Chapter 8
อากาศช่วงพักกลางวันหน้าฝนไม่เป็นที่ประทับใจของหนูพุกนัก วันนี้ฟ้าปิดจนเเทบไม่เห็นเเดดเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นแต่เมฆสีเทาแต่ฝนไม่ยักตก อากาศก็ร้อนอบอ้าวจากที่หงุดหงิดเรื่องที่ทำงานอยู่แล้วก็น่าหงุดหงิดเข้าไปอีก นิ้วเรียวเเตะลงบนแอพพลิเคชั่นสีฟ้า สำรวจอะไรต่ออะไรไปเรื่อย… เทรนด์ช่วงนี้ที่เห็นบ่อยหน่อยก็บอลโลก
เขาไม่ได้อินอะไรกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ไม่ได้เชียร์ทีมไหนเป็นพิเศษ หนูพุกรามือจากหน้าจอเล็ก ๆ มองชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อว่างเปล่าของตัวเองเงียบ ๆ ตั้งใจว่าจะเรียกเด็กมาเก็บเงินหากดวงตาเหลือบไปเห็นสถานะของสถาปนิกสาวที่เขาเพียรนั่งหารายชื่อผู้ติดต่อที่ดูจะเข้าเค้ากับผู้ต้องสงสัยมาทั้งวันแต่ก็ไม่เจออะไรที่น่าพอใจ
‘เป็นไทแล้วเว้ย!’
หนูพุกเลื่อนปลายนิ้วลงไปที่ช่องคอมเมนท์ใต้สถานะเฟสบุ๊กของเพื่อนสาว สิ่งที่ทำให้หนูพุกสนใจจะอ่านมันต่อไปคงจะหนีไม่พ้นข้อความเเสดงความยินดีจากเพื่อนของเพื่อนในทำนองเเสดงความยินดีกับการลาออกเเละได้งานใหม่ของหญิงสาว
หนูพุกตัดสินใจโทรติดต่อฝ่ายนั้นทันที เขาพอจะจำได้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูมีความสุขกับงานที่ทำเท่าไหร่ คงเป็นโชคดีของเขาที่อีกฝ่ายรับสายทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคอยนานนัก
เขาถามไถ่ถึงเรื่องสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อย ก่อนจะเข้าเรื่องประเด็นการลาออกที่เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง สถาปนิกหัวหน้าทีมพรีเซนต์โครงการใหญ่ซึ่งดูคล้ายจะไปได้สวยดันจะลาออกกลางคัน
...มันควรจะมีเเรงจูงใจมหาศาลทีเดียวกับการต้องออกจากงาน...
[ จริง ๆ ก็จะลาออกมานานแล้ว ทุกวันนี้เหมือนโดนบีบออกนั่นเเหละเเก ]
“หืม… บีบออกเลยหรือ”
เลขาหนุ่มก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ… เขายังเหลือเวลาอีกสิบห้านาทีกว่าจะได้เวลาเข้างานตอนบ่าย หนูพุกเปลี่ยนใจไม่เรียกพนักงานในร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าใกล้ออฟฟิศมาเก็บเงิน แต่เเกะขนมถ้วยที่มีวางไว้ทุกโต๊ะขึ้นกินไปด้วย
[ ทำนองนั้นเเหละพุก จริง ๆ ก็เป็นมาได้สักพักแล้วนะ เวลาฉันเสนองานไปก็โดนตีกลับมาแก้ตลอด ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าฉันงานห่วยขนาดนั้นเลยหรือวะ ] เธอรำพันความทุกข์ใจ
“แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่ามันคือการบีบออก”
[ เขาไม่ป้อนงานให้เลย ให้นั่งว่างติดเก้าอี้ไปอย่างนั้นแล้วบอกว่าจะให้ฉันเป็นหัวหน้าทีมทำโรงเรียนศิลปะ แต่พอถึงเวลาไอ้โครงการนี่เขาก็ล็อบบี้ให้พัฒนาแบบต่อจากที่เขาคิดมา บอกตรง ๆ ว่าอึดอัดว่ะ มันเหมือนฉันเป็นตัวไม่มีประโยชน์ แกนึกออกไหม ]
จากที่หนูพุกพยายามจะฟังหูไว้หูคิดว่าเพื่อนตัวเองอาจมีส่วนร่วมกับการขโมยข้อมูลก็เริ่มจะคิดว่าเรื่องนี้มันเเปลกเเปร่ง จึงได้แต่ฟังต่อไป
[ ‘แล้วเรื่องนี้มันก็บ้าขึ้นเรื่อย ๆ วันที่ฉันไปเจอบริษัทแกพรีเซนต์งานอยู่หน้าห้องประชุม… งานมันคล้ายกับอันที่เจ้านายให้มามากเลยว่ะ อันที่จริงมันก็ทะเเม่ง ๆ ตั้งแต่แบบครั้งแรกแล้ว ]
“ยังไงวะ” มือเรียววางถ้วยเคลือบขนาดเล็กที่ว่างเปล่าเเล้วลงและเริ่มต้นอีกถ้วยหนึ่งให้ครบคู่
[ ก็ไฟล์ที่เขาให้ฉันมาทำต่อมันคืองานที่เหมือนจะเสร็จแล้ว แกเก็ทไหม ยิ่งมาเจอของบริษัทแกวันนั้นฉันก็ยิ่งสงสัยว่ามันคล้ายกันจนเหมือนลอกกันมาเลย… ]
คนฟังหัวเราะในใจ เพื่อนเขาคงช็อคจนหงายหลังเเน่ถ้าพบว่าไฟล์จริงก่อนพรีเซนต์เป็นเเบบไหน
[ ฉันก็ไม่ได้อ่อนหัดขนาดจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันมีนอกมีในแน่ ๆ ไม่อยากโดนหางเลขไปด้วยเลยชิงลาออกก่อน ตอนนี้ก็ได้งานใหม่แล้ว แฮปปี้ ] เธอหัวเราะ คล้ายกับว่าสิ่งที่เผชิญเป็นฝันร้ายที่ผ่านพ้นไป
“แต่ตอนนี้ฉันไม่แฮปปี้ว่ะ คนเกือบทั้งออฟฟิศดันเชื่อไปแล้วว่าฉันเป็นคนขายความลับบริษัท”
หนูพุกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เขายังจับมือใครดมไม่ได้ หากพอจะรู้ว่าไอ้เรื่องที่เขาโดนกันจากโปรเจคใหญ่เเพร่กันไปถึงไหน แม้ว่าพนักงานรวมเเล้วจะมีไม่ถึงสิบชีวิตดี แต่เพราะคนยิ่งน้อยนั่นล่ะ ข่าวก็เลยยิ่งไวเป็นไฟลามทุ่ง
[ เวร… แกจะทำไงต่อไปอ่ะ ]
“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ยังไงฉันต้องพิสูจน์ก่อนว่าฉันไม่ใช่คนผิด”
ไม่ใช่ว่าหนูพุกไม่โกรธ เขาต้องอดทนทำงานมาหลายวันท่ามกลางคำครหาอย่างเงียบเชียบ จะขยับตัวไปไหนมาไหนก็มีเเต่สายตาเพ่งเล็ง พี่เต้ยเเทบจะไม่เสวนากับเขานอกจากการคุยธุระหรือการสนทนาไปตามมารยาท
ยิ่งไปกว่านั้นเขาโกรธพี่ภู ฝ่ายนั้นไม่มีแม้เเต่การพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ดันตัดเขาออกมาดื้อ ๆ เหมือนงานนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หนูพุกคิดว่าตัวเองไม่ควรเลยที่จะต้องมาเผชิญสถานการณ์อันเลวร้ายในเมื่อเขาทำงานให้ด้วยความขยันเเละซื่อตรง
...ในฐานะคนทำงาน เขาเกลียดการเทให้หมดหน้าตักแต่กลับไม่ได้รับความไว้วางใจสักกระผีก...
[ แล้วแกจะพิสูจน์ยังไง ]
“เฮ้อ ก็คงต้องหาหลักฐานไปเรื่อย ๆ ระหว่างนี้ก็อดทนไปก่อน” นิ้วเรียวเคาะโต๊ะไม้เบา ๆ อย่างใช้ความคิด “ขอเฟสบุ๊กเจ้านายแกหน่อยดิ”
[ ขอหาก่อนนะ พอดีฉันไม่เป็นเฟรนด์กับพวกที่ออฟฟิศว่ะ แต่ว่าถ้าเจอแล้วจะส่งให้ทันทีเลย ] ความหวังขั้นต่อไปของเลขาหนุ่มย้ายไปอยู่ที่เพื่อนสนิทแล้ว
ระหว่างนี้หนูพุกก็คิดว่าจะติดตามผู้ต้องสงสัยไปพลาง ๆ สถาปนิกผู้มีอายุมากที่สุดในทีมถูกส่งลงไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ตเเละตรังตลอดสัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงตัดตัวเลือกนี้ออกไป เหลือเพียงเเค่คุณแดนเเละน้องปูน
แดนดินเองก็ตัวติดพี่เต้ยยิ่งกว่าเงาตามตัว มันคงยากถ้าจะแอบไปเกาะติดนอกรอบ สถาปนิกหนุ่มน้อยจึงเป็นตัวเลือกสุดท้ายของหนูพุกที่ดูจะเป็นไปได้
การที่พี่เต้ยนำงานของปูนมาปรับใช้วันนำเสนอโครงการวันนั้นทำให้หนูพุกสร้างสมมติฐานหนึ่งขึ้นในใจเงียบ ๆ หากว่าสถาปนิกรุ่นเล็กต้องการจะโดดเด่นจนคิดจะกำจัดงานของทีมทิ้งแล้ววางเเผนให้เต้ยนำงานเขามาใช้ตั้งแต่เเรกล่ะ
เพราะฉะนั้นหนูพุกก็เลยเลิกงานเร็ว แอบติดตามสถาปนิกหนุ่มมาได้สามวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้พบว่าอีกฝ่ายมีท่าทีอะไรนอกจากมากินข้าวเย็นกับเด็กผู้ชายวัยมัธยมปลายเหมือนเดิม ทว่าท่าทีของเป้าหมายในวันนี้ทำให้อะดรีนาลินในตัวของหนูพุกพุ่งพล่าน
...วันนี้ปูนมาคนเดียว…
หนูพุกมองหามุมที่คิดว่าเป็นทำเลเหมาะสมแก่การสังเกตการณ์ หากอีกฝ่ายเล่นลุกขึ้นสบตาเขาอย่างองอาจแล้วเดินเข้ามาทักทาย
“นั่งด้วยกันสิครับ ผมเห็นพี่พุกตามผมมาสองวันเเล้วนะ”
...สถาปนิกตัวเล็กรู้เห็นมาโดยตลอดแต่ก็ยังปล่อยให้เขาแอบตามอย่างนั้นหรือ…
“เราแค่บังเอิญเจอกันเท่านั้นเอง”
หนูพุกระบายยิ้มทั้งที่ในใจเหงื่อตก น้องปูนในวันนี้ไม่เหมือนคนที่เคยหน้าซีดตัวสั่นเรื่องบ้านคุณเอมเลยสักนิด สงสัยวันนั้นจะตกใจจนหมดท่าจริง ๆ
“บังเอิญไปจนถึงหน้าคอนโดผมเลยนะพี่” เสียงเล็ก ๆ หัวเราะในลำคอ เปิดเมนูแล้วเลือกราเมนอย่างรวดเร็วราวกับคิดมาก่อนแล้ว ในขณะที่คนเเก่วัยกว่าได้เเต่จิ้ม ๆ บอกพนักงานไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“นี่ตกลงคิดว่าผมเป็นคนเอาข้อมูลไปปล่อยจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย” มือสั้น ๆ ขนาดพอดีกับส่วนสูงยกขึ้นนวดขมับ หากเป็นเมื่อก่อนหนูพุกคงจะมองว่าน่ารักไม่หยอกทีเดียว
“แล้วน้องปูนทำหรือเปล่าล่ะ” หนูพุกยกเเก้วชาเขียวเย็นขึ้นดูด มองคู่สนทนาอย่างตั้งคำถามและยังคงเส้นคงวาด้านความสุภาพ
“ก็ไม่ได้ทำน่ะสิครับ”
“พูดเฉย ๆ แล้วจะให้พี่เชื่อเนี่ยนะ ง่ายไปหรือเปล่า” หนูพุกขมวดคิ้ว
“เฮ้อ เพราะพี่เคยเดินมาปลอบผมตอนโดนคุณเอมด่ากับช่วยคุยกับพี่ภูไม่ให้ดุผมเยอะหรอกนะ” ปูนถอนใจยาว เขาไม่ค่อยอยากจะยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างโฉ่งฉ่าง เพราะไม่อยากให้เรื่องมันเข้าตัว
“พี่แดนเนี่ยแหละ เอาเรื่องที่สงสัยว่าพี่ขายข้อมูลไปบอกทีมอื่นจนเขารู้กันหมดว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คุณเเดนเนี่ยนะ” เลขาหนุ่มทวน… ผู้ต้องสงสัยที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดของเขาน่ะหรือจะทำอย่างนั้น คิดไปหนูพุกก็จับโกหกคู่สนทนาไปด้วย
ใครจะไปรู้… ปูนอาจจะเป็นคนทำแล้วสร้างเรื่องก็ได้นี่
“ผมได้ยินมาอีกทีหนึ่ง จริง ๆ ตอนแรกผมก็สงสัยแค่พี่กับพี่เเดนเนี่ยแหละ” ปูนเเกะตะเกียบ คลี่ราเมนเส้นเรียวออกจากกัน
“ทำไมถึงสงสัยพี่ล่ะ” หนูพุกคีบเส้นขึ้นเป่า มองคนพูดเจื้อยเเจ้วอย่างค้นหา
“ผมรู้นะ ว่ามันไม่ค่อยเเฟร์เท่าไหร่ แต่ว่าพี่เพิ่งมาทำงานใหม่ก็โดนเพ่งเล็งง่ายอยู่เเล้ว แถมอยู่ดี ๆ มาโดนถีบออกจากโปรเจ็คอีก… แบบนี้จะให้คิดว่าไง” ปูนยักไหล่ สูดเส้นคำโตเหมือนอยู่ในเทศกาลเเข่งกินไวอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วเรื่องคุณเเดน ?”
“ตอนแรกผมก็เฉย ๆ จนเขาพูดเรื่องพี่กับคนอื่น… ไม่รู้สิ มันผิดวิสัยนะ ปกติพี่เเดนไม่ค่อยร่วมวงจับเข่าคุยอะไรกับใครเท่าไหร่ แต่ดันเอาเรื่องสำคัญมากระจาย พี่ว่ามันไม่น่าสงสัยหรือ”
“ก็จริง… ปูนนี่ช่างสังเกตดีนะ” หนูพุกเริ่มคล้อยตาม เพราะเเดนดินเป็นคนพูดน้อย ซึ่งก็นับว่าเป็นจุดเเข็งอย่างหนึ่ง ด้วยคนที่ไม่ค่อยพูด พอถึงเวลาต้องพูดมันจึงดูมีน้ำหนักมากกว่าปกติในสายตาคนฟัง
แต่เลขาหนุ่มก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าหากเเดนดินเป็นคนทำจริง เขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็คบหาอยู่กับเจ้าของหุ้นเกือบครึ่งของบริษัทเเท้ ๆ ไม่น่าจะหาเรื่องเข้าเนื้อตัวเอง
“เก่งใช่ไหม… พอดีตอนเด็ก ๆ ผมชอบดูโคนันน่ะ” เด็กหนุ่มหน้าอ่อนยิ้มกว้าง บรรยากาศของการพูดคุยผ่อนคลายลงเมื่อเเดนดินสลับขึ้นมาเป็นผู้ต้องสงสัยลำดับหนึ่ง
“แล้วไม่มีใครสงสัยพี่คนนั้นหรือ” หนูพุกเอ่ยถึงคนที่ไปทำงานไกลถึงภาคใต้ ไหน ๆ ก็ถือโอกาสเก็บข้อมูลไปเสียเลย
“ไม่หรอกพี่พุก พี่แกถือศีลห้า… เคร่งมากด้วย เหล้ายานี่ไม่เคยเเตะ ไม่พูดโกหก ไม่ลักขโมยด้วย เงินทอนค่าน้ำสามบาทของผมที่เคยบอกว่าไม่ต้องทอนเขายังไม่เอาเลย”
ปูนหัวเราะ คราวนี้เขามีหลักฐาน หนุ่มน้อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเฟสบุ๊กของอีกฝ่ายที่แชร์เเต่เรื่องทำกุศล ในแกลลอรี่รูปมีทั้งรูปไปปฏิบัติธรรม ไปเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หนูพุกอ้าปากค้างเมื่อปูนเลื่อนไปถึงภาพที่อีกฝ่ายใส่ชุดขาวเเล้วนั่งเคียงข้างมัคทายกวัดป่าในต่างจังหวัด
ก็เห็นเเต่งตัวดูมีสไตล์ หนวดเคราเฟิ้มไปหมด ในไลน์มีเเต่รูปล่าเหรียญรางวัลวิ่งมาราธอน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีอีกมุมเป็นคนเคร่งศาสนา
“อึ้งไหม.. ผมโคตรช็อคเลยตอนเห็นครั้งแรกน่ะ” ปูนกดปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วกินต่อ ในชามเขาพร่องไปมากเเต่ของหนูพุกยังเเทบไม่ยุบเลย
“แปลว่าคนนี้ตัดไปได้เลยสินะ” หนูพุกรู้สึกว่าโชคดีที่ได้คุยกับน้องปูน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่วางใจ ตาเรียวเหลือบเห็นข้อความที่คอยมาตลอดวัน
...ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะได้อะไรมากกว่าที่คิด...
‘อันนี้ชื่อเฟสบุ๊กที่แกขอ มันมีงานที่เขาเคยทำแบบนี้คล้าย ๆ กันแต่ว่าตอนนั้นฉันเป็นแค่ลูกทีมว่ะ แกลองดูนะ’
ภาพบนเฟสบุ๊กทำให้หนูพุกเเทบไม่เชื่อสายตา เขาพยายามกดเลื่อนดูรูปโพรไฟล์ของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจแม้ว่ามันจะถูกตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นส่วนอื่นๆในไทม์ไลน์ได้
...นี่มันผู้ชายคนที่อยู่กับเเดนดินที่ข้าวสารวันนั้นชัด ๆ เลย...
“พี่พุก อมข้าวเดี๋ยวก็ฟันผุหรอก มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ปูนมองคนอมเส้นราเม็งจนเเก้มตุ่ยยิ้ม ๆ หากเห็นท่าทางจริงจังกดโทรศัพท์ไปหน้าซีดไปแบบนั้นเขาก็ชักจะห่วง
“ปูนรู้จักคนนี้ไหม” โทรศัพท์ของหนูพุกถูกยื่นให้กับเพื่อนร่วมงานดู
“อ๋อ รู้ ๆ รุ่นพี่คณะผมเนี่ยเเหละ แต่ว่าจบไปนานแล้วนะ ผมเข้ามาไม่ทันเขาหรอกแต่ได้ยินคนบอกว่างานเทพเยอะอยู่” ปูนพยักหน้า แล้วก็เพิ่งจะนึกได้คล้ายเเสงไฟสว่างวาบขึ้นกลางสมองทีเดียว
“เดี๋ยวนะ… พี่คนนี้แกจบที่เดียวกับผม… พี่เเดนก็จบที่เดียวกับผมเหมือนกันนี่หว่า…”
“พี่ว่าน่าจะเจอตัวเเล้วล่ะ”
หนูพุกหัวเราะในลำคอ เขาค่อนข้างแน่ใจเเล้วว่างานนี้เป็นใคร ถึงจะยังไม่ทราบถึงเเรงจูงใจ เสียดายที่ขาดเพียงเเต่หลักฐานเพื่อมัดตัวให้อยู่เท่านั้นเอง
คืนนั้นหนูพุกแทบนอนไม่หลับ เขารอคอยที่จะให้ฟ้าสางรีบมุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศเปิดดูงานเก่าที่น่าจะคล้ายกับงานที่เพื่อนสาวส่งมาให้ แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจกันเมื่อวันนี้ทั้งวันมีแต่สายโทรเข้า หนูพุกต้องออกไปนอกบริษัท คราวนี้เขาเริ่มรู้แกวแล้วว่าหากตัวเองออกไป คีรินทร์ต้องเปิดประชุมลับหลังกันแน่ ๆ
หากเป็นคนอื่นที่ทำกับเขาแบบนี้ หนูพุกจะตั้งตาคอยดูความหายนะของบริษัทระหว่างหางานใหม่ไปอย่างเงียบเชียบ
แต่นี่คือพี่ภู… คนที่เขาปลื้มมาตั้งแต่เด็ก ๆ นี่นะ ซ้ำยังรับเขาเพราะเจ้านายเก่าฝากงานให้อีกต่างหาก
“ก๊อปเนียนมาก...”
หนูพุกเปิดงานที่เคยผ่านตามาบ้าง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่คิดอ่านทบทวนข้อมูลเก่าในช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลานั่งเปิดดูไปเรื่อย ๆ หลายสิบโครงการทีเดียว
สองสามโครงการที่เขาได้มาเป็นโครงการเมื่อสองปีที่แล้ว พอนำแปลนมาเทียบกันก็เห็นว่ามันเเทบจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ ต่างกันที่ขนาดพื้นที่และต้นไม้ที่นำมาใช้ลงเท่านั้นเอง
เลขาหนุ่มยิ้มกริ่มรวมไฟล์ทั้งหมดส่งให้อีเมลล์คุ้นเคยที่มักจะส่งงานกันเรื่องงบการเงินมากกว่า
...ถ้างานนี้เขาเจ็บ แดนดินก็ต้องเจ็บมากกว่า…
เขาควรจะรู้ว่าคิดผิดที่จะมาป้ายสีกันง่าย ๆ หนูพุกไม่ใช่กระดูกอ่อนที่จะให้ใครมาเคี้ยวเล่น!
มือน้อยกดสั่งพิมพ์งานต้นฉบับของพี่ภู และพิมพ์ข้อมูลของฝั่งบริษัทเพื่อนที่ได้มาบางส่วนด้วย หนูพุกทำไฮไลต์ทุกข้อความที่เห็นว่าสำคัญ ตั้งแต่วันที่เปิดโปรเจ็ค และวันที่สร้างจริงไปจนปิดโปรเจ็ค ซึ่งฝั่งนั้นก็ล้วนแต่ทำหลังจากเขาเกือบปีได้
“พี่ภูครับ รบกวนช่วยดูเอกสารอันนี้ แล้วก็เซ็นอนุมัติให้หน่อยนะครับ”
คีรินทร์เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ วันนี้เลขาของเขาสดใสกว่าทุก ๆ วัน รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นไม่ใช่เพียงการยิ้มเพื่อมารยาทเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
“กลับแล้วหรือ”
“จะไปแล้วครับ สวัสดีครับพี่ภู”
คนแก่วัยกว่ายกมือรับคนที่กระพุ่มมือไหว้อยู่เป็นนิจ ตั้งแต่โดนกันออกจากโปรเจ็คถนนวิทยุ หนูพุกก็เลิกงานตรงเวลาเสมอ มีแต่วันนี้ที่อีกฝ่ายอยู่ล่วงเวลาจนเกือบสองทุ่ม เขาเหลือบมองเอกสารรอบเย็นที่มีเเฟ้มใสสอดมาด้วย
หัวคิ้วของเจ้านายขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่ามันเป็นงานเก่า เอกสารสองสามชุดถูกเย็บมาด้วยกัน ครึ่งหนึ่งเป็นงานที่เขาคลุกคลีตีโมงมาด้วยตลอด หากอีกครึ่งหนึ่งเป็นงานจากบริษัทคู่เเข่งที่ได้ข้อมูลไป ถูกเทียบให้เห็นอย่างชัดเเจ้ง ที่สำคัญ ชื่อผู้รับผิดชอบโครงการนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้ชัด ในเมื่อทุกโครงการมีชื่อสถาปนิกผู้รับผิดชอบคนเดียวกัน
...แดนดิน...
ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าการไม่เคยจับได้ว่าข้อมูลรั่วออกไป ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้น
มือใหญ่หยุดอยู่ที่กระดาษใบสุดท้ายที่ถูกสอดมาด้วยกัน สายตาคมกวาดมองตัวอักษรที่เรียงเป็นระเบียบเเล้วก็รู้สึกว่าในอกวูบโหวงราวกับใครมาควักเอาอะไรออกไป
เนื้อหาในกระดาษเป็นใบเเจ้งความประสงค์จะลาออก มันถูกพิมพ์มาอย่างเรียบร้อยเเละมีลายเซ็นที่เขาเห็นจนเจนตากำกับชัด
คีรินทร์ประจักษ์เเก่ใจว่าเขาทำพลาดมาตลอดในวินาทีนั้น… หนูพุกปลดเปลื้องตัวเองได้อย่างขาวสะอาด นี่คือความจริงแท้เบื้องหลังรอยยิ้มสุขสดใสเหล่านั้น
เขาลุกจากเก้าอี้ ทิ้งงานทั้งหมดไว้บนโต๊ะ หันหลังให้เสียงโทรศัพท์มือถือที่กระหน่ำโทรเข้าหา สองขาก้าวออกไปหมายจะให้ทันคนที่ออกไปก่อนไม่ถึงสามนาที
คีรินทร์ใจเต้นเเรง เบื้องหน้ามีเพียงเเผ่นหลังของเลขานุการหนุ่มกำลังเดินก้าวออกไปจากหน้าประตูกระจก สองเท้าย่ำไปบนพื้นหินในสวน ในมือของอีกฝ่ายถือโทรศัพท์เเนบเสี้ยวหน้าข้างหนึ่ง ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ลดระดับฝีเท้าลงเปลี่ยนเป็นเดินตามหนูพุกไปอย่างเงียบเชียบ
“ถ้าใบลาออกอนุมัติแล้วก็คงทำงานอีกประมาณหนึ่งเดือนตามกฎหมายแหละม้า… อื้อ… กลับไปช่วยม้ากับป๊าที่บ้านสบายใจกว่า” หนูพุกหัวเราะเบา ๆ หากมันกรีดใจคนแอบฟังเสียขาดวิ่น เขาเลือกทำไม่ดีกับคนที่อุทิศทุกอย่างให้บริษัท ไม่แปลกใจแล้วที่หนูพุกจะหมดใจและลาจากไปง่าย ๆ
“เดี๋ยวเสาร์นี้พุกคงกลับบ้าน คิดถึงป๊ากับม้านะ น้องด้วย ครับ เดี๋ยวพุกถึงคอนโดแล้วโทรหาใหม่นะ”
“หนูพุก…” มือใหญ่เเตะเบา ๆ ที่ข้อศอกของอีกฝ่าย คนที่กำลังจะเดินผ่านรั้วหน้าออฟฟิศหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มชืดจาง ดวงตาเรียวหล่อไปด้วยน้ำใส ๆ
…หนูพุกรักงานของตัวเองมาก แต่มันไม่มีความหมายหากทั้งหมดที่เขาทำจะไม่สามารถซื้อใจใครได้เลยแม้กระทั่งเจ้านายที่ทำงานใกล้ชิดกันที่สุด…
ยิ่งโทรคุยกับหม่าม้าแล้วอีกฝ่ายบอกให้หนูพุกกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่บ้าน จะหางานใหม่หรืออะไรก็ค่อยว่าไปยิ่งทำให้เขาอ่อนไหวมากกว่าเดิม
“อ้าวพี่ภู พุกลืมทำอะไรหรือเปล่าครับ ข้าวเย็นก็จัดให้แล้วนะ หรือว่ามีงานอะไรผิดตรงไหน” เลขาหนุ่มรัวคำพูดใส่เขาอย่างกับซ้อมยิงปืนกล ยิ้มกว้างขวางขึ้นอีกทั้งที่ในใจมีแต่ความอึดอัดเต็มล้น
“รีบกลับหรือเปล่า พี่ขอคุยด้วยหน่อย” มือใหญ่เลื่อนลงเเตะที่ข้อมือเล็กราวกับจะขอร้อง
...พี่ภูคงเห็นใบลาออกนั่นเเล้ว...
“ได้ครับ” หนูพุกรับคำ รู้ว่าปฏิเสธไปพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอยู่ดี คุยกันไปเสียตั้งตอนนี้ให้มันจบไปน่าจะดีกว่า หากชายหนุ่มก็ไม่ได้ปล่อยมือ ทั้งยังกำข้อมือเลขาหนุ่มไว้คล้ายกับกลัวว่าร่างเพรียวระหงจะหลุดลอยจากไป
เพราะไม่มีใครอยู่ที่บริษัทอีกเเล้ว คีรินทร์จึงไม่เสียเวลาเเม้แต่จะคุยกับหนูพุกที่ห้องทำงานส่วนตัว เขาเดินนำเข้าไปในโถงทางเดินรับเเขก รอบข้างเป็นกระจกใสบานกว้างสามารถมองออกไปเห็นเเมกไม้น้อยใหญ่ในสวนด้านนอกได้ทุกทิศทาง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จับจองเก้าอี้สตูลทำจากไม้สีอ่อนขัดจนเงาตัวหนึ่ง เว้นที่ข้างเคียงกันให้กับเลขาหนุ่ม
“พี่ขอโทษนะ สำหรับการเป็นเจ้านายที่ไม่ได้เรื่อง” เสียงทุ้มชิงเอ่ยก่อน เขาเห็นท่าทีของหนูพุกก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในสถานะที่อารมณ์ไม่มั่นคงเท่าใดนัก
“คือ… อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” หนูพุกเหมือนคนน้ำท่วมปาก โกรธเขาก็โกรธ แต่อีกใจก็ยังห่วงใยอยู่มาก เขาถอนใจ ทาบมืออีกข้างลงบนหลังมือใหญ่ที่ยังไม่ยอมปล่อยกันไป
“งั้นเรามาคุยกันจริง ๆ นะครับพี่ภู… เรื่องนี้พุกโกรธมาก”
สายตาคมทอดมองคนบอกว่าโกรธ ดวงตาเรียวแดงขึ้นนิดหน่อย และน้ำในหน่วยตานั่นก็คลอขึ้นจนเขาใจเสีย เเววตาที่มองสบมาคล้ายมีสิ่งอื่นใดมากกว่าความโทโสเปล่า ๆ หากมันเจืออยู่ด้วยความเสียใจมากทีเดียว
“พูดมาเถอะ”
“พุกโกรธที่พี่เตะพุกออกมาจากงานนั้นโดยที่ไม่บอกอะไรสักคำ พี่ทำเหมือนพุกไม่มีตัวตน ทำทุกอย่างลับหลัง… ถ้าพี่เรียกพุกไปคุยก่อน มันจะไม่เป็นเเบบนี้เลย”
เสียงเลขาหนุ่มเอ่ยเเผ่วเบา หนูพุกหลบตาเขาเเล้วพูดต่อ ในตอนนี้เลขานุการหนุ่มไม่แตกต่างอะไรกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ลาวาร้อน ๆ ที่สะสมอยู่นานพวยพุ่งขึ้นอย่างยากที่จะระงับ
“คือ… พุกแค่รู้สึกว่าพุกรักงานนี้ พุกรักที่นี่ ก็เลยตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีมาตลอด… ถึงมันจะเป็นเเค่ระยะเวลาสั้น ๆ แต่พุกก็ทุ่มสุดตัว อาทิตย์หลังมานี้พุกต้องอดทนอยู่กับคำกล่าวหาที่ว่าพุกคิดไม่ซื่อกับบริษัท มันโกรธ… โกรธที่ต้องมาอดทนกับเรื่องงี่เง่าที่เราไม่ได้ทำ”
คนระบายความในใจตัวสั่นเทิ้ม หลุบตาลงต่ำเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถซ่อนน้ำร้อนผ่าวที่เอ่อล้นออกมาได้อีกต่อไป เขาแกะมือออกจากการเกาะกุมของคนที่นิ่งค้างไป ยกหลังมือสองข้างช่วยกันป้ายน้ำตาออกลวก ๆ ราวกับเด็กไม่กี่ขวบ
“แต่ที่เสียใจ...คือการที่คนที่ทำงานใกล้ชิดกันที่สุดกลับไม่มีความเชื่อใจกันสักนิด มันเหมือนพุกไม่เหลือใครเลย...”
วินาทีนี้หนูพุกไม่ต่างกับสัตว์เล็ก ๆ ที่นุ่มนิ่มอ่อนเเอในสายตาคีรินทร์ เขายอมรับผิดทุกประการตามที่อีกฝ่ายว่าไว้ ในครั้งนี้เขาเดินเกมผิดพลาดทั้งสิ้น
“ชู่ว...ไม่ร้องแล้ว พี่ขอโทษนะ… ขอโทษทุกอย่างเลยครับ”
ยิ่งพอหนูพุกสะอื้นคนมองก็เหมือนในอกเป็นโพรงลึกกว้างเเละว่างเปล่า เขาเป็นลูกชายคนกลางที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างลูกคนเล็กไม่เข้าใจเลยว่าการจะต้องปลอบประโลมใครสักคนจะต้องทำอย่างไร เขาไม่เคยเห็นใครร้องไห้ตัวสั่นงันงกในระยะเผาขนอย่างนี้ แถมตัวเองยังเป็นตัวการเสียอีก
เลขาหนุ่มไม่ต่างอะไรกับกุ้งตัวนิ่มที่ถูกลอกคราบจนไม่เหลือความเข้มเเข็งใดฉาบไว้… เขาไม่อยากเห็นคนที่ยิ้มร่าเริงมาตลอดต้องเปราะบางขนาดนี้เลย
คีรินทร์ลุกขึ้น วงเเขนใหญ่อ้าออกกว้างโอบเอาคนตัวบางเข้าอก เขาลูบเเผ่นหลังเล็กเบา ๆ อย่างปลอบโยน น้ำตาร้อนผ่าวไหลเปียกเสื้อยืดสีเทาของเขาจนเปียกชุ่มเป็นด่างดวง มือใหญ่เชยคางหนูน้อยที่ร้องไห้จนหน้าเเดงหูแดงขึ้นสบตากัน
“ไหนมาคุยกันดี ๆ ก่อน ดูซิ แอบสั่งขี้มูกกับเสื้อพี่หรือเปล่าเนี่ย”
“ฮื่อ! เปล่าสักหน่อย” หนูพุกร้องเสียงอู้อี้ อยากจะทุบพี่ภูสักทีสองทีให้รู้ว่าเขาไม่ตลกด้วย กว่าจะรู้ตัวว่าตอนนี้สภาพคงขี้เหร่น่าดูก็เลยมุดตัวกลับเข้าไปเอาหน้าฝังไว้ที่เดิม
...แม้กระทั่งวินาทีนี้วงแขนอบอุ่นก็ยังไม่ละออกจากตัวเขาเลย…
“พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ เลยที่ทำให้เรารู้สึกเเย่แบบนั้น” กระเเสเสียงนุ่มทุ้มนั้นหนักเเน่นเหมือนขุนเขาเท่า ๆ กันกับชื่อจริงของเจ้าตัว
“ครับ”
“ถ้าพี่จะขอโอกาสให้เริ่มต้นกันใหม่เราจะว่ายังไง ยังอยากทำงานกับเจ้านายไม่ได้เรื่องคนนี้อยู่หรือเปล่า ยังรักที่นี่อยู่ไหม…”
นิ้วโป้งใหญ่เกลี่ยคราบน้ำตาบนเเก้มนวลออก คีรินทร์จดจ้องดวงตาเรียวอย่างค้นหา ประกายตาของอีกฝ่ายสั่นระริก ตอบกลับมาเสียงเเผ่ว
“รักครับ”
...ความรู้สึกนั้น มิใช่เพียงแต่สถานที่ หากรวมไปถึงเจ้าของคำถาม…
ถึงขนาดนี้แล้วแต่หนูพุกยังไม่ยอมปล่อยมือ คำจำกัดความสั้น ๆ ว่า ‘ชอบ’ หรือ ‘ปลื้ม’ ที่เคยใช้คงไม่เพียงพออีกต่อไป
เลขาหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำคล้ายหูอื้อตาลายไปหมดยามที่เจ้านายก้มลงกระซิบใกล้ชิด ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอวางทิฐิมานะและความโกรธเคืองเรื่องงานไปตั้งแต่เมื่อใด
“ถ้ายังรัก… ก็อยู่ด้วยกันนะ”
----------------------------------------------------------------------------------------
โอ้โห มาง้อแบบนี้ก็ได้หรอคะพรี่.... 5555555555
จริงๆตอนนี้เส้นเรื่องหลักไม่ได้เดินหน้าไปไกลมากเท่าไหร่

คนเขียนก็เลยกะว่าอาทิตย์นี้จะอัพสองครั้งค่ะ
ยังไงฝากด้วยนะคะ ;-; มาลุ้นแรงจูงใจของคนร้ายไปด้วยกันน้า ใครถ่ายถูกให้สิบบาทเลยเอ้า!
ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ
