" พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]  (อ่าน 75193 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #30 เมื่อ27-06-2018 01:57:33 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ตัวละครชื่อ "แดน" ต้องมีอะไร ๆ สำคัญในอนาคตแน่ ๆ เลย

เพราะพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับที่เป็นอยู่จริง   น่าสงสัยจัง

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #31 เมื่อ27-06-2018 13:28:14 »

อยากอ่านต่อแล้ว มาต่อเร็วๆนะๆๆๆๆๆ :mew2:

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #32 เมื่อ30-06-2018 08:05:23 »


Chapter 5


ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาหนูพุกเข้าประชุมและเตรียมเอกสารทั้งหมดอย่างเเข็งขันเป็นหนูปั่นจักร รู้สึกเหมือนกำลังเข้าคอร์สเรียนออกเเบบเเลนด์สเคปไปด้วยตอนที่คีรินทร์อธิบายและสถาปนิกต่างก็ระดมยิงไอเดียเข้ามา วันนี้ทั้งวันหนูพุกเเทบจะย้ายตัวเองเข้ามาทำงานบนโต๊ะไม้ตัวโตในโซนประชุมเเล้วเนื่องจากพอเคสนี้ออก เคสนั้นก็เข้า คนที่น่าจะหนักกว่าหนูพุกก็น่าจะเป็นเจ้านาย ที่ตอนนี้เริ่มต้องอมยาอมเพราะพูดเยอะเเล้ว

“พี่ภูพักก่อนไหมครับ” เลขาหนุ่มวางถ้วยกาเเฟที่บรรจุน้ำอุ่นเเละมีมะนาวฝานลอยมาด้วย โชคดีที่คุณป้าเเม่บ้านมักจะทำอาหารในครัวด้านล่างอยู่บ่อย ๆ หนุ่มขี้อ้อนจึงไปขอยืมมาได้ลูกหนึ่ง 

“ขอบคุณมาก แต่ขอกาแฟอีกแก้วด้วยได้มั้ย” เขาหันมาถาม ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าลูบตาในขณะที่หนูพุกก็หยิบเเปลนที่ดินเเผ่นใหญ่ขึ้นมาติดบนโต๊ะเเล้วทาบด้วยกระดาษร่างที่บรรดาสถาปนิกมักจะจรดปลายปากกาไปพูดไป

“วันนี้สามเเก้วเเล้วนะครับ”

ร่างเล็กกว่านั่งลงข้างๆ ฝั่งหัวมุมโต๊ะ หนูพุกยกโน้ตบุ๊กเข้ามาด้วยทำสรุปประชุมไป อัพเดตข้อมูลไปด้วย ยิ่งช่วงนี้พี่ภูมีงานข้างนอกบ่อย นอกจากจะสารพัดเอกสารเเล้ว บางครั้งหนูพุกก็ต้องเข้าประชุมเเทนในหัวข้อที่เขาทำได้ด้วย

“ง่วงมากเลย” เขาซบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนเด็ก ๆ

“นอนก่อนไหมครับ อีกสิบนาทีเดี๋ยวพุกปลุก” เหมือนจะเป็นอุปทานเวลาเห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยหาว เขาก็เผลอหาวตาม

“ง่วงเหมือนกันนี่” พี่ภูชี้นิ้วมาที่เขา หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“ก็อย่ามาหาวใส่หน้ากันเเบบนี้สิครับ” มือเล็กยกขึ้นปิดปาก หันมาพรมนิ้วลงบนเเป้นพิมพ์ไม่วอกเเวก

“เคยแอบอู้งานบ้างหรือเปล่า” อยู่ดี ๆ คีรินทร์ก็เอ่ยขึ้นแต่ก็ดูไม่ได้จริงจังนัก

“ถามแบบนี้จะหักเงินเดือนหรือครับ” หนูพุกกระเซ้า เอานิ้วดันเเว่นเเล้วมองสเปรตชีทสรุปงบโครงการ เขาคิดว่ามันน่าจะถูกลงได้มากกว่านี้อีกหน่อย

“เปล่า ว่าจะชวนอู้น่ะ” เจ้านายยกเเขนขึ้นบิดขี้เกียจ

“พี่ภูนอนเถอะครับ เดี๋ยวพุกปลุก อีกสิบห้านาทีกว่าจะประชุม” หนูพุกยิ้มจาง ๆ หากยังเคาะเเป้นพิมพ์ต่อไป ถ้าไม่รีบทำตอนนี้แล้วงานไปกองกันตอนสิ้นอาทิตย์หนูพุกคงสิ้นใจตาย

“นอนได้นะ เดี๋ยวตั้งนาฬิกาไว้”

เขาคะยั้นคะยอ เห็นเลขาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเเล้วก็แอบอายอยู่หน่อย ๆ ที่หนูพุกมาทำงานก่อนเขาทุกวัน กลับเกือบจะพร้อมกันเสมอ บางทีกินเวลาไปเกือบสามทุ่มก็เคยมีมาเเล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่เห็นโอดครวญอะไร จนเขาแอบรู้สึกผิดในใจตงิด ๆ

“เบรกเถอะ พี่พูดจริง ๆ นะ วันนี้ข้าวกลางวันกินแค่สิบห้านาทีก็ต้องมาทำงานต่อแล้ว”

“ครับ ๆ พี่ภูพักก่อนเลย เดี๋ยวเสร็จหน้านี้เเล้วหนูพุกตามไป” ขัดไปก็เหนื่อยลูกตื๊อ หนูพุกเลยตัดใจรับปากให้อีกคนได้นอนดีกว่าเอาเวลามานั่งโน้มน้าวกัน

 คีรินทร์คงจะเหนื่อยจริง ๆ พอเขารับปากได้ไม่ถึงสองนาทีอีกฝ่ายก็หลับสนิท หนูพุกหยุดมือเเล้วหันมาพิจารณารูปหน้าสลักเสลานั้นอย่างเงียบเชียบ

ดวงตาดำใหญ่ที่โตกว่าเขาปิดสนิทอยู่ใต้เปลือกตา เเพขนตาหนาเรียงเป็นระเบียบ จมูกโด่งสวยงามราวกับปฏิมากรรมหินอ่อนของศิลปินชื่อก้องโลก

...ทั้งที่ตอนมัธยมปลายก็ดูจะเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาเเท้ ๆ ทำไมถึงยิ่งโตยิ่งหล่อได้ขนาดนี้...

หนูพุกสะดุ้งเมื่อเห็นคนผ่านไปทางหางตา เพราะห้องประชุมเป็นห้องกระจกมีมู่ลี่รูดปิดเพียงเท่านั้น คงไม่ดีถ้าจะให้ใครเห็นว่าเลขาคนนี้กำลังคิดไม่ซื่อ

หนูพุกลุกขึ้น เอาเเก้วน้ำอุ่นที่เย็นชืดลงหลังจากถูกจิบไปไม่กี่หนออกไปวางทิ้งไว้ที่ซิงค์ในครัว เดินเลยขึ้นไปยังห้องทำงานของพี่ภู หยิบเอาเสื้อเเจ็คเก็ตผ้าของอีกฝ่ายติดมือมาด้วย

เสื้อเนื้อนุ่มสีเข้มถูกคลุมลงบนเเผ่นหลังกว้าง พี่ภูเป็นพวกขี้ร้อนก็จริงแต่การเลือกนอนในตำเเหน่งแอร์ตกเเบบนี้หนูพุกว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่

“หืม สิบห้านาทีเเล้วหรือ” สงสัยหนูพุกจะมือเบาไม่พอ อีกฝ่ายถึงขยับตัวลืมตาขึ้นมาถาม

“ยังครับ เดี๋ยวพุกปลุกนะ” หนูพุกขยับเสื้อให้เขาเเล้วหันกลับมานั่งทำงานต่อ

เวลาพักเพียงหยิบมือนั้นเหมือนจะต่อชีวิตให้กับคีรินทร์ได้จนถึงหัวค่ำ หนูพุกเห็นเขาถือโทรศัพท์มือซ้ายในขณะที่มือขวาก็ยังสั่งเรนเดอร์ภาพในจอไปด้วย

ดูท่าแล้ววันนี้คงได้อยู่ยาวแหง ๆ

“อ้าวหนูพุก ยังไม่กลับอีกหรือ” พี่เต้ยเดินมาจากห้องทำงานอีกฝั่งพร้อมกับสถาปนิกหนุ่มรุ่นน้องที่หนูพุกเห็นที่ข้าวสารเมื่อสัปดาห์ก่อน

“เดี๋ยวก็กลับเเล้วครับ พี่เต้ยให้พุกทำอะไรหรือเปล่า” คำถามที่ติดปากอยู่เป็นนิจทำเอาคนฟังยกมือโบกไหว ๆ

“โอ๊ย พอแล้ว เลิกงานเเล้วจะทำอะไรกันนักหนา ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องเลย” พี่เต้ยหัวเราะ พูดราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้านายคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

“ถ้าหิวกินขนมพี่ในตู้เย็นได้เลยนะหนูพุก ผอมจนตัวจะเหลือเท่าไม้ขีดเเล้วเนี่ย” หนูพุกยิ้มรับ หยุดตัวเองที่จะไม่พิจารณาคนพูดน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังเต้ยไม่ได้

“ไปเถอะ เดี๋ยวเลท” เเดนดินสะกิดเเฟนหนุ่ม กลัวว่ารถติดกว่านี้อีกหน่อยจะไปไม่ทันเวลาที่จองร้านอาหารบนตึกสูงเอาไว้ “คุณหนูพุกก็อย่ากลับดึกนะครับ”

“ขอบคุณครับคุณแดน” เขาเพียงเเต่ยิ้มรับกับความหวังดีเหล่านั้น แดนดินเป็นพวกไม่ค่อยพูด ถ้าจะได้ยินเสียงเขาบ่อยหน่อยก็คงจะเป็นในห้องประชุมเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ดูว่าเป็นพวกอันตรายหรือเจ้าชู้ร้อยเล่ห์อะไรทำนองนั้นสักหน่อย

สงสัยจะคิดมากไปเองจริง ๆ

จากที่ว่าจะทำงานแค่พักเดียว พอเงยหน้าขึ้นมาเข็มสั้นก็เเตะเลขเก้าเเล้ว กลับห้องดึกอีกตามเคย… หนูพุกเเอบเเวบเข้าไปดูพี่ภูในห้องทำงาน เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งสเก็ตช์อะไรอยู่ในสมุดเงียบ ๆ

“พี่ภูครับ ยังไม่หิวหรือ”

“หนูพุกหิวหรือเปล่า กลับบ้านก่อนได้เลยนะอยู่เป็นเพื่อนพี่ทุกวันเลย”

...เขาก็ขยันไล่หนูพุกกลับก่อนทุกวันเหมือนกัน...

เมื่อไหร่จะรู้สักทีว่าที่อยู่ดึกไม่ได้เป็นเพราะขยันอะไรนักหนา แต่เป็นเพราะอยากจะยืดเวลาเจอหน้ามากขึ้นอีกหน่อยต่างหาก

“งานยังไม่เสร็จเลยครับ ถ้าพี่ภูจะกินอะไรบอกได้นะ”

“จริง ๆ ก็หิว แต่ป่านนี้ถ้าสั่งข้าวกว่าจะมาต่ำ ๆ คงเกือบชั่วโมง” เขาทำหน้ายุ่ง กะว่าเดี๋ยวคงจะลงไปหาอะไรตามร้านสะดวกซื้อมากิน

“งั้นกินพิซซ่ามั้ยครับ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงแน่นอน” เลขาหนุ่มว่า หยิบเเก้วน้ำของเจ้านายไปกดน้ำเพิ่มให้ด้วยความเคยชิน

“เอาสิ” เขาเลือกหน้าที่ชอบ บอกหนูพุกว่าถ้าชอบหน้าอื่นจะสั่งเเบบฮาล์ฟหน้ามาก็ได้

สุดท้ายเเล้วหนูพุกก็ไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มเติมนอกจากสลัดผัก เเละของกินเล่นอีกอย่างสองอย่าง มันอาจจะดูเหมือนมากเเต่ตราบใดที่คนร่วมโต๊ะคือคีรินทร์เขาก็เชื่อว่าที่สั่งมายังไงก็ไม่มีทางเหลือ

พนักงานในชุดฟอร์มร้านลงมาจากมอเตอร์ไซค์ภายในยี่สิบนาทีหลังจากหนูพุกวางสายเท่านั้น ถุงพลาสติกบรรจุถาดพิซซ่าขนาดกลางเเละกล่องอาหารอีกสองสามใบถูกวางพักไว้ในห้องครัว หนูพุกกะว่าเดี๋ยวจะหยิบเอาเอาจานชามขึ้ไปด้วยแต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะได้เปิดตู้หยิบของที่ต้องการ ไฟทั้งอาคารก็ดับพรึ่บพร้อมกับเสียงระเบิดตูมใกล้ ๆ นี้ เสียงเตือนจากเครื่องไฟอัตโนมัติที่ควรจะเปิดขึ้นเมื่อไฟดับดังขึ้นครั้งเดียวเเต่เครื่องก็ไม่ยอมทำงาน

...มาพังอะไรกันตอนนี้...

“หนูพุก...” เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากข้างบน ครู่เดียวร่างสูงใหญ่ก็เดินลงบันไดมาพร้อมกันกับที่ถือโทรศัพท์เปิดสปอตไลท์นำทางมาด้วย

“อยู่ในครัวครับ” หนูพุกร้องบอก หยิบโทรศัพท์มาเปิดสปอตไลท์บ้าง

“พิซซ่ามาได้เวลาดีจริง ๆ หม้อเเปลงระเบิด ไฟดับกันทั้งเส้นเลย” คีรินทร์หัวเราะหึ ๆ เปิดตู้เก็บของอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยถูกใช้งานรื้อหาอะไรบางอย่าง

“พุกยังไม่ได้เซฟงานเลยครับ” คุณเลขาทำหน้าหงอยลงไปหน่อย เเต่คิดว่าไปเรียกคืนเอกสารก็คงจะเจอ เขาเขยิบเข้าไปใกล้เจ้านาย เหมือนจะจำได้ว่ามีกล่องเทียนอยู่ในลิ้นชักแถว ๆ นี้

“พี่ก็ยังเรนเดอร์งานไม่เสร็จเหมือนกัน ไม่ต้องใช้จานหรอก หยิบเเค่จานเล็กไปสักสามสี่ใบก็พอ” คีรินทร์ว่า เขาหันมาชมเลขาที่มือเเม่น เลื่อนลิ้นชักทีเดียวก็เจอกล่องเทียนไข

“พี่ภูมีไฟเเช็กไหม พุกหาไม่เจอ” มือเรียวยังคงหาต่อไป ทั้งที่ไฟเเช็กกับเทียนมันควรจะอยู่ด้วยกันเเท้ ๆ ทำไมหาไม่เจอล่ะนี่

“ไม่มีเเฮะ พี่ไม่สูบน่ะ” เขาว่าพลางขยับย่อลงมาเปิดตู้ด้านล่างแล้วสำทับอีก “แม่พี่ไม่ชอบ”

อาจเป็นเพราะพวกยาสูบนี่มันขัดกับค่านิยมของคุณครูใหญ่ที่มีหน้าที่สนับสนุนให้เด็ก ๆ อยู่ในรูปในรอยอย่างเเม่ เขาเคยลองตอนอยู่ไกลบ้านบ้าง แต่ไม่ได้คิดจะเเตะมันจริงจัง… เเม่เสียใจมาเยอะเเล้ว ไม่ควรต้องมาผิดหวังกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้อีก

“เจอแล้ว” ไฟเเช็กอันละห้าบาทสิบบาทถูกยื่นให้คุณเลขา ไม่รู้ใครมันอุตริเอามาเก็บรวมไว้กับกล่องเครื่องมือช่าง

ในที่สุดสองร่างก็เดินเคียงกันขึ้นไปชั้นบนเนื่องจากพอเปิดหน้าต่างเเล้วมีลมโกรกมากกว่า ประตูห้องทำงานของพี่ภูถูกเปิดออกให้อากาศถ่ายเท สองร่างช่วยกันเดินไล่เปิดหน้าต่างตลอดทั้งพื้นที่ชั้นสอง เมื่อคำนวณเเล้วว่าคงอีกนานกว่าไฟจะมา ทั้งสองช่วยกันเก็บเอกสารบนโต๊ะทำงานเเละจุดเทียนตั้งไว้บนจานรองแก้ว เอามันวางให้เเสงสว่างในห้องทำงานในจุดที่จะไม่โดนลมเป่าจนดับ

“วันนี้มีดินเนอร์กลางเเสงเทียนด้วยแฮะ” หนูพุกยิ้มกับเสียงพึมพำของอีกฝ่าย อดนึกว่ามันก็โรเเมนติกดีไม่ได้

“นั่งเลยครับ อาหารจะเสิร์ฟเเล้ว” คุณเลขาเเกะกล่องพิซซ่า วางไว้ตรงกลาง ข้าง ๆ มีปีกไก่บาร์บิคิว ชิคเก้นสติ๊กและซีซ่าร์สลัด

คีรินทร์แกะออริกาโน่จากซองโรยลงบนเเผ่นเเป้งชิ้นสามเหลี่ยมของตัวเอง ในขณะที่คุณเลขาเช็ดมือกับเว็ททิชชู่แล้วเลื่อนกล่องฟอยล์เข้าหาตัว ใช้มือเเละมีดพลาสติกชั่วกันเลาะกระดูกชิ้นเล็กออกจากส่วนปีก ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังมองคนที่ก้มหน้าก้มตาด้วยความทึ่งขนาดไหน

“พี่ภูจิ้มเอานะครับ มือจะได้ไม่เหนียว”

หนูพุกพูดไปเช็ดมือไปด้วย ขยับกล่องไก่หกชิ้นก็โดนเลาะกระดูกจนสิ้น พวกมันนอนอวบอ้วนเสียทรงแค่ด้านเดียวที่ถูกเปิดเพื่อดึงกระดูกออก แต่อีกด้านยังอยู่เเหมือนเดิมในกล่องพร้อมส้อมจิ้มเรียบร้อย 

“ทำได้ยังไงน่ะ” 

“ทำอะไรครับ” หนูน้อยหยิบชิคเก้นสติ๊กกรอบ ๆ ขึ้นเเทะ มองหน้าอีกฝ่ายอย่างมีคำถาม

“ก็แกะกระดูกนี่ไง” คนฟังร้องอ้อ ไขความสงสัยให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

“พุกมีน้องชายอายุห่างกันเกือบรอบ งานเเกะกระดูกแกะก้างก็เลยเป็นงานหลักช่วยหม่าม้าประหยัดแรง” พอถูกไขความข้องใจเเล้วคนฟังก็พยักหน้า ไม่เเปลกใจว่าทำไมเลขาหนุ่มถึงมีนิสัยห่วงใยคนอื่นเสมอ

“กับเจ้านายเก่าก็แกะให้เเบบนี้หรือ”

“เจ้านายเก่าไม่กินพิซซ่าครับ” หนูพุกตอบยิ้ม ๆ ใช้ส้อมตักสลัดเข้าปาก พอเห็นใบเขียว ๆ ภูถึงเพิ่งจะนึกออกว่าญาติผู้พี่ของเขาเป็นมังสวิรัติและงดฟาสต์ฟู๊ดในทุกรูปเเบบมาร่วมสิบปีเเล้ว

แป้งชิ้นสามเหลี่ยมถูกคุณเลขางับแล้วเคี้ยวจนแก้มกลม ตอนหนูพุกขึ้นต้นชิ้นที่หนึ่ง พี่ภูก็ไปถึงชิ้นที่สามเเล้ว เพราะนั่งฝั่งตรงข้ามกันเเละแสงเทียนในที่มืดสลัวก็ยิ่งทำให้บรรยากาศสุ่มเสี่ยงกับหัวใจเหลือเกิน

เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตาคนที่กำลังกินไปคุยไป จากเรื่องทั่ว ๆ ไปก็เป็นเรื่องภาพยนตร์ เพลง และแม้กระทั่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ

“พุกยังไม่เคยขึ้นเหนือเลย”

ตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งป๊า หม่าม้า แล้วก็น้องชายเป็นพวกชอบทะเลเพราะฉะนั้นทริปท่องเที่ยวในวัยเด็กก็มักจะพุ่งลงไปทางทิศใต้ หรือไม่ก็เลยขึ้นไปที่ฮ่องกงเพื่อเยี่ยมญาติเสียมากกว่า พอโตมาก็ทำแต่งาน วันหยุดยาวทีไรหนูพุกก็ถูกเตียงดูดจนลืมเรื่องออกไปเที่ยวไกล ๆ ทุกที

“เอาไว้พี่ไปทำงานเเล้วขึ้นไปด้วยกันก็ได้ พอดีพี่ชายพี่กำลังจะเปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่” คีรินทร์ถือโอกาสขึ้นไปเยี่ยมเเม่เเละพี่ชาย ทริปพนักงานประจำปีปีนี้พาเจ้าพวกนี้ไปเที่ยวด้วยก็น่าจะโอเค

หนูพุกพยักหน้า รู้สึกเหมือนเข้าถึงพี่ภูมากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย สองมือกอบเอากล่องเปล่าที่ว่างเเล้ว ผูกไว้กับถุงเตรียมทิ้งขยะ ส่วนพิซซ่าที่เหลือก็คงต้องเอาไว้ที่ห้องครัวเเล้วอุ่นไมโครเวฟพรุ่งนี้เช้าเอา

“ถ้าไฟไม่มาก็กลับกันเถอะ ไว้พรุ่งนี้พี่ค่อยมาเช้าเเทน” เขาเดินนำหนูพุกไปปิดหน้าต่าง ถอดใจกับงานที่ควรจะไปถึงเป้าหมายเเต่ติดตรงที่ไฟดับมาชั่วโมงกว่า

“พอจะกลับไฟมาเฉยเลย” คีรินทร์พึมพำ หน้าต่างกระจกบานสุดท้ายถูกงับปิดไฟทั้งตึกก็สว่างเรืองขึ้นเหมือนเปิดสวิตช์

คนบ้างานสองคนสบตากัน กระวีกระวาดไปเปิดคอมพิวเตอร์ของใครของมันเพื่อกู้คืนไฟล์ที่หายไปตอนไฟดับ บางไฟล์ของหนูพุกก็ต้องนั่งทำใหม่ นั่นทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย แต่คนที่จะหนักกว่าก็คงจะเป็นคีรินทร์ที่ถึงเเม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่จะต้องมานั่งทำงานใหม่เกือบหมดเพราะไฟฟ้าขาดไปตอนกำลังเรนเดอร์ภาพอันเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างใช้เวลา

 หนูพุกเอาพิซซ่าลงไปเก็บ ทั้งจานรองเเก้วเเละเทียนก็ถูกนำลงไปพร้อมกันด้วย เขามองนาฬิกาเเล้วก็ชั่งใจ กลัวว่าจะไม่ทันรถไฟฟ้า แต่สุดท้ายก็อดทนไม่ได้ที่งานจะหายไปเเล้วต้องมานั่งทำใหม่แบบไฟลนก้นในวันพรุ่งนี้

...แค่ชั่วโมงเดียวคงไม่เป็นไร...

คีรินทร์เดินถือเเก้วน้ำออกมานอกห้อง ตกใจไม่น้อยเพราะคนที่สมควรจะกลับบ้านนอนไปแล้วยังนั่งพิมพ์งานต๊อกเเต๊กอยู่เลย

“อ้าว หนูพุก ไม่กลับบ้านหรือ”

“กลับครับ เดี๋ยวห้าทุ่มก็กลับเเล้ว” หนูพูกยกมือขึ้นยืดเส้นยืดสาย เขามองหน้าเจ้านายที่มองมาอย่างสนเท่ห์

“นี่เที่ยงคืนครึ่งเเล้วนะ” คนฟังร้องหาปากกว้าง มองเวลาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังโชว์เลขยี่สิบสองตัวหน้าและสี่สิบห้าที่ตัวหลัง หนูพุกขมวดคิ้วเลิกเเขนเสื้อดูนาฬิกาข้อมือเเล้วก็ใจหาย

...เที่ยงคืนครึ่งเเล้วจริง ๆ...

“เวลาหน้าจอมันรันมั่วน่ะพี่ภู ไม่รู้ว่าผิดตั้งแต่ตอนไหน สงสัยจะตอนไฟดับไปแน่ ๆ เลย” หนูพุกถอนหายใจ ทำไมเขาถึงไม่ยอมเอะใจว่าเวลาเกือบชั่วโมงมันจะพอให้ทำงานค้างกับตรวจทานเอกสารการประชุมได้จนจบเล่มเลยหรือยังไง

“ดึกขนาดนี้จะกลับยังไงเนี่ย” เจ้านายเเวะมาที่โต๊ะทำงานของเลขาหนุ่ม เห็นเอกสารประกอบการประชุมเรื่องศูนย์ศิลปะถูกทำไว้เเล้ว หากยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก

“เดี๋ยวเรียกเเท็กซี่ครับ” พูดอย่างนั้นเเต่นิ้วก็ยังกดสั่งพิมพ์งาน ปริ้นท์เตอร์ส่งเสียงครืดคราดในตอนที่คีรินทร์สบตาเรียวใต้เลนส์กลม

...หนูพุกนี่บ้างานเข้าเส้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก…

“งั้นเดี๋ยวกลับพร้อมกันก็ได้ รอไหวไหม”

“พุกรอได้ ขอบคุณนะครับ”

หนูพุกพยักหน้า เรียงกระดาษแต่ละปึกเข้าหากันแล้วจัดการใส่ลงเเฟ้มเอกสารเเบบบางเรียงไว้เป็นตั้ง เเวะเอางานอื่นออกมาทำคอยในขณะที่อีกฝ่ายหายลับเข้าไปในห้องทำงาน

คีรินทร์นั่งทำงานไปข้อความจากเพื่อนสนิทก็เด้งเข้ามาพร้อมกับไฟล์ในอีเมลล์ ไฟล์งานที่จัดเตรียมไปสำหรับพรีเซนต์ข้อมูลช่วงเช้าพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อยดีเเล้วแต่เขาก็ยังมีโปรเจ็กต์อื่น ๆ อยู่ในมือ ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะขับรถไปส่งหนูพุกที่คอนโดก่อนเเล้วคงจะกลับมาทำงานต่อ

เลขานุการที่ควรจะนั่งคอยอยู่หน้าห้องไม่ได้อยู่ในสภาพที่เขาคาดคิดไว้ ทีแรกภูว่าหนูพุกคงจะเก็บโต๊ะนั่งเล่นโทรศัพท์รอทว่าภาพที่ปรากฎในลานสายตาทำให้เขาสะดุด

หนูพุกฟุบหลับลงไปกับแฟ้มทั้งที่มือยังเเปะอยู่บนสมุดโน้ต หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดไว้กำลังอยู่ในโหมดพักหน้าจอซ้ำยังมีเสียงหายใจดังออกมาด้วย

“หนูพุก… หนูพุก… ลุกเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง” แม้มือใหญ่เปลี่ยนจากเเตะเบา ๆ เป็นเขย่าเเล้วเลขาหนุ่มก็ไม่มีท่าทีว่าจะรับรู้
 
ไม่รู้ว่าเหนื่อยมากหรือเป็นพวกหลับลึกมากโดยนิสัย คีรินทร์ไม่ได้อยากฉวยโอกาสกับลูกน้อยด้วยการจับขึ้นอุ้มไปไหนมาไหนโดยปราศจากความสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจับอีกคนขึ้นรถแล้วต่อด้วยอุ้มขึ้นคอนโดมันคงจะไม่ดีนักหากใครต่อใครเห็นจะครหาหนูพุกเอาได้

สุดท้ายเเล้วเจ้านายหนุ่มก็ได้เเต่ถอนใจ ผละมือออกเเล้วปิดเเอร์ตัวใหญ่ที่ให้ความเย็นทั้งชั้นเหลือเพียงแต่ห้องทำงานเขาเท่านั้น ร่างสูงกลับเข้าห้องไปเอาเตียงผ้าใบแบบพับได้สีเข้มที่เเอบไว้ในตู้เก็บของกับหมอนผ้าห่มที่มีติดไว้ยามมีงานติดพันจนต้องมาค้างที่ออฟฟิศ
   
   ในที่สุดร่างแบบบางก็ถูกทอดลงบนเตียงผ้าใบ คีรินทร์กางผ้าห่มแล้ววางลงบนตัวเลขาหนุ่ม เขาทรุดตัวลงใช้นิ้วคีบเเว่นตาทรงกลมออกจากใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่ หนูพุกทำจมูกฟุดฟิดแต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
   
   กว่าจะคิดได้ว่ามันเเปลก ๆ ก็ยืนจ้องคนหลับไปเกือบนาที ถ้าไม่นับเขากับเต้ยที่ช่วยกันทำบริษัทขึ้นมา ก็คงเป็นหนูพุกนี่เเหละที่เป็นพนักงานที่ทุ่มเทที่สุดตั้งแต่ที่เคยเห็นมา

ลูกน้องดีแบบนี้จะให้ทิ้งขว้างหรือปล่อยไปไกลมือก็นับว่าโง่เต็มทน


----------------------------------
ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #33 เมื่อ30-06-2018 08:08:19 »

เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์เเผดเสียงดังลั่นตอนหกโมงเช้าตามที่ตั้งไว้เป็นนิจ หนุพุกไม่ลืมตาหากกวาดมือสะเปะสะปะไปที่ข้างเตียงอย่างกิจวัตร ชายหนุ่มเอื้อมมือจนตัวเอียง ที่สุดเเล้วเตียงผ้าใบที่ไม่ได้มั่นคงอะไรมากมายก็พลิกคว่ำบังคับให้คนยังไม่ตื่นดีต้องลืมตาขึ้น

หนูพุกเด้งตัวขึ้นนั่ง ร้องอูยตอนที่ศอกกระเเทกเข้ากับพื้นบนพื้นเย็นเยียบ กว่าจะรู้ตัวก็สบเข้ากับสายตาเรียวคมของคนที่นอนเอนอยู่บนเก้าอี้ทำงานมองตรงมาที่เขาท่ามกลางเสียงกรีดร้องจากโทรศัพท์ที่ดังฝ่าความเงียบขึ้นอีกรอบ

มือเรียวควานเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ลนลานเลื่อนปิดเวลาปลุก ใบหน้าขาวนวลเปลี่ยนสีได้ทันใดเมื่อตระหนักได้ว่าคีรินทร์คงจะเห็นท่าทางขี้ริ้วขี้เหร่นั่นไปแล้ว… จบสิ้นกันคุณเลขามาดดีที่คิดไว้…

“เมื่อคืนหนูพุกหลับสนิทมาก พี่ก็เลยพามานอนก่อน จะกลับคอนโดเลยไหมเดี๋ยวพี่ไปส่ง” เสียงทุ้มไขความกระจ่างให้เมื่อหนูพุกยังคงนั่งอยู่ที่เดิมคล้ายทบทวนเหตุการณ์ ดวงตาเรียวเหลียวมองนาฬิกาดิจิตอลเรือนใหญ่แล้วก็รีบเรียกสติ

“เอ่อ ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวพุกกลับเองก็ได้ แค่นี้ก็เกรงใจมากแล้ว อีกอย่างคอนโดพี่ภูอยู่คนละทางไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวรถติดแล้วไปประชุมไม่ทันเอา” เขาพูดรัวเร็ว ลุกขึ้นจัดการพับผ้าห่มเเละเตียงผ้าใบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนเรียบร้อยด้วยความว่องไว

“พี่คงไม่กลับคอนโดเเล้วล่ะ พอดีมีเสื้อผ้าสำรอง” เขาว่า พยักเพยิดไปที่เสื้อเชิ้ตสีเข้มรีดเรียบกริบที่แขวนไว้หน้าตู้เก็บของ ไม่รู้ไปเอามาตอนไหน เมื่อวานเย็นหนูพุกยังไม่เห็นเลย
   
   “อ่า…” หนูพุกคำนวณเวลา กว่าจะออกจากออฟฟิศ กว่าจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเเล้วฝ่าการจราจรเกรดเอกับรถไฟฟ้าเสียไม่เว้นเเต่ละวันเเล้วก็สรุปได้ว่ามันไม่น่าจะเวิร์ค แต่ถ้าไม่กลับจะเอาเสื้อที่ไหนใส่ไปประชุมกัน

   “ถ้าไม่กลับจะยืมเสื้อพี่ก็ได้ แต่มันยับหน่อยนะ” คีรินทร์อ่านเเววตาลูกน้องออก รู้ดีว่าหนูพุกรักษาเวลาเท่าชีวิตจึงเสนอไอเดีย

“งั้นขอยืมเสื้อพี่ภูแล้วกันครับ พุกมีสูทเดี๋ยวใส่สูททับเอา” หนูน้อยสรุปความ เพิ่งจะนึกออกว่านี่เป็นเวลาหกโมงเช้าทว่าเจ้านายยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

...เขาแย่งเตียงพี่ภูมาชัด ๆ เลยนะนี่!...
   
   “พี่ภูได้นอนหรือยังครับ”

“นอนแล้วน่า เก้าอี้นี่มันก็ปรับได้อยู่” คีรินทร์หัวเราะ มองคนที่ทำหน้าคล้ายปลาสำลักน้ำแล้วนึกขัน

“งะ… งั้นกินข้าวไหมครับ เดี๋ยวหนูพุกไปซื้อมาให้” หนูพุกลุกขึ้นกระวีกระวาดถามหาพื้นที่สำหรับเก็บหมอนเเละเตียง

“เพิ่งจะตื่นเอง เรานั่นเเหละไปซื้อของใช้ก่อนดีไหม” เสียงทุ้มว่าพร้อมทั้งลูกขึ้นยืนบิดซ้ายบิดขวาไล่ความเมื่อยขบ

“ครับ ๆ” คนที่ยกเตียงขึ้นเก็บไว้ในตู้เผลอยกมือปิดปากโดยอัตโนมัติ ระลึกได้ว่านอกจากจะกำลังพูดคุยกับคนที่แอบชอบด้วยหน้ายับ ๆ แบบเพิ่งลุกจากที่นอนยังไม่พอแถมอมขี้ฟันอีกต่างหาก

หนูพุกไม่เคยคิดจะขอบคุณร้านสะดวกซื้อที่มีทั้งโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน ผ้าขนหนูสะอาดผืนเล็กรวมถึงชั้นในก็ยังมี ถ้าเมื่อคืนไม่ได้หลับเหมือนซ้อมตายก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าพี่ภูกับพี่เต้ยมักจะมานอนที่ออฟฟิศกันเป็นล่ำเป็นสันในช่วงเเรก ๆ จนมีของใช้ส่วนตัวติดไว้ที่ทำงานด้วย

“เหมือนแอบจิ๊กเสื้อพ่อมาใส่เลย”

คีรินทร์วิจารณ์คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเเล้วหัวเราะในลำคอ หนูพุกไม่ใช่คนเตี้ยม่อต้อ แต่ก็ไม่ได้จัดว่าสูงยาวเข่าดีเหมือนนายเเบบ ดูเเล้วก็อยู่ในเกณฑ์ชายไทยทั่วไป แต่เรื่องมวลกล้ามเนื้อนี่ยังนับว่าห่างไกลจากเขาไปโข

ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมถึงมองว่าร่างกายผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งแบบนั้นมันถึงดู...เซ็กซี่...
   
   คิ้วดกหนาเลิกขึ้น ทบทวนตัวเองเป็นการใหญ่ว่าเหตุใดถึงมองผู้ชายด้วยกันไปในทางนั้นได้ ขนาดไอ้เต้ยที่รู้กันอยู่ว่าไม่ได้มีเป้าหมายเป็นเพศตรงข้ามก็ยังไม่เคยทำให้เขาคิดไปถึงคำนี้
   
   คีรินทร์ได้แต่ยกแก้วน้ำเย็นในมือขึ้นจิบ สรุปไปว่าน่าจะเป็นเพราะเสน่ห์ส่วนบุคคล

“ใส่สูททับก็ไม่เห็นเเล้วครับ” ชายหนุ่มว่า คว้าสูทจากพนักเก้าอี้ตัวเองมาสวมทับทันใด ไม่ได้ยี่หระอะไรกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนตัวใหญ่ที่พอใส่เเล้วก็ไหล่ตกเเขนยาวเกินเเขนเขาออกมาสักสองนิ้วได้

“ใส่ตอนนี้เลยหรือ เดี๋ยวก็ร้อนตาย”

“ตอนนี้เเหละครับ”

หนูพุกพยักหน้าตรวจข้าวของที่จะต้องติดไปประชุมด้วยอีกหน เขารู้ว่าพี่ภูไม่ได้คิดอะไร ก็แค่ใจกว้างไปตามประสา แต่ถ้าคนอื่นมาเห็นเลขาหนุ่มใส่เสื้อเจ้านายแบบนี้ต่อให้ไม่มีอะไรในกอไผ่จริง ๆ ก็คงไม่ช่วยให้คนอื่นหยุดจินตนาการได้หรอก

ของเเบบนั้นเก็บไว้ให้คิดกันวันที่เขาเป็นเเฟนกับคีรินทร์เเล้วน่าจะดีกว่า




วันนี้เป็นครั้งแรกที่หนูพุกจะได้เข้าเสนอแบบครั้งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ทำงานมา พี่ภู พี่เต้ย คุณเเดน และเขายืนนิ่งเงียบอยู่หน้าห้องประชุมบนอาคารสูงหลายสิบชั้นในย่านสุขุมวิท อันที่จริงเขาก็เคยมาเเล้วสองสามหน เพียงแต่ว่ามานั่งบันทึกการประชุมเท่านั้นไม่ได้มาเเล้วเกิดความรู้สึกเอาใจช่วยหรือรู้สึกว่ามาเพื่อที่จะได้อะไรกลับไปเขนาดนี้

หัวใจเขาเต้นตึกตักจนได้ยินเสียงชัดทีเดียว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตื่นเต้นอะไรนักหนาทั้งที่มาเพื่อจดฟีดเเบ็กเเละวาระการประชุมเท่านั้น เพียงแต่การที่หนูพุกเห็นทุกขึ้นตอนที่เข้าประชุมตั้งแต่รูปที่ดินเปล่า ไอเดียที่สถาปนิกช่วยกันโยนขึ้นมา สุดท้ายมันก็เชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นรูปร่างในจอคอมพิวเตอร์เเละโมเดลทำให้เขาอดลุ้นด้วยไม่ได้

“ตื่นเต้นหรือหนูพุก ตัวสั่นเชียว” เต้ยเเตะมือลงบนเเผ่นหลังบางลูบเบา ๆ และยิ้มให้อย่างอบอุ่นเสมือนว่ามีพระอาทิตย์ขึ้นอีกดวงอยู่ที่ตึกนี้เอง

 “ครับ”

หนูพุกยิ้มเเหยแต่อีกสามคนที่เหลือกลับส่งยิ้มเอ็นดูมาให้เสียเต็มประดา ก็ทุกคนล้วนเคยไปเหยียบเวทีประกวดออกเเบบขนาดใหญ่กันมาเเล้ว อย่างคุณเเดนก็เคยมีผลงานระดับประเทศ พี่เต้ยกับพี่ภูยิ่งเเล้วใหญ่เคยได้รางวัลออกแบบระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแล้ว กิ๊กก๊อกกันที่ไหนล่ะแต่ละคนน่ะ

“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ อันนี้ช่วยได้” เต้ยหยิบเอาลูกอมในกระเป๋ากางเกงมายัดใส่มือเขา มันเป็นลูกอมนมก้อนกลม หน้าซองเป็นภาษาญี่ปุ่นดูน่ากินทีเดียว

“ขอบคุณครับพี่เต้ย”

เอ๊ะ… ลูกอม…
มือเรียวเเตะลงที่กระเป๋าเสื้อสูท ลูกอมเมนทอสในซีนพลาสติกสีฟ้าที่พี่ภูเคยให้ตอนเขาเข้ามาทำงานวันสองวันเเรกยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

หนูพุกยิ้มกว้าง นึกถึงเสียงทุ้มที่ขัดคอเพื่อนแล้วควักลูกอมให้ ไม่รู้ทำไมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พรรค์อย่างนั้นถึงได้ฝังแน่นในหัวเหลือเกิน

“แค่ลูกอมนมเม็ดเดียวดีใจขนาดนี้เลยหรือ” เต้ยหัวเราะสดใส มองหน้าเลขาหนุ่มที่เเกะลูกอมนมอมไปยิ้มไปแล้วก็สำทับอย่างขำขัน “หนูพุกอย่าไปยืนใกล้รถตู้นะ เดี๋ยวพวกอุ้มเด็กจับตัวไปล่ะแย่เลย”

“โธ่ พุกไม่เด็กแล้วนะครับ” หนูพุกส่ายหน้า หากซ่อนดวงตาพร่างพรายไม่มิดจึงเสไปมองอย่างอื่นเเทน

พี่ภูกำลังสาละวนกับการทดลองเสียบสายไฟเเล้วให้คุณเเดนช่วยเปิดคลิปวิดีโอสั้น ๆ เกี่ยวกับพื้นที่ที่ทำขึ้นให้แน่ใจว่าจะไม่มีอุปสรรคเรื่องเสียงด้านในคลิป

พี่เต้ยเเวะไปเเกะลูกอมนมอีกเม็ดป้อนให้เเฟนหนุ่ม คุณแดนงับมันเข้าปากไปแล้วก็หันมายิ้มให้อย่างออดอ้อน ดูยังไงหนูพุกก็ว่ามันปกติดีสำหรับคนเป็นเเฟนกัน ไอ้ท่าทางประเภทแตะบ่าโอบไหล่ที่เขาเห็นคงจะไม่มีอะไร

พอเก้าโมงเป๊ะผู้บริหารที่มีส่วนในโครงการนี้ก็ประจำที่โต๊ะประชุม คุณกวีนั่งอยู่เป็นลำดับต้น ๆ ผู้บริหารบางคนหนูพุกก็พอจะคุ้นหน้า แต่บางคนก็ไม่รู้จัก เลขาหนุ่มนั่งอยู่ท้ายห้อง ตั้งอกตั้งใจพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คที่พกมาด้วย 

การบรรยายหน้าห้องเป็นไปอย่างสงบเงียบ ไม่มีอะไรมีปัญหาหรือถูกทักท้วงตั้งแต่การวิเคราะห์พื้นที่ สเปรตชีทก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงเเต่หนูพุกเพิ่งจะเริ่มจับสังเกตได้ในตอนที่หัวข้อการบรรยายไปถึงเรื่องฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่คิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในพื้นที่

เเม้จะนั่งอยู่หลังห้อง แต่หนูพุกก็เห็นชัดว่าผู้บริหารบางคนมีอาการขมวดคิ้วแต่กระนั้นก็ยังนั่งนิ่งสงบ ยิ่งเวลาผ่านไปชายในชุดสูทที่เคยถือปากการาคาเเพงก็วางมันลงเเล้วกระซิบกระซาบกับคนข้างเคียงหากไม่เกิดการขัดคอใด ๆ ขึ้นเลย

ท่าทางเหล่านั้นเหมือนคลื่นใต้น้ำที่สถาปนิกทั้งสามผู้กำลังจดจ่ออธิบายและโชว์โมเดลต่าง ๆ อย่างจริงจังมองไม่เห็นเลย หม่อมหลวงกวีนั่งฟังอย่างจริงจัง ใบหน้าอมยิ้มนิดหน่อยอย่างที่เป็นอยู่เสมอ แต่หนูพุกมองยังไงก็ยังว่าเเปลก… ตาเขาไม่ได้ยิ้ม ซ้ำยังมีเเววเคลือบเเคลงในตอนที่หันมาสบตากับผู้บริหารอายุมากกว่า

ที่สุดเเล้วการพรีเซนต์ครั้งเเรกก็จบลง ผู้บริหารต่างก็เเสดงความเห็นกันไปตามมารยาท การประกวดเเบบครั้งนี้เป็นเหมือนการคัดตัวที่ไม่ได้นัดทุกทีมมาพร้อมกันเเล้วเรียงคิวเข้าบรรยาย หากเป็นการนัดเเบบส่วนตัวที่ทีมออกแบบจากเเต่ละบริษัทจะถูกนัดเวลาที่สะดวกโดยไม่ให้เจอกัน จากนั้นเหล่าผู้บริหารถึงจะเเจ้งวันเวลาที่ให้เข้าพรีเซนต์ภายหลังการประชุม แต่หากไอเดียของบริษัทนั้น ๆ ไม่เป็นที่ประทับใจนักก็ถือว่าเกมจบ

จะไม่มีการนัดหมายเพื่อให้กลับมาพูดคุยกันเรื่องเเบบอีก
   
   ยิ่งเห็นว่าฟีดเเบ็กตอบรับไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ดีมาก หากเป็นไปอย่างกลาง ๆ หนูพุกก็เริ่มกังวล ความหวาดหวั่นเพิ่มระดับขึ้นอย่างเงียบเชียบ ในตอนที่พวกเขาถูกเชิญให้นั่งคอยที่ห้องรับรองข้าง ๆ กันตอนที่ฝั่งผู้บริหารปิดห้องหารือกัน เขาก็ไม่ได้แตะต้องกาเเฟเเละขนมที่มีไว้รับรองขณะที่สถาปนิกอีกสามชีวิตต่างก็กำลังวิเคราะห์ท่าทีของผู้ฟัง
   
   ...ทว่ามันเป็นไปในคนละทิศทางกับที่หนูพุกเห็นอย่างสิ้นเชิง…
   
   ไม่มีใครสะดุดใจกับท่าทางเล็ก ๆ ของคนฟังจริง ๆ เลยหรือ ?

สิบห้านาทีให้หลังเลขาของผู้บริหารสักคนก็มาเชิญพวกเขากลับห้องประชุม กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ทำให้หนูพุกรู้สึกประหลาดใจ มันไม่ได้ไปในทางพึงพอใจอย่างเต็มเปี่ยมแต่ก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ไม่น่าประทับใจจนยอมรับไม่ได้

...แปลก...

สุดท้ายเเล้วพี่ภู พี่เต้ย คุณเเดนต่างก็กำลังรับฟังคอมเม้นท์รวมถึงความต้องการเพิ่มเติมเเละสิ่งที่ต้องการให้ตัดออกในเนื้องาน ไม่นานนักสิ่งที่ทุกคนคอยฟังก็ดังขึ้น ทำให้คนที่อดตาหลับขับตานอนเพื่อปั้นโครงการนี้ขึ้นมามีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า

“ยังไงอีกสองอาทิตย์ให้พวกคุณเข้ามาอัพเดตแบบอีกทีนะครับ ส่วนวันเวลาเดี๋ยวทางเราจะส่งอีเมลล์แจ้งไปอีกที” เสียงทุ้มกังวาลของหม่อมหลวงหนุ่มดังขึ้น ทุกคนร่ำลากันด้วยท่าทางเปี่ยมมารยาทอย่างที่ควรจะเป็น

ดวงตาสีดำของหนูพุกสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลไหม้ทรงเสน่ห์ของคุณกวี เขายิ้มให้หนุพุกน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากไปกว่านั้น

หนูพุกเเปลไม่ออกเลย… บรรยากาศแห่งความเคลือบแคลงใจนั่นยังติดอยู่ในห้วงความคิด…

ไม่ว่าจะอย่างไร… หนูพุกก็คิดว่าเขาควรนัดเจอกับคุณกวีนอกรอบเพื่อความไม่ประมาท!



-  #พิชิตภู  -


เขามีอะไรกันคะะะ หนูตัวจิ๊ดถึงคิดได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้
หรือจริงๆแล้วหนูพุกอาจจะแค่นอนไม่พอแล้วเห็นภาพหลอน... 55555555 :serius2:
ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นเเล้วก็เเท็กเลยนะคะ ตอนอ่านคอมเม้นทุกคนเเล้วจิตใจเบิกบานมากเลยค่ะ
ขอบคุณจริงๆนะคะไม่คิดว่าจะมีคนอ่านด้วย แงง  :sad4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #34 เมื่อ30-06-2018 08:41:33 »

สนุกๆๆๆมาต่อไวๆๆน่าหนูพุกน่ารักก :mew2: :mew1: o13 :L2:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #35 เมื่อ30-06-2018 09:11:19 »

หนูพุกอย่ายอม
คุณแดนดินกะคุณเต้ยสวีทนำไปแล้วววว

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #36 เมื่อ30-06-2018 09:58:19 »

ที่ครั้งก่อนหนูพุกเจอนี่เจอคุณแดนใช่ไหม ไม่ใช่ว่าคุณแดนกำลังหักหลังบริษัทของเต้ยแฟนตัวเองอยู่หรือไง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #37 เมื่อ30-06-2018 11:06:07 »

 :angry2:  แดนไม่น่าไว้วางใจแล้วล่ะ 
ไหนจะทำงานผิดพลาด  :เฮ้อ:
ไหนจะแตะบ่าโอบไหล่คนอื่นอีก :m16:
จะหักหลังทั้งบริษัท ทั้งคนรักเลยหรือ  o22

ภู  พุก    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #38 เมื่อ30-06-2018 11:09:24 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

จากมโนของหนูพุก

มันช่างให้ความรู้สึกว่าไอเดียที่นำเสนอไปนั้น  คงไปเหมือนกับบริษัทคู่แข่ง  ซึ่งอาจเกิดจากสถาปนิกแดนขายข้อมูลให้คู่แข่งแน่ ๆ เลย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #39 เมื่อ30-06-2018 18:57:22 »

หนูพุกเป็นเลขาที่ดีมาก  :katai2-1: ควรให้พี่ภูปรับตำแหน่ง อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-06-2018 18:57:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #40 เมื่อ30-06-2018 20:29:02 »

สนุกจ้า

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
«ตอบ #41 เมื่อ30-06-2018 20:45:37 »

แดนดิน น่าสงสัยอ่ะ ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแน่
ไม่อยากให้พี่เต้ยโดนหลอกเลย ชอบพี่เต้ย คนที่มีรอยยิ้มเจิดจ้า
แล้วก็ชอบคุณกวี งานนี้คุณกวีช่วยพูดให้เหล่าผู้บริหารให้โอกาสพวกพี่ภูแน่เลย
ชอบเรื่องที่ดำเนินไปแบบเน้นการทำงานมาก ๆ มีแต่มืออาชีพทั้งนั้นเลย
ชอบมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ เขียนดีมากเลย


 

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #42 เมื่อ09-07-2018 00:06:09 »

Chapter 6

เท่าที่เลขานุการตัวน้อย ๆ รู้ หม่อมหลวงกวี กรจักรเป็นผู้บริหารคิวทองคนหนึ่ง แต่หนูพุกก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะตารางแน่นเอี้ยดจนเเทบไม่มีที่ว่างอะไรเลย กว่าหนูพุกจะกราบกรานหาช่องเเทรกจากเลขานุการของอีกฝ่ายได้ก็เหงื่อตก กินเวลาไปเกือบสัปดาห์กว่าจะได้เวลาที่ลงตัว

โดยธรรมชาติของหนูขี้เกียจ วันเสาร์เป็นวันหยุดที่หนูพุกจะได้พักสารร่างที่เเหลกเหลวมาตลอดวันทำงานทั้งห้า เขาจะนอนพังพาบจนถึงสิบเอ็ดโมงกว่า แล้วค่อย ๆ ยุรยาตรไปอาบน้ำ กว่าจะสวาปามมื้อเเรกของวันเสร็จเข็มนาฬิกาก็ล่วงเข้าไปบ่ายสองบ่ายสามทุกทีไป

แต่วันนี้เขากลับแต่งตัวเรียบร้อยกว่าวันหยุดปกติซึ่งมักจะสวมแค่เสื้อยืดเนื้อนิ่มเเละกางเกงสกินนี่ เตรียมตัวมาคอยคุณกวีตั้งแต่สิบเอ็ดโมงตรงเผงในห้างสรรพสินค้าในย่านสาทร หนูพุกไม่อยากจะนัดไกลจากที่ทำงานของอีกฝ่ายมากนัก การอยู่ในสถานที่ที่ใกล้เคียงกับที่ทำงานหรือที่พักอาจจะทำให้คุณกวีหงุดหงิดเรื่องการเดินทางน้อยลงได้

“อ้าว มารอนานหรือยังเนี่ย” วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดลำลองที่ก็ยังดูมีสกุลรุนชาติเหมือนเดิม เสื้อโปโลที่ราคาไม่โลว์ขับให้ชายหนุ่มร่างสูงดูดีและดูผ่อนคลายกว่าปกติ เขาเดินตรงเข้ามาหาหนูพุก บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มวิบวับตามนิสัย

“ไม่นานหรอกครับ คุณกวีหิวหรือเปล่าครับ” หนูพุกพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวสบาย ๆ แต่ก็อดแอบเกร็งยามเดินเคียงไปกับเขาไม่ได้

โดยปกติคุณกวีหล่อมากอยู่แล้ว แต่วันนี้พอถอดสูทถอดเชิ้ตออกแล้วหนูพุกก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขามันหล่อลากดิน หล่อจนใครต่อใครเหลียวหลังนึกว่าดาราแบบนี้หนูพุกก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเขาคงจะชินชากับสายตาค้นหาและเสียงซุบซิบทำนองว่าเป็นดาราช่องไหนไปเสียเเล้ว

“นิดหน่อย หนูพุกจองที่ไหนไว้หรือเปล่า” เขาหันมาถาม

“จริง ๆ ก็มีอยู่ครับ ได้ยินว่าช่วงนี้คุณกวีชอบทานขนมด้วย” หนูพุกแย้มยิ้ม นึกขอบคุณเลขานุการวัยสามสิบปลาย ๆ ที่แอบกระซิบบอกว่าเจ้านายคิดจะมารับประทานอาหารที่นี่หลายหนแล้วแต่ก็ยังไม่ลงตัวสักที

หนูพุกไม่ได้ถามต่อว่าอะไรที่ไม่ลงตัว แต่ก็พอจะเดาได้ ท่าทางวิบวับเล่นหูเล่นตาที่ดูเป็นธรรมชาติเหล่านั้นมันมาคู่กับอีกฝ่ายแยกกันไม่ได้เหมือนช้อนกับส้อม เขามันพวกชอบบริหารเสน่ห์ แต่จะตั้งใจหรือไม่คนมองก็ไม่ค่อยเเน่ใจเหมือนกัน

จริง ๆ แล้วเท่าที่ดูประวัติมาเขาก็ไม่ใช่พวกมือปลาหมึกหรือพวกอ้อร้อไม่เลือกให้เสียการเสียงาน ตราบใดที่คุณกวียังอยู่ในร่องในรอยไม่รุ่มร่ามหนูพุกก็สบายใจได้…

 เลขานุการหนุ่มจองโต๊ะไว้ที่ร้านเบเกอรี่แอนด์เรสเตอรองค์ชื่อดัง ของจงใจขอให้พนักงานเลือกโต๊ะที่เป็นส่วนตัวสักหน่อย

“เก่งขนาดนี้มาเป็นเลขาผมเถอะ” คุณกวียิ้มกว้าง เขามองหนูพุกจัดการทุกอย่างอย่างคล่องเเคล่ว รู้กระทั่งว่าเขาโปรดหรือไม่โปรดอะไร ถือว่าละเอียดดีมากทีเดียว...

“โธ่… ถ้าผมไปสมัครจริง ๆ ขึ้นมาแล้วคุณกวีไม่รับ ผมเสียใจนะครับ” เลขาหนุ่มยิ้มหวาน เลี่ยงบาลีไปอย่างสุภาพ

“แล้วที่นัดมาวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะมาทำงานกับผมหรือ ตำแหน่งแสตนบายรอตลอดเลยนะ” เขาพูดทีเล่นทีจริง ใช้มีดตัดกุ้งย่างเเละอโวคาโดเข้าปากเป็นคำเล็ก ๆ

“จริง ๆ ก็มาเรื่องงานนั่นเเหละครับ” หนูพุกเขาเรื่อง แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมให้สภาพเเวดล้อมดูผ่อนคลาย

“หืม? มีเรื่องอะไร เท่าที่สังเกตคุณก็ดูเข้ากับทีมของคุณดีนี่” เขาสบตาคู่สนทนา กี่ครั้งกี่หนที่เขาเจอหนูพุกอยู่กับเจ้านายหรือใคร ๆ ก็เห็นว่าน่าจะไปได้ด้วยดี ดูมีความสุขกว่าตอนยังทำงานที่เก่าด้วยซ้ำไป

“ไม่ใช่เรื่องทีมหรอกครับ เพียงแต่ผมมีเรื่องติดใจนิดหน่อย ตอนนี้ก็มีแค่คุณกวีที่จะช่วยไขข้อข้องใจได้ครับ”

“เรื่อง ? ” คุณกวีพูดสั้นลง ยิ้มการค้าที่ฉาบเคลือบไว้เริ่มหลุดร่อนไปนิดหน่อย หนูพุกว่าเขาก็คงพอจะเดาได้

“วันที่เข้าไปพรีเซนต์งานน่ะครับ ผมว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ”

“แปลกยังไง ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรผิดพลาดตรงไหนนะ” กวีเงียบ ปล่อยให้บริกรเก็บจานออกแล้วเริ่มต้นคอร์สต่อไป

“บรรยากาศมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างน่ะครับ” หนูพุกพูดไปคิดไป ทบทวนสีหน้าท่าทางที่เห็นแล้วก็พบว่ามีอย่างหนึ่งที่ควรต้องปรากฎขึ้น หากไม่มีแม้เเต่เงาของมันในแววตาของใครสักคน

เหมือนเสียงสลักคลายล็อกดังกริ๊กขึ้นในหัว

...หนูพุกคิดว่าเขาพบตัวแปรสำคัญแล้ว...

“พวกคุณทุกคน ไม่มีใครตื่นเต้นเลยครับ” รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากคนฟัง แต่คนพูดเริ่มขมวดคิ้วแล้ว

“ก่อนหน้าพวกคุณจะมาผมฟังมาตั้งสี่ห้าเจ้าแล้ว ยังจะต้องมาตื่นเต้นอะไรกันอีก” กวียักไหล่ ยกช้อนซุปขึ้นแตะริมฝีปากอย่างสุภาพ

“มันไม่เหมือนกันครับ กับคุณกวีหรือผู้บริหารบางท่านผมก็เคยเข้าประชุมด้วยมาก่อนตั้งหลายครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนทุกครั้งเวลาพวกเขาไม่สนใจ หรือว่าไม่ชอบใจ” เลขาหนุ่มค่อย ๆ อธิบาย แววตาสนเท่ห์ยามที่สไลด์เปิดไปให้เห็นแนวคิดและผลลัพธ์ที่เขาเห็นคล้ายกับยิ่งย้ำชัดถึงสิ่งที่คิดเอาไว้

“มันเหมือนกับว่า... พวกคุณเคยดูพรีเซนต์นี้มาแล้ว” เสียงของคนพูดเเผ่วลง แต่รอยยิ้มที่มุมปากของคนฟังกลับกว้างขึ้นอย่างน่าประหลาด

“คุณนี่เซนส์ดี...” กวีดีดนิ้วชมเปาะ แต่หนูพุกไม่ยินดีกับมันเลยสักนิด มีแต่จะภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เสียมากกว่า

“จริง ๆ จะให้ผมพูดมากก็คงไม่ได้ เพราะยังไงมันก็คือความลับของบริษัท อีกอย่างโครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนของหลายฝ่าย ผมไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น คุณคงเข้าใจนะ?” เขาถาม อาหารอีกคอร์สมาเสิร์ฟแล้วแต่ดูท่าคู่สนทนาของเขาคงจะอิ่มตื้อกับคำตอบโดยนัยเหล่านั้น

“พอเข้าใจครับ ยังไงก็ขอบคุณคุณกวีมากที่ช่วยคอนเฟิร์ม” มีดสีเงินตัดลงบนแซลมอนฟิลเลต์ที่ถูกกริลล์มาจนหนังกรอบหากเนื้อยังคงฉ่ำดี เสียดายที่คนกินเเทบจะหมดความอยากอาหารไปแล้ว

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ผู้บริหารหนุ่มว่ายิ้ม ๆ

“นั่นเเหละครับ เหมือนกำลังสู้อยู่กับอะไรก็ไม่รู้เลย” หนูพุกหัวเราะแห้ง ๆ รู้สึกมืดเเปดด้านไปหมด ขนาดคู่แข่งก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบริษัทไหน แล้วจะให้มาหาหนอนในทีมงานมันก็ยิ่งยากเนื่องจากเขาไม่รู้เลยว่าใครติดต่อใครบ้าง

โครงการนี้พนักงานทุกคนรับรู้โดยทั่วกันว่ามันจะช่วยอัพเกรดยศฐาบรรดาศักดิ์บริษัทเล็ก ๆ ให้ได้งานที่น่าสนใจกว่าจัดสวนในบ้านคนรวย หรืองานหลักประเภทออกแบบภูมิทัศน์ให้เหล่าคอนโดใจกลางเมือง หากจะคัดเอาคนที่รู้ละเอียดทุกซอกซอยก็ลดลงมาเหลือหกคนเท่านั้น

เขา พี่ภู พี่เต้ย และสถาปนิกในทีมของพี่เต้ยอีกสามคน

ดูจากตัวเลือกก็ตัดไปได้ครึ่งหนึ่ง เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้ทำแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นจะมานั่งสืบสาวราวเรื่องอยู่เพื่ออะไรกัน พี่ภูกับพี่เต้ยก็คงจะไม่ให้ข้อมูลนี้หลุดไปง่าย ๆ เพราะคนที่จะเสียที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของกิจการ

ยังเหลืออีกสามคน…

หนึ่ง แดนดิน สถาปนิกหนุ่มผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับพี่เต้ยมากที่สุด

สอง สถาปนิกจบใหม่ที่มีวีรกรรมเรื่องบ้านคุณเอมหนก่อน

สาม สถาปนิกสายล่าเหรียญวิ่งมาราธอนที่อายุมากที่สุดในบริษัท

ทุกคนนี้ล้วนยากเเก่การติดตามเพราะตำเเหน่งงานที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนคนที่นั่งโต๊ะข้างเคียงจะได้แอบสังเกตพฤติกรรมกันได้ง่าย ๆ การจะไปเดินรุ่มร่ามเรื่อยเปื่อยเองก็ไม่ใช่อุปนิสัยของเขา ทั้งนี้หนูพุกเองก็เป็นพนักงานใหม่ จะขยับตัวทำอะไรก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก

โอ๊ย… คิดแล้วก็ปวดหัว!

“คิ้วพันกันแล้วคุณหนูพุก กินก่อนไหม” คุณกวีเย้า จานของเขาพร่องไปมาก เหลือเเต่ของหนูพุกที่เพิ่งจะเเตะไปได้คำสองคำเเล้วก็หยุดคิดจนหัวเเทบเเตก

“ขอโทษทีครับ มันยากไปหน่อย” หนูพุกหัวเราะเเหะ ๆ รีบจัดการอาหารในจานให้ทันคู่สนทนา นับนิ้วเเล้วก็ยังเหลืออาหารอีกสองคอร์สแต่เขาเริ่มจะอิ่มเพราะความกังวลดันชิงลงไปยึดครองพื้นที่กระเพาะก่อนเสียแล้ว

“ค่อย ๆ คิดไปก็ได้ เอาเป็นว่าคราวนี้ผมจะจัดรูปเเบบพรีเซนต์งานใหม่ก็แล้วกัน”

เลขาหนุ่มไม่รู้จะทำอะไรได้นอกจากขอบคุณหม่อมหลวงกวี กรจักร อย่างน้อยเขาก็ช่วยได้มากถึงจะไม่ได้ถือว่าแบไพ่แล้วมาช่วยกันจริงจังอะไร แต่นี่ก็นับว่ามากแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกัน

“เลิกคิ้วขมวดได้แล้ว ผมเเนะนำว่าคุณจะน่ารักกว่าถ้าไม่มีโบบนหน้าผาก”

พอเขาบอกให้เลิกคิดหนูพุกก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่ของนายทุนที่จะต้องมานั่งระดมสมองช่วย เลขาหนุ่มจึงปัดเรื่องราวพวกนี้ออกไปก่อน เรียกคืนบรรยากาศโต๊ะอาหารที่ควรจะผ่อนคลายด้วยมุกตลกนิดหน่อย โชคดีที่คุณกวีเป็นพวกอารมณ์ดี หนูพุกจึงรอดชีวิตมาไม่ยากเย็นมากมายนัก

เมื่อมื้ออาหารจบลง หนูพุกไม่ได้ไปส่งเขาเหมือนเวลางาน หากแต่เเยกกันกลับเนื่องจากคุณกวีมีนัดอื่นต่อไป ส่วนเขาเองก็กะว่าคงจะไปหาหนังสือสักเล่มสองเล่มไว้อ่านเล่นเหมือนกัน

หนูพุกเเวะเข้าไปในร้านหนังสือนำเข้าขนาดใหญ่ เเวะตามหมวดที่สนใจแล้วหยิบหนังสือออกใหม่ติดมือมาเล่มหนึ่ง อยู่ดี ๆ ขาสองข้างก็พาเขาเข้าไปหยุดบริเวณหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบ มีทั้งงานเกี่ยวกับอาคาร การตกแต่งภายใน และในที่สุดดวงตาเรียวก็หยุดตรงหนังสือเกี่ยวกับการดีไซน์พื้นที่ใช้สอยนอกอาคาร

เพราะไม่แน่ใจกับเนื้อหานัก หนูพุกจึงตัดสินใจเลือกหนังสือจากหน้าปกมาเปิดดูทีละเล่ม ด้านในเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด บางคำก็เป็นศัพท์เฉพาะที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็มีภาพกำกับอยู่เป็นระยะทำให้คนไม่ค่อยสันทัดด้านการออกเเบบพอจะเข้าใจได้บ้าง

“หนูพุก!” ทั้งเสียงเรียกเเละเเรงสะกิดจากด้านหลังทำเอาเลขาหนุ่มสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะทำหนังสือหลุดมือ

“อ้าว มาได้ยังไงเนี่ย” พอเห็นว่าคนที่เข้ามาทักเป็นหญิงสาวซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมปลายหนูพุกก็ยิ้มออก เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานพอดู จะมีก็แต่เพียงการกดไลค์รูปตามอินสตาแกรมบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

“แวะมาคุยงานอ่ะ นี่เพิ่งเลิก แล้วแกล่ะ มาคนเดียวหรือ” คู่สนทนาของหนูพุกเป็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวเคลียไหล่ หน้าตาหมดจดสวมเดรสสีพีชยาวเหนือเข่านิดหน่อยเเละรองเท้าผ้าใบสีขาว

“มาเดินเล่นน่ะ” หนูพุกยิ้มเเย้ม ยังกอดหนังสือเอาไว้หากอีกฝ่ายตาไวเหลือเกิน

“หาหนังสือแลนด์สเคปหรอ เราแนะนำอันนี้นะ” แม้จะมีเป้สะพายหลังแต่คนพูดก็ยังดูคล่องแคล่วแนะนำอย่างเดียวไม่พอยังหยิบมาเปิดให้ดูด้วย ปล่อยให้หนูพุกได้เเต่ยิ้มชื่นชมว่าเธอเป็นคนอัธยาศัยดีตั้งแต่เด็กจนโตจริง ๆ

“เออเนอะ แกเป็นสถาปนิกนี่นา” หนูพุกปรารภ จำได้ราง ๆ ว่าเพื่อนคนนี้สอบติดคณะสถาปัตยกรรม

“อือฮึ ทำเเลนด์สเคปเนี่ยเเหละ แล้วพุกทำงานด้านนี้เหมือนกันใช่ไหม” เธอถาม แม้จะจำได้ว่าจริง ๆ แล้วเพื่อนสอบติดคณะบัญชีที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านการออกแบบได้

“อ๋อ เราเป็นเลขาให้สถาปนิกเนี่ยเเหละ เลยว่าจะอ่านเอาความรู้น่ะ” หนูพุกว่า ตัดสินใจจะซื้อหนังสือตามที่ผู้รู้เเนะนำ

“แล้วนี่พุกมีนัดที่ไหนไหม ถ้าว่างไปกินกาแฟกัน” คนถูกชวนเห็นดีด้วยว่าไม่ได้พบกันนานแล้วจึงไปต่อคิวจ่ายเงิน พลางฟังเรื่องเพื่อนในห้องที่เริ่มทยอยสละโสดกันไปทีละคนสองคน

“แล้วเมื่อไหร่แกจะแต่งบ้างเนี่ย” หนูพุกกระเซ้าใส่คนที่เบ้ปากแรง ๆ ให้ได้หัวเราะ

“สถาปนิกที่ออฟฟิศแต่งงานมีลูกไปกันหมดแล้ว นอกจากพวกนี้ก็ไม่เจอใครที่ไหน นี่ยังว่าสงสัยจะต้องกอดคอมไปจนเกษียณ” เธอหัวเราะ “แล้วแกล่ะ ยังโอเคกับคนเดิมอยู่ไหม”

“เลิกกันตอนทำงานนั่นล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ รอยเเผลในวันวานไม่ได้ทำให้เขาเจ็บจะเป็นจะตายอีกต่อไปแล้ว มาถึงตอนนี้มีแต่จะหัวเราะตัวเองที่นั่งร้องไห้ให้คนที่หนีไปรักคนอื่นได้ตั้งนานสองนาน

“เฮ้ย.. ขอโทษ แบบว่า เราไม่ได้ตั้งใจ...” อีกฝ่ายแทบจะยกมือไหว้เขาเเล้ว แต่หนูพุกกลับโบกมือแล้วยิ้มร่า แสดงออกว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้นเอง

“นานเเล้วน่า ตอนนี้เราก็โสดนะ จีบได้” หนูพุกยักคิ้วใส่ แกล้งพูดไปอย่างนั้นเองเนื่องจากต่างคนก็ต่างรู้กันว่าหนูพุกไม่ได้ชอบผู้หญิง 

“เดี๋ยวเราก็จีบเเกขึ้นมาจริง ๆ หรอก” เธอหัวเราะ รับกาเเฟจากพนักงานมาดูด

“ไม่ใช่แล้ว...” หนูพุกส่ายหัว เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องงานรียูเนียนที่จะจัดขึ้นสิ้นปีนี้เเละเรื่องอื่น ๆ จนสมควรเเก่เวลาที่จะต้องบอกลา

จริง ๆ แล้วหนูพุกคิดว่าวันนี้คงไม่ใช่เเค่วันเสาร์ธรรมดา แต่คงเป็นวัน ‘บังเอิญ’ แน่ ๆ เพราะว่าเมื่อเพื่อนสาวเเยกจากไป หนูพุกก็หันไปสบตากับคนอีกคู่ที่อยู่ในร้านกาเเฟเดียวกัน

...คุณแดนดินกับพี่เต้ย…

สบตาแล้วจะเลี่ยงไม่ทักเพราะตะขิดตะขวงใจเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณกวีก็ดูเสียมารยาท ดูท่าว่าคงจะมากันสักพักเเล้วเนื่องจากกาเเฟเย็นในเเก้วของแดนดินหมดเกลี้ยงเหลือเเต่น้ำเเข็งเปล่า

“พี่เต้ย คุณเเดน สวัสดีครับ”

“นั่งก่อนมั้ยครับหนูพุก แวะมาซื้อหนังสือหรือ” เเดนดินยิ้มจาง มองถุงโลโก้ร้านหนังสือนำเข้า พร้อมจะขยับที่ข้าง ๆ ให้

“ก็ประมาณนั้นครับ แวะมาเดินเล่นด้วย” เลขาหนุ่มยิ้ม ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่านัดกับใครเอาไว้

“เอาเค้กไหมเดี๋ยวไปสั่งเพิ่มด้วยกัน” พี่เต้ยคว้ากระเป๋าเงิน พร้อมจะเลี้ยงขนมคนตัวผอมบางนี้ตลอด ขนาดเขาบอกจนเมื่อยเเล้วว่ากินขนมในตู้เย็นได้หนูพุกยังไม่เคยหยิบไปสักอย่าง

“ไม่เป็นไรครับพี่เต้ย เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วครับ”

เลขาหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เจอทั้งคู่ตอนนี้ เพราะหากเจอกันตอนเดินกับคุณกวีหนูพุกคงต้องอธิบายล้านเเปดเเหง ๆ ว่าไปชิดเชื้อกับผู้บริหารเส้นก๋วยจั๊บขนาดนัดมากินข้าวกันวันหยุดได้อย่างไร

“งั้นกลับดี ๆ นะครับ ระวังฝนด้วย ข้างนอกตกหนักน่าดูไม่รู้ว่าป่านนี้หยุดหรือยัง” รอยยิ้มของเเดนดินไม่ได้ดูมีเลศนัยอะไรเท่าที่หนูพุกลอบสังเกต ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็ยังดูปกติดี ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ต่างอะไรกับเงาตามตัวเเบบนี้หนูพุกคงสบายใจได้

เขาเลื่อนเเดนดินไปอยู่ที่ผู้ต้องสงสัยลำดับสุดท้าย… มันเเทบไม่มีเหตุผลในการจะต้องโกงบริษัทคนที่เรารักเลยสักนิด รวมทั้งเหตุผลอีกสองข้อที่หนูพุกคิดได้ก็ยิ่งช่วยสนับสนุน

คนโกงบริษัท… อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงิน

คนขายความลับบริษัท… อาจไม่พึงพอใจในความก้าวหน้าของอาชีพการงาน

จากการประเมินเบื้องต้น เเดนดินก็น่าจะไม่มีความสุ่มเสี่ยงทั้งสองประเด็น เรื่องเงินเดือนหนูพุกไม่เเน่ใจ แต่ดูผ่าน ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นาฬิกาข้อมือยังเป็นนาฬิกาสวิสเรือนหรูคู่กับพี่เต้ย ยังขับรถคันละหลายเเสน เรื่องความก้าวหน้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงอะไร เพราะตอนนี้เขาก็เเทบจะคุมทีมเเทนพี่เต้ยเเล้วด้วยซ้ำ อีกไม่นานแดนดินก็คงจะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าทีมอีกทีม

คืนนั้นหนูพุกเข้านอนด้วยจิตใจว้าวุ่น เฝ้าเพียรคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรในการสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่เอาความลับของบริษัทไปเปิดเผยให้คู่เเข่งได้รู้

...อีกเเค่ห้าวันเท่านั้นที่ทางบริษัทจะต้องไปพรีเซนต์งานอีกหน…

...หนูพุกจะทำยังไงดี… จะบอกใครก็ไม่ได้ในเมื่อไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร หลักฐานอะไรก็ไม่มี...

...เขาไม่ต้องการให้งานที่ทุกคนช่วยกันทำมาเเทบเป็นเเทบตายต้องถูกฉกฉวยไป…


ตลอดสัปดาห์นี้ทีมงานพัฒนาแบบจากเดิมได้ไวกว่าที่วางเเผนเอาไว้ อะไรที่เคยถูกขอทักท้วงให้เเก้ก็ถูกแก้จนเรียบร้อยดี อีกทั้งยังเพิ่มเติมไอเดียที่ดูเเนวทางแล้วว่าฝั่งนายทุนคงจะประทับใจแน่ ๆ

เลขานุการหนุ่มได้เเต่อึดอัดใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะใบ้ให้คีรินทร์ลองสังเกตด้วยการถามถึงบริษัทอื่น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่คิดเอะใจอะไร คงเป็นเพราะยังติดโปรเจคอื่นอีกสามสี่โครงการในเวลาเดียวกันด้วย

เเม้หนูพุกจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมได้ทั้งหมด เเต่เขาก็ไม่มีความรู้มากพอที่จะยับยั้งให้งานนี้เดินช้าลงและให้ทุกคนหันกลับมาสู่จุดบอดที่กำลังดูดกลืนโอกาสที่บริษัทนี้จะก้าวหน้าไปอย่างเงียบ ๆ เขาเพียงทำได้เเต่นั่งสังเกตท่าทางของผู้ต้องสงสัยทั้งสามอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่ปรากฎว่ามีใครมีพิรุธเลย

เเดนดินยังคงเป็นจ้าวไอเดียอย่างเคย สถาปนิกรุ่นใหญ่ก็ช่วยตบให้มันเข้าที่เข้าทาง ความเก๋าเกมของรุ่นใหญ่คนนี้คือความสามารถด้านโครงสร้าง วิสัยทัศน์เรื่องการทำงานดีไซน์ที่จับต้องได้จริงของเขาเฉียบเเหลมจนใครต่อใครก็ยอมรับ จะมีคนหนึ่งที่ได้ออกความเห็นน้อยหน่อยเพราะยังเป็นน้องเล็กผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณเขตร้อน หนูพุกประเมินเเล้วว่าฝีมือกลาง ๆ เป็นไปตามประสบการณ์ก็คือสถาปนิกหนุ่มที่เคยหวยออกเรื่องผู้รับเหมาบ้านคุณเอม

ปัจจัยเรื่องเงินของหนอนตัวนั้นหนูพุกไม่เเน่ใจ แต่คิดว่าหากพิจารณาจากเรื่องงาน สถาปนิกหนุ่มคนนั้นคงจะถูกจัดขึ้นสู่อันดับหนึ่งได้ไม่ยาก

เพราะหาทางระงับการปล่อยเเบบออกไปไม่ได้ หนูพุกก็ได้แต่ปลง เขาเข้าฟังการประชุมทุกครั้งแต่ก็รู้ว่าไอ้สิ่งที่พี่ภูเเทบจะกินนอนอยู่กับมันจะต้องถูกขโมยเอาไปแน่แล้วเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยว ยิ่งฝั่งนายทุนคอนเฟิร์มเวลานำเสนอเเล้วหนูพุกก็รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขารู้อยู่เเล้วว่าปลายทางมันจะเป็นอย่างไร

“หนูพุก อาทิตย์นี้ดูเครียด ๆ นะ พี่ให้งานหนักเกินไปหรือเปล่า” คีรินทร์เอ่ยปากพลางถอยรถเข้าที่จอดชั้นใต้ดิน วันนี้เขามากับพี่ภู ส่วนพี่เต้ยกับคุณเเดนมาก่อนเเล้วเนื่องจากคอนโดของทั้งคู่อยู่ใกล้กับอาคารอันเป็นที่หมายของการนำเสนองานครั้งนี้

“ไม่หรอกครับ” หนูพุกยิ้มสู้ เขาไม่รู้ว่าในรอบนี้บริษัทเราจะได้ไปต่อหรือเปล่า แล้วบริษัทคู่เเข่งที่ได้ข้อมูลไปนั้นได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ได้ไป

...รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิดเลย…

“พี่ถือเอง เราหน้าซีดมากนะ จิบน้ำหน่อยดีกว่า” ทั้งกระเป๋าเเล็ปทอปเเละโมเดลที่ติดมาด้วยถูกพี่ภูฉวยไปทั้งหมด เขาไม่ยอมออกเดินเเต่เฝ้าให้หนูพุกดื่มน้ำก่อนเเล้วถึงยอมไปต่อ

เครียดงานก็เครียด หวั่นไหวกับเจ้านายก็หวั่นไหว… มันใช่เวลาหรือยังไงกัน

หนูพุกลอบถอนใจ เดินตามร่างสูงใหญ่เข้าลิฟต์โดยสารเเน่นขนัดไปด้วยพนักงานออฟฟิศขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย คราวนี้สถานที่ประชุมเป็นอาคารเดิม หากเปลี่ยนเเปลงชั้นเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่กว่าเดิมเเละมีการจัดที่นั่งเพิ่มเติม ด้านหน้าห้องกระจกมีพนักงานต้อนรับและให้ลงทะเบียนด้วย

ความช่วยเหลือของคุณกวีทำให้โอกาสการมองหาคู่เเข่งเรืองรองขึ้นอีกเมื่อการพรีเซนต์ถูกจัดเป็นเเบบพบกันหมด ในขณะที่มีการนำเสนองาน บริษัทอื่นก็จะนั่งดูอยู่ด้วย โดยก่อนเข้าห้องทุกบริษัทต้องลงชื่อในกระดาษหนึ่งเเผ่น จัดลำดับการพรีเซนต์ตามลำดับการลงทะเบียน  หนูพุกเเละคีรินทร์มาเป็นลำดับที่หกจากทั้งหมดแปดบริษัท

หนูพุกขยับเข้าไปนั่งที่โต๊ะหลังห้อง เตรียมเปิดโน้ตบุ้คและอุปกรณ์อัดเสียงป้องกันการตกหล่นระหว่างบันทึกการประชุม พี่เต้ยยังยิ้มสว่างสดใสเหมือนเคย แดนเดินเปิดสไลด์ของตัวเองดูเงียบ ๆ ในขณะที่คีรินทร์ยังติดสายโทรศัพท์อยู่ด้านนอกห้อง

บรรยากาศการเเข่งขันนี้ไม่ได้กดดันอย่างที่คาดคิดเนื่องจากเหล่าผู้บริหารยังไม่มาถึงห้องประชุม สถาปนิกจากบริษัทต่าง ๆ จึงอยู่ในช่วงทบทวนงานหรือบางคนก็มีการเดินมาทักทายกันข้ามบริษัท ซึ่งพี่เต้ยก็เป็นคนหนึ่งที่เดินไปทักทายเพื่อนร่วมสถาบันที่จบมาตอนปริญญาตรี

หนูพุกสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ แต่เเล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าประตูกระจกถูกดันเข้ามาโดยสถาปนิกสาวที่ดูเร่งรีบ เธอกวาดตามองรอบ ๆ ห้องเเละทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งทีมตัวเอง

...หนูพุกเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนสมัยเรียนที่เพิ่งจะเจอกันก็เข้าร่วมการประกวดแบบนี้เช่นเดียวกัน…

...โลกมันกลมอะไรขนาดนี้…

แต่เขาก็ไม่ได้ลุกไปทักทายอะไรเนื่องจากสถาปนิกฝั่งนั้นดูจะยุ่งกันน่าดู กระทั่งเก้าโมงครึ่งวินาทีเเห่งการเเข่งขันก็เริ่มต้น การพรีเซนต์เป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยพรีเซนต์ต่อกันไปเรื่อย ๆ พี่ภู พี่เต้ย และคุณเเดน จ้องมองสไลด์หน้าห้องอย่างเงียบสงบ โดยพี่ภูก็ตวัดปลายปากกาลงในสมุดทำงานของตัวเองด้วย

หนูพุกเองก็มีหน้าที่บันทึกทุกรายละเอียดของทีมอื่น ๆ หากเมื่อทีมลำดับที่สี่ขึ้นรายงาน ทุกคนก็อยู่ในภาวะชะงักงัน บนหน้าจอปรากฏภาพกราฟฟิกแบบเดียวกันกับที่คุณเเดนทำขึ้นหากเเต่เปลี่ยนสีไปเท่านั้น สถาปนิกหน้าห้องอธิบายเกี่ยวกับคอนเซปต์ ทั้งรูปด้าน และรูปตัดพื้นที่ก็คล้ายคลึงกับของที่พี่เต้ยทำเพียงเเต่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมด้านการก่อสร้างบนอาคารเพิ่มขึ้น

พี่ภูเขานั่งอยู่ข้างกันกับเจ้านายตัวเอง สัมผัสได้ว่าคีรินทร์หายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่ง สายตาคมสบเข้ากับเพื่อนรัก เเจ้งแก่ใจเเล้วว่าความลับของบริษัทรั่วไหลออกไป หนูพุกปรายตามองเเดนดินในขณะที่มือก็ยังพิมพ์รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่กำลังพรีเซนต์อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เม้มปาก ดวงตาสีดำเข้มขึ้นอีกเมื่อฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนคนขึ้นมาพูด

คราวนี้เป็นหนูพุกที่เกือบหยุดหายใจ… เพื่อนของเขากำลังโต้ตอบกับผู้บริหารเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณ ตัวเลขเบื้องหน้าอยู่ในจำนวนใกล้เคียงกับงานของพวกเขาที่เตรียมมา หลักใหญ่ใจความทั้งหมดนี้หนูพุกเคยได้ยินเเล้วจากปากของพี่ภู

...เพื่อนของหนูพุกกำลังพูดราวกับว่าทุกอย่างที่พี่ภูคิดเเละทำนั้นถูกกลั่นกรองออกมาจากทีมของตัวเองทั้งสิ้น...

เหมือนสัญญาณเตือนภัยตอนไฟไหม้ดังไปทั่วพื้นที่สมองของทุกคน ตอนนี้ทางบริษัทเขากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ เหลือเวลาอีกไม่เกินสิบห้านาทีสำหรับแก้ปัญหาก่อนที่พวกเขาจะพรีเซนต์เท่านั้นเอง สถาปนิกทั้งสามคนขยับตัวเข้าหากันอย่างเร่งด่วนแต่ไม่กระโตกกระตาก เลขาหนุ่มกลืนน้ำลาย กล้ามเนื้อทุกส่วนหดเขม็งเกร็งไปด้วยความเคร่งเครียดที่ประดังประเดเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของพี่ภู

“เราต้องเปลี่ยนเเผน...”



-------------------------   #พิชิตภู  --------------------------


ฮือมาช้าไปเกือบสองวัน ขอโทษด้วยค่า ;-;  :hao5: :katai4:

บทนี้บรรยายเยอะไปหน่อย แต่ว่ามันจำเป็นค่ะ บทหน้าจะพยายามปรับให้บรรยายลดลงนะคะ

จะพยายามระมัดระวังเรื่องคำผิดให้มากกว่านี้นะคะ ถ้ามีคำผิดบอกเก๊าได้เลยน้า จะรีบมาแก้ค่ะ

ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ  :pig4: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #43 เมื่อ09-07-2018 01:06:41 »

มาคุมากกก   ปวดหัวแทนหนูพุก

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #44 เมื่อ09-07-2018 01:25:59 »

ใครเป็นหนอน!!!

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #45 เมื่อ09-07-2018 01:31:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ต่อมอยากรู้ทำงานเลย   ใครหนอคือหนอนตัวนั้น?

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #46 เมื่อ09-07-2018 01:39:22 »

หวังว่าหนูพุกคงไม่ใช่แพะนะ!!!!!

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #47 เมื่อ09-07-2018 02:43:36 »

ใครเป็นหนอน!!!

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #48 เมื่อ09-07-2018 05:18:19 »

ข้อมูลรั่วได้ยังงัย สงสัยมาก

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #49 เมื่อ09-07-2018 06:13:45 »

ยังสงสัยแดนดินอนู่นะ   :z3: :z3: :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
« ตอบ #49 เมื่อ: 09-07-2018 06:13:45 »





ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #50 เมื่อ09-07-2018 10:00:49 »

แดนดินใช่ไหมที่เป็นหนอน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #51 เมื่อ09-07-2018 10:04:19 »

 :L2: :pig4:

เครียดแทนน้อง

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #52 เมื่อ09-07-2018 11:05:46 »

แดนดินเป็นหนอนแน่ๆ ถ้าเป็นจริงๆสงสารคุณเต้ยมากๆ ฮืออออิออิ  :katai4:

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #53 เมื่อ09-07-2018 15:34:48 »

มันน่าจะซับซ้อนมากกว่าที่แดนดินจะเป็นหนอน
สนุกดีค่ะ เป็นอีกเรื่องที่อ่านละเอียด (นิยายวัยทำงานจะต้องอ่านละเอียดเพราะมีรายละเอียดที่ต้องอ้างอิงกับความเป็นจริงเยอะ)
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ Justccwpo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
«ตอบ #54 เมื่อ09-07-2018 22:05:18 »

สนุกมากกกก ติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
«ตอบ #55 เมื่อ13-07-2018 23:02:32 »

Chapter 7

เมื่อได้ยินดังนั้นหนูพุกจึงสละโน้ตบุ๊กของตัวเองให้เจ้านายเเละเปลี่ยนมาบันทึกการประชุมลงในสมุดบันทึกเเบบมีเส้นของตัวเองเเทน  ถึงเเม้ว่าจะไม่มีโปรเเกรมสารพัดนึกอย่างที่พวกสถาปนิกมีกันแต่เลขาหนุ่มก็คิดว่าเจ้าเครื่องสีเหลี่ยมนี่คงพอจะช่วยอะไรได้บ้าง

อย่างน้อย ๆ เขาก็แฮปปี้ที่บนชั้นสี่สิบกว่า ๆ ยังมีสัญญาณอินเทอร์เน็ทเเรงพอจะดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ ๆ ได้รวดเร็ว

“ไหนดูซิ พอจะเเก้อะไรได้บ้าง” คีรินทร์เปรยพลางกดเปิดไฟล์เก่า ๆ ดู หนูพุกนับถือเขาเหลือเกินที่ยังใจเย็นได้จนถึงบัดนี้ ส่วนแดนดินก็รีบเเก้ไขภาพกราฟฟิคในส่วนที่พอจะเเก้ได้ไม่ให้ดูเหมือนกันเป๊ะกับคู่เเข่ง

“มีงานของปูน อันนี้พอจะเเก้ได้นะ” เต้ยเอ่ยถึงงานที่มีคอนเซปต์รองลงมา เขาจำได้ว่าสถาปนิกหนุ่มจบใหม่เคยส่งงานเอาไว้ให้ในอีเมลล์บริษัทแม้ว่ามันจะถูกปัดตกไป

คงต้องขอบคุณความไม่ยอมเเพ้หรือที่เรียกกันอีกนัยหนึ่งว่าความหัวรั้นของอีกฝ่ายที่มักจะส่งงานชิ้นที่ถูกปัดตกไปมาให้เต้ยพิจารณาดูบ่อย ๆ

“อืม อันนี้พอได้ แต่ว่าคงต้องเอามายำใหม่” นิ้วใหญ่เลื่อนไปมาบนทัชเเพดดูงานคร่าวๆเเล้วปรึกษากับเพื่อนสนิทว่าพอจะทำให้มันเฉียบคมเเละเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไรบ้าง

“หนูพุก โทรบอกปูนทีว่าให้ช่วยแก้แบบ เอางานของปูนมาซ้อนกับงานเราให้หน่อย ขอด่วน” คีรินทร์แจกแจงรายละเอียดอื่นต่อไป เขาบอกหนูพุกว่าต้องการให้สถาปนิกหนุ่มตัดอะไรออกหรือคงอะไรไว้

เลขาหนุ่มต่อสายถึงสถาปนิกผู้คงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อธิบายความต้องการทั้งหมดเเละปูนก็กระตือรือร้นตอบรับโดยไม่ได้ถามอะไรกลับเนื่องจากรู้ว่าฝั่งนี้ต้องเเข่งกับเวลา อย่างน้อยก็โชคดีที่มีทีมเวิร์คที่ดีล่ะนะ

“น้องปูนบอกว่าขอสิบนาทีครับ”

เจ้าของรูปร่างเพรียวบางขอสลับที่กับภู ย้ายตัวเองไปหาเต้ยที่กำลังกดโทรศัพท์คำนวณราคาในสเปรตชีทใหม่ คนมีหัวด้านตัวเลขอย่างเลขาหนุ่มก็เป็นฟันเฟืองชิ้นน้อยที่ทำให้ภาระงานในเวลาอันจำกัดเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

หนูพุกใจสั่นเหมือนถูกบังคับวิ่งร้อยเมตรในครึ่งนาที เวลาพรีเซนต์สิบห้านาทีของอีกกลุ่มนั้นเป็นเวลาทำงานที่ทุกคนรีดพลังงานและศักยภาพที่มีอยู่จนถึงขีดสุด พี่ภูตรวจดูความเรียบร้อยและแก้ไขคอนเซปต์ คุณเเดนดินจัดการกราฟฟิกต่าง ๆ ให้ออกมาใหม่ไม่เหมือนเดิมราวกับเสกได้ แล้วช่วยพี่เต้ยกรอกข้อมูลตัวเลขที่เปลี่ยนไป

ในช่วงโค้งนาทีที่สิบสองอีเมลล์จากปูนเเละสถาปนิกอีกท่านที่ช่วยกันเเก้รูปภาพด้านนอกก็เสร็จสิ้น หนูพุกไม่รู้ว่าสำหรับคนที่ทำงานในวงการนี้จะมองอย่างไร หากสำหรับคนที่ทำไม่เป็นอย่างเขาก็เห็นว่ามันสมบูรณ์เเบบมากพอดู

“สู้นะครับ” ถึงตอนนี้บรรยากาศสำหรับทีมของหนูพุกก็กดดันมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี กำปั้นน้อย ๆ ถูกยื่นไปเบื้องหน้าชายหนุ่มผู้กดเเววกังวลลงไปในดวงตา

“สู้อยู่เเล้ว” กำปั้นใหญ่กว่าแตะเข้ากับของหนูพุกเบา ๆ ประกายในดวงตาคมโตแจ้งขึ้น หากกระทั่งสถาปนิกยังไม่มั่นใจ ผู้บริหารจะมั่นใจได้อย่างไรกัน

หนูพุกชักไม่แน่ใจว่าตัวเองใจสั่นเพราะกดดันหรือใจสั่นเพราะรอยยิ้มบนริมฝีปากหยัก ถ้าครั้งนี้เขาจดบันทึกการประชุมไม่รู้เรื่องก็โทษพี่ภูได้เลย!

 การประกวดเเบบในรอบนี้ไม่ต่างไปจากเดิมมากนักเพียงเเต่ผลการพัฒนาแบบจะไม่ถูกเเจ้งหลังจากการประชุมเหมือนเคย ทางบริษัทจะได้รับอีเมลล์นัดเเนะวันเวลาการเข้านำเสนองานอีกหนภายในเย็นวันนี้    

ขากลับบริษัทพี่เต้ยเเละคุณเเดนตกลงกันว่าจะไปเเวะที่ไซต์งานคอนโดย่านอโศกก่อนเพื่อติดตามปัญหาหลังลงต้นไม้ ในขณะที่หนูพุกเเละพี่ภูตรงกลับไปยังออฟฟิศ บรรยากาศในห้องโดยสารของรถยนต์ราคาเจ็ดหลักเงียบยิ่งกว่าที่เคย

“พี่ภูครับ… คือเรื่องวันนี้ เราจะเอายังไงกันต่อไป” หนูพุกเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมสัน ภายใต้ท่าที่นิ่งสงบเหล่านั้นหนูพุกไม่รู้เลยว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

“คงต้องคุยกันก่อน ตั้งแต่ทำงานมานี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจอเหมือนกัน”

เสียงทุ้มทอดอ่อน เหลือบมองโทรศัพท์ที่มีข้อความส่งมาจากเพื่อนสนิท คีรินทร์มืดเเปดด้านไปหมด ไม่รู้เลยว่าใครกันที่เป็นตัวการ อย่างไรเสียทีมที่วางไว้ดูเเลงานนี้ก็มีเเต่คนที่อยู่ด้วยกันมานาน

จะมีเพียงแค่ปูนกับหนูพุกที่เข้ามาทีหลัง

ชายหนุ่มไม่อยากสงสัยใครเลย ทั้งปูนเเละหนูพุกต่างก็เป็นคนขยันทำงานทั้งคู่ เขาตัดสินใจรับปูนเข้ามาทั้งที่ประสบการณ์ยังอ่อนหัดเนื่องจากเห็นว่าไอเดียของเด็กคนนี้ถือว่าถูกจริต ถึงเเม้บางอย่างจะสร้างจริงไม่ได้ด้วยมีเงื่อนไขทางธุรกิจให้คำนึงถึงก็ตาม

หากเจ้าตัวยังขยันลับฝีมือต่อไปเรื่อย ๆ  ปูนก็คงเป็นสถาปนิกที่ไปได้ไกลคนหนึ่ง

ส่วนหนูพุกเองก็เหมือนกัน… หนูพุกเป็นเลขานุการที่ทำงานหนักประหนึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงเเต่จะสนใจเนื้องานขณะปัจจุบันเเละเเนวโน้มในอนาคต หากเเฟ้มเก่าทุกเเฟ้ม โครงการเก่าเกือบทุกโครงการ เจ้าตัวก็อ่านเเล้วเก็บเรียบ ทำเป็นโน้ตเก็บไว้อย่างกับจะเอ็นทรานซ์อีกรอบ

เมื่อเต้ยและเเดนดินกลับมาจากไซต์งานแล้ว การประชุมย่อย ๆ หลังการพรีเซนต์งานก็ถูกจัดขึ้น คีรินทร์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอย่างเคยคุณเเดนดินนั่งนิ่งเงียบไม่ต่างอะไรกับพี่เต้ย ทั้งคู่ดูมีเรื่องให้คิดเเละมีวี่เเววคับข้องใจชัดเจน สถาปนิกวัยกลางคนไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพยักหน้าเเละปิดสมุดของตัวเองลง ส่วนบนใบหน้าของปูนเองก็ฉายแววเคลือบเเคลง เมื่อเช้าหนูพุกไม่ได้อธิบายอะไรนอกไปจากขอความช่วยเหลือ คงจะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดถึงมาเเก้เเบบกันเร่งด่วนเหลือเกิน

“เมื่อเช้าที่ไปพรีเซนต์งาน ผมเจอเรื่องเซอร์ไพรซ์มาก” เสียงทุ้มหยุดลง หน้าตาเรียบเฉยหากภายในมีเเต่ของเหลวเดือดปุดไหลวนอยู่ในอก

“เกี่ยวกับที่คุณหนูพุกโทรมาให้แก้เเบบเมื่อเช้าหรือครับ” คนอ่อนวัยที่สุดเอ่ยขึ้น มันคงไม่มีเรื่องประเภทเจ้านายจะมาตัดสินใจเห็นว่างานเขาดีในเสี้ยววินาทีสุดท้ายอะไรทำนองนั้น

...ให้ไก่ออกลูกเป็นหมายังง่ายกว่าเลย…

“ใช่ ข้อมูลพรีเซนต์หลุดออกไป กว่าจะรู้ตัวพวกเราก็เห็นว่ามันฉายอยู่บนโปรเจ็กตอร์เเล้ว” เต้ยพยักหน้า บนผิวขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีเเดงจาง ๆ ด้วยความโมโห

“อันนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องที่พวกเราควรรู้ร่วมกันนะ ตอนนี้ผมให้โอกาสสารภาพแล้วทำงานด้วยกันต่อไป หรือถ้าไม่… ก็คอยดูว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง”

หนูพุกไม่เคยคิดว่าพี่ภูน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ กระทั่งเเอร์ก็คล้ายจะเย็นเฉียบขึ้นด้วยอุปาทาน ทั้งเขาเเละสถาปนิกอีกสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รอคอยว่าใครกันที่จะเริ่มออกปากสารภาพ   

ที่สุดเเล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ

“ถ้าไม่มีใครพูดอะไร ผมจะถือว่าสิ้นสุดกันตรงนี้” คีรินทร์หันไปเปิดจอภาพขนาดใหญ่ อธิบายว่าเมื่อเช้าเขาเเก้งานส่วนไหนอย่างไรบ้างให้ทุกคนได้รับรู้พร้อมกัน เผื่อว่าทางนั้นจะติดต่อกลับมาเพื่อให้พัฒนาแบบ

...แม้ว่าโอกาสมันจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกันกับงานเดิมที่เขาวางเเผนเอาไว้ก็ตาม...


เย็นวันนั้นบรรยากาศระหว่างทีมงานของเต้ยอึมครึมกว่าปกติ เท่าที่สังเกตเเล้วเลขาหนุ่มเเทบจะไม่เห็นใครพูดอะไรกันนอกจากทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบเชียบเเล้วคอยเวลาเลิกงาน ไม่มีใครเเสดงท่าทีดีใจเลยที่เขาเเจ้งเรื่องมีอีเมลล์ตอบกลับเพื่อนัดวันเวลานำเสนอครั้งสุดท้ายสำหรับบริษัทที่ผ่านเข้ารอบ ร่างสูงโปร่งของพี่เต้ยเดินผ่านเขาไปยังห้องทำงานของพี่ภูโดยไม่ได้ทักทายอย่างเคย หนูพุกก็พอจะเข้าใจได้ว่าพี่เต้ยเจอเเต่เรื่องน่าโมโหจริง ๆ จึงไม่ได้ติดใจใด ๆ

“กูขอคุยด้วยหน่อย” เต้ยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงานของอีกฝ่าย ใบหน้าฟ้องชัดว่ายังไม่คลายความหงุดหงิดไปง่าย ๆ

“รู้ตัวแล้วหรือ” คีรินทร์เลิกคิ้วขึ้น เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า เขาคิดไม่ออกว่าใครกันที่จะทำกันได้ลง ในเมื่อเขาเองก็มั่นใจว่าเราอยู่กันอย่างครอบครัว เรื่องเงินได้เเละสวัสดิการก็ไม่ได้ต่ำไปกว่ามาตรฐานเลยด้วยซ้ำ

“ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าใช่” ชายหนุ่มบุ้ยใบ้ไปที่หน้าห้อง

“หนูพุกเนี่ยนะ” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะเเผ่ว ๆ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นเลยว่าเลขาหนุ่มจะทำงานส่ง ๆ สักหน ยิ่งมีแต่เก่งขึ้นแล้วช่วยเขาประหยัดงบเพิ่มรายได้เข้าออฟฟิศเสียมากกว่า

“เออ มึงจำคนที่พรีเซนต์เรื่องงบได้ไหม” พอคนฟังพยักหน้า คุนพูดก็สำทับอีก “กูเจอเขากับหนูพุกที่ร้านกาเเฟเมื่อวันเสาร์”

“ชัวร์ไหมว่าคนนี้”

“คนนี้แหละ กูกับเเดนเห็นจริง ๆ” ยิ่งคิดแล้วเต้ยก็ยิ่งหงุดหงิด เห็นน่ารักดีแบบนั้นเขาก็ไม่คิดว่าจะมาทำพิษกันได้

“แล้วมึงไม่คิดว่าจะเป็นคนอื่นบ้างหรือไงวะ กูเห็นว่าเขาทำงานหนักกว่าบางคนอีก” ชายหนุ่มไม่ได้เจาะจงว่า ‘บางคน’ นั่นคือใคร

“ตั้งแต่อยู่มามันเคยมีเรื่องแบบนี้หรือเปล่าล่ะ นี่มันครั้งแรกไง… จะให้กูสงสัยคนมาใหม่ก็ไม่น่าจะผิดไหม” เต้ยระบายลมหายใจ ยิ่งเป็นคนเห็นมากับตาว่าสองคนนั้นดูคล้ายจะสนิทชิดเชื้อกันเขาก็ยิ่งโกรธที่หนูพุกทำให้ความเอ็นดูของเขาพังทลายลง แถมยังมาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อยู่อีก

“เอาแบบนี้แล้วกัน… กูจะไม่ให้หนูพุกเข้ามายุ่งจนกว่างานนี้จะเสร็จดีไหม”

ภูเอ่ยขึ้น ในเมื่อหลักฐานก็ยังไม่มี มีแค่เพียงพยานเเวดล้อมเขาก็คงเอาผิดกันไม่ได้ หากมีแบบหลุดออกไปอีกหนเลขาหนุ่มก็จะหลุดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัย และพวกเขาเองที่จะต้องคิดใหม่

“ตามนั้น  วันนี้กูออกไวหน่อยเเล้วกัน จะไปดูไซต์” 

 สถาปนิกหนุ่มทิ้งงานทั้งหมดไว้เบื้องหลัง เห็นเเดนดินมีท่าทีเคร่งเครียดเเละขบคิดตลอดเวลาอย่างนั้นเขาก็ยิ่งไม่สบายใจแต่ก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยให้เสียอารมณ์กันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายเต้ยก็ได้แต่เร่งเครื่องยนต์บึ่งออกไป การหลุดพ้นจากสภาพเเวดล้อมที่ทำให้ไม่สบายใจช่วยเขาได้บ้าง แต่สิ่งที่ช่วยเขาได้มากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นชานมไข่มุกแก้วละสามสิบบาทหน้าบริษัท

คล้ายกับว่าความรุนแรงทางอารมณ์จะถูกส่งผ่านไปยังฟันบนเเละล่างที่กำลังบดเม็ดไข่มุกนิ่ม ๆ ผู้น่าสงสารอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันจะได้เลี้ยวเข้าถนนวิทยุ รถยนต์ยุโรปด้านหน้าก็เหยียบเบรคกระทันหันทำให้คัมรี่ลูกรักของเต้ยจูบกระโปรงท้ายฝั่งนั้นเข้าเต็มรัก

“ขับอะไรของมันวะ” เขาปลดเข็มขัดนิรภัย หน้ายุ่งเต็มทน ไม่รู้ว่าวันนี้มันวันอะไรถึงมีเรื่องให้หงุดหงิดนักหนา

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ… อ้าว คุณเต้ย!” ชายหนุ่มเจ้าของรถพุ่งตรงมาหาเต้ยก่อนใคร ใบหน้าหล่อเหลาของราชนิกุลหนุ่มเผยเเววตกใจอย่างไม่ปิดบัง

“ครับ ผมเอง”

คนที่มักจะมีรอยยิ้มประดับคำพูดอยู่เสมอกลับตีสีหน้าเรียบเฉย ถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่อยากจะพูดมาก เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ไม่สงบ เต้ยปิดประตูรถ เดินมาชะโงกหน้าดูกันชนที่ยุบเข้าไปในขณะที่รถเบนซ์ของอีกฝ่ายก็มีรอยยุบเเละสีถลอกด้วยเหมือนกัน

“ขอโทษทีนะคุณ ผมโดนมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า” ตัวต้นเหตุที่ทำให้หม่อมหลวงกวีต้องกระทืบเบรกโดยพลันเผ่นเเผล็วไปไหนต่อไหนเเล้ว

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเรียกประกันก่อน” นิ้วเรียวเลื่อนหาเบอร์โทรแล้วเเจ้งพิกัด เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนให้รถคันหลังเอาไว้ด้วย

“ทั้งหมดผมรับผิดชอบเอง... แล้วคุณต้องรีบไปไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มร่างกายกำยำเดินเข้ามาหาเขา ดูเหมือนจะพยายามรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด

“ผมแค่จะแวะไปที่ไซต์งานนั่นเเหละครับ ไม่ได้รีบอะไร หม่อมต้องไปไหนหรือเปล่า” อารมณ์ขุ่นข้องคลายลงบ้างเมื่อเห็นว่าคู่กรณีขอโทษเเล้ว ซ้ำยังชดเชยให้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเอ่ยปาก

“ไม่หรอก ผมเลิกงานแล้ว กะว่าจะเข้าไปดูความเรียบร้อยที่ไซต์เหมือนกัน” กวีเปิดประตูรถ “เข้ามานั่งด้วยกันก่อนสิคุณเต้ย ข้างนอกร้อนจะตาย”

ตอนนี้ถนนที่เคยโล่งก็ชักจะติดเเหง็กเพราะเลยเวลาเลิกเรียนเเละเวลาเลิกงานของมนุษย์ออฟฟิศ ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเสียมิได้ บรรยากาศในรถมีแต่ความเก้อกระดาก เขาไม่รู้จะคุยอะไรเพราะเรื่องเเบบที่หลุดออกไปยังรบกวนอยู่ในหัว ส่วนอีกฝ่ายก็ยังคุยกับผู้ช่วยของตัวเองผ่านโทรศัพท์อยู่

เต้ยนึกขอบคุณพนักงานที่มารวดเร็วทันใจเเม้ว่ารถจะติดอย่างไม่น่าให้อภัยก็ตาม อีกทั้งยังมีความโชคดีในความบังเอิญที่เขาและหม่อมหลวงกวีต่างก็ใช้บริการประกันรถเจ้าเดียวกัน เจ้าพนักงานจึงมาพร้อมกันไม่ให้ต้องวุ่นวาย

“จริง ๆ จากตรงนี้เดินลัดไปที่ไซต์ก็ไม่ได้ไกลมาก คุณจะไปด้วยกันกับผมเลยไหม รถคุณเดี๋ยวผมให้เด็กขับไปเข้าศูนย์ให้เลย” เมื่อจัดการเอกสารเรียบร้อยดีเเล้วคนวัยไล่เลี่ยกันก็หันมาถาม

“ตามนั้นก็ได้ครับ” เล่นคิดมาเเล้วเบ็ดเสร็จนี่นะ

“คุณมีของมีค่าอะไรหรือเปล่า เช็คดูก่อนก็ได้”

“ผมมีแค่กล้อง”

เต้ยทิ้งทุกอย่างไว้ที่ออฟฟิศ จะมีก็เพียงกระเป๋ากล้องบรรจุลูกรักที่มักจะพาไปไหนมาไหนด้วยกันเท่านั้น เขาส่งข้อความหาเเดนดินว่ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย คงจะกลับไปช้าและไม่ได้อยู่กินมื้อเย็นด้วย อีกฝ่ายตอบรับมาเกือบทันใด บอกว่าคืนนี้คงจะไม่ได้กลับไปนอนด้วยเพราะอยากเเก้งานที่โดนตีกลับคนเดียวเงียบ ๆ

“เสียดายเนอะ ในกรุงเทพฯคนไม่ค่อยเดินถนนกัน” คนพอจะอารมณ์ดีแล้วเปรยขึ้น พลางเดินไปตามทางเท้า

“อากาศร้อนขนาดนี้ใครมันจะอยากเดินกันล่ะคุณ เดิน ๆ ไปเดี๋ยวก็เจอมอเตอร์ไซค์วิ่งบนฟุตปาธ เดี๋ยวก็เจอเเผงลอย” หม่อมหลวงหัวเราะในลำคอ รู้สึกขมขื่นกับวิถีชีวิตคนเดินเท้าเหลือเกิน

“นั่นเเหละครับ ปัญหาใหญ่เลย”

สถาปนิกหนุ่มคิดไปถึงตึกสูงที่เขาเพิ่งจะได้รับอนุญาตจากฝั่งนายทุนให้พัฒนาแบบต่อได้ หากจัดแบบธรรมดา ตอบโจทย์พื้นฐานเท่านั้น… มันก็จะเป็นตึกเรียบ ๆ อันมีพื้นที่ปิด มีคนเข้ามาใช้พื้นที่เฉพาะกลุ่มเท่านั้น ทำให้ขาดความเชื่อมต่อกับโลกภายนอก หากเป็นอย่างนี้ มันก็จะกลืนไปกับอาคารอื่น ๆ ในเมืองหลวงไม่มีอะไรพิเศษ

“ทานไอศกรีมไหมหม่อม เจ้านี้อร่อย” เต้ยชี้ชวนให้เขามองไอศกรีมรถเข็นที่สั่นกระดิ่งอยู่ไม่ไกล อันที่จริงมันก็ไม่เชิงว่าชักชวน หากเเต่เป็นการบอกเป็นนัยว่าเขาจะเเวะเเน่ ๆ เท่านั้นเอง
   
   “คุณชอบของหวานหรือ” เท้ายาว ๆ ของคนมียศมีศักดิ์ตบตามชายหนุ่มที่โดนรถเข็นไอศกรีมตกไปก่อนหน้า เมื่อครู่ตอนที่เขาไปดูความเสียหายของรถคัมรี่แล้วก็เเอบเห็นแก้วชานมไข่มุกเสียบไว้ตรงช่องสำหรับวางแก้ว

“ผมเป็นพวกชอบกินน่ะ ถ้าสิบปีที่แล้วฟู๊ดบล็อกเกอร์รุ่งเรืองกว่านี้หน่อย ผมคงไม่มาเป็นสถาปนิกแล้ว” เต้ยหัวเราะ จัดการสั่งไอศกรีมสำหรับตัวเองหนึ่งที่

“ไม่ทานจริงหรือคุณ” ดวงตากลมโตของหม่อมหลวงหนุ่มมองดูขนมปังนุ่มฟูซึ่งถูกผ่าครึ่ง ใส่ข้าวเหนียวเเละตักไอศกรีมลูกเล็กใส่

“เอาแบบคุณก็ได้ ผมไม่ได้ทานมานานแล้วเหมือนกัน”

เขายิ้มแกน ๆ ไม่ได้บอกว่าที่เคยกินก็เป็นของที่ทางบ้านทำเอง ไม่เคยซื้อของเเผงลอยอย่างนี้ ด้วยตั้งแต่จบประถม ก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษกระทั่งจบปริญญาโท พอเรียนจบเขาก็ทำแต่งาน ลักษณะอาชีพยิ่งทำให้เขาไม่ได้มีโอกาสได้มาเดินหาสตรีทฟู๊ดอย่างคนอื่น หันซ้ายก็หุ้น หันขวาก็บอร์ด เรื่องกินอยู่แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคำนึงเพราะมักจะมีคนจัดการไว้ให้เสมอ หรืออยากจะมีมื้อพิเศษก็บอกคนอื่นเอาเท่านั้นเอง

“ผมเลี้ยงเอง” เต้ยดักคอเมื่อเห็นว่าเขาจะควักแบงก์ม่วงแบงค์เทามาจ่ายค่าไอศกรีมไม่กี่สิบบาท

“ขอบคุณครับ” เต้ยส่งขนมปังชิ้นเท่าฝ่ามือให้คนที่ดูเก้กังนิดหน่อย

“อร่อยเหมือนเดิมเลย” เขาเดินไปกินไป อากาศร้อน ๆ ทำให้คนกินต้องเร่งสปีด ไม่อย่างนั้นไอศกรีมกะทิก็จะไหลลงมาเปื้อนมือ

“ละลายหมดเเล้วหม่อม” นิ้วเรียวชี้ไปที่อีกด้านของขนมปัง เพราะเขาเอาแต่กัดอยู่ฝั่งเดียวอีกฝั่งจึงเริ่มละลายเป็นน้ำ

“กินยาก” กวีหัวเราะ เปลี่ยนมาไล่งับบริเวณที่เริ่มละลายก่อน กว่าจะหมดเต้ยก็ขำจนตัวงอ

“เลอะขึ้นไปถึงจมูกเลยครับ”

“จริงหรือ” มือใหญ่ข้างหนึ่งป้องหน้าตัวเองไว้ไม่ให้ใครเห็น ส่วนอีกข้างก็ล้วงหาผ้าเช็ดหน้า

กรรม… เขาใส่มันไว้ในเสื้อสูท แล้วก็ทิ้งมันไว้ในรถ

“โทษทีนะหม่อม”
 
เต้ยเเตะเเขนเขาให้หยุดเดินเเล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบสีนวลบนปลายจมูกโด่งออกให้ วันนี้คุณกวีเล่นใส่ดำทั้งตัว คงจะไม่อยากให้เสื้อผ้าตัวเองมีรอยด่างเพราะต้องยกแขนเสื้อขึ้นมาใช้ต่างกระดาษแหง ๆ ก็ดูออกจะเป็นพวกเพอร์เฟกต์ชั่นนิสนี่นะ

“คุณก็เลอะสิ”

“ช่างมันเถอะครับ ไม่ได้อะไรมากมาย” เต้ยยักไหล่ เดินลัดซอยไปเรื่อย ไม่นานนักสองคนก็หยุดลงหน้าไซต์งาน

“เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูที่เขาตกแต่งภายในก่อน ถ้าคุณเสร็จเเล้วมารอผมข้างใน เดี๋ยวผมพาไปส่ง อีกพักเด็กที่บ้านคงเอารถมาเปลี่ยนให้”

“ไม่เป็นไรก็ได้ครับ คอนโดผมไม่ได้ไกลมาก เดี๋ยวกลับเเท็กซี่หรือขึ้นรถไฟฟ้าก็ได้ หม่อมอย่าลำบากเลย” ชายหนุ่มโบกมือ รู้สึกว่าเขาชักจะรับผิดชอบมากเสียจนเต้ยเกรงใจ

“คำก็หม่อมสองคำก็หม่อมนะคุณ ผมเป็นแค่หม่อมหลวง คนละยศกับ ‘หม่อม’ ที่คุณพูด” เขาสาธยายไปยิ้มไป ถึงแม้ว่าจะถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาคิดว่ามันน่าจะน่าฟังกว่าหากคู่สนทนาคุยกับเขาอย่างถูกต้อง

“อ้าว ขอโทษทีครับ ผมไม่ทราบนี่… แล้วต้องเรียกคุณว่ายังไงล่ะ ไม่ถนัดราชาศัพท์เสียด้วย” เต้ยหัวเราะคึ่ก ๆ ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะกวนอารมณ์

“ผมก็คนธรรมดานี่ล่ะ บางคนก็เรียกคุณกวี คุณวี… หรือพี่วี…” คนพูดหยุดชะงัก สองพยางค์สุดท้ายหลุดออกมาเมื่อคะเนอายุจากดวงหน้าอ่อนวัย

...คนอะไร หน้าตาเหมือนลูกกวาง...

“ผมเลือกช้อยส์ข้อสองแล้วกัน เราน่าจะอายุไม่ห่างกันเท่าไหร่” ริมฝีปากบางเเย้มยิ้มจนเป็นรูปหัวใจ เขาเองก็เหยียบเลขสามเเล้ว คุณกวีก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไหร่

“เอาเถอะ เสร็จเเล้วเข้าไปรอผมข้างในแล้วกัน จะไปส่งครับ” กวีโบกมือทักทาย พนักงานที่ดูเเลเรื่องการออกเเบบภายใน แล้วก็เดินแยกจากเต้ยไปคล้ายถือว่าที่เขาพูดนั้นถือเป็นเด็ดขาด

...ถ้าไม่ใช่ลูกคนเดียวก็คงเป็นลูกคนเล็กแน่นอน...

เต้ยเดินไปตามพื้นที่ภายนอกที่เคยมาเยือนเเล้วหนหนึ่ง แต่ครั้งนั้นเขามาแบบรีบ ๆ เนื่องจากต้องไปทำงานอื่นต่อ คราวนี้เขาจดรายละเอียดทุกจุด ตั้งใจจะพัฒนาแบบให้ดีไม่ให้ใครมาเอาไปได้อีก

 ดูเหมือนเต้ยจะทำงานเสร็จไวกว่าคุณกวี เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปสำรวจอาคารด้านใน ยกกล้องคู่ใจส่องเก็บรายละเอียดงานดีไซน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อไว้ว่าจะใช้เป็นไอเดียในการออกเเบบให้เกี่ยวเนื่องกับภูมิทัศน์ด้านนอกได้บ้าง

“ขึ้นไปข้างบนไหมคุณ” ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพอดีตัวเดินตรงมาหาเขา

“ขึ้นได้หรือครับ” พูดอย่างนั้นแต่คนประคองกล้องก็ยิ้มเผล่เมื่อเห็นว่าในมือเขามีหมวกนิรภัยสีขาวสองใบ

“คุณเต้ยใส่ไว้แล้วกัน ข้างบนมันยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ แต่วิวสวยอย่าบอกใคร” หม่อมหลวงกวีอมยิ้ม ยื่นหมวกกลมให้คู่สนทนาเเล้วจัดการสวมของตัวเองลงบนศีรษะ

ลิฟต์โดยสารนำผู้บริหารโครงการ สถาปนิก และนายช่างขึ้นไปสู่ชั้นห้าสิบสี่ เต้ยเดินไปพร้อมกับคุณกวีตอนที่นายช่างรายงานความคืบหน้า

“คุณเดินออกไปดูได้นะ”

กวีเอ่ยขึ้น ชี้ชวนให้เต้ยเดินออกไปยังริมผนังกระจกที่เขาเห็นว่าปลอดภัยดีเนื่องจากราวกันตกเเละอุปกรณ์เซฟตี้ยังไม่ถูกนำออกหลังจากเสร็จงาน ในตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเเล้ว เมื่อมองออกไปจากอาคารสูงแห่งนี้จึงเหลือเเต่ทิวทัศน์ของตัวเมืองที่มีเเสงไฟเรื่อเรือง  ลมเย็น ๆ พัดโกรกไปทั่วพื้นที่ทั้งชั้น

เต้ยนั่งลงบนชานพักริมผนังปูน ปิดเปลือกตาสีน้ำนมลงแล้วปล่อยให้เสียงลมหวีดหวิวผ่านข้างหูไป ราวกับว่าเสียงกระซิบของพวกมันจะพัดเอาเรื่องราวร้าย ๆ ภายในวันนี้ออกไป ให้เขาพบกับพรุ่งนี้ที่สดใสกว่า

“ง่วงก็ไม่บอก…” กวีหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นว่าคนที่ควรจะยกกล้องเก็บภาพบรรยากาศยามค่ำคืนที่ไม่เคยมีคนนอกได้รับอนุญาตให้ขึ้นมากลับหลับตานิ่ง ซบลงกับแนวปูนฝุ่นเขรอะ   

“วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาดูใหม่” ราชนิกุลหนุ่มยิ้มละไมให้กับพนักงาน แล้วตรงไปสะกิดเรียกคนหลับคอพับคออ่อน

“คุณเต้ย ผมจะกลับเเล้วนะ”

เสมือนว่าเสียงทุ้มนุ่มเป็นเสียงนาฬิกาปลุกแบบไก่ขัน ดวงตากลมลืมขึ้นทันใด เต้ยสะดุ้ง… ลุกขึ้นยืนตัวตรงเผงเป็นตุ๊กตาทหาร

“หัวเราะอะไรครับคุณวี” พอตื่นเต็มตาแล้วเต้ยก็ขยับเอากล้องเก็บลงกระเป๋า ปรายตามองคนที่หัวเราะเขาอย่างพยายามจะสุภาพ

“ก็ดูคุณสิ ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ผมคุยงานยังไม่สิบนาทีก็เล่นหนีไปเฝ้าพระอินทร์เเล้ว น้ำลายยืดอีกต่างหาก” คนพูดเดินนำไปที่ลิฟท์ บรรยากาศปิดล้อมกับผู้บริหารหนุ่มที่ขบขันจนไม่เหลือฟอร์มเสือหน้ายิ้ม

“แกล้งคนไม่ได้นอนมาสองวันมันบาปนะคุณ” เต้ยใช้สันมือปาดไปบริเวณขอบปากหากมันเเห้งสนิท… ช่างอำเหลือเกินนะคุณกวี!

“คุณนั่นเเหละ รู้ตัวว่าไม่นอนมาสองวันยังจะขับรถอีก” เขาหันมาทำหน้ายุ่ง โบกมือลาคนงานแล้วเดินนำไปที่รถ

“มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย” เต้ยมองเจ้ารจากัวร์คันจิ๋วอย่างสนเท่ห์ ไม่รู้ว่าเป็นผู้บริหารหรือพ่อมด อยากได้อะไรก็ได้เดี๋ยวนั้นจริง ๆ

“ตอนที่คุณเดินถ่ายรูปอยู่หลังตึกนั่นล่ะ คอนโดคุณอยู่ตรงไหน” เต้ยสอดตัวลงนั่งข้างคนขับ บอกจุดหมายปลายทางเขาว่าเป็นคอนโดมีระดับโครงการหนึ่งใจกลางกรุง

“ผมว่าเราสองคนนี่มีเรื่องบังเอิญบ่อยเกินไปหรือเปล่า” กวีส่ายศีรษะแล้วขยายความต่อ “นั่นโครงการของที่บ้านผมเอง”

“บังเอิญจริง ๆ ครับ” เต้ยหัวเราะเเกน ๆ ชักจะเริ่มช็อคกับความร่ำรวยของเศรษฐีหนุ่ม เขาพอจะจำได้ว่ากรจักรกรุ๊ปทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมมาหลายสิบปีและเพิ่งจะเริ่มจับตลาดอสังหาริมทรัพย์มาได้ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2018 15:20:26 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
«ตอบ #56 เมื่อ13-07-2018 23:05:16 »

นับจากวันที่หนูพุกทำผัดกะเพราะกุ้งเเสนเค็มนั่น เขาก็ยังไม่ได้เข็ดหลาบ วันนี้หนูน้อยริทำผัดกะเพราหมูสับและเเกงจืดเต้าหู้ใส่กล่องมาให้เจ้านายรับประทานเป็นมื้อเช้า คราวนี้หนูพุกเเน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรอีกเนื่องจากกว่าจะมาถึงวันนี้ เขากินฝีมือตัวเองซ้ำมาเเล้วราว ๆ สามสี่รอบเพื่อความมั่นใจ

“อร่อยมาก” คีรินทร์ยกนิ้วให้เลขาหนุ่มที่ยิ้มจนเเก้มปริ เขาหัวเราะกับท่าทางบ๊อง ๆ ของหนูพุกที่เอาเเต่ยิ้มดีใจจนไม่ระวังหันไปกระเเทกเอามุมโต๊ะอาหารตัวใหญ่

“โอ๊ย” หนูพุกร้องอู้ เหลี่ยมโต๊ะแหลม ๆ ทิ่มลงกับแขนเล็ก ๆ จนเจ็บเเปลบ

“เอ้า เป็นอะไรไหมเนี่ย” คีรินทร์วางเเก้วกาเเฟเห็นก่อนจะขยับเข้าไปดูคนที่เจ็บจนน้ำตาเล็ด

“สงสัยต้องห้ามเข้าครัวเเล้วมั้ง” คีรินทร์เปรยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเอ็นดู ยังจำได้ดีว่าวันเเรกที่เจอกันอีกฝ่ายก็โดนน้ำร้อนลวกรับอรุณ

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ” สายตาคมมองหนูพุกนิ่ง ๆ ส่วนเลขาหนุ่มพอรู้ว่าคล้ายจะโดนดุกลาย ๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เขาถือวิสาสะปลดกระดุมเเขนเสื้อแล้วรูดขึ้นดูเเผล

“นิดเดียวเองเขียวแล้วเนี่ย ผิวบางจริง ๆ” คีรินทร์พึมพา เอื้อมเเขนไปดึงลิ้นชักที่ใส่อุปกรณ์ทำเเผลเบื้องต้นเเล้วมองหายานวด

ตอนที่มือใหญ่ปลดกระดุมเเขนเสื้อทำให้จิตใจของหนูพุกลอยล่อง คีรินทร์ขยับเข้าใกล้ ประคองท่อนเเขนของเขาไว้ หนูพุกคิดว่าตัวเองได้กลิ่นน้ำหอมสดชื่นเเบบวันนั้นที่เขาต้องขึ้นหลังพี่ภู อยากจะมีพลังวิเศษหยุดเวลาให้ตัวเองได้เพ่งพิศใบหน้าคมสันใกล้ ๆ เขาหลงรักดวงตาคมสีเข้มเเละเเผงขนตายาวเป็นเเพที่ขยับขึ้นลงยามที่อีกฝ่ายกระพริบตา

“โอ๊ย” เลขาหนุ่มร้องขึ้นเบา ๆ เเล้วก็กัดปากตอนเขาชโลมยานวดกลิ่นฉุนลงบนท่อนเเขนเรียว จะมาหวังให้พี่ภูเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมือเบาเหมือนปุยนุ่นคงไม่ใช่

“โทษที พี่มือหนักไปหน่อย เดี๋ยวเราทาเองเเล้วกัน พี่กลัวทาให้เเล้วจะช้ำกว่าเดิม” ภูยิ้มบาง ๆ เขาพูดจริง ๆ เพราะหนูกพุกแขนเล็กจิ๋วเดียวอย่างกับเเขนเด็ก ชายหนุ่มจึงเบนมารวบถ้วยชามลงอ่างเเช่น้ำไว้รอเเม่บ้านเงียบ ๆ

หนูพุกอ้าปากพะงาบ ๆ ตอนที่ร่างสูงหายลับออกไปจากห้องครัว แค่โอ๊ยเดียวชีวิตเปลี่ยนเลย...  เลขาหนุ่มได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองในใจเมื่อคล้อยหลังเจ้านาย ถ้าเขาอดทนอีกนิดไม่เผลอร้องออกมาพี่ภูคงนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักพัก

“โธ่ อดทนกว่านี้ก็ไม่ได้นะไอ้พุก”

หลังจากทำใจได้และเก็บกล่องยาคืนที่เดิมแล้ว หนูพุกก็กลับมานั่งโต๊ะทำงานเพื่อตรวจสอบตารางงานของเจ้านายเเละข้อมูลโครงการที่ต้องผ่านเขาก่อนเข้าห้องพี่ภูอย่างเคย

...แต่เขาว่ามันมีอะไรแปลกไป...

ชายหนุ่มรื้อเเฟ้มงานออกมาดูแล้วก็พบว่าสามสี่วันมานี้โครงการออกแบบภูมิทัศน์เเถวถนนวิทยุไม่ได้ผ่านตาเขา ทั้ง ๆ ที่มันควรจะได้เข้าประชุมและเข้าสู่ขั้นตอนทำแปลนใหม่เเล้ว

หนูพุกเบนเป้าหมายไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของตัวเอง คลิกเข้าไปที่ส่วนเก็บข้อมูลออนไลน์ของบริษัท ข้อมูลโปรเจ็คต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการทำงานจะถูกหย่อนไว้ในนี้ รวมถึงงานที่คืบหน้าพร้อมอนุมัติแล้วก็อยู่ในนี้ด้วย

สถาปนิกทุกคนจะมีบัญชีชื่อซึ่งเข้าถึงเฉพาะโครงการที่ตัวเองรับผิดชอบได้เท่านั้น ส่วนคนที่จะเข้าถึงได้ทุกไฟล์ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดโครงการหรือรายละเอียดเรื่องเงินหมุนเวียนในบริษัทก็จะมีเพียงแค่พี่ภูเเละพี่เต้ย รองลงมาก็จะเป็นหนูพุกที่สามารถเข้าติดตามความคืบหน้าของทุกโปรเจ็คได้

...วันนี้มีไฟล์หนึ่งหายไป…

หนูพุกพยายามเสิร์ชหามันซ้ำแล้วซ้ำอีกเเต่ระบบก็ไม่ยอมเรียกมันขึ้นมา… เดาได้ไม่ยากเลยว่ามันถูกปิดการเข้าถึงจากไอดีของเขา

หนูพุกสูดหายใจเข้าลึก… เปิดตารางงานของเขากับคีรินทร์ขึ้นมาเทียบกันบนหน้าจอ

วันที่หนูพุกต้องออกไปข้างนอก ส่วนใหญ่เเล้วคีรินทร์จะติดงานที่อื่น แต่เมื่อวันจันทร์เขาส่งหนูพุกออกไปโดยที่บอกว่าติดธุระส่วนตัว

...เป็นไปได้ที่ทุกคนจะจัดการประชุมลับหลังหนูพุก...

เลขาหนุ่มเริ่มชักจะชิงชังสิ่งที่เรียกว่าเรื่องบังเอิญอันกลายเป็นความโชคร้าย เขาคาดว่าเมื่อวันเสาร์ที่แล้วเต้ยกับแดนดินน่าจะนั่งอยู่ที่ร้านกาเเฟนนานพอดู อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายเห็นว่าเขาติดต่อกับเพื่อนสาวซึ่งเป็นคนของบริษัทคู่เเข่งในร้านกาเเฟ เขาถึงได้ถูกกันออกจากโปรเจ็คนี้

ถึงหนูพุกจะหัวช้าเรื่องงานออกแบบ...แต่เขาก็ไม่ได้โง่

เขาไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้ใครกันจะเป็นหนอนบ่อนไส้ทำลายบริษัท หากสิ่งที่ทุกคนควรต้องรู้โดยทั่วกันคือเขาจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ

...หนูพุกจะไม่ยอมเป็นเเพะรับบาปให้ใครเด็ดขาด!!..


---------------------------------------------------------------------------------------


เหมือนได้ยินเสียง  Sorry, the old พุก can’t come to the phone right now… 555555
สองบทมานี้พระเอกจางมากเลยค่ะ คุณกวีหล่อกว่าก็อย่างงี้ /โดนทุบ
แต่สัญญาว่าบทหน้าพี่ภูจะคัมเเบ็คค่ะ ภูจะมาทวงทุกอย่างของภูคืนนนน 55555555
ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นท์แล้วก็กำลังใจเลยนะคะ ดีใจมากๆเลยค่ะที่มีคนติดตามความเป็นไปของเจ้าหนูพุก (ที่กำลังจะเป็นเเพะ) 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2018 23:14:31 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
«ตอบ #57 เมื่อ13-07-2018 23:30:32 »

 :เฮ้อ: :L2: :L1: :pig4:
กรรมของพุก

ต้นเรื่องน้่จะแฟนเต้ยไหม เราเริ่มเดา 55

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
«ตอบ #58 เมื่อ14-07-2018 00:04:06 »

เอาแล้ว หนูพุกจะสู้แล้วนะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
«ตอบ #59 เมื่อ14-07-2018 01:06:48 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ฉลาดมากหนูพุก

สืบให้ได้นะว่าใคร

ป.ล.  คหสต.  คิดว่าหนอนนั้นไม่น่าจะเป็นคนที่ถูกเพ่งเล็งจากคำบอกเล่าที่มีอยู่  ตามหลักการหนังสืบสวนสอบสวนแล้ว  คนร้ายมักจะเป็นคนที่เรานึกไม่ถึง  ซึ่งนั่นก็คือ.....

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด