Chapter 11
When I have you beside me
ในตอนที่ความรู้สึกของผมกำลังจะพังทลายลงเหมือนซากกำแพงที่ถูกปืนกลยิงถล่ม เขากลับยืนอยู่เคียงข้าง และหยิบเอาเศษซากความรู้สึกของผมกลับมาก่อเป็นกำแพงขึ้นมาใหม่
คริสเตียนรีบเร่งออกไปตั้งแต่ยังไม่ทันเช้า ผมจำได้ว่าสะลืมสะลือลุกขึ้นมานั่งมองเขาแต่งตัวโดยไม่พูดอะไร แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ว่าผมคงสงสัย เขาก็เลยบอกแค่ว่ามีเรื่องด่วน จากนั้นก็กดจูบลงมาที่หน้าผากของผมหนึ่งที กับที่ริมฝีปากอีกหนึ่งที แล้วทิ้งคำพูดไว้แค่ประโยคเดียว...อรุณสวัสดิ์
ผมพยักหน้าให้ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วก้าวออกจากห้องไป พอบานประตูปิดลงผมก็เลยล้มตัวลงนอนต่อ และตื่นขึ้นมาอีกทีในเวลาเจ็ดโมงตรงเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นเหมือนทุกวัน
เวลาเข้างานคือแปดโมงตรง แต่เพราะผมเป็นทีมสถาปนิกที่ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทตามเวลาปกติ ผมก็เลยใช้เวลาไปกับการอาบน้ำ กินมื้อเช้าพร้อมเช็กอีเมลจากลูกค้าไปด้วย และเดินทางไปทำงานในเวลาเกือบเก้าโมง
“ไง ยังเดินปกติดีนี่”
คำทักทายแรกของแมตต์ไม่น่าฟังเลยสักนิด ผมแยกเขี้ยวใส่เขา ไอ้เฮงซวย มันคิดว่าผมกับคริสเตียนฟัดกันเมื่อคืนและคงจะหนักหน่วงรุนแรงจนผมมาทำงานไม่ไหวล่ะสิ
“ไม่มีอะไรอย่างที่แกคิดแน่นอนไอ้เวรแมตต์” ผมผลักหัวเพื่อนสนิท “แล้วอีกอย่าง...ฉันไม่มีทางนอนง่อยอยู่บนเตียงหลังมีเซ็กซ์หรอกนะเพื่อน น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง”
“เหรอ” แมตต์ลากเสียงยาว ยียวนกวนประสาทจนผมอดใจไม่ไหวต้องยกเท้าขึ้นถีบมัน แต่แมตต์ก็รู้ทันเลยพลิกตัวหลบได้ในเสี้ยววินาที
“เฮ้พวก วันนี้เรานัดกับแคมเบลล์ใช่มั้ย?” เสียงของวิลดังแทรกขึ้น ทำให้ผมกับแมตต์ต้องหันไปมอง
“เรานัดกับพวกเขาวันนี้งั้นเหรอ?” แมตต์ถาม
แดเนียลที่นั่งอยู่ไม่ไกลพลิกเปิดสมุดกำหนดการนัดหมายต่างๆ “ไม่ใช่วันนี้ สัปดาห์หน้าต่างหาก”
“อ่า ฉันคงจำผิด”
“ไอ้งั่งเอ๊ย” แล้วพวกผมก็หันไปไล่เตะวิลแทน
ในยามบ่ายแก่ๆ หลังจากร่างแบบให้ลูกค้ารายใหม่ได้ส่วนหนึ่งแล้ว ผมก็เลยแยกตัวออกมาเพื่อพักดื่มกาแฟ ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะเติมคาเฟอีนเข้าร่างกาย แต่ผมก็ง่วงงุนจนทนไม่ไหว ถ้าไม่โดฟสักหน่อยคงได้หลับคาโต๊ะทำงานแน่
ระหว่างคนกาแฟร้อนๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นดึงความสนใจของผมไปหามัน...ผมหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนที่ใส่อยู่ ชื่อบนหน้าจอเรียกรอยยิ้มจากผมได้เป็นอย่างดี
“ไง”
“ทำอะไรอยู่” คริสเตียนเอ่ยถามมาตามสาย
ผมเหลือบมองแก้วกาแฟในมือ “ชงกาแฟ”
“เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก”
“นายก็ทำให้ฉันหลับสิ” ผมแกล้งหยอก พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงมีนัยยะในแบบที่ทำให้ปลายสายหัวเราะเบาๆ
“อย่าท้าทายฉันเจย์เดน คาร์เตอร์ ถ้าไม่อยากเจอของจริง”
ผมหัวเราะขึ้นจมูก ส่ายหน้าเอือมระอาให้กับความหื่นของอีกฝ่ายแม้รู้ว่าเขาไม่มีทางมองเห็น “แล้วนายล่ะ?”
“ฉันทำไม?”
“ทำอะไรอยู่ ว่างงานงั้นเหรอถึงโทรมาได้”
“อืม เพิ่งเคลียร์ปัญหาได้น่ะ” น้ำเสียงของเขาดูเหนื่อยล้า ผมรู้สึกได้ อยากจะถามว่าปัญหาอะไร แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมเช่นกัน ดังนั้นผมจะไม่ถาม
“คืนนี้มาค้างหรือเปล่า?” ผมเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน
“อยากให้ไปหรือเปล่าล่ะ?”
“แล้วแต่นายสิ ฉันเคยห้ามนายหรือไงพวก”
คริสเตียนหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม “ถึงห้ามฉันก็ไม่ฟังหรอก”
“ใช่ ฉันถึงไม่เคยห้ามสักที ตกลงว่าไง จะมามั้ย?”
“ไปสิ ย้ายไปอยู่กับนายได้เลยยิ่งดี”
“ฝันไปก่อนเถอะ ถ้าคิดจะย้ายมาอยู่กับฉันแบบถาวรล่ะก็ ไม่มีวัน” ผมแค่นหัวเราะ
“ที่ฉันไปค้างกับนายแทบทุกวันก็เหมือนเราอยู่ด้วยกันหรือเปล่า หือ?”
ผมไม่ตอบ ยกกาแฟขึ้นซดลงคออึกใหญ่ แล้วระหว่างเราสองคนก็กลายเป็นความเงียบอยู่นานหลายนาที จวบจนกระทั่งผมดื่มกาแฟหมด
“คริสเตียน มีอะไรจะคุยอีกมั้ย?”
“นายจะไปทำงานแล้วเหรอ?” เขาถาม
“อืม นี่มันยังเป็นเวลางานอยู่นะไอ้น้อง”
“น้อง?” คุณโซลเมตส่งเสียงขึ้นจมูกมาให้ได้ยิน “ฉันอายุมากกว่านายแปดปีเห็นจะได้”
“งั้นฉันควรเรียกนายว่าอะไรดีล่ะ? แด๊ดดี้ดีมั้ย?”
เอาล่ะ นั่นเป็นคำพูดที่โง่มาก ผมไม่น่าพูดออกไปแบบนั้นเลย
จังหวะที่ผมคิดจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อกลบเกลื่อน คริสเตียนก็แทรกขึ้นมาก่อน...
“ก็ดี ฝึกเรียกฉันว่าแด๊ดดี้เอาไว้ เวลาอยู่บนเตียงจะได้ครางเรียกฉันได้ถนัด”
ผมแยกเขี้ยว แม้รู้ว่าเขาไม่เห็นอีกนั่นล่ะ “ไอ้เฮงซวยเอ๊ย”
โซลเมตของผมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น “รู้ใช่มั้ยพวก ว่าแด๊ดดี้ที่ฉันพูดถึงมันไม่ได้แปลว่าพ่อ”
รู้สิ ทำไมผมจะไม่รู้กันล่ะ เห็นคำนี้ออกบ่อยในอินเตอร์เน็ต
“แค่นี้นะ ฉันจะทำงาน”
เขาหัวเราะในลำคอมาให้ได้ยินก่อนจะเอ่ยคำลาแล้ววางสาย “เจอกันเย็นนี้”
คงมารับผมอีกตามเคย แต่ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเสียค่ารถโดยสารกลับเอง
ความคิดที่ว่าจะรอคริสเตียนมารับหลังเลิกงานเป็นอันต้องยกเลิกไป เมื่อเป็นผมเองนี่ล่ะที่ไม่สามารถอยู่รอเขาได้
มันเริ่มมาจากผมกำลังนั่งคุยเล่นกับแมตต์ ให้คำปรึกษาเขาว่าควรพาคริสติน่าไปเที่ยวที่ไหนในวันหยุดยาวที่จะถึงนี้ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน ชื่อบนหน้าจอคือชื่อของเจสซี่ น้องโทรหาผมทำไมกัน?
ทันทีที่กดรับสายผมก็ได้รู้ว่าทำไมเจสถึงโทรมา “เจย์เดน! พี่ต้องรีบไปช่วยโจชัวนะ!”
“โจชัว...โจชัวทำไม?” มือผมเย็นเฉียบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่นในหัวของผม แมตต์เองก็คงรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ผมแผ่ออกมา เขายืนตัวตรง จ้องมองมาที่ผมอย่างรอคอย
“น้องโทรหาฉัน เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันได้ยินเสียงพ่อ...พ่อของเขาด่าทอ แล้วก็เสียงโจชัวร้องเหมือนโดนทำร้ายร่างกาย เจย์เดน ฉันเป็นห่วงน้อง”
“พี่จะรีบไปหาเขา เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไว้พี่จะโทรหา” วางสายจากเขาเสร็จผมก็หันไปหาแมตต์ทันที “ขอยืมรถหน่อยแมตต์!”
“เกิดอะไรขึ้นวะ?” เขาถาม แต่มือก็ส่งกุญแจรถให้ผม
“โจชัวน่ะ ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังอีกที” ผมรับกุญแจรถมา “ให้คริสติน่ามารับนายกลับบ้านได้ใช่มั้ย?”
“ได้ แกรีบไปเถอะ”
ไม่ต้องบอกผมก็รีบอยู่แล้ว
ผมเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าผมจะโดนตำรวจส่งใบสั่งมาที่บ้านเพราะขับเกินระดับความเร็วที่กำหนด ผมก็ไม่แคร์เลยสักนิด
จากที่เจสเล่า มีความเป็นไปได้สูงที่โจชัวจะทะเลาะกับพ่อและโดนทุบตี ซึ่งแม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ผมก็นิ่งนอนใจไม่ได้ พ่อเป็นคนอารมณ์รุนแรง ผมไม่ไว้ใจเขา ถ้าเขาเกิดพลั้งมือทำเกินกว่าเหตุขึ้นมาล่ะก็...
ยิ่งคิดผมยิ่งร้อนรนใจ เสียงโทรศัพท์ที่ผมโยนเอาไว้บนเบาะที่นั่งข้างคนขับดังขึ้นอีกครั้ง แต่ผมแค่เหลือบมองโดยไม่ได้หยิบมากดรับ...ขอโทษนะคริสเตียน แต่ตอนนี้ฉันไม่สะดวกจะรับสายนาย
ผมได้แต่บอกกับโซลเมตของตัวเองในใจ แล้วจอดรถหน้าบ้านของพ่อจนเสียงเบรกดังสนั่น
“ไอ้เด็กระยำ! แกนี่มันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ ไอ้บัดซบ!”
“โอ๊ย!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของโจชัวทำให้ผมกระโจนเข้าไปในบ้านทันที พ่อกำลังทุบตีเขาด้วยหมัดและเท้า ผมรีบเอาตัวเข้าไปขวางน้องไว้
“พ่อ! หยุด!”
ชายร่างใหญ่ที่กำลังเดือดดาลหยุดชะงักไป เขามองผมด้วยดวงตาที่เหลือกโปนเพราะความกรุ่นโกรธ แยกเขี้ยวแล้วถีบเข้ามาที่ลำตัวของผมเต็มแรง
“แกมาทำไมไอ้ตัวซวย! มาเหยียบบ้านฉันทำไม!?”
“ผมมาเพราะพ่อทำร้ายน้อง!”
“มันเป็นลูกฉัน! ฉันจะตบสั่งสอนที่มันทำตัวสารเลว!”
“โจทำอะไร ทำไมพ่อต้องทำร้ายร่างกายเขา!”
พ่อกระชากคอเสื้อผมเข้าไปใกล้ ใบหน้าที่เค้าโครงส่วนหนึ่งคล้ายคลึงกับผมแสดงความโมโหในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน...ต่อให้เขาจะเกลียดผมมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยมองผมด้วยสายตาเหมือนมองเศษขยะข้างถนนแบบนี้ ไม่เคยเลยสักครั้ง
“น้องแกมันทำให้ฉันอับอายขายหน้า! คนอื่นพูดกันให้ทั่วว่ามันขายตัว!”
“ผมไม่ได้ทำ!” โจชัวที่ใบหน้าฟกช้ำอยู่หลายจุดลุกขึ้นเถียง เขาเองก็กำลังโกรธอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นตอนที่เขาหันมาสบตาผม แววตาของเขาก็มีแต่ความเสียใจ “เจย์เดน ผมไม่ได้ทำนะ พี่ต้องเชื่อผมนะ”
ผมดันเขาให้หลบอยู่ข้างหลัง “พี่เชื่อนาย”
พ่อแค่นหัวเราะ “พวกแกพี่น้องมันไม่ได้เรื่อง คนหนึ่งก็ตัวซวย อีกคนก็ทำให้ฉันขายหน้า!”
“เจย์เดนไม่ใช่ตัวซวย พ่อนั่นล่ะเป็นไอ้เฮงซวย!”
“ไอ้โจชัว!” พ่อพุ่งเข้ามาจะทำร้ายน้องชายของผม แต่ผมก็ไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้โจเช่นกัน “หลบไปไอ้เจย์เดน ฉันจะเอาเลือดหัวน้องแกออก!”
“ถ้าพ่อจะทำร้ายเขา ก็ทำผมแทน!”
พ่อนิ่งไปก่อนจะพยักหน้า “ได้! แกก็ได้!”
อย่างรวดเร็ว...ผมไม่ทันตั้งตัวในตอนที่พ่อคว้าเอาขวดเบียร์ฟาดลงมาบนหัวของผมเต็มแรง!
“เจย์เดน!!!”
โจชัวตะโกนลั่น และผมต้องใช้สติเป็นอย่างมากในการผลักเขาออกห่างจากพ่อ ผมไม่อยากให้เขาโดนเศษแก้วที่แตกจนเป็นฟันฉลามในมือของพ่อทำร้ายเอาได้
ผมรู้สึกได้ถึงเลือดเหนียวเหนอะที่ไหลลงมาจากมุมซ้ายของหน้าผาก และความเจ็บปวดทำให้ผมตาพร่าไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีแรงมากพอจะผลักพ่อจนเขาล้มลงกับพื้น ก่อนอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวลากแขนโจชัววิ่งออกจากบ้าน...ผมต้องพาน้องหนีไปให้ไกลจากพ่อ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
แต่ยังไม่ทันที่เราจะได้ก้าวขึ้นรถของแมตต์ที่ผมยืมมา ร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งก็ถลาเข้ามาขวางหน้าเราสองคนเอาไว้ซะก่อน
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาถามเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ ในน้ำเสียงนั้น แต่ผมสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดที่แฝงมากับแววตาของเขา
ผมไม่รู้จักเขา แต่ดูเหมือนโจจะไม่ใช่ “พี่...พี่ชายผม เขาหัวแตก ช่วย...ช่วยเขาที...”
“ขึ้นรถเถอะ ฉันจะพาไปส่งโรงพยาบาล”
ผมไม่คัดค้าน รีบผลักโจขึ้นรถ ผู้ชายที่ผมไม่รู้จักก็ดูจะรู้หน้าที่ดี เพราะตอนนี้เขาขึ้นประจำตำแหน่งคนขับแทนผม และพวกเราก็หนีออกมาได้ทันก่อนที่พ่อจะวิ่งมาถึงตัวรถ
“เจย์ แผลพี่เป็น...เป็นยังไงบ้าง?” โจชัวเอ่ยถาม เขาตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว ผมรู้สึกได้เพราะมือของเขาที่กำลังจับใบหน้าของผมอยู่มันสั่นระริก เขาพยายามเอาแขนเสื้อฮู้ดของตัวเองเช็ดเลือดให้ผม
ผมยิ้มอ่อนโยนปลอบประโลมเขา “พี่ไม่เป็นไร อย่าห่วงเลย”
“หัวแตกเนี่ยนะไม่เป็นไร! พี่อย่าฝืนไปหน่อยเลยน่า!” เขาโวยวาย แต่ก่อนที่จะได้ทันพูดอะไรตอบกลับไป เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นจากที่เดิม
ผู้ชายที่กำลังขับรถให้เราหยิบมันแล้วส่งมาให้ โจชัวเป็นคนรับไป “คริสเตียนโทรมา”
“รับแล้วบอกเขาว่าให้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลอะไรก็แล้วแต่ที่เรากำลังจะไป”
โจชัวทำตามที่ผมพูด ผมเอนหลังพิงพนักเบาะนั่ง หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ผมคิดว่าตัวเองน่าจะหัวแตกจนต้องเย็บ เพราะพ่อฟาดขวดลงมาโดยไม่ออมแรงเลยสักนิด
สิบนาทีต่อมารถของแมตต์ก็จอดเทียบหน้าห้องฉุกเฉิน ผมได้รับการช่วยพยุงเข้าห้องทำแผลโดยโจชัวและผู้ชายที่ผมไม่รู้จัก เอาไว้ทำแผลเสร็จผมคงต้องถามโจแล้วล่ะว่าเขาเป็นใคร แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่เพื่อนของโจแน่ เขาดูอายุมากกว่าผมด้วยซ้ำ
สุดท้ายผมก็ต้องเย็บแผลจริงๆ และโดนไปทั้งสิ้นหกเข็มถ้วน
ผมก้าวออกจากห้องทำแผลและพบว่าเขามาถึงแล้ว...โซลเมตของผม
“เจย์เดน นาย...”
ผมยิ้มให้เขา “ฉันไม่เป็นไร แค่หัวแตกน่ะ”
คริสเตียนไม่พูดอะไร เขาแค่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าผม...เราสบตากัน และผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นอะไรในแววตาของผม แต่สิ่งนั้นทำให้เขาดึงผมเข้าไปสวมกอดแน่น
“ให้ตายเถอะพระเจ้า” เขาสบถด่าอีกสองสามคำในระหว่างที่ลูบหัวผมและกดจูบตรงหน้าผากผมไปด้วย มันออกจะหน้าอายเพราะเรายังยืนกันอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน (ซึ่งมีทั้งหมอ พยาบาล และคนอีกมากเดินกันให้ขวักไขว่) แต่ผมก็ปล่อยให้เขาได้ปลอบโยนผมโดยไม่ผละหนี
ความคิดที่ว่าพ่อทำผมหัวแตกโดยไม่คิดจะยั้งมือเลยสักนิด ทั้งที่ตลอดมาต่อให้เขาเกลียดผมมากแค่ไหนก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายจนได้เลือด มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนจิตใจของตัวเองกำลังจะแหลกสลาย...เขาไม่เห็นผมเป็นลูกเลยสินะ ถึงกล้าทำร้ายผมได้ขนาดนี้
ผมโตเกินกว่าจะน้อยใจพ่อแม่ แต่สิ่งที่ผมเจอมาตลอดจนถึงวันนี้มันเหมือนรอยแผลฝังลึกที่ไม่มีทางหาย และการโดนกระตุ้นอย่างรุนแรงก็ทำให้ผมเสียศูนย์จนเหมือนกำลังจะพังทลายเป็นเศษซาก
“เขาทำร้ายโจ ทำร้ายฉัน...”
“อืม” คริสเตียนตอบรับคำพูดของผม เขากระชับกอดแน่นขึ้น กดจูบที่ข้างแก้มของผมพลางกระซิบถ้อยคำ ที่ทำให้ผมต้องหลั่งน้ำตาแห่งความเจ็บปวดออกมาโดยไม่อาจฝืนเก็บเอาไว้ต่อไปได้อีก “แต่ฉันจะไม่มีวันทำร้ายนาย ไม่มีวัน”
ผมกอดเขาตอบแนบแน่น ซุกหน้ากับบ่าของเขา เอ่ยกระซิบคำเดิมซ้ำๆ
“ขอบใจนะ...ขอบใจ...”
ขอบใจที่มาหาฉันในเวลาที่ฉันต้องการใครสักคนพอดี
__________
มาดึกอีกแล้ว 555 แจ้งในทวิตเตอร์ไปแต่ไม่ได้แจ้งในเพจกับในนี้ งั้นขอแจ้งว่าเราจะหายไปสักสัปดาห์นะคะ น่าจะกลับมาอัพอีกทีก็วันที่ 1 กันยาเลย ขอหายไปปั่นต้นฉบับก่อนค่ะ เดดไลน์จี้มาแล้ว ฮื่อออ เสร็จจากต้นฉบับจะปั่นเรื่องนี้ยาวๆ เลยค่ะ
มาที่เนื้อเรื่อง คนที่อยู่เคียงข้างอ่ะเนอะ ถึงมาช่วยไม่ทันแต่มาหาอย่างไวเด้อ ช่วงนี้คริสเตียนท็อปฟอร์มการเป็นคนดีมากเลย นี่มันผิดปกติรึป่ะ? 55555 ว่าแต่...ผู้ชายที่โผล่มาขับรถให้นี่ใครกันนะ? อืมมม //ทำหน้าครุ่นคิด