❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)  (อ่าน 83737 ครั้ง)

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
น้องเจ๋อติดกับดักรักซะแล้ววว. Happy new. Year. 2019. ส่วนหมออู่ หมอหม่า โดนท่านอ๋อง สกัดดาวรุ่งอีกล๊าว

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ยังรอเรื่องนี้อยู่ค่ะ อยากอ่านต่อมาก และแล้วหวยก็ไปออกที่หมอฉินอีกแล้วจ้า555555

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
       
❀ Moon's Embrace : บทที่ 27 ... ❀

          “หมอฉินหายไปตัวไปงั้นรึ! ”

          ระหว่างที่กำลังกางแผนที่เพื่อดูเส้นทางที่จะไปยังค่าย แต่เนื่องจากออกคำสั่งไว้ว่าหากมีเรื่องใดเกิดขึ้นให้รีบแจ้งเขาโดยทันที แต่ไม่คิดเลยว่าหน่วยแพทย์ฝึกหัดจะเป็นคนวิ่งเข้ามาแล้วบอกว่าหัวหน้าของตนหายตัวไปเกือบครบสองชั่วยามแล้ว

          “เห็นเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไร”

          ฟ้าเริ่มปิดแล้ว อากาศก็เริ่มหนาวสั่น น่ากลัวว่าหากไม่เร่งเร้าหาหมอฉินให้เจอโดยไว ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

          หน่วยแพทย์ทำหน้านึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางดูเสียขวัญไปมากก่อนจะพูด

          “ครั้งสุดท้ายอาจารย์ฉินบอกว่าจะออกไปเติมน้ำขอรับ แล้วก็ไม่กลับเข้ามาที่กระโจมอีกเลย”

          “มีธารน้ำเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พวกเจ้าลองไปหาเขาแล้วหรือยัง”

          ซุนไป่หานกล่าวเสียงเครียด แต่หน่วยแพทย์กลับส่ายหน้าระรัว

          “ไปแล้วมาแล้วขอรับ แต่ไม่พบเลย นี่ก็อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วด้วย”

          ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนใจนัก ถึงอาจารย์ฉินจะขี้อวดขี้โอ่ไปบ้าง แต่นับว่าเป็นดี มีความเข้าอกเข้าใจลูกศิษย์ลูกหาทำให้น่าเคารพนับถือ แต่พวกกลับเลินเล่อเล่นหัว แกล้งหยอกว่าเผ่าฮวงเป็นพวกกินคน ให้อาจารย์ร่างเล็กนั่นดูหวาดกลัวเล่นๆ แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าตัวจะหนีออกไปเติมน้ำแล้วไม่กลับมาอีก

          ซุนไป่หานถอนหายใจ อย่างไรตอนนี้จะเสียเวลาอย่างไร้ค่ามิได้ หน่วยแพทย์มือใหม่พวกนี้จำเป็นต้องมีผู้นำ

          “เข้าใจแล้ว”

          ว่าจบพลางกระชับดาบในมือแน่น ก่อนจะรีบเดินออกไปนอกกระโจม รีบออกคำสั่งกับทหารจำนวนหนึ่งพร้อมหน่วยแพทย์ออกตามหาหมอแซ่ฉินโดยทันที

          ใช้เวลาไม่นานนัก ก็มาถึงยังธารน้ำสายเล็กๆ ที่คาดการณ์ว่าเป็นจุดที่หมอฉินหายตัวไป

          ซุนไป่หานออกคำสั่งอีกครั้ง ให้ทหารและหน่วยแพทย์ที่เหลือช่วยกันตามหาหมอฉินอย่างเงียบเฉียบที่สุด

          กระทั่งในที่สุด เมื่อเดินเลียบริมน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ ทหารนายหนึ่งซึ่งถือคบเพลิง ก็เหมือนจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงรีบวิ่งมาแจ้งข่าวกับแม่ทัพหนุ่ม

          ซุนไป่หานพยักใบหน้ารีบสาวเท้าเข้ามาดูพร้อมกับหน่วยแพทย์ ก่อนจะพบว่ามีบางสิ่งตกอยู่ที่พื้น กายสูงใหญ่ก้มลงไปเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา

          “นี่มัน…”

          “กระติกหนังของหมอฉิน” แพทย์ฝึกหัดหนุ่มเอ่ยอย่างตกใจ

          “แม่ทัพซุน! ”

          มีเสียงเรียกดังเยื้องเข้ามาจากบริเวณอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกันนัก ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้น รีบตรงเข้าไปอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับพบขดเชือกเส้นหนากองอยู่กับพื้น

          องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วพลางหยิบมันขึ้นมา ลักษณะเป็นเชือกเส้นหยาบซึ่งถูกผูกไว้เป็นบ่วงคล้ายกับไว้ใช้สำหรับล่าสัตว์ ทว่าการถูกปมเชือกด้วยวิธีทบไปทบมาจนสลับซับซ้อนเช่นนี้ช่างดูคุ้นตานัก

          “วิธีพันเชือกแบบนี้... ” ซุนไป่หานเลื่อนสายตาขึ้นมามองปลายเชือกที่ถูกตัดขาดด้วยของมีคม ก่อนจะยกขึ้นมาสูดดมที่ปลายจมูก

          คล้ายกับกรุ่นกลิ่นยาขม แต่ขณะเดียวกันกลับหอมเครื่องเทศอ่อนๆ และมีกลิ่นดินผสม

          “ชนเผ่าโชโฮงั้นหรือ”

          คิ้วเข้มกดเข้าหากัน มือหนากำเส้นเชือกในมือแน่นขึ้น ไม่คิดเลยว่าจะมีชนเผ่าทางเหนืออพยพมาอยู่ในเขตบูรพาด้วย แต่หากหมอฉินถูกเผ่าโชโฮจับตัวไว้เช่นนี้แล้ว คงเป็นการยากที่จะหาตัวเจอเป็นแน่

          “กระจายกำลังออกค้นหาให้ทั่ว” ถึงอย่างไรก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้มิได้!





♦♦♦♦♦





          ข้าวเปลือกเม็ดน้อยถูกโปรยลงบนพื้นอันเย็นเยียบ นกกระจาบตัวจ้อยต่างร่อนกายลงมาพลางค่อยๆ ใช้จะงอยแหลมคมจิกเม็ดข้าวอย่างอิ่มหนัง อู่ลี่จินมองภาพเช่นนั้นแล้วคลี่ยิ้มราบเรียบ หลังจากที่ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ส่งกำลังไปสมทบที่ค่ายบูรพา ตำหนักเฮ่อเซ่อก็เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน

          ท่านอ๋องไม่มีรับสั่งเพิ่มเติมใดๆ อีกทั้งสิ้น ส่วนเต๋อหวนก็ทำทีเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ทำให้นึกถึงบ้านเก่านัก

          ครั้นยังอยู่กับถานเซียง ชีวิตวัยเด็กในช่วงเวลานั้นถึงจะประสบพบเจอแต่เรื่องโหดร้าย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเป้าหมายชัดเจนว่าควรก้าวเดินไปทิศทางใด

          เขาอยากเป็นหมอ…

          หมอที่เดินทางช่วยเหลือและรักษาผู้คนโดยไม่ไหวสิ่งใดตอบแทน โดยคิดว่าการสอบเป็นแพทย์หลวงให้กับพระจักรพรรดินั้นย่อมช่วยผู้คนได้มากมาย แต่แท้จริงแล้วเขากลับกลายเป็นปลาที่ติดอยู่ในบ่อ ไม่ว่าจะว่ายไปทิศทางใดก็ล้วนแต่พบกำแพงหนาทึบทุกด้าน

          หรือเขาควรที่จะฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่ควรจะทำ…

          หากเป็นมิตรย่อมช่วยเหลือ...หากเป็นศัตรูต้องซ้ำเติมให้เสียเลือด

          ใครจะไปทำเช่นนั้นได้...เป็นหมอย่อมไม่เลือกมิตรหรือศัตรู ผู้ใดบาดเจ็บล้วนแต่เป็นคนป่วยทั้งสิ้น นั่นคือจรรยาบรรณ และสนามรบของแพทย์มิใช่หรือ

          ทว่าความจริงที่พบเจอก็คือ คนเราย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือมังกรก็มิอาจหลีกชะตากรรมของตนเองไปได้

          “อาจารย์อู่!! ”

          เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังยืนให้อาหารนกอยู่นั้นหันใบหน้าไป เด็กชายในเสื้อคลุมแพทย์อาสาตัวน้อยกับผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาพลางโบกมือทักทายด้วยท่าทียิ้มแย้ม ในมือข้างหนึ่งของเข้าถือห่อกระดาษสีน้ำตาลไว้แนบอก

          “ชิงเทียนหรือ”

          เนื่องจากหมอฝึกหัดส่วนหนึ่งถูกคัดกองไปที่ค่ายบูรพา การเรียนการสอนที่เรือนปีกตะวันตกจึงยกเลิกไปชั่วคราว สำหรับชิงเทียนแม้ว่าจะมีพรสวรรค์ ทว่าอายุอีกฝ่ายยังน้อยเกินไปที่เข้ารับมือกับสถานการณ์จริง

          เด็กชายเดินเข้ามาด้วยท่าทียิ้มแย้ม จนหมอหนุ่มยกยิ้มตาม “พวกบ่าวไพร่บอกว่าอาจารย์อยู่ที่ตำหนักตะวันออก ข้าเลยแวะนำห่อชามาฝาก” ว่าจบพลางยื่นห่อชาให้ทั้งรอยยิ้ม อู่ลี่จินรับมาอย่างว่าง่าย จะว่าไปแล้ว...ตั้งแต่เข้าเมืองหู่มา ก็พบปะกับผู้คนมากมาย ซุนไป่หานเป็นคนแนะนำให้เขารู้จักกับชิงเทียนและชิงลี่ ซึ่งเขาก็มองทั้งคู่เหมือนน้องชายน้องสาวมาโดยตลอด

          “ฟังว่าเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์เช่นนี้แล้ว ช่างไม่คุ้นหูเลยสักนิด เรียกอย่างที่เจ้าถนัดเถิด” ชิงเทียนส่ายหน้าระรัว

          “มิได้ ถึงพวกเราจะเป็นแค่หมอฝึกหัดที่เพิ่งเริ่มหัดคลาน แต่พวกเราก็เป็นศิษย์มีครูด้วยกันทั้งสิ้น และพวกท่านก็เป็นอาจารย์ของพวกเรา” เด็กชายเล่าอย่างภาคภูมิใจจนอดอมยิ้มเป็นไม่ได้ และชิงเทียนยังพูดต่ออีกว่า“ถือว่านับเป็นวาสนายิ่งนักที่ท่านอ๋องมอบโอกาสให้ อีกอย่างนะ...” ร่างเล็กเว้นจังหวะไป ลี่จินเลิกคิ้วเรียวขึ้นสูง “อะไรหรือ” ก่อนมุมปากของเด็กชายจะคลี่ยิ้มทะเล้น

          “หากข้าเรียกอาจารย์อย่างสนิทสนมมากเกินไป พี่ใหญ่จะไม่ชอบใจเอาได้”

          พี่ใหญ่? พูดคำคำนี้จบใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนก็ลอยออกมา พานเอาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

          “ไม่ชอบใจ ใต้เท้าซุนน่ะหรือ? ”

          “ใช่ ก่อนที่เขาจะไปที่ค่ายบูรพา พี่ใหญ่แวะมาหาข้าด้วย บอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ให้ข้าดูแลท่านให้ดีๆ หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา พี่ชายบอกว่าจะเอาไม้ไล่ตีข้าด้วย”

          ดูเอาเถิด กับเขาไม่เห็นจะมาร่ำลาเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย น่าขันเสียอีกที่คนที่นึกถึงดังไปฝากฝังเด็กให้ดูแล แต่ตนเองกลับไม่กล้าพูด นึกแล้วอยากกลอกตาเสียจริงๆ ทีกับเด็กล่ะเก่งนักเชียว

          “เห็นทีคงต้องมีคนสั่งสอนพี่ใหญ่ของเจ้าเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นจะรังแกคนอื่นอยู่ร่ำไป”

          ชิงเทียนทำหน้านึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนดีดนิ้วดังเปาะ เหมือนเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

          “จะว่าไปแล้ว พี่ชายใหญ่กับอาจารย์คืนดีกันแล้วหรือ”

          อะ..แฮ่ม!

          “เจ้าพูดเยี่ยงไรนะ!?” แต่ล่ะประโยคที่ได้ยินเล่นเอาคนที่ไม่คิดสิ่งใดแทบไม่ทันตั้งตัว ถ้าหากดื่มอยู่ชาคงสำลักไปแล้ว ไม่รู้คนแซ่ซุนเอาเรื่องอะไรไปใส่หัวเด็กชายไว้บ้าง น่าโมโหนัก ทว่าเด็กชายยังคมยิ้มร่า ทำทีเหมือนมิได้รู้ร้อนหนาว

          “พี่ใหญ่บอกว่าเขาทำท่านโกรธ ท่านเลยไม่อยากพบหน้าเขาเท่าไร เห็นว่าก่อนหน้านั้นทะเลาะกัน”

          อา...ซุนไป่หาน เจ้ากล้าบอกเรื่องเช่นนี้กับเด็กด้วยงั้นหรือ! ไม่รู้จักโตหรืออย่างไร ถึงเอาเรื่องเข้าใจผิดๆ เช่นนี้ไปใส่หูเด็ก!

          อู่ลี่จินสูดลมหายใจเข้าลึก ระงับอารามโทสะที่พานเอาหางคิ้วเริ่มกระตุก ก่อนคิดจะค่อยๆ อธิบายความจริง ทว่าปัญหาที่ติดอยู่ก็คือ...จะเริ่มอย่างไรดีเล่า

          “พวกเรามิได้ทะเลาะกัน เพียงแต่...”

          “...”

          จะพูดไปตรงๆ ต่อหน้าเด็ก ว่าหลังจากกอดกันคืนนั้นตนเองก็เป็นฝ่ายหนีออกมาเอง ก็เกิดหน้าบางขึ้นมาทันใด

          ซุนไป่หานเจ้าบ้าเอ๊ย!

          “พ...พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ค่อยมีเวลา”

          “ข้าว่าท่านอาจารย์มากกว่าที่ไม่มีเวลา”

          “...”

          ซุนไป่หานหากเจ้ากลับมา ข้าเอาเจ้าตายแน่!

          “ชิงเทียน...เอ...ข้าว่าข้าสอนวิชาแพทย์ให้เจ้านะ ไยถึงได้จับผิดข้านัก”

          เด็กชายหัวเราะร่า ดูเหมือนที่พูดมาทั้งหมดจะจงใจแกล้งเขาตั้งแต่แรก พอเห็นเช่นนี้แล้วก็หลุดยิ้มตามเป็นไม่ได้

          และพอเห็นร่างตรงหน้าหัวเราะออกมาได้ ชิงเทียนก็คลายกังวล จริงๆ แล้วที่พี่ใหญ่ย้ำกับเขาเป็นเรื่องสำคัญก็คือ...

          “ท่านยิ้มแล้ว” พอถูกทักเข้าอู่ลี่จินก็เพิ่งรู้ตัวว่าโดนเด็กชายตรงหน้าหลอกเข้าให้

          “เจ้าแกล้งข้างั้นหรือ นิสัยเหมือนพี่ใหญ่ไม่มีผิด”

          “หาใช่เช่นนั้น จริงๆ แล้วที่ข้าทำเช่นนี้ เพราะพี่ใหญ่แค่ไม่อยากให้ท่านอาจารย์กังวล”

          “ข้ามิได้กังวลเรื่องพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นแน่”

          “เปล่าข้าหมายถึง...สหายท่าน อาจารย์ฉินน่ะ”

          พอได้ยินเช่นนี้แล้ว ราวกับก้อนความกลัวที่หลบซ่อนไว้ใต้แผ่นตีปะทุขึ้นมาวูบหนึ่ง อู่ลี่จินกลืนน้ำลาย ที่จริงแล้วคนที่สมควรไปค่ายบูรพานั้นควรเป็นเขาเสียมากกว่า มิใช่ไม่เชื่อในฝีมือแพทย์ตนเอง แต่เป็นเพราะกลัวเจ๋อเป็น พวกหัวหด พอเจอสถานการณ์เลวร้ายหนักๆ เขากลัวว่าจะคุมสติตนเองไม่อยู่ แต่สุดท้ายคำสั่งของอ๋องเมืองหู่ล้วนเป็นที่สิ้นสุด ต่อให้คัดค้านอย่างไรก็ไร้ความหมาย จึงได้แต่ภาวนาว่าซุนไป่หานจะดูแลสหายร่างเล็กคนนั้นเป็นอย่างดี

          “คืออย่าหาว่าข้าพูดไม่ดี แต่ข้าได้ยินว่าที่ทางค่ายบูรพา พวกเผ่าฮวงนั้นน่ากลัวมาก ถึงขนาดเปลี่ยนผลัดทหารไปแล้วถึง 3 หน ก็ยังกำราบพวกมันไม่ได้”

          “พวกเขาร้ายกาจขนาดนั้นเชียว” ลี่จินถามเสียงเครียด ชิงเทียนพยักใบหน้า

          “ใช่แล้ว มิเช่นนั้นท่านอ๋องคงไม่เสียเวลาถึงเพียงนี้ อีกอย่างข้าได้ยินว่าพวกมันกินเนื้อคนด้วย”

          ยิ่งได้ยินก็ยิ่งใจแกว่งแปลกๆ ชนเผ่าฮวงกินเนื้อคนด้วยกันงั้นหรือ ข่าวลือเช่นนี้ช่างน่ากลัวนัก

          ชิงเทียนเมื่อเห็นร่างตรงหน้าเงียบไป ก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากเกินไปหน่อย แต่อย่างไรเขาก็มั่นใจว่ากองทัพจะต้องมีชัยกลับมา

          “อาจารย์อู่ไม่ต้องหวง ข้าคิดว่า ถึงจะเป็นอาจารย์ฉิน แต่ถ้าพี่ใหญ่เป็นคนนำทัพเอง ก็ไม่น่าเป็นกังวล อาจารย์ฉินต้องปลอดภัยแน่”

          เด็กชายคลี่รอยยิ้มอย่างสดใส ทว่าอู่ลี่จินก็มิอาจฝืนความคิดตนเองได้ เผ่าฮวงเขาเคยได้ยินว่าเป็นชนเผ่าที่อันตรายและทำร้ายผู้ หากข่าวลือเรื่องกินเนื้อคนเป็นความจริง นั้นยิ่งน่ากลัวว่าอาจจะรับมือได้ยากลำบากขึ้นไปอีก

          “ข้ามั่นใจว่าทั้งคู่จะต้องปลอดภัย ”ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักใบหน้า และภาวนาในใจสวดต่อองค์เทพให้คุ้มครองคนทั้งคู่


ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 27 ... ครบ ❀

           “ยังหาไม่พบอีกหรือ”

          ดูจากแสงจันทร์ที่เข้ามาแทนที่ คงล่วงเลยมาถึงยามซวี่ ทว่าทั้งที่กระจายกำลังออกตามหามิได้หยุดพักก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหรือล่องลอยของหมอแซ่ฉินเลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้ฟังรายงานจากทหารและหน่วยแพทย์ที่เข้ามาในใบหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียด

          “ขอรับ พวกเราหาจนทั่วป่าแล้วไม่เห็นล่องลอยของหมอฉินเลย อีกอย่างที่นี่อากาศแปรปรวนนัก มีฝนปรอยๆ มาตลอดทั้งคืน”

          น่าหนักใจที่สุดคือเม็ดละอองฝนที่โปรยปรายมา ถึงพื้นที่บริเวณที่เดินทางไปยังค่ายบูรพาสภาพอากาศตลอดทั้งปีนั้นร้อนชื้น แต่พอเข้าสู่เดือนสิบสองกลับได้รับผลกระทบของลมฤดูเหมันต์ตามไปด้วย พอปะทะกันเลยเกิดฝนตกพรำลงมาอย่างไม่น่าจะเป็นถือว่าหมอแซ่ฉินดวงซวยยิ่งนัก

          “ข้าคิดว่าอาจารย์ต้องถูกจับตัวไปเป็นแน่ อาจจะเป็นพวกเผ่าฮวงก็ได้” หน่วยแพทย์หนุ่มว่าอย่างกลัวๆ แต่ซุนไป่หานกลับส่ายใบหน้า

          “มิใช่เผ่าฮวงหรอก วิธีผูกปมเชือกเช่นนี้ กับกลิ่นดิน ข้าคิดว่าน่าจะเป็นพวกเผ่าโชโฮ ชนเผ่ากลุ่มน้อยที่อพยพหนีลมหนาวเข้ามาในแทบนี้มากกว่า”

          “พวกโชโฮหรือขอรับ? ” ซุนไป่หานพยักใบหน้า ก่อนอธิบาย

          “ชนเผ่าโชโฮ เป็นคนชนกลุ่มน้อย ข้าเคยได้ยินว่าพวกเขามีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับสัตว์ มีความสามารถในการลบล่องลอยและพรางตัว เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ได้ยินว่า พวกทหารที่ออกไปล่าสัตว์จับชายหนุ่มชาวโชโฮมาได้ แต่หนีรอดออกไป รุ่ยเหรินไม่ได้รายงานเรื่องนี้ เดาว่าเขาเองก็ยังมิทราบเช่นกัน เขาเลยมิได้หาทางรับมือ”

          แม่ทัพหนุ่มว่าเสียงเครียด ในสนามรบมักมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ทว่ายังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้น แถมศัตรูที่ก่อนเหตุกลับเป็นพวกที่ไม่ได้วางเอาไว้ในแผนการ

          “แต่....ถ้าเป็นโชโฮจริง ปกติแล้วพวกเขาเป็นพวกรักสงบนี่ เหตุใดถึงได้จับตัวอาจารย์ฉินไป”

          “ข้าเองไม่ทราบเช่นกัน” คำตอบนั้นพานเอาบรรยากาศในกระโจมของแม่ทัพหนุ่มถึงกับอึมครึมขึ้นมาทันใด

          เอาอย่างไรดี เขารับปากกับลี่จินไว้แล้วจะดูแลกวนเจ๋อ...แต่ว่าบัญชาท่านอ๋องก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

          “แม่ทัพซุนจะทำอย่างไรต่อ เราทิ้งอาจารย์ฉินไว้แบบนี้ไม่ได้นะ”

          คิ้วหนากดลงอย่างเคร่งเครียด อย่างไรหากช่างน้ำหนักแล้ว เรื่องนำกองหนุนไปสมทบที่ค่ายบูรพาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่การทิ้งหมอฉินไว้แล้วไม่ออกตามหาก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ตอนนี้ทางเดียวที่เขาคิดออกก็คือ...

          “ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ว่าพวกเราจะเสียเวลาอยู่ที่นี่มากกว่านี้ไม่ได้ ท่านอ๋องมีรับสั่งให้นำกำลังเสริม และหมอไปที่ค่ายบูรพาให้เร็วที่สุด ขืนชักช้ากว่านี้ น่ากลัวว่าจะมีคนเจ็บและล้มตายมากขึ้น”

          “แล้วอาจารย์ฉินเล่า ท่านจะปล่อยเข้าไว้แบบนี้น่ะหรือ”

          “พรุ่งนี้เช้าข้าจะทิ้งคนส่วนหนึ่งเพื่อออกตามหาเขา พร้อมกับส่งม้าเร็วไปทูลท่านอ๋องว่า หัวหน้าหมอฉินหายตัวไป อย่างน้อยหากหมอฉินกลับมาก็ยังเจอคนอยู่ที่นี่”

          ถึงจะเป็นห่วงฉินกวนเจ๋ออยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาจะทิ้งกองทัพและออกไปตามหาหมอฉินเพียงผู้เดียวก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน วิธีที่เขาพอจะคิดออก จึงมีแค่ทางนี้เพียงทางเดียวเท่านั้น

          “ข้าหวังว่าเขาจะปลอดภัย”

          “เขายังปลอดภัยข้ามั่นใจเช่นนั้น”

          น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยราบเรียบ แม้จะมั่นใจว่าพวกเผ่าโชโฮเป็นพวกที่รักสงบและไม่ทำร้ายผู้ใดแต่เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นชนกลุ่มน้อย ฮ่องเต้จึงเคยมีรับสั่งให้กวาดล้างนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นไปได้ที่จะมีความแค้นฝังลึกอยู่กับพวกเขา สุดท้ายจึงได้ภาวนากับเทพทั้งสามบนสรวงสวรรค์ขอให้หมอฉินปลอดภัย…





♦♦♦♦♦





          เสียงนกร้องขับขานต้อนรับฟ้าสีครามอร่าม รุ่งเช้าวันนี้อากาศช่างสดใสนัก

          ในสวนพฤษชาติบุปผานานาพันธุ์ต่างบานสะพรั่งราวกับสาวงามที่ต้องการล่อลวงชายหนุ่มให้โปรดปราน โดยเฉพาะในต้นฤดูเหมันต์เช่นนี้ดอกเหมยกุ้ยสีแดงสดกลับเป็นดอกไม้ที่โดดเด่นกว่าดอกไม้อื่นๆ

          สีแดงสดบานสะพรั่ง

          งดงามเช่นริมฝีปากสตรี..

          หลังจากที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พระมเหสีหลิวจูเข้าเฝ้าช่วงเช้าเพื่อสอบถามข่าวคราวในวันหลังเสร็จสิ้น ตอนที่กำลังเสด็จกลับตำหนักนางก็มีรับสั่งให้ตัดดอกเหมยกุ้ย โดยคัดเฉพาะดอกที่มีสีแดงจัดและกลีบดอกไม่บานจนเกินไปประดับแจกันที่ตำหนัก เพื่อส่งเสริมบารมีของนางให้งามสะพรั่งเฉกเช่นดอกไม้นี้ ก่อนจะมาประทับลงที่เก้าอี้หยกเขียวละเมียดจิบชาดอกเก๊กฮวยอุ่นๆ

          ทว่าเสวยได้ไม่ถึงครึ่งถ้วย นางกำนัลรับใช้ก็เข้ามาทูลกับนางว่าองค์รัชทายาทหยวนอี้หมิงแวะมาถวายคำนับ

          มเหสีสีหลิวจูเลิกพระขนงเรียวขึ้น ก่อนแย้มรอยสรวลนิดๆ วันนี้นับได้ว่าเป็นวันที่ฤกษ์ดีนักเหมาะแก่การตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ไม่ช้านางกำนัลก็กลับหายออกไป พักเดียวหยวนอี้หมิงในชุดสีขาวพิสุทธิ์ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

          หยวนอี้หมิงถวายคำนับนางอย่างสง่างามเช่นเคย รอยสรวลเจือจางแบบที่ทรงประดับอยู่บนพระพักตร์งดงามเป็นประจำก็แย้มออกอีกครั้ง ที่จริงแล้วนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าลูกชายของนางมาเพื่อสิ่งใด หากมิใช่ว่ากงกงเฒ่าคนสนิทของรัชทายาทคาบข่าวไปบอกว่าวันนี้ ‘หวางหยาง’ ผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุลาห่างๆ จะมาเข้าเฝ้าก็คงมิได้เห็นหน้าลูกอี้ของนางเป็นแน่

          เหอะ...พักนี้อี้หมิงทำตัวเหินห่างกับนางนัก แต่ใช่ว่านางจะตามหมากลูกชายตนเองไม่ทัน เพราะเลี้ยงมากับมือถึงได้ล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายจะก้าวขาไปทิศใด

          หากเดาไม่ผิดอี้หมิงคงกำลังหวาดกลัวเรื่องจดหมายแดงที่พบในหอหนังสือนั่น ซึ่งป่านนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด อีกทั้งฮ่องเต้ยังเงียบสงบเช่นนี้ด้วย จะผลีผลามขยับก็คงลำบาก

          แต่ว่า...แม้การถอยทัพจะเป็นกลยุทธ์ที่ดี แต่หากศัตรูไล่ต้อนข่มขู่มาการตั้งรับอย่างเดียวนั้นไม่ใช่แนวทางของนางเลยสักนิด

          สนทนากับลูกชายได้สองสามประโยค จากนั้นไม่นาน ก็เป็นไปตามคาดเมื่อนางข้าหลวงเดินเข้ามากระซิบกับว่า หวางหยางมาถึงเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง

          พอใบหน้างามพยักรับ ไม่นานบุรุษวัยสี่สิบในชุดเสื้อเกราะสีน้ำตาลดูแข็งแกร่งก็เดินตรงเข้ามา ใบหน้าของชายวัยกลางคนนั้นดุดันโหดเหี้ยมจากหนวดเคราที่ยาวตั้งแต่กกหูถึงปลายคาง ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นพระมาตุลาห่างๆ ของพระมเหสีจริงๆ แต่กระนั้นเขาก็เป็นถึงแม่ทัพทางแคว้นตะวันตกที่ผู้คนต่างหวั่นเกรง

          “ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมองค์รัชทายาท”

          หวางหยางประสานมือคุกเข่าถวายคำนับผู้ที่นั่งอยู่ทั้งสอง มเหสีหลิวจูรับสั่งให้หวางหยางเงยใบหน้าขึ้น ก่อนตรัส

          “ไม่พบหน้าเสียนานท่าทางเจ้าดูอิ่มหนังสำราญขึ้น”

          “ทั้งหมดล้วนเป็นแต่พระกรุณาของฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

          “ยังปากหวานมิเปลี่ยน แต่ก็ดีข้าชอบคนถือหางนัก”

          รอยสรวลยกขึ้นที่มุมโอษฐ์ช่างดูสวยงามนัก แต่หากความเป็นจริงที่กับเคลือบแคลงไปด้วยความร้ายกาจอย่างที่รู้กัน

          หยวนอี้หมิงซึ่งประทับอยู่ด้วยกันยกชาเก๊กฮวยทองขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากเล็กน้อย พอให้รสชาติหวานอ่อนๆ ไหลลงนุ่มคอกำลังดี จะว่าไปแล้วถึงหวางหยางจะมีศักดิ์เป็นน้า แต่ก็เป็นได้แค่พระญาติห่างๆ ของตระกูลที่เสด็จแม่เลี้ยงไว้ให้เขาใช้งานเพียงเท่านั้น

          “ใต้เท้าหวาง ทางทิศเหนือเป็นอย่างไรบ้าง”

          สุรเสียงสม่ำเสมอราบเรียบ แต่ช่างนุ่มนวลไพเราะนัก หวางหยางเข้าใจดีว่าพระมเหสีหลิวจูคงเลี้ยงดูหยวนอี้หมิงผู้นี้ประดุจไข่ในหิน ทั้งวรองค์ พระพักตร์ พระหัตถ์ ผิวพรรณทุกอย่างล้วนรังสรรค์มาอย่างสง่างามราวกับรูปหล่อทวยเทพ ทว่าภายใต้รูปโฉมอันบริสุทธิ์นี้ พระนิสัยกลับถอดแบบมาจากพระมเหสีไม่มีผิดเพี้ยน

          หวางหยางประสานคำนับก่อนกล่าว

          “ทูลรัชทายาท ประชาชนล้วนอยู่เป็นสุขล้นพ้น เพราะพระบารมีของฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ”

          อี้หมิงครางเสียงรับว่า ‘อืม’ เบาๆ ในลำคอก่อนจะย้ำถึงบางเรื่อง

          “เจ้าอย่าลืมรับสั่ง หน้าหนาวเดือนนี้มิอาจคาดเดาว่าจะยืดยาวเท่าใด แต่เพราะเดาใจทวยเทพสวรรค์มิได้ ก็ควรหลบซ่อนตัวไว้อย่าได้ออกไปมีภัย เข้าใจหรือไม่”

          ทวยเทพนั้นหมายถึงฮ่องเต้...ส่วนหลบซ่อนหมายถึงให้ยับยั้งแผนการทั้งหมดเอาไว้

          เป็นดังที่พระมเหสีหลิวจูคาด ในประโยคของลูกชายนางแฝงความหวาดกลัวเอาไว้อย่างมิดชิด แม้แต่คำพูดจาก็ยังอ้อมค้อม แต่นางจะไม่ใส่ใจ เพราะถือเป็นเรื่องดีที่อี้หมิงระวังตัวเอาไว้ หน้าต่างมีหูประตูมีช่องไม่เว้นแม้แต่ตำหนักของนาง

          “ เป็นคำคมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

          พอหยวนอี้หมิงเห็นหวางหยางรับคำอย่างขันแข็งแล้วก็ไม่มีเหตุใดต้องตรัสย้ำกับเขาอีก

          “เสด็จแม่ลูกไม่มีเรื่องอันใดอีก หากเสด็จแม่มีเรื่องจะตรัสกับหวางหยางเป็นการส่วนพระองค์ เช่นนั้นลูกขอทูลลา”

          ยืนขึ้น ค้อมศีรษะประสานมือคำนับด้วยท่าทางที่สง่างามนัก มเหสีหลิวจูปรายพระเนตรเรียวมองลูกชายที่กำลังเดินออกไปจากตำหนัก แต่ยังไม่พ้นบานประตูเสี้ยวใบหน้าหมดจดนั้นก็หันมาพูดกับหวางหยางทิ้งท้าย

          “หวางหยางเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนัก หากโยนไม้ขีดทิ้งบนหลังคาหญ้า ย่อมไหม้ทั้งกระท่อม...”

          “...”

          ไม่กี่อึดใจหยวนอี้หมิงในชุดสีขาวพิสุทธิ์ก็เสด็จกลับ ทิ้งไว้แค่ประโยคที่ทำให้มเหสีหลิวจูหรี่พระเนตรลงอย่างครุ่นคิด ขณะที่หวางหยางกลับได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ พักเดียวคนที่ประทับอยู่เบื้องหน้าก็ตรัสเรียกความสนใจขึ้นมาบ้าง

          “หวางหยาง เจ้ามาเหนื่อยๆ นั่งลงก่อนสิ”

          พอได้รับคำอนุญาต หวางหยางถึงได้แทรกกายเลื่อนเก้าอี้มาประทับร่วมโต๊ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วมเหสีหลิวจูก็คลี่รอยสรวลราบเรียบ ก่อนเรียกนางข้าหลวงที่อยู่ด้านหลัง...

          “กูกู”

          “เพคะฮองเฮา

          “ชงชาดอกเก๊กฮวยทองให้เขา และมอบกล่องที่เตรียมไว้ให้เขาด้วย”

          พระเสาวนีย์เรียบง่าย แต่กลับสร้างความประหลาดใจหวางหยางยิ่งนัก ปกติแล้วหากไม่มีผลประโยชน์พระมเหสีหลิวจูไม่ประทานสิ่งใดให้กับใครง่ายเช่นนี้…

          ทว่าไม่ช้าพอกล่องไม้สีน้ำตาลแดงขนาดสองศอกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า หวางหยางก็ลืมคำถามที่ตั้งแง่ไว้ในหัวตนเองจนหมดสิ้น

          “ของในกล่องทั้งหมดคือของเจ้า รวมทั้งหากเจ้าชอบชาเก๊กฮวยทองที่ข้าดื่มอยู่เป็นประจำก็ยังมอบให้ได้ ”

          แก้วแหวนเงินทองมากมายถูกบรรจุเข้าๆ ไปในกล่องไม้จนไร้ที่ว่าง หวางหยางตาลุกวาว เงินทองมาเช่นนี้หารับไว้ทั้งครอบครัวคงสบายไปทั้งชาติ

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

          พอเห็นหวางหยางตาโตและยินดีรับไว้อย่างไม่มีข้อกังขา กระนั้นแล้วรอยยิ้มพึ่งพระทัยก็ประดับบนพระพักตร์งามอีกครั้ง “เห็นเจ้าพอใจ ข้าก็ยินดีนัก”

          หากต้องการใช้งานคน ก็ต้องดูให้ออกว่าคนคนนั้นเป็นคนประเภทใด หวางหยางเป็นคนโลภมาก แค่แก้วแหวนเงินทองกองอยู่ตรงหน้าก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น...อี้หมิง เจ้ายังมองคนได้ไม่ขาดนัก

          “เจ้าได้ของมากมายเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้าน่าจะมอบบางอย่างให้ข้าบ้าง”

          ทันทีที่ประโยคราบเรียบพูดออกมา หวางหยางที่กำลังตาโตกับเงินทองมากมายถึงกับชะงักเงยใบหน้าขึ้น

          “ฮองเฮาหมายถึง...”มเหสีหลิวจูเชิดพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย

          “ลูกชายของเจ้ากำลังร่ำเรียนอยู่ที่สำนักนักปราชญ์ทางเหนือ ได้ยินว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มที่เฉลียวฉลาดมากความสามารถ อนาคตพึ่งพาได้ หากรับราชการเป็นขุนนาง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชสำนักเป็นแน่ ส่วนภรรยาตระกูลลู่ก็ยุ่งอยู่กับการจัดแจงที่ดินไร่ชาที่เพิ่งเพาะปลูก ได้ยินมาว่ามีผลไม้แดนตะวันตกด้วย รสชาติเป็นเช่นไรข้าอยากลิ้มลองนัก มิแน่ว่าหาถูกโอษฐ์ข้า ข้าอาจจะช่วยพูดให้ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าผูกขาดการค้าเพียงผู้เดียว”

          อยากใช้สุนัขลากเลื่อนก็ต้องยกเนื้อมาล่อ หวางหยางกลืนน้ำลายรีบประสานมือ

          “เป็นพระกรุณาธิคุณหาเปรียบมิได้ ขอบพระทัยฮองเฮา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ หรือตัดลิ้นตนเอง กระหม่อมหวางหยางผู้นี้ยินดีถวายชีวิตให้พระนางพ่ะย่ะค่ะ”

          หึ...ทุกอย่างช่างง่ายดายนัก

          “หากเจ้าพูดเช่นนั้นข้าก็เบาใจ ตอนนี้ข้ากำลังกังวลใจนัก อี้หมิงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับข้า แต่เพราะตลอดเวลาที่ข้าเลี้ยงอี้หมิงประดุจไข่ในหินมา นั่นทำให้เขาขาดความเด็ดขาด และกล้าหาญไปบ้าง ส่วนเจ้าคนเถื่อนชั้นต่ำนั่น กลับมีทั้งความแยบยล และความมุทะลุบ้าบิ่น”

          หวางหยางไม่โต้ตอบสิ่งใด ทำเพียงแค่ฟังสิ่งที่มเหสีหลิวจูตรัสเงียบๆ

          “เจ้าคิดว่าสุนัขบ้า กับ จิ้งจอกต่างกันอย่างไร”

          มเหสีหลิวจูยืดตัวขึ้น ใช้นิ้วเรียวงามเกลี่ยวนเบาๆ ที่ขอบถ้วยชา ก่อนเหลือบสายตาขึ้นมองหวางหยางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “สุนัขบ้านั้นไร้ความคิด แต่หากใช้สัญชาตญาณเพื่อออกล่าเหยื่อ มันมิได้สนใจว่าตนเองจะตายหรือไม่ แค่สนใจว่าจะมีโอกาสได้ขย้ำคอของเจ้าเมื่อใด”

          หวางหยางกลืนน้ำลาย พอเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ประโยคนี้ หากนับสตรีที่น่ากลัวในใต้หล้าหยวนหลิวจูคงขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งอย่างมิต้องสงสัย แถมวาจายังเฉียบคม อีกทั้งยังใจเหี้ยมเกินหญิง แต่สตรีเช่นนี้เขากลับนับถือนัก

          “ข้าเป็นห่วงอี้หมิงนัก และข้าก็ได้ยินว่าเจ้าสาบานจะซื่อสัตย์กับอี้หมิงแล้ว เช่นนั้น เรื่องที่ข้าจะขอให้เจ้าจัดการต่อไปคงมิใช่เรื่องยากเย็น” หวางหยางตอบรับทันที

          “ขอแค่มีพระเสาวนีย์มา กระหม่อมหวางหยางผู้นี้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรับใช่พระองค์” มเหสีหลิวจูหลุดสรวลเสียงดัง

          “เช่นนั้นก็พูดกันง่ายขึ้น”

          พระหัตถ์เรียววางถ้วยชาลง รอยสรวลราบเรียบงดงามยกขึ้น เพียงโอษฐ์ทรงคันศรสีแดงชาดขยับกล่าวเพียงไม่กี่คำก็พานเอาเลื่อนลั่นใจในคนฟังยิ่ง!

          “ฆ่าจวิ้นอ๋องซะ...นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องทำ”



               ♦♦♦♦♦

               อัพฉลองงวันเด็กฮ้าบบบบ
                ช่วงนี้ก็จะมีเวลามาจับคอมหน่อยๆ
                ใกล้จบภาค คุณหมอคนงามแล้วนะ 31 ตอนเฮ้... รักเทอ ขอบคุณค่าา♥

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
มาต่อแล้ววว แปะไว้ก่อนเดี้ยวไปอ่านแปปป

---------------------------------------------------------------------------
ลี่จินเหมือนอยู่ในสภาวะ ลมสงบก่อนพายุมายังไงก็ไม่รู้ :mew5:
หมอฉินนนน โดนชนเผ่าไฮโซ เอ้ย โชโฮจับไปเป็นยังไงบ้าง :serius2: นี่แอบจิ้นให้หมอฉินมีคู่เป็นชนเผ่าแล้วเนี่ย(ปาดเลือดกำเดา  :haun1: :haun4:) ถ้าแบบหล่อๆเถื่อนๆนะ อรั้งงง//มโนเก่ง

ปล. มารีเช้า กลางวันเย็นเลยจ้า สนุกมากติดงอมแงมเลย รักคนเขียนนะ :กอด1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2019 19:02:22 โดย shiroinu »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อห ร้ายยกาจ ลอบปลงอ๋องโดยยืมมือคนอื่น จะสำเร็จไหม อ๋องก็หาใช่คนซื่อ หึ! //อ่าหมอฉิน ซวยแล้ววว เผ่าไหนกันแน่ที่จับตัวไปละเนี้ย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะหมอฉิน โดยทิ้งแล้ว 5555 เอาน่าๆไม่เป็นไรหรอก ซื่อๆมึนๆเอ๋อๆอย่างหมอฉิน คนเผ่านี้อาจชอบก็ดะ รอคนมาตามนะ 555 //วุ้ยยยย คนห่วงเมีย 2019 ฝากคนดูแลใหญ่เลย กำกับดิบดีดูแลงั้นงี้ วุ้ยๆๆๆ หมออู่ปลื้มละสิ คึคึ! //กำลังคิดถึงพอดีเลย ขอบคุณที่แต่งและมาอัพนะคะ รอรอตอนต่อไป ลุ้นนนนนจะเป็นกันยังไงกันบ้างละเนี้ยแต่ละคน รอๆค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
งานยังคงเข้าหมอฉินอย่างต่อเนื่อง :laugh:

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เอ้าหมอหายไปไหนนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
-.- แรงไปป่ะ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 28 ... ครบ ❀

          “บัดซบนัก! ไม่ทันไรก็เกิดเรื่อง”

          ทันทีที่จางรุ่ยเหรินนำข่าวจากม้าเร็วมาทูลแจ้ง หยวนจิวหรงที่ประทับอยู่บนแท่นถึงกับระเบิดโทสะเป็นเพลิงโลกันตร์ ก่อนจะขย้ำม้วนกระดาษแล้วปาลงพื้นอย่างไม่ไยดี

          ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นออกจากตำหนักได้ไม่ถึงวัน ฉินกวนเจ๋อกลับชิงหายตัวไปเสียดื้อๆ สาบานได้ว่าหากหมอแซ่ฉินนั่งอยู่ต่อหน้าเขาคงมีรับสั่งโบยให้เนื้อแตก กับแค่ระมัดระวังตัวมันจะเป็นเรื่องยากเย็นเท่าไรเชียว เช่นนี้เหล่าแพทย์ที่ติดตามมาจะทำอย่างไรต่อ คงไม่เสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้วหรือ ยิ่งซุนไป่หานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เข้าใจว่าการป้องกันหละหลวมหรืออย่างไรถึงได้หยามหน้าเกิดเรื่องจุกจิกเช่นนี้ขึ้น

          อ๋องหนุ่มครุ่นคิด หมอฉินยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เขาไม่รู้และไม่อยากคิด เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างเพื่อไม่ให้กองหนุนที่จะไปช่วยเหลือเสียขวัญไปมากกว่านี้

          หยวนจิวหรงยกมือขึ้น ใช้หัวแม่มือและนิ้วชี้บีบนวดคลึงตรงหว่างคิ้วอยู่ซ้ำๆ แต่ความตึงเครียดที่ปรากฏบนใบหน้าก็มิได้ลดทอนลงไป

          ครู่หนึ่งอ๋องหนุ่มถึงยืดตัวขึ้น ก่อนเอ่ยเรียกร่างสูงโปร่งที่ยืนตัวตรงรับคำสั่งอยู่ด้านล่าง

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          “ไปตามหมออู่มา”

          รุ่ยเหรินรับคำสั่ง พักเดียวก็พาหมอหนุ่มในชุดสีฟ้ามายังห้องทรงงาน

          อู่ลี่จินที่ถูกเรียกตัวมากะทันหันได้แต่ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แต่ก็ทำได้เพียงข่มความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเรียบ พยายามชำเลืองสายตาขึ้นมอง เวลานี้หยวนจิวหรงกำลังประทับอยู่บนแท่น ท่าทางดูเคร่งเครียด แต่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีเรื่องอันใด

          หมออู่คุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองข้างประสานกันคำนับ ค้อมศีรษะอย่างอย่างดงาม

          “คารวะท่านอ๋อง”

          “ลุกขึ้น ข้าจะไม่อ้อมค้อมเสียเวลา”

          พอได้ยินสุรเสียงจริงจังขออีกฝ่ายหัวใจก็หดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง หมอหนุ่มยืนขึ้นช้าๆ ตามบัญชา นัยน์ตาคู่สวยค่อยๆ ชำเลืองผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์หยก ขณะที่หยวนจิวหรงไม่รีรอรีบลุกจากแท่นประทับ ก่อนจะสาวเท้าด้วยน้ำหนักสม่ำเสมอ ลงมาพูดกับเขาในระยะห่างเพียงแค่ไม่กี่คืบ

          “อู่ลี่จิน...เจ้าจงตามไปสมทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉิน”

          รับสั่งที่ตรัสออกมาพลันเอาความกังวลเรื่องอื่นในหัวมลายหายสิ้น

          สบทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉิน? เกิดอะไรขึ้นกับกวนเจ๋องั้นหรือ

          “ท่านอ๋อง กระหม่อมขออภัยที่ทูลถาม แต่...เกิดสิ่งใดขึ้นกับหมอฉินหรือ”

          หยวนจิวหรงไม่ตอบคำถามในทันที ทำเพียงแค่ถอนลมหายใจ ก่อนจะตวัดหันแผ่นหลังกว้างให้กับเขา

          “หมอฉินหายตัวไประหว่างเดินทาง”

          อู่ลี่จินอ้าปากค้าง...หายตัวไป? หายไปได้อย่างไร ในหัวสับสนงุนงงไปหมด ถึงกวนเจ๋อจะมีนิสัยขี้ขลาดขี้กลัว แต่ใช้ว่าเป็นพวกชอบทิ้งความรับผิดชอบของตนเอง เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่

          “ป...เป็นไปไม่ได้”

          “รายงานแจ้งว่าหมอฉินหายตัวที่ริมน้ำ ไม่แน่ว่าอาจถูกพวกคนเถื่อนนั่นจับตัวไป หรือไม่ก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว บัดซบนัก! ”

          เสียงสบถดังลั่นหากเป็นในยามอื่นคงต้องมีสะดุ้งหวาดกลัวเป็นแน่ ทว่าครานี้กลับไม่เข้าหูของอู่ลี่จินเลยสักนิด ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เข้าใจ และยากจะยอมรับได้

          กวนเจ๋อถูกจับตัวไป ต...ตายไปแล้วงั้นหรือ?

          “...”

          ไม่...เขามั่นใจว่าเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นต้องไม่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเขา อีกอย่างแม่ทัพซุนก็อยู่ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้น

          “ไม่มีเวลาให้เจ้ากังวลหรือเสียใจ ตอนนี้หน่วยแพทย์จำเป็นจะต้องมีหัวหน้า ถึงจะไม่อยากรับสั่งเช่นนี้ แต่หมออู่เจ้าไปทำหน้าที่แทนหมอฉินซะ”

          “แล้วหมอฉินล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

          “ข้าเชื่อว่าไป่หานคงหาวิธีจัดการอยู่ เจ้าจงไปเตรียมตัว ออกเดินทางไปกับม้าเร็วภายในวันนี้”

          ยิ่งได้ยินคำสั่งก็ยิ่งปวดหัวใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คำว่าหน้าที่กับเพื่อนตีรวนขึ้นมาจนไม่มั่นใจว่าคำสั่งที่ท่านอ๋องเพิ่งบัญชาออกมานั้นถูกต้องหรือไม่

          เขาควรไว้ใจซุนไป่หานงั้นหรือ? ...แต่เรื่องนี้เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีเลยสักนิด



♦♦♦♦♦



          ก้าวเข้าสู่ยามอุ้ย อาทิตย์เพิ่งเคลื่อนผ่านกลางศีรษะมาได้เกือบหนึ่งชั่วยาม

           ที่ด้านหลังตำหนักตะวันออก บุรุษในชุดสีฟ้าครามรูปร่างสูงโปร่งกำลังยืนโอบอุ้มพิราบสีขาวโพลนดุจหิมะไว้ในอ้อมแขน ที่ขาปล้องๆ ของมันมีเส้นเชือกสีแดงผูกคาดเอาไว้กับม้วนกระดาษเล็กๆ

          พอได้จังหวะที่ฟ้าเปิดโล่งบุรุษผู้นั้นก็ปล่อยวิหคตัวน้อยให้โบยบินไปจากอ้อมอก เพื่อให้มันบินไปสู่ปลายทาง ทว่ายามที่หันหลังมา กลับพบกับสายตาคาดโทษของบางคนที่แอบเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น

          เป็นจางรุ่ยเหรินที่เดินเข้ามา ดวงตาเรียวคมจับจ้องมองเหมือนหมาป่าหิมะที่จ้องลูกแกะด้วยความรู้สึกเยือกเย็นก็ไม่ปาน

          “เจ้ากำลังทำสิ่งใด”

          น้ำเสียงเย็นเยียบถามอย่างกดดัน หม่าเต๋อหวนถึงกับชะงักไป รู้สึกใบหน้าของตนเองเย็นวาบไปครู่หนึ่ง หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วครู่ ดวงตาหลุบลงไม่กล้าสู้สายตาของฝ่ายตรงข้ามเท่าไรนัก พิรุธที่แสดงให้เห็นยิ่งทำให้คนสนิทแซ่จางยิ่งสงสัยหนัก

          “เหตุใดถึงสิ่งพิราบสื่อสารในที่ลับตาคนเช่นนี้” จางรุ่ยเหรินหรี่ดวงตาลงอย่างจับผิด พลางขยับเท้าเข้าไปใกล้ หม่าเต๋อหวนเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามสงบหัวใจที่เต้นตื่นระรัวของตนเองให้สงบลง ก่อนจะปรับเสียงให้นิ่งทำทีเหมือนมิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด

          “นอกเมืองมีพวกพรานยิงนกกันมาก ข้าจำเป็นต้องส่งพิราบบริเวณที่ลับตาเพื่อให้จดหมายที่ข้าเขียนถึงญาติของข้าส่งไปถึง อีกอย่างที่ตำหนักกำลังวุ่นวายเพราะเรื่องทางค่าย ข้าไม่อยากรบกวนผู้ใด เลยมาส่งพิราบอย่างเงียบๆ ”

          “พิราบขาวงั้นหรือ...หึ ญาติของเจ้าเป็นใคร” ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างคนจ้องจับผิด พออีกฝ่ายไล่ต้อน เต๋อหวนหายใจไม่ทั่วท้อง

          ที่จริงแล้วเมื่อครู่เป็นจดหมายที่เขาส่งจดหมายข่าวบอกรัชทายาทถึงความเคลื่อนไหวของจวิ้นอ๋อง แต่เนื้อความก็หาใช้ความจริงทั้งหมดไม่ เขาแต่งเติมเรื่องราวไปบางส่วน และความจริงบางส่วนเพื่ออู่ลี่จินและครอบครัวของเขาปลอดภัย ทว่าอย่างไรเขาจำเป็นต้องแสร้งโป้ปดต่อหน้าจางรุ่ยเหรินอยู่ดี

          “ท่านแม่ของข้าเอง ข้าสัญญาณกับนางเอาไว้ว่าจะส่งจดหมายหานางทุกเดือน”

          “แต่ถ้าเจ้าใช้พิราบขาวสื่อสารเช่นนั้นได้ หมายความว่าเจ้าต้องเป็นตระกูลที่มีฐานะทางสังคม แต่เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินคนแซ่หม่ามาก่อน”

          คำถามนี้แล่นจู่โจมทำเอาหัวใจเต้นดังขึ้นมาตุบหนึ่ง เต๋อหวนเม้มริมฝีปากลงอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่นัยน์ตาคู่เข้มทอดมองไปยังร่างของคนแซ่จางที่ยังคงยืนจ้องเข้าด้วยสีหน้าคาดคั้น เงียบไปได้สักพักหนึ่งกว่าจะทำใจตอบขึ้นมาได้

          “ที่จริงแล้วข้าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง แต่ถ้าใต้เท้าจางต้องการจะฟัง ข้าก็จะเล่า…พ่อของข้าเคยเป็นขุนนางเก่า ส่วนท่านลุงก็เป็นเคยเป็นรองแม่ทัพแต่พวกเขาถูกฆ่าตาย พระจักรพรรดิจึงเมตตามอบเงินบำเหน็จและยกย่องตระกูลหม่าว่าเป็นตระกูลผู้เสียสละ แต่ลูกชายตระกูลหม่าไม่ได้ฝักใฝ่ราชการ พี่ชายข้าทำงานเป็นเกษตรกร ส่วนน้องสาวก็เป็นแม่ค้า ขณะที่ตัวข้าเลือกร่ำเรียนวิชาแพทย์ นั่นเลยทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมหายไป”

          การที่ลูกชายทั้งสองไม่เหลียวรับราชการต่อจากบิดาที่สร้างรากฐานไว้ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าของตระกูลหม่ายิ่งนัก

          เต๋อหวนยืนอย่างสงบนิ่ง สายลมวูบหนึ่งพัดพลิ้วให้ชายผ้าสีฟ้าของเขาโบกสะบัด เพิ่งรู้กับตัวก็คราวนี้ว่าพระพายในฤดูเหมันต์มันหนาวจัดเข้ากระดูกเช่นไร แต่ว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่มีเหตุใดจะต้องเสียดายทางเลือกของตนเองเลยสักนิด เขาเป็นหมอ และจะเป็นจนวันสุดท้ายของชีวิต

          “ใต้เท้าจางมีสิ่งใดสงสัยข้าอีกหรือไม่ ข้าต้องใช้เวลาเกือบชั่วยามเพื่อทำพระโอสถถวายท่านอ๋อง”

          พอเอ่ยออกไปเช่นนั้น สายตาของจางรุ่ยเหรินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ใช่ว่าความระแวงเคลือบแคลงทั้งหมดจะหายไปจากแววตา ทว่าก่อนที่หม่าเต๋อหวนจะเดินจากไป ก็มีเรื่องหนึ่งเขาอยากจะพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจเอาไว้

          “หมอหม่า...”

          หมอหนุ่มหันกลับมา ทว่าจากมุมนี้ทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องมายังใบหน้าที่มักจะแสดงสีหน้าเยือกเย็นของจางรุ่ยเหรินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

          ดวงตาเรียวยาวเหมือนเหยี่ยวสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างสวยงาม สันจมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าหล่อเหลาดังชายหนุ่มรูปงามที่ดูเฉลียวฉลาด รูปร่างโปร่งสูงดูปราดเปลี่ยวคล่องแคล่วว่องไว เป็นบุรุษที่เหมาะจะอยู่ข้างกายหยวนจิวหรงตลอดเวลาเสียจริง

          จางรุ่ยเหรินขยับเท้าเข้าไปใกล้ กล่าวกับเขาด้วยเสียงเย็นชาเข้าไปถึงกระดูก

          “ข้ามิได้สนใจว่าเจ้าเป็นใครหรือเจ้ามาจากตระกูลใด สิ่งเดียวที่ข้ามองนั่นคือเจ้าเป็นภัยกับท่านอ๋องหรือไม่ หากข้าจับเท็จเจ้าได้ เจ้าตาย...และหากเจ้าคิดจะทำสิ่งใดเกินเลย เจ้าก็ตายเช่นกัน”

          หึ...ข่มขู่กันได้ทุกวี่วัน แอบตามติดอยู่ทุกฝีก้าว ไม่นึกเบื่อกันหรืออย่างไร เรื่องตลกเพียงเล็กน้อยในใจทำให้หม่าเต๋อหวนคลี่ยิ้ม ซึ่งตรงกันข้ามกับจางรุ่ยเหรินนัก

          “เจ้ายิ้มทำไม”

          “ขออภัย แต่หากท่านเห็นว่าข้าเป็นภัยกับท่านอ๋องเมื่อใด ข้าคงยินดีหากคนที่สังหารข้าเป็นท่าน”

          หมอหนุ่มค้อมศีรษะลง ไม่ช้าร่างสูงใหญ่ในชุดหมอสีฟ้าครามก็เดินจากไป ขณะจางรุ่ยเหรินเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนหายลับด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง



♦♦♦♦♦



          เพิ่งเลยยามอู่มาได้สองเค่อ อาทิตย์หลุบแสงซ่อนกายอยู่ใต้ปุยเมฆ

          เพราะเป็นภารกิจเร่งด่วน ใช้เวลาไม่นานอู่ลี่จินก็เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นจนหมด แต่ยามที่ก้าวขาลงจากเรือนมากลับรู้สึกเคว้งๆ ที่หัวใจมิได้ คล้ายกับก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันกลวงโบ๋และว่างเปล่าไปหมด

          ใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวนัก ส่วนอีกใจก็นึกเป็นห่วงสหายคนสำคัญที่มิอาจล่วงรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง สุดท้ายก็ได้แต่คาดหวังว่ากวนเจ๋อจะปลอดภัย

          สายลมพัดพลิ้วพานให้ชายเสื้อคลุมสีฟ้าครามน้ำทะเลซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบประจำแพทย์สะบัดเบาๆ รู้สึกตัวอีกทีลี่จินก็มายืนอยู่ที่ใต้ต้นท้อที่กำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง กลิ่นหอมเจือจางโชยมาตามพระพายทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง บ้าง ทว่าบ่าทั้งสองข้างก็ยังหนักอึ้งอยู่ดี

          ลี่จินมองกลีบดอกท้อสีชมพูถูกสายลมพัดพายร่วงโรยลงสู่ฝ่ามือที่เผยรับอย่างทะนุถนอม ก่อนลมวูบหนึ่งพร้อมเสียงฝีเท้าของใครบางคนจะพรากมันไปจากมือเขาอีกครั้ง

          ใบหน้างามหันกลับมา เวลานี้ด้วยระยะห่างเพียงไม่ถึงสิบก้าวเท้า หมอหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังทอดสายตามองเขาด้วยความรู้สึกราบเรียบ

          “เต๋อหวน...” ลี่จินเรียกชื่ออีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั่นดูอ่อนล้าจนนน่าสงสารนัก

          “เจ้าจะไปแล้วงั้นหรือ”

          ลี่จินพยักใบหน้าเบาๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอเห็นหน้าเต๋อหวนแล้ว เขากลับอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกนัก ในใจของเขาเกรงกลัวว่าหลังจากที่ก้าวขาออกไปแล้วเขาจะไม่ได้เห็นหน้าบุรุษผู้นี้อีก

          “เต๋อหวน ตอนที่ข้าไม่อยู่ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่คิดทำสิ่งใดเกินเลย”

          พอได้ยินหมอคนงามพูดกับเขาเช่นนี้ รอยยิ้มจางๆ ก็ผุดออกมาที่ริมฝีปาก

          “ข้าดีใจที่เห็นเจ้าเป็นห่วงข้า”

          “เต๋อหวน ตอนนี้ยังทันหากเจ้าจะทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง”

          เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอู่ลี่จินพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยเขามากเช่นนี้ หัวใจรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาราวกับต้นไม้เหี่ยวเฉาที่ได้รดน้ำเติมเต็ม

          ทว่า... ในเมื่อเขาเลือกทางเดินแล้วจะถอยกลับตอนนี้ก็คงทำได้ยากนัก แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นไม่ถูก แต่บางครั้งก็ต้องมัดมือตนเองเพื่อให้คนที่ตนรักปลอดภัย

          “ข้าสาบานว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่านอ๋อง”

          สิ้นประโยคบรรยากาศรอบด้านก็นิ่งสงบไปชั่วขณะหนึ่ง อู่ลี่จินขมวดคิ้ว เฝ้ารอว่าหม่าเต๋อหวนจะจบคำพูดด้วยประโยคใด“แต่ข้าไม่สาบานว่าท่านอ๋องจะปลอดภัย”

          หัวใจเย็นชื้นไม่ต่างจากมวลอากาศรอบด้าน ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ถึงภายนอกลี่จินจะดูเป็นคนเยือกเย็น ทว่าลึกๆ เขาไม่ต้องการเห็นคนรู้จักถูกร้าย ไม่ว่าจะเต๋อหวนหรือว่าท่านอ๋อง

          “เต๋อหวน ข้าขอร้องเจ้า ได้โปรดอย่าทำ...”

          หวังว่าเสียงของเขาจะไปถึงอีกฝ่ายได้บ้าง...แต่ไม่เลยเต๋อหวนมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า

          จากนี้ไปคือความรู้สึกที่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด...บอกกับจางรุ่ยเหรินเรื่องเต๋อหวน แต่ถ้าทำเช่นนั้นเต๋อหวนต้องถูกฆ่าตายแน่ แต่หากปล่อยไว้ท่านอ๋องก็คง...

          “ลี่จิน...”

          หมับ..

          ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะทำเช่นไร วงแขนแกร่งก็คว้าเอวอีกฝ่ายมาสวมกอดไว้อย่างแนบแน่นอู่ลี่จินตกใจนักไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นนี้...ทว่าทั้งที่ควรจะขัดขืนการกระทำอันฉกฉวยเช่นนี้ แต่หากบรรยากาศรอบด้านพร้อมกับกลิ่นอายอันเศร้าสร้อยของหมอหนุ่มผู้นี้พานเอาความคิดต่อต้านพลันหายไปหมด รู้สึกตัวอีกทีก็ปล่อยให้คนตรงหน้าสวมกอดไว้ ยิ่งยามที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นซบลงบนไหล่ พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มที่พร่ำเอ่ยด้วยความเสียใจก็ทำเอาหัวใจยิ่งบีบรัด

          “ข้ากลัว...แต่ข้าจะพยายามรับปากเจ้า...ขอแค่ให้ข้าอยู่แบบนี้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่เจ้าจะไป”

          กลีบดอกท้อร่วงโรยลงมาจากต้น ปูพื้นที่ว่างจนกลายเป็นพรมสีชมพู อู่ลี่จินยื่นนิ่งงันปล่อยให้อีกฝ่ายสวมกอดไว้อย่างเงียบเชียบ หากนี่พอจะเป็นสิ่งเดียวที่พอจะยุติเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้เขาก็ยินยอม…

♦♦♦♦

          ค่ำคืนนี้เงียบสงบยิ่งนัก แถมยิ่งตกดึกลมหนาวก็ยิ่งพัดโชยเข้ามาจนต้องรับสั่งให้ปิดหน้าต่างทุกบาน ก่อนบรรทมเร่งเร้าให้จุดฟืนใต้พื้นตำหนักให้อุ่นขึ้น พรุ่งนี้หิมะขาวโพลนคงตกลงมาเป็นแน่ ฉะนั้นคืนนี้จึงควรทำร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้ พอรุ่งเช้าจะได้ไม่ป่วยไข้

          หลังจากเสวยมื้อค่ำเสร็จ เพราะพระอาการเครียดทำให้อ๋องหนุ่มเสวยสิ่งใดไม่ค่อยลงเท่าไรนัก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งที่เตียงบรรทมเพื่อรอคอย ไม่ช้าหม่าเต๋อหวนก็เปิดประตูเข้ามาเพื่อถวายพระโอสถให้เขาเหมือนอย่างเคย

          จิวหรงรับยานั่นมาละเมียดจิบไปเพียงเล็กก็พบว่ามีกลิ่นหอม และดื่มง่ายนัก หากเทียบระหว่างหม่าเต๋อหวนที่เป็นเพียงแค่หมอหลวงชั้นต้น กับพวกหมอแก่ๆ ที่เคยรักษาให้แล้ว ยาของบุรุษตรงหน้าไม่เหมือนยาเลยสักนิด

          “ยาน้ำนี้ดื่มง่ายนัก ทั้งยังมีกลิ่นหอมทำมาจากสิ่งใดบ้างหมอหม่า” จิวหรงยกถ้วยยาเพื่อสูดดม มีกลิ่นอ่อนๆ คล้ายกับกลิ่นหญ้าโชยขึ้นมาทว่ากลับไม่รู้สึกเหม็น และแม้จะติดรสขมอยู่เล็กน้อย แต่ความหวานเจือจางก็ทำให้ยานุ่มลิ้นไหลลงคออย่างง่ายดาย

          เต๋อหวนค้อมศรีษะลงเล็กน้อย ตอบอย่างนอบน้อม

          “ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ กระหม่อมแค่ต้มเม็ดแป๊ะจี๋ย้ง รากบัว ผสมน้ำตาลมะพร้าวเล็กน้อยเพื่อให้ท่านอ๋องเสวยได้ง่ายขึ้น แต่ที่จริงข้าคิดว่าพักนี้ที่ท่านอ๋องบรรทมสนิทขึ้นเป็นเพราะถ้วยมะนาวฝานที่ตั้งบนตู้ กับช่วงเวลาบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”

          ได้ยินกระนั้นก็เบนสายตามองไปยังตู้ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่จากเตียงบรรทมบริเวณกล่องจุดตะเกียงมีถ้วยกระเบื้องวางอยู่ ในนั้นคงเป็นมะนาวฝานเสี้ยวที่นำมาลอยไว้

          “กลิ่นมะนาวกับช่วงเวลาบรรทมงั้นหรือ”

          หยวนจิวหรงพูดขึ้นลอยๆ จะว่าไปแล้วตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ครั้นยังเยาว์วัย เสด็จแม่เคยบอกว่า ยามไฮ่คือยามร่างกายปรับสมดุลหยินหยางเหมาะกับการนอนหลับ

          “กลิ่นมะนาวอ่อนๆ จะช่วยให้บรรทมสนิทขึ้น กับช่วงเวลายามไฮ่ คือยามที่เหมาะกับการบรรทมร่างกายจะปรับสมดุลหยินหยาง”

          จิวหรงพยักใบหน้ารับ ขณะที่มุมโอษฐ์ประดับรอยสรวลไว้นิดๆ ถึงจะยังไม่ง่วงเท่าไร แต่อย่างน้อยการนอนหลับมันก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายจากความจริงอันกดดันได้ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ

          “ขอบใจเจ้ามาก มีเจ้าอยู่ ช่วยได้มากจริงๆ เจ้าไปเถิดข้าจะพักผ่อนแล้ว”

          ตรัสจบก็โน้มตัวนอนลงบนเตียง เต๋อหวนผงกศีรษะรับ“กระหม่อมทูลลา” ก่อนหล่นเท้าถ้อยออกมาด้านนอกออกจากห้องบรรทมของหยวนจิวหรงไปด้วยอาการสงบ

♦♦♦♦

          คืนนี้หยวนจิวหรงฝันร้ายกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ฝันว่าตนเองถูกแขวนท่ามกลางสายตาผู้คน ก่อนร่างกายจะถูกรุมทึ้งฉีกกระชากออกจากจะงอยปากอันแหลมคมของฝูงอีกา

          อ๋องหนุ่มสะดุ้งบรรทมตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างกายพรมพราวไปด้วยเหงื่อไหลโซม หอบหายใจราวกับวิ่งหนีสิ่งน่ากลัวมากว่าหลายลี้ แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ความเจ็บเจือจางจากจะงอยปากนกยังคงหลงเหลือไว้บนผิวหนังของตัวเองทำให้รู้สึกแสบร้อนไปทั่วทั้งร่าง ไม่ต่างจากบริเวณลำคอที่เคยถูกบีบรัดด้วยเส้นเชือก

          เขายกมือขึ้นลูบ...มันร้อนผ่าวและชื้นเหงื่อ ความหวาดกลัวทำให้รู้ไม่อยากจะข่มตาหลับอีกต่อไป

          หยวนจิวหรงลุกขึ้นจากเตียง ระทับลงที่เก้าอี้ไม้ ก่อนรีบตรงเข้าดื่มน้ำกว่าอีกหลายอึก ราวกับหวังว่าน้ำจะช่วยดับอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวในร่างกายให้เย็นลงได้ นับตั้งแต่เต๋อหวนปรุงยาให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝันร้ายยิ่งนักราวกับเป็นลางร้าย

          อ๋องหนุ่มปยกมือขึ้นเสยเส้นผมสีดำขลับที่ปิดลงมาปรกไปด้านหลัง เวลบานี้ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งหนาวจัด

          รู้สึกหงุดหงิดตนเองนัก ปกติเขามิใช่คนงมงายชื่อเรื่องลางร้ายหรือความฝัน แต่คราวนี้กลับเล่นงานหัวใจจนบีบรัดอึดอัด เขานั่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง พวกบ่าวไพร่คงนอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว คงไม่มีใครมาเดินตามใฝห้รำคาญใจอีก

          อ๋องหนุ่มชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกอยากสูดอากาศภายนอกให้ผ่อนคลายนัก คิดกระนั้นก็ตรงเข้สคว้าเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาสวมทับ ก่อนสาวเท้าออกไปด้านนอก

♦♦♦♦

          วันนี้พระจันทร์งามเด่นกลางท้องฟ้ายามข้ามคืนที่แสนหนาวเหน็บ

          หม่าเต๋อหวนเป็นอีกหนึ่งบุรุษที่มิอาจข่มตาหลับได้ในคืนนี้ หมอหนุ่มพลิกกายไปมากว่าหลายรอบ ราวกับในใจกลัดกลุ้มกับเรื่องที่ตนกระทำลงไป

          เมื่อบ่ายนี้เขาเพิ่งส่งจดหมายไปหาองค์รัชทายาท แจ้งว่าหยวนจิวหรงกำลังประชวรหนักจนมิอาจเสด็จไปที่ใด ส่วนอู่ลี่จินนั้นยังคงปิดปากสนิทมิได้เอ่ยถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่ามีเรื่องทูลเท็จอยู่บ้างส่วนหนึ่ง แต่ก็มีความจริงอยู่อีกส่วนหนึ่งเช่นดัน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง และลี่จินด้วย ที่นี่ไม่ปลอดภัย และในเมืองหู่ก็มิอาจคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนของหยวนอี้หมิงบ้าง หลังจากที่ร่ำลาอู่ลี่จิน พอกลับมาที่ห้องก็พบมีจดหมายเพิ่งสอดเข้ามาที่ใต้ประตู ในนั้นมีเนื้อความเพียงสั้นๆ อันน่าใจหายว่าคืนนี้พระจันทร์จะเปลี่ยนสี

          หมายความว่าอย่างไรกัน?

          เขาไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นพวกทรยศ ทว่าทางเดินที่ถูกพวกคนที่อยู่บนบัลลังก์นั้นกลับมีเพียงทิศเดียวที่บีบคั้นลงมาจนไร้ทางเลือก ทว่ายามที่เสียงหวานเรียบที่คุ้นเคยนั้นเอ่ยรั้งออกมา ก็พานเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดกระทำอยู่ในหัวมลายหายสิ้นไปหมด ทั้งที่พยายามทำใจหินแล้วแท้…

          ช่วยกันค้นหาทางออกงั้นหรือ เป็นคำพูดสวยงามที่หไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของคนที่หยิ่งทระนงอย่างอู่ลี่จินัก ทว่าคนที่ก้าวขาลงโคลนไปแล้วมากกว่าครึ่งจะถอนตัวก็คงสายเกินไป

          เต๋อหวนนึกหัวเราะเยาะตนเองในใจ ก่อนจะดีดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ความกระหายในลำคอทำให้เขารู้สึกหิวน้ำนัก น่าแปลกทั้งที่ดึกดื่นค่ำคืนแล้วแท้ๆ แต่อากาศหนาวจัดกลับมิได้ช่วยให้ในใจของเขาเย็นลง

          เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟสีส้มแดงเป็นจุดๆ กะพริบอยู่ด้านนอกนั่น

          ไฟหรือ? เคยได้ว่าท่านอ๋องมีรับสั่งให้จุดโคมไฟตะเกียงไว้ที่มุมเสาทุกต้นในยามค่ำคืนก็จริง แต่ไม่คิดว่ามันจะสว่างจ้าถึงเพียงนี้

          หม่าเต๋อหวนครุ่นคิด แต่พักเดียวก็ได้ยินเสียงโครมครามที่ด้านนอก จนต้องขมวดคิ้ว

          ดึกดื่นป่านนี้แล้วพวกบ่าวไพร่ยังไม่หลับกันอีกหรือ

          หม่าเต๋อหวนลุกขึ้น ยื่นมือออกไปผลักหน้าต่าง ทว่าแทนทีสายลมเย็นจะตีสวนใบหน้าเข้ามา แต่กลับกลายเป็นไอร้อนระอุและ...

          ปัก!

          ลูกธนู!



♦♦♦♦♦♦♦

                  ตัดฉับอย่างน่ารัก ♥
                  ตอนนี้ แต่งไปแล้วก็รู้สึก มือสั่นตอนแต่งบทเต๋อหวนยังไงไม่รู้ T^T (ยาหมด #ผิด!)

ช่วงนี้ดี้อัพนิยายได้อาทิตย์ล่ะ 1 ตอนนะคะ คือ ถ้าไม่อัพเสาร์ ก็เป็นวันอาทิตย์แน่นอนค่ะ  ฮือออ นิยายใกล้จบแล้ว  ขอบคุณที่ติดตามโอสถดอกท้อมาถึงตอนนี้นะคะ สำหรับคนที่ถามว่าออกกับที่ไหน ก็...ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็คิดว่าน่าจะออกกับ Sense Book ค่ะ แฮร่... 
                   ปล.น่าจะเหลืออีกประมาณ 3-4 ตอนนะ ♥   #นอนนน
                 

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ lemonphug

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ค้างเด้อ

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ธนูไฟ?? ใครบุก??

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 :serius2: :serius2: ลุ้นๆๆๆ ไม่อยากให้ใครตายเลย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ลุ้น อ๋องคงจะรอด

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 29 ... ❀

          “ไฟไหม้! ”

          เสียงโหวกเหวกตะโกนลั่นออกมาจากด้านนอก แต่ไม่ทันได้ประมวลคำตอบขึ้นในหัว อยู่ๆ ประตูก็ถูกถีบออกผ่าง ทหารนายหนึ่งวิ่งมาพร้อมอาวุธครบมือ กล่าวด้วยเสียงร้อนรน

          “ท่านหมอรีบ--! ”

          ฉึก!

          ดวงตาของหม่าเต๋อหวนเบิกกว้าง ใบหน้าหน้าซีดเผือด หน้าท้องของทหารผู้นั้นจะถูกแทงทะลุออกมาด้วยคมดาบจากทางด้านหลัง เลือดสีแดงข้นพุ่งกระฉูดเปรอะเปื้อนพื้นห้องเต็มไปหมด แต่พอเหลือบตาขึ้นมองก็พบบุรุษในชุดพรางสีดำสนิท ปิดหน้าครึ่งหนึ่งด้วยผ้าสีเดียวกัน ในมือถือดาบเล่มโตเปื้อนเลือด

          นักฆ่า!? ในหัวของเต๋อหวนมิอาจประเมินได้เป็นอย่างอื่น แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!

          “เจ้าต้องการสิ่งใด! ”

          ไม่ทันได้รับคำตอบ นักฆ่าก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมเงื้อดาบหมายฟันเข้าที่กลางอก ทว่าเต๋อหวนกลับรู้ทัน หมอหนุ่มรีบถอยเท้าเบี่ยงตัวหลบ แต่น่าเสียดายนักที่มิอาจพ้นคมดาบได้ทั้งหมด เหล็กกล้าตวัดกรีดถากเข้าที่ไหล่ด้านซ้าย เลือดสีเข้มไหลกระฉูดออกมาจนแสบร้อน ก่อนจะเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น

          เต๋อหวนเปล่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บ มืออีกข้างยกขึ้นกุมที่ไหล่ซ้ายซึ่งรู้สึกเหมือนมันจะขาดออกจากกัน เลือดสีเข้มไหลเต็มมือไปหมด ขณะที่กลิ่นคาวฟุ้งตลบอบอวล

          “หึ เฉียดไปงั้นหรือ” ดวงตาเยือกเย็นใต้ผ้าปิดปากมองหมอหนุ่มที่ยังคงนอนจมกองเลือด เต๋อหวนเห็นกระนั้นจึงกัดฟันใช้ส้นเท้าดันร่างกายตนเองเผื่อหลีกหนีไปตามพื้น สภาพราวกับสัตว์ที่กำลังกระเสือกกระสนเอาตัวรอดจากนักล่า

          “คราวนี้ เจ้าไม่รอดแน่! ” ดาบคมกริบชี้จ่อมาที่เขาอีกครั้ง นักฆ่าก้าวขาตรงเข้ามาอย่างคุกคาม โดยครานี้หมายจะฟันให้ศีรษะของหมอหนุ่มหลุดออกจากบ่า

          สิ้นหนทางแล้วเต๋อหวนหลับตาแน่นในว่างเปล่ากลวงโบ๋ไปหมด เพิ่งเข้าใจว่าวินาทีที่ใกล้จบชีวิตลงน่ากลัวเช่นไร ทว่า...

          พรึ่บ!

          ดาบที่กำเงื้อสูงหลุดออกจากมือ ร่างของนักฆ่าไร้วิญญาณล้มลงกองกับพื้นที่อาบไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน เต๋อหวนเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเหลือบสายตามองผู้ที่ลงมือสังหารที่กำลังก้าวเข้ามา

          เส้นผมสีดำที่มัดรวบไปด้านหลังสะบัดพลิ้ว…

          ดวงตาเรียวยาวอันเยือกเย็นกับใบหน้าที่หยิ่งทระนงเคร่งครัดไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด ทำให้หมอหนุ่มทราบได้ทันทีว่าผู้ช่วยเหลือเป็นใคร แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าภาพจางรุ่ยเหรินในชุดนักรบครึ่งท่อนท่ามกลางแสงจันทร์ช่างน่าเกรงขามเหมือนมัจจุราช ทว่ากลัวเปล่งประกายเจิดจ้าในคราวเดียวกัน

          “ลุกขึ้นไหวหรือไม่”

          น้ำเสียงเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของจางรุ่ยเหรินทำเอาคนฟังหลุดออกจากภวังค์ แต่กระนั้นก็เรียกความเจ็บปวดที่ไหล่ข้างซ้ายกลับมาด้วย เต๋อหวนใช้มือกดที่แผลตัวเอง เลือดสีแดงเข้มยังคงไหลออกมาไม่หยุด

          รุ่ยเหรินมองภาพนั้นด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก ก่อนตรงเข้าไปที่ศพของนักฆ่าแล้วฉีกผ้าส่วนหนึ่งออกมา

          “เป็นหมอเสียเปล่าเหตุใดถึงไม่รู้จักรักษาตนเอง”

          ไม่พูดเปล่ายังย่อตัวลงมาพันแผลไหล่ให้เสียด้วย

          หม่าเต๋อหวนตกอยู่ในอาการมึนงงชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเสียเลือดมากไปหรือเพราะว่าคนตรงหน้าต่างหากที่แปลก ทว่าเมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้อง จางรุ่ยเหรินก็แก้เผ็ดเข้าด้วยกันพันแผลให้แรงๆ

          “โอ๊ย! ”

          หมอหนุ่มสะดุ้งแต่รุ่ยเหรินมิได้สนใจราวกับจงใจให้เขาเจ็บ ชายหนุ่มเหยียดตัวขึ้นเต็มความสูงพูดด้วยเสียงเย็นชา“อยากตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” เต๋อหวนเม้มริมฝีปากลง ถึงจะสงสัยคาใจเรื่องบางอย่าง แต่คงไม่ปลอดภัยนักถ้ายังไม่รีบหนีออกไปจากที่นี่

          “ท่านอ๋องล่ะ”

          “เหอะ...หากเกลียดสีหน้าแสร้งห่วงใยของเจ้านัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นหมอคนเดียวที่ช่วยท่านอ๋องได้ข้าฆ่าเจ้าทิ้งแน่! ”

          อีกฝ่ายตวาดเสียงเหี้ยม ยิ่งทำให้หัวใจของหม่าเต๋อหวนหล่นวูบ ขณะที่บ่าทั้งสองข้างกลับแบกรับความผิดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว

          แต่...เต๋อหวนมิอาจทั้งยอมรับและปฏิเสธ หมอหนุ่มทำเพียงกัดฟันแล้วฝืนลุกขึ้น

          รุ่ยเหรินปรายตามองอย่างเย็นชาก่อนชักกระบี่ขึ้นมาจากฝัก

          “ตามหลังข้ามาให้ดีๆ หากเจ้าตายข้าจะไม่รับผิดชอบ”

          กำชับเสียงหนักแน่น หม่าเต๋อหวนที่ไร้ทางเลือกจึงได้แต่พยักใบหน้าตามติดแผ่นหลังของจางรุ่ยเหรินอย่างเงียบเชียบ

          ทว่า...พอก้าวขาลงมาจากจวน สถานการณ์ด้านนอกที่ทอดสู่สายตากลับยิ่งพานให้ขาทั้งสองข้างแข็งค้าง

          ทั้งศพทหาร นักฆ่าในชุดดำต่างตายเกลื่อนกลาดตามข้างทาง กลิ่นคาวเลือดโชยฟุ้งตลบอบอวลจนชวนคลื่นเหียน ไม่ช้าเสียงกลองก็ดังระงม

          “รีบตามมา! ”

          ย้ำเสียงเครียดให้คนที่ยืนเหม่อได้สติ รุ่ยเหรินไม่รอช้ารีบชักอาวุธประจำกายของตนเองออกมา

          ทุกวินาทีมีความหมายถึงชีวิต คมกระบี่ถูกตวัดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็วและแม่นยำไม่มีความลังเลปรากฏอยู่ในนัยน์ตาเยือกเย็นคู่นั้น ทั้งลูกธนูและคมดาบไม่มีสิ่งใดสามารถผ่านเข้ามาได้เลยสักนิด แต่น่าแปลกนักที่มันกลับเป็นภาพติดตาที่แสนงดงามท่ามกลางสนามรบของหม่าเต๋อหวนจนยากจะถอดถอน

♦♦♦♦♦

          ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งถ้วยชาที่แล้ว...

          คราแรกเห็นแสงไฟจุดประกายขึ้นมาจากบนท้องฟ้า หยวนจิวหรงที่บรรทมไม่หลับออกมาเดินเล่นเพ่นพ่านถึงกับขมวดคิ้วอย่างใคร่รู้ แล้วจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเหนือศีรษะพร้อมเงาตะคุ่มบนหลังคา

          “ใครน่ะ! ”

          จิวหรงโผลงถามออกไปอย่างไม่ไว้ใจ ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ไม่ต้องให้เสียเวลาครุ่นคิดนานกว่านี้ แม้เมืองหู่จะไกลหูไกลตาจากเจ้าพวกชั่วในวังหลวงนักแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา...หยวนอี้หมิงมักพยายามแทรกแซงและหาวิธีลอบสังหารเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพราะเขาเป็น พวกหนังเหนียวตายยากสวรรค์จึงมิอาจพรากชีวิตไปได้

          ครั้งนี้ก็เช่นกัน หยวนจิวหรงคาดเดาไว้ก่อนว่าดึกดื่นยามวิกาลเช่นนี้ หากไม่ใช่ผู้ประสงค์ดีก็อาจเป็นมือสังหารเป็นแน่ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยวนอี้หมิงส่งนักฆ่าเข้ามา…

          แต่ว่า...เรื่องคาใจที่เขาสงสัยก็คือ เหตุใดพวกนักฆ่าพวกนี้ถึงได้เลือกบุกในคืนนี้ราวกับล่วงรู้ว่าการคุ้มกันที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อกำลังอ่อนลง เหตุเพราะส่งคนไปช่วยที่ค่ายบูรพา

          จากที่คุยกับจางรุ่ยเหรินเมื่อช่วงบ่ายนี้ ทำให้มีชื่อใครบางคนปรากฏขึ้นมาในหัว

          “เจ้านั่นงั้นหรือ...”

          ไม่พูดพร่ำ อ๋องหนุ่มรีบขยับกายสาวเท้ากลับไปยังตำหนักอย่างเร่งรีบ ทว่ายังไม่ทันจะพ้นเสาตรงหัวมุม วัตถุบางอย่างพร้อมความร้อนก็พุ่งทะยานฝ่าอากาศตัดใบหน้าเขาไปไม่ถึงเสี้ยววินาที และปักลงอย่างแม่นยำบนเสาต้นนั้น

          ธนูไฟ!

          จิวหรงรีบหันมองกลับไปบนท้องฟ้า ดวงตาคู่เข้มกว้าง หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้า!

          ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด ห่าฝนธนูไฟนับสิบกำลังร่วงตกลงมา!

          ปัก!

          ปัก!

          หยวนจิวหรงรีบเคลื่อนกายหลบอยู่หลังกำแพงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ลูกธนูไฟนับสิบปักลงที่หลังคาไม่ช้าก็เกิดเป็นเพลิงโลกันตร์โหมลุกไหม้ทั่วตำหนัก

          ดวงตาคมเข้มมองภาพที่สะท้อนออกมาอย่างเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกำแน่นทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจนักที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อที่เขาปลูกสร้างขึ้นมากลับถูกหยามหน้ากันอย่างง่ายดาย ในหัวมีนามสามานย์ของคนชาติชั่วเพียงคนเดียวเท่านั้น

          หยวนอี้หมิงต้องเป็นมันแน่ๆ ไอ้สารเลว!

          ปัง ปัง ปัง ทว่าไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว เสียงกลองตีดังเร่งเร้าเป็นสัญญาณเตือน บ่าวไพร่ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาไม่รู้เรื่องราวอันใด พอเห็นไฟกำลังลุกไหม้ก็ตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันดับไฟ ฝนธนูชุดที่สองก็ถูกยิงลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง

          เสียงกรีดร้องดังโหยหวน บ่าวไพร่นับสิบถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาด้วยลูกศรพรากชีวิต

          จิวหรงกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ระหว่างที่กำลังหลบอยู่ก็ได้ยินต่อสู้ภายในตำหนักดังไปทั่ว เขากลับไม่ได้ทันสังเกตเห็นเงาตะคุ่มสีดำบนหลังคาเลยสักนิด ธนูไม้ถูกง้างขึ้นมาอย่างขึงตึง สายตานักฆ่าเพ่งเล็งไปที่หยวนจิวหรงที่กำลังซ่อนตัว ไม่ช้าศรสังหารก็ถูกปลดปล่อย ทว่าเสียงเหยียบกระเบื้องบนหลังทำให้หยวนจิวหรงไหวตัวทัน

          พรึ่บ!

          จิวหรงรีบเอี่ยวตัวหลบได้ แต่ลูกธนูสังหารนั้นก็ยังถากโหนกแก้มเขาไปจนเลือดไหลซิบ

          “ท่านอ๋อง! ”

          ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินจางรุ่ยเหรินตะโกนเรียกเสียงดัง พอคนสนิทหนุ่มเห็นเจ้าชีวิตถูกทำร้ายก็กริ้วโกรธเป็นฟืนไฟ รุ่ยเหรินรีบใช้วรยุทธ์เคลื่อนกายไปบนหลังคา ก่อนจะตวัดคมกระบี่สังหารผู้ที่ลอบทำร้ายจนศีรษะหลุดออกจากบ่า และรีบถลาตัวลงมาดูหยวนจิวหรง

          “ท่านอ๋องไม่เป็นไรนะ พ่ะย่ะค่ะ”

          “ข้าไม่เป็นไร อึก”

          จิวหรงยกมือขึ้นสัมผัสที่แผลบนผิวหน้า ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่ตรงโหนกแก้มกลับรู้สึกแสบร้อนไปหมด เห็นทีว่าคงไม่ใช่ธนูธรรมดาเป็นแน่

          “ไปพาตัวหม่าเต๋อหวนมา”

          สุรเสียงช่างเรียบนิ่งจนน่าขนลุก ดวงตาเคียดแค้นราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกโชน รุ่ยเหรินงุนงงในรับสั่งไปชั่วครู่ แต่พอนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ก็เข้าใจรับสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นท่านอ๋องทรงพกดาบไว้ด้วย”

          ก่อนที่จะมาพบหยวนจิวหรงที่นี่ รุ่ยเหรินได้ตรงเข้าไปที่ห้องบรรทมก่อนเป็นอันดับแรกแต่พอไม่พบร่างของเจ้าชีวิต เขาก็รีบออกตามหาพร้อมกับหยิบดาบประจำองค์ออกมาด้วย

          อ๋องหนุ่มพยักใบหน้ารับดาบนั้นไว้ในมือ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณทางสายตาอีกครั้ง ไม่ช้ารุ่ยเหรินก็จากไปในที่สุด จิวหรงพิงหลังกับกำแพงอีกครั้ง ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ในตำหนักดำนี่...หม่าเต๋อหวนถ้าข้าไม่ฆ่าเจ้ากับมือข้าคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่!

♦♦♦♦♦

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 29 ... ครบ ❀

          เพล้ง!

          เสียงปะทะดาบกับคมกระบี่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เท่าเทียมกับเสียงร้องและหยาดเลือดที่กำลังสาดกระเซ็นไปทั่ว หม่าเต๋อหวนได้แต่หมอภาพนั้นอย่างตื่นกลัว แต่จางรุ่ยเหรินกลับไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาจากดวงตาตนเองเลยสักนิด ราวกับเห็นว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องปกติทั่วไป

          “อย่าอยู่ห่างข้า! ” เสียงตวาดที่เปล่งออกมาพร้อมความดุดันทำเอาหมอหนุ่มต้องเร่งฝีเท้าตามจางรุ่ยเหริน แต่แผลบริเวณไหล่ช่างปวดแสบนัก ขยับขาแต่ล่ะก้าวก็เหมือนแขนจะขาดออกจากตัว ถึงจะห้ามเลือดด้วยผ้าแล้ว แต่หากต้องวิ่งต้องเคลื่อนไหว เลือดคงมิยอมหยุดง่ายๆ

          ของเหลวสีแดงเข้มเริ่มไหลหยดลงมาเป็นทาง เต๋อหวนกัดฟันแน่น พยายามใช้มืออีกข้างกดบาดแผลของตนเองไว้จนเริ่มชาดิก

          ตอนนี้เสียเลือดมากไปแล้ว ขณะที่ในหัวเริ่มวิงเวียนมึนงง ปล่อยไว้เช่นนี้จะต้องลำบากคนตรงหน้าเป็นแน่

          “ใต้เท้าจางท่านหนีไปเถิด”

          หลังจากที่ฟันนักฆ่าที่พุ่งตัวเข้ามาจู่โจมจากทางด้านหน้า จางรุ่ยเหรินก็แอบปลายสายตามามองท่าทีคนข้างหลัง “พูดจาไม่รู้เรื่อง ข้าได้รับบัญชามา ไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพใดข้าก็ต้องพาตัวเจ้าไปให้ท่านอ๋อง”

          อา...เป็นไปได้ที่หยวนจิวหรงคงอาจรู้เรื่องแล้วว่าที่ตำหนักโดนบุกเช่นนี้อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนปล่อยข่าว แต่เหตุใดเล่าตอนที่พบหน้ากันเมื่อพลบค่ำกลับไม่ตรัสคำใดออกมาเลยสักนิด

          “ช่วยเอาเวลาพูดพร่ำของเจ้าขยับขาแล้วตามข้ามา”

          รุ่ยเหรินยกคงใช้ประโยคเย็นชาไม่แยแสเช่นเดิม แต่กระนั้นก็ยังคงตวัดกระบี่ปกป้องเขาอย่างสุดชีวิต ช่างเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจนัก ทั้งๆ ที่ท่านอ๋องรับสั่งให้พาเขาไปหา แต่ไม่ตรัสเสียหน่อยว่าให้เป็นหรือตาย หากเขาเป็นจางรุ่ยเหริน คงปั่นคอคนทรยศอย่างไม่ลังเล แล้วยกศพไปให้ท่านอ๋องคงง่ายกว่าการที่ต้องมาปกป้องไปด้วย

          ทว่าสุดท้ายรุ่ยเหรินกลับยอมเสียเวลาแล้วปกป้องเขาจนไปถึงบริเวณด้านหลังสวนดอกท้อ

          เต๋อหวนกวาดสายตาไปรอบๆ มีศพตายเกลื่อนกลาดอย่างไม่รู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด ขณะที่เปลวเพลิงก็ลุกโหมไหม้จากด้านหลังต้อนมาถึงสวนท้อ

          เพล๊ง! ได้ยินเสียงปะทะคมดาบมาจากทิศทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ขณะคนที่อยู่ด้านหน้ากลับพุ่งตัวออกไปอย่างทันท่วงที ซึ่งคนที่รุ่ยเหรินไปให้ความช่วยเหลือไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหยวนจิวหรง

          “เหตุใดถึงได้ชักช้านัก บัดซบที่สุด พวกมันเข้ามาได้อย่างไร อึก”

          หลังจากสังหารนักฆ่าที่กำลังทำร้ายจิวหรงเสร็จ ไม่ทันขาดคำ อ๋องหนุ่มก็ปักดาบลงกับพื้น เสื้อผ้าขาดรุ่ยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงก่ำ ขณะที่โหนกแก้มข้างซ้ายมีแผลคล้ายกับรอยข่วนของลูกธนูพาดยาวเกือบถึงจอนผม พิษเริ่มออกฤทธิ์รุนแรงขึ้น

          “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งตรัสสิ่งใดอีกเลย นำตัวหม่าเต๋อหวนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

          จางรุ่ยเหรินหน้าซีดนัก เขาย่อตัวลงเพื่อช่วยพยุงอ๋องหนุ่มขึ้นอย่างถือวิสาสะ

          เต๋อหวนได้แต่มองภาพนั่นตัวแข็งค้าง ไม่กล้าสบสายพระเนตรของจวิ้นอ๋องเลยสักนิด ขณะที่ในใจเริ่มรำพันว่าสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้เป็นเพราะเขาที่ส่งข่าวบอกรัชทายาทงั้นหรือ? ความกลัวเกาะกุมจิตใจจนยากจะขยับปากได้ว่าควรกล่าวสิ่งใดออกไปหรือไม่

          ศพทหารตายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด

          กลิ่นคาวเลือดโชยฟุ้งจนอยากจะอาเจียน…

          หยวนจิวหรงคงคาดเดาไว้แล้วว่าอาจเป็นเพราะเขา แต่เหตุใดเล่าถึงไม่ตรัสสิ่งใด

          “...”

          ไม่สิ...ไม่ใช่เพราะเขาสักนิด นักฆ่าพวกนี้ราวกับรู้ทิศทางและศึกษาทางเข้าตำหนักมาเป็นอย่างดี เพราะเขาไม่แจ้งเรื่องที่ตั้งหรือสถานการณ์ในตำหนักเลย มีเพียงแต่ครั้งก่อนเขาส่งข่าวสารไปแค่เรื่องการโยกย้ายทหารเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้ทูลบอกว่าไปที่ใด

          หรือว่าเพราะเรื่องนั้นเองทำให้องค์รัชทายาทเคลื่อนไหวและคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะสังหารท่านอ๋อง แต่เหตุใดพวกมันถึงคิดจะเอาชีวิตเขาด้วยเล่า

          “หมอหม่าฟังให้ดี ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้ เดินตรงเข้าไปที่ห้องเก็บของนั่น เลื่อนตู้เก่าๆ ด้านในสุดออกจะเห็นทางลับเข้าที่สุดทางถ้ำ ตรงไปตรงพุ่มไม้ระหว่างต้นไม้รูปสามเหลี่ยม ในนั้นมีช่องหลบภัยและอุปกรณ์ที่จำเป็นอยู่ รักษาท่านอ๋องให้ได้ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย! ”

          ไม่มีเวลาให้คิดต่ออีก เสียงจากจางรุ่ยเหรินบังคับเรียกสติที่กำลังเตลิดกลับมา หมอหนุ่มมองร่างในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ตอนนี้สีหน้าของหยวนจิวหรงดูย่ำแย่นัก หากปล่อยไว้เช่นนี้คงไม่ดีเป็นแน่

          “เข้าใจแล้วไว้ใจข้าได้” ได้ยินกระนั้นจางรุ่ยเหรินจึงพยักใบหน้า แล้วฝากหยวนจิวหรงให้หมอหนุ่มพยุงต่อ

          “รีบไปซะ! ”

          ขาดคำร่างสูงโปร่งก็ยืนขึ้นพร้อมชักกระบี่ออกมา ปกป้องคนทั้งคู่

          เต๋อหวนกัดฟันแน่นถึงตอนนี้ไหล่ซ้ายจะเริ่มชาด้านไปไปหมด แต่อาการบาดเจ็บของเขาใช่จะทุเลาลง แถมเลือดก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แต่อย่างไรก็จะช่วยเจ้าชีวิตให้จงได้

          พอสบโอกาสก็หมอหนุ่มก็รีบพยุงร่างของหยวนจิวหรงหลบเข้าไปที่ห้องด้านหลัง แล้วมุ่งตรงไปยังเส้นทางที่รุ่ยเหรินบอก

          กลิ่นอับชื้นของดินโชยขึ้นจมูก

          เป็นเวลาเกือบครบครึ่งถ้วยชาแล้วที่หม่าเต๋อหวนพยุงร่างของหยวนจิวหรงมาตลอดเส้นทางลับที่ซ้อนเอาไว้อยู่หลังตู้เก่าๆ ทว่ายิ่งขยับขาเดินลึกมากเท่าไรก็ดูเหมือนจะหายใจได้ลำบากมากขึ้นราวกับอากาศค่อยๆ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

          เต๋อหวนรู้ดีว่าตนเองกำลังเสียเลือดมากไป ขณะที่หยวนจิวหรงก็รู้ว่าสติของตนใกล้จะหลุดลอยเต็มทน แต่ล่ะย่างก้าวช่างยกขาได้ยากเย็นนัก ไม่ช้าหยวนจิวหรงก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองหนักอึ้ง

          ตุบ!

          “ท่านอ๋อง! ”

          พอเห็นหยวนจิวหรงล้มลงไปกอง นัยน์ตาคู่เข้มก็เบิกโตด้วยความตกใจ เต๋อหวนลืมความเจ็บที่ไหล่ของตนเอง รีบก้มตัวลงไปพยุงร่างของอ๋องหนุ่มให้พิงกับกำแพงชื้นแข็งข้างๆ ก่อนยื่นมือไปสัมผัสจุดชีพจรบริเวณลำคอ

          อุณหภูมิที่ถ่ายทอดมาสู่มือช่างร้อนผ่าวราวกับไฟ “พิษงั้นหรือ? ” เต๋อหวนพึมพำ ก่อนสังเกตที่โหนกแก้มของอ๋องหนุ่มที่มีรอยถาก แต่แผลกลับเป็นสีเขียวช้ำ โชคยังดีที่ชีพจรนั้นไม่เต้นเร็วไปหรืออ่อนไป...ยังพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนที่พิษจะซึมเข้าสู่ร่างกายมากกว่านี้

          เต๋อหวนสังเกตไปที่ใบหน้าของหยวนจิวหรง “ทรงมีแผลที่ใดอีกหรือไม่ นอกจากบนพระพักตร์” จิวหรงส่ายใบหน้าอย่างอ่อนแรง

          หมอหนุ่มเม้มริมฝีปากลงแน่น ไม่มีเวลามากพอแล้ว ถึงจะไม่ทราบว่าเป็นพิษจากสิ่งใด แต่ก่อนจะรักษาก็จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด

          “กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” เอื้อมมือขึ้นแตะที่ข้างแก้ม ถึงจะเป็นบาดแผลเล็กๆ และผิวเนื้อก็เริ่มสมานแล้ว ทว่ารอบปากแผลกลับเป็นคราบน้ำลักษณะๆ เหนียวหนืด เขาสัมผัสเบาๆ ก่อนยกปลายนิ้วขึ้นขยี้เล็กน้อยแล้วสูดดมกลิ่น

          มีกลิ่นเหม็นเขียวจางๆ ปะปนกับกลิ่นคาวเลือดแต่กลับไม่แน่ใจว่าเป็นพิษชนิดใด ทว่าจะปล่อยไว้เช่นนี้ก็คงมิได้ ถ้าเดาไม่ผิดจุดที่พิษเริ่มไหลลงสู่ร่างกายนั้นไม่ใช่แก้ม แต่พิษน่าจะไหลรวมกันมาตรงที่หลังกกหูเสียมากกว่า เขาจำเป็นต้องระบายมันออก

          เต๋อหวนตัดสินใจ ดึงตะเกียบไม้เก็บผมของตนเอง แล้วฝนมันกับกำแพงหินให้แหลม

          “ทรงอดทนหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกดพิษออก”

          หยวนจิวหรงไม่ตอบสิ่งใด เขาทำเพียงมองหมอหนุ่มนิ่งๆ แล้วปล่อยให้คนตรงหน้ารักษาไปตามต้องการ

          เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่กดระบายพิษที่ใต้กกหูแล้ว เขาถึงได้หาเสียงตนเองพบอีกครั้ง

          “รู้สึกดีขึ้นไหมพ่ะย่ะค่ะ”

          “เต๋อหวน...”

          ในสุรเสียงนั้นดูอ่อนแรงนัก แต่น่าแปลกที่กลับมีอำนาจมากพอเรียกให้คนที่กำลังลงมือรักษาอยู่ถึงกับชะงักงัน โดยเฉพาะสายตานิ่งเรียบของหยวนจิวหรงที่ทำเอาคนถูกมองมิอาจคาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่ายได้...ทว่าก็ไม่คิดว่าหยวนจิวหรงจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

          “เจ้าเป็นคนของรัชทายาทใช่หรือไม่”

          “...”

          ไม่มีคำตอบจากหม่าเต๋อหวน มีเพียงใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับเนื้อไก่ต้ม หม่าเต๋อหวนพยายามกลบเกลื่อนอาการปากสั่น และหัวใจเต้นถี่เร็วราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก ถึงจะตั้งใจรับความผิดไว้ส่วนหนึ่ง แต่คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดตอนนี้

          “ท่านอ๋องไม่ต้องทรงเป็นกังวล กระหม่อมจะรีบพาพระองค์ออกไปจากที่นี่”

          “ฆ่าข้าสิ...นี่เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว”

          พูดพร้อมกับโยนดาบข้างเอวของตนเองลงพื้นต่อหน้าหม่าเต๋อหวน หมอหนุ่มพูดสิ่งใดไม่ออก

          “ท่านอ๋อง...”

          “หากเจ้าไม่ฆ่าข้า เมื่อยามที่ข้าลุกขึ้นได้ ข้าจะฆ่าเจ้า”

          ได้ยินกระนั้นก็ปรากฏความลังเลขึ้นในสายตาของหม่าเต๋อหวนขึ้นมาทันใด

          หมอร่างสูงค่อยๆ ขยับกายทีละก้าว นัยน์มืดครึ้มไม่ปรากฏแววตา มือใหญ่ค่อยๆ เอื้อมลงไปคว้าด้ามเหล็กขึ้นมาเชื่องช้า

          ใช่แล้ว...หากหยวนจิวหรงตายเสียที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้นและไม่ต้องทนฝืนใจตนเองให้ก้าวขาไปตามคำสั่งใครอีก

          เต๋อหวนยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ คมเหล็กในยามไฟสลัวๆ เช่นนี้มองแล้วราวกับคนที่กำลังยกมันขึ้นมาเป็นมัจจุราชมาพรากชีวิตตนก็มิปาน

          แต่แล้ว...ทั้งที่ตั้งใจจะชิงชีวิตอ๋องผู้นี้ แต่หม่าเต๋อหวนกลับโยนมันทิ้งไป

          “เจ้า...”

          เสียงดาบที่กระทบพื้นอีกครั้งทำให้หยวนจิวหรงที่ไร้เรี่ยวแรงหรี่ดวงตาลงอย่างไม่เข้าใจ

          เต๋อหวนทิ้งเข่าทั้งสองข้างลง เขาทำไม่ได้หากต้องฆ่าใครสักคน

          “ท่านอ๋องถึงกระหม่อมจะไม่ใช่คนดีนัก แต่กระหม่อมมิใช่มือสังหาร กระหม่อมเป็นหมอ หน้าที่ของกระหม่อมคือรักษาคนเจ็บ ไม่ใช่การฆ่าฟันใคร”

          เต๋อหวนพูดตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ รู้สึกทำใจได้ยากเย็นนักเพราะตลอดที่ผ่านมาเขาเดินทางผิดมาตลอด แต่ทั้งหมดนั้นไร้ซึ่งทางเลือก

          หยวนจิวหรงทำเพียงแค่ปรายสายตามองดูไม่โต้ตอบ ที่จริงแล้วตั้งแต่หมออาสาจากวังหลวงทั้งสามเข้ามาที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อ คนที่เขาดูเคลือบแคลงและสงสัยไม่ใช่อู่ลี่จิน แต่เป็นหม่าเต๋อหวน ทว่าก็ยังช่างใจอยู่นานนัก เพราะคนที่มีโอกาสฆ่าเขาคือหม่าเต๋อหวน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ทำเช่นนั้น

          แต่ว่า...เมื่อจางรุ่ยเหรินมาทูลแจ้งกับเขาเรื่องที่เต๋อหวนส่งพิราบสื่อสารออกไปตอนช่วงบ่าย ความคิดเขาก็เปลี่ยนไปทันใด หากไม่ใช่ผู้มีชาติตระกูลหรือส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพในปัจจุบันยากที่จะใช้พิราบสื่อสารได้ ถึงเต๋อหวนจะแก้ตัวว่าตระกูลหม่าอดีตเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่อย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นใจเลยสักนิด จนคิดอยากจะลองใจเล็กน้อย

          หึ...หยวนอี้หมิงเป็นพวกยืมมือคนอื่นเปื้อนโคลน ขณะที่ยกตนเองเป็นผ้าขาวสะอาดช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหม่าเต๋อหวนและอู่ลี่จินที่ถูกบังคับมา แต่ไหนจะบังคับความเกรี้ยวโกรธได้

          “เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะไม่สังหารข้า เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ข้าคิดว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้ายยอมรับออกมาตรงว่าเจ้าเป็นคนของรัชทายาทใช่หรือไม่”

          คำถามย้ำตรงมาจนใจสะเทือน หม่าเต๋อหวนเม้มริมฝีปากตนเองแน่น ก่อนสุดท้ายจะโขกศีรษะลงกับพื้น พูดด้วยเสียงราบเรียบ

          “กระหม่อมขออภัยแต่ทูลย้ำแล้วว่ากระหม่อมเป็นหมอมีหน้าที่รักษาผู้คน เห็นคนเจ็บป่วยย่อมรักษา เพียงแต่...ทั้งๆ ที่เราช่วยผู้คน แต่กลับช่วยเหลือตนเองไม่ได้ กระหม่อมได้ทำในสิ่งที่ผู้คนบนนั้นต้องการได้ทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวตนเองให้อยู่กินอย่างมีสุขปลอดภัย หมออู่ก็เช่นเดียวกัน…”

          “นั่นคือการแสดงการยอมรับผิดของเจ้าใช่หรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ อู่ลี่จินได้รับบัญชาจากองค์รัชทายาทให้นำกล่องอินทผาลัมถวายพระองค์ ซึ่งผลอินทผาลัมพวกนั้นเดิมทีต้องถูกอบด้วยดอกอสรพิษ แต่กระหม่อมได้สับเปลี่ยนเป็นดอกยาสลบแทนพระองค์ถึงได้ปลอดภัย” ได้ยินคำสารภาพเช่นนี้ หยวนจิวหรงนึกขันนัก

          “หึ...หากข้ายังลุกขึ้นไหว ข้าสาบานว่าจะบั่นคอพวกเจ้าให้ขาด แผนการเลวร้ายต่ำช้านักยืมมือคนอื่นเปื้อนเลือด เฮอะ สมเป็นหยวนอี้หมิงไอ้สารเลว ลูกชายของนางมารร้ายนั่นจริงๆ! ”

          “ท่านอ๋อง...กระหม่อมสารภาพตามตรงว่ากระหม่อมเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารให้รัชทายาท แต่ว่า...เหตุการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา”

          “ไอ้สารเลว! เจ้ายังปกป้องไอ้เลวนั่นอีกหรือ ข้าสาบานว่าจะเอาเลือดชั่วเจ้าพวกนั้นมาล้างเท้าข้าให้จงได้”

          คำสบถดังลั่นไปทั่วทาง รู้ว่าหยวนจิวหรงกำลังกริ้วหนักแต่เวลานี้เขาเองก็ไม่มีอะไรจะต้องเกรงกลัวอีกแล้ว หากจะต้องตาย ก็ขอกอดรัดพร้อมกับเกียรติของแพทย์ เต๋อหวนสารภาพความจริง

          “พวกเราไร้ซึ่งทางเลือก แต่สิ่งเดียวที่ข้าจะสาบานกับเกียรติของความเป็นแพทย์คือ ข้าจะไม่ใช้วิชาแพทย์เพื่อทำร้ายผู้คน...กระหม่อมไม่เคยคิดสังหารพระองค์ สิ่งที่ถวายนั้นคือการรักษาอย่างถูกวิธี แต่หาก...ท่านอ๋องทรงเห็นว่ากระหม่อมเป็นหมอเลว ก็ลงมือสังหารได้เลย กระหม่อมจะไม่ขัดขืน”

          “เช่นนั้นเจ้าบั่นคอตนเองต่อหน้าข้าได้หรือไม่”

          “หากท่านอ๋องประสงค์เช่นนั้น กระหม่อมก็ยินดี”

          “เฮอะ! ”

          จิวหรงสบถลมหายใจอย่างไม่พอใจ รู้สึกหงุดหงิดที่คนตรงหน้าคิดว่าความตายจะชดใช้ทุกอย่างได้

          “ความตายมันง่ายดายเกินไปนัก...ข้ากำลังพยายามไม่ให้เป็นคนที่มีจิตใจคับแคบแต่ข้าเจ็บใจทุกครั้งที่มีคนทรยศหักหลังข้า”

          “กระหม่อมสมควรตาย...แต่อู่ลี่จินมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้โปรดเมตตาละเว้นหมออู่ ให้ข้ารับผิดแต่เพียงผู้เดียวด้วย”

          โขกศีรษะจนติดพื้น แม้ว่าจะต้องชดใช้ด้วยสิ่งใดเขาก็ยินดี เพียงแต่ขอแค่อู่ลี่จินปลอดภัยก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก

          หยวนจิวหรงหรี่ดวงตาลงจนคมกริบ จริงอยู่ที่ว่าสิ่งที่หม่าเต๋อหวนพูดออกมาจะทำให้เจากริ้วไม่น้อย แต่คนที่เขาควรจะแค้นจริงๆ ควรจะเป็นหยวนอี้หมิง หากหมอหม่าพูดถึงเช่นนี่แล้ว ก็ย่อมพอเข้าใจถึงเจตนา แต่จะให้หันหัวเรือเชื่อใจ ก็คงมิได้เต็มที่เพราะอย่างไรสิ่งที่คนตรงหน้าทำก็มิได้แปรเปลี่ยน ทว่าถ้าจะเห็นแก่ความดีความชอบที่ทำให้เขา ทั้งที่มีโอกาสสังหารตั้งมากมายก็พอจะกลบเรื่องชั่วๆ พวกนี้ได้เพียงแต่...

          “ข้าจะไม่สังหารเจ้าหม่าเต๋อหวน แต่หลังจากที่ข้าหายดี มีเรื่องอีกมากที่ต้องการคุยกับเจ้า เช่นนั้นหากเจ้ากล้าพูดว่ายอมตายเพื่อรับความผิด ข้าเองก็กล้าพอจะลงโทษเจ้าสถานหนัก และรับสั่งให้เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าข้าจะสั่งให้เจ้าตายหม่าเต๋อหวน”

          จะมีประโยชน์อันใดหากเบี้ยที่ได้รับมานั้นไร้ซึ่งความจงรักภักดี หึ หยวนอี้หมิงเป็นจำพวกเลี้ยงสัตว์ด้วยแส้ ต่างจากเขานักที่เน้นการเลี้ยงขุนให้อิ่มหนำสำราญ เพื่อที่จะได้ใช้งานอย่างเต็มที่

          หากข้ารอดจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ได้ จะฮองเฮาหรือรัชทายาท เขาจะเอาคืนคนพวกนั้นเป็นพันเท่าทวี!

♦♦♦♦♦♦

สวัสดีค่าาามารายงานตัวแล้ววแย้ววว ในที่สุดก็จบไปอีกตอนน ฮืออออ เขียนฉากแบบนี้ทีไรใช้เวลามากทุกที เต๋อหวนนน แม่ตัดใจฆ๋านู๋ไม่ลงจริมๆ  T^T เปลี่ยนหางเรือช่วง 3 วินาทีสุดท้าย ก่อนจะออกมาเป็นแบบนี้ แฮร่ขอบคุณนะคะที่อดทนรอกันมาทุกอาทิตย์ ไม่ถูกใจใจแต่จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด ส่วนตอนหน้ามาลุ้นทางฝั่งลี่จินกันบ้างโน๊ะ ส่วนเรื่องน้องเจ๋อนั้น เพื่อไม่ให้ต้นฉฐับเลยเถิดเกินไป(กว่านี้)เนื้อเรื่องช่วงเวลาที่หายไปจจึงไปอยู่ในตอนพิเศษแทนค่ะ T^T

ปล.ขณะนี้ต้นฉบับเลยเถิดแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่ตอนที่เหลืออยู่(ยากๆ)ก็น่าจะสรุปทุกอย่างได้ชัดขึ้นค่ะ เจอกันใหม่อาทิตย์หน้านะ ♥

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
หมอหม่ารอด ท่านอ๋องรอด แล้วจะโดนลงโทษแบบใหนน๊อ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ขอให้รอดปลอดภัย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
หยามกันไปมา คราวนี้ส่งนักฆ่ามาเองเลย บุกถึงถิ่น กล้ามาก อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว ต้องตายกันไปข้าง รอเวลาเลย 555 หึหึ!! ทีนี้ก็รู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ต่างก็ทำเพื่อความอยู่รอด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องโทษไว้ทีหลังละกัน ตอนนี้เอาตัวให้รอดปลอดภัยทั้งหมดก่อน ค่อยว่ากันอีกที แต่ว่านะ อะร๊ายยยใต้เท้าจาง อุ้ยยยๆ มีเดือดๆเห็นหมอเต๋อเจ็บ อะอะ 555 ว้อยยสนุก ลุ้นกันหนักมาก ลงมือกันรัวๆเลย มันได้จังหวะด้วยสินะ ใต้เท้าซุนก็ไม่อยู่ รอวันเอาคืนเลย ขอบคุณที่แต่งและมาอัพต่อนะคะ รอตอนต่อไปเล้ย :) ^_^

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 30 ... ครบ ❀         


          เสียงไม้ลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’ เรียกสติที่วูบหายไปเนิ่นนานกลับมาอีกครั้ง

          ดวงตาเรียวสวยค่อยๆ ลืมขึ้นเชื่องช้า ภาพตรงหน้าพร่าเลือนราวกับม่านหมอกในคราแรก อู่ลี่จินกะพริบตากว่าหลายครั้งกว่าภาพทุกอย่างจะค่อยๆ ทยอยกลับมาชัดเจน

          ที่ไหนกัน? ราวกับอยู่ในกระโจมพักเก่าๆ ของใครสักคน ลี่จินใช้สายตากวาดสำรวจไปรอบๆ ข้าวของเครื่องใช้นั้นไม่ได้มีสิ่งใดมากมาย แต่สิ่งที่สะดุดสายตากลับเป็นเสื้อที่ถักทอขึ้นมาจากหนังสัตว์ซึ่งแขวนไว้บนกลางเสาค้ำกระโจม และหน้ากากไม้ที่ถูกแต่งแต้มฉลุดวงตาคล้ายกับสัตว์ดูน่าขนลุก

          สถานการณ์อันสับสนงุนงงเช่นนี้ ทำให้อู่ลี่จินเกิดคำถามากมายขึ้นในใจ ทว่าพอทำท่าจะขยับกายกลับเคลื่อนที่ส่วนใดไม่ได้เลยสักนิด พอผินใบหน้ามองก็พบว่าตนกำลังถูกมัดตรึงไว้ด้วยเชือกเส้นหนาเข้ากับตอไม้

          เกิดสิ่งใดขึ้น?

          หากทบทวนความทรงจำให้ดีๆ หลังจากที่รับบัญชาจากหยวนจิวหรงให้ไปสมทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉินที่หายตัวไป เขาก็ออกเดินทางในยามบ่าย พร้อมกับทหารนำทางและคุ้มกันอีกห้านาย ระหว่างที่กำลังข้ามสะพานผ่านเหวลึก กลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าที่พุ่มไม้ในป่าอันมืดสนิทฝั่งตรงข้ามจะมีข้าศึกซ่อนตัวอยู่

          กลุ่มคนผู้ซึ่งสวมชุดคลุมหนังสัตว์ และใส่หน้ากากรูปร่างแปลกราวกับสัตว์ร้ายจู่โจมเข้ามาด้วยลูกธนูและคมหอกซึ่งขว้างมาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันส่งเสียงกู่ร้องอย่างไร้อารยธรรม ไม่ช้าขบวนสมทบก็ถูกล้อมไว้อย่างรวดเร็ว อู่ลี่จินตกจากหลังม้า ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ทหารที่คุ้มกันรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือ พลางบอกให้เขารีบหนีไป ทว่าพอจะหันหลังกลับ สะพานกลับถูกตัดเชือกจนถอยกลับไม่ได้ ทหารทุกคนถูกฆ่า วินาทีนั้นความกลัวแล่นจู่โจมจนมิอาจตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็มีใครบางลอบเข้ามาที่ด้านหลังก่อนเขาจะถูกไม้แข็งๆ ฟาดเข้าที่หลังกระหม่อมแล้วจำสิ่งใดไม่ได้อีก

          คนพวกนี้คงเป็นพวกชาวเผ่าฮวงป่าเถื่อนที่พูดถึงเป็นแน่ แต่จะทำอย่างไรดี พวกมันจับเขามาทำไม ต้องรีบหนีไปจากที่นี่

          อู่ลี่จินพยายามออกแรงดิ้นดู ทว่าเชือกที่มัดตัวอยู่กลับแน่นหนาเกินไป ถ้าจะพ้นจากพันธนาการก็คงต้องหาอะไรมาตัดเท่านั้น

          แต่สิ่งใดเล่า?

          สิ้นหวังแล้ว...ขณะที่กำลังถอดใจ อยู่ๆ เขาก็ได้ยิงเสียงฝีเท้าจากด้านนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ช้าม่านกระโจมก็ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกตามด้วยร่างของชายหนุ่มผิวคล้ำหน้าโหดเหี้ยมรูปร่างกำยำในชุดหนังสัตว์สามคนกำลังจ้องมองเขา

          สายตานั้นคาดเดาไม่ได้เลยสักนิด อู่ลี่จินเม้มริมฝีปากลงแน่น ถึงตอนนี้จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แต่เขาต้องข่มมันไว้ในใจ แล้วแสดงออกอย่างเยือกเย็น

          “พวกเจ้าจับตัวข้ามาทำไม”

          ชายผู้นั้นไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ให้ชายอีกสองคนที่เพิ่งตามเข้ามาปลดเชือกที่มัดออก ทว่าไม่ทันได้รับอิสระใดบริเวณแผ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงปลายมีดที่กดลงมา อู่ลี่จินตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน

          “หากคิดหนี เจ้าตาย”

          คำข่มขู่จากชายร่างกำยำตรงหน้าดูแล้วคงไม่ได้พูดเล่นเป็นแน่ ลี่จินจึงได้แต่สงบนิ่งคอยควบคุมสติตนเอง ดูเหมือนคนพวกนี้คงต้องการบางสิ่งจากตัวเขา คิดแล้วก็อาจจะพอเป็นไปได้ที่จะมีทางหนี

          “เจ้าเป็นหมอใช่หรือไม่”

          คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด แต่ดูท่าหากตอบสิ่งใดโง่เขลาเกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอด อู่ลี่จินค่อยๆ พยักใบหน้ารับ แต่นั่นกลับเป็นสัญญาณให้พวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นคว้าแขนของเขาอย่างแรง

          “โอ๊ย! ปล่อยข้านะ! ”

          หมอหนุ่มส่งเสียงร้องโวยวาย ทั้งขัดขืน ทั้งออกแรงรั้ง แต่ก็มิอาจสู้แรงชายฉกรรจ์พวกนี้ได้เลยสักนิด รู้สึกตัวอีกที เขาก็ถูกพาตัวมาหยุดอยู่ที่กระโจมหลังใหญ่แล้วลากตัวเข้าไปด้านในนั้น

          ทว่า...เพียงแค่เปิดม่านกระโจมออก กลิ่นอับชื้น และเหม็นหืนราวกับแผลเน่าก็ตีเข้าจมูก

          อู่ลี่จินขมวดคิ้ว นัยน์ตาคู่สวยพิจารณาสำรวจไปโดยรอบอย่างหวาดๆ ก่อนจะพบบุรุษผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงไม้ และดูเหมือนที่หน้าท้องจะมีแผลฉกรรจ์ผ่าครึ่งลงมา แต่หากไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่าผิวเนื้อบริเวณรอบๆ ที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำ คล้ายผิวเนื้อที่เริ่มเน่า ส่งกลิ่นหนองเหม็นอบอวลไปทั่ว คาดเดาหากปล่อยไว้อีกไม่นานร่างนั้นต้องไม่รอดเป็นแน่

          “รักษาเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย”

          คำข่มขู่มาพร้อมกับคมมีดที่กดลงบนต้นคอ ใบหน้างามซีดเผือด พิจารณาดูแลวใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังตบตีอยู่ภายในใจจิตทั้งหมดมิใช่ความกลัวตาย...แต่เป็นจรรยาบรรณของแพทย์

          หากเขาให้ความช่วยเหลือศัตรู...นั่นคือการทรยศแผ่นดินหรือไม่ อู่ลี่จินได้แต่บดกรามตนเองจนเจ็บ ก่อนจะมองผู้ที่นอนป่วยบนเตียงด้วยสายตาสับสน...

♦♦♦♦♦

          ตะวันเคลื่อนสู่ท้องฟ้ารับวันใหม่ หลังจากที่พากองหนุนมาสมทบที่ค่ายบูรพาได้สำเร็จ ซุนไป่หานก็เพิ่งจะนอนพักได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ไม่ช้าพอฟ้าสางก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยในค่าย

          ผลพวงของการต่อสู้กับชนเผ่าฮวงที่ไม่รู้จักเกรงกลัวความตายทำให้มีทหารบาดเจ็บอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขากลับได้รับการรักษาเท่าที่พอจะให้ช่วยเหลือกันได้เท่านั้น

          ท่านอ๋องคิดไม่ผิดเลยจริงๆ เพราะการที่นำหน่วยแพทย์มาให้การช่วยเหลือเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีนัก ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็น่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์จากความเจ็บปวดของพวกทหารได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นคนที่ควรจะเป็นผู้นำกลับถูกจับตัวไปเสียง่ายๆ จนบัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวสารใดๆ จากหน่วยค้นหาที่เขาส่งไปเลยสักนิด

          ไป่หานร้อนใจนัก ถึงตอนนี้จะได้แต่หวังว่าฉินกวนเจ๋อจะไม่เป็นอะไร แต่หากอู่ลี่จินทราบเรื่องนี้ คงครหาว่าเขาปล่อยปละละเลยไม่ดูแลคนในกองทัพให้ดี เช่นนั้นเขาจะแก้ตัวว่าอย่างไรได้อีกเล่า

          ผ่านไปเกือบครบสามชั่วสามในที่สุดพระอาทิตย์ก็เคลื่อนตรงมาอยู่กลางศีรษะ หลังจากฝึกฝนในช่วงเช้าเตรียมความพร้อมกันเสร็จสิ้นถึงได้มีเวลาพัก น่าแปลกที่วันนี้เขาเตรียมตัวมาเต็มที่แต่เผ่าฮวงกลับสงบเสงี่ยมเงียบไปเหมือนไร้ตัวตน แต่จะวางใจตอนนี้ก็คงมิถูกนัก ไป่หานให้ทหารนำรายงานและแผนที่มาให้ที่กระโจม พลางปรึกษากับผู้นำค่ายบูรพาเพื่อหาหนทางเอาชนะพวกเผ่าฮวง

          ทว่าพอกางแผนที่ออกได้ไม่ทันไร ที่นอกกระโจมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย

          ข้าศึกหรือ?

          มือหนึ่งเตรียมชักดาบประจำกาย ทหารหนุ่มรายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

          “องครักษ์ซุน! ”

          “มีเรื่องอันใด”

          องครักษ์หนุ่มถามเสียงเข้ม ได้ยินกระนั้นจึงรีบรายงานทันที

          “คือท่านอ๋องมีรับสั่งให้หมออู่มาแทนหมอฉินที่ถูกจับตัวไป แต่ว่าระหว่างทางที่จะมาที่นี่กลับถูกเจ้าพวกป่าเถื่อนนั่นลอบจู่โจม”

          พอได้ยินคำตอบก็ราวกับมีประกายไฟลุกโหมขึ้นอย่างร้อนรน ลี่จินมาแทนกวนเจ๋องั้นหรือ เขานึกว่าท่านอ๋องจะให้หมอแซ่หม่ามาแทนเสียอีก แต่ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า...

          “เจ้าทราบได้อย่างไร”

          “เมื่อครู่นี้มีทหารรายหนึ่งรอดตายมาได้ ข้าสอบถามเขาจนได้ความมา แต่เขาสลบไปแล้วเลยรักษาตัวอยู่ที่กระโจมแพทย์ ข้าเลยรีบนำข่าวมาบอก”

          “เช่นนั้นแล้วหมออู่ล่ะ” ยิ่งถามยิ่งร้อนรน ทหารหนุ่มส่ายหน้าระรัว

          “ไม่ทราบเลยขอรับ ข้าคาดว่าอาจถูกจับตัวไปแล้ว”

          “ว่าอย่างไรนะ! ”

          สบถลั่นดังออกมาอย่างตกใจ สวรรค์เล่นตลกกันเกินไปแล้ว คราวก่อนก็หมอฉิน ครั้งนี้ก็หมออู่ เขามิอาจปิดตาตนเองเช่นนี้ได้อีกแล้ว

          “ข้าจะไป”

          “ใต้เท้าซุน ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจ แต่ศึกทางนี้เล่า ข้าจะปล่อยค่ายทหารไว้เช่นนี้มิได้”

          เดิมที ‘เหยียนเป่าเหริน’ เป็นแม่ทัพรักษาการณ์อยู่ที่ค่ายบูรพา ยื้อยุดฉุดตีกับพวกเผ่าฮวงมาหลายยก กระทั่งสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีจึงพยายามส่งข่าวทูลท่านอ๋องอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งได้แม่ทัพข้างวรกายอ๋องเมืองหู่มาช่วย จะให้เขาปล่อยทิ้งเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ไม่ได้

          ไป่หานเข้าใจเป่าเหรินดี เพราะอยู่ในสนามรบมานานย่อมเกิดความกดดันและความหวาดกลัว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลือกทิ้งอู่ลี่จินและรีบนำชัยมาให้ท่านอ๋อง ทว่าคราวนี้ทุกคนเสียสละมามากพอแล้ว ถึงจะไม่มีสงครามครั้งใดไม่หลั่งเลือด แต่การเดินผ่านชัยชนะพร้อมศพมิตรสหายมากมายก็มิใช่เรื่องน่ายินดี

          “ข้าจะไปเพียงลำพัง ทิ้งหมออู่ไว้เช่นนั้นไม่ได้เช่นกัน ข้าอาจต้องขอร้องให้ท่านช่วยคุมสถานการณ์ในค่ายไปก่อน”

          “ท่านพูดเช่นนี้จะบุกไปคนเดียวงั้นหรือ ฆ่าตัวตายชัดๆ ตอนนี้ทางค่ายบูรพาต้องการกำลังของท่านนะ”

          “ใต้เท้าเหยียนข้าขออภัย แต่อาจฟังดูไม่ขึ้นไปเสียหน่อย แต่ข้าติดหนี้ชีวิตหมออู่ ข้าจำเป็นต้องไป”

          “เรื่องบุญคุณก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าหากท่านอ๋องรู้เรื่องนี้เข้า...” นี่มันเท่ากับขัดบัญชาของหยวนจิวหรง เรื่องต้องจบไม่สวยแน่ ซุนไป่หานทราบเรื่องนี้แต่..

          “ข้าจะเป็นคนรายงานเอง แต่อย่างไรทางเราก็ขาดคนสอดแนมมิใช่หรือ ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีข้าข้าลอบเข้าไปได้สำเร็จอาจตัดกำลังของพวกฮวงไปได้บ้าง”

          ตัดกำลังของเผ่าฮวงหรือ? อย่างไร? เหยียนเป่าครุ่นคิด

          “แล้วท่านจะลอบเข้าไปได้อย่างไร”

          “ชาวฮวงทุกคนย่อมใส่หน้ากากหนังสัตว์ ข้ามีแผนการอยู่ ข้าสัญญาว่าจะพาหมออู่กลับมาเร็วให้ที่สุด ได้โปรดครั้งนี้ข้าต้องพึ่งท่าน”

          ราวกับไม่รอให้อีกฝ่ายตัดสินใจอีก ซุนไป่หานรีบค้อมศีรษะลงคำนับอีกฝ่ายอย่างบีบบังคับ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปด้านนอก จะหาว่าเขาไม่คิดให้ดีก็ได้ แต่หากรีรอมากกว่านี้น่ากลัวอู่ลี่จินต้องเป็นอันตรายแน่!

♦♦♦♦♦


          ‘รักษาเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย’

          คำสั่งที่เหมือนเป็นตัวตัดสินชีวิตทำให้อู่ลี่จินได้แต่ยืนนิ่งอย่างคิดไม่ตก ขณะเดียวกันมีดคมกริบที่จ่อลำคอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางลง ดวงตาขึงขังของผู้กระทำกดดันให้เขารีบตอบ ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมให้ลี่จินปฏิเสธ

          “รักษาเขา! ”

          ยิ่งพูด คมมีดยิ่งขยับเคลื่อนเข้าใกล้ลำคอขาวจนแทบจะฝังเข้าไป ลี่จินลอบกลื่นน้ำลายเงียบๆ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ถึงอย่างนั้นใบหน้ายังคงแสร้งเรียบเฉยและเยือกเย็น

          ดวงตาสวยลอบมอง “ถ้าข้ารักษา…”

          “รักษาไม่ได้ เจ้าตาย! ”

          เพียงแค่เขาลองเปรยขึ้นเท่านั้น อีกฝ่ายก็สวนกลับในทันควัน ลี่จินเริ่มคิดแล้วว่า ต่อให้เขารักษาคนที่นอนอ่อนแรงบนเตียงจนหาย ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะรอด

          ราวกับพื้นที่ตรงนี้ไม่มีทางออก ได้แต่นับถอยหลังรอเวลาตายเท่านั้น ระหว่างที่ความเครียดเข้าจู่โจม ใบหน้าของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นในหัว สร้างความสั่นไหวให้กับดวงตาเรียวสวย ก้อนเนื้อเล็กๆ ในอกคล้ายกับถูกบีบรัดจนเจ็บเมื่อคิดว่าตนอาจไม่มีสิทธิ์ได้กลับไปพบหน้าเขาผู้นั้นอีกแล้ว

          ขณะเดียวกันก็อดที่จะคาดหวังมิได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่ก็ตาม

          ท่าน...จะมาช่วยข้าหรือไม่ ท่านจะเป็นห่วงข้า จะรู้หรือไม่ว่าข้าโดนจับตัวมา

          ข้าคิดถึงท่าน

          ว่าแล้วก็ก้มลงมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง ในเวลาเยี่ยงนี้เขาต้องตัดสินใจเพียงลำพัง ไม่มีองครักษ์ผู้อ่อนโยนคอยกุมมือปกป้อง และมอบคำให้กำลังใจอย่างคำว่าไม่เป็นอะไร หรือไม่ต้องกังวล

          ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่หรือไม่

          “ถ้าเจ้ายังยืนนิ่งอยู่เช่นนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าเลือกความตาย”

          อู่ลี่จินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เขาโดนอะไรมา”

          “ถูกฝูงหมาป่าโจมตี”

          “ผ่านมานานเพียงใดแล้ว”

          “สี่ราตรี” สี่ราตรีแล้ว เหตุแผลถึงยังดูเหมือนแผลสดอยู่ ลี่จินครุ่นคิด

          “ก่อนหน้านั้นใช้สิ่งใดรักษาเขา” ริมฝีปากบางเอ่ยถามต่อ ขณะเดียวกันก็กวาดตามองคนเจ็บไปด้วย

          “น้ำค้างข้างแรม กับดอกหญ้าแดง”

          ได้ฟังหมออู่ถึงกับลอบถอนหายใจ เช่นนี้นี่เอง...แผลถึงได้ไม่สมาน เขามิได้คิดดูถูกวิธีการของชนเผ่านี้ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากลับไม่มีประโยชน์และไม่สามารถรักษาแผลฉกรรจ์ร้ายแรงแบบนี้ให้หายสนิทได้ แต่ก็มิแปลก คนเรามักใช้เพียงสิ่งที่ตนเองมี

          “เจ้าจะรักษาหรือไม่”

          “ข้าขอดูแผลเขาก่อน” ใบหน้าสวยชื้นเหงื่อเชิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แฝงไปด้วยความหยิ่งผยองเล็กๆ เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนั้น คมมีดที่จ่อรอเอาชีวิตก็เคลื่อนออกไป

          ลี่จินหลับตาลงครู่หนึ่ง กล่าวบอกตัวเองในใจให้อย่าเพิ่งนึกถึงเรื่องใด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเป็นอันพอ

          เขาทรุดลงนั่งข้างคนเจ็บ มือเปิดผ้าแผลออก กลิ่นเหม็นของแผลฉกรรจ์ก็ตีคลุ้งขึ้นจมูก ผู้คนภายในกระโจมต่างเบือนหน้าหนี เขาลอบมองก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ

          “ระหว่างที่ข้ารักษา ช่วยออกไปรอด้านนอกได้หรือไม่ ข้าต้องการสมาธิ”

          “คงไม่ได้ เกิดเจ้าเล่นไม่ซื่อ ทำร้ายเขาลับหลังข้า ข้าคงปล่อยให้ทำแบบนั้นมิได้”

          “คิดว่าต่อให้อยู่กันหมด แต่ถ้าข้าใช้ยาพิษที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก คิดว่าจะรู้กันหรือ”

          “เจ้า!! ” ปลายมีดด้ามยาวถูกตวัดจ่อลำคอเขาอีกครั้ง อารมณ์ผู้กระทำนั่นกรุ่นโกรธพร้อมลงมือ ทว่ากับคนที่โดนเยี่ยงนี้มาแล้วหลายหน ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ถ้ายังเอ่ยสั่งราวกับเป็น นายใหญ่

          “ขอล่วมยาคืนให้ข้าด้วย”

          ทว่าพวกนั้นยังนิ่ง

          “ไม่ต้องการให้ข้ารักษาแล้วงั้นหรือ” เหลือบตาถามอย่างอวดดี คนที่จับเขามาชั่งใจอยู่สักพักก่อนเก็บดาบลง แล้วหันไปสั่งลูกน้องด้วยภาษาที่ตนไม่เข้าใจ ครู่ต่อมาลี่จินก็ได้สิ่งที่ต้องการ

          “สรุปพวกเจ้าจะไม่ออกไป เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องการน้ำสะอาด ผ้าพันแผลที่มิใช่ผ้าเก่า และนำเตาถ่านมาจุดไฟที่นี่” บอกสิ่งที่ต้องการแล้ว ลี่จินก็นั่งเฉย ไม่ลงมือทำสิ่งใด สร้างความงุนงงให้แก่ผู้คนที่อยู่ในกระโจมนัก ลี่จินปรายตามองก่อนสั่งทับอีกครั้ง

          “เร็วสิ! ”

          ครู่เดียวเท่านั้น ของที่ต้องการทั้งหมดก็ถูกนำมาวางไว้ใกล้มือพร้อมใช้งาน ลี่จินไม่รอช้าเริ่มจากการทำความสะอาดแผลเหวอะหวะไม่น่ามองนั่นเสียก่อน เขาต้องล้างพิษจากดอกหญ้าแดงออกให้หมด เพราะมันเป็นตัวทำให้เนื้อกลายเป็นสีม่วงคล้ำใกล้เน่าเช่นที่เห็น

          จากนั้นใช้มีดสะอาดลนไฟกรีดลงบนเนื้อที่เป็นหนอง แล้วออกแรงกดเบาๆ เพื่อรีดหนองออก อีกมือใช้ผ้าสะอาดคอยซับหนองที่ไหลออกมา คนบนเตียงร้องโอดครวญในลำคอ สีหน้ามีอาการเจ็บปวด ทว่าคนเป็นหมอหาได้สนใจไม่ ยังทำหน้าที่ของตนต่ออย่างไม่มีสะดุด

          เมื่อแผลสะอาดแล้วเขาคว้ากระปุกผงถ่านที่ผสมปีกแมลงทับ โรยบางๆ บนแผล ถึงจะเป็นยาดีทว่ามันก็สร้างความแสบร้อนให้แก่ผู้ใช้ เสียงร้องคำรามของคนเจ็บดังลั่น เรียกให้ผู้เฝ้ามองก้าวเข้ามาประชิด

          “เจ้าทำสิ่งใด! เหตุใดเขาถึงได้ร้องด้วยท่าทางทรมานเยี่ยงนี้!!! ”

          “ถ้าเจ้าจะให้ข้ารักษาเขาต่อ ก็จงเลิกสงสัยในวิธีการของข้าสักที”

          คนฟังได้แต่กัดฟันกรอด ความหยิ่งผยองจากหมอร่างบางนี้ทำให้เขาอยากลงดาบบั่นคอขึ้นมาทันที ทว่าสุดท้ายกลับทำได้เพียงอดทน กำหมัดแน่นและปล่อยให้อีกฝ่ายรักษาต่อไป

          เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าๆ พร้อมกับลี่จินที่ลงมือรักษาอย่างไม่รีบเร่ง เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือพันแผลให้มิดชิดก็เป็นอันเสร็จสิ้นหน้าที่ และเมื่อเขาผูกปมผ้าเรียบร้อย ลี่จินก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หมุนตัวกลับไปเอ่ยเสียงเรียบ

          “หลังจากนี้ให้เขาพักผ่อน และคืนนี้เขาอาจมีไข้ขึ้นสูง ข้าจะต้มยาให้ ช่วยหาคนมาดูแลระหว่างนั้นด้วย”

          “หากพรุ่งนี้เขายังไม่หายดี ข้าจะฆ่าเจ้า”

          “ข้าหาใช่หมอเทวดาที่รักษาเพียงข้ามคืนแล้วจะหายดี ทุกอย่างต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็สามราตรี”

          คนฟังฮึดฮัด ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกหนเมื่อหมออวดดีเอ่ยเช่นนั้น

          “ถ้าเขาเป็นอะไรไปก่อนสามราตรี นั่นหมายความว่าชีวิตเจ้าก็อยู่ไม่ถึงเช่นกัน” กล่าวเสร็จก็จ้องตาข่มขู่ ทว่าอู่ลี่จินหาได้กลัวไม่ เขาจ้องกลับไม่หลบสายตา

          “หึ! เอามันไปขัง!! ”

♦♦♦♦♦♦♦♦


          สามราตรีผ่านพ้นไป เหมือนจะเร็วในความคิดของใครหลายคน แต่สำหรับอู่ลี่จินนั้นช่างเชื่องช้าและสร้างความเครียด กดดันให้แบบไม่มีสิ้นสุด แทบทุกนาทีเขานึกถึงแต่ชื่อของซุนไป่หาน หูก็คอยเงี่ยฟังเสียงด้านนอกว่ามีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นหรือไม่

          ใจดวงน้อยคาดหวังให้เขาผู้นั้นมาช่วยตนเสียที หวังด้วยใจที่สั่นไหว ใจที่โหยหา ทว่าความหวังของเขาดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ เหมือนแสงเทียนที่ใกล้มอดดับ เมื่อเวลาผ่านไป

          เขาอาจจะไม่มาก็เป็นได้ หรืออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกจับตัวมา และด้วยภาระหน้าที่ที่อีกฝ่ายต้องแบกรับ เทียบกันดูแล้ว มันคงสำคัญกว่าตัวเขานัก ซุนไป่หานอาจไม่เสียเวลามาตามหาหมอผู้ต่ำต้อยเช่นเขาเป็นแน่

          เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าสวยก็หมองลงไปหลายส่วน นัยน์ตาสวยหลุบลงมองต่ำไปยังจานข้าว ที่อาจจะเป็นมื้อสุดท้าย พานให้ในอกวูบโหวง คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดจนเจ็บร้าว

          อู่ลี่จินหลุดออกจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ก่อนร่างสูงใหญ่น่ากลัวของคนที่คอยเอามีดจ่อคอเขาเป็นว่าเล่นจะก้าวเข้ามาในกระโจม มันแสยะยิ้มเหยียดมองเขาก่อนเลื่อนดวงตาไปยังจานข้าวที่ไม่ค่อยพร่องลงเลย

          “นึกกลัวที่ตัวเองจะต้องตายถึงกับกินดื่มไม่ลงเชียวหรือ ถึงได้นั่งถอนใจทำหน้าเศร้าเยี่ยงนี้ ความปากดีของเจ้าหายไปไหนหมดเสียล่ะ”

          ลี่จินเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจในคำถามและใบหน้าของผู้เอ่ย เขามิอยากจะมองให้อารมณ์ขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ และไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียเวลา

          “ลุกขึ้นมาได้แล้ว ข้าไม่ได้เข้ามาเพื่อดูท่าทางหยิ่งผยองของเจ้าหรอกนะ ลุกขึ้น! ” ไม่พูดเปล่า เสียงตะคอกมาพร้อมกับแรงกระชากแขนให้อู่ลี่จินลุกขึ้น ยังมิทันได้ทรงตัวด้วยซ้ำ ร่างกายบอบบางที่ซูบลงไปหน่อยก็ดูลากให้ก้าวตาม

          เขาถูกผลักเข้ามาในกระโจมของคนเจ็บ ซึ่งสามราตรีที่ผ่านมานี้เขาได้ก้าวเข้าออกเป็นว่าเล่น นัยน์ตาสวยเคลื่อนมองร่างบนเตียงไม้ สีหน้าดีขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่รักษาหลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นแผลฉกรรจ์นั้นก็ยังไม่หายดี

          “เมื่อคืนร่างกายเขาร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่มีอาการเยี่ยงนั้นแล้ว”

          “ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจความหมายของข้าผิด ข้าพูดว่าภายในสามราตรีเขาจะดีขึ้น ไม่ได้หายขาด”

          “เจ้าโกหกข้า”

          “ข้าพูดความจริงแผลฉกรรจ์สาหัสเช่นนี้ย่อมใช้เวลาเป็นเดือน ยิ่งพวกเจ้าใช้น้ำค้างข้างแรมกับหญ้าแดงรักษาเขามาก่อนหน้านั้นตั้งสี่ราตรี แผลของเขาเลยยิ่งสมานช้ายิ่ง หากดูแลรักษาไม่ดีแผลอาจติดเชื้อขึ้นมากอีก รวมทั้งเกิดโรคแทรกซ้อน ข้าจำเป็นต้องประคองอาการเขาจนกว่าจะหาย”

          อู่ลี่จินร่ายยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบชัดเจนนัก แต่มันกลับให้คนที่คิดหาเรื่องยกยิ้มหยันที่มุมปาก

          “...อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า เจ้าจงใจทำเช่นนี้ก็เพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง ข้าบอกเลยว่ามันเปล่าประโยชน์”

          “ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียซิ แล้วปล่อยให้เขาตาย”

          “หึ...ช่างปากดีเสียจริง ข้าชักเริ่มชอบคนหยิ่งผยองเยี่ยงเจ้านัก เพราะเหตุใดรู้เรื่องหรือไม่”

          ถามด้วยสีหน้าและนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ พลางก้าวเท้าเข้ามาหา อู่ลี่จินถลึงสายตามอง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุกคามของร่างตรงหน้า แต่กระนั้นก็ยังบังคับร่างกายไม่ให้สั่นและฝืนจ้องสายตามองสู้ “เพราะข้าชอบปราบพยศคน ให้สยบอยู่ใต้ร่างข้า”

          ลี่จินเบิกตากว้าง เริ่มเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการสื่อ ครั้นจะถอยหนีข้อมือกลับถูกอีกฝ่ายคว้าไว้แน่น

          “หากเจ้ายอมเป็นที่ระบายให้แก่ข้าสักคืนสองคืน ไม่แน่ว่า ต่อให้หัวหน้าเผ่าไม่หายดีข้าอาจจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไป”

          “...”

          “และถ้าหากเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี จนใบหน้าสวยๆ นี้มีแต่รอยยิ้ม คงน่ามองมิใช่น้อย” คำกล่าวโลมเลียพร้อมกับนิ้วมือหยาบกร้านที่ส่งมาเกลี่ยผิวแก้มขาวเนียนนั่นทำให้ลี่จินขยะแขยงขึ้นมา ใบหน้าเบือนหนีสัมผัสนั่น

          การกระทำเช่นนี้สร้างความชอบใจให้แก่อีกฝ่ายมิใช่น้อย มุมปากหยักกระตุกยิ้มชอบใจ

          “นี่แหละ! พยศเช่นนี้แหละ ข้าชอบยิ่งนัก”

          คำพูดแทบไม่เข้าหู ลี่จินมัวแต่บิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุม แต่อย่างไรก็ไม่ได้ผล

          “ข้าชื่อ ‘ฮงบาตู’ เป็นลูกชายของหัวหน้าเผ่าที่เจ้ารักษาอยู่ เจ้าล่ะ มีชื่อว่าอะไร”

          “ข้ามิจำเป็นต้องตอบเจ้า! ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้! ”

          “เหอะ! ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามที่เจ้าต้องการเช่นกัน ข้าสนแต่ความพึงใจของข้า” ว่าจบก็ตวัดแขนเกี่ยวเอวบอบบางเข้ากอด รัดแน่นจนร่างแนบชิดกัน ลี่จินเบิกตากว้างให้กับการกระทำอุกอาจนี้ เขาดิ้นอย่างแรงเพื่อหวังให้หลุดจากอ้อมแขนน่ารังเกียจนี่ ทว่าอีกฝ่ายกลับรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม

          “เจ้ายิ่งดิ้นรนข้ายิ่งชอบ เอาสิ เจ้าดิ้นอีกสิ”

          “หุบปาก! และเอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากร่างกายข้า! ”

          “สกปรกงั้นหรือ อยากลองแนบชิดกับร่างกายสกปรกของข้าดูหรือไม่ล่ะ แต่คงไม่ต้องถามให้เสียเวลา เพราะอย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้น มานี่!! ” สิ้นเสียงทุ้ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็เผยขึ้น อู่ลี่จินถูกอุ้มขึ้นพาดบ่าแกร่ง ฮงบาตูก้าวออกจากกระโจมผู้เป็นพ่อ พาคนที่ดีดดิ้นอยู่บนบ่าไปยังกระโจมของตน

          “ปล่อย! ปล่อยข้านะ!! ”

          ฮาบาตูไม่ฟังเสียงร้อง โยนร่างบอบบางลงบนเตียงไม้ด้วยการกระทำอันป่าเถื่อน ดวงตาคมกริบวาววับราวกับหมาป่าติดสัดพร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่อตัวน้อย ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนคร่อมทับ ฝ่ามือแข็งแกร่งรวบข้อมือบอบบางไว้เหนือศีรษะเพียงข้างเดียว เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นทำให้หมอคนงามไม่สามารถดิ้นหลุดหรือขัดขืนได้ ส่วนมืออีกข้างก็กระชากสาบเสื้อคนใต้ร่างออกอย่างไม่เบาแรง ผิวกายขาวเนียนละเอียดช่างถูกใจและยั่วยวนเขายิ่งนัก

          อู่ลี่จินตัวสั่นสะท้าน นัยน์สั่นระริกเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

          “สารเลว!! หยุดนะ! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”

          “หลายคนกล่าวเช่นนั้น แต่เผ่าฮวงมิสนใจว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี หากพอใจก็จะช่วงชิงมาทุกอย่าง และในเวลานี้...ข้าพึงพอใจในตัวเจ้า”

          !!!

          “ผิวกายเจ้าช่างขาวเนียนลื่นมือ มองแล้วสะอาดตายิ่งนัก” ร่างสูงใหญ่โน้มลงใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาดุเถื่อนเคลื่อนกระซิบข้างใบหู

          “สะอาดจนข้าอยากฝากรอยสกปรกไว้...ทั่วทั้งร่าง” กล่าวจบริมฝีปากก็ซุกไซ้ลำคอขาวเนียน ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะดีดดิ้นรุนแรงเพียงใด ไม่ว่ายังไง วันนี้คนสวยหยิ่งผยองนี่ก็ต้องตกเป็นของตน!


♦♦♦♦♦♦♦

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ตำหนักอ๋องโดนบุกค่ะ งื้อออะไรจะวุ่นวายเช่นนี้

ว่าแต่ แต่งไปแต่งมารู้สึกชอบความเถื่อนของฮงบาตูยังไม่รู้สิ รวดเร็วได้ใจมาก พี่ซุนรอเป็นเดือนยังไม่ได้ไซร้คอนร้อง ไอ้นี่มา 4 วันไซร้แล้วแง ><

อีก 2 ตอน จบแล้วนะ ♥

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อร้ายยยยย ชอบคนเถื่อน////โดนไล่ตบ :z6:

ตกลงนางชื่อ ฮงบาตู หรือ ฮาบาตูอ่ะ เห็นสองบรรทัดเขียนไม่เหมือนกัน :really2:

จะมาม่ามั้ยนี่ :ling1: พี่ซุนมาเร็วๆนะ แล้วน้องเจ๋อคือหายไปเลยอ่ะ ใกล้จะจบแล้ว แต่ปมยังเต็มไปโหม้ดดดด

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด