Chapter 4
วันนี้หนูพุกเองก็ไม่ได้ต้องออกไปประชุมที่ไหน จึงถือวิสาสะแต่งตัวสบาย ๆ อีกวัน ชายหนุ่มส่องกระจกหนเเล้วหนเล่า ตลอดสัปดาห์นี้คงจะไม่ได้ใส่คอนเเทคเลนส์เนื่องจากยังรู้สึกเคืองตาอยู่บ้าง รองเท้าเเบบสวมก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สสีขาวดูอมฝุ่นนิดหน่อยเพราะเจ็บเท้าน้อยลงเเล้ว กางเกงสกินนี่เเละเสื้อยืดสีขาวทับดูเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาสีฟ้าอ่อน
หนูพุกยิ้มให้ตัวเองในกระจกอีกหน เรียกความมั่นใจเหมือนสมัยสอบไฟนอลไม่มีผิดแต่คราวนี้ไม่ใช่ เขาเพียงเเต่คำนึงถึงผัดกะเพรากุ้งที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องข้าว
หนูพุกไม่ได้คาดหวังให้มันอร่อยเหมือนร้านอาหารดัง แต่ก็หวังว่ามันน่าจะพอกินได้ อย่างพี่ภูชอบกินรสจัด เขาก็ตบพริกเพิ่มเเละใส่น้ำปลามากกว่าที่หม่าม้าบอกสักหน่อย
...กินกับข้าวแล้วมันก็น่าจะพอดีกัน...
ตอนเเรกหนูพุกกะว่าจะจัดให้เขาเป็นมื้อเช้าเเต่อีกฝ่ายโทรมาบอกว่าจะเข้าสายจึงต้องยกยอดไปเป็นมื้อกลางวัน วันนี้หนูพุกเข้าประชุมเเทนคีรินทร์เรื่องผู้รับเหมา ยิ่งนั่งในห้องก็ยิ่งหนาว เเทบไม่เชื่อสายตาเลยว่าคนที่มักจะมีรอยยิ้มประดับหน้าแผ่ออร่าใจดีจะเเปลงร่างกินหัวผู้รับเหมาหัวหมอจนหงอยไปตาม ๆ กัน
พี่เต้ยเป็นสถาปนิกที่คุมทีมเก่งมาก อีกทั้งงานบัญชีก็เนี้ยบมากด้วยแม้ว่าจะมีการจ้างพนักงานบัญชีประจำเเละจ้างผู้ตรวจสอบให้ทำการตรวจสอบอยู่ปีละหน ลีลาการต่อรองอันเกือบจะเรียกได้ว่า ‘หักคอ’ เรื่องค่าใช้จ่ายและเรื่องสัญญารับเหมางานเมื่อวานทำให้หนูพุกเเอบกลืนน้ำลาย
ไอ้ท่าทีเย็น ๆ ไม่มีขึ้นเสียงเเต่คู่สนทนากลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนลากขึ้นเขียงแบบนั้น
…สรุปเเล้วว่าอย่าเล่นตุกติกให้พี่เต้ยโกรธจะดีกว่า...
“วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือหนูพุก” เต้ยเปิดตู้เย็น หาขนมที่เขามักจะนำมาเเช่ไว้ฝั่งข้างประตูไปด้วย
“เดี๋ยวออกไปสตูดิโอกับพี่ภูตอนบ่ายสามครับ พี่เต้ยกินข้าวเลยไหม” หนูพุกหันมาถามขณะที่กำลังจัดข้าวให้เจ้านายในห้องครัวพนักงาน คีรินทร์เพิ่งจะโทรมาบอกเดี๋ยวนี่เองว่าเขาอยู่หน้าปากซอยแล้วเเละหิวมาก
“จัดเลยก็ได้ พี่ออกไปคุยงานแล้วกลับมา” เลขาหนุ่มยิ้มบางกับคนที่อยู่ไม่นิ่ง เดินถือช็อกโกเเล็ตไปข้างบนด้วย ยกโทรศัพท์กดสั่งอาหารร้านหน้าปากซอยแล้วจะมีเด็กเดินเข้ามาส่งแบบที่มักจะเป็นอยู่เสมอ
กล่องบรรจุอาหารสีเขียวอ่อนของหนูพุกถูกแกะวางลงบนโต๊ะพร้อมกับข้าวสวยจากร้านสะดวกซื้อสองกล่องก็กำลังถูกอุ่นร้อนอยู่ในไมโครเวฟ หนูพุกยิ้มน้อย ๆ เเละสบตากองทัพกุ้งในกล่องอย่างคาดหวัง พวกมันถูกปอกเปลือก ผ่าหลังเเละดึงหางออกหมดอย่างที่หม่าม้ามักจะทำให้กิน
‘สวยน้อยหน่อยแต่คนกินกินง่าย’ หนูพุกทำตามคำบอกของมารดาอย่างเคร่งครัดเเม้ว่าเจ้ากุ้งตัวลื่นจะตำปลายนิ้วให้ได้เจ็บไปหลายทีในคราเเรกก็ตาม
“พี่เต้ยรอก่อนนะครับ เดี๋ยวร้านมาเเล้ว” คนที่ดูตัวผอมบางเข้าไปอีกเมื่ออยู่ในเสื้อทับตัวโคร่งไม่ได้หันหน้ามา ยังคงสาละวนกับการเทข้าวสองถ้วยลงจาน
“พี่เอง… เฮ้ย กระเพรากุ้ง!” ภูชะโงกหน้ามามองบนโต๊ะอาหารเเล้วก็ยิ้มได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าเขาบอกว่าต้องการ ต่อให้หนูพุกหามันมาให้เขาไม่ได้ในตอนนั้น แต่อีกวันมันก็จะโผล่มาจนได้
เอาไว้ผ่านโปรเเล้วขึ้นเงินเดือนอีกหน่อยหวังว่าไอ้เต้ยคงไม่ดึงหูเขาจนยานนะ
“ร้านไหนหรือหนูพุก มีใส่ทัปเปอร์เเวร์ด้วย” คนช่างสังเกตนั่งลงมองกล่องพลาสติกสีเขียวอ่อน ยกมันขึ้นพิจารณาด้วยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมีร้านผูกปิ่นโตอยู่อีกหรือ
“อ๋อ พุกทำเองครับ เห็นพี่ภูพูดเมื่อวานเลยอยากกินเหมือนกัน”คนพูดทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสามัญเสียเต็มประดา แถมยังเดินออกไปเอาข้าวกล่องจากเด็กที่มาส่งหน้าตาเฉย
คีรินทร์ไม่มีทางรู้เลยว่าหัวใจคนทำมันเต้นรัวยิ่งกว่าเสียงกลองสะบัดชัยก่อนรบเสียอีก หนูพุกจ่ายเงินเสร็จสรรพเเล้วก็หิ้วกล่องพลาสติกใสเข้ามาในห้องครัว แกะเอาสุกี้เเห้งของเต้ยและผัดซีอิ๊วของตัวเองลงจาน ขณะที่พี่ภูกินอย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งถือช้อน อีกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย
“เรื่องผู้รับเหมาสรุปว่ายังไงบ้างหนูพุก” คีรินทร์เก็บโทรศัพท์ ใช้ส้อมจิ้มกุ้งเเล้วสะบัดเบา ๆ ทีสองทีถึงจะวางมันลงบนข้าว
“เรื่องที่ทำผิดสัญญาก็ปรับตามนั้นครับ ส่วนเรื่องบิลค่าต้นไม้ที่บวกเกินมาพี่เต้ยบอกว่าจะไม่ฟ้องเเต่ทางนั้นต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งต้นไม้ที่ลงไปกับต้นไม้ที่สั่งผิด ส่วนค่าต้นไม้ที่เราไปซื้อมาเพิ่มฝั่งนั้นก็ต้องจ่ายครับ” หนูพุกนั่งลงฝั่งตรงข้าม ระบายยิ้มตอนอีกฝ่ายชูนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าเยี่ยมเพราะปากยังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ
โดยธรรมชาติราคาต้นไม้หรือต้นทุนอื่นก็จะถูกบวกไป หาได้ยากที่จะมีใครตรงไปตรงมาเพราะอย่างนั้นจึงต้องยอมปิดตาข้างหนึ่ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นชุ่ยเสียขนาดนี้เต้ยจึงงัดเอาหลักฐานที่อีกฝ่ายบวกค่าใช้จ่ายเกินความจริงเข้ามาตีเเสกหน้า ให้จ่ายเงินค่าปรับจนหลังอาน
“โอ้โห หอมกระเพราออกไปถึงข้างนอก” คนตัวสูงโปร่งเลื่อนประตูกระจกปิด ทำเป็นพูดไปอย่างนั้นเองเมื่อเห็นว่าเพื่อนกินท่าทางดูเอร็ดอร่อย แม้ในความเป็นจริงคีรินทร์จะเป็นพวกกินอะไรก็ดูอร่อยไปเสียทุกอย่างก็เถอะ
“กินมั่ง” ส้อมในชามสุกี้โผมาเสียบกุ้งเข้าปากไปหนึ่งตัว
“เชี่ย… ร้านไหนวะ กินหมดปุ๊บก็หาหมอฟอกไตเลย” เต้ยทำหน้าเหยเก ได้แต่คว้าเเก้วน้ำมาจิบ
“เค็มมากเลยเหรอครับ” คนทำหน้าเสีย เมื่อเช้าต่อนตื่นมาทำเขาก็ว่ากะตวงดีเเล้ว ชิมตอนร้อน ๆ ก็ยังว่ารสอ่อนไปหน่อยจนต้องเติมน้ำปลากับซีอิ๊วขาวเพิ่มเพื่อให้จัดขึ้นเเบบที่พี่ภูชอบ
เอ๊ะ… หรือว่าจะใส่มากไป หลังใส่ก็ไม่ได้ชิมเสียด้วยเพราะกลัวมาทำงานสายเลยรีบตักลงกล่อง
...แย่เเล้ว...
“มาก! พี่ลิ้นพังแล้วหนูพุก” เต้ยบ่นหงุงหงิง ตวัดช้อนตักเอาผักบุ้งผัดเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ
“กับข้าวเขาทำมาให้กินกับข้าว มึงกินเปล่า ๆ มันก็เค็มสิ” พูดไปก็เอาเท้าสะกิดเพื่อนไปด้วย ไม่อยากให้คนทำเสียน้ำใจถึงว่ามันจะเค็มไปหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเสียหายอะไร แค่อาจจะต้องตักข้าวเพิ่มกว่าปกติอีกนิดรสชาติถึงจะพอดีกัน
“พุกขอชิมบ้างครับ” พอหนูพุกยกช้อน เขาก็ตั้งการ์ดด้วยช้อนส้อมเป็นรูปกากบาทอยู่เหนือกล่อง
“ไม่ให้เเล้ว เดี๋ยวหมด”
“โธ่… มันไม่อร่อยก็อย่าไปกินสิครับ เดี๋ยวพุกสั่งให้ใหม่” คุณเลขาวางช้อน ตั้งใจจะยกกล่องข้าวออกเเล้ว แต่อีกฝ่ายเอามือเข้ามารองไว้
“พี่กินได้น่ะ อร่อยเเล้ว ไอ้เต้ยมันลิ้นไม่ถึง” คนโดนพาดพิงเลิกคิ้วกับคำว่าลิ้นไม่ถึง
ไม่ถึงที่ว่าคือไม่ถึงกับลิ้นจระเข้เเบบมันน่ะสิ!
“คือมันก็ไม่ได้เค็มขนาดนั้น พี่ก็พูดไปแบบนั้นเองเเหละ” เต้ยอ้าปากเพราะโดนเพื่อนเหยียบเท้าซ้ำ ดูท่าผัดกะเพรากล่องนี้คงจะมีอะไรเเน่ ๆ
“อย่าโกหกเลยครับ กินอย่างอื่นเถอะนะ” หนูพุกขอร้องจนเสียงอ่อน ความมั่นใจหดหายเข้ากระดองไปหมด
“ทำไมดื้อขนาดนี้ พี่หิวข้าว จะกินต่อเเล้ว” คีรินทร์ขมวดคิ้ว เกร็งข้อมือไม่ให้อีกฝ่ายเอาไปได้
“พี่ภูนั่นเเหละดื้อ ไม่ให้กินเเล้วครับ” หนูพุกไม่ยอมเเพ้ พยายามจะดึงมันกลับมาด้วยความสุภาพ เเต่กล่องเจ้ากรรมดันพลิกจนกระเด็นเข้าเสื้อเจ้านายไปแล้ว
เขาอ้าปากค้าง ผัดกะเพราเค็มก็ส่วนหนึ่ง แล้วนี่ยังมาหกรดเสื้อพี่ภูให้ปวดใจอีก
ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าจะไม่กินเมนูนี้ไปอีกสามเดือน!
สุดท้ายผัดกะเพรากล่องนั้นก็ถึงกาลอวสาน เมื่อกุ้งกว่าครึ่งกล่องหล่นเผละลงบนโต๊ะ คราบสีเข้มกระฉอกลงบนเสื้อเชิ้ตที่ควรจะต้องใส่ไปสัมภาษณ์ หนูพุกอยากจะร้องไห้เหลือเกิน…
“ขอโทษครับ พี่ภูล้างก่อนดีกว่า” แม้จะรู้ว่ามันเเก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เขาก็ยังดึงคนตัวสูงกว่ามาที่ซิงค์ล้างจาน ตาลีตาลานเอากระดาษทิชชูซับคราบเปื้อนบริเวณกลางอกแล้วค่อยใช้น้ำเเตะออกให้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปซื้อใหม่ด้วยกันนี่ล่ะ” เขาเเตะไหล่หนูพุกแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนหกที่เลอะพี่เต้ยจัดการช่วยทำความสะอาดให้เเล้ว
“งะ… งั้นเดี๋ยวพุกโทรสั่งข้าวให้ใหม่นะครับ” หนูน้อยตาเเดงเเล้ว ชิงชังเวลาที่ตัวเองเงอะงะงุ่มง่ามเหลือทน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่กินต่อ ยังเหลืออีกตั้งเยอะ หนูพุกกินเถอะ เดี๋ยวจะได้ออกไปเร็วหน่อย” เสียงราบเรียบนั้นยิ่งทำให้หนูพุกคอตก ถึงจะตาเเดงแต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด
จากมื้ออาหารที่ควรจะน่าประทับใจกลายเป็นมื้อที่เละเทะที่สุด ราดหน้าหมูนุ่มเจ้าที่ชอบก็ดูเหมือนจะฝืดเฝื่อนขึ้นมา แต่พี่ภูก็ยังคงกินผัดกะเพราเค็มเเสนเค็มนั้นจนกุ้งหมดกล่องโดยปราศจากคำพูด
จากตอนเเรกที่ตั้งใจจะออกเร็วหน่อยเพราะต้องซื้อเสื้อเปลี่ยนก็กลายเป็นว่าคีรินทร์ต้องติดเเหง็กอยู่ในห้องทำงานเพราะประชุมโปรเจ็กต์รีสอร์ทติดพัน หนูพุกจึงถือโอกาสโบกมอเตอร์ไซค์ออกไปที่ถนนใหญ่ โชคไม่ดีที่ร้านเสื้อผ้าใกล้ๆไม่เปิดวันนี้ เขาเลยต้องตระเวนหาสื้อยืดสีขาวไซส์พี่ภูในร้านสะดวกซื้อถึงสามเเห่งกว่าจะได้มา
หนูพุกไม่กล้าพูดอะไรกับคีรินทร์มากตอนเขาประชุมเสร็จเพราะดูท่าเเล้วน่าจะอารมณ์เสียมากพอดู ทำได้เพียงแต่ยื่นเสื้อยืดสีขาวให้เขาเปลี่ยน ขอกุญเเจรถเขามาเปิดเอารองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลมาเปลี่ยนเเทนรองเท้าหนังสีเข้มที่อีกฝ่ายตั้งใจว่าจะใส่ไป สุดท้ายชุดค่อนข้างเป็นทางการที่จะต้องสวมทับด้วยเเจ็คเก็ตสูทสีกรมท่าก็ถูกเปลี่ยนเป็นลุคที่ดูลำลองกว่าเก่าเเต่ก็ไม่ได้ขาดความภูมิฐานไป
“พุกขับให้ไหมครับ” หนูตัวลีบเอ่ยถามเเผ่วเบาพยายามจะทำดีล้างผิดเเต่เจ้านายส่ายหน้า คงจะกลัวหนูพุกเอารถเขาไปเสยท้ายใครเข้าแหง ๆ
“ทวนคำถามสัมภาษณ์ให้พี่ก็พอ”
ตลอดทางหนูพุกจึงได้แต่ถามคำถามที่เคยสกรีนและพิมพ์คำตอบคร่าว ๆ ส่งให้ทีมงานแล้ว เกือบครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็ถึงสตูดิโอเเถว ๆ ถนนพระอาทิตย์ หนูพุกไม่เคยเข้าทำงานในสตูดิโอเเบบนี้มาก่อน เขาเพียงเเต่มานั่งเป็นเพื่อน หรืออีกนัยหนึ่งคือมานั่งเฝ้าในขณะที่พี่ภูเข้าไปในเซ็ทเพื่อถ่ายภาพ
การสัมภาษณ์จะทำทั้งสิ้นสองครั้งเป็นภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษ โดยเเบบภาษาไทยจะเป็นการนั่งพูดคุยเพื่อลงบทสนทนาในคอลัมน์ในนิตยสารเท่านั้น แต่การสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษจะมีเนื้อหาต่างกันนิดหน่อยเเละถูกอัดวีดิโอเพื่อลงบนเว็บไซต์เป็นการทำคอนเท้นท์ภาษาอังกฤษเพื่อตีตลาดคนรุ่นใหม่
หนูพุกปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่ภูเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดีพอดู เพราะเมื่อถึงเวลางานสวิตช์อารมณ์เสียของเขาก็ถูกปิด เขายิ้มเเย้มทำทุกอย่างตามที่ทีมงานขอได้อย่างสมบูรณ์เเบบทีเดียว จะมีก็เเต่ตอนถ่ายเเบบที่จะดูติดขัดไปบ้างเวลาต้องโพสท์ท่า
...พี่ภูเป็นพวกไม่ชอบกล้อง…
กว่าจะเสร็จก็โพล้เพล้เต็มทีเเล้ว หนูพุกเลยกะว่าจะกลับบ้านเอง ทนไม่ได้หรอกที่จะต้องนั่งเงียบ ๆ ภายในห้องปิดล้อมกับบรรยากาศอึมครึม
“แยกกันเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวพุกกลับเอง พอดีนัดเพื่อนไว้เเถวนี้” คุณเลขายิ้ม แต่คงไม่รู้ตัวว่ามันเเห้งเเล้งพิกล
“กลับดี ๆ ล่ะหนูพุก” คีรินทร์พยักหน้า ยกมือถือขึ้นกดโทรออก มุ่งตรงไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดไว้ริมถนน
หนูพุกหันหลังให้เขา เดินเลาะฟุตปาธไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงสวนสันติชัยปราการ พระอาทิตย์ลับไปเเล้ว เหลือเพียงเเต่สนามหญ้าที่หลงเหลือผู้คนอยู่ไม่เท่าไหร่ เเละเเสงไฟส่องไปตามจุดต่างๆของสวนเเละป้อมพระสุเมรุ
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบ้นม้านั่งว่าง มองผืนน้ำเบื้องหน้าที่มืดสนิท มีแสงไฟจากเรือล่องเเม่น้ำเจ้าพระยาผ่านตาบ้างแต่เขาไม่ได้สนใจมันเท่ากับเสียงคลื่นน้ำที่ซัดเข้ากระเเทกผนังปูน อย่างน้อยหนูพุกก็ควรจะพิจารณาตัวเอง ตั้งเเต่เข้ามาเริ่มงานที่นี่เขาทำอะไรสิ้นคิดไปไม่น้อย มีเเผนจะอ่อยเจ้านายบ้างล่ะ สุดท้ายมันก็จบไม่เป็นท่า ความคาดหวังที่จะได้เห็นรอยยิ้มประทับใจของอีกฝ่ายในวันนี้พังทลายลงเเล้ว
กับแค่คนที่เคยทำให้หนูพุกประทับใจ และประทับใจยิ่งขึ้นในความดีตอนกลับมาเจอกันอีกหนโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นจะรู้ตัวด้วยซ้ำ พอผิดพลาดจนเขาโกรธเข้าหน่อยก็ถึงกับเสียความรู้สึกจนต้องมานั่งอมทุกข์อยู่คนเดียว
...ไม่เข้าท่าเลย...
หนูพุกสะบัดหัวราวกับอากัปนั้นจะช่วยสลัดความกังวลใจออกไปได้ เขาหลับตาลงปล่อยให้กระเเสลมเย็น ๆ พัดเข้าปะทะหน้า หวังว่าอย่างน้อยมันก็จะช่วยเรียกสติและพัดพาเอาความรู้สึกไม่ดีออกไปจนหมด
“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้” ดวงตาเรียวรีลืมขึ้นมือได้ยินเสียงทุ้มคุ้นเคยเเละเสียงฝีเท้าหยุดจากด้านหลัง
“อ้าวพี่ภู พุกนึกว่ากลับไปแล้ว” ชายหนุ่มขยับให้เขานั่ง ยิ้มชืด ๆ หลีกเลี่ยงที่จะสบตา ไม่ได้เเก้ตัวเรื่องที่โกหกด้วยซ้ำ
“โดนแคนเซิลนัดแล้ว ไหนเพื่อนเราล่ะ” คีรินทร์นั่งลง ไม่ได้มองหนูพุกเช่นกัน แต่วางสายตาไว้ที่เงาคนที่เคลื่อนไหวล้อกับเเสงไฟอยู่เบื้องหน้า
“โดนแคนเซิลเหมือนกันครับ” คนอ่อนวัยกว่าตอบด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ขอยืมเหตุผลเขามาใช้บ้าง
เวลาถูกปล่อยให้ไหลไป หนูพุกไม่พูด เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกัน
“เรื่องวันนี้… ขอโทษนะครับ” หนูพุกหันมองพี่ภู เหมือนถูกสะกดไปกับใบหน้าสลักเสลาที่ต้องเเสงไฟสีนวล
“หืม… เรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่เราทำกับข้าวที่พี่อยากกินมาให้ หรือเรื่องที่เราต้องวิ่งออกไปซื้อเสื้อมาให้พี่” เขายิ้มมุมปาก ทอดเสียงอ่อนโยนจนคนฟังอ่อนยวบ
...ชอบเขาเป็นทุนเดิมนี่นะ...
“กับข้าวไม่อร่อย แล้วพุกก็ซุ่มซ่ามทำเสื้อพี่เลอะ มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย” เลขาหนุ่มก้มหน้า เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่พนักงานมืออาชีพจะมานั่งระบายความไม่สบายใจกับเจ้านาย
“มันไม่ได้ไม่อร่อยขนาดนั้น ก็เห็นอยู่ว่าพี่กินได้ ส่วนเรื่องเสื้อมันเป็นอุบัติเหตุ พี่เข้าใจ” ดวงตาคมโตหันมามองคู่สนทนา “เรื่องที่หงุดหงิดไปพี่ก็ขอโทษเหมือนกัน หลายเรื่องมันมารวมกันวันนี้น่ะ”
“อะ… เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พี่ภูไม่ได้ผิดอะไร” หนูพุกพูดตะกุกตะกักเเล้ว ไม่นึกว่าเขาจะเอ่ยปากขอโทษกันทั้งที่ไม่ได้จำเป็นอะไร
“ไปกินข้าวกันไหม ไหน ๆ ก็ว่างกันทั้งคู่” เขาชวนเหมือนมัดมือชกเพราะลุกขึ้นเเล้ว
“งั้นพุกเลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษที่ทำพี่ภูเกือบต้องไปฟอกไต” หนูพุกเดินตาม สับขาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยจนขึ้นไปเดินเคียงกัน
“จำเเม่นจังนะ อย่าไปคิดมากเลย พี่ทำกับข้าวห่วยแตกกว่าหนูพุกเยอะ”
ชายหนุ่มหัวเราะ เล่าประสบการณ์การทอดไข่เจียวที่ทำยังไงก็ไม่สามารถพลิกกลับให้มันเป็นเเผ่นเดียวเเบบที่คนอื่นทำได้ เรื่องลองทำข้าวผัดมาสามหนแต่รสชาติออกมาเหมือนข้าวไอ้เอ๋งทุกรอบไปนั้นก็ถูกเล่าด้วย
แถบถนนข้าวสารคืนวันศุกร์คราคร่ำไปด้วยผู้คนสารพัดเชื้อชาติ ทั้งคู่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในเส้นที่มีบาร์เปิด แต่กลับหยุดลงตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ จองเก้าอี้ในซุ้มร้านสุกี้กระทะร้อนคนละตัว
“เอาสุกี้ไก่หนึ่ง หมูหนึ่งครับ” หนูพุกสั่งกับพนักงานเสื้อขาว เอี้ยวหลังไปจ่ายเงินให้กับเด็กที่ถือตะกร้าขวดน้ำ
“พี่ไม่ได้มาสักพักแล้วนะเนี่ย” คีรินทร์ยิ้ม เขาไม่ได้มาที่นี่นานมากพอดู ถ้าจะมาก็มาปาร์ตี้กับลูกน้องในออฟฟิศ มาเลี้ยงเหล้าพวกมันบ้างตามโอกาสพิเศษ
“พุกก็เหมือนกัน ไม่ได้เดินเล่นมานานเเล้ว” หลังเรียนจบ เขาก็ยังพอมีเวลาบ้างนัดเจอเพื่อนบ้าง แต่ที่สุดเเล้วสิ่งที่เรียกว่างานก็ทำให้กลุ่มเพื่อนเเยกกันทีละน้อย มากันไม่ครบพร้อมจนได้คุยกันเเต่ในไลน์กรุ๊ปหรือนัดเจอกันบ้างตามโอกาสสำคัญ
“รีบกลับหรือเปล่า พี่ว่าจะเดินเล่นหน่อย” เลขาหนุ่มส่ายหัว ยังไงวันพรุ่งนี้ก็วันหยุด จะตื่นสายสักหน่อยคงไม่เป็นไร
“เอาสิครับ” หนูพุกจะจ่ายเงิน แต่พี่ภูกลับชิงยื่นแบงค์สีม่วงก่อน
“พี่เป็นเจ้านายนะ ให้หนูพุกออกได้ยังไง” เขายิ้ม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเเพ้
“หมดเวลางานเเล้วครับ” ฟังเเล้วคีรินทร์ก็ยิ้ม
“แต่พี่แก่กว่า ยังไงก็ต้องออกอยู่ดี” มือใหญ่รับเงินทอน ออกเดินนำฝ่าฝูงชนเข้าไปท่ามกลางเสียงเพลงและผู้คน
หนูพุกยิ้มบางกับคนเจ้าเหตุผล เดินเคียงข้างเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ่งเดินลึกเข้าไปคนก็ยิ่งเยอะ เสียงจากบาร์เปิดดังกระหึ่ม โทรศัพท์มือถือที่สั่นขึ้นทำให้คีรินทร์ต้องหยุดรับมันและตั้งใจเดินให้สุดถนนเพื่อให้เสียงรอบข้างจางลงบ้างไม่อย่างนั้นคงพูดกันไม่รู้เรื่องจนเผลอลืมคนที่เดินมาด้วยกัน
หนูพุกพยายามจะก้าวให้ทันคนที่เดินเร็ว แต่น่าเสียดายที่คนเยอะมากเขาจึงตามคนตัวใหญ่ที่มัวเเต่พูดโทรศัพท์ไม่ทัน กว่จะเดินออกมาจนสุดซอยได้พี่ภูก็หายไปแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจ เดี๋ยวก็คงเจอกันเอง หรือไม่อีกฝ่ายก็คงจะโทรมา หนูพุกเดินเข้าซอยไปอย่างอ้อยอิ่ง สายตามองร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับรายทางไปเรื่อย หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเจ้านายในที่สุด หากกลับได้ยินเสียงสัญญาณให้ฝากข้อความแทนเสียนี่ ก็เลยกะว่าอีกสิบนาทีคงจะโบกเเท็กซี่กลับคอนโดเเล้ว
“หนูพุก!” เสียงทุ้มตะโกนขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับสัมผัสหนัก ๆ ที่หัวไหล่ มือใหญดึงเขาเข้าหาจนเซ
“โทษที กะน้ำหนักไม่ถูก พี่ว่าจะโทรหาเราเเต่เเบตหมด” เขาชูโทรศัพท์ให้ดูว่ามันดับลงจริง ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ร้อนไหมเนี่ย” เหงื่อเม็ดเป้งพรูอยู่ตามไรผม ถ้าไม่หลงตัวเองจนเกินไปหนูพุกก็คิดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายคงเดินตามหาเขาอยู่
“ไม่เท่าไหร่” เขายกแขนเอาชายเเขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ “พี่เเวะตรงนี้เเป๊บนึง” เขาเรียก หยุดลงตรงร้านเคบับรถเข็นแถมยังหันมาถามอีก
“เอาไหม พี่ยังไม่ค่อยอิ่ม”
“กินไม่หมดหรอกครับ เดี๋ยวกินอย่างอื่นดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้ม เดินไปซื้อน้ำส้มคั้นสดจากร้านข้าง ๆ กันอีกสองขวด
คีรินทร์เดินไปกินไป หยุดดูข้าวของที่คล้ายกันไปเสียทุกร้านบ้าง แต่ร้านที่เห็นจะหยุดนานหน่อยก็คงเป็นร้านสร้อยข้อมือเเบบถักที่มีคุณป้าวัยเกษียณนั่งถักไปด้วยขายไปด้วย
“ลองได้นะคะ” คุณป้าหันมายิ้มใจดีตอนหนูพุกหยิบสร้อยข้อมือที่เตะตาเส้นเเรกขึ้นถือ มันเป็นเชือกถักสีฟ้า ขาว และเเดงตุ่น ๆ
“อันนี้ก็สวยนะคุณ” คุณป้ายื่นอีกเส้นที่เพิ่งจะถักเสร็จใหม่ ๆ ให้ มันเป็นเกลียวสีน้ำตาลเข้ม ส้ม เเละขาวสานต่อกัน
คนซื้อพิจารณาดูสร้อยสองเส้นเทียบกัน อันเเรกเป็นเเบบเชือกรูดเข้าหากันธรรมดา แต่สวยเตะตาจนต้องหยุดเเวะ อีกเส้นเป็นเเบบที่คุณป้าเเนะนำ มันมีลูกเล่นเเละสีสันฉูดฉาดกว่า
“สวยนะ” เขาออกความเห็นถึงสร้อยถักอันหลังแล้วหันไปงับแป้งสอดใส้ในมืออีกคำ
“พี่ภูเอาด้วยไหม” หนูพุกถาม แต่คนตัวสูงกว่าส่ายหน้า เขาเเค่เห็นเพียงว่ามันน่าจะเข้ากันดีกับข้อมือของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
“ผมเอาอันนี้เเหละครับ ชอบมาตั้งแต่เเรกเเล้ว” ที่สุดเเล้วหนูพุกก็เลือกเส้นที่หมายตาไว้เเต่เเรก เขาชอบอะไรที่มันดูธรรมดา ใส่ได้ทุกวันไม่มีเบื่อมากกว่า
“สองเส้นป้าลดให้นะ” หญิงมีอายุยังคะยั้นคะยอ แต่หนูพุกส่ายหน้า ควักแบงค์ยี่สิบให้สองใบ
“อันเดียวก็พอเเล้วครับ” มือเรียวบางหยิบสร้อยข้อมือมาสวมเลย ไม่เอาถุงพลาสติกใบจิ๋วของเเม่ค้า
“ขี้เห่อ” คีรินทร์หัวเราะในลำคอ มองคนที่ยกข้อมือตัวเองขึ้นพินิจ
“เขาเรียกว่าลดโลกร้อนต่างหาก” หนูพุกยักคิ้วให้พลางเอ่ยถามคนที่กินหมดพอดี “พี่ภูจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่าครับ”
“กลับเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เขาเมียงมองหาถังขยะ แต่คงต้องเดินไปจนสุดถนน ไม่ได้สังเกตเลขาหนุ่มที่ออกเดินตามหลังว่าอีกฝ่ายเสหลบ ซุกซ่อนหน้าร้อนผ่าวเลี่ยงไปมองคนพลุกพล่านหน้าร้านเหล้าเพราะความพองฟูจนล้นอกกับแค่การไปส่งที่ห้องเท่านั้นเอง
“เอ๊ะ…”
นั่นคุณแดนนี่นา
แดนดินเป็นสถาปนิกวัยไล่เลี่ยกันกับหนูพุก เขารูปร่างสูงมากทีเดียว ดูเหมือนจะสูงที่สุดในบริษัทเลยด้วยซ้ำ หนูพุกได้ยินว่าเขาอยู่กับบริษัทมาตั้งแต่หลังพี่ภูเริ่มตั้งบริษัทไม่นาน จนตอนนี้คุณแดนก็ยังอยู่ในทีมออกแบบของพี่เต้ย นอกจากจะเป็นลูกน้องเเล้ว ก็ยังควบตำแหน่งเเฟนหนุ่มอีกต่างหาก
แล้วนั่นเขามากับใครกัน ดูท่าทีสนิทสนมกับผู้ชายอีกคนไม่น้อยจากระยะห่างของร่างสองร่างที่พากันเดินหายลับเข้าไปในบาร์ หนูพุกขมวดคิ้วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่มานั่งติดใจสงสัยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นทั้งที่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป
“มีอะไรหรือ” คีรินทร์มองตามเมื่อเห็นว่าคนอ่อนกว่าทำหน้าเหมือนเจอคนรู้จัก
“เหมือนพุกเห็นคุณเเดน แต่คงแค่หน้าคล้ายเฉยๆ”
หนูพุกออกเดิน ได้ยินพี่ภูพูดพึมพำอยู่ในลำคอ นึกถึงอีกเหตุผลที่ทำให้วันนี้เขาหงุดหงิดเหลือเกินกับงานออกเเบบที่ไม่ตรงกับคอนเซปต์ที่เคยคุยกันไว้ แถมยังตอบโจทย์ฟังก์ชั่นได้ไม่ครบถ้วนดีจนต้องนั่งปรับความเข้าใจกันอยู่นานสองนาน
“ไม่น่าใช่หรอก เพิ่งโดนรีเจ็คงานไป ป่านนี้คงแก้หัวยุ่งอยู่นั่นล่ะ”
---------------------------------------------------------------------------
หนูพุกอย่าท้อลูกกก ;-; กระดึ๊บขึ้นมานิดนึงเเล้วนะ อย่าถอดใจ

ฝาก #พิชิตภู ในทวิตเตอร์ไว้กับทุกคนด้วยนะคะ /ไหว้ย่อ