พิมพ์หน้านี้ - " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Miss Midnight ที่ 04-06-2018 19:56:26

หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 04-06-2018 19:56:26
เก็บกระทู้ไว้-----โมดุฯ

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


________________________________________________________

พิชิตภู




หนูพุกเป็นคนเจ้าเนื้อมาตั้งแต่เด็ก จะด้วยความเอ็นดูหรืออื่นใดจากผู้ใหญ่ เขามักจะได้ยินคำว่า ‘อ้วน’ อยู่จนเจนหู


มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองเลยผ่าน ยอมเเบกเด็กอ้วนขึ้นหลังไปห้องพยาบาลโดยไม่พูดอะไรให้สะกิดใจเรื่องรูปร่างเเม้สักคำ


“ป้องกันตัวบ้างเถอะ” รุ่นพี่ทิ้งท้ายไว้ อย่าถูกกลั่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวเลย


ทางเดียวที่หนูพุกจะสู้ได้คือการลดน้ำหนัก


หากเขาผอม...ไม่ว่าใครก็จะล้อเลียนกันไม่ได้อีก



.

.

.


...กระทั่งวันนี้ไม่มีไอ้หมูพุกอีกแล้ว...


หนูพุกอยากให้พี่ภูรู้ว่าการช่วยเหลือเล็กน้อยสำหรับอีกฝ่ายในวันนั้นมันเหมือนเหล็กร้อนฉ่าที่นาบลงกลางใจจนลบเลือนไม่ได้อีก


...แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับสิบปีก็ตาม...



Prologue - เลื่อนลง
Chapter 1 - เลื่อนลง
Chapter 2 - เลื่อนลง
Chapter 3 - เลื่อนลง
Chapter 4 - เลื่อนลง
Chapter 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.30)
Chapter 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.30)
Chapter 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.30)
Chapter 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.60)
Chapter 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3863992#msg3863992)
Chapter 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3868595#msg3868595)
Chapter 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3870179#msg3870179)
Chapter 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3873020#msg3873020)
Chapter 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3879926#msg3879926)
Chapter 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3881722#msg3881722)
Chapter 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3887099#msg3887099)
Chapter16.1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3898587#msg3898587)
Chapter 16.2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3899923#msg3899923)
Chapter17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3964510#msg3964510)
Chapter18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67402.msg3965333#msg3965333)
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Prologue --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 04-06-2018 20:00:18
บทนำ

   บรรยากาศพักเที่ยงในโรงเรียนชายล้วนมีแต่เสียงดังเซ็งเเซ่จากส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างผ่อนคลาย หากมีนักเรียนเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่กำลังเคร่งเครียดกับภาพเบื้องหน้า 

“โอ๊ะโอ… วันนี้คุณหนูพุกเอาอะไรมาอ่านครับผม” นักเรียนชายคนหนึ่งชูหนังสือนิทานเด็กที่ค้นมาได้จากกระเป๋าหนังสือที่ไม่ใช่ของตัว

   “ลูกหมูสามตัวว่ะ” มันเปิดเอาหนังสือเคลือบมันสี่สีออกอ่านอย่างสนุกสนาน ยิ่งลิงโลดเมื่อเจ้าของนิทานได้แต่พยายามเอื้อมคว้า แต่ดูจะไม่สำเร็จเนื่องจากส่วนสูงที่ดูจะไม่ทิ้งมารดาเท่าไหร่นัก

   “เอาคืนกูมาได้แล้ว เดี๋ยวขาด!” ยิ่งเห็นผิวขาวนวลอย่างลูกคนจีนขึ้นสีด้วยความโกรธเคืองก็ยิ่งสนุกจึงเริ่มออกวิ่ง

   ...ยิ่งวิ่งไล่ คนถือหนังสือก็ยิ่งวิ่งหนี…

หนูพุกโดนไอ้หลังห้องล้อเลียนทุกวันนั่นเเหละ ยิ่งไม่ตอบโต้ก็ยิ่งหนักข้อขึ้น ช่วงสองสามวันมานี้เขามักจะถูกค้นกระเป๋าตอนพักกลางวันอยู่เรื่อย ความสนุกของมันคือการล้อเลียนเขาว่าเป็นไอ้หน่อมแน้มที่ชอบยืมหยิบนิทานเด็กจากห้องสมุดโรงเรียนไปอ่านที่บ้าน

   แล้วยังไงล่ะ… ก็เขาเพิ่งจะมีน้องชายเป็นของตัวเองนี่ คนเห่อน้องจะอยากเล่านิทานให้เด็กวัยกำลังอ้อแอ้ฟังบ้างมันจะผิดตรงไหน

   “กูว่านะ ไม่ใช่ลูกหมูสามตัวหรอก แต่เป็นลูกหมูสี่ตัว” คนตัวสูงอย่างนักกีฬาตะโกนก้องไปทั่วระเบียง หัวเราะขบขันกับสภาพคนตัวกลม ๆ วิ่งไล่ตามจนเเทบจะม้วนตัวเป็นลูกบอล

   “เพราะมีหมูพุกอยู่ตรงนี้อีกตัว”

คนตัวสูงกว่าทำทีสนุกเสียเต็มประดากับคนไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ รู้ดีว่าเป็นการกระทำอันไม่สมวัย มีเด็กจะจบมอสามที่ไหนมาวิ่งไล่กันเพราะหนังสือนิทานเด็กอีกเล่า แต่ที่ทำ… เพราะอยากให้สนใจ อยากให้มองเห็นกัน...

   หนูพุกกัดฟันกรอดตอนที่มันหัวเราะเยาะ เห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งไปทางบันได กลัวว่าถ้านักเลงหลังห้องร่อนมันลงบันไดไปสภาพหนังสือคงดูไม่จืดเพราะแค่นี้มันก็ยับยู่ยี่น่าดูเเล้ว ไม่รู้ว่าต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่อีก

   “เอาคืนกูมาสักที!” พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะโยน ร่างที่เกินคำว่าท้วมไปหน่อยก็กระโดดเข้าตะครุบ

   น่าเสียดายที่มันไวทายาดและหนูพุกก็เบรคตัวเองไม่ทันจนลื่นล้มตกจากบันไดลงไปนั่งจุ้มปุ้กอยู่ที่ชั้นพัก เสียงหัวเราะจากคนที่กลั่นแกล้งอย่างบันเทิงชะงักค้างด้วยอารามตกใจ มือกลม ๆ เอื้อมไปจับข้อเท้าของตัวเองแล้วก็พบว่ามันเจ็บ

   เจ็บ...จนน้ำตาไหล

   ทั้งเจ็บตัวเจ็บใจ ไม่รู้ทำไมถึงต้องขยันแกล้งกันนัก

   “เฮ้ยน้อง หล่นลงมาได้ยังไงเนี่ย” เป็นรุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่ถลันเข้ามาหา เห็นสภาพข้อเท้าที่บิดพลิกไปก็พอเข้าใจได้ว่าหล่นลงมาเเรงน่าดู

   จริง ๆ ก็ฟังจากเสียงของหนักกระเเทกพื้นตอนที่เขาเดินขึ้นบันไดมาพอดีน่ะนะ…

   “เดี๋ยวพี่พาไปห้องพยาบาล” เขาพยายามจะประคองหนูพุก แต่ดูเหมือนว่าน้องมอต้นคนนี้จะเดินไม่ไหว

   “งั้นขี่หลังพี่แล้วกัน” เขาตกลงคนเดียวเสร็จสรรพ แต่คนเจ็บหน้าซีดใหญ่ ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะเกรง…

   คิดจะเอาหนูพุกขึ้นหลังได้ก็ต้องมีเเรงเท่าคนงานขนกระสอบข้าวที่ร้านหม่าม้าเลยนะ!

   “คือ… ผมอ้วนนะ พี่จะหนัก” หนูพุกร้องเตือน เสียความมั่นใจที่แต่เดิมก็มีอยู่น้อยนิด แต่อีกฝ่ายหัวเราะนิดหน่อย ในดวงตามีประกายสดชื่นสดใส ทำเหมือนคนน้ำหนักแตะเจ็ดสิบเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว

   “รู้แล้วน่า พี่แข็งแรงจะตาย เราน่ะขึ้นมาเร็ว จะพาไปห้องพยาบาล” หนูพุกยกมือดันเเว่นตาด้วยความไม่มั่นใจ รุ่นพี่คนนี้มองข้ามเรื่องน้ำหนักเเละภาพลักษณ์ที่เขาไม่มั่นใจ

   ไม่ซ้ำเติม ไม่ทำเหมือนเขาเป็นไอ้อ้วนที่แค่จะขยับลุกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

   ความช่วยเหลืออย่างจริงใจทำให้คนได้รับน้ำใจรู้สึกเต็มตื้น อยากจะให้โลกนี้มีโคลนนิ่งของคนตรงหน้าอีกสักร้อยสักพัน ต่างกับใครบางคน...

ดวงตาสีดำเรียวมองไปยังเชิงบันได ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีก…

   ...ได้เห็นคนเจ็บตัว มันคงจะสมใจแล้ว...

   “ขอบคุณนะครับ”

ขึ้นมาอยู่บนหลังของอีกฝ่ายเเล้วก็เดาได้ว่ารุ่นพี่คงหนักน่าดู เพราะเขาขบฟันกรอดจนคนด้านบนได้ยินเสียงฟันสีกัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ใจดีพาเขาเเวะเก็บหนังสือนิทานที่หล่นอยู่อีกด้วย กว่าจะถึงห้องพยาบาลก็คงหลังเเทบเดาะแล้วมั้งนั่น

“พี่ครับ ปวดหลังไหม” หนูพุกหน้าซีดเมื่อเห็นอีกฝ่ายประสานมือกันเเล้วชูขึ้น ก้ม ๆ เงย ๆ ยืดหลังตัวเอง

   “คิดมากน่า!...ลูกหมูสามตัวหรือ น่ารักดี”

หนูพุกหน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย เห็นอีกฝ่ายพลิกมันดูอย่างสนอกสนใจ ตอนที่วางเขาลงกับเตียงพยาบาล คอยอาจารย์ที่กำลังค้นหายานวดหลอดใหม่อยู่ตรงตู้ยาแบบบานเลื่อน

   “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่… แต่ก็อย่าไปยอมบ่อย ๆ เดี๋ยวจะเจ็บตัวอีก” รุ่นพี่ผิวเข้มเอ่ยขึ้น พอจะเห็นหลังไว ๆ ของคนที่หลบฉากออกไปนั่นอยู่หรอก
   “เฉย ๆ ไว้เดี๋ยวก็คงเลิกไปเองนั่นเเหละครับ” หนูพุกถอนใจ ปลงตกแล้ว

   “ป้องกันตัวบ้างเถอะ” รุ่นพี่ทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะขออนุญาตออกไปก่อน เนื่องจากอีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าเรียนคาบบ่ายแล้ว

   หารู้ไม่เลยว่าอุปนิสัยของหนูเมื่อถูกรุกราน… มันไม่สู้ แต่จะหนีไปอีกทาง…

.

.

.


   ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปีสะดุ้งเฮือก… ไม่รู้ว่าทำไมยังฝันถึงเหตุการณ์เดิม ๆ ซ้ำอีก ดวงตาสีดำขลับมองไปที่กระจกแบบเต็มตัวที่ตั้งไว้ข้างเตียงแล้วก็ถอนหายใจ พิจารณาเงาในนั้นอย่างโล่งอก

   ...ไม่มีไอ้หมูพุกอีกแล้ว...

   ภาพสะท้อนราง ๆ ในความมืดเป็นเพียงขายหนุ่มผิวขาว ดวงตาเรียวรีแบบลูกคนจีนโตขึ้นกว่าแต่ก่อนหน่อย สัดส่วนใต้เสื้อยืดใส่นอนผอมบางเสียจนคนอื่นต้องแค่นให้กินบ้าง

   หลังจากวันนั้น เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าปีก็เร่งลดน้ำหนัก เขาไม่อยากเป็นหมูเหมือนที่ใครต่อใครว่า ไม่อยากถูกกลั่นแกล้งเพราะรูปร่างอ้วนกลมตุ้ยนุ้ยอีก

...เขาต้องเปลี่ยนเเปลง…

   หนูพุกเป็นคนเจ้าเนื้อมาตั้งแต่เด็ก จะด้วยความเอ็นดูหรืออื่นใดจากผู้ใหญ่ เขามักจะได้ยินคำว่า ‘อ้วน’ อยู่จนเจนหู กระทั่งวันที่เพื่อน ๆ ต่างก็เรียกเขาด้วยความสนุกสนานว่า ‘ไอ้หมู’ หรือชื่อเรียกอื่น ๆ อันพาดพิงถึงรูปร่างยิ่งตอกฝังลงในใจ

   ตอนนั้นหนูพุกไม่เข้าใจ… เขาแค่เป็นตัวเอง

   การมีน้ำหนักมากกว่าคนอื่นมันผิดมากหรืออย่างไรกัน!

   มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่มองเลยผ่าน ยอมเเบกเด็กอ้วนขึ้นหลังทั้งที่ตัวเองคงเมื่อยจนหลังเเทบเดาะโดยไม่พูดอะไรให้สะกิดใจเเม้สักคำ

   คงต้องขอบคุณรุ่นพี่คนนั้นที่มาทราบภายหลังว่าชื่อพี่ภู… ความใจดีวันนั้นเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ทำให้หนูพุกอยากจะผอมให้ทันก่อนที่พี่ภูจะจบการศึกษาไปจากรั้วโรงเรียน

ถ้าเขาผอม...ไม่ว่าใครก็จะล้อเลียนกันไม่ได้อีก

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความเพียรควบคุมอาหารเเละออกกำลังกายมีเท่าความเพียรที่จะเเอบมองพี่ภูในทุกโอกาส ไม่รู้ว่ามันมีจุดประสงค์แอบเเฝงนอกเหนือจากการปกป้องตัวเองตั้งแต่วันไหน

แต่กว่าจะรู้ หนูพุกก็อยากให้พี่ภูสนใจ… อยากจะครอบครองความดีนั้นไว้กับตัว…

น่าเสียดายที่ความพยายามยังไม่ทันสัมฤทธิ์ผลเขาก็จบชั้นมัธยมต้นและรุ่นพี่ก็จบชั้นมัธยมปลายโดยที่เเทบจะไม่ได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำไป หนูพุกอยากให้พี่ภูรู้ว่าการช่วยเหลือเล็กน้อยสำหรับอีกฝ่ายในวันนั้น มันเหมือนเหล็กร้อนฉ่าที่นาบลงกลางใจจนลบเลือนไม่ได้อีก
   
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 04-06-2018 22:27:24
chapter 1

   ไม่เเน่ใจว่าเป็นเพราะฝันร้ายตอนเกือบรุ่งสาง หรือเป็นเพราะก้าวเท้าออกจากคอนโดผิดข้าง อะไรต่อมิอะไรจึงผิดพลาดไปหมดจนน่าโมโห

   เริ่มต้นด้วยการออกเดินมาไม่กี่สิบเมตรจากคอนโด ฝนเจ้ากรรมก็เทซู่ลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในหน้าร้อนเเท้ ๆ เท่านั้นยังไม่พอ ระบบขนส่งมวลชนอันแออัดคล้ายกระป๋องปลาซาดีนอย่างรถไฟฟ้าก็ดันมาเสียจนเวลาคลาดเคลื่อนไปเสียอีก

   ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือด้วยความขัดใจหลังจากถึงสถานีเป้าหมาย สองขาสับอย่างเร่งรีบเพราะไม่อยากสายในวันแรกของการทำงานที่ใหม่ หากความเลวร้ายเด้งที่สามคือรถยนต์คันหนึ่งปาดเข้ามาด้านซ้ายแล้วรีดน้ำขังข้างถนนใส่หนูพุกเข้าอย่างจังจนสูทสีดำตัวเก่งเลอะไปเเถบหนึ่ง

 เขาพยายามสงบจิตสงบใจอย่างยิ่งที่จะไม่ชูนิ้วกลางให้ด้วยความหัวเสีย จึงได้แต่ถลึงตาใส่ป้ายทะเบียนไปหนหนึ่งเท่านั้น แล้วรีบไปต่อคิวใช้วินมอเตอร์ไซค์เนื่องจากออฟฟิศใหม่อยู่ลึกเข้าไปในในซอย

เดิมทีหนูพุกทำงานเป็นเลขานุการผู้จัดการฝ่ายออกเเบบของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง เเต่เมื่อเจ้านายเก่ามีแผนจะลาออกไปทำบริษัทต่างชาติ เขาจึงฝากงานที่ใหม่ให้กับเลขาเก่าด้วยเห็นว่าหากยังอยู่ที่นั่นหนูพุกก็คงไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเลขานุการผู้บริหารโดยเร็วเนื่องจากมีแต่การเล่นพวกพ้องจากเรื่องการเมืองภายใน

ไม่ต้องตาคมเป็นเหยี่ยวก็รู้ว่าหนูตัวนี้ไม่น่าจะโต
   
   สุดท้ายเลขาหนุ่มก็ได้ย้ายที่ทำงานใหม่เป็นบริษัทรับออกแบบภูมิทัศน์ในอัตราเงินเดือนที่สูงขึ้นอีกด้วย ได้ยินว่าเจ้านายใหม่ก็เป็นญาติกันกับเจ้านายเก่าเขานี่เอง
   
   สำหรับคนทำงานแล้วถ้าได้นายดีก็ดีไปแปดอย่างสิบอย่างจริง ๆ
   
   กว่าวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะพาเขามาถึงหน้าบริษัทก็เกือบเเปดโมงเข้าไปแล้ว ทั้งที่โดยปกติวิสัยเขามักจะต้องถึงที่ทำงานตอนเจ็ดโมงครึ่ง เตรียมอาหารเช้าในบางวันและคอยจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมตามตารางก่อนที่เจ้านายจะมาถึงตอนเเปดโมง

    อาคารสำนักงานใหม่ของหนูพุกไม่ได้อยู่บนตึกสูงอย่างที่เคย มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่ให้ความรู้สึกถึงการต้องมาทำงานเลยเเม้แต่น้อย รูปทรงคล้ายบ้านสไตล์คอตเทจสีขาวผสานกับการตกเเต่งด้วยอิฐเเบบโชว์แนวสีเข้มสองชั้น

   สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นสวนที่ตกเเต่งไว้อย่างลงตัว ไม้เล็กไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น เเซมด้วยดอกไม้ที่ช่วยกันชูดอกออกช่ออวดเบ่งสีสันสวยงามจนคนมองเกือบลืมหายใจแม้ว่าจะเคยมาเยี่ยมที่นี่หนหนึ่งตอนสัมภาษณ์งาน

   ...ไม่น่าเชื่อเลยว่ายกความร่มรื่นขนาดนี้มาอยู่ใจกลางกรุงเทพได้ยังไง...

   ประตูด้านหน้าเปิดไว้อยู่ก่อนเเล้วมันเป็นพื้นที่สำหรับการประชุมงาน รับรองลูกค้า และมีห้องที่มองผ่านกระจกไปเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่โล่งสำหรับทำโมเดลในสเกลใหญ่รวมทั้งเป็นชั้นเก็บผลงาน มีเพียงพนักงานด้านหน้าที่เเนะนำตัวอย่างน่ารักและพาเขาเดินขึ้นมาถึงด้านบนอันเป็นพื้นที่ทำงานแบบเปิดโล่ง ไร้คอกกั้นพนักงานอย่างในบริษัท หากดูเป็นสัดส่วนดีด้วยการจัดสเปซ ทว่ายังไม่มีพนักงานมาสักคนเนื่องจากยังไม่ถึงเวลา เดินลึกเข้าไปอีกจึงจะเป็นห้องของเจ้าของสำนักงาน

   “อ้าวมาแล้วหรอหนูพุก มาเร็วมากเลย” สองมือพนมไหว้คนที่สัมภาษณ์งานให้ตัวเองผู้ซึ่งถือหุ้นรองลงมาจากเจ้านายคนใหม่แล้วยิ้มแห้ง ๆ ด้วยความจริงแล้วมันตกมาตรฐานเลขายอดเยี่ยมไปตั้งครึ่งชั่วโมง

   “สวัสดีครับพี่เต้ย”

พี่เต้ยเป็นผู้ชายตัวสูงโปร่ง มาดดูอ่อนโยนนุ่มนวลไปทุกกระเบียดแต่ก็ยังดูรู้ว่าเป็นคนขี้เล่นไม่หยอก อีกทั้งกลีบปากเป็นรูปหัวใจตอนยิ้มจนเขาเชื่อว่าไม่ว่าใครคงแพ้รอยยิ้มแบบนี้ได้ไม่ยากเย็น

   “นี่โต๊ะทำงานหนูพุกนะ ช่วงนี้จะยุ่งหน่อยเดี๋ยวพี่หาเอกสารมาให้อ่านทำความเข้าใจ แล้วก็เจ้านายเราเขามาแล้วล่ะ นั่งหัวปั่นอยู่ข้างในห้อง” พี่เต้ยบุ้ยใบ้ไปทางประตูห้องด้านหลัง อากัปนั้นทำให้เลขาหนุ่มเด้งผึง เปิดกระเป๋าหยิบแท็บเล็ตกับสมุดบันทึกเข้าไปคู่กัน

   “ไม่ต้องเกร็งนะ ภูไม่ดุหรอก” เต้ยตบไหล่เลขามาใหม่ปุ ๆ ไม่ได้สังเกตว่าดวงตาของลูกน้องเบิกขึ้นนิดหน่อย

   หนูพุกลอบถอนหายใจเรียกสติ ชื่อมันก็แค่ชื่อเท่านั้น เขาควรเลิกหูตั้งหางกระดิกตอนได้ยินชื่อนี้สักที!

   มือเรียวเคาะประตูอย่างเปี่ยมมารยาทก่อนจะผลักเข้าไปพบเจ้านาย คนที่กำลังงมหาอะไรในกองเอกสารเงยหน้าขึ้นพลางถามว่ามีอะไร ยามสายตาสบจ้องกัน หนูพุกก็ตัวเเข็งค้างหายใจติดขัดคล้ายปลาขาดน้ำ ครางเเผ่วเบาเมื่อเห็นใบหน้าคมสันชัดเจน

   “พี่ภู...”

...นี่มันพี่ภู คีรินทร์ ชั้นม.หกทับห้า…

อยู่ดี ๆ ฟ้าก็ประทานพี่ภูมาตรงหน้าเขาเสียเฉยๆ!

นิ้วเรียวเผลอจิกเล็บให้ตัวเองเจ็บเพื่อทดสอบว่าเขาไม่ได้ฝัน เจ้านายคนใหม่คือพี่ภูจริงๆ!

 “ครับ หนูพุกใช่ไหม” ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับเเขนเเบบลวก ๆ เอ่ยขึ้น แค่คำว่าหนูพุกหลุดออกจากปาก เจ้าของ
ชื่อก็เเทบจะล้มตึง ได้แต่ครางรับคำอย่างล่องลอย

พี่ภู… จำเขาได้…

“มานั่งนี่สิ เต้ยบอกแล้วล่ะว่าจะมาเริ่มงานวันนี้” คีรินทร์กระวีกระวาด เรียกเลขาใหม่มานั่งที่โต๊ะทำงานด้วยความเป็นมิตร

ในใจของหนูพุกเหมือนลูกโป่งที่สูบลมจนพองแล้วปล่อยให้เเฟ่บในวินาทีถัดไปเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เเสดงท่าทีรู้จักมักจี่อย่างที่คนปกติพึงจะทำ

คงจะเป็นอย่างที่เพื่อนเขาว่าไว้เรื่องน้ำหนักลดเปลี่ยนชีวิตอะไรนั่น

สรุปเเล้ว...พี่ภูจำเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

คีรินทร์สาธยายเรื่องงานเอกสารที่ทำคนเดียวมาโดยตลอดกระทั่งได้รับการหว่านล้อมให้หาเลขาจนได้หนูพุกมาประจำตำเเหน่งในที่สุด

การเปลี่ยนงานก็ไม่ต่างจากการต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมด ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมสติ นั่งฟังและจดโน๊ตในส่วนสำคัญไปพร้อมกัน

“อันนี้เป็นตารางงานของพี่ ยังไงหนูพุกช่วยดูให้หน่อยนะ” สมุดปกหนังสีดำที่ได้รับมาฟรีจากธนาคารถูกยื่นให้กับหนูพุกพร้อมกับทัชโฟนที่เป็นเบอร์บริษัทอีกเครื่องหนึ่ง

“ได้ครับคุณภู เดี๋ยวพุกจะจัดการให้ ทานมื้อเช้าหรือยังครับ” คุณเลขาปิดสมุดฉับ รวบทุกอย่างเรียงเข้าอ้อมเเขนด้วยความกระฉับกระเฉง

“ยังเลย พอดีตื่นสายก็เลยรีบมา” ภูยิ้ม ใต้ตามีร่องรอยของการพักผ่อนน้อยเด่นหรา หากต้องรีบมาก่อนเวลาเข้างานเนื่องจากเขาจำเป็นที่จะต้องตรวจแบบเเละสเปรตชีทโครงการใหญ่อีกหนก่อนการนำเสนองาน ถ้าพลาดครั้งนี้มีหวังโดนแก้อีกยาว

“งั้นเดี๋ยวพุกจัดเป็นเเซนด์วิชกับกาเเฟมาให้ดีกว่า ปกติคุณภูทานกาแฟแบบไหนครับ”

“เรียกพี่ภูเหมือนตอนเเรกก็ได้ พี่ไม่ถือหรอก ที่นี่อยู่กันเหมือนบ้าน ส่วนกาเเฟพี่กินได้หมดนะ โอเลี้ยงหน้าปากซอยก็กินได้” เขาหัวเราะ ติดดินยิ่งกว่าอะไรจนคนเคยทำงานในสำนักงานใหญ่ที่มีสัมพันธ์ห่างเหินในเเต่ละตำเเหน่งออกจะเก้กังอยู่มาก
   
   “โอเคครับพี่ภู” เลขาหนุ่มอมยิ้ม หอบทุกอย่างออกมาวางที่โต๊ะ สูดหายใจเข้าลึก หอบซากวิญญาณตัวเองไว้แล้วเดินเข้าพื้นที่สำหรับชงกาแฟและเก็บของว่างต่าง ๆ ไปอย่างเงียบเชียบ ตบแก้มตัวเองดังแปะเพื่อความเเน่ใจอีกหน
   
   พี่ภู… พี่ภูตัวเป็น ๆ เลยนะเมื่อกี้น่ะ!
   
   หนูพุกแทบจะกระโดดชูมือด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าหลังจากการเพียรพยายามตามหาเฟสบุ๊คหรือช่องทางโซเชียลใด ๆ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นศูนย์ แต่อยู่ดี ๆ สวรรค์ก็ประทานคนที่ตามหามาดื้อ ๆ แบบนี้
   
   ...บ้าไปแล้ว…
   
   ที่เห็นจะบ้ากว่าก็คงเป็นตัวเขาเองที่ร้อนผ่าวไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงจนแทบต้องส่งห้องฉุกเฉิน
   
   ..บ้าแล้วไอ้พุก..

   “หนูพุก เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงขนาดนี้” เสียงทุ้มและแรงสะกิดจากด้านข้างทำเอามือที่กำลังประคองถ้วยน้ำร้อนสะดุ้งโหยง กาแฟดำร้อน ๆ กระฉอกลวกมือจนร้องโอ๊ย

   “เฮ้ย!” มีแต่คนมองที่ตกอกตกใจไปคนเดียว เนื่องจากหนูพุกตัวเเข็งทื่อเหมือนถูกสตัฟฟ์เมื่อคนในความคิดปรากฎตัวขึ้น ตอนนี้เขาชาไปทั้งตัวจนไม่รู้สึกอะไรแล้วด้วยซ้ำไป

   “แสบไหมเนี่ย...” คีรินทร์พึมพำ ดึงเเก้วกาเเฟออกจากมือเรียวแล้วดันหนูพุกไปที่อ่างล้างมือ เปิดน้ำจากก๊อกให้ไหลผ่านผิวเนื้อที่เริ่มขึ้นรอยเเดง    
   
   มือใหญ่หันไปกระชากกระดาษทิชชูจากกล่องกระดาษ วางโปะคราบกาแฟสีเข้มลงบนเคาน์เตอร์ไม้เคลือบเเว็กซ์อย่างว่องไว จนคนเป็นเลขาได้แต่ทำตาปริบ ๆ

   ก่อนหน้านี้หนูพุกเคยคล่องเเคล่วกว่านี้ เคยรอบคอบกว่านี้ แต่เหตุใดกันวันนี้จึงมีเเต่เรื่องไม่คาดคิด    

พนันร้อยละร้อยเลยว่าวันนี้ก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างแหง ๆ !

“เอ่อ พี่ภูครับ เดี๋ยวพุกทำเองดีกว่า กาเเฟใส่นมไหมครับ” พอตั้งสติได้เขาก็รีบปิดก๊อก รวบเเก้วกาเเฟลงในซิงค์แล้วเปิดตู้เหนือศีรษะหยิบเเก้วกาเเฟชุดใหม่มาเเทน

“ไม่ต้องชงแล้ว”

หนูพุกชะงัก มองสีหน้าเรียบนิ่งคิ้วเริ่มขมวดผูกโบว์อยู่กลางหน้าผากของเจ้านายเเล้วก็ประหวั่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะนึกโมโหกับท่าทีเซ่อซ่าของเขา กับอีแค่ชงกาเเฟยังไม่ได้เรื่องเลยพุกเอ๊ย!

“พี่ว่าจะมาชวนไปกินข้าวเช้ากัน” สิ้นประโยคเจ้านายคนดีก็คลี่ยิ้มพร้อมทั้งหัวเราะชอบใจที่อำคนมาใหม่ได้ “ขวัญอ่อนมากเลย เป็นหนูจริง ๆ ด้วย..”

“อย่าแกล้งสิครับ พุกนึกว่าพี่โมโหไปแล้วเนี่ย” หนูพุกถอนหายใจโล่งอก หากความชอบพอมีสเกลวัดปริมาณ มันคงพุ่งทะลุปรอทไปแล้ว

พี่ภูชวนเขาไปกินข้าว!

“แค่กาแฟหกเนี่ยนะ เรานั่นแหละที่ควรจะโมโหที่พี่พรวดพราดเข้ามามากกว่า”

“พุกไม่ทันระวังด้วยครับ ถือว่าเจ๊ากันเนอะ  ถ้าพี่ภูจะกินข้าวพุกไปซื้อให้ดีกว่า” หนูพุกเก็บถ้วยเคลือบไว้ที่เดิม เตรียมรับออเดอร์จากเจ้านาย

“ไปด้วยกันนี่ล่ะ พี่ชอบเดิน” ทั้งที่สองเท้ายังคงเเตะพื้นสำนักงาน แต่เลขาหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนว่าเครื่องบินกำลังตกหลุมอากาศ เขาเเพ้ดวงตาคมที่กำลังยิ้มอยู่ แค่มองก็รู้สึกมีความสุขแล้ว…

หากนี่ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หนูพุกคงคิดว่าอีกฝ่ายเเอบเอาน้ำมันพรายมาป้ายกัน

“ยังไม่มีใครมาทำงานอีกหรอครับ” คนช่างสังเกตมองไปทั่ว นอกจากพนักงานที่อยู่ด้านล่างเขาก็ไม่เห็นใครอีก

“ที่นี่เข้างานเก้าโมง กว่าจะมากันก็เฉียด ๆ เก้าโมงนั่นล่ะ” หนูพุกพยักหน้ารับ ฟังอีกฝ่ายอธิบายว่าพนักงานบางส่วนมักจะลงพื้นที่ไปประเมินสถานที่ด้วยส่วนหนึ่ง บางส่วนก็ไปกับผู้รับเหมาตอนจัดสวนด้วย

ชายหนุ่มผิวขาวแวะไปที่โต๊ะทำงาน เก็บเอาโทรศัพท์มือถือของสำนักงาน เเละเเท็บเล็ตเสียบลงในกระเป๋าใบเล็กด้วย ให้เดินถือโท่ง ๆ ดูท่าจะโดนฉกจนต้องไปสน.แทนจะไปร้านอาหารเสียล่ะมาก

“จะไปกินข้าวต้องเก็บของไปด้วยขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” คีรินทร์มองเลขาส่วนตัวอย่างคาดไม่ถึง หนูพุกทำตัวเหมือนโดเรม่อนที่คอยยัดของลงกระเป๋าวิเศษอย่างไรอย่างนั้นเลย

“ต้องเก็บสิครับ ถ้ามีใครโทรมาเรื่องงานจะได้ไม่พลาด” มนุษย์เพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ยิ้มอ่อนโยน อธิบายถึงการทำงานที่ฉับไวทันท่วงที เนื่องจากบางครั้ง คนโทรมาก็ไม่ค่อยจะเลือกเวลานักหรอก

คีรินทร์ลอบสังเกตหน่วยก้านของเลขาคนเเรกแล้วก็นึกพึงใจตามคำของญาติผู้พี่ที่ว่าหนูพุกเป็นคนคล่องแคล่วแถมยังหัวไวด้วย เขาเองที่เพิ่งจะเปิดบริษัทเล็ก ๆ มาได้เกือบสี่ปีจึงเลือกจะช่วยรับเลขาคนนี้เอาไว้ ธรรมชาติของภูเป็นพวกไม่ชอบงานเอกสาร แค่ต้องรับงานนัดหมายแล้วตามโครงการนับสิบในมืออีกทั้งยังต้องคอยควบคุมค่าใช้จ่ายในบริษัทก็ปวดหัวแย่แล้ว วันดีคืนดียังมีสัมภาษณ์โน่นนี่นั่นเข้ามาให้รำคาญใจอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เวลานอนยังไม่ค่อยจะพอเลยด้วยซ้ำไป

ถ้าหาคนมาคอยดูแลไอ้เรื่องจุกจิกพรรค์นี้ก็น่าจะสบายตัวดีนั่นล่ะ

เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างขมุกขมัว คนตัวใหญ่กว่าทำท่าจะหันไปช่วนลูกน้องคุยก็ต้องชะงัก เก็บปากเก็บคำเมื่อไอ้โทรศัพท์เจ้ากรรมที่เขาฟังมาตลอดสามสี่ปีดังขึ้นมาสองสายติดกันเเล้ว

“ครับ… ครับ… ยังไงเดี๋ยวผมขออนุญาติเช็คตารางคุณคีรินทร์แล้วจะติดต่อกลับไปอีกทีนะครับ” หนูพุกนับหนึ่งถึงสามในใจ รอคอยจนอีกฝ่ายไม่มีอะไรทักท้วงเเน่เเล้วจึงค่อยวางสาย

“พี่ภูฮ็อตน่าดูเหมือนกันนะเนี่ย” เขากระเซ้า ไม่นึกว่าบริษัทรับออกขนาดเล็กจะได้รับการสนใจจากสื่อมากมายขนาดนี้

“สัมภาษณ์หรือ” ภูเลิกคิ้วถาม ไม่รู้ว่าปีนี้เรื่องแลนด์สเคปมันอินเทรนด์ขนาดนี้ได้อย่างไร คนถึงพากันมาจ่อคิวขอสัมภาษณ์อยู่เรื่อย

“ครับ นิตยสารธุรกิจน่ะ เขาจะขอลงคอลัมน์สิบผู้บริหารหน้าใหม่” พอบอกชื่อหัวหนังสือชายหนุ่มก็ร้องอ้อ ไม่รู้ว่าตัวเองไปติดโผอะไรเทือกนี้ได้อย่างไร พักเดียวสองขายาวก็พาอีกคนเลี้ยวเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำตรงหัวมุมถนน

“เขาโทรมาขอคิววันพุธอาทิตย์หน้า พี่ภูสะดวกไหม” หนูพุกทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกในร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีไอน้ำหอมฉุยลอยจากหม้อจนเห็นได้ชัดเจน

“จริง ๆ พี่ไม่ค่อยชอบอะไรพวกนี้เท่าไหร่ หนูพุกคิดว่ายังไง” เขาเลิกคิ้วถามหยั่งเชิง

“เราทำในสิ่งที่เราชอบอย่างเดียวไปตลอดไม่ได้หรอกครับ” รอยยิ้มอ่อนบางอย่างนักเจรจาเลื่อนขึ้นประดับริมฝีปากคนพูด “บริษัทของพี่ภูยังเป็นบริษัทออกเเบบที่ค่อนข้างใหม่ แต่ก็ได้งานที่น่าสนใจทำอยู่หลายชิ้น งานนี้น่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นรู้จักเรามากขึ้นเพื่องานที่สเกลใหญ่กว่าเดิม” 

“รู้จักงานที่พี่ทำด้วยหรือเราน่ะ” คีรินทร์อมยิ้ม แอบจัดการสัมภาษณ์ย่อม ๆ บนโต๊ะอาหาร

“ก็พอเห็นมาบ้างครับ” หนูพุกเอ่ยถึงงานประกวดจัดสวนเเนวตั้งในพื้นที่คอนโดที่บริษัทเพิ่งจะได้รับรางวัลไปคร่าว ๆ แถมยังเอ่ยถึงงานประกวดประขันที่ได้รางวัลในต่างประเทศ นึกตลกตัวเองที่ดันจำนามสกุลของพี่ภูในเครดิตได้ไม่เเน่ชัดจนละเลยไป… แหม มันตั้งสิบกว่าปีมาแล้วนี่นะ

“เรื่องสัมภาษณ์เราก็จัดคิวให้พี่หน่อยเเล้วกัน สั่งก่อนดีกว่า” ภูนึกนิยมคนที่ตอบคำถามและอธิบายเรื่องงานประกวดของเขาได้ละเอียดยิบ พลางกวาดสายตาคมมองไปยังบอร์ดเเปะผนังซึ่งมีสติ๊กเกอร์ติดบอกรายการอาหารเอาไว้

“ผมเอาเหมือนเดิม” เข้าหันไปบอกหญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนคอยออเดอร์ พร้อมยิ้มทักลูกค้าประจำ

“พาเพื่อนมาด้วยเนอะวันนี้ ปกติเห็นมาคนเดียว” สาวใหญ่พูดไปเรื่อยจนหนูพุกตกประหม่าได้แต่ยิ้มแหย ๆ แต่อีกใจกลับลิงโลด

...พี่ภูมาคนเดียว…

บ้าเอ๊ย… เผลอยิ้มไม่ได้นะไอ้พุก ห้ามยิ้ม! กัดปากไว้เดี๋ยวนี้!!

“เป็นลูกน้องครับพี่ ผมเอาเกาเหลาเนื้อไม่เอาถั่วงอก ไม่เอาข้าวครับ”

“เรียกพี่ด้วย สงสัยจะได้กินพิเศษเเล้วพ่อหนุ่ม” คุณเจ้าของร้านวัยจะเหยียบเกษียณทำตาโต หัวเราะร่วนพลางรับคำว่าเดี๋ยวจะรีบมาเสิร์ฟ เนื่องจากคนค่อนข้างเเน่นขนัดพอสมควร

“มาจีบแม่ค้าเเบบนี้ พี่ตกกระป๋องจะทำยังไงเนี่ย”

คนแก่วัยกว่ามองเลขาที่จัดการรับเเก้วน้ำบรรจุน้ำเเข็งมาวางไว้ เปิดขวดน้ำเปล่าเติมด้วยท่าทางเรียบร้อย แค่วางเเก้วลงกับโต๊ะไม้ยังไม่มีเสียงเลย มือเบาขนาดนี้ได้ยังไงกัน

“โธ่ พี่ภูทำคะแนนมาก่อนนะครับ พุกจะเอาอะไรไปสู้ได้” หนูพุกยิ้มจนตาหยีพลางกรอกข้อมูลลงในเเท็บเล็ตซึ่งลิ้งค์กับดรอปบ็อกซ์ส่วนตัว

“ทำงานตลอดเวลาเลยหรือเปล่าหนูพุุก” เห็นดังนั้นคีรินทร์ก็ถามขึ้น

“ก็ไม่ตลอดนะครับ แต่พุกเเค่ไม่ชอบเก็บไว้ ถ้ามีงานก็จะทำทันทีเลย พอดีว่าตอนทำงานใหม่ ๆ พุกเคยชะล่าใจคิดว่าจำได้สุดท้ายงานยุ่งมาก ๆ ก็เผลอลืมงานลูกค้าไปเจ้านึง” ตอนนั้นเจ้านายเขาน่ะไม่เท่าไหร่ เพียงแต่ผลกระทบที่ตามมาจากความผิดพลาดทำให้คนอื่นต้องทำงานลำบากขึ้นเพียงเพราะว่าเขาลืม

...ถูกกระเเนะกระเเหนอย่างเเสบสันต์เลยทีเดียวเชียวล่ะอย่าให้พูด...
   
   “เอ้า งั้นก็หยุดพักก่อน หน้าที่ตอนนี้คือกินข้าวครับคุณเลขา” เกาเหลาเนื้อร้อน ๆ ในชามตราไก่ใบโตถูกเลื่อนมาตรงหน้า ซ้ำเเล้วเจ้านายยังบริการขยับพวงเครื่องปรุงมาให้อีกด้วย
   
   “ขอบคุณครับ” หนูพุกไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่มมากมายนักนอกจากน้ำส้มสายชูเล็กน้อยเเละน้ำปลา แต่ดูเหมือนคีรินทร์จะทำให้คนมองเกือบช็อคไปเเล้วด้วยพริกป่นช้อนพูนที่เทลงในเกาเหลาชามโต

   “พี่ชอบกินเผ็ดน่ะ พี่ชายบ่นประจำ มันบอกว่าเดี๋ยวลิ้นจะพังสักวันนึง”
   
   มันสมองของหนูน้อยตัวหนึ่งเก็บจำอย่างดีเชียวว่าพี่ภูของมันชอบกินอาหารรสจัดเเละมีพี่ชาย แล้วก็ต้องเบิกตาขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าอาหารในชามของอีกฝั่งเหมือนของเขาทุกกระเบียด เพียงเเต่เพิ่มข้าวเปล่าพิเศษด้วยเท่านั้นเอง
   
   “พี่ภูไม่กินถั่วงอกหรือครับ”
   
   “ใช่ ไม่ค่อยชอบน่ะ” ภูพยักหน้า ตักเนื้อเปื่อยชิ้นโตวางลงบนถ้วยข้าวสวยร้อน ๆ
   
   “พี่ว่ามันเหม็นเขียว...”

“พุกว่ามันเหม็นเขียว…” ต่างคนต่างพึมพำเเล้วก็เผลอระเบิดหัวเราะเมื่อสบตาคนหัวอกเดียวกัน

   ดูท่าแล้ว เลขากับเจ้านายคู่นี้คงจะเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด

   การทำงานกับคีรินทร์เเละบรรดาสถาปนิกมือทองในบริษัทขนาดย่อมทำให้หนูพุกผ่อนคลายกว่าที่คิดไว้ เมื่อทุกอย่างดูจะไปได้ราบรื่นในวันเเรก เพียงแต่เขาจะต้องขนเอกสารกลับมาอ่านที่คอนโดบ้าง เนื่องจากต้องทำความเข้าใจกับระบบสำนักงานและคำศัพท์เฉพาะที่ควรจะรู้ อีกทั้งเขาก็ยังหยิบเล่มสรุปโครงการที่เคยทำไว้กลับมาดูด้วย

   ...บางครั้งชีวิตเลขาก็ไม่ต่างอะไรจากสารานุกรมของบริษัท…

    กว่าจะเสร็จตามเป้าที่คาดไว้เข็มยาวก็ล่วงไปที่เลขสิบ หนูพุกเก็บเอกสาร ดูตารางงานในวันพรุ่งนี้ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย

   ‘เพื่อนเเลนด์ดิ้งปุ๊บก็โทรปั๊บเลยนะ ไอ้พุก!’ เสียงจากปลายสายหัวเราะ บ่นว่าเขามันพวกมีตาวิเศษ

   “คนเก่งก็แบบนี้แหละ เเล้วนี่บินที่ไหนมาเนี่ยไอ้เมย์” เมษาเป็นสาวมั่นคนหนึ่งที่เดินอยู่ในเส้นทางแอร์โฮสเตทสายการบินดัง เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีในยามที่หนูพุกมีเรื่องให้ครุ่นคิด

   ‘โอ๊คแลนด์ เหนื่อยมาก ก.ไก่ล้านตัว แล้วยังไงคะ งานใหม่ของแกโอเคไหม’ หนูพุกเดาว่าอีกฝ่ายคงขึ้นรถแล้วเนื่องจากได้ยินเสียงปิดประตูและเสียงกรอบเเกรบของห่อขนมดังมาจากปลายสาย

“มันก็ดีแหละ แต่ว่าแกจำคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า” 

‘ใครวะ’ เมษานึกสงสัย จะว่าเเฟนเก่าของหนูพุกก็ไม่น่าใช่เพราะกลุ่มเพื่อนพากันสาปส่งลงหลุมไปนานโขแล้ว  หลังจากนั้นหนูพุกก็ไม่ได้มีเรื่องรักใคร่อะไรให้ฟัง มากที่สุดก็แค่เรื่องงานที่จะเอามาเเชร์กันบ้าง

“พี่ภูอ่ะ” ชายหนุ่มอ้อมเเอ้มตอบ พลางเปิดประตูระเบียงออกไปสูดอากาศ

‘ภู… อ้อ... รักแรกแกน่ะนะ? ’

พอได้ยินชื่อ เมษาก็ถึงบางอ้อ รู้เพียงแต่ว่าชายคนนี้เป็นคนในดวงใจ เป็นคนที่ไอ้พุกประทับจิตประทับใจจนลืมไม่ลง ไปไหว้พระหรือทัวร์ทำบุญที่ไหนมันก็จะคอยขออยู่เรื่อยว่าขอให้ได้เจอพี่ภูของมัน


“อือฮึ คือพี่ภูเป็นเจ้านายใหม่ฉันเอง...” เขาขบปลายนิ้วเบา ๆ เริ่มสาธยายถึงคุณงามความดีในฐานะเจ้านายแล้วก็ชวนให้ใจลอยล่อง

เหมือนความรู้สึกตั้งแต่สิบปีก่อนมันต่อติดรวดเร็วจนน่ากลัว

‘โลกกลมดีเนอะ อีกอย่างเขาก็ฟังดูเป็นคนดี... อ่อยเลยสิ!’ หนูพุกส่ายหัวกับคนเชียร์ เมษาเป็นคนใจร้อนสมกับชื่อเดือนเกิดจริง ๆ นั่นเเหละ

“จะบ้าหรือไง นั่นเจ้านายนะ ให้เขารู้ว่าฉันสนใจเขาแบบนี้จะทำงานกันยังไง” พูดจบคนมีปัญหาหนักอกก็ได้ยินเสียงถอนหายใจพรืดอย่างไม่รักษาอาการ

‘ฟังนะไอ้พุก การอ่อยคือการทำให้เขาสนใจเรา ไม่ใช่ประกาศให้โลกรู้ว่าเราสนใจเขา!’  หนูพุกมองเเสงไฟบนตึกสูงหลากสีจากระเบียงห้อง ยิ่งมืดยิ่งสว่างเรื่อเรือง

“ฉันกลัววันนึงจะเข้าหน้ากันไม่ติดน่ะสิ” 

‘งั้นฉันถามหน่อยนะ แกปลื้มเขามาเป็นสิบปียังไม่เลิกแบบนี้ ถ้าแกคิดจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าวันไหนพี่ภูเกิดแต่งงานมีลูกมีครอบครัว แกยังจะทนทำงานที่รู้ทุกรายละเอียดชีวิตของเขาได้อีกหรือไง’

ฟันขาวคมขบปลายนิ้วอย่างครุ่นคิด มีคำตอบเด่นชัดในสมองจนนึกกลัวใจตัว

เขาอยู่กับความรู้สึกตะขิดตะขวงใจประเภทที่แอบชอบเจ้านายในขณะที่ภรรยาเเละลูกของอีกฝ่ายทำดีด้วยไม่ไหว ต้องให้รับความกดดันกับงานแล้วยังจะต้องอดทนกับความอึดอัดในใจตัวเองอีก อกไอ้พุกแตกตายใครจะรับผิดชอบกัน นี่ชีวิตจริงนะไม่ใช่คลับฟรายเดย์!

รวม ๆ แล้ว...ถ้าถึงวันนั้นเขาก็คงต้องหางานใหม่อยู่ดี

‘ถ้าแกคิดว่าทนได้ก็อยู่ไป แต่ถ้าแกทนไม่ได้ฉันจะช่วยแกร่างเเผนเอง’ เมษายิ้มกริ่ม หนูพุกเป็นเพื่อนที่ดี เเละเพื่อให้เพื่อนคนนี้สมปรารถนาเธอก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะงัดเอามารยาร้อยเล่มเกวียนออกมาช่วย

“เเผนอะไรของแกวะ” หนูพุกใคร่ครวญกับคำพูดของคนเจ้าเเผนการ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับอะไรที่ด่วนได้ใจเร็วเท่าไหร่นัก

‘แผนพิชิต(พี่)ภูของเเกไง!’

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 05-06-2018 10:02:03
เชียร์คุณเลขาเต๊าะพี่ภูให้ได้
 :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 05-06-2018 18:45:09
หนูพุกสู้ ๆ      :ped149:


พี่ภู… น่าร็อกอะ!!     :m3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-06-2018 19:17:09
พุก ได้เจอพี่ภูแล้ว   :mew1: :mew1: :mew1:
ขนาดพี่ภู ยังได้เจอกัน
แล้วคนที่เคยแกล้งพุกจะเจอกันอีกมั้ยเนี่ย  :serius2:

พี่ภู   พุก    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 05-06-2018 19:36:12
ชื่อเรื่องพิชิตภู

หนูพุกเป็นรุก

พี่ภูเป็นรับ

แม่นก่  :z1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-06-2018 20:30:49
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 15-06-2018 11:21:06
Chapter 2

 บทสนทนาเมื่อคืนยังอยู่ในหัวไม่จางหายไปไหนง่าย ๆ ถึงแม้ว่าหนูพุกจะเเบ่งรับเเบ่งสู้เเผนการพิชิตพี่ภูที่เเสนเผ็ดร้อนของเพื่อน ทว่าเมษาก็ยังคงย้ำอยู่เสมอว่าถ้าต้องการคนร่างเเผนให้ติดต่อมาได้เสมอ ต่อให้เธอบินอยู่แถวตะวันออกกลางก็จะรีบช่วยคิดทันที

   เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเพื่อนอยากจะให้รีบมีแฟนอะไรขนาดนี้เหมือนกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนกรานว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะมีใครสักคนเข้ามาดูแลหนูพุกอย่างจริงจัง แต่หนูพุกก็ยังเกรง… เขาเป็นเจ้านาย

แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนที่หนูพุกหลงใหลได้ปลื้มมาตั้งแต่มัธยม

อ่อย… หรือไม่อ่อย...

เหมือนมีเดวิลสีเเดงและแองเจิ้ลสีขาวกำลังเเย่งกันกระซิบข้างหูเหมือนตอนดูทอมแอนด์เจอรี่สมัยเด็กชัด ๆ

ชายหนุ่มส่ายหัว ทำเป็นลืมเรื่องเเผนการอะไรนั่นทั้งที่มันยังคั่งค้างอยู่ในใจ เช้านี้เขามาถึงที่ทำงานราว ๆ เเปดโมงเช้าพร้อมกับหิ้วถุงข้าวกล่องมาด้วย พี่ภูกับเจ้านายเก่าของเขาต่างกันมากเรื่องวิถีการกิน รายนั้นมักจะชอบของเบาไม่หนักท้องเเละกาเเฟนมอุ่น ๆ แต่คีรินทร์ชอบอาหารที่ให้พลังงานสูงสุด ดูจากเเซนด์วิชแฮมชีสสามกล่องที่จัดเข้าไปเป็นของว่างหลังการประชุมเมื่อบ่ายของเมื่อวานก็พอจะรู้
   
น่าประหลาดใจที่กินเยอะอย่างนั้นแต่รูปร่างก็ไม่ได้อยู่ในหมวดน้ำหนักเกินเกณฑ์ไปสักเท่าไหร่
   
ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยถูกอุ่นเมื่อเจ้านายเหยียบถึงออฟฟิศ ถึงเเม้ว่าเขาจะชอบกินรสจัดแต่หนูพุกเห็นว่ากินของเผ็ดตอนเช้าคงไม่ดีกับกระเพาะ

“พี่ภูครับ..” 
   
อาหารเช้าถูกจัดใส่จานเข้าไปให้ พร้อมกับสรุปตารางงานคร่าว ๆ ของอีกคนให้ฟังด้วย ทั้งที่โดยมารยาทเเล้วหนูพุกจะต้องรอให้เจ้านายรับประทานมื้อเช้าให้เสร็จเสียก่อนจึงจะเข้ามาอีกหน ทว่าคีรินทร์โบกมือเรียกให้เขาพูดเลยโดยที่ยังไม่เเตะต้องอาหารเช้า อาจมีเพียงการยกกาเเฟเย็นขึ้นดื่มบ้างระหว่างฟังนิดหน่อยเท่านั้น
   
บางครั้งการเป็นเลขาก็ต้องอาศัยวาทะศิลป์ในการหว่านล้อมนายให้ทำงานตามตาราง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกสั่งหรือบีบบังคับ แต่กับชายวัยเข้าสามสิบคนนี้หนูพุกไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้ยากเย็นเลย
   
เขาตรงไปตรงมา ว่างก็บอกว่าว่าง ไม่ว่างก็ว่าไม่ว่าง หรือสิ่งใดที่ไม่อยากจะทำเช่นงานสังคมเขาก็พูดตามตรงไม่โยกโย้แล้วแอบดอดหนีไปให้คนรับหน้าต้องปวดหัว

ถือเป็นเจ้านายที่ไม่งอเเงคนหนึ่งล่ะนะ
   
มือใหญ่ยกแก้วกาเเฟขึ้นจรดริมฝีปากก่อนจะไล่ดูตารางงานอื่น ๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่หนูพุกจัดการอัพเดตออนไลน์ให้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเมื่อเช้า

สายตาเรียวจ้องคนที่กำลังเพ่งสมาธิกับหน้าจออย่างเงียบ ๆ มือใหญ่โตที่กุมเม้าส์อยู่คงอุ่นน่าดูถ้าสอดประสานมือลงไป..

“วันนี้ที่จะไปรับบรีฟโรงเรียนศิลปะหนูพุกไปด้วยกันนะ” เขาเปรยขึ้นเรียบ ๆ แต่หนูตัวหนึ่งสะดุ้งเหมือนถูกกระชากหัวออกจากห้วงความคิดอกุศล

“ปะ..ไปครับ!” คนพูดตกใจกับเสียงตัวเองที่ตอบรับเสียงเเข็งขันประหนึ่งสมัยเรียน ร.ด. ไม่รู้ทำไมอยู่ใกล้พี่ภูทีไรอะดรีนาลินมันเหมือนจะพุ่งพล่านเกินปกติเสียเหลือเกิน

“เสียงเข้มเเข็งดีจริงๆ” รอยยิ้มผลิขึ้นประดับใบหน้าคมสัน ยิ่งทำให้ใจคนมองสั่นจนเเทบจะกระดอนมานอกอก คนทำเปิ่นหน้าขึ้นสีพยายามหดตัวให้เหลือเล็กที่สุดในความรู้สึก

หากมีมาตรวัดความอับอายหนูพุกก็คิดว่ามันคงทะลุปรอทไปแล้ว

“รอบหน้าจะพูดให้เบาลงเเล้วกันครับ” หนูพุกลงเสียงจนเบาหวิว ตอนนี้หนูใหญ่ตัวหนึ่งทำท่าจะกลายร่างเป็นมะเขือเทศเนื้อเสียเเล้ว
   
ทั้ง ๆ ที่การออกไปทำงานข้างนอกกับเจ้านายเขาก็ทำมาตั้งเกือบห้าปี ไม่เห็นจะมีครั้งไหนที่ทำให้ใจเต้นผิดจังหวะจนเเสดงท่าทีป้ำเป๋อได้ขนาดนี้… สงสัยจะเป็นที่คนชวน...
   
“งั้นเดี๋ยวพุกไปเตรียมเอกสารเช้านี้ให้เสร็จก่อนดีกว่าครับ” หนูพุกรีบขอตัวออกจากพื้นที่อันตราย อยู่กันสองคนกับพี่ภูตรงไหน.. ที่นั่นก็เป็นโซนสีเเดงที่ไม่ปลอดภัยกับใจเขาทั้งนั้น

ยามที่ประตูห้องของคีรินทร์ปิดลง หนูพุกก็สูดหายใจเฮือกรีบตั้งสติเป็นรอบที่ล้าน สองมือประกบตบแก้มตัวเองเบา ๆ ไม่รู้ว่าจะทำงานจนผ่านโปรโดยไม่เป็นโรคหัวใจไปก่อนได้ไหมเนี่ย!
   
พอก้นเเตะเก้าอี้ก็เหมือนว่าอยู่ดี ๆ สารพัดเเฟ้มก็งอกขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ต่างอะไรกับวัชพืชที่เเข่งกันงอกบนดิน เอกสารต่าง ๆ ที่ต้องการการอนุมัติถูกคุณเลขาจัดเรียงตามความเร่งด่วนเเละเอกสารเเจ้งความคืบหน้าของเเต่ละโครงการก็ถูกทำโน้ตย่อด้วยลายมือเป็นระเบียบเเล้วเสียบด้วยคลิปหนีบกระดาษ
   
...คลิปหนีบกระดาษประจำตัวลายดาว พระจันทร์และหัวใจที่เคยจับฉลากได้ตอนปีใหม่ที่สำนักงานเก่า…
   
‘แกต้องทำตัวน่ารักเข้าไว้! คนน่ารักน่ะใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย อ้อ น่ารักนะเว้ย ไม่ใช่ปัญญาอ่อน’
   
เสียงกำชับเข้ม ๆ ของเพื่อนสาวดังมาในห้วงความคิดทำเอาหนูพุกต้องสะบัดหัวไล่ สองจิตสองใจกับคลิปหนีบกระดาษรูปหัวใจสีชมพูพาสเทลในมือ

 ...อันนี้มันเข้าข่ายน่ารักหรือเปล่าวะ...
   
“หนูพุก! ไอ้ภูมันใช้งานหนักขนาดนี้เลยหรือ” เต้ยท้าวเเขนลงบนโต๊ะทำงานเลขานุการ มองชายหนุ่มวัยอ่อนกว่าที่กำลังทำสีหน้ายุ่งยากใจ
   
“ไม่หรอกครับ พุกแค่… บริหารคอ”

หนูพุกหัวเราะเเห้ง ๆ ขืนอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังชั่งใจเรื่องเลือกลายคลิปหนีบกระดาษว่าจะใช้รูปดาว พระจันทร์ หรือหัวใจจะรู้สึกอย่างไรกัน
   
“เด็กหนอเด็ก ไอ้ภูน่ะมันบ้า ถ้ามันใช้งานหนักเกินไปพี่จะไปฟ้องสหภาพแรงงานให้” เต้ยหัวเราะ

รอยยิ้มของอีกฝ่ายสว่างจ้าเหมือนแดดตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ทั้งส่องประกายเเละอบอุ่น พลางคิดไปถึงคนที่คงนั่งเพ่งจอคอมพิวเตอร์ตรวจเเบบโครงการรีสอร์ทที่เขาใหญ่อยู่ในห้อง ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่เปิดบริษัทไยกันจะไม่รู้ว่าบอสใหญ่หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน
   
อีโก้พวกไม่อยากพึ่งใบบุญพ่อแม่มันค้ำคอนี่นะ
   
“ไม่หนักหรอกครับ พี่ภูใจดี… แล้วพี่เต้ยอยากให้พุกช่วยอะไรหรือเปล่าครับนี่” ดวงตาเรียวรีมองไปยังเเฟ้มงานบาง ๆ สองเล่มซึ่งหุ้นส่วนสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่คอยดูเเลด้านการเงินของบริษัทถือติดมือมาด้วย
   
“อันนี้งบเมื่อเดือนก่อน พี่เพิ่งตรวจบัญชีเสร็จ อันนี้เป็นใบเเจ้งเปลี่ยนผู้รับเหมาบ้านคุณเอนก” หนูพุกเปิดมันอ่าน เเปะโพสต์อิทแยกประเภทลงที่หน้าเเฟ้มแล้วจดสรุปลงไป
   
“ย้ายไปเป็นเลขาพี่ไหม เก่ง ๆ แบบนี้พี่คงเเฮปปี้น่าดู” เต้ยกระเซ้าจนคนถูกชมยิ้มกว้าง หากมีเสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลังจนหนูพุกเกือบสะดุ้ง
   
“มาซื้อตัวหรือ กูไม่ให้เว้ย” คีรินทร์หัวเราะ เตะขาเพื่อนไปหน มือหนึ่งถือจานข้าวที่ว่างเปล่าเเล้ว อีกมือถือเเก้วกาเเฟที่เหลือเพียงน้ำเเข็งหลอด

มีเพียงเลขาคนดีเท่านั้นที่เผลอมือสั่นเพียงเพราะคำว่าไม่ให้ โอย.. ไอ้พุกจะเป็นลม รู้สึกเหมือนเป็นเพชรน้ำดีที่คนหากันให้ควั่ก
   
“แต่พี่เลี้ยงดีนะ ได้กินช็อกโกเเล็ตทุกมื้อ” หนูพุกหัวเราะกับถ้อยคำหาเสียงเหล่านั้น พึมพำว่าอยู่กับพี่เต้ยคงสมบูรณ์ดีน่าดู ไม่ได้บอกความลับว่าเขาเเทบจะไม่เเตะของหวานเพราะกลัวว่าจะกลับมาอ้วนอีก
   
“ช็อกโกเเล็ตเลี้ยงเด็กไม่ได้ทุกคนโว้ย นี่...กินของพี่แล้วอย่าไปยุ่งกับมัน”

ภูแกล้งเพื่อนหน้าตายมองหน้าเพื่อนที่กำลังขึ้นสีเพราะโดนกระเซ้าเรื่องเลี้ยงเด็กอย่างนึกขบขัน แล้ววางซองพลาสติกเล็ก ๆ ที่ค้นออกจากกระเป๋ากางเกงลงบนโต๊ะทำงาน
   
“พูดมากนักไปคุยเรื่องบ้านคุณเอนกกับกูเลยมึงน่ะ” เต้ยเดินนำเพื่อนกึ่งเจ้านายลงไปที่ห้องครัว เล่าเรื่องลูกค้าเจ้าปัญหาที่ดันมาขอแก้แบบทั้งที่งานเดินหน้าไปเกือบครึ่งเพราะซินแสทัก

หนูพุกหยิบห่อลูกอมสีขาวขึ้นพิจารณา พี่ภูชอบเมนทอสหรือ…

เขาไม่ได้กินมันตามคำบอกของเจ้านาย เพียงเเต่หยิบมันเหน็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทเท่านั้น กว่าจะคิดได้ว่ากำลังทำตัวเหมือนเด็กสิบสี่อีกหนหนูพุกก็อดตบหน้าผากเตือนตัวเองไม่ได้
   
ยี่สิบหกแล้วนะไอ้พุก ยี่สิบหกแล้ว!

   

เอกสารทั้งหมดถูกลำเลียงไปให้คีรินทร์ในห้องทำงานหลังจากที่เขากลับขึ้นมาจากด้านล่าง หนูพุกจัดลำดับการพิจารณาตามความเร่งด่วนให้ทั้งหมดเเล้ว สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือโน้ตสรุปที่เขียนมาเป็นข้อครบถ้วนไม่ยืดเยื้อ เป็นการช่วยให้เขาทบทวนทุกอย่างคล้าย ๆ เช็คลิสต์ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องทำด้วยซ้ำไป

เริ่มเชื่อคำคุยแล้วว่ารายนี้น่ะ มืออาชีพจริงๆ
   
ปลายปากกาจรดลงอีกหน้าของกระดาษ เขียนข้อความลงไปสั้น ๆ เเล้วใช้ที่หนีบกระดาษอันเดิมหนีบทับลงไป มือใหญ่เเตะลงกับพลาสติกลายดาวฉลุเป็นหน้ายิ้มเเล้วบนหน้าก็เปื้อนยิ้มจาง ๆ

ไม่รู้ว่าคลิปหนีบเอกสารนี่เป็นกุศโลบายให้ทำงานด้วยความสุขหรือเปล่านะ

“เดี๋ยวสักสิบนาทีเราก็ไปกันเถอะ ไปก่อนเวลานัดหน่อย” มือใหญ่วางเอกสารที่รวบมาเเล้วลงบนโต๊ะ บอกผู้ช่วยที่กำลังขะมักเขม้นตอบอีเมลล์ด้วยรอยยิ้ม
   
“ครับ เดี๋ยวพุกเอาอันนี้ไปคืนคนอื่นแป๊บหนึ่งนะครับ” หนูพุกไล่เเกะคลิปพลาสติกลงกล่องใส สะดุดตากับกระดาษใบหนึ่งที่มีข้อความกลับมา

‘ขอบคุณครับ’
   
เลขาหนุ่มถึงกับเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือกุมอกตัวเองอย่างเงียบเชียบทั้งที่ในใจอัดอั้นอยากจะร้องออกมาดัง ๆ นึกขอบคุณตัวเองที่ไม่อาจหาญใช้เจ้าพลาสติกรูปหัวใจ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาคงช็อคน้ำลายฟูมปากคาหน้าเเฟ้มแน่ ๆ
   
เมื่อได้ยินเสียงหัวหน้างานปิดประตูห้องดังไล่มาจากด้านหลัง มือเรียวก็เคาะเเป้นพิมพ์กดส่งอีเมลล์ฉบับสุดท้าย รีบปิดคอมพิวเตอร์แล้วกวาดสิ่งจำเป็นลงกระเป๋าอันได้แก่ สมุด เเท็บเล็ต โทรศัพท์ออฟฟิศและพาวเวอร์เเบงค์

“เดี๋ยวพี่รอที่รถนะ” คีรินทร์ละจากโทรศัพท์ที่ยังคุยอยู่ชั่วครู่เมื่อเห็นว่าหนูพุกยังคงต้องนำเเฟ้มงบการเงินที่เขาเพิ่งเซ็นต์เบิกจ่ายสำหรับโครงการรีสอร์ตไปส่งให้กับคนทำบัญชีก่อน

คนที่ตามลงมาถึงลานจอดรถก็เพิ่งจะเห็นว่าร่างสูงใหญ่กำลังจัดการบางอย่างคล้ายกับกำลังทำความสะอาดภายในเจ้าแลนด์โรเวอร์ห้าประตู   
   
   “โทษทีนะหนูพุก รถเลอะนิดหนึ่งนะ พอดีเพิ่งขนต้นไม้มา”

สองเเขนใหญ่ขยับเปิดกระโปรงหลังดึงเอาพลาสติกเเผ่นใหญ่ที่ปูทับเบาะหลายที่นั่งด้านหลังที่ถูกปรับเอนออก คราบดินเเห้ง ๆ ร่วงกราวตามจังหวะที่เศษกระสอบถูกดึงออกไปด้วย

   “นั่งได้หรือเปล่า มันยังมีกลิ่นดินอยู่หน่อย”
   
   “ได้ครับ พี่ภูไม่ต้องกังวล” หนูพุกขยับปิดประตูรถ อีกฝ่ายพยักหน้าสตาร์ทรถแล้วออกตัวอย่างเงียบเชียบ 
   
   ภายห้องโดยสารสีดำกลับกลายเป็นพื้นที่สีเเดงของหนูหนึ่งตัว ดวงตาไม่รักดีไม่ยอมมองทาง หากเฉไฉไปมองมือใหญ่บนพวงมาลัยเสียได้ เมื่อเป็นดังนั้นหนูพุกจึงเเสร้งหยิบเเท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดู เอ่ยปากขอร้องให้เจ้านายเล่าเรื่องโครงการโรงเรียนศิลปะซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดตอนนี้
   
   โรงเรียนศิลปะเเห่งใหม่ในกรุงเทพฯนี้ไม่เพียงเเต่เป็นสถานที่เล่าเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาด้านศิลปะเพียงอย่างเดียว หากยังเป็นศูนย์กลางสำหรับการจัดการประกวดเเข่งขันรวมถึงงานประมูลภาพศิลปะหรือปฏิมากรรมก็จะถูกย้ายมาจัดที่นี่ด้วย โดยการพบกันในครั้งนี้จะเป็นการรับบรีฟเเละตรวจดูสถานที่เท่านั้น

“จริง ๆ งานนี้ยังไม่ได้เป็นของเราหรอกนะ” คนฟังได้แต่ร้องอ้าวในใจ ฟังคนตัวใหญ่กว่าพูดต่อไป “จริง ๆ มันเป็นกึ่ง ๆ งานประกวดด้วย” เพียงแต่เป็นข้อมูลเงียบ ๆ ที่รู้กันเฉพาะในวงคนทำงานเท่านั้นเอง

งานใหญ่ขนาดศูนย์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ ใคร ๆ ก็เสนอตัวทำให้กันทั้งนั้น

...ไม่เว้นเเม้แต่คีรินทร์…

หากตกปลาใหญ่ตัวนี้ได้ ที่เหลือจะหนีไปไหนรอดเสียเล่า
   
   “แล้วเรื่องค่าแบบล่ะครับ” หนูพุกไม่ค่อยเข้าใจกติกาอะไรพวกนีัเท่าไหร่เนื่องจากบริษัทเดิมเป็นบริษัทใหญ่ซึ่งมีฝ่ายออกแบบเป็นของตัวเอง
   
   “ก็อาจจะต้องทำฟรีจนกว่าเขาจะตกลงเลือกเรา” ชายหนุ่มยิ้มจาง ๆ ขัดกับคุณเลขาที่ได้แต่ครวญในใจว่าเขี้ยวชะมัดยาด

แต่คิดในมุมของเจ้าของเงินสร้างเขาก็พอเข้าใจได้ ถ้าเปรียบโปรเจ็กต์นี้เป็นดอกไม้หอม บริษัทออกแบบต่าง ๆ ก็คงไม่ต่างจากฝูงผึ้ง อย่างไรเสียก็มีอำนาจต่อรองเป็นเครดิตไซส์ยักษ์และเงินค่าจ้างก้อนโต

มีเพียงผึ้งงานที่เก่งพอเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เก็บน้ำหวาน

ยิ่งคิดหนูพุกก็ชักจะเริ่มเกร็ง เนื่องจากโปรเจ็กต์นี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโปรเจ็กต์ขยับฐานันดรศักดิ์ของบริษัทขนาดเล็กที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างให้โดดเด่นขึ้นทัดเทียมกับบริษัทออกเเบบในระดับแนวหน้า

“นั่งอ่านแบบนั้นเดี๋ยวก็เมารถหรอกหนูพุก” คีรินทร์หักเลี้ยว ลอบมองคนที่นั่งข้างเคียงกัน

“ชินแล้วครับ ไม่เมาหรอก” เลขาหนุ่มยิ้มจาง ๆ อยากจะเป็นเด็กดีว่าง่ายเก็บงานลงกระเป๋าในบัดดล หากมีรายชื่อหนึ่งในคณะกรรมการโครงการที่สะดุดตา

ไม่นานนัก รถยนต์หยุดลงหน้าพื้นที่ซึ่งยังถูกล้อมและมีคนงานทำงานอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตัวตึกยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก รูปทรงสี่เหลื่ยมของอาคารหลังนี้ไม่ได้เป็นเหมือนอาคารสูงทั่วไป หากมีการเล่นระดับเเละมีพื้นที่ยื่นออกมาหรือตัดเข้าไปดูมีมิติ หากทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วมันคงไม่ต่างอะไรกับอาคารที่หลุดออกมาจากหน้านิตยสาร

คนมองอดตื่นเต้นน้อย ๆ ไม่ได้เนื่องจากนี่เป็นหนแรกที่หนูพุกได้ออกมาที่ไซต์งานจริง ๆ อีกทั้งพื้นที่เกือบหกไร่บนถนนวิทยุชวนให้ขนลุกเมื่อคิดถึงราคา

“อีกเกือบสิบห้านาที กว่าจะถึงเวลานัด หนูพุกจะเข้าไปรอก่อนก็ได้นะ” คีรินทร์เอ่ยขึ้น ด้วยว่าเขาต้องการจะเดินดูพื้นที่นอกอาคารสักครู่หนึ่งเผื่อว่าจะมีไอเดียดี ๆ

“งั้นพุกขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่แล้วจะออกมานะครับ” คุณเลขายิ้ม อยากจะเดินดูพื้นที่กับพี่ภูอยู่หรอก แต่วันนี้เขาดื่มน้ำไปเยอะ ถ้าจะปวดฉี่ตอนบรีฟงานกันคงไม่ดีเเน่

“พี่ภูครับ… ติดไว้หน่อยนะครับ แดดมันร้อน”

“ขอบคุณครับ”

มือใหญ่รับกล่องพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือที่ถูกดึงออกจากกระเป๋าของเลขานุการหนุ่ม  พลิกมันพิจารณาเเล้วก็พบว่ามีฝาอยู่ที่มุมหนึ่ง อ้อ.. ขวดน้ำดีไซน์ใหม่แบบที่จะเก็บลงกระเป๋าเล็ก ๆ ได้

เขามองไปยังร่างสันทัดใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินที่ก้าวออกไปรวดเร็วแล้วก็ยิ้มออก มีเลขานี่มันช่วยเก็บตกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้กว่าทำงานทั้งหมดคนเดียวจริง ๆ
   
   หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยดีเเล้ว หนูพุกไม่ได้เดินตามเจ้านายทันทีทันใด ทว่าเพียงเเต่เดินมองตามอยู่ห่าง ๆ ผิวสีเเทนยามต้องเเดดยิ่งชวนมอง ดวงตาเรียวรีจับจ้องเเผ่นหลังกำยำอันถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตคอจีนสีเขียวมะกอกพับเเขนขึ้น เรื่อยเลยมาที่ท่อนเเขนเเข็งแรงซึ่งกำลังสาละวนกับการถ่ายรูปเเละจดอะไรบางอย่างลงในสมุดโน้ตส่วนตัวอย่างเอาจริงเอาจัง

มันเเทบจะเป็นภาพที่สวยงามที่สุดของพี่ภูเท่าที่หนูพุกเคยเห็นมา

เขาเหมือนต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านที่ประกอบด้วยใบสีเขียวจัดอยู่ท่ามกลางแมกไม้…  ดูร่มเย็น อบอุ่น… ทว่ายิ่งเดินเข้าหา ภาพพวกนั้นก็ดูเหมือนจะปลิดปลิวไปทีละน้อย ยามรอยยิ้มจาง ๆ ซึ่งมักจะประดับบนใบหน้าอยู่เป็นนิจชืดลงและเเปรเปลี่ยนเป็นคิ้วที่กำลังผูกโบ

“แม่ง ทำไมมาอยู่ตรงนี้วะ”  หนูพุกหัวเราะกับเสียงทุ้มที่ลอยมาเข้าหู

คนอะไร… ทะเลาะกับฝาท่อก็ได้ด้วย
   
   “อ้าว คุณหนูพุก มาได้ยังไงเนี่ย” หนูน้อยที่กำลังสังเกตการณ์สะดุ้ง ถูกดึงออกจากภวังค์เพราะใครอีกคน

...หม่อมหลวง กวี กรจักร…

หนูพุกมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ภูเเล้วก็ยิ้มออก ไม่นึกว่าเขาจะมาในวันนี้ เนื่องจากเเต่เดิมคีรินทร์มีนัดกับผู้บริหารอีกท่าน อย่างไรก็ตามมีคนที่พอรู้จักกันมาสมทบมันก็ไม่เลวนักหรอก

“สวัสดีครับคุณวี พอดีผมเปลี่ยนงานเเล้วน่ะ” มือเรียวผายไปที่เจ้านายซึ่งเดินไกลออกไป ไม่เห็นเลยว่ามีใครสองคนกำลังมองตาม

“เป็นเลขาคุณภูหรือ ทีตอนผมชวนก็ไม่ยอมมาทำด้วยกัน” เขายิ้ม หนุพุกเคยพบกับคุณกวีในการนัดประชุมอยู่บ่อยครั้งช่วงที่บริษัทมีการทำสัญญาคู่ค้ากับโรงเเรมของอีกฝ่าย
   
   “ชวนกันแบบนี้ เดี๋ยวคุณกรรณจะงอนเอานะครับ” หนูพุกหัวเราะกลบเกลื่อน ดึงเลขานุการของกวีเข้ามาช่วยเลี่ยง

“ผมอยากให้มานะ พอดีติดใจลีลาการเขวี้ยงรองเท้า” เขายิ้ม หนูพุกอดครวญไม่ได้ว่าท่าทางแบบนี้มันโคตรหล่อ อยากจะเกิดมาหน้าตาดี มีช้อนเงินช้อนทองมารองกับเขาบ้างก็เท่านั้น

“เรื่องมันนานมาแล้ว คุณวีอย่าพูดเลย ผมอาย”

ความหลังของเขากับหม่อมหลวงกวีไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจนัก วันนั้นหนูพุกเลิกประชุมพร้อมพระอาทิตย์ตกดิน รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ยังคงสติเอาไว้ได้ทั้งที่นอนไม่พอเพราะมัวเเต่อ่านข้อมูลบริษัทย้อนหลังจากฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้รองรับทุกคำถามที่เจ้านายยิงมาเพราะต้องการข้อมูล

...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเลขาหรือเป็นอับดุล...

หนูพุกใจลอยเดินอยู่ข้างฟุตปาธหน้าบริษัท สายตาหยุดอยู่ที่คนที่เพิ่งเข้าประชุมมาด้วยกันกำลังจะต่อวินมอเตอร์ไซค์ คิดว่ามองไม่ผิดหรอก

นั่นหม่อมหลวงกวี กรจักรกำลังง้างขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์!
ไอ้พุกตาโตเป็นไข่ห่านเหมือนเห็นเป็ดสามหัว ใครจะคิดว่าคนระดับนั้นอยู่ดี ๆ จะมาต่อคิวขึ้นฮอนด้าเวฟปาดเบาะเหมือนพนักงานออฟฟิศกันเล่า

สิ่งที่เห็นมันยิ่งดูประหลาดและใกล้เคียงละครจอเเก้วขึ้นอีกเมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีชายหนุ่มที่เขาไม่เห็นหน้า วิ่งกระเเทกคนที่กำลังจัดระเบียบตัวเองจนหน้าคะมำแล้วฉกกระเป๋าเอกสารของอีกฝ่ายไปด้วย

กระเป๋าเอกสารของคุณกวี… มีเเฟลชไดร์ฟข้อมูลของบริษัท!

อยู่ดี ๆ ก็เหมือนมีวิญญาณผู้กล้าโถมตัวใส่จากที่ไหนก็ไม่รู้ได้ หนูพุกขาดสติด้วยในเเฟลชไดร์ฟมีข้อมูลของบริษัท เขาติดสปีดวิ่งตามแต่เล็งเห็นเเล้วว่าขนาดช่วงขามันต่างกันเลยเลือกที่จะถอดรองเท้าหนังออกอวดสกิลเซียนปาลูกโป่งให้คนคอยรถเมล์ทั้งเเถบนั้นได้เห็น

ถึงตอนนี้ก็ยังนึกดีใจที่เขวี้ยงออกไปเเล้วมันเเม่นเข้าท้ายทอยไอ้โจรกระจอกที่เเฝงตัวเป็นพนักงานเดินฉกของตอนคนเลิกงาน เพราะถ้าไม่เเม่นคงไม่เเคล้วจะต้องไปนอนเล่นในซังเตข้อหาทำร้ายร่างกาย

วันนั้นคุณกวีขอบคุณหนูพุกซ้ำเเล้วซ้ำอีกเพราะกระเป๋าใบนั้นมีเอกสารจำเป็นที่เขาจะต้องใช้ประชุมด่วนอยู่ด้วย… ไอ้ประชุมด่วนที่ทำให้คุณกวีถึงกับต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปอโศกนั่นล่ะ

ดูอีกฝ่ายจะซึ้งน้ำใจเขาจริงจังถึงขึ้นจะพาไปเลี้ยงข้าวตอนวันหยุดเสียด้วย แต่กระนั้นคนที่ทำอะไรไม่ยั้งคิดจนเหลือเเต่ความอับอายก็ไม่ได้ตอบรับเพราะมัวเเต่ช็อค สุดท้ายก็ได้แต่ดอกไม้ขอบคุณที่ส่งจากเลขาของอีกฝ่ายพร้อมการ์ดที่เเนบมาทำนองว่าหากต้องการความช่วยเหลืออย่าได้ลังเลที่จะติดต่อหม่อมหลวงผู้กว้างขวาง

...จนถึงตอนนี้ก็ยังจะคิดเอามาเป็นบุญคุณกันอยู่เลยให้ตาย...

“เอาเป็นว่ายังไงผมก็ยินดีต้อนรับแล้วกัน”คนพูดหัวเราะ อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ เดินพาอีกคนเข้าหลบเเดดพร้อมกับทักทายคีรินทร์ที่มองเห็นพวกเขาเเล้วเเละกำลังตรงเข้ามา

ไม่นานผู้บริหารอีกท่านก็ตามมาสมทบและเริ่มงานอย่างรวดเร็วด้วยเวลาของแต่ละคนต่างก็เป็นเงินเป็นทอง

ตลอดเวลาที่เดินไปฟังความต้องการของเจ้าของสถานที่ไปด้วย หนูพุกก็มีหน้าที่จดทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย เขาฟังคีรินทร์อธิบายเรื่องพื้นที่ ปัญหาที่พบ หรือกระทั่งการวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของโครงการ

“ภาพรวมที่บอร์ดตกลงกันก็ประมาณนี้ครับ ยังไงอีกสองอาทิตย์คุณภูเข้ามาเสนอเเบบได้เลยนะ” ผู้บริหารชั้นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นพลางเเอบดูนาฬิกา เดาว่าคงจะมีธุระต่อ


“ได้ครับ เดี๋ยวผมกับทีมจะเข้ามาเสนอเเบบตามที่คุยกันไว้ ต้องรบกวนท่านกับคุณกวีด้วยนะครับ” คีรินทร์ยิ้มทั้งที่เเสงเเดดตอนเกือบเที่ยงสะท้อนเข้าตาจนต้องหรี่ลงบ้าง

หนูพุกเห็นว่าเหลือกันเเต่คนรู้จักก็พอจะเห็นช่องทางบางอย่าง กดโทรศัพท์หาคนที่เคยติดต่องานกัน สอบถามเรื่องตารางของคุณกวีและร้านอาหารโปรดเสียเสร็จสรรพ แถมยังส่งซิกให้เจ้านายที่เข้าใจจุดประสงค์ของหนูพุกแค่เพียงสบตา

“เที่ยงนี้คุณวีมีธุระไปไหนหรือเปล่าครับ ยังไงให้เกียรติอยู่ทานกลางวันที่ร้านห้องเเถวกันก่อนไหมครับ พอดีหนูพุกเขาจองโต๊ะไว้...”

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเอ่ยชวน รักษามาดไม่ให้ทุกอย่างดูมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขณะที่เลขาคนดีก็โปรยยิ้มการค้าที่ตกคนให้คล้อยตามมานักต่อนัก

“ยินดีเลยครับ ยังไงมื้อนี้ผมขอฝากท้องด้วย” กวีแย้มริมฝีปาก ตกลงใจง่ายดาย เพราะความน่ารักของคนที่จัดเเจงทุกอย่างอยู่เบื้องหลังเขาก็ส่วนหนึ่ง แต่ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันต่างหากที่น่าสนใจ

...คีรินทร์ พงศ์พิพัฒน์…

เขาได้ยินเพียงแต่ชื่อลูกชายคนกลางของผู้บริหารบริษัทโลจิสติกขนาดใหญ่มานาน เพิ่งจะได้มาเห็นตัวจริงก็วันนี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรงานการที่บ้านใหญ่โตมีให้ทำแต่รั้นออกมาเปิดบริษัทเล็ก ๆ คนเดียวเสียนี่

 …แปลกจริง ๆ…

----------------------------------------------------

ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 15-06-2018 11:22:10
ร้านห้องเเถวเป็นร้านอาหารไทยที่อยู่ในย่านชิดลม ใกล้ ๆ กันกับไซต์งาน การออกเเบบร้านอาหารไทยนี้ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากห้องเเถวเก่าที่มักเปิดเป็นร้านอาหารอย่างในย่านเจริญกรุง

หนูพุกจัดการจองโต๊ะเเละสั่งอาหารโปรดของทั้งคีรินทร์เเละกวีเอาไว้ล่วงหน้า พยายามจะจัดรายการอาหารให้น่าประทับใจแม้ว่าอาหารที่ผู้บริหารทั้งสองโปรดปรานมันไปกันคนละทิศคนละทางก็ตาม

...พี่ภูกินรสจัด แต่คุณกวีกินรสจืด...

เมื่อไปถึงร้านแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคอยนานจนเกินไปให้หัวข้อสนทนาเรื่องงานดีไซน์ถูกปัดตกลงไปเพราะความหิว โชคดีที่ทั้งคุณกวีและคีรินทร์ก็ดูจะมีความสนใจเรื่องเดียวกันจึงทำให้เรื่องที่พูดคุยไหลไปได้ง่ายดาย โดยที่ภาพรวมของเนื้อหาก็ยังถูกรวบเอาไว้เป็นเรื่องงานเพียงแต่ดูเหมือนไม่จริงจังนักเท่านั้นเอง

ตลอดการสนทนานั้น มีเพียงหนูพุกที่สังเกตเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟก็ดี ลูกค้าสาว ๆ โต๊ะอื่นก็ดีต่างหันมองทางนี้ตาเป็นมัน คุณกวีหล่อเขาไม่เถียง แต่ไอ้ที่มองคีรินทร์ไม่วางตานี่มันอะไรกัน

คุณเลขาได้แต่สงบจิตสงบใจ โต้ตอบบ้างเป็นมารยาทเเละทำใจว่าสมรภูมินี้คู่เเข่งเยอะไปในคราวเดียวกัน

“จริง ๆ ผมชอบโปรเจ็กต์โอเอซิสมาก เพิ่งจะรู้ว่ามีสถาปนิกไทยอยู่ในทีมด้วย” กวีวางช้อนลง เอ่ยถึงโครงการสวนสาธารณะแบบทดลองสำหรับวิถีคนเมืองที่เพิ่งจะได้รับการสร้างจริงเมื่อหกปีก่อนที่ประเทศสิงคโปร์

“ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่เป็นธุรกิจดี”  คนพูดนึกถึงตัวเองตอนนั่งหน้าดำหน้าเเดงเถียงเรื่องงานดีไซน์ที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องมาร์เก็ตติ้ง

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คีรินทร์ก็เข้าทำงานกับบริษัทออกแบบภูมิทัศน์ในต่างประเทศอยู่หนึ่งปีเต็มก่อนจะไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทแล้วกลับมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง

“อันที่จริง ผมนึกว่าคุณจะกลับมาช่วยที่บ้านเสียอีก แบบนี้ทางนั้นไม่เหงาแย่หรือครับ” อันที่จริงเขาก็พอจะรู้จักลูกชายคนเล็กของทางนั้นอยู่ผ่าน ๆ ก็ตามงานสังคมนั่นล่ะ ทั้งที่เป็นพี่น้องกันเเท้ ๆ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

คีรินทร์เป็นคนดูเหมือนจะเรื่อย ๆ แต่แฝงแววทะเยอทะยานและกระหายอิสระเหมือนม้าป่า แต่คุณคนเล็กกลับดูเหมือนม้าทรงที่เย่อหยิ่งถือตัว

อย่างน้อยลองผูกมิตรกันไว้ก็คงไม่เลว อย่างไรเสียธุรกิจมันก็เป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน

ต่อให้โปรเจ็กต์นี้คีรินทร์อาจไม่ได้งาน แต๋โปรเจ็กต์หน้าก็อาจต้องพึ่งพากัน

“ทางนั้นเขาวางตัวผู้บริหารไว้เรียบร้อยแล้วครับ อีกอย่างผมก็ถนัดเรื่องออกแบบมากกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลยขอตัวดีกว่า”

“ทำอะไรที่เราถนัดก็ดีกว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ ยังไงก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะครับคุณภู” กวียิ้ม มองดูท่าทีสบาย ๆ ของอีกฝ่าย

“เช่นกันครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” คีรินทร์ลุกขึ้น ทิ้งบัตรเครดิตของตัวเองไว้ให้กับหนูพุกจัดการ ลอบมองเจ้านายที่กำลังเดินกลับเข้ามา

และนั่น… พี่ภูกำลังถูกพุ่งเข้าชาร์จโดยผู้หญิงที่อยู่โต๊ะใกล้ ๆ กัน เขาจำได้ว่าเธอเช็คบิลออกไปก่อนเกือบสิบนาทีแล้ว

“คือว่า… ขะ ขอโทษนะคะ” พนักงานสาวทำท่ากล้า ๆ กลัว ๆ เอ่ยปากบอกเสียงเบาว่าหล่อนรูดบัตรผิด เผลอกดเลขศูนย์พ่วงท้ายไปอีกตัว ค่าอาหารหลักพันจึงกลายเป็นหลักหมื่น

“ไม่เป็นไรครับ” หนูพุกยิ้มอย่างรักษามารยาท ไม่รู้ว่ามันเป็นสัจธรรมของโลกหรืออะไรที่ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า

พี่ภูเดินตามอีกฝ่ายไปแล้วนั่น!

คนที่ได้เเค่ลอบมองใช้ลิ้นดุนข้างแก้ม ร้อนใจกับการเดินไป คุยไป ยิ้มไปเหล่านั้น นิ้วชี้จิ้มกดรหัสลงบนแป้นเพื่อคอนเฟิร์มการรูดอีกหนหลังจากพนักงานติดต่อธนาคารเรียบร้อยเเล้ว

“เรียบร้อยค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มเก็บบัตร ยิ้มให้อย่างสุภาพ ไม่ได้สนใจท่าทีโล่งเรื่องไม่โดนลูกค้าดุของอีกฝ่าย เขาเองก็มีช่วงเวลาที่ทำผิด แล้วนี่มีป้ายปักอกว่าพนักงานใหม่ขนาดนี้กล้าดุก็คงใจร้ายเกินไปหน่อย

หนูพุกเดินตามเจ้านายออกมาที่ลานจอดรถขนาดเล็ก มองผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ฝั่งข้างคนขับ หญิงสาวลดกระจกลงยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่ม

“ยังไงขอบคุณมากที่ช่วยถอยรถให้นะคะคุณภู” อื้อหือ… เสียงหวานแบบขัณฑสกรยังเขินเลยเว้ย!

หนูพุกพยายามอย่างมากทีจะละวางอคติ แต่ดูเหมือนมันจะทำได้ยากยิ่ง ในเมื่อข้างซองจอดรถของสาวเจ้ามันถูกเว้นว่างไว้ ต่อให้ถอยสะเปะสะปะอย่างไรก็ไม่ชนอะไรเเน่ ๆ นอกจากจะเบลอเข้าเกียร์ผิดก็เท่านั้น

“ครับ ไม่เป็นไรครับ” ยิ่งเห็นคีรินทร์ยิ้มรับกับท่าทีเหล่านั้นอย่างเปี่ยมมารยาทยิ่งกระตุ้นสิ่งที่ขบคิดมาตั้งแต่เมื่อคืน

...จะอ่อยหรือจะยอมโดนคาบไปกิน...

เขาต้องอ่อย! อ่อยเท่านั้นคือคำตอบ!

ภูเขาลูกนี้มีเเค่หนูพุกตัวเดียวที่จะพิชิตได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามยุ่ง!!

------------------------------------------------------------------------------------------------------

สารภาพว่าตอนเห็นเม้นดีใจมากค่ะ   :hao5:  ขอบคุณนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-06-2018 11:50:40
หนูพุกจะพิชิตภูได้หรือเปล่าเนี่ย พี่ภูนี่รู้สึกจะเสน่ห์แรงใช่ย่อยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-06-2018 13:35:20
 :L2: :pig4:

สนุกดี
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้มหน้าก้มตา ที่ 15-06-2018 20:06:03
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 19-06-2018 22:44:43
Chapter 3


หากเป็นไปตามที่ใคร ๆ ก็ว่ากันว่าเลขาเป็นหน้าตาของเจ้านาย... ดูท่าว่าวันนี้เจ้านายของหนูพุกคงหน้าตาดูไม่จืดสักเท่าไหร่

วันนี้ทั้งวันหนูพุกมัวเเต่ทำเอกสารสรุปโครงการเมื่อทีมสถาปนิกในบริษัทปิดโปรเจ็กต์ในเวลาใกล้เคียงกัน นอกจากนี้เรื่องประชุมเปลี่ยนผู้รับเหมาต่อด้วยการมอบหมายงานให้ทีมสถาปนิกใหม่ก็ยังทำให้หนูพุกไปไหนไม่รอดอีกด้วย

   กว่าจะรู้ตัวอีกทีคนในออฟฟิศก็ทยอยกลับจนเกือบหมดแล้วเนื่องจากเข็มยาวล่วงไปที่เลขเจ็ด.. ทุ่มกว่าแล้ว พี่ภูยังไม่ออกจากห้องทำงานเลย หิวมากหรือเปล่าเนี่ย

ชายหนุ่มผิวขาวที่มีร่องรอยของการอดตาหลับขับตานอนฟ้องชัดอยู่ใต้ดวงตาส่องกระจก ยกสองมือจัดผมที่ฟูฟ่องเพราะทำงานหนักมาตลอดวัน เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าดวงตาข้างซ้ายเริ่มเป็นสีเเดงเพราะเคืองตา ทั้งที่ก็หยอดน้ำตาเทียมไปบ่อยพอดู

หนูพุกล้างมือ จัดการขยับคอนเเทคเลนส์ใสให้อยู่ในระยะที่พอดีแต่เลนส์นุ่มนิ่มไม่รักดีดันขาดออกมาคามือ เวรกรรมจริง ๆ เขาถอนหายใจเฮือกเดินออกไปหยิบคอนเท็คเลนส์รายวันที่มักจะพกติดกระเป๋าไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

ดวงตารีเรียวปิดลงข้างหนึ่งเดินกลับจากห้องน้ำมาควานหาของที่โต๊ะทำงาน หากเจ้านายคนดีในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกลับยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ที่โต๊ะเขาเหมือนต้องการอะไรสักอย่าง

“อ้าวหนูพุก พี่นึกกว่ากลับไปแล้ว”

“ยังหรอกครับ พอดีพุกยังมีงานค้าง พี่ภูอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ” เขายิ้มแต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้ว

“แวะมาขอดูสรุปงบโครงการที่ประจวบฯหน่อย ว่าแต่ตาเราเป็นอะไรทำไมปิดอย่างนั้น”

“อ้อ คอนเเทคเลนส์มันขาดครับ พุกว่าจะมาหาอันใหม่ไปเปลี่ยน เดี๋ยวพุกหาเอกสารให้นะครับ” คีรินทร์พยักหน้า มองคนที่ก้มหน้าก้มตาหาคอนเเทคเลนส์เจ้าปัญหาในกระเป๋า

หนูพุกควานมือลงไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเเตะมือลงที่ขอบตลับพลาสติก เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าหมายมาดจะทำอะไรไว้ในใจ เขาตัดสินใจที่จะละมือออก ทำทีค้นหามันอีกนิดหน่อยเเล้วขมวดคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่า”
“พอดีพุกเก็บกระเป๋าเมื่อวานเเล้วลืมใส่ตลับสำรองมาครับ คงต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน” หนูพุกยิ้มแหย แต่อีกคนชะงักในยามที่ดวงตาข้างซ้ายเปิดขึ้น

...มันแดงกว่าปกติจนคนสายตาดีนึกกลัวทีเดียว…

“ไปถอดอีกข้างออกเถอะ เดี๋ยวจะปวดตาเอา” พี่ภูว่า เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้หนูพุกช่วยหาเอกสารแล้ว

“งั้นเดี๋ยวพุกหาให้ก่อนดีกว่า เพราะถ้าถอดแล้วมันจะมองไม่ค่อยเห็น” คุณเลขาปิดตาลงข้างหนึ่ง หลันหลังเข้าหาชั้นเก็บของซึ่งเรียงสารพัดจะเอกสารเอาไว้ 

 “สายตาสั้นเท่าไหร่เนี่ย” คีรินทร์ถาม มองเลขาคนเก่งที่เเม้จะเหลือตาเข้างเดียวแต่ก็ฉวยเอาเอกสารสรุปโครงการออกมาได้เร็วเหลือหลาย

“แปดร้อยครับ เดี๋ยวพุกกลับเลยดีกว่าถ้าถอดเลนส์ออกหมดน่ากลัวจะกลับไม่ถึงคอนโด”

หนูพุกหัวเราะ มองเจ้านายพลางคิดถึงน้ำใจเจ้านาย ขนาดถอยรถให้กับคนที่จงใจถอยไม่ได้ยังทำให้… การดูเเลลูกน้องที่สายตาสั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าเเรงเท่าไหร่หรอก

“แล้วเรากลับยังไง” เขาถามย้ำ เดินเข้ามาใกล้ ดูท่าจะลืมความสำคัญของไอ้เเฟ้มในมือไปเเล้ว

“ก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ ต่อรถไฟฟ้าแล้วเดินต่อเข้าซอยครับ” คีรินทร์ซักต่ออีกหลายคำถึงที่หมายปลายทางของหนูพุก เขาพยักหน้าก่อนจะอาสาเป็นคนไปส่งเองในที่สุด

“ไปถอดออกเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง”

“รบกวนด้วยนะครับ” หนูพุกยิ้มอ่อนหวาน ตรงกลับห้องน้ำไปถอดเลนส์เจ้าปัญหาออก

และในที่สุด… เขาก็มองแทบไม่เห็นโดยสมบูรณ์

ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นภาพโบเก้ไปทั้งหมด ชายหนุ่มอาศัยความเคยชินคลำทางออกไปที่โต๊ะทำงาน ท่าทางงุ่มง่ามอย่างที่ไม่มีใครเคยมีโอกาสได้เห็นนอกจากมารดา

“โห ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” คีรินทร์เก็บของเสร็จเเล้วเขายัดงานลงกระเป๋าสะพายหลังกะว่าเอาไว้ทำต่อที่บ้าน

“ก็แบบนี้เเหละครับ” คุณเลขาหัวเราะเเห้งรับกระเป๋าของตัวเองจากเจ้านาย แล้วค่อย ๆ คลำทางเดินต่อไปกระทั่งถึงด่านวัดใจ

...เชิงบันได...

“ลงไหวไหม”

“อาจจะต้องให้พี่ภูช่วยนิดหน่อยครับ” หนูพุกคลำหาเเขนเจ้านาย เอ่ยปากขอให้เขาช่วยเป็นหลักในการเดิน

“หนูพุกมองเห็นเเค่ไหนเนี่ย” คนสายตาดีขมวดคิ้วกับท่าทางเหล่านั้น คนสายตาสั้นมาก ๆ นี่ลำบากน่าดูเลยเเฮะ

“ก็.. ประมาณเกือบ ๆ สองฝ่ามือครับ” ภูกลืนน้ำลายหลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ถ้าปล่อยให้เดินเองคงไม่พ้นจะตกลงมาเเข้งหาหักสิไม่ว่า

“เอาแบบนี้ดีกว่า ขึ้นหลังพี่เถอะ” เจ้านายไม่ได้คิดอะไรมากเกินไปกว่าเพื่อให้การลงบันไดคราวนี้สะดวกง่ายดายจึงปลดเอาเป้สะพายบ่าลง

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะครับ” หนูพุกได้เเต่เกร็ง คิดแค่ว่าเขาคงจะให้จับตัวเป็นหลักเดิน ไม่นึกเลยว่าจะมาไกลขนาดนี้ พยายามจะเม้มริมฝีปากสะกดกลั้นรอยยิ้มที่มันจะผุดขึ้นมาอย่างไม่รักษาหน้ากัน

คีรินทร์จัดการเอากระเป๋าสะพายของตัวเองเเขวนไว้บนหลังลูกน้อง เเล้วจึงย่อตัวลงให้หนูพุกพาดเเขนทั้งสองขึ้นมาบนไหล่ สองแขนเเข็งเเรงกระชับปลีน่องเรียวใต้กางเกงทำงานเพื่อความมั่นคงในการเเบกก้อนน้ำหนักห้าสิบกว่ากิโลกรัมลงบันได
   
   ชายหนุ่มบนเเผ่นหลังกว้างก้มหน้าลง พยายามหยุดยิ้มอย่างสุดความสามารถ แต่ยิ่งก้มหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่านั่นเป็นความผิดพลาดรุนเเรง กลิ่นสะอาดเเละหอมเย็นจากโคโลญจน์ของอีกฝ่ายลอยขึ้นเรี่ยปลายจมูก เขาไม่แน่ใจว่าอุปทานไปเองหรือไม่ ในทุกจังหวะที่ร่างสูงใหญ่ก้าวลงบันได กลิ่นเหล่านั้นก็เหมือนจะแผ่กระจายขึ้นล้อมรอบตัว

   ...แบบนี้ดีชะมัดเลย...

น่าเสียดายเหลือเกินคนหนึ่งไม่ได้คิดอะไร แต่อีกคนใจเต้นตึกตักเหมือนจะเป็นโรคหัวใจวายให้ได้

ตลอดชีวิตหนูพุกไม่เคยสาปส่งหัวใจไม่รักดีของตัวเองขนาดนี้ มันเต้นทั้งถี่ทั้งดัง ยิ่งพอได้ใกล้ชิดจนกายแนบกันก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะได้ยิน

...หัวใจสองดวงห่างกันแค่เพียงแผ่นหลังกั้นเท่านั้นเอง...

ปลายเท้าในรองเท้าผ้าใบหยุดลงเมื่อถึงชั้นหนึ่ง ช่วงเวลาเเห่งความสุขราวกับย้อนไปในวารวันก็หยุดตาม สองแขนเรียวละมือออกจากเจ้านายหากอีกฝ่ายกลับออกเดินต่อไป

“ชั้นล่างแล้วครับพี่ภู”

“พี่ว่าเเบบนี้น่าจะสะดวกกว่านะ” ดวงตาเรียวสีดำทอดมองเงาของอีกคนที่มีเขาอยู่บนหลังที่สะท้อนเลือนรางบนผนังกระจกในช่วงที่คีรินทร์เดินผ่าน

อยากอยู่แบบนี้ตลอดไปเลยแฮะ

ภูเเบกคนตัวเบาหวิวเดินไล่ปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างทุกวันที่เขามักจะออกจากที่ทำงานเป็นคนสุดท้าย จัดการตรวจดูกล้องวงจรปิดเเละสัญญาณกันขโมยว่ายังมีไฟฟ้าจ่ายถึงอยู่ตลอดเวลาก่อนจะปิดล็อกบริษัท

เสียงปลดล็อคอัตโนมัติของรถยนต์ตันโตดังขึ้น คราวนี้แลนด์โรเวอร์สีดำถูกทำความสะอาดมาจนมันวับภายในหอมสะอาดปราศจากกลิ่นดินด้วยสเปรย์ปรับอากาศที่คงฉีดไว้ก่อนหน้านี้

คนตัวสูงโย่งค่อย ๆ ปล่อยเลขาส่วนตัวลงบนพื้นเเล้วตวัดตัวอีกฝ่ายขึ้นอุ้มวางบนเบาะอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายแทบไม่ทันจะอุทานด้วยซ้ำไป

“คอนโดไหนนะ” ภูปิดประตูฝังคนขับลง สตาร์ทเครื่องเเล้วตั้งจีพีเอส

ที่หมายปลายทางหลุดออกจากปากหนูพุกเสียงเเผ่ว เขายังใจสั่นกับตัวเองที่ลอยหวืออยู่ในอ้อมเเขนของพี่ภู แม้มันจะเพียงไม่กี่วินาทีก็ตาม

ความเป็นห่วงเป็นใยทั่ว ๆ ไปของอีกฝ่ายคงทำให้หนูพุกเก็บไปหลงละเมอเพ้อพกได้อีกนานพอดู

คงต้องขอบคุณกระเเสละครดังที่ทำเอาถนนที่มักจะเเน่นขนัดในช่วงนี้โล่งไปถนัดตา ไม่กี่นาทีรถยนต์สีดำก็หยุดลงภายในอาณาเขตของตึกสูง

“เอ่อ พี่ภูครับจะเป็นไรไหมถ้าพุกจะรบกวนพี่อีกนิด” หนูพุกยิ้มเเหย แต่เจ้านายส่งเสียงในลำคอตอบรับ มองเห็นได้ใกล้เเค่นั้นไม่สะดุดล้มตั้งแต่ยกพื้นหน้าประตูก็ถือว่าเก่งมากเเล้ว

“ขี่หลังอีกไหม” คีรินทร์ยิ้มมุมปาก มองสีหน้าเหรอหราของคนที่โดนอุ้มลงจากรถเเล้วก็ให้เอ็นดู

“เกรงใจแล้วครับ ขอยืมเเขนก็พอ” มือเรียวเเตะลงบนท่อนเเขนเเข็งเเรงของอีกฝ่าย เเล้วจึงเริ่มออกเดินด้วยความเคยชิน อาจจะต้องระวังคนที่สวนไปตรงหน้าประตูเท่านั้นเอง

ที่สุดเเล้วทั้งคู่ก็หยุดลงหน้าประตูห้องริมสุดในชั้นสิบสอง หนูพุกเปิดเข้าห้องเเละปล่อยเเขนอีกฝ่าย เชิญอีกคนเข้าห้องก่อนจะเดินเหินได้ปกติด้วยความเคยเชิน

“พี่ภูนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพุกเข้าไปหาเเว่นแป๊บนึง”

มือเรียวตบเปิดสวิตช์ไฟสว่างไปทั้งห้อง ความมืดมิดเบื้องหน้าเรื่อเรืองขึ้นเผยให้เห็นห้องพักอาศัยขนาดกะทัดรัด ดูแล้วน่าจะถูกตกแต่งใหม่ให้ภายในกลายเป็นสีขาวนวลกอรปกับติดเฟอร์นิเจอร์บิล์ดอินเเบบไม้เทียมสีน้ำตาลอ่อนให้คนมองชื่นชมในใจว่าดูอบอุ่นคล้าย ๆ บ้านญี่ปุ่น

ยิ่งเห็นความสะอาดเรียบร้อยในห้องพักเเล้วก็ไม่ค่อยสงสัยถึงอุปนิสัยที่จะต้องเก็บงานทุกชิ้นให้ละเอียดรอบคอบ คีรินทร์หย่อนตัวลงที่โซฟาผ้านุ่ม ๆ รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้นยามสายตาสบเข้ากับบรรดาเเฟ้มที่เจ้าของห้องยกกลับมานั่งทำสรุปอยู่คนเดียวบนโต๊ะหน้าทีวีที่ยังคงวางทิ้งไว้เเม้ว่าจะเก็บมันจะเรียบร้อยก็ตาม

พรมนุ่ม ๆ สีควันบุหรี่ทำให้รู้สึกสบายเท้า เขาเห็นปลั็กพ่วงที่วางมัดไว้บนชั้นเก็บของใกล้ ๆ กันกับกองเอกสารแล้วก็พอเดากิจวัตรของเจ้าของห้องได้ คงชอบนั่งทำงานบนพื้นเเล้วดูโทรทัศน์ไปด้วยแน่ ๆ

เขาเปิดดูเอกสารที่หนูพุกเอากลับมาด้วยเเล้วก็อดรู้สึกทึ่งไมได้ อีกฝ่ายเอาโปรเจ็กต์หกเจ็ดโครงการที่เขาเเจกให้สถาปนิกเเต่ละทีมมานั่งอ่านเเล้วทำสรุป มีสมุดเล่มน้อยที่โน้ตคำศัพท์เฉพาะทางสถาปัตยกรรมที่คนนอกมักจะไม่เข้าใจกับความหมายจดเอาไว้ด้วย

...หนูน้อยบ้างาน ทำขนาดนี้กะเอาโบนัสสักกี่เดือนกัน…

เขาเก็บเอาทุกอย่างกลับไปที่เดิม พร้อมกันนั้นเสียงตึงตังเหมือนของหล่นก็ดังออกมาจากส่วนของห้องนอนที่กั้นไว้

“โอ๊ย”

“หนูพุก เป็นอะไรไหม” ภูถือวิสาสะเปิดบานเลื่อนเเละแหวกผ้าม่านสีเข้มออก โต๊ะทำงานของหนูพุกถูกตั้งไว้ในห้องนอน มันมีคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่เเละสารพัดหนังสือของหนอนหนังสือที่ล้นออกมาจากชั้นข้างผนังตั้งอยู่ด้วย

“โอเคเเล้วครับ” คนตัวเล็กกว่ากระโดดเหยงหน้าดำหน้าเเดงเพราะเจ็บเท้า
“เป็นอะไรไป”

“พุกหาเเว่นไม่เจอครับ เลยปัดมือไปโดนของตกลงมาทับเท้า” คนพูดไปกัดฟันไปแถมยังเผลอน้ำตาคลอด้วยก็ถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน

“เดี๋ยวพี่ดูให้” อึดใจเดียวเเว่นตาทรงกลมโตก็ถูกคว้าขึ้นมาจากระหว่างกองหนังสือสองตั้ง คงจะตกลงไปเจ้าของถึงหาไม่เจอ

“อันนี้ใช่ไหม” คีรินทร์ส่งเเว่นเจ้าปัญหาให้เลขา และแล้วหนูสี่ตาก็ถือกำเนิดขึ้น ภาพโบเก้ชวนหงุดหงิดมลายหายไปกลายเป็นภาพคมชัดใสปิ๊ง

“ขอบคุณครับ” หนูพุกเขยิบลงมานั่งลงที่พื้นเสมอเจ้านาย เก็บหนังสือขึ้นเรียงเป็นตั้งและหยิบเอาที่ทับกระดาษอลูมิเนียมรมดำซึ่งเป็นต้นเหตุให้เจ็บตัวขึ้นตั้งไว้ที่เดิม

“ห้อเลือดเลย หาหมอไหม” ภูจ้องมองรอยช้ำสีเเดงเข้มที่อีกเดียวจะคล้ำขึ้นบนนิ้วโป้งเท้าของเจ้าของห้อง ไอ้ที่ร้องโอดโอยเมื่อครู่เขาว่าหนูพุกยังร้องเบาไปด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวประคบเอาก็หาย”

“พรุ่งนี้ใส่ชุดสบายๆไปทำงานก็ได้นะ ไม่ได้มีนัดออกไปที่ไหนนี่”

คำว่าสบาย ๆ ของคีรินทร์นั้นเป็นไปตามความหมาย จำพวกเสื้อยืดกางเกงยีนเขาก็โอเคถ้าไม่ได้มีนัดลูกค้าหรือมีนัดประชุมกับบริษัทอื่น ถึงแม้ว่าจะเคยบอกไปเเล้วแต่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามด้วยเหตุผลว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เนื่องจากหนูพุกเป็นคนสุภาพมากจนออกจะมากไปจนไอ้พวกที่บริษัทได้เเต่มองตาปรอยไม่ค่อยกล้าเล่นหัวด้วย 

“ครับ เอ่อ พี่ภูอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหมเกือบสามทุ่มน่าจะหิวแล้วนะครับ เมื่อเย็นพุกก็ไม่ได้สั่งข้าวไว้ให้” แม้ว่าจะมีเรื่องเจ็บตัว แต่หนูพุกก็ไม่ลังเลที่จะคว้าโอกาส

“พักผ่อนเถอะ พี่ไม่อยากรบกวน” คีรนทร์ลุกขึ้นช่วยพยุงคนเจ็บเท้าขึ้นยืน พากันออกมาจากห้องนอนเล็ก ๆ แต่ท้องไส้เจ้ากรรมดันร้องโครกดังเหมือนพายุจะเข้าก็ไม่ปาน

“กินเถอะครับ ถือว่าอุตส่าห์มาส่งพุก” คนจะกินแห้วฉีกยิ้มทำเป็นไม่ได้ยินเสียงท้องร้องแต่ก็ต้องกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อม จ้องมองอีกฝ่ายที่เสหลบไปมองเครื่องเรือนอย่างสนอกสนใจทั้งที่ใบหูขึ้นสีเเดง

“พุกหิวมากเลยอ่ะ กินอะไรได้บ้างเนี่ย” มือเรียวดันเจ้านายให้นั่งลงกับโซฟา เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้แล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นคุ้ยหาอะไรกุกกักอยู่คนเดียว

“พี่ภู มันมีเหลือเเต่มาม่า... รอไหวไหมเดี๋ยวพุกสั่งขึ้นมา” หนูพุกชะโงกหน้าออกมาจากโซนเเพนทรีขนาดเล็กสะอาดสะอ้านเนื่องจากเจ้าของห้องเเทบไม่เคยทำครัว เห็นพี่ภูกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์อย่างจริงจัง

“กินมาม่าก็ได้ อย่าลำบากเลย” ทัชโฟนถูกเสียบกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นมาทำตัวมีประโยชน์บ้าง

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม” หนูพุกเกือบอ้าปากค้าง นึกไม่ออกว่ากับไอ้เเค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่มันมีอะไรต้องช่วย

“เอ้อ งั้นพี่ภูแกะซองเเล้วกันครับ เดี๋ยวพุกตั้งน้ำก่อน” หนูพุกโกยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แทบไม่ซ้ำรสมาให้เขาเลือก เเถมไข่ในไก่สดที่มีติดก้นเเพคพลาสติกอีกสามฟองออกมาตั้ง

“พี่ทำเอง หนูพุกไปนั่งเถอะ”

“ได้ยังไง พี่เป็นเเขกนะ” คีรินทร์ก็เพิ่งจะรู้ว่านอกเวลางานเเล้วหนูตัวนี้ก็เถียงเก่งน่าดู

“ได้สิ พี่เป็นเจ้านาย เจ้านายสั่งเเล้ว” เขายักคิ้ว มองรอยช้ำที่เท้าเเล้วก็ห่วงว่ามันจะระบม

“แต่…”

“เดี๋ยวเท้าเจ็บกว่าเดิมนะ” ตาดำกลมใหญ่มองดวงตาเรียวของหนูจิ๋วผู้กำลังอ้าปากจะโต้อย่างจริงจัง จนอีกฝ่ายยอมล่าถอยไปในที่สุด

เอาเถอะ… การนั่งมองพี่ภูในครัวของตัวเองก็เป็นกำไรอย่างหนึ่งล่ะน่า

หนูพุกเตรียมชามเละช้อนส้อมเอาไว้ พอพี่ภูเผลอหน่อยเขาก็มุดเข้าไปเอาลูกพลับที่หม่าม้าซื้อมาติดไว้ให้ออกมาปอก มีของคาวเเล้วก็ต้องมีของหวานจะได้ครบคอร์ส

“เสร็จเเล้วครับคุณหนูพุก มาชิมฝีมือเชฟภูได้” พอเขาเรียกหนูพุกก็จัดการผลไม้เสร็จพอดี

“พรีเซนต์เมนูหน่อยครับเชฟ” หนูพุกเล่นกับเขาด้วยในขณะที่มือกำลังรินน้ำตั้งลงบนโต๊ะ


“เป็นมาม่ารวมสูตรพิเศษครับ ประกอบไปด้วยมาม่ารสหมูสับหนึ่งสอง รสเย็นตาโฟหนึ่งซอง แล้วก็รสต้มยำกุ้งน้ำข้นอีกหนึ่งซอง ท็อปด้วยไข่ตีให้เข้ากันเเล้วต้มจนสุกเป็นสีเหลืองหอม” เสียงทุ้มเอ่ยยืดยาว เป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าเชฟมืออาชีพที่พรีเซนท์อาหารเเบบไฟน์ไดน์นิ่งเสียอีก

ยิ่งเห็นโหมดเเบบนี้หนูพุกยิ่งใจหวิว ทำไมพี่ภูน่ารักได้ขนาดนี้วะ

“รวมรสเเบบนี้ผมไม่ท้องเสียเเน่นะครับเชฟ” หนูพุกเเสร้งทำเสียงปรามาสรู้แก่ใจว่ากินเข้าไปยังไงก็รอด มองดี ๆ มันก็คือผงชูรสกับผงชูรสเท่านั้นเเหละ

“นี่เมนูเด็ดผมตอนเรียนมหา’ลัยนะครับคุณหนูพุก” พี่ภูยังคุยไม่เลิก รอให้อีกฝ่ายชิมคำเเรกเสียก่อน

“อร่อยจริงด้วยอ่ะ” ตาเรียวรีเบิกกว้างอย่างอัศจรรย์ใจ ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่ามันอร่อยจริง ๆ หรือว่าอร่อยเพราะหิวกันเเน่ก็เถอะ

“เห็นไหมล่ะ” คนทำยิ้มกว้าง ตักเส้นบะหมี่รวมรสเข้าปากบ้าง

หัวข้อการสนทนาที่เคยมีเเต่เรื่องงานเปลี่ยนเป็นเรื่องวิถีชีวิตทั่วไป อีกมุมหนึ่งของคีรินทร์ทำให้หนุพุกใจฟูฟ่อง กิจวัตรของหนูพุกกับเขาไม่ต่างกันมาก งานอดิเรกหนีไม่พ้นชายคาบ้านกันทั้งคู่

“ขอบคุณสำหรับมื้อดึกนะ”

พี่ภูยิ้มกว้าง สอดเท้าลงไปในรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง เดินออกไปพร้อมกับเจ้าของที่พัก หนูพุกมองกระทั่งป้ายทะเบียนของเเลนด์โรเวอร์คันนั้นลับตาไปถึงจะกลับขึ้นห้อง กดโทรศัพท์เเจ้งความคืบหน้าให้เพื่อนสาวฟังอย่างละเอียด กว่าอีกคนจะตอบก็คงวันรุ่งขึ้นเนื่องจากตอนนี้เมษาคงบินอยู่เเถว ๆ ยุโรป

------------------------------------------------
มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 19-06-2018 22:47:27
   
   วันนี้ทั้งวันมีแต่คนเข้ามาทักทายเลขาคุณภูเนื่องจากภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนเเปลงไป หนูพุกแต่งตัว ‘สบาย ๆ’ อย่างที่เจ้านายบอกไม่ผิดเพี้ยนรองเท้าหนังที่มักจะถูกจัดจนมันปลาบเปลี่ยนเป็นรองเท้าเเตะเเบบสวมเผยให้เห็นปลายเท้าสะอาดสะอ้านแม้จะมีตำหนิเป็นรอยสีม่วงเข้มวงใหญ่ที่ข้อนิ้วโป้งเท้าก็ตาม

   “โห คุณหนูพุกหรอครับนึกว่าเด็กฝึกงานนะเนี่ย” สถาปนิกวัยใกล้เคียงกันเเวะทักทายเขาขณะที่กำลังจะเข้าพบเจ้านาย ทั้งเสื้อผ้าฝ้ายเเขนยาวคอวีตัวโคร่งและแว่นตาทรงกลมที่ถูกสวมเเทนคอนเเทคเลนส์เพราะตาเจ็บ

   ...มองยังไงก็ดูเด็กลงไปเเยะเลย...

   “ชมแบบนี้ได้รางวัลเป็นเข้าพบพี่ภูฟรีเลยครับ” หนูพุกยิ้มกว้างแต่อีกฝ่ายร้องอู้ คีรินทร์เป็นเจ้านายที่สบาย ๆ ก็จริงอยู่แต่อะไรที่ผิดพลาดหรือเกินขอบเขตไปก็โดนซัดไม่เลี้ยงได้เหมือนกัน

   นอกจากจะเคลียร์เอกสาร จัดตางรางสารพัดเเล้ว ในช่วงเวลาที่คีรินทร์ประชุมทีมหนูพุกก็ยังสามารถสั่งงานเเทนคีรินทร์ได้บางส่วนเเล้วด้วยถือเป็นการช่วยกันลดภาระ

   “ครับ เดี๋ยวยังไงพุกบอกพี่ภูให้นะ อีกห้านาทีเดี๋ยวพุกโทรกลับนะครับ” วางสายปุ๊บ สถาปนิกคนเมื่อครูก็ออกมาปั๊บ หนูพุกเลยเดินสวนเข้าไปเกือบจะทันที

   “พี่ภูครับ เคสบ้านคุณเอมมีปัญหา… ผู้รับเหมาเขาเอาต้นไม้มาลงให้ผิดแล้วเเบบก็คลาดเคลื่อนไปค่อนข้างเยอะ สถาปนิกเข้าไปดูมาเเล้วคุณเอมโวยหนักมาก ส่วนผู้รับเหมาก็ปิดจ๊อบกลับไปเเล้วด้วยครับ”

คนฟังหลังเก้าอี้ถอนหายใจเฮือก เนื่องจากช่วงนี้เขากำลังเปลี่ยนผู้รับเหมาเนื่องจากพบว่ารายเดิมมีการกินนอกกินในวัสดุก็ไม่ได้ตามคุณภาพ จึงจ้างผู้รับเหมาชั่วคราวมาทำไปก่อน ไม่นึกว่ามันจะชุ่ยจนเกินรับมือขนาดนี้ มือใหญ่กดโทรศัพท์หาลูกน้อง ขอพูดสายโดยตรงกับเจ้าของบ้านที่โวยวายว่าสวนที่จ้างออกเเบบไม่ใช่บาทสองบาทเสียเมื่อไหร่

“ผมเห็นเเล้วครับ เดี๋ยวยังไงผมกับทีมจะเข้าไปแก้ไขให้ครับ... ครับ… เสร็จภายในวันนี้เเน่นอนครับ”

กว่าอีกฝ่ายจะวางสายคีรินทร์ก็เเทบจะประสาทกิน เขาสั่งหนูพุกให้ติดต่อผู้รับเหมาเเต่อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงซ้ำเเล้วซ้ำเล่า อ้างว่ามีคิวอื่นต้องดูเเลทำให้กลับไปที่ไซต์ไม่ได้ในตอนนี้ 
   
   “ส่งเคสผู้รับเหมาให้เต้ยไปจัดการเลย ส่วนหนูพุกติดต่อร้านต้นไม้ให้หน่อย ให้เขาจัดไว้ตามนี้แล้วเอาไปส่งที่บ้านคุณเอม อ้อ โทรบอกเจ้าของเคสว่าให้รื้อต้นไม้รอเลยขอพี่เคลียร์งานแป๊บเดียว”
   
   หนูพุกจัดการทุกอย่างตามที่คีรินทร์สั่งเสร็จสิ้นในห้านาที จัดการงานของตัวเองให้เรียบร้อย โชคดีที่ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วนมากมาย เตรียมตัวออกไปพร้อมกับคีรินทร์เเละเเจ้งสถาปนิกที่ยังไม่ได้ติดเคสเร่งด่วนอีกสามสี่คนให้ออกไปพร้อมกัน

   รถยนต์คันใหญ่ดับลงในเขตหมู่บ้านจัดสรรราคาเเพงในย่านรามอินทรา โครงการนี้หนูพุกก็เคยเข้าประชุมด้วยจึงพอจะเข้าใจคอนเซปต์และสิ่งที่ควรจะออกมา แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้านี่มันออกจะไม่ใกล้เเละไม่ใช่สวนสไตล์อังกฤษแบบที่ตกลงกันไว้เลยด้วยซ้ำ

   สอบถามกันกับคนต้นเรื่องเเล้วก็ได้ความว่าผู้รับเหมามันทำงานประเภทสุกเอาเผากิน หาต้นไม้ตรงตามแบบไม่ได้ก็สุ่มๆเลือกที่ใกล้เคียงกันมาแต่การกะสเกลดูขี้ริ้วขี่เหร่จนทุกคนที่มาต่างก็หัวเสียพอกัน

   “โชคดีนะ ตรงบริเวณที่ก่อปูนเราเข้ามาคุมด้วย ไม่งั้นเละน่าดู”

เจ้าของโปรเจ็กต์สูดหายใจเขาลึก นึกโมโหจนอยากจะร้องไห้ ด้วยงานออกเเบบสวนไม่ได้เป็นเพียงแต่การวางต้นไม้ลงไป หากเป็นการจุดมุมมองทางทัศนียภาพให้สวยงาม น่าพึงพอใจเเละตอบสนองการใช้สอยอย่างถึงขีดสุด
   
   “ใจเย็น ๆ นะครับ เดี๋ยวพุกช่วยนะ” หนูพุกเข้าไปหาคนที่สภาพจิตใจเเย่ที่สุด ดูเเล้วสถาปนิกจบใหม่คนนี้คงถูกเจ้าของบ้านดุไปหลายขนาน คงจะกลัวไม่น้อยสุดท้ายคนรับหน้าก็ยังเป็นคุณภู แถมยังต้องรบกวนรุ่นพี่ที่บริษัทให้ยกโขยงกันมาอีก

   “ขอบคุณนะครับ” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนเลขาเจ้านายเป็นพระมาโปรด หนูพุกไม่ค่อยเเน่ใจนักว่าตัวเองจะทำอะไรได้ แต่ก็พับเเขนเสื้อขึ้นยกเอาต้นไม้ผิดเเบบเหล่านั้นที่ถูกรื้อออกมาเเล้วออกไป
   
   “หนุพุกเดี๋ยวเอาเกล็ดเเก้วไปลงตรงโน้นนะ” พี่ภูก้ม ๆ เงย ๆ ดูเเลต้นไทรเกาหลีเอ่ยปาก ชี้นิ้วไปฝั่งตรงข้ามที่เอาต้นไม้เดิมออกหมดเเล้ว
   
   “พี่ภูครับ น้ำ” หนูพุกส่งขวดน้ำของตัวเองให้เขา อีกฝ่ายกระดกอั้ก ๆ ก่อนจะคืนขวดเปล่ามาให้ ตลอดบ่ายวันนั้นหนูพุกเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ไปตามคำบอกของสถาปนิกแต่ละคน
   
   จัดสวนครั้งเดียวรู้จักต้นไม้ไปเป็นสิบต้น เรียนรู้แบบแอคทีฟดีเหลือเกิน ปลายเเขนเสื้อที่หนูพุกพยายามทั้งม้วนทั้งพับหล่นลงมาเรี่ยข้อมือเป็นรอบที่ล้านจนน่าโมโห ทั้งที่มือเขาก็เลอะเเบบนี้จะเอาที่ไหนไปนั่งมัวน ไม่น่าใส่ตัวนี้ออกมาเลย!

   กว่าสวนจะออกมาตรงตามเเบบเเละเป็นไปตามมาตรฐานของบริษัททุกคนก็หอบเเฮ่ก และพระอาทิตย์ก็คล้อยลงเเล้ว เจ้าของบ้านดูสบายใจไม่บ่นไฟแล่บเท่าตอนเเรก พวกเขาจึงได้น้ำหวานเเดงชงใหม่เป็นรางวัลกันคนละเเก้วสองเเก้ว

   “เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว จะอยู่กินกันก่อนไหมหรือจะกินพรุ่งนี้” คีรินทร์เอ่ยขึ้น ในห้องโดยสารมีเเต่คนที่ง่อยเปลี้ยเพลียเเรง เสียงส่วนใหญ่สรุปว่าขอเป็นวันพรุ่งนี้เนื่องจากต้องการกลับไปอาบน้ำเพราะเหงื่อท่วมจนเหม็นตัวเองกันเต็มเเก่

“พี่ภูหิวมากรึเปล่าครับ เดี๋ยวพุกโทรสั่งให้เขามาส่งไว้ที่ออฟฟิศก่อน”

“รู้ได้ยังไงว่าพี่หิว” ภูมองคุณเลขาที่นั่งคู่กัน พนักงานบางคนพอโดนเเอร์เย็นหน่อยก็ตาปิดกันเป็นเเถบ ถึงจะเกรงใจเจ้านายที่ขับรถให้ แต่ก็ง่วงมากกว่าสภาพจึงออกมาน่าดูชมกันเหลือเกิน

“เพราะพุกเก่งครับ”  หนูพุกเลิกคิ้วเลียนเเบบเขาบ้าง ใช้แรงไปขนาดนั้นให้บอกว่าอิ่มต่อให้เป็นเด็กห้าขวบก็ไม่เชื่อ นิ้วเรียวกดโทรศัพท์หาเบอร์ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำหลังจากเจ้านายเอ่ยปากแล้วว่าอยากจะกินอะไร

“พี่ภู เขาบอกกุ้งหมดอ่ะ” หนูพุกว่า เมนูกะเพรากุ้งพิเศษของคีรินทร์เป็นอันถูกปัดตกไป

“เอาเเขนงหมูกรอบก็ได้” หนูพุกสั่งอาหารเเล้ว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินคนข้าง ๆ งอเเงเหมือนเด็ก ๆ “อยากกินกะเพรากุ้งอ่ะ”

เย็นวันนั้นหนูพุกรีบกลับคอนโด เจ้านายไม่ได้มาส่งเขาอีกเนื่องจากมีงานต้องทำต่อเเละทางกลับคอนโดของอีกฝ่ายก็อยู่กันคนละทิศ เขาที่ตัวหอมฉุยแล้วจึงออกมาเดินซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ที่พัก เลือกของใช้ลงตะกร้าแล้วก็หยุดลงในเเผนกของสด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหามารดาซึ่งมักจะคุยกันผ่านไลน์มากกว่า แต่เรื่องบางเรื่องคุยกันผ่านตัวอักษรมันก็ไม่ค่อยชัดเจน

“หม่าม้า… ผัดกะเพรากุ้งนี่มันทำยังไงหรือ...”

-----------------------------------------------------------------------------------

โบราณว่าจะออกเรือนต้องมีสเน่ห์ปลายจวักนะคะ ใช้จวักตักพี่ภูมาให้ได้นะหนูพุกกกก 55555  :-[ :-[

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Khunkwanz ที่ 19-06-2018 23:29:55
พี่ภูน่ารักกกกกกกกกกกกก อยากต่ออ่ะอิ้ง  :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 20-06-2018 01:39:06
ฮืมมมมมมมม น่ารักมากเลยค่ะ ติดตามๆๆๆๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 20-06-2018 07:38:57
หนูพุกน่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-06-2018 11:37:31
 :L2:  :pig4: :L1:

น้องน่ารัก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-06-2018 17:51:20
ทั้งพี่ภู ทั้งหนูพุกน่ารักทั้งคู่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-06-2018 21:33:09
ติดตามจ้า.  น่ารักมากกกก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-06-2018 13:35:31
น้องพุกหนูน่ารักมากลูก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 22-06-2018 21:33:50
ฮรืออ หนูพุกไทป์ลูกมาก น่ารักน่าบีบ น่าเอ็นดูขนาดนี้พิชิตภูได้แน่นอนน 555
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 23-06-2018 07:52:23
Chapter 4

   วันนี้หนูพุกเองก็ไม่ได้ต้องออกไปประชุมที่ไหน จึงถือวิสาสะแต่งตัวสบาย ๆ อีกวัน ชายหนุ่มส่องกระจกหนเเล้วหนเล่า ตลอดสัปดาห์นี้คงจะไม่ได้ใส่คอนเเทคเลนส์เนื่องจากยังรู้สึกเคืองตาอยู่บ้าง รองเท้าเเบบสวมก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สสีขาวดูอมฝุ่นนิดหน่อยเพราะเจ็บเท้าน้อยลงเเล้ว กางเกงสกินนี่เเละเสื้อยืดสีขาวทับดูเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาสีฟ้าอ่อน

หนูพุกยิ้มให้ตัวเองในกระจกอีกหน เรียกความมั่นใจเหมือนสมัยสอบไฟนอลไม่มีผิดแต่คราวนี้ไม่ใช่ เขาเพียงเเต่คำนึงถึงผัดกะเพรากุ้งที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องข้าว

หนูพุกไม่ได้คาดหวังให้มันอร่อยเหมือนร้านอาหารดัง แต่ก็หวังว่ามันน่าจะพอกินได้ อย่างพี่ภูชอบกินรสจัด เขาก็ตบพริกเพิ่มเเละใส่น้ำปลามากกว่าที่หม่าม้าบอกสักหน่อย

...กินกับข้าวแล้วมันก็น่าจะพอดีกัน...

ตอนเเรกหนูพุกกะว่าจะจัดให้เขาเป็นมื้อเช้าเเต่อีกฝ่ายโทรมาบอกว่าจะเข้าสายจึงต้องยกยอดไปเป็นมื้อกลางวัน วันนี้หนูพุกเข้าประชุมเเทนคีรินทร์เรื่องผู้รับเหมา ยิ่งนั่งในห้องก็ยิ่งหนาว เเทบไม่เชื่อสายตาเลยว่าคนที่มักจะมีรอยยิ้มประดับหน้าแผ่ออร่าใจดีจะเเปลงร่างกินหัวผู้รับเหมาหัวหมอจนหงอยไปตาม ๆ กัน

พี่เต้ยเป็นสถาปนิกที่คุมทีมเก่งมาก อีกทั้งงานบัญชีก็เนี้ยบมากด้วยแม้ว่าจะมีการจ้างพนักงานบัญชีประจำเเละจ้างผู้ตรวจสอบให้ทำการตรวจสอบอยู่ปีละหน ลีลาการต่อรองอันเกือบจะเรียกได้ว่า ‘หักคอ’ เรื่องค่าใช้จ่ายและเรื่องสัญญารับเหมางานเมื่อวานทำให้หนูพุกเเอบกลืนน้ำลาย

ไอ้ท่าทีเย็น ๆ ไม่มีขึ้นเสียงเเต่คู่สนทนากลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนลากขึ้นเขียงแบบนั้น

…สรุปเเล้วว่าอย่าเล่นตุกติกให้พี่เต้ยโกรธจะดีกว่า...

“วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือหนูพุก” เต้ยเปิดตู้เย็น หาขนมที่เขามักจะนำมาเเช่ไว้ฝั่งข้างประตูไปด้วย

“เดี๋ยวออกไปสตูดิโอกับพี่ภูตอนบ่ายสามครับ พี่เต้ยกินข้าวเลยไหม” หนูพุกหันมาถามขณะที่กำลังจัดข้าวให้เจ้านายในห้องครัวพนักงาน คีรินทร์เพิ่งจะโทรมาบอกเดี๋ยวนี่เองว่าเขาอยู่หน้าปากซอยแล้วเเละหิวมาก

“จัดเลยก็ได้ พี่ออกไปคุยงานแล้วกลับมา” เลขาหนุ่มยิ้มบางกับคนที่อยู่ไม่นิ่ง เดินถือช็อกโกเเล็ตไปข้างบนด้วย ยกโทรศัพท์กดสั่งอาหารร้านหน้าปากซอยแล้วจะมีเด็กเดินเข้ามาส่งแบบที่มักจะเป็นอยู่เสมอ

   กล่องบรรจุอาหารสีเขียวอ่อนของหนูพุกถูกแกะวางลงบนโต๊ะพร้อมกับข้าวสวยจากร้านสะดวกซื้อสองกล่องก็กำลังถูกอุ่นร้อนอยู่ในไมโครเวฟ หนูพุกยิ้มน้อย ๆ เเละสบตากองทัพกุ้งในกล่องอย่างคาดหวัง พวกมันถูกปอกเปลือก ผ่าหลังเเละดึงหางออกหมดอย่างที่หม่าม้ามักจะทำให้กิน

   ‘สวยน้อยหน่อยแต่คนกินกินง่าย’ หนูพุกทำตามคำบอกของมารดาอย่างเคร่งครัดเเม้ว่าเจ้ากุ้งตัวลื่นจะตำปลายนิ้วให้ได้เจ็บไปหลายทีในคราเเรกก็ตาม

“พี่เต้ยรอก่อนนะครับ เดี๋ยวร้านมาเเล้ว” คนที่ดูตัวผอมบางเข้าไปอีกเมื่ออยู่ในเสื้อทับตัวโคร่งไม่ได้หันหน้ามา ยังคงสาละวนกับการเทข้าวสองถ้วยลงจาน

“พี่เอง… เฮ้ย กระเพรากุ้ง!” ภูชะโงกหน้ามามองบนโต๊ะอาหารเเล้วก็ยิ้มได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าเขาบอกว่าต้องการ ต่อให้หนูพุกหามันมาให้เขาไม่ได้ในตอนนั้น แต่อีกวันมันก็จะโผล่มาจนได้

เอาไว้ผ่านโปรเเล้วขึ้นเงินเดือนอีกหน่อยหวังว่าไอ้เต้ยคงไม่ดึงหูเขาจนยานนะ

“ร้านไหนหรือหนูพุก มีใส่ทัปเปอร์เเวร์ด้วย” คนช่างสังเกตนั่งลงมองกล่องพลาสติกสีเขียวอ่อน ยกมันขึ้นพิจารณาด้วยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมีร้านผูกปิ่นโตอยู่อีกหรือ

“อ๋อ พุกทำเองครับ เห็นพี่ภูพูดเมื่อวานเลยอยากกินเหมือนกัน”คนพูดทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสามัญเสียเต็มประดา แถมยังเดินออกไปเอาข้าวกล่องจากเด็กที่มาส่งหน้าตาเฉย

คีรินทร์ไม่มีทางรู้เลยว่าหัวใจคนทำมันเต้นรัวยิ่งกว่าเสียงกลองสะบัดชัยก่อนรบเสียอีก หนูพุกจ่ายเงินเสร็จสรรพเเล้วก็หิ้วกล่องพลาสติกใสเข้ามาในห้องครัว แกะเอาสุกี้เเห้งของเต้ยและผัดซีอิ๊วของตัวเองลงจาน ขณะที่พี่ภูกินอย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งถือช้อน อีกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย

“เรื่องผู้รับเหมาสรุปว่ายังไงบ้างหนูพุก” คีรินทร์เก็บโทรศัพท์ ใช้ส้อมจิ้มกุ้งเเล้วสะบัดเบา ๆ ทีสองทีถึงจะวางมันลงบนข้าว

“เรื่องที่ทำผิดสัญญาก็ปรับตามนั้นครับ ส่วนเรื่องบิลค่าต้นไม้ที่บวกเกินมาพี่เต้ยบอกว่าจะไม่ฟ้องเเต่ทางนั้นต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งต้นไม้ที่ลงไปกับต้นไม้ที่สั่งผิด ส่วนค่าต้นไม้ที่เราไปซื้อมาเพิ่มฝั่งนั้นก็ต้องจ่ายครับ” หนูพุกนั่งลงฝั่งตรงข้าม ระบายยิ้มตอนอีกฝ่ายชูนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าเยี่ยมเพราะปากยังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ

โดยธรรมชาติราคาต้นไม้หรือต้นทุนอื่นก็จะถูกบวกไป หาได้ยากที่จะมีใครตรงไปตรงมาเพราะอย่างนั้นจึงต้องยอมปิดตาข้างหนึ่ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นชุ่ยเสียขนาดนี้เต้ยจึงงัดเอาหลักฐานที่อีกฝ่ายบวกค่าใช้จ่ายเกินความจริงเข้ามาตีเเสกหน้า ให้จ่ายเงินค่าปรับจนหลังอาน

“โอ้โห หอมกระเพราออกไปถึงข้างนอก” คนตัวสูงโปร่งเลื่อนประตูกระจกปิด ทำเป็นพูดไปอย่างนั้นเองเมื่อเห็นว่าเพื่อนกินท่าทางดูเอร็ดอร่อย แม้ในความเป็นจริงคีรินทร์จะเป็นพวกกินอะไรก็ดูอร่อยไปเสียทุกอย่างก็เถอะ

“กินมั่ง” ส้อมในชามสุกี้โผมาเสียบกุ้งเข้าปากไปหนึ่งตัว

“เชี่ย… ร้านไหนวะ กินหมดปุ๊บก็หาหมอฟอกไตเลย” เต้ยทำหน้าเหยเก ได้แต่คว้าเเก้วน้ำมาจิบ

“เค็มมากเลยเหรอครับ” คนทำหน้าเสีย เมื่อเช้าต่อนตื่นมาทำเขาก็ว่ากะตวงดีเเล้ว ชิมตอนร้อน ๆ ก็ยังว่ารสอ่อนไปหน่อยจนต้องเติมน้ำปลากับซีอิ๊วขาวเพิ่มเพื่อให้จัดขึ้นเเบบที่พี่ภูชอบ

เอ๊ะ… หรือว่าจะใส่มากไป หลังใส่ก็ไม่ได้ชิมเสียด้วยเพราะกลัวมาทำงานสายเลยรีบตักลงกล่อง

...แย่เเล้ว...

“มาก! พี่ลิ้นพังแล้วหนูพุก” เต้ยบ่นหงุงหงิง ตวัดช้อนตักเอาผักบุ้งผัดเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ

“กับข้าวเขาทำมาให้กินกับข้าว มึงกินเปล่า ๆ มันก็เค็มสิ” พูดไปก็เอาเท้าสะกิดเพื่อนไปด้วย ไม่อยากให้คนทำเสียน้ำใจถึงว่ามันจะเค็มไปหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเสียหายอะไร แค่อาจจะต้องตักข้าวเพิ่มกว่าปกติอีกนิดรสชาติถึงจะพอดีกัน

“พุกขอชิมบ้างครับ” พอหนูพุกยกช้อน เขาก็ตั้งการ์ดด้วยช้อนส้อมเป็นรูปกากบาทอยู่เหนือกล่อง

“ไม่ให้เเล้ว เดี๋ยวหมด”

“โธ่… มันไม่อร่อยก็อย่าไปกินสิครับ เดี๋ยวพุกสั่งให้ใหม่” คุณเลขาวางช้อน ตั้งใจจะยกกล่องข้าวออกเเล้ว แต่อีกฝ่ายเอามือเข้ามารองไว้

“พี่กินได้น่ะ อร่อยเเล้ว ไอ้เต้ยมันลิ้นไม่ถึง” คนโดนพาดพิงเลิกคิ้วกับคำว่าลิ้นไม่ถึง
ไม่ถึงที่ว่าคือไม่ถึงกับลิ้นจระเข้เเบบมันน่ะสิ!

“คือมันก็ไม่ได้เค็มขนาดนั้น พี่ก็พูดไปแบบนั้นเองเเหละ” เต้ยอ้าปากเพราะโดนเพื่อนเหยียบเท้าซ้ำ ดูท่าผัดกะเพรากล่องนี้คงจะมีอะไรเเน่ ๆ

“อย่าโกหกเลยครับ กินอย่างอื่นเถอะนะ” หนูพุกขอร้องจนเสียงอ่อน ความมั่นใจหดหายเข้ากระดองไปหมด
“ทำไมดื้อขนาดนี้ พี่หิวข้าว จะกินต่อเเล้ว” คีรินทร์ขมวดคิ้ว เกร็งข้อมือไม่ให้อีกฝ่ายเอาไปได้

“พี่ภูนั่นเเหละดื้อ ไม่ให้กินเเล้วครับ” หนูพุกไม่ยอมเเพ้ พยายามจะดึงมันกลับมาด้วยความสุภาพ เเต่กล่องเจ้ากรรมดันพลิกจนกระเด็นเข้าเสื้อเจ้านายไปแล้ว

เขาอ้าปากค้าง ผัดกะเพราเค็มก็ส่วนหนึ่ง แล้วนี่ยังมาหกรดเสื้อพี่ภูให้ปวดใจอีก

ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าจะไม่กินเมนูนี้ไปอีกสามเดือน!

สุดท้ายผัดกะเพรากล่องนั้นก็ถึงกาลอวสาน เมื่อกุ้งกว่าครึ่งกล่องหล่นเผละลงบนโต๊ะ คราบสีเข้มกระฉอกลงบนเสื้อเชิ้ตที่ควรจะต้องใส่ไปสัมภาษณ์ หนูพุกอยากจะร้องไห้เหลือเกิน…

“ขอโทษครับ พี่ภูล้างก่อนดีกว่า” แม้จะรู้ว่ามันเเก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เขาก็ยังดึงคนตัวสูงกว่ามาที่ซิงค์ล้างจาน ตาลีตาลานเอากระดาษทิชชูซับคราบเปื้อนบริเวณกลางอกแล้วค่อยใช้น้ำเเตะออกให้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปซื้อใหม่ด้วยกันนี่ล่ะ” เขาเเตะไหล่หนูพุกแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนหกที่เลอะพี่เต้ยจัดการช่วยทำความสะอาดให้เเล้ว

“งะ… งั้นเดี๋ยวพุกโทรสั่งข้าวให้ใหม่นะครับ” หนูน้อยตาเเดงเเล้ว ชิงชังเวลาที่ตัวเองเงอะงะงุ่มง่ามเหลือทน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่กินต่อ ยังเหลืออีกตั้งเยอะ หนูพุกกินเถอะ เดี๋ยวจะได้ออกไปเร็วหน่อย” เสียงราบเรียบนั้นยิ่งทำให้หนูพุกคอตก ถึงจะตาเเดงแต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

จากมื้ออาหารที่ควรจะน่าประทับใจกลายเป็นมื้อที่เละเทะที่สุด ราดหน้าหมูนุ่มเจ้าที่ชอบก็ดูเหมือนจะฝืดเฝื่อนขึ้นมา แต่พี่ภูก็ยังคงกินผัดกะเพราเค็มเเสนเค็มนั้นจนกุ้งหมดกล่องโดยปราศจากคำพูด

จากตอนเเรกที่ตั้งใจจะออกเร็วหน่อยเพราะต้องซื้อเสื้อเปลี่ยนก็กลายเป็นว่าคีรินทร์ต้องติดเเหง็กอยู่ในห้องทำงานเพราะประชุมโปรเจ็กต์รีสอร์ทติดพัน หนูพุกจึงถือโอกาสโบกมอเตอร์ไซค์ออกไปที่ถนนใหญ่ โชคไม่ดีที่ร้านเสื้อผ้าใกล้ๆไม่เปิดวันนี้ เขาเลยต้องตระเวนหาสื้อยืดสีขาวไซส์พี่ภูในร้านสะดวกซื้อถึงสามเเห่งกว่าจะได้มา

หนูพุกไม่กล้าพูดอะไรกับคีรินทร์มากตอนเขาประชุมเสร็จเพราะดูท่าเเล้วน่าจะอารมณ์เสียมากพอดู ทำได้เพียงแต่ยื่นเสื้อยืดสีขาวให้เขาเปลี่ยน ขอกุญเเจรถเขามาเปิดเอารองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลมาเปลี่ยนเเทนรองเท้าหนังสีเข้มที่อีกฝ่ายตั้งใจว่าจะใส่ไป สุดท้ายชุดค่อนข้างเป็นทางการที่จะต้องสวมทับด้วยเเจ็คเก็ตสูทสีกรมท่าก็ถูกเปลี่ยนเป็นลุคที่ดูลำลองกว่าเก่าเเต่ก็ไม่ได้ขาดความภูมิฐานไป


“พุกขับให้ไหมครับ” หนูตัวลีบเอ่ยถามเเผ่วเบาพยายามจะทำดีล้างผิดเเต่เจ้านายส่ายหน้า คงจะกลัวหนูพุกเอารถเขาไปเสยท้ายใครเข้าแหง ๆ

“ทวนคำถามสัมภาษณ์ให้พี่ก็พอ”

ตลอดทางหนูพุกจึงได้แต่ถามคำถามที่เคยสกรีนและพิมพ์คำตอบคร่าว ๆ ส่งให้ทีมงานแล้ว เกือบครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็ถึงสตูดิโอเเถว ๆ ถนนพระอาทิตย์ หนูพุกไม่เคยเข้าทำงานในสตูดิโอเเบบนี้มาก่อน เขาเพียงเเต่มานั่งเป็นเพื่อน หรืออีกนัยหนึ่งคือมานั่งเฝ้าในขณะที่พี่ภูเข้าไปในเซ็ทเพื่อถ่ายภาพ

การสัมภาษณ์จะทำทั้งสิ้นสองครั้งเป็นภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษ โดยเเบบภาษาไทยจะเป็นการนั่งพูดคุยเพื่อลงบทสนทนาในคอลัมน์ในนิตยสารเท่านั้น แต่การสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษจะมีเนื้อหาต่างกันนิดหน่อยเเละถูกอัดวีดิโอเพื่อลงบนเว็บไซต์เป็นการทำคอนเท้นท์ภาษาอังกฤษเพื่อตีตลาดคนรุ่นใหม่

หนูพุกปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่ภูเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดีพอดู เพราะเมื่อถึงเวลางานสวิตช์อารมณ์เสียของเขาก็ถูกปิด เขายิ้มเเย้มทำทุกอย่างตามที่ทีมงานขอได้อย่างสมบูรณ์เเบบทีเดียว จะมีก็เเต่ตอนถ่ายเเบบที่จะดูติดขัดไปบ้างเวลาต้องโพสท์ท่า

...พี่ภูเป็นพวกไม่ชอบกล้อง…

กว่าจะเสร็จก็โพล้เพล้เต็มทีเเล้ว หนูพุกเลยกะว่าจะกลับบ้านเอง ทนไม่ได้หรอกที่จะต้องนั่งเงียบ ๆ ภายในห้องปิดล้อมกับบรรยากาศอึมครึม

“แยกกันเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวพุกกลับเอง พอดีนัดเพื่อนไว้เเถวนี้” คุณเลขายิ้ม แต่คงไม่รู้ตัวว่ามันเเห้งเเล้งพิกล

“กลับดี ๆ ล่ะหนูพุก” คีรินทร์พยักหน้า ยกมือถือขึ้นกดโทรออก มุ่งตรงไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดไว้ริมถนน

หนูพุกหันหลังให้เขา เดินเลาะฟุตปาธไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงสวนสันติชัยปราการ พระอาทิตย์ลับไปเเล้ว เหลือเพียงเเต่สนามหญ้าที่หลงเหลือผู้คนอยู่ไม่เท่าไหร่ เเละเเสงไฟส่องไปตามจุดต่างๆของสวนเเละป้อมพระสุเมรุ

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบ้นม้านั่งว่าง มองผืนน้ำเบื้องหน้าที่มืดสนิท มีแสงไฟจากเรือล่องเเม่น้ำเจ้าพระยาผ่านตาบ้างแต่เขาไม่ได้สนใจมันเท่ากับเสียงคลื่นน้ำที่ซัดเข้ากระเเทกผนังปูน อย่างน้อยหนูพุกก็ควรจะพิจารณาตัวเอง ตั้งเเต่เข้ามาเริ่มงานที่นี่เขาทำอะไรสิ้นคิดไปไม่น้อย มีเเผนจะอ่อยเจ้านายบ้างล่ะ สุดท้ายมันก็จบไม่เป็นท่า ความคาดหวังที่จะได้เห็นรอยยิ้มประทับใจของอีกฝ่ายในวันนี้พังทลายลงเเล้ว

กับแค่คนที่เคยทำให้หนูพุกประทับใจ และประทับใจยิ่งขึ้นในความดีตอนกลับมาเจอกันอีกหนโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นจะรู้ตัวด้วยซ้ำ พอผิดพลาดจนเขาโกรธเข้าหน่อยก็ถึงกับเสียความรู้สึกจนต้องมานั่งอมทุกข์อยู่คนเดียว

...ไม่เข้าท่าเลย...

หนูพุกสะบัดหัวราวกับอากัปนั้นจะช่วยสลัดความกังวลใจออกไปได้ เขาหลับตาลงปล่อยให้กระเเสลมเย็น ๆ พัดเข้าปะทะหน้า หวังว่าอย่างน้อยมันก็จะช่วยเรียกสติและพัดพาเอาความรู้สึกไม่ดีออกไปจนหมด

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้” ดวงตาเรียวรีลืมขึ้นมือได้ยินเสียงทุ้มคุ้นเคยเเละเสียงฝีเท้าหยุดจากด้านหลัง

“อ้าวพี่ภู พุกนึกว่ากลับไปแล้ว” ชายหนุ่มขยับให้เขานั่ง ยิ้มชืด ๆ หลีกเลี่ยงที่จะสบตา ไม่ได้เเก้ตัวเรื่องที่โกหกด้วยซ้ำ

“โดนแคนเซิลนัดแล้ว ไหนเพื่อนเราล่ะ” คีรินทร์นั่งลง ไม่ได้มองหนูพุกเช่นกัน แต่วางสายตาไว้ที่เงาคนที่เคลื่อนไหวล้อกับเเสงไฟอยู่เบื้องหน้า

“โดนแคนเซิลเหมือนกันครับ” คนอ่อนวัยกว่าตอบด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ขอยืมเหตุผลเขามาใช้บ้าง

เวลาถูกปล่อยให้ไหลไป หนูพุกไม่พูด เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกัน

“เรื่องวันนี้… ขอโทษนะครับ” หนูพุกหันมองพี่ภู เหมือนถูกสะกดไปกับใบหน้าสลักเสลาที่ต้องเเสงไฟสีนวล

“หืม… เรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่เราทำกับข้าวที่พี่อยากกินมาให้ หรือเรื่องที่เราต้องวิ่งออกไปซื้อเสื้อมาให้พี่” เขายิ้มมุมปาก ทอดเสียงอ่อนโยนจนคนฟังอ่อนยวบ

...ชอบเขาเป็นทุนเดิมนี่นะ...

“กับข้าวไม่อร่อย แล้วพุกก็ซุ่มซ่ามทำเสื้อพี่เลอะ มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย” เลขาหนุ่มก้มหน้า เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่พนักงานมืออาชีพจะมานั่งระบายความไม่สบายใจกับเจ้านาย

“มันไม่ได้ไม่อร่อยขนาดนั้น ก็เห็นอยู่ว่าพี่กินได้ ส่วนเรื่องเสื้อมันเป็นอุบัติเหตุ พี่เข้าใจ” ดวงตาคมโตหันมามองคู่สนทนา “เรื่องที่หงุดหงิดไปพี่ก็ขอโทษเหมือนกัน หลายเรื่องมันมารวมกันวันนี้น่ะ”

“อะ… เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พี่ภูไม่ได้ผิดอะไร” หนูพุกพูดตะกุกตะกักเเล้ว ไม่นึกว่าเขาจะเอ่ยปากขอโทษกันทั้งที่ไม่ได้จำเป็นอะไร

“ไปกินข้าวกันไหม ไหน ๆ ก็ว่างกันทั้งคู่” เขาชวนเหมือนมัดมือชกเพราะลุกขึ้นเเล้ว

“งั้นพุกเลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษที่ทำพี่ภูเกือบต้องไปฟอกไต” หนูพุกเดินตาม สับขาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยจนขึ้นไปเดินเคียงกัน

“จำเเม่นจังนะ อย่าไปคิดมากเลย พี่ทำกับข้าวห่วยแตกกว่าหนูพุกเยอะ”

ชายหนุ่มหัวเราะ เล่าประสบการณ์การทอดไข่เจียวที่ทำยังไงก็ไม่สามารถพลิกกลับให้มันเป็นเเผ่นเดียวเเบบที่คนอื่นทำได้ เรื่องลองทำข้าวผัดมาสามหนแต่รสชาติออกมาเหมือนข้าวไอ้เอ๋งทุกรอบไปนั้นก็ถูกเล่าด้วย

แถบถนนข้าวสารคืนวันศุกร์คราคร่ำไปด้วยผู้คนสารพัดเชื้อชาติ ทั้งคู่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในเส้นที่มีบาร์เปิด แต่กลับหยุดลงตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ จองเก้าอี้ในซุ้มร้านสุกี้กระทะร้อนคนละตัว

“เอาสุกี้ไก่หนึ่ง หมูหนึ่งครับ” หนูพุกสั่งกับพนักงานเสื้อขาว เอี้ยวหลังไปจ่ายเงินให้กับเด็กที่ถือตะกร้าขวดน้ำ

“พี่ไม่ได้มาสักพักแล้วนะเนี่ย” คีรินทร์ยิ้ม เขาไม่ได้มาที่นี่นานมากพอดู  ถ้าจะมาก็มาปาร์ตี้กับลูกน้องในออฟฟิศ มาเลี้ยงเหล้าพวกมันบ้างตามโอกาสพิเศษ

“พุกก็เหมือนกัน ไม่ได้เดินเล่นมานานเเล้ว” หลังเรียนจบ เขาก็ยังพอมีเวลาบ้างนัดเจอเพื่อนบ้าง แต่ที่สุดเเล้วสิ่งที่เรียกว่างานก็ทำให้กลุ่มเพื่อนเเยกกันทีละน้อย มากันไม่ครบพร้อมจนได้คุยกันเเต่ในไลน์กรุ๊ปหรือนัดเจอกันบ้างตามโอกาสสำคัญ

“รีบกลับหรือเปล่า พี่ว่าจะเดินเล่นหน่อย” เลขาหนุ่มส่ายหัว ยังไงวันพรุ่งนี้ก็วันหยุด จะตื่นสายสักหน่อยคงไม่เป็นไร

“เอาสิครับ” หนูพุกจะจ่ายเงิน แต่พี่ภูกลับชิงยื่นแบงค์สีม่วงก่อน

“พี่เป็นเจ้านายนะ ให้หนูพุกออกได้ยังไง” เขายิ้ม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเเพ้

“หมดเวลางานเเล้วครับ” ฟังเเล้วคีรินทร์ก็ยิ้ม

“แต่พี่แก่กว่า ยังไงก็ต้องออกอยู่ดี” มือใหญ่รับเงินทอน ออกเดินนำฝ่าฝูงชนเข้าไปท่ามกลางเสียงเพลงและผู้คน

หนูพุกยิ้มบางกับคนเจ้าเหตุผล เดินเคียงข้างเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ่งเดินลึกเข้าไปคนก็ยิ่งเยอะ เสียงจากบาร์เปิดดังกระหึ่ม โทรศัพท์มือถือที่สั่นขึ้นทำให้คีรินทร์ต้องหยุดรับมันและตั้งใจเดินให้สุดถนนเพื่อให้เสียงรอบข้างจางลงบ้างไม่อย่างนั้นคงพูดกันไม่รู้เรื่องจนเผลอลืมคนที่เดินมาด้วยกัน

หนูพุกพยายามจะก้าวให้ทันคนที่เดินเร็ว แต่น่าเสียดายที่คนเยอะมากเขาจึงตามคนตัวใหญ่ที่มัวเเต่พูดโทรศัพท์ไม่ทัน กว่จะเดินออกมาจนสุดซอยได้พี่ภูก็หายไปแล้ว

ชายหนุ่มถอนหายใจ เดี๋ยวก็คงเจอกันเอง หรือไม่อีกฝ่ายก็คงจะโทรมา หนูพุกเดินเข้าซอยไปอย่างอ้อยอิ่ง สายตามองร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับรายทางไปเรื่อย หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเจ้านายในที่สุด หากกลับได้ยินเสียงสัญญาณให้ฝากข้อความแทนเสียนี่ ก็เลยกะว่าอีกสิบนาทีคงจะโบกเเท็กซี่กลับคอนโดเเล้ว

“หนูพุก!” เสียงทุ้มตะโกนขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับสัมผัสหนัก ๆ ที่หัวไหล่ มือใหญดึงเขาเข้าหาจนเซ

“โทษที กะน้ำหนักไม่ถูก พี่ว่าจะโทรหาเราเเต่เเบตหมด” เขาชูโทรศัพท์ให้ดูว่ามันดับลงจริง ๆ

“ไม่เป็นไรครับ ร้อนไหมเนี่ย” เหงื่อเม็ดเป้งพรูอยู่ตามไรผม ถ้าไม่หลงตัวเองจนเกินไปหนูพุกก็คิดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายคงเดินตามหาเขาอยู่

“ไม่เท่าไหร่” เขายกแขนเอาชายเเขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ “พี่เเวะตรงนี้เเป๊บนึง” เขาเรียก หยุดลงตรงร้านเคบับรถเข็นแถมยังหันมาถามอีก

“เอาไหม พี่ยังไม่ค่อยอิ่ม”

“กินไม่หมดหรอกครับ เดี๋ยวกินอย่างอื่นดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้ม เดินไปซื้อน้ำส้มคั้นสดจากร้านข้าง ๆ กันอีกสองขวด

 คีรินทร์เดินไปกินไป หยุดดูข้าวของที่คล้ายกันไปเสียทุกร้านบ้าง แต่ร้านที่เห็นจะหยุดนานหน่อยก็คงเป็นร้านสร้อยข้อมือเเบบถักที่มีคุณป้าวัยเกษียณนั่งถักไปด้วยขายไปด้วย

“ลองได้นะคะ” คุณป้าหันมายิ้มใจดีตอนหนูพุกหยิบสร้อยข้อมือที่เตะตาเส้นเเรกขึ้นถือ มันเป็นเชือกถักสีฟ้า ขาว และเเดงตุ่น ๆ

“อันนี้ก็สวยนะคุณ” คุณป้ายื่นอีกเส้นที่เพิ่งจะถักเสร็จใหม่ ๆ ให้ มันเป็นเกลียวสีน้ำตาลเข้ม ส้ม เเละขาวสานต่อกัน

คนซื้อพิจารณาดูสร้อยสองเส้นเทียบกัน อันเเรกเป็นเเบบเชือกรูดเข้าหากันธรรมดา แต่สวยเตะตาจนต้องหยุดเเวะ อีกเส้นเป็นเเบบที่คุณป้าเเนะนำ มันมีลูกเล่นเเละสีสันฉูดฉาดกว่า

“สวยนะ” เขาออกความเห็นถึงสร้อยถักอันหลังแล้วหันไปงับแป้งสอดใส้ในมืออีกคำ

“พี่ภูเอาด้วยไหม” หนูพุกถาม แต่คนตัวสูงกว่าส่ายหน้า เขาเเค่เห็นเพียงว่ามันน่าจะเข้ากันดีกับข้อมือของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

“ผมเอาอันนี้เเหละครับ ชอบมาตั้งแต่เเรกเเล้ว” ที่สุดเเล้วหนูพุกก็เลือกเส้นที่หมายตาไว้เเต่เเรก เขาชอบอะไรที่มันดูธรรมดา ใส่ได้ทุกวันไม่มีเบื่อมากกว่า

“สองเส้นป้าลดให้นะ” หญิงมีอายุยังคะยั้นคะยอ แต่หนูพุกส่ายหน้า ควักแบงค์ยี่สิบให้สองใบ

“อันเดียวก็พอเเล้วครับ” มือเรียวบางหยิบสร้อยข้อมือมาสวมเลย ไม่เอาถุงพลาสติกใบจิ๋วของเเม่ค้า

“ขี้เห่อ” คีรินทร์หัวเราะในลำคอ มองคนที่ยกข้อมือตัวเองขึ้นพินิจ

“เขาเรียกว่าลดโลกร้อนต่างหาก” หนูพุกยักคิ้วให้พลางเอ่ยถามคนที่กินหมดพอดี “พี่ภูจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“กลับเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เขาเมียงมองหาถังขยะ แต่คงต้องเดินไปจนสุดถนน ไม่ได้สังเกตเลขาหนุ่มที่ออกเดินตามหลังว่าอีกฝ่ายเสหลบ ซุกซ่อนหน้าร้อนผ่าวเลี่ยงไปมองคนพลุกพล่านหน้าร้านเหล้าเพราะความพองฟูจนล้นอกกับแค่การไปส่งที่ห้องเท่านั้นเอง

“เอ๊ะ…”

นั่นคุณแดนนี่นา

แดนดินเป็นสถาปนิกวัยไล่เลี่ยกันกับหนูพุก เขารูปร่างสูงมากทีเดียว ดูเหมือนจะสูงที่สุดในบริษัทเลยด้วยซ้ำ หนูพุกได้ยินว่าเขาอยู่กับบริษัทมาตั้งแต่หลังพี่ภูเริ่มตั้งบริษัทไม่นาน จนตอนนี้คุณแดนก็ยังอยู่ในทีมออกแบบของพี่เต้ย นอกจากจะเป็นลูกน้องเเล้ว ก็ยังควบตำแหน่งเเฟนหนุ่มอีกต่างหาก

แล้วนั่นเขามากับใครกัน ดูท่าทีสนิทสนมกับผู้ชายอีกคนไม่น้อยจากระยะห่างของร่างสองร่างที่พากันเดินหายลับเข้าไปในบาร์ หนูพุกขมวดคิ้วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่มานั่งติดใจสงสัยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นทั้งที่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป

“มีอะไรหรือ” คีรินทร์มองตามเมื่อเห็นว่าคนอ่อนกว่าทำหน้าเหมือนเจอคนรู้จัก

“เหมือนพุกเห็นคุณเเดน แต่คงแค่หน้าคล้ายเฉยๆ”

หนูพุกออกเดิน ได้ยินพี่ภูพูดพึมพำอยู่ในลำคอ นึกถึงอีกเหตุผลที่ทำให้วันนี้เขาหงุดหงิดเหลือเกินกับงานออกเเบบที่ไม่ตรงกับคอนเซปต์ที่เคยคุยกันไว้ แถมยังตอบโจทย์ฟังก์ชั่นได้ไม่ครบถ้วนดีจนต้องนั่งปรับความเข้าใจกันอยู่นานสองนาน

“ไม่น่าใช่หรอก เพิ่งโดนรีเจ็คงานไป ป่านนี้คงแก้หัวยุ่งอยู่นั่นล่ะ”


---------------------------------------------------------------------------

หนูพุกอย่าท้อลูกกก ;-; กระดึ๊บขึ้นมานิดนึงเเล้วนะ อย่าถอดใจ  :sad4:
ฝาก #พิชิตภู ในทวิตเตอร์ไว้กับทุกคนด้วยนะคะ /ไหว้ย่อ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-06-2018 08:57:41
หนูพุกน่ารักมากค่าาา พี่ภูก็ดูอบอุ่นนน  :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-06-2018 09:33:12
หนูพุกสู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-06-2018 09:57:50
หนูพุกสู้ๆ อย่ายอมแพ้ผิดพลาดครั้งนี้ ครั้งหน้าลองใหม่ได้นะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-06-2018 00:40:49
พี่ภูคิดอะไรอยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 24-06-2018 08:13:56
พี่ภูส่งสัญญาณหน่อยค่าาาาาา
หนูพุดหงอยหมดอล้วว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 24-06-2018 09:40:25
สนุกมากค่ะ ภาษาก็ดี พี่ภูอบอุ่น หนูพุกน่ารัก
ชอบพี่เต้ยอ่ะ แต่พี่เต้ยเป็นแฟนกับแดนดินเหรอ
แล้วแดนดิน ก็กำลังจะนอกใจหรือ ? เราเข้าใจถูกไหมนะ
งั้นเชียร์พี่เต้ยกับคุณกวีแทนได้ไหม 555
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า เขียนดีมากเลย > <
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-06-2018 01:57:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตัวละครชื่อ "แดน" ต้องมีอะไร ๆ สำคัญในอนาคตแน่ ๆ เลย

เพราะพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับที่เป็นอยู่จริง   น่าสงสัยจัง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-06-2018 13:28:14
อยากอ่านต่อแล้ว มาต่อเร็วๆนะๆๆๆๆๆ :mew2:
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 30-06-2018 08:05:23

Chapter 5


ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาหนูพุกเข้าประชุมและเตรียมเอกสารทั้งหมดอย่างเเข็งขันเป็นหนูปั่นจักร รู้สึกเหมือนกำลังเข้าคอร์สเรียนออกเเบบเเลนด์สเคปไปด้วยตอนที่คีรินทร์อธิบายและสถาปนิกต่างก็ระดมยิงไอเดียเข้ามา วันนี้ทั้งวันหนูพุกเเทบจะย้ายตัวเองเข้ามาทำงานบนโต๊ะไม้ตัวโตในโซนประชุมเเล้วเนื่องจากพอเคสนี้ออก เคสนั้นก็เข้า คนที่น่าจะหนักกว่าหนูพุกก็น่าจะเป็นเจ้านาย ที่ตอนนี้เริ่มต้องอมยาอมเพราะพูดเยอะเเล้ว

“พี่ภูพักก่อนไหมครับ” เลขาหนุ่มวางถ้วยกาเเฟที่บรรจุน้ำอุ่นเเละมีมะนาวฝานลอยมาด้วย โชคดีที่คุณป้าเเม่บ้านมักจะทำอาหารในครัวด้านล่างอยู่บ่อย ๆ หนุ่มขี้อ้อนจึงไปขอยืมมาได้ลูกหนึ่ง 

“ขอบคุณมาก แต่ขอกาแฟอีกแก้วด้วยได้มั้ย” เขาหันมาถาม ยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าลูบตาในขณะที่หนูพุกก็หยิบเเปลนที่ดินเเผ่นใหญ่ขึ้นมาติดบนโต๊ะเเล้วทาบด้วยกระดาษร่างที่บรรดาสถาปนิกมักจะจรดปลายปากกาไปพูดไป

“วันนี้สามเเก้วเเล้วนะครับ”

ร่างเล็กกว่านั่งลงข้างๆ ฝั่งหัวมุมโต๊ะ หนูพุกยกโน้ตบุ๊กเข้ามาด้วยทำสรุปประชุมไป อัพเดตข้อมูลไปด้วย ยิ่งช่วงนี้พี่ภูมีงานข้างนอกบ่อย นอกจากจะสารพัดเอกสารเเล้ว บางครั้งหนูพุกก็ต้องเข้าประชุมเเทนในหัวข้อที่เขาทำได้ด้วย

“ง่วงมากเลย” เขาซบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนเด็ก ๆ

“นอนก่อนไหมครับ อีกสิบนาทีเดี๋ยวพุกปลุก” เหมือนจะเป็นอุปทานเวลาเห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยหาว เขาก็เผลอหาวตาม

“ง่วงเหมือนกันนี่” พี่ภูชี้นิ้วมาที่เขา หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“ก็อย่ามาหาวใส่หน้ากันเเบบนี้สิครับ” มือเล็กยกขึ้นปิดปาก หันมาพรมนิ้วลงบนเเป้นพิมพ์ไม่วอกเเวก

“เคยแอบอู้งานบ้างหรือเปล่า” อยู่ดี ๆ คีรินทร์ก็เอ่ยขึ้นแต่ก็ดูไม่ได้จริงจังนัก

“ถามแบบนี้จะหักเงินเดือนหรือครับ” หนูพุกกระเซ้า เอานิ้วดันเเว่นเเล้วมองสเปรตชีทสรุปงบโครงการ เขาคิดว่ามันน่าจะถูกลงได้มากกว่านี้อีกหน่อย

“เปล่า ว่าจะชวนอู้น่ะ” เจ้านายยกเเขนขึ้นบิดขี้เกียจ

“พี่ภูนอนเถอะครับ เดี๋ยวพุกปลุก อีกสิบห้านาทีกว่าจะประชุม” หนูพุกยิ้มจาง ๆ หากยังเคาะเเป้นพิมพ์ต่อไป ถ้าไม่รีบทำตอนนี้แล้วงานไปกองกันตอนสิ้นอาทิตย์หนูพุกคงสิ้นใจตาย

“นอนได้นะ เดี๋ยวตั้งนาฬิกาไว้”

เขาคะยั้นคะยอ เห็นเลขาทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเเล้วก็แอบอายอยู่หน่อย ๆ ที่หนูพุกมาทำงานก่อนเขาทุกวัน กลับเกือบจะพร้อมกันเสมอ บางทีกินเวลาไปเกือบสามทุ่มก็เคยมีมาเเล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่เห็นโอดครวญอะไร จนเขาแอบรู้สึกผิดในใจตงิด ๆ

“เบรกเถอะ พี่พูดจริง ๆ นะ วันนี้ข้าวกลางวันกินแค่สิบห้านาทีก็ต้องมาทำงานต่อแล้ว”

“ครับ ๆ พี่ภูพักก่อนเลย เดี๋ยวเสร็จหน้านี้เเล้วหนูพุกตามไป” ขัดไปก็เหนื่อยลูกตื๊อ หนูพุกเลยตัดใจรับปากให้อีกคนได้นอนดีกว่าเอาเวลามานั่งโน้มน้าวกัน

 คีรินทร์คงจะเหนื่อยจริง ๆ พอเขารับปากได้ไม่ถึงสองนาทีอีกฝ่ายก็หลับสนิท หนูพุกหยุดมือเเล้วหันมาพิจารณารูปหน้าสลักเสลานั้นอย่างเงียบเชียบ

ดวงตาดำใหญ่ที่โตกว่าเขาปิดสนิทอยู่ใต้เปลือกตา เเพขนตาหนาเรียงเป็นระเบียบ จมูกโด่งสวยงามราวกับปฏิมากรรมหินอ่อนของศิลปินชื่อก้องโลก

...ทั้งที่ตอนมัธยมปลายก็ดูจะเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาเเท้ ๆ ทำไมถึงยิ่งโตยิ่งหล่อได้ขนาดนี้...

หนูพุกสะดุ้งเมื่อเห็นคนผ่านไปทางหางตา เพราะห้องประชุมเป็นห้องกระจกมีมู่ลี่รูดปิดเพียงเท่านั้น คงไม่ดีถ้าจะให้ใครเห็นว่าเลขาคนนี้กำลังคิดไม่ซื่อ

หนูพุกลุกขึ้น เอาเเก้วน้ำอุ่นที่เย็นชืดลงหลังจากถูกจิบไปไม่กี่หนออกไปวางทิ้งไว้ที่ซิงค์ในครัว เดินเลยขึ้นไปยังห้องทำงานของพี่ภู หยิบเอาเสื้อเเจ็คเก็ตผ้าของอีกฝ่ายติดมือมาด้วย

เสื้อเนื้อนุ่มสีเข้มถูกคลุมลงบนเเผ่นหลังกว้าง พี่ภูเป็นพวกขี้ร้อนก็จริงแต่การเลือกนอนในตำเเหน่งแอร์ตกเเบบนี้หนูพุกว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่

“หืม สิบห้านาทีเเล้วหรือ” สงสัยหนูพุกจะมือเบาไม่พอ อีกฝ่ายถึงขยับตัวลืมตาขึ้นมาถาม

“ยังครับ เดี๋ยวพุกปลุกนะ” หนูพุกขยับเสื้อให้เขาเเล้วหันกลับมานั่งทำงานต่อ

เวลาพักเพียงหยิบมือนั้นเหมือนจะต่อชีวิตให้กับคีรินทร์ได้จนถึงหัวค่ำ หนูพุกเห็นเขาถือโทรศัพท์มือซ้ายในขณะที่มือขวาก็ยังสั่งเรนเดอร์ภาพในจอไปด้วย

ดูท่าแล้ววันนี้คงได้อยู่ยาวแหง ๆ

“อ้าวหนูพุก ยังไม่กลับอีกหรือ” พี่เต้ยเดินมาจากห้องทำงานอีกฝั่งพร้อมกับสถาปนิกหนุ่มรุ่นน้องที่หนูพุกเห็นที่ข้าวสารเมื่อสัปดาห์ก่อน

“เดี๋ยวก็กลับเเล้วครับ พี่เต้ยให้พุกทำอะไรหรือเปล่า” คำถามที่ติดปากอยู่เป็นนิจทำเอาคนฟังยกมือโบกไหว ๆ

“โอ๊ย พอแล้ว เลิกงานเเล้วจะทำอะไรกันนักหนา ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องเลย” พี่เต้ยหัวเราะ พูดราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้านายคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

“ถ้าหิวกินขนมพี่ในตู้เย็นได้เลยนะหนูพุก ผอมจนตัวจะเหลือเท่าไม้ขีดเเล้วเนี่ย” หนูพุกยิ้มรับ หยุดตัวเองที่จะไม่พิจารณาคนพูดน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังเต้ยไม่ได้

“ไปเถอะ เดี๋ยวเลท” เเดนดินสะกิดเเฟนหนุ่ม กลัวว่ารถติดกว่านี้อีกหน่อยจะไปไม่ทันเวลาที่จองร้านอาหารบนตึกสูงเอาไว้ “คุณหนูพุกก็อย่ากลับดึกนะครับ”

“ขอบคุณครับคุณแดน” เขาเพียงเเต่ยิ้มรับกับความหวังดีเหล่านั้น แดนดินเป็นพวกไม่ค่อยพูด ถ้าจะได้ยินเสียงเขาบ่อยหน่อยก็คงจะเป็นในห้องประชุมเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ดูว่าเป็นพวกอันตรายหรือเจ้าชู้ร้อยเล่ห์อะไรทำนองนั้นสักหน่อย

สงสัยจะคิดมากไปเองจริง ๆ

จากที่ว่าจะทำงานแค่พักเดียว พอเงยหน้าขึ้นมาเข็มสั้นก็เเตะเลขเก้าเเล้ว กลับห้องดึกอีกตามเคย… หนูพุกเเอบเเวบเข้าไปดูพี่ภูในห้องทำงาน เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งสเก็ตช์อะไรอยู่ในสมุดเงียบ ๆ

“พี่ภูครับ ยังไม่หิวหรือ”

“หนูพุกหิวหรือเปล่า กลับบ้านก่อนได้เลยนะอยู่เป็นเพื่อนพี่ทุกวันเลย”

...เขาก็ขยันไล่หนูพุกกลับก่อนทุกวันเหมือนกัน...

เมื่อไหร่จะรู้สักทีว่าที่อยู่ดึกไม่ได้เป็นเพราะขยันอะไรนักหนา แต่เป็นเพราะอยากจะยืดเวลาเจอหน้ามากขึ้นอีกหน่อยต่างหาก

“งานยังไม่เสร็จเลยครับ ถ้าพี่ภูจะกินอะไรบอกได้นะ”

“จริง ๆ ก็หิว แต่ป่านนี้ถ้าสั่งข้าวกว่าจะมาต่ำ ๆ คงเกือบชั่วโมง” เขาทำหน้ายุ่ง กะว่าเดี๋ยวคงจะลงไปหาอะไรตามร้านสะดวกซื้อมากิน

“งั้นกินพิซซ่ามั้ยครับ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงแน่นอน” เลขาหนุ่มว่า หยิบเเก้วน้ำของเจ้านายไปกดน้ำเพิ่มให้ด้วยความเคยชิน

“เอาสิ” เขาเลือกหน้าที่ชอบ บอกหนูพุกว่าถ้าชอบหน้าอื่นจะสั่งเเบบฮาล์ฟหน้ามาก็ได้

สุดท้ายเเล้วหนูพุกก็ไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มเติมนอกจากสลัดผัก เเละของกินเล่นอีกอย่างสองอย่าง มันอาจจะดูเหมือนมากเเต่ตราบใดที่คนร่วมโต๊ะคือคีรินทร์เขาก็เชื่อว่าที่สั่งมายังไงก็ไม่มีทางเหลือ

พนักงานในชุดฟอร์มร้านลงมาจากมอเตอร์ไซค์ภายในยี่สิบนาทีหลังจากหนูพุกวางสายเท่านั้น ถุงพลาสติกบรรจุถาดพิซซ่าขนาดกลางเเละกล่องอาหารอีกสองสามใบถูกวางพักไว้ในห้องครัว หนูพุกกะว่าเดี๋ยวจะหยิบเอาเอาจานชามขึ้ไปด้วยแต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะได้เปิดตู้หยิบของที่ต้องการ ไฟทั้งอาคารก็ดับพรึ่บพร้อมกับเสียงระเบิดตูมใกล้ ๆ นี้ เสียงเตือนจากเครื่องไฟอัตโนมัติที่ควรจะเปิดขึ้นเมื่อไฟดับดังขึ้นครั้งเดียวเเต่เครื่องก็ไม่ยอมทำงาน

...มาพังอะไรกันตอนนี้...

“หนูพุก...” เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากข้างบน ครู่เดียวร่างสูงใหญ่ก็เดินลงบันไดมาพร้อมกันกับที่ถือโทรศัพท์เปิดสปอตไลท์นำทางมาด้วย

“อยู่ในครัวครับ” หนูพุกร้องบอก หยิบโทรศัพท์มาเปิดสปอตไลท์บ้าง

“พิซซ่ามาได้เวลาดีจริง ๆ หม้อเเปลงระเบิด ไฟดับกันทั้งเส้นเลย” คีรินทร์หัวเราะหึ ๆ เปิดตู้เก็บของอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยถูกใช้งานรื้อหาอะไรบางอย่าง

“พุกยังไม่ได้เซฟงานเลยครับ” คุณเลขาทำหน้าหงอยลงไปหน่อย เเต่คิดว่าไปเรียกคืนเอกสารก็คงจะเจอ เขาเขยิบเข้าไปใกล้เจ้านาย เหมือนจะจำได้ว่ามีกล่องเทียนอยู่ในลิ้นชักแถว ๆ นี้

“พี่ก็ยังเรนเดอร์งานไม่เสร็จเหมือนกัน ไม่ต้องใช้จานหรอก หยิบเเค่จานเล็กไปสักสามสี่ใบก็พอ” คีรินทร์ว่า เขาหันมาชมเลขาที่มือเเม่น เลื่อนลิ้นชักทีเดียวก็เจอกล่องเทียนไข

“พี่ภูมีไฟเเช็กไหม พุกหาไม่เจอ” มือเรียวยังคงหาต่อไป ทั้งที่ไฟเเช็กกับเทียนมันควรจะอยู่ด้วยกันเเท้ ๆ ทำไมหาไม่เจอล่ะนี่

“ไม่มีเเฮะ พี่ไม่สูบน่ะ” เขาว่าพลางขยับย่อลงมาเปิดตู้ด้านล่างแล้วสำทับอีก “แม่พี่ไม่ชอบ”

อาจเป็นเพราะพวกยาสูบนี่มันขัดกับค่านิยมของคุณครูใหญ่ที่มีหน้าที่สนับสนุนให้เด็ก ๆ อยู่ในรูปในรอยอย่างเเม่ เขาเคยลองตอนอยู่ไกลบ้านบ้าง แต่ไม่ได้คิดจะเเตะมันจริงจัง… เเม่เสียใจมาเยอะเเล้ว ไม่ควรต้องมาผิดหวังกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้อีก

“เจอแล้ว” ไฟเเช็กอันละห้าบาทสิบบาทถูกยื่นให้คุณเลขา ไม่รู้ใครมันอุตริเอามาเก็บรวมไว้กับกล่องเครื่องมือช่าง

ในที่สุดสองร่างก็เดินเคียงกันขึ้นไปชั้นบนเนื่องจากพอเปิดหน้าต่างเเล้วมีลมโกรกมากกว่า ประตูห้องทำงานของพี่ภูถูกเปิดออกให้อากาศถ่ายเท สองร่างช่วยกันเดินไล่เปิดหน้าต่างตลอดทั้งพื้นที่ชั้นสอง เมื่อคำนวณเเล้วว่าคงอีกนานกว่าไฟจะมา ทั้งสองช่วยกันเก็บเอกสารบนโต๊ะทำงานเเละจุดเทียนตั้งไว้บนจานรองแก้ว เอามันวางให้เเสงสว่างในห้องทำงานในจุดที่จะไม่โดนลมเป่าจนดับ

“วันนี้มีดินเนอร์กลางเเสงเทียนด้วยแฮะ” หนูพุกยิ้มกับเสียงพึมพำของอีกฝ่าย อดนึกว่ามันก็โรเเมนติกดีไม่ได้

“นั่งเลยครับ อาหารจะเสิร์ฟเเล้ว” คุณเลขาเเกะกล่องพิซซ่า วางไว้ตรงกลาง ข้าง ๆ มีปีกไก่บาร์บิคิว ชิคเก้นสติ๊กและซีซ่าร์สลัด

คีรินทร์แกะออริกาโน่จากซองโรยลงบนเเผ่นเเป้งชิ้นสามเหลี่ยมของตัวเอง ในขณะที่คุณเลขาเช็ดมือกับเว็ททิชชู่แล้วเลื่อนกล่องฟอยล์เข้าหาตัว ใช้มือเเละมีดพลาสติกชั่วกันเลาะกระดูกชิ้นเล็กออกจากส่วนปีก ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังมองคนที่ก้มหน้าก้มตาด้วยความทึ่งขนาดไหน

“พี่ภูจิ้มเอานะครับ มือจะได้ไม่เหนียว”

หนูพุกพูดไปเช็ดมือไปด้วย ขยับกล่องไก่หกชิ้นก็โดนเลาะกระดูกจนสิ้น พวกมันนอนอวบอ้วนเสียทรงแค่ด้านเดียวที่ถูกเปิดเพื่อดึงกระดูกออก แต่อีกด้านยังอยู่เเหมือนเดิมในกล่องพร้อมส้อมจิ้มเรียบร้อย 

“ทำได้ยังไงน่ะ” 

“ทำอะไรครับ” หนูน้อยหยิบชิคเก้นสติ๊กกรอบ ๆ ขึ้นเเทะ มองหน้าอีกฝ่ายอย่างมีคำถาม

“ก็แกะกระดูกนี่ไง” คนฟังร้องอ้อ ไขความสงสัยให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

“พุกมีน้องชายอายุห่างกันเกือบรอบ งานเเกะกระดูกแกะก้างก็เลยเป็นงานหลักช่วยหม่าม้าประหยัดแรง” พอถูกไขความข้องใจเเล้วคนฟังก็พยักหน้า ไม่เเปลกใจว่าทำไมเลขาหนุ่มถึงมีนิสัยห่วงใยคนอื่นเสมอ

“กับเจ้านายเก่าก็แกะให้เเบบนี้หรือ”

“เจ้านายเก่าไม่กินพิซซ่าครับ” หนูพุกตอบยิ้ม ๆ ใช้ส้อมตักสลัดเข้าปาก พอเห็นใบเขียว ๆ ภูถึงเพิ่งจะนึกออกว่าญาติผู้พี่ของเขาเป็นมังสวิรัติและงดฟาสต์ฟู๊ดในทุกรูปเเบบมาร่วมสิบปีเเล้ว

แป้งชิ้นสามเหลี่ยมถูกคุณเลขางับแล้วเคี้ยวจนแก้มกลม ตอนหนูพุกขึ้นต้นชิ้นที่หนึ่ง พี่ภูก็ไปถึงชิ้นที่สามเเล้ว เพราะนั่งฝั่งตรงข้ามกันเเละแสงเทียนในที่มืดสลัวก็ยิ่งทำให้บรรยากาศสุ่มเสี่ยงกับหัวใจเหลือเกิน

เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตาคนที่กำลังกินไปคุยไป จากเรื่องทั่ว ๆ ไปก็เป็นเรื่องภาพยนตร์ เพลง และแม้กระทั่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ

“พุกยังไม่เคยขึ้นเหนือเลย”

ตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งป๊า หม่าม้า แล้วก็น้องชายเป็นพวกชอบทะเลเพราะฉะนั้นทริปท่องเที่ยวในวัยเด็กก็มักจะพุ่งลงไปทางทิศใต้ หรือไม่ก็เลยขึ้นไปที่ฮ่องกงเพื่อเยี่ยมญาติเสียมากกว่า พอโตมาก็ทำแต่งาน วันหยุดยาวทีไรหนูพุกก็ถูกเตียงดูดจนลืมเรื่องออกไปเที่ยวไกล ๆ ทุกที

“เอาไว้พี่ไปทำงานเเล้วขึ้นไปด้วยกันก็ได้ พอดีพี่ชายพี่กำลังจะเปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่” คีรินทร์ถือโอกาสขึ้นไปเยี่ยมเเม่เเละพี่ชาย ทริปพนักงานประจำปีปีนี้พาเจ้าพวกนี้ไปเที่ยวด้วยก็น่าจะโอเค

หนูพุกพยักหน้า รู้สึกเหมือนเข้าถึงพี่ภูมากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย สองมือกอบเอากล่องเปล่าที่ว่างเเล้ว ผูกไว้กับถุงเตรียมทิ้งขยะ ส่วนพิซซ่าที่เหลือก็คงต้องเอาไว้ที่ห้องครัวเเล้วอุ่นไมโครเวฟพรุ่งนี้เช้าเอา

“ถ้าไฟไม่มาก็กลับกันเถอะ ไว้พรุ่งนี้พี่ค่อยมาเช้าเเทน” เขาเดินนำหนูพุกไปปิดหน้าต่าง ถอดใจกับงานที่ควรจะไปถึงเป้าหมายเเต่ติดตรงที่ไฟดับมาชั่วโมงกว่า

“พอจะกลับไฟมาเฉยเลย” คีรินทร์พึมพำ หน้าต่างกระจกบานสุดท้ายถูกงับปิดไฟทั้งตึกก็สว่างเรืองขึ้นเหมือนเปิดสวิตช์

คนบ้างานสองคนสบตากัน กระวีกระวาดไปเปิดคอมพิวเตอร์ของใครของมันเพื่อกู้คืนไฟล์ที่หายไปตอนไฟดับ บางไฟล์ของหนูพุกก็ต้องนั่งทำใหม่ นั่นทำให้รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย แต่คนที่จะหนักกว่าก็คงจะเป็นคีรินทร์ที่ถึงเเม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่จะต้องมานั่งทำงานใหม่เกือบหมดเพราะไฟฟ้าขาดไปตอนกำลังเรนเดอร์ภาพอันเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างใช้เวลา

 หนูพุกเอาพิซซ่าลงไปเก็บ ทั้งจานรองเเก้วเเละเทียนก็ถูกนำลงไปพร้อมกันด้วย เขามองนาฬิกาเเล้วก็ชั่งใจ กลัวว่าจะไม่ทันรถไฟฟ้า แต่สุดท้ายก็อดทนไม่ได้ที่งานจะหายไปเเล้วต้องมานั่งทำใหม่แบบไฟลนก้นในวันพรุ่งนี้

...แค่ชั่วโมงเดียวคงไม่เป็นไร...

คีรินทร์เดินถือเเก้วน้ำออกมานอกห้อง ตกใจไม่น้อยเพราะคนที่สมควรจะกลับบ้านนอนไปแล้วยังนั่งพิมพ์งานต๊อกเเต๊กอยู่เลย

“อ้าว หนูพุก ไม่กลับบ้านหรือ”

“กลับครับ เดี๋ยวห้าทุ่มก็กลับเเล้ว” หนูพูกยกมือขึ้นยืดเส้นยืดสาย เขามองหน้าเจ้านายที่มองมาอย่างสนเท่ห์

“นี่เที่ยงคืนครึ่งเเล้วนะ” คนฟังร้องหาปากกว้าง มองเวลาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังโชว์เลขยี่สิบสองตัวหน้าและสี่สิบห้าที่ตัวหลัง หนูพุกขมวดคิ้วเลิกเเขนเสื้อดูนาฬิกาข้อมือเเล้วก็ใจหาย

...เที่ยงคืนครึ่งเเล้วจริง ๆ...

“เวลาหน้าจอมันรันมั่วน่ะพี่ภู ไม่รู้ว่าผิดตั้งแต่ตอนไหน สงสัยจะตอนไฟดับไปแน่ ๆ เลย” หนูพุกถอนหายใจ ทำไมเขาถึงไม่ยอมเอะใจว่าเวลาเกือบชั่วโมงมันจะพอให้ทำงานค้างกับตรวจทานเอกสารการประชุมได้จนจบเล่มเลยหรือยังไง

“ดึกขนาดนี้จะกลับยังไงเนี่ย” เจ้านายเเวะมาที่โต๊ะทำงานของเลขาหนุ่ม เห็นเอกสารประกอบการประชุมเรื่องศูนย์ศิลปะถูกทำไว้เเล้ว หากยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก

“เดี๋ยวเรียกเเท็กซี่ครับ” พูดอย่างนั้นเเต่นิ้วก็ยังกดสั่งพิมพ์งาน ปริ้นท์เตอร์ส่งเสียงครืดคราดในตอนที่คีรินทร์สบตาเรียวใต้เลนส์กลม

...หนูพุกนี่บ้างานเข้าเส้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก…

“งั้นเดี๋ยวกลับพร้อมกันก็ได้ รอไหวไหม”

“พุกรอได้ ขอบคุณนะครับ”

หนูพุกพยักหน้า เรียงกระดาษแต่ละปึกเข้าหากันแล้วจัดการใส่ลงเเฟ้มเอกสารเเบบบางเรียงไว้เป็นตั้ง เเวะเอางานอื่นออกมาทำคอยในขณะที่อีกฝ่ายหายลับเข้าไปในห้องทำงาน

คีรินทร์นั่งทำงานไปข้อความจากเพื่อนสนิทก็เด้งเข้ามาพร้อมกับไฟล์ในอีเมลล์ ไฟล์งานที่จัดเตรียมไปสำหรับพรีเซนต์ข้อมูลช่วงเช้าพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อยดีเเล้วแต่เขาก็ยังมีโปรเจ็กต์อื่น ๆ อยู่ในมือ ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะขับรถไปส่งหนูพุกที่คอนโดก่อนเเล้วคงจะกลับมาทำงานต่อ

เลขานุการที่ควรจะนั่งคอยอยู่หน้าห้องไม่ได้อยู่ในสภาพที่เขาคาดคิดไว้ ทีแรกภูว่าหนูพุกคงจะเก็บโต๊ะนั่งเล่นโทรศัพท์รอทว่าภาพที่ปรากฎในลานสายตาทำให้เขาสะดุด

หนูพุกฟุบหลับลงไปกับแฟ้มทั้งที่มือยังเเปะอยู่บนสมุดโน้ต หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดไว้กำลังอยู่ในโหมดพักหน้าจอซ้ำยังมีเสียงหายใจดังออกมาด้วย

“หนูพุก… หนูพุก… ลุกเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง” แม้มือใหญ่เปลี่ยนจากเเตะเบา ๆ เป็นเขย่าเเล้วเลขาหนุ่มก็ไม่มีท่าทีว่าจะรับรู้
 
ไม่รู้ว่าเหนื่อยมากหรือเป็นพวกหลับลึกมากโดยนิสัย คีรินทร์ไม่ได้อยากฉวยโอกาสกับลูกน้อยด้วยการจับขึ้นอุ้มไปไหนมาไหนโดยปราศจากความสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจับอีกคนขึ้นรถแล้วต่อด้วยอุ้มขึ้นคอนโดมันคงจะไม่ดีนักหากใครต่อใครเห็นจะครหาหนูพุกเอาได้

สุดท้ายเเล้วเจ้านายหนุ่มก็ได้เเต่ถอนใจ ผละมือออกเเล้วปิดเเอร์ตัวใหญ่ที่ให้ความเย็นทั้งชั้นเหลือเพียงแต่ห้องทำงานเขาเท่านั้น ร่างสูงกลับเข้าห้องไปเอาเตียงผ้าใบแบบพับได้สีเข้มที่เเอบไว้ในตู้เก็บของกับหมอนผ้าห่มที่มีติดไว้ยามมีงานติดพันจนต้องมาค้างที่ออฟฟิศ
   
   ในที่สุดร่างแบบบางก็ถูกทอดลงบนเตียงผ้าใบ คีรินทร์กางผ้าห่มแล้ววางลงบนตัวเลขาหนุ่ม เขาทรุดตัวลงใช้นิ้วคีบเเว่นตาทรงกลมออกจากใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่ หนูพุกทำจมูกฟุดฟิดแต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
   
   กว่าจะคิดได้ว่ามันเเปลก ๆ ก็ยืนจ้องคนหลับไปเกือบนาที ถ้าไม่นับเขากับเต้ยที่ช่วยกันทำบริษัทขึ้นมา ก็คงเป็นหนูพุกนี่เเหละที่เป็นพนักงานที่ทุ่มเทที่สุดตั้งแต่ที่เคยเห็นมา

ลูกน้องดีแบบนี้จะให้ทิ้งขว้างหรือปล่อยไปไกลมือก็นับว่าโง่เต็มทน


----------------------------------
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 30-06-2018 08:08:19
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์เเผดเสียงดังลั่นตอนหกโมงเช้าตามที่ตั้งไว้เป็นนิจ หนุพุกไม่ลืมตาหากกวาดมือสะเปะสะปะไปที่ข้างเตียงอย่างกิจวัตร ชายหนุ่มเอื้อมมือจนตัวเอียง ที่สุดเเล้วเตียงผ้าใบที่ไม่ได้มั่นคงอะไรมากมายก็พลิกคว่ำบังคับให้คนยังไม่ตื่นดีต้องลืมตาขึ้น

หนูพุกเด้งตัวขึ้นนั่ง ร้องอูยตอนที่ศอกกระเเทกเข้ากับพื้นบนพื้นเย็นเยียบ กว่าจะรู้ตัวก็สบเข้ากับสายตาเรียวคมของคนที่นอนเอนอยู่บนเก้าอี้ทำงานมองตรงมาที่เขาท่ามกลางเสียงกรีดร้องจากโทรศัพท์ที่ดังฝ่าความเงียบขึ้นอีกรอบ

มือเรียวควานเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ลนลานเลื่อนปิดเวลาปลุก ใบหน้าขาวนวลเปลี่ยนสีได้ทันใดเมื่อตระหนักได้ว่าคีรินทร์คงจะเห็นท่าทางขี้ริ้วขี้เหร่นั่นไปแล้ว… จบสิ้นกันคุณเลขามาดดีที่คิดไว้…

“เมื่อคืนหนูพุกหลับสนิทมาก พี่ก็เลยพามานอนก่อน จะกลับคอนโดเลยไหมเดี๋ยวพี่ไปส่ง” เสียงทุ้มไขความกระจ่างให้เมื่อหนูพุกยังคงนั่งอยู่ที่เดิมคล้ายทบทวนเหตุการณ์ ดวงตาเรียวเหลียวมองนาฬิกาดิจิตอลเรือนใหญ่แล้วก็รีบเรียกสติ

“เอ่อ ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวพุกกลับเองก็ได้ แค่นี้ก็เกรงใจมากแล้ว อีกอย่างคอนโดพี่ภูอยู่คนละทางไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวรถติดแล้วไปประชุมไม่ทันเอา” เขาพูดรัวเร็ว ลุกขึ้นจัดการพับผ้าห่มเเละเตียงผ้าใบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนเรียบร้อยด้วยความว่องไว

“พี่คงไม่กลับคอนโดเเล้วล่ะ พอดีมีเสื้อผ้าสำรอง” เขาว่า พยักเพยิดไปที่เสื้อเชิ้ตสีเข้มรีดเรียบกริบที่แขวนไว้หน้าตู้เก็บของ ไม่รู้ไปเอามาตอนไหน เมื่อวานเย็นหนูพุกยังไม่เห็นเลย
   
   “อ่า…” หนูพุกคำนวณเวลา กว่าจะออกจากออฟฟิศ กว่าจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเเล้วฝ่าการจราจรเกรดเอกับรถไฟฟ้าเสียไม่เว้นเเต่ละวันเเล้วก็สรุปได้ว่ามันไม่น่าจะเวิร์ค แต่ถ้าไม่กลับจะเอาเสื้อที่ไหนใส่ไปประชุมกัน

   “ถ้าไม่กลับจะยืมเสื้อพี่ก็ได้ แต่มันยับหน่อยนะ” คีรินทร์อ่านเเววตาลูกน้องออก รู้ดีว่าหนูพุกรักษาเวลาเท่าชีวิตจึงเสนอไอเดีย

“งั้นขอยืมเสื้อพี่ภูแล้วกันครับ พุกมีสูทเดี๋ยวใส่สูททับเอา” หนูน้อยสรุปความ เพิ่งจะนึกออกว่านี่เป็นเวลาหกโมงเช้าทว่าเจ้านายยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

...เขาแย่งเตียงพี่ภูมาชัด ๆ เลยนะนี่!...
   
   “พี่ภูได้นอนหรือยังครับ”

“นอนแล้วน่า เก้าอี้นี่มันก็ปรับได้อยู่” คีรินทร์หัวเราะ มองคนที่ทำหน้าคล้ายปลาสำลักน้ำแล้วนึกขัน

“งะ… งั้นกินข้าวไหมครับ เดี๋ยวหนูพุกไปซื้อมาให้” หนูพุกลุกขึ้นกระวีกระวาดถามหาพื้นที่สำหรับเก็บหมอนเเละเตียง

“เพิ่งจะตื่นเอง เรานั่นเเหละไปซื้อของใช้ก่อนดีไหม” เสียงทุ้มว่าพร้อมทั้งลูกขึ้นยืนบิดซ้ายบิดขวาไล่ความเมื่อยขบ

“ครับ ๆ” คนที่ยกเตียงขึ้นเก็บไว้ในตู้เผลอยกมือปิดปากโดยอัตโนมัติ ระลึกได้ว่านอกจากจะกำลังพูดคุยกับคนที่แอบชอบด้วยหน้ายับ ๆ แบบเพิ่งลุกจากที่นอนยังไม่พอแถมอมขี้ฟันอีกต่างหาก

หนูพุกไม่เคยคิดจะขอบคุณร้านสะดวกซื้อที่มีทั้งโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน ผ้าขนหนูสะอาดผืนเล็กรวมถึงชั้นในก็ยังมี ถ้าเมื่อคืนไม่ได้หลับเหมือนซ้อมตายก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าพี่ภูกับพี่เต้ยมักจะมานอนที่ออฟฟิศกันเป็นล่ำเป็นสันในช่วงเเรก ๆ จนมีของใช้ส่วนตัวติดไว้ที่ทำงานด้วย

“เหมือนแอบจิ๊กเสื้อพ่อมาใส่เลย”

คีรินทร์วิจารณ์คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเเล้วหัวเราะในลำคอ หนูพุกไม่ใช่คนเตี้ยม่อต้อ แต่ก็ไม่ได้จัดว่าสูงยาวเข่าดีเหมือนนายเเบบ ดูเเล้วก็อยู่ในเกณฑ์ชายไทยทั่วไป แต่เรื่องมวลกล้ามเนื้อนี่ยังนับว่าห่างไกลจากเขาไปโข

ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมถึงมองว่าร่างกายผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งแบบนั้นมันถึงดู...เซ็กซี่...
   
   คิ้วดกหนาเลิกขึ้น ทบทวนตัวเองเป็นการใหญ่ว่าเหตุใดถึงมองผู้ชายด้วยกันไปในทางนั้นได้ ขนาดไอ้เต้ยที่รู้กันอยู่ว่าไม่ได้มีเป้าหมายเป็นเพศตรงข้ามก็ยังไม่เคยทำให้เขาคิดไปถึงคำนี้
   
   คีรินทร์ได้แต่ยกแก้วน้ำเย็นในมือขึ้นจิบ สรุปไปว่าน่าจะเป็นเพราะเสน่ห์ส่วนบุคคล

“ใส่สูททับก็ไม่เห็นเเล้วครับ” ชายหนุ่มว่า คว้าสูทจากพนักเก้าอี้ตัวเองมาสวมทับทันใด ไม่ได้ยี่หระอะไรกับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนตัวใหญ่ที่พอใส่เเล้วก็ไหล่ตกเเขนยาวเกินเเขนเขาออกมาสักสองนิ้วได้

“ใส่ตอนนี้เลยหรือ เดี๋ยวก็ร้อนตาย”

“ตอนนี้เเหละครับ”

หนูพุกพยักหน้าตรวจข้าวของที่จะต้องติดไปประชุมด้วยอีกหน เขารู้ว่าพี่ภูไม่ได้คิดอะไร ก็แค่ใจกว้างไปตามประสา แต่ถ้าคนอื่นมาเห็นเลขาหนุ่มใส่เสื้อเจ้านายแบบนี้ต่อให้ไม่มีอะไรในกอไผ่จริง ๆ ก็คงไม่ช่วยให้คนอื่นหยุดจินตนาการได้หรอก

ของเเบบนั้นเก็บไว้ให้คิดกันวันที่เขาเป็นเเฟนกับคีรินทร์เเล้วน่าจะดีกว่า




วันนี้เป็นครั้งแรกที่หนูพุกจะได้เข้าเสนอแบบครั้งที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ทำงานมา พี่ภู พี่เต้ย คุณเเดน และเขายืนนิ่งเงียบอยู่หน้าห้องประชุมบนอาคารสูงหลายสิบชั้นในย่านสุขุมวิท อันที่จริงเขาก็เคยมาเเล้วสองสามหน เพียงแต่ว่ามานั่งบันทึกการประชุมเท่านั้นไม่ได้มาเเล้วเกิดความรู้สึกเอาใจช่วยหรือรู้สึกว่ามาเพื่อที่จะได้อะไรกลับไปเขนาดนี้

หัวใจเขาเต้นตึกตักจนได้ยินเสียงชัดทีเดียว

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตื่นเต้นอะไรนักหนาทั้งที่มาเพื่อจดฟีดเเบ็กเเละวาระการประชุมเท่านั้น เพียงแต่การที่หนูพุกเห็นทุกขึ้นตอนที่เข้าประชุมตั้งแต่รูปที่ดินเปล่า ไอเดียที่สถาปนิกช่วยกันโยนขึ้นมา สุดท้ายมันก็เชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นรูปร่างในจอคอมพิวเตอร์เเละโมเดลทำให้เขาอดลุ้นด้วยไม่ได้

“ตื่นเต้นหรือหนูพุก ตัวสั่นเชียว” เต้ยเเตะมือลงบนเเผ่นหลังบางลูบเบา ๆ และยิ้มให้อย่างอบอุ่นเสมือนว่ามีพระอาทิตย์ขึ้นอีกดวงอยู่ที่ตึกนี้เอง

 “ครับ”

หนูพุกยิ้มเเหยแต่อีกสามคนที่เหลือกลับส่งยิ้มเอ็นดูมาให้เสียเต็มประดา ก็ทุกคนล้วนเคยไปเหยียบเวทีประกวดออกเเบบขนาดใหญ่กันมาเเล้ว อย่างคุณเเดนก็เคยมีผลงานระดับประเทศ พี่เต้ยกับพี่ภูยิ่งเเล้วใหญ่เคยได้รางวัลออกแบบระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแล้ว กิ๊กก๊อกกันที่ไหนล่ะแต่ละคนน่ะ

“ไม่ต้องตื่นเต้นนะ อันนี้ช่วยได้” เต้ยหยิบเอาลูกอมในกระเป๋ากางเกงมายัดใส่มือเขา มันเป็นลูกอมนมก้อนกลม หน้าซองเป็นภาษาญี่ปุ่นดูน่ากินทีเดียว

“ขอบคุณครับพี่เต้ย”

เอ๊ะ… ลูกอม…
มือเรียวเเตะลงที่กระเป๋าเสื้อสูท ลูกอมเมนทอสในซีนพลาสติกสีฟ้าที่พี่ภูเคยให้ตอนเขาเข้ามาทำงานวันสองวันเเรกยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

หนูพุกยิ้มกว้าง นึกถึงเสียงทุ้มที่ขัดคอเพื่อนแล้วควักลูกอมให้ ไม่รู้ทำไมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พรรค์อย่างนั้นถึงได้ฝังแน่นในหัวเหลือเกิน

“แค่ลูกอมนมเม็ดเดียวดีใจขนาดนี้เลยหรือ” เต้ยหัวเราะสดใส มองหน้าเลขาหนุ่มที่เเกะลูกอมนมอมไปยิ้มไปแล้วก็สำทับอย่างขำขัน “หนูพุกอย่าไปยืนใกล้รถตู้นะ เดี๋ยวพวกอุ้มเด็กจับตัวไปล่ะแย่เลย”

“โธ่ พุกไม่เด็กแล้วนะครับ” หนูพุกส่ายหน้า หากซ่อนดวงตาพร่างพรายไม่มิดจึงเสไปมองอย่างอื่นเเทน

พี่ภูกำลังสาละวนกับการทดลองเสียบสายไฟเเล้วให้คุณเเดนช่วยเปิดคลิปวิดีโอสั้น ๆ เกี่ยวกับพื้นที่ที่ทำขึ้นให้แน่ใจว่าจะไม่มีอุปสรรคเรื่องเสียงด้านในคลิป

พี่เต้ยเเวะไปเเกะลูกอมนมอีกเม็ดป้อนให้เเฟนหนุ่ม คุณแดนงับมันเข้าปากไปแล้วก็หันมายิ้มให้อย่างออดอ้อน ดูยังไงหนูพุกก็ว่ามันปกติดีสำหรับคนเป็นเเฟนกัน ไอ้ท่าทางประเภทแตะบ่าโอบไหล่ที่เขาเห็นคงจะไม่มีอะไร

พอเก้าโมงเป๊ะผู้บริหารที่มีส่วนในโครงการนี้ก็ประจำที่โต๊ะประชุม คุณกวีนั่งอยู่เป็นลำดับต้น ๆ ผู้บริหารบางคนหนูพุกก็พอจะคุ้นหน้า แต่บางคนก็ไม่รู้จัก เลขาหนุ่มนั่งอยู่ท้ายห้อง ตั้งอกตั้งใจพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คที่พกมาด้วย 

การบรรยายหน้าห้องเป็นไปอย่างสงบเงียบ ไม่มีอะไรมีปัญหาหรือถูกทักท้วงตั้งแต่การวิเคราะห์พื้นที่ สเปรตชีทก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงเเต่หนูพุกเพิ่งจะเริ่มจับสังเกตได้ในตอนที่หัวข้อการบรรยายไปถึงเรื่องฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่คิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในพื้นที่

เเม้จะนั่งอยู่หลังห้อง แต่หนูพุกก็เห็นชัดว่าผู้บริหารบางคนมีอาการขมวดคิ้วแต่กระนั้นก็ยังนั่งนิ่งสงบ ยิ่งเวลาผ่านไปชายในชุดสูทที่เคยถือปากการาคาเเพงก็วางมันลงเเล้วกระซิบกระซาบกับคนข้างเคียงหากไม่เกิดการขัดคอใด ๆ ขึ้นเลย

ท่าทางเหล่านั้นเหมือนคลื่นใต้น้ำที่สถาปนิกทั้งสามผู้กำลังจดจ่ออธิบายและโชว์โมเดลต่าง ๆ อย่างจริงจังมองไม่เห็นเลย หม่อมหลวงกวีนั่งฟังอย่างจริงจัง ใบหน้าอมยิ้มนิดหน่อยอย่างที่เป็นอยู่เสมอ แต่หนูพุกมองยังไงก็ยังว่าเเปลก… ตาเขาไม่ได้ยิ้ม ซ้ำยังมีเเววเคลือบเเคลงในตอนที่หันมาสบตากับผู้บริหารอายุมากกว่า

ที่สุดเเล้วการพรีเซนต์ครั้งเเรกก็จบลง ผู้บริหารต่างก็เเสดงความเห็นกันไปตามมารยาท การประกวดเเบบครั้งนี้เป็นเหมือนการคัดตัวที่ไม่ได้นัดทุกทีมมาพร้อมกันเเล้วเรียงคิวเข้าบรรยาย หากเป็นการนัดเเบบส่วนตัวที่ทีมออกแบบจากเเต่ละบริษัทจะถูกนัดเวลาที่สะดวกโดยไม่ให้เจอกัน จากนั้นเหล่าผู้บริหารถึงจะเเจ้งวันเวลาที่ให้เข้าพรีเซนต์ภายหลังการประชุม แต่หากไอเดียของบริษัทนั้น ๆ ไม่เป็นที่ประทับใจนักก็ถือว่าเกมจบ

จะไม่มีการนัดหมายเพื่อให้กลับมาพูดคุยกันเรื่องเเบบอีก
   
   ยิ่งเห็นว่าฟีดเเบ็กตอบรับไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ดีมาก หากเป็นไปอย่างกลาง ๆ หนูพุกก็เริ่มกังวล ความหวาดหวั่นเพิ่มระดับขึ้นอย่างเงียบเชียบ ในตอนที่พวกเขาถูกเชิญให้นั่งคอยที่ห้องรับรองข้าง ๆ กันตอนที่ฝั่งผู้บริหารปิดห้องหารือกัน เขาก็ไม่ได้แตะต้องกาเเฟเเละขนมที่มีไว้รับรองขณะที่สถาปนิกอีกสามชีวิตต่างก็กำลังวิเคราะห์ท่าทีของผู้ฟัง
   
   ...ทว่ามันเป็นไปในคนละทิศทางกับที่หนูพุกเห็นอย่างสิ้นเชิง…
   
   ไม่มีใครสะดุดใจกับท่าทางเล็ก ๆ ของคนฟังจริง ๆ เลยหรือ ?

สิบห้านาทีให้หลังเลขาของผู้บริหารสักคนก็มาเชิญพวกเขากลับห้องประชุม กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ทำให้หนูพุกรู้สึกประหลาดใจ มันไม่ได้ไปในทางพึงพอใจอย่างเต็มเปี่ยมแต่ก็ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ไม่น่าประทับใจจนยอมรับไม่ได้

...แปลก...

สุดท้ายเเล้วพี่ภู พี่เต้ย คุณเเดนต่างก็กำลังรับฟังคอมเม้นท์รวมถึงความต้องการเพิ่มเติมเเละสิ่งที่ต้องการให้ตัดออกในเนื้องาน ไม่นานนักสิ่งที่ทุกคนคอยฟังก็ดังขึ้น ทำให้คนที่อดตาหลับขับตานอนเพื่อปั้นโครงการนี้ขึ้นมามีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า

“ยังไงอีกสองอาทิตย์ให้พวกคุณเข้ามาอัพเดตแบบอีกทีนะครับ ส่วนวันเวลาเดี๋ยวทางเราจะส่งอีเมลล์แจ้งไปอีกที” เสียงทุ้มกังวาลของหม่อมหลวงหนุ่มดังขึ้น ทุกคนร่ำลากันด้วยท่าทางเปี่ยมมารยาทอย่างที่ควรจะเป็น

ดวงตาสีดำของหนูพุกสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลไหม้ทรงเสน่ห์ของคุณกวี เขายิ้มให้หนุพุกน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากไปกว่านั้น

หนูพุกเเปลไม่ออกเลย… บรรยากาศแห่งความเคลือบแคลงใจนั่นยังติดอยู่ในห้วงความคิด…

ไม่ว่าจะอย่างไร… หนูพุกก็คิดว่าเขาควรนัดเจอกับคุณกวีนอกรอบเพื่อความไม่ประมาท!



-  #พิชิตภู  -


เขามีอะไรกันคะะะ หนูตัวจิ๊ดถึงคิดได้เป็นตุเป็นตะขนาดนี้
หรือจริงๆแล้วหนูพุกอาจจะแค่นอนไม่พอแล้วเห็นภาพหลอน... 55555555 :serius2:
ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นเเล้วก็เเท็กเลยนะคะ ตอนอ่านคอมเม้นทุกคนเเล้วจิตใจเบิกบานมากเลยค่ะ
ขอบคุณจริงๆนะคะไม่คิดว่าจะมีคนอ่านด้วย แงง  :sad4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 30-06-2018 08:41:33
สนุกๆๆๆมาต่อไวๆๆน่าหนูพุกน่ารักก :mew2: :mew1: o13 :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 30-06-2018 09:11:19
หนูพุกอย่ายอม
คุณแดนดินกะคุณเต้ยสวีทนำไปแล้วววว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-06-2018 09:58:19
ที่ครั้งก่อนหนูพุกเจอนี่เจอคุณแดนใช่ไหม ไม่ใช่ว่าคุณแดนกำลังหักหลังบริษัทของเต้ยแฟนตัวเองอยู่หรือไง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-06-2018 11:06:07
 :angry2:  แดนไม่น่าไว้วางใจแล้วล่ะ 
ไหนจะทำงานผิดพลาด  :เฮ้อ:
ไหนจะแตะบ่าโอบไหล่คนอื่นอีก :m16:
จะหักหลังทั้งบริษัท ทั้งคนรักเลยหรือ  o22

ภู  พุก    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-06-2018 11:09:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

จากมโนของหนูพุก

มันช่างให้ความรู้สึกว่าไอเดียที่นำเสนอไปนั้น  คงไปเหมือนกับบริษัทคู่แข่ง  ซึ่งอาจเกิดจากสถาปนิกแดนขายข้อมูลให้คู่แข่งแน่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-06-2018 18:57:22
หนูพุกเป็นเลขาที่ดีมาก  :katai2-1: ควรให้พี่ภูปรับตำแหน่ง อิอิ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 30-06-2018 20:29:02
สนุกจ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 5 --- [ 30.06.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 30-06-2018 20:45:37
แดนดิน น่าสงสัยอ่ะ ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแน่
ไม่อยากให้พี่เต้ยโดนหลอกเลย ชอบพี่เต้ย คนที่มีรอยยิ้มเจิดจ้า
แล้วก็ชอบคุณกวี งานนี้คุณกวีช่วยพูดให้เหล่าผู้บริหารให้โอกาสพวกพี่ภูแน่เลย
ชอบเรื่องที่ดำเนินไปแบบเน้นการทำงานมาก ๆ มีแต่มืออาชีพทั้งนั้นเลย
ชอบมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ เขียนดีมากเลย


 
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 09-07-2018 00:06:09
Chapter 6

เท่าที่เลขานุการตัวน้อย ๆ รู้ หม่อมหลวงกวี กรจักรเป็นผู้บริหารคิวทองคนหนึ่ง แต่หนูพุกก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะตารางแน่นเอี้ยดจนเเทบไม่มีที่ว่างอะไรเลย กว่าหนูพุกจะกราบกรานหาช่องเเทรกจากเลขานุการของอีกฝ่ายได้ก็เหงื่อตก กินเวลาไปเกือบสัปดาห์กว่าจะได้เวลาที่ลงตัว

โดยธรรมชาติของหนูขี้เกียจ วันเสาร์เป็นวันหยุดที่หนูพุกจะได้พักสารร่างที่เเหลกเหลวมาตลอดวันทำงานทั้งห้า เขาจะนอนพังพาบจนถึงสิบเอ็ดโมงกว่า แล้วค่อย ๆ ยุรยาตรไปอาบน้ำ กว่าจะสวาปามมื้อเเรกของวันเสร็จเข็มนาฬิกาก็ล่วงเข้าไปบ่ายสองบ่ายสามทุกทีไป

แต่วันนี้เขากลับแต่งตัวเรียบร้อยกว่าวันหยุดปกติซึ่งมักจะสวมแค่เสื้อยืดเนื้อนิ่มเเละกางเกงสกินนี่ เตรียมตัวมาคอยคุณกวีตั้งแต่สิบเอ็ดโมงตรงเผงในห้างสรรพสินค้าในย่านสาทร หนูพุกไม่อยากจะนัดไกลจากที่ทำงานของอีกฝ่ายมากนัก การอยู่ในสถานที่ที่ใกล้เคียงกับที่ทำงานหรือที่พักอาจจะทำให้คุณกวีหงุดหงิดเรื่องการเดินทางน้อยลงได้

“อ้าว มารอนานหรือยังเนี่ย” วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดลำลองที่ก็ยังดูมีสกุลรุนชาติเหมือนเดิม เสื้อโปโลที่ราคาไม่โลว์ขับให้ชายหนุ่มร่างสูงดูดีและดูผ่อนคลายกว่าปกติ เขาเดินตรงเข้ามาหาหนูพุก บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มวิบวับตามนิสัย

“ไม่นานหรอกครับ คุณกวีหิวหรือเปล่าครับ” หนูพุกพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวสบาย ๆ แต่ก็อดแอบเกร็งยามเดินเคียงไปกับเขาไม่ได้

โดยปกติคุณกวีหล่อมากอยู่แล้ว แต่วันนี้พอถอดสูทถอดเชิ้ตออกแล้วหนูพุกก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขามันหล่อลากดิน หล่อจนใครต่อใครเหลียวหลังนึกว่าดาราแบบนี้หนูพุกก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเขาคงจะชินชากับสายตาค้นหาและเสียงซุบซิบทำนองว่าเป็นดาราช่องไหนไปเสียเเล้ว

“นิดหน่อย หนูพุกจองที่ไหนไว้หรือเปล่า” เขาหันมาถาม

“จริง ๆ ก็มีอยู่ครับ ได้ยินว่าช่วงนี้คุณกวีชอบทานขนมด้วย” หนูพุกแย้มยิ้ม นึกขอบคุณเลขานุการวัยสามสิบปลาย ๆ ที่แอบกระซิบบอกว่าเจ้านายคิดจะมารับประทานอาหารที่นี่หลายหนแล้วแต่ก็ยังไม่ลงตัวสักที

หนูพุกไม่ได้ถามต่อว่าอะไรที่ไม่ลงตัว แต่ก็พอจะเดาได้ ท่าทางวิบวับเล่นหูเล่นตาที่ดูเป็นธรรมชาติเหล่านั้นมันมาคู่กับอีกฝ่ายแยกกันไม่ได้เหมือนช้อนกับส้อม เขามันพวกชอบบริหารเสน่ห์ แต่จะตั้งใจหรือไม่คนมองก็ไม่ค่อยเเน่ใจเหมือนกัน

จริง ๆ แล้วเท่าที่ดูประวัติมาเขาก็ไม่ใช่พวกมือปลาหมึกหรือพวกอ้อร้อไม่เลือกให้เสียการเสียงาน ตราบใดที่คุณกวียังอยู่ในร่องในรอยไม่รุ่มร่ามหนูพุกก็สบายใจได้…

 เลขานุการหนุ่มจองโต๊ะไว้ที่ร้านเบเกอรี่แอนด์เรสเตอรองค์ชื่อดัง ของจงใจขอให้พนักงานเลือกโต๊ะที่เป็นส่วนตัวสักหน่อย

“เก่งขนาดนี้มาเป็นเลขาผมเถอะ” คุณกวียิ้มกว้าง เขามองหนูพุกจัดการทุกอย่างอย่างคล่องเเคล่ว รู้กระทั่งว่าเขาโปรดหรือไม่โปรดอะไร ถือว่าละเอียดดีมากทีเดียว...

“โธ่… ถ้าผมไปสมัครจริง ๆ ขึ้นมาแล้วคุณกวีไม่รับ ผมเสียใจนะครับ” เลขาหนุ่มยิ้มหวาน เลี่ยงบาลีไปอย่างสุภาพ

“แล้วที่นัดมาวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะมาทำงานกับผมหรือ ตำแหน่งแสตนบายรอตลอดเลยนะ” เขาพูดทีเล่นทีจริง ใช้มีดตัดกุ้งย่างเเละอโวคาโดเข้าปากเป็นคำเล็ก ๆ

“จริง ๆ ก็มาเรื่องงานนั่นเเหละครับ” หนูพุกเขาเรื่อง แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมให้สภาพเเวดล้อมดูผ่อนคลาย

“หืม? มีเรื่องอะไร เท่าที่สังเกตคุณก็ดูเข้ากับทีมของคุณดีนี่” เขาสบตาคู่สนทนา กี่ครั้งกี่หนที่เขาเจอหนูพุกอยู่กับเจ้านายหรือใคร ๆ ก็เห็นว่าน่าจะไปได้ด้วยดี ดูมีความสุขกว่าตอนยังทำงานที่เก่าด้วยซ้ำไป

“ไม่ใช่เรื่องทีมหรอกครับ เพียงแต่ผมมีเรื่องติดใจนิดหน่อย ตอนนี้ก็มีแค่คุณกวีที่จะช่วยไขข้อข้องใจได้ครับ”

“เรื่อง ? ” คุณกวีพูดสั้นลง ยิ้มการค้าที่ฉาบเคลือบไว้เริ่มหลุดร่อนไปนิดหน่อย หนูพุกว่าเขาก็คงพอจะเดาได้

“วันที่เข้าไปพรีเซนต์งานน่ะครับ ผมว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ”

“แปลกยังไง ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรผิดพลาดตรงไหนนะ” กวีเงียบ ปล่อยให้บริกรเก็บจานออกแล้วเริ่มต้นคอร์สต่อไป

“บรรยากาศมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างน่ะครับ” หนูพุกพูดไปคิดไป ทบทวนสีหน้าท่าทางที่เห็นแล้วก็พบว่ามีอย่างหนึ่งที่ควรต้องปรากฎขึ้น หากไม่มีแม้เเต่เงาของมันในแววตาของใครสักคน

เหมือนเสียงสลักคลายล็อกดังกริ๊กขึ้นในหัว

...หนูพุกคิดว่าเขาพบตัวแปรสำคัญแล้ว...

“พวกคุณทุกคน ไม่มีใครตื่นเต้นเลยครับ” รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากคนฟัง แต่คนพูดเริ่มขมวดคิ้วแล้ว

“ก่อนหน้าพวกคุณจะมาผมฟังมาตั้งสี่ห้าเจ้าแล้ว ยังจะต้องมาตื่นเต้นอะไรกันอีก” กวียักไหล่ ยกช้อนซุปขึ้นแตะริมฝีปากอย่างสุภาพ

“มันไม่เหมือนกันครับ กับคุณกวีหรือผู้บริหารบางท่านผมก็เคยเข้าประชุมด้วยมาก่อนตั้งหลายครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนทุกครั้งเวลาพวกเขาไม่สนใจ หรือว่าไม่ชอบใจ” เลขาหนุ่มค่อย ๆ อธิบาย แววตาสนเท่ห์ยามที่สไลด์เปิดไปให้เห็นแนวคิดและผลลัพธ์ที่เขาเห็นคล้ายกับยิ่งย้ำชัดถึงสิ่งที่คิดเอาไว้

“มันเหมือนกับว่า... พวกคุณเคยดูพรีเซนต์นี้มาแล้ว” เสียงของคนพูดเเผ่วลง แต่รอยยิ้มที่มุมปากของคนฟังกลับกว้างขึ้นอย่างน่าประหลาด

“คุณนี่เซนส์ดี...” กวีดีดนิ้วชมเปาะ แต่หนูพุกไม่ยินดีกับมันเลยสักนิด มีแต่จะภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เสียมากกว่า

“จริง ๆ จะให้ผมพูดมากก็คงไม่ได้ เพราะยังไงมันก็คือความลับของบริษัท อีกอย่างโครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนของหลายฝ่าย ผมไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น คุณคงเข้าใจนะ?” เขาถาม อาหารอีกคอร์สมาเสิร์ฟแล้วแต่ดูท่าคู่สนทนาของเขาคงจะอิ่มตื้อกับคำตอบโดยนัยเหล่านั้น

“พอเข้าใจครับ ยังไงก็ขอบคุณคุณกวีมากที่ช่วยคอนเฟิร์ม” มีดสีเงินตัดลงบนแซลมอนฟิลเลต์ที่ถูกกริลล์มาจนหนังกรอบหากเนื้อยังคงฉ่ำดี เสียดายที่คนกินเเทบจะหมดความอยากอาหารไปแล้ว

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ผู้บริหารหนุ่มว่ายิ้ม ๆ

“นั่นเเหละครับ เหมือนกำลังสู้อยู่กับอะไรก็ไม่รู้เลย” หนูพุกหัวเราะแห้ง ๆ รู้สึกมืดเเปดด้านไปหมด ขนาดคู่แข่งก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบริษัทไหน แล้วจะให้มาหาหนอนในทีมงานมันก็ยิ่งยากเนื่องจากเขาไม่รู้เลยว่าใครติดต่อใครบ้าง

โครงการนี้พนักงานทุกคนรับรู้โดยทั่วกันว่ามันจะช่วยอัพเกรดยศฐาบรรดาศักดิ์บริษัทเล็ก ๆ ให้ได้งานที่น่าสนใจกว่าจัดสวนในบ้านคนรวย หรืองานหลักประเภทออกแบบภูมิทัศน์ให้เหล่าคอนโดใจกลางเมือง หากจะคัดเอาคนที่รู้ละเอียดทุกซอกซอยก็ลดลงมาเหลือหกคนเท่านั้น

เขา พี่ภู พี่เต้ย และสถาปนิกในทีมของพี่เต้ยอีกสามคน

ดูจากตัวเลือกก็ตัดไปได้ครึ่งหนึ่ง เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้ทำแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นจะมานั่งสืบสาวราวเรื่องอยู่เพื่ออะไรกัน พี่ภูกับพี่เต้ยก็คงจะไม่ให้ข้อมูลนี้หลุดไปง่าย ๆ เพราะคนที่จะเสียที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของกิจการ

ยังเหลืออีกสามคน…

หนึ่ง แดนดิน สถาปนิกหนุ่มผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับพี่เต้ยมากที่สุด

สอง สถาปนิกจบใหม่ที่มีวีรกรรมเรื่องบ้านคุณเอมหนก่อน

สาม สถาปนิกสายล่าเหรียญวิ่งมาราธอนที่อายุมากที่สุดในบริษัท

ทุกคนนี้ล้วนยากเเก่การติดตามเพราะตำเเหน่งงานที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนคนที่นั่งโต๊ะข้างเคียงจะได้แอบสังเกตพฤติกรรมกันได้ง่าย ๆ การจะไปเดินรุ่มร่ามเรื่อยเปื่อยเองก็ไม่ใช่อุปนิสัยของเขา ทั้งนี้หนูพุกเองก็เป็นพนักงานใหม่ จะขยับตัวทำอะไรก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก

โอ๊ย… คิดแล้วก็ปวดหัว!

“คิ้วพันกันแล้วคุณหนูพุก กินก่อนไหม” คุณกวีเย้า จานของเขาพร่องไปมาก เหลือเเต่ของหนูพุกที่เพิ่งจะเเตะไปได้คำสองคำเเล้วก็หยุดคิดจนหัวเเทบเเตก

“ขอโทษทีครับ มันยากไปหน่อย” หนูพุกหัวเราะเเหะ ๆ รีบจัดการอาหารในจานให้ทันคู่สนทนา นับนิ้วเเล้วก็ยังเหลืออาหารอีกสองคอร์สแต่เขาเริ่มจะอิ่มเพราะความกังวลดันชิงลงไปยึดครองพื้นที่กระเพาะก่อนเสียแล้ว

“ค่อย ๆ คิดไปก็ได้ เอาเป็นว่าคราวนี้ผมจะจัดรูปเเบบพรีเซนต์งานใหม่ก็แล้วกัน”

เลขาหนุ่มไม่รู้จะทำอะไรได้นอกจากขอบคุณหม่อมหลวงกวี กรจักร อย่างน้อยเขาก็ช่วยได้มากถึงจะไม่ได้ถือว่าแบไพ่แล้วมาช่วยกันจริงจังอะไร แต่นี่ก็นับว่ามากแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกัน

“เลิกคิ้วขมวดได้แล้ว ผมเเนะนำว่าคุณจะน่ารักกว่าถ้าไม่มีโบบนหน้าผาก”

พอเขาบอกให้เลิกคิดหนูพุกก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่ของนายทุนที่จะต้องมานั่งระดมสมองช่วย เลขาหนุ่มจึงปัดเรื่องราวพวกนี้ออกไปก่อน เรียกคืนบรรยากาศโต๊ะอาหารที่ควรจะผ่อนคลายด้วยมุกตลกนิดหน่อย โชคดีที่คุณกวีเป็นพวกอารมณ์ดี หนูพุกจึงรอดชีวิตมาไม่ยากเย็นมากมายนัก

เมื่อมื้ออาหารจบลง หนูพุกไม่ได้ไปส่งเขาเหมือนเวลางาน หากแต่เเยกกันกลับเนื่องจากคุณกวีมีนัดอื่นต่อไป ส่วนเขาเองก็กะว่าคงจะไปหาหนังสือสักเล่มสองเล่มไว้อ่านเล่นเหมือนกัน

หนูพุกเเวะเข้าไปในร้านหนังสือนำเข้าขนาดใหญ่ เเวะตามหมวดที่สนใจแล้วหยิบหนังสือออกใหม่ติดมือมาเล่มหนึ่ง อยู่ดี ๆ ขาสองข้างก็พาเขาเข้าไปหยุดบริเวณหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบ มีทั้งงานเกี่ยวกับอาคาร การตกแต่งภายใน และในที่สุดดวงตาเรียวก็หยุดตรงหนังสือเกี่ยวกับการดีไซน์พื้นที่ใช้สอยนอกอาคาร

เพราะไม่แน่ใจกับเนื้อหานัก หนูพุกจึงตัดสินใจเลือกหนังสือจากหน้าปกมาเปิดดูทีละเล่ม ด้านในเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด บางคำก็เป็นศัพท์เฉพาะที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็มีภาพกำกับอยู่เป็นระยะทำให้คนไม่ค่อยสันทัดด้านการออกเเบบพอจะเข้าใจได้บ้าง

“หนูพุก!” ทั้งเสียงเรียกเเละเเรงสะกิดจากด้านหลังทำเอาเลขาหนุ่มสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะทำหนังสือหลุดมือ

“อ้าว มาได้ยังไงเนี่ย” พอเห็นว่าคนที่เข้ามาทักเป็นหญิงสาวซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมปลายหนูพุกก็ยิ้มออก เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานพอดู จะมีก็แต่เพียงการกดไลค์รูปตามอินสตาแกรมบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น

“แวะมาคุยงานอ่ะ นี่เพิ่งเลิก แล้วแกล่ะ มาคนเดียวหรือ” คู่สนทนาของหนูพุกเป็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวเคลียไหล่ หน้าตาหมดจดสวมเดรสสีพีชยาวเหนือเข่านิดหน่อยเเละรองเท้าผ้าใบสีขาว

“มาเดินเล่นน่ะ” หนูพุกยิ้มเเย้ม ยังกอดหนังสือเอาไว้หากอีกฝ่ายตาไวเหลือเกิน

“หาหนังสือแลนด์สเคปหรอ เราแนะนำอันนี้นะ” แม้จะมีเป้สะพายหลังแต่คนพูดก็ยังดูคล่องแคล่วแนะนำอย่างเดียวไม่พอยังหยิบมาเปิดให้ดูด้วย ปล่อยให้หนูพุกได้เเต่ยิ้มชื่นชมว่าเธอเป็นคนอัธยาศัยดีตั้งแต่เด็กจนโตจริง ๆ

“เออเนอะ แกเป็นสถาปนิกนี่นา” หนูพุกปรารภ จำได้ราง ๆ ว่าเพื่อนคนนี้สอบติดคณะสถาปัตยกรรม

“อือฮึ ทำเเลนด์สเคปเนี่ยเเหละ แล้วพุกทำงานด้านนี้เหมือนกันใช่ไหม” เธอถาม แม้จะจำได้ว่าจริง ๆ แล้วเพื่อนสอบติดคณะบัญชีที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านการออกแบบได้

“อ๋อ เราเป็นเลขาให้สถาปนิกเนี่ยเเหละ เลยว่าจะอ่านเอาความรู้น่ะ” หนูพุกว่า ตัดสินใจจะซื้อหนังสือตามที่ผู้รู้เเนะนำ

“แล้วนี่พุกมีนัดที่ไหนไหม ถ้าว่างไปกินกาแฟกัน” คนถูกชวนเห็นดีด้วยว่าไม่ได้พบกันนานแล้วจึงไปต่อคิวจ่ายเงิน พลางฟังเรื่องเพื่อนในห้องที่เริ่มทยอยสละโสดกันไปทีละคนสองคน

“แล้วเมื่อไหร่แกจะแต่งบ้างเนี่ย” หนูพุกกระเซ้าใส่คนที่เบ้ปากแรง ๆ ให้ได้หัวเราะ

“สถาปนิกที่ออฟฟิศแต่งงานมีลูกไปกันหมดแล้ว นอกจากพวกนี้ก็ไม่เจอใครที่ไหน นี่ยังว่าสงสัยจะต้องกอดคอมไปจนเกษียณ” เธอหัวเราะ “แล้วแกล่ะ ยังโอเคกับคนเดิมอยู่ไหม”

“เลิกกันตอนทำงานนั่นล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ รอยเเผลในวันวานไม่ได้ทำให้เขาเจ็บจะเป็นจะตายอีกต่อไปแล้ว มาถึงตอนนี้มีแต่จะหัวเราะตัวเองที่นั่งร้องไห้ให้คนที่หนีไปรักคนอื่นได้ตั้งนานสองนาน

“เฮ้ย.. ขอโทษ แบบว่า เราไม่ได้ตั้งใจ...” อีกฝ่ายแทบจะยกมือไหว้เขาเเล้ว แต่หนูพุกกลับโบกมือแล้วยิ้มร่า แสดงออกว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้นเอง

“นานเเล้วน่า ตอนนี้เราก็โสดนะ จีบได้” หนูพุกยักคิ้วใส่ แกล้งพูดไปอย่างนั้นเองเนื่องจากต่างคนก็ต่างรู้กันว่าหนูพุกไม่ได้ชอบผู้หญิง 

“เดี๋ยวเราก็จีบเเกขึ้นมาจริง ๆ หรอก” เธอหัวเราะ รับกาเเฟจากพนักงานมาดูด

“ไม่ใช่แล้ว...” หนูพุกส่ายหัว เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องงานรียูเนียนที่จะจัดขึ้นสิ้นปีนี้เเละเรื่องอื่น ๆ จนสมควรเเก่เวลาที่จะต้องบอกลา

จริง ๆ แล้วหนูพุกคิดว่าวันนี้คงไม่ใช่เเค่วันเสาร์ธรรมดา แต่คงเป็นวัน ‘บังเอิญ’ แน่ ๆ เพราะว่าเมื่อเพื่อนสาวเเยกจากไป หนูพุกก็หันไปสบตากับคนอีกคู่ที่อยู่ในร้านกาเเฟเดียวกัน

...คุณแดนดินกับพี่เต้ย…

สบตาแล้วจะเลี่ยงไม่ทักเพราะตะขิดตะขวงใจเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณกวีก็ดูเสียมารยาท ดูท่าว่าคงจะมากันสักพักเเล้วเนื่องจากกาเเฟเย็นในเเก้วของแดนดินหมดเกลี้ยงเหลือเเต่น้ำเเข็งเปล่า

“พี่เต้ย คุณเเดน สวัสดีครับ”

“นั่งก่อนมั้ยครับหนูพุก แวะมาซื้อหนังสือหรือ” เเดนดินยิ้มจาง มองถุงโลโก้ร้านหนังสือนำเข้า พร้อมจะขยับที่ข้าง ๆ ให้

“ก็ประมาณนั้นครับ แวะมาเดินเล่นด้วย” เลขาหนุ่มยิ้ม ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่านัดกับใครเอาไว้

“เอาเค้กไหมเดี๋ยวไปสั่งเพิ่มด้วยกัน” พี่เต้ยคว้ากระเป๋าเงิน พร้อมจะเลี้ยงขนมคนตัวผอมบางนี้ตลอด ขนาดเขาบอกจนเมื่อยเเล้วว่ากินขนมในตู้เย็นได้หนูพุกยังไม่เคยหยิบไปสักอย่าง

“ไม่เป็นไรครับพี่เต้ย เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วครับ”

เลขาหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เจอทั้งคู่ตอนนี้ เพราะหากเจอกันตอนเดินกับคุณกวีหนูพุกคงต้องอธิบายล้านเเปดเเหง ๆ ว่าไปชิดเชื้อกับผู้บริหารเส้นก๋วยจั๊บขนาดนัดมากินข้าวกันวันหยุดได้อย่างไร

“งั้นกลับดี ๆ นะครับ ระวังฝนด้วย ข้างนอกตกหนักน่าดูไม่รู้ว่าป่านนี้หยุดหรือยัง” รอยยิ้มของเเดนดินไม่ได้ดูมีเลศนัยอะไรเท่าที่หนูพุกลอบสังเกต ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็ยังดูปกติดี ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ต่างอะไรกับเงาตามตัวเเบบนี้หนูพุกคงสบายใจได้

เขาเลื่อนเเดนดินไปอยู่ที่ผู้ต้องสงสัยลำดับสุดท้าย… มันเเทบไม่มีเหตุผลในการจะต้องโกงบริษัทคนที่เรารักเลยสักนิด รวมทั้งเหตุผลอีกสองข้อที่หนูพุกคิดได้ก็ยิ่งช่วยสนับสนุน

คนโกงบริษัท… อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงิน

คนขายความลับบริษัท… อาจไม่พึงพอใจในความก้าวหน้าของอาชีพการงาน

จากการประเมินเบื้องต้น เเดนดินก็น่าจะไม่มีความสุ่มเสี่ยงทั้งสองประเด็น เรื่องเงินเดือนหนูพุกไม่เเน่ใจ แต่ดูผ่าน ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นาฬิกาข้อมือยังเป็นนาฬิกาสวิสเรือนหรูคู่กับพี่เต้ย ยังขับรถคันละหลายเเสน เรื่องความก้าวหน้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงอะไร เพราะตอนนี้เขาก็เเทบจะคุมทีมเเทนพี่เต้ยเเล้วด้วยซ้ำ อีกไม่นานแดนดินก็คงจะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าทีมอีกทีม

คืนนั้นหนูพุกเข้านอนด้วยจิตใจว้าวุ่น เฝ้าเพียรคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรในการสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่เอาความลับของบริษัทไปเปิดเผยให้คู่เเข่งได้รู้

...อีกเเค่ห้าวันเท่านั้นที่ทางบริษัทจะต้องไปพรีเซนต์งานอีกหน…

...หนูพุกจะทำยังไงดี… จะบอกใครก็ไม่ได้ในเมื่อไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร หลักฐานอะไรก็ไม่มี...

...เขาไม่ต้องการให้งานที่ทุกคนช่วยกันทำมาเเทบเป็นเเทบตายต้องถูกฉกฉวยไป…


ตลอดสัปดาห์นี้ทีมงานพัฒนาแบบจากเดิมได้ไวกว่าที่วางเเผนเอาไว้ อะไรที่เคยถูกขอทักท้วงให้เเก้ก็ถูกแก้จนเรียบร้อยดี อีกทั้งยังเพิ่มเติมไอเดียที่ดูเเนวทางแล้วว่าฝั่งนายทุนคงจะประทับใจแน่ ๆ

เลขานุการหนุ่มได้เเต่อึดอัดใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะใบ้ให้คีรินทร์ลองสังเกตด้วยการถามถึงบริษัทอื่น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่คิดเอะใจอะไร คงเป็นเพราะยังติดโปรเจคอื่นอีกสามสี่โครงการในเวลาเดียวกันด้วย

เเม้หนูพุกจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมได้ทั้งหมด เเต่เขาก็ไม่มีความรู้มากพอที่จะยับยั้งให้งานนี้เดินช้าลงและให้ทุกคนหันกลับมาสู่จุดบอดที่กำลังดูดกลืนโอกาสที่บริษัทนี้จะก้าวหน้าไปอย่างเงียบ ๆ เขาเพียงทำได้เเต่นั่งสังเกตท่าทางของผู้ต้องสงสัยทั้งสามอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่ปรากฎว่ามีใครมีพิรุธเลย

เเดนดินยังคงเป็นจ้าวไอเดียอย่างเคย สถาปนิกรุ่นใหญ่ก็ช่วยตบให้มันเข้าที่เข้าทาง ความเก๋าเกมของรุ่นใหญ่คนนี้คือความสามารถด้านโครงสร้าง วิสัยทัศน์เรื่องการทำงานดีไซน์ที่จับต้องได้จริงของเขาเฉียบเเหลมจนใครต่อใครก็ยอมรับ จะมีคนหนึ่งที่ได้ออกความเห็นน้อยหน่อยเพราะยังเป็นน้องเล็กผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณเขตร้อน หนูพุกประเมินเเล้วว่าฝีมือกลาง ๆ เป็นไปตามประสบการณ์ก็คือสถาปนิกหนุ่มที่เคยหวยออกเรื่องผู้รับเหมาบ้านคุณเอม

ปัจจัยเรื่องเงินของหนอนตัวนั้นหนูพุกไม่เเน่ใจ แต่คิดว่าหากพิจารณาจากเรื่องงาน สถาปนิกหนุ่มคนนั้นคงจะถูกจัดขึ้นสู่อันดับหนึ่งได้ไม่ยาก

เพราะหาทางระงับการปล่อยเเบบออกไปไม่ได้ หนูพุกก็ได้แต่ปลง เขาเข้าฟังการประชุมทุกครั้งแต่ก็รู้ว่าไอ้สิ่งที่พี่ภูเเทบจะกินนอนอยู่กับมันจะต้องถูกขโมยเอาไปแน่แล้วเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยว ยิ่งฝั่งนายทุนคอนเฟิร์มเวลานำเสนอเเล้วหนูพุกก็รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขารู้อยู่เเล้วว่าปลายทางมันจะเป็นอย่างไร

“หนูพุก อาทิตย์นี้ดูเครียด ๆ นะ พี่ให้งานหนักเกินไปหรือเปล่า” คีรินทร์เอ่ยปากพลางถอยรถเข้าที่จอดชั้นใต้ดิน วันนี้เขามากับพี่ภู ส่วนพี่เต้ยกับคุณเเดนมาก่อนเเล้วเนื่องจากคอนโดของทั้งคู่อยู่ใกล้กับอาคารอันเป็นที่หมายของการนำเสนองานครั้งนี้

“ไม่หรอกครับ” หนูพุกยิ้มสู้ เขาไม่รู้ว่าในรอบนี้บริษัทเราจะได้ไปต่อหรือเปล่า แล้วบริษัทคู่เเข่งที่ได้ข้อมูลไปนั้นได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ได้ไป

...รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิดเลย…

“พี่ถือเอง เราหน้าซีดมากนะ จิบน้ำหน่อยดีกว่า” ทั้งกระเป๋าเเล็ปทอปเเละโมเดลที่ติดมาด้วยถูกพี่ภูฉวยไปทั้งหมด เขาไม่ยอมออกเดินเเต่เฝ้าให้หนูพุกดื่มน้ำก่อนเเล้วถึงยอมไปต่อ

เครียดงานก็เครียด หวั่นไหวกับเจ้านายก็หวั่นไหว… มันใช่เวลาหรือยังไงกัน

หนูพุกลอบถอนใจ เดินตามร่างสูงใหญ่เข้าลิฟต์โดยสารเเน่นขนัดไปด้วยพนักงานออฟฟิศขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย คราวนี้สถานที่ประชุมเป็นอาคารเดิม หากเปลี่ยนเเปลงชั้นเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่กว่าเดิมเเละมีการจัดที่นั่งเพิ่มเติม ด้านหน้าห้องกระจกมีพนักงานต้อนรับและให้ลงทะเบียนด้วย

ความช่วยเหลือของคุณกวีทำให้โอกาสการมองหาคู่เเข่งเรืองรองขึ้นอีกเมื่อการพรีเซนต์ถูกจัดเป็นเเบบพบกันหมด ในขณะที่มีการนำเสนองาน บริษัทอื่นก็จะนั่งดูอยู่ด้วย โดยก่อนเข้าห้องทุกบริษัทต้องลงชื่อในกระดาษหนึ่งเเผ่น จัดลำดับการพรีเซนต์ตามลำดับการลงทะเบียน  หนูพุกเเละคีรินทร์มาเป็นลำดับที่หกจากทั้งหมดแปดบริษัท

หนูพุกขยับเข้าไปนั่งที่โต๊ะหลังห้อง เตรียมเปิดโน้ตบุ้คและอุปกรณ์อัดเสียงป้องกันการตกหล่นระหว่างบันทึกการประชุม พี่เต้ยยังยิ้มสว่างสดใสเหมือนเคย แดนเดินเปิดสไลด์ของตัวเองดูเงียบ ๆ ในขณะที่คีรินทร์ยังติดสายโทรศัพท์อยู่ด้านนอกห้อง

บรรยากาศการเเข่งขันนี้ไม่ได้กดดันอย่างที่คาดคิดเนื่องจากเหล่าผู้บริหารยังไม่มาถึงห้องประชุม สถาปนิกจากบริษัทต่าง ๆ จึงอยู่ในช่วงทบทวนงานหรือบางคนก็มีการเดินมาทักทายกันข้ามบริษัท ซึ่งพี่เต้ยก็เป็นคนหนึ่งที่เดินไปทักทายเพื่อนร่วมสถาบันที่จบมาตอนปริญญาตรี

หนูพุกสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ แต่เเล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าประตูกระจกถูกดันเข้ามาโดยสถาปนิกสาวที่ดูเร่งรีบ เธอกวาดตามองรอบ ๆ ห้องเเละทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งทีมตัวเอง

...หนูพุกเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนสมัยเรียนที่เพิ่งจะเจอกันก็เข้าร่วมการประกวดแบบนี้เช่นเดียวกัน…

...โลกมันกลมอะไรขนาดนี้…

แต่เขาก็ไม่ได้ลุกไปทักทายอะไรเนื่องจากสถาปนิกฝั่งนั้นดูจะยุ่งกันน่าดู กระทั่งเก้าโมงครึ่งวินาทีเเห่งการเเข่งขันก็เริ่มต้น การพรีเซนต์เป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยพรีเซนต์ต่อกันไปเรื่อย ๆ พี่ภู พี่เต้ย และคุณเเดน จ้องมองสไลด์หน้าห้องอย่างเงียบสงบ โดยพี่ภูก็ตวัดปลายปากกาลงในสมุดทำงานของตัวเองด้วย

หนูพุกเองก็มีหน้าที่บันทึกทุกรายละเอียดของทีมอื่น ๆ หากเมื่อทีมลำดับที่สี่ขึ้นรายงาน ทุกคนก็อยู่ในภาวะชะงักงัน บนหน้าจอปรากฏภาพกราฟฟิกแบบเดียวกันกับที่คุณเเดนทำขึ้นหากเเต่เปลี่ยนสีไปเท่านั้น สถาปนิกหน้าห้องอธิบายเกี่ยวกับคอนเซปต์ ทั้งรูปด้าน และรูปตัดพื้นที่ก็คล้ายคลึงกับของที่พี่เต้ยทำเพียงเเต่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมด้านการก่อสร้างบนอาคารเพิ่มขึ้น

พี่ภูเขานั่งอยู่ข้างกันกับเจ้านายตัวเอง สัมผัสได้ว่าคีรินทร์หายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่ง สายตาคมสบเข้ากับเพื่อนรัก เเจ้งแก่ใจเเล้วว่าความลับของบริษัทรั่วไหลออกไป หนูพุกปรายตามองเเดนดินในขณะที่มือก็ยังพิมพ์รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่กำลังพรีเซนต์อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เม้มปาก ดวงตาสีดำเข้มขึ้นอีกเมื่อฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนคนขึ้นมาพูด

คราวนี้เป็นหนูพุกที่เกือบหยุดหายใจ… เพื่อนของเขากำลังโต้ตอบกับผู้บริหารเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณ ตัวเลขเบื้องหน้าอยู่ในจำนวนใกล้เคียงกับงานของพวกเขาที่เตรียมมา หลักใหญ่ใจความทั้งหมดนี้หนูพุกเคยได้ยินเเล้วจากปากของพี่ภู

...เพื่อนของหนูพุกกำลังพูดราวกับว่าทุกอย่างที่พี่ภูคิดเเละทำนั้นถูกกลั่นกรองออกมาจากทีมของตัวเองทั้งสิ้น...

เหมือนสัญญาณเตือนภัยตอนไฟไหม้ดังไปทั่วพื้นที่สมองของทุกคน ตอนนี้ทางบริษัทเขากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ เหลือเวลาอีกไม่เกินสิบห้านาทีสำหรับแก้ปัญหาก่อนที่พวกเขาจะพรีเซนต์เท่านั้นเอง สถาปนิกทั้งสามคนขยับตัวเข้าหากันอย่างเร่งด่วนแต่ไม่กระโตกกระตาก เลขาหนุ่มกลืนน้ำลาย กล้ามเนื้อทุกส่วนหดเขม็งเกร็งไปด้วยความเคร่งเครียดที่ประดังประเดเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของพี่ภู

“เราต้องเปลี่ยนเเผน...”



-------------------------   #พิชิตภู  --------------------------


ฮือมาช้าไปเกือบสองวัน ขอโทษด้วยค่า ;-;  :hao5: :katai4:

บทนี้บรรยายเยอะไปหน่อย แต่ว่ามันจำเป็นค่ะ บทหน้าจะพยายามปรับให้บรรยายลดลงนะคะ

จะพยายามระมัดระวังเรื่องคำผิดให้มากกว่านี้นะคะ ถ้ามีคำผิดบอกเก๊าได้เลยน้า จะรีบมาแก้ค่ะ

ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ  :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-07-2018 01:06:41
มาคุมากกก   ปวดหัวแทนหนูพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 09-07-2018 01:25:59
ใครเป็นหนอน!!!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-07-2018 01:31:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต่อมอยากรู้ทำงานเลย   ใครหนอคือหนอนตัวนั้น?
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 09-07-2018 01:39:22
หวังว่าหนูพุกคงไม่ใช่แพะนะ!!!!!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 09-07-2018 02:43:36
ใครเป็นหนอน!!!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-07-2018 05:18:19
ข้อมูลรั่วได้ยังงัย สงสัยมาก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-07-2018 06:13:45
ยังสงสัยแดนดินอนู่นะ   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-07-2018 10:00:49
แดนดินใช่ไหมที่เป็นหนอน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-07-2018 10:04:19
 :L2: :pig4:

เครียดแทนน้อง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 09-07-2018 11:05:46
แดนดินเป็นหนอนแน่ๆ ถ้าเป็นจริงๆสงสารคุณเต้ยมากๆ ฮืออออิออิ  :katai4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 09-07-2018 15:34:48
มันน่าจะซับซ้อนมากกว่าที่แดนดินจะเป็นหนอน
สนุกดีค่ะ เป็นอีกเรื่องที่อ่านละเอียด (นิยายวัยทำงานจะต้องอ่านละเอียดเพราะมีรายละเอียดที่ต้องอ้างอิงกับความเป็นจริงเยอะ)
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 6 --- [ 08.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 09-07-2018 22:05:18
สนุกมากกกก ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 13-07-2018 23:02:32
Chapter 7

เมื่อได้ยินดังนั้นหนูพุกจึงสละโน้ตบุ๊กของตัวเองให้เจ้านายเเละเปลี่ยนมาบันทึกการประชุมลงในสมุดบันทึกเเบบมีเส้นของตัวเองเเทน  ถึงเเม้ว่าจะไม่มีโปรเเกรมสารพัดนึกอย่างที่พวกสถาปนิกมีกันแต่เลขาหนุ่มก็คิดว่าเจ้าเครื่องสีเหลี่ยมนี่คงพอจะช่วยอะไรได้บ้าง

อย่างน้อย ๆ เขาก็แฮปปี้ที่บนชั้นสี่สิบกว่า ๆ ยังมีสัญญาณอินเทอร์เน็ทเเรงพอจะดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ ๆ ได้รวดเร็ว

“ไหนดูซิ พอจะเเก้อะไรได้บ้าง” คีรินทร์เปรยพลางกดเปิดไฟล์เก่า ๆ ดู หนูพุกนับถือเขาเหลือเกินที่ยังใจเย็นได้จนถึงบัดนี้ ส่วนแดนดินก็รีบเเก้ไขภาพกราฟฟิคในส่วนที่พอจะเเก้ได้ไม่ให้ดูเหมือนกันเป๊ะกับคู่เเข่ง

“มีงานของปูน อันนี้พอจะเเก้ได้นะ” เต้ยเอ่ยถึงงานที่มีคอนเซปต์รองลงมา เขาจำได้ว่าสถาปนิกหนุ่มจบใหม่เคยส่งงานเอาไว้ให้ในอีเมลล์บริษัทแม้ว่ามันจะถูกปัดตกไป

คงต้องขอบคุณความไม่ยอมเเพ้หรือที่เรียกกันอีกนัยหนึ่งว่าความหัวรั้นของอีกฝ่ายที่มักจะส่งงานชิ้นที่ถูกปัดตกไปมาให้เต้ยพิจารณาดูบ่อย ๆ

“อืม อันนี้พอได้ แต่ว่าคงต้องเอามายำใหม่” นิ้วใหญ่เลื่อนไปมาบนทัชเเพดดูงานคร่าวๆเเล้วปรึกษากับเพื่อนสนิทว่าพอจะทำให้มันเฉียบคมเเละเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ได้อย่างไรบ้าง

“หนูพุก โทรบอกปูนทีว่าให้ช่วยแก้แบบ เอางานของปูนมาซ้อนกับงานเราให้หน่อย ขอด่วน” คีรินทร์แจกแจงรายละเอียดอื่นต่อไป เขาบอกหนูพุกว่าต้องการให้สถาปนิกหนุ่มตัดอะไรออกหรือคงอะไรไว้

เลขาหนุ่มต่อสายถึงสถาปนิกผู้คงกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อธิบายความต้องการทั้งหมดเเละปูนก็กระตือรือร้นตอบรับโดยไม่ได้ถามอะไรกลับเนื่องจากรู้ว่าฝั่งนี้ต้องเเข่งกับเวลา อย่างน้อยก็โชคดีที่มีทีมเวิร์คที่ดีล่ะนะ

“น้องปูนบอกว่าขอสิบนาทีครับ”

เจ้าของรูปร่างเพรียวบางขอสลับที่กับภู ย้ายตัวเองไปหาเต้ยที่กำลังกดโทรศัพท์คำนวณราคาในสเปรตชีทใหม่ คนมีหัวด้านตัวเลขอย่างเลขาหนุ่มก็เป็นฟันเฟืองชิ้นน้อยที่ทำให้ภาระงานในเวลาอันจำกัดเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว

หนูพุกใจสั่นเหมือนถูกบังคับวิ่งร้อยเมตรในครึ่งนาที เวลาพรีเซนต์สิบห้านาทีของอีกกลุ่มนั้นเป็นเวลาทำงานที่ทุกคนรีดพลังงานและศักยภาพที่มีอยู่จนถึงขีดสุด พี่ภูตรวจดูความเรียบร้อยและแก้ไขคอนเซปต์ คุณเเดนดินจัดการกราฟฟิกต่าง ๆ ให้ออกมาใหม่ไม่เหมือนเดิมราวกับเสกได้ แล้วช่วยพี่เต้ยกรอกข้อมูลตัวเลขที่เปลี่ยนไป

ในช่วงโค้งนาทีที่สิบสองอีเมลล์จากปูนเเละสถาปนิกอีกท่านที่ช่วยกันเเก้รูปภาพด้านนอกก็เสร็จสิ้น หนูพุกไม่รู้ว่าสำหรับคนที่ทำงานในวงการนี้จะมองอย่างไร หากสำหรับคนที่ทำไม่เป็นอย่างเขาก็เห็นว่ามันสมบูรณ์เเบบมากพอดู

“สู้นะครับ” ถึงตอนนี้บรรยากาศสำหรับทีมของหนูพุกก็กดดันมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี กำปั้นน้อย ๆ ถูกยื่นไปเบื้องหน้าชายหนุ่มผู้กดเเววกังวลลงไปในดวงตา

“สู้อยู่เเล้ว” กำปั้นใหญ่กว่าแตะเข้ากับของหนูพุกเบา ๆ ประกายในดวงตาคมโตแจ้งขึ้น หากกระทั่งสถาปนิกยังไม่มั่นใจ ผู้บริหารจะมั่นใจได้อย่างไรกัน

หนูพุกชักไม่แน่ใจว่าตัวเองใจสั่นเพราะกดดันหรือใจสั่นเพราะรอยยิ้มบนริมฝีปากหยัก ถ้าครั้งนี้เขาจดบันทึกการประชุมไม่รู้เรื่องก็โทษพี่ภูได้เลย!

 การประกวดเเบบในรอบนี้ไม่ต่างไปจากเดิมมากนักเพียงเเต่ผลการพัฒนาแบบจะไม่ถูกเเจ้งหลังจากการประชุมเหมือนเคย ทางบริษัทจะได้รับอีเมลล์นัดเเนะวันเวลาการเข้านำเสนองานอีกหนภายในเย็นวันนี้    

ขากลับบริษัทพี่เต้ยเเละคุณเเดนตกลงกันว่าจะไปเเวะที่ไซต์งานคอนโดย่านอโศกก่อนเพื่อติดตามปัญหาหลังลงต้นไม้ ในขณะที่หนูพุกเเละพี่ภูตรงกลับไปยังออฟฟิศ บรรยากาศในห้องโดยสารของรถยนต์ราคาเจ็ดหลักเงียบยิ่งกว่าที่เคย

“พี่ภูครับ… คือเรื่องวันนี้ เราจะเอายังไงกันต่อไป” หนูพุกเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมสัน ภายใต้ท่าที่นิ่งสงบเหล่านั้นหนูพุกไม่รู้เลยว่าเขาคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

“คงต้องคุยกันก่อน ตั้งแต่ทำงานมานี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจอเหมือนกัน”

เสียงทุ้มทอดอ่อน เหลือบมองโทรศัพท์ที่มีข้อความส่งมาจากเพื่อนสนิท คีรินทร์มืดเเปดด้านไปหมด ไม่รู้เลยว่าใครกันที่เป็นตัวการ อย่างไรเสียทีมที่วางไว้ดูเเลงานนี้ก็มีเเต่คนที่อยู่ด้วยกันมานาน

จะมีเพียงแค่ปูนกับหนูพุกที่เข้ามาทีหลัง

ชายหนุ่มไม่อยากสงสัยใครเลย ทั้งปูนเเละหนูพุกต่างก็เป็นคนขยันทำงานทั้งคู่ เขาตัดสินใจรับปูนเข้ามาทั้งที่ประสบการณ์ยังอ่อนหัดเนื่องจากเห็นว่าไอเดียของเด็กคนนี้ถือว่าถูกจริต ถึงเเม้บางอย่างจะสร้างจริงไม่ได้ด้วยมีเงื่อนไขทางธุรกิจให้คำนึงถึงก็ตาม

หากเจ้าตัวยังขยันลับฝีมือต่อไปเรื่อย ๆ  ปูนก็คงเป็นสถาปนิกที่ไปได้ไกลคนหนึ่ง

ส่วนหนูพุกเองก็เหมือนกัน… หนูพุกเป็นเลขานุการที่ทำงานหนักประหนึ่งมีหุ้นอยู่ในบริษัท ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงเเต่จะสนใจเนื้องานขณะปัจจุบันเเละเเนวโน้มในอนาคต หากเเฟ้มเก่าทุกเเฟ้ม โครงการเก่าเกือบทุกโครงการ เจ้าตัวก็อ่านเเล้วเก็บเรียบ ทำเป็นโน้ตเก็บไว้อย่างกับจะเอ็นทรานซ์อีกรอบ

เมื่อเต้ยและเเดนดินกลับมาจากไซต์งานแล้ว การประชุมย่อย ๆ หลังการพรีเซนต์งานก็ถูกจัดขึ้น คีรินทร์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอย่างเคยคุณเเดนดินนั่งนิ่งเงียบไม่ต่างอะไรกับพี่เต้ย ทั้งคู่ดูมีเรื่องให้คิดเเละมีวี่เเววคับข้องใจชัดเจน สถาปนิกวัยกลางคนไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพยักหน้าเเละปิดสมุดของตัวเองลง ส่วนบนใบหน้าของปูนเองก็ฉายแววเคลือบเเคลง เมื่อเช้าหนูพุกไม่ได้อธิบายอะไรนอกไปจากขอความช่วยเหลือ คงจะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดถึงมาเเก้เเบบกันเร่งด่วนเหลือเกิน

“เมื่อเช้าที่ไปพรีเซนต์งาน ผมเจอเรื่องเซอร์ไพรซ์มาก” เสียงทุ้มหยุดลง หน้าตาเรียบเฉยหากภายในมีเเต่ของเหลวเดือดปุดไหลวนอยู่ในอก

“เกี่ยวกับที่คุณหนูพุกโทรมาให้แก้เเบบเมื่อเช้าหรือครับ” คนอ่อนวัยที่สุดเอ่ยขึ้น มันคงไม่มีเรื่องประเภทเจ้านายจะมาตัดสินใจเห็นว่างานเขาดีในเสี้ยววินาทีสุดท้ายอะไรทำนองนั้น

...ให้ไก่ออกลูกเป็นหมายังง่ายกว่าเลย…

“ใช่ ข้อมูลพรีเซนต์หลุดออกไป กว่าจะรู้ตัวพวกเราก็เห็นว่ามันฉายอยู่บนโปรเจ็กตอร์เเล้ว” เต้ยพยักหน้า บนผิวขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีเเดงจาง ๆ ด้วยความโมโห

“อันนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องที่พวกเราควรรู้ร่วมกันนะ ตอนนี้ผมให้โอกาสสารภาพแล้วทำงานด้วยกันต่อไป หรือถ้าไม่… ก็คอยดูว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง”

หนูพุกไม่เคยคิดว่าพี่ภูน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ กระทั่งเเอร์ก็คล้ายจะเย็นเฉียบขึ้นด้วยอุปาทาน ทั้งเขาเเละสถาปนิกอีกสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รอคอยว่าใครกันที่จะเริ่มออกปากสารภาพ   

ที่สุดเเล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ

“ถ้าไม่มีใครพูดอะไร ผมจะถือว่าสิ้นสุดกันตรงนี้” คีรินทร์หันไปเปิดจอภาพขนาดใหญ่ อธิบายว่าเมื่อเช้าเขาเเก้งานส่วนไหนอย่างไรบ้างให้ทุกคนได้รับรู้พร้อมกัน เผื่อว่าทางนั้นจะติดต่อกลับมาเพื่อให้พัฒนาแบบ

...แม้ว่าโอกาสมันจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกันกับงานเดิมที่เขาวางเเผนเอาไว้ก็ตาม...


เย็นวันนั้นบรรยากาศระหว่างทีมงานของเต้ยอึมครึมกว่าปกติ เท่าที่สังเกตเเล้วเลขาหนุ่มเเทบจะไม่เห็นใครพูดอะไรกันนอกจากทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบเชียบเเล้วคอยเวลาเลิกงาน ไม่มีใครเเสดงท่าทีดีใจเลยที่เขาเเจ้งเรื่องมีอีเมลล์ตอบกลับเพื่อนัดวันเวลานำเสนอครั้งสุดท้ายสำหรับบริษัทที่ผ่านเข้ารอบ ร่างสูงโปร่งของพี่เต้ยเดินผ่านเขาไปยังห้องทำงานของพี่ภูโดยไม่ได้ทักทายอย่างเคย หนูพุกก็พอจะเข้าใจได้ว่าพี่เต้ยเจอเเต่เรื่องน่าโมโหจริง ๆ จึงไม่ได้ติดใจใด ๆ

“กูขอคุยด้วยหน่อย” เต้ยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงานของอีกฝ่าย ใบหน้าฟ้องชัดว่ายังไม่คลายความหงุดหงิดไปง่าย ๆ

“รู้ตัวแล้วหรือ” คีรินทร์เลิกคิ้วขึ้น เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า เขาคิดไม่ออกว่าใครกันที่จะทำกันได้ลง ในเมื่อเขาเองก็มั่นใจว่าเราอยู่กันอย่างครอบครัว เรื่องเงินได้เเละสวัสดิการก็ไม่ได้ต่ำไปกว่ามาตรฐานเลยด้วยซ้ำ

“ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าใช่” ชายหนุ่มบุ้ยใบ้ไปที่หน้าห้อง

“หนูพุกเนี่ยนะ” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะเเผ่ว ๆ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ตลอดเกือบสองเดือนที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นเลยว่าเลขาหนุ่มจะทำงานส่ง ๆ สักหน ยิ่งมีแต่เก่งขึ้นแล้วช่วยเขาประหยัดงบเพิ่มรายได้เข้าออฟฟิศเสียมากกว่า

“เออ มึงจำคนที่พรีเซนต์เรื่องงบได้ไหม” พอคนฟังพยักหน้า คุนพูดก็สำทับอีก “กูเจอเขากับหนูพุกที่ร้านกาเเฟเมื่อวันเสาร์”

“ชัวร์ไหมว่าคนนี้”

“คนนี้แหละ กูกับเเดนเห็นจริง ๆ” ยิ่งคิดแล้วเต้ยก็ยิ่งหงุดหงิด เห็นน่ารักดีแบบนั้นเขาก็ไม่คิดว่าจะมาทำพิษกันได้

“แล้วมึงไม่คิดว่าจะเป็นคนอื่นบ้างหรือไงวะ กูเห็นว่าเขาทำงานหนักกว่าบางคนอีก” ชายหนุ่มไม่ได้เจาะจงว่า ‘บางคน’ นั่นคือใคร

“ตั้งแต่อยู่มามันเคยมีเรื่องแบบนี้หรือเปล่าล่ะ นี่มันครั้งแรกไง… จะให้กูสงสัยคนมาใหม่ก็ไม่น่าจะผิดไหม” เต้ยระบายลมหายใจ ยิ่งเป็นคนเห็นมากับตาว่าสองคนนั้นดูคล้ายจะสนิทชิดเชื้อกันเขาก็ยิ่งโกรธที่หนูพุกทำให้ความเอ็นดูของเขาพังทลายลง แถมยังมาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้อยู่อีก

“เอาแบบนี้แล้วกัน… กูจะไม่ให้หนูพุกเข้ามายุ่งจนกว่างานนี้จะเสร็จดีไหม”

ภูเอ่ยขึ้น ในเมื่อหลักฐานก็ยังไม่มี มีแค่เพียงพยานเเวดล้อมเขาก็คงเอาผิดกันไม่ได้ หากมีแบบหลุดออกไปอีกหนเลขาหนุ่มก็จะหลุดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัย และพวกเขาเองที่จะต้องคิดใหม่

“ตามนั้น  วันนี้กูออกไวหน่อยเเล้วกัน จะไปดูไซต์” 

 สถาปนิกหนุ่มทิ้งงานทั้งหมดไว้เบื้องหลัง เห็นเเดนดินมีท่าทีเคร่งเครียดเเละขบคิดตลอดเวลาอย่างนั้นเขาก็ยิ่งไม่สบายใจแต่ก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งด้วยให้เสียอารมณ์กันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายเต้ยก็ได้แต่เร่งเครื่องยนต์บึ่งออกไป การหลุดพ้นจากสภาพเเวดล้อมที่ทำให้ไม่สบายใจช่วยเขาได้บ้าง แต่สิ่งที่ช่วยเขาได้มากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นชานมไข่มุกแก้วละสามสิบบาทหน้าบริษัท

คล้ายกับว่าความรุนแรงทางอารมณ์จะถูกส่งผ่านไปยังฟันบนเเละล่างที่กำลังบดเม็ดไข่มุกนิ่ม ๆ ผู้น่าสงสารอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันจะได้เลี้ยวเข้าถนนวิทยุ รถยนต์ยุโรปด้านหน้าก็เหยียบเบรคกระทันหันทำให้คัมรี่ลูกรักของเต้ยจูบกระโปรงท้ายฝั่งนั้นเข้าเต็มรัก

“ขับอะไรของมันวะ” เขาปลดเข็มขัดนิรภัย หน้ายุ่งเต็มทน ไม่รู้ว่าวันนี้มันวันอะไรถึงมีเรื่องให้หงุดหงิดนักหนา

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ… อ้าว คุณเต้ย!” ชายหนุ่มเจ้าของรถพุ่งตรงมาหาเต้ยก่อนใคร ใบหน้าหล่อเหลาของราชนิกุลหนุ่มเผยเเววตกใจอย่างไม่ปิดบัง

“ครับ ผมเอง”

คนที่มักจะมีรอยยิ้มประดับคำพูดอยู่เสมอกลับตีสีหน้าเรียบเฉย ถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่อยากจะพูดมาก เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ไม่สงบ เต้ยปิดประตูรถ เดินมาชะโงกหน้าดูกันชนที่ยุบเข้าไปในขณะที่รถเบนซ์ของอีกฝ่ายก็มีรอยยุบเเละสีถลอกด้วยเหมือนกัน

“ขอโทษทีนะคุณ ผมโดนมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า” ตัวต้นเหตุที่ทำให้หม่อมหลวงกวีต้องกระทืบเบรกโดยพลันเผ่นเเผล็วไปไหนต่อไหนเเล้ว

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเรียกประกันก่อน” นิ้วเรียวเลื่อนหาเบอร์โทรแล้วเเจ้งพิกัด เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนให้รถคันหลังเอาไว้ด้วย

“ทั้งหมดผมรับผิดชอบเอง... แล้วคุณต้องรีบไปไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มร่างกายกำยำเดินเข้ามาหาเขา ดูเหมือนจะพยายามรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุด

“ผมแค่จะแวะไปที่ไซต์งานนั่นเเหละครับ ไม่ได้รีบอะไร หม่อมต้องไปไหนหรือเปล่า” อารมณ์ขุ่นข้องคลายลงบ้างเมื่อเห็นว่าคู่กรณีขอโทษเเล้ว ซ้ำยังชดเชยให้ทั้งหมดโดยไม่ต้องเอ่ยปาก

“ไม่หรอก ผมเลิกงานแล้ว กะว่าจะเข้าไปดูความเรียบร้อยที่ไซต์เหมือนกัน” กวีเปิดประตูรถ “เข้ามานั่งด้วยกันก่อนสิคุณเต้ย ข้างนอกร้อนจะตาย”

ตอนนี้ถนนที่เคยโล่งก็ชักจะติดเเหง็กเพราะเลยเวลาเลิกเรียนเเละเวลาเลิกงานของมนุษย์ออฟฟิศ ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเสียมิได้ บรรยากาศในรถมีแต่ความเก้อกระดาก เขาไม่รู้จะคุยอะไรเพราะเรื่องเเบบที่หลุดออกไปยังรบกวนอยู่ในหัว ส่วนอีกฝ่ายก็ยังคุยกับผู้ช่วยของตัวเองผ่านโทรศัพท์อยู่

เต้ยนึกขอบคุณพนักงานที่มารวดเร็วทันใจเเม้ว่ารถจะติดอย่างไม่น่าให้อภัยก็ตาม อีกทั้งยังมีความโชคดีในความบังเอิญที่เขาและหม่อมหลวงกวีต่างก็ใช้บริการประกันรถเจ้าเดียวกัน เจ้าพนักงานจึงมาพร้อมกันไม่ให้ต้องวุ่นวาย

“จริง ๆ จากตรงนี้เดินลัดไปที่ไซต์ก็ไม่ได้ไกลมาก คุณจะไปด้วยกันกับผมเลยไหม รถคุณเดี๋ยวผมให้เด็กขับไปเข้าศูนย์ให้เลย” เมื่อจัดการเอกสารเรียบร้อยดีเเล้วคนวัยไล่เลี่ยกันก็หันมาถาม

“ตามนั้นก็ได้ครับ” เล่นคิดมาเเล้วเบ็ดเสร็จนี่นะ

“คุณมีของมีค่าอะไรหรือเปล่า เช็คดูก่อนก็ได้”

“ผมมีแค่กล้อง”

เต้ยทิ้งทุกอย่างไว้ที่ออฟฟิศ จะมีก็เพียงกระเป๋ากล้องบรรจุลูกรักที่มักจะพาไปไหนมาไหนด้วยกันเท่านั้น เขาส่งข้อความหาเเดนดินว่ามีอุบัติเหตุนิดหน่อย คงจะกลับไปช้าและไม่ได้อยู่กินมื้อเย็นด้วย อีกฝ่ายตอบรับมาเกือบทันใด บอกว่าคืนนี้คงจะไม่ได้กลับไปนอนด้วยเพราะอยากเเก้งานที่โดนตีกลับคนเดียวเงียบ ๆ

“เสียดายเนอะ ในกรุงเทพฯคนไม่ค่อยเดินถนนกัน” คนพอจะอารมณ์ดีแล้วเปรยขึ้น พลางเดินไปตามทางเท้า

“อากาศร้อนขนาดนี้ใครมันจะอยากเดินกันล่ะคุณ เดิน ๆ ไปเดี๋ยวก็เจอมอเตอร์ไซค์วิ่งบนฟุตปาธ เดี๋ยวก็เจอเเผงลอย” หม่อมหลวงหัวเราะในลำคอ รู้สึกขมขื่นกับวิถีชีวิตคนเดินเท้าเหลือเกิน

“นั่นเเหละครับ ปัญหาใหญ่เลย”

สถาปนิกหนุ่มคิดไปถึงตึกสูงที่เขาเพิ่งจะได้รับอนุญาตจากฝั่งนายทุนให้พัฒนาแบบต่อได้ หากจัดแบบธรรมดา ตอบโจทย์พื้นฐานเท่านั้น… มันก็จะเป็นตึกเรียบ ๆ อันมีพื้นที่ปิด มีคนเข้ามาใช้พื้นที่เฉพาะกลุ่มเท่านั้น ทำให้ขาดความเชื่อมต่อกับโลกภายนอก หากเป็นอย่างนี้ มันก็จะกลืนไปกับอาคารอื่น ๆ ในเมืองหลวงไม่มีอะไรพิเศษ

“ทานไอศกรีมไหมหม่อม เจ้านี้อร่อย” เต้ยชี้ชวนให้เขามองไอศกรีมรถเข็นที่สั่นกระดิ่งอยู่ไม่ไกล อันที่จริงมันก็ไม่เชิงว่าชักชวน หากเเต่เป็นการบอกเป็นนัยว่าเขาจะเเวะเเน่ ๆ เท่านั้นเอง
   
   “คุณชอบของหวานหรือ” เท้ายาว ๆ ของคนมียศมีศักดิ์ตบตามชายหนุ่มที่โดนรถเข็นไอศกรีมตกไปก่อนหน้า เมื่อครู่ตอนที่เขาไปดูความเสียหายของรถคัมรี่แล้วก็เเอบเห็นแก้วชานมไข่มุกเสียบไว้ตรงช่องสำหรับวางแก้ว

“ผมเป็นพวกชอบกินน่ะ ถ้าสิบปีที่แล้วฟู๊ดบล็อกเกอร์รุ่งเรืองกว่านี้หน่อย ผมคงไม่มาเป็นสถาปนิกแล้ว” เต้ยหัวเราะ จัดการสั่งไอศกรีมสำหรับตัวเองหนึ่งที่

“ไม่ทานจริงหรือคุณ” ดวงตากลมโตของหม่อมหลวงหนุ่มมองดูขนมปังนุ่มฟูซึ่งถูกผ่าครึ่ง ใส่ข้าวเหนียวเเละตักไอศกรีมลูกเล็กใส่

“เอาแบบคุณก็ได้ ผมไม่ได้ทานมานานแล้วเหมือนกัน”

เขายิ้มแกน ๆ ไม่ได้บอกว่าที่เคยกินก็เป็นของที่ทางบ้านทำเอง ไม่เคยซื้อของเเผงลอยอย่างนี้ ด้วยตั้งแต่จบประถม ก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษกระทั่งจบปริญญาโท พอเรียนจบเขาก็ทำแต่งาน ลักษณะอาชีพยิ่งทำให้เขาไม่ได้มีโอกาสได้มาเดินหาสตรีทฟู๊ดอย่างคนอื่น หันซ้ายก็หุ้น หันขวาก็บอร์ด เรื่องกินอยู่แทบจะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคำนึงเพราะมักจะมีคนจัดการไว้ให้เสมอ หรืออยากจะมีมื้อพิเศษก็บอกคนอื่นเอาเท่านั้นเอง

“ผมเลี้ยงเอง” เต้ยดักคอเมื่อเห็นว่าเขาจะควักแบงก์ม่วงแบงค์เทามาจ่ายค่าไอศกรีมไม่กี่สิบบาท

“ขอบคุณครับ” เต้ยส่งขนมปังชิ้นเท่าฝ่ามือให้คนที่ดูเก้กังนิดหน่อย

“อร่อยเหมือนเดิมเลย” เขาเดินไปกินไป อากาศร้อน ๆ ทำให้คนกินต้องเร่งสปีด ไม่อย่างนั้นไอศกรีมกะทิก็จะไหลลงมาเปื้อนมือ

“ละลายหมดเเล้วหม่อม” นิ้วเรียวชี้ไปที่อีกด้านของขนมปัง เพราะเขาเอาแต่กัดอยู่ฝั่งเดียวอีกฝั่งจึงเริ่มละลายเป็นน้ำ

“กินยาก” กวีหัวเราะ เปลี่ยนมาไล่งับบริเวณที่เริ่มละลายก่อน กว่าจะหมดเต้ยก็ขำจนตัวงอ

“เลอะขึ้นไปถึงจมูกเลยครับ”

“จริงหรือ” มือใหญ่ข้างหนึ่งป้องหน้าตัวเองไว้ไม่ให้ใครเห็น ส่วนอีกข้างก็ล้วงหาผ้าเช็ดหน้า

กรรม… เขาใส่มันไว้ในเสื้อสูท แล้วก็ทิ้งมันไว้ในรถ

“โทษทีนะหม่อม”
 
เต้ยเเตะเเขนเขาให้หยุดเดินเเล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบสีนวลบนปลายจมูกโด่งออกให้ วันนี้คุณกวีเล่นใส่ดำทั้งตัว คงจะไม่อยากให้เสื้อผ้าตัวเองมีรอยด่างเพราะต้องยกแขนเสื้อขึ้นมาใช้ต่างกระดาษแหง ๆ ก็ดูออกจะเป็นพวกเพอร์เฟกต์ชั่นนิสนี่นะ

“คุณก็เลอะสิ”

“ช่างมันเถอะครับ ไม่ได้อะไรมากมาย” เต้ยยักไหล่ เดินลัดซอยไปเรื่อย ไม่นานนักสองคนก็หยุดลงหน้าไซต์งาน

“เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูที่เขาตกแต่งภายในก่อน ถ้าคุณเสร็จเเล้วมารอผมข้างใน เดี๋ยวผมพาไปส่ง อีกพักเด็กที่บ้านคงเอารถมาเปลี่ยนให้”

“ไม่เป็นไรก็ได้ครับ คอนโดผมไม่ได้ไกลมาก เดี๋ยวกลับเเท็กซี่หรือขึ้นรถไฟฟ้าก็ได้ หม่อมอย่าลำบากเลย” ชายหนุ่มโบกมือ รู้สึกว่าเขาชักจะรับผิดชอบมากเสียจนเต้ยเกรงใจ

“คำก็หม่อมสองคำก็หม่อมนะคุณ ผมเป็นแค่หม่อมหลวง คนละยศกับ ‘หม่อม’ ที่คุณพูด” เขาสาธยายไปยิ้มไป ถึงแม้ว่าจะถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาคิดว่ามันน่าจะน่าฟังกว่าหากคู่สนทนาคุยกับเขาอย่างถูกต้อง

“อ้าว ขอโทษทีครับ ผมไม่ทราบนี่… แล้วต้องเรียกคุณว่ายังไงล่ะ ไม่ถนัดราชาศัพท์เสียด้วย” เต้ยหัวเราะคึ่ก ๆ ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาจะกวนอารมณ์

“ผมก็คนธรรมดานี่ล่ะ บางคนก็เรียกคุณกวี คุณวี… หรือพี่วี…” คนพูดหยุดชะงัก สองพยางค์สุดท้ายหลุดออกมาเมื่อคะเนอายุจากดวงหน้าอ่อนวัย

...คนอะไร หน้าตาเหมือนลูกกวาง...

“ผมเลือกช้อยส์ข้อสองแล้วกัน เราน่าจะอายุไม่ห่างกันเท่าไหร่” ริมฝีปากบางเเย้มยิ้มจนเป็นรูปหัวใจ เขาเองก็เหยียบเลขสามเเล้ว คุณกวีก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไหร่

“เอาเถอะ เสร็จเเล้วเข้าไปรอผมข้างในแล้วกัน จะไปส่งครับ” กวีโบกมือทักทาย พนักงานที่ดูเเลเรื่องการออกเเบบภายใน แล้วก็เดินแยกจากเต้ยไปคล้ายถือว่าที่เขาพูดนั้นถือเป็นเด็ดขาด

...ถ้าไม่ใช่ลูกคนเดียวก็คงเป็นลูกคนเล็กแน่นอน...

เต้ยเดินไปตามพื้นที่ภายนอกที่เคยมาเยือนเเล้วหนหนึ่ง แต่ครั้งนั้นเขามาแบบรีบ ๆ เนื่องจากต้องไปทำงานอื่นต่อ คราวนี้เขาจดรายละเอียดทุกจุด ตั้งใจจะพัฒนาแบบให้ดีไม่ให้ใครมาเอาไปได้อีก

 ดูเหมือนเต้ยจะทำงานเสร็จไวกว่าคุณกวี เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปสำรวจอาคารด้านใน ยกกล้องคู่ใจส่องเก็บรายละเอียดงานดีไซน์เล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อไว้ว่าจะใช้เป็นไอเดียในการออกเเบบให้เกี่ยวเนื่องกับภูมิทัศน์ด้านนอกได้บ้าง

“ขึ้นไปข้างบนไหมคุณ” ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำพอดีตัวเดินตรงมาหาเขา

“ขึ้นได้หรือครับ” พูดอย่างนั้นแต่คนประคองกล้องก็ยิ้มเผล่เมื่อเห็นว่าในมือเขามีหมวกนิรภัยสีขาวสองใบ

“คุณเต้ยใส่ไว้แล้วกัน ข้างบนมันยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ แต่วิวสวยอย่าบอกใคร” หม่อมหลวงกวีอมยิ้ม ยื่นหมวกกลมให้คู่สนทนาเเล้วจัดการสวมของตัวเองลงบนศีรษะ

ลิฟต์โดยสารนำผู้บริหารโครงการ สถาปนิก และนายช่างขึ้นไปสู่ชั้นห้าสิบสี่ เต้ยเดินไปพร้อมกับคุณกวีตอนที่นายช่างรายงานความคืบหน้า

“คุณเดินออกไปดูได้นะ”

กวีเอ่ยขึ้น ชี้ชวนให้เต้ยเดินออกไปยังริมผนังกระจกที่เขาเห็นว่าปลอดภัยดีเนื่องจากราวกันตกเเละอุปกรณ์เซฟตี้ยังไม่ถูกนำออกหลังจากเสร็จงาน ในตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเเล้ว เมื่อมองออกไปจากอาคารสูงแห่งนี้จึงเหลือเเต่ทิวทัศน์ของตัวเมืองที่มีเเสงไฟเรื่อเรือง  ลมเย็น ๆ พัดโกรกไปทั่วพื้นที่ทั้งชั้น

เต้ยนั่งลงบนชานพักริมผนังปูน ปิดเปลือกตาสีน้ำนมลงแล้วปล่อยให้เสียงลมหวีดหวิวผ่านข้างหูไป ราวกับว่าเสียงกระซิบของพวกมันจะพัดเอาเรื่องราวร้าย ๆ ภายในวันนี้ออกไป ให้เขาพบกับพรุ่งนี้ที่สดใสกว่า

“ง่วงก็ไม่บอก…” กวีหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นว่าคนที่ควรจะยกกล้องเก็บภาพบรรยากาศยามค่ำคืนที่ไม่เคยมีคนนอกได้รับอนุญาตให้ขึ้นมากลับหลับตานิ่ง ซบลงกับแนวปูนฝุ่นเขรอะ   

“วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะเข้ามาดูใหม่” ราชนิกุลหนุ่มยิ้มละไมให้กับพนักงาน แล้วตรงไปสะกิดเรียกคนหลับคอพับคออ่อน

“คุณเต้ย ผมจะกลับเเล้วนะ”

เสมือนว่าเสียงทุ้มนุ่มเป็นเสียงนาฬิกาปลุกแบบไก่ขัน ดวงตากลมลืมขึ้นทันใด เต้ยสะดุ้ง… ลุกขึ้นยืนตัวตรงเผงเป็นตุ๊กตาทหาร

“หัวเราะอะไรครับคุณวี” พอตื่นเต็มตาแล้วเต้ยก็ขยับเอากล้องเก็บลงกระเป๋า ปรายตามองคนที่หัวเราะเขาอย่างพยายามจะสุภาพ

“ก็ดูคุณสิ ไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ผมคุยงานยังไม่สิบนาทีก็เล่นหนีไปเฝ้าพระอินทร์เเล้ว น้ำลายยืดอีกต่างหาก” คนพูดเดินนำไปที่ลิฟท์ บรรยากาศปิดล้อมกับผู้บริหารหนุ่มที่ขบขันจนไม่เหลือฟอร์มเสือหน้ายิ้ม

“แกล้งคนไม่ได้นอนมาสองวันมันบาปนะคุณ” เต้ยใช้สันมือปาดไปบริเวณขอบปากหากมันเเห้งสนิท… ช่างอำเหลือเกินนะคุณกวี!

“คุณนั่นเเหละ รู้ตัวว่าไม่นอนมาสองวันยังจะขับรถอีก” เขาหันมาทำหน้ายุ่ง โบกมือลาคนงานแล้วเดินนำไปที่รถ

“มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย” เต้ยมองเจ้ารจากัวร์คันจิ๋วอย่างสนเท่ห์ ไม่รู้ว่าเป็นผู้บริหารหรือพ่อมด อยากได้อะไรก็ได้เดี๋ยวนั้นจริง ๆ

“ตอนที่คุณเดินถ่ายรูปอยู่หลังตึกนั่นล่ะ คอนโดคุณอยู่ตรงไหน” เต้ยสอดตัวลงนั่งข้างคนขับ บอกจุดหมายปลายทางเขาว่าเป็นคอนโดมีระดับโครงการหนึ่งใจกลางกรุง

“ผมว่าเราสองคนนี่มีเรื่องบังเอิญบ่อยเกินไปหรือเปล่า” กวีส่ายศีรษะแล้วขยายความต่อ “นั่นโครงการของที่บ้านผมเอง”

“บังเอิญจริง ๆ ครับ” เต้ยหัวเราะเเกน ๆ ชักจะเริ่มช็อคกับความร่ำรวยของเศรษฐีหนุ่ม เขาพอจะจำได้ว่ากรจักรกรุ๊ปทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรมมาหลายสิบปีและเพิ่งจะเริ่มจับตลาดอสังหาริมทรัพย์มาได้ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง


หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 13-07-2018 23:05:16
นับจากวันที่หนูพุกทำผัดกะเพราะกุ้งเเสนเค็มนั่น เขาก็ยังไม่ได้เข็ดหลาบ วันนี้หนูน้อยริทำผัดกะเพราหมูสับและเเกงจืดเต้าหู้ใส่กล่องมาให้เจ้านายรับประทานเป็นมื้อเช้า คราวนี้หนูพุกเเน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรอีกเนื่องจากกว่าจะมาถึงวันนี้ เขากินฝีมือตัวเองซ้ำมาเเล้วราว ๆ สามสี่รอบเพื่อความมั่นใจ

“อร่อยมาก” คีรินทร์ยกนิ้วให้เลขาหนุ่มที่ยิ้มจนเเก้มปริ เขาหัวเราะกับท่าทางบ๊อง ๆ ของหนูพุกที่เอาเเต่ยิ้มดีใจจนไม่ระวังหันไปกระเเทกเอามุมโต๊ะอาหารตัวใหญ่

“โอ๊ย” หนูพุกร้องอู้ เหลี่ยมโต๊ะแหลม ๆ ทิ่มลงกับแขนเล็ก ๆ จนเจ็บเเปลบ

“เอ้า เป็นอะไรไหมเนี่ย” คีรินทร์วางเเก้วกาเเฟเห็นก่อนจะขยับเข้าไปดูคนที่เจ็บจนน้ำตาเล็ด

“สงสัยต้องห้ามเข้าครัวเเล้วมั้ง” คีรินทร์เปรยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเอ็นดู ยังจำได้ดีว่าวันเเรกที่เจอกันอีกฝ่ายก็โดนน้ำร้อนลวกรับอรุณ

“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ” สายตาคมมองหนูพุกนิ่ง ๆ ส่วนเลขาหนุ่มพอรู้ว่าคล้ายจะโดนดุกลาย ๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เขาถือวิสาสะปลดกระดุมเเขนเสื้อแล้วรูดขึ้นดูเเผล

“นิดเดียวเองเขียวแล้วเนี่ย ผิวบางจริง ๆ” คีรินทร์พึมพา เอื้อมเเขนไปดึงลิ้นชักที่ใส่อุปกรณ์ทำเเผลเบื้องต้นเเล้วมองหายานวด

ตอนที่มือใหญ่ปลดกระดุมเเขนเสื้อทำให้จิตใจของหนูพุกลอยล่อง คีรินทร์ขยับเข้าใกล้ ประคองท่อนเเขนของเขาไว้ หนูพุกคิดว่าตัวเองได้กลิ่นน้ำหอมสดชื่นเเบบวันนั้นที่เขาต้องขึ้นหลังพี่ภู อยากจะมีพลังวิเศษหยุดเวลาให้ตัวเองได้เพ่งพิศใบหน้าคมสันใกล้ ๆ เขาหลงรักดวงตาคมสีเข้มเเละเเผงขนตายาวเป็นเเพที่ขยับขึ้นลงยามที่อีกฝ่ายกระพริบตา

“โอ๊ย” เลขาหนุ่มร้องขึ้นเบา ๆ เเล้วก็กัดปากตอนเขาชโลมยานวดกลิ่นฉุนลงบนท่อนเเขนเรียว จะมาหวังให้พี่ภูเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมือเบาเหมือนปุยนุ่นคงไม่ใช่

“โทษที พี่มือหนักไปหน่อย เดี๋ยวเราทาเองเเล้วกัน พี่กลัวทาให้เเล้วจะช้ำกว่าเดิม” ภูยิ้มบาง ๆ เขาพูดจริง ๆ เพราะหนูกพุกแขนเล็กจิ๋วเดียวอย่างกับเเขนเด็ก ชายหนุ่มจึงเบนมารวบถ้วยชามลงอ่างเเช่น้ำไว้รอเเม่บ้านเงียบ ๆ

หนูพุกอ้าปากพะงาบ ๆ ตอนที่ร่างสูงหายลับออกไปจากห้องครัว แค่โอ๊ยเดียวชีวิตเปลี่ยนเลย...  เลขาหนุ่มได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองในใจเมื่อคล้อยหลังเจ้านาย ถ้าเขาอดทนอีกนิดไม่เผลอร้องออกมาพี่ภูคงนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักพัก

“โธ่ อดทนกว่านี้ก็ไม่ได้นะไอ้พุก”

หลังจากทำใจได้และเก็บกล่องยาคืนที่เดิมแล้ว หนูพุกก็กลับมานั่งโต๊ะทำงานเพื่อตรวจสอบตารางงานของเจ้านายเเละข้อมูลโครงการที่ต้องผ่านเขาก่อนเข้าห้องพี่ภูอย่างเคย

...แต่เขาว่ามันมีอะไรแปลกไป...

ชายหนุ่มรื้อเเฟ้มงานออกมาดูแล้วก็พบว่าสามสี่วันมานี้โครงการออกแบบภูมิทัศน์เเถวถนนวิทยุไม่ได้ผ่านตาเขา ทั้ง ๆ ที่มันควรจะได้เข้าประชุมและเข้าสู่ขั้นตอนทำแปลนใหม่เเล้ว

หนูพุกเบนเป้าหมายไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของตัวเอง คลิกเข้าไปที่ส่วนเก็บข้อมูลออนไลน์ของบริษัท ข้อมูลโปรเจ็คต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการทำงานจะถูกหย่อนไว้ในนี้ รวมถึงงานที่คืบหน้าพร้อมอนุมัติแล้วก็อยู่ในนี้ด้วย

สถาปนิกทุกคนจะมีบัญชีชื่อซึ่งเข้าถึงเฉพาะโครงการที่ตัวเองรับผิดชอบได้เท่านั้น ส่วนคนที่จะเข้าถึงได้ทุกไฟล์ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดโครงการหรือรายละเอียดเรื่องเงินหมุนเวียนในบริษัทก็จะมีเพียงแค่พี่ภูเเละพี่เต้ย รองลงมาก็จะเป็นหนูพุกที่สามารถเข้าติดตามความคืบหน้าของทุกโปรเจ็คได้

...วันนี้มีไฟล์หนึ่งหายไป…

หนูพุกพยายามเสิร์ชหามันซ้ำแล้วซ้ำอีกเเต่ระบบก็ไม่ยอมเรียกมันขึ้นมา… เดาได้ไม่ยากเลยว่ามันถูกปิดการเข้าถึงจากไอดีของเขา

หนูพุกสูดหายใจเข้าลึก… เปิดตารางงานของเขากับคีรินทร์ขึ้นมาเทียบกันบนหน้าจอ

วันที่หนูพุกต้องออกไปข้างนอก ส่วนใหญ่เเล้วคีรินทร์จะติดงานที่อื่น แต่เมื่อวันจันทร์เขาส่งหนูพุกออกไปโดยที่บอกว่าติดธุระส่วนตัว

...เป็นไปได้ที่ทุกคนจะจัดการประชุมลับหลังหนูพุก...

เลขาหนุ่มเริ่มชักจะชิงชังสิ่งที่เรียกว่าเรื่องบังเอิญอันกลายเป็นความโชคร้าย เขาคาดว่าเมื่อวันเสาร์ที่แล้วเต้ยกับแดนดินน่าจะนั่งอยู่ที่ร้านกาเเฟนนานพอดู อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายเห็นว่าเขาติดต่อกับเพื่อนสาวซึ่งเป็นคนของบริษัทคู่เเข่งในร้านกาเเฟ เขาถึงได้ถูกกันออกจากโปรเจ็คนี้

ถึงหนูพุกจะหัวช้าเรื่องงานออกแบบ...แต่เขาก็ไม่ได้โง่

เขาไม่รู้หรอกว่าเรื่องนี้ใครกันจะเป็นหนอนบ่อนไส้ทำลายบริษัท หากสิ่งที่ทุกคนควรต้องรู้โดยทั่วกันคือเขาจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ

...หนูพุกจะไม่ยอมเป็นเเพะรับบาปให้ใครเด็ดขาด!!..


---------------------------------------------------------------------------------------


เหมือนได้ยินเสียง  Sorry, the old พุก can’t come to the phone right now… 555555
สองบทมานี้พระเอกจางมากเลยค่ะ คุณกวีหล่อกว่าก็อย่างงี้ /โดนทุบ
แต่สัญญาว่าบทหน้าพี่ภูจะคัมเเบ็คค่ะ ภูจะมาทวงทุกอย่างของภูคืนนนน 55555555
ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นท์แล้วก็กำลังใจเลยนะคะ ดีใจมากๆเลยค่ะที่มีคนติดตามความเป็นไปของเจ้าหนูพุก (ที่กำลังจะเป็นเเพะ) 5555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-07-2018 23:30:32
 :เฮ้อ: :L2: :L1: :pig4:
กรรมของพุก

ต้นเรื่องน้่จะแฟนเต้ยไหม เราเริ่มเดา 55
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-07-2018 00:04:06
เอาแล้ว หนูพุกจะสู้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-07-2018 01:06:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

ฉลาดมากหนูพุก

สืบให้ได้นะว่าใคร

ป.ล.  คหสต.  คิดว่าหนอนนั้นไม่น่าจะเป็นคนที่ถูกเพ่งเล็งจากคำบอกเล่าที่มีอยู่  ตามหลักการหนังสืบสวนสอบสวนแล้ว  คนร้ายมักจะเป็นคนที่เรานึกไม่ถึง  ซึ่งนั่นก็คือ.....
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 14-07-2018 01:52:45
สนุกมากๆๆๆๆๆ หนูพุกสู้ๆฟๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 14-07-2018 01:56:55
ว่าแล้วเชีย5555555 รอดูว่าหนูพุกจะแก้เกมยังไง พี่ภูก้อดีนะ ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย มั้ง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 14-07-2018 07:34:15
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-07-2018 10:26:06
ยังไงเราก็ว่าเป็นแดนดินแฟนเต้ยแน่ๆ ที่ทำ แต่ทำไปทำไมอยากรู้ถึงเหตุผลจริงๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 14-07-2018 22:28:13
พี่เต้ยสงสัยหนูพุกจนได้ T^T  แต่ก็ว่าไม่ได้อ่ะเนอะ
เพิ่งทำงานด้วยกันไม่นาน แถมเห็นกับตาว่าหนูพุกอยู่กับเพื่อนคนนั้นอีก
แต่ก็ดีใจที่พี่ภูยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นหนูพุกอ่ะ คุณแดน น่าสงสัย
แต่คุณปูน ก็น่าสงสัยอ่ะ อาจจะอยากให้งานตัวเองได้เอามาใช้หรือเปล่า
แต่ตอนนี้ อะไรไม่เท่า คนโปรดของเราทั้งสองคน คุณกวีกับพี่เต้ยจ้า  :-[
ถ้าคุณแดนนอกใจพี่เต้ยจริงนี่ไม่ว่าเลยนะ เพราะเชียร์คุณกวีกับพี่เต้ยที่สุดอ่ะ น่ารัก 555
เอาใจช่วยหนูพุกสุด ๆ หนูพุกคนเก่ง จับตัวคนร้ายตัวจริงให้ได้เลยนะ!
สนุกมาก เขียนดีมาก ๆ เลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-07-2018 23:03:29
 ใครคือคนร้ายตัวจริงน้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 15-07-2018 11:32:14
อยากอ่านต่อแล้ววววว
กำลังตื่นเต้นเลย  ใครคือคนร้ายนะ  :katai1: 
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 7 --- [ 13.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 15-07-2018 18:37:40
หนูพุกสู้เต็มที่นะคะ
ดัดหลังคนที่จะให้เราเป็นแพะ เอาให้หนัก
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 19-07-2018 16:04:34
Chapter 8
 
อากาศช่วงพักกลางวันหน้าฝนไม่เป็นที่ประทับใจของหนูพุกนัก วันนี้ฟ้าปิดจนเเทบไม่เห็นเเดดเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นแต่เมฆสีเทาแต่ฝนไม่ยักตก อากาศก็ร้อนอบอ้าวจากที่หงุดหงิดเรื่องที่ทำงานอยู่แล้วก็น่าหงุดหงิดเข้าไปอีก นิ้วเรียวเเตะลงบนแอพพลิเคชั่นสีฟ้า สำรวจอะไรต่ออะไรไปเรื่อย… เทรนด์ช่วงนี้ที่เห็นบ่อยหน่อยก็บอลโลก

เขาไม่ได้อินอะไรกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ไม่ได้เชียร์ทีมไหนเป็นพิเศษ หนูพุกรามือจากหน้าจอเล็ก ๆ มองชามก๋วยเตี๋ยวเนื้อว่างเปล่าของตัวเองเงียบ ๆ ตั้งใจว่าจะเรียกเด็กมาเก็บเงินหากดวงตาเหลือบไปเห็นสถานะของสถาปนิกสาวที่เขาเพียรนั่งหารายชื่อผู้ติดต่อที่ดูจะเข้าเค้ากับผู้ต้องสงสัยมาทั้งวันแต่ก็ไม่เจออะไรที่น่าพอใจ

‘เป็นไทแล้วเว้ย!’

   หนูพุกเลื่อนปลายนิ้วลงไปที่ช่องคอมเมนท์ใต้สถานะเฟสบุ๊กของเพื่อนสาว สิ่งที่ทำให้หนูพุกสนใจจะอ่านมันต่อไปคงจะหนีไม่พ้นข้อความเเสดงความยินดีจากเพื่อนของเพื่อนในทำนองเเสดงความยินดีกับการลาออกเเละได้งานใหม่ของหญิงสาว
   
หนูพุกตัดสินใจโทรติดต่อฝ่ายนั้นทันที เขาพอจะจำได้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูมีความสุขกับงานที่ทำเท่าไหร่ คงเป็นโชคดีของเขาที่อีกฝ่ายรับสายทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคอยนานนัก

เขาถามไถ่ถึงเรื่องสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อย ก่อนจะเข้าเรื่องประเด็นการลาออกที่เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง สถาปนิกหัวหน้าทีมพรีเซนต์โครงการใหญ่ซึ่งดูคล้ายจะไปได้สวยดันจะลาออกกลางคัน

...มันควรจะมีเเรงจูงใจมหาศาลทีเดียวกับการต้องออกจากงาน...
   
[ จริง ๆ ก็จะลาออกมานานแล้ว ทุกวันนี้เหมือนโดนบีบออกนั่นเเหละเเก ]
   
“หืม… บีบออกเลยหรือ”

เลขาหนุ่มก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ… เขายังเหลือเวลาอีกสิบห้านาทีกว่าจะได้เวลาเข้างานตอนบ่าย หนูพุกเปลี่ยนใจไม่เรียกพนักงานในร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าใกล้ออฟฟิศมาเก็บเงิน แต่เเกะขนมถ้วยที่มีวางไว้ทุกโต๊ะขึ้นกินไปด้วย

   [ ทำนองนั้นเเหละพุก จริง ๆ ก็เป็นมาได้สักพักแล้วนะ เวลาฉันเสนองานไปก็โดนตีกลับมาแก้ตลอด ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าฉันงานห่วยขนาดนั้นเลยหรือวะ ] เธอรำพันความทุกข์ใจ

   “แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่ามันคือการบีบออก”

   [ เขาไม่ป้อนงานให้เลย ให้นั่งว่างติดเก้าอี้ไปอย่างนั้นแล้วบอกว่าจะให้ฉันเป็นหัวหน้าทีมทำโรงเรียนศิลปะ แต่พอถึงเวลาไอ้โครงการนี่เขาก็ล็อบบี้ให้พัฒนาแบบต่อจากที่เขาคิดมา บอกตรง ๆ ว่าอึดอัดว่ะ มันเหมือนฉันเป็นตัวไม่มีประโยชน์ แกนึกออกไหม ]

จากที่หนูพุกพยายามจะฟังหูไว้หูคิดว่าเพื่อนตัวเองอาจมีส่วนร่วมกับการขโมยข้อมูลก็เริ่มจะคิดว่าเรื่องนี้มันเเปลกเเปร่ง จึงได้แต่ฟังต่อไป

[ ‘แล้วเรื่องนี้มันก็บ้าขึ้นเรื่อย ๆ วันที่ฉันไปเจอบริษัทแกพรีเซนต์งานอยู่หน้าห้องประชุม… งานมันคล้ายกับอันที่เจ้านายให้มามากเลยว่ะ อันที่จริงมันก็ทะเเม่ง ๆ ตั้งแต่แบบครั้งแรกแล้ว ]
   
“ยังไงวะ” มือเรียววางถ้วยเคลือบขนาดเล็กที่ว่างเปล่าเเล้วลงและเริ่มต้นอีกถ้วยหนึ่งให้ครบคู่
   
[ ก็ไฟล์ที่เขาให้ฉันมาทำต่อมันคืองานที่เหมือนจะเสร็จแล้ว แกเก็ทไหม ยิ่งมาเจอของบริษัทแกวันนั้นฉันก็ยิ่งสงสัยว่ามันคล้ายกันจนเหมือนลอกกันมาเลย… ]

 คนฟังหัวเราะในใจ เพื่อนเขาคงช็อคจนหงายหลังเเน่ถ้าพบว่าไฟล์จริงก่อนพรีเซนต์เป็นเเบบไหน
   
[ ฉันก็ไม่ได้อ่อนหัดขนาดจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันมีนอกมีในแน่ ๆ ไม่อยากโดนหางเลขไปด้วยเลยชิงลาออกก่อน ตอนนี้ก็ได้งานใหม่แล้ว แฮปปี้ ] เธอหัวเราะ คล้ายกับว่าสิ่งที่เผชิญเป็นฝันร้ายที่ผ่านพ้นไป

“แต่ตอนนี้ฉันไม่แฮปปี้ว่ะ คนเกือบทั้งออฟฟิศดันเชื่อไปแล้วว่าฉันเป็นคนขายความลับบริษัท”

หนูพุกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เขายังจับมือใครดมไม่ได้ หากพอจะรู้ว่าไอ้เรื่องที่เขาโดนกันจากโปรเจคใหญ่เเพร่กันไปถึงไหน แม้ว่าพนักงานรวมเเล้วจะมีไม่ถึงสิบชีวิตดี แต่เพราะคนยิ่งน้อยนั่นล่ะ ข่าวก็เลยยิ่งไวเป็นไฟลามทุ่ง

[ เวร… แกจะทำไงต่อไปอ่ะ ]

“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ยังไงฉันต้องพิสูจน์ก่อนว่าฉันไม่ใช่คนผิด”

ไม่ใช่ว่าหนูพุกไม่โกรธ เขาต้องอดทนทำงานมาหลายวันท่ามกลางคำครหาอย่างเงียบเชียบ จะขยับตัวไปไหนมาไหนก็มีเเต่สายตาเพ่งเล็ง พี่เต้ยเเทบจะไม่เสวนากับเขานอกจากการคุยธุระหรือการสนทนาไปตามมารยาท

ยิ่งไปกว่านั้นเขาโกรธพี่ภู ฝ่ายนั้นไม่มีแม้เเต่การพูดคุยทำความเข้าใจ แต่ดันตัดเขาออกมาดื้อ ๆ เหมือนงานนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หนูพุกคิดว่าตัวเองไม่ควรเลยที่จะต้องมาเผชิญสถานการณ์อันเลวร้ายในเมื่อเขาทำงานให้ด้วยความขยันเเละซื่อตรง

...ในฐานะคนทำงาน เขาเกลียดการเทให้หมดหน้าตักแต่กลับไม่ได้รับความไว้วางใจสักกระผีก...
   
[ แล้วแกจะพิสูจน์ยังไง ]
   
“เฮ้อ ก็คงต้องหาหลักฐานไปเรื่อย ๆ ระหว่างนี้ก็อดทนไปก่อน” นิ้วเรียวเคาะโต๊ะไม้เบา ๆ อย่างใช้ความคิด “ขอเฟสบุ๊กเจ้านายแกหน่อยดิ”
   
[ ขอหาก่อนนะ พอดีฉันไม่เป็นเฟรนด์กับพวกที่ออฟฟิศว่ะ แต่ว่าถ้าเจอแล้วจะส่งให้ทันทีเลย ] ความหวังขั้นต่อไปของเลขาหนุ่มย้ายไปอยู่ที่เพื่อนสนิทแล้ว
   
ระหว่างนี้หนูพุกก็คิดว่าจะติดตามผู้ต้องสงสัยไปพลาง ๆ สถาปนิกผู้มีอายุมากที่สุดในทีมถูกส่งลงไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ตเเละตรังตลอดสัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงตัดตัวเลือกนี้ออกไป เหลือเพียงเเค่คุณแดนเเละน้องปูน
   
แดนดินเองก็ตัวติดพี่เต้ยยิ่งกว่าเงาตามตัว มันคงยากถ้าจะแอบไปเกาะติดนอกรอบ สถาปนิกหนุ่มน้อยจึงเป็นตัวเลือกสุดท้ายของหนูพุกที่ดูจะเป็นไปได้
   
การที่พี่เต้ยนำงานของปูนมาปรับใช้วันนำเสนอโครงการวันนั้นทำให้หนูพุกสร้างสมมติฐานหนึ่งขึ้นในใจเงียบ ๆ หากว่าสถาปนิกรุ่นเล็กต้องการจะโดดเด่นจนคิดจะกำจัดงานของทีมทิ้งแล้ววางเเผนให้เต้ยนำงานเขามาใช้ตั้งแต่เเรกล่ะ
   
เพราะฉะนั้นหนูพุกก็เลยเลิกงานเร็ว แอบติดตามสถาปนิกหนุ่มมาได้สามวันแล้ว แต่ก็ไม่ได้พบว่าอีกฝ่ายมีท่าทีอะไรนอกจากมากินข้าวเย็นกับเด็กผู้ชายวัยมัธยมปลายเหมือนเดิม ทว่าท่าทีของเป้าหมายในวันนี้ทำให้อะดรีนาลินในตัวของหนูพุกพุ่งพล่าน

...วันนี้ปูนมาคนเดียว…

หนูพุกมองหามุมที่คิดว่าเป็นทำเลเหมาะสมแก่การสังเกตการณ์ หากอีกฝ่ายเล่นลุกขึ้นสบตาเขาอย่างองอาจแล้วเดินเข้ามาทักทาย

“นั่งด้วยกันสิครับ ผมเห็นพี่พุกตามผมมาสองวันเเล้วนะ”

...สถาปนิกตัวเล็กรู้เห็นมาโดยตลอดแต่ก็ยังปล่อยให้เขาแอบตามอย่างนั้นหรือ…

“เราแค่บังเอิญเจอกันเท่านั้นเอง”

หนูพุกระบายยิ้มทั้งที่ในใจเหงื่อตก น้องปูนในวันนี้ไม่เหมือนคนที่เคยหน้าซีดตัวสั่นเรื่องบ้านคุณเอมเลยสักนิด สงสัยวันนั้นจะตกใจจนหมดท่าจริง ๆ

“บังเอิญไปจนถึงหน้าคอนโดผมเลยนะพี่” เสียงเล็ก ๆ หัวเราะในลำคอ เปิดเมนูแล้วเลือกราเมนอย่างรวดเร็วราวกับคิดมาก่อนแล้ว ในขณะที่คนเเก่วัยกว่าได้เเต่จิ้ม ๆ บอกพนักงานไปอย่างไม่ใส่ใจนัก

“นี่ตกลงคิดว่าผมเป็นคนเอาข้อมูลไปปล่อยจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย” มือสั้น ๆ ขนาดพอดีกับส่วนสูงยกขึ้นนวดขมับ หากเป็นเมื่อก่อนหนูพุกคงจะมองว่าน่ารักไม่หยอกทีเดียว

“แล้วน้องปูนทำหรือเปล่าล่ะ” หนูพุกยกเเก้วชาเขียวเย็นขึ้นดูด มองคู่สนทนาอย่างตั้งคำถามและยังคงเส้นคงวาด้านความสุภาพ

“ก็ไม่ได้ทำน่ะสิครับ”   

“พูดเฉย ๆ แล้วจะให้พี่เชื่อเนี่ยนะ ง่ายไปหรือเปล่า” หนูพุกขมวดคิ้ว

“เฮ้อ เพราะพี่เคยเดินมาปลอบผมตอนโดนคุณเอมด่ากับช่วยคุยกับพี่ภูไม่ให้ดุผมเยอะหรอกนะ” ปูนถอนใจยาว เขาไม่ค่อยอยากจะยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างโฉ่งฉ่าง เพราะไม่อยากให้เรื่องมันเข้าตัว

“พี่แดนเนี่ยแหละ เอาเรื่องที่สงสัยว่าพี่ขายข้อมูลไปบอกทีมอื่นจนเขารู้กันหมดว่าเกิดอะไรขึ้น”

“คุณเเดนเนี่ยนะ” เลขาหนุ่มทวน… ผู้ต้องสงสัยที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดของเขาน่ะหรือจะทำอย่างนั้น คิดไปหนูพุกก็จับโกหกคู่สนทนาไปด้วย

ใครจะไปรู้… ปูนอาจจะเป็นคนทำแล้วสร้างเรื่องก็ได้นี่

“ผมได้ยินมาอีกทีหนึ่ง จริง ๆ ตอนแรกผมก็สงสัยแค่พี่กับพี่เเดนเนี่ยแหละ” ปูนเเกะตะเกียบ คลี่ราเมนเส้นเรียวออกจากกัน

“ทำไมถึงสงสัยพี่ล่ะ” หนูพุกคีบเส้นขึ้นเป่า มองคนพูดเจื้อยเเจ้วอย่างค้นหา

“ผมรู้นะ ว่ามันไม่ค่อยเเฟร์เท่าไหร่ แต่ว่าพี่เพิ่งมาทำงานใหม่ก็โดนเพ่งเล็งง่ายอยู่เเล้ว แถมอยู่ดี ๆ มาโดนถีบออกจากโปรเจ็คอีก… แบบนี้จะให้คิดว่าไง” ปูนยักไหล่ สูดเส้นคำโตเหมือนอยู่ในเทศกาลเเข่งกินไวอย่างไรอย่างนั้น

“แล้วเรื่องคุณเเดน ?”

“ตอนแรกผมก็เฉย ๆ จนเขาพูดเรื่องพี่กับคนอื่น… ไม่รู้สิ มันผิดวิสัยนะ ปกติพี่เเดนไม่ค่อยร่วมวงจับเข่าคุยอะไรกับใครเท่าไหร่ แต่ดันเอาเรื่องสำคัญมากระจาย พี่ว่ามันไม่น่าสงสัยหรือ”

“ก็จริง… ปูนนี่ช่างสังเกตดีนะ” หนูพุกเริ่มคล้อยตาม เพราะเเดนดินเป็นคนพูดน้อย ซึ่งก็นับว่าเป็นจุดเเข็งอย่างหนึ่ง ด้วยคนที่ไม่ค่อยพูด พอถึงเวลาต้องพูดมันจึงดูมีน้ำหนักมากกว่าปกติในสายตาคนฟัง

แต่เลขาหนุ่มก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าหากเเดนดินเป็นคนทำจริง เขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็คบหาอยู่กับเจ้าของหุ้นเกือบครึ่งของบริษัทเเท้ ๆ ไม่น่าจะหาเรื่องเข้าเนื้อตัวเอง

“เก่งใช่ไหม… พอดีตอนเด็ก ๆ ผมชอบดูโคนันน่ะ” เด็กหนุ่มหน้าอ่อนยิ้มกว้าง บรรยากาศของการพูดคุยผ่อนคลายลงเมื่อเเดนดินสลับขึ้นมาเป็นผู้ต้องสงสัยลำดับหนึ่ง

“แล้วไม่มีใครสงสัยพี่คนนั้นหรือ” หนูพุกเอ่ยถึงคนที่ไปทำงานไกลถึงภาคใต้ ไหน ๆ ก็ถือโอกาสเก็บข้อมูลไปเสียเลย

“ไม่หรอกพี่พุก พี่แกถือศีลห้า… เคร่งมากด้วย เหล้ายานี่ไม่เคยเเตะ ไม่พูดโกหก ไม่ลักขโมยด้วย เงินทอนค่าน้ำสามบาทของผมที่เคยบอกว่าไม่ต้องทอนเขายังไม่เอาเลย”

ปูนหัวเราะ คราวนี้เขามีหลักฐาน หนุ่มน้อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเฟสบุ๊กของอีกฝ่ายที่แชร์เเต่เรื่องทำกุศล ในแกลลอรี่รูปมีทั้งรูปไปปฏิบัติธรรม ไปเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หนูพุกอ้าปากค้างเมื่อปูนเลื่อนไปถึงภาพที่อีกฝ่ายใส่ชุดขาวเเล้วนั่งเคียงข้างมัคทายกวัดป่าในต่างจังหวัด

ก็เห็นเเต่งตัวดูมีสไตล์ หนวดเคราเฟิ้มไปหมด ในไลน์มีเเต่รูปล่าเหรียญรางวัลวิ่งมาราธอน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีอีกมุมเป็นคนเคร่งศาสนา
   
“อึ้งไหม.. ผมโคตรช็อคเลยตอนเห็นครั้งแรกน่ะ” ปูนกดปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วกินต่อ ในชามเขาพร่องไปมากเเต่ของหนูพุกยังเเทบไม่ยุบเลย

“แปลว่าคนนี้ตัดไปได้เลยสินะ” หนูพุกรู้สึกว่าโชคดีที่ได้คุยกับน้องปูน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่วางใจ ตาเรียวเหลือบเห็นข้อความที่คอยมาตลอดวัน

...ดูเหมือนเพื่อนของเขาจะได้อะไรมากกว่าที่คิด...

‘อันนี้ชื่อเฟสบุ๊กที่แกขอ มันมีงานที่เขาเคยทำแบบนี้คล้าย ๆ กันแต่ว่าตอนนั้นฉันเป็นแค่ลูกทีมว่ะ แกลองดูนะ’
ภาพบนเฟสบุ๊กทำให้หนูพุกเเทบไม่เชื่อสายตา เขาพยายามกดเลื่อนดูรูปโพรไฟล์ของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจแม้ว่ามันจะถูกตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นส่วนอื่นๆในไทม์ไลน์ได้

...นี่มันผู้ชายคนที่อยู่กับเเดนดินที่ข้าวสารวันนั้นชัด ๆ เลย...

“พี่พุก อมข้าวเดี๋ยวก็ฟันผุหรอก มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ปูนมองคนอมเส้นราเม็งจนเเก้มตุ่ยยิ้ม ๆ หากเห็นท่าทางจริงจังกดโทรศัพท์ไปหน้าซีดไปแบบนั้นเขาก็ชักจะห่วง

“ปูนรู้จักคนนี้ไหม” โทรศัพท์ของหนูพุกถูกยื่นให้กับเพื่อนร่วมงานดู

“อ๋อ รู้ ๆ รุ่นพี่คณะผมเนี่ยเเหละ แต่ว่าจบไปนานแล้วนะ ผมเข้ามาไม่ทันเขาหรอกแต่ได้ยินคนบอกว่างานเทพเยอะอยู่” ปูนพยักหน้า แล้วก็เพิ่งจะนึกได้คล้ายเเสงไฟสว่างวาบขึ้นกลางสมองทีเดียว

“เดี๋ยวนะ… พี่คนนี้แกจบที่เดียวกับผม… พี่เเดนก็จบที่เดียวกับผมเหมือนกันนี่หว่า…”

“พี่ว่าน่าจะเจอตัวเเล้วล่ะ”

หนูพุกหัวเราะในลำคอ เขาค่อนข้างแน่ใจเเล้วว่างานนี้เป็นใคร ถึงจะยังไม่ทราบถึงเเรงจูงใจ เสียดายที่ขาดเพียงเเต่หลักฐานเพื่อมัดตัวให้อยู่เท่านั้นเอง

คืนนั้นหนูพุกแทบนอนไม่หลับ เขารอคอยที่จะให้ฟ้าสางรีบมุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศเปิดดูงานเก่าที่น่าจะคล้ายกับงานที่เพื่อนสาวส่งมาให้ แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่ค่อยเห็นอกเห็นใจกันเมื่อวันนี้ทั้งวันมีแต่สายโทรเข้า หนูพุกต้องออกไปนอกบริษัท คราวนี้เขาเริ่มรู้แกวแล้วว่าหากตัวเองออกไป คีรินทร์ต้องเปิดประชุมลับหลังกันแน่ ๆ

หากเป็นคนอื่นที่ทำกับเขาแบบนี้ หนูพุกจะตั้งตาคอยดูความหายนะของบริษัทระหว่างหางานใหม่ไปอย่างเงียบเชียบ

แต่นี่คือพี่ภู… คนที่เขาปลื้มมาตั้งแต่เด็ก ๆ นี่นะ ซ้ำยังรับเขาเพราะเจ้านายเก่าฝากงานให้อีกต่างหาก

“ก๊อปเนียนมาก...”

หนูพุกเปิดงานที่เคยผ่านตามาบ้าง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่คิดอ่านทบทวนข้อมูลเก่าในช่วงที่เข้ามาทำงานใหม่ ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลานั่งเปิดดูไปเรื่อย ๆ หลายสิบโครงการทีเดียว

สองสามโครงการที่เขาได้มาเป็นโครงการเมื่อสองปีที่แล้ว พอนำแปลนมาเทียบกันก็เห็นว่ามันเเทบจะเหมือนกันเป๊ะ ๆ ต่างกันที่ขนาดพื้นที่และต้นไม้ที่นำมาใช้ลงเท่านั้นเอง

เลขาหนุ่มยิ้มกริ่มรวมไฟล์ทั้งหมดส่งให้อีเมลล์คุ้นเคยที่มักจะส่งงานกันเรื่องงบการเงินมากกว่า

...ถ้างานนี้เขาเจ็บ แดนดินก็ต้องเจ็บมากกว่า…

เขาควรจะรู้ว่าคิดผิดที่จะมาป้ายสีกันง่าย ๆ หนูพุกไม่ใช่กระดูกอ่อนที่จะให้ใครมาเคี้ยวเล่น!

มือน้อยกดสั่งพิมพ์งานต้นฉบับของพี่ภู และพิมพ์ข้อมูลของฝั่งบริษัทเพื่อนที่ได้มาบางส่วนด้วย หนูพุกทำไฮไลต์ทุกข้อความที่เห็นว่าสำคัญ ตั้งแต่วันที่เปิดโปรเจ็ค และวันที่สร้างจริงไปจนปิดโปรเจ็ค ซึ่งฝั่งนั้นก็ล้วนแต่ทำหลังจากเขาเกือบปีได้
 
“พี่ภูครับ รบกวนช่วยดูเอกสารอันนี้ แล้วก็เซ็นอนุมัติให้หน่อยนะครับ”

คีรินทร์เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ วันนี้เลขาของเขาสดใสกว่าทุก ๆ วัน รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นไม่ใช่เพียงการยิ้มเพื่อมารยาทเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

“กลับแล้วหรือ”

“จะไปแล้วครับ สวัสดีครับพี่ภู”

คนแก่วัยกว่ายกมือรับคนที่กระพุ่มมือไหว้อยู่เป็นนิจ ตั้งแต่โดนกันออกจากโปรเจ็คถนนวิทยุ หนูพุกก็เลิกงานตรงเวลาเสมอ มีแต่วันนี้ที่อีกฝ่ายอยู่ล่วงเวลาจนเกือบสองทุ่ม เขาเหลือบมองเอกสารรอบเย็นที่มีเเฟ้มใสสอดมาด้วย

หัวคิ้วของเจ้านายขมวดเข้าหากันเมื่อพบว่ามันเป็นงานเก่า เอกสารสองสามชุดถูกเย็บมาด้วยกัน ครึ่งหนึ่งเป็นงานที่เขาคลุกคลีตีโมงมาด้วยตลอด หากอีกครึ่งหนึ่งเป็นงานจากบริษัทคู่เเข่งที่ได้ข้อมูลไป ถูกเทียบให้เห็นอย่างชัดเเจ้ง ที่สำคัญ ชื่อผู้รับผิดชอบโครงการนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้ชัด ในเมื่อทุกโครงการมีชื่อสถาปนิกผู้รับผิดชอบคนเดียวกัน

...แดนดิน...

ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าการไม่เคยจับได้ว่าข้อมูลรั่วออกไป ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่เคยเกิดขึ้น

มือใหญ่หยุดอยู่ที่กระดาษใบสุดท้ายที่ถูกสอดมาด้วยกัน สายตาคมกวาดมองตัวอักษรที่เรียงเป็นระเบียบเเล้วก็รู้สึกว่าในอกวูบโหวงราวกับใครมาควักเอาอะไรออกไป

เนื้อหาในกระดาษเป็นใบเเจ้งความประสงค์จะลาออก มันถูกพิมพ์มาอย่างเรียบร้อยเเละมีลายเซ็นที่เขาเห็นจนเจนตากำกับชัด

คีรินทร์ประจักษ์เเก่ใจว่าเขาทำพลาดมาตลอดในวินาทีนั้น… หนูพุกปลดเปลื้องตัวเองได้อย่างขาวสะอาด นี่คือความจริงแท้เบื้องหลังรอยยิ้มสุขสดใสเหล่านั้น

เขาลุกจากเก้าอี้ ทิ้งงานทั้งหมดไว้บนโต๊ะ หันหลังให้เสียงโทรศัพท์มือถือที่กระหน่ำโทรเข้าหา สองขาก้าวออกไปหมายจะให้ทันคนที่ออกไปก่อนไม่ถึงสามนาที

คีรินทร์ใจเต้นเเรง เบื้องหน้ามีเพียงเเผ่นหลังของเลขานุการหนุ่มกำลังเดินก้าวออกไปจากหน้าประตูกระจก สองเท้าย่ำไปบนพื้นหินในสวน ในมือของอีกฝ่ายถือโทรศัพท์เเนบเสี้ยวหน้าข้างหนึ่ง ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ลดระดับฝีเท้าลงเปลี่ยนเป็นเดินตามหนูพุกไปอย่างเงียบเชียบ

“ถ้าใบลาออกอนุมัติแล้วก็คงทำงานอีกประมาณหนึ่งเดือนตามกฎหมายแหละม้า… อื้อ… กลับไปช่วยม้ากับป๊าที่บ้านสบายใจกว่า” หนูพุกหัวเราะเบา ๆ หากมันกรีดใจคนแอบฟังเสียขาดวิ่น เขาเลือกทำไม่ดีกับคนที่อุทิศทุกอย่างให้บริษัท ไม่แปลกใจแล้วที่หนูพุกจะหมดใจและลาจากไปง่าย ๆ

“เดี๋ยวเสาร์นี้พุกคงกลับบ้าน คิดถึงป๊ากับม้านะ น้องด้วย ครับ เดี๋ยวพุกถึงคอนโดแล้วโทรหาใหม่นะ”

“หนูพุก…” มือใหญ่เเตะเบา ๆ ที่ข้อศอกของอีกฝ่าย คนที่กำลังจะเดินผ่านรั้วหน้าออฟฟิศหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มชืดจาง ดวงตาเรียวหล่อไปด้วยน้ำใส ๆ

…หนูพุกรักงานของตัวเองมาก แต่มันไม่มีความหมายหากทั้งหมดที่เขาทำจะไม่สามารถซื้อใจใครได้เลยแม้กระทั่งเจ้านายที่ทำงานใกล้ชิดกันที่สุด…

ยิ่งโทรคุยกับหม่าม้าแล้วอีกฝ่ายบอกให้หนูพุกกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่บ้าน จะหางานใหม่หรืออะไรก็ค่อยว่าไปยิ่งทำให้เขาอ่อนไหวมากกว่าเดิม

“อ้าวพี่ภู พุกลืมทำอะไรหรือเปล่าครับ ข้าวเย็นก็จัดให้แล้วนะ หรือว่ามีงานอะไรผิดตรงไหน” เลขาหนุ่มรัวคำพูดใส่เขาอย่างกับซ้อมยิงปืนกล ยิ้มกว้างขวางขึ้นอีกทั้งที่ในใจมีแต่ความอึดอัดเต็มล้น

“รีบกลับหรือเปล่า พี่ขอคุยด้วยหน่อย” มือใหญ่เลื่อนลงเเตะที่ข้อมือเล็กราวกับจะขอร้อง

...พี่ภูคงเห็นใบลาออกนั่นเเล้ว...

“ได้ครับ” หนูพุกรับคำ รู้ว่าปฏิเสธไปพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอยู่ดี คุยกันไปเสียตั้งตอนนี้ให้มันจบไปน่าจะดีกว่า หากชายหนุ่มก็ไม่ได้ปล่อยมือ ทั้งยังกำข้อมือเลขาหนุ่มไว้คล้ายกับกลัวว่าร่างเพรียวระหงจะหลุดลอยจากไป
เพราะไม่มีใครอยู่ที่บริษัทอีกเเล้ว คีรินทร์จึงไม่เสียเวลาเเม้แต่จะคุยกับหนูพุกที่ห้องทำงานส่วนตัว เขาเดินนำเข้าไปในโถงทางเดินรับเเขก รอบข้างเป็นกระจกใสบานกว้างสามารถมองออกไปเห็นเเมกไม้น้อยใหญ่ในสวนด้านนอกได้ทุกทิศทาง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จับจองเก้าอี้สตูลทำจากไม้สีอ่อนขัดจนเงาตัวหนึ่ง เว้นที่ข้างเคียงกันให้กับเลขาหนุ่ม

“พี่ขอโทษนะ สำหรับการเป็นเจ้านายที่ไม่ได้เรื่อง” เสียงทุ้มชิงเอ่ยก่อน เขาเห็นท่าทีของหนูพุกก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในสถานะที่อารมณ์ไม่มั่นคงเท่าใดนัก

“คือ… อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” หนูพุกเหมือนคนน้ำท่วมปาก โกรธเขาก็โกรธ แต่อีกใจก็ยังห่วงใยอยู่มาก เขาถอนใจ ทาบมืออีกข้างลงบนหลังมือใหญ่ที่ยังไม่ยอมปล่อยกันไป

“งั้นเรามาคุยกันจริง ๆ นะครับพี่ภู… เรื่องนี้พุกโกรธมาก”

สายตาคมทอดมองคนบอกว่าโกรธ ดวงตาเรียวแดงขึ้นนิดหน่อย และน้ำในหน่วยตานั่นก็คลอขึ้นจนเขาใจเสีย เเววตาที่มองสบมาคล้ายมีสิ่งอื่นใดมากกว่าความโทโสเปล่า ๆ หากมันเจืออยู่ด้วยความเสียใจมากทีเดียว

“พูดมาเถอะ”

“พุกโกรธที่พี่เตะพุกออกมาจากงานนั้นโดยที่ไม่บอกอะไรสักคำ พี่ทำเหมือนพุกไม่มีตัวตน ทำทุกอย่างลับหลัง… ถ้าพี่เรียกพุกไปคุยก่อน มันจะไม่เป็นเเบบนี้เลย”

เสียงเลขาหนุ่มเอ่ยเเผ่วเบา หนูพุกหลบตาเขาเเล้วพูดต่อ ในตอนนี้เลขานุการหนุ่มไม่แตกต่างอะไรกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ลาวาร้อน ๆ ที่สะสมอยู่นานพวยพุ่งขึ้นอย่างยากที่จะระงับ

“คือ… พุกแค่รู้สึกว่าพุกรักงานนี้ พุกรักที่นี่ ก็เลยตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีมาตลอด… ถึงมันจะเป็นเเค่ระยะเวลาสั้น ๆ แต่พุกก็ทุ่มสุดตัว อาทิตย์หลังมานี้พุกต้องอดทนอยู่กับคำกล่าวหาที่ว่าพุกคิดไม่ซื่อกับบริษัท มันโกรธ… โกรธที่ต้องมาอดทนกับเรื่องงี่เง่าที่เราไม่ได้ทำ”

คนระบายความในใจตัวสั่นเทิ้ม หลุบตาลงต่ำเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถซ่อนน้ำร้อนผ่าวที่เอ่อล้นออกมาได้อีกต่อไป เขาแกะมือออกจากการเกาะกุมของคนที่นิ่งค้างไป ยกหลังมือสองข้างช่วยกันป้ายน้ำตาออกลวก ๆ ราวกับเด็กไม่กี่ขวบ

“แต่ที่เสียใจ...คือการที่คนที่ทำงานใกล้ชิดกันที่สุดกลับไม่มีความเชื่อใจกันสักนิด มันเหมือนพุกไม่เหลือใครเลย...”

วินาทีนี้หนูพุกไม่ต่างกับสัตว์เล็ก ๆ ที่นุ่มนิ่มอ่อนเเอในสายตาคีรินทร์  เขายอมรับผิดทุกประการตามที่อีกฝ่ายว่าไว้ ในครั้งนี้เขาเดินเกมผิดพลาดทั้งสิ้น

“ชู่ว...ไม่ร้องแล้ว พี่ขอโทษนะ… ขอโทษทุกอย่างเลยครับ” 

ยิ่งพอหนูพุกสะอื้นคนมองก็เหมือนในอกเป็นโพรงลึกกว้างเเละว่างเปล่า เขาเป็นลูกชายคนกลางที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างลูกคนเล็กไม่เข้าใจเลยว่าการจะต้องปลอบประโลมใครสักคนจะต้องทำอย่างไร เขาไม่เคยเห็นใครร้องไห้ตัวสั่นงันงกในระยะเผาขนอย่างนี้ แถมตัวเองยังเป็นตัวการเสียอีก

เลขาหนุ่มไม่ต่างอะไรกับกุ้งตัวนิ่มที่ถูกลอกคราบจนไม่เหลือความเข้มเเข็งใดฉาบไว้… เขาไม่อยากเห็นคนที่ยิ้มร่าเริงมาตลอดต้องเปราะบางขนาดนี้เลย

คีรินทร์ลุกขึ้น วงเเขนใหญ่อ้าออกกว้างโอบเอาคนตัวบางเข้าอก เขาลูบเเผ่นหลังเล็กเบา ๆ อย่างปลอบโยน น้ำตาร้อนผ่าวไหลเปียกเสื้อยืดสีเทาของเขาจนเปียกชุ่มเป็นด่างดวง มือใหญ่เชยคางหนูน้อยที่ร้องไห้จนหน้าเเดงหูแดงขึ้นสบตากัน
 
“ไหนมาคุยกันดี ๆ ก่อน ดูซิ แอบสั่งขี้มูกกับเสื้อพี่หรือเปล่าเนี่ย”

“ฮื่อ! เปล่าสักหน่อย” หนูพุกร้องเสียงอู้อี้ อยากจะทุบพี่ภูสักทีสองทีให้รู้ว่าเขาไม่ตลกด้วย กว่าจะรู้ตัวว่าตอนนี้สภาพคงขี้เหร่น่าดูก็เลยมุดตัวกลับเข้าไปเอาหน้าฝังไว้ที่เดิม

...แม้กระทั่งวินาทีนี้วงแขนอบอุ่นก็ยังไม่ละออกจากตัวเขาเลย…

“พี่ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ เลยที่ทำให้เรารู้สึกเเย่แบบนั้น” กระเเสเสียงนุ่มทุ้มนั้นหนักเเน่นเหมือนขุนเขาเท่า ๆ กันกับชื่อจริงของเจ้าตัว

“ครับ”

“ถ้าพี่จะขอโอกาสให้เริ่มต้นกันใหม่เราจะว่ายังไง ยังอยากทำงานกับเจ้านายไม่ได้เรื่องคนนี้อยู่หรือเปล่า ยังรักที่นี่อยู่ไหม…”

นิ้วโป้งใหญ่เกลี่ยคราบน้ำตาบนเเก้มนวลออก คีรินทร์จดจ้องดวงตาเรียวอย่างค้นหา ประกายตาของอีกฝ่ายสั่นระริก ตอบกลับมาเสียงเเผ่ว

“รักครับ”

...ความรู้สึกนั้น มิใช่เพียงแต่สถานที่ หากรวมไปถึงเจ้าของคำถาม…

ถึงขนาดนี้แล้วแต่หนูพุกยังไม่ยอมปล่อยมือ คำจำกัดความสั้น ๆ ว่า ‘ชอบ’ หรือ ‘ปลื้ม’ ที่เคยใช้คงไม่เพียงพออีกต่อไป

เลขาหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำคล้ายหูอื้อตาลายไปหมดยามที่เจ้านายก้มลงกระซิบใกล้ชิด ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอวางทิฐิมานะและความโกรธเคืองเรื่องงานไปตั้งแต่เมื่อใด

“ถ้ายังรัก… ก็อยู่ด้วยกันนะ”


----------------------------------------------------------------------------------------

โอ้โห มาง้อแบบนี้ก็ได้หรอคะพรี่.... 5555555555

จริงๆตอนนี้เส้นเรื่องหลักไม่ได้เดินหน้าไปไกลมากเท่าไหร่   :z10: :z10:

คนเขียนก็เลยกะว่าอาทิตย์นี้จะอัพสองครั้งค่ะ  :katai4: :katai4:

ยังไงฝากด้วยนะคะ ;-; มาลุ้นแรงจูงใจของคนร้ายไปด้วยกันน้า  ใครถ่ายถูกให้สิบบาทเลยเอ้า!

ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-07-2018 17:28:09
 :L2: :L1: :pig4:

ชอบตอนนี้จังเลย
รัก อะไรคงไม่ต้องบอกเนาะ พุกเนาะ

มีความสุข หายเครียดอีกพักหนึ่ง เย้เย้
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 19-07-2018 17:40:34
สงสารหนูพุกกกกกกกก ร้องตามเลยเนี้ยยยย รอๆๆตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 19-07-2018 17:41:48
โกรธแทนหนูพุกมากกก :katai4: ทุกคนทำไม่ดีกับพุกมากๆ ถ้าไม่ติดว่าพุกรักภูเป็นเราจะลาออกต่อให้เค้ามาง้อก็จะลาออกก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 19-07-2018 18:15:03
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 19-07-2018 18:19:35
หนูพุกอย่าปล่อยคนร้ายให้ลอยนวลนะ ต้องให้พี่ภูจัดการขั้นเด็ดขาดเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-07-2018 18:39:58
พี่ภู!!!  กรีดร้อง  พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้ ตบหัวแล้วลูบหลังไม่ได้
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-07-2018 21:13:02
หนูพุก ฉลาด ทันคน ทันงานมากกกก   :hao3: :hao3: :hao3:
และเพราะหนูพุกมีเพื่อนดีด้วย หลักฐานเลยคาชื่อ คากระดาษ คาแฟ้ม
ฟ้องว่าใครทรยศ ใครที่เกลือเป็นหนอน
ไอ้ดอแดน เลวววววววววววววววว
พี่เต้ย รู้ทั้งนอกใจ ทั้งทรยศบริษัท   ขอโทษหนูพุกเลย   o18
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 19-07-2018 21:49:41
แรงจูงใจคงเป็นหลงคนทางนู้นแน่เลย ส่วนทางนี้ก็มาหลอกให้รักแล้วเอาข้อมูล
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 19-07-2018 21:51:02
หนูพุกอย่ายอมง่ายๆนะ!!!!! เราไม่ใช่หมูในอวย ที่ใครจะมาทำอะไรกับเราก็ได้ แค่ขอโทษแล้วจบ มันไม่ใช่!!!!!!? :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-07-2018 21:57:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

นู๋พุกอย่ายอมง่าย ๆ ต้องเล่นตัวนิดนึงให้พองาม  ให้เขารู้สึกว่าเรามีค่ายิ่งขึ้นไปอีก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-07-2018 02:45:02
พี่ภูสำนึกผิดให้เยอะๆ เลยนะถ้าไม่รักนี่หนูพุกคงปล่อยให้บริษัทล้มเพราะมีเกลือเป็นหนอนแน่
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 20-07-2018 07:50:59
นายแดนดินจริง ๆ ด้วย โธ่ สงสารพี่เต้ยล่วงหน้าเลย T^T
แสดงว่าพี่เต้ยโดนทั้งนอกใจ โดนทั้งหักหลังเรื่องงานเลย ฮือออ
แต่ก็ดี จะได้เชียร์พี่เต้ยกับคุณกวีได้เต็มที่ 555
หนูพุกเก่งมาก แล้วก็ดีที่เพื่อนของหนูพุกไม่มีส่วนกับเรื่องนี้ แถมยังช่วยให้ข้อมูลอีก
แล้วก็แอบสงสัยน้องปูนเหมือนเราเลย ขอโทษนะน้องปูน
เข้าใจความรู้สึกของหนูพุกนะ แต่ยังไงก็ให้โอกาสพี่ภูพี่เต้ยอีกครั้งน้าหนูพุก
พี่เต้ยตอนรู้ความจริงจะเป็นยังไงเนี่ย เหตุจูงใจนายแดนดิน คงจะหลงอีกฝ่ายมากน่ะสิ
ต้องเข้มแข็งเรื่องนายแดนดินให้ได้ แล้วก็มาขอโทษ ปรับความเข้าใจกับหนูพุกนะพี่เต้ย
อยากอ่านต่อแล้ว ตอนหน้ากระชากหน้ากากนายแดนดินสินะ ขอให้นายแดนดินกระอักเลือด ฮึ
รอตอนต่อจ้า ชอบเรื่องนี้มากกกก ^^

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 20-07-2018 18:53:07
สนุกมากกๆๆ รอตอนต่อไปนะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 21-07-2018 08:07:20
 :laugh: :laugh: :laugh: ถ้ายังรัก........ ก็อยู่ด้วยกันนะ  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-07-2018 16:17:03
 :z2: :-[
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-07-2018 19:02:49
แอบมาส่องตั้งแต่แรกๆ อุทานในใจว่าน้องน่ารักมาก ยิ่งอ่านยิ่งชอบนายเอกค่ะ ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-07-2018 19:08:31
 :katai5: :ling1:

รออออออ อยากรู้ว่าตอนต่อไปเป็นไงแล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 8 --- [ 19.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 22-07-2018 20:13:24
รออยู่นะจ้ะ   :mew1:
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 22-07-2018 21:19:23
Chapter 9

“พุกจะออก...” ร่างสูงใหญ่ที่ยืนเป็นหลักให้ลูกน้องกอดนานสองนานชะงักไป นอกจากการยอมรับความผิดที่ไม่บอกกล่าวแผนการให้ฟัง เขามัวเเต่ยุ่งวุ่นวายสารพัดเรื่องจนไม่ได้ทำสิ่งที่สมควรทำเป็นอย่างเเรก

เพราะความประมาทแบบนี้ จะทำให้เสียขุนศึกดี ๆ ไปสักคนก็คงไม่เเปลก

“ยื้อไม่ไหวแล้วใช่ไหมเนี่ย” คีรินทร์หัวเราะในลำคอ ทั้งเสียใจเเละเสียดายจริงๆ วงเเขนใหญ่ปล่อยคนที่เขาลืมตัวรวบมากอดไว้นานสองนานออกอย่างนุ่มนวล

“พุกจะออก… ถ้าพี่ทำแบบนี้อีก” หนูพุกสูดหายใจลึก ทอดมองรอยน้ำตาเป็นดวง ๆ บนเสื้อของคนอีกฝ่าย โกรธตัวเองไม่น้อยที่โดนเขาตบหัวเสียเเรงแต่มาลูบหลังกันไม่ถึงสิบนาที “ถ้าพี่ทำอะไรไม่บอกกันอีกครั้งเดียว พุกจะไปจริง ๆ” 

“งั้นพี่ว่ามีเรื่องที่พุกควรต้องรู้ร่วมกันล่ะนะ”

ชายหนุ่มเดินนำหนูพุกขึ้นไปที่ห้องทำงาน หยิบเอาใบขาวของหนูพุกไปหย่อนลงเครื่องย่อยทำลายเอกสารเสียให้สิ้นซาก ไม่รู้เลยว่ามีใครยิ้มหน้าบานอยู่เบื้องหลัง เมื่อเห็นว่ากระดาษซึ่งถูกเขียนขึ้นมาเพื่อลองใจของเขากลายเป็นฝอยเล็ก ๆ

...อย่างน้อยที่สุดพี่ภูก็ขาดเขาไปไม่ได้…

เจ้านายหนุ่มเปิดไฟล์ที่เซฟไว้ในแล็ปท็อปส่วนตัวให้หนูพุกชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยกัน เมื่อเห็นว่าไฟล์ภาพที่เเยกออกเป็นสองสามไฟล์นั้นคืออะไร ก็เหมือนกับว่ากล้ามเนื้อยึดรั้งกรามบนล่างหยุดทำงานกระทันหัน

...ทุกภาพประกอบด้วยเเดนดินเเละเจ้านายเพื่อนเขาในอิริยาบถต่าง ๆ กันไป...

“นี่พี่ภูจ้างคนตามสืบเลยหรือครับ”

กว่าเลขาหนุ่มจะเก็บกู้กรามที่ค้างได้ คีรินทร์ก็เลื่อนรูปให้ดูจนครบ ไม่ได้บอกว่าเขาเองก็ติดใจเรื่องข้อมูลอาจรั่วไหลตั้งแต่การนำเสนองานครั้งแรกแต่ก็ยังไม่เเน่ใจนักจึงได้แต่ปล่อยผ่านไป

“ไม่ขนาดนั้นหรอก วานคนรู้จักกันช่วยดูให้หน่อยน่ะ”

“แล้ว… คือพี่ไม่ได้สงสัยพุกหรือครับ” หนูพุกลอบมองใบหน้าคมสัน ผิวสีเเทน ปากหยักได้รูป จมูกโด่งรับกับตาคมโต…

   นิ้วน้อย ๆ แอบหยิกตัวเองใต้โต๊ะเรียกสติ นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมานั่งพินิจพิจารณาความหล่อของพี่ภูหรือเปล่า! ชายหนุ่มลอบถอนใจตั้งใจฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูด

   “สงสัยน้อยกว่าเเดน” ภูส่ายหน้าเเล้วยิ้มนิดหน่อย หากจะพูดว่าไม่เลยสักนิดก็คงไม่ต่างอะไรกับการโป้ปดในเมื่อเขาเองก็กระจายความสงสัยไปในตัวทุกคน

   “อ่า… ครับ”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่รู้สึกผิดจะแย่แล้ว” คีรินทร์ยกยิ้ม มองท่าทีหูลู่หางตกเเบบนั้นเเล้วก็ให้เอ็นดูระคนสำนึกผิดไม่หาย
 
...เขาจงใจกีดกันหนูพุกออกจากงานนี้เพื่อให้แดนดินชะล่าใจ ไม่ระวังตัวจนการติดตามของเขาเสียเรื่อง...

“ต่อเถอะครับ คือพุกสงสัยว่าอาจจะเป็นการ...นอกใจ” สองคำสุดท้ายหนูพุกเองก็พูดได้ไม่เต็มเสียงนัก เนื่องด้วยถ้าจะคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ พี่เต้ยก็จะถูกดึงเข้ามาเป็นตัวแปร

“ตอนแรกพี่ก็คิดแบบนั้น แต่ความเสี่ยงต่ำมาก เท่าที่เห็นสองคนนี้ก็ไม่เคยมีพฤติกรรมส่อไปในทางนั้นเลย”

ดวงตาเรียวสีดำขลับจ้องไปบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ชายหนุ่มทั้งสองคนไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันไปมากเกินกว่าการกอดคอหรือตบหลังเท่านั้น อีกทั้งสถานที่ในภาพก็ยังเป็นพื้นที่เปิดโล่งอย่างร้านอาหารและสถานที่สาธารณะอื่นๆอีกด้วย

“แล้วจะมีเรื่องอื่นนอกจากนี้ไหมครับ อย่างเช่นความไม่ลงรอยกัน” นักสืบจำเป็นเเย็บถามเจ้านาย เพราะมาทีหลังเขาเองก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของความสัมพันธ์มากมายนัก

“จริง ๆ เขาก็ไม่ได้ไม่ถูกกับใครจริงจังนะ ดูเเล้วก็ทำงานได้กับทุกคน จะขัดกันมากหน่อยก็คงเป็นพี่” เมื่อพี่ภูหยุดพูด หัวหนูพุกก็แล่นฉิว

...อาจจะเป็นความไม่พอใจในตัวหัวหน้างานก็เป็นไปได้…

“เรื่องงานใช่ไหมครับ”

“จะให้ขัดกันเรื่องไอ้เต้ยหรือไงเล่า”

ชายหนุ่มขำคึ่ก ๆ เขากับเต้ยรู้จักกันตอนเรียนปริญญาโท ตอนนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานและกลับไทยในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อเห็นว่ามีวิสัยทัศน์เเละเป้าหมายที่ไปด้วยกันได้จึงเกิดการหุ้นกันสร้างบริษัทขึ้น

“ก็พุกไม่รู้นี่” คนอ่อนวัยทำปากยื่น หากอิ่มเอมใจเมื่อดวงตาสีเข้มของคู่สนทนาอ่อนประกายลงยามพูดคุยกัน

“เรื่องขัดกับพี่จนโกรธเอาเเบบไปปล่อยให้คนอื่นก็เป็นไปได้นะ แต่คงไม่ใช่สาเหตุหลักหรอก ลองดูเวลาสิ”

เขาชี้เวลาที่บริษัทคู่เเข่งปิดโปรเจ็ค คำนวณเวลาการปล่อยข้อมูลเทียบกับช่วงที่กระทบกระทั่งกันแรง ๆ แล้วมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่

“ห่างกันเยอะเหมือนกันเเฮะ”

ครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน ครั้งที่สองเเละสามเเทบจะติดกันคือต้นปีที่เเล้ว และครั้งสุดท้ายคือเมื่อเดือนที่เเล้วจนถึงตอนนี้

“แล้วพี่ภูคิดว่ายังไงครับ น่าจะมีสาเหตุอื่นอีกไหม แบบว่า… อาจจะไม่พอใจพี่เต้ย”

“ไม่น่าใช่หรอก เวลาตีกันกับพี่ส่วนใหญ่ก็ได้เต้ยช่วยสงบศึก งานไหนไม่ผ่านพี่... เต้ยก็ช่วยดูช่วยแก้ให้ตลอด”

คีรินทร์ยกมือนวดขมับ เขาคิดเรื่องนี้วนไปวนมาอยู่สองสามวันเเล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันมีเหตุผลจากอะไร ในเมื่อสองคนนั้นเเทบจะไม่เคยทะเลาะกันเลยด้วยซ้ำ

“สาเหตุจริง ๆ อาจจะต้องใช้คนใกล้ชิดเข้าช่วย” หนูพุกเห็นพี่ภูถอนใจหลังพูดจบแล้วก็กลืนน้ำลายดังเอื้อก รู้เเน่ว่าอีกคนคงกำลังหาทางบอกหุ้นส่วนอย่างละมุนละม่อม

“คือ… พุกมีอะไรจะบอกด้วยครับ” เลขาหนุ่มหลบตา เหมือนตัวหดลงสักสองสามนิ้วยามคิดจะสารภาพเรื่องราวที่เขาทำลงไปด้วยแรงอารมณ์

“หืม”

“พุกเมลล์หลักฐานให้พี่เต้ยไปหมดแล้วครับ…”


………………………………………………………………


ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งใช้ผ้าขนหนูนุ่มขยี้บนศีรษะเพื่อซับเอาน้ำจากการสระผมออก กระทั่งพอใจเเล้วเขาก็ชู๊ตมันลงตะกร้าเหมือนเล่นบาส โดยปกติเต้ยจะเช็คอีเมลล์ก่อนเข้านอนในขณะที่อีกคนที่จะมานอนห้องเขาบ้างห้องตัวเองบ้างจะหลับไปก่อน นิ้วเรียวเลื่อนทัชแพดดูกล่องขาเข้าแต่เเล้วก็เห็นเมลล์จากเลขาของเพื่อนสนิทอยู่ลำดับแรก บนหัวเรื่องยังวงเล็บว่า ‘ด่วน’ เสียด้วย

ด้านในเป็นไฟล์โครงการเก่าที่ผ่านตาเขามาจนมองผ่าน ๆ ก็รู้รายละเอียดดี หากไฟล์แนบอื่นที่เขาค่อย ๆ เปิดพิจารณาองค์ประกอบ คอนเซปท์และส่วนอื่น ๆ มันกลับคล้ายกันอย่างน่ากลัว เต้ยรู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่ต่างไปจากปลาที่ถูกทุบหัว สิ่งที่ประมวลได้ด้วยเหตุผลทำให้เขาชาไปตั้งแต่หัวจรดเท้า

…ไม่จริงหรอก…

เต้ยยกมือปิดหน้า ภาวนาให้สิ่งที่เห็นเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหนีความจริงไปได้ เขาสูดหายใจลึก เลื่อนดูรายละเอียดต่าง ๆ อย่างจริงจัง

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงหน เต้ยก็ยังคิดว่าเขาน่าจะพอให้อภัยได้

...ทว่านี่ไม่ใช่…

เต้ยปิดไฟล์เหล่านั้นลง ลุกออกจากโต๊ะทำงานด้านนอกเข้าไปเมียงมองในห้องนอน แดนดินหลับสนิทในผ้าห่มนวมหนานุ่ม เขาเคยคิดว่ารู้จักคนรักดีพอ ๆ กับที่รู้จักตัวเอง แต่ความจริงที่มาตีเเสกหน้าถึงหน้าประตูทำให้ตัวตนของแดนดินในทรรศนะของเขาบิดเบี้ยวไป

...คล้ายว่าเขาไม่เคยรู้จักอีกฝ่ายเลยตั้งแต่แรก...

 ชายหนุ่มย่องเข้าไปหยิบเอาทัชโฟนสีดำที่เสียบชาร์จเเบตฯไว้บนโต๊ะหัวเตียงมาไว้กับตัว เต้ยไม่เคยสอบถามรหัสด้วยความไว้ใจที่มีให้เสมอมา แทบจะไม่เคยกระทั่งขอเช็คโทรศัพท์ เหตุเพราะอีกฝ่ายเป็นคนสม่ำเสมอ ตอนเเรกเป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

เพราะเดี๋ยวนี้ทัชโฟนกลายเป็นเเบบแสกนนิ้วมือ เต้ยไม่เเน่ใจนักว่ารหัสหกตัวที่อีกฝ่ายมักจะใส่ไว้ยังเหมือนเดิมหรือไม่ และมันก็ล้มเหลวทันทีที่เต้ยกดวันเดือนปีเกิดของตัวเองลงไป

ดวงตากลมสั่นระริก… รหัสเดิมถูกเปลี่ยนไปแล้ว

ในที่สุดเลขหกตัวที่เต้ยกดลงไปก็ปลดล็อคหน้าจอได้ในครั้งที่สาม มันไม่ได้กลายเป็นเลขอื่นใดนอกจากวันเดือนปีเกิดของเเดนดิน ทั้งที่ทั้งใจเหมือนถูกหินถมถ่วงคล้ายจะผ่อนคลายขึ้นบ้างที่มันไม่ได้กลายเป็นเลขของใครอื่น

เต้ยเข้าไปที่อีเมลล์ก่อนเป็นอันดับเเรก อีเมลล์ของเเดนดินไม่ได้มีการเคลื่อนไหวมากมายนัก ในกล่องขาเข้ามีเรื่องงาน บัตรเครดิตและอื่น ๆ อันไม่ใช่สาระนัก ในกล่องขาออกต่างหากที่เป็นเป้าหมาย

ลมหายใจของชายหนุ่มสะดุดเมื่อเปิดไล่ไปเรื่อย ๆ เขาไม่เจองานก่อน ๆ ที่แบบหลุดไป ด้วยอีกฝ่ายอาจจะกังวลจนกดลบทิ้ง กระทั่งเขาไปค้นดูในถังขยะแล้วก็พบว่าหลักฐานการส่งไฟล์งานโรงเรียนศิลปะสองครั้งแรกและงานที่เพิ่งจะสรุปคอนเซปต์เพื่อจะพรีเซนต์ในรอบสุดท้าย แบบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ได้ถูกส่งออกไปยังชื่อผู้ติดต่อเดียว

...ทุกอย่างมันชัดเจนเเล้ว…

คนที่เขากล่าวโทษบริสุทธิ์ไปทุกข้อกล่าวหา มีเพียงแต่เต้ยเองที่ยังอยู่ในวังวนของการหลอกลวง

ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าอะไรที่ทำให้เเดนดินต้องขายข้อมูลของบริษัท หากจะพูดกันเรื่องความสัมพันธ์ แดนดินไม่ค่อยลงรอยกับภูมากนักแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรหมางใจกันมากไปกว่าเรื่องงาน

เขาจัดการเเคปภาพหน้าจอทั้งหมดเก็บไว้ ปลายนิ้วเรียวเเตะลงบนเเอพลิเคชั่นสีเขียว ส่งหลักฐานทั้งหมดเข้าหาตัวเองเอาไว้ก่อน เเละไล่ดูทุกอย่างอย่างละเอียด เพื่อนทุกกรุ๊ปของอีกฝ่ายเขาก็รู้จักดีเสียด้วยซ้ำ เต้ยหยุดมองเเชทหนึ่งที่ยังไม่มีการกดอ่าน มีแค่เพียงตัวเลขเเจ้งเตือนจำนวนข้อความค้างไว้ด้านข้าง

‘ตำแหน่งว่างแล้ว กูล็อคไว้ให้ มึงรีบมา’

เขาเลื่อนขึ้นไปอ่านข้อความด้านบน มันเป็นการตกลงการจ่ายหนี้สินที่ติดค้างไว้ด้วยแบบอาคารที่พวกเขาคิดแทนเงินสด เต้ยไม่เคยรู้เลยว่าคนรักมีปัญหาเรื่องเงิน เท่าที่ดูเเดนดินก็เป็นคนที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง เงินเดือนไม่น้อยด้วยซ้ำหากเทียบกับอายุ

...มีปัญหาอะไรกันที่ทำให้เเดนติดเงินหลักเกือบแสนบาท…

‘ถ้าอึดอัดมึงออกมาอยู่ออฟฟิศกูก็ได้นะ จะหาที่ไว้ให้’

‘คงออกแหละพี่ รบกวนด้วย นี่ผมยังไม่รู้จะบอกยังไงว่ะ ช่วงนี้เขาทำงานหนักมาก ผมสงสาร’

เต้ยย้อนดูประวัติการส่งข้อความแล้วน้ำตาร่วงเผาะ ทั้งร่างสั่นเทิ้มจากความเจ็บปวดเสียใจที่สะเทือนไปทุกอณูของหัวใจ เขามองผ่านม่านน้ำตาสีใสที่ทำเอาทุกอย่างพร่ามัวได้แค่เพียงกระพริบตา ข้อความเหนือขึ้นไปมีบทสนทนาบ้างประปราย หากมันไม่สำคัญเท่าตัวเลขที่มีการโต้ตอบกัน

เขารู้ว่าคนรักเป็นพวกชอบดูรายการกีฬา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่แดนดินจะตบเท้าเข้าสู่วงพนัน เต้ยไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรต่อไป
 
ในฐานะเจ้านาย… การที่ลูกน้องสร้างความเสียหายให้กับบริษัทขนาดนี้ คงเหลืออยู่เพียงคำตอบเดียว

ในฐานะคนรัก...เขาอาจต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง

ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าเขาบกพร่องประการใด ทั้งที่ทุกอย่างดูไปได้ดีตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เขากับแดนดินทะเลาะกันน้อยมาก ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเเละดีเสมอ

...เต้ยไม่เข้าใจว่าเขาผิดอะไร…
   
หลังมือขาวนวลทาบลงบนริมฝีปากรูปหัวใจที่ถูกฟันคมขบจนเเดงก่ำเพื่อกลั้นสะอื้น น้ำร้อน ๆ ไหลลงมาไม่ขาดสายด้วยความอึดอัดคับข้องใจ 

หลายชั่วโมงกว่าที่น้ำตาจะหยุดไหล เต้ยกลั้นสะอื้นทั้งที่แทบหอบจนตัวโยน เขาลุกไปล้างหน้าและกลับมานอนที่โซฟา เต้ยไม่สามารถเเสร้งทำเหมือนทุกอย่างปกติดีได้ เขาได้แต่นอนคิดวนเวียนถึงเรื่องที่เพิ่งค้นพบ เขาไม่อยากเดาเลยว่าเเดนดินต้องการจะบอกอะไร

...เขาไม่อยากรับรู้…

“ทำไมไม่เข้าไปนอนด้วยกัน” ร่างสูงใหญ่ฝ่าความมืดออกมานอกห้อง ไฟดาวน์ไลท์สีนวลทำให้เเดนดินมองเห็นคนรักพลิกตัวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

“เฮ้ย ร้องไห้ทำไม” สองขายาวสาวเท้าเข้ามาใกล้ ทรุดลงเมื่อเต้ยขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แสงไฟสลัวเลือนรางไม่ได้ช่วยบดบังรอยน้ำบนเเพขนตายาวนั่นเลยแม้แต่น้อย

“ขอกอดหน่อย” เสียงของชายหนุ่มร่างโปร่งเเหบโหย

“ฝันร้ายหรือ” นอกจากตกใจก็ไม่มีความคิดอื่นใดเข้าสู่สมอง ชายหนุ่มขยับเข้าโอบกอดตามคำขอร้อง เช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายเเผ่วเบา

“อยากให้เป็นแค่ฝันเหมือนกัน” เต้ยพูดเสียงอู้อี้ รู้สึกว่าบางอย่างกำลังล่มสลายอยู่ในใจ

“อยากเล่าไหม” แดนดินเคารพความเป็นส่วนตัวของเขาเสมอ ไม่เคยคาดคั้นให้เขารู้สึกอึดอัดใจเลยสักครั้ง

“แดนต่างหาก มีอะไรอยากเล่าหรือเปล่า” เต้ยกลืนน้ำลาย ยื่นโทรศัพท์ของเเดนดินให้เจ้าตัว

“...”

มือใหญ่ปลดล็อคหน้าจอ เดาได้ไม่ยากว่าความลับที่ถูกเก็บซ่อน ไม่ลับอีกต่อไป เดิมทีแดนดินตั้งใจจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยเเละหมางใจกันน้อยที่สุด

แต่มันสายเกินไป… เขาอยู่ในจุดที่วกกลับไปเเก้ไขอะไรไม่ได้อีกเเล้ว

“เรา...เลิกกันเถอะ”

“ทำแบบนี้ได้ยังไง…” เต้ยไม่ได้สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่นที่บัดนี้ชืดจางไปตามความรู้สึก เขาซุกหน้าลงบนเเผ่นอกกว้าง มือหนึ่งกำแน่นและทุบลงไปหลายต่อหลายครั้ง

...แดนดินนิ่งเฉย…

ชายหนุ่มตัวสูงโย่งไม่ตอบโต้ ในใจอึดอัดเหมือนมีเชือกเส้นใหญ่รัดพันจนกล้ามเนื้อเต้นตุบนั้นแทบระเบิด

“เราไม่รักกันแล้วหรือ แดนไม่รักเราเเล้วหรือ ทำไมถึงมีคนอื่น...” เหมือนทำนบที่สร้างไว้พังทลายภายในเสี้ยววินาที เต้ยสะอื้นไห้ด้วยรู้ว่า ‘เรา’ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ไม่ได้มีคนอื่น… แค่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว” คนพูดก้มลงมองคนแก่วัยกว่าที่ร้องไห้ราวกับโลกทั้งใบพินาศลงต่อหน้าด้วยความรู้สึกผิดเปี่ยมล้นในเเววตา

“ไม่เหมือนเดิมยังไง เรามาช่วยกันนะ เอาใหม่นะ เริ่มกันใหม่…” ดวงตากลมโตหม่นเเสงลง มันเเห้งผากราวกับผืนดินที่ไม่เคยโดนฝน สองมือเขย่าเเขนคนรักจนอีกฝ่ายตัวคลอน

“ขอโทษนะ… แต่เเดนไม่ได้รักเต้ยแล้ว”

คำว่า ‘ไม่รัก’ ร้ายกาจยิ่งกว่ากระบอกปืนหรือมีดผ่าตัดคมกริบ เต้ยรู้สึกราวกับถูกของมีคมทื่อ ๆ เถือเนื้อทีละน้อย

...เจ็บเจียนตายมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า...

“ทำไม… เราทำอะไรผิด ทำไมไม่บอกกัน” เสื้อยืดเนื้อนุ่มของเเดนดินถูกเขากำจนยับยู่

เสียงร้องที่ถูกเปล่งออกจากลำคอร้าวรานกว่าครั้งไหน เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดร้องไห้หากเต้ยรู้สึกราวกับว่าเขาควบคุมร่างกายไม่ได้อีกต่อไป

“แดนแค่เหนื่อย มันเหนื่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงวันนี้… แดนไม่เข้าใจเลยว่าเราเคยรักกันขนาดนั้นได้ยังไง”

คนพูดหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เเสนมีคุณค่าในอดีต เต้ยเป็นคนน่ารักกับคนรอบข้างอยู่เสมอ ตอนนั้นในบริษัทมีกันอยู่แค่สองสามคนเท่านั้น แต่เด็กจบใหม่อย่างเขาก็ยังเสี่ยงมาทำงานด้วย

แดนดินเคยมีความมั่นใจเปี่ยมล้น แม้ว่าเขาเองถึงไม่ได้เก่งเหนือใคร แต่ก็ไม่ใช่ไอ้กระจอกที่ไหน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เขาทำเเล้วเต้ยดีใจ เขาก็จะทำ

ไม่รู้ว่าจะเป็นไปตามโบราณว่ายามรักน้ำต้มผักยังว่าหวานหรือเปล่า เขาตามใจคนรักทุกอย่าง เเม้ในบางครั้งจะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ความเป็นตัวตนของนายเเดนดินเหมือนถูกฝังกลบลงไปทีละน้อย

หากเต้ยคือพระอาทิตย์โชนเเสง สว่างเหนือใคร

เขาก็ไม่ต่างอะไรกับดวงดาราในยามกลางวัน

ยิ่งเข้าใกล้… ก็ยิ่งเลือนหายไปในแสงสว่าง

เต้ยเป็นลูกคนเล็กจากครอบครัวคนมีเงินย่านเยาวราชในกรุงเทพฯ แต่เต้ยมักคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาฐานะปานกลางเสมอ ด้วยถูกรอบล้อมไปด้วยคนที่มีทัดเทียมกันหรือมากกว่า ส่วนเขาเป็นพวกที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลางจากต่างจังหวัด ซ้ำยังเป็นลูกคนโตอีกด้วย

เเดนดินต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวเเรงยามที่พ่อเเละเเม่ต่างก็เกษียณอายุ เขาถูกปลูกฝังอยู่ตลอดมาว่าต้องเป็นที่พึ่งให้ทุกคนได้เสมอ

...เขาก็พยายามจะเป็นที่พึ่งให้คนรักเช่นกัน...

เต้ยช้อนตามองคนรัก เขาพยายามบอกเเดนดินอยู่เสมอว่าเขาพร้อมจะเเชร์ และในหลายต่อหลายครั้งเขาเองก็ยินดีเป็นคนจ่ายเเต่อีกฝ่ายกลับเอาเเต่ส่ายหน้าปฎิเสธ

“อย่าบอกนะ ว่าเรื่องเงินอีกแล้ว บอกเเล้วไงว่าไม่มีก็ให้มาเอาที่เรา” ชายหนุ่มร่างโปร่งถอนหายใจอย่างหัวเสีย

“แดนไม่ใช่แมงดาหรือเปล่าวะเต้ย ถึงจะได้ไม่มีปัญญาหาเงินจนต้องให้เมียเลี้ยง” แววตาคู่คมของคนพูดส่อเเววร้าวราน เขาเคยรักเต้ย เคยพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองมีทัดเทียม

หลายครั้งที่มีปัญหาเรื่องนี้ เต้ยก็บอกเขาว่าจะพยายามประหยัด แต่ประหยัดของเขากับอีกฝ่ายมันก็ยังถือว่าเป็นคนละมาตรฐานกันอยู่ดี

...เมื่อสายป่านถูกดึงจนตึง ในที่สุดวันที่มันขาดสะบั้นออกเป็นสองส่วนก็มาถึง...

“แล้วยังไง ก็เลยพนันจนเสียหมดตัวเเบบนี้หรือ” เต้ยเริ่มขึ้นเสียง ในอกเดือดปุด ๆ เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะไปเเคร์อะไรนักหนากับไอ้เรื่องเงินทอง เขาเองก็ไม่ใช่คนสิ้นไร้ ถึงคราวไม่มีเขาก็ยินดีจะช่วยหยิบยื่น

“ไอ้ที่ได้มามันก็เป็นค่าใช้จ่ายของเต้ยทั้งนั้นแหละ เวลาไปกินอาหารมื้อละเป็นหมื่น หรือเวลาเต้ยอยากได้กล้องอยากได้เลนส์ มันก็เงินที่เเดนได้มาทั้งนั้น!”

 เสียงทุ้มที่ตะโกนก้องทำให้คนฟังตัวชาไปทุกตารางนิ้ว เขาเคยยิ้มอย่างมีความสุขเสมอในโอกาสพิเศษที่เเดนดินซื้ออะไรต่อมิอะไรให้ เเต่มีสิ่งหนึ่งที่อีกฝ่ายควรรู้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

“เราไม่เคยอยากได้อะไรมากกว่าการที่เเดนอยู่ข้าง ๆ เลย… ไม่เคย…”

“มันไม่เหมือนเดิมแล้วเต้ย” แดนดินสูดหายใจลึก โอบกอดคนร้องไห้โยเยไว้เเนบกาย

ความรู้สึก ‘รักใคร่’ เเห้งเหือดระเหยหายไม่ทิ้งเหลือเอาไว้เเม้เพียงฝุ่นละออง เขาเคยพยายามจะประคับประคองทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียว ที่สุดเเล้วมันก็บิดเบี้ยวจนเสียรูป เเหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

“ที่ทำทั้งหมดนี้ เพราะเราจริง ๆ หรือ”

แดนดินไม่ตอบคำถาม เขารู้ดีว่าว่าอย่างไรวันที่จะต้องพูดคุยกันเรื่องสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็ต้องมาถึง เพียงแต่มันมาถึงไวกว่าที่เขาคิด ทุกอย่างที่เขาเคยเตรียมตัว พลิกกลับตาลปัตรไปเสียหมด

ในครั้งแรกที่เขาเรียนรู้ที่จะพนันขันต่อ มันเกิดจากความสามารถด้านการอ่านเกมกีฬา จึงเล่นเอาสนุก ๆ พอได้เงินมากินมาใช้บ้างนิดหน่อยจากรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันมากพอสมควร

การได้เงินมาง่าย ๆ ทำให้เขารู้สึกเหลิง และการเสียไปบ้างในปริมาณน้อย ๆ ก็ทำให้เขาเข้าใจไปว่ามีกำไร ก็ต้องมีขาดทุน

ผลตอบแทนจากการคาดการณ์ทำเงินให้เเดนดินสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าตกใจทีเดียว ทว่าเมื่อถึงเวลามันผิดคาดขึ้นมาก็เล่นเอาเขาหน้ามืดพอดู

กระทั่งเมื่อสองปีก่อน แดนดินติดหนี้เจ้ามือเหยียบหลักแสนบาท ตอนนั้นเขาเครียดจนไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจะขอความช่วยเหลือจากที่บ้านก็เป็นไปไม่ได้เมื่อพ่อเเละเเม่เป็นข้าราชการ ด้วยความตงฉินเหลือเกินจึงทำให้ตำเเหน่งของพวกท่านไม่ก้าวหน้าไปไหนนัก การจะติดต่อขอเงินเพื่อมาโปะหนี้จึงเเทบเป็นไปไม่ได้ เขาเคยมีความคิดที่จะรบกวนเต้ย แต่กระนั้นมันยังเป็นช่วงที่ความรักสุกงอม

...แดนดินกลัวการถูกทิ้ง…

เขารู้ตัวว่าชีวิตที่ไม่มีเต้ยในตอนนั้นต้องว่างเปล่าไม่เหลืออะไร… เขารักเต้ยมาก… อีกฝ่ายไม่ควรเลยที่จะต้องมารับรู้มิติที่มืดบอดของเขาเลยเเม้เเต่น้อย

...เเดนดินอยากจะเป็น ‘แดนคนดี’ ของเต้ยตลอดไป…

ที่สุดแล้ว รุ่นพี่หนุ่มจึงเสนอทางออกให้เปลี่ยนจากเงินเป็นเเบบ ในครั้งนั้นแดนดินจึงตัดสินใจทำงานให้รุ่นพี่โดยให้ถือเป็นค่าจ้างแต่ไม่ยอมขายเเบบที่เคยทำให้กับบริษัท

ด้วยความที่ออฟฟิศของภูเเละเต้ยยังเป็นบริษัทรับออกเเบบภูมิทัศน์โนเนม พนักงานยุคบุกเบิกทุกคนต่างก็ทำงานหนักจนเลือดตาเเทบกระเด็น ในที่สุดเขาก็ทำทั้งงานนอกเเละงานในบริษัทไปพร้อมกันไม่ไหว

แดนดินจึงคัดเลือกงานเก่าที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบเเต่เพียงผู้เดียว หรืองานที่เขามีส่วนช่วยมากที่สุดมาผ่อนจ่ายเเทนเงินทอง โดยมีเงื่อนไขว่างานจะต้องผ่านการปรับปรุงเเบบอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้ง ไม่ให้เหมือนต้นฉบับมากเกินไปนัก

เขาเคยคิดว่าจะเลิก หากยังมีการรบเร้าอยู่บ้างและความลำบากเรื่องเงินเดินมาถึงหน้าประตู เเดนดินจึงหวนกลับเขาสู่วงจรเดิม

...เขาได้ เเละเสีย…

ตราบใดที่ยังได้มากกว่าเสีย แดนดินก็ยังถือว่ามันเป็นกำไร

เขาประมาท คิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่างได้ จนกระทั่งมาถึงเเมตช์ใหญ่ที่ทุกคนจับตาดู เขาคาดการณ์ผิดไปกับทีมจากประเทศม้ามืด

...ครั้งนี้เขาล้มไม่เป็นท่า…

เงินเก็บสำรองที่กักเอาไว้ยามเสียพนันถูกเทหมดหน้าตัก แต่กระนั้นมันก็ยังไม่พอ หนี้ที่เหลืออีกเกือบเเสนจะถูกจ่ายจนหมดหากบริษัทของรุ่นพี่ได้เข้าสู่รอบไฟนอลของการประกวดเเบบ

ทุกอย่างเป็นไปได้สวยตามเเผนการของเขา เนื่องจากทางนายทุนเปิดพิจารณาเเบบของเเต่ละบริษัทไม่พร้อมกัน แดนดินส่งงานที่เสร็จเเปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ให้กับฝั่งคู่เเข่งอย่างเงียบเชียบ

ทุกครั้งที่ส่งแบบ ภาระด้านการเงินของเขาก็เบาลงไปมาก

เดิมทีแดนดินคิดเเล้วว่าเมื่อจบโปรเจ็คใหญ่ เขาคงจะต้องคุยกับคนรักอย่างจริงจัง เขาจะลาออกเเละเปลี่ยนงาน อย่างน้อยที่สุดรุ่นพี่ก็เตรียมที่ทางให้เขาบ้างแล้ว

...ทุกอย่างควรจบได้ด้วยดี...

เขาเองยังเคยนึกโกรธเคืองฟ้าฝนที่บันดาลให้ทุกอย่างไปสู่จุดที่บานปลาย หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกติกาการนำเสนองานในรอบล่าสุดให้เป็นแบบพบกันหมด ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ ทุกคนรับรู้ร่วมกันเเล้วว่างานนี้มีเเบบรั่วหลุดออกไป หากเขายังเหลือกำหนดต้องส่งแบบไปอีกหนเพื่อชำระหนี้ก้อนสุดท้าย

คนรับเคราะห์คราวนี้อาจจะเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่เลขาหนุ่มของภู ทว่าหนูพุกอยู่ผิดที่ผิดเวลาเกินไป การให้ทุกคนพุ่งเป้าไปทางนั่น น่าจะพอช่วยถ่วงเวลาให้เขาขายเเบบครั้งสุดท้ายได้ หากเเดนดินคิดไม่ถึง เวลาคนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเช็คโทรศัพท์จะดันมาเปิดเจอทุกอย่างทั้งหมดเอาคืนนี้
   

- ต่อด้านล่างค่ะ -
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 22-07-2018 21:24:46
   เช้าวันนี้แดนยังคงเป็นสารถีให้เต้ยเหมือนเคยในช่วงที่รถถูกลากเข้าศูนย์ เพียงแต่บรรยากาศระหว่างทั้งคู่มีเเต่ความมึนตึงเเละห่างเหิน

ที่ผ่านมาเต้ยอดนอนอยู่บ่อยครั้งเพื่อทำงาน หากนี่เป็นครั้งแรกที่เต้ยมองเห็นฟ้าสางกับตาเพราะนอนอยู่เฉย ๆ ถึงรอยน้ำอุ่นร้อนจะไม่ปรากฎบนข้างเเก้มอีก แต่คนที่กำลังดำดิ่งลงในห้วงทุกข์โศกตระหนักดี

...น้ำตาของเขายังไหลอยู่ในใจ…

เต้ยยังไม่อยากยอมรับว่าเรื่องราวทั้งหมดของเขาเเละคนรักเดินมาถึงทางตัน เขาไม่อยากเชื่อเลยด้วยซ้ำไปว่าเเดนดินจะขายงานได้หน้าตาเฉย กระนั้น… เขาเองก็คงเป็นสาเหตุหลักที่ขับเคลื่อนให้เเดนดินตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

...เขาจะทำอย่างไรได้บ้าง...

หลักฐานทั้งหมดถูกส่งมาจากหนูพุก ถ้าเดาไม่ผิดเขาก็คิดว่าเพื่อนสนิทคงรู้เห็นเเน่แล้ว รายนั้นแยกแยะเรื่องงานเเละเรื่องส่วนตัวได้ดีจนไม่มีอะไรปะปนกันแม้แต่น้อย ในขณะที่เส้นทางของเขามันสะเปะสะปะทับกันไปจนเเยกไม่ออก

หากมีใครสักคนคิดไม่ซื่อกับบริษัทที่เขาสร้างมาเองกับมือ เต้ยยืนยันว่าเขาจะทำให้คนคนนั้นแทบหาที่ยืนในวงการออกแบบไม่ได้

แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป… เขาควรจะทำอย่างไรดี
   
โชคดีที่วันนี้เป็นวันท้าย ๆ สัปดาห์ สถาปนิกหลายคนต่างก็เเยกย้ายกันไปลงไซต์งาน น้อยคนนักที่จะยังนั่งทำงานในออฟฟิศ เต้ยมองคนสีหน้าเรียบเฉยที่เดินเข้ามาพร้อมกันแล้วก็อดเเตะมือตัวเองบนท่อนเเขนเขาไม่ได้
   
“เดี๋ยวเราไปคุยกับภูให้ก่อน”

“ไม่เป็นไร เเดนเตรียมใจมาแล้วล่ะ”

แดนดินวางกระเป๋า มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของคีรินทร์ที่อยู่ด้านในสุดพร้อมกับเต้ย เขาเห็นหนูพุกก้ม ๆ เงย ๆ ทำอะไรสักอย่างอยู่ใต้โต๊ะทำงานของตัวเอง เสียงฝีเท้าสองคู่ทำให้เลขาหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาให้เห็นแค่เพียงช่วงตา

ชายหนุ่มตัวสูงค้อมศีรษะให้น้อย ๆ เพื่อเป็นการขอโทษ ไม่ว่าเขาจะเจตนาหรือไม่… สิ่งที่ทำลงไปก็เป็นการทำร้ายหนูพุกไปเเล้ว เขาไม่เเปลกใจเลยที่เเววตาคู่นั้นจะส่องประกายเพียงแต่เเววตำหนิเเละโกรธเคือง

“เอายังไงดี” ชายหนุ่มเจ้าของห้องเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองเพื่อนที่ตาบวมเป็นกบกับลูกน้องหนุ่ม

“ผมยินดีรับผิดทุกอย่างครับ ขอโทษที่ภูกับทุกคนด้วย” คนพูดเเววตาไหวระริก ซ่อนความกลัวเอาไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุดในจิตใจ

...เป็นลูกผู้ชาย กล้าทำต้องกล้ารับ…

ไม่ว่าเหตุปัจจัยจะเกิดจากอะไรก็ตาม แต่ผู้ที่ตัดสินใจเดินทางผิดก็คือเขา เเดนดินไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์เลย

“พูดง่ายดีนี่” คีรินทร์กระตุกยิ้มค่อนขอด หากคนที่นั่งเงียบไม่ต่างอะไรจากแก้วที่ปริร้าวกลับปรามเขาซึ่ง ๆ หน้า

“ภูอย่า...”

“อย่าให้ลาออกไปเฉย ๆ หรืออย่าติดแบล็กลิสต์ เลือกมาสิ” คิ้วหนาเลิกขึ้น มองเพื่อนรักที่ตั้งท่าจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ น่าประหลาดใจที่เต้ยกลับไม่มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อน ขู่จะฟ้องจนหมดตัวเหมือนรายที่เคย ๆ มา

“คุยกันก่อนได้ไหม” กลายเป็นคนไกล่เกลี่ยที่ดูจะเปราะบางที่สุดในสถานการณ์นี้

“เคยบอกให้มาคุยแล้ว ทำไมไม่มาล่ะ”

แดนดินเม้มปากเเน่น ไม่ตอบคำถาม ไม่รู้เพราะเหตุผลกลใดที่ทำให้เขาเลือกผิดเสมอ ส่วนลึกในจิตใจของเขาร่ำร้องขอให้สถานการณ์นี้จบลงโดยไว เขาเลื่อนเอกสารที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นใบลาออกมาเบื้องหน้า เปิดปากกาที่เหน็บไว้บนอกเสื้อลงลายมือชื่อไปอย่างรวดเร็วเเละปราศจากเงื่อนไข

“ออกไปก่อน เก็บของรอไว้ได้เลย ฉันคุยกับเต้ยแล้วจะเรียกมาฟังผล” คนมีอำนาจสูงสุดในบริษัทเสียงเย็นเยียบ

อยู่กันมาตั้งหลายปี แดนดินรู้ว่าภูคงแจ้งความฟ้องเอาผิดทั้งเขาเเละรุ่นพี่ได้ไม่ยาก แต่ที่ควบคุมอารมณ์อยู่ขนาดนี้ได้คงเป็นเพราะอยากรักษาน้ำใจเพื่อนสนิทด้วยส่วนหนึ่ง

เมื่อคล้อยหลังคนสิ้นสุดสถานะเป็นพนักงานเเล้ว คีรินทร์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่… เขาหงุดหงิดไม่น้อยที่เเดนไม่ชี้แจงอะไรเลย ทำไมไม่รู้จักปากเก่งให้เท่าตอนเถียงกันเรื่องงานบ้างก็ไม่รู้

“ตกลงยังไง เล่ามาให้หมดแล้วค่อยมาช่วยกันหาทางออก” เสียงเข้มของคนพูดไม่ต่างอะไรจากค้อนอันโตที่ทุบทำลายทำนบกั้นน้ำตาของเต้ยจนสิ้น

ชายหนุ่มอธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่ละเว้นกระทั่งเรื่องที่เขาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เเดนดินต้องเดินมาไกลถึงจุดนี้

“กูไม่เคยขออะไรมึงเลยตั้งแต่เรารู้จักกันมา แต่ครั้งนี้กูขอได้ไหมวะ” เต้ยปรายตามองกล่องกระดาษทิชชูที่เพื่อนดันมาให้ พยายามสูดหายใจลึก บังคับตัวไม่ให้สั่น

“ขออะไร ถ้าจะไม่ให้ออก… บอกเลยว่ากูให้ไม่ได้”

“อย่าเเบล็คลิสต์ได้ไหม”

เต้ยรับรู้เเละเข้าใจว่าจะอย่างไรคนทำผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิด ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นดูเอาได้ แต่อย่างไรเสีย ก็ขอว่าอย่าตัดหนทางทำกินกันต่อไปเลย

...เรื่องทั้งหมดเต้ยก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ...

“เอาเป็นว่าไม่เเบล็กลิสต์ตามที่มึงขอ  เงินชดเชยสามเดือนจะจ่ายให้ตามจริง แล้วยังไงอีก จะขออะไรอีกไหม” คีรินทร์ถาม จะได้จัดการให้หมดไปเสียทีเดียว

 “ไม่เอาแล้ว” เต้ยส่ายหน้า แค่นี้ภูก็ปราณีมากพอเเล้ว ให้แดนสมัครใจลาออกเองไม่ใช่เลิกจ้าง ซ้ำยังจ่ายเงินให้ตามกฎหมาย ไม่มีการฟ้องร้องหรือบันทึกประวัติ

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าภูเองก็เป็นห่วงเเดนดินไม่น้อยไปกว่ากัน เห็นกันมาตั้งแต่แดนดินเพิ่งเรียนจบ ช่วยบริษัทมาตั้งแต่เริ่มตั้งไข่กระทั่งมามีทุกวันนี้

ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ก็คงเป็นทั้งรักทั้งชังนั่นล่ะ

“กูแถมให้แล้วกัน มึงพักสักสามสี่วัน เดี๋ยวกูโทรให้เฮียมึงมารับ กลับไปอยู่บ้าน อย่าอยู่คนเดียว”

กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่คีรินทร์ขอให้หนูพุกเลื่อนประชุมให้ เลขานุการหนุ่มประคองเเก้วชานมอุ่น ๆ เข้ามาให้เจ้านาย

ตั้งแต่พี่เต้ยกับคุณเเดนออกไป พี่ภูก็รูดมูลี่บังสายตา ขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานอย่างเงียบเชียบ หนูพุกพอจะเข้าใจความรู้สึกเขาดี ต่อให้เก่งเเค่ไหน ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ก็คงไม่มีสมาธิจะทำงานต่อ

“พี่ภูครับ ดื่มอะไรหน่อยดีกว่า”

ถ้วยมัคสีเทาใบโตถูกยื่นให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงกรอบหน้าต่าง ทอดสายตาออกไปยังสวนสีเขียวเบื้องล่าง คอมพิวเตอร์จอกว้างมักจะส่องเเสงสว่างอยู่เสมอ บัดนี้มืดสนิท เครื่องปรับอากาศที่เคยเย็นเฉียบก็ถูกปิดตามกัน คีรินทร์ดันหน้าต่างบานเฟี้ยมออกทั้งหมด ให้อากาศ กลิ่นดินและต้นไม้พัดเขามา ทำให้เขาสงบใจลงได้บ้าง

“ขอบคุณมาก วันนี้พี่ไม่เท่เลยเนอะ” เขาหัวเราะขื่น ๆ ส่งลูกน้องที่ไว้ใจออกจากบริษัทไปแล้ว ส่งเพื่อนสนิทกลับไปพักก็เเล้ว ทั้งหมดนี้ก็คงเหลือเเต่ปัญหาที่เขาต้องเเก้ไขต่อไป

...คอนเซปต์งานที่จะนำเสนอรอบสุดท้ายถูกแดนดินปล่อยออกไปแล้ว แม้ว่ามันจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี..

“เท่แล้วครับ หล่อด้วย” หนูพุกยิ้มกว้างขวาง ไม่หวงคำชมกับเขาเลยเเม้แต่น้อย เพราะรู้ว่าป่านนี้ในสมองของคู่สนทนาคงวนเวียนอยู่กับเเต่เรื่องงาน

“ปากหวานแบบนี้ เอาอะไรดีหืม” เขาถาม ไม่ยักรู้เหมือนกันว่าตัวเองก็เป็นพวกบ้ายอ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแค่เพียงเลขาหนุ่มยิ้ม มุมปากเขาก็ยกขึ้นไปด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่

“พี่ภูยิ้มแล้ว… ยิ้มเยอะ ๆ นะครับ”

“ขอเเค่นี้เอง มักน้อย” ภูสูดหายใจลึก รู้สึกสบายใจขึ้นที่อย่างน้อยก็มีคนรั้งไว้ไม่ให้เขาจมลงไปกับเรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้นไป

“ถ้ามักมาก…”

...จะขอเป็นเเฟนพี่ภูได้ไหมครับ…

หนูพุกไม่ได้พูดความนัยออกไปจนครบประโยค หากเบี่ยงประเด็นไปทางอื่นเเทน

“ก็ว่าจะขอลาพักร้อนสักสองอาทิตย์ เจ้านายว่ายังไงครับ”

“ก็ต้องจับตัวไว้ แล้วบอกว่าอย่าเพิ่งหนีพี่ไป… อยู่ช่วยกันทำโปรเจ็คให้เสร็จก่อน” หนูพุกฟังเเล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกด้วยหัวใจเต็มตื้น เพิ่งรู้ด้วยว่าเขาเป็นพวกปากว่ามือถึง พูดปุ๊บมือหนึ่งก็ล็อคข้อมือเขาเอาไว้ปั๊บ

“พูดแบบนี้… ถ้าไม่ไล่ออกก็ไม่ไปแล้วนะครับ”



-------------------------------------------------


มรสุมลูกนี้ผ่านไปแล้วค่ะ  :o12: :o12: /หันไปจ่ายค่าตัวน้องแดน
เรื่องนี้สิบสองว่าหนูพุกก็ได้เอาคืนแล้วด้วยการส่งอีเมลล์ไปให้พี่เต้ย
ซึ่งผลที่ตามมาก็... ทุ่งข้าวสาลีกลายเป็นโกโกครั้นช์... 55555
พี่ภูนี่ตั้งแต่กอดก็มือไวนะคะ มีมาจงมาจับ!! ผิดผีแล้วยกขันหมากมาขอน้องด้วยยยย 5555 :o8: :o8:
 
มาถึงตรงนี้แล้วก็ขอบคุณทุกคนเลยค่ะ /ปาดนั้มตา  :sad4:
ดีใจที่มีคนชอบ ดีใจที่ยังมีคนรอ ดีใจมากค่ะ มากในมากอีกที เพราะไม่เคยเขียนอะไรยาวขนาดนี้เลย 5555
ขอบคุณนะคะ  :pig4: :pig4: :L1: :L1:

ปล. มีวาร์ปแล้วค่ะ  @ms_midnight (https://twitter.com/ms_midnight_?lang=th) ถ้ามาอัพจะเเจ้งในทวิตเตอร์นะคะ
 เก๊าจะวนๆเวียนๆอยู่ในนั้นค่ะ ไหนๆก็ไหนๆ ฝาก #พิชิตภู  :pig4: :pig4: :impress2: ด้วยค่า 

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-07-2018 21:47:09
 :o12:

เสียใจกับพี่เต้ย  คบกันมาตั้งนาน เรื่องเงินนี่พังในพัง พังมากจริงๆ

หนูพุกโชคดีที่พี่ภูไม่โง่ อิอิ

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: villevia ที่ 22-07-2018 22:01:52
สงสารพี่เต้ยย คือถ้าแดนยังรักอยู่ก็คงจะดีกว่านี้..มั้ง เศร้าอ่ะ อินมาก แงงงงงง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 22-07-2018 23:22:28
 
:hao5: :hao5: พี่เต้ยยย น่าสงสารรร  :hao5: :hao5:

จริงๆก็น่าสงสารทั้งคู่ แต่ก็ขอบคุณแดนดินที่หมดรักก็บอกตรงๆ
ไม่ยื้อไว้ เจ็บตอนนี้ก็ดีกว่าทนอยู่กันไปแบบไม่มีความสุข

หนูพุกเต๊าะวันละนิดจิตแจ่มใสมากอ่ะ วอนพี่ภูหันมามองน้องบ้าง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 22-07-2018 23:42:13
สงสารคุณเต้ยมากๆ อยากให้คุณชายหม่อมมาช่วยดามใจเร็วๆ ฮืออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-07-2018 23:48:08
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุของการหมดรักสักเท่าไร

ที่เข้าใจคือเหนื่อยที่จะต้องทำงานหนักเพื่อประคับประคองไม่ให้ถูกเรียกว่าเป็นแมงดา

แต่มันก็คนละเรื่องกับการเหนื่อยที่จะรักนี่หว่า?
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 22-07-2018 23:54:52
หมดรักแล้ว มันเจ็บเนอะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-07-2018 00:32:38
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 23-07-2018 00:43:52
รอๆๆๆ :katai2-1: :z1: :mew2: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-07-2018 02:43:58
สงสารเต้ยนะ  พูดว่ามีคนอื่นยังดีกว่า บอกว่าไม่ได้รักแล้ว กระอักแทนเลย :m15:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 23-07-2018 05:28:07
โห เต้ยคงเสียใจน่าดู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 23-07-2018 07:56:07
สงสารพี่เต้ย แงงงงง    :ling1:
พี่เต้ยกลับมาเข้มแข็งเร็ว ๆ เถอะ
ขอคุณกวีมาดามใจพี่เต้ยหน่อยค่า ฮือออออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 23-07-2018 13:47:12
แล้วแดนกับรุ่นพี่นั่นคือจะปล่อยไปเลย? ไม่ได้บทเรียนไรเลยจริงง่ะ เฮ้ออออ ส่วนเต้ยนี่แยกแยะไม่เป็นเลย จะมาพาคนอื่นเจ๊งไปด้วยไม่ได้นาจา แต่ก็สงสารนาง อาจจะจัดการกับคนอื่นได้เด็ดขาดแต่พอเป็นคนใกล้ตัวคงเสียใจมาก ขอให้ลุกขึ้นใหม่ได้ไวๆนะเต้ยนะ...
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-07-2018 16:05:58
ทั้งสงสาร ทั้งเสียใจแทนพี่เต้ยจริงๆ เรื่องไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลยจริงๆ ไรท์รีบๆ หาคนมาด้ามใจพี่เต้ยด้วยนะ
อย่าให้ต้องเสียใจนานนัก อ่านแล้วน้ำตาจะร่วง คนรักกันแต่กลับหมดรักกันได้เพราะเรื่องเงิน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 23-07-2018 17:40:40
สนุกมากกกรอทึกวันเลยยย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-07-2018 18:24:05
เรื่องหมดรักเต้ย กับเล่นการพนันจนมีหนี้สิน
และทรยศที่ทำงานนี่มันคนละเรื่องกันนะ
จะว่ากระเสือกกระสนถีบตัวเพราะฐานะต่างกันมันผิดที่ตัวดอแดนเองนะ

เต้ยก็เกินไป แบบทนทำร้ายคนที่เคยรักไม่ได้ ทั้งที่ผิดชัดๆ   :angry2:
ทั้งที่ปกติต้องเอาคืนแบบสุดๆ
อย่างนี้ก็ไปลอยหน้าทำงานที่อื่นอย่างสบายใจเฉิบ :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
คนผิดลอยนวลไปเลย  :serius2:

พี่ภู  หนูพุก   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 23-07-2018 19:49:33
เห็นชื่อเรื่องตอนแรกแล้วนึกว่าจะเป็นแนวมหาลัยดาวเดือน(หลอนกับชื่อแนวๆนี้มาเยอะ) แต่วันนี้ไม่มีอะไรอ่านเลยลองเปิดมา
อยากขอโทษที่ปรามาสไว้ในใจ ประทับใจมากกกกก อ่านมาเก้าตอนคือคาแรกเตอร์ตัวละครยังคงที่ไม่แกว่งไปมา การบรรยายกระชับทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ต่างๆได้เร็ว ไม่น้ำเยอะ ช่วงต้องนำเสนอด่วนนั่นแทบกลั้นหายใจตาม แล้วพีคสุดคือฉากพุกขอลาออก สารภาพเลยว่าน้ำตาไหลร้องไห้ตามพุกจริงๆ
อีกเรื่องที่ชอบคือตัวละครอื่นที่ต้องติดต่อเยอะก็จริง แต่ไม่ได้ยัดๆมาให้รู้จักในตอนเดียวอย่างเช่นคนในบริษัท คือค่อยๆอธิบายบอกมาทีละคนๆในแต่ละตอนที่มีส่วนร่วม ซึ่งตรงนี้ชอบมาก ทำให้เราจำตัวละครละอินไปกับบทบาทได้ง่าย
สรุปคือชอบมากๆ ขอให้รักษามาตรฐานนี้ไว้หรือดีขึ้นไปอีกนะครับ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mony ที่ 24-07-2018 04:00:12
ชอบเรื่องนี้มากเลย รู้สึกสนุก มีสาระ ไม่ใช่นิยายตลาด ๆ ดีหรือเลวหมดจด
ตัวละครแต่ละคนมีมิติ ไม่ใช่สมบูรณ์แบบ มันคือคนธรรมดาที่ถ้าเราอยู่ตรงจุดนั้นจริง ๆ ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น
ภูเก่ง ก็พลาดมองข้ามความทุ่มเทของหนูพุกได้
หนูพุก ดูเหมือนนิ่ม ๆ อ่อนโยน แต่ไม่โง่ ไม่ได้ยอมคน
เต้ย น่าจะเป็นตัวอย่างของคนที่ พอเรื่องเกิดกับตัว ก็โหดร้ายกับคนที่ผูกพันไม่ลง
แดน ตัวแทนของประสบการณ์ที่ไม่ใช่คนชั่ว แต่เลยตามเลยมาหลายอย่างจนเรื่องมันเลวร้าย

เฝ้ารอตอนต่อไปอยู่ตลอดเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 27-07-2018 07:33:31
มารอจ้าาาา   :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-07-2018 10:46:07
มารอเหมือนกัน :katai5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 27-07-2018 13:06:54
รอจ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 28-07-2018 00:00:11


ปูเสื่อรอ  :impress2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : แจ้งข่าวฮับ --- [ 28.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 28-07-2018 00:16:52

อาทิตย์นี้ขออนุญาตแจ้งว่าคนเขียนไปต่างจังหวัดค่ะ จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และwifiใดๆ  :m15: :m15:

ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ มันค่อนข้างกระทันหัน เป็นทริปนอกแพลนค่ะ ;-; :z6:

สัปดาห์หน้าจะชดเชยให้เป็นการอัพสองตอนต่อกันเลยค่ะ  :katai4: :katai4:


ขอโทษที่ทำให้รอจริงๆนะคะ
- missmidnight -

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 28-07-2018 17:00:53
รอได้จ้า  เดินทางปลอดภัยนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 01-08-2018 05:16:28
รอได้เสมอค่า
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 01-08-2018 11:55:52
Chapter 10


เนื่องจากแดนดินออกจากงานไปแล้ว และพี่เต้ยถูกบังคับให้พักงานสี่วันซ้ำยังชนวันหยุดอีก ทีมงานที่ช่วยกันดูเเลโปรเจ็คถนนวิทยุจึงลดจำนวนลงไปครึ่งหนึ่ง พี่ภูจัดการปรับโครงสร้างทีมชั่วคราวโดยคัดสถาปนิกอีกสองคนที่ช่วงนี้ยังไม่มีงานด่วนมากและปริมาณงานไม่ได้หนาเเน่นเท่าคนอื่น รวมทั้งตัวพี่ภูเองก็เลื่อนมาเป็นหัวหน้าทีมเฉพาะกิจเเทนพี่เต้ย

 

โชคดีที่ในการพัฒนาเเบบเพื่อคัดเลือกครั้งสุดท้าย ทางนายทุนให้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มเพื่อดูเเลงานชิ้นนี้ หากโชคร้ายในคราวเดียวกันคือเวลาหมดไปสองอาทิตย์กว่ากับเเบบคร่าว ๆ ที่ไปถึงมือคู่แข่งเรียบร้อยเเล้วทำให้ทุกคนต้องเร่งทำงานหนักขึ้น

 

เเม้วันนี้จะเป็นวันเสาร์แต่ทุกคนในทีมต่างก็นัดกันมาลงพื้นที่ในช่วงเช้า ทีมแรกที่ออกไปพูดคุยกับคนที่อยู่อาศัยในละเเวกใกล้เคียงก่อนรวมถึงนำม็อคอัพสถานที่ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังเสร็จงานไปเพื่อสอบถามความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วย

 

ส่วนทีมของคีรินทร์เหลือเพียงสามคนคือตัวเขาเอง หนูพุก เเละปูน วันนี้พวกเขานัดกันที่ตลาดต้นไม้ซึ่งมีเจ้าขายส่งที่สนิทกันดีกับพี่ภูเเละพี่เต้ยคอยช่วยดูเเลเวลาจะเอาต้นไม้ไปลงอยู่บ่อยครั้ง

 

“พี่ภูครับ… กาเเฟ” หนูพุกยื่นกาเเฟจากร้านสะดวกซื้อที่ติดมาด้วยให้กับเจ้านาย มือใหญ่ฉวยมันไปพร้อมขยับปากเป็นคำว่าขอบคุณ เขาเลี่ยงเดินออกไปจากตรงนี้เนื่องจากติดสายโทรศัพท์

 

“อยากกินกาแฟมั่งอ่ะพี่”

 

เลขาหนุ่มเห็นเเววตาวิบวับของคนพูดแล้วก็ใจกระตุก รู้แน่ว่าโดนจับไต๋ได้แล้ว เห็นเเววหยอกล้อส่งผ่านมาแล้วก็นึกหมั่นไส้ ตอนเด็ก ๆ ไอ้นี่คงแก่เเดดน่าดูเเหง ๆ

 

“พี่ว่าอย่างปูนมากินนมกับพี่ดีกว่า” หนูพุกเเลบลิ้นให้แล้วยื่นนมสดพาสเจอร์ไรส์ขวดสูงเท่าฝ่ามือให้อีกฝ่ายหนึ่งขวด

 

“เฮ้ย ให้จริงดิพี่” สถาปนิกหนุ่มทำหน้าตกใจ

 

“ให้สิ พี่ซื้อมาสองขวด เอาเเซนด์วิชไปด้วย” เขาชูถุงร้านสะดวกซื้อขึ้น ด้านในมีนมจืดไขมันต่ำและ แซนด์วิชสามคู่

 

“ขอบคุณมากพี่ เหมือนมีตาวิเศษเห็นว่าผมยังไม่ได้กินข้าวเช้า” ปูนหัวเราะร่า แกะซองพลาสติกอ่อน กินไปด้วยเดินมองสองข้างทางไปด้วย

 

ร้านประจำของภูเป็นร้านขนาดเล็กชั้นเดียวที่ก่อด้วยปูนกับไม้ผสมกัน ด้านหน้ามีต้นไม้จำพวกเฟิร์นเเละอุปกรณ์ตกเเต่งสวนหลากหลายรูปเเบบวางตกเเต่งไว้ คีรินทร์เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง เขาทักทายเจ้าของร้านวัยกลางคนอย่างสนิทสนม แล้วเดินพาลูกน้องเข้าไปด้านหลังร้าน

 

“จะเอาอะไรก็ไปดู อย่าตายหมดนะเว้ย”

 

ภูหัวเราะ พาปูนเดินดูพืชพรรณที่จะทำการทดลองปลูกเพื่อทดสอบความอดทนก่อนที่จะนำเสนอให้ทำสวนแนวตั้งคลุมผนังอาคารบางส่วนตั้งแต่พื้นจรดชั้นสูงสุดของตัวโรงเรียนศิลปะ

 

“ผมล่ะเสียวไอ้ชั้นสูง ๆ เหลือเกิน” สถาปนิกตัวเล็กพูดไปก็ก้ม ๆ เงย ๆ เลือกหาเอาพืชใบเขียวพันธุ์ที่พอจะทำการบ้านมาเเล้วบ้าง

 

คนที่ไม่ค่อยข้องเเวะกับต้นไม้อย่างหนูพุกตาวาว ทีเเรกเขาเห็นหน้าร้านเล็ก ๆ ไม่คิดว่าจะมีพื้นที่ด้านหลังเป็นโรงปลูกไม้ดอกเลยด้วยซ้ำ ความตื่นเต้นทำให้หนูตัวหนึ่งเดินจากตรงโน้นทีไปตรงนี้ที เขาได้ยินมานานว่าคนชอบปลูกต้นไม้อย่างเจ้านายมักจะเเวะมาที่นี่ อีกทั้งร้านนี้ยังมีสวนที่เพาะและรับจัดการหาต้นไม้ขนาดใหญ่ในต่างจังหวัด

 

...เรียกได้ว่าเเทบจะครบวงจรเลยทีเดียว…

 

“หนูพุก ไปนั่งรอเถอะ หน้าเเดงตัวเเดงหมดเเล้ว เดี๋ยวเป็นลมไปพี่แบกไม่ไหวนะ”

 

...หนูพุกรู้ว่าพี่ภูทำเป็นพูดไปอย่างนั้น ขนาดตอนเขาหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลยังเเบกไหวเลย...

 

หมวกเเก๊ปแบบด้านหน้าเป็นฟองน้ำนิ่มเเละด้านหลังเป็นตาข่ายช่วยระบายความร้อนถูกถอดออกเเละวางลงบนหัวคนที่ยังก้มลงถ่ายรูปกุหลาบหินอยู่เงียบ ๆ

 

“พี่ภู... “ หนูพุกตาลอย ต่อให้เเดดกรุงเทพเเรงขนาดไหนก็ไม่สามารถเทียบเท่าความอบอุ่นของอีกฝ่ายได้ในตอนนี้

 

พี่ภูถอดหมวกให้เขาใส่!!

 

โอ๊ย…ใจเต้นแรงจนจะพัง

 

“ยังจะมาเรียกอยู่อีก ไปนั่งตรงเปลนั่นก่อนก็ได้ พี่จะไปคุยเรื่องให้เขาล้อมต้นไม้ไปลงโครงการที่ลพบุรี”

 

เขาหันมาย่นคิ้วใส่คนไม่เจียมบอดี้ ชี้ชวนให้หนูพุกมองเปลผ้าสีมอที่ผูกไว้ระหว่างเสาสองต้นเเละมีต้นไม้คลุมสแลนสีดำเตรียมส่งอีกหลายต้นคอยให้ร่มเงา

 

หนูพุกทรุดตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย เห็นแผ่นหลังใหญ่โตเคลื่อนไปคุยกับเจ้าของร้านต้นไม้ลิบ ๆ หนูพุกยกโทรศัพท์ขึ้นเลือกภาพที่เดินถ่ายเมื่อครู่เพื่ออัพลงสตอรี่อินสตาแกรม นิ้วเรียวเลือกอีโมติคอนรูปหมวกและหน้ายิ้มที่ดูไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกันเเปะลงไป แต่ยังไม่ทันจะได้กดแชร์โทรศัพท์เจ้ากรรมก็สั่นด้วยมีสายเข้าขัดจังหวะ

 

“ครับม้า”

 

[ กลับกี่โมงลูก ป๊ากับเจ้าเภาเขาเตรียมของขวัญไว้คอยใหญ่แล้ว ]

 

สุ้มเสียงอบอุ่นส่งผ่านสายโทรศัพท์มา หนูพุกกะแล้วว่าถ้าสักสิบโมงไม่โทรหา แม่เขาก็จะโทรมาตามเพื่อสอบถามว่าจะให้มารับที่คอนโดกี่โมง ด้วยวันนี้เป็นวันสำคัญของหนูพุกยังไงเขาก็ต้องกลับบ้านไปรับประทานอาหารเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันตามธรรมเนียม

 

“ม้าบอกป๊าเลยนะ ว่าวันเกิดปีนี้ถ้าไม่ได้บ้านนี่พุกงอนแน่ ๆ ”

 

ชายหนุ่มหัวเราะ ของขวัญของป๊าใหญ่ขึ้นตามอายุเขาทุกปี คอนโดที่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นของที่ป๊ากับม้าออกเงินดาวน์แถมเงินผ่อนให้อีกครึ่งหนึ่งเนื่องในวันเกิดพ่วงด้วยโอกาสที่เขาเรียนจบต้องมาใช้ชีวิตอยู่กลางเมือง จะได้ไม่ต้องสู้รบปรบมือกับการจราจรในกรุงเทพมากนัก ส่วนน้องชายที่รู้ว่าเขาเป็นพวกชอบหนังสือก็คงหาหนังสือดี ๆ ให้อย่างเคย

 

[ ทำเป็นพูดดีไอ้ลูกคนนี้ เขาจะซื้อรถให้ตั้งนานก็ทำบ่ายเบี่ยง ใบขับขี่ก็ได้มาแล้วยังไม่ยอมขับรถ ] หนูพุกหัวเราะยามได้ยินเสียงบ่นอย่างอ่อนใจ สุดท้ายก็คงได้ซองแดงอย่างเคย

 

เขาไม่ค่อยชอบขับรถเพราะเกลียดการติดเเหง็กอยู่บนถนนเเบบที่เหยียบคันเร่งได้ทีละนิดในตอนเช้าหรือเลิกงาน สู้ยอมเบียดคนหน่อยแล้วใช้รถไฟฟ้าเขาก็มีเวลากลับถึงห้องเเละได้พักผ่อนไวกว่า แถมเขาก็ไม่ใช่คนซุกซนอะไรส่วนใหญ่แล้วก็มักจะใช้ชีวิตไม่หนีไปจากแนวสถานีรถไฟฟ้าเท่าไหร่

 

“โธ่ ก็ไม่ได้จะไปไหนบ่อยนี่ม้า”

 

เลขาหนุ่มนั่งพักเหนื่อยได้ก้นยังไม่ทันร้อนก็ลุกขึ้น คราวนี้เขาไม่ได้ไปตากเเดดให้ตัวเเดงอีก หากเดินไปยังมุมสวนเล็ก ๆ บนโต๊ะสูงบ้างเตี้ยบ้างที่จัดเข้ามุมสำหรับเป็นที่วางถาดต้นกระบองเพชร และต้นไม้ขนาดเล็กที่เขาไม่รู้จักชื่ออีกหลายพันธุ์ทีเดียว

 

[ ม้าเหนื่อยจะพูดกับพุกแล้ว ตกลงจะกลับกี่โมง ] มารดาเเสร้งทำเสียงอ่อนใจเต็มทนให้คนฟังหัวเราะเบา ๆ

               

“งั้นสักประมาณบ่ายสามค่อยให้ป๊าออกมาก็ได้ครับ ม้ากับเภาจะกินขนมปังร้านเดิมไหม เดี๋ยวพุกซื้อไว้ให้”

               

[ ซื้อมาด้วยลูก งั้นแค่นี้ล่ะ เด็กเอาของสดมาส่งแล้ว เดี๋ยวม้าจะไปเตรียมกับข้าว ] หญิงสูงวัยวางสายไป ทิ้งไว้เเต่เพียงรอยยิ้มพิมพ์ใจของลูก

               

หนูพุกย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเตี้ย เห็นสวนขวดขนาดเท่าฝ่ามือตั้งวางเรียงไว้หลายอันทีเดียว ดวงตาทอดมองต้นไม้จิ๋ว เเละรูปปั้นเซรามิคจำพวกตุ๊กตาตกเเต่งหลากชิ้นอยู่ในกระบะ

               

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือตุ๊กตาปั้นเคลือบสีน้ำตาลอมส้มรูปหนูขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยเรียงรายอยู่ในกล่องใส เขาเดาว่ามันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสวนในขวดโหลที่มีคนจัดทิ้งไว้

               

“ชอบหรือหนูพุก” เสียงทุ้มจากด้านหลังทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัว

 

หากลำเเขนยาวข้างนั้นไม่ยืดออกมาตวัดรั้งเอาเอวเขาให้ขยับออกจากกลุ่มโต๊ะไม้สูง ๆ ต่ำ ๆ ไว้ป่านนี้ของบนโต๊ะไม้ที่ไม่ค่อยจะมั่นคงอะไรนักคงเทกระจาดเพราะเขากระเเทกแน่นอน

               

“เอ้อ ขอบคุณครับ”

 

หนูพุกยิ้มเเหย มองหน้าคนเเก่วัยกว่าอย่างเกรงใจระคนอับอาย ดีว่าเจ้าของร้านเดินไปคุยกับลูกค้าหน้าร้านถึงไม่เห็นเข้าว่าเขาเกือบจะสร้างความวินาศแล้ว

               

“เห็นยืนจด ๆ จ้อง ๆ นานแล้ว เอาไหม พี่ให้เป็นของขวัญวันเกิดไง” คีรินทร์ยิ้มมุมปาก กวาดตามองบนโต๊ะแล้วก็พอเดาออกว่าหนูพุกน่าจะถูกใจอะไร

 

                “พะ...พี่ภูรู้ได้ยังไง” หนูพุกอ้าปากพะงาบ ๆ ไม่ได้บอกใครว่าวันนี้เป็นวันเกิด ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะไปนั่งจำจากใบประวัติพนักงาน

               

...นี่ใช่ละครจอเเก้วหรือหนังจอเงินเสียเมื่อไหร่กัน...

 

                “โทษที ไม่ได้ตั้งใจฟังโทรศัพท์นะ พี่เดินมาได้ยินพอดี” เขายกมือสองข้างคล้ายจำนนแต่ทั้งริมฝีปากและตานั้นราวกับจะยิ้มเเข่งกัน

               

“ปีนี้หนูพุกอายุเท่าไหร่นะ” 

 


                “เต็มยี่สิบเจ็ดครับ ส่วนพี่ภูก็ยี่สิบเก้า...เอ๋ หรือสามสิบ” หนูพุกนับนิ้ว เขากับพี่ภูห่างกันราว ๆ สามปีเห็นจะได้


                “สามสิบแล้ว สามสิบวันนี้เลย” ชายหนุ่มยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบเมื่อมองอากัปที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเเปลงไปตามลำดับด้วยอารามตกใจ


                “พี่ภูเกิดวันนี้เหมือนกันหรือครับ” หนูพุกทำตาโต ริมฝีปากที่เคยคลี่ยิ้มกลายเป็นรูปวงกลมในยามที่กำลังประมวลอะไรต่อมิอะไร

 

                ...น่ารัก…

 

                “แฮ่ม...อือฮึ บังเอิญดีเนอะ” คีรินทร์กระเเอม เรียกตัวเองให้กลับสู้ภาวะปกติ

 

ตลอดสามสิบปีมานี้ที่ดำรงชีวิตอยู่บนดาวโลก เขาไม่เคยมองว่าผู้ชายหน้าไหนน่ารักได้มาก่อน คราวก่อนที่ว่าหนูพุกเซ็กซี่เขาก็ว่ามันพิลึกจะแย่แล้ว…

 

...สงสัยพักนี้จะนอนน้อยจนตาพร่า…

 

“เอ้อ ครับ...” หนูพุกรับคำเนิบ ๆ หากกายละเอียดเเทบจะลงไปเเดดิ้น กรีดร้องจนไม่เหลือดี


                บังเอิญบ้าบออะไรกัน แบบนี้ควรเรียกว่าพรหมลิขิตแล้ว!

 

“คุณภู... สนใจสวนขวดด้วยหรือนี่” เจ้าของร้านวัยสามสิบปลาย ๆ เดินกลับเข้ามาหาลูกค้ารายใหญ่หลังจากที่เขาสะสางธุระหน้าร้านจนเสร็จเรียบร้อยดีเเล้ว 


                “เลขาผมชอบน่าดูเลย” ชายหนุ่มพยักเพยิดไปที่คนหน้าอ่อน ทว่าหนูพุกได้แต่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมไม่กล้าขยับตัวอย่างไม่ระวังอีก ด้วยกลัวว่าคราวนี้เขาจะเกี่ยวเอาต้นอะไรเทกระจาดลงมาจริง ๆ


                “จริง ๆ ถ้าชอบก็จัดเองได้เลยนะคุณ พวกนี้ผมเอาไว้ทำเวิร์คช็อปน่ะ บางทีก็จัดไว้แล้วก็ขายออนไลน์” ชายร่างท้วมเชื้อเชิญอย่างใจดี อย่างไรเสียวันนี้เขาก็ว่างแล้วจะเปิดคลาสฆ่าเวลาไปสักชั่วโมงก็ถือว่าใช้ได้


                “อย่างนั้นวันนี้ถือว่าผมกับหนูพุกมาขอเรียนคลาสพิเศษแล้วกันครับ” คีรินทร์หันไปตกลงกับเจ้าของร้านอย่างว่องไว ไม่ทันเห็นอดีตนักเรียนที่ร่อเเร่วิชางานประดิษฐ์อ้าปากพะงาบ ๆ จะท้วงอยู่เบื้องหลังเลยสักนิด

 

“เดี๋ยวผมไปทำความสะอาดโต๊ะก่อนดีกว่า จะได้นั่งทำกันสบาย ๆ”

 

เขาเอ่ยก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานอีกคนให้ช่วยกันยกโต๊ะไม้ที่แอบไว้มุมหนึ่งเพื่อประหยัดที่ทาง สองขาพาร่างท้วมหายเข้าไปในห้องสำหรับเก็บอุปกรณ์

 

ดวงตาเรียวแอบสอดส่ายไปทั่ว พยายามจะมองหารูปเเบบการจัดสวนเอาไว้เป็นแนวทาง เขาไม่อยากจะทำอะไรผิดพลาดต่อหน้าพี่ภูหรอกนะ

 

“ใจลอยอะไรอยู่หนูพุก” เสียงดีดนิ้วทำให้หนูพุกหยุดเก็บรายละเอียดขวดโหลเเก้วทั้งหลายแล้วหันมองคู่สนทนา

 

“เอ่อ... ก็แค่คิดว่าพี่ภูน่าจะชอบแบบไหนน่ะครับ” คำตอบนั้นทำเอาคนฟังเลิกคิ้วสูง

 

“จะจัดให้พี่หรือ”

 

“อ้าว...” หนูพุกเผลออ้าปากหวอ คิดไปเองว่าจะจัดให้แลกกันเป็นของขวัญวันเกิดเสียอีก “อ๋อ จะ... จัดให้ตัวเองก็ได้ครับ ฮะ ๆ”

 

เขาเเสร้งหัวเราะทั้งที่หน้าแตกยับเยิน รู้สึกว่ามือไม้มันช่างระเกะระกะจนไม่รู้จะเอาไปรวมกันไว้ที่ไหน ใบหน้านวลขึ้นสีด้วยความอับอายทำให้ผู้จ้องมองได้แต่หัวเราะในลำคอ


                “เป็นคนตลกดีนะเราน่ะ แลกกันก็ได้ ไม่ถูกใจล่ะน่าดู” คีรินทร์คาดโทษไว้ล่วงหน้า ทำเหมือนน่ากลัวเสียเต็มประดา หากที่สุดแล้วมันก็เเฝงด้วยความเอ็นดูเท่านั้นเอง

 

“พี่นั่นแหละ จัดให้ถูกใจพุกเถอะครับ” หนูพุกทำหน้าง้ำ เดินไปช่วยคุณเจ้าของร้านยกเก้าอี้เเสตนเลสมาวางไว้ข้างโต๊ะไม้ตัวใหญ่ในขณะที่พี่ภูเองก็ช่วยยกเอาถาดใส่หินและต้นมอสเล็ก ๆ มาวางไว้บนโต๊ะ

 

“หมู ๆ น่า”

 

“พุกจะรอดูเลย”

 

หนูพุกย่นหน้า หมั่นไส้คนมีความมั่นใจเปี่ยมล้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารอยยิ้มและความมั่นใจที่มีอยู่ในตัวทำให้คีรินทร์ดูโดดเด่นเหมือนพระอาทิตย์โชนเเสง

 

สถาปนิกตัวเล็กชะเง้อคอ ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่จากระยะไกล มองเห็นท่าทีผ่อนคลายกว่าปกติของเจ้านายเเละรังสีความเอียงอายจากพี่หนูพุกก็พอจะเดาได้

 

“ลืมกูแล้วมั้งเนี่ย” ปูนปรารภกับตัวเอง ไอ้เขาน่ะได้ทุกอย่างที่จะเอามาทดลองเพาะจนเรียบร้อยเเล้วแต่ดูว่าอีกสองคนน่าจะยังอีกนาน จะขอกลับก่อนก็กลัวจะไม่สุภาพอีก

 

ไหน ๆ วันนี้เขาก็ไม่ได้รีบไปไหน เดินหาดูกระบองเพชรที่เขาสนใจจะเพาะเพิ่มเติมหน่อยดีกว่า อย่างน้อยก็มีอะไรทำแบบไม่ต้องเข้าไปเป็นก้างขวางคนอื่น

 

บนโต๊ะไม้สีน้ำตาลหน้ากว้างนั่งได้ถึงแปดที่นั่ง หากสองที่นั่งถูกจับจองโดยเจ้านายเเละเลขาหนุ่มคนละฟาก เจ้าของร้านอธิบายถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะถูกจัดลงไปในขวดอย่างละเอียด เขาให้ทั้งคีรินทร์เเละหนูพุกเลือกรูปทรงขวดที่ชื่นชอบโดยทั้งคู่เห็นต้องกันว่าทำแบบระบบปิดที่มีฝาครอบตัวขวดจะดีกว่าเนื่องจากไม่ต้องรดน้ำบ่อย ๆ ทำให้สะดวกต่อการดูเเล 

 

“ขั้นตอนเเรกก็เทหินลงไปที่ก้นขวดก่อน กะเอาสักหนึ่งในสิบของขวดก็ได้ครับ”

 

เสียงทุ้มจากผู้สอนเอ่ยขึ้นพลางทำให้นักเรียนทั้งคู่ดู โชคดีที่ทั้งคีรินทร์เเละหนูพุกค่อนข้างมือเบาและคล่องแคล่วจึงไปสู่ขั้นตอนต่อไปได้รวดเร็ว ใช้เวลาพักเดียวก็วางมอสคลุมหน้าดินเสร็จแล้วและเข้าสู่ขั้นตอนการจัดเรียงหินเเละต้นมอสใบเเหลมเพื่อช่วยสร้างลำดับสายตา

 

“พี่ภูทำอะไร” หนูพุกเพ่งมองขวดโหลทรงหยดน้ำ เห็นเขาคีบเเต่หินใส่เข้าไป ข้างในมีต้นไม้อยู่หร็อมเเหร็มเท่านั้นเอง

 

“สร้างบ้านหนู..” ภูหลิ่วตา เห็นว่าขวดทรงหกเหลี่ยมของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยมอสและเฟิร์นขนาดย่อมเเละกำลังลำเลียงบรรดาสิงสาราสัตว์ตัวจิ๋วเข้าไป

               

“แล้วเราน่ะ ทำอะไร เขาเขียวสองหรือ” เขาเเซวจนหนูพุกเผลอหน้าบูด นี่ก็คิดว่าสวยที่สุดที่ทำได้แล้วนะ

               

คล้ายว่าการยียวนเลขาจะทำให้พี่ภูยิ้มได้ เอาเถอะ แค่ไม่ทำหน้าเครียดและใช้เวลากินนอนที่บริษัทจนคนในออฟฟิศตัวลีบกันหมดอย่างช่วงสองสามวันมานี้ หนูพุกก็คิดว่ายอม ๆ สักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไร

 

“สวยแล้วน่า ชอบแล้ว ไม่ต้องหน้าบึ้ง”

 

เขาแค่ชอบต้นไม้… หรือว่าเขาชอบคนทำด้วย…

 

ไม่ได้! ยิ้มตอนนี้ไม่ได้ กัดปากไว้ไอ้พุก กัดปากไว้เลย!!

 

หนูพุกไม่เเน่ใจว่าที่คนเเก่วัยกว่าเอ่ยนั้นเป็นเพียงคำปลอบใจหรือไม่อย่างไร หากวลีสั้น ๆ ว่า ‘ชอบแล้ว’ เล่นเอาเขามือไม้อ่อนทำที่คีบเเสตนเลสตกกระเเทกโต๊ะเสียงดัง

 

“ขอโทษทีครับ” เขาหันไปค้อมหัวให้เจ้าของอุปกรณ์ที่นั่งอมยิ้มอยู่หัวโต๊ะ คุณเจ้าของร้านจัดสวนออกมาได้สวยงามจนหนูพุกชักอายฝีมือตัวเอง

 

กว่าจะเสร็จ หนูพุกก็เกร็งจนแทบจะเป็นรุปปั้นด้วยกลัวจะทำอะไรตกเเตกเสียหาย เขาใช้ฟ็อกกี้พรมน้ำจนชุ่มเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะปิดฝาขวด

 

“สุขสันต์วันเกิด...” หนูพุกยื่นมือไปรับขวดเเก้วของเจ้านายด้วยความดีใจ

 

‘บ้านหนู’ ของพี่ภูทำให้เขาตกตะลึง เหตุว่าเมื่อครู่เห็นว่าพี่ภูคีบหินสีเทาอ่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายมันกลับออกมาสวยงามลงตัว มีต้นเฟิร์นด้านหลังและมอสพุ่มอยู่ด้านหน้าสัดส่วนโดยมากเป็นหินสีอ่อน มีเพียงบ้านเซรามิกเคลือบผูกไว้บนพุ่มต้นไม้เเละตุ๊กตาหนูหนึ่งตัว ทำให้คนไม่ค่อยเข้าใจการดีไซน์เข้าใจวลีของใครต่อใครที่ว่ากันมากระจ่างชัด

 

...น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ มันเป็นอย่างนี้เอง...

 

“สุขสันต์วันเกิดเหมือนกันครับพี่ภู” ผู้รับ พลิกขวดโหลทรงเหลี่ยมดูอย่างชื่นชม

 

ทำให้หนูพุกตีความไปเองว่าสวนขวดครั้งเเรกของเลขาหนุ่มคงไม่ได้เลวร้ายอะไรเกินไปนัก ทุกอย่างถูกวางตกเเต่งจำลองเป็นป่าบนภูเขา มีสัตว์รูปร่างน่ารักต่าง ๆ แทนคนในออฟฟิศถูกบรรจุอยู่ในขวด และบนยอดของเนินเขามีต้นไม้เขียวขจีเเละตุ๊กตาเซรามิกสีน้ำตาลอมส้มที่เขานึกชอบใจ

 

...มันแทนตัวเขาในวันที่หวังจะพิชิตยอดภูได้สำเร็จ…


[ต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 01-08-2018 11:57:36

ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่ทุกคนหัวปั่น สถาปนิกในโครงการไซต์ถนนวิทยุไม่ต่างอะไรกับซอมบี้เพราะอดหลับอดนอนช่วยกันนั่งทำม็อคอัพให้ใกล้เคียงกับภาพที่สร้างขึ้นมากที่สุด การขาดคนที่ทำงานเร็วเหมือนเสกได้อย่างเเดนดิน ทำให้คนที่เหลือทำงานกันยากพอสมควรเนื่องจากยังไม่มีใครที่มีฝีมือปั้นรูปได้ไวเท่าเขาเลยสักคน

 

หากสุดท้ายงานทั้งหมดก็ออกมาตามความคาดหมาย วันนี้ภูและปูนเป็นตัวเเทนมาเสนองาน พ่วงด้วยหนูพุกซึ่งตามมาเก็บข้อมูลและให้กำลังใจเนื่องจากครั้งนี้เป็นรอบสุดท้ายที่ทางนายทุนต้องฟันธงว่าจะเลือกงานของใครให้เข้าสู่กระบวนการพัฒนาแบบและสร้างจริง

 

“ทำไมสละสิทธิ์ แปลกจริง”  ปูนปรารภ เบื้องหน้าเป็นบอร์ดสำหรับลงชื่อ ปรากฏชื่อผู้เข้ารอบเพียงสี่ทีมหากทีมหนึ่งกลับมีวงเล็บในช่องลงลายมือชื่อว่าสละสิทธิ์

 

“เห็นว่าโดนสรรพากรเรียกสอบ สงสัยช็อตจากหัวถึงหางไปเลยละมั้ง” หนูพุกว่า

 

เขาเห็นข้อความจากเพื่อนมาเมื่อหลายวันก่อนว่าอยู่ ๆ ฝั่งนั้นก็โดนสรรพากรเรียก พบเรื่องหนีภาษีเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเนื่องจากทบกันมาหลายปีทีเดียว ต่อจากนี้เขาก็พอจะอนุมานได้ว่าปัญหาคราวนี้คงหนักหนาน่าดูกระทั่งงานใหญ่ที่สุดก็ปล่อยมือไปง่าย ๆ

 

“พี่ว่าเรื่องนี้มันเเปลก ๆ ไหม มีเรื่องเเบบบริษัทเราแล้วสรรพากรก็เรียกเลย เวลามันใกล้เคียงกันดีเนอะ” ปูนเอ่ยพลางนั่งลงที่โต๊ะหลังห้องประชุมซึ่งถูกตระเตรียมไว้สำหรับผู้เข้านำเสนอ

 

“ฮะ… เกี่ยวกันได้หรือ” หนูพุกขมวดคิ้วมุ่น มองเเผ่นหลังกว้างของคีรินทร์ที่เดินออกไปอย่างตั้งคำถาม

 

“พี่ภูแกเส้นใหญ่นะ เห็นทำเฉย ๆ แบบนั้น” คนอ่อนวัยกว่ากระซิบกระซาบ รีบพูดตอนที่เจ้านายปลีกตัวไปคุยกับคนอื่น

 

“อย่างนั้นหรือ…” หนูพุกพยักหน้าไปอย่างนั้น เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องที่ไม่มีอะไรมายืนยันลมปาก หากข้อสังเกตของปูนก็ทำให้เขาคลางเเคลงใจไปทั้งวัน

 

การพรีเซนต์ครั้งนี้ทำเอาหนูพุกเเอบเสียวสันหลัง เนื่องจากงานของทุกคนออกมาดีมาก ทุกเเง่มุมถูกคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบ จนกำลังใจของทีมสุดท้ายอย่างเขาเเอบฝ่อน่าดูเนื่องจากมีเวลาทำงานจริง ๆ เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น

 

“อย่าคิดมาก เราทำเต็มที่เเล้ว ยิ้มกว้าง ๆ ให้พี่กับปูนหน่อย เดี๋ยวหมดเเรงก่อนไปพรีเซนต์” หนูพุกหันมองคนที่ขยับเข้ามากระซิบ คลี่ริมฝีปากออกยิ้มกว้างจนตาหยี

 

“สู้นะครับ…” หนูพุกกำมือ คอยให้กำปั้นใหญ่โตกว่าเข้ามาชนอย่างครั้งที่แล้ว

 

ทั้งที่จะต้องเป็นคนออกไปนำเสนอเเท้ ๆ แต่ยังต้องมาให้กำลังใจลูกน้องอีก คนอะไรจะน่ารักและมีพลังล้นเหลือได้ขนาดนี้… หนูพุกไม่เสียดายจริง ๆ ที่ประทับใจคนตรงหน้ามาได้ตั้งเป็นสิบปี

 

“ตั้งใจฟังพี่ด้วยนะ”

 

หนูพุกพยักหน้า มองตรงไปยังร่างกายกำยำที่ยืนอยู่หน้าห้อง สไลด์พรีเซนต์คราวนี้เป็นสีอ่อนดูง่ายให้ถูกจริตกับคนฟัง น้ำเสียงนุ่มทุ้มอธิบายถึงการเปลี่ยนเเปลงพื้นที่ภายในไซต์ให้มีพื้นที่สีเขียวสำหรับคนทั่วไปที่สัญจรหรืออาศัยอยู่ในละเเวกนั้น

 

“พื้นที่สีเขียวและลานโล่งส่วนนี้จะเปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาใช้พื้นที่ได้มากขึ้น เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้คนเมืองที่มักจะทำทุกอย่างอย่างเป็นระบบรวดเร็วกลับมาสัมผัสชีวิตที่ช้าลง เป็นพื้นที่ที่สนับสนุนให้เขาเป็นมนุษย์ได้มากกว่าที่เป็นอยู่”

 

บนหน้าจอเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งที่จัดเป็นเนินสูงต่ำและมีต้นไม้ล้อมรอบ พร้อมทั้งให้รายละเอียดข้อดีข้อเสียของพันธุ์ไม้ที่คัดเลือกมา 

 

“ทั้งนี้การเปิดให้คนทั่วไปเขามาใช้งานพื้นที่ได้ก็จะมีข้อดีเรื่องโอกาสการทำรายได้เพิ่มนอกจากกลุ่มเป้าหมายเดิม...” คีรินทร์อธิบายเพิ่มเติมถึงการใช้พื้นที่เเละโอกาสชักจูงให้บุคคลภายนอกรู้สึกว่าศิลปะเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่ใคร ๆ คาดคิด

 

เมื่อผ่านส่วนคอนเซ็ปท์และการดีไซน์เเล้ว ปูนก็รับหน้าที่นำเสนอเรื่องการทำสวนเล็ก ๆ ที่สามารถปลูกไม้ยืนต้นขนาดเล็กได้ และวิธีการสร้างกำเเพงจากการปลูกต้นไม้ทนเเดนทนฝนขนาดย่อมรวมกันเพื่อปูผนังด้านหนึ่งให้เป็นสีเขียวช่วยผ่อนคลายสายตาเเละลดอุณหภูมิภายในอาคารด้วย

 

คราวนี้การนำเสนอและตอบข้อซักถามกินเวลานานกว่าที่คิด กว่าจะออกจากห้องประชุมได้ก็เกือบเที่ยงเเล้ว เขา พี่ภูและปูนจึงตัดสินใจหาอะไรใส่ท้องง่าย ๆ ก่อนจะกลับมาที่ออฟฟิศเพื่อถูกมรสุมงานอื่น ๆ อันชะงักไปในช่วงโม่โปรเจ็คถนนวิทยุถล่ม

 

กว่าหนูพุกจะเงยหน้าจากงานได้ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงเเล้ว เลขาหนุ่มตัดสินใจเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา เเวะห้องครัวหาน้ำหวานดื่มเเล้วก็คิดถึงคนที่ไม่ออกมายืดเส้นยืดสายนอกห้องทำงานบ้างเลย

 

“เหนื่อยมากไหมครับ” ครั้งนี้หนูพุกไม่ได้หอบเอกสารเข้ามาหาพี่ภูอย่างเคย ในมือมีผ้าขนหนูสีเข้มติดมาด้วย มันผ่านการแช่ในน้ำเย็นเเละหยดโคโลญจน์ที่เขาใช้ประจำแล้วบิดหมาดมาแล้ว

 

“เรานั่นเเหละ ทำเอกสารเเทนพี่เกือบหมดเลย ไหนจะของเต้ยอีก” คีรินทร์เอนหลังพิงเก้าอี้ ปรับมันเอนลงในองศาที่สบายขึ้น

 

“ทำได้ครับ ส่วนของพี่เต้ยพุกก็ทำแค่อันที่ด่วนมาก ๆ ก่อน” หนูพุกเอ่ยยิ้ม ๆ เเม้ว่าสภาพงานจะไม่ได้ชวนให้ยิ้มตามตรงไหน

 

“ถามหน่อยสิ… เราโกรธเต้ยมากหรือเปล่า” คนถามยืดตัวนั่งตรง มองลูกน้องอย่างพิจารณา

 

“ตอนแรกก็โกรธนิดหน่อยนะครับ แต่ก็เข้าใจเหตุผลที่พี่เต้ยจะสงสัยพุกได้... ยิ่งพอเรื่องมันออกมาเป็นเเบบนี้ยิ่งโกรธไม่ลงใหญ่เลย”

 

ครั้งสุดท้ายที่เห็นพี่เต้ยร้องไห้จนตาบวมน่ากลัวเเบบนั้นเขายิ่งสะท้อนใจ ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังมีอะไร ทว่าลองได้ถูกคนไว้ใจทำเสียแสบอย่างนั้นเป็นเขาก็คงตั้งหลักไม่ถูกเหมือนกัน

 

เมื่อเห็นว่าคนถามเงียบไป หนูพุกจึงเดินเข้าหาเขา บิดผ้าเเล้วยื่นให้เจ้านายใช้มันโปะลงบนเปลือกตา สัมผัสเย็น ๆ และกลิ่นหอมคงจะช่วยให้พี่ภูสดชื่นขึ้นได้บ้าง

 

“ปิดคอมก่อนดีกว่า พักเครื่องพักสายตาสักยี่สิบนาทีนะครับ ตาแดงหมดแล้ว” หนูพุกช่วยเขาเซฟงาน รูดมู่ลี่กันเเดดด้านนอกให้ด้วยเพื่อไม่ให้มันรบกวนการพักผ่อนของพี่ภูที่ไม่ค่อยได้หลับเต็มตื่นอย่างมนุษย์ปกติทั่วไป

 

“หนูพุก...” คนนอนปิดตานิ่งเอ่ยขึ้นเรียกคนกำลังจะเดินออกจากห้องต้องหันกลับมา

 

“ครับ”

 

“ขอบใจมากนะ ทุกเรื่องเลย...”

 

น้ำเสียงของเขาทำให้คนฟังใจลอยเหมือนถูกสูบลมเข้าไป รอยยิ้มกว้างขวางอย่างจริงใจจึงผลิออกอย่างไม่นึกอายเพราะอีกคนคงไม่เห็น

 

...อย่างน้อยที่สุดพี่ภูก็ยังเห็นคุณค่ากัน...

 

“ไม่เป็นไรครับ พุกเต็มใจมาก”

               

หนูพุกหย่อนตัวลงนั่งกับโต๊ะ เริ่มทำสรุปงบได้ไม่ทันไรโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมก็ปรากฏเบอร์แปลก ๆ เรียกเข้า จะไม่รับก็ไม่กล้าด้วยกลัวเป็นเรื่องงาน แต่หากรับแล้วเจอจำพวกขายประกันหรืออื่น ๆ เขาคงหงุดหงิดน่าดู

 

“สวัสดีครับ หนูพุกพูดครับ”

 

[ ผมกวีเองนะหนูพุก... ]

 

เขาขมวดคิ้ว หม่อมหลวงกวีจะโทรมาทำไมกัน หรือว่างานมีปัญหา… คราวนี้ก็ไม่ได้ซ้ำกับใครเเล้วนี่นา ซ้ำยังเป็นเบอร์ส่วนตัวอีกด้วย เรื่องคอขาดบาดตายอะไรหรือเปล่านี่

 

“ครับคุณกวี อยากให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่าครับ”

 

[ พอดีว่าผมไม่เห็นคุณเต้ยวันนี้เลยโทรมาถามน่ะ ] ฟังแล้วหนูพุกก็งงเต๊ก แต่สัญชาติญาณก็สั่งให้ตามน้ำไปก่อน

 

“ช่วงนี้พี่เต้ยลาพักร้อนครับ”

 

 

[ อ่า… โอเค พอดีผมติดต่อเขาไม่ได้เลย คุณพอจะรู้จักที่อยู่เขาหรือเปล่า ]

 

หนูพุกคิ้วพันกันหนักกว่าเก่า ไม่ยักรู้ว่าพี่เต้ยกับคุณกวีไปรู้จักมักจี่ถึงขั้นติดต่อกันตั้งแต่เมื่อไหร่

 

“จริง ๆ พี่เต้ยอยู่คอนโดครับ ยังไงคุณกวีลองโทรหาดูอีกรอบก่อนไหมครับ”

 

[ เขาไม่อยู่น่ะ พอจะมีที่อยู่บ้านเขาไหม… ส่วนเบอร์โทรศัพท์ผมกวนคุณทวนให้ที เผื่อว่าผมจะเม็มผิดเลยติดต่อไม่ได้ ]

 

เสียงของอีกฝ่ายลื่นไหล แต่เล่นเอาหนูพุกกรามค้าง ถึงขนาดรู้ว่าไม่อยู่คอนโดนี่เกินคนรู้จักปกติไปหรือเปล่า แต่คนฟังก็ไม่กล้าถาม ด้วยกลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วงจนเสียมารยาท

 

“ผมรู้แค่ว่าเป็นร้านทองที่เยาวราชครับ แต่ว่าเห็นมีสามสาขา ไม่รู้ว่าสาขาไหนเหมือนกัน ยังไงเดี๋ยวผมถามคุณภูเเล้วจะโทรกลับดีไหมครับ”

 

[ ไม่ต้อง! เอ่อ... ผมหมายความว่าไม่เป็นไร เท่านี้ก็พอแล้ว ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะหนูพุก เดี๋ยวผมจะแวะไปหาเขาเอง ]

 

ที่สุดคุณกวีก็วางสายไปอย่างรวดเร็วปล่อยให้เลขาหนุ่มทดลองลำดับความตื้นลึกหนาบางของความสัมพันธ์ไปเงียบ ๆ น้ำเสียงรีบ ๆ ลน ๆ มันคืออะไรกัน  หรือจริง ๆ เขาจะคิดมากไปเองกันแน่

 

...แต่คนรู้จักที่ไหนถึงจะถามที่อยู่บ้านจากคนอื่นแล้วตามไปหา…

 

...มองมุมไหนก็ประหลาดจริง ๆ ... 

 

 

--------------------------------------------------------------


กลับมาแล้วค่ะ กับความสัมพันธ์ที่คืบหน้าไปเท่าหางอึ่ง

เรื่องนี้เหมือนอะไรก็ไวไปหมด ยกเว้นพระ-นาย ผ่ามมม 555555 :z3: :z3:

ปล. ตอนหน้าจะมาอีกทีวันเสาร์ค่ะ  :katai4:

ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ  :pig4: :L1:

 

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 9 --- [ 22.07.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-08-2018 11:58:38
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 01-08-2018 14:33:13
ช่วยหาคนมาดามใจคุณเต้ยให้ด้วยนะ คุณเต้ยจะได้หายเศร้าเร็วๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 01-08-2018 15:50:39
พี่ภู​ทำเอาหนูพุกของเราใจเต้นแรงตลอด
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 01-08-2018 16:29:19
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-08-2018 17:08:15
คาดว่าคู่กวีกับเต้ยจะนำคู่พระ-นายนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-08-2018 17:09:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ เหมือนว่าพี่ภูจะเริ่มมีใจ...ให้กับนู๋พุกบ้างแล้วเนาะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-08-2018 17:41:06
คุณกวี นี่ยังไงน๊า~
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 01-08-2018 21:08:07
ใช่เบย​ พระนายกระดืบๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 01-08-2018 21:48:56
มาแล้ว ๆ  > <
พี่ภู รู้สึกอะไร ๆ กับหนูพุกของเราแล้วใช่ไหมล่ะ แหม แอบหวานเบา ๆ
ดีใจที่หนูพุกเข้าใจ แล้วก็ไม่โกรธพี่เต้ยแล้ว น่ารักจริง ๆ
ว่าแต่ คุณกวี มาตามหาพี่เต้ยทำไมคะเนี่ย มันอยากจะฟินนะ
แต่ลักษณะคุณกวีดูน่าสงสัยแปลก ๆ อ่ะ รีบ ๆ ลน ๆ เหมือนต้องเจอพี่เต้ยให้ได้
แล้วพี่เต้ยตั้งใจไม่รับโทรศัพท์คุณกวีด้วยหรือเปล่า ทำไมน้อ
แถมคุณกวี ก็เหมือนไม่อยากให้พี่ภูรู้เรื่องนี้ด้วย อะไร ยังไง งงไปกับหนูพุกด้วย
เรื่องนี้เดินเรื่องไวจริง แต่เราก็ชอบนะคะ ไม่ยืดเยื้อเยิ่นเย้อดี
คู่พี่ภูหนูพุก ค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้เราว่าน่ารักดี
แต่ตอนนี้ ลุ้นคู่คุณกวีกับพี่เต้ยที่สุด ปลื้มคู่นี้จ้า ^^
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 01-08-2018 22:37:03
พี่ภูความรู้สึกช้าจัง ต้องเติมเชื้อเพลิงหน่อยละะะช
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 02-08-2018 00:01:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 02-08-2018 11:54:17
คุณกวีนี่คิดไม่ซื่อกับพี่เต้ยแน่ๆ หรือจะมาเป็นพระเอกของพี่เค้าคะ  :ruready
 พระนายค่อยๆกระดื้บๆ  :z10: มีความแลกของขวัญ อะไรจะพรหมลิขิตขนาดนี้ วันเกิดตรงกันไปอีก เป็นหนูพุกป่านนี้ขึ้นสวรรค์ไปละ  :heaven ของขวัญวันเกิดจากพี่ภู  :hao7:

รอว่าเมื่อไหร่พี่ภูจะรู้ใจตัวเองสักที เริ่มหวั่นไหวแล้วใช่มั้ยยย

 
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 04-08-2018 23:03:13
   Chapter 11



   “เต้ย.. ไอ้เต้ย มีคนมาหาโว้ย” เสียงพี่ชายของเต้ยดังมาจากเชิงบันได เรียกให้ชายหนุ่มที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาชั้นสองของตึกแถวในย่านที่ผู้คนคราคร่ำขยับชันตัวขึ้นนั่ง

“ใครอ่ะเฮีย” เต้ยตะโกนตอบ ไม่ได้ละสายตาจากการ์ตูนบาร์บี้ที่ฉายบนโทรทัศน์ ไอ้ภูให้เขาหยุดงานอยู่บ้านเลี้ยงหลานเเฝดสองก็สนุกดีพิลึก ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ฟุ้งซ่าน

“เพื่อนเอ็ง”

“ไอ้ภูหรือ… มันมาทำไมวะ”

เต้ยลุกขึ้นพร้อมขมวดคิ้วนิดหน่อย นาน ๆ ทีมันถึงจะโผล่มาหาเขาที่บ้านสักหน หรือว่าจะมีเรื่องด่วนถึงขั้นคอขาดบาดตายจนต้องฝ่าการจราจรตอนหัวค่ำมาหาเขา

“ไม่ใช่… เฮียก็ไม่เคยเจอ” เฮียตะโกนตอบกลับมา  เดาได้เลยว่าป่านนี้มือของเด็กในร้านคงเตรียมกดสัญญาณนิรภัยที่ติดไว้กันขโมยแล้วแน่นอน

โจรสมัยนี้มันลูกเล่นเยอะแยะ มุกมาถามหาคนเเล้วทุบตู้กวาดทองเลยก็ใช่ว่าจะไม่มี

อีกอย่างเต้ยเป็นคนเพื่อนเยอะ ทว่าก็พามาให้เห็นหน้าค่าตาครบแล้วทุกคน ด้วยเฮียเองก็เรียนที่เดียวกันกับเขามาตลอดตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย เป็นไปได้น้อยมากที่เฮียจะไม่รู้จักเพื่อนคนไหนของเขา

“ใครวะ” ชายหนุ่มขยับลุกขึ้น หอมหัวหลานสาวแฝดคนละฟอดก่อนจะลุกเดินลงมาข้างล่าง เขาเดินไปจัดเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนให้ดูดีขึ้นกว่าเดิมไปแม้ว่ามันจะยับน่าดูก็ตามที

“สวัสดี...คุณเต้ย”

อันที่จริง เต้ยนึกว่าตัวเองตาฝาดด้วยซ้ำเมื่อเห็นชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบ ไม่สวมไทด์ และพับเเขนเสื้อสองข้างเสมอกัน

หม่อมหลวงกวี กรจักร มาทำอะไรที่บ้านเขา ?

“อ้าว คุณวี มาได้ยังไง” เจ้าของบ้านกดปลดล็อกประตูอลูมิเนียมด้านหลังเคาน์เตอร์ แล้วจึงชี้ชวนให้คนมาเยี่ยมไปนั่งลงที่มุมห้อง เอาให้ไกลเสียงข่าวของเฮียหน่อย ไม่อย่างนั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่องเอา

“พอดีผมผ่านมาแถวนี้ ยังไม่ได้กินอะไรเลย อยากได้คนพื้นที่เป็นไกด์หน่อยครับ” ราชนิกุลหนุ่มยิ้มยิงฟันขาว ใช้มือลูบหน้าท้องราวกับว่าเขาปวดท้องเพราะหิวเสียเต็มประดา

“อ่า… คือผมต้องทำงานน่ะคุณ”

เต้ยยิ้มแหย ช่วงนี้เขายังไม่ค่อยอยากจะปะทะสังสรรค์อะไรกับใครเท่าไหร่นัก รู้สึกว่าแค่ลุกจากที่นอนมากินข้าว อาบน้ำ เล่นกับหลานก็ใช้พลังงานพอ ๆ กันกับไปปีนเอเวอร์เรสต์อย่างไรอย่างนั้น

“แต่วันนี้คุณไม่ได้ไปทำงานนะ” กวีเลิกคิ้ว อมยิ้มน้อย ๆ จับทางคู่สนทนาได้อยู่หมัด

ถ้าเขาแห้วคราวนี้… คราวหน้าจะกู้เกมกลับมาก็คงยาก

“คุณ…รู้ได้ยังไง” ลูกชายคนเล็กของห้างทองใหญ่อ้าปากพะงาบ ๆ ลืมเรื่องความสุภาพแล้วเผลอชี้นิ้วใส่หม่อมหลวงหนุ่มเพราะความตกตะลึง 

“ก็คุณไม่ไปพรีเซนต์งานนี่ ผมก็รอฟังมาตั้งเป็นเดือน” กวียักไหล่ ทำหน้าซื่อตาใสจนเต้ยย่นหน้า

เขาล่ะไม่ค่อยชอบใจรอยยิ้มประเภทเอาไว้ตกนักธุรกิจของอีกฝ่ายเลย หม่อมหลวงกวีดูเป็นกันเองมากว่าตอนทำงานก็จริง แต่ไอ้ลูกตื๊อไม่ฟังใครกับแววตาวิบวับเเบบนี้เต้ยก็เหนื่อยจะพูดด้วย

“เชื่อเขาเลย… งั้นเดี๋ยวผมพาไปส่งร้านข้าวแล้วกัน คุณอยากทานแบบไหนล่ะ”

เต้ยถอนหายใจ ขยับตัวลุกขึ้นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ไว้บนบ้าน ดวงตากลมปรายมองคนที่ลุกขึ้นยิ้มสว่างแข่งกับไฟนีออนในร้านแล้วก็ปลงตกว่าช่างมันปะไร แค่เดินไปส่งเเล้วก็กลับ ยังไงเสียเขาไม่คิดว่าจะเดินหลงทางเอาเเถวบ้านตัวเองหรอก

“อะไรก็ได้ครับ ว่าแต่คุณแน่ใจนะว่าจะออกไปทั้งแบบนี้” สายตาคนพูดจับจ้องอยู่บนศีรษะของเต้ย ผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดเป็นจุกสองข้างเหมือนเด็กอนุบาล

“ผมลืม… ช่วงนี้หลานกำลังรักสวยรักงามน่ะ”

เต้ยหัวเราะเเห้ง ๆ นึกถึงหลานสาวทั้งสองที่ถือหวีของเล่นมาจองศีรษะเขาคนละครึ่ง เพราะเห็นสาว ๆ บาร์บี้ในโทรทัศน์แปรงผมและถักเปีย แต่สุดท้ายนิ้วเล็กจิ๋วอย่างเด็กสี่ขวบก็ทำได้แค่มัดหลวม ๆ แล้วมองผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจเท่านั้นเอง

“น่ารักดีครับ” คนพูดพยักหน้า มองออกไปนอกร้านเห็นคนต่อคิวซื้อขนมเจ้าดังกันยาวเหยียด

สุดท้ายแล้วเต้ยก็เลือกร้านซีฟู๊ดร้านหนึ่งที่มักจะสั่งไปส่งให้ที่บ้านบ่อย ๆ วันนี้เป็นวันต้นสัปดาห์ นอกจากนักท่องเที่ยวกับคนที่ตั้งใจมากินอีกนิดหน่อยก็ไม่ทำให้ร้านเเน่นขนัดจนเกินไปนัก

“คุณอยากทานอะไรก็สั่งแล้วกัน ร้านนี้สะอาด รสชาติดีทุกอย่าง” เต้ยไม่เเม้แต่จะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกด้วยซ้ำไป

“งั้นผมเอาต้มยำรวมมิตร ปลากระพงทอดน้ำปลา ปูผัดผงกะหรี่ครับ แล้วก็กุ้งอบวุ้นเส้นครับ” กวีขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่เป็นคนตาไว เขาไม่ได้อ่านเมนูด้วยซ้ำ หากลอกเอาตามทุกจานที่โต๊ะข้าง ๆ สั่งมาเป๊ะ ๆ ไม่ขาดไม่เกินเลยสักอย่างเดียว

“ผมกินไม่หมดหรอก ช่วยหน่อยสิคุณ” เขาไม่ได้รั้งด้วยคำพูดเปล่า ๆ หากยังส่งมือมายึดข้อมืออีกฝ่ายไว้ด้วย

“มีอะไรหรือเปล่าคุณวี ผมว่าคุณไม่น่าว่างมากวนประสาทผมแบบนี้เฉย ๆ แน่” สุดท้ายแล้วเต้ยก็ยอมนั่งลงทั้งที่หน้าบูดอย่างไม่รักษาอาการ

“ว่าเจ็บจังนะครับ… คือมันมีส่วนนึงของโปรเจ็คที่พรีเซ็นต์มา แต่ผมยังติดใจอยู่ เห็นว่าคุณเป็นหัวหน้าทีมมาตลอดเลยน่าจะอธิบายได้น่ะ”

คราวนี้กวียืดตัวตรง ลักษณะการพูดเองก็ดูจริงจังขึ้นจนเต้ยอดจะรู้สึกผิดตงิด ๆ ที่โวยใส่เขาไปไม่ได้ น่าแปลกที่เขาแสดงอากัปแค่นั้น หากกลับเปลี่ยนให้บรรยากาศร้านอาหารจ้อกแจ้กจอแจลายเป็นร้านอาหารสามดาวสำหรับคู่สนทนาไปเลย

“ครับ ตรงไหนครับ” ชายหนุ่มในเสื้อยืดกับกางเกงขาสามสวนเริ่มเป็นการเป็นงานขึ้นด้วยเหมือนกัน ฟังจุดต่าง ๆ ที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นแล้วก็สิ้นสงสัย หม่อมหลวงหนุ่มมาร์คจุดที่น่าสนใจและพาให้บทสนทนาดำดิ่งไปเรื่องงานได้จริง ๆ

“อ้อ คือมันเป็นอย่างนี้ครับ… ” คนพูดฉวยเอาขวดน้ำพลาสติกมาเปิดเเล้วเทใส่เเก้วสองใบตัดหน้าอีกคนที่มัวเเต่เอากระดาษเช็ดช้อนเช็ดจาน

“ดีแล้วครับ ผมจะได้เอาไปคุยกับบอร์ด คะแนนเสียงของแต่ละโปรเจ็คใกล้เคียงกันมากเลย” กวีไม่ได้ดูแลเรื่องความสะอาดเฉพาะอุปกรณ์การกินของตัวเองเพียงอย่างเดียว หากยังเผื่อเเผ่ไปถึงผู้ร่วมโต๊ะด้วย

“แล้วคุณโหวตให้ใคร ผมถามได้หรือเปล่าเนี่ย” เต้ยแสร้งหัวเราะ ขับเคลื่อนให้บทสนทนาดำเนินไป

“รอตอนประกาศผลแล้วกันครับ จะได้รู้ว่าผมโหวตให้ใคร” กวียิ้มมุมปาก ถึงเขาจะเต็มใจแวะมาหาเต้ยแต่งานก็คืองาน สิ่งที่ควรอยู่แต่ในห้องประชุมมันก็ควรจะอยู่ในนั้น ไม่ใช่ออกมาเพ่นพ่านอยู่ข้างนอก

โชคดีที่คู่สนทนาไม่ได้มีวี่แววสงสัยระแคะระคายอะไรให้หม่อมหลวงกวีต้องกังวล

ราชนิกุลหนุ่มเพียงแต่เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ เมื่อสองอาทิตย์ก่อนกวีเห็นเต้ยที่คอนโด ท่าทางของอีกฝ่ายไม่ค่อยสู้ดีนัก แล้ววันนี้เขาก็หายไปไม่มาพรีเซนต์งานอีก แค่ต้องโทรไปกุเรื่องหลอกเอาที่อยู่จากหนูพุกเขาก็กระดากจะแย่

ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่หนืด ๆ อยู่ในใจมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะดวงตากลมคู่นั้นมักสะท้อนแต่ประกายแห่งความสุขฉานฉายที่ดึงดูดให้เขาอยากมองซ้ำแล้วซ้ำอีก หากในยามที่เปลือกตาสีน้ำนมปิดลงก็ไม่ทำให้กระแสความหลงใหลของเขาหยุดลงเลย

อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครกล้าหลับในรถให้เขาได้ทำหน้าที่สารถีมาก่อน

...ประหลาดจริง…

แน่นอนเขาไม่ได้หมายความถึงคนที่อยู่ในห้วงความคิดแต่อย่างใด ทว่ากลับหมายถึงตัวเองต่างหาก กวีคบค้าสมาคมกับผู้คนมากหน้าหลายตา สังสรรค์เป็นกิจวัตรจนที่บ้านก็เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นประเภทพ่อพวงมาลัย จนหมดหวังว่าเขาจะมีโอกาสเป็นฝั่งฝาไปแล้วด้วยซ้ำ

เพิ่งจะมีคนนี้นี่เองที่ทำให้เขาสะกิดใจ สุดท้ายจะใช่หรือไม่ก็คงต้องดูกันต่อไปเท่านั้นเอง

“กินข้าวบ้างหรือเปล่า ไม่เจอกันแค่พักเดียวคุณซูบไปเป็นกอง”

หม่อมหลวงหนุ่มสบตาเต้ย ร่องรอยของการพักผ่อนน้อยสะท้อนชัดอยู่บนใบหน้าซูบตอบ เขาขยับช้อนกลางสำหรับตักซุปสองสามที ทั้งกุ้ง ทั้งหมึกก็ลงมาอยู่ในถ้วยใบจิ๋วแล้ว

“เฮ้ย ไม่ต้องตักให้ผมเยอะมากก็ได้คุณ ผมกินเองได้” เต้ยยกมือขึ้นปรามคนว่าหิว แต่พออาหารมาถึงก็ตักใส่จานเขาไม่เลิกรา 

“อ้าว คุณพาผมมาแล้ว ผมก็ดูแลคุณเป็นการตอบแทนไง” ชายหนุ่มยิ้มเผล่ ใช้ช้อนส้อมเลาะเนื้อปลาตัวใหญ่ซึ่งถูกทอดจนเหลืองกรอบออก

“แกะแบบนั้นจะกินก้างหรือกินเนื้อเนี่ยคุณวี” เต้ยพูดไปก็คิ้วชนกัน ตั้งแต่คู่สนทนามาปรากฏตัว เขาว่าตัวเองน่าจะขมวดคิ้วไปสามล้านครั้งได้แล้ว  ถือวิสาสะขโมยเนื้อปลามาเลาะก้างให้แล้วส่งคืน

“ขอบคุณครับ” ริมฝีปากหยักของคนพูดยกขึ้นนิด ๆ อย่างพึงใจ อย่างน้อยเรื่องความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาให้ผ่าน

“นี่คุณเต้ย แล้วรถคุณสร็จหรือยัง” พูดไปก็ม้วนวุ้นเส้นในหม้อใหญ่วางบนจานเจ้าถิ่น ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่รีบกิน เดี๋ยวเส้นจะเซ็งหมดอร่อยกันพอดี

“ใกล้แล้วล่ะ ผมเพิ่งจะโทรเร่งเขาไป อีกสามสี่วันก็คงได้” เต้ยเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย เขามองกับข้าวที่พร่องไปเกินครึ่งแล้วก็เริ่มเหนื่อย เพราะกวีรับประทานค่อนข้างช้า ซ้ำยังเอาแต่ตักให้เขาเหมือนกะจะให้เขาอิ่มไปจนเย็นวันพรุ่งนี้

“แล้วไปทำงานไม่ลำบากหรือ”

“ไม่เท่าไหร่ครับ ผมใช้รถไฟฟ้า แค่ยุ่งยากตรงต้องสลับจากใต้ดินขึ้นมาเฉย ๆ”

“อ้อ…”

เต้ยเห็นว่าหม่อมหลวงหนุ่มพยักหน้ารับทราบเท่านั้น หากไม่คิดเลยว่าในอีกสองสามวันถัดมาจากัวร์คุ้นตาก็จอดสนิทอยู่หน้าบ้านเขา แถมเจ้าตัวยังยิ้มละไมด้วยมาดผู้ดีขนานแท้ สำทับด้วยว่าจะทำหน้าที่คู่กรณีที่ดีมารับเขาไปส่งที่ทำงาน

“ผมไปเองได้นะคุณ ยังไงเดี๋ยวก็จะกลับไปนอนคอนโดแล้ว อย่าลำบากเลย” แม้จะว่าอย่างนั้น หากตัวคนพูดก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องโดยสารแล้ว

“ผมต้องไปธุระอยู่แล้วครับ คุณเต้ยเลิกงานกี่โมง”

คนหลังพวงมาลัยมองไปยังถนนเบื้องหน้า เปิดไฟเลี้ยวหาช่องแซง ไอ้ธุระที่ว่ามันก็แค่การไปส่งเต้ยเท่านั้นเอง จากคอนโดแถวสาธรของเขาแวะรับเต้ยที่เยาวราชไปออฟฟิศของอีกฝ่ายนี่ก็รถติดใช้ได้ เท่านั้นไม่พอ...เขายังต้องตีรถย้อนกลับไปคุยงานที่สีลมอีกหน ต่อให้มีซูเปอร์คาร์คันละเป็นสิบล้านก็ไม่ได้ช่วยให้เขาฝ่าการจราจรแน่นขนัดไปได้เร็วกว่าใคร

...สงสัยสถิติไม่เคยขาด ไม่เคยลา ไม่เคยมาสายของเขาจะย่อยยับลงวันนี้...

“จริง ๆ หกโมงก็เลิกแล้วครับ นี่ไม่ใช่ว่าจะมารับผมนะ” ดวงตากลมใสเหมือนตาลูกกวางมองชายหนุ่มข้างกายอย่างข้องใจ

“ยังไงโทรมาก่อนแล้วกันครับ เผื่อธุระผมยังไม่เสร็จ คุณมีเบอร์ผมหรือยัง ถ้ามีปัญหาอะไรเรื่องโครงการจะได้ปรึกษากันได้ ไม่ต้องผ่านเลขา” กวีแตะเบรคเมื่อเลี้ยวเข้าพื้นที่ซอย แสร้งแจกเบอร์ไปหน้าตาเฉย

“ไว้ผมจะบอกแล้วกัน ขับรถดี ๆ นะคุณ” เต้ยเห็นว่าเขายกเอาเรื่องงานขึ้นมาพูดจึงจำใจเม็มเบอร์อีกฝ่ายไว้ด้วย สองมือเรียวรวบกระเป๋า บอกลาสารถีกิตติมศักดิ์ตามมารยาทแล้วค่อยลงจากรถ

ทั้งที่รู้สึกประหลาดใจ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะยอมรับท่าทีของอีกฝ่าย นี่เขาเพิ่งจะโดนทิ้งมาหยก ๆ ยังไม่พร้อมจะทำหน้าชื่นตาบานยอมรับอะไรพวกนี้หรอกนะ

ภาพอาคารสองชั้นที่เขากับภูช่วยกันเริ่มขึ้นยังคงเดิมในลานสายตา หากมันเปลี่ยนไปมากในความรู้สึก เต้ยไม่รู้เลยว่าไม้ใบเขียวขจีเบื้องหน้าดูเเห้งเเล้งได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

...อาจจะเป็นวันที่ใครอีกคนหนึ่งจากไป…

ไม่ทราบว่าเพราะแผลยังสดใหม่ หรือเพราะเยื่อใยที่ถักทอมานานปีไม่อาจลบล้างได้ในชั่วข้ามคืนที่ทำให้เต้ยมักจะกดเข้าไปดูความคืบหน้าของแดนดินผ่านบัญชีผู้ใช้ออนไลน์ของอีกฝ่าย ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่แล้วยูสเซอร์ของแดนกลับหายไปทั้งหมด ไม่ว่าจะในแอพลิเคชั่นใดก็ตาม

เขาไม่ได้ถูกบล็อก...หากแดนดินตัดสินใจลบตัวตนออนไลน์ออกไปจนไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น

มีเพียงรูปของเต้ยที่เคยถ่ายไว้เท่านั้นที่ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเคยเป็นเรื่องจริง

ชายหนุ่มเคยกระทั่งเช็คกลับไปที่บริษัทนั้น แต่ก็ได้ความว่าแดนดินไม่ได้เข้าไปทำงาน และตำแหน่งที่รุ่นพี่ของแดนเตรียมไว้ให้ก็ยังว่างเปล่า

เขาไม่รู้เลยว่าแดนดินหายไปไหน… อาจจะแค่ย้ายที่ทำงาน หรือมากที่สุดก็คงกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด

นี่หรือเปล่าที่เขาว่ากันว่าคนเราต้องจากกันเสมอไม่ว่าทางใด

ไม่จากเป็น...ก็จากตาย

   ความรู้สึกเเรกหลังจากเหยียบเข้าไปในออฟฟิศคือความละอาย มันทำให้เต้ยประหวั่นไม่น้อยว่าสถานการณ์จะเป็นไปอย่างไรบ้าง นอกจากคนในออฟฟิศแล้ว คนที่อยากจะขอโทษมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นหนูพุก

“พี่เต้ย มาทำงานแล้วหรือ เฟอเรโร่ในตู้เย็นผมกับพี่พุกแบ่งกันกินหมดไปแล้วนะ”

เป็นสถาปนิกอายุน้อยที่สุดที่โบกมือทักทายเขา มันแกล้งอำว่ากินของโปรดเต้ยแล้วยังทำหน้าเป้นดูดชาดำเย็นในมือโชว์อีกฟืดหนึ่ง คนอื่น ๆ ก็ผสมโรงขำขันแล้วบอกว่า ไม่ทำงานนานป่านนี้ไอ้ปูนลักกินหมดตู้เย็นไปแล้ว

เรื่องนี้คงต้องขอบคุณความทะเล้นของรุ่นน้องตัวเล็ก ที่ทำให้เต้ยยิ้มจากใจได้เป็นครั้งแรกของสัปดาห์กระมัง

“หักโบนัสแม่งดีมั้ยเนี่ย...” เต้ยหัวเราะ

“โธ่ ขนาดมีโบนัสผมยังตัวแค่นี้ ถ้าพี่หักโบนัสผมตัวเท่าถั่วงอกแหง” เพราะเป็นคนรูปร่างสันทัด บางคนก็มองว่าส่วนสูงของปูนเป็นจุดอ่อน มีแต่ตัวเขาเองเท่านั้นที่มองว่ามันเป็นจุดแข็ง

เวลาเดินไปไหนมาไหนใครก็เอ็นดู ใครจะกินอะไรก็เรียกมากินเพราะอยากให้ปูนโตไว ๆ ถึงจะเข้าสู่วัยที่ส่วนสูงไม่ยืดเเล้วก็เถอะ

...เออ ก็ดี กินฟรีไม่ต้องจ่ายตัง...

“พี่ก็อยากเห็นถั่วงอกเดินได้ ไว้เดี๋ยวปลายปีนี้ลองเนอะ”

เต้ยหัวเราะเดินไปแย่งมันดูดน้ำทีหนึ่ง พอจะได้ยินเสียงร้องอูยของไอ้ตัวแสบไล่หลังก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน ป่านนี้เอกสารคงกองท่วมเป็นภูเขาเลากาไปแล้ว

   เมื่อขาทั้งคู่พาเขามาถึงโต๊ะตัวยาว ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็พบว่าที่คิดเอาไว้ผิดถนัด บนโต๊ะเขาสะอาดเรียบร้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เอกสารทุกอย่างอยู่ในที่ของมันเเละมีวันที่กำกับ อะไรที่ต้องการลายเซ็นหรืองานที่มีเฉพาะเขาที่ทำได้ถูกจัดหมวดหมู่แยกตามความเร่งด่วนเอาไว้ด้วย

   “ขอโทษที่ถือวิสาสะนะครับพี่เต้ย ถ้าพุกไม่จัดมันจะล้น” เสียงจากด้านหลังทำให้เจ้าของโต๊ะชะงักไป หนูพุกดูหน้าตาสดใส หอบหิ้วเอาเเฟ้มบางสามสี่เล่มมาวางให้ด้วย

   “ขอบใจมากนะ แล้วก็… ขอโทษด้วย”  เต้ยหลบตา รู้สึกละอายเกินกว่าจะรับไหว

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ เลี้ยงลูกอมสักเม็ดสองเม็ดก็หายแล้ว”

หนูพุกโบกมือคล้ายว่าไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาเป็นสาระ ท่าทางเหมือนสิ่งที่ถูกกระทำไปไม่ใช่เรื่องซีเรียส เลขาของภูยังน่ารักคงเส้นคงวาดีจนเขาอยากจะเหมาโกดังลูกอมให้เลยด้วยซ้ำไป

   “แล้วงานพี่นี่ ภูทำหมดเลยหรือ” เต้ยเปิดดูเอกสารย้อนหลัง มีหลายอันที่เป็นลายเซ็นของคีรินทร์

“ก็ทำนองนั้นครับ พุกช่วยดูบัญชีกับพวกเปเปอร์ให้นิดหน่อย แต่พุกจดไว้หมดแล้วว่าทำตรงไหนไปบ้าง พี่เต้ยเช็คซ้ำได้ครับ” พูดจบเลขามหัศจรรย์ของภูก็ยื่นเช็คลิสต์ที่ทำใส่กระดาษเอสี่มาเสียเรียบร้อยให้เขา

“ละเอียดดีจัง ถ้าหามาอีกคนจะทำได้เท่าพุกไหมเนี่ย” เต้ยปรารภ เขาคิดอยู่นานแล้วว่าอยากจะหาผู้ช่วยสักคน แล้วดันตัวเองให้กลับลงไปทำงานออกแบบมากกว่านี้ โดยไม่จ้างสถาปนิกเพิ่ม แม้ว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวก็ตาม

“ได้อยู่แล้วล่ะครับ… อ้อ เมื่อเช้าทางฝั่งนายทุนโปรเจ็คถนนวิทยุเมลล์มาว่าเลือกเราแล้วนะครับ พี่ภูเลยว่าวันนี้จะพาไปกินเลี้ยง ถือว่าฉลองสองเด้งไปเลย ทั้งพี่กลับมาทำงาน แล้วก็โอกาสที่เราได้งานศูนย์ศิลปะแล้ว” หนูพุกยิ้มกว้างขวาง สดใสสดชื่นสมกับที่เหนื่อยมานาน

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 10 --- [ 01.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 04-08-2018 23:03:33
วันนี้ทั้งวันก็เลยดูเหมือนว่าพนักงานทุกคนจะขมีขมันมากเป็นพิเศษ คล้ายกับว่าให้ช่วงเวลาของการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ผ่านไปเร็วที่สุดแล้วทุกคนจะเริงร่าหลังพระอาทิตย์ตกดิน

ร้านอาหารและคาราโอเกะที่หนูพุกจองไว้เป็นร้านประจำของคนที่บริษัท เลขาหนุ่มจัดการสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าไม่กี่อย่างเอาไว้รองท้องเมื่อมาถึงร้าน ส่วนใครอยากจะกินอะไรก็ค่อยสั่งเพิ่มมา แบบนี้จะได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอกัน

“ของผมเอาโค้กนะ” หนูพุกหันมองคีรินทร์ นึกว่าเขาจะดื่มเหล้านอกหรือเบียร์ที่เต้ยกำลังออเดอร์อย่างจริงจังเสียอีก 

“พี่ภูไม่ร้องเพลงหรือ” หนูพุกเอนตัวเข้าหาเขาเนื่องจากเสียงในห้องค่อนข้างดัง สถาปนิกหลายคนขึ้นไปครองไมค์แล้วสลับเปลี่ยนกัน บ้างก็ขึ้นไปเป็นคู่ บ้างก็ขึ้นไปเป็นกลุ่มแล้วเต้นกระจายเลยก็มี

“เสียงพี่หอนมาก อย่าฟังเลย” เขาหัวเราะ ตักอาหารเข้าปากแล้วมองคนอื่นไปหัวเราะไป

“เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ” เต้ยรามือจากไมค์โครโฟนแล้วแวะมาบอกเพื่อนสนิท เขาเก็บของลงกระเป๋าเสร็จสรรพแล้วทิ้งบัตรเครดิตไว้ที่คนตัวใหญ่

“ทำไมกลับเร็ว ปกติเห็นไม่เมาไม่เลิก รอกลับพร้อมกันก็ได้ เดี๋ยวกูไปส่ง” คนตัวสูงใหญ่เลิกคิ้ว พอจะมองเห็นแววตาหลุกหลิกแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร อย่างน้อยเต้ยก็ไม่ได้เมา สติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ดี

“กูต้องกลับไปเล่านิทานก่อนนอนให้หลานฟังว่ะ มึงอยู่ไปเถอะ” เต้ยปดไปอย่างนั้น เพราะ ’ความจริง’ น่ะ จอดจารกัวร์รออยู่หน้าร้านแล้ว

“อ้อ… ฝากบอกด้วยว่าไว้เจ็กภูจะเอาของเล่นไปฝากอีก” เต้ยโคลงศีรษะอย่างหมั่นไส้ ไอ้คนนี้แวะไปทีไรอาเจ็กเต้ยคนดีก็ตกกระป๋องทุกที

“พี่ไปนะหนูพุก ฝากไอ้ภูด้วย” เต้ยตบไหล่เลขาหนุ่ม แล้วเดินออกไปอย่างเร่งรีบ เพราะกลัวคนอาสาจะไปส่งต้องคอยนาน บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ยังจะรั้น เขาล่ะปวดหัว

หนูพุกไม่ค่อยถนัดงานสังสรรค์อะไรเท่าไหร่นักจึงได้แต่นั่งอยู่กับที่  โยกตัวไปตามจังหวะบ้าง ส่วนคนที่ถนัดเรื่องเอนเตอร์เทนก็คงจะเป็นปูน รายนั้นนอกจากตอนกิน ก้นยังแทบไม่ติดเบาะเลย พลังงานเหลือล้นดีเหลือเกินจริง ๆ

“กินเนื้อบ้าง กินแต่ผักจะเอาโปรตีนจากไหนไปโต” เจ้านายบ่นแล้วก็ตักเอากุ้งชุบแป้งทอดในจานสลัดที่หนูพุกเลือกตักเเต่ผักมาวางบนจานเลขาหนุ่ม

“พอแล้วครับ อ้วน” หนูพุกเบรคเขา เมื่อเห็นว่าคีรินทร์เอื้อมไปตักไก่มะนาวมาวางเพิ่มให้ด้วย มีแต่ของทอดทั้งนั้นเลย

“เราเนี่ยนะกลัวอ้วน ผอมจนจะปลิวได้อยู่แล้ว กินไปเถอะ อยากกินอะไรเป็นพิเศษ พี่สั่งให้” หนูพุกอ้าปากหวอ เห็นคนนั่งข้างกันเปิดเมนูเตรียมสั่งอาหารเพิ่มให้อีก

“พอแล้วครับ แค่นี้ก็ล้นโต๊ะแล้ว” มือน้อยแตะลงบนท่อนแขนล่ำสันเป็นการปราม ยินยอมกินอาหารที่เขาตักให้ไปแต่โดยดี แค่นี้อาหารก็เต็มโต๊ะจนลานตาแล้ว

“ล้นโต๊ะก็ช่วยกันหน่อย เสียดาย” ภูพูดหน้าตาย ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ใช่ตัวเองที่ทำท่าจะเอาอะไรมาถมโต๊ะเพิ่มอีก

“พี่ภูก็กินด้วยครับ อย่าดื่มแต่โค้ก เดี๋ยวปวดท้อง” หนูพุกตักอาหารให้เขาด้วย จนกลายเป็นตักให้กันไปมาอยู่อย่างนั้น

ปูนชักจะไม่ชอบที่ตัวเองตาไวเท่าไหร่ ไม่รู้พักนี้เป็นอะไร พอเจ้านายกับเลขาส่วนตัวอยู่ด้วยกันทีไร ก็ทำท่าสร้างโลกส่วนตัวอยู่กันสองคนเสมอ จนขาชงประจำออฟฟิศอย่างเขาหมดงานจะทำ แค่เก็บไว้แย็บ ๆ แซว ๆ พี่หนูพุกให้เลือดลมสูบฉีดดีเท่านั้น 

“เดี๋ยวพี่มานะ” หนูพุกเห็นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู แต่ไม่ทันเห็นว่าเป็นใครกันที่โทรมาเอาป่านนี้ คีรินทร์ออกไปจากห้องเพราะในนี้ค่อนข้างแออัดและเสียงดังเอาการ

“พี่พุก ไปร้องเพลงดีกว่า เขารอฟังพี่กันเนี่ย” เป็นรุ่นน้องตัวดีที่เเทรกตัวเข้ามาเมื่อพี่ภูลุกออกไป ปูนวางเเก้วของตัวเองลงแล้วฉุดหนูพุกให้ลุกขึ้นท่ามกลางเสียงโห่เชียร์

...แบบนี้ก็คงเลี่ยงไม่ได้...

หนูพุกคว้าไมค์ร้องเพลงคู่กับปูน อดอายม้วนต้วนไม่ได้ที่เพื่อนพนักงานป้องปากแซว แต่เขาก็ร้องไปหัวเราะไปเพราะเสียงปูนเองก็ตรงคีย์บ้าง หอนบ้างจนโดนโห่ ดวงตากลมอดชำเลืองไปที่ประตูกระจกไม่ได้ เขาเห็นเงาของพี่ภูเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง สีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่สู้ดีนักจนเขาเป็นห่วง

พักเดียวพี่ภูก็กลับเขามา หนูพุกเห็นเขายกเเก้วโค้กขึ้นกระดกราวกับต้องการใช้น้ำทั้งแก้วดับอารมณ์ร้อน เพียงเท่านั้นเลขาหนุ่มก็เริ่มอยู่ไม่สุข เมื่อร้องเพลงจบก็เผ่นแผล็วลงจากเวทีเข้ามาดูคีรินทร์ทันที

“พี่ภูเป็นอะไรหรืเปล่า… ดูไม่ดีเลย” สองมือเรียวประกบเข้าที่ข้างแก้มเขา ยึดหน้าเจ้านายให้สบตากันแล้วก็พบว่าผิวสีแทนของคีรินทร์เริ่มเห่อจนเปลี่ยนเป็นสีแดง

“หนูพุก... พาไปโรงพยาบาลที พี่แพ้แอลกอฮอล์”

คีรินทร์ชี้ไปที่แก้วว่างเปล่าบนโต๊ะ คงเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มตัวบางได้แต่ร้องว่าฉิบหายอยู่ในใจ นั่นคงเป็นแก้วโค้กผสมเหล้าของปูนที่มาวางแหมะเอาไว้ก่อนลากเขาไปร้องเพลงแน่ ๆ แล้วพี่ภูก็เผลอดื่มเข้าไปเสียทั้งแก้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแพ้หนักถึงขั้นไหน บางคนแพ้แล้วถึงตายเลยก็มี

“พี่ภูเดินไหวหรือเปล่า ให้พุกเรียกแอมบูแลนซ์ไหม”

หนูพุกพยายามควบคุมสติแม้ว่าในใจจะสั่นจนทำอะไรไม่ถูก เขายื่นบัตรเครดิตให้พนักงานรีบเช็คบิลในทันที ตอนนี้คนอื่น ๆ ก็เริ่มแตกตื่นกันแล้วเพราะเห็นว่าเลขาหนุ่มแทบไม่ยอมปล่อยมือจากเจ้านายเลยแม้แต่วินาทีเดียว

...กลายเป็นว่างานเลี้ยงคืนนี้ก็จบตั้งแต่ยังไม่มีใครทันได้เมา... 

“ไม่ต้อง ไม่ได้เป็นมากขนาดนั้น เดี๋ยวเราขับไปให้ที”

คีรินทร์ส่งกุญแจแลนด์โรเวอร์ลูกรักให้เลขาหนุ่ม แล้วเดินออกไปคอยที่รถ ถือเป็นโชคร้ายในโชคดีที่เวลานี้เป็นช่วงถนนเริ่มโล่ง หนูพุกจัดการเรื่องบิลแล้วก็รีบกระโดดขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย กดเปิดไฟฉุกเฉินแล้วเหยียบคันเร่ง เขาไม่เคยขับรถเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำไป

พอส่งพี่ภูให้เวรเปลเข็นเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด หนูพุกก็ได้แต่นั่งรอ เขาไม่นึกว่าพี่ภูจะแพ้หนักถึงขั้นตัวแดงเถือกและอาเจียนในรถไปหลายหน

นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเห็นคนอื่นกำลังสำรอกอาหารอยู่ต่อหน้าเเล้วไม่ได้คลื่นเหียนตามไปด้วย เพราะความเป็นห่วงมีมากกว่า

หนูพุกเข้ามาบริเวณโถงห้องฉุกเฉินแล้วก็ได้แต่นั่งคอย เขาเพิ่งจะได้แจ้งชื่อผู้ป่วยซ้ำกับคุณพยาบาลไปอีกหนหนึ่งเมื่อครู่เท่านั้นเอง

“ตอนนี้คุณหมอให้ยาแล้วก็กำลังดูอาการอยู่นะคะ ถ้าดีขึ้นก็กลับบ้านได้ค่ะ ญาติสบายใจได้แล้วนะคะ”

เป็นคุณพยาบาลคนเดิมที่เดินผ่านมา ท่าทียิ้มแย้มของเจ้าหล่อนทำให้ชายหนุ่มคลายใจไปได้บ้าง เขาหงุดหงิดที่พี่ภูเป็นถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมให้เรียกรถพยาบาล ถ้าหนูพุกขับรถช้ากว่านี้แล้วเขาเป็นอะไรขึ้นมาหนูพุกจะทำยังไง

คนตัวบางคิดตกแล้วต่อไปเขาจะไม่ถาม แต่จะเรียกรถฉุกเฉินเลย หากจะให้ดีก็อย่ามีคราวหน้าเลยจะดีกว่า

...เขาต้องดูแลพี่ภูให้ดีกว่านี้…

“เรียบร้อยแล้ว กลับบ้านได้” ชายหนุ่มบนวีลแชร์ยิ้มกว้างให้คนนั่งคอยทั้งที่ตัวแดงเป็นมะเขือเทศยักษ์

“ไปจ่ายเงินก่อนครับ” หนูพุกว่า หันไปขอบคุณพนักงานโรงพยาบาลที่เข็นพี่ภูออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วรับไม้ต่อ เขาออกเดินพร้อมกับเข็นคนป่วยออกไปที่ห้องยาและเตรียมจ่ายเงิน

“จริง ๆ พี่เดินได้นะ” คีรินทร์แย้ง เห็นเลขาหนุ่มตาแดง ๆ แล้วก็เป็นห่วง อยากจะสร้างความมั่นใจให้อีกคนเห็นว่าเขาดีขึ้นแล้ว

“เพิ่งฉีดยามาครับ ไม่ต้องซ่า เดี๋ยวเวียนหัวล้มไปจะทำยังไง”

ถึงจะรู้ว่าลูกน้องไม่ควรจะดุเจ้านายเสียงแข็งอย่างนี้ แต่หนูพุกก็อดไม่ได้ เขาถือสลิปบัตรคิวที่ได้มาไปคอยที่เคาน์เตอร์รับยาและช่องชำระเงิน คีรินทร์ยื่นกระเป๋าสตางค์ตัวเองให้หนูพุกจัดการเงียบ ๆ เขาบอกเลขาหนุ่มว่าเบิกประกันสุขภาพของเจ้าไหนบ้างและยกให้หนูพุกจัดการ ส่วนเขาก็รอเซ็นอย่างเดียวเท่านั้น

“ที่บ้านมีคนอยู่ไหมครับ” หนูพุกพยุงพี่ภูมาที่รถ คิดว่าจะขับรถไปส่งเขาแล้วค่อยเรียกแท็กซี่กลับคอนโด

“ตอนนี้คงไม่มีหรอก เดี๋ยวพี่ไปส่งเราก่อนค่อยกลับบ้าน ทำให้ขนาดนี้ก็เกรงใจมากแล้ว”

“ถ้าเกรงใจก็ขึ้นไปนั่งครับ พุกจะขับเอง” หนูพุกไม่คืนกุญแจรถให้เจ้านาย แถมยังเดินไปประจำฝั่งคนขับแล้วเสียด้วย

“คืนนี้พี่ภูนอนห้องพุกนะครับ ไปอยู่คนเดียวพุกไม่ไว้ใจ ตัวยังไม่หายแดงเลย” เลขาหนุ่มเปรยขึ้น ภูเองก็เพิ่งจะรู้ว่าพอถึงเวลาหนูพุกก็ดุจนเขาไม่กล้าขัด

“ยังไงก็รบกวนด้วยนะ”

คนฟังดีใจที่พี่ภูไม่ดื้อจนเกินรับมือ หนูพุกตบไฟเลี้ยว เเวะร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พักแล้วจัดการโกยเอาข้าวของจำเป็นที่คีรินทร์ต้องใช้ลงตะกร้าพลาสติก เขาห้ามตัวเองไม่ให้คิดอกุศลไม่ได้เมื่อสบตากับกล่องพลาสตกบรรจุชั้นในบนที่แขวน

“ไซส์ไหนวะ…” เขายกมือลูบหน้า หลับหูหลับตาหยิบไซส์ที่น่าจะเหมาะสมกับขนาดตัวพี่ภูมากล่องหนึ่ง 

กว่าทั้งคู่จะพากันขึ้นมาบนห้องพักของหนูพุกได้เข็มนาฬิกาก็ล่วงเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว หนูพุกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยื่นถุงพลาสติกให้เจ้านาย

“พี่ภูอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ ใช้ห้องน้ำในห้องนอนได้เลย เดี๋ยวพุกหาผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนให้”

“โห ซื้อมาให้ครบเลยแฮะ”

ยิ่งได้ยินเสียงพึมพำของคนเดินตามหลังเข้ามาในห้องนอน หนูพุกก็กลายเป็นมะเขือเทศลูกที่สอง เมื่อไม่รู้จะเลี่ยงไปทางไหนเขาก็ก้มหน้าก้มตาเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาผ้าขนหนูสีฟ้าอ่อนผืนใหญ่ เสื้อโอเวอร์ไซส์ของตัวเอง และกางเกงแบบเชือกผูกที่พี่ภูใส่ได้แน่ ๆ ส่งให้เขา

“อันนี้คงใส่ได้ครับ” หนูพุกเอาแต่มองไปทุกที่เว้นเสียแต่ใบหน้าคมสันของพี่ภู ใบหูแดง ๆ ทำให้คนตัวสูงกว่ากระตุกยิ้ม เขาเอ่ยขอบคุณแล้วก็หายลับเข้าไปในห้องน้ำอย่างว่าง่าย

เสียงน้ำฝักบัวที่กระทบพื้นเเละเชาวเวอร์บูททำให้หนูพุกใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาจัดการหาชุดนอนของตัวเองจนพร้อมสรรพแล้ว ทว่าเสียงน้ำฝักบัวก็ยังไม่หยุดรบกวนโสตประสาท

คนโสดมานาน พอต้องมาอยู่กับคนที่ทำให้ใจเต้นแรงแล้วมันก็เป็นแบบนี้เอง

สุดท้ายเจ้าของห้องก็ตัดสินใจว่าสิ่งเดียวที่จะกอบกู้สมาธิให้กลับมาได้นั้นอยู่ในเเล็ปท็อป เขาเดินออกจากห้องมากางเเล็ปท็อปที่โต๊ะเล็กหน้าโซฟา เริ่มทำงานที่เพิ่งจะได้รับมอบหมายมาเมื่อวันก่อนอย่างแข็งขัน

...ทริปประจำปีของบริษัทกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเร็ว ๆ นี้…

ทั้งที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ก็ผ่านการเห็นชอบจากผู้ร่วมทริปทุกคนเเล้ว ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของหนูพุกที่จะจัดการเรื่องรถโดยสารและจองที่พัก

“ทำอะไรน่ะ” คีรินทร์ในสภาพหัวเปียกซ่กชะโงกหน้าออกมาจากห้องนอน เสื้อโอเวอร์ไซส์ไหล่ตกของหนูพุกพอไปอยู่บนตัวเขาเเล้วก็พอดิพอดีเหลือเกิน

“ก็ดูเรื่องจองที่พักที่เชียงใหม่น่ะครับ” หนูพุกไม่สบตาคีรินทร์ กลิ่นหอมจากครีมอาบน้ำบนตัวเจ้านายขยับคืบเข้ามาใกล้ทำเอาหัวใจเขาเต้นเเรงจนแทบระเบิด

...สงสัยต้องไปหาหมอทำเอคโค่สักหน่อย...

“อ้อ ยังไงจองเผื่อไว้ให้พี่ที่หนึ่งด้วยนะ” เขาขยับลงมานั่งข้าง ๆ ชะโงกหน้ามามองจอ เห็นหนูพุกนับจำนวนรายชื่อ เตรียมจับคู่พนักงานไว้คร่าวๆ

“เอ๋” หนูพุกทำหน้าสนเท่ห์ ทุกคนที่แจ้งความประสงค์จะพาครอบครัวไปด้วยกันก็แจ้งหมดแล้ว ยังจะต้องเผื่อให้ใครอีก

“พอดีแฟนพี่จะไปด้วยน่ะ เขาเพิ่งเคลียร์คิวได้ ขอโทษทีนะที่บอกช้าไปหน่อย”


--------------------------------


โดนปารองเท้าแล้วจ้า  :z6: :z6:
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพระนายถึงช้าาาาาา เหลือเกิน
แต่ในส่วนของคุณกวีก็คือรีบมาก.. ไม่แน่ใจว่าเป็นหม่อมหรือเป็นจรวดนะคะ..  :-[


หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-08-2018 23:44:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ้าววววววววว  พี่ภูมีแฟนแล้วอ่ะ

ทำไมเพิ่งมาบอกกัน  ปล่อยให้มโนมาตั้งนาน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-08-2018 00:00:42
 :กอด1: :กอด1:
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-08-2018 00:04:11
เห้ยยยยยยยยย...............   :serius2: :serius2: :serius2:
อยู่ทำงานด้วยมาตั้งนาน พุกไม่รู้เลยว่าพี่ภู มีแฟน อะจ๊ากกกกกก
ถถถถถถถ พุกเอ๊ย ..........  :z3:
เพิ่งใจเต้นกับพี่ภูแหม็บๆ มาใจเสียซะและ   o22 o22 o22

พี่เต้ย มีคนเข้าหาแล้ว  :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 05-08-2018 00:08:17
อะไรเนี่ยพี่ภู  งื้อออออ  ทำกันอย่างนี้ได้ไง  :ling1: 
ไปมีแฟนตอนไหน ทำไมหนูพุกไม่รู้ ทำงานมาตั้งนานแล้วเนี่ย โอย
กำลังฟิน ๆ อึ้งไปเลย โธ่ หนูพุก T^T แล้วคู่นี้จะเป็นยังไงต่อเนี่ย  :heaven
ส่วนคุณกวีกับพี่เต้ย น่ารักมาก  :-[ คุณกวีนี่ร้ายไม่เบา พี่เต้ยตามไม่ทันเลย 555
แล้วมาหลอกหนูพุกว่าติดต่อพี่เต้ยไม่ได้ สรุปไม่มีเบอร์พี่เต้ยด้วยซ้ำ โห
แต่คุณกวีไม่รู้สินะว่าพี่เต้ยกับนายแดนดินเคยเป็นแฟนกันอยู่
เรียกว่ามาจีบพี่เต้ยถูกจังหวะพอดีเลย ไม่งั้นทำยังไงพี่เต้ยก็คงไม่สนหรอกเนี่ย
คู่พี่เต้ยกับคุณกวีกำลังไปด้วยดี แต่หนูพุกของเรานี่สิ พี่ภู ฮือออ

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-08-2018 09:08:25
 :ling1:

เศร้าเลน สงสารพุก

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 05-08-2018 09:11:36
ทำไมแฟนพี่ภูโผล่มาตอนนี้ ทำร้ายใจน้อง มาตอนเดียวแล้วหายไปเลยได้มั้ย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 05-08-2018 09:40:05
โอ้โหหหหหห พีคสุดของเรื่องละมั้ง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 05-08-2018 10:15:11
งื้อ​ ทำไมพี่ภูทำกับหนูพุกงี้อ่ะ​ ใจร้าย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 05-08-2018 11:35:30
พี่ภูมีแฟนแล้วจริงปะเนี่ย?   :katai1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 05-08-2018 12:58:31
แง่พี่ภูทำไมทำแบบนี้จาร้อง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Plavann ที่ 05-08-2018 15:43:50
แงงงง จะมาค้างแบบนี้ไม่ด้ายยยยย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 05-08-2018 17:27:26
อ้าว พี่ภูทำงี้ได้ไงอ่ะ มีแฟนแล้วทำไมไม่เคยพูดหรือเกริ่นอะไรบ้างเลย ปล่อยให้น้องพุกฝันหวานมโนไปเองแบบนี้ได้ไงกัน พี่ภูคนบ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-08-2018 17:50:24
โอ๊ยยยยยยยยยป​ พี่ภูมีแฟนเฉยเลย​ ได้ไงอ่ะ
หนูพุกจะคิดไปไกลขนาดไหนเนี่ยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 05-08-2018 18:11:26
เศร้าแทนหนูพุกเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-08-2018 00:28:10
ทำไมพี่ภูเป็นคนแบบเน้~ :ling1:
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 11-08-2018 21:44:36
Chapter 12



“พี่ภู… มีแฟนแล้ว?” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับกระซิบ หนูพุกหูอื้อตาลายไปหมดเมื่อคำพูดนั้นแทบไม่ต่างอะไรกันกับค้อนอันโตที่ฟาดลงมาจนหนูพุกสติหลุด

“อือฮึ… หน้าตาพี่ดูเหมือนพวกหนุ่มโสดเหรอ” เขาหัวเราะในลำคอ ขยี้ผ้าเช็ดตัวลงบนกลุ่มผมสีดำขลับ

“ก็ไม่รู้สิครับ ทำงานมาด้วยตั้งสี่เดือนยังไม่เคยได้ยินเลย แฮะ ๆ” หนูพุกเกลียดเสียงหัวเราะฝืดแสนฝืดของตัวเองตอนนี้เหลือเกิน ก้อนเนื้อในอกที่เคยเต้นไม่เป็นส่ำกลับสู่ภาวะปกติ และเหมือนว่าจังหวะของมันดูเชื่องช้ากว่าเก่าเสียอีก

“ทำงานก็ส่วนทำงานสิ”

เลขาหนุ่มพยักหน้า ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในใจช้า ๆ นอกจากเรื่องอาหารการกินคีรินทร์ก็ไม่เคยออกปากให้เขาช่วยทำอะไรให้นอกจากเรื่องงานเลยแม้แต่หนเดียว ทุกครั้งที่ได้ออกไปไหนมาไหนด้วยกัน หากไม่มีหน้าที่เข้าเกี่ยวข้องก็มีแต่เขาเท่านั้นที่พาตัวเองเข้าไปเกี่ยวพัน

...ไม่ฉลาดเลยหนูพุก…

“ก็จริงครับ”

“แล้วเราล่ะ มีใครหรือยัง” ภูมองหน้าคู่สนทนา แต่หนูพุกกลับเสหลบตาหันไปมองหน้าจออย่างตั้งอกตั้งใจ ด้วยกลัวว่าต่อมน้ำตาจะทำงาน

“จะไปมีได้ยังไงล่ะครับ มีแต่งานนี่ล่ะ” นิ้วเรียวแตะลงบนทัชแพด เคลื่อนหน้าจอขึ้นลง เมื่อมั่นใจว่าแน่นอนเรื่องจำนวนคนและกำหนดเวลาแล้วจึงกดจองที่พักผ่านเว็บไซต์

“แปลว่าพี่ใช้งานหนักไป” เขายิ้มกว้าง ทำหน้าเหมือนตระหนักรู้ถึงปัญหาและคิดจะแก้ไขมัน

“ไม่หรอกครับ พุกอยากทำเอง” คนตัวบางได้แต่ยิ้มแหย ๆ มองคนตัวใหญ่กว่าก้มลงกดโทรศัพท์ยุกยิก

หากเขาช่างสังเกตกว่านี้ก็คงจะเห็นว่าพี่ภูติดโทรศัพท์มากพอดู… ในการรับรู้ของเขา พี่ภูเป็นคนทำงานแทบจะตลอดเวลา เป็นเขาเองที่คิดไปว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายคุยโทรศัพท์นั่นก็เป็นงานด้วย

...คิดเองเออเองแท้ ๆ…

ตั้งแต่คืนนั้นหนูพุกก็ไม่ต่างอะไรจากคอมพิวเตอร์ที่ติดบั๊ก เขาทั้งค้างทั้งรวน โพรไฟล์เลขายอดเยี่ยมมีรอยด่างพร้อยด้วยการทวนบัญชีผิดไปจนกระทั่งทำนัดหมายผิดพลาด

แพลนที่เขาวางไว้ว่าจะชวนพี่ภูทำอะไรบ้างในทริปล่มไม่มีชิ้นดี การเดินทางขึ้นมาเชียงใหม่ครั้งนี้ทำให้หนูพุกเหี่ยวแห้งเหมือนต้นไม้ไม่โดนน้ำนานนับเดือน 

“พี่พุก… ไหวไหมเนี่ย” มือสั้นป้อมของรูมเมทชั่วคราวโบกไหวอยู่เบื้องหน้า ปูนสังเกตรุ่นพี่มาตลอดตั้งแต่ออกเดินทาง จากเดิมที่หน้าหมอง ๆ อยู่ที่ทำงาน มาตอนนี้ยิ่งหมองหนักอย่างกับโดนราหูอม

ใช่ว่าเขาจะมองไม่ออกว่าระหว่างเจ้านายกับเลขาหนุ่มคงจะมีอะไรบางอย่าง

แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะพลิกล็อกหวยออกแบบที่คีรินทร์เล่นพาแฟนมาเปิดตัวสู่สายตาประชาชนชาวออฟฟิศให้ประหลาดใจกันทั้งคณะ 

“ฮะ… คือ ก็โอเค ปูนจะอาบน้ำก่อนไหม เดี๋ยวพี่รอ จะได้ลงไปพร้อมกัน” หนูพุกทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม จิตใจพะวักพะวงอยู่กับการต้องลงไปรับประทานอาหารมื้อเช้าร่วมกัน

...เขาไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้...



“เดี๋ยวผมล้างหน้าเอาแล้วค่อยกลับมาอาบก็ได้พี่ พี่จะอาบไหม”

ปูนรื้อกระเป๋าเดินทางหาที่ชาร์จแบตโทรศัพท์แล้วก็หยิบเอากองผ้ากึ่งพับกึ่งยับออกมาวางตั้งกลางเตียง กดโทรศัพท์สองสามทีแล้วคว่ำหน้ามันลง เงยหน้ามองรุ่นพี่ที่เอนตัวนอนแผ่หลา ค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนบนเตียงข้าง ๆ แล้วก็ถอนใจ

...คนมีรักนี่ลำบากจริงวุ้ย…

“ไม่อาบล่ะ งั้นขอสิบนาที แล้วลงไปพร้อมกันได้ไหม” หนูพุกตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เปลือกตาของเขาหนักอึ้งด้วยแทบไม่ได้พักผ่อน ยิ่งถูกจำกัดสภาพแวดล้อมให้ต้องพบเจอกับสิ่งที่เขาไม่พร้อมหนูพุกก็ยิ่งเครียดหนัก

...เขาหนีไปไหนไม่ได้เลย...

โชคดีที่วันนี้เป็นแพลนแบบเต็มวัน พรุ่งนี้เหล่าพนักงานตกลงกันว่าจะให้เป็นฟรีเดย์ที่ทุกคนจะไปเที่ยวในที่ที่อยากไป ทำอะไรที่อยากทำ ส่วนวันมะรืนถึงจะขึ้นไปม่อนแจ่มในตอนเช้าและกลับลงมาซื้อของฝาก แล้วถึงจะกลับกรุงเทพฯ

กว่าพวกเขาจะมาถึงและเช็คอินเข้าโรงแรมก็ช่วงตีห้า ได้เวลาพักผ่อนอีกแค่คนละครึ่งชั่วโมงแล้วก็ลงไปรับประทานอาหารเช้า แลนด์มาร์คแรกถูกเสนอขึ้นโดยสาว ๆ สายบุญที่อยากจะแวะมากราบพระธาตุดอยสุเทพเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย

คราวนี้ทุกคนชื่นชมคน(เกือบจะ)พื้นที่อย่างปูนที่ช่วยหารถตู้วีไอพีแบบลดจำนวนที่นั่งและราคาถูกให้ได้ ประชากรพนักงานจึงแบ่งกันไปสองคันโดยไม่ต้องแออัดเบียดเสียด ใครใคร่ซื้ออะไรก็ซื้อได้ เพียงแต่ต้องระวังน้ำหนักกระเป๋าขากลับเท่านั้นเอง

“ภูไม่ได้พกมาเหรอ” เสียงกังวานใสจากเบาะหน้าดังขึ้น หนูพุกมองเห็นไม่ชัดนักว่าเขาหาอะไรกัน ทว่าดูเหมือนพี่ภูจะเริ่มขยุกขยิกตบกระเป๋าเสื้อนอกและกางเกงของตัวเองแล้ว

“โทษที ลืมไว้ที่โรงแรมนั่นแหละ เม็ดสุดท้ายก็ให้แพรไปแล้วตอนก่อนออกมา” เขาเอ่ยอย่างลุแก่โทษ ปล่อยให้คนนั่งเบาะหลังถัดลงมาสองคนอย่างหนูพุกและปูนลอบสังเกตสังกากันอยู่เงียบ ๆ

คุณแพรถูกแนะนำอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่สนามบิน เธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสาววัยเหยียบเลขสามผู้มีใบหน้าอ่อนกว่าวัยไปโข อาจเป็นเพราะผมสีน้ำตาลตัดสั้นทรงนั้นที่ทำให้เธอดูเด็กลงด้วยส่วนหนึ่ง

ถึงแม้จะเสียใจ เสียดาย อิจฉาหรืออื่นใด แต่หนูพุกก็อดยอมรับไม่ได้ว่าทั้งคู่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ทั้งหน้าตา ฐานะ และการศึกษา

“เวียนหัวมาก เหมือนจะอาเจียน”

คุณแพรย้ำอีก หากพี่เต้ยที่นั่งอยู่แถวเดียวกันเอาแต่หลับคอพับไปบนหมอนรองคอลายหมีพูห์ผู้น่ารัก ไม่ได้มีทีท่าจะรู้ตัวลุกขึ้นมาช่วยเพื่อนสนิทที่เริ่มลุกลี้ลุกลน ในเมื่อหาลูกอมไม่ได้ก็คงต้องหาถุงพลาสติกแทน

เลขาหนุ่มนั่งฟังและประมวลผลอยู่สักพัก อาจเป็นเพราะทางขึ้นดอยค่อนข้างชันและมีแต่โค้งติดกันเต็มไปหมด หญิงสาวจึงมีอาการเมารถได้ง่ายดาย

“พี่แพรครับ ทานนี่ก็ได้ครับ” สุดท้ายแล้วก็เป็นหนูพุกเองที่ขยับกระเป๋าควานเอาลูกอมเมนทอสสีฟ้าในห่อกระดาษยาวสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ดีปราศจากรอยเเกะส่งไปเบื้องหน้า

“อ้าว หนูพุกก็ชอบเหรอ อันนี้ช่วยแก้เมารถได้ดีมาก ภูเลยพกไว้ตลอด แต่วันนี้ลืมเสียได้ยังไงก็ไม่รู้” เธอพูดยืดยาวอย่างเป็นมิตร ซ้ำยังขอบคุณเขาอีกหลายคำ

เพราะคุณแพรน่ารัก พี่ภูก็เลยหลงรัก ข้อนี้หนูพุกไม่ติดใจเลยจริง ๆ

“รายนี้เขาเมารถง่ายมาก แค่รถติดขยับไปได้ทีละหน่อยก็เริ่มแล้ว นับเป็นสัญญาณแพ้ท้องหรือเปล่าเนี่ย” ประโยคหลังภูพูดเบาลงแค่พอให้ได้ยินกันสองคน หากนิ้วมือเรียวก็หยิกหมับลงบนเนื้อแข็ง ๆ นั่นทันใด

“พูดอะไรเนี่ย… ยังไม่แต่งจะเอาอะไรมาท้อง”

“อีกสักสามสี่ปีเนอะ” มือใหญ่ทาบลงบนหลังมือของแฟนสาว พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะทีเดียว

   มือข้างที่ว่างเปล่าของหนูพุกถูกกอบไว้ด้วยนิ้วไซส์จิ๋วของบัดดี้ ปูนมองหน้าเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ เลขาหนุ่มสบตาคนข้าง ๆ คลี่ยิ้มที่คงดูเจื่อนเต็มทนพลางขยับปากไร้เสียง

   ...ไม่เป็นไร…

“นอนซะพี่พุก” ปูนกระชับมือรุ่นพี่ เห็นแพขนตายาวขยับตามจังหวะกระพริบตาแล้วน้ำตาเม็ดใสร่วงเผาะลง ทำคนมองแทบจะใจสลายตามไปด้วย

หนูพุกเอนซบหน้าต่างรถฝั่งขวามือทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้ม เขาใช้หลังมือปาดมันออกจนท้อและปล่อยให้มันไหลลงมาเท่าที่จะสามารถ นึกถึงถ้อยคำที่เมษาเคยถามไว้เมื่อนานมาแล้ว

‘งั้นฉันถามหน่อยนะ แกปลื้มเขามาเป็นสิบปียังไม่เลิกแบบนี้ ถ้าแกคิดจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าวันไหนพี่ภูเกิดแต่งงานมีลูกมีครอบครัว แกยังจะทนทำงานที่รู้ทุกรายละเอียดชีวิตของเขาได้อีกหรือไง’

นั่นสิ… เขายังจะทนได้อีกหรือเปล่า

หนูพุกเคยคิดว่าตัวเองอดทนอะไรต่อมิอะไรได้สารพัด ทั้งถ้อยคำหยามเหยียด ความริษยา หรือแม้กระทั่งการใส่ร้ายป้ายสี หากเกราะแข็งแกร่งนั้นกลับพังลงง่ายดายเพียงเพราะใครคนหนึ่ง

ใคร… คนที่ทำให้เขาใจพองโตเป็นลูกโป่งยามถูกสูบลม

ใคร... คนที่ทำให้ใจของเขาขาดวิ่นโดยที่ไม่รู้ตัว

ตลอดเวลาตั้งแต่มีแฟนของพี่ภูเข้าร่วมทริป ทุกคนก็ดูคล้ายจะมีสีสันมากขึ้น ความร่าเริงของเธอทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ง่ายดาย พี่แพรดีกับทุกคนกระทั่งหนูพุก จนเขารู้สึกผิด

ผิดที่อิจฉา

ผิดที่ไปรักคนรักของคนอื่น

ตั้งแต่วันที่ปักธงว่าจะพิชิตใจพี่ภูให้ได้ หนูพุกไม่รู้เลยว่าตัวเองเดินขึ้นมาได้สูงมากน้อยแค่ไหน หรือไม่...เขาอาจยังย่ำเท้าอยู่ที่ทางขึ้นเท่านั้นเอง

   บางที...เขาควรยอมแพ้แล้วจากไปจะดีไหม

“พี่พุก… ลงไหม หรือจะนอนต่อก็ได้นะ” ปูนกระซิบเรียกคนที่หลับตานิ่ง หนูพุกรู้สึกตัวว่ารถหยุดเคลื่อนที่แล้ว และคนอื่น ๆ ก็เริ่มขยับข้าวของ หนูพุกลืมตาขึ้นพยักหน้าเงียบ ๆ และเช็คว่าของสำคัญจำพวกเงินเเละโทรศัพท์ยังอยู่กับตัว

ต่อให้ไม่อยากเห็นยังไง เขาก็ต้องไป

หนูพุกจะให้ทริปนี้กร่อยเพราะเขาไม่ได้เด็ดขาด

เนื่องจากช่วงนี้เป็นวันหยุดต่อเนื่องสามวัน ผู้คนจึงคราคร่ำกว่าปกติ การถ่ายรูปหมู่ก่อนขึ้นไปสักการะพระธาตุจึงขลุกขลักเล็กน้อย กว่าทุกคนจะนัดเวลาเเละเเยกย้ายกันหนูพุกก็ชักจะตาลาย

“ขึ้นไหวไหมเนี่ย” หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวก้าวขึ้นไปบนบันได ความสูงชันทำเอาเเฟนหนุ่มต้องกระชับมือน้อย ๆ เอาไว้เพื่อช่วยพยุง

“ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นย่ะ” เสียงหัวเราะหวานใสกังวานพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอของคนตัวสูงใหญ่ทำให้พนักงานสองชีวิตด้านหลังได้แต่ยืนเม้มปาก

“คืออะไร ขอห้าบาทเหรอ” ปูนมองคนหันมาถามด้วยสีหน้าเหรอเหรา คงไม่รู้เลยว่าตัวเองมองคู่รักตาละห้อยแค่ไหน

“พี่… ถือว่ามาเดตกับผมแล้วกันนะ”

“ขอบคุณนะ เดตกันวันนึงใช่ไหม ถ้ามองใครพี่ตีตาแตกเลยนะ” มือเรียววางลงดังแปะ หัวเราะเด็กทะเล้นที่เเทบจะสะบัดมือหนูพุกทิ้งเพราะห้ามเหล่สาว

“ดุจังเว้ย” ร้องหือเสียจนจมูกบาน ยังดีที่พ่อแม่หน้าตาหล่อสวย เขาจึงดูไม่ทุเรศทุรังนักในเวลาทำท่าทางตลกอย่างนี้

...ต้องยกเครดิตให้พ่อกับแม่จริง ๆ... 

   กว่าจะลากตัวเองผ่านบันไดนาคนับสามร้อยขั้นขึ้นมาได้ คนไม่ค่อยออกกำลังกายอย่างปูนก็หอบแฮ่ก เพราะบ้านใกล้ ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดจึงเคยมาที่นี่แล้วหลายหน ปูนทำหน้าที่ไกด์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จัดการเรื่องธูปเทียนบูชาพระให้เสร็จจนหนูพุกเเทบไม่ต้องกระดิกตัว

   หนูพุกจรดปลายธูปบนเปลวเทียนสีเหลือง มองควันสีขี้เถ้าจาง ๆ ลอยขึ้นบนอากาศอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเพราะความเจ็บปวดเมื่อครู่หรือเปล่า ที่ทำให้เขารู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไรก็ช้าลงไปหมด ชายหนุ่มอ่านบทสวดที่เขียนไว้ด้านหน้า ตั้งจิตอธิษฐานตามไปทีละบรรทัด

เกือบทุกครั้งที่เขาไหว้พระขอพร หากไม่เป็นเรื่องการเรียน การงาน ก็คงเป็นเรื่องพี่ภูที่หนูพุกวิงวอนเสมอว่าอยากจะมีโอกาสเจอกันอีกครั้ง

จนมาถึงคราวนี้… ในสมองของเขาว่างเปล่า

หนูพุกไม่รู้ว่าควรจะวอนขออะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พี่ภูมีคนรักอยู่แล้ว...ไม่มีทางที่จะมีอะไรเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้ และหนูพุกเองก็ไม่ได้ริอยากจะปีนต้นงิ้ว

   “เสี่ยงเซียมซีกันพี่ ตอนเด็ก ๆ ผมโคตรชอบเล่น” ปูนยื่นกระบอกไม้เสี่ยงทายมาให้ชายหนุ่มที่กราบพระเเล้วสายตาก็ยังว่างเปล่า ขืนปล่อยให้อยู่คนเดียวนาน ๆ ไม่ดีแน่

   หนูพุกเห็นเพื่อนร่วมงานเขย่ากระบอกไม้อย่างตั้งอกตั้งใจจึงเริ่มเขย่าของตัวเองบ้าง เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น ก้านไม้ที่มีเลขตัวเดียวกำกับก็ตกลง

   หนูพุกเดินไปยังที่เก็บใบคำทำนายไล่หลังปูน ก้าวขาไปก็ต้องหลบลูกเด็กเล็กแดงและบรรดาผู้ปกครองไปด้วย ถึงระยะทางจะไม่ได้ไกลอะไรมากมายแต่ก็เล่นเอาเขาเวียนหัวทีเดียว ชายหนุ่มจด ๆ จ้อง ๆ มองหาตัวเลขอยู่ครู่หนึ่งก็เอื้อมไปหยิบแผ่นกระดาษใบเล็กมาอ่านไปเดินไป



 อันเนื้อความในเซียมซีใบที่หก   จงอย่าตกในความฟุ้งแลพลุ่งพล่าน

ใช้ชีวิตให้มั่นคงดำรงชาญ เมื่อถึงกาลลาภยศพูนทวี

อีกลูกหนี้ที่ตามหาก็มาพบ  ได้รับครบ ดอกต้นในหนนี้

ที่ป่วยไข้ก็กลับกลายเป็นดี คู่ชีวีได้พานพบประสบเอยฯ



หนูพุกก้มหน้าก้มตาอ่านคำทำนายหมายเลขหกอีกหนแล้วก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจ มันแม่นจริง ๆ เหรอวะ…

“แม่นแต๊วะ!” เขาเห็นเด็กผู้ชายวัยน่าจะสักสิบเจ็ดสิบแปดด้านข้างชะโงกอ่านใบเซียมซีของเพื่อน หากเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักอีกคนกลับเอามือดันแผ่นหลังคนพูดให้รีบเดินออกไปจากฝูงชน

“แม่นตี้ใด อู้นัก!  เดิน ๆ ไปเต๊อะ”   

“ก็ตี้เปิ้นว่าเนื้อคู่คิงจะเป็นหม้าย ฮากึ๊ดละก็ว่าแม่นอยู่เน่อ ป้อหม้ายแหง ๆ”

คนตัวสูงกว่ายังไม่หยุดพรรณาเป็นภาษาถิ่นที่หนูพุกไม่สามารถฟังออกได้ทุกคำ หากสิ่งที่เขาได้สัมผัสชัดเจนกลับเป็นฝ่ามือจากน้องน่ารักที่ปรารถนาจะผลักหัวเพื่อน หากมันดันหลบวืดจนมือเรียวฟาดลงเอาบนหัวเขาเต็ม ๆ

“แม่นป้อคิง!”

“ปี้ครับ สุมาเต๊อะ/ ขอโทษครับ!” สองหนุ่มตกอกตกใจประสานเสียงทั้งภาษากลางเเละคำเมืองออกมาเสียงดัง พวกนั้นยกมือไหว้ปลก ๆ ตาเหลือกอย่างกับเห็นหนูพุกเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง

”ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เจ็บมาก”

หนูพุกโบกมือให้ ได้แต่ยิ้มแหย ๆ องค์พระธาตุสีทองวาวระยับก็อยู่ตรงนี้ ไหนจะพระพุทธรูปอีกรอบวัด จะให้มาโกรธกันตรงนี้เขาก็เห็นว่าไม่เหมาะ อีกทั้งมันก็เกิดจากความไม่ตั้งใจ ถือเสียว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน

“เฮ้ยพี่ เป็นอะไรไหมเนี่ย คลาดสายตาไม่ได้เลยนะ” ปูนรุดมาหาเขา หลังจากที่เอาเงินไปหยอดตู้ สีหน้าหนุ่มเหนือดูตกอกตกใจมากทีเดียว

“ไม่ ๆ อุบัติเหตุน่ะ” หนูพุกยิ้มจาง ๆ ออกเดินพลางเอามือลูบศีรษะ… เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ที่ถูกตีก็ไม่ได้เจ็บมากแล้ว

...อาการทางกายมันก็เป็นอย่างนี้ เจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย…

“พี่เอามือมาเลย ห่างกันแบบนี้เดี๋ยวไปโดนใครตีมาอีกทำยังไงเนี่ย” ปูนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง คว้ามือหนูพุกมากุมไว้อย่างขามา

“จูงแบบนี้ เดี๋ยวก็กลิ้งลงไปทั้งคู่” หนูพุกหัวเราะเบา ๆ หากตกลงไปคงไม่พ้นจะดูไม่จืดกันทั้งคู่

“กลัวตกเหรอ พี่จับราวไว้มือหนึ่งก็ได้” ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดขยับให้หนูพุกไปยืนชิดลำตัวพญานาค ไม่นึกว่าคนที่เล่นตลกโปกฮาไปวัน ๆ พอบอกว่าจะเป็นคู่เดทให้วันหนึ่งปูนก็เป็นผู้ชายที่ใส่ใจคนอื่นไม่น้อยทีเดียว

“นี่… ปูนน่ะ ไม่มีแฟนกับเขาเหรอเรา” หนูพุกเดินไปมองทิวทัศน์ไป เห็นเด็ก ๆ ตัวเท่าหัวเข่าวิ่งขึ้นพระธาตุกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อยแล้วก็อิจฉา ขนาดเขายังไม่สามสิบ กว่าจะผ่านบันไดสามร้อยขั้นนี่ไปได้ก็หอบแฮ่ก

“โอ๊ย… เนื้อคู่ผมยังไม่เกิดหรอก”

“ชอบเด็กหรือไง” หนูพุกเย้า ไม่รู้ทำไมพอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็นึกถึงช่วงที่เขาแอบตามส่องชีวิตของอีกฝ่าย จะใช่เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนที่ไปกินข้าวด้วยกันหรือเปล่านะ

“ไม่ชอบใครทั้งนั้นแหละพี่ ผมชอบตัวเอง คบกับตัวเองพอแล้ว” ปูนหันมายักคิ้วใส่ จนหนูพุกคิดแล้วว่าซักไปก็ไร้ประโยชน์

ตลอดวันหนูพุกกดโทรศัพท์ถ่ายรูปจนเหนื่อย ด้วยพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศและบ้านม้งดอยปุยทำให้เขาหลงรักเข้าเต็มเปา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงหน้าฝนที่หมอกลงจัดก็ยังหนาวจนเขาต้องใส่เสื้อสเวทเตอร์ผ้าสำลีนุ่มอุ่นลงจากรถไปด้วย

หากมีโอกาส หนูพุกจะกลับมาเที่ยวที่นี่ตอนหน้าหนาวคงจะดีไม่หยอก

หนูพุกเดินไปเรื่อยในขณะที่ปูนเดินออกไปตามหาห้องน้ำ เขาแวะจ่ายแบงก์ยี่สิบหนึ่งใบแลกกับสตรอเบอรี่สดผลสีแดงฉ่ำแบบที่ตัดขั้วใส่แก้วพลาสติกไว้พร้อมรับประทาน ระหว่างทางมีทั้งร้านรวงที่ขายกระเป๋าและเสื้อผ้าทอลายพื้นถิ่น ชายหนุ่มกินไปเดินไป ควักเงินซื้อข้าวของเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการเป็นของฝาก ด้วยของบางอย่างบนนี้ก็ถูกกว่าในตลาดข้างล่าง ในขณะที่เต้ยสะพายกล้องข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างก็มีเอาไว้ห้อยกระเป๋า ยางรัดผมและของกระจุกกระจิกซึ่งตั้งใจซื้อไปฝากหลานสาว

ในขณะที่เจ้าของบริษัทอีกคนก็เดินเคียงไปกับแฟนสาว หนูพุกอดไม่ได้ที่จะมองชายหนุ่มร่างสูง เขายิ้มอย่างที่หนูพุกไม่เคยเห็น แววตาสีเข้มทอประกายอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ไม่ว่าพี่แพรจะหยิบจับอะไร พี่ภูก็ปฏิบัติตัวเป็นคนรักที่ดีด้วยการหยิบทุกสิ่งอันมาแขวนไว้กับตัวทั้งหมด

“ปี้ขอถ่ายรูปโตยได้ก่อ” คีรินทร์ย่อตัวลงคุยกับเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งใส่ชุดผ้าชาวดอยใส่หมวกและปัดแก้มแดงน่ารักทีเดียว หนูพุกเพิ่งจะทราบครั้งนี้เองว่าชายหนุ่มอู้กำเมืองกับเขาก็ได้คล่องแคล่วเหมือนกัน

...น่ารัก…

“หนูพุก... ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหม”

เจ้านายหนุ่มกวักมือเรียกคนที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อหนูน้อยพยักหน้าลงอย่างยินดี ทีแรกภูว่าจะวานเต้ยหากอีกฝ่ายดูกำลังสาละวนกับการจ่ายเงินซื้อของที่ระลึก คนอื่น ๆ ก็ดูทำอย่างอื่นกันหมด ยิ่งพวกมีครอบครัวแล้วยิ่งพากันไปสร้างโลกส่วนตัวทีเดียว

“ได้ครับ” เลขาหนุ่มพยักหน้า รับโทรศัพท์ของพี่ภูมาถือ พยายามทำสีหน้าให้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวาไม่ใช่เอาแต่ยิ้มแห้งไปทุกที่

“มองกล้องนะครับ… หนึ่ง สอง สาม...” ภาพในจอทำให้คนมองแทบยิ้มไม่ออก หญิงสาวผมสั้นในชุดกระโปรงยาวยืนเคียงกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หนูน้อยถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของพี่ภู ดูครบพร้อมทีเดียว

...เหมือนพ่อ แม่ ลูก…

เป็นความจริงแท้แน่นอนที่วันหนึ่งพี่ภูจะต้องแต่งงานและมีครอบครัว ไม่ว่าจะมองไปทางไหน หนูพุกก็ไม่เห็นทางเลยว่าที่ข้าง ๆ ของอีกฝ่ายจะเป็นเขาได้อย่างไร

หักใจเสียหนูพุก… หักใจเสีย…

...อย่ารักใครที่ไม่ควร…



………………………………………………….
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 11-08-2018 21:51:47

“พี่พุก… พอแล้ว ไม่ต้องร้องแล้ว” ปูนแตะมือลงบนไหล่คนที่กลับมาถึงห้องก็เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาเรียวคู่นั้นดูท่าจะมากกว่าพายุฝนที่เข้าเมืองเชียงใหม่คืนนี้ทั้งคืนเสียอีก

“มัน… หยุดไม่ได้” หนูพุกสูดหายใจ พยายามจะหยุดสะอื้น แต่เขาก็ทำมันไม่สำเร็จ

“พี่ชอบพี่ภูมากเลยเหรอ คือผมไม่ได้จะอะไรนะ แต่ว่ามันเพิ่งสี่เดือนเอง… แบบว่า โอ๊ย พูดยากจังโว้ย” มือหนึ่งของปูนก็ปลอบคนที่กอดหมอนมุดผ้าห่มทำเป็นรังหนูอีกมือก็ขยี้หัวไปด้วย เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งที่คิดออกไปอย่างไรให้ถนอมใจคนฟัง

“สิบเอ็ดปี… พี่ชอบพี่ภูมาสิบเอ็ดปี” เรื่องราวทั้งหลายที่หลุดออกมาจากปากเลขาหนุ่มทำให้ปูนช็อคแล้วช็อคอีก เขาไม่รู้เลยว่าควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง

ตลอดมา ปูนมองว่าความรักเป็นเพียงฟังก์ชั่นหนึ่งของมนุษย์ หากนี่เป็นครั้งแรกที่ปูนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว่าที่คิด ยิ่งเขาเห็นมาตลอดว่าท่าทีของเพื่อนร่วมงานคนนี้ที่มีต่อเจ้านายคงไม่ใช่แค่เพียงทำไปตามหน้าที่

พี่พุกไม่เพียงแต่คอยชงกาแฟหรือหาอะไรให้พี่ภูใส่ลงท้อง หากอะไรที่เป็นอุปกรณ์การกินของเจ้านาย ชายหนุ่มจะไม่ทิ้งให้ถึงมือแม่บ้าน หากต้มน้ำร้อนล้างทั้งหมดเพราะพี่ภูเคยเสาะท้องครั้งหนึ่ง และหนูพุกก็พยายามจะช่วยเลี่ยงความเสี่ยงด้านความสะอาด

จะหาใครที่ทำเรื่องพวกนี้ลับหลังเจ้านายโดยไม่หวังผลอะไรได้สม่ำเสมอก็คงมีหนูพุกเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง

“ปูน… ปูน” หนูพุกเเตะลงบนมือของรุ่นน้องที่พาดทิ้งไว้บนไหล่เขา แต่เจ้าตัวนอนเงยหน้าพิงหัวเตียงไปเฝ้าพระอินทร์ถึงไหน ๆ แล้ว

เห็นดังนั้นเจ้าของเตียงจึงจัดที่ทางให้คนขี้เซา จะว่าไปเขากับปูนก็คงไม่ต่างกัน พอได้หลับแล้วจะทำอะไรเสียงดังเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นขึ้นมาง่าย ๆ อาจเป็นเพราะการเดินทางและตะลอนเที่ยวตลอดวันทำให้ผู้ฟังที่ดีของเขาหลับกลางอากาศ 

   หนูพุกคลี่ผ้านวมห่มให้คนที่นอนอ้าปากกรนคร่อก ๆ อย่างเอ็นดู เขาย้ายตัวเองไปนอนบนเตียงของปูนแทนแต่จะทำอย่างไรก็ข่มตาหลับไม่ลงสักที หนูพุกจึงตัดสินใจคว้าคีย์การ์ดและกระเป๋าสตางค์ติดตัวลงไปที่ล็อบบี้ บางทีการไปเดินเล่นหรือนั่งเล่นก็คงไม่เลวเท่าไหร่นัก

   ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวล็อบบี้แม้ว่านี่เพิ่งจะเป็นเวลาสองทุ่มกว่าเกือบ ๆ สามทุ่มเท่านั้น เขาจำได้ว่าออกจากโรงแรมไปหน่อยมีร้านสะดวกซื้อ หนูพุกคิดว่าเขาจะเดินไปที่นั่น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดีเหมือนกัน

   ...ไม่เป็นไร เดิน ๆ ไปก่อนดีกว่า ได้ออกกำลังเบา ๆ ร่างกายจะได้พักผ่อน จะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องใครคนนั้น...

ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มขายาวเดินเลาะไปตามฟุตปาธ เขาเห็นแสงไฟร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลนัก ยิ่งระยะห่างหดสั้นลง หนูพุกก็อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้วิ่งหนีกลับห้องพัก

พี่ภูยืนกระดกน้ำดื่มอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ อีกฝ่ายโบกไม้โบกมือทักทายเมื่อเห็นว่าเป็นเลขาหนุ่มของตัวเอง

“นึกว่าหมดแรง นอนไปแล้วนะเนี่ย”

“ออกมาเดินเล่นเฉย ๆ ครับ นอนไม่ค่อยหลับ สงสัยจะแปลกที่”

หนูพุกยิ้มเจื่อน ชะเง้อคอมองหาแฟนสาวของคีรินทร์ เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังอยู่ในร้านสะดวกซื้อ หวังใจว่าการปรากฎตัวของพี่แพรน่าจะช่วยให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนอยู่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนูพุกคงหูตั้งหางกระดิกชวนเขาไปเดินเล่นหรือหาอะไรร้อน ๆ ดื่มแล้วด้วยซ้ำ

...หลงรักแฟนชาวบ้านนี่เสี่ยงนรกมากจริง ๆ ให้ตาย...

“ถ้าแรงเหลือ ไปเดินเล่นกันไหม” เขาหันมาถามแบบไม่ส่งสัญญาณล่วงหน้าทำเอาหนูพุกสะดุ้งหลุดปากไปอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองเลยเชียว

“ปะ… ไปครับ” ชายหนุ่มอยากจะบิดตัวเองให้เนื้อเขียว ทำไมถึงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำกันนะ จะไปให้เห็นหนามตำใจหรือยังไงกัน! ยูเทิร์นเดี๋ยวนี้ไอ้พุก ยูเทิร์น!

“เอ้อ… หมายถึง ไม่ไปดีกว่าครับ เผื่อพี่ภูจะไปเดินเล่นกับพี่แพร” คนพูดหัวเราะแหะ ๆ กลับลำแทบไม่ทันเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าพี่ภูจะเอ่ยปากอะไรเขาก็จะรับคำเสมอ ไม่ว่าจะใช่ จะได้ หรือจะอะไรก็ไม่เคยขัด

...นี่อาจถึงเวลาที่หนูพุกต้องปฎิวัติ...
    “แพรไม่ได้มาด้วยหรอก หลับไปแล้ว” คีรินทร์มองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า ยังเห็นรถอยู่ประปราย แต่ก็ไม่เยอะเท่าช่วงเย็นที่แน่นขนัด

“นั่งรถแดงได้ไหมเราน่ะ” เขาหันมาถามเมื่อเห็นว่าหนูพุกไม่ตัดสินใจ คิดว่าลูกน้องคงจะเกรงใจคนรักของเขา ด้วยก่อนหน้านี้จะไปไหนมาไหนกันหนูพุกก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะปฎิเสธอะไร

“ได้ครับ ตะ.. แต่ว่า” หนูพุกจะยั้งคนที่ไวปานจรวดก็ไม่ทันแล้ว พอหนูพุกพยักหน้าเขาก็ยกมือโบกรถสองแถวสีแดงที่บีบแตรถามมาแต่ไกล

“ไปวัดพระสิงห์ก่อครับ” หนูพุกได้ยินเขาถามคนขับรถ พอชายวัยกลางคนที่นั่งประจำที่คนขับพยักหน้า คีรินทร์ก็ดันหลังเขาให้ก้าวขึ้นรถทันที

...นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ไปเที่ยวกับพี่ภู…

ครั้งนี้เองที่เขาละทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พยายามจะกล่อมตัวเองมาตลอดทั้งวัน หนูพุกรู้แล้วว่าความรักของเขามันไม่ใช่สิ่งที่แสนบริสุทธิ์สดใสอย่างในอุดมคติ เขายังเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ ดีใจได้ เสียใจได้ หลักใหญ่ใจความคงเป็นเพราะหนูพุกใจแคบเกินกว่าจะยืนข้าง ๆ และร่วมยินดีในวันที่อีกฝ่ายจะมีคู่ชีวิตอย่างเป็นทางการ

เอาไว้ทุกอย่างลงตัวเมื่อไหร่… เขาก็คงต้องไปตามทางของตัวเอง

“พี่ภูพูดเหนือได้ด้วยเหรอครับ พุกเพิ่งรู้” หนูพุกหันไปถามชายหนุ่มด้านข้าง ลมจากด้านนอกรถพัดเข้ามาจนผู้โดยสารผมเสียทรงกันทุกคน

แต่พี่ภูก็คือพี่ภู… ผมยุ่งอย่างไรก็ยังหล่ออยู่อย่างนั้น

...หล่อที่สุด ดีที่สุดในสายตาเขา...

“ได้สิ แม่พี่เป็นคนที่นี่แหละ ตอนเด็ก ๆ เรียนที่กรุงเทพฯ แต่พอปิดเทอมก็มาอยู่กับคุณตาคุณยายที่นี่” เขาเล่าให้ฟัง ชี้ชวนให้หนูพุกมองออกไปนอกหน้าต่าง เล่าว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนเชียงใหม่เป็นอย่างไร และเมืองโตขึ้นอย่างไรบ้าง

  ไม่นานนักรถโดยสารก็หยุดลงตรงหน้าวัดพระสิงห์ ภูจ่ายเงินให้คนขับรถและออกส่วนของหนูพุกด้วย ชายหนุ่มเดินเข้าไปในเขตพระอารามหลวง พาหนูพุกไปไหว้พระในส่วนที่ยังเปิดให้สักการะในตอนกลางคืน แต่งตั้งให้ตัวเองเป็นไกด์ชั่วคราวเล่าเรื่องความเก่าแก่ของวัดคู่เมืองล้านนา แถมยังเป็นตากล้องชั่วคราวด้วยการถ่ายรูปให้หนูพุกอีกด้วย

“หมดแรงหรือยัง จะกลับหรือไปต่อ”

คนตัวใหญ่พาเลขาหนุ่มเดินจนทั่ว ถึงหนูพุกจะชื่อเป็นหนูหากทำตัวเหมือนลูกเป็ดเพิ่งฟักก็ไม่ปาน ไม่ว่าเขาจะพาไปทางไหนก็ต้อยตามว่าง่าย ดวงตาเรียวสว่างไสวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ได้น่าเอ็นดูเหลือใจ

“พี่ภูนั่นแหละครับ หมดแรงหรือยัง” หนูพุกหลิ่วตา เเสร้งเย้าหมือนอีกฝ่ายเป็นตาแก่วัยหกสิบ เขายังไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงตอนนี้เลย อยากจะขอยืดเวลาไปอีกสักนิด

…แค่นิดเดียวก็ยังดี…

“หยามมาก แบบนี้พาเดินถึงเช้าเลยดีไหม”

คีรินทร์ยิ้มกว้าง เขาเองก็ไม่ได้ซึมซับบรรยากาศเมืองเชียงใหม่ตอนกลางคืนมานานมากแล้ว จะชวนแพรมาด้วยเขาก็ไม่อยากจะรบกวน ด้วยคนรักของเขาเป็นพวกถูกโรคกับห้องแอร์มากกว่าจะมาเดินตากลมธรรมชาติ

“วันนี้วันเสาร์ ประตูท่าแพไม่ค่อยมีอะไร ไปเดินวัวลายก็น่าจะได้...ไม่ไกลมากเท่าไหร่” เพราะไม่ได้แพลนว่าจะต้องไปที่ไหนบ้างจึงทำให้ต้องต่อรถหลายเที่ยว ชายหนุ่มสบายใจมากที่หนูพุกสนใจแต่กับทิวทัศน์ยามค่ำคืนโดยไม่บ่นเลยสักคำ

“ไม่แน่ใจว่าจะยังมีอะไรกินอยู่หรือเปล่านะ สี่ทุ่มแม่ค้าก็ทยอยเก็บของกันแล้ว”

ชายหนุ่มโบกรถอีกหน พักเดียวคนทั้งคู่ก็ถึงจุดหมาย ถนนคนเดินวัวลายยังคงคึกคักอยู่แม้จะใกล้เวลาปิดเต็มที เขามองเลขาหนุ่มเดินดูของกระจุกกระจิกแล้วก็หยุดที่ร้านเครื่องเงิน

หนูพุกได้กำไลข้อมือไปฝากหม่าม้าสองอัน และเลือกกระเป๋าดินสอที่ทำจากผ้าทอมือให้น้องชาย ของฝากสุดท้ายของป๊าคงต้องรอวันกลับด้วยอีกฝ่ายชอบกินแคบหมูจนหม่าม้ามองตาเขียวปั้ดเพราะห่วงเรื่องคลอเรสเตอรอลทุกทีไป

“พี่ภูกินโรตีไหมอันนั้น” หนูพุกชี้ไปที่ซุ้มขายอาหาร พอจะเห็นว่าคนที่มาด้วยเมียง ๆ มอง ๆ อยู่สักพัก

“หิวด้วยเหรอเรา” เขาหันมาถาม แต่ขาน่ะเดินนำไปโซนของกินแล้ว

“กินได้ครับ ถ้ามีคนช่วยกิน” หนูพุกยิ้มเอาใจ โดยปกติเขาจะไม่รับประทานอะไรก่อนนอน แต่วันนี้ถือเป็นข้อยกเว้นก็แล้วกัน

...ทั้งชีวิตคงไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว…

“งั้นพี่พาเก็บทีละร้านเลยนะ”

เขาเดินนำหนูพุกเข้าไป แวะซื้อยำหมี่ขาวที่เด็กกรุงเทพฯที่มาด้วยไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ได้เจ้าแรกแล้วคนกินจุก็ยังไม่ยอมหยุดง่าย ๆ เขาแวะที่ร้านหอยทอดที่ทอดเป็นชิ้น ๆ ด้วยเตาขนมครก เท่านั้นยังไม่พอยังซื้อไข่ย่างในใบตองมาหนึ่งกระทงแล้วถึงจะไปหยุดที่ร้านโรตีที่หนูพุกชี้ชวน

“พอแล้วนะครับ ท้องแตกตายแน่” หนูพุกหรี่ตามองคนที่ถืออาหารจนมือเป็นพุ่มเป็นพวงไปแล้ว ภูหาที่แวะกิน เขาให้หนูพุกทดลองกินไข่ย่างในใบตองที่ซื้อจากคุณป้ามาก่อนเป็นอย่างแรก

“อันนี้เขาเรียกไข่ป่าม คล้าย ๆ ไข่ตุ๋นนี่ล่ะ แต่ใส่ใบตองแล้วย่างเอา มันจะหอมๆ” หนูพุกใช้ช้อนพลาสติกที่ได้มาตักเข้าปากไปคำหนึ่ง มันรสชาติใกล้เคียงกับไข่ตุ๋นจริง ๆ หากเนื้อเเน่นกว่าพอสมควรและมีกลิ่นหอมใบตองเป็นเอกลักษณ์

“อันนี้หมี่ยำ ไม่รู้เผ็ดมากไหม กลัวเรากินไม่ได้”

คีรินทร์ยื่นถ้วยให้หนูพุกชิมก่อน เลขาหนุ่มเพิ่งจะเคยเห็นการใช้บะหมี่ขาวยำกับน้ำยำที่ปรุงจากพริกเผา ใส่พริกแห้งทอดและผักอีกสองสามอย่าง กินด้วยกันกับหมูยอ หมูสับ และแคบหมูกรอบ ๆ เค็ม ๆ ที่ใส่มาด้านบน

“อันนี้อร่อยครับ ไม่เผ็ดมาก” หนูพุกตาโตทำเอาคนกระซิบแม่ค้าว่าขอระดับเผ็ดสำหรับเด็กและไม่เอาถั่วงอกกระตุกยิ้มมุมปาก

...เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดที่เลี้ยงง่ายอย่างกับเด็กเลยจริง ๆ…

กว่าอาหารจะหมดลง เข็มนาฬิกาก็ล่วงไปเกือบห้าทุ่ม อากาศตอนกลางคืนเย็นลงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หนาวเท่าบนดอยเมื่อเช้า อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าหน้าหนาวด้วยส่วนหนึ่ง

“พุกจะเดินไม่ไหวแล้ว” หนูพุกตบลงบนหน้าท้องที่นูนขึ้นของตัวเองดังแปะ ๆ ในขณะที่อีกคนดูจะยังกินได้อีก

“กลิ้งไปเลย เฮ้ย!” คนพูดมองซ้ายมองขวาจะพาลูกน้องข้ามถนนไปขึ้นรถอีกฝั่ง แล้วก็ตกใจเมื่อมีรถมอเตอร์ไซค์โผล่มาตอนไหนก็ไม่ทราบ เกือบจะปาดเอาคนที่กำลังก้าวลงจากทางเท้าไปด้วย

“เมื่อกี้โดนหรือเปล่า” มือใหญ่ฉุดหนูพุกขึ้นมายืนบนฟุตปาธ สอดส่ายสายตาหาความผิดปกติ

“ไม่ครับ ไม่เป็นไร” ดวงตาเรียวหลุบลงมองฝ่ามือใหญ่ที่ยังกุมข้อมือเขาไว้ไม่คลาย หนูพุกคิดถึงครั้งนั้นที่เขาไม่ยอมให้หนูพุกจากไป กอดเอาไว้ด้วยวงแขนอบอุ่น

...ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะเขาทำงานได้ต่างหาก…

“ขอโทษที เมื่อกี้ตกใจน่ะ” กว่าคีรินทร์จะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดไป ก็เห็นสายตาของหนูพุกจ้องอยู่ที่มือเขาเงียบ ๆ นี่มันไม่ควรจะเป็นท่าทางที่ผู้ชายสองคนมีต่อกันโดยปกติหรือเปล่า

...แต่เมื่อเช้าก็เห็นจูงมือไปกับปูน…

“แล้วพรุ่งนี้เราไปเที่ยวไหนล่ะ ฟรีเดย์นี่” คนตังสูงกว่าหันมาถาม พยายามจะปัดเรื่องที่เห็นออกไปจากสมอง  ตอนนี้บนรถสองแถวสีแดงไม่เหลือใคร มีแต่เขาและหนูพุกนั่งเคียงข้างกัน

“ก็แพลนเดิมคงไปแม่กำปองครับ ยังไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน พุกว่าจะลองคุยกับปูนอีกทีครับ” หนูพุกได้แต่ขอโทษรุ่นน้องในใจที่ยืมชื่อมาสมอ้าง ไม่อยากให้เขารู้ว่าแผนการฟุ้งฝันต้องพังทลายลงเพราะอะไร

“เรากับปูนสนิทกันดีนะ เห็นจูงมือกันขึ้นพระธาตุ” เขาเปรย

“อ้อ… เมื่อเช้าพุกเวียนหัวครับ น้องกลัวพุกตกเลยมาจูงไว้เฉย ๆ” หนูพุกแก้ตัวอย่างคล่องแคล่ว คิดไปว่าเจ้านายคงจะห่วงกังวลในประเด็นเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน เนื่องจากเรื่องเต้ยกับแดนดินก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

...แท้จริงแล้วพี่ภูอาจจะแค่ต้องการควบคุมความเสี่ยงไม่ให้กระทบกับงานเท่านั้นเอง...

ระหว่างนั้นไม่มีใครได้พูดอะไรออกมาอีก ชายหนุ่มตัวบางเสมองออกไปนอกตัวรถ แค่สี่ทุ่มกว่าถนนก็เริ่มเงียบแล้ว หากเป็นที่กรุงเทพก็คงยังคึกคักมีแต่แสงสีเรืองรอง

...เขาอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้ ไม่อยากกลับไปพบความจริงเลย...

คำขอในใจของหนูพุกไม่เป็นผล รถเเดงจอดลงหน้าร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พัก ปล่อยให้ผู้โดยสารสองชีวิตเดินเคียงกันไปอย่างเงียบเชียบ หนูพุกลอบมองคนตัวใหญ่ ใบหน้าคมสันของพี่ภูไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ คนมองไม่สามารถคะเนได้เลยว่าใต้แววตาสีดำนั้นมีอะไรซุกซ่อนอยู่

เมื่อเหยียบล็อบบี้ก็ดูเหมือนว่ายิ่งใกล้จุดที่ช่วงเวลาเหมือนฝันเมื่อสองสามชั่วโมงที่ผ่านมาต้องบรรจบกับความเป็นจริง ลิฟต์โดยสารไม่ได้ทำงานเชื่องช้าต่อเวลาให้คนแอบรักข้างเดียวได้เพิ่มสักนาที หนูพุกได้แต่ยิ้มชืด ยกมือบ๊ายบายให้กับเจ้านาย กระซิบแผ่วเบาก่อนที่จะต้องเดินแยกไปคนละทาง

“ฝันดีนะครับ”

“เราก็ด้วย ท้องอิ่มก็นอนได้แล้ว” คีรินทร์ยังยิ้มอบอุ่นเช่นเคย เพียงเขาหันหลังและก้าวเดินไป ค่ำคืนนี้ก็จบลงอย่างง่ายดาย

...ปราศจากคำลาและความรู้สึกลึกซึ้งอันใด...

   หนูพุกคาดว่าเมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไปแล้ว ปูนก็คงจะยังนอนหลับอยู่บนเตียง เขาเปิดไฟทางสีนวลไว้เพียงดวงเดียว จะอาบน้ำอีกหนหรือจะขยับตัวทำอะไรก็อาจต้องระวังไม่ให้รูมเมทตื่นขึ้นมากลางดึก

 “พี่พุก! ไปไหนมา… ทำไมไม่รู้จักเอาโทรศัพท์ไปด้วย” หนูพุกได้แต่ตะลึง เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วเจอปูนยืนจังก้าอยู่กลางห้อง ซ้ำยังเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นกางเกงยีนกับเสื้อเหมือนจะออกไปข้างนอกด้วย

“พี่ลืม… แค่ไปเดินเล่นมาเฉยๆ”

“ตอนผมตื่นมาไม่เจอพี่นี่โคตรตกใจ เมื่อกี้ก็วิ่งลงไปหาฟร้อนท์มา เขาบอกว่าพี่ออกไปสักพักแล้ว”

ปูนรัวไม่ยั้ง นี่ก็เตรียมเปลี่ยนชุดจะออกไปตามหาแล้วด้วยซ้ำ แค่ปลอบคนร้องไห้แต่ตัวเองเผลอหลับไปก็รู้สึกผิดจะตายชัก แล้วนี่เล่นมาหายไปอีก เขาน่ะอกสั่นขวัญแขวนจะแย่

“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง พี่นอนไม่หลับเลยไปเดินเล่น”

หนูพุกวางถุงพลาสติกหลายใบไว้กับโต๊ะ ส่วนคนตกใจใหญ่โตพอเห็นหน้าเหยเกของคนพี่ก็คร้านจะดุ ไม่รู้ว่าไปฝึกวิชาตาแป๋วมาจากที่ไหน เล่นเสียพายุในใจเขาหายวับไปกับตา

“ปลอดภัยก็ดีแล้วพี่ ตอนกลางคืนจะไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไม่ได้ อันตราย” ไม่รู้ว่ามันเป็นน้องหรือเป็นพี่ หนูพุกก็ได้แต่ปล่อยให้เด็กขี้บ่นพูดไปอย่างนั้น ควานหาเอาถุงขนมที่เป็นลูกสมอเชื่อมหวาน ๆ ได้ก็เอายัดปากปูนไปคำหนึ่ง

น่าแปลก... หรือเพราะเป็นพี่ภูที่ไปด้วยกัน เขาจึงไม่รู้สึกว่าท้องถนนเงียบเชียบนั้นอันตรายเลยสักนิด

...เพราะหนูพุกวางทุกอย่างไว้ในมือเขาไปแล้ว….

“แล้วพรุ่งนี้พี่จะไปไหนไหม” ปูนเคี้ยวไปก็หันมองหนูพุกที่พับเก็บของฝากที่ซื้อมาให้อยู่ในที่ทาง วันกลับจะได้จัดกระเป๋าง่ายหน่อย

“ไม่รู้สิ คงอยู่แถวๆนี้แหละ” คนพี่ว่า พอจัดของเสร็จก็รื้อเอาชุดนอนออกมาวางคู่กับผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำอีกหน

“เชื่อเขาเลย ไปกับผมนี่ จะพาไปเที่ยวเชียงราย มาเที่ยวเดียวเก็บสองจังหวัดไปเลย โคตรคุ้ม” ปูนเปลี่ยนชุดไปพูดไป ในหัวก็วางแผนไปด้วยว่าจะพาหนูพุกไปทำอะไรบ้าง เพราะแค่เดินทางก็น่าจะเหนื่อยแย่แล้ว

“ฮะ…ไปเชียงราย?”

“ไปบ้านผมเนี่ยเเหละ ไม่ต้องมาฮงมาฮะ ที่นี่พี่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าไม่ไปบ้านผมรอบนี้รอบหน้าก็มาเองไม่ได้แล้วนะ”

ท่าทางเล่นตัวยิ่งกว่าเป็นแรร์ไอเท็มในแรร์ไอเท็มอีกทีอย่างนั้นทำให้หนูพุกหัวเราะในลำคอ เห็นแก่ความพยายามของปูนที่ดูแลเขามาตลอดทริป สุดท้ายหนูพุกก็พยักหน้ารับ ตกลงปลงใจไปเป็นภาระให้เด็กมันอีกจนได้

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะปิดตาไปได้พักเดียวเขาก็ถูกสะกิดให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ปูนอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเตรียมพร้อมไปเต็มที่แล้ว เขาใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน มาเที่ยวรอบนี้ก็ไม่ได้เซ็ทผม ปล่อยให้หน้าม้าตกลงมาปรกหน้าให้ดูเด็กลงเผื่อจะดูอายุใกล้เคียงกับปูนได้บ้าง

ทั้งคู่ลงมาถึงล็อบบี้ที่ปูนนัดคนไว้ราว ๆ ตีห้าครึ่ง ปูนเดินตัวปลิวแทบไม่พกอะไรเลยตรงไปหาชายหนุ่มที่นั่งกดโทรศัพท์คอยอยู่ก่อนแล้ว หนูพุกเริ่มพิจารณาเขาเมื่อร่างกายกำยำสมส่วนยืนขึ้นจนเต็มความสูง ผิวขาวหยวก ตาเรียวดุดันคล้ายอินทรีย์

แทบไม่ต้องใช้ความเฉลียวอะไรเลยเขาก็พอเดาได้ว่าสองคนนี้คงมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน… ดูหน้าตาเข้าสิ อย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลยด้วยซ้ำ จะมีแต่ส่วนสูงเท่านั้นที่ดูจะทิ้งกันไปโข

“นี่พี่หนูพุก พี่ที่ทำงานปูน  ส่วนพี่พุก...นี่พี่อิฐ คนขับรถบ้านผมเอง” ปูนแนะนำสั้น ๆ แต่กวนประสาทคนฟังใช้ได้ เพราะเมื่อพูดจบ กำปั้นลุ่น ๆ ก็ฝากมะเหงกไปที่ไอ้ตัวดีดังโป๊ก

“สวัสดีครับคุณอิฐ” ทีแรกหนูพุกลังเลว่าควรจะยกมือไหว้เขาดีหรือไม่ ไม่ใช่เพราะหน้าตาที่ดูเกินกว่าวัย หากคงเป็นเพราะมาดผู้นำและความน่าเกรงขามที่โดดเด่นจนปกปิดไม่ได้เสียมากกว่า

“สวัสดีครับหนูพุก… จริง ๆ ผมเป็นพี่ชายไอ้แสบนี่ ท่าจะไปกวนคุณไว้เยอะนะเนี่ย” คุณอิฐเดินนำไปที่รถ เขาอัธยาศัยดีพอ ๆ กับปูน เพียงแต่ตลกน้อยกว่าและดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเท่านั้นเอง

หนูพุกติดเสื้อนอกตัวเมื่อวานมาด้วย ไม่รู้ว่าข้ามจังหวัดไปจะหนาวกว่ากันมากน้อยแค่ไหน หากเจ้าของเสื้อก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเขาพับกระดาษใบหนึ่งไว้ในกระเป๋าเสื้อ จังหวะสะบัดเสื้อขึ้นใส่ เจ้ากระดาษบาง ๆ จึงคลี่ออกและลอยไปตกที่พื้น ใกล้กับรองเท้าของคนเพิ่งรู้จัก

“ไปดอยสุเทพมาหรือครับ แม่ผมบอกว่าไปขออะไรก็สมหวังนะ” อิฐก้มลงเก็บกระดาษที่คลี่ออกจนเต็มแผ่นด้วยแรงลม เพราะพับไว้ไม่ดีแต่แรกแล้วสำทับอีก “ไอ้ปูนนี่ก็ไปขอมาเหมือนกัน ตอนเด็กๆมันป่วยบ่อย ดูตอนนี้สิ ถึกยิ่งกว่าอะไร”

“เหรอครับ ดีจังเลย... ผมก็ได้ยินเด็กเขาว่าเซียมซีแม่นเหมือนกัน”

หนูพุกยิ้มตามมารยาท รอบนี้เขาไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าให้ป๊ากับม้ามีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น มือเรียวรับคำทำนายใบสี่เหลี่ยมนั่นมาพับอีกหน เห็นเนื้อความวรรคสุดท้ายแล้วก็โคลงศีรษะเบา ๆ

...คู่ชีวีได้พานพบประสบเอยฯ…

   

ไม่กล้าทอล์กเยอะค่ะ กลัวโดนตี 55555555555555555   :katai1: :katai1:

ฝาก BGM ไว้แทนนะคะ อ่านไปฟังไปก็ดีค่ะ ฟังเฉยๆก็ได้ รู้สึกว่ามันใช่มากๆๆๆๆ  BGM (https://www.youtube.com/watch?v=wy-B-s4SGZY&ab_channel=LOVEiS%2B)

เจอกันวันเสาร์หน้าค่า  :hao5: :hao5: :bye2: :bye2:

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 11 --- [ 04.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 11-08-2018 22:03:08
งือออออ เศร้า  สงสารหนูพุก  T^T
ถ้าคุณแพรนิสัยไม่ดี ก็ยังพอมีลุ้น
แต่นี่คุณแพรก็ดูใจดีเป็นกันเอง พี่ภูก็เหมือนจะรักมากด้วย
ถึงขนาดให้คำมั่นเรื่องแต่งงานแล้วด้วย มันจะลงเอยยังไงเนี่ย ฮือออ
แล้วหนูพุกต้องทำงานกับคนที่แอบรักแถมมีเจ้าของแล้วอย่างนี้ ยิ่งทรมานอ่ะ
น้องปูนน่ารักมาก ดีที่หนูพุกมีน้องปูนคอยอยู่ข้าง ๆ เวลาแบบนี้นะ 
นี่นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าหนูพุกกับพี่ภูจะลงเอยกันได้ยังไง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-08-2018 22:10:18
 :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 11-08-2018 22:28:12
...คู่ชีวีได้พานพบประสบเอยฯ…

คุณอิฐใช่ไหมคะ  :ruready
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 11-08-2018 22:30:45
 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-08-2018 22:45:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

แอบลุ้นให้เนื้อความในใบเซียมซีหมายถึงอิฐจัง

เพราะมองไม่เห็นทางว่าหนูพุกกับพี่ภูจะสมหวังยังไงเลย

แต่...มันก็ไม่เข้ากับชื่อเรื่องอ่ะจิ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-08-2018 23:09:32
เห้ยๆ............. :laugh: :laugh:หรือเซียมซีที่ว่า...... 
คู่ชีวีได้พานพบประสบเอย
คือพี่อิฐ พี่ชายของปูน  อะจ๊ากกกกกกกกก   :katai2-1:
ยินดีเลย หนูพุกจะได้พบคู่ชีวีแล้ว   :-[
ไม่ต้องช้ำชอกใจแล้ว  เย้    :laugh:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-08-2018 23:31:33
สงสารพุกจังเลยนะ ไปเที่ยวพร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำ ดีที่มีปูนคอยช่วยประคองให้
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 12-08-2018 00:05:20
แอบเชียร์คุณอิฐ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-08-2018 00:11:01
พี่อิฐ แน่ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 12-08-2018 00:59:54
เอาไงดีล่ะทีนี้
เชียร์พี่ภูมาครึ่งค่อนเรื่องแล้ว
กลับลำไม่ทันแล้วแง้
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-08-2018 01:53:00
พิชิตภูที่ว่าคืออิฐคนเหนือใช่ไหม ไม่ใช่พี่ภู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 12-08-2018 10:45:03
ขอให้เป็นพี่อิฐเหอะ เก็บพี่ภูให้เป็นความทรงจำ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 12-08-2018 10:58:10
เปลี่ยนเป็นพิชิตอิฐ พิชิตปูน แทนดีกว่าหนูพุก

ให้พิชิตภูหมายถึง บ้านที่อยู่ของอิฐและปูนไปเถอะ // คนมีเจ้าของแล้วเราจะไม่ยุ่ง  :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 12-08-2018 11:56:11
หรือว่าจะเป็นคุณอิฐ 
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 12-08-2018 16:03:36
สงสารหนูพุกง่าาาาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 12-08-2018 22:29:00
สารภาพว่าเราไม่ได้คิดว่าพี่ภู เป็นพระเอกมาตั้งแต่แรก เพราะ !!!!
ตอนแรกเลย ที่หนุพุกตกบันได บอกว่ามีสายตานึงมองมาอะไรซักอย่าง ซึ่งเราคิดว่าน่าจะเป็นคนที่แกล้งหนูพุก และคนนั้นแหละเป็นพระเอก
แต่พอป่านไปหลายตอน พี่ภูเป็นผู้ชายคนเดียวที่มีบทบาทเด่นสุด แถมชื่อเรื่องก็พิชิตภูไปอีก เราก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย สงสัยจะคิดมากไปเอง
พอมาตอนนี้ ฉึ่งงงงง เริ่มคิดว่าพระเอกคือคนนั้นที่เคยคิดแน่ๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นอิฐนี่แหละ งุ้ยๆๆๆๆ
ขอให้เดาถูกด้วยเถ้ออออออ หนูพุกสู้ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 12-08-2018 22:46:08
เราอ่านตอนล่่าสุดแล้วอินมากเลยย​ สงสารหนูพุกมากเลยย​ เข้าใจความรู้สึกคนแอบรักเขาเลย
ี่พี่ภูดูรักแพรมาก​ แพรก็ดูเป็นผญที่ด้วยแถมมีแพลนจะแต่งกันอีก​ จะเลิกกันได้ยังไง​ แงงงงงง
หรือพระเอกจะเป็นอิฐ​ แต่ชื่อเรื่องนี้คือพิชิตภูนะ.. ฮือ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 13-08-2018 01:58:02
ตอนนี้เริ่มงงๆๆ คือแบบถ้าจะเป็นพี่อิฐก็แบบผ่านมา12อีพีละอะพระเอกเพิ่งมาใช่หรอแต่ พี่ภูกับหนูพุกก็เป็นไปได้ยากอะยิ่งพี่ภูมีแฟนอีกเห้อออออ ได้แต่รอๆๆๆตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: alt1991 ที่ 13-08-2018 07:37:52
 :hao5:  :monkeysad: สงสารหนูพุก  :monkeysad: :hao5: 

 :L1: ขอให้อิฐมีชื่อจริงที่แปลว่า ภูเขา ก็ดี ชื่อแบบเหนือ ๆ ว่า "ม่อนฟ้า" หรือ "ศิขริน" แบบแขก คำทำนายจะได้เป็นจริง :L1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 18-08-2018 19:02:21
ขอโทษที่ผิดนัดนะคะ
ยังเขียนไม่เสร็จจริงๆค่ะ เพราะว่าอาทิตย์นี้งานเราเยอะมากๆ :z3:  :katai4: ไหว้รอบทิศ  :sad4:
-
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-08-2018 19:22:36
รออ่าน สู้สู้

 :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 18-08-2018 20:30:50
เรารอได้เรารอได้ รออ่านอย่างใจจดใจจ่อวันนี้รีมาแล้ว10รอบ5555555 สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryyy ที่ 19-08-2018 00:06:58
หนูพุกตัดใจเถอะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-08-2018 20:54:40
เอ้า พี่ภูเรือล่มเฉย
มาถึงตอนนี้อยากให้พี่ภูเป้นพระเอกมั้ยก็เฉยอ่ะ  ยิ่งเห็นรักกันดีกับแพรก้ยิ่งคิดว่าไม่อยากให้เลิกกับแพรเพราะพุกอ่ะ สงสารพุกแค่ว่าถ้าพี่ภูใจโลเลเอนเอียงใส่พุกมันก้ไม่ดีอ่ะ
จริงๆแอบเชียร์หม่อม แต่ท่าทางหม่อมจะจีบเต้ยไปละ เชียร์พี่อิฐละกัน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-08-2018 01:37:29
หายไปนานจัง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 25-08-2018 19:47:22
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-08-2018 20:23:21
เข้ามารออยู่นะจ๊ะ  แต่เธอไม่มาซักที~555
รออยู่เน้อ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 12 --- [ 11.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-08-2018 20:29:09
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 28-08-2018 20:41:29
Chapter 13



“Behave well my big boy, see you” มือใหญ่ลูบลงบนศีรษะเด็กชายวัยสี่ขวบ ซึ่งเจ้าตัวก็นั่งนิ่งรอคอยการจูบหน้าผากเหมือนทุกทีที่บิดาจะไม่อยู่ด้วย

“See you then” ภูมองพี่ชายที่ยังไม่ละมือออกจากตัวลูก ทั้งที่เด็กน้อยก็ก้มหน้าก้มตาต่อเลโก้ชิ้นโตต่อไปด้วยท่าทีสบาย ๆ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานนี้ลูกติดพ่อหรือพ่อติดลูกกันแน่

“ฝากน้องวินด้วย ถ้าดื้อก็ดุได้เลย” ร่างสูงใหญ่เลื่อนประตูกระจกกั้นระหว่างพื้นที่เล่นของลูกชายและห้องรับแขกปิดลง ตอนนี้เจ้าตัวดีคงคิดว่าคุณย่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนอย่างทุกที

“อืม คนนี้ถนัดเลี้ยงเด็กอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง” คีรินทร์พยักหน้าพลางแตะไหล่คนรัก

แผนพาแฟนสาวเข้าบ้านครั้งแรกล้มครืน เมื่อคุณแม่วัยใกล้เกษียณของเขาดันติดสัมนาที่กรุงเทพด่วน ซ้ำร้ายพี่ชายก็ติดภารกิจฉุกเฉินระดับชาติที่เขาได้แต่สงสัยหากยังไม่ได้มีโอกาสซักถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตั้งแต่เกิดมาภูไม่เคยเห็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวบ้านไหนเป็นเดือดเป็นร้อนต้องไปง้องอนพี่เลี้ยงเด็กแบบนี้มาก่อน

“ยังไงผมฝากคุณแพรด้วยนะ ฝากภูไม่น่าจะได้เรื่อง…” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยกระเซ้าน้องชายทั้งที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนแปลง

“ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องกังวลทางนี้นะคะ” แพรยิ้มจางให้คนที่คว้ากุญแจรถเดินลงบันไดไป หากเทียบกับภูแล้ว เธอว่าพี่ชายของอีกฝ่ายเป็นพวกที่จะทำให้คนอื่นเกร็งจนชักได้ง่าย ๆ

ตั้งแต่เมื่อเช้าที่เขาขับรถมารับทั้งภูและเธอที่โรงแรม ขอโทษที่ทำแผนการเที่ยวของเธอพังและขอความช่วยเหลือให้ช่วยดูลูกชายให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น เล่นเอาเสียคนมองเดาทางไม่ถูกเลย 

“เกร็งเหรอ… อย่าไปคิดมากเลย พวกเสือยิ้มยากก็งี้” คีรินทร์ยักไหล่

ชายหนุ่มออกเดินสำรวจอาคารสามชั้นบนถนนนิมมานเหมินทร์อย่างสนอกสนใจ หกเดือนก่อนหน้าเขาแวะขึ้นมาที่นี่หนหนึ่งแต่การตกแต่งภายในยังไม่เรียบร้อยพร้อมอยู่ขนาดนี้

ชั้นหนึ่งถูกแบ่งเป็นร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งและครัวขนาดใหญ่ซึ่งล็อกเอาไว้ไม่ให้เขาเข้าไปยลโฉม ส่วนพักอาศัยจริง ๆ คือชั้นสองและสามซึ่งแยกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัวขนาดเล็ก และห้องอเนกประสงค์ ขึ้นไปที่ชั้นบนสุดจึงจะเป็นห้องนอนส่วนตัว

“What are you doing?” ชายหนุ่มนั่งลงบนพรมหนานุ่มที่เจ้าหลานชายตัวดีรื้อตัวต่อออกมาเกลื่อนไปหมด

“Uncle Pooh!” เด็กชายผมสีบรูเน็ตหากดวงตาสีเข้มเหมือนบิดาหันมาร้องเสียงดังอย่างตกใจ

“Yep, miss me?” ภูรวบตัวเด็กชายลูกครึ่งมานั่งตัก ฟัดแก้มหลานคนเดียวอย่างมันเขี้ยว ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือนแต่ดูเหมือนว่าหลานชายจะตัวยืดขึ้นกว่าเดิมโข

“กึ๊ดเติงหาขนาดเลยคับ” คนฟังยิ้มกว้างอย่างชอบอกชอบใจกับคนที่พูดภาษาไทยกลางยังผันวรรณยุกต์ไม่ชัดแต่ข้ามขั้นมาอู้กำเมืองแล้ว

...แต้มความหลงหลานของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นพัน...

“ใครสอนน้องวินพูดเนี่ย แด๊ดดี้เหรอ” พอฟังแล้วก็พบว่าเป็นพี่เลี้ยงคนดีคนนั้นอย่างที่คิดไม่ผิด อันที่จริง...คุณอาหนุ่มแน่ใจว่าคงไม่ใช่พ่อเด็กแหง ๆ รายนั้นพูดภาษาไทยกับลูกแทบนับคำได้เลยด้วยซ้ำไป

“น้องวิน สวัสดีอาแพรก่อน”

“สวัสดีครับคนเก่ง ต่อสวยจังเลยครับลูก” สองมือเรียวยกขึ้นรับไหว้หลานชาย แล้วแตะลงเบา ๆ บนแก้มกลมนุ่มนิ่ม 

“อาแพรต่อเครื่องบินกับวินไหม” หญิงสาวระบายยิ้ม เมื่อเด็กชายยื่นกระดาษที่พิมพ์แบบสำเร็จมาเสร็จแล้วมาให้ดูตัวอย่าง… อย่างน้อยที่สุด หลานของคีรินทร์ก็ดูเป็นเด็กอัธยาศัยดีมากทีเดียว

“น้องวินสอนอาแพรหน่อยครับ ทำยังไงบ้างเนี่ย” แพรวานั่งลงบนพรมหนานุ่มเคียงข้างกับหลานชายของคนรัก

ในขณะที่ชายหนุ่มเดินออกไปยังระเบียงหลังบ้านซึ่งเปิดให้เห็นสวนด้านล่างโดยรอบ รั้วล้อมด้วยพืชสวนครัวชนิดต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำอาหาร ปลูกเป็นแนวตั้งไล่ขึ้นมา

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชั้นอะลูมิเนียมรมดำวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ชั้นล่างสุดมีดินถุงขนาดสองฝ่ามือ อุปกรณ์เพาะปลูกขนาดย่อมจำพวกส้อมพรวนดิน กระป๋องใส่ปุ๋ยธรรมชาติ และบัวรดน้ำเก็บเอาไว้ ชั้นบนสุดเป็นรางยาวเว้นเป็นหลุมสำหรับปลูกผัก ข้าง ๆ ยังมีถาดเพาะต้นอ่อนของอะไรสักอย่างอยู่ด้วยอีกสามใบ พร้อมทั้งแปะชื่อชัดเจนด้วยว่าของใครเป็นของใคร

   เห็นแล้วเขาก็ได้แต่อมยิ้ม พี่เลี้ยงเด็กของหลานชายนี่ท่าจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกันถึงทำให้พี่ชายเขายอมแบ่งพื้นที่ในบ้านให้พักอาศัย ทั้งที่หวงความเป็นส่วนตัวมากพอ ๆ กับจงอางหวงไข่

   ชายหนุ่มก้าวไปในครัว ทุกอย่างถูกทำความสะอาดอย่างดีและเก็บจนเรียบร้อย บนผนังข้างตู้เย็นสองประตูมีบอร์ดแปะกระดาษขนาดย่อมที่ติดไว้ด้วย คีรินทร์ยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อเห็นว่ามันถูกแบ่งออกเป็นสามช่อง คงจะระบายสีแบบปราณีตที่สุดตามความสามารถของเด็กอนุบาล

   ตารางสามช่องนั้นแปะดาวจำนวนไม่เท่ากัน เขาเดาได้ว่าคงจะทำเหมือนที่มารดาเลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเด็ก หากใครมีแต้มดาวสูงจนถึงที่กำหนดไว้น่าจะขออะไรได้อย่างหนึ่ง

   ชายหนุ่มเหลือบตามองคนรักที่เชียร์ให้หลานประกอบเลโก้ชิ้นสุดท้ายจนกลายเครื่องบินเต็มลำแล้วก็มั่นใจว่าแพรจะเป็นแม่ที่ดีได้แน่ เพียงแต่ในช่วงนี้เขายังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวด้วยอะไรต่อมิอะไรยังไม่ค่อยลงตัวก็เท่านั้น

   “แพร ฝากดูของกินให้วินด้วยนะ มีพาสต้าในตู้เย็น แล้วก็อะไรกินได้ไม่ได้แปะอยู่ที่บอร์ดเล็ก” อาจารย์สาวมองคีรินทร์ที่ชะโงกหน้าออกมาจากโซนครัว ยามเห็นหน้าจอโทรศัพท์ในมือใหญ่เรืองแสงขึ้นแพรก็ขมวดคิ้วฉับ

   ...นี่มันวันหยุดไม่ใช่หรือไงกัน...

   “ครับ… เหรอ… เดี๋ยวผมแก้เลยก็ได้… อีกสักประมาณชั่วโมงก็น่าจะได้ครับ ครับ...ไม่เป็นไรครับ” 

   ชายหนุ่มเดินออกจากครัว หายเข้าไปยังส่วนห้องทำงานที่กั้นเอาไว้ด้านหลังห้องนั่งเล่นเป็นสัดส่วน เขาเพิ่งจะรู้ว่าคนเป็นเชฟนี่เลือกใช้คอมพิวเตอร์สเป็คสูงเกินจำเป็นขนาดนี้ ภูละทิ้งความสนใจใคร่รู้ไปชั่วขณะ เขาส่งข้อความขอยืมคอมพิวเตอร์แล้วก็จัดแจงเปิดมันขึ้น โหลดโปรแกรมเขียนแบบมาใช้ไปก่อนเนื่องจากลูกค้าขอให้ปรับเปลี่ยนบริเวณก่อปูนและสร้างชานบ้านเพิ่มเติม

   “ภู…เดี๋ยวแพรเอาออกมาอุ่นแล้วออกมากินด้วยกัน” คนถามนึกฉุนหน่อย ๆ ที่เขาตอบกลับมาทั้งที่ตายังไม่ละออกจากหน้าจอ

   “แพรอุ่นกินก่อนเลย ไว้งานเสร็จแล้วภูออกไปกิน”

   “โอเค… น้องวินครับ เดี๋ยวคุณอาอุ่นพาสต้าแล้วน้องวินเตรียมจานดีไหม” หญิงสาวกุมมือเด็กตัวจ้อย ตกลงกันแล้วเธอก็เห็นว่าน้องวินเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาให้ดูแลตัวเองได้โดยแท้จริง

   เด็กชายตัวน้อยเปิดลิ้นชักเคาน์เตอร์หยิบจานเซรามิคออกมาสามใบและช้อนส้อมเข้าชุดกันออกมาวางเรียงไว้บนโต๊ะอาหารแล้วนั่งคอยคุณอาสาวที่กำลังมองหาว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ร่างเพรียวบางเดินผ่านบอร์ดไม้ซึ่งมีโพสต์อิทและบิลค่าใช้จ่ายต่างๆและกระดาษโน้ตติดเอาไว้ เธอหยิบกล่องทัปเปอร์แวร์ที่เรียงในตู้เย็นอย่างเรียบร้อยออกมาอุ่นและเตรียมน้ำดื่มให้ทั้งน้องวินและคีรินทร์

   อาหารอิตาเลียนซึ่งทำเส้นจากข้าวไม่ขัดสีทำให้แพรนึกชอบใจมากทีเดียว มีทบอลในซอสโบลองเนสสีแดงก็หอมอร่อยถูกปาก แพรวามองกล่องทัปเปอร์แวร์แล้วโคลงหัวน้อย ๆ เมื่อย้อนนึกถึงอาหารของคีรินทร์ที่เล่นเอาเธอต้องแอดมิดไปสองวันเต็มเนื่องจากอาหารเป็นพิษ

   “ภู… มากินก่อน เดี๋ยวปวดท้อง” หญิงสาวหย่อนจานของตัวเองและหลานชายลงในซิงค์สำหรับล้างจาน กระจกใสกรุผนังบานยาวในครัวทำให้เธอมองลงไปเห็นว่าด้านล่างเริ่มมีพนักงานครัวเข้ามาเริ่มเปิดร้านแล้ว

   “ยังไม่เสร็จเลยแพร ฝากดูวินก่อนนะ” เสียงทุ้มตะโกนตอบ มือขวาขยับเม้าส์และมือซ้ายกดโค้ดลัดที่ช่วยทำให้แปลนบนหน้าจอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างจริงจัง

   “...”

อาจารย์สาวได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอเคยชอบคีรินทร์เพราะเขาเป็นชายหนุ่มไฟแรงที่มุ่งมั่นกับการทำงาน เธอชอบที่เขามักจะท้าทายขีดจำกัดความสามารถของตัวเองเสมอ ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่เคยชื่นชอบกลับกลายเป็นสิ่งซึ่งเธอชิงชังมันมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยภูเจียดเวลาของเธอไปให้มันเสียมาก

“อาแพรครับ เล่นเกมกับวินไหม” เด็กน้อยวัยสี่ขวบเดินเข้ามาหาเธอ สำเนียงแปลกแปร่งแบบลูกครึ่งทำให้คนฟังอดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้ ในมือจิ๋วมีจอยสติ๊กสองอัน หนำซ้ำหน้าจอโทรทัศน์ก็ยังต่อเข้ากับเครื่องเล่นเกมเสียเรียบร้อย

   “อาแพรไม่ถนัดเลยค่ะ… แต่ว่าถ้าน้องวินสอนก็น่าจะพอได้นะ”

แพรวาพยักหน้า แม้เธอจะไม่ถนัด ไม่ชอบใจหรืออะไรก็ตาม ทว่าเธอก็ยังรู้ว่าไม่ควรปฏิเสธเด็กที่ฝากเอาไว้กับคนไม่คุ้นเคย ดวงตากลมโตเหลือบมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลบนผนัง ตัวเลขสีขาวฟ้องว่าเลยเที่ยงวันมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ไหนเจ้าของบ้านว่าไม่เกินเที่ยงก็คงกลับ

หญิงสาวนั่งลงบนโซฟา เห็นเด็กเอาหมอนอิงมารองศอกแล้วก็เอาบ้าง โชคดีในโชคร้ายของเธอวันนี้ก็คงจะเป็นน้องวินที่เลี้ยงง่ายกว่าที่คิดไว้

...คงต้องยกความดีความชอบให้พ่อเขา…

   สมาธิของหญิงสาวไม่ได้จดจ่ออยู่กับเกมจูราสสิคเวิล์ดของเด็กชายเท่าที่ควร ใจหนึ่งพะวักพะวงกับเรื่องคนรักไม่ค่อยจะดูแลเรื่องปากท้องของตัวเองเท่าไหร่ อีกใจก็นึกหงุดหงิดที่เธอตกมาอยู่ในสภาพนี้อีกหน

   ...วันหยุดที่ไม่เคยได้หยุด…

   “Wow! GG!” น้องวินหัวเราะคิกคักเมื่อเกมแรกจบลง ศัพท์แสงที่หลุดออกมาทำเอาคนแก่วัยกว่าที่ไม่ถนัดด้านนี้งงเป็นไก่ตาแตก

   “What does it mean?” เสียงหวานเอ่ยขึ้น ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งพอจะจับได้ว่าน้องวินพูดภาษาอังกฤษคล่องกว่าภาษาไทย

   “It is a good game. Can we play this again?” เด็กชายเงยหน้าถาม โดยปกติแล้วแด๊ดดี้มักจะให้น้องวินเล่นเกมที่ต้องเพ่งจอแค่วันหยุดสุดสัปดาห์ ครั้งละสี่สิบนาทีเท่านั้นเอง

   “sure, and this is for the winner!” เธอยิ้มกว้าง หยิบเอาลูกอมคาราเมลในกระเป๋าเสื้อมาแบ่งกันกินกับหลานชาย เป็นรางวัลให้คนชนะเกมแล้วชักชวนกันเล่นต่ออีกตา จนแทบลืมใครอีกคนที่จมลงไปกับงานแล้ว

“Will we go left of right?”

สองอาหลานช่วยกันทำมิชชั่นในเกมไปพลางปรึกษากันไปหากคราวนี้เสียงของหลานชายกลับดูแปลกแปร่งด้วยทั้งเเห้งทั้งแหบ เมื่อดวงตากลมละออกจากหน้าจอแล้วเธอก็ได้แต่ใจหาย

“ภู! ภู… น้องวินเป็นอะไรไม่รู้!”คุณอาสาวกรีดร้อง เมื่อเห็นว่าละสายตาไปเเค่พักเดียวก็ตัวเเดงเป็นกุ้ง ทั้งยังหายใจสั้นลงด้วย

“Win! Look at me and take a deep breathe!” เธอละล่ำละลัก ได้แต่บอกให้หลานนอนลงและสูดหายใจลึก ๆ

“เป็นอะไร… เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้ ให้กินอะไรเข้าไปหรือเปล่า” คุณอาหนุ่มถลันเข้ามาหา ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นหลานนอนตัวแดง หายใจหอบคล้ายจะหายใจไม่ออก

...เขาเองก็เคยเป็นมาก่อนใยกันจะไม่รู้...

“ก็กินพาสต้าในตู้เย็น แล้วเมื่อกี้ก็กินลูกอมของแพร… อันที่ภูชอบกินน่ะ”

“เรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยแพร” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้มแล้วส่งโทรศัพท์ตัวเองให้เธอ

หัวใจของภูเต้นระส่ำเมื่ออยู่ในสถานการณ์วิกฤติ ด้วยลูกอมที่น้องวินกินเข้าไปเป็นลูกอมคาราเมลผสมเนยถั่ว ซึ่งเจ้าตัวก็ดันเเพ้ถั่วขั้นรุนแรง ชายหนุ่มได้แต่ข่มใจ ไม่ทำกระโตกกระตากให้เด็กใจเสีย

“น้องวิน... Where is your Epipen?”

“It’s in the first aids box over there.” ใบหน้าคมสันพยักลงเป็นสัญญาณว่ารับรู้ เขาลุกไปรื้อลิ้นชักที่ใช้เก็บกล่องยาโดยเฉพาะเเล้วก็เจอกล่องผ้าสำหรับเก็บยาฉีดแก้ภูมิแพ้ชนิดรุนแรงแบบปากกาซึ่งเตรียมไว้พร้อม

เข็มนาฬิกาเดินไปเพียงนิดหากยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก คีรินทร์เลิกชายกางเกงขาสั้นของน้องวินขึ้นแล้วปักปลายด้ามปากกาลงบนต้นขา

เด็กน้อยที่เริ่มจะหายใจไม่สะดวกทำให้เเพรวาใจเสียจนร้องไห้ออกมา เธอพูดโทรศัพท์แทบจะไม่เป็นคำ โชคยังดีที่ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อเสียงพอดู ซ้ำยังตั้งอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่ใคร ๆ ก็รู้จักดี จึงไม่ยากเย็นจนเกินไปนักกับการแจ้งพิกัด

ขณะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยสาวโทรเรียกแอมบูแลนซ์ คีรินทร์ก็โทรหาพี่ชายไปด้วยและตกลงกันว่าจะไปเจอกันที่โรงพยาบาล ยามคีรินทร์อุ้มร่างเล็กป้อมลงมารอที่ด้านล่าง เหล่าพนักงานก็แตกฮือเป็นผึ้งแตกรัง คนครัวช่วยกันยกเอาเก้าอี้บุนวมนุ่ม ๆ มาต่อกันให้นอนคอยรถพยาบาล

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ คีรินทร์นั่งเคียงแพรวาอยู่เงียบ ๆ นัยน์ตาคมแดงก่ำไม่แพ้กันกับเธอ อาจารย์สาวได้แต่บริภาษตัวเองซ้ำ ๆ ในความไม่รู้และไม่ทันระวัง เธอเหลือบตามองอีกคนที่นั่งนิ่งเงียบแทบไม่พูดอะไรเลย

“ขอโทษนะ… คือ แพรไม่รู้จริงๆ”

“ภูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ดูบอร์ดที่ติดไว้ก่อน… ทำไมสะเพร่าล่ะ” คีรินทร์สูดหายใจลึก รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกมัดตึงเขม็ง ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เสียงดังหากเสียงทุ้มที่เอ่ยช้าชั้นสะท้อนชัดถึงอารมณ์

ในอกชายหนุ่มเหมือนมีลาวาเดือดปุดไหลวนจวนเจียนจะปะทุอยู่รอมร่อ… นั่นหลานชายคนแรกและคนเดียวของบ้าน…

ไม่มีอะไรเลยที่จะมีคุณค่ามากไปกว่าเด็กชายกาลวินทร์ของเขา

“ภู…” มือเรียวแตะลงบนต้นแขนล่ำสัน ตากลมรื้นน้ำจนเห็นได้ชัด

“ไว้หมอออกมาค่อยคุยกัน”

มือใหญ่ตบเบา ๆ ลงบนมือของคนรักแล้วละออก ชายหนุ่มถอนหายใจแม้จะมียาฉีดและพามาส่งถึงมือหมอได้ทันท่วงที หากภูยังไม่สิ้นกังวล หัวใจของเขาจะคลายลงได้เมื่อแพทย์ยืนยันว่าน้องวินปลอดภัยเท่านั้น

“ทำไมต้องทำเหมือนทั้งหมดนี้แพรผิดอยู่คนเดียว…” เสียงหวานสั่นพร่า ท้วงติงออกมายามเห็นว่าชายหนุ่มจงใจจะลุกออกไป แค่คิดว่าน้องวินจะปลอดภัยไหม พ่อเด็กจะว่าอย่างไรบ้างแพรก็หวั่นใจจนทำอะไรไม่ถูก

“ทำไมไม่ช่วยกันดูแลหลานบ้าง…” เพียงกระพริบตาหยดน้ำวาวใสก็กลิ้งหล่นลง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดจากความไม่ได้ตั้งใจของเธอ

แพรวาคิดว่าตัวเองพยายามอย่างเต็มที่แล้วกับทุกอย่างในวันนี้ เธอยอมถูกล้มแพลนเที่ยวเพื่อให้พี่ชายของคีรินทร์ได้ไปธุระ เธออยู่เป็นเพื่อนเล่นกับน้องวินตลอดเวลาทั้งที่เกมพวกนั้นมันแสนจะน่าเบื่อ เธอพลาดร้านอาหารที่จองมาตั้งแต่อยู่กรุงเทพเพื่อกินพาสต้าอุ่นไมโครเวฟ และอยู่กับคนรักที่ดูเหมือนว่าจะรักงานมากกว่าเธอเสียอีก

“เพราะภูไว้ใจแพรไง…”

คำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับคมหอกนั้นทำให้ปราการความอดทนของอาจารย์สาวพังทลายลง เธอรู้ตัวดีว่าอันตรายถึงชีวิตเกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของตัวเอง หากสิ่งที่ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเธอดิ่งลงเป็นทบทวีคือความคิดคาดหวังว่าคนรักจะอยู่เคียงข้าง จับมือเธอไว้ในตอนที่พลาดพลั้ง

...น่าเสียดายที่แพรวาคิดผิดไปถนัด...


..........................
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 28-08-2018 20:42:48
   ระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ข้ามจังหวัดไปทำให้หนังตาของคนนั่งเบาะหลังปรือปรอย หนูพุกพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษามารยาทด้วยการไม่หนีคนขับไปเฝ้าพระอินทร์ หากดูเหมือนแอร์เย็นฉ่ำที่กระทบผิวจะไม่ค่อยเป็นใจ ทีแรกเขาว่าจะคุยกับปูน รายนั้นยังไม่พ้นสี่สิบกิโลเมตรก็กรนคร่อก ทิ้งให้เขาเผลอสบตากับคุณอิฐผ่านกระจกมองหลังอยู่เนือง ๆ

   “ง่วงก็หลับเถอะ ผมไม่ได้มาพาคุณไปทรมานนะ” เสียงทุ้มจากเบาะหน้าดังขึ้นเล่นเอาหนูพุกปั้นหน้าไม่ถูก ทั้งที่เพ่งสายตามองนกมองไม้นอกหน้าต่างแล้วเชียว

   “ผมก็อยู่เป็นเพื่อนไงครับ คุณไม่ง่วงบ้างเหรอ ขับรถจากเชียงรายไปรับพวกเราแล้วก็ยังวกกลับมาอีก”

หนูพุกหยิบขวดน้ำในกระเป๋ามาเปิดจิบแก้เก้อ ตั้งแต่ย่ำรุ่งกระทั่งพระอาทิตย์โชนแสงให้แสบตา อิฐก็ยังเหยียบคันเร่งหมุนพวงมาลัยไปเรื่อยไม่ได้มีท่าทีเมื่อยขบให้เห็นสักนิด

   ถ้าลองเอานิ้วจิ้มที่คอเเล้วมีน๊อตหลุดออกมาสักตัวเขาจะไม่แปลกใจเลย

   “เมื่อวานผมมาธุระที่เชียงใหม่ ตื่นมาแล้วก็ค่อยไปรับคุณกับน้องนั่นแหละครับ หายห่วงเถอะ ไม่หลับในแน่นอน” อิฐยิ้มมุมปาก เขาลอบมองท่าทางเหรอหราน่าเอ็นดูชวนให้คิดว่าคนแบบนี้จะมาคบกับไอ้ปูนได้ยังไง เพื่อนมันแต่ละคนทะโมนยิ่งกว่าลิงลพบุรีทั้งจังหวัดรวมกันเสียอีก

   “อีกนานไหมครับกว่าจะถึง”

หนูพุกมองนาฬิกาที่ล่วงเลยมานานกว่าที่คิด รถยนต์คันนี้ยังคงวิ่งอยู่บนทางหลวงชนบทลาดยางเรียบกริบ พิจารณาดูแล้วก็เดาได้ว่าคงเพิ่งจะทำเสร็จใหม่ไม่เกินปี บนถนนสองเลนมีรถอยู่ประปรายแต่เดาว่าน่าจะมากกว่าปกติเนื่องจากอยู่ในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์

   “อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ… เป็นวัยรุ่นใจร้อนเหรอคุณน่ะ”

   เพราะเป็นคนเพิ่งรู้จักหนูพุกจึงสงวนท่าทีไม่ย่นหน้าไปกับถ้อยคำหยอกล้อ ที่ว่าวัยรุ่นใจร้อนน่ะ หนูพุกว่าน่าจะเป็นคนพูดเสียเองต่างหาก เขาพอจะสังเกตได้ว่าอิฐเร่งความเร็วรถขึ้น แถมยังแซงรถอื่นมาสามหนเเล้วด้วยซ้ำ

   “คุณพุก… ก้มหัวลงนะ” เสียงทุ่มเรียบเรื่อยเอ่ยถ้อยคำชวนให้สนเท่ห์ อิฐมองกระจกข้าง หาทางจะเเซงออกด้านขวา

   “ฮะ… ก้มทำไมครับ” คนสั่งขมวดคิ้วเมื่อผู้โดยสารไม่ทำถามซ้ำยังมาตั้งคำถามอีก

   “ผมบอกให้ก้มก็ก้มเถอะน่า” ชายหนุ่มสะบัดเสียง เขาหมุนพวงมาลัยออกขวาแล้วเหยียบคันเร่งแซงรถเก๋งขนาดเล็กคันหน้าทันที

เปรี้ยง!

เสียงกระจกแตกจากด้านหลังทำให้หนูพุกตกใจ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกจะหันกลับไปมองก็ถูกเสียงเข้มสั่งเฉียบขาด

“อย่าหันไปมอง! ก้มหัวลงไปให้ต่ำที่สุดถ้าคุณยังไม่อยากตาย” ด้วยอารามตกใจกอรปกับรถยนต์คันใหญ่เหวี่ยงซ้ายทีขวาทีทำให้หนูพุกหล่นลงไปนั่งบนพื้นรถ หางตามองเห็นแวบๆว่ากระจกหน้ามีรอยกลม ๆ ผ่านออกไป

...ถ้าไม่ได้ตาฝาด เขาคิดว่านั่นคงเป็นรอยกระสุน…

“อะไรวะเนี่ย”

คนที่หลับนิ่งมาตลอดทางตื่นเต็มตา ปูนเห็นหน้าพี่ชายกับกระจกหน้ารถเเล้วก็พอรู้ว่าเขาควรต้องทำอะไร มือซ้ายของปูนปรับเบาะให้เอนราบลงจนสุดระยะเพื่อป้องกันไม่ให้โดนส่องหัวเอาง่าย ๆ ส่วนมือขวาก็รับทัชโฟนจากพี่ชาย

“โทรหาตำรวจที” เขาเปิดหาเบอร์ส่วนตัวของนายตำรวจเพื่อนพี่ชายแล้วกรอกเสียงลงไป ปล่อยให้คนตัวบางที่ยังไม่กล้ากระเถิบขึ้นมาจากพื้นรถประมวลผลไปเงียบ ๆ โดยปราศจากคำอธิบาย

   ...นี่มันอะไรกัน…

ใครก็ได้บอกหนูพุกทีว่าพี่น้องบ้านนี้ไม่ได้เล่นการเมืองหรือขนยาเสพติดใช่หรือเปล่า

   “รถกระบะสีบรอนซ์ น่าจะมากันเเค่สองคน คนหนึ่งขับคนหนึ่งยิง ไม่เห็นป้ายทะเบียน อีกห้ากิโลจะถึงส.น. ตอนนี้ยังไม่มีใครบาดเจ็บ” อิฐเร่งเสียงให้ดังพอจะลอดเข้าไปในสายโทรศัพท์ หนูพุกได้ยินนายตำรวจปลายสายรับคำ บอกว่าจะส่งกำลังออกมาช่วยกันให้

   เพราะเป็นทางสองเลนหนำซ้ำรถที่สัญจรไปมาก็แน่นขนัดกว่าปกติจึงถือว่าเป็นโชคดีให้อิฐพอจะหาที่ซิกเเซกเอาตัวรอดได้ เขาเห็นรถทัวร์ขสมกอยู่ด้านหน้า มองปราดเดียวก็รู้ว่าประเดี๋ยวอีกฝ่ายจะต้องเลี้ยวขวาเข้าไปที่ตัวเมือง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงมองหาช่องว่างเร่งเครื่องแซงหน้ารถใหญ่ขึ้นไปแล้วใช้มันเป็นโล่กำบังให้

ช่วงชุลมุนแบบนี้พวกมันคงไม่กล้ายิง ด้วยหากลูกปืนลองไปถูกหัวใครขึ้นมาเรื่องคงใหญ่ยิ่งกว่าเดิม   

หนูพุกมองไม่เห็นอะไรอย่างที่สองพี่น้องด้านหน้ามองเห็น ซ้ายก็เบาะ ขวาก็เบาะ เขาตัวคลอนไปมา.. ยิ่งไปกว่านั้นก็คงเป็นใจที่หวาดวิตก

...หนูพุกไม่ได้เตรียมตัวมาตายที่นี่…

ชายหนุ่มใจเต้นตึกตักจนเหมือนมันจะทะลุออกมานอกอก เพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองมีห่วงเยอะแยะขนาดไหนก็เวลาจวนตัวอย่างนี้ ถึงป๊ากับม้าจะไม่ได้มีโรคใดจำเพาะแต่ก็ยังต้องไปพบหมอตรวจสุขภาพอยู่เป็นระยะ อย่างนี้ใครจะคอยดูยา ใครจะพาไปหาหมอ เภาเองก็เพิ่งจะเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เขายังไม่ได้ซื้อรองเท้าให้เป็นรางวัลที่อีกฝ่ายว่าจะเอาเกรดสี่งาม ๆ มาแลก สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นอีกคนที่เข้ามาอยู่ในห้วงความคิด

ถ้าเขาไม่อยู่แล้ว… ใครจะคอยดูแลพี่ภูกัน

จะมีเลขาสักกี่คนที่ยอมอยู่ล่วงเวลาโดยไม่โอดครวญ จะมีใครที่ทำงานทุกชิ้นอย่างรัดกุมเกินปกติเพราะไม่อยากให้พี่ภูลำบาก จะมีเลขาที่ไหนรักและเป็นห่วงเขาอยู่ทุกขณะจิต

“น่าจะหลุดแล้วนะ” อิฐว่า เขาชำเลืองมองหลังก็ไม่เห็นว่ามีใครตามมาอีกแต่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลง

“พี่พุกอย่าเพิ่งลุกขึ้นมา เอาให้ชัวร์ก่อน” ปูนเอื้อมเเขนมาจับคนตัวสั่นงันงก เขาส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอที่อุตส่าห์จะพาคนอกหักมาย้อมใจแต่ดันเสียฤกษ์

อยู่เชียงใหม่หนีคู่รัก อยู่เชียงรายหนีกระสุน เชื่อเขาเลยจริง ๆ

“โห เอาเรื่องว่ะ” ปูนอุทาน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นด่านตรวจที่ผุดขึ้นมาได้ภายในไม่ถึงห้านาที ซ้ำยังมีรถตำรวจจอดบริเวณไหล่ทางและเปิดสัญญาณไซเรนอีกด้วย

 เหตุการณ์เฉียดตายวันนี้ทำให้หนูพุกได้เปิดประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยนึกฝัน เมื่อถึงสถานีตำรวจนอกเมืองแล้วเขาก็แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้พร้อมกับอิฐและปูน นอกจากหวิดตายแล้วหนูพุกก็เพิ่งจะได้ข้อมูลใหม่มาประดับสมองว่าสองพี่น้องคู่นี้มีคนนับหน้าถือตาอยู่ไม่น้อย

เขาได้ยินคนเดินสวนไปสวนมาเรียกอิฐว่า ‘พ่อเลี้ยง’ ฟังแล้วก็นึกทึ่ง ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรทำนองนี้กับหู อันที่จริงแล้วหนูพุกคิดเอาเองว่าคำนำหน้าการันตีความล่ำซำอย่างนี้จะมีแต่ในละครเสียอีก

กว่าเรื่องราวทั้งหมดจะแล้วสิ้นก็ปาไปเกือบเที่ยง อิฐทิ้งรถไว้ที่สน.เพื่อให้เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐาน และมีสารวัตรที่ดูรุ่นราวคราวเดียวกับอิฐขับรถกลับมาส่งแทน นั่งฟังก็พบว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันมาแต่ไหนแต่ไร

“หนังเหนียวฉิบหาย เอาไว้ได้เรื่องว่ายังไงกูจะโทรบอกแล้วกัน... ยังไงเที่ยวให้สนุกนะคุณ ขากลับเดี๋ยวผมหาคนมาคุ้มกัน ปลอดภัยแน่นอน”

 นายตำรวจในเครื่องแบบโบกมือลาโดยที่ไม่ลงจากรถแล้วยังยกยิ้มราวกับที่หนูพุกพบเป็นเรื่องปกติเสียเต็มประดา เมื่อเจ้าถิ่นว่าอย่างนั้นหนูพุกก็ทำได้เพียงแต่ยิ้มแกน ๆ รับคำและขอบคุณไปตามมารยาท

“หายช็อคหรือยังเนี่ยพี่พุก ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า หิวจนแสบไส้ไปหมด” ปูนตบแขนรุ่นพี่แปะ ๆ ลากเอาคนที่ขวัญหนีดีฝ่อเข้าบ้าน

“ปลอดภัยแล้วคุณ อยู่ในนี้ไม่มีใครเข้ามาได้หรอก”

สีหน้าเคร่งขรึมเป็นนิจของคนพูดค่อยทำให้คนฟังคลายใจ หนูพุกคิดว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยไม่ใช่เพียงสีหน้าหรือคำพูดยืนยัน แต่คงเป็นสิ่งที่ใครต่อใครเรียกกันว่าบารมีต่างหากที่ทำให้เขาเชื่อ

กว่าสติที่หลุดลอยหายไปจะกลับคืน หนูพุกก็ก้าวเข้ามาในห้องรับประทานอาหารของบ้านไม้สักทองหลังใหญ่บนภูเขาสูง โต๊ะอาหารขนาดแปดที่นั่งทำจากไม้ซึ่งถูกขัดจนเงาวับล้อไปกับการตกแต่งเรียบง่ายภายใน ผนังสองด้านทำเป็นช่องเปิดให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกด้วยประตูบานเฟี้ยมกรุกระจกตั้งแต่พื้นถึงฝ้ายาวตลอดแนว เมื่อเปิดออกไปแล้วจึงจะเป็นชานบ้านยกสูง

ภาพเบื้องหน้าทำให้คนที่เห็นแต่ป่าคอนกรีตจนชินตาลิงโลดขึ้น เขาเคยเห็นภาพไร่ชาแบบขั้นบันไดมานักต่อนัก แต่ก็เพิ่งจะเห็นกับตาว่าภาพต้นไม้ใหญ่โอบล้อมทิวเขาขั้นบันไดซึ่งปลูกต้นชาเป็นพุ่มยาวไปตามแนวที่จัดไว้สวยงามขนาดนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์แต่งรูปเลยสักนิด

“ข้าวไม่ต้องกินแล้ว อิ่มวิวแล้ว” ไอ้แสบทักเสียงดัง ในมือกำทัพพีพร้อมจ้วงข้าวจากหม้อลงจาน

หนูพุกเดินเข้ามาในครัว เตะขาปูนไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้แล้วก็ช่วยลำเลี้ยงจานข้าวออกไปวางที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับเจ้าของบ้านคนพี่ซึ่งถือชามโคมใบใหญ่ใส่แกงเผ็ดสีแดงชาดมือหนึ่ง อีกมือถือจานของทอดซึ่งเขายังไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไร

“ไม่แน่ใจว่าจะพอกินได้หรือเปล่า เห็นปูนบอกว่าคุณกินอาหารเด็ก” อิฐหมายถึงแกงฮังเลในชามเคลือบสีนวลซึ่งดูแล้วคงเผ็ดที่สุดในสำรับ พอบอกว่าวันนี้ที่บ้านจะมีแขกมา แม่บ้านก็ร่าเริงใหญ่ เล่นจัดอาหารมาอวดเสน่ห์ปลายจวักเสียเต็มที่

“ผมไม่ได้กินซีรีแล็คเป็นอาหารหลักนะคุณ” หนูพุกหัวเราะเพราะคำเขา “แต่ก็ขอบคุณมากครับ”

ชายหนุ่มว่า ซึ้งใจเจ้าบ้านที่ใส่ใจไปถึงเรื่องนี้ แล้วคนตาเรียวยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นปูนยกจานไข่เจียวออกมาด้วย สงสัยจะกันเหนียวกลัวเขาจูนไม่ติดกับอาหารเหนือ

   มื้ออาหารที่ควบทั้งเช้าทั้งกลางวันที่ทำให้หนูพุกเริ่มเข้าถึงกับทั้งอิฐและปูนมากขึ้นกว่าเก่า ปูนก็ยังคงเป็นปูนตั้งแต่เด็กซนอย่างไรก็อย่างนั้น

   “แล้วไปอยู่ไกล ๆ ไม่คิดถึงบ้านบ้างเหรอเราน่ะ” หนูพุกเปรย เขาเห็นว่าจากคนที่ร่าเริงอยู่แล้วดูจะร่าเริงขึ้นอีกเมื่อได้กลับบ้าน

   “ไม่อยากบอกว่าคิดถึงเลย กลัวต้องกลับมาเดินท่อ”

ปูนหัวเราะ เล่าให้ฟังว่าเดิมทีไร่ชาเป็นสมบัติฝั่งแม่ ที่เห็นเป็นอาณาจักรกว้างไกลอย่างตอนนี้มีที่เดิมอยู่สักหกในสิบส่วนได้ ส่วนที่ดินที่เหลืออีกสี่ส่วนเป็นฝีมือของอิฐที่ทำให้งอกเงยขึ้น

   ก่อนหน้านี้เนื้อที่ไม่ได้มากมายคนงานจึงไม่ได้มากตาม ส่วนใหญ่ก็เป็นญาติห่าง ๆ ที่จ้างให้เข้ามาทำงานและมีชาวบ้านละแวกใกล้เคียงบ้าง พอเข้าช่วงต่อเติมขายพื้นที่ เจ้าของก็ต้องลงมือช่วยกันวางระบบท่อเดินน้ำคอยรดต้นชา

   “พี่เห็นเวิ้งนั้นไหม ผมเดินเองกับมือ” ปูนชี้ไปที่โซนหนึ่งซึ่งเป็นระยะไม่น้อยทีเดียว

   “แล้วแบบนี้คุณอิฐดูแลคนเดียวเลยเหรอครับ” ชายหนุ่มหันไปถาม เขาเห็นที่เป็นร้อยไร่แล้วก็เหนื่อยแทน นี่ยังเห็นอยู่ลิบ ๆ ว่าฟากที่ใกล้กับทางเข้ามีการสร้างอาคารเพิ่มเติมด้วย

   “มีพี่สาวผมอีกคน วันนี้เข้าเมืองน่ะ”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรวบช้อน เมื่อเห็นว่ารับประทานอาหารกันอิ่มถ้วนหน้าแล้ว หนูพุกก็ช่วยเขาเก็บจานในขณะที่ปูนไปหาฝาชีมาครอบกับข้าวรอเวลาแม่บ้านมาทำความสะอาดช่วงบ่ายและพาหนูพุกลงไปที่ไร่

   สองเท้าของคนกรุงเทพโดยกำเนิดเดินย่ำไปบนคันดินตอนปูนให้ไปทดลองเด็ดใบชา หนูพุกแตะนิ้วลงบนใบสีเขียวสดเป็นมัน นึกถึงใบชาจีนที่ป๊าชอบดื่มแล้วก็ตั้งใจสัมผัสมันอย่างจริงจัง กว่าจะไปเป็นชาสำเร็จรูปมันก็แห้งจนไม่เหลือเค้าเดิม

เขาเห็นคนงานพากันเด็ดใบชาลงอุปกรณ์เก็บซึ่งขึ้นโครงจากเหล็กแล้วล้อมด้วยตาข่ายรูปทรงคล้ายกระป๋องขนาดใหญ่แล้วก็นึกยกย่องเรื่องความชำนาญอยู่ในใจ เมื่อเกือบทุกคนทำงานมือเป็นระวิงคล้ายต่อให้ปิดตาก็ยังทำงานต่อได้อย่างไรอุปสรรค ทุกคนเด็ดชาพุ่มนี้ขยับไปพุ่มโน้นและไปต่ออย่างรวดเร็วทีเดียว

   “มีของกินเล่นด้วยนะพี่พุก ไม่กินถือว่ามาไม่ถึง” เด็กซนรุนหลังเขาให้เข้าไปในอาคารสำนักงาน หนูพุกเห็นห้องประชุมอยู่ฝั่งหนึ่ง อีกส่วนกั้นเอาไว้สำหรับพนักงาน และด้านหลังสุดเป็นสถานที่ซึ่งหนูพุกไม่คาดคิดว่าจะมี

   มันเป็นห้องครัวเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะสตูล มีพื้นที่สำหรับทดลองแปรรูปชาหลายสายพันธ์ที่ปลูกไว้ ภายในห้องที่กั้นขึ้นง่าย ๆ อวลไปด้วยกลิ่นชา สำคัญที่สุดก็คงเป็นมุมเล็ก ๆ ที่มีเตาแบบใช้แก๊สกระป๋อง ตั้งหม้อน้ำมันเอาไว้พร้อมสรรพทีเดียว

   “ไงล่ะ อึ้งดิพี่” ปูนกระเซ้า วันนี้ไม่ได้มีใครเข้ามาใช้ห้องนี้เขาจึงขอให้พนักงานช่วยเตรียมของเอาไว้ ทั้งหม้อทอด จานชาม และวัตถุดิบอีกสารพัด

   “ยืนมองแบบนี้ใบชาไม่สุกนะครับผม อยากกินต้องช่วยกันทอด”

ปูนยื่นถ้วยผสมให้เขาแล้วส่งแป้งอเนกประสงค์ที่ผ่านการปรุงรสมาแล้วให้หนูพุก เขาไม่คิดจะชวนคนเป็นพี่เพราะเห็นว่าคงกินมาจนหน้าจะเป็นใบชา แค่เห็นก็เดินหนีไปคุยกับคนงานแล้วนั่น

“ให้ทอดได้เลยเหรอ” หนูพุกเห็นปูนเทน้ำลงถ้วยผสมแล้วก็ลังเล เห็นน้ำมันพรายฟองอยู่ในหม้อแสตนเลสแล้วเขาไม่ไว้ใจ กลัวมันจะกระเด็นให้ได้เจ็บ

“ทอดน้ำมันเยอะแบบนี้ไม่กระเด็นแน่นอน”

ว่าแล้วมือโปรก็เอาใบชาที่ตัดเป็นช่อเล็ก ๆ ลงทอดเป็นตัวอย่าง เห็นว่าปลอดภัยดังนั้นหนูพุกก็เริ่มสนุก ทอดจนใบชาหมดไปครึ่งกระบะทีเดียว

   “ชิม ๆ อันนี้อร่อยมาก” ปูนยื่นใบชาชุบแป้งทอดสะเด็ดน้ำมันแล้วส่งให้หนูพุกชิม ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นรอฟังคอมเมนท์จากคนนอกอย่างตื่นเต้น

   “อร่อยใช้ได้เลยนะเนี่ย ทำขายหรือเปล่า” หนูพุกตาวาว กะว่าถ้ามีขายจะเหมาไปฝากคนที่ออฟฟิศกับคนที่บ้านด้วย

...น่าเสียดาย พี่ภูน่าจะได้มาด้วยกัน...

“ไม่รู้สิ พี่ลองไปถามพี่อิฐ”

ปูนส่งจานเปล่าให้หนูพุกตักใบชาทอดลงไป เจ้าของไร่คนน้องมองของที่ทอดไว้แล้วก็ถอนใจ นอกจากพี่ชายเขาแล้วพนักงานในส่วนออฟฟิศก็คงต้องเป็นเหยื่อช่วยกินอาหารที่เขากับหนูพุกช่วยกันทอดจนติดลม

หนูพุกพยักหน้า ถือจานออกไปหาเจ้าของไร่ซึ่งกำลังกดโทรศัพท์อยู่เงียบ ๆ หนูพุกหยุดยืนข้างเขา ทอดมองออกไปยังไร่เบื้องหน้า สูดอากาศบริสุทธิ์จนชื่นใจ

“คุณทานเถอะ” อิฐส่ายหน้า เมื่อเห็นของที่เขาลองชิมไปหลายสิบรอบกว่าจะลงตัว

“ผมจะบอกว่าอร่อยมาก คุณคิดจะทำขายหรือเปล่า” หนูพุกว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากทีเดียวในการขยายไลน์สินค้าของไร่ชาแห่งใหญ่

“ตอนนี้กำลังทดลองอบน่ะคุณ ผมว่าอบกรอบน่าจะดีกว่าทอด ไม่ต้องมาคอยดูแลส่วนน้ำมันที่ทอดแล้วต้องทิ้ง ดีกับสุขภาพคนกิน” อิฐว่า ช่วงนี้พอเริ่มขยายผลิตภัณฑ์แปรรูปเขาก็หัวหมุนพอดู

“จริง ๆ อยู่ในช่วงขอใบรับรองด้วย เอาไว้เรียบร้อยดีแล้วผมจะเอาไปให้นะ” ชายหนุ่มตัวสูงยิ้มน้อย ๆ ทอดมองคู่สนทนาอย่างสังเกตสังกา

“ไว้ผมอุดหนุนดีกว่าครับ คุณเก็บตำแหน่งลูกค้าเบอร์หนึ่งไว้ให้ผมแล้วกัน” หนูพุกคลี่ยิ้ม ส่งของว่างรสชาติถูกใจเข้าปาก

“อันที่จริงผมว่าจะลองทำถุงชาประคบตา อยากเป็นลูกค้าเบอร์หนึ่งด้วยไหม” อิฐเปรย ใครเห็นตาหนูพุกก็เดาได้ไม่ยากว่าถ้าไม่ใช่อดนอนมาสามวันสามคืนติดกันก็คงผ่านสงครามน้ำตามาอย่างหนักหน่วง

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” หนูพุกกระตุกยิ้มหากแววตาว่างเปล่า วางจานไว้บนราวระเบียงด้านข้าง

“ไม่ขนาดนั้นหรอก ไหน ๆ มาพักผ่อนแล้วคุณก็พักสายตาบ้างดีกว่า” อิฐเท้ามือลงบนราวระเบียง มองไร่ชายามบ่ายที่เห็นจนเจนตาอย่างเงียบเชียบ

“น่าอิจฉานะครับ ได้เห็นวิวสวย ๆ อยู่ที่สงบแบบนี้ทุกวัน” เขาปฎิเสธไม่ได้เลยว่าที่นี่มีเสน่ห์มาก พื้นที่บนดอยยิ่งทำให้อากาศเย็นพอเหมาะ

“พอเห็นบ่อยเข้าเดี๋ยวมันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา อาจจะสู้อะไรที่นาน ๆ เห็นทีมีแสงมีสีไม่ได้หรอกคุณ” หนูพุกลอบมองคนพูด

...ที่โบราณเขาว่าผีเห็นผีคงจะเป็นอย่างนี้นี่เอง…

“เรื่องถุงชา… ผมว่าคุณน่าจะลองใช้ดูด้วยนะ” หนูพุกกะเอาคืนเขา หากแววตาที่สบลงมานั้นไม่คล้ายกับคนที่จะยอมปราชัยเลยแม้แต่น้อย

“ยังไม่ถึงเวลาหรอก… ผมยังไปไม่สุดทางเลย” อิฐยักคิ้วให้คนที่ยืนข้างกัน ท่าทีมั่นอกมั่นใจแบบนั้นทำให้หนูพุกชักจะอิจฉา

“ทางของผมมันตันไปแล้ว” คนกรุงเทพถอนหายใจ คิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วก็เหมือนใจจะเหี่ยวเฉาลงไปอีก

“เมื่อสองสามปีก่อนผมก็เคยคิดว่าตัวเองไปถึงทางตัน ที่สุดแล้วถ้าที่ตรงนั้นจะเป็นของเรา โอกาสมันก็จะมาเอง หน้าที่ของเราคืออย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไปเฉย ๆ เท่านั้น”

----------------------------------------------------------------------

รู้สึกเหมือนได้กลิ่นธูปค่ะ 5555555 มาแล้ววว ขอโทษที่มาไม่ตรงวันนะคะ งานยุ่งจริง ๆ แงงงง ;-;
ปล. อิฐนี่หล่อไม่พอ แถมกระสุนด้วยค่ะ 555555555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-08-2018 21:21:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ้าววววววว  หนูพุกมีแววสมหวังแล้วเว้ยเฮ้ย  เพราะต่อไปน่าจะมีการระหองระแหงเกิดขึ้นเพราะความที่ภูไม่ค่อยใส่ใจแพรวาเท่าที่ควร  อิอิ

ส่วนอิฐ  จะมีบทบาทไปในทางไหนน้อ?
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 28-08-2018 21:58:55
พี่ภูกับแฟน ไม่ราบรื่นจริง ๆ ด้วย ว่าแล้วเชียวมันต้องมีอะไร
แต่อ่านตอนนี้แล้วเห็นใจคุณแพรนะ ถ้าคุณแพรขอเลิกกับพี่ภู ก็ไม่แปลกใจเลย เฮ้อ

แต่ตอนนี้แอบสนใจ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวพี่ชายพี่ภูกับคุณพี่เลี้ยงคนสำคัญมากเลย > <
อยากให้เป็นเรื่องแยกอีกเรื่องเลยด้วยซ้ำ ชอบเรื่องแบบมีเด็กน้อยน่ารัก
ว่าแต่พี่เลี้ยงนี่ ผู้ชายไหมนะ 555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-08-2018 22:18:14
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-08-2018 22:36:45
อ่านตอนนี้เหมือนเห็นแววหนูพุกจะสมหวังแหะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 28-08-2018 23:40:08
ยังไงจ๊ะพี่อิฐ!!!!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 29-08-2018 07:31:50
ผีเห็นผี 55 พี่อิฐก็มาพูดให้ความหวังหนูพุก พี่ไม่รู้ว่าของหนูพุกนี่เป็นไปได้ยากแค่ไหน  :o12:

อ่านแล้วชักจะอยากรู้ว่าพี่อิฐมีใคร  :hao3: แต่ที่แน่ๆ พี่ชายพี่ภูนี่น่าจะมีซัมติงกับพี่เลี้ยงชัวร์  :hao7:

แอบเห็นด้วยกับเม้นก่อนหน้า อยากให้มีเรื่องแยก  :oo1: (ไรท์ร้องไห้แย้ว 55 )

ปอลอ อ่านแล้วอยากเก็บกระเป๋าไปไร่ชาเลยค่ะ อยากอิ่มวิว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 29-08-2018 07:37:27
พี่ภูกับแฟน ไม่ราบรื่นจริง ๆ ด้วย ว่าแล้วเชียวมันต้องมีอะไร
แต่อ่านตอนนี้แล้วเห็นใจคุณแพรนะ ถ้าคุณแพรขอเลิกกับพี่ภู ก็ไม่แปลกใจเลย เฮ้อ

แต่ตอนนี้แอบสนใจ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวพี่ชายพี่ภูกับคุณพี่เลี้ยงคนสำคัญมากเลย > <
อยากให้เป็นเรื่องแยกอีกเรื่องเลยด้วยซ้ำ ชอบเรื่องแบบมีเด็กน้อยน่ารัก
ว่าแต่พี่เลี้ยงนี่ ผู้ชายไหมนะ 555

+1  :hao6: สนับสนุนให้ไรท์งอกเรื่องนี้ค่า
ชอบเรื่องที่มีเด็กน้อยน่ารักเหมือนกัน แล้วในเรื่องหลานวินของพี่ภูก็น่ารักมาก  :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 29-08-2018 09:46:55
หนูพุก ฝ่าดงปืน เกือบจะกลายเป็นเรืองไล่ล่าล้างเผ่าพันธุ์ซะแล้ว อิอิอิ ขอแบบแหววๆ เหมือนเดิมนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-08-2018 10:38:32
อู๊ว มีหนีลูกปืนด้วย

หนูพุกสู้ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-08-2018 12:32:56
พี่ภูในมุ่มที่ไม่น่ารัก
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 30-08-2018 12:17:04
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 30-08-2018 16:53:27
สงสารคุณ​แพร​อยู่​เหมือนกัน​นะ​
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 30-08-2018 17:29:08
 :katai4: เป็นนิยายที่ต้องค่อย ๆ เลื่อนลงมาช้า ๆ กลัวจบตอน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-08-2018 21:22:14
เราเอาพี่อิฐเป็นพระเอกได้ไหมคะ พิชิตดอยอะไรก็ว่าไป แง  :hao5: สตั๊นตรงพี่ภูมีแฟน หน้าชาและเหม่อมองฟ้า  :ling3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: แพรพลอย ที่ 31-08-2018 16:31:20
โดดลงเรือคุณอิฐได้มั้ยคะ.... -////-

ชอบคนหล่อมาพร้อมกระสุน 55555

แอบเสียดายคุณอิฐมีคนในใจไปแล้ว

ที่เหลือก็เอาใจช่วยหนูพุกไปก่อนแล้วกัน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 31-08-2018 22:05:01
ตอนนี้ ภู ผิดในฐานะคนรักมาก

จะเชื่อใจ ไว้ใจอะไรก็เหอะ
1) คือ ภูเองก็ละเลย ไม่ช่วยเหลือ ถึงแม้จะมีงานเข้า ก็ไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะภูก็รับปากพี่ชายว่าจะช่วยดูด้วย  ... ถ้าเป็นในเวลางานก็ว่าไปอย่าง
2) คือ แพรไม่ได้มีเจตนาเลย ควรช่วยเหลือ และอย่าโทษกัน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 01-09-2018 13:03:18
อ้าวพี่ภูดูเหมือนจะมีปัญหากับแฟนสาวนะคะ​ ยังไงๆ
จ๋งจ๋านหนูพุก​อ่ะ​ อย่าเศร้านานตัดใจหาคนใหม่เลยหนู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tomnub ที่ 01-09-2018 18:48:23
รอๆๆๆๆครับ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 01-09-2018 20:21:35
ไม่อยากให้พี่ภูเลิกกับคุณแพรเลย ถ้าเลิกกันเพราะเหตุผลที่ให้น้องวินทร์กินลูกอมยิ่งไม่ใช่เลย แพรเองก็ผิดที่ไม่ได้ดูบอร์ดแต่ตัวพี่ภูเองก็เป็นอารับปากว่าจะดูแล แต่กลับไปทำงาน ถ้าจะผิดก็ผิดทั้งคู่ ง่ายๆคือควรเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น พิชิตอิฐ พิชิตปูน ค่ะ555555555555
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 02-09-2018 05:59:19
Chapter 14





“ไหนของฝากจากเชียงใหม่ครับ”


เต้ยเหลือบตามองบนอย่างไม่รักษาอาการเมื่อสารถีจำเป็นอุตส่าห์ขับรถมารับถึงสนามบิน ดีว่ายังไม่มีใครมาเจอ ไม่อย่างนั้นจะได้โดนซักฟอกได้อีกว่าเหตุใดกันสถาปนิกหนุ่มจึงดูสนิทชิดเชื้อกับนายทุนผู้กว้างขวางนัก


“แคบหมูอยู่ในถุง กินให้มันจุกอกไปเลย”


“ขอบคุณครับ” ราชนิกูลหนุ่มยกยิ้มอย่างไม่แยแสความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ใต้ถ้อยคำ


 ซ้ำยังช่วยขนกระเป๋าเดินทางขึ้นท้ายรถอย่างไม่ถือตัว


“คุณกินอะไรมาหรือยัง” รถยนต์ยุโรปแล่นออกไปบนถนนโล่ง แสงแดดช่วงพระอาทิตย์คล้อยต่ำแยงตาจนคนขับต้องหยิบเอาแว่นกันเเดดขึ้นมาสวม


“ยังเลย” เต้ยส่ายหน้า แอบเหม็นคนที่แค่ขับรถก็ยังจะเก๊กท่าหล่ออยู่ได้


“งั้นไปเจ๊ง้อไหม เห็นบ่นว่าอยากกิน” เขาหันมาถาม เอาจริง ๆ เต้ยไม่คิดว่าคุณวีจะจำได้อยู่ด้วยซ้ำ เหตุเพราะเขาเปรยขึ้นตั้งแต่ก่อนไปเชียงใหม่แล้วด้วยซ้ำ


“อยากกินนะ แต่ผมเหนื่อยมาก อยากนอนอยู่ห้องมากกว่า”


...คนอะไร หน้าเหมือนกวางแต่นิสัยเหมือนแมว…


กวีได้แต่ลอบมองฝ่ายที่บอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา นี่คงเป็นข้อดีอีกข้อที่เขาถูกใจด้วยไม่ต้องมานั่งหยั่งญาณทิพย์เดาใจกันเสียให้ยาก


บางรายเดาพลาดก็มีเรื่องให้หัวเสียกันได้อีก


“งั้นเดี๋ยวอาหารเสร็จแล้วผมคุณขึ้นมากินที่ห้องผมแล้วกัน จะได้ไม่ต้องเก็บล้าง” สารถีกิตติมศักดิ์สรุปความเอาเอง ปล่อยให้เต้ยทำหน้าเหม็นคนรวยอย่างไม่ปิดบังในขณะที่เขายังทำท่าเป็นทองไม่รู้ร้อน


นอกจากหม่อมหลวงกวีจะเป็นเจ้าของโครงการคอนโดที่เต้ยซื้อห้องไว้ ห้องเพนท์เฮาส์ด้านบนสำหรับลูกค้างบสูงก็ยังเป็นของเขาด้วยเช่นเดียวกัน เต้ยยังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยียนแม้สักครั้ง อนึ่งเพราะไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับพวกชอบเล่นหูเล่นตา และอีกอย่างแผลหลังจากพักฟื้นของเขามันยังไม่หายดี


เต้ยกับเขาแยกกันตอนขึ้นลิฟต์ คนมีเชื้อมีสายบอกทิ้งไว้เพียงว่าจะขึ้นไปคอยที่ห้อง หากเต้ยเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ให้ตามไป ชายหนุ่มแยกเอาของฝากไว้มุมหนึ่ง เลือกเอาของแคบหมู น้ำพริกหนุ่ม และไส้อั่วเจ้าดังขึ้นไปฝากด้วย


เบื้องหลังประตูไม้บานใหญ่โอ่อ่าซุกซ่อนสิ่งที่ทำให้เต้ยตกตะลึง ไม่ใช่ขนาดห้องที่กินพื้นที่ไปหนึ่งในสี่ของชั้น ไม่ใช่การตกแต่งวิจิตรสวยงามของมัณฑนากรชั้นแนวหน้า หากเป็นคุณกวีในผ้ากันเปื้อนสีเข้มที่เดินมาเปิดประตูให้ต่างหาก


“นี่ของฝากผมเหรอ ขอบคุณมากครับ” กวียิ้มกว้าง ไม่รู้ทำไมหูตาเขาถึงแพรวพราวจนเต้ยหมั่นไส้ได้ทุกทีไป


“คุณทำเองเลยเหรอ” เต้ยถือวิสาสะเดินเข้าไปในครัว บนเตาอินฟาเรดมีหม้อต้มเส้นสปาเกตตี้หนึ่งใบ ส่วนกระทะข้าง ๆ มีเบคอนทอดส่งกลิ่นหอมเตะจมูก


“ก็คุณเอาใจยาก อยากกินแบบเสิร์ฟร้อนแต่ก็ไม่อยากออกไปไหน” กวีเดินเข้ามาสมทบหลังจากเอาข้าวของไปวางบนชั้นเก็บแล้ว เขาบอกให้คนแก่วัยกว่านิดหน่อยที่หน้าชักจะเริ่มตึงให้ออกไปนั่งรอที่เคาน์เตอร์บาร์อีกฝั่ง


“ผมไม่เคยขอให้คุณมาเอาใจนะคุณวี” เต้ยว่า ที่ไปรับไปส่งอยู่ทุกวันนี้เขาก็ไม่เคยขอ มีแต่อีกฝ่ายที่เล่นลูกตื้อชวนให้อ่อนใจ กว่าจะรู้ตัวอีกทีคุณกวีก็ตีเนียนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว


“ขี้โมโหอีกต่างหาก…” ชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าหมุนตัวไปหยิบโค้กกระป๋องจากตู้เย็นออกมาเปิดให้เต้ย “แต่น่ารักดี”


“หึ… พูดคล่อง” เต้ยก็แค่แซะเขาไปส่ง ๆ อย่างนั้น ไม่นึกว่าคนที่หันหลังไปยกเส้นขึ้นจากเตาจะหันกลับมาเท้าเเขนลงบนเคาน์เตอร์แล้วพูดอย่างหนักแน่น


“ผมจีบทีละคน ไม่เคยคบซ้อน”


“เรื่องของคุณสิ หันไปได้แล้ว กระทะไหม้แล้วนั่นน่ะ” ตากลมเสหลบ เลี่ยงบทสนทนาไปอีกทาง


ไม่เกินสิบนาที จานใส่สปาเกตตี้คาโบนาร่าท็อปด้วยเบคอนกรอบก็ถูกวางลงเบื้องหน้า กวียื่นส้อมและช้อนสีเงินวาววับส่งให้ด้วย หม่อมหลวงหนุ่มปลดผ้ากันเปื้อนออกแล้วแขวนไว้มุมหนึ่ง


“ชอบไหม” คนถามนั่งลงบนเก้าอี้สูงเคียงข้างกันกับเต้ย เห็นอีกฝ่ายม้วนเส้นสปาเกตตี้เขาปากโดยไม่พูดจาก็อยากจะได้ยินฟีดเเบ็กบ้าง


“อร่อย… ไม่นึกว่าคุณจะทำกับข้าวได้” เต้ยยิ้ม อาการหงุดหงิดระคนขวยเขินที่ถูกกวนสงบลงโดยง่ายด้วยอาหารจานเดียว


“ยุโรปค่าครองชีพมันแพงนะคุณ ทำไม่เป็นก็อยู่ไม่รอดหรอก” เต้ยพยักหน้าไปเคี้ยวไป ทอดมองชายหนุ่มบุคลิกดีที่นั่งตัวตรง ตักอาหารคำเล็กอย่างพิจารณา


บทสนทนาระหว่างมื้ออาหารไม่หนีไปจากการถามไถ่เรื่องทริปท่องเที่ยว นับว่าหม่อมหลวงหนุ่มเข้าหาได้ถูกจุดทีเดียว ด้วยเมื่อถามปุ๊บคนชอบถ่ายรูปก็เปิดแกลลอรี่รูปในโทรศัพท์ขึ้นอวดปั๊บทีเดียว


“คุณเอาของหวานไหม ผมได้อันนี้มา” หลังจากจัดการมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วกวีก็เปิดหากล่องอะไรอยู่บนชั้นบิลด์อินหลังเคาน์เตอร์


“เฮ้ย อันนี้อร่อยแบบสิบกระโหลก คุณไปหามาจากไหน” เต้ยมองกล่องไม้แบบเลื่อนเปิดเบื้องหน้า ด้านในมีซองบรรจุช็อกโกแลตรูปทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าชิ้นขนาดราวนิ้วก้อยใส่ไว้สิบห้าชิ้น


มันเป็นช็อกโกแล็ตสอดไส้วิสกี้ที่เขาตามหามานาน เขาได้ชิมมันครั้งแรกหลังกลับจากการท่องเที่ยวที่ประเทศรัสเซีย ยังนึกอยู่เลยว่าน่าจะซื้อมาเยอะกว่ากล่องสองกล่อง ด้วยพอหมดแล้วอยากกินอีกในไทยก็ไม่มีขาย ครั้นจะซื้อจากต่างประเทศเข้ามาก็คงจะโดนค่าจนส่งอีกมหาศาล


“ซีอีโอที่รู้จักเขาไปเที่ยวรัสเซียเลยซื้อมาฝาก… กินชิ้นเดียวพอครับ ถ้าอยากกินอีกค่อยขึ้นมาห้องผม” กวีหยิบฝาไม้มาสวมกล่องแล้วยักคิ้วให้เต้ยอย่างเป็นต่อ


“ขี้งก” เต้ยยกยิ้มมุมปาก หากแกะซองพลาสติกออกแล้วส่งช็อกโกแลตก้อนนั้นเข้าปาก


“ตรงไหนกัน… ผมไม่ได้ห้ามคุณกินเลยสักคำ” นี่ไง… กวีทำตาวิบวับอีกแล้ว!


สถาปนิกหนุ่มหลบตา รวบเอาจานและช้อนถือไว้เดินเข้าไปล้างที่ซิงค์ขนาดใหญ่ ไหน ๆ คุณวีก็ทำให้กินทั้งทีแล้วจะไม่ล้างจานให้ก็เห็นจะเป็นมารยาทที่ไม่น่ารักเกินไปหน่อย


“ไม่ต้องล้างหรอกคุณ เดี๋ยวให้แม่บ้านเขามาทำ”


กวีขยับเข้ามาชิด แตะข้อมือของคนอาสาล้างจานเป็นเชิงห้าม หากดูเหมือนเขาจะกะระยะผิดไปสักหน่อย ด้วยเมื่อเต้ยหันมา ใบหน้าของต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างกันแค่เพียงเสี้ยวลมหายใจกั้นเท่านั้นเอง


ช่องว่างนั้นดูจะแคบลงอีกเมื่อใบหน้าคมสันของหม่อมหลวงกวีขยับเข้าหา ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดอยู่บนผิวแก้มนวล ริมฝีปากหยักแตะลงแผ่วผิวเต้ยก็ขยับตัวออกราวกับแตะถูกถ่านเผาไฟ


“คือ… ผมยังไม่พร้อม” ปลายเท้าในรองเท้าสลิปเปอร์นิ่มขยับถอย กวีไม่ได้ตามเข้ามาปล้ำจูบหรือทำอะไรน่ากลัว เขาเพียงกระชับฝ่ามือที่จับข้อมือเต้ยไว้


“ผมจริงจังนะ”


“แต่ผมเพิ่งจะอกหักมา” เต้ยเลี่ยงจะสบดวงตาคมสะท้อนความนัยตรงกับถ้อยคำที่ปากพูดทุกประการ เขายังจำได้ดีทีเดียวว่าตอนนั้นมันเจ็บปวดมากขนาดไหน


หากเขาเริ่มต้นใหม่… จะมีอะไรมาการันตีว่ามันจะไม่จบแบบเดิมอีก


“คุณจะอกหักแล้วไม่ให้โอกาสคนอื่นไปตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า” หากไม่ใช่น้ำเสียงหนักแน่นอย่างที่ได้ยิน เต้ยก็คิดว่าเขาคงกำลังตั้งใจประชดประชัน


“ผมไม่รู้...”


ทันใดที่เสียงแผ่วหวิวเล็ดลอดออกจากลำคอ กวีก็คลายมือออกจากมือที่ยึดไว้ ความอุ่นร้อนบริเวณนั้นจางหายไปและเเทนที่ด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น





--------------------------------------------------------------





   หลังกลับลงมาจากเชียงใหม่ทุกคนในออฟฟิศก็ดูสดชื่นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ หนูพุกเองก็ได้ของฝากกลับมาเป็นกระบุงโกย ทั้งที่ซื้อเองและทั้งที่ปูนคะยั้นคะยอให้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาติดมือมาด้วย


   เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ว่านั่นก็เป็นใบชาแห้งบรรจุกระป๋องทุกชาทุกสายพันธุ์ในไร่สองชุด มันมากเกินไปจนหนูพุกไม่รู้จะกินอย่างไรให้หมด จึงแบ่งเอาชุดหนึ่งให้ที่บ้านไว้ ส่วนอีกชุดเขาก็เลือกไว้ที่คอนโดส่วนหนึ่ง เอามาไว้เป็นส่วนกลางให้ที่ทำงานส่วนหนึ่ง


   “หนูพุก!”


   “ฮะ… ครับ” เลขาหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อเต้ยโผล่หน้ามาใกล้ ซ้ำยังเรียกกันเสียงดังจนเขาใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม


   “เหม่ออะไรเนี่ย พี่เรียกมาสองสามหนแล้ว”


ตากลมมองหนูพุกอย่างสำรวจ ก่อนหน้านี้เต้ยเคยมาขอคุยกับเขาอย่างจริงจัง ขอโทษขอโพยกันแล้วและเขาเองไม่ได้ติดใจอะไร เมื่อไม่มีอะไรหมางใจกันแล้วหนูพุกถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่มองหน้ากันได้สนิทใจคนหนึ่ง


   “อ๋อ ไม่มีอะไรครับ พี่เต้ยอยากให้พุกดูอะไรให้ครับ” คำตอบของเต้ยผ่านเข้าหูหนูพุกแต่ไม่ได้หยั่งรากลึกอย่างทุกที เลขานุการคนเก่งก็ได้แต่ทำงานราวกับเปิดออโต้ไพล็อต


   พอร่างโปร่งที่ช่วงนี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเก่าลับหายไปแล้วเจ้าของโต๊ะได้แต่ลอบถอนใจ ดวงตาเรียวจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นิ่งเฉย ทอดมองแบบฟอร์มแสดงความประสงค์จะลาออกแล้วยังคิดไม่ตก สถานการณ์ตอนนี้มีแค่เพียงสองตัวเลือกเท่านั้น หากไม่ทำงานอยู่ที่นี่และอยู่เคียงข้างพี่ภูอยู่อย่างมีขอบเขตคงต้องออกจากที่นี่ไปแล้วเจอกันบ้างเป็นครั้งคราว


   สองมือเรียวประกบแก้มสองข้างแล้วตบเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ข้อที่หนูพุกตระหนักดีและไม่ชอบตัวเองเท่าไหร่นักคือเขามันพวกชอบหนีปัญหา แต่อย่างไรเสียก็อย่าให้ความเสียใจนำทุกสิ่งทุกอย่างจนทำอะไรอย่างไม่รอบคอบ


   ...เลยวัยรุ่นมาจนอีกไม่กี่ปีจะเข้าเลขสามแล้วต้องใจเย็นกว่านี้สิหนูพุก...


      มุมขวาล่างของหน้าจอเตือนให้เห็นว่ามีอีเมลล์เข้าทำให้เขาจำต้องกดปิดแบบฟอร์มนั้นลง ไล่ความฟุ้งซ่านให้ออกไปไกล ๆ สมองหน่อยเพื่อให้หัวโล่งพร้อมทำงาน


   ...หากมันทำได้แค่พักเดียวเท่านั้นเอง...


   ตั้งแต่ทำงานมา ชายหนุ่มไม่เคยจ้องเข็มนาฬิกาและภาวนาให้เข็มสั้นเดินไปถึงเลขหกสักทีมาก่อน เขาคิดไปคิดมาอยู่หลายตลบทีเดียวว่าหรือแท้จริงแล้ว ความรู้สึกของเขาทั้งหมดนั่นคืออุปสรรค


   เมื่อเช้า หนูพุกเดินทางมาทำงานด้วยรถไฟฟ้าเหมือนเดิม


   เจอเพื่อนร่วมงานคนเดิม


   พี่เต้ยยังคงยิ้มให้เขาเหมือนเดิม


   และพี่ภูเองยังงานยุ่งทั้งวันเหมือนเดิม


   แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจเสมอเมื่อต้องเขาไปพบพี่ภู


   คิดแล้วหนูพุกก็พ่นลมหายใจยาว หากถอนหายใจแล้วอายุสั้นอย่างที่ใครต่อใครว่ากัน อายุขัยของเขาคงเหลือแค่สามสิบห้าแหง ๆ


   “พี่ภูครับ เอ่อ… วันนี้ให้พุกสั่งข้าวเย็นไว้ไหม” หนูพุกเรียกเขาไว้ตอนที่ร่างสูงใหญ่เดินผ่านหน้าโต๊ะมา


   “กวนด้วยนะ กินอะไรก็ได้” เขายิ้มสะเทือนหัวใจให้แล้วก็เดินผ่านไปเข้าห้องน้ำอย่างปกติ ปล่อยให้หนูพุกอ้าปากพะงาบ ๆ เป็นคอมติดบั๊กอยู่ที่เดิม


   สุดท้ายแล้วชายหนุ่มเลื่อนหาโทรหาร้านอาหารตามสั่งจากในทัชโฟน พลางคิดว่า’อะไรก็ได้’ ที่ว่ามันควรเป็นอะไรดี ส่วนใหญ่พี่ภูมักจะกินข้าวราดแกงหรือผัดกะเพราง่าย ๆ แต่เมื่อกลางวันก็เพิ่งกินผัดพริกแกงไป ถ้าเย็นจะกินอะไรเผ็ด ๆ อีกคงไม่เวิร์คเท่าไหร่


“ครับ… สั่งข้าวครับ ผมเอาราดหน้าเส้นใหญ่หมู... ยังไงรบกวนส่งที่ออฟฟิศเดิมนะครับ ขอบคุณครับ” เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณตัดไป เลขาหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกหนหนึ่ง


...หกโมงยี่สิบนาที...


   หากเป็นเวลาปกติ หนูพุกคงยังนั่งทวนความคืบหน้าโครงการสักอันและทำเอกสารย้อนหลังด้วยเพื่อหาเวลาอยู่ต่อ ทว่าวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เขาปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ จัดการทำความสะอาดโต๊ะทำงานไม่ให้รก เอาแก้วชาของตัวเองไปล้าง และลงไปคอยเด็กส่งข้าวอย่างกิจวัตร


   ระยะทางจากร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอยเข้ามาที่สำนักงานไม่ได้ไกลมากมายอะไร รอเพียงสิบห้านาทีราดหน้าหมูใส่ถุงร้อนจี๋ก็มาส่งถึงมือ ไม่รู้ว่าเป็นคราวเคราะห์หรืออะไร เพราะที่มาพร้อมกับคนส่งอาหารไม่ได้มีแค่ราดหน้า หากพ่วงมาด้วยหญิงสาวผู้ไม่เคยปรากฎตัวที่ออฟฟิศมาก่อน


“สวัสดีค่ะหนูพุก”


“สวัสดีครับคุณแพร แวะมาหาพี่ภูเหรอครับ” เขาถามไปตามมารยาท ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร


...ยังไงเธอคงไม่แวะมาหาพี่เต้ยอยู่แล้ว...


“ใช่ค่ะ แต่ไม่ได้บอกเขาไว้ก่อน ไม่รู้ว่ายุ่งมากหรือเปล่า” อาจารย์สาวในชุดกางเกงขายาวสีเข้มและเสื้อเชิ้ตลายกราฟฟิคไล่สีโทนร้อนเข้ากันกับรองเท้าส้นสูงดูทันสมัยก้าวเดินขึ้นชั้นสองไปพร้อมกับหนูพุก


“ยังไงคุณแพรลองไปเซอร์ไพรส์นะครับ ห้องพี่ภูอยู่ขวามือด้านในสุดเลยครับ” เลขาหนุ่มได้แค่เพียงยิ้ม ทำตาหยีให้เป็นขีดเดียวเพื่อปกปิดแววตา แอบรักแฟนคนอื่นเขามันลำบากอย่างนี้เอง


เขาเดินเอาอาหารเย็นเข้าไปวางบนโต๊ะกลางในครัวแล้วจัดชามให้อีกชุดโดยไม่ได้แกะเตรียมให้อย่างทุกที เนื่องจากพี่ภูมีแขก หนูพุกมองเจ้าราดหน้าน้อยที่คงต้องเป็นหม้ายในถุงร้อนมัดโป่งอย่างเข้าอกเข้าใจระคนสงสาร


คงเป็นโชคดีที่ทั้งบริษัทมีแต่คนหัวสมัย การอยู่ทำงานต่อหลังเลิกงานจึงไม่มีผลกับคะแนนพิศวาสในใจเจ้านาย ดังนั้นคนที่ได้รับความไว้วางใจจึงเป็นคนที่มีระเบียบวินัยและงานเก๋ามากพอ เป็นเหตุผลให้สถาปนิกหลายคนมักจะเหยียบออฟฟิศช่วงแปดโมงสี่สิบ พอสักหกโมงสิบนาทีไม่เกินหกโมงครึ่งก็เก็บของพร้อมบินกันหมด


ตอนนี้เลยเวลามาตรฐานไปไกลแล้ว ทั้งสำนักงานจึงเหลือแค่เขากับพี่ภูเท่านั้น… อ้อ คุณแพรอีกคน


เพราะมารยาทส่วนหนึ่งและความเสียใจอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้หนูพุกไม่ได้อยากรับรู้เนื้อหาที่เจ้านายคุยกับคนรัก เขาจึงจัดการโกยข้าวของลงจากกระเป๋าอย่างเร่งรีบเนื่องจากเผลอสบเข้ากับดวงตาคมที่มองลอดหน้าต่างกระจกออกมา


ภูมองเลขาหนุ่มที่ก้มลงเก็บของ แค่กระพริบตาเขาก็เห็นว่าหนูพุกยกกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ออกไปแล้ว เขาหันกลับมามองคนเบื้องหน้า อดนึกชมไม่ได้ว่าแพรยังสวยเหมือนเดิม เหมือนครั้งแรกที่เจอกันเลยด้วยซ้ำ หากรอยยิ้มชืดจางเหล่านั้นต่างหากที่ต่างออกไป


“ไม่เห็นบอกว่าจะมาเลย เซอร์ไพรส์เหรอ”


เจ้าของเสียงทุ้มว่า มือขวายังไม่ปล่อยจากเมาส์ซ้ำยังคลิกเปิดไปที่ตารางส่วนตัวอีกอันที่ไม่เคยให้ใครเห็นด้วยกลัวว่าตัวเองจะหลงลืมวันสำคัญอะไรไปจนโดนโกรธอีกหรือเปล่า แต่พบว่าไม่มีรอยมาร์คว่ามีเหตุการณ์สำคัญประเภทวันครบรอบหรืออะไรกุ๊กกิ๊กอยู่ตรงนี้


“จริง ๆ แพรมีเรื่องอยากคุยด้วย แต่เวลาเราไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่”


หญิงสาวยักไหล่ คลี่ริมฝีปากสีพีชออกนิดหน่อย ตลอดมานี้เธอกับภูต่างก็ว่างไม่ค่อยตรงกันเนื่องจากแพรเป็นอาจารย์สังกัดในสาขาที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่นและสิ่งทอ ซึ่งจำนวนบุคลากรไม่ได้มีมาชากมายอะไรนัก


และคนที่จบปริญญาเอกด้านนี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย


ดังนั้นเธอจึงรับเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในต่างจังหวัดด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตลอดวันธรรมดาเธอจึงแทบไม่มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกับภูอย่างจริงจัง มีแค่วันเสาร์อาทิตย์ที่ภูไปรับเธอที่มหาวิทยาลัยบ้าง หรือเวลาที่เธอกลับบ้านพ่อแม่บ้างเท่านั้นเอง


“แพรมานั่งคิดดูดี ๆ แล้วรู้สึกว่าเราไปด้วยกันไม่ได้จริง ๆ นะ” เธอเข้าประเด็น ตัดสินใจเฉียบขาดแล้วถึงพูด อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้มีทีท่าอยากโต้เถียงหากฟังไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีคำค้านใด


“ความต้องการของเราไม่ตรงกันตั้งแต่ต้นแล้วนะ  ภูยังอยากทำงาน แต่แพรอยากมีครอบครัว แพรอยากแต่งงาน อยากมีลูก”


อาจารย์สาวเผยความนัยอย่างไม่ปิดบัง เนื่องจากปีนี้เธอก็สามสิบสองย่างสามสิบสามแล้ว หากต้องรออีกสักสี่ห้าปีอย่างที่อีกฝ่ายบอก เธอคงเข้าเข้าสู่สภาวะ ‘มดลูกหมดอายุ’ อย่างที่เพื่อนแซวกันแน่ ๆ


“ที่บริษัทนี้มันยังไม่ลงตัว ถึงจะคืนทุนแล้ว แต่ภูก็ยังอยากคอยให้มันทำกำไรให้ได้ตามเป้าก่อน… ถ้าเราแต่งงานกันจริง ๆ ก็คงอีกสักปีสองปี”


คีรินทร์สูดหายใจเข้าพยายามร่นเวลาตามเงื่อนไขของคนรัก เรือนหอของเขาก็น่าจะเป็นบ้านหลังเดิมที่เคยซื้อไว้แล้วรีโนเวทใหม่ แต่ประเด็นหลักคือลูกต่างหาก


ภูรู้ว่าเขายังไม่พร้อมเลยที่จะมีทายาท


“ลองเป็นเมื่อหกเดือนที่แล้วแพรคงดีใจมาก แต่แพรตัดสินใจมาดีแล้ว… ถ้าภูลองคิดทบทวนดูดี ๆ จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไม”


การคบหาใครสักคน ความจริงจังและการจะพากันไปถึงวันที่ใช้ชีวิตร่วมกันได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับแพร ทว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว ในความสัมพันธ์ยังมีเรื่องเล็กเล็กน้อยที่สะสมจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ในวันหนึ่ง


เรื่องรสนิยมที่ไม่ค่อยลงรอยกันในเรื่องต่าง ๆ นี่เองเป็นปัญหาเล็กน้อยที่ทับถมกันเหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งลงจากเนินเขา เพียงพริบตาเดียว มันก็กลายเป็นเรื่องมโหฬาร ภูเป็นคนเรียบๆ จนเรียบมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ วันหยุดอีกฝ่ายชอบอยู่บ้าน ดูแลต้นไม้ขนาดย่อมของตัวเองไปเรื่อย ในขณะที่เธอเป็นคนชอบออกไปตามห้างสรรพสินค้าแวะดูข้าวของใหม่ ๆ


คีรินทร์ไม่ได้ปฏิบัติตนเป็นฤๅษีเฝ้าอาศรมไปเสียทีเดียว หากการออกไปข้างนอกนั้นเป็นไปในเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติเสียส่วนมาก ภูพาเธอไปดูต้นไม้บ้าง พาไปเดินป่าถ่ายรูปบ้าง


วิถีชีวิตของภูไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากนั่นไม่ใช่สิ่งที่แพรโปรดปรานและคิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร้ปัญหาเท่านั้นเอง


   ตลอดมามีเรื่องวิถีชีวิตที่ทำให้กระทบกระทั่งกันเสมอ หากฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาดลงที่เชียงใหม่ แพรวาแอบโกรธอยู่ไม่น้อยทีเดียวแต่ไม่อยากขัดกันให้มาก คบกันมาเกือบสามปี… คนรักกลับไม่เคยพาเธอเข้าบ้านเลยสักหน ถึงคราวพาไปกลับต้องยกโขยงกันไปทั้งบริษัท


   อันที่จริงแพรนึกขอบคุณพี่ชายของคีรินทร์ฝากน้องวินไว้ให้ช่วยดู มันเป็นเหตุการณ์จำลองชีวิตครอบครัวที่ทำให้แพรวาคิดตกโดยง่าย


   เธอรู้ดีเสมอว่าภูไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะมีคุณสมบัติที่ทำให้สาว ๆ เทใจให้ได้ไม่ยาก เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ ไม่เคยมีเรื่องเจ้าชู้ให้ขุ่นข้อง ติดแค่มีอวัยวะชิ้นที่สามเป็นงานเท่านั้นที่น่าขัดใจ


   ซึ่งเมื่อแพรขัดใจ ความขุ่นข้องเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความงี่เง่าในสายตาภูได้ไม่ยากเลย ทั้งที่เวลาส่วนนั้นควรจะเป็นเวลาของเธอโดยชอบธรรม


   นี่เป็นปัญหาหลักที่ทำให้อาจารย์สาวอึดอัด แพรวาค้นพบแล้วว่าเธอต้องการให้พ่อของลูกเอาใจใส่ทั้งลูกและภรรยามากกว่าสายโทรศัพท์ที่เป็นมารวันหยุด


   เหตุการณ์นั้นชัดเจนว่าเขาคงทำตามที่เธอต้องการไม่ได้ ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่สามารถหยุดคาดหวังกับเขาในเรื่องนี้ได้เช่นเดียวกัน


   ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่นับเรื่องทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง อะไรที่แพรขอภูก็ทำให้เกือบทุกอย่าง แต่เรื่องอะไรที่เธอต้องมานั่งกล้ำกลืนฝืนทนเมื่อพบว่าอย่างไรปัญหานี้คงไม่มีทางออก นอกจากปลดปล่อยกันและกันให้ต่างฝ่ายได้พบกับคนที่จะหยิบยื่นทั้งความรักและมีข้อแลกเปลี่ยนที่ยอมรับได้


   สำหรับภู หากเจ้าตัวลองมองหาสิ่งอื่นที่นอกจากงาน แพรแน่ใจว่าเขาคงเจอคนที่เข้ากันได้ไม่ยากเย็นนัก ส่วนเธอเองก็ไม่ต่างกัน เธอคือด๊อกเตอร์แพรวาผู้เติบโตมาจากครอบครัวที่ให้เธอเป็นที่หนึ่ง เธออยู่ในสังคมเพื่อนที่มีมิตรไมตรีดีงามและพร้อมเกื้อหนุน รวมทั้งยังมีการศึกษาและหน้าที่การงานที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เธอกับเขาจะต้องทนอยู่กับความอึดอัดคับข้องที่บั่นทอนกันไปทุกวัน


   สักวันหนึ่ง...ทั้งภูและเธอคงจะพบทางของตัวเองที่เป็นไปอย่างมีความสุข


“ก็คือตกลงว่าจะเลิกกัน?”


สองมือใหญ่ลูบบนใบหน้าคมสัน เขาพิจารณาท่าทางเรียบเรื่อยปราศจากท่าทีใจร้อนที่เป็นชนวนให้ทะเลาะกันได้ทุกหน อาการนิ่งสงบนั้นยืนยันว่าเธอคิดมาจนถี่ถ้วนแล้วอย่างที่พูด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องผิดใจจนคิดจะเลิกรากัน หากไม่เคยมีครั้งใดเลยที่คนทั้งคู่จะไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบครองพื้นที่ความคิด หากครั้งนี้ที่ยังพอจะครองสติคุยกันด้วยเหตุผลได้


“ก็กลับไปเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันหนึ่งภูจะเจอใครที่เข้ากับภูได้ แพรก็ดีใจด้วยเท่านั้นเอง” ดวงตาคมมองเธอนิ่ง คีรินทร์บอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เพียงแต่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ล่มสลายลงอย่างเงียบเชียบเท่านั้น


ตลอดระยะเวลาที่คบกันมาช่วยบอกชายหนุ่มได้ว่าต่อให้เขาคุกเข่าลงอ้อนวอนอย่างไร ผลสุดท้ายแพรก็คงส่ายหน้าอยู่ดี


“อืม…  ขอโทษที่เป็นแฟนที่คุณภาพตกมาตรฐานมาตลอดเกือบสามปี” ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะแห้งแล้งอย่างนึกละอายและสมเพชตัวเองในใจ


...แพรไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่ไม่สามารถอดทนกับเขาได้…


“อย่าไปคิดอย่างนั้น ถึงมันจะจริงอยู่บางส่วนก็เถอะ” อาจารย์สาวหัวเราะ “ภูมีวิธีแสดงความรักในแบบของภู แค่ภูต้องหาคนที่ยอมรับตัวตนของภูให้ได้เท่านั้นเอง”


“เราจะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมได้จริง ๆ เหรอ” คนถามมองหน้าคู่สนทนาอย่างจริงจัง เขาปล่อยให้คอมพิวเตอร์พักจอดำไปต่อหน้าเป็นครั้งแรก


“....” ใบหน้ารูปไข่ตกแต่งสวยงามส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มอย่างที่ภูคาดไว้ไม่ผิดทีเดียว


“กลับมาเป็นเพื่อนกัน… ถ้ามีอะไรโทรมาได้” เธอว่าพลางรวบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น เป็นสัญญาณว่าหมดธุระของวันนี้แล้ว


“คีย์การ์ดเข้าบ้านขอไว้ก่อนนะ ไม่เกินสองสามวันถ้าเก็บของเสร็จเเล้วเเพรจะให้เมสเซ็นเจอร์มาคืนให้” ในขณะที่เธอลุก อดีตคนรักหมาด ๆ ลุกขึ้นเปิดประตูกระจกออกให้เธอเดินก่อนอย่างทุกที


“เดี๋ยวภูไปส่ง…” ชายหนุ่มร่างสูงกำยำเดินเคียงไปกับหญิงสาวร่างระหง ตลอดระยะทางจากห้องทำงานชั้นสองมีเพียงเสียงรองเท้าหนังและส้นเข็มตอกพื้นดังฝ่าความเงียบ


คีรินทร์เดินออกมาส่งเธอถึงรถ ระลึกไปด้วยว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทำอะไรแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าในอกว่างเปล่า บางครั้งอะไรที่ล่มสลายลงจนไม่เหลือซากอาจเป็นความรักหรืออัตตา


เขาตอบไม่ได้


...บางทีอาจจะเป็นการล่มสลายของทั้งสองสิ่ง...


“โชคดีนะ”


“ภูก็เหมือนกัน” มือเรียวตกแต่งด้วยสีนู๊ดตบไหล่เขาเบา ๆ เธอยิ้มให้อย่างบริสุทธิ์ใจไร้ข้อติดค้าง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 13 --- [ 28.08.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 02-09-2018 06:00:33
คล้อยหลังรถยนต์สีขาวที่ออกตัวไป ชายหนุ่มก็เดินลากเท้ากลับขึ้นไปที่ห้องทำงาน เขาไม่ได้ขยับเม้าส์แล้วเริ่มต้นงานอย่างทุกครั้ง คีรินทร์เพียงแต่นั่งกอดอกแล้วมองไปเบื้องหน้าซึ่งไม่มีสิ่งใดนอกจากเฟอร์นิเจอร์ว่างเปล่า บางทีเขาอาจนั่งอยู่นานเกินไป นิ่งเกินไป จนไม่รู้ว่าด้านนอกมีเงาคนขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ประตูกระจกขึ้นเรื่อย ๆ


“พี่ภู…” 


“อ้าว นึกว่ากลับไปแล้ว” เจ้านายหนุ่มยิ้มแกน ๆ แต่หน้าของเลขาหนุ่มกลับมีวี่แววตกอกตกใจราวกับเห็นผี


“พุกลืมกระเป๋าสตางค์ครับ ไม่มีเงินขึ้นรถไฟฟ้า” คนรอบคอบเสมอยกเว้นเมื่อครู่หัวเราะแหะ ๆ คงเป็นเพราะเขาลนลานที่สบตากับคีรินทร์ผ่านกระจก อะไรใกล้ไม้ใกล้มือก็รวบลงกระเป๋าไปก่อน ตอนเปิดกระเป๋าดูแล้วพบว่าเขาเอาที่เจาะกระดาษสำนักงานกลับไปด้วยหนูพุกตกใจแทบแย่


เพราะวันนี้มีเรื่องให้คิดและพอจะมีลมเย็นโชยมาพอให้เดินไหว หนูพุกจึงไม่เลือกใช้บริการรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าอย่างทุกที … กว่าจะรู้ตัวว่าทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ออฟฟิศก็ตอนควักหากระเป๋าเพื่อจะเอาบัตรขึ้นทาบเครื่องแสกนนั่นล่ะ


“อ้อ อย่างนั้นกลับดี ๆ นะ” ชายหนุ่มยิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนใจทำที่สุดตั้งแต่เขารู้จักพี่ภูมาเลยด้วยซ้ำ


“ครับ” หนูพุกเดินจากมา หากจุดหมายปลายทางกลับเป็นทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเจตนาเดิม เขานั่งลง เปิดคอมพิวเตอร์หาอะไรทำไปอย่างเงียบเชียบโดยที่แอบสังเกตคนในห้องกระจกไปด้วย


...พี่ภูตาแดงอย่างกับเส้นเลือดในตาจะระเบิด…


ไหนจะท่าทางไม่ปกตินั่นอีก หนูพุกรู้ว่ามันคงไร้สาระมากในสายตาคนอื่น หากเขาจะคอยอยู่ตรงนี้แทนที่จะเอาเวลาไปพักผ่อน อย่างไรเสีย ต่อให้มุ่งตรงกลับคอนโดเขาคงนอนไม่หลับเพราะไม่สบายใจอยู่ดี


เข็มนาฬิกาล่วงไปจนละครหลังข่าวใกล้จบ เด็ก ๆ หลายบ้านคงเข้านอนแล้ว และคุณแม่บ้านก็คงเตรียมเข้านอนเช่นเดียวกัน หากคนที่ทำให้หนูพุกเป็นกังวลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม พี่ภูเพียงแต่นั่งเฉย ๆ ทอดสายตามองเก้าอี้เบื้องหน้าอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่หัวค่ำ


...คงมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่คุณแพรมา...


พอนึกถึงหญิงสาว เขาพานนึกถึงเจ้าราดหน้าหมูผู้หน้าสงสารซึ่งน่าจะยังอยู่ในถุงที่เดิม หนูพุกลุกขึ้นไปสำรวจดูในครัวด้านล่าง ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่เขาออกไปไม่ผิดเพี้ยน เลขาหนุ่มตัดสินใจแช่มันไว้ในตู้เย็น ไม่ได้กินวันนี้ ก็ขอให้เป็นมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้


หนูพุกได้ยินเสียงกอกแกกดังลงมาจากหน้าบันไดแล้วขมวดคิ้วมุ่น โผล่หน้าออกไปจากห้องครัวเพื่อจะดูว่าพี่ภูทำอะไร ดีที่ชะตาเขายังไม่ถึงฆาต ท่อพีวีซีสีฟ้าสดจึงฟาดมาไม่ถึงตัวเพราะคนถือยั้งไว้ได้ทัน


“หนูพุก!” คีรินทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเห็นคนเดินหลังไว ๆ ที่หางตาซ้ำยังได้ยินเสียงจานชามในครัวอีก จะว่ากลัวผีก็ไม่ใช่ ด้วยโจรสมัยนี้น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรลึกลับเทือกนั้นเสียอีก


“พุกเองครับ อย่าบอกนะว่าคิดว่าโจรขึ้นออฟฟิศ” หนูพุกหัวเราะ ไม่ถือสาหาความที่เขาอุตส่าห์ไปรื้อเอาท่อที่ซื้อเตรียมไว้ว่าจะเปลี่ยนกับสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ด้านนอกออกมา


“นี่มันจะห้าทุ่มอยู่แล้ว เรานั่นเเหละ ทำไมยังไม่กลับบ้านนอนอีก” เขาทำเสียงเข้มแต่ไม่ได้น่ากลัวเลย


“เจ้านายเกเรนี่ครับ งานก็ไม่ทำ แต่ไม่ยอมกลับบ้านนอน พุกเลยมาอยู่เป็นเพื่อน” เลขาหนุ่มกระเซ้า พลางเดินกลับขึ้นไปข้างบน


“อาทิตย์นี้คงนอนที่นี่แหละ” เขาว่า “แล้วเราน่ะจะกลับยังไง เดี๋ยวพี่ไปส่งไหม” หนูพุกโคลงศีรษะ แม้จะไม่รู้แน่ชัดแต่ก็พอเดาได้ว่าคงทะเลาะกับคุณแพร


“ไปนอนห้องพุกไหมครับ… เอ่อ คือ หมายถึงว่า ถ้าอยู่ที่ออฟฟิศไปก็พักผ่อนไม่สบาย กลับไปอาบน้ำอุ่นนอนพักน่าจะดีกว่า” คนพูดเสนอไปแก้ตัวไปจนลิ้นพันกัน กลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัว


“เดี๋ยวก็หลอกให้พี่นอนบนเตียงแล้วเจ้าของห้องก็ไปนอนบนโซฟาแบบวันนั้นเหรอ พี่ก็เกรงใจเป็นนะ”


ชายหนุ่มยกยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรท่าทางตอนอธิบายทั้งที่ในความคิดสับสนยิ่งขับให้คนที่เหมือนจะจัดการทุกอย่างได้ดีดูมีสเน่ห์ขึ้นอย่างน่าประหลาด


“โซฟามันตัวเล็ก พี่ภูนอนไม่สบายหรอกครับ” เลขานุการคนเก่งให้เหตุผล แค่เขานอนศีรษะก็ชนพนักด้านหนึ่งและปลายเท้าติดกับพนักอีกด้านจนยืดเหยียดไม่ได้


“เรานอนไม่สบายเหมือนกันนั่นเเละ พี่รู้” คีรินทร์เอ่ย เขาจำได้ว่าตื่นมาก็เห็นหนูพุกนอนงอก่องอขิงอยู่บนเบาะนวม ซ้ำยังถีบผ้าห่มหนานุ่มตกไปอยู่ที่พื้นอีกต่างหาก มือใหญ่คว้าเอากุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์ติดมือมาด้วย


“คือ… งั้นนอนด้วยกันนี่แหละครับ เตียงตั้งกว้าง”


พูดไปก็กระดากไปแต่ต้องทำเป็นใจกว้าง หนูพุกไม่อยากร่วมเตียงกับคนของคนอื่น แต่เขาก็ไม่อยากทิ้งพี่ภูเอาไว้ทั้งที่ดูอารมณ์ไม่มั่นคงนักเช่นเดียวกัน สงสัยคืนนี้ต้องรอพี่ภูหลับแล้วเขาถึงค่อยย่องออกมานอนข้างนอก


ส่วนภูเองยังไม่อยากกลับไปที่บ้าน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยากอยู่ที่สำนักงาน ภาพที่แพรวาชี้แจงเหตุผลยังคงหมุนไปมาเหมือนมีใครมาเปิดเทปซ้ำแล้วซ้ำอีก


...การได้ออกไปอยู่ที่อื่นเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกเลวร้ายอาจช่วยอะไรได้บ้าง…


“อืม… รบกวนด้วยนะ”





------------------------------------------------------------------------





หนูพุกไม่คิดเลยว่าไอ้ ‘เตียงตั้งกว้าง’ จะเป็นคำที่ไม่จริง ทีแรกป๊าเคยถามแล้วว่าเตียงจะเลือกเป็นหกฟุตดีไหม หากเขาปฏิเสธไปเพราะนอนคนเดียว ที่ขนาดห้าฟุตก็เหลือเฟือแล้ว แต่เมื่อมีคนตัวใหญ่มาแบ่งพื้นที่ด้านข้าง พื้นที่เหลือเฟือกลับถูกกลืนหายไปเหลือเพียงระยะอันตรายกับหัวใจเท่านั้นเอง


พอพี่ภูขยับตัวทีฟูกหนานุ่มก็สะเทือนมาถึงหนูพุกด้วย นอกจากนี้ยังมีกลิ่นครีมอาบน้ำที่คอยรบกวนให้เขาต้องนอนลืมตาโพลงทั้งที่ปิดไฟไปแล้วเกือบชั่วโมง


...ถ้านับแกะไปเพลิน ๆ เขาคงได้จำนวนแกะทุกตัวในนิวซีแลนด์แน่ ๆ…


หนูพุกลอบถอนหายใจ ทว่าแล้วกล้ามเนื้อทุกส่วนกลับต้องเกร็งสุดชีวิตในวินาทีต่อมา เมื่อร่างกายกำยำชันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงบุหนังนุ่ม ตาสีดำลอบมองฝ่าความมืด… สองไหล่กว้างห่อเข้าหากันจนแทบไม่เหลือความองอาจอย่างเคย


“พี่ภู…”


“โทษที ทำให้ตื่นใช่ไหม” คีรินทร์หันหน้ากลับมา ถึงทั้งห้องจะปิดไฟมืด ทว่าแสงเรืองรองจากอาคารสูงใกล้เคียงยังลอดเขามาให้เขามองเห็นดวงตาเรียวที่จ้องมองมาได้ชัดเจน


“ไม่หรอกครับ… มีอะไรหรือเปล่า เล่าให้พุกฟังได้นะ”


ตลอดมาภูไม่ใช่พวกไว้ใจคนง่าย หากอุปนิสัยของหนูพุกกลับทำให้เขาวางใจได้ไม่ยากเลย


น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้ขุนเขากว้างใหญ่คล้ายจะสั่นสะเทือนด้วยกระแสความห่วงใยอย่างไม่ปิดบังที่ส่งมาถึง ยิ่งมือเรียวแตะลงบนท่อนแขนล่ำสัน ภูรู้สึกว่าทุกอย่างน่าจะง่ายขึ้นหากได้ปลดปล่อยออกไปบ้าง


เขาไม่รู้เลยว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะทำให้คนฟังหายใจสะดุด


“พี่เลิกกับแพรแล้ว…”


หนูพุกแทบไม่เชื่อหูเลยว่าจะได้ยินคำนี้ เปลือกตาสีน้ำนมกระพริบปริบยามพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดในหัว เขายังไม่สามารถประเมินความรู้สึกของตัวเองได้ด้วยซ้ำ เหตุเพราะสมาธิของเลขาหนุ่มแตกกระเจิงเมื่อพบว่าพี่ภูคู้ตัวลง น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดห้าม


คนแข็งแกร่งมาก ๆ เมื่อมาถึงจุดที่อ่อนแอจนถึงที่สุดก็ไม่ต่างอะไรกับแก้วเนื้อบาง หากแตะอย่างไม่ระวังก็แตกเสียหายได้ง่ายดาย


นี่อาจเป็นครั้งแรกในฐานะเลขาที่รับมือกับเจ้านายไม่ได้ ทุกอย่างดูติดขัดและเขาเองก็เก้กัง หนูพุกสูดหายใจลึก ทำใจกล้าแล้วยืดตัวยืนเข่าขึ้นโอบพี่ภูเอาไว้


คล้ายกับว่าเชือกล่องหนที่รัดพันหัวใจของเขาคลายออกไปเปลาะหนึ่ง เมื่อคนแก่วัยกว่าไม่ได้เอี้ยวตัวหนีหรือมีทีท่าต่อต้าน พี่ภูเพียงแต่นั่งนิ่งปล่อยให้น้ำร้อนผ่าวไหลซึมลงบนอกเสื้อยืดเนื้อนุ่มของหนูพุกโดยปราศจากคำอธิบายใด ๆ เพิ่มเติม


ฝ่ามือเรียวแตะลงบนแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลมอยู่นานทีเดียว เจ้าของร่างเพรียวบางเปลี่ยนมานั่งลงบนฟูกเมื่อน้ำหนักของร่างกำยำทิ้งลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนหนูพุกตัวเซ


คีรินทร์หลับสนิททั้งที่แพขนตายังชุ่มน้ำ


นาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงเรืองแสงบอกว่าล่วงเข้าวันใหม่ไปได้สามชั่วโมงกว่าแล้ว หนูพุกจัดท่าทางให้พี่ภูเอนตัวลงนอนหนุนตัก เหมือนตอนที่หนูพุกเสียใจเวลานอนตักหม่าม้าก็ดีขึ้นเช่นเดียวกัน


อาจเป็นเพราะความเป็นมนุษย์ที่ไหลเวียนอยูในตัวทุกคน เมื่อมีบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งให้อิงแอบ กายก็สบายและใจจะเบาลง มือเรียวลูบลงบนกลุ่มผมหยักศกอย่างเผลอไผล ชายหนุ่มก้มลงหาคนที่ผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้วกระซิบแผ่วเบา


“ไม่เป็นไรนะ… ยังไงพุกก็อยู่ตรงนี้”





-----------------------------------------------------

มาไม่ทันวันเสาร์อีกแล้ว 55555 แง้  :z3: :z3:
แต่ก็นั่นแหละค่ะ ฝากเจ้าพุกลูกแม่ด้วยฮะ ><
เจอกันอีกทีสัปดาห์หน้านะคะ ขอบคุณที่อดทนรอค่ะ :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-09-2018 07:16:28
เลิกกันแล้วจ้า อิอิ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 02-09-2018 08:20:45
คนเข้มแข็ง​ เวลาล้มนี่เจ็บหนัก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 02-09-2018 08:59:05
คงกันต่อไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น


เลิกกันก็ดีแล้ว


คนบ้างานแบบพี่ภู


ต้องมีคู่แบบเลขาฟ้าประทาน


อย่างหนูพุกนี่แหละ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 02-09-2018 09:45:31
หนูพุกดูแลพี่ภูด้วยนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-09-2018 10:01:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุ้ย  เดาถูกด้วยว่าต้องเลิกกัน

แล้วหนูพุกน่าจะยังพอมีความหวัง  อิอิ

แต่...เรื่องของ "อิฐ" จะมีออกมาอีกไหม?  หรือเป็นแค่ตัวประกอบออกแค่ฉากที่แล้วเท่านั้น?
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 02-09-2018 10:26:47
เสียใจกับพี่ภูด้วยนะ แต่ได้เวลาหนูพุกทำคะแนนแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 02-09-2018 10:32:54
ว่าแล้วว่าพี่ภูกับคุณแพรต้องจบลงแบบนี้ ซึ่งเข้าใจคุณแพรมาก ๆ เลย
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จนถึงใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน สุดท้ายก็คงจบลงแบบนี้อยู่ดี
ยังไงก็ไม่ได้จบลงเพราะเกลียดกัน กลับเป็นเพื่อนที่รักและหวังดีต่อกันก็ดีแล้ว
อย่างพี่ภูต้องได้คนที่รับตัวตนของพี่ภูได้จริง ๆ อย่างหนูพุกนี่แหละ บ้างานพอกัน 555
ตัดมาที่คู่พี่เต้ยคุณกวี คู่โปรดของเรา  :-[ คุณกวีนี่จีบจริงจัง รุกหนักมากกกก
ชอบความใส่ใจพี่เต้ยทุกสิ่งอย่าง แม้แต่คำที่แค่เปรย ๆ ขึ้นมา
ยิ่งจีบ ความเป็นตัวตนของพี่เต้ยก็ยิ่งถูกใจคุณกวี  อย่างนี้อยู่ด้วยกันยืดแน่นอน
เหลือแต่ว่า พี่เต้ยจะยอมเปิดใจให้รักครั้งใหม่ได้เมื่อไหร่นี่แหละ แต่เข้าใจพี่เต้ยนะ
คบกันมานานขนาดนั้น รักขนาดนั้น สุดท้ายโดนมาบอกว่าหมดรักแล้วโดยไม่รู้ตัว
ไม่แปลกที่พี่เต้ยจะกลัวความรักครั้งใหม่ แต่คุณกวีก็อย่าเพิ่งถอดใจยอมแพ้ซะล่ะ
พี่เต้ยกับพี่ภู ตอนนี้อยู่สถานะคนอกหักทั้งคู่ แล้วก็มีคนรอดามใจทั้งคู่เลยนะ สู้ ๆ น้า

เอาจริงเรื่องมีให้ลุ้นหลายคู่มาก แถมยังเป็นเรื่องแยกได้อีก อย่างพี่อิฐกับคนของเขา ซึ่งยังไม่รู้ว่าใคร
น้องปูนก็น่าจะพอมี ที่หนูพุกไปเห็นมาแวบ ๆ  แล้วยังคุณพี่ชายพี่ภูกับคุณพี่เลี้ยงอีก
ซึ่งน่าสนใจทุกคู่เลย รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 02-09-2018 11:18:16
อย่างน้อยก็นับว่าเลิกกันด้วยดี ให้ไปหาคนที่เข้ากันได้ดีกว่า
ขอให้แพรได้เจอคนนั้นไวๆด้วย อายุก็ขนาดนี้ แอบเข้าใจแพรนะ

คุณกวีนี่เอาใจไปเลย คุณสมบัติเลิศเลอขนาดนี้ แถมปากหวานจริงใจ เต้ยจะต้านทานได้นานแค่ไหน
อีกอย่างเงินต่อเงิน รวยๆแบบคุณวีก็ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเงินๆทองๆแล้วอ่ะ   :katai3:
ใจอ่อนหน่อยพี่เต้ยย กินเด็กเป็นอมตะนะ  :hao6:

พี่ภู ไหนๆก็อกหักน้ำตานองแล้ว หันมองคนข้างๆบ้างนะ
เผื่อจะเจอคนที่รัก(และหลง) ห่วงใย เอาใจใส่พี่ภูแบบถวายหัว
เอาใจช่วยลูกชายแบบหนูพุก อย่ารอช้า นรกไม่กินกบาลแล้ว เดินหน้าจีบเลย
โอกาสแบบที่อิฐว่าไงหนูพุก จำได้มั้ยย รุกๆๆ  :hao7:

อ่านจบต้องไปหาสปาเกตตี้คาโบนาร่ากินละ  :z6:



หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 02-09-2018 12:21:26
สงสารหนูพุกกก :z3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-09-2018 16:23:25
เราว่าหนูพุกเหมาะกับอิฐมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 02-09-2018 16:37:38
ทำไมไม่ดีใจเลยที่พี่ภุเลิกกับแพร แอบคิดว่าหนูพุกไม่เหมาะกับภู เอาจริงคิดว่าภูไม่เหมาะกับใครเลยจากนิสัยบ้างาน อยากเชียพ่อเลี้ยงมากกว่าแต้จากชิ่อเรื่องแล้วคงไม่มีลุ้นแน่
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-09-2018 16:56:54
 :mew1: :mew1: :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 02-09-2018 17:56:42
สงสารหนู​พุกจัง​ อดทนนะลูก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-09-2018 18:27:58
คนบ้างานแบบพี่ภูคงเหมาะกับเลขาแบบหนูพุกแหล่ะเราว่า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 02-09-2018 18:55:36
อยากรู้ว่าพี่ภูจะทำให้เรายอมรับว่าสมควรเป็นพระเอกยังไง :z3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-09-2018 21:36:04
 :mew6: สงสารนะ แต่ละคน
แพร ก็คิดว่าอายุมากแล้วอยากมีครอบครัว
ภู ก็เป็นคนบ้างานนะ แต่ไลฟ์สไตล์ต่างกันกับแพร
พุก นี่ยอมทุกอย่างขอให้ได้รัก
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-09-2018 21:38:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-09-2018 21:47:22
เป็นกำลังใจให้หนูพุกนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 02-09-2018 22:34:23
พี่ภูเลิกกับคุณแพรแล้ว ทำไมไม่ดีใจเลยอะ ยิ่งต้องเห็นหนูพุกมาปลอบมันยิ่งเจ็บ เพราะพี่ภูก็ดูรักคุณแพรมากด้วย สงสารหนูกพุก เข็มแข็งไว้นะหนู อยากให้ถึงเสาร์หน้าเร็วๆจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 03-09-2018 01:45:59
กำ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 03-09-2018 04:52:55
โอกาสเป็นของหนูพุกแล้ว สู้ๆน้าจ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Justccwpo ที่ 05-09-2018 11:22:47
เห้อออ อยากให้หนูพุกใจแข็งกว่านี้
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 14 --- [ 02.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-09-2018 12:51:38
จากกันด้วยดีนะพี่ภูคุณแพร... ยังไงต่อไปดีล่ะหนูพุก
ต้องมาปลอบคนที่ตัวเองแอบชอบเพราะดขาอกหักจากผู้หญิง  :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 14-09-2018 23:50:08
Chapter 15





   ลมจากเครื่องปรับอากาศเย็นจัดพัดมากระทบผิวกายของชายหนุ่มที่นอนซบอยู่บนหน้าตักนุ่มนิ่ม คีรินทร์พลิกตัวแล้วก็พบว่าเขาเกือบไถลตกจากท่อนขาเรียว ใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาทีสายตาเขาก็ชินกับความมืด เขาขยับแขนน้อย ๆ ที่พาดลงมาบนไหล่ของตัวเองออกอย่างแผ่วเบาด้วยกลัวว่าคนหลับทั้งที่ยังเอื้อเฟื้อตักให้ยืมจะตื่นขึ้น


   นาฬิกาบอกเวลาเกือบจะตีห้าแล้ว ภูนิ่วหน้า ตำหนิตัวเองในใจที่ทำให้คนอื่นลำบาก เมื่อชายหนุ่มทรงตัวได้เขาก็ค่อยๆขยับผ้าห่มออก ช้อนตัวคนขี้เซาให้นอนลงบนฟูกนุ่มอย่างที่ควรจะเป็น


   “ขอบใจนะ…” ภูกระซิบ ใช้ปลายนิ้วจัดผมหน้าม้ายับยุ่งที่อาจมีส่วนให้นอนไม่สบายเพราะทิ่มเปลือกตาให้


   ดวงตาคมอ่อนแสงลงอีกเมื่ออีกฝ่ายทำจมูกฟุดฟิดในตอนที่ยื่นมือเข้าใกล้ ไม่ทันไรหนูพุกก็ขยับตะแคงและนอนขดตัวหันหน้ามาทางเขา


   ...สงสัยจะหนาว…


   ภูยกผ้าห่มนวมขึ้นคลุมให้เลขานุการหนุ่มผู้ไม่ต่างอะไรไปจากเด็กเล็ก ๆ ในยามนี้ ร่างสูงใหญ่เอนตัวลงนอนเคียงกันในพื้นที่ที่หนูพุกจัดเอาไว้ให้ แล้วดึงเอาชายผ้าหนานุ่มอีกด้านมาห่มบ้าง


   เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง อีกไม่นานแสงอาทิตย์คงสาดผ่านหน้าต่างเข้ามาเตือนว่าหมดเวลาสำหรับการพักผ่อนแล้ว หากคีรินทร์ยังลืมตาโพลงอยู่ในความมืด


ห้วงความเศร้าโศกก่อตัวคล้ายพายุดำทะมึน เพียงตั้งเค้ายังไม่ทันได้กลั่นเป็นหยาดฝนก็ถูกทลายลงด้วยสัมผัสจากเนื้อตัวคนด้านข้าง


หนูพุกห่อตัวด้วยผ้าห่มด้านหนึ่ง อีกด้านก็ขยับเข้าหาสิ่งที่อุ่นมากกว่าผ้าเพื่อให้นอนสบาย


“มุดเก่งจังนะ” เจ้าของริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าศีรษะทุยไถลตกจากหมอนมาแปะลงบนหัวไหล่เขาแทน จมูกโด่งสูงคลอเคลียอยู่บนเสื้อยืดเนื้อนุ่มเหนือต้นแขนชวนจั๊กจี้ ทว่าคนเส้นลึกก็ยังอดทนได้


เห็นว่าให้ยืมตักอยู่ตั้งนาน อย่างนี้ก็ถือว่าแลกกัน





-----------------------------------------------------------------------





ตั้งแต่ที่ให้พี่ภูไปพักที่คอนโดด้วย กิจวัตรช่วงเช้าของหนูพุกก็เปลี่ยนไป จากที่ต้องรีบตื่น ขึ้นไปเบียดเสียดกับประชากรแน่นขนัดราวกับฝูงปลาสวายในเขตอภัยทานบนรถไฟฟ้าเพื่อถึงที่ทำงานให้ไวกว่าเจ้านาย พร้อมเตรียมอาหารให้เขาทุกวันก็ดีขึ้นหน่อย


หนูพุกไม่ต้องตื่นเช้ามาก ไม่ต้องรีบแจ้นหาอะไรเข้าปากลวก ๆ แค่ตื่นมานั่งคอยพี่ภูอาบน้ำ ขึ้นรถที่อีกฝ่ายเป็นสารถีขับรถออกไปหาอะไรกินด้วยกันแล้วค่อยแวะที่ทำงาน


อย่างน้อยที่สุดหนูพุกก็ไม่ต้องกินนมกับขนมปังในร้านสะดวกซื้อทุกเช้า แต่กลับได้รับประทานอาหารครบห้าหมู่ตั้งแต่มื้อแรกของวันอย่างที่หม่าม้าต้องยิ้มกว้างแน่หากพบว่าวิถีชีวิตเขาเปลี่ยนไปในทางที่น่าเป็นห่วงน้อยลง


“พี่ภูครับ… มีเมสเซ็นเจอร์มาส่งของไว้ครับ” หนูพุกยื่นซองกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือให้ชายหนุ่ม รอยยิ้มที่มักจะเริ่มที่ริมฝีปากเผื่อแผ่ไปจนแววตาสุกใสเจื่อนลงนิดหน่อยตอนเซ็นรับของแล้วพบว่าผู้ส่งเป็นใคร


“แต๊งกิ้ว เย็นนี้อยากกินอะไรคิดไว้เลยนะ” คีรินทร์ยิ้มให้คนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงในช่วงสองสามวันมานี้


ตั้งแต่ถูกคุณแพรบอกเลิก กิจวัตรหนึ่งที่เขาเห็นว่าเจ้านายหนุ่มพยายามจะลด ละ เลิก คือการทำงานหลังเวลาเลิกงาน หนูพุกไม่ค่อยแน่ใจนักว่าด้วยเหตุใด หากนั่นก็ถือเป็นผลดีกับตัวพี่ภูเอง


...สำคัญที่สุดคือกับหนูพุกด้วย...


กิจวัตรหลังเลิกงานของคนทำกับข้าวไม่เอาอ่าวทั้งคู่จึงเป็นไปในทางช่วยกันหาร้านอาหารจากเว็บไซต์รีวิวต่าง ๆ มาแชร์กันโดยเลือกร้านสลับกันคนละวัน ทำให้ร้านตามสั่งหน้าปากซอยคงเหงาไปบ้างที่ไม่ต้องคอยรับสายตอนค่ำด้วยไม่มีใครทำงานล่วงเวลาจนต้องสั่งข้าวมากินอีกต่อไปแล้ว


หนูพุกเพิ่งจะรู้ว่าคอนโดที่คิดว่าขนาดกว้างพอสมควรกลับคับแคบลงถนัดใจเมื่อมีใครอีกคนเข้ามาใช้ชีวิตร่วมด้วยชั่วคราว แม้ว่าเขาภาวนาจะให้มันเป็นอะไรที่มั่นคงถาวรก็ตาม


“พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านหน่อยแล้ว ขอบคุณที่ให้กวนตั้งหลายวันนะ” คีรินทร์ยิ้ม ตบไหล่หนูพุกที่ไล่เปิดโทรทัศน์หาช่องที่พอใจจนเลขาหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งแล้ง


...เพิ่งจะภาวนาในใจไปแหม็บๆ...


ร่างกายสูงใหญ่เดินไปเก็บผ้าที่เพิ่งซักและอบเสร็จลงกระเป๋าเป้ขนาดย่อมซึ่งมักจะติดเอาไว้ที่รถ หนูพุกเลิกคิ้วเมื่อพี่ภูพับมันลวก ๆ จนก้อนผ้าเหล่านั้นดูคล้ายกับการม้วนมากกว่าพับอย่างเป็นระเบียบ ปริศนาในใจเริ่มกระจ่างที่เห็นว่าอีกฝ่ายมักจะใส่เสื้อที่ดูธรรมดาหากเป็นของแบรนด์เนมที่ทำจากผ้าเกรดดี ด้วยเวลาพับ ๆ ม้วน ๆ จะได้ไม่เป็นรอยง่ายอย่างนี้เอง


“พี่ภูอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ” เจ้าของห้องว่า ยามมีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ เขาเห็นชื่อคนโทรแล้วก็ยิ้มจาง สงสัยจะได้คุยกันยาวแน่ ๆ


หนูพุกผลุบหายไปที่ระเบียง ตรวจตราดิบดีว่าเขาปิดประตูสนิทแล้วเพื่อไม่ให้เสียงคุยลอดเข้าไปด้านในห้อง พอยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทก็ดังแว่วมาตามสาย


“หายเงียบเลยนะยะ”


“ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย แล้วแกล่ะ ไม่บินเหรอ” ชายหนุ่มเท้าแขนลงบนราวระเบียง ทอดมองแสงไฟวิบวับสุดขอบฟ้า


“วันหยุดน่ะ จะโทรมาบอกว่า ฉันกำลังจะได้เป็นเจ้าสาว!”


เสียงกรี๊ดกร๊าดจากปลายสายทำให้ใจของหนูพุกลิงโลดไปด้วย เขายิ้มจนแก้มกลมอ้าปากจะแสดงความยินดีแต่หาช่องไฟแทรกไม่ทันเมษาพูดเสียทีจึงได้แต่สุขใจที่เพื่อนจะเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่เงียบ ๆ รอจนฝั่งนั้นปลดปล่อยความดีใจสุดกู่จบแล้วถึงได้เริ่มถามบ้าง


“แล้วฤกษ์เมื่อไหร่ล่ะ”


“ยังไม่ได้ฤกษ์ แต่ก็คงหาฤกษ์สะดวกแหละ… แกต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยนะ” หนูพุกส่ายศีรษะ เดาว่าขบวนเพื่อนเจ้าสาวของสาวสังคมคนนี้คงยาวเป็นหางว่าว


คนที่น่าเป็นห่วงท่าจะเป็นนักบินหนุ่มซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าบ่าวในเร็ววันนี้ แฟนหนุ่มของเมษาเป็นคนประเภทที่หนูพุกไม่คิดว่าจะมาลงเอยกับเพื่อนสนิทเขาได้ ด้วยอุปนิสัยนั้นต่างกันคนละขั้ว


เจ้าสาวใจร้อน แต่เจ้าบ่าวใจเย็น


เจ้าสาวคุยเก่ง แต่เจ้าบ่าวพูดน้อย


เจ้าสาวเป็นคนฉับไว แต่เจ้าบ่าวกลับทำอะไรอย่างเนิบ ๆ


กระนั้นความรักของแอร์โฮสเตสสาวและนักบินหนุ่มคงเป็นประเภทเดียวกับแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดเข้าหากันจนพอดิบพอดี


“แกนั่นแหละ เป็นยังไงบ้าง ไอ้แผนพิชิตพี่ภูของแกคือยังไง ไปถึงไหนแล้ว” หญิงสาวที่เพิ่งจะร่าเริงด้วยโหมดเสียงสองวกกลับมาทำเสียงเข้มไล่บี้กันเสียอย่างนั้น


“ก็ไม่ยังไงนะ คือเขาเพิ่งเลิกกับแฟนน่ะ” หนูพุกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ประเดประดังจนเขาเสียศูนย์ไปหลายวันให้เพื่อนฟัง รวมถึงข้อมูลเชิงลึกที่คีรินทร์เล่าให้ฟังว่าเขาเป็นคนรักที่ใช้ไม่ได้อย่างไรถึงถูกทิ้งไป


“อ้าว คือแฟนเขาบอกเลิกถาวรเลยเหรอ”


“ก็คงเลิกถาวรมั้ง เห็นพี่ภูเศร้าหนักอยู่เหมือนกัน นี่ก็คงอยู่บ้านไม่ได้สักพักเพราะทำใจไม่ได้ เลยให้มานอนที่คอนโดน่ะ”


หนูพุกถอนใจ เขาแอบเห็นพี่ภูลุกขึ้นมานั่งเฉย ๆ ตอนกลางดึกในช่วงวันสองวันแรก สุดท้ายก็เป็นอันว่าเขาต้องลุกขึ้นมาปลอบจนอีกฝ่ายหลับคาตักอยู่ร่ำไป


“แน่ใจนะว่าที่ทำนี่คือรักเขาจริง ๆ ไม่ใช่แค่หลงที่เขาเคยทำดีกับแก” หนูพุกได้ยินเสียงทิ้งตัวลงบนเบาะนุ่ม ๆ จากอีกฝั่งและเสียงรินน้ำใส่แก้วแทรกเข้ามา สงสัยเมษาคงจะเหนื่อยใจกับเขามากจนต้องหาที่นั่งจิบน้ำไปคุยไป


“ไม่ได้หลงหรอกน่า ฉันผ่านช่วงหลงมาแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่ามันต่างกันยังไง” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เข้าใจเจตนาของเมษาที่จะรั้งให้เขาได้ฉุกคิด ไม่ใช่หลงงมงายเชื่อใจใครไปโดยไม่ประสา สุดท้ายก็ถูกหลอกและนอกใจ


...หากกับพี่ภูมันต่างกัน…


ตัวตนในวัยมัธยมของคีรินทร์จางลง ในขณะที่ตัวตนวัยทำงานกลับชัดเจนมากขึ้น หนูพุกไม่ได้รู้สึกเพียงแต่ปลาบปลื้มกับความเป็น ‘ภู’ เท่านั้น แต่ยังศรัทธาในความเก่งกาจรอบด้าน ทั้งเนื้อแท้ที่เอื้อเฟื้อกับคนรอบข้างมากกว่าการเล่นไปตามบทบาทของเจ้านายอย่างที่เขาเคยพบมา


“แต่แกอย่าลืมนะ ทุกอย่างที่เขาทำเพราะขอบเขตของความเป็นเจ้านาย การเป็นเจ้านายที่ดีก็เรื่องหนึ่ง แต่เป็นคนรักที่ดีก็อีกเรื่องหนึ่ง” น้ำเสียงของคนทะเล้นจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับหนูพุกกำลังคุยอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างไรอย่างนั้น


“ดูจากที่เขาทำกับคุณแพรแล้วฉันว่าก็หนักอยู่นะ แบบนี้แกจะอยู่ได้เหรอ ลองเป็นแฟนฉันลืมวันครบรอบเกือบทุกปีหรือมีลืมวันเกิดคงต้องมีหัวแตกกันไปบ้าง” เมษาหัวเราะคิกคัก หนูพุกรู้ว่าเพื่อนคงไม่ฟาดหัวใครจริง ๆ เพียงแต่พูดเล่นไปตามประสาเท่านั้นเอง


“เว่อร์มาก”


“แล้วถ้าเกิดว่าเขาทำกับแกเหมือนแฟนเก่าคนที่ผ่านมาล่ะ”


“ทำอะไร ลืมวันเกิดเหรอ… ไม่ต้องกังวลเลย เพราะเกิดวันเดียวกัน” หนูพุกยิ้มกว้าง เหลือบเข้าไปเห็นสวนขวดที่ได้มาเมื่อวันเกิดเเล้วก็อมยิ้ม


...เขานั่งดูมันเกือบทุกวัน…


“แล้วอย่างเช่น… ที่เขาทำงานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนั้น แกโอเคจริงดิ”


“ก็โอเคนะ เขาก็มีแอบเปิดโน๊ตบุ๊กทำงานบ้าง ฉันก็อยู่ของฉัน ดูทีวีไป หรือไม่ก็ทำงาน อ่านหนังสือบ้าง ยังไม่มีปัญหาอะไร…”


เมษาครางในลำคอ พอจะเห็นความสอดคล้องของวิถีชีวิตคนคู่นี้อยู่บ้าง แลดูจะเป็นพวกติดบ้าน ซ้ำยังเป็นพวกพลีกายถวายชีวิตให้งานเหมือนกันอีก ไม่แน่...สวรรค์อาจจะสร้างสองคนนี้มาคู่กันจริง ๆ ก็ได้


“ฉันเข้าใจว่าแกเป็นห่วงนะเมย์ แต่สำหรับฉัน… พี่ภูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย เขาเป็นคนเก่งงานแต่ดันสอบตกเรื่องความสัมพันธ์เท่านั้นเอง” นิ้วเรียวเคาะลงบนราวเหล็กเป็นจังหวะ คิดถึงลักษณะนิสัยของคีรินทร์ที่เข้าไปอาบน้ำแล้วอย่างจริงจัง


การที่พี่ภูซบหน้าลงบนตักเขาและยอมเปิดใจเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังนั่นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนูพุกคิดจะไปต่อ เขาไม่ได้มองว่าพี่ภูเป็นพวกดีไปหมดทุกกระเบียด บางเรื่องที่ฟังแล้วเขาไม่ชอบใจก็มี


แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่พี่ภูรู้สึกผิดและตั้งใจจะแก้ไขมันต่างหากที่ทำให้เขาสมัครใจจะ ‘รัก’ ต่อไป


“ตกลงว่าชัวร์แล้ว?” เมษาถามย้ำ


ทีแรกเธอเพียงนึกคะนองอยากช่วยเพื่อนเพราะเห็นว่าหนูพุกรอคนคนนี้มานานเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นข้อเสียขนาดเท่าบ้านในขณะที่มันเป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋วเท่าปลายนิ้วก้อยสำหรับหนูพุก ที่เคยเป็นห่วงจับใจก็คลายลง


“ชัวร์มาก ๆ” หนูพุกรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยิ้มน้อย ๆ ยามมองออกไปยังขอบฟ้าสีดำ ตอนนี้ลมแรงขึ้นนิดหน่อยและฝนก็เริ่มตั้งเค้า ปลายฝนต้นหนาวมันก็อย่างนี้


“ถ้าชัวร์งั้นมาดูความคืบหน้าของแผนกัน ว่ายังไง… จีบไปถึงไหนแล้ว”


“ก็พยายามอยู่เรื่อย ๆ นะ…” ถ้อยคำจากปากเพื่อนทำเอาเมษาแทบจะยกมือกุมขมับ ด้วยท่าทีที่หนูพุกแสดงออกไม่ได้ดูใกล้เคียงสิ่งที่ควรจะเป็นการ ‘จีบ’ อันควรจะเป็นในสมัยศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเลยแม้แต่น้อย


“โอ๊ย! ฉันอยากจะจับแกใส่โหลแล้วเขย่า ๆ นี่หลุดมาจากสมัยไหน อยุธยาหรือธนบุรี ”


“มากกว่านี้ก็ต้องเดินไปบอกว่าชอบแล้วหรือเปล่า” ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างระอาใจ


“แกนี่มันไม่เป็นงานเลยว่ะ... “ เมษาส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ คิดหาวิธีที่จะทำให้เพื่อนก้าวหน้าไปไกลกว่าที่เป็นอยู่


“ต้องเป็นแค่ไหนถึงจะถูกใจแกวะ” หนูพุกหัวเราะขบขัน แค่ได้ยินเสียงฟึดฟัดของเพื่อนสาวและเสียงโทรทัศน์แทรกเข้ามาก็ตลกแย่แล้ว


“เฮ้ย นี่ไง!” เมษาตะโกนจนคนฟังตกใจ “แกไปเปิดทีวีเลย อีกสิบนาทีมันจะมีฉายหนังผี” เสียงสดใสที่บอกพิกัดช่องให้การันตีท่าทางของเจ้าตัวว่าคงเบิกบานมากแน่


“แกก็ไปชวนเขามาดูหนัง เรื่องนี้ฉันเคยดู… สักครึ่งชั่วโมงไปแล้วมันจะน่ากลัวมาก แกก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปหาเขา… เนียน ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ จะเริ่มต้นจากการจิกเสื้อก่อนก็ได้ จากนั้นค่อยขยับไปแตะแขน...”


“....”


“แกควรแตะตัวเขาให้ได้ก่อนหนังจบสักครึ่งชั่วโมง จริง ๆ นี่ก็ช้าแล้วนะ” เมษาสาธยายฉากในหนังผีเรื่องที่หนูพุกไม่แม้แต่จะคิดเฉียดกรายเข้าไปใกล้ ซ้ำยังช่วยติวท่วงท่าให้อย่างละเอียดลออ


“ไม่เอา! กลัวผี!”


“พี่ภูก็คอยปลอบแกอยู่นั่นไง จะไปคิดอะไรมากวะ” หญิงสาวถอนใจแล้วยื่นคำขาด


“ถ้าแกไม่เดินหน้า แกก็จะเป็นเลขาเขาต่อไป ถ้าอยากเป็นมากกว่าเลขาก็กล้า ๆ หน่อย” สุ้มเสียงนั้นเฉียบขาดจนหนูพุกกลืนน้ำลายเอื๊อก ด้วยเจ้าตัวไม่ถูกโรคกับอะไรลี้ลับเท่าไหร่นัก


“ยังไงโทรมาอัพเดตความคืบหน้าด้วย ฉันจะเฟซไทม์กับแฟนแล้ว”


“....” ยังไม่ทันได้เถียง คนปรู๊ดปร๊าดอย่างกับจรวดก็ชิงวางสาย ปล่อยให้หนูพุกมองทัชโฟนในมืออย่างชั่งใจ


...เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน…
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 14-09-2018 23:51:27
หนูพุกสูดหายใจลึก ประโยคที่ว่า ‘ถ้าอยากเป็นมากกว่าเลขาก็กล้า ๆ หน่อย’ สะกิดให้เขาฮึดสู้ขึ้นอีก จริง ๆ ชายหนุ่มก็พอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าบรรยากาศจากภาพยนตร์จะช่วยให้ใกล้ชิดกันได้มากขึ้น


ร่างเพรียวบางเดินกลับเข้าไปที่หน้าโซฟา เขาแอบชะโงกหน้าดูหน่อยแล้วก็พบว่าพี่ภูยังไม่ออกมาจากห้องน้ำ หนูพุกกำรีโมทโทรทัศน์ไว้แน่นราวกับต้องรวบรวมความกล้าที่มีทั้งชีวิตมาเพื่อเปิดดูหนังผี


โทรทัศน์แขวนผนังขนาดสี่สิบนิ้วดูกว้างขึ้นกว่าที่เคยตอนที่หน้าจอกลายเป็นสีแดงของห้องล้างฟิล์มทั้งหมด แม้จะยังไม่มีอะไรมากมายนักหากเสียงปึงปังกลับทำให้หนูพุกสะดุ้งสุดตัวจนเผลอยืดขาไปกระแทกโต๊ะกระจกเตี้ยจนแก้วน้ำหกระเนระนาด โชคดีที่มันไม่หกไปลงพรมไม่อย่างนั้นคงต้องทำความสะอาดเป็นการใหญ่


“หนูพุก!”


ต้นตอของเสียงประตูปิดรุดเข้ามาหาเขา ดวงตาคมมองจอโทรทัศน์และเจ้าของห้องสลับกันแล้วก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ คีรินทร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ แล้วทรุดตัวลงช่วยหนูพุกเก็บแก้วน้ำสองใบขึ้นวางตั้ง ใช้ทิชชู่ซับน้ำเปล่าที่หกเลอะเทอะจนหน้าโต๊ะแห้งสนิท


“เพิ่งเริ่มก็กลัวเล้วเนี่ยเรา” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ทอดมองหนูพุกที่หดขากลับขึ้นไปบนโซฟาเเล้วเริ่มม้วนตัวเองเป็นก้อนอย่างนึกเอ็นดู


“พี่ภูเคยดูแล้วเหรอครับ” เลขาหนุ่มหันมามองตาปริบ ๆ รู้สึกถึงแผนการที่ล่มสลายลง


“เคยดูตอนม.ปลาย นานมากแล้ว ไม่นึกว่ายังเอากลับมาฉายอีก… เรายังไม่เคยดูเหรอ” ร่างกายใหญ่โตทรุดนั่งลงข้างกันทำให้หนูพุกสัมผัสถึงเบาะที่ยวบลงและกลิ่นครีมอาบน้ำลอยมาเตะจมูก


“ยังครับ นี่ครั้งแรก”


“งั้นก็ดูด้วยกัน.. .เดี๋ยวพี่ไปปิดไฟให้” คีรินทร์ลุกไปกดปิดสวิตช์จนไฟทั้งห้องมืดสนิท เหลือเพียงแสงจากหน้าจอโทรทัศน์เท่านั้น


“....” บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่เป็นไปอย่างเงียบเชียบ คีรินทร์นั่งพิงพนักนุ่มด้วยอากัปสบาย ๆ แต่อีกคนกลับนั่งกอดหมอนอิงจนตัวกลมปุ๊ก


   หนูพุกรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเย็นลงทุกขณะ ใจเต้นแรงขึ้นอีกในตอนที่หนังเงียบลง ที่สุดแล้วร่างกายผอมบางก็สะดุ้งสั่นเพราะเสียงรถชน


   เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ แผนของเมษาที่ให้ค่อย ๆ ขยับเข้าชิดพี่ภูยังรบกวนอยู่ในสมอง หนูพุกพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับเข้าหาอย่างเนียน ๆ ในจังหวะที่รถยนต์ในจอหมุนคว้าง ดวงตาเรียวลอบมองอีกคนที่จดจ่อกับภาพยนตร์อย่างจริงจังแล้วก็สบโอกาสขยับเข้าไปอีก


   ...ผีก็กลัว ยังจะต้องอ่อยอีก…


   โชคดีที่โซฟาในห้องขนาดค่อนข้างกะทัดรัด พอเข้าจังหวะบีบหัวใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้นแขนเล็กก็เเตะกับเสื้อยืดสีขาวของพี่ภูพอดี


   “ทำอะไร ดูครึ่งจอเหรอ” คนตัวสูงกว่ามองเลขาหนุ่มยกมือตั้งการ์ดบังจอไว้ครึ่งหนึ่งแล้วหัวเราะขัน ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นท่าทีอะไรอย่างนี้จากชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ด


   “เวลาผีมาจะได้ปิดตาทันไงครับ” หนูพุกหัวเราะแหะ ๆ


“ฉากนี้ยังไม่มีผีหรอก” คนแก่กว่าสปอย เห็นอีกคนเอามือเอาหมอนมาบังเป็นพัลวันแล้วก็มีแต่ความเอ็นดู น่าแปลกที่ไม่นึกรำคาญเลยแม้สักนิดเดียว


“พี่ภูไปไหน!” หนูพุกร้องเสียงหลงยามคีรินทร์ุกขึ้นจนเต็มความสูง มือน้อยเอื้อมดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างเผลอตัว


“หนีแล้ว...” เขายิ้มพลางยกกำปั้นขึ้นมาแจกมะเหงกให้เบา ๆ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้หนูพุกนั่งมองโต๊ะใจสั่น


หรือพี่ภูจะรู้ตัวว่ากำลังถูกอ่อยแต่ไม่เล่นด้วย… หากเป็นอย่างที่คิดจริงก็เท่ากับว่าแผนการที่เมษาเพิ่งวางให้หมาด ๆ ล้มไม่เป็นท่า


ไม่ได้… หนูพุกจะไม่ยอมหน้าแตกเด็ดขาด!


”อ๊ากกก!”


ยังไม่ทันจะเก๊กท่าตั้งใจดูได้เหมาะ ๆ สะดุ้งอีกเพราะนิ้วมือที่โผล่ขึ้นจากอ่างน้ำ เสียงทุบประตูที่ดังออกมาทำเขาตัวแข็งทื่อ ยามมีสัมผัสนุ่มอุ่นมาแตะตัวหนูพุกเด้งผึง กอดหมอนไว้มือหนึ่ง รั้งพนักโซฟาไว้อีกมือหนึ่ง


“พี่เอง” สงสัยว่ากริยาองหนูพุกจะน่าตกใจมากจนพี่ภูหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง


“พุกนึกว่าพี่ภูหนีเข้าห้องไปนอนแล้วเสียอีก” หนูพุกยู่หน้า กางเเขนรับผ้าห่มนวมผืนใหญ่ที่อีกฝ่ายเข้าไปเอามาให้


“พี่ยังไม่ง่วง เดี๋ยวหนูพุกเจอผีคนเดียวล่ะแย่เลย” เขายกยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับด้วยนึกชอบใจยามเห็นอีกฝ่ายเปิดเผยท่าทีโก๊ะกังโดยไม่เจตนา


“ผีอะไรครับ ไม่มีสักหน่อย” ดวงหน้าขาวนวลขึ้นริ้วสีแดงน้อย ๆ เลขาหนุ่มนึกขอบคุณความมืดที่โอบล้อมห้องนี้เอาไว้ที่ไม่ทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้


“ไม่มีแต่กลัวจนตัวเย็นเลยนะ” ภูหัวเราะหึ ๆ ช่วยหนูพุกกางผ้าห่มคลุมไหล่เอาไว้เพราะลมจากเครื่องปรับอากาศแบบฝังฝ้าตกตรงนั้นพอดี


“คนละครึ่งครับ” ชายผ้าห่มสีขาวถูกส่งให้คนตัวใหญ่กว่า ซึ่งเขาก็รับมาคลุมแต่โดยดีทำให้หัวไหล่ของทั้งเจ้านายและลูกน้องเบียดชิด


เวลาล่วงไปพร้อมกับความระทึก สมาธิของหนูพุกจดจ่ออยู่กับหน้าจอจนลืมเลือนสิ่งที่เพื่อนติวให้ไปเสียสนิท เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ชวนให้คิดตามกระทั่งเสียงค่อย ๆ เงียบลง จนเกือบจะเงียบสนิทกระทั่งซาวด์เอฟเฟกต์ดังขึ้น


“เหวอออ!”


ภาพศพถูกพลิกมาต่อหน้าไม่ได้ทำให้หนูพุกคิดว่าสเต็ปต่อไปจะต้องจิกสื้อจิกแขนอะไรทั้งนั้น เขากรีดร้องเเละมุดเข้าซุกอกกว้างโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลยด้วยซ้ำ


“ไม่มีแล้ว… ไม่น่ากลัวแล้ว” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนแผ่นหลังของหนูพุกเบา ๆ แล้วก้มมองร่างผอมบางที่สั่นเทาจนเขาสัมผัสได้ ยามหนูพุกเงยหน้าขึ้นดวงตาเรียวรื้นน้ำจึงสบเข้ากับดวงตาสีนิลพอดิบพอดี


“อะ… ขอโทษครับ” หนูพุกสูดหายใจ ปรับสีหน้าให้เป็นปกติทั้งที่ก้อนเนื้อในอกเต้นไม่เป็นส่ำ พี่ภูเพียงแต่พยักหน้า ออกจะรักษาท่าทีได้มั่นคงสมชื่อเสียด้วยซ้ำ


ฉากจบทำให้หนูพุกขนลุกเกรียวไปตลอดทั้งร่าง ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะยกมือปิดตาด้วยซ้ำเนื่องจากมันสอดคล้องกับเรื่องราวในหนัง


แค่ลองคิดว่าสัมผัสจากมือตัวเองเป็นมือของสิ่งลึกลับเขาก็ไม่โอเคแล้ว!


หนูพุกลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่าคนแก่วัยกว่าปลดผ้าห่มลงเเละเริ่มใช้แขนขวานวดไหล่อีกข้าง เขาขยับบริหารคอไปเพราะความเมื่อยขบแล้วคนมองก็ตัวเกร็ง


“พี่ภู… เมื่อยไหล่เหรอครับ”


…ไม่ได้มีอะไรขี่คออยู่ใช่ไหม…


“เมื่อยสิ เป็นโซฟาตัวที่สองให้ใครก็ไม่รู้” ชายหนุ่มก้มลงมองชายเสื้อที่หนูพุกขยับเข้ามาชิดแล้วบิดเสียยับเป็นรอย เขาลุกขึ้นพลางสะบัดผ้าห่มเตรียมนำกลับไปไว้ในห้องนอน


“ดูหนังจบแล้วก็ไปอาบน้ำด้วยเราน่ะ”


“รู้แล้วครับ” หนูพุกเลี่ยงเข้าห้องนอนก่อน เพราะไม่อยากให้เขาเห็นหน้าแล้วสับสนว่านี่หน้าคนหรือลูกตำลึงสุก


ร่างผอมบางหายลับเข้าห้องไปแต่ก็ไม่กล้าปิดประตู เขาสบตากับตู้เสื้อผ้าซึ่งทำหน้าบานเป็นกระจกยาวเต็มแผ่นแล้วก็รู้สึกหวิว ๆ ขึ้นมาอีกรอบ


ถ้าเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่ามีคนขี่คออยู่…เขาต้องกรีดร้องจนไม่เป็นผู้เป็นคนแน่ ๆ


“บ้าแล้วไอ้พุก” มือเรียวตบแก้มตัวเองเบา ๆ หากไม่สามารถสลัดเอาอาการขวัญเสียออกไปได้


ทั้งภาพทั้งเสียงยังรบกวนความคิดของหนูพุกไม่เลิกรา ความอ่อนไหวต่อสิ่งลี้ลับเป็นเหตุให้เขาไม่ยอมดูหนังสยองขวัญหรือแม้กระทั่งฟังเรื่องผีมาตั้งแต่เด็กจนโต


“ทำไมวันนี้อาบน้ำช้าจัง” คนที่ใช้เตียงเดียวกันมาหลายวันนิ่วหน้า ปกติหนูพุกค่อนข้างจะฉับไวในระดับหนึ่ง แต่วันนี้กลับยังนั่งเลือกชุดนอนไม่เลิก


“ดะ… เดี๋ยวก็ไปแล้วครับ”


เหมือนแผนดูหนังผีของเมษาท่าจะไม่เวิร์ค เขาไม่มีสติพอจะรู้ด้วยซ้ำว่าการ ‘อ่อย’ อย่างที่ว่านั้นสัมฤทธิ์ผลแค่ไหนเพราะมัวแต่ปิดหูปิดตากลัว แถมดูท่าแล้วคงต้องหลอนไปอีกทั้งคืน


เลขาหนุ่มกัดริมฝีปากตัวเอง พยายามจะทำลืม ๆ ความหวาดกลัวที่เกาะอยู่ในห้วงความคิด หากเป็นเด็ก ๆ หนูพุกคงจะเลือกมุดเตียงนอนเลยด้วยกลัวจนไม่กล้าอาบน้ำ


...ภาพมือที่โผล่ขึ้นพร้อมน้ำล้นจากอ่างมันยังติดตาอยู่เลย…


“นี่… อย่าบอกนะว่ากลัวจนไม่กล้าอาบน้ำ” คีรินทร์หรี่ตาจับผิดท่าทีลุกลี้ลุกลน จากหน้าตู้เสื้อผ้าไปห้องน้ำไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำแต่หนูพุกก็ลุก ๆ นั่ง ๆ ไม่ยอมเข้าห้องน้ำไปเสียที


“ปะ เปล่านะครับ ไม่ได้กลัวสักหน่อย!”


คนตัวเล็กกว่าเบิกตาสู้ กะจะอวดความเข้มแข็งผ่านแววตา หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ด้วยในแววตารื้นน้ำคู่นั้นมีเพียงความหวั่นใจฉายอยู่เท่านั้นเอง


“ตอนส่องกระจกระวังนะ… ช่วงนี้ปวดไหล่ปวดคอหรือเปล่า” ตาคมพราวระยับ ภูขับเข้าชิดและก้มกระซิบเสียงพร่า


“พี่ภู!” คราวนี้หนูพุกยกมือตีเขาดังเผียะ ลืมสิ้นแล้วเรื่องความเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง


“แกล้งแบบนี้ พุกไม่อาบน้ำแล้ว นอนเน่า ๆ แบบนี้แหละ” คนโมเมวางเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวไว้บนโต๊ะหน้ากระจก


อย่างน้อยเขาก็กำจัดปัญหากลัวผีตอนอาบน้ำไปได้ โยนความผิดให้พี่ภูไปแบบนี้แหละ ทนไม่ได้ก็ออกไปนอนโซฟาเลย! แกล้งกันอยู่ได้!


“ขี้งอน… ไปอาบน้ำเลย” คีรินทร์โคลงศีรษะ มือไวพอรั้งตัวคนจะมั่วนิ่มโผลงเตียงไว้ได้


“ตอนแรกพุกก็ไม่กลัวผีนะ… พอพี่ภูแกล้งพุกก็กลัวขึ้นมาเลย” ท่าทางของเลขาหนุ่มตอนนี้มันน่าเอานิ้วดีดหัวเหม่งสักทีสองที กลัวผีจนไม่กล้าอาบน้ำเขาก็เคย แต่มันก็แค่ตอนเด็ก นึกไม่ถึงว่ารายนี้จะยังเป็นอยู่


“ไปอาบ เดี๋ยวพี่นั่งเฝ้า”


“ฮะ… คือ… มะ ไม่สิ พี่ภูเข้าไปนั่งเฝ้าไม่ได้นะครับ!” หนูพุกยกสองมือขึ้นปรามเขา


“นั่งเฝ้าอยู่ข้างนอกสิ พี่จะเข้าไปด้วยทำไม บ๊อง” จากที่คิดเฉย ๆ นิ้วชี้ใหญ่ก็เคาะลงบนหน้าผากเด็กอกุศลไปทีหนึ่ง


“อะ… อ๋อ คือ งั้นเฝ้าด้วยครับ ห้ามหนีไปนอน พะ… พุกจะเช็คชื่อทุกสองนาที” ถึงจะเขินจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด เจ้าของห้องก็ยังหาทางไปได้ด้วยการสั่งเสียงเข้ม


หนูพุกปิดประตูห้องน้ำลงโดยไม่ต้องให้พี่ภูไล่อีกเป็นครั้งที่สาม สัมผัสได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมาก ทั้งยังรู้สึกเขินอายจนทั้งร่างแทบสลายกลายเป็นน้ำได้ง่าย ๆ ที่ปล่อยไก่ให้เขาเห็นว่าคิดลามกอะไรอยู่ในหัว เเรื่องผีสางถึงได้หลุดออกจากห้วงความคิดไปได้ชั่วขณะ เขากดโฟมล้างหน้าใส่มือ พยายามหลับหูหลับตาล้างโดยไม่ส่องกระจกแต่ก็เผลอสบตาตัวเองในเงาสะท้อนอยู่เรื่อย


...ถ้าบนไหล่เขามีใครนั่งอยู่...


“พี่ภู!”


“ครับ!” .


หากมีคนมาเห็น คีรินทร์พนันเลยว่าร้อยทั้งร้อยคงขำจนฟันร่วงแน่ ๆ ที่มีการเช็คชื่อคนเฝ้าหน้าห้องน้ำจริง ๆ มือใหญ่พลิกหน้าหนังสือเกี่ยวกับงานดีไซน์ที่หนูพุกซื้อมาไปด้วย ฟังเสียงน้ำฝักบัวไหลกระทบเชาเวอร์บูทไปด้วย


อยู่มาสามสิบปี… ก็เพิ่งจะต้องมานั่งทำอะไรอย่างนี้ครั้งแรก


“พี่ภู!”


“...” คนขี้แกล้งปิดปากเงียบ เขาอยากรู้ว่าหนูพุกจะทำอย่างไร หากเจ้าตัวคิดว่าไม่มีใครนั่งเฝ้าอยู่ที่เดิม


ภูได้ยินเสียงหลังประตูบานใหญ่ดังขลุกขลักอยู่สักพัก คนด้านในก็รีบเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว หนูพุกเพียงแต่สวมเสื้อผ้าลวก ๆ โดยที่ชายเสื้อยืดยังไม่ถูกดึงลงมาให้พ้นเอวจนเรียบร้อยทั้งหมดด้วยซ้ำ


“ถ้ามีแข่งอาบน้ำโอลิมปิก จะให้เราไปเป็นตัวเเทนประเทศไทย” พี่ภูกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตัวบางใช้เวลาแค่สามนาทีถ้วนในการอาบน้ำ ล้างหน้า แล้วยังอุตส่าห์สระผมได้ด้วย


“แล้วตอนเรียกทำไมไม่ตอบล่ะครับ”


หนูพุกนั่งลงบนเก้าอี้ ใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมตัวเองให้พอหมาดแล้วจึงเปิดไดร์เป่าผมตัวเล็กไดร์ให้ผมแห้งเร็ว เนื่องจากนี่ก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่งแล้ว กลัวว่าพรุ่งนี้จะได้ไปสายกันทั้งเจ้านายทั้งเลขา


   ร่างสูงใหญ่ล้มตัวลงนอนบนเตียงเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา คราวนี้หนูพุกประจำที่ซ้ำยังขอยืมหมอนข้างที่พยายามจะใช้กั้นกลางมาตลอดมาวางไว้ริมอีกฝั่ง เขากระตุกยิ้ม นึกสงสารหมอนข้างอันนั้นที่คงมีชะตาไม่ต่างจากทุกคืน    ภูไม่รู้ว่าหนูพุกรู้ตัวมากแค่ไหนว่าตัวเองก็นอนดิ้นใช่ย่อย ขนาดหมอนข้างกั้นกลางอีกฝ่ายยังถีบมันตกเตียงได้เสมอ และเป็นเขาเองที่ต้องลุกขึ้นมาเก็บมันทุกคืน ซ้ำยังต้องคอยคลุมผ้านวมให้คนชอบถีบผ้าห่มด้วย


   “ทำไมไม่ยอนอนสักที หือ” ภูตาจะปิดอยู่รอมร่อ แต่อีกฝ่ายเอาแต่นอนพลิกไปพลิกมาทั้งที่ปกติหัวถึงหมอนก็หลับคร่อกทุกที


   “ก็มันกลัวนี่ครับ ไม่กล้าหลับตาเลย ต่อไปไม่ดูแล้ว”


ต่อไปนี้… ถ้ามีหนังผี ต้องไม่มีหนูพุก!


   “แล้วตอนเด็ก ๆ เราทำยังไง อย่าบอกนะว่าไม่นอน” คีรินทร์เลิกคิ้ว เดาเอาว่าหนูพุกคงจะใช้มาตรการเดียวกันกับการไม่อาบน้ำ


   “คนเราจะอยู่ยังไงถ้าไม่นอนล่ะครับ… ก็แค่หม่าม้าจะเล่านิทานให้ฟังจนกว่าพุกจะหลับ”  แต่นั่นมันก็ตอนเด็ก… ตอนนี้จะกลัวผีที่พญาไทแต่กลับไปให้แม่โอ๋ที่พระรามสองก็ใช่ที่


   “โอเค งั้นฟังนิทาน” ภูสรุป ถึงแม้จะง่วงแต่หากคนนอนข้าง ๆ หลับไม่ลงเขาก็ไม่แฮปปี้


   “คือ… พี่ภูจะเล่า?” สายตาที่มองมานั้นมีแต่ความคลางแคลงใจ ปกติหนูพุกก็เห็นว่าเขาเป็นพวกไม่ค่อยจะหืออืออะไร กลับห้องมาก็กางโน้ตบุ๊กทำงานบ้าง อ่านหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์หรือเปเปอร์บ้าง


เห็นดูจริงจังแบบนั้น หนูพุกไม่คิดว่าคีรินทร์ก็มีมุมเเบบนี้กับคนอื่นเขาบ้างเหมือนกัน


   “ฟังอะไรดี… ลูกหมูสามตัวไหม” คนห่างไกลจากอะไรทำนองนี้นึกถึงนิทานสามัญประจำบ้านออกอยู่แค่เรื่องเดียว


   “....” หนูพุกอมยิ้ม ฟังชายหนุ่มตัวใหญ่ดัดเสียงเล็กลงสำหรับบทลูกหมูทั้งสาม และยังทำเสียงใหญ่เป็นหมาจิ้งจอก


“พอลูกหมูสองตัววิ่งหนีมาที่บ้านอิฐ เจ้าหมาป่าก็วิ่งตามมาด้วย มันบอกว่า….” คีรินทร์ทอดมองคนที่ทำท่าจะนอนไม่หลับหากตอนนี้ปิดเปลือกตาทอดลมหายใจสม่ำเสมอ


“ลูกหมูตัวที่สามหลับแล้ว” คีรินทร์กระซิบแผ่ว ดวงตาคมอ่อนแสงลงเมื่อมองคนขี้กลัว


ในคืนนี้ หนูพุกดูต่างไปจากทุกครั้ง เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าคนตัวเล็กเท่านี้จะทนทานกับปริมาณงานที่แม้กระทั่งเขาก็ยังเอาไม่อยู่ในบางหน ไหล่ของอีกฝ่ายแคบแค่นี้ หากเป็นที่ให้เขาได้พึ่งพิงอยู่ทั้งในเวลาทุกข์ร้อนเรื่องงาน หรือกระทั่งช่วยซับน้ำตาในวันที่เสียใจโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักคำเดียว


ภูไม่แน่ใจเลยว่าความเอ็นดูที่ไหล่บ่าราวกับแม่น้ำสายใหญ่นี้มีตาน้ำต้นกำเนิดอยู่ที่ใด


เพราะวันนี้ไม่มีหมอนข้างกั้นกลางอย่างเคย ผิวเนื้อนวลของคนหลับไม่รู้ตัวจึงแนบชิดกับอีกคน ศีรษะของหนูพุกตกลงมาซบบนไหล่กว้าง


ภูก้มหน้าลงหมายจะสังเกตใบหน้าผ่องใสอย่างใกล้ชิด หากอีกคนยังดูจะหาท่าทางที่นอนสบายไม่ได้กลับพลิกตะแคงมาหาทั้งตัวโดยไม่ให้สัญญาณ ในครั้งนี้ เขาได้กลิ่นครีมอาบน้ำและแชมพูแบบเดียวกันชัดยิ่งกว่าที่เคย


“...”


รอยประทับบนริมฝีปากโดยไม่ได้เจตนานั้นทำคีรินทร์สะดุ้งราวกับแตะถูกของร้อน เขาไม่คิด… ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าในชีวิตคนเราจะมีเหตุบังเอิญอันไม่ส่งผลรุนแรงแก่ร่างกาย ทว่ากลับสั่นคลอนไปถึงข้างใน


จากที่เคยง่วงนอน ตอนนี้กลับตื่นเต็มตา ภูแตะปลายนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากได้รูปซึ่งสัมผัสกันเมื่อครู่และเพ่งพิศมันอย่างจริงจัง


เหตุใดจึงไม่มีร่องรอยของความรังเกียจ หรือแม้กระทั้งรู้สึกแปลกประหลาดทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือน ๆ กัน


อย่างไรก็ตาม การที่เขาไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ได้หมายความว่าเลขาหนุ่มจะรู้สึกอย่างเดียวกัน อีกฝ่ายอาจจะนึกเดียดฉันท์จนมองหน้ากันไม่ติดก็ได้ ซ้ำแล้วหนูพุกยังเป็นลูกน้องใต้ปกครอง จะบังเอิญหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น



------------------------------------------------------
ตอนนี้ไม่ค่อยได้แอคทีฟเท่าไหร่ ถ้ายืดหรือมีตรงไหนประหลาดติได้เลยนะคะ เราจะเอาไปแก้ไขค่ะ
ปล.มาไม่เคยตรงนัดเลย ไม่กล้านัดแล้วค่ะ ;-; ขอโทษด้วยนะคะ :hao5:



หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-09-2018 00:45:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 15-09-2018 00:53:45
 :o12: เค้าเริ่มมีปฏิกิริยาต่อกันแล้วคะ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-09-2018 02:40:26
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-09-2018 07:41:26
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 15-09-2018 08:08:28
 :z6: ให้พี่ภู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-09-2018 10:23:18
สงสารพุก ความพยายามสูงมาก สู้ๆ น้าา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-09-2018 10:24:40
เอาล่ะ พี่ภูเริ่มมีหวั่นไหวบ้างละ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 15-09-2018 11:09:14
หนูพุกรุกไปเรื่อยๆเดี๋ยวพี่ภูก็ใจอ่อนเอง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-09-2018 11:10:30
พี่ภูเริ่มหวั่นไหวแล้ว หนูพุกสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-09-2018 17:05:20
หนูพุก มีหวังแล้ว
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-09-2018 23:14:12
พี่ภูหวั่นไหวแล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 15-09-2018 23:59:42
พี่ภูเริ่มหวั่นไหวแล้ว สู้ๆเข้านะหนูพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: tomnub ที่ 16-09-2018 10:19:26
:เดียวก็สมหวังนะหนุพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 17-09-2018 19:39:58
แง ได้จุ๊บด้วย ถึงหนูพุกจะหลับก็เถอะ ทำไงดีล่ะทีนี้ ดูท่าแล้วจะงานช้างเลยนะหนูพุก พี่ภูของหนูเขาก็หนักแน่นสมชื่อเสียจริง แทนที่จะหวั่นไหวกลับเป็นต้องสร้างระยะห่างแน่ๆ เห้อ เอาใจช่วยนะหนู
เราชอบมากกกกกกก สนุกมากค่ะ
เพิ่งเข้ามาอ่านก็อ่านยาวเลย
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 18-09-2018 19:08:26
โถ่ หนูพุกขี้เซา พลาดล่ะ5555+

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SeaBreeze ที่ 18-09-2018 23:03:35
พี่ภู ลืมหนูพุกตัวอ้วนไปเสียสนิท :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 19-09-2018 07:08:37
ตามทันแล้ววว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 20-09-2018 11:01:39
ตามทันแล้ววววว
สนุกมากค่ะ เริ่มคืบหน้าแระแผนอ่อยของหนูพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-09-2018 22:03:42
ได้ค่ะ พิชิตภูก็ได้ ยอมแล้ววววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-09-2018 23:25:25
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Sedsawa ที่ 24-09-2018 02:59:54
สารภาพว่าเชียร์ปูนพุก.... พี่ภูนี่ตัวประกอบแน่ๆ ฮึก โดนหลอกเต็มเปา :o12: แต่พอเจอพี่ของปูนก็อ่ะ มีเรือเพิ่มค่ะ แต่ไม่!! เราจะอยู่เรือปูนพุก!! รับ×รับสิดี น่าร้ากกกกกก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-09-2018 03:48:45
เมื่อไหร่จะมาอัพน๊าาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 24-09-2018 19:53:35
แง น้องรอพี่ภูมานาน พี่รู้สึกกับน้องหน่อยน้า :z6:
ขอบคุณมากค่า :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 25-09-2018 02:10:08
ไม่ต้องมาหวั่นไหวกับหนูพุกเลยนะ
คะแนนพี่ติดลบแดงเถือกไม่มีทางกู่กลับตั้งแต่พี่มีแฟนล๊ะ
ยิ่งติดลบไปอีกที่พี่ว่าคุณแพรเรื่องหลานอ่ะ
ทั้งๆที่ตัวเองก็เฝ้าอยู่แต่หน้าคอมพ์ทำแต่งานไม่สนโลกอยู่อ่ะ
สมควรแล้วที่หญิงทิ้ง เหอะ!

เชียร์น้องปูนหรือพี่น้องปูนใครก็ได้อ่ะ
แต่ใจหนูพกของอีเจ้คงเปลี่ยนยากสินะหนู
แต่เจ็บวันนี้ดีกว่าเจ็บวันหน้านะหนูพุก
ความรักส่วนหนึ่งคือการดูแลกันและกันนะหนูพุกไม่ใช่หนูเอาใจใส่เค้าอย่างเดียว
จริงอยู่ที่ว่าก็ตอนนี้พี่ภูเขายังไม่ได้รักหนูพุก
แต่กับคนที่เขารักเขายังทำแบบนั้นใส่เลย คิดดูสิ!
แล้วอย่าหวังเลยว่าเขาจะเปลี่ยนเพื่อหนู
เพราะแค่เพื่อตัวเค้าเองเค้ายังเปลี่ยนไม่ได้
แค่อาหารการกินก็ยังไม่รู้จักดูแล
แล้วจะหวังอะไรล่ะ//ไซโคสุดๆ555555555555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ggringps ที่ 25-09-2018 19:12:40
รออ่านต่ออยุ่นะคะ เจ้าหนูพุกน่ารักมากๆเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 26-09-2018 22:12:11
มาไม่ตรงนัดไม่เป็นไรค่ะแต่ขอให้มาอย่าทิ้งกันไป

พี่ภูเริ่มแพ้ความน่ารักของหนูพุกแล้วใช่ม่าย อยากให้มีแรงกระตุนปฏิกิริยาของพี่ภูจังเอาให้กินไม่ได้นอนไม่หลับยิ่งกว่าหนูพุกเลยยิ่งดี5555 :laugh:

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 27-09-2018 20:44:48
หวั่นไหวแล้วสิ คริคริ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 30-09-2018 16:54:25
ทันแล้ววว แงงงไม่อยากทันเลย

รอมาต่อนะค้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-09-2018 17:04:14
หายไปนานๆ อย่าทิ้งกันน๊าา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 02-10-2018 15:33:15
หนูพุกน่ารัก พี่ภูจะใจอ่อนยังคะ


หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 02-10-2018 21:19:20
พี่ภู​เอาให้แน่นะ​ ถ้าทำหนูพุกร้องไห้​อีกรอบจะตีนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 03-10-2018 22:39:37
หนูพุกสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 04-10-2018 09:18:47
ตอนอ่านครั้งแรกคิดว่ามันไม่มีอะไรแล้วเชียว พอพี่ภูพาแฟนมาเปิดตัวนี่เราอึ้งไปกับหนูพุกด้วยเลย ลืมคิดไปว่าพี่เขาก็ต้องไม่โสดอะเนอะ แถมทั้งคู่ก็รักกันดีด้วย สงสารหนูพุกมาก น้องมาไม่ทัน :hao5: แต่ตอนนี้เขาก็จบกันด้วยดีแล้ว หนูพุกของเรามีหวังแถมไม่ต้องโดนครหาว่าแย่งแฟนใครเราก็โอเคมาก ๆ แล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 04-10-2018 09:40:22
ตามมาจากกระทู้แนะนำ
ตอนนี้ตามทันและค้างไปด้วยกัน
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: enas290843 ที่ 04-10-2018 16:27:25
ตามมาจากแนะนำในทวิต ตามทันแล้ว ไม่อยากทันเลย ฮือ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 05-10-2018 14:29:57
รอตอนต่อไปนะคะ คนเขียนหายไปไหนนนนนน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2018 01:09:44
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 15 --- [ 14.09.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-10-2018 07:48:19
ปูเสื่อรอน้องหนูพุกอยู่เน้อ :really2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 11-10-2018 07:17:35
Chapter 16 .1



   ร่างสูงโปร่งตรงออกมาจากลิฟต์โดยสาร พนักงานด้านหน้ายังคงยิ้มทักทายเต้ยอย่างทุกเช้า หากวันนี้กลับต่างออกไปเมื่อไร้ซึ่งเงาของสารถีกิตติมศักดิ์ที่มักจะนั่งคอยที่ล็อบบี้ เตรียมตัวไปส่งเต้ยที่ทำงานเหมือนเคย

“คุณเต้ยคะ คุณกวีฝากนี่ไว้ให้ค่ะ” เต้ยมองซองกระดาษสีน้ำตาลอย่างสนเท่ห์ แต่ก็รับมันไว้ด้วยมารยาท

“ขอบคุณครับ” มือเรียวเปิดซองออกดูแล้วก็พบว่ามันเป็นกุญแจจาร์กัวร์คันที่เขานั่งอยู่ทุกวัน   

เต้ยขมวดคิ้วมุ่น ด้วยอีกฝ่ายไม่ได้บอกอะไรเขาแม้แต่คำเดียว มือเรียวข้างหนึ่งถือกุญแจเอาไว้ ในขณะที่อีกมือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหาหม่อมหลวงหนุ่ม

   [ ครับ… ]

   “ทำไมทิ้งกุญแจไว้ล่ะ คุณไม่ว่างเหรอ”

เต้ยกัดริมฝีปาก นึกสมเพชตัวเองนิดหน่อยที่ตั้งคำถามได้ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้กวีก็ดูจะงานยุ่งขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ หลีกเลี่ยงนัดเขาไปทีละอย่างสองอย่าง

   [ คุณยังไม่ได้รถนี่ครับ ไว้ใช้เสร็จแล้วค่อยคืนนะ ] เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างเปี่ยมมารยาท ความห่างเหินที่เกิดขึ้นทำให้เต้ยรู้สึกคล้ายอยู่กันคนละโลกกับเขา สถาปนิกหนุ่มเก็บคำชวนที่ตั้งใจจะพาเขาไปกินเนื้อย่างไว้ไม่ให้ล่วงผ่านจากปาก

   น่าจะเป็นเพราะวันนั้นที่เขาไม่ได้ตกลงตอบรับที่จะให้โอกาสกวีถึงโกรธ หรือไม่ก็อาจจะเข้าสู่ช่วงหมดโปรโมชั่นแล้ว

   “อย่าเลย เดี๋ยวผมเอาไปชนอีกจะเรื่องใหญ่นะ” เต้ยพยายามติดตลก ทว่ามันกลับแห้งเเล้งจนน่าประหลาดใจทีเดียว

[ เก็บไว้ใช้เถอะ วันนี้คุณมีประชุมหลายที่ด้วย ผมไม่อยากให้คุณแบกของไปไหนมาไหน มันลำบาก ]  เขาอธิบายยืดยาว

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

ดวงตากลมไหวระริก เต้ยเผลอปิดเปลือกตาลง ในอกสั่นไหวยิ่งทำให้รู้สึกไม่มั่นคง กลัวใจกับถ้อยคำรุนแรงอย่างที่แดนดินเคยพูด ถ้ากวีผู้ที่รุกหนักอย่างสม่ำเสมอยังบอกลาเขาอีกคน ความมั่นใจในการคบหาใครสักคนคงหดหายและคงต้องใช้เวลาอีกนานที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่

..อย่าทำดีให้กัน แล้วตบท้ายด้วยคำว่าไม่รัก…

ไม่อย่างนั้น เต้ยจะไว้ใจคนอื่นได้อีกอย่างไรกัน ?

 [ ผมไม่อยากให้คุณลำบาก เท่านี้ก่อนนะครับ ผมมีงานด่วน ] ที่สุดแล้วสายก็ถูกตัดไป เหลือเพียงสถาปนิกหนุ่มที่กำกุญแจรถไว้อย่างชั่งใจ

พฤติกรรมการตีตัวออกห่างทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้เต้ยพอจะเดาได้ไม่ยาก หม่อมหลวงกวี กรจักรคบหาใครทีละคน แต่ก็คงเป็นคนละไม่นาน ชายหนุ่มยิ้มหยัน ก้าวเดินออกไปหาพนักงานสาวคนเดิมและทำเป็นละเลยหนามแหลมเล็กที่ซึ่งทิ่มอยู่ในใจให้ระคาย

“ยังไงผมฝากคืนเขาด้วยแล้วกันครับ”

เต้ยไม่ได้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมานานพอดู นับ ๆ แล้วก็เกือบจะตั้งแต่สมัยเรียนจบใหม่ ๆ ก็ว่าได้ ผู้คนมากหน้าหลายตาบนชานชาลาของสถานีรถไฟฟ้าเดินผ่านเขาไป ต่างคนต่างก้มหน้ากดโทรศัพท์ บ้างก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดใส่หน้าจอสี่เหลี่ยมแต่หัววัน บ้างก็อมยิ้มเล็กน้อยราวกับวันนี้มีข่าวดีตั้งแต่ลืมตาตื่น

สถาปนิกหนุ่มไม่ได้หยุดนิ่งแล้วสังเกตผู้คนรายรอบมานาน คราวนี้เขาขยับไปต่อแถว พิจารณาผู้คนในขบวนรถไฟฝั่งตรงข้ามไปอย่างเงียบเชียบ

น่าประหลาด...ทำไมมีแต่คนหน้าคล้ายหม่อมหลวงกวีเต็มไปหมด

คำตอบของคำถามมีเพียงสองพยางค์เท่านั้นที่เจ้าตัวเองก็รู้ชัด แต่จะมีความหมายอย่างไร ในเมื่อเขาไม่เลือกเก็บกุญแจรถเอาไว้ แต่กลับเลือกจะเดินทางไปทำงานเพียงลำพัง

ช่วงระยะเวลาเกือบสองเดือนตั้งแต่ถูกทิ้งอย่างเป็นทางการมานี้ เต้ยเริ่มชินกับการเข้ามาทำงานคนเดียวเเละออกไปคนเดียวแม้ว่าจะมีคนคอยรับคอยส่งก็ตาม วันนี้อะไรต่อมิอะไรก็โหวงเหวงไปหมด

เหมือนกับถูกทิ้ง แล้วก็ถูกทิ้งอีกที

เขาปั้นหน้ายิ้ม เดินขึ้นชั้นสองมาเพื่อทักทายเพื่อนร่วมงานด้วยความอารมณ์ดีอย่างทุกวัน แต่คิ้วเรียวกลับต้องขมวดมุ่นตั้งแต่กระเป๋าเขายังไม่เเลนด์ดิ้งถึงโต๊ะทำงาน ด้วยเห็นว่าเพื่อนสนิทตาลึกโหล ถือแก้วพลาสติกใสใส่โอเลี้ยงยี่สิบห้าบาทเดินดูดผ่านหน้าเขาเข้าห้องทำงานไป

...ไอ้ภูสภาพอย่างกับซอมบี้!...

คีรินทร์สภาพนี้เขาเคยเห็นครั้งล่าสุดก็ตอนที่ทำบริษัทใหม่ ๆ เพิ่งมีกันสองคน ใครทำงานอะไรได้ก็ต้องทำ ไม่มีเวลากินเวลานอนที่ชัดเจนอะไรทั้งนั้น เต้ยโยนกระเป๋าหนังไว้บนเก้าอี้ทำงานแล้วรีบสับเขาตามเข้าไปในห้องของชายหนุ่มผิวเข้มทันใด

“อ้าว มีอะไรมึง ด่วนหรอ” คนตามหลังเข้ามายังไม่ทันผลักประตูปิดเจ้าของห้องก็ถามขึ้นมาด้วยความสนเท่ห์ ขณะที่เต้ยทอดมองชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนลวก ๆ กึ่งสงสัยกึ่งเวทนา

“ไม่ใช่งานหรอก กูจะเข้ามาดูมึงเนี่ย” เต้ยส่ายหน้า ทีแรกจะทรุดตัวลงบนขอบโต๊ะทำงานแต่ก็ไม่มีที่ เอกสารบ้าบออะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด สุดท้ายจึ้งต้องดึงเก้าอี้สำหรับคนที่เข้ามาติดต่องานออกมานั่งเเทน

“ดูทำไม?” คีรินทร์เลิกคิ้ว จรดปากกาลูกลื่นแบบแท่งละห้าบาทสิบบาทที่เต้ยเห็นเเล้วขัดใจทุกครั้งลงบนเอกสาร

ไม่ใช่ว่าเขากระเดียดของถูกหรืออะไร แต่ไอ้บ้านี่เล่นซื้อมาทีละเป็นโหล ๆ พกไว้ทุกที่เพราะชอบลืมว่าใช้แล้ววางไว้ที่ไหน  บางทีลูกค้าเข้ามาหามันก็ยังหยิบเอาเอาไอ้ปากกานี่ไปวาด ๆ เขียน ๆ ภาพลักษณ์คุณคีรินทร์เกรทเต็กสุดคูลดูหล่อไฮโซหายไปเพราะไอ้ปากกาแท่งพลาสติกสีส้มเกือบเเสบตาที่เกลื่อนไปทุกมุมห้องทำงานนี่ล่ะ!

“ตาโหลขนาดนี้ยังมีหน้ามาถาม ยังไม่หายเฮิร์ตเหรอ”

“ก็ไม่เชิง ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับน่ะ”

คนฟังพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ช่วงแรกเต้ยก็นอนไม่หลับ เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจนเฮียต้องตบกบาลเรียกสติถึงจะกลับมาได้ เต้ยสังเกตเพื่อนรักที่หลบสายตา แสร้งทำเป็นจัดของวุ่นวายทั้งที่ตัวเองถนัดแต่ทำรกเเท้ ๆ อะไรของมันก็ไม่รู้

“เฮ้อ มีอะไรก็บอกนะ ช่วงนี้กูก็ยุ่งเรื่องโปรเจ็คนั่น” เต้ยลูบหน้าเบา ๆ คิดถึงโปรเจ็คที่ไปฟาดฟันเอามาจากคู่แข่งนับสิบบริษัทแล้วก็ไม่แคล้วต้องคิดถึงนายทุนด้วย ให้ตาย…

“กูไม่เป็นไรเหรอก ดีขึ้นเยอะแล้ว”

ตั้งแต่วันที่ต้องกลับไปนอนที่บ้าน คีรินทร์คาดว่าตัวเองจะต้องตกใจที่บ้านดูโล่งไปถนัดตาเมื่อผู้อยู่อาศัยหายไปหนึ่งคน แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คาดเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ทุกอย่างในบ้านเเทบจะอยู่เหมือนเดิมเกือบทั้งหมด จะมีเพียงแต่ชั้นรองเท้ากับตู้เสื้อผ้าเท่านั้นที่ดูโล่งไปหน่อย

ภูเพิ่งจะตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่าชีวิตคู่ของเขากับแพรมันยังมีจุดผิดพลาดขนาดใหญ่ที่เขาไม่เคยคิดถึง ตลอดเวลาสองปีที่ตัดสินใจคบหาดูใจ พวกเขาเจอกันเดือนละแค่สามสี่ครั้ง บางทีก็ไม่ถึงหากเขาหรือแพรต้องทำงาน

ในหัวสมองของคีรินทร์คิดคำนวณเร็วจี๋ หนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน… ทว่าเขากับแพรวาใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างจริงจังแค่ไม่เกินแปดสิบวันเสียด้วยซ้ำ เกือบครึ่งถูกใช้ไปกับการทะเลาะเเละพยายามจะประณีประนอม แถมยังไม่นับรวมเกือบสามเดือนที่เลิกรากันไปแล้วกลับมาคบกันใหม่ในช่วงที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าปรับตัวดีแล้ว

ด้วยระยะเวลาเท่านี้กับเส้นทางความสัมพันธ์ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่มีทางการันตีได้เลยว่าทั้งเขาและเธอต่างก็เป็นคนที่ใช่ของกันและกัน

อย่างน้อยที่สุด… เขาก็ไม่ใช่คนที่ใช่ของเเพรวา

ตลอดมา ภูให้ความสำคัญกับความฝันที่จะเปิดบริษัทของตัวเองอย่างมั่นคงก่อนคนรักเสมอ มันคงไม่ผิดและภูจะไม่แก้ตัวเลย หากใครต่อใครจะตำหนิว่าเขาเป็นแค่แฟนที่ห่วยแตกและเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

กระทั่งคนที่มักจะเออออไปกับเขา ไว้วางใจในตัวเขาไปเกือบทุกเรื่องอย่างหนูพุกยังฟังไปขมวดคิ้วไป ชายหนุ่มมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนใจกว้างใจเย็นอย่างนั้นคงไม่เห็นด้วยกับหลายอย่างที่เขาทำแต่ก็ไม่ได้ตำหนิหรือตอกย้ำ เลขาหนุ่มพยายามที่จะพูดคุยกับเขาอย่างตั้งอกตั้งใจหากรักษาไว้ด้วยความรอมชอม

‘คนทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้นใช่ไหมครับ เพียงแต่ว่าพอเราไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว สิ่งที่ต้องมีคู่กันกับเหตุผลคือความเห็นอกเห็นใจ แบบที่เขาว่ากันว่าใจเขาใจเราน่ะครับ’

เลขาหนุ่มไม่ได้ทำท่าเหมือนจะเลคเชอร์เขา เพียงแต่ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ พูดอย่างระมัดระวัง  สุดท้ายแล้วมันก็จบลงตรงที่ภูตระหนักชัดเจนแล้วว่ามีอีกหลายเรื่องที่เขาจะต้องปรับตัว เขาต้องเห็นอกเห็นใจคนรักให้มากกว่านี้ ลดความคาดหวังที่กำหนดไว้ว่าเป็นแฟนเขาก็ควรจะเข้าใจกันจนกลายว่าเป็นอีกฝ่ายที่พยายามมากกว่า แต่เขากลับไม่ต้องทำอะไรเลย 

   นอกจากความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นที่มีต่อผู้หญิงที่เป็นฝ่ายให้ความเข้าใจเขามาโดยตลอดแล้ว ความเข้าใจต่อปัญหาที่เผชิญทำให้ภูตั้งตัวได้ไวขึ้น ด้วยเขาทำใจกับการเลิกราในครั้งนี้ได้เร็วกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว

อย่างไรก็ตามเมื่อทุกอย่างก็ทำท่าจะดีขึ้นแล้ว กลับยังมีตะกอนที่วนอยู่ในสมองเป็นคำถามที่ภูคิดทบทวนมาเกือบทุกวัน

อย่างนั้นทำไมเขาถึงนอนไม่หลับ ?

   “ดีแล้ว แต่ว่านอนไม่หลับ?” เต้ยทวนพลางยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วเปรยขึ้น “ติดแพรเหรอ”

   “ไม่หรอก อาจจะแค่กังวลเรื่องงาน”

   จะว่าเพราะติดนอนกับเเพรก็ไม่ได้ ในเมื่อเดือน ๆ หนึ่งเขานอนคนเดียวบ่อยกว่ามีคนนอนด้วยตั้งสองสามเท่า หนำซ้ำยังเคยเป็นพวกหัวถึงหมอนก็ทิ้งตัวหลับไม่สนใจโลก จะมีก็แต่ช่วงหลัง ๆ ที่เขามักขยับตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะหนูพุกชอบถีบผ้าห่มทุกคืน

ทุกคืน ?

ช่วงที่กลับมานอนบ้าน ภูก็มักจะตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความเคยชิน จากตื่นกลางดึกก็กลายเป็นนอนไม่ค่อยหลับ เขาไม่ใช่พวกแก้ปัญหาด้วยการเทคยานอนหลับหรือยาคลายเครียด

ในเมื่อนอนไม่หลับ… ก็ลุกขึ้นมาทำงานมันเสียเลย

   พอทำมาเกือบสองสัปดาห์ สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการที่หน้าตาดูร่อเเร่เตรียมลงโลงเต็มทีอย่างนี้

   “มึงขาดอะไรหรือเปล่า แบบ… พวกเครื่องนอน หมอนที่หนุนประจำ ผ้าห่ม เหมือนที่หลานสาวกูติดตุ๊กตาเน่า” เต้ยออกความเห็น ทว่าในมือกลับเสิร์ชกูเกิลหาจิตแพทย์อย่างเงียบ ๆ

   “ขาดเหรอ… ไว้ก่อนนอนคีนนี้กูจะลองคิดดู”

คีรินทร์คิดตาม เขาไม่ค่อยนึกถึงประเด็นนี้ แต่คำถามของเต้ยเหมือนสิ่งที่ช่วยปลดสลักในความคิด สิ่งที่เกิดขึ้นในหัว เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ให้ใครรับรู้เด็ดขาด

บางที… การไม่มีหนูพุกอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับ

   ยิ่งคิดถึงตอนหนูพุกนอน ภูก็ยิ่งรู้สึกว่ากลิ่นหอมแชมพูและครีมอาบน้ำยังติดอยู่ที่ปลายจมูก รวมทั้งสัมผัสนุ่มนิ่มก็ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก

   “จับปากทำไม ไม่ใช่ว่านอนน้อยแล้วร่างกายยังขาดน้ำจนปากแตกอีกล่ะ” ดวงตากลมหวานจดจ้องไปที่โอเลี้ยงแก้วใหญ่ซึ่งมีหยดน้ำเกาะพราวรอบแก้ว พึมพำว่านั่นเป็นเครื่องดื่มที่ยิ่งดื่มร่างกายยิ่งขาดน้ำ

   “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เอาเป็นว่ากูโอเคดี แล้วเรื่องเลี้ยงบริษัทจะสั่งอะไรมากิน”

คีรินทร์เปลี่ยนเรื่อง ลดนิ้วที่แตะริมฝีปากลงแล้วย้ายไปจับเมาส์คลิกเปิดตารางงาน สายตาคมมองตารางที่หนูพุกอัพเดตให้ล่วงหน้าว่าวันพรุ่งนี้จะต้องมีกินเลี้ยง ซึ่งจัดเป็นสวัสดิการหนึ่งของบริษัทที่จะให้พนักงานทุกคนได้กินข้าวสังสรรค์กันทุกไตรมาส

   “เดี๋ยวกูไปถามอีกทีแล้วกัน มึงไม่อยากกินอะไรพิเศษเหรอ”

   “ไม่รู้ กินได้หมดแหละ” ภูยักไหล่ เขามันพวกกินง่าย ถ้าหิวจะอะไรก็เข้าปากได้ทั้งนั้น

   “เอาไว้เที่ยงนี้จะสรุปให้ แล้วก็ไปหามาได้แล้วว่าทำไมถึงนอนไม่หลับ มึงโทรมเกินไปแล้ว”

เต้ยส่ายหน้าอีกทีเป็นการการันตีว่าหน้าเพื่อนรักไม่เวิร์คจริง ๆ ก่อนจะออกจากห้องไปเมื่อได้เวลาทำงาน ทิ้งไว้เพียงเจ้าของห้องที่ยังจมจ่อมกับสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ

บางทีงานสังสรรค์สำหรับพนักงานอาจจะเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยหาต้นตอของอาการนอนไม่หลับก็ได้




--------------------------------------------------
ช่วงสองสามอาทิตย์ที่หายไปงานเยอะมากค่ะ แอบเห็นกลิ่นธูปควันเทียนตั่งต่างที่ติดตามเรา 555555
ตอนนี้ก็เอา16.1มาส่งก่อนค่ะ มันจะสั้นๆหน่อยเพราะมีแต่ครึ่งเดียวจากที่ลงปกติ ยังไงก็ตามยังไงต้องขอโทษที่ให้รอด้วยนะคะ
ตอนนี้จะกระดึ๊บๆหน่อย เพราะคนเขียนว่าไม่ค่อยสบายค่ะ เจ็บตั้งแต่ท้ายทอยลงไปที่แขนขวาแล้วก็สะบักหลังของเราตอนนี้ต้องหยุดพักอย่างจริงจังเพราะว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมไปแล้วค่ะ กำลังอยู่ในช่วงของการรักษา ใครทำงานหน้าคอมอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ
ขอบคุณที่ยังรออ่านนะคะ เราดีใจมากๆๆๆๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไง /ปาดน้ำตา
ปล. ตอนนี้หยุดพักงาน คิดว่าน่าจะมาอัพบ่อยๆได้แล้วค่ะ! 555555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-10-2018 08:05:13
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 11-10-2018 08:18:19
คิดถึงหนูพุก ตอนนี้ก็ไม่มาสงสัยค่าตัวแพง
คนเขียนก็รักษาสุขภาพด้วยนะจ๊ะ สู้ๆ น้าาา
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 11-10-2018 08:21:28
ต้องกลับไปนอนกับหนูพุกแล้วแหละ  :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-10-2018 09:16:27
รักษาตัวด้วยนะไรท์
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-10-2018 09:56:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ  มีเค้าลางว่าหนูพุกจะสมหวัง  อิอิ

แต่ก็แอบเชียร์พี่อิฐอยู่นะ  ดูลึกลับดี  แต่สงสัยรายนั้นจะมีคนในใจแล้ว  หุหุ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-10-2018 10:20:29
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-10-2018 10:44:23
พี่ภูติดหนูพุกซะแล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 11-10-2018 11:18:11
กรี๊ดดดดดดดดมาแล้วววววว 
หนูพุกเทอมันมันร้ายเทอทำให้พี่ภูติดเทอไปไหนไม่รอด
เทอมันร้ายกว่าแฟนทุกคนของพี่ภู5555555
รออ่านนะค้าาา เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 11-10-2018 11:41:58
 :laugh:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-10-2018 12:56:20
พี่ภูเริ่มติดหนูพุกซะแล้ว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 11-10-2018 14:49:06
สั้น
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-10-2018 15:09:36
ติดหนูพุกแน่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 11-10-2018 15:25:58
ตกลงคุณวีจะเอายังไงไม่จีบแล้วใช่ม่ะเต้ยรอคนที่ใช่ดีกว่าคุณวีเขาหยุดแล้วก็ไม่ต้องไปคิดมากปล่อยเขาไปคนเพิ่งอกหักมาจะให้ตอบรับเลยก็แปลก
พี่ภูเป็นโรคติดหนูพุกต้องไปหามาเป็นของตัวเองนะคะไม่งั้นนอนไม่หลับแน่

คนเขียนรักษาสุขภาพด้วยนะคะขอให้หายไวๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: enas290843 ที่ 11-10-2018 19:52:45
คุณวีทำไมทำแบบนี้กับเต้ย เราจะไม่เชียร์แล้วนะ :fire:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 11-10-2018 22:34:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-10-2018 16:43:16
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.1 --- [ 11.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: CHOO ที่ 13-10-2018 21:53:40
พี่ภูติดหนูพุกแล้วแน่ๆ รีบๆรู้ตัวเร้วววว
คิดถึงหนูพุกมากๆเลยค่า ว่าแต่คุณชายหม่อมนี่จะเอายังไงกะเต้ย บอกมานะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 14-10-2018 01:35:44
Chapter 16.2

วันนี้ประชาชนคนในออฟฟิศไม่ได้ออกไปที่ไหน เพียงแต่ปิดห้องประชุมใหญ่จัดปาร์ตี้และสั่งอาหารจากร้านข้างนอกเข้ามา ถึงคีรินทร์จะแพ้แอลกอฮอล์ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวางการดื่มของใครต่อใครแถมยังสั่งเครื่องดื่มแบบเหมาลังมาให้อีก

“ช่วงนี้ดูสดใสขึ้นนะพี่” มือชงประจะออฟฟิศทักพลางรินแอลกอฮอล์สีเข้มลงในแก้วเพื่อเติม แม้แต่เลขานุการหนุ่มปูนก็ไม่เว้น วันศุกร์ทั้งที ต้องจัดไปเข้ม ๆ

“เหรอ สงสัยงานไม่ค่อยเยอะมั้ง” หนูพุกประคองแก้วที่เลือกมิกซ์เซอร์เป็นน้ำอัดลมขึ้นจิบ แล้วชำเลืองมองไปทางหัวหน้างานที่นั่งกันคนละมุมโต๊ะ

นั่งห่างเจ้านายแบบนี้มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย อย่างน้อยก็ไม่ได้ดูประจบประแจงเกินเหตุ เพราะทุกวันนี้เขาก็แทบจะกลายเป็นเงาให้พี่ภูไปแล้ว แต่ข้อที่หนูพุกต้องระวังคือ เขาอยู่ในชัยภูมิที่มีเด็กตัวเเสบแอบหาช่องจะล้วงความลับ

“ตอนนี้ตั้งตัวติดแล้วเหรอ ผมช่วยหาแฟนให้ป่ะ” ไอ้ตัวดีจิ้มอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ

“ไม่เป็นไร” หนูพุกอมยิ้ม แม้จะไม่พูดแต่ความสุกใสในเเววตากลับทอประกายสว่างสไว ทำเอาปูนเกือบจะหูตั้งหางกระดิก แต่จะให้ไปถามตรง ๆ ก็กระไรอยู่

“เรานั่นแหละ เมื่อวานเห็นซ้อนบิ๊กไบค์ใครน้า”

คนแซวแกล้งลากเสียงอย่างหยอกล้อ เห็นว่าปูนกระโดขึ้นซ้อนท้ายบิ๊กไบค์คันใหญ่แต่ไม่เห็นคนขับชัดเจน ไอ้ตัวแสบดันทำหน้าเลิ่กลั่ก กรอกตาซ้ายทีขวาทีเหมือนจะหาตัวช่วย แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะทุกคนต่างก็กำลังสนุกสนาน เห็นมีการสั่งพวกของทอดมาเพิ่มกลางโต๊ะก็มีแต่คนโผไปคว้าไก่ทอดเกาหลีเจ้าดังกันคนละชิ้นสองชิ้น

“หายเฮิร์ตแล้วแซวเก่ง เฮ้ย พี่เต้ยเขาไปดีดอะไรมาวะน่ะ” ปูนเหลือบไปเห็นเจ้านายอีกคนที่ดื่มเอาดื่มเอา แล้วก็นึกสงสัย จริง ๆ แล้วพวกเขาเคยเอาเกมเศรษฐีวงเหล้ามาเล่นด้วยกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นขนาดพี่เต้ยโดนยกดื่มรัว ๆ ก็ดูท่าจะดื่มน้อยกว่าตอนนี้เสียอีก

“มา ๆ ถึงเวลาเกมแล้ว”

โต๊ะประชุมใหญ่ถูกคนที่นั่งบ้างยืนบ้างล้อมเข้ามาจนครบ เสียงเพลงเฮ้าส์ที่เปิดดังถูกหรี่ลงนิดหน่อย แล้วเกมนับเลขอันตรายก็เริ่มขึ้น หนูพุกเคยเล่นกับพี่ ๆ พนักงานและคนอื่นมาบ้างแล้วถือว่าสนุกและสร้างสีสันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาคนกรึ่ม ๆ ที่ชักจะเริ่มนับเลขไม่ถูกเล่นพลาดจนต้องลงไปปั่นจิ้งหรีดหรือถูกทำโทษด้วยการเต้นท่าประหลาด ๆ หรือกระดกให้หมดแก้ว

“ตานี้ห้ามนับหก”

ทุกคนรอบโต๊ะดูจะสนุกมากขึ้นเมื่อเกมนับเลขอันตรายถูกวนมารอบที่สาม หนูพุกยิ้มนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าสาว ๆ สองสามคนซึ่งนั่งติดกันเป็นแพหัวเราะคิกคัก พยายามเลี่ยงเลขหกันสุดฤทธิ์

ถึงแม้ว่าบทลงโทษของคนนับเลขผิดจะเป็นการกระดกหมดแก้ว ทว่าคนไม่ดื่มอย่างพี่ภูและพี่สถาปนิกอายุมากที่สุดในบริษัทก็ยังร่วมสนุกได้ด้วยการกระดกน้ำอัดลม

เห็นพี่ภูไม่โดนเหล้าสักหยดอย่างนั้นกลับนับเลขพลาดไปหลายทีจนเหล่าสถาปนิกหัวเราะร่าที่เจ้านายต้องเป็นคนเดินไปห้องน้ำเป็นคนแรก สายตาเรียวจับจ้องอยู่ที่คนแก่วัยกว่าเนิ่นนาน กระทั่งมีใครคนหนึ่งชี้นิ้วมาที่เขาเป็นสัญญาณให้นับเลขต่อ

“อะ… เอ่อ”

...นับถึงเท่าไหร่กันแล้วนะ!...

หนูพุกมองไปรอบวง ทุกคนยิ้มกว้างเพราะเลขาหนุ่มประคองสติรอดตัวมาได้ทุกทีแกต่มาตกม้าตายเอาตอนนี้

“นับไม่ถูกก็หมดแก้วคร้าบ” ทั้งปูนทั้งสถาปนิกทีมอื่นเชียร์เลขาหนุ่มให้ยกดื่ม

ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงตบมือเชียร์ทำให้หนูตัวหนึ่งบ้าบิ่นเทน้ำลงคอพรวดเดียวหมด มือเรียววางแก้วพลาสติกแข็งลงบนโต๊ะ มันเหลือเพียงน้ำแข็งก้อนเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งแก้วใบนี้เคยบรรจุอะไรไว้

“แก้มแดงแปร๊ดเลยอ่ะ กินได้จริงไหมเนี่ย” เต้ยทำตาโต เห็นเลขาเพื่อนหน้าแดงตัวแดงแล้วก็กลัวจะต้องหามส่งโรงพยาบาลอีกคน

“กินได้ครับ มันแดงไปอย่างนั้นเอง แต่ว่าไม่ได้เมา” หนูพุกโบกมือเป็นสัญญาณ หันแก้วเหล้าไปให้น้องเล็กเติมให้

ปูนรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนมือหนัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะยั้งในเมื่อวันนี้เป็นวันปาร์ตี้ ทุกคนก็ควรจะสนุกให้สุด เว้าเสียแต่ว่าใครมีลูกมีเมียเขาก็จะเบามือให้หน่อยเท่านั้น

เข็มนาฬิกาล่วงไปจนสามทุ่มกว่า สาว ๆ ในออฟฟิศก็ทยอยกลับกันหมดด้วยเหตุผลว่าแฟนหรือสามีมารอรับแล้ว ทั้งวงจึงเหลือแค่ผู้ชายห้าหกคนเท่านั้นเอง

“ผมว่าเราเล่นเกมไม่เคยมั้ย เบื่อไพ่แล้วเล่นทุกที” หนูพุกสาบานได้ว่าเขาเห็นแววตาวิบวับของคนจะล้วงความลับอย่างเนียน ๆ ปูนพร้อมจะเก็บตลับไพ่ในมือทันทีเมื่อทุกคนเซย์เยสด้วยซ้ำ

“มึงถามหนูพุกก่อนมั้ยว่าเขาจะเล่นกับมึงรึเปล่า” สถาปนิกหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ สวมแว่นทรงสี่เหลี่ยมหันมาพูด

หนูพุกพอจะรู้ว่าบางคนก็ไม่ข้ามเส้นมาเล่นหัวกับเขาเพราะเขาไม่ใช่สายมึงมาพาโวย ในขณะที่ทุกคนที่นี่เรียกกันด้วยสรรพนามแสดงความสนิทชิดเชื้อกันทุกคน

“เล่นได้ครับ พี่โดนพุกล้วงความลับแน่” เลขาหนุ่มหันไปขยับตาใส่รุ่นพี่ เป็นอันว่าคนรอบวงก็ผ่อนคลายไปด้วย อย่างน้อย ๆ ถ้าวงเหล้าก็ช่วยให้เส้นบาง ๆ ที่ขีดคั่นความสัมพันธ์ของพนักงานเข้าใหม่กับคนเก่า ๆ จางลงเขาก็ยินดี

“ใครเริ่มดี… เอางี้ ขอพี่ภูประเดิมคำถามเป็นเกียรติให้ผมหน่อยครับ” ปูนผายมือไปทางคนฝั่งตรงข้าม

หนูพุกเพิ่งจะเห็นว่าเขาก็ยกยิ้มร้ายกาจได้เหมือนกัน สายตาคมทอประกายมาดมั่นเหมือนมีใครเป็นเป้าหมายในครั้งนี้ คีรินทร์ยกมือขึ้นกอดอก พิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจแล้วเอ่ยขึ้น

“กูไม่เคยนัดใครในทินเดอร์”

“พี่แม่ง ทำไมร้ายวะ” สถาปนิกชายทีมสามคนในทีมหนึ่งร้องคราวญครางโอดโอย แต่ก็พากันยกแก้วกระดกพลางเล่าประสบการณ์จากแอพพลิเคชั่นที่คนมักใช้หาคู่อย่างเผ็ดร้อน

“มา กูเอง!” ยิ่งเวลาผ่านไป แต่ละคำถามก็ยิ่งลงลึกขึ้นจนหนูพุกคิดว่าจะได้ยินหัวข้อสุ่มเสี่ยงงเหล่านี้ในวงเพื่อนสนิทเท่านั้น  “กูไม่เคยลองถุงแบบคลื่น”

หนูพุกเกือบตาค้างเมือนเห็นว่าหกคนบนโต๊ะ ยกดื่มไปแล้วสาม หนึ่งในนั้นมีเจ้านายที่กระดกโค้กลงคออย่างไม่รู้สึกรู้สา

ต่อไปเขาจะมองหน้าพี่ภูโดยไม่คิดถึงเรื่องนั้นได้ยังไงนะ

“พี่พุกยังไม่ดื่มสักอันเลยอ่ะ ไหนขอลองแบบใส ๆ หน่อย” ปูนหย่อนน้ำเเข็งลงแก้วตัวเองยิ้มนิดหน่อย “ผมไม่เคยมีรักแรกพบ”

“จะเอาให้ได้เลยนะ” หนูพุกหัวเราะ แล้วค่อย ๆ ดื่มเหล้าในมือจนหมดแก้ว “ผมชอบรุ่นพี่คนหนึ่งตั้งแต่เจอกันครั้งแรกตอนม.สาม”

หนูพุกได้ยินคำว่าเขาร้ายคิดจะเล่นของสูงตั้งแต่มัธยมต้น แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะทุกคนดูมีเรื่องราวที่โลดโผนกว่าเขาเยอะเเยะ มีแค่คนเดียวที่เขาหวังว่าสิ่งที่พูดไปจะสะกิดใจเขาบ้าง แต่ก็ดูจะไม่ ในเมื่อคีรินทร์ยังวางเฉยเหมือนทุกที

“พุกไม่เคยพาแฟนไปเจอพ่อแม่ครับ” คีรินทร์ยกดื่มอีกหน พร้อมกับปูน และพี่สถาปนิกใส่แว่นคนเดิม

“เฮ้ย พี่แต่งแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เคยพาไปเจอพ่อแม่ได้ไงอ่ะ” เต้ยท้วง

“กว่าจะพาไปเจอก็มีไอ้ตัวเล็กแล้ว ไม่เรียกแฟนแล้วโว้ย” เขาหัวเราะกับชีวิตวัยโลดโผนที่ภรรยาอุ้มท้องในช่วงเรียนปีสุดท้ายแล้วดื่มจนหมดแก้ว

“พี่ภูอ่ะ ไม่เคยพาพี่แพรไปเลยเหรอ” ปูนยิงคำถาม ก็เห็นว่าออกจะรักกันปานนั้น เชียงใหม่ก็ไปมาแล้ว ได้ยินบอกว่าจะแต่งอีก เขาล่ะงงไปหมด

“เลิกกันแล้ว... โดนทิ้ง” คราวนี้อึ้งกิมกี่กันทั้งโต๊ะ เพราะเห็นว่าคีรินทร์เพิ่งจะเปิดตัวแฟนสาวได้ยังไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ

“เอ้า ผมว่าต้องดื่มย้อมใจให้พี่ภูแล้วว่ะ” ปูนเทเหล้าเพิ่มในเเก้วทุก ๆ คน ในเมื่อสภาพของเข้านายไม่ได้ดูน่าอดสูนักทุกคนก็ยังแซวเล่นและดื่มกันจนเต็มคราบ

กว่าวงจะสลายได้ก็เกือบห้าทุ่ม ทั้งเกมและการดื่มแบบจิบเรื่อย ๆ ต่างก็ถูกพับเก็บลง ตอนนี้เขาเห็นศพคนเมาสามศพนับรวมพี่เต้ยที่ถูกลากไปกองรวมกันตรงโถงสำหรับรับแขกแล้วก็นึกขันจนอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้

พนักงานที่นี่ทำงานกันเต็มที่ แต่พอถึงเวลาสนุกก็เต็มที่ด้วยเหมือนกัน

คนที่ยังพอเหลือสติก็ช่วยกันจัดโต๊ะ ทิ้งขยะและเศษอาหาร พวกเขาไม่ได้เก็บกวาดนจนห้องสะอาดวาววับ แต่ก็เอาแค่ไม่มีเสษอาหารเหลือทิ้งจนเกิดกลิ่นเหม็น เพื่อความสะดวกของแม่บ้านที่จะมาทำงานในเช้าวันจันทร์

“กลับแล้วนะครับ เมียมารับแล้ว” พี่สถาปนิกคนหนึ่งยกมือลา และอีกหลายคนก็ทยอยลากศพอัศวินที่พลีชีพในสงครามเครื่องดื่มกลับไปด้วย

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเต้ยกับหนูพุก ปูนไปด้วยกันเลยไหม” คีรินทร์ถามเมื่อเห็นว่าคนอ่อนวัยที่สุดยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ใกล้ ๆ

“ไม่เป็นไรพี่ ผมจะกลับแล้วไม่ได้เมาขนาดนั้น โบกแท็กซี่ได้”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งขึ้นแท็กซี่” หนูพุกจะลุกขึ้นจากเก้าอี้บุนวม ทว่าแค่ถูกดันไหล่เบา ๆ ก็เซพับลงไปกับเก้าอี้เหมือนเดิม

“นั่งเลยเราน่ะ เมาแล้วซ่า” คีรินทร์ชี้นิ้วคาดโทษ เขาเห็นว่าหนูพุกดื่มไปเยอะในช่วงท้าย ๆ แต่คนที่หนักกว่าคงเป็นเต้ยที่นอนคอพับคออ่อนอยู่ข้างกัน

“ไม่เมานะครับ พุกแค่เมื่อยเลยไม่ลุกหรอก” เลขาหนุ่มยู่หน้า หนูพุกพอจะมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง แต่แค่รู้สึกว่าควบคุมร่างกายได้ยากกว่าที่ควรจะเป็น

“งั้นผมกลับแล้วพี่” ปูนโบกมือบ๊ายบายแล้วก็เผ่นแผล็วออกไปเรียกแท็กซี่ที่ผ่านมาหน้าออฟฟิศ ทิ้งให้คีรินทร์ต้องเตรียมแบกเพื่อนขึ้นรถ ทว่าแสงไฟจากทางเข้าออฟฟิศทำให้เจ้าของสถานทิมุ่นคิ้ว

ใครกันจะมาเอาป่านนี้ ?

ในที่สุดรถยนต์สองที่นั่งเคลื่อนเข้ามาใกล้และจอดสนิท ร่างสูงโปร่งของหม่อมหลวงกวี กรจักรลงมายืนข้างรถด้วยสีหน้าอ่านยาก เพียงพริบตารอยยิ้มการค้าที่มักฉาบเคลือบใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“สวัสดีครับคุณภู ผมมารับเต้ย”

“ไม่เห็นว่าเพื่อนผมบอกไว้ว่าคุณจะมารับนะครับ” ภูยิ้มจาง ๆ เขาเองก็พอจะรู้ว่าเพื่อนสนิทมีสารถีไปรับไปส่งมาสักพัก แต่ไม่เคยซักถามอย่างจริงจังว่าเป็นใคร ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นนายทุนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่นานมานี้

“คงจะลืม ผมไลน์บอกเขาแล้วแต่ไม่อ่านเลย สงสัยจะกำลังปาร์ตี้อยู่”

กวียักไหล่ ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องสบาย ๆ ทั้งที่ในใจเดือดปุด ๆ ที่เต้ยไม่รับสายเขาสักสาย ซ้ำยังต้องนั่งคอยที่ล็อบบี้คอนโดตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งทนไม่ไหวต้องขับรถออกมาตามหา

“ฝากด้วยแล้วกันครับ” ภูกับกวีช่วยกันหิ้วปีกคนเมาหลับไม่รู้เรื่องไปไว้ที่รถ ยังเหลืออีกคนที่นั่งคอพพับไปกับเก้าอี้

หนูพุกหน้าแดงตัวแดงตาฉ่ำเยิ้ม มองดูสองมือของตัวเองซึ่งกำลังจับชายเสื้อเเละสูบมันเล่นราวกับสนุกเสียเต็มประดา คนมองส่ายหัวอย่างอ่อนใจหากริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู มือใหญ่แรกลงไประหว่างสองมือเรียวให้คนเมาหยุดพฤติกรรมนั้น แล้วจึงค่อยดึงมือหนูพุกออกจากกัน

“กลับคอนโดกัน” ร่างผอมบางต้อยตามว่าง่าย หากเดินเตาะแตะด้วยสติไม่สมประกอบ คืนนี้เขาจะได้รู้แล้วว่าสมตติฐานเรื่องอาการนอนไม่หลับที่ตั้งไว้จะเป็นจริงหรือไม่

“พี่ภูครับ...”

“ครับ” เขาตอบรับเสียงยานคางนั้นไปก็เปิดประตูรถแล้วค่อยดันเลขาหนุ่มขึ้นรถ

“อย่าทิ้งพุกนะ… อย่าไล่พุกออก...”  มือเรียวแตะลงบนใบหน้าคมสัน เกลี่ยนิ้วบนผิวแก้มเบา ๆ ยามที่เจ้าของรถโน้มตัวลงมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้

“ไม่ไล่ออกหรอก ฝังใจจังนะเราเนี่ย” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ หากเมื่อสายตาคมสบกับนัยน์นาเรียวฉ่ำน้ำ เสียงทุ้มก็หยุดชะงักลงทันใด

วินาทีนี้หนูพุกไม่มีสติมากพอจะคำนวณระยะห่างระหว่างพวกเขาด้วยซ้ำ แสงไฟนอกอาคารสีเหลืองนวลที่ส่องเขามาในรถ ช่วยให้เลขาหนุ่มมองเห็นตัวเองอยู่ในแก้วตาสีดำขลับของพี่ภู เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับแก้วรั่ว มีอะไรอยู่ในใจ มันก็ไหลออกมาหมด

“พี่ภูอย่าเสียใจนะ พุกอยู่ตรงนี้... อยู่ตรงนี้นะ…”

เสียงของชายหนุ่มฟังดูแผ่วเบาเลื่อนลอย เขาไม่รู้ว่าเครื่องปรับอากาศในรถทำให้อากาศอุ่นขึ้น หรือเป็นเพราะระยะห่างของสองร่างนั้นน้อยจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของอีกฝ่าย ที่สุดแล้วหนูพุกก็เห็นภาพสะท้อนตัวเองชัดขึ้นอีก มันชัดขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งริ่มฝีปากของเขาแตะเข้ากับอะไรบางอย่าง

...มันนุ่ม…

ยิ่งหนูพุกขยับบดเบียดเข้าหาก็ยิ่งเปียกชื้น ณ ขณะนี้ทั้งช่องท้องและทรวงอกของหนูพุกเหมือนห้องโล่งที่มีลมไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งและไม่สามารถหยุดอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นได้

ถึงสติจะไม่เต็มร้อย แต่เขาก็รู้ตัว ว่าหนูตัวหนึ่งปีนขึ้นเขามาด้วยความอุตสาหะทั้งหมดที่มี บัดนี้ทิวทัศน์บนภูเขาสูงใหญ่ทำให้จิตใจของคนมองล่องลอย หนูพุกรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในจุดที่สูงกระทั่งมองเห็นเมฆหมอกอยู่ใต้เท้า

...บางทีเส้นชัยของหนูตัวนั้นคงจะอยู่อีกไม่ไกล...


-------------------------------------------
ลูก... ลูกจูบพี่ภูแล้วค่ะ ;;[];; รักเขามากไหมลู๊กกกกกกกกกกกกกกก
เอาอีก 50% ที่เหลือมาฝากแล้วนะคะ ต่อไปก็จะอัพเป็นตอนยาว ๆ เหมือนเดิมค่ะ
ฝากลูกน้อยด้วยนะคะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นเลย เราจะตั้งใจรักษาสุขภาพนะคะ
ช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยนแล้ว คนอ่านก็ต้องดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เยิ้บค่า ♥



หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 14-10-2018 02:04:30
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 14-10-2018 02:06:22
หนูพุกเริ่มทำได้แล้ววววววว :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 14-10-2018 02:06:50
หนูพุก เมาจริงใช่ไหมนี่  5555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-10-2018 02:09:43
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 14-10-2018 02:14:21
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-10-2018 08:00:45
เขาจูบกันแล้ววววว รั่วมากเลยนะหนูพุก แต่ก็ดีเหล้าช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-10-2018 08:31:00
หนูพุกถ้าหนูสร่างแล้วจะจำได้ไหมและจะกล้ามองหน้าพี่ภูไหมลูก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 14-10-2018 09:12:14
 :hao3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-10-2018 09:30:58
ตายๆ พี่ภูว่าไงคะนี่
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-10-2018 09:49:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมอ่านบทบรรยายแล้ว ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มเอาหน้าไปใกล้ เอาปากไปบดจูบอ่ะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 14-10-2018 10:10:38
พี่ภูเสียจูบให้หนูพุกซะแล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 14-10-2018 14:23:49
ใครเริ่มละนี่ อ่านไม่เข้าใจแหะๆ พุกหรอ

รอนะค้าาาาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 14-10-2018 21:13:42
หนูพุกลู้กก พี่ภูจะว่าไงล่ะทีนี้
รออ่านต่อค่าา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 14-10-2018 23:42:09
ติดใจคู่พี่เต้ยกับคุณกวี อยู่ในช่วงกำลังงอนง้อกันใช่ไหมนี่  :-[
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  รักษาสุขภาพด้วยน้า  :กอด1:

 
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: CHOO ที่ 14-10-2018 23:45:00
แม่เด็ดไม้เรียวรอแล้ว หนูพุกไปจูบพี่เค้าก่อนเหรอลูกกกกก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lalun ที่ 15-10-2018 09:53:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 15-10-2018 17:36:46
:pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมอ่านบทบรรยายแล้ว ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มเอาหน้าไปใกล้ เอาปากไปบดจูบอ่ะ  อิอิ

ใครเริ่มละนี่ อ่านไม่เข้าใจแหะๆ พุกหรอ

รอนะค้าาาาา

เพิ่งเห็นค่ะว่าตกคำว่าหนูพุกไป ;;[];; ไดอะล็อกเต็มเป็นแบบนี้นะคะ

“ยิ่งหนูพุกขยับบดเบียดเข้าหาก็ยิ่งเปียกชื้น ณ ขณะนี้ทั้งช่องท้องและทรวงอกของหนูพุกเหมือนห้องโล่งที่มีลมไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งและไม่สามารถหยุดอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นได้”

ต้องขอโทษในความสะเพร่าด้วยนะคะ /ไหว้ย่อ

ปูลู เราค่อนข้างใหม่กับเล้าค่ะ เวลาตอบต้องโควทแบบนี้ถูกไหมคะ หรือว่ามันมีวิธีอื่นด้วยไหมคะ ;;-;;
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 15-10-2018 18:16:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-10-2018 19:17:46
หนูน้อยได้อยู่บนเข้าแล้วววว  :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-10-2018 20:09:23
หนูพุกรุกพี่ภูอ่ะคุณ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: 19august ที่ 15-10-2018 21:14:38
หนูพุกรู้กกกกกกกกกก
หนูเริ่มปีน(ป่าย)ภูแล้ววว กรี๊ด
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 16-10-2018 00:51:53
หนูพุกใกล้ทำสำเร็จแล้วนะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-10-2018 05:53:06
แล้วๆๆๆๆ   :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 16-10-2018 10:50:17
พี่ภูช็อกตายไปแล้ว

แล้วพรุ่งนี้ หนูพุกจะช็อกตามไป 55555


หวังว่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 16-10-2018 10:52:02
 :katai2-1:ทำดีมากค่ะหนู​พุกลูกกกกกกกกกแมร่
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 16-10-2018 13:41:38
หนูพุกทำอะไรลูกไปจูบ ผช ก่อนได้งายยยยย...เดี๋ยวจับตีก้นเลยนิ  พั่ภูอย่าว่าน้องนะน้องเมา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 16-10-2018 14:41:01
ต้องสำรองเลือดไว้แต่เนิ่นๆ เลยมั้ยคะ ดูท่าน้องพุกน่าจะเป็นคนร้อนแรง5555  :o8:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-10-2018 15:50:53
พี่ภูจะนอนหลับมั้ยคะคืนนี้ หนูพุกเมาแล้วลูก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: iiduckii ที่ 17-10-2018 19:07:24
เยสสสสสส ตามอ่านทันแล้ววว
หนูพุกน่ารักมากเลยยยยยย ได้จูบพี่ภูแล้วววว
กรี๊ดดดดดดกก
หวังว่าจะไม่หยุดแค่จูบนะ แอร๊ยยยยยย
ฮืดฮาดดดดด
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pan27 ที่ 17-10-2018 22:19:13
 หนูพุกลูกกกก ถ้าหนูอยากพิชิตภูหนูต้องรุกให้หนักกว่านี้นะลูกกกก...ถถถถ  :-[
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NONSENSE ที่ 20-10-2018 22:06:43
ค้างงงงงง   อ่าาา
หนูพุก ใกล้ได้ปักธงแล้วหนู 

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 21-10-2018 14:32:44
แม่ถือป้ายไฟ "หนูพุกพิชิตภู" เชียร์อยู่นะลู้กกกก จูบพี่เค้าก่อนด้วย อร้ายยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 21-10-2018 16:30:25
มารอจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 22-10-2018 19:47:41
 :katai5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 24-10-2018 12:15:39
หนูพุกกกกกก  o13
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 26-10-2018 11:17:24
รอนะคะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 26-10-2018 22:49:19
คิดถึงหนูพุก :katai5: :katai5: :ling1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-10-2018 09:28:32
หนุพุกกก สู้ ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: babylu ที่ 30-10-2018 14:34:47
 :-[
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BChampa ที่ 01-11-2018 09:27:13
หนูพุกใกล้ถึงเส้นชัยแล้ว

คุณเต้ยคุณวีมาง้อแล้วนะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: CHOO ที่ 07-11-2018 11:07:05
คิดถึงหนูพุกจังเลยค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้ลูกหมู ที่ 16-11-2018 07:48:07
รอๆ :call:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-11-2018 08:25:35
คิดถึงน้องหนูพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: พลอยสวย ที่ 22-11-2018 06:21:12
ลูกเราโตแล้วค่ะคุณ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 22-11-2018 16:43:18
คืนหน้ายางงงง น้องได้พี่ภูแล้วยังไม่เห็นรายงานความคืนหน้าเลย คิดถึงง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: maplub_oyaya ที่ 20-12-2018 21:45:10
 :hao7: มารอจ้าา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-12-2018 11:18:58
2 เดือนแล้วอ่ะ คิดถึงหนูพุกนะคะ ยังรออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 05-01-2019 23:02:32
เราตามมาจากกระทู้แนะนำ แล้วพบว่าเรื่องสนุกมาก
ค่อยๆเป็นไปแต่ทำเอาช่วยลุ้นให้หนูพุกจนหยุดไม่ได้
คนแต่งกรุณามาต่อนะคะ ค้างตอนแบบนี้นี่ใจร้ายนะ
เดี๋ยวคนอ่านจะตามไปเข้าฝันทวงจนนอนไม่หลับเหมือนพี่ภู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: babylu ที่ 20-01-2019 04:13:20
คิดถึงหนูพุกแล้วค่าาา :m15:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-01-2019 05:59:46
หายไปไหนนานจังเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: KazBadguy ที่ 19-02-2019 11:29:23
 :call: รอนะคะไรท์
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-02-2019 17:39:21
หายไปนานจังเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: enas290843 ที่ 22-02-2019 16:02:36
คิดถึงค่า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 04-04-2019 19:42:31
คิดถึงพี่ภู หนูพุกนะคะ กลับมาต่อไวๆน๊าาาา  :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 05-04-2019 22:38:52
คิดถึงพี่ภู หนูพุกค่ะ ฮืออออออ ยังรออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 09-04-2019 12:54:26
the best novel for me, keep fighting,  I believe you can be a good writer.  thank you for making my day ka. 
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-04-2019 15:22:57
หนูพุก จิตใจเข้มแข็งดีมาก ส่วนพี่ภู เป็นผู้ชายที่ดีพร้อม ไม่แตะอบายมุข ส่วนนี้ก็ดีที่สุดแล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-04-2019 10:30:41
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 16.2 --- [ 14.10.2018 ]
เริ่มหัวข้อโดย: akichan ที่ 12-04-2019 03:01:31
สนุกจัง อยากอ่านต่อมากกกกกก
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 14-04-2019 04:42:31

Chapter 17


   “ยืนดี ๆ ก่อนคุณ” ร่างสูงโปร่งของหม่อมหลวงกวียืดตรงขึ้นเมื่อปลดแขนคนเมาที่คล้องบ่าลง เขาใช้มือเดียวดันเต้ยให้ยืนชิดผนังห้อง

   “ม่าย..” เสียงยานคางของเต้ยทำคนฟังส่ายหัว เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะถอดรองเท้าผ้าใบให้อีกฝ่ายเเต่ดูคล้ายกับว่ามันคงไม่สำเร็จไปด้วยดีเมื่อเต้ยไม่ได้ยืนนิ่งแต่กลับขยับตัวไปทางนั้นทีทางนี้ทีไม่ต่างอะไรกับลูกลิง

   “ถ้าเป็นคนอื่นผมตีตายไปแล้วรู้ไหม”

   กวีได้เพียงแต่บ่นและยอมจำนน สองเเขนเเข็งเเรงรวบตัวเต้ยขึ้น เป้าหมายของเขาคือการทิ้งร่างคนมาซึ่งฝากรองรองเท้าไว้บนพรมราคาหลักหมื่นปลาย ๆ ให้เจ้าของห้องหงุดหงิด

   “แล้วทำไมไม่ตี” นิ้วเรียวของเต้ยเปะป่ายอยู่บนใบหน้าของราชนิกูลหนุ่ม กวีได้แต่มองสบดวงตาหวานเชื่อมอย่างยับยั้งชั่งใจ เขาวางเต้ยบนโซฟาตัวยาวเเล้วเอียงศีรษะหนี

   “เพราะจะไม่ใจร้ายกับคุณน่ะสิ” กวีส่ายหัวน้อย ๆ พร้อมกับปลดรองเท้าผ้าใบของเต้ยออก พูดไปอีกฝ่ายก็คงไม่รู้เรื่อง เล่นดื่มจนหมดท่าแบบนี้ ยังพูดเป็นคำได้ก็นับว่าบุญโขแล้ว

   “ใจร้ายสิ… ใจร้ายมาก” ถ้อยคำตัดพ้อนั้นทำให้เจ้าของห้องที่เพิ่งจะหิ้วรองเท้าเจ้ากรรมไปเก็บในตู้ต้องเดินกลับมาใกล้

   “ผมใจร้ายตอนไหน หืม?”

กวีทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไม่สบตากลมรื้นน้ำ หากเมื่อเต้ยช้อนตามอง เขาก็คล้ายถูกสะกดอยู่ในอำนาจนั้น ร่างกายสูงใหญ่กลายเป็นหลักให้เต้ยเอนกายเข้าหา ปลดปล่อยความในใจอย่างไม่ปิดบัง
   
   “ใจร้ายตอนที่หายไป สุดท้ายทุกคนก็จะหายไป”

   เสียงอู้อี้ที่ซุกอยู่กับไหล่ทำหัวใจเขาไหวคลอน น้ำตาร้อนผ่าวของเต้ยทำเสื้อเชิ้ตของเขาชุ่มไปทั้งเเถบ อย่างน้อยที่สุดกวีก็ยังรับรู้ได้ว่าช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ติดต่อมา… เต้ยยังนึกถึงเขาอยู่ตลอด

อยู่ดี ๆ ก็มีกำลังใจให้เดินหน้าเต็มเปี่ยมทีเดียว   

   “ชู่ว์… ไม่หายไปไหนแล้วครับ ต่อให้ไล่ก็ไม่ไปแล้วนะ”

   ตลอดชีวิตเขาไม่เคยจะต้องดูแลคนที่ตกอยู่ในฤทธิ์น้ำเมา ไม่เคยต้องมานั่งเสียงอ่อนเสียงหวานทั้งที่ไม่รู้ด้วยว่าพรุ่งนี้เจ้าตัวจะยังจำได้หรือไม่หากตื่นขึ้นมา

   “อื้อ… ถ้าไล่ก็ห้ามไป” เต้ยกำสาบเสื้อเขาไว้เเน่น ดวงตาเว้าวอนไร้ปราการปิดบังอย่างในตอนที่มีสติครบพร้อม

   “ครับ ๆ ไม่ไป”

กวีผลักเต้ยให้เอนลงบนโซฟาแต่อีกฝ่ายไม่เอาด้วย เขาจึงได้แต่เลยตามเลย ชายหนุ่มเจ้าของห้องผละออกห่าง หมายใจว่าจะลุกไปหยิบผ้าขนหนูกับอ่างน้ำมาเช็ดตัวให้

   “ไหนบอกว่าไม่ไป” ขายหนุ่มถอยออกไปยังไม่ถึงก้าวดี เต้ยก็ทวงสัญญา

   “จะไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้ก่อนครับ”  หม่อมหลวงกวีคลี่ยิ้ม ด้วยท่าทางของอีกฝ่ายนั้นเกินคำว่าน่าหลงใหลมาไกลเหลือเกิน

   “อย่าไป… นะ” สุดท้ายเขาก็ได้แต่หมอบราบคาบแก้ว ย่อตัวลงเสมอคนนั่งบนโซฟา กวีมองมือเรียวที่รั้งแขนเขาไว้ อดใจไม่ได้ที่จะก้มลงไปเเตะจูบลงบนหลังมือคนดื้อเบา ๆ

   “ถ้าไม่ไป พอจะบอกได้ไหมว่าจะให้โอกาสผมเข้าไปในนี้เมื่อไหร่” นิ้วชี้ใหญ่เเตะลงบนกลางอกของเต้ย พูดช้าชัด ราวกับต้องการสื่อให้ลึกถึงใจ

   “....” เต้ยส่ายหน้า น้ำตาหยดแหมะ ทำให้คนมองรู้แค่เพียงว่าครั้งนี้เขาคว้าน้ำเหลวอีกตามเคย เขาขยับเข้าใกล้เต้ยขึ้นอีกนิด ใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาออกจากเเก้มของอีกฝ่าย

   มองกี่ทีก็เห็นตรงตามเดิมว่าตาคู่นี้ไม่ควรเปียกชื้นด้วยร่องรอยความเศร้าหมองสักนิด

   “นิ่งซะ ผมจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้” ที่สุดเเล้วหม่อมหลวงหนุ่มก็ลุกขึ้นจนเต็มความสูงแล้วหายลับไปในห้องนอนส่วนตัว ทิ้งให้อีกคนมองเหม่อลอยไล่หลัง ได้แต่กระซิบกับความเงียบงันอย่างเเผ่วเบา

   “ขอโทษนะคุณวี”

   ไม่นานนัก หม่อมหลวงกวีก็กลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนหนึ่งเเละอ่างแก้วใสบรรจุน้ำอุ่นอยู่เกือบครึ่ง เขาวางมันลงกับโต๊ะกาแฟ แล้วเอ่ยขออนุญาติเต้ยที่มองมาทางเขาอย่างเหม่อลอย

   “ขอผมถอดเสื้อให้นะ เช็ดตัวหน่อย เดี๋ยวจะนอนไม่สบาย”

   “...”

เต้ยไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูด เพียงเเต่พยักหน้าเบา ๆ ปล่อยให้กวีดึงเอาเสื้อเเจ็คเก็ตตัวนอกออก และเพราะการนั่งอย่างรักษาระยะทำให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องรู้สึกไม่ถนัดนัก เขาขยับเข้าหาเต้ยจนแทบชิด ใช้สองมือช่วยกันถอดเสื้อยืดคอกลมของเขาออกทางศีรษะ

   เมื่อเสื้อตัวนั้นหลุดพ้นไปจากครรลองสายตา เพียงสิ่งเดียวที่เต้ยมองเห็นคือใบหน้าของหม่อมหลวงกวี กรจักร เข้าอยู่ใกล้เกินกว่าที่ควรจะเป็น แต่เขาเองก็ไม่ได้นึกเดียดฉันท์อะไร ซ้ำร้ายยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายที่ตัวเองเห็นแก่ได้ เอาแต่รั้งเขาไว้โดยไม่เคยบอกด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่กันเขาถึงจะรู้สึก ‘ไว้ใจ’ ได้อีกหน

 ดวงตากลมสบเข้ากับแววตาของอีกฝ่าย ประกายตาของเขามีเเววลุแก่โทษ ณ เวลานี้ หากลบเรื่องราวทั้งหมดทุกอย่างออกไป เขาก็พอจะเห็นว่าหนทางข้างหน้าคงไม่มืดมนอย่างเคย

เต้ยไม่คิดจะโทษฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้เขาขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่คิดโทษตัวเอง หรือใครในวินาทีนี้ เต้ยแตะมือข้างหนึ่งลงที่ข้างแก้มของคนตรงหน้า เอียงหน้าเพียงเล็กน้อยริมฝีปากนุ่มก็เเตะเขข้ากับกลีบปากของหม่อมหลวงหนุ่มอย่างพอดิบพอดี

“ผมไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษนะ อย่าทำให้ผมหมดความอดทน” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเตือนเมื่อเขาละริมฝีปากออก เต้ยเห็น… เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาขบกรามแน่น พยายามจะคงเอาไว้ซึ่งความให้เกียรติและระมัดระวัง

“ผมไม่ได้ขอให้คุณอดทน อย่างน้อยก็ตอนนี้” สถาปนิกหนุ่มเลื่อนมือไปบนสาบเสื้อของคนตรงหน้า ทาบนิ้วลงบนกระดุมเม็ดบนสุดแล้วปลดมันทีละเม็ดอย่างอ้อยอิ่ง

“ทำแบบนี้เเล้วจะมาโวยวายทีหลังไม่ได้นะ” หม่อมหลวงกวีผุดยิ้มขึ้นเมื่อเต้ยคงรำคาญที่เขาพูดมากเต็มทน จึงจัดการลุกขึ้นแล้วยึดตักเขาเป็นที่อิงแอบต่างโซฟา

เสียงเนื้อผ้าที่ถูกปลดออกกลับกลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในห้องเพนท์เฮาส์ ตั้งแต่ความถูกใจเกิดขึ้นและพัฒนาเป็นความชอบพอ กวียิ่งรู้สึกเต็มตื้นขึ้นอีกยามได้กอดก่ายแนบชิด

“อา…”

เสียงสุขสมนั้นลอดออกจากลำคอเมื่อไหร่นั้นเจ้าของมันก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ ความอุ่นชื้นของเต้ยครอบครองเขา ทำให้ใจเต้นแรงเมื่อก้มมองร่างที่ขยับลงไปที่หว่างขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกินความคาดหมาย และมันก็ยังไปต่อได้มากกว่าที่เขาคิด

กวีเกือบจะเอื้อมมือคว้าสุดปลายของก้อนเมฆที่เต้ยบันดาลให้ แต่ก็ถูกฉุดลงมาทันใดยามที่ริมฝีปากของเต้ยละออกจากตัวตน

“ดีไหม” หม่อมหลวงหนุ่มอยากจะดึงเต้ยขึ้นมาฟัดให้จมเขี้ยว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในหัวถึงได้ถามคำถามพร้อมดวงตาหวานเชื่อมอย่างนั้น

“ยิ่งกว่าดีเสียอีก” เจ้าของห้องไม่คิดหวงคำชมเชย เขาดึงเต้ยขึ้นมา รั้งให้ร่างโปร่งบางนอนลงบนโซฟาตัวใหญ่เหยียดขาได้จนเต็มความยาว

“อื้อ.. อย่ากัด” นิ้วมือทั้งห้าของคนเบื้องล่างสอดไปในกลุ่มผมสีดำ สัมผัสจากลิ้นและฟันทำให้เขาร้องครางขึ้นอย่างไม่สามารถระงับไหว สัญชาตญานทำให้ร้องห้าม หากความรู้สึกกลับอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

   กางเกงยีนและชั้นในถูกรูดออกในคราวเดียวเผยให้เห็นสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ เต้ยเปลือยเปล่าตลอดร่าง ลมหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้เขาห่อตัว พยายายกเข่าขึ้นปิดบังส่วนที่ควรซ่อนเร้นในตอนที่กวีนิ่งงันไปชั่วขณะ

   “อายเหรอ หืม” คนเคยมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมทั้งตอนเมาเเละไม่เมาเบือนหน้าหนี เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไร มันจึงทำให้เต้ยกลัว

“เปล่า ก็นึกว่าคุณจะไม่ทำ” ประโยคสุดท้ายเบาลงจนแทบจะกลายเป็นขยับปาก ทว่าคนหูดีกลับจับมันได้ทุกคำไม่ขาดไม่เกิน กวีพอจะเข้าใจได้ว่าเต้ยน่าจะขาดความมั่นใจเรื่องใดจึงประคองกรอบหน้ารูปไข่ด้วยสองมือ สื่อสารช้าและชัด

“ไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่นะ… แต่ตอนนี้มองหน้าผม ตั้งแต่วินาทีนี้คุณเป็นของผม และผมก็เป็นของคุณ ไม่มีคนอื่นมาเกี่ยวข้อง… ได้ไหม”

  สถาปนิกหนุ่มคล้ายถูกปล่อยให้ยืนอยู่กลางสะพานที่สร้างไม่สมบูรณ์ หากก้าวผิดเขาจะตกลงไปสู่พื้นเบื้องล่าง ทว่าเบื้องหน้ากลับต้องใช้ความพยายามในการก้าวข้ามไปให้ถึง

ความหวาดกลัวที่เขาแบกมันมาด้วยหนักหนาเกินกว่าจะนำพามันไปด้วย หากดื้อรั้น สิ่งเหล่านั้นเองที่จะฉุดให้เขาตกลงไป

“อืม...”

เสียงผะเเผ่วนั้นลอดออกจากริมฝีปาก ฝ่ามือของเต้ยแตะลงบนหลังมือของกวีเบา ๆ ร่วมกับการพยักหน้าซึ่งเป็นอากัปที่แสดงออกถึงการตัดสินใจไม่ได้มอบความมั่นใจให้อีกคน หากมันยังเพิ่มความมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับอนาคตให้กับตัวเขาเองอีกด้วย

“คิดถึงแค่ผมก็พอนะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มโอบกอดห้วงความคิดของเต้ยเหมือนกันกับที่อ้อมเเขนของอีกฝ่ายกำลังโอบรัดเขาให้แนบชิด

แทบไม่มีส่วนใดของพวกเขาที่ไม่สัมผัสกัน เรียวเเขนของเต้ยรัดเขากลับยามที่ร่างกายสอดประสาน ไม่มีเสียงพูดคุยอะไรต่อไปอีกนอกเหนือจากเสียงลมหายใจเเละเสียงครางสุขสม

เต้ยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะคาดหวัง และไม่มีประโยชน์ที่เขาจะเฝ้าระวังอีกต่อไป เขายินยอมแล้วที่จะวางอีกครึ่งหนึ่งของความรู้สึกไว้ให้กวีดูแลแลกกันกับที่อีกฝ่ายก็หยิบยื่นมาให้

หากมันจะซ้ำรอยเดิมก็ให้รู้กันไป


--------------------------------------------------------

คีรินทร์วางคนนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องลงบนเตียงในคอนโดที่เขามักจะมาขออาศัยนอนในช่วงหลัง ชายหนุ่มถอดรองเท้าให้เจ้าของห้อง คลี่ผ้าห่มคลุ่มร่างให้คนที่อยู่ในห้วงนิทรา บางอย่างที่อยู่ในหัวทำให้เขาปล่อยวางไม่ได้

ให้ตายเถอะ เขาหยุดคิดเรื่องจูบนั่นไม่ได้เลย

มันไม่เหมือนความบังเอิญครั้งก่อนหน้า ถึงจะไม่ได้ล้ำลึกแต่ก็คงไม่มีคำจำกัดความอื่น นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ภูดำดิ่งลง ค่อย ๆ สำรวจความคิดทีละชิ้นละอัน

หากพูดกันในเรื่องหลักการและเหตุผล สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คงจะถือว่าผิดอย่างสิ้นเชิง ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้างาน และหนูพุกเองก็เป็นลูกน้องในการควบคุม

แต่การที่หนูพุกเมาก็น่าจะถือว่าทำให้กฎเกณฑ์เหล่านั้นกลายเป็นโมฆะ เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาและหนูพุกตั้งใจให้มันเกิดขึ้น

   หากในซอกหลืบลึกของความคิดกลับส่งเสียงดังว่าจริงหรือ ?

   แม้ว่าภูไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นเล่า เขาเต็มใจให้มันดำเนินต่อไปหรือเปล่า ?

   ดวงตาคมทอดมองไปยังร่างที่นอนนิ่งอยู่บนฟูกนุ่ม หนูพุกหลับสบายโดยไม่ได้ก่อกวนเขาอีกหลังจะถูกเขาดันตัวออกและคาดเข็มขัดนิรภัยให้

   เขานึกสงสัยตัวเองอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดตัวเองจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการใกล้ชิดเลขาหนุ่ม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะกับใครก็ตามที่เป็นเพศเดียวกัน ให้เข้าใกล้จนปากแตะปากก็คงต้องรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย

   เพียงแค่สมมติว่าเขาจูบกับผู้ชายสักคนภูก็อดรู้สึกสยองขึ้นมา แต่เมื่อคนคนนั้นกลายเป็นหนูพุกความรู้สึกที่ว่ากลับจางหายไป มันไม่ต่างอะไรกับตอนที่เขาสัมผัสแพรหรือใครต่อใครก่อนหน้านี้

   ทำไมกัน ?

แต่เขาไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน

   ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีรสนิยมสนใจในเพศชาย

   คีรินทร์สืบเท้าเข้าใกล้เตียงนอนห้าฟุต นั่งลงอย่างระมัดระวังไม่ให้เจ้าของเตียงตื่น เขามองหน้าเลขาหนุ่มอย่างพิจารณา ที่สุดแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะแตะริมฝีปากของคนหลับลึกด้วยปลายนิ้ว

   กลีบปากสีอ่อนนั้นนิ่มหยุ่นไม่ต่างอะไรกับตอนที่สัมผัสด้วยปาก 

   ภูคิดว่าสิ่งที่อันตรายกว่าการที่เขาไม่ได้รู้สึกขัดแย้งน่าจะมาเยือนเขาเข้าแล้ว… สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การอยากหลีกห่างให้ไกล หากเป็นการอยากอยู่ใกล้ชิด อยากจะสัมผัสหนูพุกอีกครั้ง

   เขาพยายามที่จะหาคำตอบอย่างยิ่งว่าเหตุใดกัน

   มือใหญ่เสยผมขึ้นอย่างสุดจะเข้าใจ เมื่อเขาพยายามคิดหาเหตุผลอันใดมาประกอบความรู้สึกก็ล้วนแล้วแต่ไม่ทำเขารู้สึกปลดล็อคเสียที

   “ฝันดีนะหนูพุก”

   ที่สุดเเล้วชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะบอกราตรีสวัสดิ์คนที่ไม่น่าจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้วปิดประตูล็อคห้องให้เจ้าของอย่างเงียบเชียบ ทีแรกภูตั้งใจว่าคคงจะขออาศัยที่นี่เพื่อหาคำตอบเรื่องอาการนอนไม่หลับ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเขาต้องหาคำตอบที่ใหญ่กว่าคำถามที่แล้ว

 ทันทีที่ประตูห้องนอนบานสูงใหญ่ถูกปิดสนิท เสียงฝีเท้าก้าวออกไปไกลจนเกินระยะที่จะได้ยิน ดวงตาเรียวก็เปิดขึ้น หนูพุกลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ใช้สองแขนกอดเข่าเอาไว้ แล้วหันมองไปทางประตูห้องที่คนปิดเอาไว้คงไม่กลับเข้ามาอีก

เขาไม่รู้หรอกว่าคีรินทร์คิดอะไรอยู่ถึงได้ขยับเข้าใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กระทบผิวแก้ม หนำซ้ำยังมีอะไรบางอย่างที่เเตะลงบนริมฝีปาก หนูพุกเดาว่าน่าจะเป็นปลายนิ้ว

หากคิดจะปฏิเสธกันด้วยการดันเขาออก คาดเข็มขัดเเละปรับเบาะให้เอนนอนเพื่อที่เขาจะได้ไม่ลุกขึ้นมาก่อกวนกันอีกแล้วจะต้องมาเข้าใกล้กันอีกเพื่ออะไร

หนูพุกถอนหายใจยืดยาว

สุดท้ายเเผนอ่อยพี่ภูก็ล่มไม่เป็นท่าไปอีกหน

ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะเดาออกไหมว่าทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่เขาสร้างขึ้น

วินาทีนี้หนูพุกเลิกนับไปเเล้วว่าเขาเหลือระยะทางอีกมากน้อยเเค่ไหนกว่าจะไปถึงจุดที่ต้องการ อย่างเดียวที่หนูพุกสัมผัสได้คือความพยายามที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

...เขาเหนื่อย…


เช้าวันจันทร์ของหนูพุกเเทบจะเป็นวันที่ทุกอย่างกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกหน คนบนรถไฟฟ้าแน่นขนัด การจราจรเป็นอัมพาตเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ กว่าจะไปถึงออฟฟิศก็จวนจะเกินเวลาเข้างาน พนักงานในออฟฟิศทุกคนดูเเช่มชื่นหลังจากได้พักผ่อนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์

คงจะมีเเต่เขาที่ต้องเผชิญเรื่องหนักใจอยู่เพียงคนเดียว

หนูพุกเดินเลยเข้าไปในห้องทำงานของพี่ภู เปิดคอมพิวเตอร์เอาไว้ให้และจัดการตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกหนว่าไม่มีอะไรวางอยู่ผิดที่ ส่วนกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโต๊ะเขาก็จัดการจัดหมวดหมู่และหาเเฟ้มใสมาใส่ให้ หนูพุกฉีดสเปรย์ปรับอากาศกำจัดกลิ่นอับที่อออฟฟิศไม่ได้เปิดมาสองวันให้ห้องสดชื่นขึ้นอีกนิด

   หนูพุกเก็บขวดสเปรย์เอาไว้ที่เดิมของมัน ขณะที่ประตูกระจกถูกผลักเข้ามาโดยเจ้าของห้องทำงาน วันนี้คีรินทร์ใส่เสื้อคอจีนตีดำกับกางเกงยีนสีเดียวกัน เขายิ้มทักทายให้หนูพุกอย่างเคย

“อ้าวหนูพุก แวะมาจัดของเหรอ ขอบใจมาก” ชายหนุ่มทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะ ส่งเเฟ้มเอกสารหนาเตอะที่เขาเอากลับบ้านไปเซ็นด้วยคืนให้คุณเลขา

“ครับ พี่ภูจะรับอะไรเป็นมื้อเช้ามั้ย”

“เอาพวกกจานเดียว อะไรก็ได้ แล้วเรากินอะไรรึยังสั่งมากินพร้อมกันเลย” ภูหันไปใส่พาสเวิร์ดคอมพิวเตอร์และอ่านอีเมลล์ไปพลาง ๆ

“พุกเรียบร้อยมาแล้วครับ” หนูพุกยิ้มให้เขา พยายามสังเกตร่องรอยความผิดปกติทว่าเขาสัมผัสมันไม่ได้แม้แต่นิด หากไม่ใช่ว่าถูกจับไต๋ไม่ได้ก็คงเป็นเพราะพี่ภูเนียนเกินไป

วันนี้หนูพุกยุ่งตลอดวันเพราะเอกสารราชการต่างก็พุ่งเข้ามาหาในช่วงต้นสัปดาห์ เขาเข้าร่วมประชุมกับเหล่าสถาปนิกในช่วงเช้าอีกเช่นเคย

ตารางในช่วงเที่ยงถึงบ่ายของพี่ภูว่างเปล่า แต่เขาบอกแล้วว่าคงจะออกไปหาอะไรกินกับเต้ย ให้หนูพุกกินข้าวไปก่อนโดยไม่ต้องรอ หนูพุกเห็นว่าพี่ภูออกจากโต๊ะไปได้สักพักเเล้วและน่าจะออกจากบริษัทไปแล้วเพราะเหล่าพนักงานก็ล้วนหายออกจากออฟฟิศไปกันหมด เขารวบเอกสารทั้งหมดที่พี่เต้ยจะต้องเซ็นไว้กับอ้อมแขน ตั้งใจจะทิ้งมันไว้ที่โต๊ะของอีกฝ่ายแล้วค่อยลงไปพักกลางวัน

หากสิ่งที่เขาคาดไว้กลับผิดไปถนัด แม้ว่าสถาปนิกทุกคนจะไปพักแล้วก็จริง หากหุ้นส่วนบริษัททั้งคู่ต่างก็กำลังพูดคุยกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด

หนูพุกไม่ได้อยากจะเสียมารยาทนัก แต่เขาเหมือนจะได้ยินชื่อตัวเองตอนที่กำลังจะหันออกไป เลขาหนุ่มจึงขยับเข้าใกล้มุมที่น่าจะใกล้โต๊ะทำงานเต้ยที่สุดและจะไม่มีใครสังเกตเห็น

“กูว่าหนูพุกชอบมึงเเหงเลย” น้ำเสียงของพี่เต้ยมั่นใจจนใจสั่น ๆ ของหนูพุกร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่คงเป็นเวลาที่ความลับของเขากำลังจะถูกเปิดเผย

   “กูไม่รู้…” เพราะแผ่นหลังกว้างของพี่ภูบดบังไปพี่เต้ยไปด้วย หนูพุกจึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าของคนทั้งคู่ แต่เขาได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจหนัก ๆ ของพี่เต้ยเท่านั้น

    “แล้วมึงล่ะ ยังไง”

   “กูไม่ได้เป็นเกย์...จะไปชอบหนูพุกได้ยังไงวะ”

   คราวนี้คนฟังทำได้เพียงสูดหายใจลึก สุดท้ายแล้วก็ได้ยินชัดเจนกับหู

   ...พี่ภูไม่ได้ชอบหนูพุก เพราะหนูพุกเป็นผู้ชาย…

เลขาหนุ่มไม่สามารถปฏิเสธความจริงในข้อนี้ได้ คราวนี้คงสมควรแก่เวลาเเล้วที่เขาจะยกธงขาว ทุกสิ่งที่กัดฟันทำมาล้วนไม่มีความหมาย

หนูพุกน่าจะเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนใจใครได้

ชายหนุ่มสูดหายใจลึกอีกหน เขายอมเเพ้และทุกอย่างจะต้องดำเนินต่อไปอย่างปกติที่สุด คิดได้ดังนั้น หนูพุกจึงเคาะประตูที่มักจะเปิดกว้างไว้เป็นสัญญาณว่ากำลังจะเข้าไป

“ขออนุญาตครับ มีเอกสารให้พี่เต้ยเซ็น เดี๋ยวบ่ายสองหนูพุกมารับนะครับ”

เลขาหนุ่มฝืนยิ้มให้เจ้านายทั้งสอง เขามองหน้าพี่ภูเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนที่จะเสหลบไปแล้วพาตัวเองออกจากห้องนั้นด้วยไม่ต้องการให้ใครมองเห็นความร้าวรานที่อาจส่องเเสงทางดวงตา

ถึงตอนนี้ไม่อยากจะทำใจยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าเขาเเพ้ราบคาบแล้วจริง ๆ

------------------------------------------------------
สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะ/ไหว้ย่อ
ขอโทษที่หายไปนานประหนึ่งตายไปแล้ววว แงงงง
พอดีว่าหลังจากเที่ยนเรื่องนี้ได้สักพักคนเขียนดันได้งานใหม่เป็นเลขาค่ะ
ซึ่งเนื้องานจริง ๆ ก็เรียกได้ว่าถาโถมมาก 555555555555 เลยทำให้ต้องหยุดเขียนนิยายไปช่วงหนึ่งค่ะ
รู้สึกผิดต่อคนอ่านมากๆ แล้วก็คิดด้วยว่าคงไม่มีใครรอแล้ว แต่ยังมีคนอ่านที่ไม่ทอดทิ้งเรา /เช็ดน้ำตา
ขอบคุณนะคะ
ปล.พี่ภูพระเอกจริงมั้ยคะ ทำไมกากจัง แงงงง 555555555555555

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 14-04-2019 08:16:05
ดีใจที่มาต่อนะคะ คิดถึงหนูพุก  :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-04-2019 08:21:48
กรี๊ดดดดด สวัสดีวันสงกรานต์ค่าา นึึกว่าตาฝาดไปแล้วววว ในที่สุดก็มา

หนูพุกท้อแท้แล้ว ให้พี่ภูได้มาเป็นฝ่ายตามซะบ้าง  :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-04-2019 09:13:44
 :L2: :pig4:

สงสารหนูพุก
ดีใจที่กลับมาเขียนต่อแล้ว
หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 14-04-2019 09:23:45
โอ้โห คู่รองมาแรงแซงทางโค้งสุด เงียบๆแต่เค้าได้กันแล้วค่ะ /กรี๊ดด
ช็อตที่ไปได้ยินนี่อ่านแล้วเจ็บแทนหนูพุก ;-; รูกแม่ ได้เวลาตัดใจ ให้คนความรู้สึกช้าได้เจ็บซะบ้าง !!!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 14-04-2019 09:26:51
ดีใจที่มาต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ  o13
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 14-04-2019 09:38:39
หนูพุกกลับมาแล้ว  :mc4:  สงสารหนูพุก ถ้าเหนื่อยก็พักนะ ถ้าอยู่ใกล้เจ็บก็ถอยออกมานะหนูพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-04-2019 09:43:15
 :pig4: :pig4: :pig4:

นานมากจริง ๆ ที่หายไป

ดีใจที่กลับมา

พร้อมกับงานใหม่ที่ต้องกลับไปอ่านตอนเดิม

เนื่องจากลืมไปแล้วว่าเหตุการณ์ล่าสุดถึงไหน 555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 14-04-2019 10:28:31
 :pig4: ขอบคุณที่กลับมานะคะ ...ยังรออยู่เสมอ :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 14-04-2019 10:45:00
หนูพุก ลาออก แล้วกลับไปตั้งหลักที่บ้านเถอะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-04-2019 11:07:09
ดีใจที่กลับมานะคะ คิดถึงหนูพุกมากเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 14-04-2019 11:23:12
……

อือมม _หนูพุกคงต้องลองทิ้งระยะห่างแบบกวีดูบ้างละนะ ว่าพี่ภูจะรู้สึกอะไรบ้างไหม


อย่างน้อยคู่กวีเต้ยก้อลงตัวไปละหนึ่งคู่ มาคู่เอกนี่นะ พี่ภูจะมองหนูพุกแบบจริงจังได้หรือยัง


…………



 :katai4:   :katai5:  :ling1: :ling2:  :ling3:    :katai4:  :katai5: :ling1:   :ling2: :ling3:



……
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 14-04-2019 11:54:56
กรี๊ดดดดดดด กลับมาแล้วววคิดถึงฝุด
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: akichan ที่ 14-04-2019 12:25:30
หนูพุก T_T
คนเขียนกับมาแล้ววววว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-04-2019 17:17:07
ขอบคุณนะที่มาต่อ
 :really2: :really2:
คุณเต้ยมีคนปลอบใจแล้ว
ส่วนหนูพุก อ่อยถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ยังไม่คืบหน้า
สงสารหนูพุกจัง
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Khanomni ที่ 14-04-2019 17:42:21
อยากอดปลอบหนูพุก :mew2:
ยอมแพ้ให้พี่ภูได้พยายามบ้างง รออ่านอยู่นะคะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-04-2019 18:04:15
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-04-2019 18:06:25
ดีใจนะเนี่ย ที่มาอัพต่อ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 14-04-2019 18:22:00
คุ้มค่าการรอคอยค่าาาา พอคุมหมีบอกว่าพิชิตภูอัพแล้ว ก็รีบตามมาทันที
ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าอีก เพราะลืม 555555
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: _jinxpy ที่ 14-04-2019 21:33:11
พึ่งมาตอนอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนล่าสุดสงสาาน้องพุกมากน้องคงเหนื่อยจะตามคนพี่แล้ว;_;
หวังว่าพี่ภูจะเลิกสับสนแล้วหันกลับมาดูน้องนะ :hao5: :hao5:
ไรท์เขียนดีๆมากเลยค่ะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเนื้อเรื่องต่อกันสนุกมาๆเป็นกำลังใจและติดตามนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-04-2019 22:05:09
ดีใจที่กลับมานะคะ ทำไมตอนนี้คู่รองแซงทางโค้งคู่หลักแล้วล่ะคะ ตอนท้ายก่อนจบตอนหนูพุกคงใจสลายที่ได้ยินพี่ภูพูดแบบนั้นออกไป
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-04-2019 09:21:34
ดีใจที่คนเขียนนำทุกคนกลับมาหาคนอ่านค่ะ
อย่าหายไปนานๆอีกนะคะ เพีาะตอนนี้หนูพุกต้องการคนปลอบใจ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 15-04-2019 12:58:33
โอ้ยดีใจแฮงหนูพุกกลับมาแล้วหายไปนานมากจนเกือบลืม555+
 อิพี่ภูต้องให้น้องไม่สนใจก่อนใช่ไหมถึงจะรู้ใจต้องเองนะ หนูพุกไม่ร้องนะโอ้ๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 15-04-2019 14:36:19
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 15-04-2019 16:46:13
ขอบคุณที่กลับมาเขียนต่อนะคะ ดีใจจัง..ได้อ่านต่อแล้ว คิดถึงหนูพุก กับพี่ภู และคู่คุณเต้ย คุณกวี มากๆเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kc ที่ 15-04-2019 21:47:45
ดีใจื่กลับทาอัพต่อนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 15-04-2019 23:02:09
แอบดีใจที่ยังไม่ลงเอยยยย เราชอบตอนยังไม่ตกลงคบกัน เป็นอะไรที่อ่านได้ยาว ขอบคุณที่พี่ภูเป็นคนดีค่ะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 16-04-2019 09:32:27
หายไปนานเลยคุณนักเขียน :กอด1:
คิดถึงหนูพุกมาก ๆๆๆ อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่าย ๆ นะหนูพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 17 --- [ 14.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-04-2019 23:42:46
หนูพุกแพ้ราบคราบ เชียร์หนูพุกให้มีรักใหม่ กับคนใหม่
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Miss Midnight ที่ 16-04-2019 23:59:23
Chapter 18

ร่างผอมบางของเลขาหนุ่มหายลับประตูไปแล้วหลังจากเอาเอกสารมาวางไว้ถึงโต๊ะทำงานของเต้ย หากทิ้งเอาไว้ซึ่งบรรยากาศบางอย่างที่ทำให้บทสนทนาหยุดชะงัก

เขาไม่เคยเห็นหนูพุกหน้าซีดขนาดนี้มาก่อน แม้เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีที่หนูพุกอยู่ให้เห็นหน้า เจ้านายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความประดักประเดิดที่ชัดเจนจนสังเกตได้

คีรินทร์มั่นใจว่าหนูพุกคงได้ยินทุกอย่างแน่โดยเฉพาะประโยคตอกย้ำสถานภาพทางเพศที่เขาเพิ่งจะพูดออกมากับปาก

ตลอดมาเขาไม่เคยมีความคิดดูหมิ่นดูเเคลนอะไรกับรสนิยมหรือเพศสภาพของใคร ตรงกันข้ามเขาออกจะไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่ชายหนุ่มไม่คิดว่าสิ่งที่เขามองข้ามมาตลอดจะกลับมาสะกิดใจจนถึงขั้นหอบเรื่องหนักอกมาปรึกษาเพื่อนสนิท
 
“เฮ้อ..” เต้ยผ่อนลมหายใจ บนใบหน้าไม่เก็บอาการอิดหนาระอาใจแม้สักนิด ดาวตาสุกสกาวที่ใครต่อใครชมว่าสวยนักสวยหนามองราวกับเขาเป็นบัวใต้ตมที่ชาตินี้คงไม่มีวันโผล่พ้นดินโคลนขึ้นมาได้

“กูว่ามึงจัดลำดับความสำคัญผิด” เต้ยยังไม่เก็บปากกาที่ใช้เซ็นเอกสารด่วน แต่กลับใช้มันชี้หน้าเขา

“หืม?” คีรินทร์เลิกคิ้ว พยายามคิดย้อนกลับไปตามคำพูดของหุ้นส่วนบริษัท

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่มึงจะเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ว่ามึงรู้สึกยังไงต่างหาก” เต้ยสบตาเขาเเล้วเลิกคิ้วบ้าง

แน่นอนว่าตั้งแต่ทำงานร่วมกันมาเขาไม่เคยรู้สึกกับหนูพุกในเเง่ลบ หนูพุกช่วยงานเขาได้ไม่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งเขายังกลัวว่าตัวเองจะเสียนิสัย

“กูไม่ได้หมายความถึงสถานะนายจ้างกับลูกจ้าง” เต้ยดักทางเสียงเข้ม กะจะไล่บี้ภูให้จนมุม เขาเองก็เห็นมานานเเต่แสร้งทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียนาน

อาจเป็นเพราะอยู่ใกล้เกินไป คีรินทร์ถึงไม่เคยค้นพบประกายล้ำลึกบางอย่างที่มักทอดออกมาจากสายตาของหนูพุก 

“ก็คงดีนั่นเเหละ” คีรินทร์เสยผม เขาหาคำจำกัดความอื่นไม่ได้เลยนอกจากคำว่า ‘ดี’

ระหว่างเขากับหนูพุกไม่เหมือนตอนที่เขาพบกับแพร เขาไม่ได้รู้สึกถวิลหารุนแรง ไม่รู้สึกว่าอยากเข้าหาเพื่อจะให้ได้มา เขาไม่เคยรู้สึกว่าต้องมีการหยั่งเชิงหรือเล่นเกมลองใจ

หนูพุกเป็นเหมือนเเสงอาทิตย์เรืองรองสำหรับเขา อบอุ่น ส่องประกาย และเข้าอกเข้าใจ คีรินทร์เพียงแต่รับรู้ว่าเขาอยู่กับหนูพุกแล้วสบายใจ ไม่เกินเลยไปกว่านั้น

“คงเพราะหลายอย่างมันคงไม่ค่อยชัดเจน” เต้ยเปรย ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิทที่คล้ายกับจมจ่อมลงในห้วงความคิดของตัวเอง

“เอาเป็นว่าตอนนี้มึงติดใจเรื่องอะไรมากที่สุด” ที่ปรึกษาพยายามจะสรุปทุกอย่างให้ง่าย

“กูแค่ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร กูหยุดคิดถึงจูบนั้นของหนูพุกไม่ได้เลย”

สัมผัสอ่อนนุ่มคล้ายยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ลมหายใจอุ่นร้อนที่ทาบทับลงมาคล้ายกำลังหยั่งรากลึกลงในความรู้สึก ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่นอกเหนือจากหยั่งรากเเล้วยังแตกกิ่งก้านและใบครอบครองเอาพื้นที่ความคิดของเขาไปจนหมด

“ถ้ามึงอยากจะแน่ใจ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่าควรจะต้องทำยังไง”

เต้ยสบตาเพื่อนสนิทเขม็ง ข้อหนึ่งที่ทำให้เขากับภูไปกันได้คือการดับเครื่องชน พวกเขาพร้อมที่จะเสี่ยงอยู่เสมอหากมันจะทำให้เกิดผลตอบเเทนที่ยิ่งใหญ่
   
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวภูเองว่าครั้งนี้เขาจะเห็นว่าผลตอบเเทนที่จะเกิดขึ้นนั้นคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงหรือไม่

.”...” เต้ยวางปากกาลง เมื่อเห็นว่าคีรินทร์ไม่คิดจะตอบอะไรก็ไม่คิดจะคาดคั้น ของแบบนี้ใครบอกก็คงไม่สู้รู้ด้วยตัวเอง เขาจึงตัดสินใจทำลายความตึงเครียดด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ไปกันสักที กูหิวข้าวจนจะกินออฟฟิศได้อยู่เเล้ว”

บ่ายวันนั้น ภูตั้งใจจะเข้าไปปรับความเข้าใจกับหนูพุกแม้ว่าในหัวสมองของเขาจะว่างเปล่า ทว่าเลขาหนุ่มของเขาดูคล้ายจะงานยุ่งกว่าทุกวัน ช่วงที่เขากลับมาจากมื้อกลางวันหนูพุกเพียงแต่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะแล้วยิ้มให้อย่างทุกที

เขาหยุดคิดเรื่องข้อสังเกตของเต้ยที่ว่าหนูพุกรู้สึกพิเศษกับเขาไม่ได้อีกเช่นกัน มันคงเป็นโชคดีของนายจ้างที่เลขายังสามารถทำงานต่อไปได้อย่างปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็คงเป็นโชคร้ายของเขาที่ไม่ได้มีโอกาสจะแก้ตัวหรือเเม้กระทั้งเปรยเรื่องส่วนตัวขึ้นมา

“หนูพุก”

เจ้านายหนุ่มเดินออกมานอกห้อง ว่าจะวานให้เลขาจัดอาหารว่างให้ช้ากว่าเดิมสักหน่อยเนื่องจากวันนี้รับประทานอาหารไปค่อนข้างมาก ทว่าเจ้าของร่างกายผอมบางกลับไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทำงาน

เขาเดินลงมาที่ครัว ในมือถือเเก้วกาเเฟมาด้วย หวังว่าจะเติมเพียงกาเเฟร้อนเเล้วจะกลับขึ้นไปนั่งทำงาน หากพบว่าคนที่เขาตามหาอยู่เมื่อครู่กำลังหันหลังจัดจานของว่างอยู่ในครัวนี่เอง

“หนูพุก” เลขาหนุ่มสะดุ้งโหยง เพียงแต่เลขาหนุ่มไม่ยอมหันมาตามเสียงเรียกตามปกติวิสัย

“ครับ พี่ภูจะเอาอะไรหรือเปล่า”

“พี่แค่จะมาเติมกาเเฟ” เขาสืบเท้าเข้าไปใกล้ แต่หนูพุกก็ยังไม่ยอมหันมาอยู่ดี

“วางเเก้วไว้เลยครับ เดี๋ยวพุกเติมแล้วเอาขึ้นไปให้พร้อมของว่าง” ถ้าหูเขาไม่ได้เพี้ยนไป ภูคิดว่าเสียงของหนูพุกดูจะอู้อี้กว่าปกติ

“ร้องไห้ทำไม” สถาปนิกหนุ่มวางเเก้วไว้กับเคาน์เตอร์ก่อนจะรั้งร่างของหนูพุกให้หันมาสบตากัน

“เมื่อกี้แกะซองน้ำตาลแล้วไม่ทันระวังมันเลยกระเด็นเข้าตาครับ” เลขาหนุ่มทำเฉไฉ ใช้หลังมือสองข้างช่วยกันปาดน้ำตา หวังว่ามันจะหายไปโดยเร็ว

“เรานี่นะ…” คีรินทร์ถอนใจ ไม่รู้ว่าจะมีใครเคยบอกหนูพุกหรือเปล่าว่าเจ้าตัวน่ะโกหกไม่เก่งที่สุดในโลก
เห็นเลขาหนุ่มทำตาเเดงใส่อย่างนี้เเล้วเขารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ภูแน่ใจว่าสกเหตุที่หนูพุกร้องไห้ต้องมาจากตัวเขาเองเเน่ เพียงแต่ไม่แน่ใจนักว่าหนูพุกเจ็บปวดเพราะเขาพาดพิงถึงรสนิยม หรือหรือพุกเจ็บปวดเพราะคำปฏิเสธกลาย ๆ ของเขากันเเน่

“ล้างหน้าซะ เดี๋ยวอันนี้พี่ยกขึ้นไปเอง” ความตั้งใจที่จะขอเลื่อนอาหารว่างพังทลายลงเมื่อเขาเห็นว่าหนูพุกเตรียมมันอย่างตั้งอกตั้งใจ คีรินทร์วางเเก้วกาเเฟทิ้งไว้เเละถือจานใส่เเซนด์วิชของตัวเองขึ้นไปโดยไม่หันมองเลขาหนุ่มอีก

ข้อหนึ่ง เขาไม่กล้าพอที่จะหักหาญน้ำใจของหนูพุกหากอีกฝ่ายรู้สึกพิเศษกับเขาอย่างที่เต้ยว่า

ข้อสอง ทุกครั้งที่มองหน้าเลขาหนุ่ม เขาห้ามสายตาตัวเองไม่ได้เลยที่จะไม่ให้มันจดจ่ออยู่กับริมฝีปากบางซึ่งกำลังขยับสื่อสารอยู่กับเขา



หลายวันมานี้หนูพุกทำงานตามปกติเเม้ในใจจะพังทลายเหมือนใครเอาค้อนมาทุบจนเเหลกสลายไปแล้ว เขาเจ็บปวด เขาเสียใจ แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือความรู้สึกอับอายที่ล้นปรี่

หนูพุกยอมทำทุกอย่างเพื่อเเลกกับการที่พี่ภูจะเห็นเขาอยู่ในสายตาบ้าง

ยอมจนหลงลืมไปว่าความรักที่แท้จริงนั้นไม่ต้องเอาอะไรไปแลกเพื่อให้ได้มา

เขารู้ตัวว่าคงตัดใจจากพี่ภูในครั้งเดียวไม่ได้แน่ ๆ ในตอนนี้เขาหมายใจว่าจะตั้งเป้าหมายสั้น ๆ เริ่มจากการขีดเส้นคั่นสถานะที่ชัดเจน
.
..ระหว่างเขากับพี่ภู ต้องเป็นเจ้านายกับลูกน้องเท่านั้น…

“หนูพุก…”

“ครับ” เลขาหนุ่มขานรับ ไม่นานนักก็ละมือออกจากงานเเล้วเข้ามาในห้องเจ้านายหนุ่มทันใด

วันนี้พี่ภูง่วนอยู่กับการตรวจงานดีไซน์ทั้งวันดังนั้นคงจะไม่มีเรื่องเอกสารมาถามเขา หากไม่เรียกไปขอกาเเฟ ก็คงให้เรียกสถาปนิสักทีมเข้าประชุม

“พี่ขอกาเเฟหน่อยครับ” หนูพุกสบตาเขา พยายามอย่างยิ่งที่จะหักห้ามความรู้สึก

“ครับ” มือเรียวรับเเก้วมักสีเข้มจากเจ้านาย โดยระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ปลายนิ้วแตะถูกกัน


หากเป็นเมื่อก่อน หนูพุกคงเตือนให้เขาเลี่ยงกาเเฟเพราะวันนี้พี่ภูแทบจะดื่มกาเเฟต่างน้ำเปล่าเลยด้วยซ้ำ เขาสบตาคีรินทร์ที่ดูเหมือนกับกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างแต่กลับไม่พูดออกมา ร่างกายสูงใหญ่เบื้องหลังโต๊ะทำงานเพียงแต่จ้องมองเขาจนทำให้คนถูกมองรู้สึกตกประหม่า

“....”

 จนตอนนี้เขาไม่รู้ว่าพี่ภูรู้ไส้รู้พุงเขาไปถึงไหนต่อไหนเเล้ว และต่อให้รู้เขาก็จะไม่สนใจในเมื่ออีกฝ่ายยังคงตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หากนี่ไม่เรียกว่าการปฏิเสธ หนูพุกก็ไม่รู้จะจำกัดความมันว่าอะไร

“หิวหรือเปล่าครับ รับเป็นเเซนด์วิชไหม”

ประโยคที่หลุดล่วงออกจากปากเลขาหนุ่มเป็นสิ่งที่คีรินทร์ไม่คาดคิด เขาไม่ได้หวังว่าจะได้ยินประโยคคำถาม เพียงแต่คาดหวังที่จะได้ยินคำเตือนที่หนูพุกพูดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเรื่องโทษของคาเฟอีน

...น่าประหลาดที่ภูไม่เคยนึกเบื่อที่จะฟัง...

“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก”

ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้พูดกับหนูพุกอย่างเป็นจริงเป็นจังเพราะตัวเขาเองที่ยังเอาแน่เอานอนกับอะไรไม่ได้ แต่เขารู้สึกได้ว่าหนูพุกกำลังพยายามหลบหน้าเขาอย่างชัดเจน

แม้ว่าเนื้องานของเขากับหนูพุกเเทบจะต้องสื่อสารกันตลอดเวลา แต่ช่วงไหนที่ไม่ได้มีงานเป็นข้อบังคับ หนูพุกก็จะปลีกตัวและหายไปราวกับเสกได้

ก่อนหน้านี้เป็นคีรินทร์เองที่เคยเห็นใจตอนหนูพุกอยู่ทำงานดึกเพื่อรอเขากลับบ้าน จนเขาต้องเอ่ยปากว่าถ้าไม่มีงานก็ให้กลับบ้านได้

นี่คงเป็นช่วงเวลาที่หนูพุกจะใช้คำอนุญาตนั้น เนื่องจากทุกเย็นหนูพุกมักจะจัดอาหารไว้ให้เขาตรงตามเวลา แล้วก็เผ่นเเผล็วหายไปหลังเวลาเลิกงาน

เพราะต้องการเห็นหน้าค่าตา จึงเป็นเหตุผลที่วันนี้เขาเรียกเติมกาเเฟอยู่บ่อยครั้ง ภูไม่ใคร่ห่วงสุขภาพร่างกายของตัวเองเท่าไหร่นักเพราะมันคงชินชากับฤทธิ์ของกาเเฟเเล้ว ต่อให้ดื่มสักแก้วสองแก้วก่อนเข้านอนเขาก็ยังหลับลงอยู่ดี

ประตูกระจกใสถูกเคาะตามมารยาทก่อนมันจะเปิดออก ปรากฏร่างของหนูพุกเเละแก้วมักที่บรรจุกาเเฟดำอุ่น ๆ เกือบเต็มถ้วย

“หนูพุก” มือที่วางเเก้วบนโต๊ะชะงักนิดหน่อย ก่อนที่เลขาหนุ่มจะวางเเก้วเอาไว้เเล้วเขยิบออกมายืนนิ่ง

“ครับ”

“เย็นนี้ถ้าว่าง ไปกินข้าวกับพี่หน่อย” น้ำเสียงของพี่ภูดูออกจะเคร่งขรึมเเละเป็นทางการ เท่าที่จำได้หนูพุกไม่เคยเอ่ยปากขอให้ไปไหนมาไหนด้วยชัดเจนขนาดนี้ด้วยซ้ำ

“คงไม่สะดวกครับพี่ภู เย็นนี้พุกมีนัดเเล้ว” หนูพุกพูดเสียงราบเรียบ คงไว้ซึ่งรอยยิ้มเปี่ยมมารยาทอย่างที่เลขาพึงมี

“พรุ่งนี้ล่ะ”

“พรุ่งนี้ก็ติดนัดครับ” หนูพุกอมยิ้มแม้ว่าในใจจะรู้สึกว่ากำลังถูกบีบคั้น ทั้งจากตัวเองเเละจากคนตรงหน้า เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะตัดความรู้สึกทางใจเเละคงไว้ซึ่งมาตรฐานการทำงาน แต่ดูเหมือนคีรินทร์จะไม่ให้ความร่วมมือเลยเเม้เเต่น้อย

“มะรืน”

“มะรืนก็ติดนัดครับ” เลขาหนุ่มยืนยันคำเดิม

คล้ายกับว่าคีรินทร์คงจะเริ่มหมดความอดทน หนูพุกเห็นว่าเจ้านายหนุ่มละมือออกจากเมาส์ และประสานมือไว้ด้วยกันโดยใช้มันเป็นที่เท้าคางกลาย ๆ

“เราไม่ได้หลบหน้ากันอยู่ใช่หรือเปล่า”

“เปล่านี่ครับ” หนูพุกก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ภูไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าจากคนที่เคยเเม้กระทั่งนอนเตียงเดียวกัน ตื่นเช้ามาทำงานด้วยกัน จะลงเอยด้วยความห่างเหินประเภทถามคำตอบคำอย่างนี้

โดยปกติเขาไม่ใช่คนใจร้อนอะไรนัก ทว่าเมื่อคนใกล้ชิดเป็นเเบบนี้ขึ้นมา เขาก็อดรู้สึกหัวเสียไม่ได้

“โอเค เปล่าก็เปล่า รบกวนเราตามปูนมาคุยเรื่องคอนเซปต์หน่อยเเล้วกัน” เจ้าของห้องทำงานพยักหน้า ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรอีกเมื่อเห็นว่าคาดคั้นไปก็คงไม่ได้ความ มือใหญ่ผายไปที่ประตูเป็นเชิงว่าเขาไม่มีอะไรจะซักถามอีก

เมื่อเลขาหนุ่มหายลับออกไปจากประตู ภูก็หมดสมาธิจะทำงาน เขาได้แต่เซฟไฟล์เอาไว้แล้วนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ว่างเปล่า

ข้อสงสัยของเต้ยที่ว่าหนูพุกน่าจะรู้สึกพิเศษกับเขาดูท่าเเล้วก็น่าจะเป็นความจริงเมื่อพิจารณาย้อนหลังกลับไป เขาปล่อยให้เรื่องส่วนตัวที่เขาจัดการเองไม่ได้เบียดบังเวลาของหนูพุกไปมาก แต่อีกคนกลับยินดีทำให้เขาโดยไม่ปริปากบ่น

เพียงเเค่เขาเปรยว่าต้องการอะไร หนูพุกก็หามาให้เขาเเทบจะในทันที

ในตอนที่เขาเสียใจจนหมดท่า คนที่คอยปลอบเขาก็มีแค่เพียงหนูพุก

หากลบหน้าที่การงานออกไปอย่างที่เต้ยว่า จะมีเหตุผลอะไรกันที่ใครสักคนจะทำเพื่อเขาขนาดนี้

เมื่อคิดตกเเล้วว่าตัวเอง ‘พิเศษ’ อย่างไร คีรินทร์ก็รู้สึกเหมือนว่าข้างในตัวเขาคงมีใครเเอบเอาลูกโป่งสูบลมมาใส่ไว้ มันทั้งพองฟูและเต็มล้น

เพียงเเวบเดียวลูกโป่งนั้นก็ถูกเจาะลมออก เขาตระหนักเเล้วว่าท่าทีของหนูพุกน่าจะเกิดขึ้นจากอะไร ภูนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าเห็นแก่ตัวที่ไม่อยากให้หนูพุกเปลี่ยนเเปลงไปทั้ง ๆ ที่เขาตัดรอนอีกฝ่ายก่อน

...ป่านนี้จะเกลียดกันหรือยังก็ไม่รู้…

“พี่ภูครับ” ปูนเข้ามาพร้อมกับมู้ดบอร์ดและรูปสเก็ตช์คร่าว ๆ ของโปรเจ็คบ้านเดี่ยวที่เพิ่งรับมาเมื่อสัปดาห์ก่อน

“มีอะไรคืบหน้าบ้าง” คีรินทร์หยิบปากกาขึ้น เขาดูรูปเสก็ตช์เเละฟังคอนเซ็ปท์ที่ปูนอธิบายได้ไม่ทันไรก็เผลอขมวดคิ้ว

“เรื่องนี้เราคุยกันไปเเล้วนี่” เขาเปิดสมุดของปูนดูเเล้วคว้าสมุดโน๊ตของตัวเองที่จดไว้ด้วยตัวอักษรหวัด ๆ

“ก็ใช่ไงพี่ภู พี่เพิ่งจะให้ผมมาคุยเมื่อเย็นวาน เเล้วเรียกอีกทีตอนนี้ ใครมันจะไปแก้ทัน” ปูนพูดติดตลก แต่ก็เอื้อมมือไปพลิกกระดาษที่เขาทำบับเบิ้ลใหม่เอาไว้ให้ดูพอแก้ขัด

“เออโทษที ไว้ค่อยคุยกันอีกทีวันศุกร์แล้วกัน” คีรินทร์ถอนหายใจ เขายกมือนวดขมับโดยไม่ปิดบัง คงเพราะคิดเรื่องอื่นมากเกินไปถึงต้องมานั่งทำงานซ้ำซ้อนอย่างนี้

“ช่วงนี้พี่ดูเครียด ๆ นะ” ปูนรวบกระดาษเข้ามาสอดไว้ในหนังสือ ถึงเเม้มันจะไม่เป็นระเบียบนักแต่ก็ยังดีกว่าให้มันกระจัดกระจาย

“ดูออกขนาดนั้นเลย?” เจ้านายเลิกคิ้ว

“ก็ทำนองนั้นครับ อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงนะพี่ ตอนนี้เหมือนพี่กับพี่พุกทะเลาะกัน” ปูนเปรย สถาปนิกรุ่นน้องพยายามนั่งให้นิ่งนี่สุด เเละพยายามกลบเกลื่อนความอยากรู้อยากเห็นทางเเววตาด้วยการเสไปมองทางนั้นทีทางนี้ที

“เปล่านี่” ภูยกแก้วกาเเฟขึ้นจิบ เขาไม่แยแสท่าทีของลูกน้องที่ดูคล้ายจะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก ปูนจะไม่เชื่อก็ช่างหัวมัน ถ้าเขาบอกเเล้วว่าไม่ก็คือไม่

“ก็ตามนั้นครับ แค่ผมเห็นว่าเวลาพี่ไปทาง พี่หนูพุกก็จะไปอีกทาง ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนที่ชอบนั่งด้วยกัน” ปูนเลือกใช้น้ำเสียงเนิบ ๆ คล้ายจะไม่ให้ความสำคัญกับบทสนทนานี้นัก

“เหรอ แล้วบรรยากาศในออฟฟิศมันแย่หรือเปล่า”

กายละเอียดของปูนเเทบจะตบหัวเข่าดังฉาด มาอีหรอบนี้ถ้ายังบอกว่าไม่ทะเลาะกันเขาก็อยากจะขำให้ฟันร่วง

“สำหรับผมก็เฉย ๆ นะ แต่สำหรับพี่น่ะโอเครึเปล่า”  คนพูดหย่อนเบ็ดกะจะตกปลาใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นไปตามคาด

“เฉย ๆ ก็ดี เอาเป็นว่าคุยกันอีกทีวันศุกร์” คีรินทร์หักคอปูน วันนี้ไอ้ตัวดีได้รู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากเกินไปแล้ว

เมื่อสถาปนิกรุ่นน้องออกไปเเล้ว เจ้าของห้องทำงานก็ได้แต่นิ่งเงียบทบทวนคำพูดของปูน เมื่อก่อนเขากับหนูพุกเข้ากันได้ดีกว่านี้ ทุกวันนี้แม้การงานจะไม่ได้มีปัญหาอะไรเขาก็ยังรู้สึกเหมือนหัวไปทางตัวไปทางอยู่ดี

สุดท้ายเเล้วก็คงมีแต่ตัวเขาเองที่เฝ้าถามตัวเองว่าเขาโอเคกับการที่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้หรือไม่

ภูไม่รู้ว่าเขาปล่อยให้เวลาไหลผ่านตัวเองไปมากน้อยแค่ไหน กว่าจะรู้ตัว หนูพุกก็มาเคาะประตูบอกว่าจะกลับบ้านแล้ว

“พุกกลับแล้วนะครับ”

“ไปสิ กลับด้วยกันเลยก็ได้ เดี๋ยวติดรถพี่ไปลงที่รถไฟฟ้า” เขาเสนอตัว ไหน ๆ เขาก็ไม่มีสมาธิมากพอจะทำงานแล้ว ก็ไม่ควรจะปล่อยช่วงเวลานี้ให้เสียเปล่า

ตอนนี้ภูตระหนักรู้แล้วว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อหนูพุกคงไม่ใช่เพียงเพื่อนร่วมงาน เพียงแต่ว่าอะไร ๆ มันยังไม่ชัดเจนพอให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย

เขาอาจะแค่พึงพอใจเพราะไม่มีใครก็ได้

จากนี้เขาจะดับเครื่องชน หากไม่รู้ เขาก็จะทำให้ตัวเองรู้ หากชอบพอเขาจะเดินหน้า แต่ถ้าคำตอบคือไม่เขาจะหยุด คีรินทร์ไม่ต้องการทำร้ายหนูพุกด้วยความไม่รู้อีกต่อไป

“ไม่เป็นไรครับ มีคนมารอพุกแล้ว” หนูพุกยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ผ่านมาจากดวงตาเหมือนเคย คล้ายกับมีกำเเพงเเก้วบางใสขวางเอาไว้ กันไม่ให้เขาเเตะต้องสัมผัส

“โอเค งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” คีรินทร์เเสร้งทำเป็นไม่ยี่หระ วางกุญเเจรถไว้กับโต๊ะทั้งที่เก้อกระดากเต็มทน

หนูพุกเดินออกจากห้องทำงานเขาไปสักพักเเล้ว แต่ตะกอนภายในใจของเขากลับไม่ยอมนิ่งสนิทตาม ภูมองลงไปยังหน้าถนนผ่านหน้าต่างห้องทำงาน เขาเห็นรถยนต์ห้าประตูคันใหญ่จอดนิ่งอยู่ ข้างกันเป็นชายหนุ่มผิวขาวจัด ตัวสูงโย่ง ท่าทีดูสนิทสนมกับหนูพุกมากทีเดียว

ใคร ?
   
คำถามนั้นก่อกวนคีรินทร์ตลอดเวลาแม้ว่าเขาจะเข้าใจดีว่านั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของหนูพุก ไม่ใช่กงการอะไรของเขาที่จะต้องรับทราบ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถปล่อยวางมันได้

   ภูไม่เคยคิดที่จะเอาหน้าที่การงานมาเบียดบังเพื่อหาผลประโยชน์จากลูกน้องเลยครั้ง แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาคิดและลงมือทำ
   
“หนูพุก วันนี้ช่วยอยู่เย็นหน่อยได้ไหม พอดีพี่มีงานเอกสารให้ช่วยหน่อย”

แน่นอนว่าได้ยินอย่างนั้น เลขาหนุ่มก็ขัดไม่ได้ หนูพุกส่งข้อความไปหาเพื่อนใหม่ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมกันถึงกรุงเทพฯ ว่าวันนี้เขาคงไม่สะดวกเท่าไหร่นักและขอเลื่อนนัดกินข้าวไปเป็นวันหลังเเทน
   
คีรินทร์ขุดทุกงานเอกสารที่เขานึกได้ทั้งหมดขึ้นมาสะสางและตรวจสอบ ในตอนนี้ทั้งเขาเเละหนูพุกต่างก็นั่งกันอยู่อย่างเงียบเชียบบนโต๊ะทำงานเดียวกัน ระหว่างเจ้านายและเลขานุการหนุ่มมีเพียงเสียงพลิกเเผ่นกระดาษ และเสียงคีย์บอร์ดเท่านั้น

   “หนูพุกจะกินอะไรหรือเปล่า” เมื่อเห็นว่าเข็มนาฬิกาล่วงไปจนเกือบจะเเตะเลขแปด คีรินทร์ก็เพิ่งนึกได้

“ไม่เป็นไรครับ พุกไม่หิว พี่ภูทานก่อนเลย” หนูพุกไม่เเม้เเต่จะเงยหน้าขึ้นมาคุยกับพี่ภูสักนิด ทั้งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงและปฏิบัติงานเป็นพนักงานที่ดีเเล้ว เหตุใดกันพี่ภูจึงพยายามที่จะข้ามเส้นคั่นของเขาอยู่เสมอ

ปากก็พูดอยู่เเท้ ๆ ว่าจะมารู้สึกกับเขาในเชิงนั้นได้ยังไง

คิดอย่างนี้ หนูพุกยิ่งรู้สึกเสียด ๆ ในอก เขาไม่ต่างอะไรไปจากหมากตัวหนึ่งที่กำลังเข้าตาจน หากเดินหน้าก็รังแต่จะพ่ายแพ้ ยิ่งถอยหลังก็ยิ่งถูกรุกคืบ

ยิ่งคิดต่อไปหนูพุกก็ยิ่งโกรธ เขาไม่รู้เลยว่าพี่ภูมีจุดประสงค์อะไรที่จะต้องนำเอกสารเก่าที่ค้างไว้ขึ้นมาสะสางทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็พยายามทำมันไปวันละเล็กละน้อยเพราะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

“ไปถ่ายเอกสารนะครับ” หนูพุกลุกยืนขึ้นจนเต็มความสูง มือเรียวรวบเอาเอกสารที่คัดไว้ว่าจะถ่ายสำเนาในส่วนของตัวเองออกไปด้วย และรอคอยว่าพี่ภูจะฝากถ่ายเอกสารชิ้นไหนหรือไม่

“ฝากนี่ด้วยครับ ขอบใจนะ” คีรินทร์ยื่นเอกสารส่วนของเขาให้ ปลายนิ้วมือของเขาเเตะถูกปลายนิ้วมือของเลขาหนุ่ม ราวกับมีกระเเสไฟแปลบปลาบวิ่งผ่านสัมผัสเพียงเสียววินาทีนั้นทำให้หนูพุกดึงมือออกแทบจะทันใด

“ดะ.. เดี๋ยวมาครับ”

คีรินทร์สายหน้าน้อย ๆ สัมผัสได้ถึงความตื่นกลัวของเลขาหนุ่ม เขาเห็นว่าหนูพุกเดินชนโต๊ะอีกหนเหมือนตอนย้ายเข้ามาทำงานเเรก ๆ ไม่มีผิด หากอีกฝ่ายยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เห็นทีว่าเขาจะต้องหุ้มทั้งห้องด้วยยางกันกระเเทกสำหรับเด็ก

บรรยากาศของห้องทำงานเงียบสนิทจนภูนึกสงสัยว่าเขาเคยอยู่ให้ห้องนี้แทบจะทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร ดวงตาคมเหลือบมองไปยังนาฬิกาดิจิตัลแล้วก็เห็นว่านี่เป็นเวลาที่นานเกินไปสำหรับการถ่ายสำเนา

เขาลุกขึ้น บิดตัวไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินออกไปยังโซนถ่ายเอกสารซึ่งจัดเอาไว้มุมหนึ่ง ในครรลองสายตา เขาเห็นภาพร่างกายผอมบางของหนูพุกก้ม ๆ เงย ๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะเเกะฝาเครื่องถ่ายเอกสารออกมา

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังทำให้หนูพุกชะงัก

หากเขาจะตอบว่าไม่ก็คงขัดกับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด ในเมื่อกระดาษที่เขาใส่เข้าไปเพื่อถ่ายสำเนามันติดอยู่ด้านใน พยายามจะเปิดเเล้วหมุนเเกนเลื่อนเพื่อเอาต้นฉบับออกมาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

  “ต้นฉบับมันติดอยู่ด้านในครับ แต่ไม่รู้ว่าไปติดที่ตรงไหน” หนูพุกอธิบาย เขาชีให้ภูเห็นว่าบนหน้าจอดิจิตัลปรากฏภาพแกนหมุนให้หมุนเอาเอกสารออกมาก่อน แต่แก้เข้เเล้วกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คีรินทร์ดันหนูพุกออกจากหน้าเครื่องถ่ายเอกสาร โดยที่เลขาหนุ่มเองก็ก้าวถอยหลังไปจนชิดมุมผนังซึ่งกั้นด้วยพาร์ทิชั่นให้เป็นคอกสี่เหลี่ยม รองรับการวางชั้นเก็บเอกสารทั้งสามมุม

คนตัวสูงใหญ่ก้มลงแก้ไขตามที่เครื่องโชว์ขึ้น เขาถอดเอาชั้นพักที่ขวางเเกนหมุนออกเเล้วก็เห็นว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ในนั้น มือใหญ่ขยับเเกนหมุนปรับองศาจนเครื่องถ่ายเอกสารส่งเสียงครืดคราดคล้ายกลับมาใช้การได้

ทุกชิ้นส่วนถูกประกอบกลับไปอย่างง่ายดายจนหนูพุกนึกอิจฉาในความสามารถ ภูกดรีเซ็ทเครื่อง ปล่อยให้มันดังอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเงียบสนิท

“รอพักนึงเดี๋ยวมันก็คายต้นฉบับออกมาให้”

เพราะมัวเเต่จดจ่ออยู่กับการเเก้ปัญหา ภูจึงไม่ทันสังเกตว่าเมื่อสักครู่เขาดันหนูพุกเข้าไปยังคอกเก็บเครื่องมือเเละเอกสาร ระยะห่างระหว่างเขากับหนูพุกนั้นน้อยนิด แต่อีกฝ่ายก็ไม่สามารถออกไปจากตรงนี้ได้หากเขาไม่ยอมถอยให้ 

“ขอบคุณครับ”

หนูพุกพยายามใจกล้า ตั้งใจจะเดินเข้าหาเพื่อให้พี่ภูถอย แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างที่คิด นอกจากพี่ภูจะไม่ถอยเเล้วยังขยับเข้าหาเขาอีก

ภูมองคนที่ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมาเเล้วก็นึกเอ็นดูสงสาร สายตาเขาเลื่อนไปจับจ้องที่กลีบปากสีชมพู มันสั่นระริกเมื่อหนูพุกคิดหาถ้อยคำเอ่ยให้เขาหลบทางให้

ภูไม่เเน่ใจว่าระยะห่างระหว่างเขากับเลขาหนุ่มลดลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หากตอนนี้มันใกล้จนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

ถ้อยคำของเต้ยเมื่อหลายวันก่อนดังขึ้นในความคิดเขา ครอบครองเอาจริยธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พึงมีไปสิ้น

...เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าจะต้องทำอย่างไร…

คีรินทร์ทาบริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของเลขาหนุ่ม คราวนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือใครสักคนตกอยู่ใต้อำนาจของน้ำเมาอีกต่อไป

ฝ่ามือใหญ่เชยคางของหนูพุกขึ้น เขาประคองข้างเเก้มของคนอ่อนวัยกว่าเอาไว้มือหนึ่ง ในขณะที่อีกมือประคองตรงบั้นเอวบางราวกับจะหักได้หากสัมผัสเเรง ๆ สักหน

รสจูบของคีรินทร์ไม่ใช่เพียงการแตะกันเเผ่วเบาอย่างที่หนูพุกทำเมื่อวันนั้น เขาทั้งขบกัด ดูดดึงคล้ายหมายจะเก็บเกี่ยวเอาวิญญาณของหนูพุกติดมือไปด้วย เรียวลิ้นของเขาเเทรกซอนเข้าไปในอาณาเขตของอีกฝ่ายอย่างลึกล้ำโดยไม่เเม้แต่จะให้สัญญาณขออนุญาต

ยิ่งแตะต้องภูก็เหมือนตกลงไปในห้วงสเน่หา เขาตักตวงอย่างไม่รู้จักพอ ยิ่งอีกคนถอยหลบ เขาก็ยิ่งได้ใจ ทั้งโอบกอดเเละกวาดต้อน ยึดครองสติเเละสัมปชัญญะของหนูพุกไปโดยสมบูรณ์ 

เสียงชื้นเเฉะไม่ทำให้คีรินทร์รู้สึกเก้อกระดาก วินาทีนี้เขาทั้งหูหนวกและตาบอด กลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ที่หนูพุกใช้เป็นประจำยิ่งทำให้ลุ่มหลง เขารู้สึกถึงเเรงจากฝ่ามือเล็กที่เเตะลงบนต้นเเขนเขา กำเสื้อเนื้อนุ่มไว้แน่นราวกับจะใช้มันเป็นที่ยึดเหนื่ยวสุดท้าย
   
หนูพุกเหมือนเขาวงกต ที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอ ยิ่งเดินหน้า ยิ่งถลำลึก ริมฝีปากหยักบดเบียดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาประคองกอดคนที่เรียวแรงที่ขาคล้ายจะหดหายไปหมด

...ยังไม่พอ อย่างไรเขาก็ยังไม่พอ…    

เสียงสัญญาณหวีดเเหลมจากเครื่องถ่ายเอกสารดังขึ้นจนคนในอ้อมกอดของเขาสะดุ้ง มันไม่เพียงขัดจังหวะทว่ายังปลดปล่อยสติสัมปชัญญะคืนแก่หนูพุก มือเรียวที่เคยเเตะอยู่บนต้นแขนเขาคลายออก หนูพุกผลักเขาออกก่อนที่จะคว้าเอกสารเดินกลับเข้าห้องทำงานไปโดยที่ไม่ให้โอกาสคีรินทร์ได้เอ่ยอะไรออกมาเเม้แต่คำเดียว

ดวงตาสีดำหนักแน่นมองตามหลังเลขานุการหนุ่ม คราวนี้ภูรู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าเขารู้สึกอย่างไร และควรจะทำอย่างไรต่อไป

...ทุกอย่างชัดเจนสำหรับเขาแล้ว...

---------------------------

หนูพุกรูกแม่  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 17-04-2019 00:19:43
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-04-2019 00:30:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุปว่า...พี่ภูรู้ใจตัวเองแล้วใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-04-2019 00:33:56
งานหินของพี่ภูล่ะทีนี้  หนูพุกงอนไปแล้ว
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: baslowbatt ที่ 17-04-2019 00:38:08
ขอให้หนูพุกงอนนานๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: นินนินนิน ที่ 17-04-2019 00:41:13
พี่ภูรู้ตัวสักที แงงงงงงง หนุพุก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-04-2019 00:48:00
เห็นใจพี่ภูหน่อยนะหนูพุก พี่ภูไม่ได้ชอบผู้ชายมาก่อน ว่าแต่จูบนี้....
 :hao6:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-04-2019 08:33:07
หนูพุกเจ็บมากรึเปล่า
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 17-04-2019 08:42:15
อิพี่ภูเอาจริงแล้วใช่มั้ยรีบๆนะก่อนหนูพุกจะหนีรึมีคนตัดหน้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 17-04-2019 08:46:40
พี่ภูเอ้ย สู้เขา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-04-2019 08:52:59
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 17-04-2019 09:17:23
โอเค ในเมื่อพี่ภูรู้ใจตัวเองแล้วก็รีบรุกและตามง้อหนูพุกได้แล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: b2friend ที่ 17-04-2019 09:31:26
นานมาจนเกือบลืมไปแล้ว ต้องย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้น แต่ดีใจที่ได้อ่านต่อค่ะ
เป็นกำลังใจให้หนูพุกด้วย และอย่ายอมใจอ่อนง่ายๆ นะ :hao3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: _jinxpy ที่ 17-04-2019 09:59:34
ในที่สุดพี่ภูนางก็รู้ใจตัวเองสะที หนูพุกลูกเล่นตัวเยอะๆเลยค่ะอย่าไปยอม
 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-04-2019 10:36:49
ตื่นเต้นไปกับหนูพุกเลย
รู้แล้วว่าต้องทำยังไง ก็รีบๆซะนะคะพี่ภู
กลัวว่าถ้าช้าหนูพุกจะสับสนแย้วหนีไปทำใจที่อื่นก่อนน๊าาาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 17-04-2019 10:52:50
กี๊ดดดด มาแล้ววว ดีใจมากเลยค่า
ฮือ สงสารหนูพุก พยายามจะตัดใจ
แต่พี่ภูมาทำงี้อีก
คราวนี่พี่ภูคงรู้ตัวแล้วเนาะ ดับเครื่องชนไปเลยพี่!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ninnin ที่ 17-04-2019 14:03:51
พี่ภูรุกมากกกกกกกก เป็นคนชัดเจน ชอบตรงนี้ ดูมีสมองด้วยยย ฉลาดมากกก
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-04-2019 14:20:49
รู้ตัวช้านักนะะะ !! //หยิกหู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 17-04-2019 15:14:05
มาให้หยิกเดี่ยวนี้นะ ..ทำหนูพุกเกือบร้องไห้แล้ว :m16:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 17-04-2019 15:47:40
หมั่นไส้พี่ภู  :m31:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 17-04-2019 16:02:03
ว้ายยยยยย คลบ้าาาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: akichan ที่ 17-04-2019 22:26:31
พี่ภู! อย่าปล่อยหนูพุกนะ >_<
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-04-2019 22:29:50
พี่ภูแกล้งเด็ก
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 17-04-2019 23:28:25
……


เฮ้ออออ. รู้ตัวสักทีนะคุณภู.  ปล่อยให้หนูพุกช้ำระกำใจมานานละ

หนูพุก เอาคืนสักหน่อยนะ. หุ หุ หุ


 :katai2-1:  :katai3:  :katai2-1:  :katai3:  :katai2-1:  :katai3:  :katai2-1:  :katai3:


……
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-04-2019 00:19:52
รู้ใจตัวเองสักทีนะพี่ภู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 18-04-2019 11:03:14
รู้ตัวสักที เอ้าง้อจ้ะพ่อคุณ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mamamapp ที่ 18-04-2019 21:58:12
 :hao3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 20-04-2019 23:54:41
อย่าแกล้งน้องงงงง!!!!! ฮืออออ หนูพุกของแม่~~~~~
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 23-04-2019 19:50:54
หนูพุกโกรธนานๆเลยลูกกกกกก
โกรธให้พี่ภูง้อเยอะๆ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 25-04-2019 12:21:53
รออยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 26-04-2019 15:54:19
มาไว ๆ น้าาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nspuii ที่ 28-04-2019 00:17:27
รู้ใจตัวเองสักทีนะตาพี่ภู  o13
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Bernini ที่ 28-04-2019 03:58:14

พุกอย่าใจอ่อนเลย ไม่แน่ใจตัวเองแต่มาจูบแบบนี้ได้ยังไง เหมือนพุกเป้นเครื่องมือ แต่ตัวเองไม่เคยชัดเจนกับพุกเลย ปั่นหัวน้องอยู่ได้ ลาออกเลยพุก ให้พี่ภูรู้จักง้อคนอื่นบ้าง

หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ootou ที่ 28-04-2019 08:12:28
รออ่านอยู่นะครับ อย่าหายไปอีกนะ please
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 28-04-2019 16:16:17
กรี๊ด!!!! แม่คะะะ คนพี่เค้าจูบน้องแล้วอ้ะะะ ทำยังงี้กับน้องได้ยังไงงง ต้องรับผิดชอบนะคะ!!
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-05-2019 16:09:18
 :hao3: หนูพุกเล่นตัวนานๆหน่อยนะลูก อย่าเพิ่งรีบใจอ่อน พี่ภูเค้ายังดูไม่ค่อยมั่นใจกับความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่เลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 09-05-2019 15:49:01
น้องอ่ะถอดใจแล้ว แต่พี่ภูรู้ใจตัวเองแล้วก็เดินหน้าให้สุดค่ะตามน้องไปค่ะพี่ภู
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Nspuii ที่ 14-05-2019 21:31:51
คิดถึงน้อง รอเรื่องนี้อยู่ทุกวันเลยนะคะคุณนักเขียน  :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-05-2019 02:07:54
รออยู่นะจ๊ะ :sad4:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: baslowbatt ที่ 15-05-2019 02:26:55
อย่าหายอีกนะคะ ขอร้อง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: baslowbatt ที่ 15-05-2019 02:27:31
อย่าหายอีกนะคะ ขอร้อง
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 19-05-2019 08:23:20
รออยู่นะครับ ❤️
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 31-05-2019 21:36:45
คิดถึงหนูพุกจังเลยยย ฮือออ  :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: oily06 ที่ 31-05-2019 23:45:03
พี่ภูใจร้าย เราขอแช่งให้น้องไม่เชื่อว่าพี่ชอบน้องง่ายๆ อยากเห็นพี่ตามง้อน้องบ้าง

...รอมาต่ออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-06-2019 12:52:12
 :hao5: รอหนูพุกกับพี่ภูนะคะ... หนูพุกงอนพี่เค้านานๆเลยจ้า (แต่คุณนักเขียนอย่าหายไปนานนะคะ)
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 05-06-2019 21:43:31
เอ้า เดินหน้าๆ จ้า พี่ภู ^^ มาต่อ นะ รอยุๆ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 05-07-2019 01:21:42
 :call: :call: :call:สนุกมากค่ะ  รอมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 06-07-2019 04:03:05
อ่านทันแล้วค่ะ นอนร้องน้ำตานองตาหนูพุกด้วย :mew6: พี่ภูจะทำอะไรก็เร็วๆเข้านะ เดี๋ยวหนูพุกไม่รอคนรู้ตัวช้านะ :ling2: ขอบคุณมากค่ะ รอตอนหน้าน้าาา
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-07-2019 06:26:01
คิดถึงหนูพุกจังเลย รออยู่นะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: zoiesty ที่ 06-07-2019 22:13:19
สนุกมากๆ รีบมาต่อนะคะ :hao7:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: BB_MM ที่ 12-07-2019 03:08:15
มาจามอ่านจนครบแล้ว พี่ภูถ้าเพิ่งรู้ตัวว่าชอบน้องหนูพุกก็สู้ๆนะคะ ถึงจะช้าไป(ไม่)หน่อย แต่ต้องสู้ๆนะคะ น้องหนูพุกน่ารักขนาดนี้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 29-07-2019 19:47:06
คิดถึงหนูพุก พี่ภู แล้วค่า  :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 31-07-2019 16:41:39
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Fairy Fai ที่ 12-08-2019 21:49:53
คิดถึงแล้ว ตามอ่านตั้งแต่แรกจนตอนนี้ ถึงขั้นสมัครแอคมาเม้นเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 18-08-2019 18:04:16
รอๆอยู่คัฟกลับมานะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-08-2019 22:18:20
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: totorobabii ที่ 03-09-2019 11:21:32
คิดถึงจังเลยค่ะะ :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: L.Snail ที่ 24-09-2019 00:13:42
อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดเลยค่ะ
เรื่องราวน่ารักมากๆ
เราชอบวิธีการดำเนินเรื่องมากๆเลยค่ะ
เอาใจช่วยพี่ภูกับหนูพุกนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 15-11-2019 22:26:09
หายไป ทิ้งให้ค้างนะครับ
กลับมาต่อไง ๆ นะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-11-2019 22:47:05
หนูพุกหายไปเลย
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: zoiesty ที่ 31-01-2020 20:47:39
อยากให้มาต่อ ยังรออ่านนะคะ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-01-2020 23:18:21
เสียดาย สงสัยไม่มาต่อซะแล้ว 
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 24-03-2020 17:43:31
จะ1ปีแล้วก็ยังรอนะคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: pmuntana ที่ 18-03-2022 23:15:18
สนุกมากเลยนะคะ   ชอบหนูพุกมากๆเลยค่ะ น้องน่ารักน่าเอ็นดูมากเลยค่ะ :o8: :mew1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-03-2022 10:04:15
หายไปเลย รออยู่นะคะ