" พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: " พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]  (อ่าน 75191 ครั้ง)

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 18 --- [ 17.04.2019 ]
« เมื่อ04-06-2018 19:56:26 »

เก็บกระทู้ไว้-----โมดุฯ

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


________________________________________________________

พิชิตภู




หนูพุกเป็นคนเจ้าเนื้อมาตั้งแต่เด็ก จะด้วยความเอ็นดูหรืออื่นใดจากผู้ใหญ่ เขามักจะได้ยินคำว่า ‘อ้วน’ อยู่จนเจนหู


มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองเลยผ่าน ยอมเเบกเด็กอ้วนขึ้นหลังไปห้องพยาบาลโดยไม่พูดอะไรให้สะกิดใจเรื่องรูปร่างเเม้สักคำ


“ป้องกันตัวบ้างเถอะ” รุ่นพี่ทิ้งท้ายไว้ อย่าถูกกลั่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวเลย


ทางเดียวที่หนูพุกจะสู้ได้คือการลดน้ำหนัก


หากเขาผอม...ไม่ว่าใครก็จะล้อเลียนกันไม่ได้อีก



.

.

.


...กระทั่งวันนี้ไม่มีไอ้หมูพุกอีกแล้ว...


หนูพุกอยากให้พี่ภูรู้ว่าการช่วยเหลือเล็กน้อยสำหรับอีกฝ่ายในวันนั้นมันเหมือนเหล็กร้อนฉ่าที่นาบลงกลางใจจนลบเลือนไม่ได้อีก


...แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนับสิบปีก็ตาม...



Prologue - เลื่อนลง
Chapter 1 - เลื่อนลง
Chapter 2 - เลื่อนลง
Chapter 3 - เลื่อนลง
Chapter 4 - เลื่อนลง
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2020 10:20:10 โดย BaoBao »

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
Re: " พิชิตภู " : Prologue --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #1 เมื่อ04-06-2018 20:00:18 »

บทนำ

   บรรยากาศพักเที่ยงในโรงเรียนชายล้วนมีแต่เสียงดังเซ็งเเซ่จากส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างผ่อนคลาย หากมีนักเรียนเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่กำลังเคร่งเครียดกับภาพเบื้องหน้า 

“โอ๊ะโอ… วันนี้คุณหนูพุกเอาอะไรมาอ่านครับผม” นักเรียนชายคนหนึ่งชูหนังสือนิทานเด็กที่ค้นมาได้จากกระเป๋าหนังสือที่ไม่ใช่ของตัว

   “ลูกหมูสามตัวว่ะ” มันเปิดเอาหนังสือเคลือบมันสี่สีออกอ่านอย่างสนุกสนาน ยิ่งลิงโลดเมื่อเจ้าของนิทานได้แต่พยายามเอื้อมคว้า แต่ดูจะไม่สำเร็จเนื่องจากส่วนสูงที่ดูจะไม่ทิ้งมารดาเท่าไหร่นัก

   “เอาคืนกูมาได้แล้ว เดี๋ยวขาด!” ยิ่งเห็นผิวขาวนวลอย่างลูกคนจีนขึ้นสีด้วยความโกรธเคืองก็ยิ่งสนุกจึงเริ่มออกวิ่ง

   ...ยิ่งวิ่งไล่ คนถือหนังสือก็ยิ่งวิ่งหนี…

หนูพุกโดนไอ้หลังห้องล้อเลียนทุกวันนั่นเเหละ ยิ่งไม่ตอบโต้ก็ยิ่งหนักข้อขึ้น ช่วงสองสามวันมานี้เขามักจะถูกค้นกระเป๋าตอนพักกลางวันอยู่เรื่อย ความสนุกของมันคือการล้อเลียนเขาว่าเป็นไอ้หน่อมแน้มที่ชอบยืมหยิบนิทานเด็กจากห้องสมุดโรงเรียนไปอ่านที่บ้าน

   แล้วยังไงล่ะ… ก็เขาเพิ่งจะมีน้องชายเป็นของตัวเองนี่ คนเห่อน้องจะอยากเล่านิทานให้เด็กวัยกำลังอ้อแอ้ฟังบ้างมันจะผิดตรงไหน

   “กูว่านะ ไม่ใช่ลูกหมูสามตัวหรอก แต่เป็นลูกหมูสี่ตัว” คนตัวสูงอย่างนักกีฬาตะโกนก้องไปทั่วระเบียง หัวเราะขบขันกับสภาพคนตัวกลม ๆ วิ่งไล่ตามจนเเทบจะม้วนตัวเป็นลูกบอล

   “เพราะมีหมูพุกอยู่ตรงนี้อีกตัว”

คนตัวสูงกว่าทำทีสนุกเสียเต็มประดากับคนไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ รู้ดีว่าเป็นการกระทำอันไม่สมวัย มีเด็กจะจบมอสามที่ไหนมาวิ่งไล่กันเพราะหนังสือนิทานเด็กอีกเล่า แต่ที่ทำ… เพราะอยากให้สนใจ อยากให้มองเห็นกัน...

   หนูพุกกัดฟันกรอดตอนที่มันหัวเราะเยาะ เห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งไปทางบันได กลัวว่าถ้านักเลงหลังห้องร่อนมันลงบันไดไปสภาพหนังสือคงดูไม่จืดเพราะแค่นี้มันก็ยับยู่ยี่น่าดูเเล้ว ไม่รู้ว่าต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่อีก

   “เอาคืนกูมาสักที!” พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะโยน ร่างที่เกินคำว่าท้วมไปหน่อยก็กระโดดเข้าตะครุบ

   น่าเสียดายที่มันไวทายาดและหนูพุกก็เบรคตัวเองไม่ทันจนลื่นล้มตกจากบันไดลงไปนั่งจุ้มปุ้กอยู่ที่ชั้นพัก เสียงหัวเราะจากคนที่กลั่นแกล้งอย่างบันเทิงชะงักค้างด้วยอารามตกใจ มือกลม ๆ เอื้อมไปจับข้อเท้าของตัวเองแล้วก็พบว่ามันเจ็บ

   เจ็บ...จนน้ำตาไหล

   ทั้งเจ็บตัวเจ็บใจ ไม่รู้ทำไมถึงต้องขยันแกล้งกันนัก

   “เฮ้ยน้อง หล่นลงมาได้ยังไงเนี่ย” เป็นรุ่นพี่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกที่ถลันเข้ามาหา เห็นสภาพข้อเท้าที่บิดพลิกไปก็พอเข้าใจได้ว่าหล่นลงมาเเรงน่าดู

   จริง ๆ ก็ฟังจากเสียงของหนักกระเเทกพื้นตอนที่เขาเดินขึ้นบันไดมาพอดีน่ะนะ…

   “เดี๋ยวพี่พาไปห้องพยาบาล” เขาพยายามจะประคองหนูพุก แต่ดูเหมือนว่าน้องมอต้นคนนี้จะเดินไม่ไหว

   “งั้นขี่หลังพี่แล้วกัน” เขาตกลงคนเดียวเสร็จสรรพ แต่คนเจ็บหน้าซีดใหญ่ ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะเกรง…

   คิดจะเอาหนูพุกขึ้นหลังได้ก็ต้องมีเเรงเท่าคนงานขนกระสอบข้าวที่ร้านหม่าม้าเลยนะ!

   “คือ… ผมอ้วนนะ พี่จะหนัก” หนูพุกร้องเตือน เสียความมั่นใจที่แต่เดิมก็มีอยู่น้อยนิด แต่อีกฝ่ายหัวเราะนิดหน่อย ในดวงตามีประกายสดชื่นสดใส ทำเหมือนคนน้ำหนักแตะเจ็ดสิบเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว

   “รู้แล้วน่า พี่แข็งแรงจะตาย เราน่ะขึ้นมาเร็ว จะพาไปห้องพยาบาล” หนูพุกยกมือดันเเว่นตาด้วยความไม่มั่นใจ รุ่นพี่คนนี้มองข้ามเรื่องน้ำหนักเเละภาพลักษณ์ที่เขาไม่มั่นใจ

   ไม่ซ้ำเติม ไม่ทำเหมือนเขาเป็นไอ้อ้วนที่แค่จะขยับลุกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

   ความช่วยเหลืออย่างจริงใจทำให้คนได้รับน้ำใจรู้สึกเต็มตื้น อยากจะให้โลกนี้มีโคลนนิ่งของคนตรงหน้าอีกสักร้อยสักพัน ต่างกับใครบางคน...

ดวงตาสีดำเรียวมองไปยังเชิงบันได ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีก…

   ...ได้เห็นคนเจ็บตัว มันคงจะสมใจแล้ว...

   “ขอบคุณนะครับ”

ขึ้นมาอยู่บนหลังของอีกฝ่ายเเล้วก็เดาได้ว่ารุ่นพี่คงหนักน่าดู เพราะเขาขบฟันกรอดจนคนด้านบนได้ยินเสียงฟันสีกัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ใจดีพาเขาเเวะเก็บหนังสือนิทานที่หล่นอยู่อีกด้วย กว่าจะถึงห้องพยาบาลก็คงหลังเเทบเดาะแล้วมั้งนั่น

“พี่ครับ ปวดหลังไหม” หนูพุกหน้าซีดเมื่อเห็นอีกฝ่ายประสานมือกันเเล้วชูขึ้น ก้ม ๆ เงย ๆ ยืดหลังตัวเอง

   “คิดมากน่า!...ลูกหมูสามตัวหรือ น่ารักดี”

หนูพุกหน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย เห็นอีกฝ่ายพลิกมันดูอย่างสนอกสนใจ ตอนที่วางเขาลงกับเตียงพยาบาล คอยอาจารย์ที่กำลังค้นหายานวดหลอดใหม่อยู่ตรงตู้ยาแบบบานเลื่อน

   “อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่… แต่ก็อย่าไปยอมบ่อย ๆ เดี๋ยวจะเจ็บตัวอีก” รุ่นพี่ผิวเข้มเอ่ยขึ้น พอจะเห็นหลังไว ๆ ของคนที่หลบฉากออกไปนั่นอยู่หรอก
   “เฉย ๆ ไว้เดี๋ยวก็คงเลิกไปเองนั่นเเหละครับ” หนูพุกถอนใจ ปลงตกแล้ว

   “ป้องกันตัวบ้างเถอะ” รุ่นพี่ทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะขออนุญาตออกไปก่อน เนื่องจากอีกเดี๋ยวก็ต้องเข้าเรียนคาบบ่ายแล้ว

   หารู้ไม่เลยว่าอุปนิสัยของหนูเมื่อถูกรุกราน… มันไม่สู้ แต่จะหนีไปอีกทาง…

.

.

.


   ชายหนุ่มวัยยี่สิบหกปีสะดุ้งเฮือก… ไม่รู้ว่าทำไมยังฝันถึงเหตุการณ์เดิม ๆ ซ้ำอีก ดวงตาสีดำขลับมองไปที่กระจกแบบเต็มตัวที่ตั้งไว้ข้างเตียงแล้วก็ถอนหายใจ พิจารณาเงาในนั้นอย่างโล่งอก

   ...ไม่มีไอ้หมูพุกอีกแล้ว...

   ภาพสะท้อนราง ๆ ในความมืดเป็นเพียงขายหนุ่มผิวขาว ดวงตาเรียวรีแบบลูกคนจีนโตขึ้นกว่าแต่ก่อนหน่อย สัดส่วนใต้เสื้อยืดใส่นอนผอมบางเสียจนคนอื่นต้องแค่นให้กินบ้าง

   หลังจากวันนั้น เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าปีก็เร่งลดน้ำหนัก เขาไม่อยากเป็นหมูเหมือนที่ใครต่อใครว่า ไม่อยากถูกกลั่นแกล้งเพราะรูปร่างอ้วนกลมตุ้ยนุ้ยอีก

...เขาต้องเปลี่ยนเเปลง…

   หนูพุกเป็นคนเจ้าเนื้อมาตั้งแต่เด็ก จะด้วยความเอ็นดูหรืออื่นใดจากผู้ใหญ่ เขามักจะได้ยินคำว่า ‘อ้วน’ อยู่จนเจนหู กระทั่งวันที่เพื่อน ๆ ต่างก็เรียกเขาด้วยความสนุกสนานว่า ‘ไอ้หมู’ หรือชื่อเรียกอื่น ๆ อันพาดพิงถึงรูปร่างยิ่งตอกฝังลงในใจ

   ตอนนั้นหนูพุกไม่เข้าใจ… เขาแค่เป็นตัวเอง

   การมีน้ำหนักมากกว่าคนอื่นมันผิดมากหรืออย่างไรกัน!

   มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่มองเลยผ่าน ยอมเเบกเด็กอ้วนขึ้นหลังทั้งที่ตัวเองคงเมื่อยจนหลังเเทบเดาะโดยไม่พูดอะไรให้สะกิดใจเเม้สักคำ

   คงต้องขอบคุณรุ่นพี่คนนั้นที่มาทราบภายหลังว่าชื่อพี่ภู… ความใจดีวันนั้นเป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ทำให้หนูพุกอยากจะผอมให้ทันก่อนที่พี่ภูจะจบการศึกษาไปจากรั้วโรงเรียน

ถ้าเขาผอม...ไม่ว่าใครก็จะล้อเลียนกันไม่ได้อีก

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความเพียรควบคุมอาหารเเละออกกำลังกายมีเท่าความเพียรที่จะเเอบมองพี่ภูในทุกโอกาส ไม่รู้ว่ามันมีจุดประสงค์แอบเเฝงนอกเหนือจากการปกป้องตัวเองตั้งแต่วันไหน

แต่กว่าจะรู้ หนูพุกก็อยากให้พี่ภูสนใจ… อยากจะครอบครองความดีนั้นไว้กับตัว…

น่าเสียดายที่ความพยายามยังไม่ทันสัมฤทธิ์ผลเขาก็จบชั้นมัธยมต้นและรุ่นพี่ก็จบชั้นมัธยมปลายโดยที่เเทบจะไม่ได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำไป หนูพุกอยากให้พี่ภูรู้ว่าการช่วยเหลือเล็กน้อยสำหรับอีกฝ่ายในวันนั้น มันเหมือนเหล็กร้อนฉ่าที่นาบลงกลางใจจนลบเลือนไม่ได้อีก
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2018 18:52:09 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #2 เมื่อ04-06-2018 22:27:24 »

chapter 1

   ไม่เเน่ใจว่าเป็นเพราะฝันร้ายตอนเกือบรุ่งสาง หรือเป็นเพราะก้าวเท้าออกจากคอนโดผิดข้าง อะไรต่อมิอะไรจึงผิดพลาดไปหมดจนน่าโมโห

   เริ่มต้นด้วยการออกเดินมาไม่กี่สิบเมตรจากคอนโด ฝนเจ้ากรรมก็เทซู่ลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทั้งที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในหน้าร้อนเเท้ ๆ เท่านั้นยังไม่พอ ระบบขนส่งมวลชนอันแออัดคล้ายกระป๋องปลาซาดีนอย่างรถไฟฟ้าก็ดันมาเสียจนเวลาคลาดเคลื่อนไปเสียอีก

   ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือด้วยความขัดใจหลังจากถึงสถานีเป้าหมาย สองขาสับอย่างเร่งรีบเพราะไม่อยากสายในวันแรกของการทำงานที่ใหม่ หากความเลวร้ายเด้งที่สามคือรถยนต์คันหนึ่งปาดเข้ามาด้านซ้ายแล้วรีดน้ำขังข้างถนนใส่หนูพุกเข้าอย่างจังจนสูทสีดำตัวเก่งเลอะไปเเถบหนึ่ง

 เขาพยายามสงบจิตสงบใจอย่างยิ่งที่จะไม่ชูนิ้วกลางให้ด้วยความหัวเสีย จึงได้แต่ถลึงตาใส่ป้ายทะเบียนไปหนหนึ่งเท่านั้น แล้วรีบไปต่อคิวใช้วินมอเตอร์ไซค์เนื่องจากออฟฟิศใหม่อยู่ลึกเข้าไปในในซอย

เดิมทีหนูพุกทำงานเป็นเลขานุการผู้จัดการฝ่ายออกเเบบของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง เเต่เมื่อเจ้านายเก่ามีแผนจะลาออกไปทำบริษัทต่างชาติ เขาจึงฝากงานที่ใหม่ให้กับเลขาเก่าด้วยเห็นว่าหากยังอยู่ที่นั่นหนูพุกก็คงไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเลขานุการผู้บริหารโดยเร็วเนื่องจากมีแต่การเล่นพวกพ้องจากเรื่องการเมืองภายใน

ไม่ต้องตาคมเป็นเหยี่ยวก็รู้ว่าหนูตัวนี้ไม่น่าจะโต
   
   สุดท้ายเลขาหนุ่มก็ได้ย้ายที่ทำงานใหม่เป็นบริษัทรับออกแบบภูมิทัศน์ในอัตราเงินเดือนที่สูงขึ้นอีกด้วย ได้ยินว่าเจ้านายใหม่ก็เป็นญาติกันกับเจ้านายเก่าเขานี่เอง
   
   สำหรับคนทำงานแล้วถ้าได้นายดีก็ดีไปแปดอย่างสิบอย่างจริง ๆ
   
   กว่าวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างจะพาเขามาถึงหน้าบริษัทก็เกือบเเปดโมงเข้าไปแล้ว ทั้งที่โดยปกติวิสัยเขามักจะต้องถึงที่ทำงานตอนเจ็ดโมงครึ่ง เตรียมอาหารเช้าในบางวันและคอยจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมตามตารางก่อนที่เจ้านายจะมาถึงตอนเเปดโมง

    อาคารสำนักงานใหม่ของหนูพุกไม่ได้อยู่บนตึกสูงอย่างที่เคย มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่ให้ความรู้สึกถึงการต้องมาทำงานเลยเเม้แต่น้อย รูปทรงคล้ายบ้านสไตล์คอตเทจสีขาวผสานกับการตกเเต่งด้วยอิฐเเบบโชว์แนวสีเข้มสองชั้น

   สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นสวนที่ตกเเต่งไว้อย่างลงตัว ไม้เล็กไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น เเซมด้วยดอกไม้ที่ช่วยกันชูดอกออกช่ออวดเบ่งสีสันสวยงามจนคนมองเกือบลืมหายใจแม้ว่าจะเคยมาเยี่ยมที่นี่หนหนึ่งตอนสัมภาษณ์งาน

   ...ไม่น่าเชื่อเลยว่ายกความร่มรื่นขนาดนี้มาอยู่ใจกลางกรุงเทพได้ยังไง...

   ประตูด้านหน้าเปิดไว้อยู่ก่อนเเล้วมันเป็นพื้นที่สำหรับการประชุมงาน รับรองลูกค้า และมีห้องที่มองผ่านกระจกไปเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพื้นที่โล่งสำหรับทำโมเดลในสเกลใหญ่รวมทั้งเป็นชั้นเก็บผลงาน มีเพียงพนักงานด้านหน้าที่เเนะนำตัวอย่างน่ารักและพาเขาเดินขึ้นมาถึงด้านบนอันเป็นพื้นที่ทำงานแบบเปิดโล่ง ไร้คอกกั้นพนักงานอย่างในบริษัท หากดูเป็นสัดส่วนดีด้วยการจัดสเปซ ทว่ายังไม่มีพนักงานมาสักคนเนื่องจากยังไม่ถึงเวลา เดินลึกเข้าไปอีกจึงจะเป็นห้องของเจ้าของสำนักงาน

   “อ้าวมาแล้วหรอหนูพุก มาเร็วมากเลย” สองมือพนมไหว้คนที่สัมภาษณ์งานให้ตัวเองผู้ซึ่งถือหุ้นรองลงมาจากเจ้านายคนใหม่แล้วยิ้มแห้ง ๆ ด้วยความจริงแล้วมันตกมาตรฐานเลขายอดเยี่ยมไปตั้งครึ่งชั่วโมง

   “สวัสดีครับพี่เต้ย”

พี่เต้ยเป็นผู้ชายตัวสูงโปร่ง มาดดูอ่อนโยนนุ่มนวลไปทุกกระเบียดแต่ก็ยังดูรู้ว่าเป็นคนขี้เล่นไม่หยอก อีกทั้งกลีบปากเป็นรูปหัวใจตอนยิ้มจนเขาเชื่อว่าไม่ว่าใครคงแพ้รอยยิ้มแบบนี้ได้ไม่ยากเย็น

   “นี่โต๊ะทำงานหนูพุกนะ ช่วงนี้จะยุ่งหน่อยเดี๋ยวพี่หาเอกสารมาให้อ่านทำความเข้าใจ แล้วก็เจ้านายเราเขามาแล้วล่ะ นั่งหัวปั่นอยู่ข้างในห้อง” พี่เต้ยบุ้ยใบ้ไปทางประตูห้องด้านหลัง อากัปนั้นทำให้เลขาหนุ่มเด้งผึง เปิดกระเป๋าหยิบแท็บเล็ตกับสมุดบันทึกเข้าไปคู่กัน

   “ไม่ต้องเกร็งนะ ภูไม่ดุหรอก” เต้ยตบไหล่เลขามาใหม่ปุ ๆ ไม่ได้สังเกตว่าดวงตาของลูกน้องเบิกขึ้นนิดหน่อย

   หนูพุกลอบถอนหายใจเรียกสติ ชื่อมันก็แค่ชื่อเท่านั้น เขาควรเลิกหูตั้งหางกระดิกตอนได้ยินชื่อนี้สักที!

   มือเรียวเคาะประตูอย่างเปี่ยมมารยาทก่อนจะผลักเข้าไปพบเจ้านาย คนที่กำลังงมหาอะไรในกองเอกสารเงยหน้าขึ้นพลางถามว่ามีอะไร ยามสายตาสบจ้องกัน หนูพุกก็ตัวเเข็งค้างหายใจติดขัดคล้ายปลาขาดน้ำ ครางเเผ่วเบาเมื่อเห็นใบหน้าคมสันชัดเจน

   “พี่ภู...”

...นี่มันพี่ภู คีรินทร์ ชั้นม.หกทับห้า…

อยู่ดี ๆ ฟ้าก็ประทานพี่ภูมาตรงหน้าเขาเสียเฉยๆ!

นิ้วเรียวเผลอจิกเล็บให้ตัวเองเจ็บเพื่อทดสอบว่าเขาไม่ได้ฝัน เจ้านายคนใหม่คือพี่ภูจริงๆ!

 “ครับ หนูพุกใช่ไหม” ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มพับเเขนเเบบลวก ๆ เอ่ยขึ้น แค่คำว่าหนูพุกหลุดออกจากปาก เจ้าของ
ชื่อก็เเทบจะล้มตึง ได้แต่ครางรับคำอย่างล่องลอย

พี่ภู… จำเขาได้…

“มานั่งนี่สิ เต้ยบอกแล้วล่ะว่าจะมาเริ่มงานวันนี้” คีรินทร์กระวีกระวาด เรียกเลขาใหม่มานั่งที่โต๊ะทำงานด้วยความเป็นมิตร

ในใจของหนูพุกเหมือนลูกโป่งที่สูบลมจนพองแล้วปล่อยให้เเฟ่บในวินาทีถัดไปเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เเสดงท่าทีรู้จักมักจี่อย่างที่คนปกติพึงจะทำ

คงจะเป็นอย่างที่เพื่อนเขาว่าไว้เรื่องน้ำหนักลดเปลี่ยนชีวิตอะไรนั่น

สรุปเเล้ว...พี่ภูจำเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

คีรินทร์สาธยายเรื่องงานเอกสารที่ทำคนเดียวมาโดยตลอดกระทั่งได้รับการหว่านล้อมให้หาเลขาจนได้หนูพุกมาประจำตำเเหน่งในที่สุด

การเปลี่ยนงานก็ไม่ต่างจากการต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมด ชายหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมสติ นั่งฟังและจดโน๊ตในส่วนสำคัญไปพร้อมกัน

“อันนี้เป็นตารางงานของพี่ ยังไงหนูพุกช่วยดูให้หน่อยนะ” สมุดปกหนังสีดำที่ได้รับมาฟรีจากธนาคารถูกยื่นให้กับหนูพุกพร้อมกับทัชโฟนที่เป็นเบอร์บริษัทอีกเครื่องหนึ่ง

“ได้ครับคุณภู เดี๋ยวพุกจะจัดการให้ ทานมื้อเช้าหรือยังครับ” คุณเลขาปิดสมุดฉับ รวบทุกอย่างเรียงเข้าอ้อมเเขนด้วยความกระฉับกระเฉง

“ยังเลย พอดีตื่นสายก็เลยรีบมา” ภูยิ้ม ใต้ตามีร่องรอยของการพักผ่อนน้อยเด่นหรา หากต้องรีบมาก่อนเวลาเข้างานเนื่องจากเขาจำเป็นที่จะต้องตรวจแบบเเละสเปรตชีทโครงการใหญ่อีกหนก่อนการนำเสนองาน ถ้าพลาดครั้งนี้มีหวังโดนแก้อีกยาว

“งั้นเดี๋ยวพุกจัดเป็นเเซนด์วิชกับกาเเฟมาให้ดีกว่า ปกติคุณภูทานกาแฟแบบไหนครับ”

“เรียกพี่ภูเหมือนตอนเเรกก็ได้ พี่ไม่ถือหรอก ที่นี่อยู่กันเหมือนบ้าน ส่วนกาเเฟพี่กินได้หมดนะ โอเลี้ยงหน้าปากซอยก็กินได้” เขาหัวเราะ ติดดินยิ่งกว่าอะไรจนคนเคยทำงานในสำนักงานใหญ่ที่มีสัมพันธ์ห่างเหินในเเต่ละตำเเหน่งออกจะเก้กังอยู่มาก
   
   “โอเคครับพี่ภู” เลขาหนุ่มอมยิ้ม หอบทุกอย่างออกมาวางที่โต๊ะ สูดหายใจเข้าลึก หอบซากวิญญาณตัวเองไว้แล้วเดินเข้าพื้นที่สำหรับชงกาแฟและเก็บของว่างต่าง ๆ ไปอย่างเงียบเชียบ ตบแก้มตัวเองดังแปะเพื่อความเเน่ใจอีกหน
   
   พี่ภู… พี่ภูตัวเป็น ๆ เลยนะเมื่อกี้น่ะ!
   
   หนูพุกแทบจะกระโดดชูมือด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าหลังจากการเพียรพยายามตามหาเฟสบุ๊คหรือช่องทางโซเชียลใด ๆ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นศูนย์ แต่อยู่ดี ๆ สวรรค์ก็ประทานคนที่ตามหามาดื้อ ๆ แบบนี้
   
   ...บ้าไปแล้ว…
   
   ที่เห็นจะบ้ากว่าก็คงเป็นตัวเขาเองที่ร้อนผ่าวไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงจนแทบต้องส่งห้องฉุกเฉิน
   
   ..บ้าแล้วไอ้พุก..

   “หนูพุก เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงขนาดนี้” เสียงทุ้มและแรงสะกิดจากด้านข้างทำเอามือที่กำลังประคองถ้วยน้ำร้อนสะดุ้งโหยง กาแฟดำร้อน ๆ กระฉอกลวกมือจนร้องโอ๊ย

   “เฮ้ย!” มีแต่คนมองที่ตกอกตกใจไปคนเดียว เนื่องจากหนูพุกตัวเเข็งทื่อเหมือนถูกสตัฟฟ์เมื่อคนในความคิดปรากฎตัวขึ้น ตอนนี้เขาชาไปทั้งตัวจนไม่รู้สึกอะไรแล้วด้วยซ้ำไป

   “แสบไหมเนี่ย...” คีรินทร์พึมพำ ดึงเเก้วกาเเฟออกจากมือเรียวแล้วดันหนูพุกไปที่อ่างล้างมือ เปิดน้ำจากก๊อกให้ไหลผ่านผิวเนื้อที่เริ่มขึ้นรอยเเดง    
   
   มือใหญ่หันไปกระชากกระดาษทิชชูจากกล่องกระดาษ วางโปะคราบกาแฟสีเข้มลงบนเคาน์เตอร์ไม้เคลือบเเว็กซ์อย่างว่องไว จนคนเป็นเลขาได้แต่ทำตาปริบ ๆ

   ก่อนหน้านี้หนูพุกเคยคล่องเเคล่วกว่านี้ เคยรอบคอบกว่านี้ แต่เหตุใดกันวันนี้จึงมีเเต่เรื่องไม่คาดคิด    

พนันร้อยละร้อยเลยว่าวันนี้ก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างแหง ๆ !

“เอ่อ พี่ภูครับ เดี๋ยวพุกทำเองดีกว่า กาเเฟใส่นมไหมครับ” พอตั้งสติได้เขาก็รีบปิดก๊อก รวบเเก้วกาเเฟลงในซิงค์แล้วเปิดตู้เหนือศีรษะหยิบเเก้วกาเเฟชุดใหม่มาเเทน

“ไม่ต้องชงแล้ว”

หนูพุกชะงัก มองสีหน้าเรียบนิ่งคิ้วเริ่มขมวดผูกโบว์อยู่กลางหน้าผากของเจ้านายเเล้วก็ประหวั่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะนึกโมโหกับท่าทีเซ่อซ่าของเขา กับอีแค่ชงกาเเฟยังไม่ได้เรื่องเลยพุกเอ๊ย!

“พี่ว่าจะมาชวนไปกินข้าวเช้ากัน” สิ้นประโยคเจ้านายคนดีก็คลี่ยิ้มพร้อมทั้งหัวเราะชอบใจที่อำคนมาใหม่ได้ “ขวัญอ่อนมากเลย เป็นหนูจริง ๆ ด้วย..”

“อย่าแกล้งสิครับ พุกนึกว่าพี่โมโหไปแล้วเนี่ย” หนูพุกถอนหายใจโล่งอก หากความชอบพอมีสเกลวัดปริมาณ มันคงพุ่งทะลุปรอทไปแล้ว

พี่ภูชวนเขาไปกินข้าว!

“แค่กาแฟหกเนี่ยนะ เรานั่นแหละที่ควรจะโมโหที่พี่พรวดพราดเข้ามามากกว่า”

“พุกไม่ทันระวังด้วยครับ ถือว่าเจ๊ากันเนอะ  ถ้าพี่ภูจะกินข้าวพุกไปซื้อให้ดีกว่า” หนูพุกเก็บถ้วยเคลือบไว้ที่เดิม เตรียมรับออเดอร์จากเจ้านาย

“ไปด้วยกันนี่ล่ะ พี่ชอบเดิน” ทั้งที่สองเท้ายังคงเเตะพื้นสำนักงาน แต่เลขาหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนว่าเครื่องบินกำลังตกหลุมอากาศ เขาเเพ้ดวงตาคมที่กำลังยิ้มอยู่ แค่มองก็รู้สึกมีความสุขแล้ว…

หากนี่ไม่ใช่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หนูพุกคงคิดว่าอีกฝ่ายเเอบเอาน้ำมันพรายมาป้ายกัน

“ยังไม่มีใครมาทำงานอีกหรอครับ” คนช่างสังเกตมองไปทั่ว นอกจากพนักงานที่อยู่ด้านล่างเขาก็ไม่เห็นใครอีก

“ที่นี่เข้างานเก้าโมง กว่าจะมากันก็เฉียด ๆ เก้าโมงนั่นล่ะ” หนูพุกพยักหน้ารับ ฟังอีกฝ่ายอธิบายว่าพนักงานบางส่วนมักจะลงพื้นที่ไปประเมินสถานที่ด้วยส่วนหนึ่ง บางส่วนก็ไปกับผู้รับเหมาตอนจัดสวนด้วย

ชายหนุ่มผิวขาวแวะไปที่โต๊ะทำงาน เก็บเอาโทรศัพท์มือถือของสำนักงาน เเละเเท็บเล็ตเสียบลงในกระเป๋าใบเล็กด้วย ให้เดินถือโท่ง ๆ ดูท่าจะโดนฉกจนต้องไปสน.แทนจะไปร้านอาหารเสียล่ะมาก

“จะไปกินข้าวต้องเก็บของไปด้วยขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” คีรินทร์มองเลขาส่วนตัวอย่างคาดไม่ถึง หนูพุกทำตัวเหมือนโดเรม่อนที่คอยยัดของลงกระเป๋าวิเศษอย่างไรอย่างนั้นเลย

“ต้องเก็บสิครับ ถ้ามีใครโทรมาเรื่องงานจะได้ไม่พลาด” มนุษย์เพอร์เฟกต์ชั่นนิสต์ยิ้มอ่อนโยน อธิบายถึงการทำงานที่ฉับไวทันท่วงที เนื่องจากบางครั้ง คนโทรมาก็ไม่ค่อยจะเลือกเวลานักหรอก

คีรินทร์ลอบสังเกตหน่วยก้านของเลขาคนเเรกแล้วก็นึกพึงใจตามคำของญาติผู้พี่ที่ว่าหนูพุกเป็นคนคล่องแคล่วแถมยังหัวไวด้วย เขาเองที่เพิ่งจะเปิดบริษัทเล็ก ๆ มาได้เกือบสี่ปีจึงเลือกจะช่วยรับเลขาคนนี้เอาไว้ ธรรมชาติของภูเป็นพวกไม่ชอบงานเอกสาร แค่ต้องรับงานนัดหมายแล้วตามโครงการนับสิบในมืออีกทั้งยังต้องคอยควบคุมค่าใช้จ่ายในบริษัทก็ปวดหัวแย่แล้ว วันดีคืนดียังมีสัมภาษณ์โน่นนี่นั่นเข้ามาให้รำคาญใจอีก ทั้งหมดนี้ทำให้เวลานอนยังไม่ค่อยจะพอเลยด้วยซ้ำไป

ถ้าหาคนมาคอยดูแลไอ้เรื่องจุกจิกพรรค์นี้ก็น่าจะสบายตัวดีนั่นล่ะ

เช้าวันนี้อากาศค่อนข้างขมุกขมัว คนตัวใหญ่กว่าทำท่าจะหันไปช่วนลูกน้องคุยก็ต้องชะงัก เก็บปากเก็บคำเมื่อไอ้โทรศัพท์เจ้ากรรมที่เขาฟังมาตลอดสามสี่ปีดังขึ้นมาสองสายติดกันเเล้ว

“ครับ… ครับ… ยังไงเดี๋ยวผมขออนุญาติเช็คตารางคุณคีรินทร์แล้วจะติดต่อกลับไปอีกทีนะครับ” หนูพุกนับหนึ่งถึงสามในใจ รอคอยจนอีกฝ่ายไม่มีอะไรทักท้วงเเน่เเล้วจึงค่อยวางสาย

“พี่ภูฮ็อตน่าดูเหมือนกันนะเนี่ย” เขากระเซ้า ไม่นึกว่าบริษัทรับออกขนาดเล็กจะได้รับการสนใจจากสื่อมากมายขนาดนี้

“สัมภาษณ์หรือ” ภูเลิกคิ้วถาม ไม่รู้ว่าปีนี้เรื่องแลนด์สเคปมันอินเทรนด์ขนาดนี้ได้อย่างไร คนถึงพากันมาจ่อคิวขอสัมภาษณ์อยู่เรื่อย

“ครับ นิตยสารธุรกิจน่ะ เขาจะขอลงคอลัมน์สิบผู้บริหารหน้าใหม่” พอบอกชื่อหัวหนังสือชายหนุ่มก็ร้องอ้อ ไม่รู้ว่าตัวเองไปติดโผอะไรเทือกนี้ได้อย่างไร พักเดียวสองขายาวก็พาอีกคนเลี้ยวเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำตรงหัวมุมถนน

“เขาโทรมาขอคิววันพุธอาทิตย์หน้า พี่ภูสะดวกไหม” หนูพุกทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกในร้านก๋วยเตี๋ยวที่มีไอน้ำหอมฉุยลอยจากหม้อจนเห็นได้ชัดเจน

“จริง ๆ พี่ไม่ค่อยชอบอะไรพวกนี้เท่าไหร่ หนูพุกคิดว่ายังไง” เขาเลิกคิ้วถามหยั่งเชิง

“เราทำในสิ่งที่เราชอบอย่างเดียวไปตลอดไม่ได้หรอกครับ” รอยยิ้มอ่อนบางอย่างนักเจรจาเลื่อนขึ้นประดับริมฝีปากคนพูด “บริษัทของพี่ภูยังเป็นบริษัทออกเเบบที่ค่อนข้างใหม่ แต่ก็ได้งานที่น่าสนใจทำอยู่หลายชิ้น งานนี้น่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นรู้จักเรามากขึ้นเพื่องานที่สเกลใหญ่กว่าเดิม” 

“รู้จักงานที่พี่ทำด้วยหรือเราน่ะ” คีรินทร์อมยิ้ม แอบจัดการสัมภาษณ์ย่อม ๆ บนโต๊ะอาหาร

“ก็พอเห็นมาบ้างครับ” หนูพุกเอ่ยถึงงานประกวดจัดสวนเเนวตั้งในพื้นที่คอนโดที่บริษัทเพิ่งจะได้รับรางวัลไปคร่าว ๆ แถมยังเอ่ยถึงงานประกวดประขันที่ได้รางวัลในต่างประเทศ นึกตลกตัวเองที่ดันจำนามสกุลของพี่ภูในเครดิตได้ไม่เเน่ชัดจนละเลยไป… แหม มันตั้งสิบกว่าปีมาแล้วนี่นะ

“เรื่องสัมภาษณ์เราก็จัดคิวให้พี่หน่อยเเล้วกัน สั่งก่อนดีกว่า” ภูนึกนิยมคนที่ตอบคำถามและอธิบายเรื่องงานประกวดของเขาได้ละเอียดยิบ พลางกวาดสายตาคมมองไปยังบอร์ดเเปะผนังซึ่งมีสติ๊กเกอร์ติดบอกรายการอาหารเอาไว้

“ผมเอาเหมือนเดิม” เข้าหันไปบอกหญิงวัยกลางคนที่กำลังยืนคอยออเดอร์ พร้อมยิ้มทักลูกค้าประจำ

“พาเพื่อนมาด้วยเนอะวันนี้ ปกติเห็นมาคนเดียว” สาวใหญ่พูดไปเรื่อยจนหนูพุกตกประหม่าได้แต่ยิ้มแหย ๆ แต่อีกใจกลับลิงโลด

...พี่ภูมาคนเดียว…

บ้าเอ๊ย… เผลอยิ้มไม่ได้นะไอ้พุก ห้ามยิ้ม! กัดปากไว้เดี๋ยวนี้!!

“เป็นลูกน้องครับพี่ ผมเอาเกาเหลาเนื้อไม่เอาถั่วงอก ไม่เอาข้าวครับ”

“เรียกพี่ด้วย สงสัยจะได้กินพิเศษเเล้วพ่อหนุ่ม” คุณเจ้าของร้านวัยจะเหยียบเกษียณทำตาโต หัวเราะร่วนพลางรับคำว่าเดี๋ยวจะรีบมาเสิร์ฟ เนื่องจากคนค่อนข้างเเน่นขนัดพอสมควร

“มาจีบแม่ค้าเเบบนี้ พี่ตกกระป๋องจะทำยังไงเนี่ย”

คนแก่วัยกว่ามองเลขาที่จัดการรับเเก้วน้ำบรรจุน้ำเเข็งมาวางไว้ เปิดขวดน้ำเปล่าเติมด้วยท่าทางเรียบร้อย แค่วางเเก้วลงกับโต๊ะไม้ยังไม่มีเสียงเลย มือเบาขนาดนี้ได้ยังไงกัน

“โธ่ พี่ภูทำคะแนนมาก่อนนะครับ พุกจะเอาอะไรไปสู้ได้” หนูพุกยิ้มจนตาหยีพลางกรอกข้อมูลลงในเเท็บเล็ตซึ่งลิ้งค์กับดรอปบ็อกซ์ส่วนตัว

“ทำงานตลอดเวลาเลยหรือเปล่าหนูพุุก” เห็นดังนั้นคีรินทร์ก็ถามขึ้น

“ก็ไม่ตลอดนะครับ แต่พุกเเค่ไม่ชอบเก็บไว้ ถ้ามีงานก็จะทำทันทีเลย พอดีว่าตอนทำงานใหม่ ๆ พุกเคยชะล่าใจคิดว่าจำได้สุดท้ายงานยุ่งมาก ๆ ก็เผลอลืมงานลูกค้าไปเจ้านึง” ตอนนั้นเจ้านายเขาน่ะไม่เท่าไหร่ เพียงแต่ผลกระทบที่ตามมาจากความผิดพลาดทำให้คนอื่นต้องทำงานลำบากขึ้นเพียงเพราะว่าเขาลืม

...ถูกกระเเนะกระเเหนอย่างเเสบสันต์เลยทีเดียวเชียวล่ะอย่าให้พูด...
   
   “เอ้า งั้นก็หยุดพักก่อน หน้าที่ตอนนี้คือกินข้าวครับคุณเลขา” เกาเหลาเนื้อร้อน ๆ ในชามตราไก่ใบโตถูกเลื่อนมาตรงหน้า ซ้ำเเล้วเจ้านายยังบริการขยับพวงเครื่องปรุงมาให้อีกด้วย
   
   “ขอบคุณครับ” หนูพุกไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่มมากมายนักนอกจากน้ำส้มสายชูเล็กน้อยเเละน้ำปลา แต่ดูเหมือนคีรินทร์จะทำให้คนมองเกือบช็อคไปเเล้วด้วยพริกป่นช้อนพูนที่เทลงในเกาเหลาชามโต

   “พี่ชอบกินเผ็ดน่ะ พี่ชายบ่นประจำ มันบอกว่าเดี๋ยวลิ้นจะพังสักวันนึง”
   
   มันสมองของหนูน้อยตัวหนึ่งเก็บจำอย่างดีเชียวว่าพี่ภูของมันชอบกินอาหารรสจัดเเละมีพี่ชาย แล้วก็ต้องเบิกตาขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าอาหารในชามของอีกฝั่งเหมือนของเขาทุกกระเบียด เพียงเเต่เพิ่มข้าวเปล่าพิเศษด้วยเท่านั้นเอง
   
   “พี่ภูไม่กินถั่วงอกหรือครับ”
   
   “ใช่ ไม่ค่อยชอบน่ะ” ภูพยักหน้า ตักเนื้อเปื่อยชิ้นโตวางลงบนถ้วยข้าวสวยร้อน ๆ
   
   “พี่ว่ามันเหม็นเขียว...”

“พุกว่ามันเหม็นเขียว…” ต่างคนต่างพึมพำเเล้วก็เผลอระเบิดหัวเราะเมื่อสบตาคนหัวอกเดียวกัน

   ดูท่าแล้ว เลขากับเจ้านายคู่นี้คงจะเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด

   การทำงานกับคีรินทร์เเละบรรดาสถาปนิกมือทองในบริษัทขนาดย่อมทำให้หนูพุกผ่อนคลายกว่าที่คิดไว้ เมื่อทุกอย่างดูจะไปได้ราบรื่นในวันเเรก เพียงแต่เขาจะต้องขนเอกสารกลับมาอ่านที่คอนโดบ้าง เนื่องจากต้องทำความเข้าใจกับระบบสำนักงานและคำศัพท์เฉพาะที่ควรจะรู้ อีกทั้งเขาก็ยังหยิบเล่มสรุปโครงการที่เคยทำไว้กลับมาดูด้วย

   ...บางครั้งชีวิตเลขาก็ไม่ต่างอะไรจากสารานุกรมของบริษัท…

    กว่าจะเสร็จตามเป้าที่คาดไว้เข็มยาวก็ล่วงไปที่เลขสิบ หนูพุกเก็บเอกสาร ดูตารางงานในวันพรุ่งนี้ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัย

   ‘เพื่อนเเลนด์ดิ้งปุ๊บก็โทรปั๊บเลยนะ ไอ้พุก!’ เสียงจากปลายสายหัวเราะ บ่นว่าเขามันพวกมีตาวิเศษ

   “คนเก่งก็แบบนี้แหละ เเล้วนี่บินที่ไหนมาเนี่ยไอ้เมย์” เมษาเป็นสาวมั่นคนหนึ่งที่เดินอยู่ในเส้นทางแอร์โฮสเตทสายการบินดัง เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีในยามที่หนูพุกมีเรื่องให้ครุ่นคิด

   ‘โอ๊คแลนด์ เหนื่อยมาก ก.ไก่ล้านตัว แล้วยังไงคะ งานใหม่ของแกโอเคไหม’ หนูพุกเดาว่าอีกฝ่ายคงขึ้นรถแล้วเนื่องจากได้ยินเสียงปิดประตูและเสียงกรอบเเกรบของห่อขนมดังมาจากปลายสาย

“มันก็ดีแหละ แต่ว่าแกจำคนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า” 

‘ใครวะ’ เมษานึกสงสัย จะว่าเเฟนเก่าของหนูพุกก็ไม่น่าใช่เพราะกลุ่มเพื่อนพากันสาปส่งลงหลุมไปนานโขแล้ว  หลังจากนั้นหนูพุกก็ไม่ได้มีเรื่องรักใคร่อะไรให้ฟัง มากที่สุดก็แค่เรื่องงานที่จะเอามาเเชร์กันบ้าง

“พี่ภูอ่ะ” ชายหนุ่มอ้อมเเอ้มตอบ พลางเปิดประตูระเบียงออกไปสูดอากาศ

‘ภู… อ้อ... รักแรกแกน่ะนะ? ’

พอได้ยินชื่อ เมษาก็ถึงบางอ้อ รู้เพียงแต่ว่าชายคนนี้เป็นคนในดวงใจ เป็นคนที่ไอ้พุกประทับจิตประทับใจจนลืมไม่ลง ไปไหว้พระหรือทัวร์ทำบุญที่ไหนมันก็จะคอยขออยู่เรื่อยว่าขอให้ได้เจอพี่ภูของมัน


“อือฮึ คือพี่ภูเป็นเจ้านายใหม่ฉันเอง...” เขาขบปลายนิ้วเบา ๆ เริ่มสาธยายถึงคุณงามความดีในฐานะเจ้านายแล้วก็ชวนให้ใจลอยล่อง

เหมือนความรู้สึกตั้งแต่สิบปีก่อนมันต่อติดรวดเร็วจนน่ากลัว

‘โลกกลมดีเนอะ อีกอย่างเขาก็ฟังดูเป็นคนดี... อ่อยเลยสิ!’ หนูพุกส่ายหัวกับคนเชียร์ เมษาเป็นคนใจร้อนสมกับชื่อเดือนเกิดจริง ๆ นั่นเเหละ

“จะบ้าหรือไง นั่นเจ้านายนะ ให้เขารู้ว่าฉันสนใจเขาแบบนี้จะทำงานกันยังไง” พูดจบคนมีปัญหาหนักอกก็ได้ยินเสียงถอนหายใจพรืดอย่างไม่รักษาอาการ

‘ฟังนะไอ้พุก การอ่อยคือการทำให้เขาสนใจเรา ไม่ใช่ประกาศให้โลกรู้ว่าเราสนใจเขา!’  หนูพุกมองเเสงไฟบนตึกสูงหลากสีจากระเบียงห้อง ยิ่งมืดยิ่งสว่างเรื่อเรือง

“ฉันกลัววันนึงจะเข้าหน้ากันไม่ติดน่ะสิ” 

‘งั้นฉันถามหน่อยนะ แกปลื้มเขามาเป็นสิบปียังไม่เลิกแบบนี้ ถ้าแกคิดจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าวันไหนพี่ภูเกิดแต่งงานมีลูกมีครอบครัว แกยังจะทนทำงานที่รู้ทุกรายละเอียดชีวิตของเขาได้อีกหรือไง’

ฟันขาวคมขบปลายนิ้วอย่างครุ่นคิด มีคำตอบเด่นชัดในสมองจนนึกกลัวใจตัว

เขาอยู่กับความรู้สึกตะขิดตะขวงใจประเภทที่แอบชอบเจ้านายในขณะที่ภรรยาเเละลูกของอีกฝ่ายทำดีด้วยไม่ไหว ต้องให้รับความกดดันกับงานแล้วยังจะต้องอดทนกับความอึดอัดในใจตัวเองอีก อกไอ้พุกแตกตายใครจะรับผิดชอบกัน นี่ชีวิตจริงนะไม่ใช่คลับฟรายเดย์!

รวม ๆ แล้ว...ถ้าถึงวันนั้นเขาก็คงต้องหางานใหม่อยู่ดี

‘ถ้าแกคิดว่าทนได้ก็อยู่ไป แต่ถ้าแกทนไม่ได้ฉันจะช่วยแกร่างเเผนเอง’ เมษายิ้มกริ่ม หนูพุกเป็นเพื่อนที่ดี เเละเพื่อให้เพื่อนคนนี้สมปรารถนาเธอก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะงัดเอามารยาร้อยเล่มเกวียนออกมาช่วย

“เเผนอะไรของแกวะ” หนูพุกใคร่ครวญกับคำพูดของคนเจ้าเเผนการ แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับอะไรที่ด่วนได้ใจเร็วเท่าไหร่นัก

‘แผนพิชิต(พี่)ภูของเเกไง!’

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2018 19:41:51 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #3 เมื่อ05-06-2018 10:02:03 »

เชียร์คุณเลขาเต๊าะพี่ภูให้ได้
 :mew1:

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #4 เมื่อ05-06-2018 18:45:09 »

หนูพุกสู้ ๆ      :ped149:


พี่ภู… น่าร็อกอะ!!     :m3:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #5 เมื่อ05-06-2018 19:17:09 »

พุก ได้เจอพี่ภูแล้ว   :mew1: :mew1: :mew1:
ขนาดพี่ภู ยังได้เจอกัน
แล้วคนที่เคยแกล้งพุกจะเจอกันอีกมั้ยเนี่ย  :serius2:

พี่ภู   พุก    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #6 เมื่อ05-06-2018 19:36:12 »

ชื่อเรื่องพิชิตภู

หนูพุกเป็นรุก

พี่ภูเป็นรับ

แม่นก่  :z1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: " พิชิตภู " : Chapter 1 --- [ 04.06.2018 ]
«ตอบ #7 เมื่อ05-06-2018 20:30:49 »

ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
«ตอบ #8 เมื่อ15-06-2018 11:21:06 »

Chapter 2

 บทสนทนาเมื่อคืนยังอยู่ในหัวไม่จางหายไปไหนง่าย ๆ ถึงแม้ว่าหนูพุกจะเเบ่งรับเเบ่งสู้เเผนการพิชิตพี่ภูที่เเสนเผ็ดร้อนของเพื่อน ทว่าเมษาก็ยังคงย้ำอยู่เสมอว่าถ้าต้องการคนร่างเเผนให้ติดต่อมาได้เสมอ ต่อให้เธอบินอยู่แถวตะวันออกกลางก็จะรีบช่วยคิดทันที

   เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเพื่อนอยากจะให้รีบมีแฟนอะไรขนาดนี้เหมือนกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนกรานว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะมีใครสักคนเข้ามาดูแลหนูพุกอย่างจริงจัง แต่หนูพุกก็ยังเกรง… เขาเป็นเจ้านาย

แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนที่หนูพุกหลงใหลได้ปลื้มมาตั้งแต่มัธยม

อ่อย… หรือไม่อ่อย...

เหมือนมีเดวิลสีเเดงและแองเจิ้ลสีขาวกำลังเเย่งกันกระซิบข้างหูเหมือนตอนดูทอมแอนด์เจอรี่สมัยเด็กชัด ๆ

ชายหนุ่มส่ายหัว ทำเป็นลืมเรื่องเเผนการอะไรนั่นทั้งที่มันยังคั่งค้างอยู่ในใจ เช้านี้เขามาถึงที่ทำงานราว ๆ เเปดโมงเช้าพร้อมกับหิ้วถุงข้าวกล่องมาด้วย พี่ภูกับเจ้านายเก่าของเขาต่างกันมากเรื่องวิถีการกิน รายนั้นมักจะชอบของเบาไม่หนักท้องเเละกาเเฟนมอุ่น ๆ แต่คีรินทร์ชอบอาหารที่ให้พลังงานสูงสุด ดูจากเเซนด์วิชแฮมชีสสามกล่องที่จัดเข้าไปเป็นของว่างหลังการประชุมเมื่อบ่ายของเมื่อวานก็พอจะรู้
   
น่าประหลาดใจที่กินเยอะอย่างนั้นแต่รูปร่างก็ไม่ได้อยู่ในหมวดน้ำหนักเกินเกณฑ์ไปสักเท่าไหร่
   
ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยถูกอุ่นเมื่อเจ้านายเหยียบถึงออฟฟิศ ถึงเเม้ว่าเขาจะชอบกินรสจัดแต่หนูพุกเห็นว่ากินของเผ็ดตอนเช้าคงไม่ดีกับกระเพาะ

“พี่ภูครับ..” 
   
อาหารเช้าถูกจัดใส่จานเข้าไปให้ พร้อมกับสรุปตารางงานคร่าว ๆ ของอีกคนให้ฟังด้วย ทั้งที่โดยมารยาทเเล้วหนูพุกจะต้องรอให้เจ้านายรับประทานมื้อเช้าให้เสร็จเสียก่อนจึงจะเข้ามาอีกหน ทว่าคีรินทร์โบกมือเรียกให้เขาพูดเลยโดยที่ยังไม่เเตะต้องอาหารเช้า อาจมีเพียงการยกกาเเฟเย็นขึ้นดื่มบ้างระหว่างฟังนิดหน่อยเท่านั้น
   
บางครั้งการเป็นเลขาก็ต้องอาศัยวาทะศิลป์ในการหว่านล้อมนายให้ทำงานตามตาราง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกสั่งหรือบีบบังคับ แต่กับชายวัยเข้าสามสิบคนนี้หนูพุกไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้ยากเย็นเลย
   
เขาตรงไปตรงมา ว่างก็บอกว่าว่าง ไม่ว่างก็ว่าไม่ว่าง หรือสิ่งใดที่ไม่อยากจะทำเช่นงานสังคมเขาก็พูดตามตรงไม่โยกโย้แล้วแอบดอดหนีไปให้คนรับหน้าต้องปวดหัว

ถือเป็นเจ้านายที่ไม่งอเเงคนหนึ่งล่ะนะ
   
มือใหญ่ยกแก้วกาเเฟขึ้นจรดริมฝีปากก่อนจะไล่ดูตารางงานอื่น ๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่หนูพุกจัดการอัพเดตออนไลน์ให้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเมื่อเช้า

สายตาเรียวจ้องคนที่กำลังเพ่งสมาธิกับหน้าจออย่างเงียบ ๆ มือใหญ่โตที่กุมเม้าส์อยู่คงอุ่นน่าดูถ้าสอดประสานมือลงไป..

“วันนี้ที่จะไปรับบรีฟโรงเรียนศิลปะหนูพุกไปด้วยกันนะ” เขาเปรยขึ้นเรียบ ๆ แต่หนูตัวหนึ่งสะดุ้งเหมือนถูกกระชากหัวออกจากห้วงความคิดอกุศล

“ปะ..ไปครับ!” คนพูดตกใจกับเสียงตัวเองที่ตอบรับเสียงเเข็งขันประหนึ่งสมัยเรียน ร.ด. ไม่รู้ทำไมอยู่ใกล้พี่ภูทีไรอะดรีนาลินมันเหมือนจะพุ่งพล่านเกินปกติเสียเหลือเกิน

“เสียงเข้มเเข็งดีจริงๆ” รอยยิ้มผลิขึ้นประดับใบหน้าคมสัน ยิ่งทำให้ใจคนมองสั่นจนเเทบจะกระดอนมานอกอก คนทำเปิ่นหน้าขึ้นสีพยายามหดตัวให้เหลือเล็กที่สุดในความรู้สึก

หากมีมาตรวัดความอับอายหนูพุกก็คิดว่ามันคงทะลุปรอทไปแล้ว

“รอบหน้าจะพูดให้เบาลงเเล้วกันครับ” หนูพุกลงเสียงจนเบาหวิว ตอนนี้หนูใหญ่ตัวหนึ่งทำท่าจะกลายร่างเป็นมะเขือเทศเนื้อเสียเเล้ว
   
ทั้ง ๆ ที่การออกไปทำงานข้างนอกกับเจ้านายเขาก็ทำมาตั้งเกือบห้าปี ไม่เห็นจะมีครั้งไหนที่ทำให้ใจเต้นผิดจังหวะจนเเสดงท่าทีป้ำเป๋อได้ขนาดนี้… สงสัยจะเป็นที่คนชวน...
   
“งั้นเดี๋ยวพุกไปเตรียมเอกสารเช้านี้ให้เสร็จก่อนดีกว่าครับ” หนูพุกรีบขอตัวออกจากพื้นที่อันตราย อยู่กันสองคนกับพี่ภูตรงไหน.. ที่นั่นก็เป็นโซนสีเเดงที่ไม่ปลอดภัยกับใจเขาทั้งนั้น

ยามที่ประตูห้องของคีรินทร์ปิดลง หนูพุกก็สูดหายใจเฮือกรีบตั้งสติเป็นรอบที่ล้าน สองมือประกบตบแก้มตัวเองเบา ๆ ไม่รู้ว่าจะทำงานจนผ่านโปรโดยไม่เป็นโรคหัวใจไปก่อนได้ไหมเนี่ย!
   
พอก้นเเตะเก้าอี้ก็เหมือนว่าอยู่ดี ๆ สารพัดเเฟ้มก็งอกขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่ต่างอะไรกับวัชพืชที่เเข่งกันงอกบนดิน เอกสารต่าง ๆ ที่ต้องการการอนุมัติถูกคุณเลขาจัดเรียงตามความเร่งด่วนเเละเอกสารเเจ้งความคืบหน้าของเเต่ละโครงการก็ถูกทำโน้ตย่อด้วยลายมือเป็นระเบียบเเล้วเสียบด้วยคลิปหนีบกระดาษ
   
...คลิปหนีบกระดาษประจำตัวลายดาว พระจันทร์และหัวใจที่เคยจับฉลากได้ตอนปีใหม่ที่สำนักงานเก่า…
   
‘แกต้องทำตัวน่ารักเข้าไว้! คนน่ารักน่ะใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย อ้อ น่ารักนะเว้ย ไม่ใช่ปัญญาอ่อน’
   
เสียงกำชับเข้ม ๆ ของเพื่อนสาวดังมาในห้วงความคิดทำเอาหนูพุกต้องสะบัดหัวไล่ สองจิตสองใจกับคลิปหนีบกระดาษรูปหัวใจสีชมพูพาสเทลในมือ

 ...อันนี้มันเข้าข่ายน่ารักหรือเปล่าวะ...
   
“หนูพุก! ไอ้ภูมันใช้งานหนักขนาดนี้เลยหรือ” เต้ยท้าวเเขนลงบนโต๊ะทำงานเลขานุการ มองชายหนุ่มวัยอ่อนกว่าที่กำลังทำสีหน้ายุ่งยากใจ
   
“ไม่หรอกครับ พุกแค่… บริหารคอ”

หนูพุกหัวเราะเเห้ง ๆ ขืนอีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังชั่งใจเรื่องเลือกลายคลิปหนีบกระดาษว่าจะใช้รูปดาว พระจันทร์ หรือหัวใจจะรู้สึกอย่างไรกัน
   
“เด็กหนอเด็ก ไอ้ภูน่ะมันบ้า ถ้ามันใช้งานหนักเกินไปพี่จะไปฟ้องสหภาพแรงงานให้” เต้ยหัวเราะ

รอยยิ้มของอีกฝ่ายสว่างจ้าเหมือนแดดตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ทั้งส่องประกายเเละอบอุ่น พลางคิดไปถึงคนที่คงนั่งเพ่งจอคอมพิวเตอร์ตรวจเเบบโครงการรีสอร์ทที่เขาใหญ่อยู่ในห้อง ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่เปิดบริษัทไยกันจะไม่รู้ว่าบอสใหญ่หายใจเข้าก็งาน หายใจออกก็งาน
   
อีโก้พวกไม่อยากพึ่งใบบุญพ่อแม่มันค้ำคอนี่นะ
   
“ไม่หนักหรอกครับ พี่ภูใจดี… แล้วพี่เต้ยอยากให้พุกช่วยอะไรหรือเปล่าครับนี่” ดวงตาเรียวรีมองไปยังเเฟ้มงานบาง ๆ สองเล่มซึ่งหุ้นส่วนสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่คอยดูเเลด้านการเงินของบริษัทถือติดมือมาด้วย
   
“อันนี้งบเมื่อเดือนก่อน พี่เพิ่งตรวจบัญชีเสร็จ อันนี้เป็นใบเเจ้งเปลี่ยนผู้รับเหมาบ้านคุณเอนก” หนูพุกเปิดมันอ่าน เเปะโพสต์อิทแยกประเภทลงที่หน้าเเฟ้มแล้วจดสรุปลงไป
   
“ย้ายไปเป็นเลขาพี่ไหม เก่ง ๆ แบบนี้พี่คงเเฮปปี้น่าดู” เต้ยกระเซ้าจนคนถูกชมยิ้มกว้าง หากมีเสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลังจนหนูพุกเกือบสะดุ้ง
   
“มาซื้อตัวหรือ กูไม่ให้เว้ย” คีรินทร์หัวเราะ เตะขาเพื่อนไปหน มือหนึ่งถือจานข้าวที่ว่างเปล่าเเล้ว อีกมือถือเเก้วกาเเฟที่เหลือเพียงน้ำเเข็งหลอด

มีเพียงเลขาคนดีเท่านั้นที่เผลอมือสั่นเพียงเพราะคำว่าไม่ให้ โอย.. ไอ้พุกจะเป็นลม รู้สึกเหมือนเป็นเพชรน้ำดีที่คนหากันให้ควั่ก
   
“แต่พี่เลี้ยงดีนะ ได้กินช็อกโกเเล็ตทุกมื้อ” หนูพุกหัวเราะกับถ้อยคำหาเสียงเหล่านั้น พึมพำว่าอยู่กับพี่เต้ยคงสมบูรณ์ดีน่าดู ไม่ได้บอกความลับว่าเขาเเทบจะไม่เเตะของหวานเพราะกลัวว่าจะกลับมาอ้วนอีก
   
“ช็อกโกเเล็ตเลี้ยงเด็กไม่ได้ทุกคนโว้ย นี่...กินของพี่แล้วอย่าไปยุ่งกับมัน”

ภูแกล้งเพื่อนหน้าตายมองหน้าเพื่อนที่กำลังขึ้นสีเพราะโดนกระเซ้าเรื่องเลี้ยงเด็กอย่างนึกขบขัน แล้ววางซองพลาสติกเล็ก ๆ ที่ค้นออกจากกระเป๋ากางเกงลงบนโต๊ะทำงาน
   
“พูดมากนักไปคุยเรื่องบ้านคุณเอนกกับกูเลยมึงน่ะ” เต้ยเดินนำเพื่อนกึ่งเจ้านายลงไปที่ห้องครัว เล่าเรื่องลูกค้าเจ้าปัญหาที่ดันมาขอแก้แบบทั้งที่งานเดินหน้าไปเกือบครึ่งเพราะซินแสทัก

หนูพุกหยิบห่อลูกอมสีขาวขึ้นพิจารณา พี่ภูชอบเมนทอสหรือ…

เขาไม่ได้กินมันตามคำบอกของเจ้านาย เพียงเเต่หยิบมันเหน็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทเท่านั้น กว่าจะคิดได้ว่ากำลังทำตัวเหมือนเด็กสิบสี่อีกหนหนูพุกก็อดตบหน้าผากเตือนตัวเองไม่ได้
   
ยี่สิบหกแล้วนะไอ้พุก ยี่สิบหกแล้ว!

   

เอกสารทั้งหมดถูกลำเลียงไปให้คีรินทร์ในห้องทำงานหลังจากที่เขากลับขึ้นมาจากด้านล่าง หนูพุกจัดลำดับการพิจารณาตามความเร่งด่วนให้ทั้งหมดเเล้ว สิ่งที่ทำให้เขาประทับใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือโน้ตสรุปที่เขียนมาเป็นข้อครบถ้วนไม่ยืดเยื้อ เป็นการช่วยให้เขาทบทวนทุกอย่างคล้าย ๆ เช็คลิสต์ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องทำด้วยซ้ำไป

เริ่มเชื่อคำคุยแล้วว่ารายนี้น่ะ มืออาชีพจริงๆ
   
ปลายปากกาจรดลงอีกหน้าของกระดาษ เขียนข้อความลงไปสั้น ๆ เเล้วใช้ที่หนีบกระดาษอันเดิมหนีบทับลงไป มือใหญ่เเตะลงกับพลาสติกลายดาวฉลุเป็นหน้ายิ้มเเล้วบนหน้าก็เปื้อนยิ้มจาง ๆ

ไม่รู้ว่าคลิปหนีบเอกสารนี่เป็นกุศโลบายให้ทำงานด้วยความสุขหรือเปล่านะ

“เดี๋ยวสักสิบนาทีเราก็ไปกันเถอะ ไปก่อนเวลานัดหน่อย” มือใหญ่วางเอกสารที่รวบมาเเล้วลงบนโต๊ะ บอกผู้ช่วยที่กำลังขะมักเขม้นตอบอีเมลล์ด้วยรอยยิ้ม
   
“ครับ เดี๋ยวพุกเอาอันนี้ไปคืนคนอื่นแป๊บหนึ่งนะครับ” หนูพุกไล่เเกะคลิปพลาสติกลงกล่องใส สะดุดตากับกระดาษใบหนึ่งที่มีข้อความกลับมา

‘ขอบคุณครับ’
   
เลขาหนุ่มถึงกับเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือกุมอกตัวเองอย่างเงียบเชียบทั้งที่ในใจอัดอั้นอยากจะร้องออกมาดัง ๆ นึกขอบคุณตัวเองที่ไม่อาจหาญใช้เจ้าพลาสติกรูปหัวใจ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาคงช็อคน้ำลายฟูมปากคาหน้าเเฟ้มแน่ ๆ
   
เมื่อได้ยินเสียงหัวหน้างานปิดประตูห้องดังไล่มาจากด้านหลัง มือเรียวก็เคาะเเป้นพิมพ์กดส่งอีเมลล์ฉบับสุดท้าย รีบปิดคอมพิวเตอร์แล้วกวาดสิ่งจำเป็นลงกระเป๋าอันได้แก่ สมุด เเท็บเล็ต โทรศัพท์ออฟฟิศและพาวเวอร์เเบงค์

“เดี๋ยวพี่รอที่รถนะ” คีรินทร์ละจากโทรศัพท์ที่ยังคุยอยู่ชั่วครู่เมื่อเห็นว่าหนูพุกยังคงต้องนำเเฟ้มงบการเงินที่เขาเพิ่งเซ็นต์เบิกจ่ายสำหรับโครงการรีสอร์ตไปส่งให้กับคนทำบัญชีก่อน

คนที่ตามลงมาถึงลานจอดรถก็เพิ่งจะเห็นว่าร่างสูงใหญ่กำลังจัดการบางอย่างคล้ายกับกำลังทำความสะอาดภายในเจ้าแลนด์โรเวอร์ห้าประตู   
   
   “โทษทีนะหนูพุก รถเลอะนิดหนึ่งนะ พอดีเพิ่งขนต้นไม้มา”

สองเเขนใหญ่ขยับเปิดกระโปรงหลังดึงเอาพลาสติกเเผ่นใหญ่ที่ปูทับเบาะหลายที่นั่งด้านหลังที่ถูกปรับเอนออก คราบดินเเห้ง ๆ ร่วงกราวตามจังหวะที่เศษกระสอบถูกดึงออกไปด้วย

   “นั่งได้หรือเปล่า มันยังมีกลิ่นดินอยู่หน่อย”
   
   “ได้ครับ พี่ภูไม่ต้องกังวล” หนูพุกขยับปิดประตูรถ อีกฝ่ายพยักหน้าสตาร์ทรถแล้วออกตัวอย่างเงียบเชียบ 
   
   ภายห้องโดยสารสีดำกลับกลายเป็นพื้นที่สีเเดงของหนูหนึ่งตัว ดวงตาไม่รักดีไม่ยอมมองทาง หากเฉไฉไปมองมือใหญ่บนพวงมาลัยเสียได้ เมื่อเป็นดังนั้นหนูพุกจึงเเสร้งหยิบเเท็บเล็ตขึ้นมาเปิดดู เอ่ยปากขอร้องให้เจ้านายเล่าเรื่องโครงการโรงเรียนศิลปะซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดตอนนี้
   
   โรงเรียนศิลปะเเห่งใหม่ในกรุงเทพฯนี้ไม่เพียงเเต่เป็นสถานที่เล่าเรียนสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาด้านศิลปะเพียงอย่างเดียว หากยังเป็นศูนย์กลางสำหรับการจัดการประกวดเเข่งขันรวมถึงงานประมูลภาพศิลปะหรือปฏิมากรรมก็จะถูกย้ายมาจัดที่นี่ด้วย โดยการพบกันในครั้งนี้จะเป็นการรับบรีฟเเละตรวจดูสถานที่เท่านั้น

“จริง ๆ งานนี้ยังไม่ได้เป็นของเราหรอกนะ” คนฟังได้แต่ร้องอ้าวในใจ ฟังคนตัวใหญ่กว่าพูดต่อไป “จริง ๆ มันเป็นกึ่ง ๆ งานประกวดด้วย” เพียงแต่เป็นข้อมูลเงียบ ๆ ที่รู้กันเฉพาะในวงคนทำงานเท่านั้นเอง

งานใหญ่ขนาดศูนย์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ ใคร ๆ ก็เสนอตัวทำให้กันทั้งนั้น

...ไม่เว้นเเม้แต่คีรินทร์…

หากตกปลาใหญ่ตัวนี้ได้ ที่เหลือจะหนีไปไหนรอดเสียเล่า
   
   “แล้วเรื่องค่าแบบล่ะครับ” หนูพุกไม่ค่อยเข้าใจกติกาอะไรพวกนีัเท่าไหร่เนื่องจากบริษัทเดิมเป็นบริษัทใหญ่ซึ่งมีฝ่ายออกแบบเป็นของตัวเอง
   
   “ก็อาจจะต้องทำฟรีจนกว่าเขาจะตกลงเลือกเรา” ชายหนุ่มยิ้มจาง ๆ ขัดกับคุณเลขาที่ได้แต่ครวญในใจว่าเขี้ยวชะมัดยาด

แต่คิดในมุมของเจ้าของเงินสร้างเขาก็พอเข้าใจได้ ถ้าเปรียบโปรเจ็กต์นี้เป็นดอกไม้หอม บริษัทออกแบบต่าง ๆ ก็คงไม่ต่างจากฝูงผึ้ง อย่างไรเสียก็มีอำนาจต่อรองเป็นเครดิตไซส์ยักษ์และเงินค่าจ้างก้อนโต

มีเพียงผึ้งงานที่เก่งพอเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เก็บน้ำหวาน

ยิ่งคิดหนูพุกก็ชักจะเริ่มเกร็ง เนื่องจากโปรเจ็กต์นี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโปรเจ็กต์ขยับฐานันดรศักดิ์ของบริษัทขนาดเล็กที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างให้โดดเด่นขึ้นทัดเทียมกับบริษัทออกเเบบในระดับแนวหน้า

“นั่งอ่านแบบนั้นเดี๋ยวก็เมารถหรอกหนูพุก” คีรินทร์หักเลี้ยว ลอบมองคนที่นั่งข้างเคียงกัน

“ชินแล้วครับ ไม่เมาหรอก” เลขาหนุ่มยิ้มจาง ๆ อยากจะเป็นเด็กดีว่าง่ายเก็บงานลงกระเป๋าในบัดดล หากมีรายชื่อหนึ่งในคณะกรรมการโครงการที่สะดุดตา

ไม่นานนัก รถยนต์หยุดลงหน้าพื้นที่ซึ่งยังถูกล้อมและมีคนงานทำงานอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตัวตึกยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีนัก รูปทรงสี่เหลื่ยมของอาคารหลังนี้ไม่ได้เป็นเหมือนอาคารสูงทั่วไป หากมีการเล่นระดับเเละมีพื้นที่ยื่นออกมาหรือตัดเข้าไปดูมีมิติ หากทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วมันคงไม่ต่างอะไรกับอาคารที่หลุดออกมาจากหน้านิตยสาร

คนมองอดตื่นเต้นน้อย ๆ ไม่ได้เนื่องจากนี่เป็นหนแรกที่หนูพุกได้ออกมาที่ไซต์งานจริง ๆ อีกทั้งพื้นที่เกือบหกไร่บนถนนวิทยุชวนให้ขนลุกเมื่อคิดถึงราคา

“อีกเกือบสิบห้านาที กว่าจะถึงเวลานัด หนูพุกจะเข้าไปรอก่อนก็ได้นะ” คีรินทร์เอ่ยขึ้น ด้วยว่าเขาต้องการจะเดินดูพื้นที่นอกอาคารสักครู่หนึ่งเผื่อว่าจะมีไอเดียดี ๆ

“งั้นพุกขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่แล้วจะออกมานะครับ” คุณเลขายิ้ม อยากจะเดินดูพื้นที่กับพี่ภูอยู่หรอก แต่วันนี้เขาดื่มน้ำไปเยอะ ถ้าจะปวดฉี่ตอนบรีฟงานกันคงไม่ดีเเน่

“พี่ภูครับ… ติดไว้หน่อยนะครับ แดดมันร้อน”

“ขอบคุณครับ”

มือใหญ่รับกล่องพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือที่ถูกดึงออกจากกระเป๋าของเลขานุการหนุ่ม  พลิกมันพิจารณาเเล้วก็พบว่ามีฝาอยู่ที่มุมหนึ่ง อ้อ.. ขวดน้ำดีไซน์ใหม่แบบที่จะเก็บลงกระเป๋าเล็ก ๆ ได้

เขามองไปยังร่างสันทัดใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินที่ก้าวออกไปรวดเร็วแล้วก็ยิ้มออก มีเลขานี่มันช่วยเก็บตกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้กว่าทำงานทั้งหมดคนเดียวจริง ๆ
   
   หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยดีเเล้ว หนูพุกไม่ได้เดินตามเจ้านายทันทีทันใด ทว่าเพียงเเต่เดินมองตามอยู่ห่าง ๆ ผิวสีเเทนยามต้องเเดดยิ่งชวนมอง ดวงตาเรียวรีจับจ้องเเผ่นหลังกำยำอันถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตคอจีนสีเขียวมะกอกพับเเขนขึ้น เรื่อยเลยมาที่ท่อนเเขนเเข็งแรงซึ่งกำลังสาละวนกับการถ่ายรูปเเละจดอะไรบางอย่างลงในสมุดโน้ตส่วนตัวอย่างเอาจริงเอาจัง

มันเเทบจะเป็นภาพที่สวยงามที่สุดของพี่ภูเท่าที่หนูพุกเคยเห็นมา

เขาเหมือนต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านที่ประกอบด้วยใบสีเขียวจัดอยู่ท่ามกลางแมกไม้…  ดูร่มเย็น อบอุ่น… ทว่ายิ่งเดินเข้าหา ภาพพวกนั้นก็ดูเหมือนจะปลิดปลิวไปทีละน้อย ยามรอยยิ้มจาง ๆ ซึ่งมักจะประดับบนใบหน้าอยู่เป็นนิจชืดลงและเเปรเปลี่ยนเป็นคิ้วที่กำลังผูกโบ

“แม่ง ทำไมมาอยู่ตรงนี้วะ”  หนูพุกหัวเราะกับเสียงทุ้มที่ลอยมาเข้าหู

คนอะไร… ทะเลาะกับฝาท่อก็ได้ด้วย
   
   “อ้าว คุณหนูพุก มาได้ยังไงเนี่ย” หนูน้อยที่กำลังสังเกตการณ์สะดุ้ง ถูกดึงออกจากภวังค์เพราะใครอีกคน

...หม่อมหลวง กวี กรจักร…

หนูพุกมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่ภูเเล้วก็ยิ้มออก ไม่นึกว่าเขาจะมาในวันนี้ เนื่องจากเเต่เดิมคีรินทร์มีนัดกับผู้บริหารอีกท่าน อย่างไรก็ตามมีคนที่พอรู้จักกันมาสมทบมันก็ไม่เลวนักหรอก

“สวัสดีครับคุณวี พอดีผมเปลี่ยนงานเเล้วน่ะ” มือเรียวผายไปที่เจ้านายซึ่งเดินไกลออกไป ไม่เห็นเลยว่ามีใครสองคนกำลังมองตาม

“เป็นเลขาคุณภูหรือ ทีตอนผมชวนก็ไม่ยอมมาทำด้วยกัน” เขายิ้ม หนุพุกเคยพบกับคุณกวีในการนัดประชุมอยู่บ่อยครั้งช่วงที่บริษัทมีการทำสัญญาคู่ค้ากับโรงเเรมของอีกฝ่าย
   
   “ชวนกันแบบนี้ เดี๋ยวคุณกรรณจะงอนเอานะครับ” หนูพุกหัวเราะกลบเกลื่อน ดึงเลขานุการของกวีเข้ามาช่วยเลี่ยง

“ผมอยากให้มานะ พอดีติดใจลีลาการเขวี้ยงรองเท้า” เขายิ้ม หนูพุกอดครวญไม่ได้ว่าท่าทางแบบนี้มันโคตรหล่อ อยากจะเกิดมาหน้าตาดี มีช้อนเงินช้อนทองมารองกับเขาบ้างก็เท่านั้น

“เรื่องมันนานมาแล้ว คุณวีอย่าพูดเลย ผมอาย”

ความหลังของเขากับหม่อมหลวงกวีไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจนัก วันนั้นหนูพุกเลิกประชุมพร้อมพระอาทิตย์ตกดิน รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ยังคงสติเอาไว้ได้ทั้งที่นอนไม่พอเพราะมัวเเต่อ่านข้อมูลบริษัทย้อนหลังจากฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้รองรับทุกคำถามที่เจ้านายยิงมาเพราะต้องการข้อมูล

...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเลขาหรือเป็นอับดุล...

หนูพุกใจลอยเดินอยู่ข้างฟุตปาธหน้าบริษัท สายตาหยุดอยู่ที่คนที่เพิ่งเข้าประชุมมาด้วยกันกำลังจะต่อวินมอเตอร์ไซค์ คิดว่ามองไม่ผิดหรอก

นั่นหม่อมหลวงกวี กรจักรกำลังง้างขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์!
ไอ้พุกตาโตเป็นไข่ห่านเหมือนเห็นเป็ดสามหัว ใครจะคิดว่าคนระดับนั้นอยู่ดี ๆ จะมาต่อคิวขึ้นฮอนด้าเวฟปาดเบาะเหมือนพนักงานออฟฟิศกันเล่า

สิ่งที่เห็นมันยิ่งดูประหลาดและใกล้เคียงละครจอเเก้วขึ้นอีกเมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีชายหนุ่มที่เขาไม่เห็นหน้า วิ่งกระเเทกคนที่กำลังจัดระเบียบตัวเองจนหน้าคะมำแล้วฉกกระเป๋าเอกสารของอีกฝ่ายไปด้วย

กระเป๋าเอกสารของคุณกวี… มีเเฟลชไดร์ฟข้อมูลของบริษัท!

อยู่ดี ๆ ก็เหมือนมีวิญญาณผู้กล้าโถมตัวใส่จากที่ไหนก็ไม่รู้ได้ หนูพุกขาดสติด้วยในเเฟลชไดร์ฟมีข้อมูลของบริษัท เขาติดสปีดวิ่งตามแต่เล็งเห็นเเล้วว่าขนาดช่วงขามันต่างกันเลยเลือกที่จะถอดรองเท้าหนังออกอวดสกิลเซียนปาลูกโป่งให้คนคอยรถเมล์ทั้งเเถบนั้นได้เห็น

ถึงตอนนี้ก็ยังนึกดีใจที่เขวี้ยงออกไปเเล้วมันเเม่นเข้าท้ายทอยไอ้โจรกระจอกที่เเฝงตัวเป็นพนักงานเดินฉกของตอนคนเลิกงาน เพราะถ้าไม่เเม่นคงไม่เเคล้วจะต้องไปนอนเล่นในซังเตข้อหาทำร้ายร่างกาย

วันนั้นคุณกวีขอบคุณหนูพุกซ้ำเเล้วซ้ำอีกเพราะกระเป๋าใบนั้นมีเอกสารจำเป็นที่เขาจะต้องใช้ประชุมด่วนอยู่ด้วย… ไอ้ประชุมด่วนที่ทำให้คุณกวีถึงกับต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปอโศกนั่นล่ะ

ดูอีกฝ่ายจะซึ้งน้ำใจเขาจริงจังถึงขึ้นจะพาไปเลี้ยงข้าวตอนวันหยุดเสียด้วย แต่กระนั้นคนที่ทำอะไรไม่ยั้งคิดจนเหลือเเต่ความอับอายก็ไม่ได้ตอบรับเพราะมัวเเต่ช็อค สุดท้ายก็ได้แต่ดอกไม้ขอบคุณที่ส่งจากเลขาของอีกฝ่ายพร้อมการ์ดที่เเนบมาทำนองว่าหากต้องการความช่วยเหลืออย่าได้ลังเลที่จะติดต่อหม่อมหลวงผู้กว้างขวาง

...จนถึงตอนนี้ก็ยังจะคิดเอามาเป็นบุญคุณกันอยู่เลยให้ตาย...

“เอาเป็นว่ายังไงผมก็ยินดีต้อนรับแล้วกัน”คนพูดหัวเราะ อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ เดินพาอีกคนเข้าหลบเเดดพร้อมกับทักทายคีรินทร์ที่มองเห็นพวกเขาเเล้วเเละกำลังตรงเข้ามา

ไม่นานผู้บริหารอีกท่านก็ตามมาสมทบและเริ่มงานอย่างรวดเร็วด้วยเวลาของแต่ละคนต่างก็เป็นเงินเป็นทอง

ตลอดเวลาที่เดินไปฟังความต้องการของเจ้าของสถานที่ไปด้วย หนูพุกก็มีหน้าที่จดทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย เขาฟังคีรินทร์อธิบายเรื่องพื้นที่ ปัญหาที่พบ หรือกระทั่งการวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของโครงการ

“ภาพรวมที่บอร์ดตกลงกันก็ประมาณนี้ครับ ยังไงอีกสองอาทิตย์คุณภูเข้ามาเสนอเเบบได้เลยนะ” ผู้บริหารชั้นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นพลางเเอบดูนาฬิกา เดาว่าคงจะมีธุระต่อ


“ได้ครับ เดี๋ยวผมกับทีมจะเข้ามาเสนอเเบบตามที่คุยกันไว้ ต้องรบกวนท่านกับคุณกวีด้วยนะครับ” คีรินทร์ยิ้มทั้งที่เเสงเเดดตอนเกือบเที่ยงสะท้อนเข้าตาจนต้องหรี่ลงบ้าง

หนูพุกเห็นว่าเหลือกันเเต่คนรู้จักก็พอจะเห็นช่องทางบางอย่าง กดโทรศัพท์หาคนที่เคยติดต่องานกัน สอบถามเรื่องตารางของคุณกวีและร้านอาหารโปรดเสียเสร็จสรรพ แถมยังส่งซิกให้เจ้านายที่เข้าใจจุดประสงค์ของหนูพุกแค่เพียงสบตา

“เที่ยงนี้คุณวีมีธุระไปไหนหรือเปล่าครับ ยังไงให้เกียรติอยู่ทานกลางวันที่ร้านห้องเเถวกันก่อนไหมครับ พอดีหนูพุกเขาจองโต๊ะไว้...”

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเอ่ยชวน รักษามาดไม่ให้ทุกอย่างดูมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ขณะที่เลขาคนดีก็โปรยยิ้มการค้าที่ตกคนให้คล้อยตามมานักต่อนัก

“ยินดีเลยครับ ยังไงมื้อนี้ผมขอฝากท้องด้วย” กวีแย้มริมฝีปาก ตกลงใจง่ายดาย เพราะความน่ารักของคนที่จัดเเจงทุกอย่างอยู่เบื้องหลังเขาก็ส่วนหนึ่ง แต่ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันต่างหากที่น่าสนใจ

...คีรินทร์ พงศ์พิพัฒน์…

เขาได้ยินเพียงแต่ชื่อลูกชายคนกลางของผู้บริหารบริษัทโลจิสติกขนาดใหญ่มานาน เพิ่งจะได้มาเห็นตัวจริงก็วันนี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรงานการที่บ้านใหญ่โตมีให้ทำแต่รั้นออกมาเปิดบริษัทเล็ก ๆ คนเดียวเสียนี่

 …แปลกจริง ๆ…

----------------------------------------------------

ต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2018 20:20:45 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
«ตอบ #9 เมื่อ15-06-2018 11:22:10 »

ร้านห้องเเถวเป็นร้านอาหารไทยที่อยู่ในย่านชิดลม ใกล้ ๆ กันกับไซต์งาน การออกเเบบร้านอาหารไทยนี้ได้รับเเรงบันดาลใจมาจากห้องเเถวเก่าที่มักเปิดเป็นร้านอาหารอย่างในย่านเจริญกรุง

หนูพุกจัดการจองโต๊ะเเละสั่งอาหารโปรดของทั้งคีรินทร์เเละกวีเอาไว้ล่วงหน้า พยายามจะจัดรายการอาหารให้น่าประทับใจแม้ว่าอาหารที่ผู้บริหารทั้งสองโปรดปรานมันไปกันคนละทิศคนละทางก็ตาม

...พี่ภูกินรสจัด แต่คุณกวีกินรสจืด...

เมื่อไปถึงร้านแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคอยนานจนเกินไปให้หัวข้อสนทนาเรื่องงานดีไซน์ถูกปัดตกลงไปเพราะความหิว โชคดีที่ทั้งคุณกวีและคีรินทร์ก็ดูจะมีความสนใจเรื่องเดียวกันจึงทำให้เรื่องที่พูดคุยไหลไปได้ง่ายดาย โดยที่ภาพรวมของเนื้อหาก็ยังถูกรวบเอาไว้เป็นเรื่องงานเพียงแต่ดูเหมือนไม่จริงจังนักเท่านั้นเอง

ตลอดการสนทนานั้น มีเพียงหนูพุกที่สังเกตเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟก็ดี ลูกค้าสาว ๆ โต๊ะอื่นก็ดีต่างหันมองทางนี้ตาเป็นมัน คุณกวีหล่อเขาไม่เถียง แต่ไอ้ที่มองคีรินทร์ไม่วางตานี่มันอะไรกัน

คุณเลขาได้แต่สงบจิตสงบใจ โต้ตอบบ้างเป็นมารยาทเเละทำใจว่าสมรภูมินี้คู่เเข่งเยอะไปในคราวเดียวกัน

“จริง ๆ ผมชอบโปรเจ็กต์โอเอซิสมาก เพิ่งจะรู้ว่ามีสถาปนิกไทยอยู่ในทีมด้วย” กวีวางช้อนลง เอ่ยถึงโครงการสวนสาธารณะแบบทดลองสำหรับวิถีคนเมืองที่เพิ่งจะได้รับการสร้างจริงเมื่อหกปีก่อนที่ประเทศสิงคโปร์

“ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบครับ ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่เป็นธุรกิจดี”  คนพูดนึกถึงตัวเองตอนนั่งหน้าดำหน้าเเดงเถียงเรื่องงานดีไซน์ที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องมาร์เก็ตติ้ง

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คีรินทร์ก็เข้าทำงานกับบริษัทออกแบบภูมิทัศน์ในต่างประเทศอยู่หนึ่งปีเต็มก่อนจะไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทแล้วกลับมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง

“อันที่จริง ผมนึกว่าคุณจะกลับมาช่วยที่บ้านเสียอีก แบบนี้ทางนั้นไม่เหงาแย่หรือครับ” อันที่จริงเขาก็พอจะรู้จักลูกชายคนเล็กของทางนั้นอยู่ผ่าน ๆ ก็ตามงานสังคมนั่นล่ะ ทั้งที่เป็นพี่น้องกันเเท้ ๆ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

คีรินทร์เป็นคนดูเหมือนจะเรื่อย ๆ แต่แฝงแววทะเยอทะยานและกระหายอิสระเหมือนม้าป่า แต่คุณคนเล็กกลับดูเหมือนม้าทรงที่เย่อหยิ่งถือตัว

อย่างน้อยลองผูกมิตรกันไว้ก็คงไม่เลว อย่างไรเสียธุรกิจมันก็เป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน

ต่อให้โปรเจ็กต์นี้คีรินทร์อาจไม่ได้งาน แต๋โปรเจ็กต์หน้าก็อาจต้องพึ่งพากัน

“ทางนั้นเขาวางตัวผู้บริหารไว้เรียบร้อยแล้วครับ อีกอย่างผมก็ถนัดเรื่องออกแบบมากกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เลยขอตัวดีกว่า”

“ทำอะไรที่เราถนัดก็ดีกว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ ยังไงก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะครับคุณภู” กวียิ้ม มองดูท่าทีสบาย ๆ ของอีกฝ่าย

“เช่นกันครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” คีรินทร์ลุกขึ้น ทิ้งบัตรเครดิตของตัวเองไว้ให้กับหนูพุกจัดการ ลอบมองเจ้านายที่กำลังเดินกลับเข้ามา

และนั่น… พี่ภูกำลังถูกพุ่งเข้าชาร์จโดยผู้หญิงที่อยู่โต๊ะใกล้ ๆ กัน เขาจำได้ว่าเธอเช็คบิลออกไปก่อนเกือบสิบนาทีแล้ว

“คือว่า… ขะ ขอโทษนะคะ” พนักงานสาวทำท่ากล้า ๆ กลัว ๆ เอ่ยปากบอกเสียงเบาว่าหล่อนรูดบัตรผิด เผลอกดเลขศูนย์พ่วงท้ายไปอีกตัว ค่าอาหารหลักพันจึงกลายเป็นหลักหมื่น

“ไม่เป็นไรครับ” หนูพุกยิ้มอย่างรักษามารยาท ไม่รู้ว่ามันเป็นสัจธรรมของโลกหรืออะไรที่ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า

พี่ภูเดินตามอีกฝ่ายไปแล้วนั่น!

คนที่ได้เเค่ลอบมองใช้ลิ้นดุนข้างแก้ม ร้อนใจกับการเดินไป คุยไป ยิ้มไปเหล่านั้น นิ้วชี้จิ้มกดรหัสลงบนแป้นเพื่อคอนเฟิร์มการรูดอีกหนหลังจากพนักงานติดต่อธนาคารเรียบร้อยเเล้ว

“เรียบร้อยค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มเก็บบัตร ยิ้มให้อย่างสุภาพ ไม่ได้สนใจท่าทีโล่งเรื่องไม่โดนลูกค้าดุของอีกฝ่าย เขาเองก็มีช่วงเวลาที่ทำผิด แล้วนี่มีป้ายปักอกว่าพนักงานใหม่ขนาดนี้กล้าดุก็คงใจร้ายเกินไปหน่อย

หนูพุกเดินตามเจ้านายออกมาที่ลานจอดรถขนาดเล็ก มองผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ฝั่งข้างคนขับ หญิงสาวลดกระจกลงยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่ม

“ยังไงขอบคุณมากที่ช่วยถอยรถให้นะคะคุณภู” อื้อหือ… เสียงหวานแบบขัณฑสกรยังเขินเลยเว้ย!

หนูพุกพยายามอย่างมากทีจะละวางอคติ แต่ดูเหมือนมันจะทำได้ยากยิ่ง ในเมื่อข้างซองจอดรถของสาวเจ้ามันถูกเว้นว่างไว้ ต่อให้ถอยสะเปะสะปะอย่างไรก็ไม่ชนอะไรเเน่ ๆ นอกจากจะเบลอเข้าเกียร์ผิดก็เท่านั้น

“ครับ ไม่เป็นไรครับ” ยิ่งเห็นคีรินทร์ยิ้มรับกับท่าทีเหล่านั้นอย่างเปี่ยมมารยาทยิ่งกระตุ้นสิ่งที่ขบคิดมาตั้งแต่เมื่อคืน

...จะอ่อยหรือจะยอมโดนคาบไปกิน...

เขาต้องอ่อย! อ่อยเท่านั้นคือคำตอบ!

ภูเขาลูกนี้มีเเค่หนูพุกตัวเดียวที่จะพิชิตได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามยุ่ง!!

------------------------------------------------------------------------------------------------------

สารภาพว่าตอนเห็นเม้นดีใจมากค่ะ   :hao5:  ขอบคุณนะคะ  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-07-2018 20:29:14 โดย Thei12 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

" พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
« ตอบ #9 เมื่อ: 15-06-2018 11:22:10 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
«ตอบ #10 เมื่อ15-06-2018 11:50:40 »

หนูพุกจะพิชิตภูได้หรือเปล่าเนี่ย พี่ภูนี่รู้สึกจะเสน่ห์แรงใช่ย่อยนะเนี่ย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
«ตอบ #11 เมื่อ15-06-2018 13:35:20 »

 :L2: :pig4:

สนุกดี

ออฟไลน์ ก้มหน้าก้มตา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 2 --- [ 15.06.2018 ]
«ตอบ #12 เมื่อ15-06-2018 20:06:03 »

สนุกดีค่ะ

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #13 เมื่อ19-06-2018 22:44:43 »

Chapter 3


หากเป็นไปตามที่ใคร ๆ ก็ว่ากันว่าเลขาเป็นหน้าตาของเจ้านาย... ดูท่าว่าวันนี้เจ้านายของหนูพุกคงหน้าตาดูไม่จืดสักเท่าไหร่

วันนี้ทั้งวันหนูพุกมัวเเต่ทำเอกสารสรุปโครงการเมื่อทีมสถาปนิกในบริษัทปิดโปรเจ็กต์ในเวลาใกล้เคียงกัน นอกจากนี้เรื่องประชุมเปลี่ยนผู้รับเหมาต่อด้วยการมอบหมายงานให้ทีมสถาปนิกใหม่ก็ยังทำให้หนูพุกไปไหนไม่รอดอีกด้วย

   กว่าจะรู้ตัวอีกทีคนในออฟฟิศก็ทยอยกลับจนเกือบหมดแล้วเนื่องจากเข็มยาวล่วงไปที่เลขเจ็ด.. ทุ่มกว่าแล้ว พี่ภูยังไม่ออกจากห้องทำงานเลย หิวมากหรือเปล่าเนี่ย

ชายหนุ่มผิวขาวที่มีร่องรอยของการอดตาหลับขับตานอนฟ้องชัดอยู่ใต้ดวงตาส่องกระจก ยกสองมือจัดผมที่ฟูฟ่องเพราะทำงานหนักมาตลอดวัน เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าดวงตาข้างซ้ายเริ่มเป็นสีเเดงเพราะเคืองตา ทั้งที่ก็หยอดน้ำตาเทียมไปบ่อยพอดู

หนูพุกล้างมือ จัดการขยับคอนเเทคเลนส์ใสให้อยู่ในระยะที่พอดีแต่เลนส์นุ่มนิ่มไม่รักดีดันขาดออกมาคามือ เวรกรรมจริง ๆ เขาถอนหายใจเฮือกเดินออกไปหยิบคอนเท็คเลนส์รายวันที่มักจะพกติดกระเป๋าไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน

ดวงตารีเรียวปิดลงข้างหนึ่งเดินกลับจากห้องน้ำมาควานหาของที่โต๊ะทำงาน หากเจ้านายคนดีในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนกลับยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ที่โต๊ะเขาเหมือนต้องการอะไรสักอย่าง

“อ้าวหนูพุก พี่นึกกว่ากลับไปแล้ว”

“ยังหรอกครับ พอดีพุกยังมีงานค้าง พี่ภูอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ” เขายิ้มแต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้ว

“แวะมาขอดูสรุปงบโครงการที่ประจวบฯหน่อย ว่าแต่ตาเราเป็นอะไรทำไมปิดอย่างนั้น”

“อ้อ คอนเเทคเลนส์มันขาดครับ พุกว่าจะมาหาอันใหม่ไปเปลี่ยน เดี๋ยวพุกหาเอกสารให้นะครับ” คีรินทร์พยักหน้า มองคนที่ก้มหน้าก้มตาหาคอนเเทคเลนส์เจ้าปัญหาในกระเป๋า

หนูพุกควานมือลงไปแต่แล้วก็ชะงักเมื่อเเตะมือลงที่ขอบตลับพลาสติก เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าหมายมาดจะทำอะไรไว้ในใจ เขาตัดสินใจที่จะละมือออก ทำทีค้นหามันอีกนิดหน่อยเเล้วขมวดคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่า”
“พอดีพุกเก็บกระเป๋าเมื่อวานเเล้วลืมใส่ตลับสำรองมาครับ คงต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน” หนูพุกยิ้มแหย แต่อีกคนชะงักในยามที่ดวงตาข้างซ้ายเปิดขึ้น

...มันแดงกว่าปกติจนคนสายตาดีนึกกลัวทีเดียว…

“ไปถอดอีกข้างออกเถอะ เดี๋ยวจะปวดตาเอา” พี่ภูว่า เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้หนูพุกช่วยหาเอกสารแล้ว

“งั้นเดี๋ยวพุกหาให้ก่อนดีกว่า เพราะถ้าถอดแล้วมันจะมองไม่ค่อยเห็น” คุณเลขาปิดตาลงข้างหนึ่ง หลันหลังเข้าหาชั้นเก็บของซึ่งเรียงสารพัดจะเอกสารเอาไว้ 

 “สายตาสั้นเท่าไหร่เนี่ย” คีรินทร์ถาม มองเลขาคนเก่งที่เเม้จะเหลือตาเข้างเดียวแต่ก็ฉวยเอาเอกสารสรุปโครงการออกมาได้เร็วเหลือหลาย

“แปดร้อยครับ เดี๋ยวพุกกลับเลยดีกว่าถ้าถอดเลนส์ออกหมดน่ากลัวจะกลับไม่ถึงคอนโด”

หนูพุกหัวเราะ มองเจ้านายพลางคิดถึงน้ำใจเจ้านาย ขนาดถอยรถให้กับคนที่จงใจถอยไม่ได้ยังทำให้… การดูเเลลูกน้องที่สายตาสั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าเเรงเท่าไหร่หรอก

“แล้วเรากลับยังไง” เขาถามย้ำ เดินเข้ามาใกล้ ดูท่าจะลืมความสำคัญของไอ้เเฟ้มในมือไปเเล้ว

“ก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ ต่อรถไฟฟ้าแล้วเดินต่อเข้าซอยครับ” คีรินทร์ซักต่ออีกหลายคำถึงที่หมายปลายทางของหนูพุก เขาพยักหน้าก่อนจะอาสาเป็นคนไปส่งเองในที่สุด

“ไปถอดออกเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง”

“รบกวนด้วยนะครับ” หนูพุกยิ้มอ่อนหวาน ตรงกลับห้องน้ำไปถอดเลนส์เจ้าปัญหาออก

และในที่สุด… เขาก็มองแทบไม่เห็นโดยสมบูรณ์

ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นภาพโบเก้ไปทั้งหมด ชายหนุ่มอาศัยความเคยชินคลำทางออกไปที่โต๊ะทำงาน ท่าทางงุ่มง่ามอย่างที่ไม่มีใครเคยมีโอกาสได้เห็นนอกจากมารดา

“โห ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย” คีรินทร์เก็บของเสร็จเเล้วเขายัดงานลงกระเป๋าสะพายหลังกะว่าเอาไว้ทำต่อที่บ้าน

“ก็แบบนี้เเหละครับ” คุณเลขาหัวเราะเเห้งรับกระเป๋าของตัวเองจากเจ้านาย แล้วค่อย ๆ คลำทางเดินต่อไปกระทั่งถึงด่านวัดใจ

...เชิงบันได...

“ลงไหวไหม”

“อาจจะต้องให้พี่ภูช่วยนิดหน่อยครับ” หนูพุกคลำหาเเขนเจ้านาย เอ่ยปากขอให้เขาช่วยเป็นหลักในการเดิน

“หนูพุกมองเห็นเเค่ไหนเนี่ย” คนสายตาดีขมวดคิ้วกับท่าทางเหล่านั้น คนสายตาสั้นมาก ๆ นี่ลำบากน่าดูเลยเเฮะ

“ก็.. ประมาณเกือบ ๆ สองฝ่ามือครับ” ภูกลืนน้ำลายหลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ถ้าปล่อยให้เดินเองคงไม่พ้นจะตกลงมาเเข้งหาหักสิไม่ว่า

“เอาแบบนี้ดีกว่า ขึ้นหลังพี่เถอะ” เจ้านายไม่ได้คิดอะไรมากเกินไปกว่าเพื่อให้การลงบันไดคราวนี้สะดวกง่ายดายจึงปลดเอาเป้สะพายบ่าลง

“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะครับ” หนูพุกได้เเต่เกร็ง คิดแค่ว่าเขาคงจะให้จับตัวเป็นหลักเดิน ไม่นึกเลยว่าจะมาไกลขนาดนี้ พยายามจะเม้มริมฝีปากสะกดกลั้นรอยยิ้มที่มันจะผุดขึ้นมาอย่างไม่รักษาหน้ากัน

คีรินทร์จัดการเอากระเป๋าสะพายของตัวเองเเขวนไว้บนหลังลูกน้อง เเล้วจึงย่อตัวลงให้หนูพุกพาดเเขนทั้งสองขึ้นมาบนไหล่ สองแขนเเข็งเเรงกระชับปลีน่องเรียวใต้กางเกงทำงานเพื่อความมั่นคงในการเเบกก้อนน้ำหนักห้าสิบกว่ากิโลกรัมลงบันได
   
   ชายหนุ่มบนเเผ่นหลังกว้างก้มหน้าลง พยายามหยุดยิ้มอย่างสุดความสามารถ แต่ยิ่งก้มหน้าก็ยิ่งรู้สึกว่านั่นเป็นความผิดพลาดรุนเเรง กลิ่นสะอาดเเละหอมเย็นจากโคโลญจน์ของอีกฝ่ายลอยขึ้นเรี่ยปลายจมูก เขาไม่แน่ใจว่าอุปทานไปเองหรือไม่ ในทุกจังหวะที่ร่างสูงใหญ่ก้าวลงบันได กลิ่นเหล่านั้นก็เหมือนจะแผ่กระจายขึ้นล้อมรอบตัว

   ...แบบนี้ดีชะมัดเลย...

น่าเสียดายเหลือเกินคนหนึ่งไม่ได้คิดอะไร แต่อีกคนใจเต้นตึกตักเหมือนจะเป็นโรคหัวใจวายให้ได้

ตลอดชีวิตหนูพุกไม่เคยสาปส่งหัวใจไม่รักดีของตัวเองขนาดนี้ มันเต้นทั้งถี่ทั้งดัง ยิ่งพอได้ใกล้ชิดจนกายแนบกันก็กลัวเหลือเกินว่าเขาจะได้ยิน

...หัวใจสองดวงห่างกันแค่เพียงแผ่นหลังกั้นเท่านั้นเอง...

ปลายเท้าในรองเท้าผ้าใบหยุดลงเมื่อถึงชั้นหนึ่ง ช่วงเวลาเเห่งความสุขราวกับย้อนไปในวารวันก็หยุดตาม สองแขนเรียวละมือออกจากเจ้านายหากอีกฝ่ายกลับออกเดินต่อไป

“ชั้นล่างแล้วครับพี่ภู”

“พี่ว่าเเบบนี้น่าจะสะดวกกว่านะ” ดวงตาเรียวสีดำทอดมองเงาของอีกคนที่มีเขาอยู่บนหลังที่สะท้อนเลือนรางบนผนังกระจกในช่วงที่คีรินทร์เดินผ่าน

อยากอยู่แบบนี้ตลอดไปเลยแฮะ

ภูเเบกคนตัวเบาหวิวเดินไล่ปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างทุกวันที่เขามักจะออกจากที่ทำงานเป็นคนสุดท้าย จัดการตรวจดูกล้องวงจรปิดเเละสัญญาณกันขโมยว่ายังมีไฟฟ้าจ่ายถึงอยู่ตลอดเวลาก่อนจะปิดล็อกบริษัท

เสียงปลดล็อคอัตโนมัติของรถยนต์ตันโตดังขึ้น คราวนี้แลนด์โรเวอร์สีดำถูกทำความสะอาดมาจนมันวับภายในหอมสะอาดปราศจากกลิ่นดินด้วยสเปรย์ปรับอากาศที่คงฉีดไว้ก่อนหน้านี้

คนตัวสูงโย่งค่อย ๆ ปล่อยเลขาส่วนตัวลงบนพื้นเเล้วตวัดตัวอีกฝ่ายขึ้นอุ้มวางบนเบาะอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายแทบไม่ทันจะอุทานด้วยซ้ำไป

“คอนโดไหนนะ” ภูปิดประตูฝังคนขับลง สตาร์ทเครื่องเเล้วตั้งจีพีเอส

ที่หมายปลายทางหลุดออกจากปากหนูพุกเสียงเเผ่ว เขายังใจสั่นกับตัวเองที่ลอยหวืออยู่ในอ้อมเเขนของพี่ภู แม้มันจะเพียงไม่กี่วินาทีก็ตาม

ความเป็นห่วงเป็นใยทั่ว ๆ ไปของอีกฝ่ายคงทำให้หนูพุกเก็บไปหลงละเมอเพ้อพกได้อีกนานพอดู

คงต้องขอบคุณกระเเสละครดังที่ทำเอาถนนที่มักจะเเน่นขนัดในช่วงนี้โล่งไปถนัดตา ไม่กี่นาทีรถยนต์สีดำก็หยุดลงภายในอาณาเขตของตึกสูง

“เอ่อ พี่ภูครับจะเป็นไรไหมถ้าพุกจะรบกวนพี่อีกนิด” หนูพุกยิ้มเเหย แต่เจ้านายส่งเสียงในลำคอตอบรับ มองเห็นได้ใกล้เเค่นั้นไม่สะดุดล้มตั้งแต่ยกพื้นหน้าประตูก็ถือว่าเก่งมากเเล้ว

“ขี่หลังอีกไหม” คีรินทร์ยิ้มมุมปาก มองสีหน้าเหรอหราของคนที่โดนอุ้มลงจากรถเเล้วก็ให้เอ็นดู

“เกรงใจแล้วครับ ขอยืมเเขนก็พอ” มือเรียวเเตะลงบนท่อนเเขนเเข็งเเรงของอีกฝ่าย เเล้วจึงเริ่มออกเดินด้วยความเคยชิน อาจจะต้องระวังคนที่สวนไปตรงหน้าประตูเท่านั้นเอง

ที่สุดเเล้วทั้งคู่ก็หยุดลงหน้าประตูห้องริมสุดในชั้นสิบสอง หนูพุกเปิดเข้าห้องเเละปล่อยเเขนอีกฝ่าย เชิญอีกคนเข้าห้องก่อนจะเดินเหินได้ปกติด้วยความเคยเชิน

“พี่ภูนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพุกเข้าไปหาเเว่นแป๊บนึง”

มือเรียวตบเปิดสวิตช์ไฟสว่างไปทั้งห้อง ความมืดมิดเบื้องหน้าเรื่อเรืองขึ้นเผยให้เห็นห้องพักอาศัยขนาดกะทัดรัด ดูแล้วน่าจะถูกตกแต่งใหม่ให้ภายในกลายเป็นสีขาวนวลกอรปกับติดเฟอร์นิเจอร์บิล์ดอินเเบบไม้เทียมสีน้ำตาลอ่อนให้คนมองชื่นชมในใจว่าดูอบอุ่นคล้าย ๆ บ้านญี่ปุ่น

ยิ่งเห็นความสะอาดเรียบร้อยในห้องพักเเล้วก็ไม่ค่อยสงสัยถึงอุปนิสัยที่จะต้องเก็บงานทุกชิ้นให้ละเอียดรอบคอบ คีรินทร์หย่อนตัวลงที่โซฟาผ้านุ่ม ๆ รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้นยามสายตาสบเข้ากับบรรดาเเฟ้มที่เจ้าของห้องยกกลับมานั่งทำสรุปอยู่คนเดียวบนโต๊ะหน้าทีวีที่ยังคงวางทิ้งไว้เเม้ว่าจะเก็บมันจะเรียบร้อยก็ตาม

พรมนุ่ม ๆ สีควันบุหรี่ทำให้รู้สึกสบายเท้า เขาเห็นปลั็กพ่วงที่วางมัดไว้บนชั้นเก็บของใกล้ ๆ กันกับกองเอกสารแล้วก็พอเดากิจวัตรของเจ้าของห้องได้ คงชอบนั่งทำงานบนพื้นเเล้วดูโทรทัศน์ไปด้วยแน่ ๆ

เขาเปิดดูเอกสารที่หนูพุกเอากลับมาด้วยเเล้วก็อดรู้สึกทึ่งไมได้ อีกฝ่ายเอาโปรเจ็กต์หกเจ็ดโครงการที่เขาเเจกให้สถาปนิกเเต่ละทีมมานั่งอ่านเเล้วทำสรุป มีสมุดเล่มน้อยที่โน้ตคำศัพท์เฉพาะทางสถาปัตยกรรมที่คนนอกมักจะไม่เข้าใจกับความหมายจดเอาไว้ด้วย

...หนูน้อยบ้างาน ทำขนาดนี้กะเอาโบนัสสักกี่เดือนกัน…

เขาเก็บเอาทุกอย่างกลับไปที่เดิม พร้อมกันนั้นเสียงตึงตังเหมือนของหล่นก็ดังออกมาจากส่วนของห้องนอนที่กั้นไว้

“โอ๊ย”

“หนูพุก เป็นอะไรไหม” ภูถือวิสาสะเปิดบานเลื่อนเเละแหวกผ้าม่านสีเข้มออก โต๊ะทำงานของหนูพุกถูกตั้งไว้ในห้องนอน มันมีคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่เเละสารพัดหนังสือของหนอนหนังสือที่ล้นออกมาจากชั้นข้างผนังตั้งอยู่ด้วย

“โอเคเเล้วครับ” คนตัวเล็กกว่ากระโดดเหยงหน้าดำหน้าเเดงเพราะเจ็บเท้า
“เป็นอะไรไป”

“พุกหาเเว่นไม่เจอครับ เลยปัดมือไปโดนของตกลงมาทับเท้า” คนพูดไปกัดฟันไปแถมยังเผลอน้ำตาคลอด้วยก็ถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน

“เดี๋ยวพี่ดูให้” อึดใจเดียวเเว่นตาทรงกลมโตก็ถูกคว้าขึ้นมาจากระหว่างกองหนังสือสองตั้ง คงจะตกลงไปเจ้าของถึงหาไม่เจอ

“อันนี้ใช่ไหม” คีรินทร์ส่งเเว่นเจ้าปัญหาให้เลขา และแล้วหนูสี่ตาก็ถือกำเนิดขึ้น ภาพโบเก้ชวนหงุดหงิดมลายหายไปกลายเป็นภาพคมชัดใสปิ๊ง

“ขอบคุณครับ” หนูพุกเขยิบลงมานั่งลงที่พื้นเสมอเจ้านาย เก็บหนังสือขึ้นเรียงเป็นตั้งและหยิบเอาที่ทับกระดาษอลูมิเนียมรมดำซึ่งเป็นต้นเหตุให้เจ็บตัวขึ้นตั้งไว้ที่เดิม

“ห้อเลือดเลย หาหมอไหม” ภูจ้องมองรอยช้ำสีเเดงเข้มที่อีกเดียวจะคล้ำขึ้นบนนิ้วโป้งเท้าของเจ้าของห้อง ไอ้ที่ร้องโอดโอยเมื่อครู่เขาว่าหนูพุกยังร้องเบาไปด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวประคบเอาก็หาย”

“พรุ่งนี้ใส่ชุดสบายๆไปทำงานก็ได้นะ ไม่ได้มีนัดออกไปที่ไหนนี่”

คำว่าสบาย ๆ ของคีรินทร์นั้นเป็นไปตามความหมาย จำพวกเสื้อยืดกางเกงยีนเขาก็โอเคถ้าไม่ได้มีนัดลูกค้าหรือมีนัดประชุมกับบริษัทอื่น ถึงแม้ว่าจะเคยบอกไปเเล้วแต่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะปฏิบัติตามด้วยเหตุผลว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เนื่องจากหนูพุกเป็นคนสุภาพมากจนออกจะมากไปจนไอ้พวกที่บริษัทได้เเต่มองตาปรอยไม่ค่อยกล้าเล่นหัวด้วย 

“ครับ เอ่อ พี่ภูอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหมเกือบสามทุ่มน่าจะหิวแล้วนะครับ เมื่อเย็นพุกก็ไม่ได้สั่งข้าวไว้ให้” แม้ว่าจะมีเรื่องเจ็บตัว แต่หนูพุกก็ไม่ลังเลที่จะคว้าโอกาส

“พักผ่อนเถอะ พี่ไม่อยากรบกวน” คีรนทร์ลุกขึ้นช่วยพยุงคนเจ็บเท้าขึ้นยืน พากันออกมาจากห้องนอนเล็ก ๆ แต่ท้องไส้เจ้ากรรมดันร้องโครกดังเหมือนพายุจะเข้าก็ไม่ปาน

“กินเถอะครับ ถือว่าอุตส่าห์มาส่งพุก” คนจะกินแห้วฉีกยิ้มทำเป็นไม่ได้ยินเสียงท้องร้องแต่ก็ต้องกลั้นหัวเราะจนไหล่กระเพื่อม จ้องมองอีกฝ่ายที่เสหลบไปมองเครื่องเรือนอย่างสนอกสนใจทั้งที่ใบหูขึ้นสีเเดง

“พุกหิวมากเลยอ่ะ กินอะไรได้บ้างเนี่ย” มือเรียวดันเจ้านายให้นั่งลงกับโซฟา เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้แล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นคุ้ยหาอะไรกุกกักอยู่คนเดียว

“พี่ภู มันมีเหลือเเต่มาม่า... รอไหวไหมเดี๋ยวพุกสั่งขึ้นมา” หนูพุกชะโงกหน้าออกมาจากโซนเเพนทรีขนาดเล็กสะอาดสะอ้านเนื่องจากเจ้าของห้องเเทบไม่เคยทำครัว เห็นพี่ภูกำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์อย่างจริงจัง

“กินมาม่าก็ได้ อย่าลำบากเลย” ทัชโฟนถูกเสียบกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นมาทำตัวมีประโยชน์บ้าง

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม” หนูพุกเกือบอ้าปากค้าง นึกไม่ออกว่ากับไอ้เเค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี่มันมีอะไรต้องช่วย

“เอ้อ งั้นพี่ภูแกะซองเเล้วกันครับ เดี๋ยวพุกตั้งน้ำก่อน” หนูพุกโกยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แทบไม่ซ้ำรสมาให้เขาเลือก เเถมไข่ในไก่สดที่มีติดก้นเเพคพลาสติกอีกสามฟองออกมาตั้ง

“พี่ทำเอง หนูพุกไปนั่งเถอะ”

“ได้ยังไง พี่เป็นเเขกนะ” คีรินทร์ก็เพิ่งจะรู้ว่านอกเวลางานเเล้วหนูตัวนี้ก็เถียงเก่งน่าดู

“ได้สิ พี่เป็นเจ้านาย เจ้านายสั่งเเล้ว” เขายักคิ้ว มองรอยช้ำที่เท้าเเล้วก็ห่วงว่ามันจะระบม

“แต่…”

“เดี๋ยวเท้าเจ็บกว่าเดิมนะ” ตาดำกลมใหญ่มองดวงตาเรียวของหนูจิ๋วผู้กำลังอ้าปากจะโต้อย่างจริงจัง จนอีกฝ่ายยอมล่าถอยไปในที่สุด

เอาเถอะ… การนั่งมองพี่ภูในครัวของตัวเองก็เป็นกำไรอย่างหนึ่งล่ะน่า

หนูพุกเตรียมชามเละช้อนส้อมเอาไว้ พอพี่ภูเผลอหน่อยเขาก็มุดเข้าไปเอาลูกพลับที่หม่าม้าซื้อมาติดไว้ให้ออกมาปอก มีของคาวเเล้วก็ต้องมีของหวานจะได้ครบคอร์ส

“เสร็จเเล้วครับคุณหนูพุก มาชิมฝีมือเชฟภูได้” พอเขาเรียกหนูพุกก็จัดการผลไม้เสร็จพอดี

“พรีเซนต์เมนูหน่อยครับเชฟ” หนูพุกเล่นกับเขาด้วยในขณะที่มือกำลังรินน้ำตั้งลงบนโต๊ะ


“เป็นมาม่ารวมสูตรพิเศษครับ ประกอบไปด้วยมาม่ารสหมูสับหนึ่งสอง รสเย็นตาโฟหนึ่งซอง แล้วก็รสต้มยำกุ้งน้ำข้นอีกหนึ่งซอง ท็อปด้วยไข่ตีให้เข้ากันเเล้วต้มจนสุกเป็นสีเหลืองหอม” เสียงทุ้มเอ่ยยืดยาว เป็นจริงเป็นจังยิ่งกว่าเชฟมืออาชีพที่พรีเซนท์อาหารเเบบไฟน์ไดน์นิ่งเสียอีก

ยิ่งเห็นโหมดเเบบนี้หนูพุกยิ่งใจหวิว ทำไมพี่ภูน่ารักได้ขนาดนี้วะ

“รวมรสเเบบนี้ผมไม่ท้องเสียเเน่นะครับเชฟ” หนูพุกเเสร้งทำเสียงปรามาสรู้แก่ใจว่ากินเข้าไปยังไงก็รอด มองดี ๆ มันก็คือผงชูรสกับผงชูรสเท่านั้นเเหละ

“นี่เมนูเด็ดผมตอนเรียนมหา’ลัยนะครับคุณหนูพุก” พี่ภูยังคุยไม่เลิก รอให้อีกฝ่ายชิมคำเเรกเสียก่อน

“อร่อยจริงด้วยอ่ะ” ตาเรียวรีเบิกกว้างอย่างอัศจรรย์ใจ ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่ามันอร่อยจริง ๆ หรือว่าอร่อยเพราะหิวกันเเน่ก็เถอะ

“เห็นไหมล่ะ” คนทำยิ้มกว้าง ตักเส้นบะหมี่รวมรสเข้าปากบ้าง

หัวข้อการสนทนาที่เคยมีเเต่เรื่องงานเปลี่ยนเป็นเรื่องวิถีชีวิตทั่วไป อีกมุมหนึ่งของคีรินทร์ทำให้หนุพุกใจฟูฟ่อง กิจวัตรของหนูพุกกับเขาไม่ต่างกันมาก งานอดิเรกหนีไม่พ้นชายคาบ้านกันทั้งคู่

“ขอบคุณสำหรับมื้อดึกนะ”

พี่ภูยิ้มกว้าง สอดเท้าลงไปในรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง เดินออกไปพร้อมกับเจ้าของที่พัก หนูพุกมองกระทั่งป้ายทะเบียนของเเลนด์โรเวอร์คันนั้นลับตาไปถึงจะกลับขึ้นห้อง กดโทรศัพท์เเจ้งความคืบหน้าให้เพื่อนสาวฟังอย่างละเอียด กว่าอีกคนจะตอบก็คงวันรุ่งขึ้นเนื่องจากตอนนี้เมษาคงบินอยู่เเถว ๆ ยุโรป

------------------------------------------------
มีต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #14 เมื่อ19-06-2018 22:47:27 »

   
   วันนี้ทั้งวันมีแต่คนเข้ามาทักทายเลขาคุณภูเนื่องจากภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนเเปลงไป หนูพุกแต่งตัว ‘สบาย ๆ’ อย่างที่เจ้านายบอกไม่ผิดเพี้ยนรองเท้าหนังที่มักจะถูกจัดจนมันปลาบเปลี่ยนเป็นรองเท้าเเตะเเบบสวมเผยให้เห็นปลายเท้าสะอาดสะอ้านแม้จะมีตำหนิเป็นรอยสีม่วงเข้มวงใหญ่ที่ข้อนิ้วโป้งเท้าก็ตาม

   “โห คุณหนูพุกหรอครับนึกว่าเด็กฝึกงานนะเนี่ย” สถาปนิกวัยใกล้เคียงกันเเวะทักทายเขาขณะที่กำลังจะเข้าพบเจ้านาย ทั้งเสื้อผ้าฝ้ายเเขนยาวคอวีตัวโคร่งและแว่นตาทรงกลมที่ถูกสวมเเทนคอนเเทคเลนส์เพราะตาเจ็บ

   ...มองยังไงก็ดูเด็กลงไปเเยะเลย...

   “ชมแบบนี้ได้รางวัลเป็นเข้าพบพี่ภูฟรีเลยครับ” หนูพุกยิ้มกว้างแต่อีกฝ่ายร้องอู้ คีรินทร์เป็นเจ้านายที่สบาย ๆ ก็จริงอยู่แต่อะไรที่ผิดพลาดหรือเกินขอบเขตไปก็โดนซัดไม่เลี้ยงได้เหมือนกัน

   นอกจากจะเคลียร์เอกสาร จัดตางรางสารพัดเเล้ว ในช่วงเวลาที่คีรินทร์ประชุมทีมหนูพุกก็ยังสามารถสั่งงานเเทนคีรินทร์ได้บางส่วนเเล้วด้วยถือเป็นการช่วยกันลดภาระ

   “ครับ เดี๋ยวยังไงพุกบอกพี่ภูให้นะ อีกห้านาทีเดี๋ยวพุกโทรกลับนะครับ” วางสายปุ๊บ สถาปนิกคนเมื่อครูก็ออกมาปั๊บ หนูพุกเลยเดินสวนเข้าไปเกือบจะทันที

   “พี่ภูครับ เคสบ้านคุณเอมมีปัญหา… ผู้รับเหมาเขาเอาต้นไม้มาลงให้ผิดแล้วเเบบก็คลาดเคลื่อนไปค่อนข้างเยอะ สถาปนิกเข้าไปดูมาเเล้วคุณเอมโวยหนักมาก ส่วนผู้รับเหมาก็ปิดจ๊อบกลับไปเเล้วด้วยครับ”

คนฟังหลังเก้าอี้ถอนหายใจเฮือก เนื่องจากช่วงนี้เขากำลังเปลี่ยนผู้รับเหมาเนื่องจากพบว่ารายเดิมมีการกินนอกกินในวัสดุก็ไม่ได้ตามคุณภาพ จึงจ้างผู้รับเหมาชั่วคราวมาทำไปก่อน ไม่นึกว่ามันจะชุ่ยจนเกินรับมือขนาดนี้ มือใหญ่กดโทรศัพท์หาลูกน้อง ขอพูดสายโดยตรงกับเจ้าของบ้านที่โวยวายว่าสวนที่จ้างออกเเบบไม่ใช่บาทสองบาทเสียเมื่อไหร่

“ผมเห็นเเล้วครับ เดี๋ยวยังไงผมกับทีมจะเข้าไปแก้ไขให้ครับ... ครับ… เสร็จภายในวันนี้เเน่นอนครับ”

กว่าอีกฝ่ายจะวางสายคีรินทร์ก็เเทบจะประสาทกิน เขาสั่งหนูพุกให้ติดต่อผู้รับเหมาเเต่อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงซ้ำเเล้วซ้ำเล่า อ้างว่ามีคิวอื่นต้องดูเเลทำให้กลับไปที่ไซต์ไม่ได้ในตอนนี้ 
   
   “ส่งเคสผู้รับเหมาให้เต้ยไปจัดการเลย ส่วนหนูพุกติดต่อร้านต้นไม้ให้หน่อย ให้เขาจัดไว้ตามนี้แล้วเอาไปส่งที่บ้านคุณเอม อ้อ โทรบอกเจ้าของเคสว่าให้รื้อต้นไม้รอเลยขอพี่เคลียร์งานแป๊บเดียว”
   
   หนูพุกจัดการทุกอย่างตามที่คีรินทร์สั่งเสร็จสิ้นในห้านาที จัดการงานของตัวเองให้เรียบร้อย โชคดีที่ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วนมากมาย เตรียมตัวออกไปพร้อมกับคีรินทร์เเละเเจ้งสถาปนิกที่ยังไม่ได้ติดเคสเร่งด่วนอีกสามสี่คนให้ออกไปพร้อมกัน

   รถยนต์คันใหญ่ดับลงในเขตหมู่บ้านจัดสรรราคาเเพงในย่านรามอินทรา โครงการนี้หนูพุกก็เคยเข้าประชุมด้วยจึงพอจะเข้าใจคอนเซปต์และสิ่งที่ควรจะออกมา แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้านี่มันออกจะไม่ใกล้เเละไม่ใช่สวนสไตล์อังกฤษแบบที่ตกลงกันไว้เลยด้วยซ้ำ

   สอบถามกันกับคนต้นเรื่องเเล้วก็ได้ความว่าผู้รับเหมามันทำงานประเภทสุกเอาเผากิน หาต้นไม้ตรงตามแบบไม่ได้ก็สุ่มๆเลือกที่ใกล้เคียงกันมาแต่การกะสเกลดูขี้ริ้วขี่เหร่จนทุกคนที่มาต่างก็หัวเสียพอกัน

   “โชคดีนะ ตรงบริเวณที่ก่อปูนเราเข้ามาคุมด้วย ไม่งั้นเละน่าดู”

เจ้าของโปรเจ็กต์สูดหายใจเขาลึก นึกโมโหจนอยากจะร้องไห้ ด้วยงานออกเเบบสวนไม่ได้เป็นเพียงแต่การวางต้นไม้ลงไป หากเป็นการจุดมุมมองทางทัศนียภาพให้สวยงาม น่าพึงพอใจเเละตอบสนองการใช้สอยอย่างถึงขีดสุด
   
   “ใจเย็น ๆ นะครับ เดี๋ยวพุกช่วยนะ” หนูพุกเข้าไปหาคนที่สภาพจิตใจเเย่ที่สุด ดูเเล้วสถาปนิกจบใหม่คนนี้คงถูกเจ้าของบ้านดุไปหลายขนาน คงจะกลัวไม่น้อยสุดท้ายคนรับหน้าก็ยังเป็นคุณภู แถมยังต้องรบกวนรุ่นพี่ที่บริษัทให้ยกโขยงกันมาอีก

   “ขอบคุณนะครับ” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนเลขาเจ้านายเป็นพระมาโปรด หนูพุกไม่ค่อยเเน่ใจนักว่าตัวเองจะทำอะไรได้ แต่ก็พับเเขนเสื้อขึ้นยกเอาต้นไม้ผิดเเบบเหล่านั้นที่ถูกรื้อออกมาเเล้วออกไป
   
   “หนุพุกเดี๋ยวเอาเกล็ดเเก้วไปลงตรงโน้นนะ” พี่ภูก้ม ๆ เงย ๆ ดูเเลต้นไทรเกาหลีเอ่ยปาก ชี้นิ้วไปฝั่งตรงข้ามที่เอาต้นไม้เดิมออกหมดเเล้ว
   
   “พี่ภูครับ น้ำ” หนูพุกส่งขวดน้ำของตัวเองให้เขา อีกฝ่ายกระดกอั้ก ๆ ก่อนจะคืนขวดเปล่ามาให้ ตลอดบ่ายวันนั้นหนูพุกเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ไปตามคำบอกของสถาปนิกแต่ละคน
   
   จัดสวนครั้งเดียวรู้จักต้นไม้ไปเป็นสิบต้น เรียนรู้แบบแอคทีฟดีเหลือเกิน ปลายเเขนเสื้อที่หนูพุกพยายามทั้งม้วนทั้งพับหล่นลงมาเรี่ยข้อมือเป็นรอบที่ล้านจนน่าโมโห ทั้งที่มือเขาก็เลอะเเบบนี้จะเอาที่ไหนไปนั่งมัวน ไม่น่าใส่ตัวนี้ออกมาเลย!

   กว่าสวนจะออกมาตรงตามเเบบเเละเป็นไปตามมาตรฐานของบริษัททุกคนก็หอบเเฮ่ก และพระอาทิตย์ก็คล้อยลงเเล้ว เจ้าของบ้านดูสบายใจไม่บ่นไฟแล่บเท่าตอนเเรก พวกเขาจึงได้น้ำหวานเเดงชงใหม่เป็นรางวัลกันคนละเเก้วสองเเก้ว

   “เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว จะอยู่กินกันก่อนไหมหรือจะกินพรุ่งนี้” คีรินทร์เอ่ยขึ้น ในห้องโดยสารมีเเต่คนที่ง่อยเปลี้ยเพลียเเรง เสียงส่วนใหญ่สรุปว่าขอเป็นวันพรุ่งนี้เนื่องจากต้องการกลับไปอาบน้ำเพราะเหงื่อท่วมจนเหม็นตัวเองกันเต็มเเก่

“พี่ภูหิวมากรึเปล่าครับ เดี๋ยวพุกโทรสั่งให้เขามาส่งไว้ที่ออฟฟิศก่อน”

“รู้ได้ยังไงว่าพี่หิว” ภูมองคุณเลขาที่นั่งคู่กัน พนักงานบางคนพอโดนเเอร์เย็นหน่อยก็ตาปิดกันเป็นเเถบ ถึงจะเกรงใจเจ้านายที่ขับรถให้ แต่ก็ง่วงมากกว่าสภาพจึงออกมาน่าดูชมกันเหลือเกิน

“เพราะพุกเก่งครับ”  หนูพุกเลิกคิ้วเลียนเเบบเขาบ้าง ใช้แรงไปขนาดนั้นให้บอกว่าอิ่มต่อให้เป็นเด็กห้าขวบก็ไม่เชื่อ นิ้วเรียวกดโทรศัพท์หาเบอร์ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำหลังจากเจ้านายเอ่ยปากแล้วว่าอยากจะกินอะไร

“พี่ภู เขาบอกกุ้งหมดอ่ะ” หนูพุกว่า เมนูกะเพรากุ้งพิเศษของคีรินทร์เป็นอันถูกปัดตกไป

“เอาเเขนงหมูกรอบก็ได้” หนูพุกสั่งอาหารเเล้ว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินคนข้าง ๆ งอเเงเหมือนเด็ก ๆ “อยากกินกะเพรากุ้งอ่ะ”

เย็นวันนั้นหนูพุกรีบกลับคอนโด เจ้านายไม่ได้มาส่งเขาอีกเนื่องจากมีงานต้องทำต่อเเละทางกลับคอนโดของอีกฝ่ายก็อยู่กันคนละทิศ เขาที่ตัวหอมฉุยแล้วจึงออกมาเดินซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ที่พัก เลือกของใช้ลงตะกร้าแล้วก็หยุดลงในเเผนกของสด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหามารดาซึ่งมักจะคุยกันผ่านไลน์มากกว่า แต่เรื่องบางเรื่องคุยกันผ่านตัวอักษรมันก็ไม่ค่อยชัดเจน

“หม่าม้า… ผัดกะเพรากุ้งนี่มันทำยังไงหรือ...”

-----------------------------------------------------------------------------------

โบราณว่าจะออกเรือนต้องมีสเน่ห์ปลายจวักนะคะ ใช้จวักตักพี่ภูมาให้ได้นะหนูพุกกกก 55555  :-[ :-[

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2018 22:50:43 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Khunkwanz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #15 เมื่อ19-06-2018 23:29:55 »

พี่ภูน่ารักกกกกกกกกกกกก อยากต่ออ่ะอิ้ง  :mew1:

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #16 เมื่อ20-06-2018 01:39:06 »

ฮืมมมมมมมม น่ารักมากเลยค่ะ ติดตามๆๆๆๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #17 เมื่อ20-06-2018 07:38:57 »

หนูพุกน่ารักกกกกก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #18 เมื่อ20-06-2018 11:37:31 »

 :L2:  :pig4: :L1:

น้องน่ารัก

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #19 เมื่อ20-06-2018 17:51:20 »

ทั้งพี่ภู ทั้งหนูพุกน่ารักทั้งคู่เลยอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
« ตอบ #19 เมื่อ: 20-06-2018 17:51:20 »





ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #20 เมื่อ20-06-2018 21:33:09 »

ติดตามจ้า.  น่ารักมากกกก

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #21 เมื่อ22-06-2018 13:35:31 »

น้องพุกหนูน่ารักมากลูก

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: " พิชิตภู " : Chapter 3 --- [ 19.06.2018 ]
«ตอบ #22 เมื่อ22-06-2018 21:33:50 »

ฮรืออ หนูพุกไทป์ลูกมาก น่ารักน่าบีบ น่าเอ็นดูขนาดนี้พิชิตภูได้แน่นอนน 555

ออฟไลน์ Miss Midnight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
" พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #23 เมื่อ23-06-2018 07:52:23 »

Chapter 4

   วันนี้หนูพุกเองก็ไม่ได้ต้องออกไปประชุมที่ไหน จึงถือวิสาสะแต่งตัวสบาย ๆ อีกวัน ชายหนุ่มส่องกระจกหนเเล้วหนเล่า ตลอดสัปดาห์นี้คงจะไม่ได้ใส่คอนเเทคเลนส์เนื่องจากยังรู้สึกเคืองตาอยู่บ้าง รองเท้าเเบบสวมก็เปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สสีขาวดูอมฝุ่นนิดหน่อยเพราะเจ็บเท้าน้อยลงเเล้ว กางเกงสกินนี่เเละเสื้อยืดสีขาวทับดูเสื้อเชิ้ตเนื้อหนาสีฟ้าอ่อน

หนูพุกยิ้มให้ตัวเองในกระจกอีกหน เรียกความมั่นใจเหมือนสมัยสอบไฟนอลไม่มีผิดแต่คราวนี้ไม่ใช่ เขาเพียงเเต่คำนึงถึงผัดกะเพรากุ้งที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องข้าว

หนูพุกไม่ได้คาดหวังให้มันอร่อยเหมือนร้านอาหารดัง แต่ก็หวังว่ามันน่าจะพอกินได้ อย่างพี่ภูชอบกินรสจัด เขาก็ตบพริกเพิ่มเเละใส่น้ำปลามากกว่าที่หม่าม้าบอกสักหน่อย

...กินกับข้าวแล้วมันก็น่าจะพอดีกัน...

ตอนเเรกหนูพุกกะว่าจะจัดให้เขาเป็นมื้อเช้าเเต่อีกฝ่ายโทรมาบอกว่าจะเข้าสายจึงต้องยกยอดไปเป็นมื้อกลางวัน วันนี้หนูพุกเข้าประชุมเเทนคีรินทร์เรื่องผู้รับเหมา ยิ่งนั่งในห้องก็ยิ่งหนาว เเทบไม่เชื่อสายตาเลยว่าคนที่มักจะมีรอยยิ้มประดับหน้าแผ่ออร่าใจดีจะเเปลงร่างกินหัวผู้รับเหมาหัวหมอจนหงอยไปตาม ๆ กัน

พี่เต้ยเป็นสถาปนิกที่คุมทีมเก่งมาก อีกทั้งงานบัญชีก็เนี้ยบมากด้วยแม้ว่าจะมีการจ้างพนักงานบัญชีประจำเเละจ้างผู้ตรวจสอบให้ทำการตรวจสอบอยู่ปีละหน ลีลาการต่อรองอันเกือบจะเรียกได้ว่า ‘หักคอ’ เรื่องค่าใช้จ่ายและเรื่องสัญญารับเหมางานเมื่อวานทำให้หนูพุกเเอบกลืนน้ำลาย

ไอ้ท่าทีเย็น ๆ ไม่มีขึ้นเสียงเเต่คู่สนทนากลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนลากขึ้นเขียงแบบนั้น

…สรุปเเล้วว่าอย่าเล่นตุกติกให้พี่เต้ยโกรธจะดีกว่า...

“วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือหนูพุก” เต้ยเปิดตู้เย็น หาขนมที่เขามักจะนำมาเเช่ไว้ฝั่งข้างประตูไปด้วย

“เดี๋ยวออกไปสตูดิโอกับพี่ภูตอนบ่ายสามครับ พี่เต้ยกินข้าวเลยไหม” หนูพุกหันมาถามขณะที่กำลังจัดข้าวให้เจ้านายในห้องครัวพนักงาน คีรินทร์เพิ่งจะโทรมาบอกเดี๋ยวนี่เองว่าเขาอยู่หน้าปากซอยแล้วเเละหิวมาก

“จัดเลยก็ได้ พี่ออกไปคุยงานแล้วกลับมา” เลขาหนุ่มยิ้มบางกับคนที่อยู่ไม่นิ่ง เดินถือช็อกโกเเล็ตไปข้างบนด้วย ยกโทรศัพท์กดสั่งอาหารร้านหน้าปากซอยแล้วจะมีเด็กเดินเข้ามาส่งแบบที่มักจะเป็นอยู่เสมอ

   กล่องบรรจุอาหารสีเขียวอ่อนของหนูพุกถูกแกะวางลงบนโต๊ะพร้อมกับข้าวสวยจากร้านสะดวกซื้อสองกล่องก็กำลังถูกอุ่นร้อนอยู่ในไมโครเวฟ หนูพุกยิ้มน้อย ๆ เเละสบตากองทัพกุ้งในกล่องอย่างคาดหวัง พวกมันถูกปอกเปลือก ผ่าหลังเเละดึงหางออกหมดอย่างที่หม่าม้ามักจะทำให้กิน

   ‘สวยน้อยหน่อยแต่คนกินกินง่าย’ หนูพุกทำตามคำบอกของมารดาอย่างเคร่งครัดเเม้ว่าเจ้ากุ้งตัวลื่นจะตำปลายนิ้วให้ได้เจ็บไปหลายทีในคราเเรกก็ตาม

“พี่เต้ยรอก่อนนะครับ เดี๋ยวร้านมาเเล้ว” คนที่ดูตัวผอมบางเข้าไปอีกเมื่ออยู่ในเสื้อทับตัวโคร่งไม่ได้หันหน้ามา ยังคงสาละวนกับการเทข้าวสองถ้วยลงจาน

“พี่เอง… เฮ้ย กระเพรากุ้ง!” ภูชะโงกหน้ามามองบนโต๊ะอาหารเเล้วก็ยิ้มได้ ไม่ว่าอะไรก็ตามถ้าเขาบอกว่าต้องการ ต่อให้หนูพุกหามันมาให้เขาไม่ได้ในตอนนั้น แต่อีกวันมันก็จะโผล่มาจนได้

เอาไว้ผ่านโปรเเล้วขึ้นเงินเดือนอีกหน่อยหวังว่าไอ้เต้ยคงไม่ดึงหูเขาจนยานนะ

“ร้านไหนหรือหนูพุก มีใส่ทัปเปอร์เเวร์ด้วย” คนช่างสังเกตนั่งลงมองกล่องพลาสติกสีเขียวอ่อน ยกมันขึ้นพิจารณาด้วยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมีร้านผูกปิ่นโตอยู่อีกหรือ

“อ๋อ พุกทำเองครับ เห็นพี่ภูพูดเมื่อวานเลยอยากกินเหมือนกัน”คนพูดทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องสามัญเสียเต็มประดา แถมยังเดินออกไปเอาข้าวกล่องจากเด็กที่มาส่งหน้าตาเฉย

คีรินทร์ไม่มีทางรู้เลยว่าหัวใจคนทำมันเต้นรัวยิ่งกว่าเสียงกลองสะบัดชัยก่อนรบเสียอีก หนูพุกจ่ายเงินเสร็จสรรพเเล้วก็หิ้วกล่องพลาสติกใสเข้ามาในห้องครัว แกะเอาสุกี้เเห้งของเต้ยและผัดซีอิ๊วของตัวเองลงจาน ขณะที่พี่ภูกินอย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งถือช้อน อีกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย

“เรื่องผู้รับเหมาสรุปว่ายังไงบ้างหนูพุก” คีรินทร์เก็บโทรศัพท์ ใช้ส้อมจิ้มกุ้งเเล้วสะบัดเบา ๆ ทีสองทีถึงจะวางมันลงบนข้าว

“เรื่องที่ทำผิดสัญญาก็ปรับตามนั้นครับ ส่วนเรื่องบิลค่าต้นไม้ที่บวกเกินมาพี่เต้ยบอกว่าจะไม่ฟ้องเเต่ทางนั้นต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งต้นไม้ที่ลงไปกับต้นไม้ที่สั่งผิด ส่วนค่าต้นไม้ที่เราไปซื้อมาเพิ่มฝั่งนั้นก็ต้องจ่ายครับ” หนูพุกนั่งลงฝั่งตรงข้าม ระบายยิ้มตอนอีกฝ่ายชูนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าเยี่ยมเพราะปากยังเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ

โดยธรรมชาติราคาต้นไม้หรือต้นทุนอื่นก็จะถูกบวกไป หาได้ยากที่จะมีใครตรงไปตรงมาเพราะอย่างนั้นจึงต้องยอมปิดตาข้างหนึ่ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นชุ่ยเสียขนาดนี้เต้ยจึงงัดเอาหลักฐานที่อีกฝ่ายบวกค่าใช้จ่ายเกินความจริงเข้ามาตีเเสกหน้า ให้จ่ายเงินค่าปรับจนหลังอาน

“โอ้โห หอมกระเพราออกไปถึงข้างนอก” คนตัวสูงโปร่งเลื่อนประตูกระจกปิด ทำเป็นพูดไปอย่างนั้นเองเมื่อเห็นว่าเพื่อนกินท่าทางดูเอร็ดอร่อย แม้ในความเป็นจริงคีรินทร์จะเป็นพวกกินอะไรก็ดูอร่อยไปเสียทุกอย่างก็เถอะ

“กินมั่ง” ส้อมในชามสุกี้โผมาเสียบกุ้งเข้าปากไปหนึ่งตัว

“เชี่ย… ร้านไหนวะ กินหมดปุ๊บก็หาหมอฟอกไตเลย” เต้ยทำหน้าเหยเก ได้แต่คว้าเเก้วน้ำมาจิบ

“เค็มมากเลยเหรอครับ” คนทำหน้าเสีย เมื่อเช้าต่อนตื่นมาทำเขาก็ว่ากะตวงดีเเล้ว ชิมตอนร้อน ๆ ก็ยังว่ารสอ่อนไปหน่อยจนต้องเติมน้ำปลากับซีอิ๊วขาวเพิ่มเพื่อให้จัดขึ้นเเบบที่พี่ภูชอบ

เอ๊ะ… หรือว่าจะใส่มากไป หลังใส่ก็ไม่ได้ชิมเสียด้วยเพราะกลัวมาทำงานสายเลยรีบตักลงกล่อง

...แย่เเล้ว...

“มาก! พี่ลิ้นพังแล้วหนูพุก” เต้ยบ่นหงุงหงิง ตวัดช้อนตักเอาผักบุ้งผัดเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ

“กับข้าวเขาทำมาให้กินกับข้าว มึงกินเปล่า ๆ มันก็เค็มสิ” พูดไปก็เอาเท้าสะกิดเพื่อนไปด้วย ไม่อยากให้คนทำเสียน้ำใจถึงว่ามันจะเค็มไปหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเสียหายอะไร แค่อาจจะต้องตักข้าวเพิ่มกว่าปกติอีกนิดรสชาติถึงจะพอดีกัน

“พุกขอชิมบ้างครับ” พอหนูพุกยกช้อน เขาก็ตั้งการ์ดด้วยช้อนส้อมเป็นรูปกากบาทอยู่เหนือกล่อง

“ไม่ให้เเล้ว เดี๋ยวหมด”

“โธ่… มันไม่อร่อยก็อย่าไปกินสิครับ เดี๋ยวพุกสั่งให้ใหม่” คุณเลขาวางช้อน ตั้งใจจะยกกล่องข้าวออกเเล้ว แต่อีกฝ่ายเอามือเข้ามารองไว้

“พี่กินได้น่ะ อร่อยเเล้ว ไอ้เต้ยมันลิ้นไม่ถึง” คนโดนพาดพิงเลิกคิ้วกับคำว่าลิ้นไม่ถึง
ไม่ถึงที่ว่าคือไม่ถึงกับลิ้นจระเข้เเบบมันน่ะสิ!

“คือมันก็ไม่ได้เค็มขนาดนั้น พี่ก็พูดไปแบบนั้นเองเเหละ” เต้ยอ้าปากเพราะโดนเพื่อนเหยียบเท้าซ้ำ ดูท่าผัดกะเพรากล่องนี้คงจะมีอะไรเเน่ ๆ

“อย่าโกหกเลยครับ กินอย่างอื่นเถอะนะ” หนูพุกขอร้องจนเสียงอ่อน ความมั่นใจหดหายเข้ากระดองไปหมด
“ทำไมดื้อขนาดนี้ พี่หิวข้าว จะกินต่อเเล้ว” คีรินทร์ขมวดคิ้ว เกร็งข้อมือไม่ให้อีกฝ่ายเอาไปได้

“พี่ภูนั่นเเหละดื้อ ไม่ให้กินเเล้วครับ” หนูพุกไม่ยอมเเพ้ พยายามจะดึงมันกลับมาด้วยความสุภาพ เเต่กล่องเจ้ากรรมดันพลิกจนกระเด็นเข้าเสื้อเจ้านายไปแล้ว

เขาอ้าปากค้าง ผัดกะเพราเค็มก็ส่วนหนึ่ง แล้วนี่ยังมาหกรดเสื้อพี่ภูให้ปวดใจอีก

ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าจะไม่กินเมนูนี้ไปอีกสามเดือน!

สุดท้ายผัดกะเพรากล่องนั้นก็ถึงกาลอวสาน เมื่อกุ้งกว่าครึ่งกล่องหล่นเผละลงบนโต๊ะ คราบสีเข้มกระฉอกลงบนเสื้อเชิ้ตที่ควรจะต้องใส่ไปสัมภาษณ์ หนูพุกอยากจะร้องไห้เหลือเกิน…

“ขอโทษครับ พี่ภูล้างก่อนดีกว่า” แม้จะรู้ว่ามันเเก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เขาก็ยังดึงคนตัวสูงกว่ามาที่ซิงค์ล้างจาน ตาลีตาลานเอากระดาษทิชชูซับคราบเปื้อนบริเวณกลางอกแล้วค่อยใช้น้ำเเตะออกให้

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปซื้อใหม่ด้วยกันนี่ล่ะ” เขาเเตะไหล่หนูพุกแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนหกที่เลอะพี่เต้ยจัดการช่วยทำความสะอาดให้เเล้ว

“งะ… งั้นเดี๋ยวพุกโทรสั่งข้าวให้ใหม่นะครับ” หนูน้อยตาเเดงเเล้ว ชิงชังเวลาที่ตัวเองเงอะงะงุ่มง่ามเหลือทน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่กินต่อ ยังเหลืออีกตั้งเยอะ หนูพุกกินเถอะ เดี๋ยวจะได้ออกไปเร็วหน่อย” เสียงราบเรียบนั้นยิ่งทำให้หนูพุกคอตก ถึงจะตาเเดงแต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด

จากมื้ออาหารที่ควรจะน่าประทับใจกลายเป็นมื้อที่เละเทะที่สุด ราดหน้าหมูนุ่มเจ้าที่ชอบก็ดูเหมือนจะฝืดเฝื่อนขึ้นมา แต่พี่ภูก็ยังคงกินผัดกะเพราเค็มเเสนเค็มนั้นจนกุ้งหมดกล่องโดยปราศจากคำพูด

จากตอนเเรกที่ตั้งใจจะออกเร็วหน่อยเพราะต้องซื้อเสื้อเปลี่ยนก็กลายเป็นว่าคีรินทร์ต้องติดเเหง็กอยู่ในห้องทำงานเพราะประชุมโปรเจ็กต์รีสอร์ทติดพัน หนูพุกจึงถือโอกาสโบกมอเตอร์ไซค์ออกไปที่ถนนใหญ่ โชคไม่ดีที่ร้านเสื้อผ้าใกล้ๆไม่เปิดวันนี้ เขาเลยต้องตระเวนหาสื้อยืดสีขาวไซส์พี่ภูในร้านสะดวกซื้อถึงสามเเห่งกว่าจะได้มา

หนูพุกไม่กล้าพูดอะไรกับคีรินทร์มากตอนเขาประชุมเสร็จเพราะดูท่าเเล้วน่าจะอารมณ์เสียมากพอดู ทำได้เพียงแต่ยื่นเสื้อยืดสีขาวให้เขาเปลี่ยน ขอกุญเเจรถเขามาเปิดเอารองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลมาเปลี่ยนเเทนรองเท้าหนังสีเข้มที่อีกฝ่ายตั้งใจว่าจะใส่ไป สุดท้ายชุดค่อนข้างเป็นทางการที่จะต้องสวมทับด้วยเเจ็คเก็ตสูทสีกรมท่าก็ถูกเปลี่ยนเป็นลุคที่ดูลำลองกว่าเก่าเเต่ก็ไม่ได้ขาดความภูมิฐานไป


“พุกขับให้ไหมครับ” หนูตัวลีบเอ่ยถามเเผ่วเบาพยายามจะทำดีล้างผิดเเต่เจ้านายส่ายหน้า คงจะกลัวหนูพุกเอารถเขาไปเสยท้ายใครเข้าแหง ๆ

“ทวนคำถามสัมภาษณ์ให้พี่ก็พอ”

ตลอดทางหนูพุกจึงได้แต่ถามคำถามที่เคยสกรีนและพิมพ์คำตอบคร่าว ๆ ส่งให้ทีมงานแล้ว เกือบครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็ถึงสตูดิโอเเถว ๆ ถนนพระอาทิตย์ หนูพุกไม่เคยเข้าทำงานในสตูดิโอเเบบนี้มาก่อน เขาเพียงเเต่มานั่งเป็นเพื่อน หรืออีกนัยหนึ่งคือมานั่งเฝ้าในขณะที่พี่ภูเข้าไปในเซ็ทเพื่อถ่ายภาพ

การสัมภาษณ์จะทำทั้งสิ้นสองครั้งเป็นภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษ โดยเเบบภาษาไทยจะเป็นการนั่งพูดคุยเพื่อลงบทสนทนาในคอลัมน์ในนิตยสารเท่านั้น แต่การสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษจะมีเนื้อหาต่างกันนิดหน่อยเเละถูกอัดวีดิโอเพื่อลงบนเว็บไซต์เป็นการทำคอนเท้นท์ภาษาอังกฤษเพื่อตีตลาดคนรุ่นใหม่

หนูพุกปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่ภูเป็นคนควบคุมอารมณ์ได้ดีพอดู เพราะเมื่อถึงเวลางานสวิตช์อารมณ์เสียของเขาก็ถูกปิด เขายิ้มเเย้มทำทุกอย่างตามที่ทีมงานขอได้อย่างสมบูรณ์เเบบทีเดียว จะมีก็เเต่ตอนถ่ายเเบบที่จะดูติดขัดไปบ้างเวลาต้องโพสท์ท่า

...พี่ภูเป็นพวกไม่ชอบกล้อง…

กว่าจะเสร็จก็โพล้เพล้เต็มทีเเล้ว หนูพุกเลยกะว่าจะกลับบ้านเอง ทนไม่ได้หรอกที่จะต้องนั่งเงียบ ๆ ภายในห้องปิดล้อมกับบรรยากาศอึมครึม

“แยกกันเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวพุกกลับเอง พอดีนัดเพื่อนไว้เเถวนี้” คุณเลขายิ้ม แต่คงไม่รู้ตัวว่ามันเเห้งเเล้งพิกล

“กลับดี ๆ ล่ะหนูพุก” คีรินทร์พยักหน้า ยกมือถือขึ้นกดโทรออก มุ่งตรงไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดไว้ริมถนน

หนูพุกหันหลังให้เขา เดินเลาะฟุตปาธไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงสวนสันติชัยปราการ พระอาทิตย์ลับไปเเล้ว เหลือเพียงเเต่สนามหญ้าที่หลงเหลือผู้คนอยู่ไม่เท่าไหร่ เเละเเสงไฟส่องไปตามจุดต่างๆของสวนเเละป้อมพระสุเมรุ

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบ้นม้านั่งว่าง มองผืนน้ำเบื้องหน้าที่มืดสนิท มีแสงไฟจากเรือล่องเเม่น้ำเจ้าพระยาผ่านตาบ้างแต่เขาไม่ได้สนใจมันเท่ากับเสียงคลื่นน้ำที่ซัดเข้ากระเเทกผนังปูน อย่างน้อยหนูพุกก็ควรจะพิจารณาตัวเอง ตั้งเเต่เข้ามาเริ่มงานที่นี่เขาทำอะไรสิ้นคิดไปไม่น้อย มีเเผนจะอ่อยเจ้านายบ้างล่ะ สุดท้ายมันก็จบไม่เป็นท่า ความคาดหวังที่จะได้เห็นรอยยิ้มประทับใจของอีกฝ่ายในวันนี้พังทลายลงเเล้ว

กับแค่คนที่เคยทำให้หนูพุกประทับใจ และประทับใจยิ่งขึ้นในความดีตอนกลับมาเจอกันอีกหนโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นจะรู้ตัวด้วยซ้ำ พอผิดพลาดจนเขาโกรธเข้าหน่อยก็ถึงกับเสียความรู้สึกจนต้องมานั่งอมทุกข์อยู่คนเดียว

...ไม่เข้าท่าเลย...

หนูพุกสะบัดหัวราวกับอากัปนั้นจะช่วยสลัดความกังวลใจออกไปได้ เขาหลับตาลงปล่อยให้กระเเสลมเย็น ๆ พัดเข้าปะทะหน้า หวังว่าอย่างน้อยมันก็จะช่วยเรียกสติและพัดพาเอาความรู้สึกไม่ดีออกไปจนหมด

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้” ดวงตาเรียวรีลืมขึ้นมือได้ยินเสียงทุ้มคุ้นเคยเเละเสียงฝีเท้าหยุดจากด้านหลัง

“อ้าวพี่ภู พุกนึกว่ากลับไปแล้ว” ชายหนุ่มขยับให้เขานั่ง ยิ้มชืด ๆ หลีกเลี่ยงที่จะสบตา ไม่ได้เเก้ตัวเรื่องที่โกหกด้วยซ้ำ

“โดนแคนเซิลนัดแล้ว ไหนเพื่อนเราล่ะ” คีรินทร์นั่งลง ไม่ได้มองหนูพุกเช่นกัน แต่วางสายตาไว้ที่เงาคนที่เคลื่อนไหวล้อกับเเสงไฟอยู่เบื้องหน้า

“โดนแคนเซิลเหมือนกันครับ” คนอ่อนวัยกว่าตอบด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ขอยืมเหตุผลเขามาใช้บ้าง

เวลาถูกปล่อยให้ไหลไป หนูพุกไม่พูด เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกัน

“เรื่องวันนี้… ขอโทษนะครับ” หนูพุกหันมองพี่ภู เหมือนถูกสะกดไปกับใบหน้าสลักเสลาที่ต้องเเสงไฟสีนวล

“หืม… เรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่เราทำกับข้าวที่พี่อยากกินมาให้ หรือเรื่องที่เราต้องวิ่งออกไปซื้อเสื้อมาให้พี่” เขายิ้มมุมปาก ทอดเสียงอ่อนโยนจนคนฟังอ่อนยวบ

...ชอบเขาเป็นทุนเดิมนี่นะ...

“กับข้าวไม่อร่อย แล้วพุกก็ซุ่มซ่ามทำเสื้อพี่เลอะ มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย” เลขาหนุ่มก้มหน้า เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่พนักงานมืออาชีพจะมานั่งระบายความไม่สบายใจกับเจ้านาย

“มันไม่ได้ไม่อร่อยขนาดนั้น ก็เห็นอยู่ว่าพี่กินได้ ส่วนเรื่องเสื้อมันเป็นอุบัติเหตุ พี่เข้าใจ” ดวงตาคมโตหันมามองคู่สนทนา “เรื่องที่หงุดหงิดไปพี่ก็ขอโทษเหมือนกัน หลายเรื่องมันมารวมกันวันนี้น่ะ”

“อะ… เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พี่ภูไม่ได้ผิดอะไร” หนูพุกพูดตะกุกตะกักเเล้ว ไม่นึกว่าเขาจะเอ่ยปากขอโทษกันทั้งที่ไม่ได้จำเป็นอะไร

“ไปกินข้าวกันไหม ไหน ๆ ก็ว่างกันทั้งคู่” เขาชวนเหมือนมัดมือชกเพราะลุกขึ้นเเล้ว

“งั้นพุกเลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษที่ทำพี่ภูเกือบต้องไปฟอกไต” หนูพุกเดินตาม สับขาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยจนขึ้นไปเดินเคียงกัน

“จำเเม่นจังนะ อย่าไปคิดมากเลย พี่ทำกับข้าวห่วยแตกกว่าหนูพุกเยอะ”

ชายหนุ่มหัวเราะ เล่าประสบการณ์การทอดไข่เจียวที่ทำยังไงก็ไม่สามารถพลิกกลับให้มันเป็นเเผ่นเดียวเเบบที่คนอื่นทำได้ เรื่องลองทำข้าวผัดมาสามหนแต่รสชาติออกมาเหมือนข้าวไอ้เอ๋งทุกรอบไปนั้นก็ถูกเล่าด้วย

แถบถนนข้าวสารคืนวันศุกร์คราคร่ำไปด้วยผู้คนสารพัดเชื้อชาติ ทั้งคู่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในเส้นที่มีบาร์เปิด แต่กลับหยุดลงตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ จองเก้าอี้ในซุ้มร้านสุกี้กระทะร้อนคนละตัว

“เอาสุกี้ไก่หนึ่ง หมูหนึ่งครับ” หนูพุกสั่งกับพนักงานเสื้อขาว เอี้ยวหลังไปจ่ายเงินให้กับเด็กที่ถือตะกร้าขวดน้ำ

“พี่ไม่ได้มาสักพักแล้วนะเนี่ย” คีรินทร์ยิ้ม เขาไม่ได้มาที่นี่นานมากพอดู  ถ้าจะมาก็มาปาร์ตี้กับลูกน้องในออฟฟิศ มาเลี้ยงเหล้าพวกมันบ้างตามโอกาสพิเศษ

“พุกก็เหมือนกัน ไม่ได้เดินเล่นมานานเเล้ว” หลังเรียนจบ เขาก็ยังพอมีเวลาบ้างนัดเจอเพื่อนบ้าง แต่ที่สุดเเล้วสิ่งที่เรียกว่างานก็ทำให้กลุ่มเพื่อนเเยกกันทีละน้อย มากันไม่ครบพร้อมจนได้คุยกันเเต่ในไลน์กรุ๊ปหรือนัดเจอกันบ้างตามโอกาสสำคัญ

“รีบกลับหรือเปล่า พี่ว่าจะเดินเล่นหน่อย” เลขาหนุ่มส่ายหัว ยังไงวันพรุ่งนี้ก็วันหยุด จะตื่นสายสักหน่อยคงไม่เป็นไร

“เอาสิครับ” หนูพุกจะจ่ายเงิน แต่พี่ภูกลับชิงยื่นแบงค์สีม่วงก่อน

“พี่เป็นเจ้านายนะ ให้หนูพุกออกได้ยังไง” เขายิ้ม แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเเพ้

“หมดเวลางานเเล้วครับ” ฟังเเล้วคีรินทร์ก็ยิ้ม

“แต่พี่แก่กว่า ยังไงก็ต้องออกอยู่ดี” มือใหญ่รับเงินทอน ออกเดินนำฝ่าฝูงชนเข้าไปท่ามกลางเสียงเพลงและผู้คน

หนูพุกยิ้มบางกับคนเจ้าเหตุผล เดินเคียงข้างเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ่งเดินลึกเข้าไปคนก็ยิ่งเยอะ เสียงจากบาร์เปิดดังกระหึ่ม โทรศัพท์มือถือที่สั่นขึ้นทำให้คีรินทร์ต้องหยุดรับมันและตั้งใจเดินให้สุดถนนเพื่อให้เสียงรอบข้างจางลงบ้างไม่อย่างนั้นคงพูดกันไม่รู้เรื่องจนเผลอลืมคนที่เดินมาด้วยกัน

หนูพุกพยายามจะก้าวให้ทันคนที่เดินเร็ว แต่น่าเสียดายที่คนเยอะมากเขาจึงตามคนตัวใหญ่ที่มัวเเต่พูดโทรศัพท์ไม่ทัน กว่จะเดินออกมาจนสุดซอยได้พี่ภูก็หายไปแล้ว

ชายหนุ่มถอนหายใจ เดี๋ยวก็คงเจอกันเอง หรือไม่อีกฝ่ายก็คงจะโทรมา หนูพุกเดินเข้าซอยไปอย่างอ้อยอิ่ง สายตามองร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับรายทางไปเรื่อย หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเจ้านายในที่สุด หากกลับได้ยินเสียงสัญญาณให้ฝากข้อความแทนเสียนี่ ก็เลยกะว่าอีกสิบนาทีคงจะโบกเเท็กซี่กลับคอนโดเเล้ว

“หนูพุก!” เสียงทุ้มตะโกนขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับสัมผัสหนัก ๆ ที่หัวไหล่ มือใหญดึงเขาเข้าหาจนเซ

“โทษที กะน้ำหนักไม่ถูก พี่ว่าจะโทรหาเราเเต่เเบตหมด” เขาชูโทรศัพท์ให้ดูว่ามันดับลงจริง ๆ

“ไม่เป็นไรครับ ร้อนไหมเนี่ย” เหงื่อเม็ดเป้งพรูอยู่ตามไรผม ถ้าไม่หลงตัวเองจนเกินไปหนูพุกก็คิดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายคงเดินตามหาเขาอยู่

“ไม่เท่าไหร่” เขายกแขนเอาชายเเขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ “พี่เเวะตรงนี้เเป๊บนึง” เขาเรียก หยุดลงตรงร้านเคบับรถเข็นแถมยังหันมาถามอีก

“เอาไหม พี่ยังไม่ค่อยอิ่ม”

“กินไม่หมดหรอกครับ เดี๋ยวกินอย่างอื่นดีกว่า” ชายหนุ่มยิ้ม เดินไปซื้อน้ำส้มคั้นสดจากร้านข้าง ๆ กันอีกสองขวด

 คีรินทร์เดินไปกินไป หยุดดูข้าวของที่คล้ายกันไปเสียทุกร้านบ้าง แต่ร้านที่เห็นจะหยุดนานหน่อยก็คงเป็นร้านสร้อยข้อมือเเบบถักที่มีคุณป้าวัยเกษียณนั่งถักไปด้วยขายไปด้วย

“ลองได้นะคะ” คุณป้าหันมายิ้มใจดีตอนหนูพุกหยิบสร้อยข้อมือที่เตะตาเส้นเเรกขึ้นถือ มันเป็นเชือกถักสีฟ้า ขาว และเเดงตุ่น ๆ

“อันนี้ก็สวยนะคุณ” คุณป้ายื่นอีกเส้นที่เพิ่งจะถักเสร็จใหม่ ๆ ให้ มันเป็นเกลียวสีน้ำตาลเข้ม ส้ม เเละขาวสานต่อกัน

คนซื้อพิจารณาดูสร้อยสองเส้นเทียบกัน อันเเรกเป็นเเบบเชือกรูดเข้าหากันธรรมดา แต่สวยเตะตาจนต้องหยุดเเวะ อีกเส้นเป็นเเบบที่คุณป้าเเนะนำ มันมีลูกเล่นเเละสีสันฉูดฉาดกว่า

“สวยนะ” เขาออกความเห็นถึงสร้อยถักอันหลังแล้วหันไปงับแป้งสอดใส้ในมืออีกคำ

“พี่ภูเอาด้วยไหม” หนูพุกถาม แต่คนตัวสูงกว่าส่ายหน้า เขาเเค่เห็นเพียงว่ามันน่าจะเข้ากันดีกับข้อมือของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

“ผมเอาอันนี้เเหละครับ ชอบมาตั้งแต่เเรกเเล้ว” ที่สุดเเล้วหนูพุกก็เลือกเส้นที่หมายตาไว้เเต่เเรก เขาชอบอะไรที่มันดูธรรมดา ใส่ได้ทุกวันไม่มีเบื่อมากกว่า

“สองเส้นป้าลดให้นะ” หญิงมีอายุยังคะยั้นคะยอ แต่หนูพุกส่ายหน้า ควักแบงค์ยี่สิบให้สองใบ

“อันเดียวก็พอเเล้วครับ” มือเรียวบางหยิบสร้อยข้อมือมาสวมเลย ไม่เอาถุงพลาสติกใบจิ๋วของเเม่ค้า

“ขี้เห่อ” คีรินทร์หัวเราะในลำคอ มองคนที่ยกข้อมือตัวเองขึ้นพินิจ

“เขาเรียกว่าลดโลกร้อนต่างหาก” หนูพุกยักคิ้วให้พลางเอ่ยถามคนที่กินหมดพอดี “พี่ภูจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่าครับ”

“กลับเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เขาเมียงมองหาถังขยะ แต่คงต้องเดินไปจนสุดถนน ไม่ได้สังเกตเลขาหนุ่มที่ออกเดินตามหลังว่าอีกฝ่ายเสหลบ ซุกซ่อนหน้าร้อนผ่าวเลี่ยงไปมองคนพลุกพล่านหน้าร้านเหล้าเพราะความพองฟูจนล้นอกกับแค่การไปส่งที่ห้องเท่านั้นเอง

“เอ๊ะ…”

นั่นคุณแดนนี่นา

แดนดินเป็นสถาปนิกวัยไล่เลี่ยกันกับหนูพุก เขารูปร่างสูงมากทีเดียว ดูเหมือนจะสูงที่สุดในบริษัทเลยด้วยซ้ำ หนูพุกได้ยินว่าเขาอยู่กับบริษัทมาตั้งแต่หลังพี่ภูเริ่มตั้งบริษัทไม่นาน จนตอนนี้คุณแดนก็ยังอยู่ในทีมออกแบบของพี่เต้ย นอกจากจะเป็นลูกน้องเเล้ว ก็ยังควบตำแหน่งเเฟนหนุ่มอีกต่างหาก

แล้วนั่นเขามากับใครกัน ดูท่าทีสนิทสนมกับผู้ชายอีกคนไม่น้อยจากระยะห่างของร่างสองร่างที่พากันเดินหายลับเข้าไปในบาร์ หนูพุกขมวดคิ้วรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่มานั่งติดใจสงสัยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นทั้งที่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไป

“มีอะไรหรือ” คีรินทร์มองตามเมื่อเห็นว่าคนอ่อนกว่าทำหน้าเหมือนเจอคนรู้จัก

“เหมือนพุกเห็นคุณเเดน แต่คงแค่หน้าคล้ายเฉยๆ”

หนูพุกออกเดิน ได้ยินพี่ภูพูดพึมพำอยู่ในลำคอ นึกถึงอีกเหตุผลที่ทำให้วันนี้เขาหงุดหงิดเหลือเกินกับงานออกเเบบที่ไม่ตรงกับคอนเซปต์ที่เคยคุยกันไว้ แถมยังตอบโจทย์ฟังก์ชั่นได้ไม่ครบถ้วนดีจนต้องนั่งปรับความเข้าใจกันอยู่นานสองนาน

“ไม่น่าใช่หรอก เพิ่งโดนรีเจ็คงานไป ป่านนี้คงแก้หัวยุ่งอยู่นั่นล่ะ”


---------------------------------------------------------------------------

หนูพุกอย่าท้อลูกกก ;-; กระดึ๊บขึ้นมานิดนึงเเล้วนะ อย่าถอดใจ  :sad4:
ฝาก #พิชิตภู ในทวิตเตอร์ไว้กับทุกคนด้วยนะคะ /ไหว้ย่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2018 22:32:32 โดย Thei12 »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #24 เมื่อ23-06-2018 08:57:41 »

หนูพุกน่ารักมากค่าาา พี่ภูก็ดูอบอุ่นนน  :hao5:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #25 เมื่อ23-06-2018 09:33:12 »

หนูพุกสู้ๆจ้า

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #26 เมื่อ23-06-2018 09:57:50 »

หนูพุกสู้ๆ อย่ายอมแพ้ผิดพลาดครั้งนี้ ครั้งหน้าลองใหม่ได้นะคะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #27 เมื่อ24-06-2018 00:40:49 »

พี่ภูคิดอะไรอยู่น๊าาา

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #28 เมื่อ24-06-2018 08:13:56 »

พี่ภูส่งสัญญาณหน่อยค่าาาาาา
หนูพุดหงอยหมดอล้วว

ออฟไลน์ Fallinlove

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: " พิชิตภู " : Chapter 4 --- [ 23.06.2018 ]
«ตอบ #29 เมื่อ24-06-2018 09:40:25 »

สนุกมากค่ะ ภาษาก็ดี พี่ภูอบอุ่น หนูพุกน่ารัก
ชอบพี่เต้ยอ่ะ แต่พี่เต้ยเป็นแฟนกับแดนดินเหรอ
แล้วแดนดิน ก็กำลังจะนอกใจหรือ ? เราเข้าใจถูกไหมนะ
งั้นเชียร์พี่เต้ยกับคุณกวีแทนได้ไหม 555
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า เขียนดีมากเลย > <

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด