Chapter 16
When I decided to try it
การมีโซลเมตก็ไม่ได้แย่เสมอไป และโซลเมตของผมก็เป็นผู้ชายที่ดีกว่าที่คิดเอาไว้
คริสเตียนไม่อยากให้ผมอยู่คนเดียว เขาคงรับรู้ได้ว่าความรู้สึกของผมไม่มั่นคง มันสับสน เจ็บปวด และอดกลั้นกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะเลือกไป มากเกินกว่าที่ผมจะอธิบายออกมาได้ ผมกำลังทำอะไร กำลังทำร้ายพ่อหรือเปล่า ผมไม่รู้เลย
ตอนที่เราตกลงกันเรื่องแผนการเปิดโปงอาและพ่อของผม ผมก็รู้เลยว่าผมต้องทำมันไม่ได้แน่ มันยากเกินไป จะเลวยังไงผู้ชายคนนั้นก็คือพ่อของผม พ่อของโจชัว
แต่สุดท้ายผมก็ต้องเลือก และเป็นการเลือกที่ใช้เวลาคิดน้อยกว่าที่ตั้งใจเอาไว้มาก...คำพูดเพียงประโยคเดียวของนิโคไลคือตัวช่วยในการตัดสินใจของผม เป็นตัวช่วยชั้นเลิศ
‘เลือกเอาว่าคุณจะช่วยพ่อหรือจะช่วยโจชัว’
น้องคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม เขากับเจสซี่สำคัญกับผมยิ่งกว่าใคร ยิ่งกว่าพ่อกับแม่ ดังนั้นถ้าผมต้องเลือก ผมก็จะเลือกพวกเขา...และใช่ ผมเลือกแล้วว่าจะทำตามแผนอะไรก็ตามที่พวกเขาวางเอาไว้
“เจย์เดน”
“...ว่าไง” ผมหันไปตอบรับเสียงเรียกของโซลเมต คริสเตียนมองผมนิ่งนาน สายตาของเขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังกังวล และมันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ เมื่อผมสัมผัสความรู้สึกของเขาได้อย่างนั้นเช่นกัน
“ฉันโอเค”
“แต่ฉันรู้ว่านายไม่โอเค” เขาสวนกลับ “ฉันรับรู้ได้ว่านายกำลังกลัว”
“ก็อาจจะจริง” ผมยอมรับ “ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังต้องทำมันใช่ไหมล่ะ?”
แล้วเราสองคนก็พากันเงียบ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมเอื้อมไปหยิบมันผ่านหน้าคริสเตียน แต่ในระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็สวมกอดเข้าที่ลำตัวของผม แล้วดึงเราทั้งคู่ให้ล้มลงนอนหงายหลังไปบนเตียงด้วยกัน
ตุ้บ!
“เฮ้” ผมประท้วงเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมขยับตัวนอนในท่าที่สบายที่สุด แล้วปล่อยให้คริสเตียนโอบกอดผมเอาไว้ ฝ่ามืออันแข็งแกร่งลูบแผ่นหลังของผมราวกับจะปลอบโยนกัน...ผมหัวเราะเบาๆ แล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับเสียงร้องของเครื่องมือสื่อสารที่ยังดังไม่หยุด เมื่อเห็นว่าเป็นโจชัวก็กดรับทันที “นายเป็นยังไงบ้าง”
ได้ยินเสียงกุกกักดังมากจากอีกฝั่ง สักพักใหญ่กว่าที่โจชัวจะตอบกลับมา “ผมไม่เป็นไร”
“พ่อได้ทำร้ายนายไหม?” ผมยังไม่วางใจ เมื่อเย็นเราตกลงกันว่าจะให้โจกลับบ้านไปก่อน แล้วค่อยไปรับเขาออกมาหลังจากหาเซฟเฮาส์ที่ปลอดภัยให้เขากับแม่ได้แล้ว
“...นิดหน่อย”
ผมรู้ในทันที ไอ้คำว่านิดหน่อยนั่นน่ะโกหกทั้งเพ เขาโกหกเพื่อให้ผมสบายใจ และสาบานได้...ผมไม่ชอบเลย
“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”
“ผมเพิ่งกลับเข้าห้อง” โจชัวตอบ “เจย์ แม่โดนเขาตบอีกแล้ว”
ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่งเมื่อได้ยินอย่างนั้น แล้วถามใหม่ “เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
โจไม่ตอบ แต่ถ้าผมไม่ได้หูฝาดไปเอง ผมคิดว่าเขาเพิ่งจะหลุดเสียงสะอื้นออกมา มีไม่กี่อย่างที่ทำให้น้องชายของผมร้องไห้ได้ ทั้งที่เขาเกลียดการร้องไห้ยิ่งกว่าอะไร...ผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ ต้องเข้มแข็ง เขาบอกอย่างนั้น และเคยบอกว่าเขาอยากจะเข้มแข็งให้ได้เหมือนผม แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผมต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนเพื่อแสดงออกให้ทุกคนได้เห็นว่าผมไม่เป็นไร
การที่เขาร้องไห้ แปลได้ว่าแม่ของเขาอาการไม่ค่อยดีนัก...โจรักแม่มาก เขาคงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นแม่โดนทำร้าย
“อดทนอีกนิดโจ ไม่นานหรอก แล้วพี่จะไปช่วย”
“พี่...พี่หมายความว่ายังไงเจย์ พี่จะ...จะมาเหรอ”
ผมหลุดยิ้ม “นายก็ได้ยินที่พวกเราคุยกันแล้วนี่ไอ้น้องชาย”
คำพูดของผมทำให้คริสเตียนที่ยังคงง่วนอยู่กับการลูบหลังลูบไหล่ผมเลิกคิ้ว ผมสบตาเขาแล้วยิ้มพราว เลิกคิ้วให้เขาบ้างแทนคำอธิบาย...คิดเหรอว่าผมจะไม่รู้จักนิสัยของโจชัว ถึงจะโดนนิโคไลไล่ให้ขึ้นห้องไปแล้ว แต่เมื่อเย็นเขาต้องแอบลงมาแล้วลอบฟังอยู่ด้านนอกห้องนั่งเล่นแน่นอน ผมมั่นใจเลยล่ะ
“ผมเปล่า”
“อย่าปฏิเสธให้ยากเลยโจ” ผมเอ่ยเย้าแหย่ น้ำเสียงติดจะหัวเราะไปด้วย “นายเตรียมตัวเอาไว้แล้วกัน พี่จะพานายกับแม่ออกมาจากบ้านนั้นให้ได้”
“แต่...แล้วพ่อล่ะเจย์?”
“เราต้องทิ้งเขา โจ” น้ำเสียงของผมกลับมาจริงจังมากขึ้น “พี่เข้าใจว่านายรู้สึกยังไง พี่เองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ถึงพ่อจะเฮงซวยไปหน่อย แต่นั่นก็เพราะยาเสพติดที่ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น และถ้าเราอยากช่วยพ่อ เราต้องหาทางพาเขาไปบำบัดให้ได้”
คริสเตียนกอดผมแน่นขึ้น เขาคงรู้สึกได้ถึงความอึดอัดใจของผมอีกครั้งแล้ว
ผมก้มหน้าลง ลอบยิ้มกับตัวเอง เพิ่งจะรู้ว่าการมีใครสักคนคอยกอดเราในวันที่เรารู้สึกแย่มันดีไม่น้อยเลย ยิ่งเมื่อคนคนนั้นเป็นโซลเมตของผม เป็นผู้ชายที่ดีจนไม่น่าเชื่อว่าคริสเตียนคนนี้ จะเป็นคนเดียวกันกับไอ้บ้ากามที่ฟัดกับสาวไม่ซ้ำคนตรงหน้าห้องน้ำของคลับคนนั้น
ถ้าวันนั้นผมไม่เดินชนเขา เราจะได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ไหมนะ?
“เจย์ เฮ้ พี่ชาย” โจชัวเรียกผม และนั่นทำให้ผมหลุดออกจากความคิดเมื่อครู่ทันที
“ว่าไง”
“ผมอยากรู้ว่าพี่จะมาเมื่อไหร่” น้ำเสียงของโจดูไม่มั่นใจ “ผมแค่อยาก...แบบว่าอยากให้พี่มาไวๆ ผมเป็นห่วงแม่ พ่อบ้าไปแล้ว และผมกลัวว่าเขาจะพลั้งมือฆ่าเราตายกันหมด”
“เร็วที่สุด โจ” ผมบอกเขา “พี่จะไปให้เร็วที่สุด อย่างที่บอก นายเตรียมตัวเอาไว้แล้วกัน”
“ผมควรบอกแม่...”
“ไม่” ผมเอ่ยแทรก “ไม่ต้องบอกเธอ นายก็รู้ว่าเธอจะไม่ยอมไปไหนแน่ เพราะเธอรักพ่อมาก”
“แม้ว่าพ่อจะไม่เคยรักแม่เลยน่ะเหรอ?”
เอาล่ะ ผมไม่ชอบใจเลยกับน้ำเสียงเย้ยหยันของเขา แต่น้องชายของผมก็โตพอที่จะรู้แล้วว่าตัวเองเกิดมาได้ยังไง ที่แน่ๆ เขาคงคิดไปแล้วว่าเขาไม่ได้เกิดจากความรัก...แต่มันไม่ใช่ หรืออย่างน้อยก็ไม่เชิงว่ามันเป็นอย่างนั้น
“พ่อรักนายนะโจชัว ไม่อย่างนั้นเขาคงเลือกที่จะทิ้งนายไปแล้ว คงไม่เลือกแต่งงานกับแม่ของนายหรอก”
โจชัวไม่ตอบ แต่ผมรู้ว่าเขากำลังคิดตามคำพูดของผมอยู่ อ่า ผมอยากจะคุยกับเขามากกว่านี้ แต่คิดว่าผมคงต้องวางแล้ว เพราะตอนนี้คริสเตียนเริ่มจะก่อกวนผมแล้วน่ะสิ มือของเขาเคลื่อนไปทั่วตัวของผม และให้ตาย! ผมไม่รู้เลยว่าเขาสอดมือเข้ามาใต้เสื้อของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ มันใช่เวลาไหมเนี่ย ไอ้งั่งเอ๊ย!
“ไว้เราค่อยคุยกันนะโจ อย่าลืมที่พี่บอก เตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม”
“อืม โอเค ฝันดีนะเจย์”
“กู๊ดไนท์ไอ้น้องชาย”
ผมกดวางสาย แล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งไปส่งๆ บนมุมหนึ่งของเตียงนอน ไม่รีรอเลยที่จะตะคลุบมือของคุณโซลเมต ซึ่งกำลังเลื่อนขึ้นมาลากไล้ตามแนวกระดูกสันหลังของผมแล้ว นี่มันไม่ดีเลย การที่เขาทำแบบนั้นมีแต่จะกระตุ้นให้ผมเกิดอารมณ์ และใช่ ผมยังไม่อยากฟัดกับเขาตอนนี้
“ทำตัวให้มันดีๆ หน่อยพี่ชาย” ผมบอกเขา พยายามดึงมือเขาออกมาจากใต้เสื้อของผมเอง แล้วจากนั้นจึงตบแก้มเขาเบาๆ เพื่อเรียกสติ “นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาเอากันนะพวก”
คริสเตียนหัวเราะเสียงดังลั่น “ไม่เอาน่า คลายเครียดไง”
เขาเกลี่ยปลายนิ้วเข้ากับหัวคิ้วของผม แล้วเลื่อนไปคลึงขมับแทน...ผมหลับตา ยอมให้เขานวดให้ เพราะสักพักแล้วที่ผมปวดหัว แต่ผมก็ยังทนฝืนทำเหมือนไม่ได้เป็นอะไร จะว่าไปเรื่องฝืนตัวเองนี่ก็เป็นงานถนัดของผมเลยแฮะ
“ปวดหัวใช่ไหมล่ะ มีแผลเบอเริ่มอยู่บนหัวยังไม่พอหรือไงถึงได้เครียดอีก” จริงสิ ผมลืมไปเลยว่าบนหัวของผมยังมีผ้าปิดแผลแปะเอาไว้อยู่ บาดแผลที่ถูกขวดเบียร์ของพ่อฟาดหัวแตกเพิ่งจะผ่านไปแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงกว่าเท่านั้น “แผลนายต้องอักเสบแล้วแน่ๆ”
“ความเครียดเกี่ยวกับแผลอักเสบด้วยเหรอ? แต่หมอบอกว่าฉันจะมีอาการปวดตามมาอยู่แล้วนะ”
“เดี๋ยวฉันจะไปเอายามาให้ แล้วก็หาอะไรให้นายกินเป็นมื้อเย็นด้วย” คริสเตียนถอนหายใจ เขาจะผละออกห่างแต่คราวนี้เป็นผมที่ไม่ยอมให้เขาไป
ผมผ่อนลมหายใจ สองแขนกอดเอวโซลเมตเอาไว้หลวมๆ “อย่าเพิ่งไป ฉันกำลังสบาย”
เขายอมทำตามที่ผมขอ กลับมากอดผมเอาไว้เหมือนเดิม ลูบศีรษะของผม กระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ข้างหู พร้อมกับจูบแผ่วเบาแสนอบอุ่นที่ข้างแก้ม
“งีบไปก่อนสักพักก็ได้”
“อืม” ผมหลับตาลง แล้วก็หลับไปในที่สุด
ตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะแรงเขย่าปลุกของคริสเตียน...ผมลืมตา พยายามปรับโฟกัสให้มองภาพเบื้องหน้าชัดเจนมากขึ้น โอ้ให้ตายเถอะ นี่ผมนอนไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ถึงเช้าวันใหม่รึยัง?
“กินซุปนี่สักหน่อย นายจะได้กินยาแล้วนอนต่อ” ผมพยักหน้ารับ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีคริสเตียนช่วยจับ เหลือบสายตามองนาฬิกาดิจิตอลที่ข้างโคมไฟก็พบว่าตอนนี้จะตีสามแล้ว พระเจ้า นี่ผมนอนไปเป็นชั่วโมงเลยหรือเนี่ย ถึงว่าสิ ตื่นขึ้นมาผมถึงได้ค่อนข้างจะมึนหัวนิดๆ แฮะ “ไหวมั้ย? หรือจะให้ฉันป้อน?”
ผมส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันไหว นายมากินด้วยกันสิ”
“ไม่เป็นไร ฉันกินแล้ว”
ผมเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้ทำอาหารทิ้งไว้ แล้วนายกินอะไรล่ะ จะว่าไปก็ซุปนี่ด้วย”
“ทำเอาน่ะสิ” เขาตอบ ไหวไหล่เมื่อพูดต่ออีกว่า “เห็นในตู้เย็นนายมีวัตถุดิบอยู่บ้าง เลยเอามาทำซุปให้นายไง”
“นายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”
เอาล่ะ พูดตามตรงก็คือผมไม่คิดว่าคริสเตียนจะทำอาหารเป็น ยังไงดี? เขาดูเป็นผู้ชายที่ไม่น่าจะทำอะไรแบบนั้น น่าจะไปกินอาหารแล้วจ้างเชฟมาทำให้มากกว่า ก็เขาเป็นถึงทายาทของบริษัทใหญ่เชียวนา รวยแค่ไหนทำไมผมจะไม่รู้ จะว่าไปโซลเมตของผมกับตัวผมเองเนี่ย ดูต่างกันสุดขั้วเลยแฮะ
“แน่นอน เคยบอกแล้วนี่ว่านายยังรู้จักฉันดีไม่พอ”
ผมหลุดหัวเราะแผ่วเบา “นั่นสินะ”
หลังจากนั้นผมก็ซดซุปที่เขาทำให้อย่างตั้งใจ พยายามระงับความความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจเอาไว้ ผมไม่อยากให้คริสเตียนรู้หรอกนะว่าผมรู้สึกดีแค่ไหนกับทุกอย่างที่เขาทำให้ผม แต่การเก็บงำความรู้สึกเป็นเรื่องยาก สุดท้ายแล้วคู่แห่งชะตาลิขิตก็ยังสัมผัสได้ถึงหัวใจของผมที่เต้นแรงขึ้นมาหนึ่งจังหวะ แล้วไหนจะความอิ่มเอมใจ ความยินดีที่ผมได้มีเขาเป็นโซลเมตนั่นอีก
เมื่อผมเหลือบขึ้นมองคริสเตียน ผมก็พบว่าเขากำลังยิ้มกว้าง พร้อมกันนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงความเปี่ยมสุขในใจของเขาด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่ต่างจากผม อย่างนี้ผมจะคิดว่าเรามีความสุขด้วยกันได้ไหมนะ...
“ให้ตาย เพราะนายเลยเจย์เดน”
“ฉันทำอะไร?” ผมงุนงง อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเขาเลยนะ?!
คริสเตียนขยี้หัวตัวเอง “ถ้านายไม่รู้สึกแบบนั้น ฉันก็คงไม่ต้องมาใจเต้นแรงแบบนี้”
โอ้...โอ้พระเจ้า หลังจากพูดจบแล้วเขาใจเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว นี่มันเป็นเพราะผมหรือเปล่าล่ะคราวนี้?
“ไม่ดีเลยแฮะ” แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมาอีก
ผมขมวดคิ้ว “อะไรไม่ดี”
“ก็นี่ไง” เขาชูไม้ชูมือไปมา “พอเรามีเซ็กซ์กันก็กลายเป็นว่าเรากำลังแลกเปลี่ยนทุกความรู้สึกต่อกันใช่ไหมล่ะ?”
“ก็...ก็ใช่ แล้วยังไง?”
“แล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น พอนายใจเต้นฉันก็ใจเต้นไปด้วย พอนายมีความสุข ฉันสัมผัสได้ ฉันก็มีความสุขไปด้วย”
“แล้วนั่นมันไม่ดีงั้นเหรอ?”
“ที่จริงมันก็ดี” คริสเตียนเงียบไปชั่วขณะ เขาก้มหน้าลงถอนใจ “แต่มันก็ทำให้ฉันดีใจจนจะเป็นบ้าอยู่นี่ไงเพื่อน”
ผมหัวเราะ รับรู้ได้ถึงความดีใจของเขาที่เอ่อล้นออกมาจากในอกจริงๆ “ฉันเองก็เหมือนกัน”
“...” เขาเลิกคิ้ว เงยหน้าขึ้นมาสบตากัน ผมจึงยิ้มให้เขา
“ฉันเองก็ดีใจนะ ที่ได้นายมาเป็นโซลเมตของฉัน”
คริสเตียนเบิกตากว้าง ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วแรงขึ้นมาอีกแล้ว และก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งตัว อีกฝ่ายก็คว้าเอาชามซุปที่ยังไม่หมดในมือผมไปวางไว้ยังที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับมารั้งคอผมเข้าหา แล้วประกบริมฝีปากลงมาบนปากของผมแน่น
เราสองคนจูบกัน ผมเป็นฝ่ายสอดปลายลิ้นเข้าหาเขาก่อน หยอกล้อเล่นกับลิ้นของอีกฝ่าย รสชาติของซุปผสมปนเปไปกับรสจูบของเรา และเมื่อเราเริ่มจะหมดอากาศหายใจ เราก็ผละออกจากกัน
“ฉันยังไม่ได้กินยา”
“อ่าฮะ” เขาพยักหน้ารับทราบ ถอยห่างออกไปอีกครั้งเพื่อหยิบยามายื่นให้ผม จากนั้นก็ตามด้วยแก้วน้ำ
ผมรับมา จับเอายาโยนเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามจนหมดแก้ว ทันทีที่ปากของผมเป็นอิสระ คริสเตียนก็จู่โจมผมอีกครั้ง เราจูบกันเหมือนไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย ราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้ทำแบบนี้ แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่...นี่คือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเราต่างหาก
จุดเริ่มต้นที่แท้จริง เป็นก้าวแรกที่ผมจะยอมพาตัวเองเดินออกจากเซฟโซน ยอมรับความเสี่ยงที่จะมาถึงในอนาคต หากวันใดวันหนึ่งความรักครั้งนี้ที่ผมคิดจะลองสัมผัสมันเป็นครั้งแรกหวนกลับมาทำร้ายผม ผมจะลองปล่อยให้ตัวเองหลงรักเขาดูสักครั้ง ก็นะ...พูดเหมือนเรื่องความรักมันลองกันได้ แต่ก็นั่นล่ะ ผมไม่มีคำอื่นที่จะอธิบายการกระทำของตัวเองได้ดีไปกว่าคำว่า ‘ลอง’ นี่นา
คริสเตียนถอนจูบ เขาผลักผมลงนอนราบไปกับเตียง จากนั้นอีกฝ่ายก็ก้าวขึ้นมาคร่อมทับ ลูบใบหน้าของผมไปด้วยในระหว่างที่เขาส่งยิ้มให้ผม และนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงอีกแล้ว...ผมยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไปจับกรอบหน้าของเขาเอาไว้ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีพายุของอีกฝ่าย
“นายต้องนอนพัก” เขาว่า
ผมยิ้มมุมปาก หลิ่วตามองเขา “นอนไม่ได้แน่ถ้านายไม่ปลดปล่อยไอ้หนูของฉันให้เป็นอิสระซะก่อน”
คริสเตียนหลุบตาลงมองตามสายตาของผม...มองลงไปที่เป้ากางเกงของผม ซึ่งเวลานี้ไอ้หนูตัวเขื่องใต้นั้นกำลังขยับขยายดุนดันขึ้นมาจนเนื้อผ้าโป่งพอง คุณโซลเมตของผมหัวเราะลั่น
“นายแข็งแล้วเหรอเนี่ย”
“ใช่ ฉันแข็งแล้ว เพราะจูบของนายล้วนๆ เลย”
“ให้ตาย ถ้านายยังพูดอีกคำเดียวฉันจะแข็งขึ้นมาบ้างแล้วนะพวก”
ผมเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง ทั้งที่เพิ่งดื่มน้ำไปเมื่อครู่แต่ผมกลับรู้สึกกระหายน้ำอีกครั้งแล้ว
“งั้นเราก็มาผลัดกันใช้ปากดีมั้ย?”
คริสเตียนนิ่งไปอึดใจสั้นๆ แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นความคิดที่ดี”
เสียงหัวเราะของเราสองคน ดังประสานไปกับเสียงหอบหายใจและเสียงดูดดึง...ผมพบกับความสุขไปพร้อมๆ กับเขา และเราสองคนก็นอนหลับสบายไปตลอดทั้งคืนจนถึงช่วงสายของอีกวัน
__________________________________
มาแล้ว เที่ยงคืนพอดี 55555 ตอนนี้ก็กลับมาสู่ความ...อะไรก็ไม่รู้ หวานหรือหื่นไหนเลือกสิ ก๊าก! ตอนที่แล้วมีแต่คนบอกว่าปมเยอะ ฮือ มันเยอะเหรอ เราว่าไม่นะ ก็แค่ปมเล็กๆ สามปม คลายหมดแล้วด้วย ทีนี้ก็เหลือแค่ความบู๊ระห่ำหลังจากนี้ ส่วนดราม่าไม่มีหรอกน่า เราตั้งใจให้เรื่องนี้แสดงถึงความสัมพันธ์เรื่อยเปื่อยของผู้ชายสองคน มีปมที่ดูเหมือนจะม่า แต่ก็ไม่ 5555
อ้อ เราตัดสินใจแล้วว่าจะเขียน spin off คู่ของนิคโจ กับแคสxโคล (คู่หลังนี่มายังไง โคลตันยังไม่ปรากฏตัวด้วยซ้ำ ฮ่า) แต่คงไม่ยาวนะคะ แค่คู่ละไม่กี่ตอนเน้อ