากเมืองถูกทำลายได้ก็ย่อมสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่หากเจ้าตายข้าคงเสียใจนัก เจ้าลุกขึ้นเถิด”

          ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น จางรุ่ยเหรินก็ลุกขึ้น ร่างสูงโปร่งลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วยื่นบางสิ่งให้แก่หยวนจิวหรง “ท่านอ๋องกระหม่อมเจอสิ่งนี้ จากนักฆ่าที่ประมือด้วย”

          ป้ายสีแดงคาดทับด้วยตัวอักษรจีนสีทองทำเอาหยวนจิวหรงขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด หากเขาจำไม่ผิด คนที่ถือครองแผ่นป้ายสัญลักษณ์เช่นนี้ ต้องเป็นถึงระดับแม่ทัพ รองแม่ทัพ หรือผู้รักษาการณ์เพื่อเข้าออกต่างแดน คนทั่วไปหรือทหารยศต่ำไม่มีสิทธิ์ถือครองป้ายเช่นนี้

          จิวหรงกำป้ายนั่นไว้แน่น “จะเอาอย่างไรต่อพ่ะย่ะค่ะ”

          “ยังไม่ต้องรีบร้อนบูรณะเมืองหู่ขึ้นใหม่ ข้าจะไปหลบอยู่ที่หมู่บ้านทางเหนือสักระยะ สำคัญที่สุดคือ แจ้งข่าวไปยังค่ายบูรพากับซุนไป่หาน ว่าเมืองหู่ถูกบุกรุก แต่ไม่ต้องให้พวกเขารีบร้อนมาสมทบ ให้มุ่งเน้นเอาชัยชนะที่เหมืองบูรพาให้จงได้ ส่วนเรื่องทางนี้…” หยวนจิวหรงเว้นจังหวะไป อกแกร่งยืดเข้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด“ข้าจะออกจากเมืองหู่ ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย”

          ได้ยินเช่นนั้นรุ่ยเหรินถึงกับรีบขัด

          “ท่านอ๋องแต่เวลานี้กระหม่อมเห็นว่าไม่สมควร พวกมันอาจดักอยู่ด้านนอกอีกก็เป็นได้”

          “เช่นนั้นก็โผล่หัวออกไปให้พวกมันเห็นซะ”

          สวนคำพูดออกอย่างทันท่วงที ราวกับครุ่นคิดอยู่แล้วว่าจะหาคำตอบเรื่องนี้ได้เช่นไร “ทรงคิดสิ่งใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมกริบทอดมองออกไปยังซากต้นท้อที่เหลือเพียงตอ

          “ข้ามีแผนหนึ่ง หมู่บ้านทางเหนือนี้มีดินปืนหรือไม่”

          รุ่ยเหรินพยักใบหน้า จิวหรงกระตุกยิ้มที่มิอาจคาดเดา “จากนี้ไป ถึงตาข้าเดินหมากแล้ว”

          มั่นใจว่า การไปเยี่ยมเครือญาติหลังบัลลังก์ครั้งนี้ ต้องสนุกมากแน่ๆ และแน่นอนว่าเขามีมากกว่าไม้แข็ง...เตรียมหัวของเจ้าให้พร้อมหยวนอี้หมิง ข้าจะเป็นคนยิงวิหคฟ้าจอมปลอมอย่างเจ้าลงมาจากฟ้าเอง

 

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ส่งท้าย ...ครบ ❀

          สามวันให้หลัง วังหลวง ที่ท้องพระโรง

          “ว่าอย่างไรนะ! ”

          หลังจากเมืองหู่ถูกบุกรุกก็ผ่านพ้นไปครบสามวันเต็ม ขณะที่ฮ่องเต้สือเจิ้งเพิ่งทรงทราบข่าวว่าหยวนจิวหรงเพิ่งเสด็จสวรรคตถูกไฟคลอกตายระหว่างที่กำลังหลบหนีออกจากเมืองเมื่อช่วงเช้ามานี้

          ช่างเป็นกายตายที่บีบหัวใจยิ่งนัก หัวใจของคนเป็นพ่อแทบแหลกสลาย แม้แต่โอกาสร่ำลาก็ยังมิมี ฮ่องเต้สือเจิ้งยกพระหัตถ์กุมบนพระอุระของตนเองอย่างปวดร้าว สีพระพักตร์ซีดขาวแทบทรุดตัวลงมาจากบัลลังก์

          “ฝ่าบาท! ”

          ในท้องพระโรงวุ่นวายขึ้นทันที เมื่อฮ่องเต้สือเจิ้งทรงล้มลงจากบัลลังก์ เหล่าบริพารรับใช้ต่างร้อนรนตื่นตกใจ ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาหลิวจูที่เสด็จมาเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาเรื่องงานเทศกาลขึ้นปีใหม่ตกพระทัยยิ่ง ถึงนางจะสาแก่ใจเรื่องหยวนจิวหรงนักแต่ไม่คิดเลยว่าจะเรื่องนี้จะทำให้เจ้าแผ่นดินมีพระอาการหนักเช่นนี้

          “จิวหรง จิวหรงลูกพ่อ”

          ฮ่องเต้สือเจิ้งยังคงพร่ำเพ้อด้วยสุรเสียงเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นในพระทัยของพระมเหสีหลิวจูกลับรู้สึกหงุดหงิดนัก แค่ชื่อของไอ้ชั่วช้านั่นนางก็มิอยากได้ยิน

          “ยืนบื้ออยู่ทำไม รีบไปตามหมอเหลียงมาซิ! ” นางรีบหันไปสั่งเสียงดุ ขันทีที่เอาแต่ตีหน้าตื่นไม่รู้จะทำสิ่งใดถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปตาหมอหลวงอย่างที่นางว่า

          เห็นทีนางคงต้องพักเรื่องงานรื่นเริงไว้ก่อน ไว้พระจักรพรรดิทำพระทัยได้เมื่อไรค่อยว่ากันใหม่ แต่อย่างน้อยคืนนี้นางก็สามารถกลับตำหนักฉลองที่หยวนจิวหรงตายเป็นผีตายโหงได้อย่างสาแก่ใจ





♦♦♦♦





          ยามบ่าย

          หลังจากที่ส่งฮ่องเต้สือเจิ้งบรรทมพัก พระมเหสีหลิวจูก็เสด็จกลับตำหนักตนเอง ทว่าเพียงสาวพระบาทพ้นธรณีประตูได้เพียงก้าวเดียว ปรายพระเนตรเรียวงามก็เหลือบเห็น บุรุษในชุดผ้าแพรเนื้อสีขาวพิสุทธิ์ กำลังนั่งจิบชาหอมอยู่ที่โต๊ะหยก

          หยวนอี้หมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นค้อมกายคำนับเสด็จแม่ของตนอย่างดงาม ทว่าฮงเฮาหลิวจูกลับแสร้งทำเป็นมองข้าม พระพักตร์งามเชิดขึ้น มิได้สนใจทักทายที่หยวนอี้หมิงอยู่ที่ตำหนัก

          “เสด็จแม่ทรงทำการเอิกเกริกมากเกินไป”

          แค่ประโยคแรกก็ไม่เข้าหูแล้ว หลายวันมานี้นางขุ่นเคืองใจกับหยวนอี้หมิงนัก นอกจากจะไม่กระทำสิ่งใดเลยสักอย่างแล้ว ยามนางเรียกเข้าเฝ้าอี้หมิงก็ดื้อรั้นอ้างสารพัด ที่โผล่หัวมาได้ก็อาจเป็นเพราะหยวนจิวหรงไร้ลมหายใจไปแล้ว แต่กลับไม่พอใจ หาว่านางทำเอิกเกริก ขณะที่ตนเองเอาแต่มองอยู่เฉยๆ ช่างน่าขันนัก

          “ที่จริงเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรก ทีนี้จะมาบอกข้าว่าเอิกเกริกงั้นหรือ ลูกข้าช่างปากไม่ตรงกับใจนัก”

          หยวนอี้หมิงไม่ต่อปากต่อคำ เขาทำเพียงแค่นั่งลงเงียบๆ มองหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าเดินที่นั่งบนแท่นบรรทม ไม่ช้าบ่าวไพร่รีบยกถ้วยชามาถวาย มเหสีหลิวจูรับมาจิบให้พระทัยเย็นลงได้สักพักก็ตรัสต่อ

          “อี้หมิง...เจ้าอย่าโกรธแม่เลย ข้าทำทุกอย่างก็เผื่อเจ้า เจ้าไม่เห็นหรือ...หยวนจิวหรงตายไปอย่างไม่เหลือซากให้เผาผี ก็นับว่าสมควรกับสิ่งที่มันทำกับเจ้าแล้ว อีกอย่างก็ถือว่าเป็นตัดพระทัยเสด็จพ่อเสียที ป่านนี้แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะสละราชบัลลังก์ให้เจ้า ...หึ ก็ต้องกระตุ้นกันเสียบ้าง”

          หวางหยางส่งของกำนัลมาเป็นกล่องไม้ ในนั้นมีแตกขี้เถ้าสีดำ และซากชุดมอดไหม้ของคนที่นึกชัง เรื่องนี้จบลงแล้ว แต่อีกเรื่องที่นางกลัวยิ่งกว่าหยวนจิวหรงคือการที่พระจักรพรรดิยังมิได้สละบัลลังก์ให้อย่างถูกต้อง หลายยุคหลายสมัยเพราะปัญหานี้ทำให้เกิดการยึดอำนาจก่อกบฏ ขึ้นหลายหน ซึ่งผู้แพ้ล้วนจบลงด้วยการสูญเสียอย่างไม่มีที่ยืนบนแผ่นดิน นางมิต้องการให้ลูกอี้ของนางพานพบชะตาเช่นนั้น

          ทว่าหยวนอี้หมิงยังคงเงียบ นัยน์ตาส่อแววครุ่นคิด แต่หากคาดเดาได้ยากว่ารำพึงถึงสิ่งใด “เจ้าอย่ากังวลไป หวางหยางยืนยันแล้วว่าได้เห็นขบวนม้าของหยวนจิวหรงแหลกไหม้ไปกับกองเพลิงกับตา ส่วนในกล่องที่ข้าเพิ่งคนไปโยนทิ้งที่แม่น้ำเมื่อเช้า ก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่มอดไหม้ของพี่ชายเจ้าแทบทั้งสิ้น หากยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีสภาพไม่ใช่คน”

          “หึ...เสด็จแม่ชอบตรัสว่าลูกคิดตื้นเขิน คราวนี้ลูกเห็นเสด็จแม่เป็นเช่นเดียวกับลูก”

          “อี้หมิง! ”

          “ลูกไม่เชื่อว่าเขาจะตายแล้ว”

          ไม่ทันที่มเหสีหลิวจูจะได้ตรัสสั่งสอนลูกชายจอมอวดดีต่อ ที่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรกันยกใหญ่ เรียกความสนใจไปหมด

          “ข้างนอกเอะอะเสียจริง เห็นทีต้องลงโทษบ่าวไพร่เสียบ้าง”

          ขาดคำนางกำนัลคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน

          “มีสิ่งใด เอะอะเสียงดังอันใดกัน”

          “เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะฮองเฮา”ฮองเฮาหลิวจูขมวดพระขนงมุ่น

          “เรื่องใหญ่ เรื่องอันใด”

          “ที่หน้าประตูวัง อ๋องจิวเสด็จมาที่วังหลวงเพคะ”

          “ว่าอันใดนะ! ”

          ถึงกับตกใจลุกพรวดจากแท่นประทับ พระพักตร์งามที่มักจะแสดงแต่ความเย่อหยิ่งดังนางพญา บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างมิเคยปรากฏ เว้นแต่เพียงหยวนอี้หมิงที่มิได้แสดงท่าทีตกใจเลยสักนิด

          “พวกมันอยู่ที่ใด”

          “ตอนนี้กำลังให้จางรุ่ยเหรินทูลขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”

          ไม่มีเวลารีรออีกแล้ว ฮองเฮาหลิวจูสั่งพระเสาวนีย์ทันที!

          “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ”

          ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะถึงตำหนักหลวง ฮองเฮาหลิวจูรีบเสด็จลงจากเกี้ยว ก่อนสาวพระบาทมุ่งตรงไปยังห้องบรรทมของพระจักรพรรดิ โดยมิได้สนใจเสียงห้ามปรามของขันทีน้องใหญ่ที่ทูลแจ้ง ฮ่องเต้สือเจิ้งกำลังพูดคุยอยู่กับจางรุ่ยเหรินห้ามผู้ใดรบกวน

          ถึงจะไม่ทราบว่าเจ้าชั่วนั่นรอดได้อย่างไร แต่จะให้เจ้าคนเถื่อนนั่นเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์มิได้เป็นอันขาด

          พอถึงหน้าห้องก็ตรัสคำวางอำนาจจนมิมีผู้ใดกล้าขัด พระหัตถ์เรียวสวยดุจแท่งหยก เปิดประตูพรวดเข้าไปอย่างมิสนใจฝ่ายใด

          “ฝ่าบาทจะให้จวิ้นอ๋องเข้าเฝ้าไม่ได้นะเพคะ”

          พอพูดออกไปเช่นนั้นจางรุ่ยเหรินที่กำลังคุกเข่าสนทนากับฮ่องเต้สือเจิ้งอยู่ ก็ปรายสายตามาพร้อมกันทั้งคู่

          หลิวจูพยายามรักษากิริยามารยาท เมื่อครู่เพราะร้อนรนเกินไปทำให้ภาพลักษณ์อันเยือกเย็น แต่กระนั้นนางก็เบาใจนัก ที่หยวนจิวหรงยังมิได้โผล่หัวมาก่อนที่นางจะมาถึง

          “ฮองเฮาทรงพระทัยร้ายนัก” ทว่า...เสียงทุ้มต่ำอันไม่พึ่งประสงค์จะได้ยินกลับดังขึ้นจากด้านหลังของนางเพียงไม่กี่ก้าว ดวงตานางพญาเบิกกว้างรีบหันหลังกลับไป

          “จิวหรง! ”

          “ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมฮองเฮา ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

          คำอวยพรอันสูงส่งไม่ได้เข้าหัวนางเลยสักนิด ฮองเฮาหลิวทรงตื่นตะลึงจนพระเนตรเบิกค้าง พระทนต์บดเบียดขบกัดกันจนแน่น

          ฮ่องเต้สือเจิ้งพอได้ยินเสียงของชายตนเองที่คิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว ก็รีบลุกขึ้นจะเตียงบรรทม เสด็จผ่านหน้าฮองเฮาไป สายพระเนตรตรงไปที่หยวนจิวหรงอย่างไม่เชื่อตนเอง

          “สวรรค์ทรงโปรดนัก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี ดวงใจของพ่อ เจ้ายังมีชีวิตอยู่...” พระหัตถ์อบอุ่นของผู้เป็นบิดาลูบลงที่ข้างแก้มที่สูบตอบลงกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นนัยน์ตาของลูกชายคนก็ยังมิได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เขาเชื่อได้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน

          ฮองเฮาหลิวจูพอเห็นภาพหวานชื่นเช่นนี้แล้วถึงกับอยากลอกพระเนตรนัก แม้จะไม่เข้าใจว่าหยวนจิวหรงใช้อุบายใดรอดชีวิตมาได้ แต่ในเมื่อไม่รักตัวกลัวตายกล้าเหยียบเท้ามาถึงวังหลวงนางก็สนองให้

          “ข้าคิดว่าเกิดเรื่องน่าเศร้าที่เมืองหู่เสียอีก ฮ่องเต้ทรงเสียพระทัยมากเมื่อทรงรู้ว่าเจ้าจากไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงรอดมาได้”

          สุรเสียงตรัสราบเรียบจริงจังนัก ไม่เหมือนคนดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายรอดตายมาเลยสักนิด แต่หยวนจิวหรงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าสตรีตรงหน้าต้องการที่จะรู้ความจริงของการสังหารเขา แต่เพื่อสิ่งใดเล่าถึงจะต้องเปิดปากบอก

          “หม่อมฉันจำมิได้ พวกโจรชั่วช้าบุกเข้ามา พวกมันเผาบ้านเผาเมืองหู่ของเราอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย พอฟื้นขึ้นมาก็มายืนอยู่ตรงนี้”

          โกหก!

          “จำมิได้ หึ...ไม่ใช่ว่าเจ้าถูก--” ตะครุบคำพูดกลับมาก่อนที่เผลอหลุดปากออกไป จิวหรงแสร้งเลิกคิ้วขึ้น ฮองเฮาหลิวจูรีบแก้ต่างต่อ “ไม่ใช่ว่าเจ้าถูกใครปองร้ายหรอกหรือ นับว่าเป็นโชคร้ายนัก แต่ช่างน่าเห็นใจท่านอ๋อง ไม่คิดเลยที่ข้าเฝ้าสวดภาวนาทุกวัน พุทธองค์จะคุ้มครองท่านจนปลอดภัย”

          สวดภาวนาให้ข้าตายทุกวันมากกว่าสินะ..หึ

          “ต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่เฝ้าสวดภาวนาให้ คงเป็นพระพุทธองค์ที่ทำให้หม่อมฉันปลอดภัย แต่หม่อมฉันมิได้เป็นสิ่งใดแล้วอย่าได้ลำบากสวดภาวนาเพื่อหม่อมฉันอีกเลย”

          เป็นคำตอกกลับที่เล่นเอาเจ็บจิกจนหน้าชา ฮ่องเต้สือเจิ้งเห็นท่ามิได้จึงได้ยกพระหัตถ์ขึ้นปราม

          “พอเถิดๆ พ่อมิได้สนใจว่าเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร แค่เจ้าปลอดภัย พ่อก็ดีใจเหลือล้น”

          “ลูกก็ดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์เสด็จพ่ออีกครั้ง”

          “ข้าก็ดีใจเช่นกันที่เห็นหน้าเจ้า แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็ควรพำนักที่เมืองหู่ มิใช่เดินทางมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อโดยพลการโดยมิแจ้งล่วงหน้า” แสร้งรอยแย้มสรวล เนตรนางพญาปรายมองไปที่หยวนจิวหรง ท่าทางเช่นนี้เห็นแล้วรำคาญลูกตานัก แต่จิวหรงก็ยังคงแสดงท่าทีสงบเสงี่ยม ซ่อนคมดาบของตนเองไว้อย่างมิดชิด

          “ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงห่วง แต่ที่มาโดยพลการวันนี้ไม่ใช่เพื่อที่จะแวะมาเจอพระพักตร์เสด็จพ่อเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่มีเรื่องด่วนที่ต้องทูลด้วยตนเองก่อนจะกลับ” ได้ยินกระนั้น ฮ่องเต้สือเจิ้งก็เลิกพระขนงขึ้น รีบปราม

          “เรื่องอันใดหรือ แต่เจ้าเดินทางมาไกลอย่างก็น่าจะพักที่จวนรับรองเสียสักคืนสองคืนก่อนกลับ” พอเจ้าแผ่นดินเปิดช่องทางให้เช่นนี้แล้ว มีหรือที่ลูกแท้ๆ อย่างเขาจะปฏิเสธ จิวหรงรีบประสานมือคำนับ

          “หากเสด็จพ่อกล่าวเช่นนั้นลูกจะไม่ขัดพระทัย แต่เมืองหู่ต้องรีบเร่งบูรณะใหม่อีกครั้ง ลูกต้องรีบกลับไปดูแล ปล่อยปละนานมิได้ เดี๋ยวจะมีผู้ใดคิดเผามันอีก ส่วนเรื่องด่วนที่ว่า...”

          “วาจาของเจ้ากับการกระทำช่างขัดกันนัก เจ้าทิ้งเมืองที่เสด็จพ่อประทานให้ แต่กลับมาวังหลวงช่างน่าปลื้มปีติ”

          หยวนจิวหรงยกยิ้มกับวาจาไม่รื่นหู ที่มเหสีหลิวจูตรัสสวนขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยตอบกลับ

          “หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮาอาจทรงสับสน เรื่องด่วนที่ว่า เพราะมีข่าวผิดๆ เกี่ยวกับตัวหม่อมฉัน ถ้าไม่ให้หม่อมฉันมาแก้ต่างด้วยตนเองกับเสด็จพ่อ ประเดี๋ยวเสด็จพ่อจะทรงคิดว่าหม่อมฉันสวรรคตไปแล้ว”

          ถึงกับบดเบียดกรามของตนเองจนแน่น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ฝืนยิ้มรับคำที่ร่างสูงพูดมา ขณะที่ฮ่องเต้สือเจิ้้งพยักพระพักตร์เห็นด้วย

          “จิวหรงพูดถูก ฮองเฮาอย่าถือสา ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดเมตตาอ๋องจิวให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย”

          “สิ่งชั่วร้ายที่ว่ามักมาในรูปแบบคนใกล้ชิด”

          “เจ้าหมายความว่าอย่างไร! ” ถึงกับอดทนไม่ไหวเมื่อได้ยินคำกล่าวหาเช่นนี้ หยวนจิวหรงแสยะยิ้มชั่ว ทว่ามิได้ตอบคำถามของฮองเฮา เขาพลิกตัวกลับมาคำนับผู้เป็นบิดาอีกครั้ง

          “ลูกไม่มีสิ่งใดจะทูลอีก อยู่ไปนานกว่านี้ประเดี๋ยวจะขัดเคืองใจใครเข้า แต่ก่อนจะกลับลูกมีบางสิ่งที่แสดงให้เสด็จพ่อทอดพระเนตร”

          “สิ่งใดหรือ...”ฮ่องเต้สือเจิ้งขมวดพระขนง ขณะที่ในพระทัยของฮองเฮาหลิวจูสั่นระส่ำอย่างตระหนก หยวนจิวหรงไม่รอช้ารีบหยิบบางอย่างมาจากกระเป๋าด้านใจแขนเสื้อ เมือยื่นมันออกมาก็พบว่าเป็นแผ่นป้ายตราประจำตัวของทหาร

          “นั่นมัน...ป้ายตราแม่ทัพงั้นหรือ ของผู้ใดกัน” ฮ่องเต้สือเจิ้งทรงรับไปอย่างสงสัย หยวนจิวหรงลอบสังเกตฮองเฮาหลิวจูที่พระพักตร์ซีดเผือดเหมือนศพแล้วคลี่ยิ้มบางๆ

          “ลูกมิทราบ… รุ่ยเหรินชิงมันมาจากนักฆ่าที่บุกเข้ามาในเมืองหู่ แต่ลูกมิแน่ใจ...อาจจะเป็นของเลียนแบบ หรือคนในบางคนทำตกไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องสาวความหาคนที่อยู่เบื้องหลัง”

          “ต้องเป็น เช่นนั้นแน่ พ่อจะจัดการเรื่องนี้ และให้ความเป็นธรรมกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ประหารสถานเดียว!”

          หัวใจหล่นร่วงไปอยู่แทบเท้า นัยน์ตาคมกริบปรายมองนางพญาในชุดสีแดงสด ฮองเฮาหลิวจูพยายามสกัดความหวาดกลัวของตนเองมิให้ตัวสั่นเทิ้มอย่างถึงที่สุด แต่กระนั้นเนตรนางพญาก็หันกลับมาจ้องเขม็งใส่หยวนจิวหรงอย่างอาฆาต เห็นเช่นนั้นแล้วอ๋องหนุ่มก็นึกเยาะในใจนัก

          จากนี้ไปจะคือจุดเริ่มสงครามในวังหลวง อ๋องจิวกลับมาแล้ว…จากนี้ไปไม่ว่าจะหลบซ่อนที่ใด เขาจะตามไปเลาะกระดูกพวกมันออกมาจากหนัง และละเลงเลือดชั่วด้วยฝ่าเท้าให้หมดสิ้น

          หยวนอี้หมิง จากนี้ไปคือหมากของข้า…



♦♦♦♦





          วันที่ 15 เดือน 12 ปีที่ 16 รัชศกสือเจิ้ง

          หยวนจิวหรงสามารถขับไล่ชนเผ่าฮวงออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ พรางยึดพื้นที่เหมืองซึ่งเต็มไปด้วยทองคำและเพชรพลอย อ๋องจิวเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้อย่างเงียบเชียบ และใช้เงินจำนวนมากเพื่อบูรณะฟื้นฟูเมืองหู่ขึ้นมาใหม่หวังตั้งเป็นเมืองท่า แต่ยังมีอุปสรรคอยู่น่านน้ำซึ่งอยู่ใกล้เขตแดนของโจรสลัด ก่อนวานให้จางรุ่ยเหรินให้ติดต่อกับขุนนางเฉิงพร้อมมอบแก้วแหวนเงินทอง เพื่อเจรจาเรื่องการสร้างอู่ต่อเรือ ทว่าการเจรจากลับล้มเหลวเมื่อขุนนางเฉิงอ้างถึงรัชทายาท

          ถึงการสร้างอู่ต่อเรือจึงถูกปฏิเสธ หยวนจิวหรงจึงได้เสด็จไปเมืองท่าเพื่อหวังจะพูดคุยเจรจากับขุนนางเฉิงด้วยตนเองอีกครั้ง กระนั้นอ๋องจิวก็ยังไม่ลืมตกความดีความชอบให้กับซุนไป่หานเลื่อนตำแหน่งให้เป็นดั่งผู้แทนพระองค์ยามเกิดศึกสงคราม และอู่ลี่จินได้ถูกแต่งตั้งเป็นแพทย์ ‘หลางจง’ ระดับ 4 เทียบเท่ากับหมอหลวงวังใน พร้อมกันนั้นก็กลับไปรับถานเซียงมาอยู่ที่เมืองหู่ด้วย

          เหตุการณ์ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะสงบอย่างไม่เคยเป็น ไร้การเคลื่อนไหวของรัชทายาทและฮองเฮาหลิวจู ทว่าหวางหยางยังมิถูกจับกุม คงเบาใจเรื่องใดมิได้ ราวกับรอเวลาเพียงแค่ใครบางคนกระชากม่านอันหลอกลวงนี้ออกสงครามบัลลังก์เลือดนี้จะดำเนินต่อไป...





          ซ่า…





          เสียงคลื่นทะเลซัดซ่ากระทบฝั่ง หาดชายสีขาวสะอาดตา ภาพของท้องยามใกล้ตกตกดินนั้นราวกับเป็นงานศิลปะชั้นเลิศจนมิอาจละสายตาออกได้

          อู่ลี่จินเพลิดเพลินอยู่งานศิลปะตรงหน้า นัยน์ตาสีเรียวสวยทอดมองตรงออกไป ริมฝีปากยกขึ้นบางเบา ไม่รู้ว่าเพราะตนเองตกอยู่ภวังค์นานเกินไปหรือไม่ภาพของท่านปู่ของเขาจึงปรากฏขึ้นมาเป็นแสงสะท้อนเลือนราง

          นี่ก็ผ่านมากว่าหลายเดือนแล้วที่คลื่นลมสงบเช่นนี้ นับเป็นเรื่องดีนักแต่สุดท้ายอดที่จะใจหายไม่ได้

          ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวเป็นแค่ช่วงเวลาที่ลมพัดผ่านไปเท่านั้น

          ตอนนี้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลางจงขั้น 4 หรือหมอหลวงชั้น 4 แล้ว แต่ภาระรับความผิดชอบที่ก็มีมากขึ้นเช่นกัน ขณะที่หม่าเต๋อหวนได้ออกเดินทางไปทางตะวันตกตามคำสั่งท่านอ๋องเพื่อศึกษาวิชาแพทย์ของคนแผ่นดินใหม่

          อู่ลี่จินยืนสงบนิ่งในมือกุมสร้อยคอที่ชิงเทียนมอบไว้ให้เนิ่นนาน

          “กลับกันเถิด”

          เสียงนุ่มทุ้มอย่างที่เคยฟังอยู่เป็นประจำดังขึ้นจากทางด้านหลัง อู่ลี่จินเอี้ยวตัวกลับไปแล้วคลี่ยิ้มบางๆ

          อาชาสีขาวสวยถูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินทรายตรงที่เดิม ซุนไป่หานเอื้อมมือลงมาให้เขาจับ ไม่ช้าก็ขึ้นซ้อนจากด้านหลัง

          ทว่าเพียงม้าออกวิ่งได้ไม่เท่าไร ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหน้าแกล้งหรืออย่างไร ถึงได้ขี่เอียงไปเอียงทำท่าจะล้มอยู่แบบนี้

          “ท่านขี่ม้าดีๆ ไม่ได้หรืออย่างไร”

          “ข้าขี่ดีแล้ว”

          “เช่นนั้นท่านจงกลั่นแกล้งข้างั้นหรือ”

          ไม่ว่าเปล่าพลางตีเบาๆ ที่ต้นแขนใหญ่ของอีกฝ่ายไปด้วยเป็นการเตือน แต่ซุนไป่หานกลับยกยิ้ม

          “ข้าเจ็บนะ...ข้าจะจงใจกลั่นแกล้งเจ้าเพื่อสิ่งใดเล่า“

          “ท่านแกล้งข้าก็เห็นๆ อยู่ ตอนขามาท่านขี่ม้าไม่เห็นเฉไปเฉมาเช่นนี้เลย” พอได้ยินคนข้างหลังเริ่มบ่นเช่นนั้น ซุนไป่หานก็แอบยิ้มขันในใจ

          “หากเจ้าคิดว่าข้าแกล้ง เช่นนั้นเจ้าลองขี่เองดู ดีหรือไม่” องครักษ์หนุ่มเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งได้ผลอู่ลี่จินที่ไม่ทันได้คิดสิ่งใดรีบตอบทันที

          “ย่อมได้หยุดม้าสิ! ”

          อาชาสีขาวหยุดลงทันใด อู่ลี่จินรีบลงจากหลังม้า ซุนไป่หานทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะสลับตำแหน่งจากคนด้านหลังไปอยู่ด้านหน้า ไม่ช้ามือเรียวก็ออกแรงกระตุกบังเหียน ทว่าพอม้าออกแรงวิ่งไปได้สักพัก อยู่ก็สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนที่สวมเข้าที่ด้านหลัง ลี่จินถึงกับสะดุ้ง

          “ทะ ท่านทำสิ่งใด”

          “เจ้าขี่ได้ไม่ดีอย่างที่พูด ข้าเลยจำเป็นต้องกอดเอวเจ้าไว้ไม่ให้ตกหมออู่” นอกจะกอดเอวเข้าแล้ว มือใหญ่ยังซุกซนสอดเข้าใต้สาบเสื้ออีกด้วย อู่ลี่จินทั้งโกรธ ทั้งอายดูเหมือนเขาจะเสียทีคนด้านหลังเข้าให้อย่างจัง

          “คนเจ้าเล่ห์ ปล่อยเอวข้าเดียวนี้นะ! แล้วก็เลิกล้วงเสื้อข้าด้วย”

          “เจ้าคิดว่าข้าจะหยุดจริงๆ หรือ ข้าจำวันที่เจ้าขอร้องให้ข้าช่วยเหลือเจ้าได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะขอร้องเจ้าบ้าง”

          “คนฉวยโอกาสข้าขอร้องท่านเพราะข้าจำเป็น แต่เรื่องนี้...”

          “เรื่องนี้ก็จำเป็นสำหรับข้าเช่นกัน”

          พูดจาอย่างเอาแต่ใจ ซุนไป่หานไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้วนอกจากการได้โอบกอดหมอคนงามนี้ไว้ในอ้อมแขน “ข้ารักเจ้านะลี่จิน ให้ข้าได้กอดเจ้าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนข้าจะต้องจากไปเถิด”

          คำพูดหวานล้ำเอ่ยอย่างไม่อับอาย อู่ลี่จินหน้าแดงซ่านไปจนถึงหู แต่ก็ทำสิ่งใดมิได้นอกจากถอนหายใจอย่างระอา จะว่าไปแล้วตั้งแต่กลับจากที่ค่ายบูรพา พวกเขาก็ไม่ได้มีวันเป็นส่วนตัวเลย พอมีช่วงเวลาก็พัดผ่านไปไวเช่นสายลม อีกอย่างวันนี้ช่วงเช้า ดูเหมือนท่านอ๋องจะเรียกคนด้านหลังไปเข้าเฝ้าด้วย เกรงว่าเป็น เรื่องสำคัญและจะต้องห่างไกลกันอีกสักพัก คิดกระนั้นหมอหนุ่มก็ไม่โต้เถียงอีกเขาปล่อยซุนไป่หานสวมกอดไว้อย่างเงียบเชียบ

          “ท่านอ๋องเรียกทานเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใด...”

          หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามเช่นนี้ แต่หากตอนนี้ลี่จินคือคนรักที่ครอบครองดวงใจเขา จึงตอบตามความจริง

          “ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ข้าไปประจำการอยู่ที่ ปราการทางใต้สักสองสามอาทิตย์”

          พอได้ยินเช่นนั้นคนด้านหน้าก็เงียบไปสักครู่...ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ

          “เช่นนั้นข้าขอให้ท่านปลอดภัย หากกลับมาแล้วเลือดโซมกาย ข้าจะปล่อยให้ท่านนอนแห้งตายที่อยู่ที่หน้าบันได”

          คนฟังหลุดขำออกมา ก่อนจะแกล้งออดอ้อน

          “เจ้าคงไม่ใจร้าย ปล่อยข้าไว้เยี่ยงนั้น”

          “หากเป็นคนเจ็บไข้ข้าย่อมใส่ใจ แต่กลับคนเจ้าเล่ห์...ข้าคงปล่อยไว้เช่นนั้น”

          “พูดจาเย็นชานัก คืนนี้ก่อนไป ข้าจะปิดปากเจ้าอีกดีหรือไม่”

          “ข้าจะปิดปากท่านก่อนด้วยผ้าพันแผล”

          “ไม่เอาน่า...” ไม่ว่าเปล่าวงแขนแกร่งรัดแน่นเข้าไปอีก ลี่จินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่มิได้ต่อว่าใดๆ นัยน์ตาคู่สวยปรายมองคนที่อยู่ด้านหลังดุๆ

          “เห็นทีข้าควรอุดปากท่านตั้งแต่ตอนนี้”

          “เจ้าคงทำเช่นนั้นมิได้ เพราะเจ้าขี่ม้าอยู่”

          ซุนไป่หานกระตุกรอยยิ้ม “เช่นนั้นให้ข้าปิดปากตรงนี้แทน” จุมพิตเคลื่อนลงมาประทับแผ่วเบาที่ลำคอขาว สัมผัสที่ได้รับทั้งรสจูบ อ้อมแขน และเสียงกระซิบล้วนแต่แสดงให้รับรู้ว่าบุรุษผู้นี้คือซุนไป่หานที่ขอบมอบทั้งกายทั้งหัวใจให้

          ต่อให้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในวันฟ้าใหม่ เขาก็มั่นใจได้ว่าอ้อมกอดของบุรุษที่อ่อนโยนประดุจแสงคนผู้นี้จะรักเขาและดูแลกันไปจนแก่เฒ่า



          ในคืนจันทร์พร่างฟ้ากระจ่างดาว….มีเพียงเจ้าซึ่งโอบกอดข้าอย่างอบอุ่นดุจแสงจันทร์



          ประพันธ์รำพึงรัก ‘ซุ่ยล่อหลาน’



♦♦♦♦♦โอสถดอกท้อจบบริบูรณ์♦♦♦♦♦


ฮุเร่....ปิดภาคหมดแล้วนะคะ .... ปิดภาคหมอจริงๆแล้วนะคะ T^T น้ำตาไหล


                  ทั้งนี้ มีเรื่องที่จะแถลงให้ทำความเข้าใจกันดังนี้ค่ะ


                            1. ภาคหมออู่ กับ ซุนไปเป็นหาน หรือ โอสถดอกท้อ จะเป็นภาคที่ปูพื้นไปสู่ นิยายเรื่อง 'มงกุฏสีชาด' ซึ่งนั่นก็คือภาคเนื้อเรื่องของ อ๋องจิว กับการชิงบัลลังก์ล้วนๆ ไม่มีงัวผสม
                            2. เนื้อเรื่องของกวนเจ๋อที่หายไป(ตอนที่ถูกจับ) คาดว่า จะอยู่หนึ่งในตอนพิเศษของนิยาย แต่ทั้งนี้ ตอนพิเศษคาดว่าจะมีทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน ซึ่งมี กวนเจ๋อ /เต๋อ-รุ่ย /ลี่จิน-ไป่หาน

ซึ่งถ้าถ้าคุยกับทางสนพแล้ว และสามารถรวมเนื้อเรื่องของกวนเจ๋อเข้าไปในเล่มได้ ก็จะเจอกันในเล่มนะคะ แต่ถ้าไม่ได้...ดี้ก็จะลงออนไลน์ให้อ่านกัน และตอนพิเศษในเล่มอาจจะเหลือแค่ 3 T^T

           3. ปมทั้งหลายทั้งมวล ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเรื่อง จะไปคลี่คลายในภาคอ๋องนะคะ จดหมาย บทกวี บัลลังก์จะเป็นยังไงต่อ ใครจะได้จะแก้เกมส์กันยังไง ต่างๆ นานา หรือใครคู่อ๋อง ก็รออ่านภาคอ๋องนะคะ ♥

           4. นิยายเรื่องนี้ คาดว่าา...ออกกับทางสนพ Sense (2เล่มจบ)

           5. ย้ำอีกครั้ง อย่าเอายาหรือวิธีการรักษาใดใดก็ตามในเรื่องนี้ไปใช้ชีวิตจริงนะคะ  เค้าไม่ริบผิชอบเด้ออ T^T

           6. สุดท้ายแล้ว ก็ไม่รู้ว่านิยายเรื่องจะถูกใจทุกคนกันไหม คือในนิยายเรื่องนี้ดี้อาจจะใส่ความเป็นหมอเข้าไปมากเกิน จนอาจจะลืมเรื่องความรักไปบ้าง ถ้าไม่ถูกใจต้องขออภัยจริงๆค่ะ แต่ถึงยังไงดี้ก็ขอขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ยังติดตามนิยายอันยืดยาวเรื่องนี้กันมาจนจบ ไม่ว่าฟีดแบล็คจะเป็นยังไง ดี้ขอน้อมรับทุกคำติชม ไม่ว่าจะมาทางคอมเม้นต์ หรือทางหลังไมค์  ขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ยังคอยเป็นกำลังใจให้  แค่อ่านนิยายเรื่องดี้ก็ดีใจแล้วค่ะ

             7.ถ้ามีความเคลื่อนไหวเรื่องหนังสือยังไงดี้จะรีบมาแจ้งนะคะ ♥

อะย้ำอีกรอบ ฟินกับประโยคนี้ทุกครั้งที่เขียนจบ โอสถดอกท้อจบบริบูรณ์ แล้วค่ะ ^^

ปล. คำผิดใดๆ ในนิยายเรื่องนี้ทั้งปวงจะแก้ไขก่อนออกเล่มนะคะ ♥

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เฉพาะภาคหมอสินะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ขอบคุณค่ะ รอภาคอ๋องนะคะ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

มันดีต่อใจ


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จบแบบหวานๆ อร๊ายย ไป่หานวิธีปิดปากนี้ชอบนักละ คนเจ้าเล่ห์ ฮ่าๆ //เต็มอิ่ม ปลื้มปริ่ม ต่างก็มาเติมเต็มความรักให้กัน กว่าจะยอมรับใจตัวเอง ผ่านอุปสรรคมาด้วยกันมากมาย มาถึงวันนี้มันดีต่อใจจริงๆ จบโอเคเลย ก็นึกอยู่ว่าเอ~~~จะจบแบบไหนนะ เหมือนเห็นว่าจะยังวุ่นๆวายๆอยู่ แต่ไรท์สามารถบรรยายจบลงตัวนำไปสู่ภาคต่อได้ดีเลยค่ะ เรื่องราวของหมอกวนเจ๋อในต่างถิ่นพบเจอไรใครมา อะๆเห็นนะ  มีแอบเขิน บุ้ยๆ จะมีใครไปเป็นเพื่อนร่วมทางศึกษาแพทย์ต่างถิ่นไหมนาาา อะแหนะๆ 5555 แล้วหมอเต๋อจะทำอย่างไรกับที่เป็นอยู่ รอเม้นต์ในตอนพิเศษและในภาคต่อต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งและแบ่งปันนิยายสนุกๆเรื่องนี้นะคะ ชอบบบบบบบบ ^^ เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆไปค่ะ (:

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
 :pig4:  รอภาคต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ Trystan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออ่านเรื่องต่อไปเลยครับ
ส่วนเรื่องนี้ดีงามมาก ความรักของทั้งคู่สวยงามจริงๆ ผู้แต่งเก่งมากๆเลยครับ
ผมอินกับเนื้อเรื่องมากเลย เรื่องหมอๆก็ใส่มาได้พอเหมาะครับ ความรักค่อยๆพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสมกับเป็นนิยายไสยไสย5555
หวังว่าในเรื่องของท่านอ๋องจะมีฉากหมออู่กับไป่หานกุ๊กกิ๊กกันบ้างนะครับให้หายคิดถึง
ปล.อยากให้ท่านอ๋องมีผู้ชายมาทลายความโหดแหะ555 :hao6:
ขอบคุณครับ :pig4:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
 :pig4: :pig4:รอติดตามผลงานเรื่องใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ airjang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หลงเข้ามา แล้วหาทางออกไม่เจอจนจบ ไม่คิดว่าจะรันทดขนาดนี้

เขียนดีน่าติดตาม

คุ้นๆว่า คำว่า -สวรรคต- น่าจะใช้กับพระมหากษัตริย์และพระราชินี อ๋องจิวหรงเป็นองค์ชาย น่าจะเป็นคำว่า -สิ้นพระชนม์-


" ใบหน้าของอู่ลี่จินเรียวโค้งได้รูป ไม่ได้งดงามราวกับหญิงสาว แต่มิได้หล่อเหลาเยี่ยงชายชาตรี "

เรานั่งนึกหน้าหมออยู่สักพัก ..ไงดีว้า ไม่สวยแบบหญิงแล้วก็ไม่หล่อแบบชาย..สรุปว่าคิดไม่ออก

ผู้เขียนใช้คำว่า -เรียว- กับทุกๆส่วนของร่างกายหมออู่

แขนเรียว ขาเรียว มือเรียว เนตรเรียว คิ้วเรียว หน้าเรียว


ขอบคุณที่สร้างงานดีๆ เป็นกำลังใจให้จ้า


ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อะแหม่
ช่วงสุดท้าย ท่านไป่หานกระทำการเยี่ยงนั้น ไอ้เราก็นึกว่ามีแผนเจ้าเล่ห์
คิดเชยชมหมอบนหลังม้าเสียอีก
​55555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด