ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่ทุกคนหัวปั่น สถาปนิกในโครงการไซต์ถนนวิทยุไม่ต่างอะไรกับซอมบี้เพราะอดหลับอดนอนช่วยกันนั่งทำม็อคอัพให้ใกล้เคียงกับภาพที่สร้างขึ้นมากที่สุด การขาดคนที่ทำงานเร็วเหมือนเสกได้อย่างเเดนดิน ทำให้คนที่เหลือทำงานกันยากพอสมควรเนื่องจากยังไม่มีใครที่มีฝีมือปั้นรูปได้ไวเท่าเขาเลยสักคน
หากสุดท้ายงานทั้งหมดก็ออกมาตามความคาดหมาย วันนี้ภูและปูนเป็นตัวเเทนมาเสนองาน พ่วงด้วยหนูพุกซึ่งตามมาเก็บข้อมูลและให้กำลังใจเนื่องจากครั้งนี้เป็นรอบสุดท้ายที่ทางนายทุนต้องฟันธงว่าจะเลือกงานของใครให้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาแบบและสร้างจริง
“ทำไมสละสิทธิ์ แปลกจริง” ปูนปรารภ เบื้องหน้าเป็นบอร์ดสำหรับลงชื่อ ปรากฏชื่อผู้เข้ารอบเพียงสี่ทีมหากทีมหนึ่งกลับมีวงเล็บในช่องลงลายมือชื่อว่าสละสิทธิ์
“เห็นว่าโดนสรรพากรเรียกสอบ สงสัยช็อตจากหัวถึงหางไปเลยละมั้ง” หนูพุกว่า
เขาเห็นข้อความจากเพื่อนมาเมื่อหลายวันก่อนว่าอยู่ ๆ ฝั่งนั้นก็โดนสรรพากรเรียก พบเรื่องหนีภาษีเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเนื่องจากทบกันมาหลายปีทีเดียว ต่อจากนี้เขาก็พอจะอนุมานได้ว่าปัญหาคราวนี้คงหนักหนาน่าดูกระทั่งงานใหญ่ที่สุดก็ปล่อยมือไปง่าย ๆ
“พี่ว่าเรื่องนี้มันเเปลก ๆ ไหม มีเรื่องเเบบบริษัทเราแล้วสรรพากรก็เรียกเลย เวลามันใกล้เคียงกันดีเนอะ” ปูนเอ่ยพลางนั่งลงที่โต๊ะหลังห้องประชุมซึ่งถูกตระเตรียมไว้สำหรับผู้เข้านำเสนอ
“ฮะ… เกี่ยวกันได้หรือ” หนูพุกขมวดคิ้วมุ่น มองเเผ่นหลังกว้างของคีรินทร์ที่เดินออกไปอย่างตั้งคำถาม
“พี่ภูแกเส้นใหญ่นะ เห็นทำเฉย ๆ แบบนั้น” คนอ่อนวัยกว่ากระซิบกระซาบ รีบพูดตอนที่เจ้านายปลีกตัวไปคุยกับคนอื่น
“อย่างนั้นหรือ…” หนูพุกพยักหน้าไปอย่างนั้น เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่ไม่มีอะไรมายืนยันลมปาก หากข้อสังเกตของปูนก็ทำให้เขาคลางเเคลงใจไปทั้งวัน
การพรีเซนต์ครั้งนี้ทำเอาหนูพุกเเอบเสียวสันหลัง เนื่องจากงานของทุกคนออกมาดีมาก ทุกเเง่มุมถูกคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบ จนกำลังใจของทีมสุดท้ายอย่างเขาเเอบฝ่อน่าดูเนื่องจากมีเวลาทำงานจริง ๆ เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น
“อย่าคิดมาก เราทำเต็มที่เเล้ว ยิ้มกว้าง ๆ ให้พี่กับปูนหน่อย เดี๋ยวหมดเเรงก่อนไปพรีเซนต์” หนูพุกหันมองคนที่ขยับเข้ามากระซิบ คลี่ริมฝีปากออกยิ้มกว้างจนตาหยี
“สู้นะครับ…” หนูพุกกำมือ คอยให้กำปั้นใหญ่โตกว่าเข้ามาชนอย่างครั้งที่แล้ว
ทั้งที่จะต้องเป็นคนออกไปนำเสนอเเท้ ๆ แต่ยังต้องมาให้กำลังใจลูกน้องอีก คนอะไรจะน่ารักและมีพลังล้นเหลือได้ขนาดนี้… หนูพุกไม่เสียดายจริง ๆ ที่ประทับใจคนตรงหน้ามาได้ตั้งเป็นสิบปี
“ตั้งใจฟังพี่ด้วยนะ”
หนูพุกพยักหน้า มองตรงไปยังร่างกายกำยำที่ยืนอยู่หน้าห้อง สไลด์พรีเซนต์คราวนี้เป็นสีอ่อนดูง่ายให้ถูกจริตกับคนฟัง น้ำเสียงนุ่มทุ้มอธิบายถึงการเปลี่ยนเเปลงพื้นที่ภายในไซต์ให้มีพื้นที่สีเขียวสำหรับคนทั่วไปที่สัญจรหรืออาศัยอยู่ในละเเวกนั้น
“พื้นที่สีเขียวและลานโล่งส่วนนี้จะเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาใช้พื้นที่ได้มากขึ้น เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้คนเมืองที่มักจะทำทุกอย่างอย่างเป็นระบบรวดเร็วกลับมาสัมผัสชีวิตที่ช้าลง เป็นพื้นที่ที่สนับสนุนให้เขาเป็นมนุษย์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่”
บนหน้าจอเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งที่จัดเป็นเนินสูงต่ำและมีต้นไม้ล้อมรอบ พร้อมทั้งให้รายละเอียดข้อดีข้อเสียของพันธุ์ไม้ที่คัดเลือกมา
“ทั้งนี้การเปิดให้คนทั่วไปเขามาใช้งานพื้นที่ได้ก็จะมีข้อดีเรื่องโอกาสการทำรายได้เพิ่มนอกจากกลุ่มเป้าหมายเดิม...” คีรินทร์อธิบายเพิ่มเติมถึงการใช้พื้นที่เเละโอกาสชักจูงให้บุคคลภายนอกรู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด
เมื่อผ่านส่วนคอนเซ็ปท์และการดีไซน์เเล้ว ปูนก็รับหน้าที่นำเสนอเรื่องการทำสวนเล็ก ๆ ที่สามารถปลูกไม้ยืนต้นขนาดเล็กได้ และวิธีการสร้างกำเเพงจากการปลูกต้นไม้ทนเเดนทนฝนขนาดย่อมรวมกันเพื่อปูผนังด้านหนึ่งให้เป็นสีเขียวช่วยผ่อนคลายสายตาเเละลดอุณหภูมิภายในอาคารด้วย
คราวนี้การนำเสนอและตอบข้อซักถามกินเวลานานกว่าที่คิด กว่าจะออกจากห้องประชุมได้ก็เกือบเที่ยงเเล้ว เขา พี่ภูและปูนจึงตัดสินใจหาอะไรใส่ท้องง่าย ๆ ก่อนจะกลับมาที่ออฟฟิศเพื่อถูกมรสุมงานอื่น ๆ อันชะงักไปในช่วงโม่โปรเจ็คถนนวิทยุถล่ม
กว่าหนูพุกจะเงยหน้าจากงานได้ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงเเล้ว เลขาหนุ่มตัดสินใจเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา เเวะห้องครัวหาน้ำหวานดื่มเเล้วก็คิดถึงคนที่ไม่ออกมายืดเส้นยืดสายนอกห้องทำงานบ้างเลย
“เหนื่อยมากไหมครับ” ครั้งนี้หนูพุกไม่ได้หอบเอกสารเข้ามาหาพี่ภูอย่างเคย ในมือมีผ้าขนหนูสีเข้มติดมาด้วย มันผ่านการแช่ในน้ำเย็นเเละหยดโคโลญจน์ที่เขาใช้ประจำแล้วบิดหมาดมาแล้ว
“เรานั่นเเหละ ทำเอกสารเเทนพี่เกือบหมดเลย ไหนจะของเต้ยอีก” คีรินทร์เอนหลังพิงเก้าอี้ ปรับมันเอนลงในองศาที่สบายขึ้น
“ทำได้ครับ ส่วนของพี่เต้ยพุกก็ทำแค่อันที่ด่วนมาก ๆ ก่อน” หนูพุกเอ่ยยิ้ม ๆ เเม้ว่าสภาพงานจะไม่ได้ชวนให้ยิ้มตามตรงไหน
“ถามหน่อยสิ… เราโกรธเต้ยมากหรือเปล่า” คนถามยืดตัวนั่งตรง มองลูกน้องอย่างพิจารณา
“ตอนแรกก็โกรธนิดหน่อยนะครับ แต่ก็เข้าใจเหตุผลที่พี่เต้ยจะสงสัยพุกได้... ยิ่งพอเรื่องมันออกมาเป็นเเบบนี้ยิ่งโกรธไม่ลงใหญ่เลย”
ครั้งสุดท้ายที่เห็นพี่เต้ยร้องไห้จนตาบวมน่ากลัวเเบบนั้นเขายิ่งสะท้อนใจ ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมีอะไร ทว่าลองได้ถูกคนไว้ใจทำเสียแสบอย่างนั้นเป็นเขาก็คงตั้งหลักไม่ถูกเหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าคนถามเงียบไป หนูพุกจึงเดินเข้าหาเขา บิดผ้าเเล้วยื่นให้เจ้านายใช้มันโปะลงบนเปลือกตา สัมผัสเย็น ๆ และกลิ่นหอมคงจะช่วยให้พี่ภูสดชื่นขึ้นได้บ้าง
“ปิดคอมก่อนดีกว่า พักเครื่องพักสายตาสักยี่สิบนาทีนะครับ ตาแดงหมดแล้ว” หนูพุกช่วยเขาเซฟงาน รูดมู่ลี่กันเเดดด้านนอกให้ด้วยเพื่อไม่ให้มันรบกวนการพักผ่อนของพี่ภูที่ไม่ค่อยได้หลับเต็มตื่นอย่างมนุษย์ปกติทั่วไป
“หนูพุก...” คนนอนปิดตานิ่งเอ่ยขึ้นเรียกคนกำลังจะเดินออกจากห้องต้องหันกลับมา
“ครับ”
“ขอบใจมากนะ ทุกเรื่องเลย...”
น้ำเสียงของเขาทำให้คนฟังใจลอยเหมือนถูกสูบลมเข้าไป รอยยิ้มกว้างขวางอย่างจริงใจจึงผลิออกอย่างไม่นึกอายเพราะอีกคนคงไม่เห็น
...อย่างน้อยที่สุดพี่ภูก็ยังเห็นคุณค่ากัน...
“ไม่เป็นไรครับ พุกเต็มใจมาก”
หนูพุกหย่อนตัวลงนั่งกับโต๊ะ เริ่มทำสรุปงบได้ไม่ทันไรโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมก็ปรากฏเบอร์แปลก ๆ เรียกเข้า จะไม่รับก็ไม่กล้าด้วยกลัวเป็นเรื่องงาน แต่หากรับแล้วเจอจำพวกขายประกันหรืออื่น ๆ เขาคงหงุดหงิดน่าดู
“สวัสดีครับ หนูพุกพูดครับ”
[ ผมกวีเองนะหนูพุก... ]
เขาขมวดคิ้ว หม่อมหลวงกวีจะโทรมาทำไมกัน หรือว่างานมีปัญหา… คราวนี้ก็ไม่ได้ซ้ำกับใครเเล้วนี่นา ซ้ำยังเป็นเบอร์ส่วนตัวอีกด้วย เรื่องคอขาดบาดตายอะไรหรือเปล่านี่
“ครับคุณกวี อยากให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่าครับ”
[ พอดีว่าผมไม่เห็นคุณเต้ยวันนี้เลยโทรมาถามน่ะ ] ฟังแล้วหนูพุกก็งงเต๊ก แต่สัญชาติญาณก็สั่งให้ตามน้ำไปก่อน
“ช่วงนี้พี่เต้ยลาพักร้อนครับ”
[ อ่า… โอเค พอดีผมติดต่อเขาไม่ได้เลย คุณพอจะรู้จักที่อยู่เขาหรือเปล่า ]
หนูพุกคิ้วพันกันหนักกว่าเก่า ไม่ยักรู้ว่าพี่เต้ยกับคุณกวีไปรู้จักมักจี่ถึงขั้นติดต่อกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“จริง ๆ พี่เต้ยอยู่คอนโดครับ ยังไงคุณกวีลองโทรหาดูอีกรอบก่อนไหมครับ”
[ เขาไม่อยู่น่ะ พอจะมีที่อยู่บ้านเขาไหม… ส่วนเบอร์โทรศัพท์ผมกวนคุณทวนให้ที เผื่อว่าผมจะเม็มผิดเลยติดต่อไม่ได้ ]
เสียงของอีกฝ่ายลื่นไหล แต่เล่นเอาหนูพุกกรามค้าง ถึงขนาดรู้ว่าไม่อยู่คอนโดนี่เกินคนรู้จักปกติไปหรือเปล่า แต่คนฟังก็ไม่กล้าถาม ด้วยกลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วงจนเสียมารยาท
“ผมรู้แค่ว่าเป็นร้านทองที่เยาวราชครับ แต่ว่าเห็นมีสามสาขา ไม่รู้ว่าสาขาไหนเหมือนกัน ยังไงเดี๋ยวผมถามคุณภูเเล้วจะโทรกลับดีไหมครับ”
[ ไม่ต้อง! เอ่อ... ผมหมายความว่าไม่เป็นไร เท่านี้ก็พอแล้ว ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะหนูพุก เดี๋ยวผมจะแวะไปหาเขาเอง ]
ที่สุดคุณกวีก็วางสายไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้เลขาหนุ่มทดลองลำดับความตื้นลึกหนาบางของความสัมพันธ์ไปเงียบ ๆ น้ำเสียงรีบ ๆ ลน ๆ มันคืออะไรกัน หรือจริง ๆ เขาจะคิดมากไปเองกันแน่
...แต่คนรู้จักที่ไหนถึงจะถามที่อยู่บ้านจากคนอื่นแล้วตามไปหา…
...มองมุมไหนก็ประหลาดจริง ๆ ...
--------------------------------------------------------------
กลับมาแล้วค่ะ กับความสัมพันธ์ที่คืบหน้าไปเท่าหางอึ่ง
เรื่องนี้เหมือนอะไรก็ไวไปหมด ยกเว้นพระ-นาย ผ่ามมม 555555

ปล. ตอนหน้าจะมาอีกทีวันเสาร์ค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ