“พี่พุก… พอแล้ว ไม่ต้องร้องแล้ว” ปูนแตะมือลงบนไหล่คนที่กลับมาถึงห้องก็เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาเรียวคู่นั้นดูท่าจะมากกว่าพายุฝนที่เข้าเมืองเชียงใหม่คืนนี้ทั้งคืนเสียอีก
“มัน… หยุดไม่ได้” หนูพุกสูดหายใจ พยายามจะหยุดสะอื้น แต่เขาก็ทำมันไม่สำเร็จ
“พี่ชอบพี่ภูมากเลยเหรอ คือผมไม่ได้จะอะไรนะ แต่ว่ามันเพิ่งสี่เดือนเอง… แบบว่า โอ๊ย พูดยากจังโว้ย” มือหนึ่งของปูนก็ปลอบคนที่กอดหมอนมุดผ้าห่มทำเป็นรังหนูอีกมือก็ขยี้หัวไปด้วย เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งที่คิดออกไปอย่างไรให้ถนอมใจคนฟัง
“สิบเอ็ดปี… พี่ชอบพี่ภูมาสิบเอ็ดปี” เรื่องราวทั้งหลายที่หลุดออกมาจากปากเลขาหนุ่มทำให้ปูนช็อคแล้วช็อคอีก เขาไม่รู้เลยว่าควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง
ตลอดมา ปูนมองว่าความรักเป็นเพียงฟังก์ชั่นหนึ่งของมนุษย์ หากนี่เป็นครั้งแรกที่ปูนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว่าที่คิด ยิ่งเขาเห็นมาตลอดว่าท่าทีของเพื่อนร่วมงานคนนี้ที่มีต่อเจ้านายคงไม่ใช่แค่เพียงทำไปตามหน้าที่
พี่พุกไม่เพียงแต่คอยชงกาแฟหรือหาอะไรให้พี่ภูใส่ลงท้อง หากอะไรที่เป็นอุปกรณ์การกินของเจ้านาย ชายหนุ่มจะไม่ทิ้งให้ถึงมือแม่บ้าน หากต้มน้ำร้อนล้างทั้งหมดเพราะพี่ภูเคยเสาะท้องครั้งหนึ่ง และหนูพุกก็พยายามจะช่วยเลี่ยงความเสี่ยงด้านความสะอาด
จะหาใครที่ทำเรื่องพวกนี้ลับหลังเจ้านายโดยไม่หวังผลอะไรได้สม่ำเสมอก็คงมีหนูพุกเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง
“ปูน… ปูน” หนูพุกเเตะลงบนมือของรุ่นน้องที่พาดทิ้งไว้บนไหล่เขา แต่เจ้าตัวนอนเงยหน้าพิงหัวเตียงไปเฝ้าพระอินทร์ถึงไหน ๆ แล้ว
เห็นดังนั้นเจ้าของเตียงจึงจัดที่ทางให้คนขี้เซา จะว่าไปเขากับปูนก็คงไม่ต่างกัน พอได้หลับแล้วจะทำอะไรเสียงดังเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ อาจเป็นเพราะการเดินทางและตะลอนเที่ยวตลอดวันทำให้ผู้ฟังที่ดีของเขาหลับกลางอากาศ
หนูพุกคลี่ผ้านวมห่มให้คนที่นอนอ้าปากกรนคร่อก ๆ อย่างเอ็นดู เขาย้ายตัวเองไปนอนบนเตียงของปูนแทนแต่จะทำอย่างไรก็ข่มตาหลับไม่ลงสักที หนูพุกจึงตัดสินใจคว้าคีย์การ์ดและกระเป๋าสตางค์ติดตัวลงไปที่ล็อบบี้ บางทีการไปเดินเล่นหรือนั่งเล่นก็คงไม่เลวเท่าไหร่นัก
ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวล็อบบี้แม้ว่านี่เพิ่งจะเป็นเวลาสองทุ่มกว่าเกือบ ๆ สามทุ่มเท่านั้น เขาจำได้ว่าออกจากโรงแรมไปหน่อยมีร้านสะดวกซื้อ หนูพุกคิดว่าเขาจะเดินไปที่นั่น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดีเหมือนกัน
...ไม่เป็นไร เดิน ๆ ไปก่อนดีกว่า ได้ออกกำลังเบา ๆ ร่างกายจะได้พักผ่อน จะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องใครคนนั้น...
ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มขายาวเดินเลาะไปตามฟุตปาธ เขาเห็นแสงไฟร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลนัก ยิ่งระยะห่างหดสั้นลง หนูพุกก็อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้วิ่งหนีกลับห้องพัก
พี่ภูยืนกระดกน้ำดื่มอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ อีกฝ่ายโบกไม้โบกมือทักทายเมื่อเห็นว่าเป็นเลขาหนุ่มของตัวเอง
“นึกว่าหมดแรง นอนไปแล้วนะเนี่ย”
“ออกมาเดินเล่นเฉย ๆ ครับ นอนไม่ค่อยหลับ สงสัยจะแปลกที่”
หนูพุกยิ้มเจื่อน ชะเง้อคอมองหาแฟนสาวของคีรินทร์ เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ในร้านสะดวกซื้อ หวังใจว่าการปรากฎตัวของพี่แพรน่าจะช่วยให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนูพุกคงหูตั้งหางกระดิกชวนเขาไปเดินเล่นหรือหาอะไรร้อน ๆ ดื่มแล้วด้วยซ้ำ
...หลงรักแฟนชาวบ้านนี่เสี่ยงนรกมากจริง ๆ ให้ตาย...
“ถ้าแรงเหลือ ไปเดินเล่นกันไหม” เขาหันมาถามแบบไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้าทำเอาหนูพุกสะดุ้งหลุดปากไปอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองเลยเชียว
“ปะ… ไปครับ” ชายหนุ่มอยากจะบิดตัวเองให้เนื้อเขียว ทำไมถึงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำกันนะ จะไปให้เห็นหนามตำใจหรือยังไงกัน! ยูเทิร์นเดี๋ยวนี้ไอ้พุก ยูเทิร์น!
“เอ้อ… หมายถึง ไม่ไปดีกว่าครับ เผื่อพี่ภูจะไปเดินเล่นกับพี่แพร” คนพูดหัวเราะแหะ ๆ กลับลำแทบไม่ทันเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าพี่ภูจะเอ่ยปากอะไรเขาก็จะรับคำเสมอ ไม่ว่าจะใช่ จะได้ หรือจะอะไรก็ไม่เคยขัด
...นี่อาจถึงเวลาที่หนูพุกต้องปฎิวัติ...
“แพรไม่ได้มาด้วยหรอก หลับไปแล้ว” คีรินทร์มองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า ยังเห็นรถอยู่ประปราย แต่ก็ไม่เยอะเท่าช่วงเย็นที่แน่นขนัด
“นั่งรถแดงได้ไหมเราน่ะ” เขาหันมาถามเมื่อเห็นว่าหนูพุกไม่ตัดสินใจ คิดว่าลูกน้องคงจะเกรงใจคนรักของเขา ด้วยก่อนหน้านี้จะไปไหนมาไหนกันหนูพุกก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะปฎิเสธอะไร
“ได้ครับ ตะ.. แต่ว่า” หนูพุกจะยั้งคนที่ไวปานจรวดก็ไม่ทันแล้ว พอหนูพุกพยักหน้าเขาก็ยกมือโบกรถสองแถวสีแดงที่บีบแตรถามมาแต่ไกล
“ไปวัดพระสิงห์ก่อครับ” หนูพุกได้ยินเขาถามคนขับรถ พอชายวัยกลางคนที่นั่งประจำที่คนขับพยักหน้า คีรินทร์ก็ดันหลังเขาให้ก้าวขึ้นรถทันที
...นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ไปเที่ยวกับพี่ภู…
ครั้งนี้เองที่เขาละทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พยายามจะกล่อมตัวเองมาตลอดทั้งวัน หนูพุกรู้แล้วว่าความรักของเขามันไม่ใช่สิ่งที่แสนบริสุทธิ์สดใสอย่างในอุดมคติ เขายังเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ ดีใจได้ เสียใจได้ หลักใหญ่ใจความคงเป็นเพราะหนูพุกใจแคบเกินกว่าจะยืนข้าง ๆ และร่วมยินดีในวันที่อีกฝ่ายจะมีคู่ชีวิตอย่างเป็นทางการ
เอาไว้ทุกอย่างลงตัวเมื่อไหร่… เขาก็คงต้องไปตามทางของตัวเอง
“พี่ภูพูดเหนือได้ด้วยเหรอครับ พุกเพิ่งรู้” หนูพุกหันไปถามชายหนุ่มด้านข้าง ลมจากด้านนอกรถพัดเข้ามาจนผู้โดยสารผมเสียทรงกันทุกคน
แต่พี่ภูก็คือพี่ภู… ผมยุ่งอย่างไรก็ยังหล่ออยู่อย่างนั้น
...หล่อที่สุด ดีที่สุดในสายตาเขา...
“ได้สิ แม่พี่เป็นคนที่นี่แหละ ตอนเด็ก ๆ เรียนที่กรุงเทพฯ แต่พอปิดเทอมก็มาอยู่กับคุณตาคุณยายที่นี่” เขาเล่าให้ฟัง ชี้ชวนให้หนูพุกมองออกไปนอกหน้าต่าง เล่าว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนเชียงใหม่เป็นอย่างไร และเมืองโตขึ้นอย่างไรบ้าง
ไม่นานนักรถโดยสารก็หยุดลงตรงหน้าวัดพระสิงห์ ภูจ่ายเงินให้คนขับรถและออกส่วนของหนูพุกด้วย ชายหนุ่มเดินเข้าไปในเขตพระอารามหลวง พาหนูพุกไปไหว้พระในส่วนที่ยังเปิดให้สักการะในตอนกลางคืน แต่งตั้งให้ตัวเองเป็นไกด์ชั่วคราวเล่าเรื่องความเก่าแก่ของวัดคู่เมืองล้านนา แถมยังเป็นตากล้องชั่วคราวด้วยการถ่ายรูปให้หนูพุกอีกด้วย
“หมดแรงหรือยัง จะกลับหรือไปต่อ”
คนตัวใหญ่พาเลขาหนุ่มเดินจนทั่ว ถึงหนูพุกจะชื่อเป็นหนูหากทำตัวเหมือนลูกเป็ดเพิ่งฟักก็ไม่ปาน ไม่ว่าเขาจะพาไปทางไหนก็ต้อยตามว่าง่าย ดวงตาเรียวสว่างไสวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ได้น่าเอ็นดูเหลือใจ
“พี่ภูนั่นแหละครับ หมดแรงหรือยัง” หนูพุกหลิ่วตา เเสร้งเย้าหมือนอีกฝ่ายเป็นตาแก่วัยหกสิบ เขายังไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงตอนนี้เลย อยากจะขอยืดเวลาไปอีกสักนิด
…แค่นิดเดียวก็ยังดี…
“หยามมาก แบบนี้พาเดินถึงเช้าเลยดีไหม”
คีรินทร์ยิ้มกว้าง เขาเองก็ไม่ได้ซึมซับบรรยากาศเมืองเชียงใหม่ตอนกลางคืนมานานมากแล้ว จะชวนแพรมาด้วยเขาก็ไม่อยากจะรบกวน ด้วยคนรักของเขาเป็นพวกถูกโรคกับห้องแอร์มากกว่าจะมาเดินตากลมธรรมชาติ
“วันนี้วันเสาร์ ประตูท่าแพไม่ค่อยมีอะไร ไปเดินวัวลายก็น่าจะได้...ไม่ไกลมากเท่าไหร่” เพราะไม่ได้แพลนว่าจะต้องไปที่ไหนบ้างจึงทำให้ต้องต่อรถหลายเที่ยว ชายหนุ่มสบายใจมากที่หนูพุกสนใจแต่กับทิวทัศน์ยามค่ำคืนโดยไม่บ่นเลยสักคำ
“ไม่แน่ใจว่าจะยังมีอะไรกินอยู่หรือเปล่านะ สี่ทุ่มแม่ค้าก็ทยอยเก็บของกันแล้ว”
ชายหนุ่มโบกรถอีกหน พักเดียวคนทั้งคู่ก็ถึงจุดหมาย ถนนคนเดินวัวลายยังคงคึกคักอยู่แม้จะใกล้เวลาปิดเต็มที เขามองเลขาหนุ่มเดินดูของกระจุกกระจิกแล้วก็หยุดที่ร้านเครื่องเงิน
หนูพุกได้กำไลข้อมือไปฝากหม่าม้าสองอัน และเลือกกระเป๋าดินสอที่ทำจากผ้าทอมือให้น้องชาย ของฝากสุดท้ายของป๊าคงต้องรอวันกลับด้วยอีกฝ่ายชอบกินแคบหมูจนหม่าม้ามองตาเขียวปั้ดเพราะห่วงเรื่องคลอเรสเตอรอลทุกทีไป
“พี่ภูกินโรตีไหมอันนั้น” หนูพุกชี้ไปที่ซุ้มขายอาหาร พอจะเห็นว่าคนที่มาด้วยเมียง ๆ มอง ๆ อยู่สักพัก
“หิวด้วยเหรอเรา” เขาหันมาถาม แต่ขาน่ะเดินนำไปโซนของกินแล้ว
“กินได้ครับ ถ้ามีคนช่วยกิน” หนูพุกยิ้มเอาใจ โดยปกติเขาจะไม่รับประทานอะไรก่อนนอน แต่วันนี้ถือเป็นข้อยกเว้นก็แล้วกัน
...ทั้งชีวิตคงไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว…
“งั้นพี่พาเก็บทีละร้านเลยนะ”
เขาเดินนำหนูพุกเข้าไป แวะซื้อยำหมี่ขาวที่เด็กกรุงเทพฯที่มาด้วยไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ได้เจ้าแรกแล้วคนกินจุก็ยังไม่ยอมหยุดง่าย ๆ เขาแวะที่ร้านหอยทอดที่ทอดเป็นชิ้น ๆ ด้วยเตาขนมครก เท่านั้นยังไม่พอยังซื้อไข่ย่างในใบตองมาหนึ่งกระทงแล้วถึงจะไปหยุดที่ร้านโรตีที่หนูพุกชี้ชวน
“พอแล้วนะครับ ท้องแตกตายแน่” หนูพุกหรี่ตามองคนที่ถืออาหารจนมือเป็นพุ่มเป็นพวงไปแล้ว ภูหาที่แวะกิน เขาให้หนูพุกทดลองกินไข่ย่างในใบตองที่ซื้อจากคุณป้ามาก่อนเป็นอย่างแรก
“อันนี้เขาเรียกไข่ป่าม คล้าย ๆ ไข่ตุ๋นนี่ล่ะ แต่ใส่ใบตองแล้วย่างเอา มันจะหอมๆ” หนูพุกใช้ช้อนพลาสติกที่ได้มาตักเข้าปากไปคำหนึ่ง มันรสชาติใกล้เคียงกับไข่ตุ๋นจริง ๆ หากเนื้อเเน่นกว่าพอสมควรและมีกลิ่นหอมใบตองเป็นเอกลักษณ์
“อันนี้หมี่ยำ ไม่รู้เผ็ดมากไหม กลัวเรากินไม่ได้”
คีรินทร์ยื่นถ้วยให้หนูพุกชิมก่อน เลขาหนุ่มเพิ่งจะเคยเห็นการใช้บะหมี่ขาวยำกับน้ำยำที่ปรุงจากพริกเผา ใส่พริกแห้งทอดและผักอีกสองสามอย่าง กินด้วยกันกับหมูยอ หมูสับ และแคบหมูกรอบ ๆ เค็ม ๆ ที่ใส่มาด้านบน
“อันนี้อร่อยครับ ไม่เผ็ดมาก” หนูพุกตาโตทำเอาคนกระซิบแม่ค้าว่าขอระดับเผ็ดสำหรับเด็กและไม่เอาถั่วงอกกระตุกยิ้มมุมปาก
...เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดที่เลี้ยงง่ายอย่างกับเด็กเลยจริง ๆ…
กว่าอาหารจะหมดลง เข็มนาฬิกาก็ล่วงไปเกือบห้าทุ่ม อากาศตอนกลางคืนเย็นลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หนาวเท่าบนดอยเมื่อเช้า อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าหน้าหนาวด้วยส่วนหนึ่ง
“พุกจะเดินไม่ไหวแล้ว” หนูพุกตบลงบนหน้าท้องที่นูนขึ้นของตัวเองดังแปะ ๆ ในขณะที่อีกคนดูจะยังกินได้อีก
“กลิ้งไปเลย เฮ้ย!” คนพูดมองซ้ายมองขวาจะพาลูกน้องข้ามถนนไปขึ้นรถอีกฝั่ง แล้วก็ตกใจเมื่อมีรถมอเตอร์ไซค์โผล่มาตอนไหนก็ไม่ทราบ เกือบจะปาดเอาคนที่กำลังก้าวลงจากทางเท้าไปด้วย
“เมื่อกี้โดนหรือเปล่า” มือใหญ่ฉุดหนูพุกขึ้นมายืนบนฟุตปาธ สอดส่ายสายตาหาความผิดปกติ
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร” ดวงตาเรียวหลุบลงมองฝ่ามือใหญ่ที่ยังกุมข้อมือเขาไว้ไม่คลาย หนูพุกคิดถึงครั้งนั้นที่เขาไม่ยอมให้หนูพุกจากไป กอดเอาไว้ด้วยวงแขนอบอุ่น
...ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะเขาทำงานได้ต่างหาก…
“ขอโทษที เมื่อกี้ตกใจน่ะ” กว่าคีรินทร์จะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดไป ก็เห็นสายตาของหนูพุกจ้องอยู่ที่มือเขาเงียบ ๆ นี่มันไม่ควรจะเป็นท่าทางที่ผู้ชายสองคนมีต่อกันโดยปกติหรือเปล่า
...แต่เมื่อเช้าก็เห็นจูงมือไปกับปูน…
“แล้วพรุ่งนี้เราไปเที่ยวไหนล่ะ ฟรีเดย์นี่” คนตังสูงกว่าหันมาถาม พยายามจะปัดเรื่องที่เห็นออกไปจากสมอง ตอนนี้บนรถสองแถวสีแดงไม่เหลือใคร มีแต่เขาและหนูพุกนั่งเคียงข้างกัน
“ก็แพลนเดิมคงไปแม่กำปองครับ ยังไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน พุกว่าจะลองคุยกับปูนอีกทีครับ” หนูพุกได้แต่ขอโทษรุ่นน้องในใจที่ยืมชื่อมาสมอ้าง ไม่อยากให้เขารู้ว่าแผนการฟุ้งฝันต้องพังทลายลงเพราะอะไร
“เรากับปูนสนิทกันดีนะ เห็นจูงมือกันขึ้นพระธาตุ” เขาเปรย
“อ้อ… เมื่อเช้าพุกเวียนหัวครับ น้องกลัวพุกตกเลยมาจูงไว้เฉย ๆ” หนูพุกแก้ตัวอย่างคล่องแคล่ว คิดไปว่าเจ้านายคงจะห่วงกังวลในประเด็นเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน เนื่องจากเรื่องเต้ยกับแดนดินก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
...แท้จริงแล้วพี่ภูอาจจะแค่ต้องการควบคุมความเสี่ยงไม่ให้กระทบกับงานเท่านั้นเอง...
ระหว่างนั้นไม่มีใครได้พูดอะไรออกมาอีก ชายหนุ่มตัวบางเสมองออกไปนอกตัวรถ แค่สี่ทุ่มกว่าถนนก็เริ่มเงียบแล้ว หากเป็นที่กรุงเทพก็คงยังคึกคักมีแต่แสงสีเรืองรอง
...เขาอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้ ไม่อยากกลับไปพบความจริงเลย...
คำขอในใจของหนูพุกไม่เป็นผล รถเเดงจอดลงหน้าร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พัก ปล่อยให้ผู้โดยสารสองชีวิตเดินเคียงกันไปอย่างเงียบเชียบ หนูพุกลอบมองคนตัวใหญ่ ใบหน้าคมสันของพี่ภูไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ คนมองไม่สามารถคะเนได้เลยว่าใต้แววตาสีดำนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่
เมื่อเหยียบล็อบบี้ก็ดูเหมือนว่ายิ่งใกล้จุดที่ช่วงเวลาเหมือนฝันเมื่อสองสามชั่วโมงที่ผ่านมาต้องบรรจบกับความเป็นจริง ลิฟต์โดยสารไม่ได้ทำงานเชื่องช้าต่อเวลาให้คนแอบรักข้างเดียวได้เพิ่มสักนาที หนูพุกได้แต่ยิ้มชืด ยกมือบ๊ายบายให้กับเจ้านาย กระซิบแผ่วเบาก่อนที่จะต้องเดินแยกไปคนละทาง
“ฝันดีนะครับ”
“เราก็ด้วย ท้องอิ่มก็นอนได้แล้ว” คีรินทร์ยังยิ้มอบอุ่นเช่นเคย เพียงเขาหันหลังและก้าวเดินไป ค่ำคืนนี้ก็จบลงอย่างง่ายดาย
...ปราศจากคำลาและความรู้สึกลึกซึ้งอันใด...
หนูพุกคาดว่าเมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไปแล้ว ปูนก็คงจะยังนอนหลับอยู่บนเตียง เขาเปิดไฟทางสีนวลไว้เพียงดวงเดียว จะอาบน้ำอีกหนหรือจะขยับตัวทำอะไรก็อาจต้องระวังไม่ให้รูมเมทตื่นขึ้นมากลางดึก
“พี่พุก! ไปไหนมา… ทำไมไม่รู้จักเอาโทรศัพท์ไปด้วย” หนูพุกได้แต่ตะลึง เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วเจอปูนยืนจังก้าอยู่กลางห้อง ซ้ำยังเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นกางเกงยีนกับเสื้อเหมือนจะออกไปข้างนอกด้วย
“พี่ลืม… แค่ไปเดินเล่นมาเฉยๆ”
“ตอนผมตื่นมาไม่เจอพี่นี่โคตรตกใจ เมื่อกี้ก็วิ่งลงไปหาฟร้อนท์มา เขาบอกว่าพี่ออกไปสักพักแล้ว”
ปูนรัวไม่ยั้ง นี่ก็เตรียมเปลี่ยนชุดจะออกไปตามหาแล้วด้วยซ้ำ แค่ปลอบคนร้องไห้แต่ตัวเองเผลอหลับไปก็รู้สึกผิดจะตายชัก แล้วนี่เล่นมาหายไปอีก เขาน่ะอกสั่นขวัญแขวนจะแย่
“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง พี่นอนไม่หลับเลยไปเดินเล่น”
หนูพุกวางถุงพลาสติกหลายใบไว้กับโต๊ะ ส่วนคนตกใจใหญ่โตพอเห็นหน้าเหยเกของคนพี่ก็คร้านจะดุ ไม่รู้ว่าไปฝึกวิชาตาแป๋วมาจากที่ไหน เล่นเสียพายุในใจเขาหายวับไปกับตา
“ปลอดภัยก็ดีแล้วพี่ ตอนกลางคืนจะไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไม่ได้ อันตราย” ไม่รู้ว่ามันเป็นน้องหรือเป็นพี่ หนูพุกก็ได้แต่ปล่อยให้เด็กขี้บ่นพูดไปอย่างนั้น ควานหาเอาถุงขนมที่เป็นลูกสมอเชื่อมหวาน ๆ ได้ก็เอายัดปากปูนไปคำหนึ่ง
น่าแปลก... หรือเพราะเป็นพี่ภูที่ไปด้วยกัน เขาจึงไม่รู้สึกว่าท้องถนนเงียบเชียบนั้นอันตรายเลยสักนิด
...เพราะหนูพุกวางทุกอย่างไว้ในมือเขาไปแล้ว….
“แล้วพรุ่งนี้พี่จะไปไหนไหม” ปูนเคี้ยวไปก็หันมองหนูพุกที่พับเก็บของฝากที่ซื้อมาให้อยู่ในที่ทาง วันกลับจะได้จัดกระเป๋าง่ายหน่อย
“ไม่รู้สิ คงอยู่แถวๆนี้แหละ” คนพี่ว่า พอจัดของเสร็จก็รื้อเอาชุดนอนออกมาวางคู่กับผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำอีกหน
“เชื่อเขาเลย ไปกับผมนี่ จะพาไปเที่ยวเชียงราย มาเที่ยวเดียวเก็บสองจังหวัดไปเลย โคตรคุ้ม” ปูนเปลี่ยนชุดไปพูดไป ในหัวก็วางแผนไปด้วยว่าจะพาหนูพุกไปทำอะไรบ้าง เพราะแค่เดินทางก็น่าจะเหนื่อยแย่แล้ว
“ฮะ…ไปเชียงราย?”
“ไปบ้านผมเนี่ยเเหละ ไม่ต้องมาฮงมาฮะ ที่นี่พี่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าไม่ไปบ้านผมรอบนี้รอบหน้าก็มาเองไม่ได้แล้วนะ”
ท่าทางเล่นตัวยิ่งกว่าเป็นแรร์ไอเท็มในแรร์ไอเท็มอีกทีอย่างนั้นทำให้หนูพุกหัวเราะในลำคอ เห็นแก่ความพยายามของปูนที่ดูแลเขามาตลอดทริป สุดท้ายหนูพุกก็พยักหน้ารับ ตกลงปลงใจไปเป็นภาระให้เด็กมันอีกจนได้
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะปิดตาไปได้พักเดียวเขาก็ถูกสะกิดให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ปูนอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเตรียมพร้อมไปเต็มที่แล้ว เขาใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน มาเที่ยวรอบนี้ก็ไม่ได้เซ็ทผม ปล่อยให้หน้าม้าตกลงมาปรกหน้าให้ดูเด็กลงเผื่อจะดูอายุใกล้เคียงกับปูนได้บ้าง
ทั้งคู่ลงมาถึงล็อบบี้ที่ปูนนัดคนไว้ราว ๆ ตีห้าครึ่ง ปูนเดินตัวปลิวแทบไม่พกอะไรเลยตรงไปหาชายหนุ่มที่นั่งกดโทรศัพท์คอยอยู่ก่อนแล้ว หนูพุกเริ่มพิจารณาเขาเมื่อร่างกายกำยำสมส่วนยืนขึ้นจนเต็มความสูง ผิวขาวหยวก ตาเรียวดุดันคล้ายอินทรีย์
แทบไม่ต้องใช้ความเฉลียวอะไรเลยเขาก็พอเดาได้ว่าสองคนนี้คงมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน… ดูหน้าตาเข้าสิ อย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลยด้วยซ้ำ จะมีแต่ส่วนสูงเท่านั้นที่ดูจะทิ้งกันไปโข
“นี่พี่หนูพุก พี่ที่ทำงานปูน ส่วนพี่พุก...นี่พี่อิฐ คนขับรถบ้านผมเอง” ปูนแนะนำสั้น ๆ แต่กวนประสาทคนฟังใช้ได้ เพราะเมื่อพูดจบ กำปั้นลุ่น ๆ ก็ฝากมะเหงกไปที่ไอ้ตัวดีดังโป๊ก
“สวัสดีครับคุณอิฐ” ทีแรกหนูพุกลังเลว่าควรจะยกมือไหว้เขาดีหรือไม่ ไม่ใช่เพราะหน้าตาที่ดูเกินกว่าวัย หากคงเป็นเพราะมาดผู้นำและความน่าเกรงขามที่โดดเด่นจนปกปิดไม่ได้เสียมากกว่า
“สวัสดีครับหนูพุก… จริง ๆ ผมเป็นพี่ชายไอ้แสบนี่ ท่าจะไปกวนคุณไว้เยอะนะเนี่ย” คุณอิฐเดินนำไปที่รถ เขาอัธยาศัยดีพอ ๆ กับปูน เพียงแต่ตลกน้อยกว่าและดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเท่านั้นเอง
หนูพุกติดเสื้อนอกตัวเมื่อวานมาด้วย ไม่รู้ว่าข้ามจังหวัดไปจะหนาวกว่ากันมากน้อยแค่ไหน หากเจ้าของเสื้อก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขาพับกระดาษใบหนึ่งไว้ในกระเป๋าเสื้อ จังหวะสะบัดเสื้อขึ้นใส่ เจ้ากระดาษบาง ๆ จึงคลี่ออกและลอยไปตกที่พื้น ใกล้กับรองเท้าของคนเพิ่งรู้จัก
“ไปดอยสุเทพมาหรือครับ แม่ผมบอกว่าไปขออะไรก็สมหวังนะ” อิฐก้มลงเก็บกระดาษที่คลี่ออกจนเต็มแผ่นด้วยแรงลม เพราะพับไว้ไม่ดีแต่แรกแล้วสำทับอีก “ไอ้ปูนนี่ก็ไปขอมาเหมือนกัน ตอนเด็กๆมันป่วยบ่อย ดูตอนนี้สิ ถึกยิ่งกว่าอะไร”
“เหรอครับ ดีจังเลย... ผมก็ได้ยินเด็กเขาว่าเซียมซีแม่นเหมือนกัน”
หนูพุกยิ้มตามมารยาท รอบนี้เขาไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าให้ป๊ากับม้ามีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น มือเรียวรับคำทำนายใบสี่เหลี่ยมนั่นมาพับอีกหน เห็นเนื้อความวรรคสุดท้ายแล้วก็โคลงศีรษะเบา ๆ
...คู่ชีวีได้พานพบประสบเอยฯ…
ไม่กล้าทอล์กเยอะค่ะ กลัวโดนตี 55555555555555555

ฝาก BGM ไว้แทนนะคะ อ่านไปฟังไปก็ดีค่ะ ฟังเฉยๆก็ได้ รู้สึกว่ามันใช่มากๆๆๆๆ
BGM เจอกันวันเสาร์หน้าค่า
