Chapter 6
เท่าที่เลขานุการตัวน้อย ๆ รู้ หม่อมหลวงกวี กรจักรเป็นผู้บริหารคิวทองคนหนึ่ง แต่หนูพุกก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะตารางแน่นเอี้ยดจนเเทบไม่มีที่ว่างอะไรเลย กว่าหนูพุกจะกราบกรานหาช่องเเทรกจากเลขานุการของอีกฝ่ายได้ก็เหงื่อตก กินเวลาไปเกือบสัปดาห์กว่าจะได้เวลาที่ลงตัว
โดยธรรมชาติของหนูขี้เกียจ วันเสาร์เป็นวันหยุดที่หนูพุกจะได้พักสารร่างที่เเหลกเหลวมาตลอดวันทำงานทั้งห้า เขาจะนอนพังพาบจนถึงสิบเอ็ดโมงกว่า แล้วค่อย ๆ ยุรยาตรไปอาบน้ำ กว่าจะสวาปามมื้อเเรกของวันเสร็จเข็มนาฬิกาก็ล่วงเข้าไปบ่ายสองบ่ายสามทุกทีไป
แต่วันนี้เขากลับแต่งตัวเรียบร้อยกว่าวันหยุดปกติซึ่งมักจะสวมแค่เสื้อยืดเนื้อนิ่มเเละกางเกงสกินนี่ เตรียมตัวมาคอยคุณกวีตั้งแต่สิบเอ็ดโมงตรงเผงในห้างสรรพสินค้าในย่านสาทร หนูพุกไม่อยากจะนัดไกลจากที่ทำงานของอีกฝ่ายมากนัก การอยู่ในสถานที่ที่ใกล้เคียงกับที่ทำงานหรือที่พักอาจจะทำให้คุณกวีหงุดหงิดเรื่องการเดินทางน้อยลงได้
“อ้าว มารอนานหรือยังเนี่ย” วันนี้อีกฝ่ายสวมชุดลำลองที่ก็ยังดูมีสกุลรุนชาติเหมือนเดิม เสื้อโปโลที่ราคาไม่โลว์ขับให้ชายหนุ่มร่างสูงดูดีและดูผ่อนคลายกว่าปกติ เขาเดินตรงเข้ามาหาหนูพุก บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มวิบวับตามนิสัย
“ไม่นานหรอกครับ คุณกวีหิวหรือเปล่าครับ” หนูพุกพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวสบาย ๆ แต่ก็อดแอบเกร็งยามเดินเคียงไปกับเขาไม่ได้
โดยปกติคุณกวีหล่อมากอยู่แล้ว แต่วันนี้พอถอดสูทถอดเชิ้ตออกแล้วหนูพุกก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขามันหล่อลากดิน หล่อจนใครต่อใครเหลียวหลังนึกว่าดาราแบบนี้หนูพุกก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเขาคงจะชินชากับสายตาค้นหาและเสียงซุบซิบทำนองว่าเป็นดาราช่องไหนไปเสียเเล้ว
“นิดหน่อย หนูพุกจองที่ไหนไว้หรือเปล่า” เขาหันมาถาม
“จริง ๆ ก็มีอยู่ครับ ได้ยินว่าช่วงนี้คุณกวีชอบทานขนมด้วย” หนูพุกแย้มยิ้ม นึกขอบคุณเลขานุการวัยสามสิบปลาย ๆ ที่แอบกระซิบบอกว่าเจ้านายคิดจะมารับประทานอาหารที่นี่หลายหนแล้วแต่ก็ยังไม่ลงตัวสักที
หนูพุกไม่ได้ถามต่อว่าอะไรที่ไม่ลงตัว แต่ก็พอจะเดาได้ ท่าทางวิบวับเล่นหูเล่นตาที่ดูเป็นธรรมชาติเหล่านั้นมันมาคู่กับอีกฝ่ายแยกกันไม่ได้เหมือนช้อนกับส้อม เขามันพวกชอบบริหารเสน่ห์ แต่จะตั้งใจหรือไม่คนมองก็ไม่ค่อยเเน่ใจเหมือนกัน
จริง ๆ แล้วเท่าที่ดูประวัติมาเขาก็ไม่ใช่พวกมือปลาหมึกหรือพวกอ้อร้อไม่เลือกให้เสียการเสียงาน ตราบใดที่คุณกวียังอยู่ในร่องในรอยไม่รุ่มร่ามหนูพุกก็สบายใจได้…
เลขานุการหนุ่มจองโต๊ะไว้ที่ร้านเบเกอรี่แอนด์เรสเตอรองค์ชื่อดัง ของจงใจขอให้พนักงานเลือกโต๊ะที่เป็นส่วนตัวสักหน่อย
“เก่งขนาดนี้มาเป็นเลขาผมเถอะ” คุณกวียิ้มกว้าง เขามองหนูพุกจัดการทุกอย่างอย่างคล่องเเคล่ว รู้กระทั่งว่าเขาโปรดหรือไม่โปรดอะไร ถือว่าละเอียดดีมากทีเดียว...
“โธ่… ถ้าผมไปสมัครจริง ๆ ขึ้นมาแล้วคุณกวีไม่รับ ผมเสียใจนะครับ” เลขาหนุ่มยิ้มหวาน เลี่ยงบาลีไปอย่างสุภาพ
“แล้วที่นัดมาวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะมาทำงานกับผมหรือ ตำแหน่งแสตนบายรอตลอดเลยนะ” เขาพูดทีเล่นทีจริง ใช้มีดตัดกุ้งย่างเเละอโวคาโดเข้าปากเป็นคำเล็ก ๆ
“จริง ๆ ก็มาเรื่องงานนั่นเเหละครับ” หนูพุกเขาเรื่อง แต่ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมให้สภาพเเวดล้อมดูผ่อนคลาย
“หืม? มีเรื่องอะไร เท่าที่สังเกตคุณก็ดูเข้ากับทีมของคุณดีนี่” เขาสบตาคู่สนทนา กี่ครั้งกี่หนที่เขาเจอหนูพุกอยู่กับเจ้านายหรือใคร ๆ ก็เห็นว่าน่าจะไปได้ด้วยดี ดูมีความสุขกว่าตอนยังทำงานที่เก่าด้วยซ้ำไป
“ไม่ใช่เรื่องทีมหรอกครับ เพียงแต่ผมมีเรื่องติดใจนิดหน่อย ตอนนี้ก็มีแค่คุณกวีที่จะช่วยไขข้อข้องใจได้ครับ”
“เรื่อง ? ” คุณกวีพูดสั้นลง ยิ้มการค้าที่ฉาบเคลือบไว้เริ่มหลุดร่อนไปนิดหน่อย หนูพุกว่าเขาก็คงพอจะเดาได้
“วันที่เข้าไปพรีเซนต์งานน่ะครับ ผมว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ”
“แปลกยังไง ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรผิดพลาดตรงไหนนะ” กวีเงียบ ปล่อยให้บริกรเก็บจานออกแล้วเริ่มต้นคอร์สต่อไป
“บรรยากาศมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างน่ะครับ” หนูพุกพูดไปคิดไป ทบทวนสีหน้าท่าทางที่เห็นแล้วก็พบว่ามีอย่างหนึ่งที่ควรต้องปรากฎขึ้น หากไม่มีแม้เเต่เงาของมันในแววตาของใครสักคน
เหมือนเสียงสลักคลายล็อกดังกริ๊กขึ้นในหัว
...หนูพุกคิดว่าเขาพบตัวแปรสำคัญแล้ว...
“พวกคุณทุกคน ไม่มีใครตื่นเต้นเลยครับ” รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากคนฟัง แต่คนพูดเริ่มขมวดคิ้วแล้ว
“ก่อนหน้าพวกคุณจะมาผมฟังมาตั้งสี่ห้าเจ้าแล้ว ยังจะต้องมาตื่นเต้นอะไรกันอีก” กวียักไหล่ ยกช้อนซุปขึ้นแตะริมฝีปากอย่างสุภาพ
“มันไม่เหมือนกันครับ กับคุณกวีหรือผู้บริหารบางท่านผมก็เคยเข้าประชุมด้วยมาก่อนตั้งหลายครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่เหมือนทุกครั้งเวลาพวกเขาไม่สนใจ หรือว่าไม่ชอบใจ” เลขาหนุ่มค่อย ๆ อธิบาย แววตาสนเท่ห์ยามที่สไลด์เปิดไปให้เห็นแนวคิดและผลลัพธ์ที่เขาเห็นคล้ายกับยิ่งย้ำชัดถึงสิ่งที่คิดเอาไว้
“มันเหมือนกับว่า... พวกคุณเคยดูพรีเซนต์นี้มาแล้ว” เสียงของคนพูดเเผ่วลง แต่รอยยิ้มที่มุมปากของคนฟังกลับกว้างขึ้นอย่างน่าประหลาด
“คุณนี่เซนส์ดี...” กวีดีดนิ้วชมเปาะ แต่หนูพุกไม่ยินดีกับมันเลยสักนิด มีแต่จะภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เสียมากกว่า
“จริง ๆ จะให้ผมพูดมากก็คงไม่ได้ เพราะยังไงมันก็คือความลับของบริษัท อีกอย่างโครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนของหลายฝ่าย ผมไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น คุณคงเข้าใจนะ?” เขาถาม อาหารอีกคอร์สมาเสิร์ฟแล้วแต่ดูท่าคู่สนทนาของเขาคงจะอิ่มตื้อกับคำตอบโดยนัยเหล่านั้น
“พอเข้าใจครับ ยังไงก็ขอบคุณคุณกวีมากที่ช่วยคอนเฟิร์ม” มีดสีเงินตัดลงบนแซลมอนฟิลเลต์ที่ถูกกริลล์มาจนหนังกรอบหากเนื้อยังคงฉ่ำดี เสียดายที่คนกินเเทบจะหมดความอยากอาหารไปแล้ว
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ผู้บริหารหนุ่มว่ายิ้ม ๆ
“นั่นเเหละครับ เหมือนกำลังสู้อยู่กับอะไรก็ไม่รู้เลย” หนูพุกหัวเราะแห้ง ๆ รู้สึกมืดเเปดด้านไปหมด ขนาดคู่แข่งก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบริษัทไหน แล้วจะให้มาหาหนอนในทีมงานมันก็ยิ่งยากเนื่องจากเขาไม่รู้เลยว่าใครติดต่อใครบ้าง
โครงการนี้พนักงานทุกคนรับรู้โดยทั่วกันว่ามันจะช่วยอัพเกรดยศฐาบรรดาศักดิ์บริษัทเล็ก ๆ ให้ได้งานที่น่าสนใจกว่าจัดสวนในบ้านคนรวย หรืองานหลักประเภทออกแบบภูมิทัศน์ให้เหล่าคอนโดใจกลางเมือง หากจะคัดเอาคนที่รู้ละเอียดทุกซอกซอยก็ลดลงมาเหลือหกคนเท่านั้น
เขา พี่ภู พี่เต้ย และสถาปนิกในทีมของพี่เต้ยอีกสามคน
ดูจากตัวเลือกก็ตัดไปได้ครึ่งหนึ่ง เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้ทำแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นจะมานั่งสืบสาวราวเรื่องอยู่เพื่ออะไรกัน พี่ภูกับพี่เต้ยก็คงจะไม่ให้ข้อมูลนี้หลุดไปง่าย ๆ เพราะคนที่จะเสียที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเจ้าของกิจการ
ยังเหลืออีกสามคน…
หนึ่ง แดนดิน สถาปนิกหนุ่มผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับพี่เต้ยมากที่สุด
สอง สถาปนิกจบใหม่ที่มีวีรกรรมเรื่องบ้านคุณเอมหนก่อน
สาม สถาปนิกสายล่าเหรียญวิ่งมาราธอนที่อายุมากที่สุดในบริษัท
ทุกคนนี้ล้วนยากเเก่การติดตามเพราะตำเเหน่งงานที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนคนที่นั่งโต๊ะข้างเคียงจะได้แอบสังเกตพฤติกรรมกันได้ง่าย ๆ การจะไปเดินรุ่มร่ามเรื่อยเปื่อยเองก็ไม่ใช่อุปนิสัยของเขา ทั้งนี้หนูพุกเองก็เป็นพนักงานใหม่ จะขยับตัวทำอะไรก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก
โอ๊ย… คิดแล้วก็ปวดหัว!
“คิ้วพันกันแล้วคุณหนูพุก กินก่อนไหม” คุณกวีเย้า จานของเขาพร่องไปมาก เหลือเเต่ของหนูพุกที่เพิ่งจะเเตะไปได้คำสองคำเเล้วก็หยุดคิดจนหัวเเทบเเตก
“ขอโทษทีครับ มันยากไปหน่อย” หนูพุกหัวเราะเเหะ ๆ รีบจัดการอาหารในจานให้ทันคู่สนทนา นับนิ้วเเล้วก็ยังเหลืออาหารอีกสองคอร์สแต่เขาเริ่มจะอิ่มเพราะความกังวลดันชิงลงไปยึดครองพื้นที่กระเพาะก่อนเสียแล้ว
“ค่อย ๆ คิดไปก็ได้ เอาเป็นว่าคราวนี้ผมจะจัดรูปเเบบพรีเซนต์งานใหม่ก็แล้วกัน”
เลขาหนุ่มไม่รู้จะทำอะไรได้นอกจากขอบคุณหม่อมหลวงกวี กรจักร อย่างน้อยเขาก็ช่วยได้มากถึงจะไม่ได้ถือว่าแบไพ่แล้วมาช่วยกันจริงจังอะไร แต่นี่ก็นับว่ามากแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกัน
“เลิกคิ้วขมวดได้แล้ว ผมเเนะนำว่าคุณจะน่ารักกว่าถ้าไม่มีโบบนหน้าผาก”
พอเขาบอกให้เลิกคิดหนูพุกก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นปัญหาของตัวเอง ไม่ใช่ของนายทุนที่จะต้องมานั่งระดมสมองช่วย เลขาหนุ่มจึงปัดเรื่องราวพวกนี้ออกไปก่อน เรียกคืนบรรยากาศโต๊ะอาหารที่ควรจะผ่อนคลายด้วยมุกตลกนิดหน่อย โชคดีที่คุณกวีเป็นพวกอารมณ์ดี หนูพุกจึงรอดชีวิตมาไม่ยากเย็นมากมายนัก
เมื่อมื้ออาหารจบลง หนูพุกไม่ได้ไปส่งเขาเหมือนเวลางาน หากแต่เเยกกันกลับเนื่องจากคุณกวีมีนัดอื่นต่อไป ส่วนเขาเองก็กะว่าคงจะไปหาหนังสือสักเล่มสองเล่มไว้อ่านเล่นเหมือนกัน
หนูพุกเเวะเข้าไปในร้านหนังสือนำเข้าขนาดใหญ่ เเวะตามหมวดที่สนใจแล้วหยิบหนังสือออกใหม่ติดมือมาเล่มหนึ่ง อยู่ดี ๆ ขาสองข้างก็พาเขาเข้าไปหยุดบริเวณหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบ มีทั้งงานเกี่ยวกับอาคาร การตกแต่งภายใน และในที่สุดดวงตาเรียวก็หยุดตรงหนังสือเกี่ยวกับการดีไซน์พื้นที่ใช้สอยนอกอาคาร
เพราะไม่แน่ใจกับเนื้อหานัก หนูพุกจึงตัดสินใจเลือกหนังสือจากหน้าปกมาเปิดดูทีละเล่ม ด้านในเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด บางคำก็เป็นศัพท์เฉพาะที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็มีภาพกำกับอยู่เป็นระยะทำให้คนไม่ค่อยสันทัดด้านการออกเเบบพอจะเข้าใจได้บ้าง
“หนูพุก!” ทั้งเสียงเรียกเเละเเรงสะกิดจากด้านหลังทำเอาเลขาหนุ่มสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะทำหนังสือหลุดมือ
“อ้าว มาได้ยังไงเนี่ย” พอเห็นว่าคนที่เข้ามาทักเป็นหญิงสาวซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมปลายหนูพุกก็ยิ้มออก เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานพอดู จะมีก็แต่เพียงการกดไลค์รูปตามอินสตาแกรมบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
“แวะมาคุยงานอ่ะ นี่เพิ่งเลิก แล้วแกล่ะ มาคนเดียวหรือ” คู่สนทนาของหนูพุกเป็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวเคลียไหล่ หน้าตาหมดจดสวมเดรสสีพีชยาวเหนือเข่านิดหน่อยเเละรองเท้าผ้าใบสีขาว
“มาเดินเล่นน่ะ” หนูพุกยิ้มเเย้ม ยังกอดหนังสือเอาไว้หากอีกฝ่ายตาไวเหลือเกิน
“หาหนังสือแลนด์สเคปหรอ เราแนะนำอันนี้นะ” แม้จะมีเป้สะพายหลังแต่คนพูดก็ยังดูคล่องแคล่วแนะนำอย่างเดียวไม่พอยังหยิบมาเปิดให้ดูด้วย ปล่อยให้หนูพุกได้เเต่ยิ้มชื่นชมว่าเธอเป็นคนอัธยาศัยดีตั้งแต่เด็กจนโตจริง ๆ
“เออเนอะ แกเป็นสถาปนิกนี่นา” หนูพุกปรารภ จำได้ราง ๆ ว่าเพื่อนคนนี้สอบติดคณะสถาปัตยกรรม
“อือฮึ ทำเเลนด์สเคปเนี่ยเเหละ แล้วพุกทำงานด้านนี้เหมือนกันใช่ไหม” เธอถาม แม้จะจำได้ว่าจริง ๆ แล้วเพื่อนสอบติดคณะบัญชีที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านการออกแบบได้
“อ๋อ เราเป็นเลขาให้สถาปนิกเนี่ยเเหละ เลยว่าจะอ่านเอาความรู้น่ะ” หนูพุกว่า ตัดสินใจจะซื้อหนังสือตามที่ผู้รู้เเนะนำ
“แล้วนี่พุกมีนัดที่ไหนไหม ถ้าว่างไปกินกาแฟกัน” คนถูกชวนเห็นดีด้วยว่าไม่ได้พบกันนานแล้วจึงไปต่อคิวจ่ายเงิน พลางฟังเรื่องเพื่อนในห้องที่เริ่มทยอยสละโสดกันไปทีละคนสองคน
“แล้วเมื่อไหร่แกจะแต่งบ้างเนี่ย” หนูพุกกระเซ้าใส่คนที่เบ้ปากแรง ๆ ให้ได้หัวเราะ
“สถาปนิกที่ออฟฟิศแต่งงานมีลูกไปกันหมดแล้ว นอกจากพวกนี้ก็ไม่เจอใครที่ไหน นี่ยังว่าสงสัยจะต้องกอดคอมไปจนเกษียณ” เธอหัวเราะ “แล้วแกล่ะ ยังโอเคกับคนเดิมอยู่ไหม”
“เลิกกันตอนทำงานนั่นล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ รอยเเผลในวันวานไม่ได้ทำให้เขาเจ็บจะเป็นจะตายอีกต่อไปแล้ว มาถึงตอนนี้มีแต่จะหัวเราะตัวเองที่นั่งร้องไห้ให้คนที่หนีไปรักคนอื่นได้ตั้งนานสองนาน
“เฮ้ย.. ขอโทษ แบบว่า เราไม่ได้ตั้งใจ...” อีกฝ่ายแทบจะยกมือไหว้เขาเเล้ว แต่หนูพุกกลับโบกมือแล้วยิ้มร่า แสดงออกว่ามันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้นเอง
“นานเเล้วน่า ตอนนี้เราก็โสดนะ จีบได้” หนูพุกยักคิ้วใส่ แกล้งพูดไปอย่างนั้นเองเนื่องจากต่างคนก็ต่างรู้กันว่าหนูพุกไม่ได้ชอบผู้หญิง
“เดี๋ยวเราก็จีบเเกขึ้นมาจริง ๆ หรอก” เธอหัวเราะ รับกาเเฟจากพนักงานมาดูด
“ไม่ใช่แล้ว...” หนูพุกส่ายหัว เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องงานรียูเนียนที่จะจัดขึ้นสิ้นปีนี้เเละเรื่องอื่น ๆ จนสมควรเเก่เวลาที่จะต้องบอกลา
จริง ๆ แล้วหนูพุกคิดว่าวันนี้คงไม่ใช่เเค่วันเสาร์ธรรมดา แต่คงเป็นวัน ‘บังเอิญ’ แน่ ๆ เพราะว่าเมื่อเพื่อนสาวเเยกจากไป หนูพุกก็หันไปสบตากับคนอีกคู่ที่อยู่ในร้านกาเเฟเดียวกัน
...คุณแดนดินกับพี่เต้ย…
สบตาแล้วจะเลี่ยงไม่ทักเพราะตะขิดตะขวงใจเรื่องที่ได้ยินมาจากคุณกวีก็ดูเสียมารยาท ดูท่าว่าคงจะมากันสักพักเเล้วเนื่องจากกาเเฟเย็นในเเก้วของแดนดินหมดเกลี้ยงเหลือเเต่น้ำเเข็งเปล่า
“พี่เต้ย คุณเเดน สวัสดีครับ”
“นั่งก่อนมั้ยครับหนูพุก แวะมาซื้อหนังสือหรือ” เเดนดินยิ้มจาง มองถุงโลโก้ร้านหนังสือนำเข้า พร้อมจะขยับที่ข้าง ๆ ให้
“ก็ประมาณนั้นครับ แวะมาเดินเล่นด้วย” เลขาหนุ่มยิ้ม ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่านัดกับใครเอาไว้
“เอาเค้กไหมเดี๋ยวไปสั่งเพิ่มด้วยกัน” พี่เต้ยคว้ากระเป๋าเงิน พร้อมจะเลี้ยงขนมคนตัวผอมบางนี้ตลอด ขนาดเขาบอกจนเมื่อยเเล้วว่ากินขนมในตู้เย็นได้หนูพุกยังไม่เคยหยิบไปสักอย่าง
“ไม่เป็นไรครับพี่เต้ย เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วครับ”
เลขาหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เจอทั้งคู่ตอนนี้ เพราะหากเจอกันตอนเดินกับคุณกวีหนูพุกคงต้องอธิบายล้านเเปดเเหง ๆ ว่าไปชิดเชื้อกับผู้บริหารเส้นก๋วยจั๊บขนาดนัดมากินข้าวกันวันหยุดได้อย่างไร
“งั้นกลับดี ๆ นะครับ ระวังฝนด้วย ข้างนอกตกหนักน่าดูไม่รู้ว่าป่านนี้หยุดหรือยัง” รอยยิ้มของเเดนดินไม่ได้ดูมีเลศนัยอะไรเท่าที่หนูพุกลอบสังเกต ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็ยังดูปกติดี ไปไหนมาไหนด้วยกันไม่ต่างอะไรกับเงาตามตัวเเบบนี้หนูพุกคงสบายใจได้
เขาเลื่อนเเดนดินไปอยู่ที่ผู้ต้องสงสัยลำดับสุดท้าย… มันเเทบไม่มีเหตุผลในการจะต้องโกงบริษัทคนที่เรารักเลยสักนิด รวมทั้งเหตุผลอีกสองข้อที่หนูพุกคิดได้ก็ยิ่งช่วยสนับสนุน
คนโกงบริษัท… อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงิน
คนขายความลับบริษัท… อาจไม่พึงพอใจในความก้าวหน้าของอาชีพการงาน
จากการประเมินเบื้องต้น เเดนดินก็น่าจะไม่มีความสุ่มเสี่ยงทั้งสองประเด็น เรื่องเงินเดือนหนูพุกไม่เเน่ใจ แต่ดูผ่าน ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นาฬิกาข้อมือยังเป็นนาฬิกาสวิสเรือนหรูคู่กับพี่เต้ย ยังขับรถคันละหลายเเสน เรื่องความก้าวหน้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงอะไร เพราะตอนนี้เขาก็เเทบจะคุมทีมเเทนพี่เต้ยเเล้วด้วยซ้ำ อีกไม่นานแดนดินก็คงจะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าทีมอีกทีม
คืนนั้นหนูพุกเข้านอนด้วยจิตใจว้าวุ่น เฝ้าเพียรคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรในการสืบหาตัวหนอนบ่อนไส้ที่เอาความลับของบริษัทไปเปิดเผยให้คู่เเข่งได้รู้
...อีกเเค่ห้าวันเท่านั้นที่ทางบริษัทจะต้องไปพรีเซนต์งานอีกหน…
...หนูพุกจะทำยังไงดี… จะบอกใครก็ไม่ได้ในเมื่อไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร หลักฐานอะไรก็ไม่มี...
...เขาไม่ต้องการให้งานที่ทุกคนช่วยกันทำมาเเทบเป็นเเทบตายต้องถูกฉกฉวยไป…
ตลอดสัปดาห์นี้ทีมงานพัฒนาแบบจากเดิมได้ไวกว่าที่วางเเผนเอาไว้ อะไรที่เคยถูกขอทักท้วงให้เเก้ก็ถูกแก้จนเรียบร้อยดี อีกทั้งยังเพิ่มเติมไอเดียที่ดูเเนวทางแล้วว่าฝั่งนายทุนคงจะประทับใจแน่ ๆ
เลขานุการหนุ่มได้เเต่อึดอัดใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะใบ้ให้คีรินทร์ลองสังเกตด้วยการถามถึงบริษัทอื่น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่คิดเอะใจอะไร คงเป็นเพราะยังติดโปรเจคอื่นอีกสามสี่โครงการในเวลาเดียวกันด้วย
เเม้หนูพุกจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมได้ทั้งหมด เเต่เขาก็ไม่มีความรู้มากพอที่จะยับยั้งให้งานนี้เดินช้าลงและให้ทุกคนหันกลับมาสู่จุดบอดที่กำลังดูดกลืนโอกาสที่บริษัทนี้จะก้าวหน้าไปอย่างเงียบ ๆ เขาเพียงทำได้เเต่นั่งสังเกตท่าทางของผู้ต้องสงสัยทั้งสามอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่ปรากฎว่ามีใครมีพิรุธเลย
เเดนดินยังคงเป็นจ้าวไอเดียอย่างเคย สถาปนิกรุ่นใหญ่ก็ช่วยตบให้มันเข้าที่เข้าทาง ความเก๋าเกมของรุ่นใหญ่คนนี้คือความสามารถด้านโครงสร้าง วิสัยทัศน์เรื่องการทำงานดีไซน์ที่จับต้องได้จริงของเขาเฉียบเเหลมจนใครต่อใครก็ยอมรับ จะมีคนหนึ่งที่ได้ออกความเห็นน้อยหน่อยเพราะยังเป็นน้องเล็กผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณเขตร้อน หนูพุกประเมินเเล้วว่าฝีมือกลาง ๆ เป็นไปตามประสบการณ์ก็คือสถาปนิกหนุ่มที่เคยหวยออกเรื่องผู้รับเหมาบ้านคุณเอม
ปัจจัยเรื่องเงินของหนอนตัวนั้นหนูพุกไม่เเน่ใจ แต่คิดว่าหากพิจารณาจากเรื่องงาน สถาปนิกหนุ่มคนนั้นคงจะถูกจัดขึ้นสู่อันดับหนึ่งได้ไม่ยาก
เพราะหาทางระงับการปล่อยเเบบออกไปไม่ได้ หนูพุกก็ได้แต่ปลง เขาเข้าฟังการประชุมทุกครั้งแต่ก็รู้ว่าไอ้สิ่งที่พี่ภูเเทบจะกินนอนอยู่กับมันจะต้องถูกขโมยเอาไปแน่แล้วเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยว ยิ่งฝั่งนายทุนคอนเฟิร์มเวลานำเสนอเเล้วหนูพุกก็รู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขารู้อยู่เเล้วว่าปลายทางมันจะเป็นอย่างไร
“หนูพุก อาทิตย์นี้ดูเครียด ๆ นะ พี่ให้งานหนักเกินไปหรือเปล่า” คีรินทร์เอ่ยปากพลางถอยรถเข้าที่จอดชั้นใต้ดิน วันนี้เขามากับพี่ภู ส่วนพี่เต้ยกับคุณเเดนมาก่อนเเล้วเนื่องจากคอนโดของทั้งคู่อยู่ใกล้กับอาคารอันเป็นที่หมายของการนำเสนองานครั้งนี้
“ไม่หรอกครับ” หนูพุกยิ้มสู้ เขาไม่รู้ว่าในรอบนี้บริษัทเราจะได้ไปต่อหรือเปล่า แล้วบริษัทคู่เเข่งที่ได้ข้อมูลไปนั้นได้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ได้ไป
...รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิดเลย…
“พี่ถือเอง เราหน้าซีดมากนะ จิบน้ำหน่อยดีกว่า” ทั้งกระเป๋าเเล็ปทอปเเละโมเดลที่ติดมาด้วยถูกพี่ภูฉวยไปทั้งหมด เขาไม่ยอมออกเดินเเต่เฝ้าให้หนูพุกดื่มน้ำก่อนเเล้วถึงยอมไปต่อ
เครียดงานก็เครียด หวั่นไหวกับเจ้านายก็หวั่นไหว… มันใช่เวลาหรือยังไงกัน
หนูพุกลอบถอนใจ เดินตามร่างสูงใหญ่เข้าลิฟต์โดยสารเเน่นขนัดไปด้วยพนักงานออฟฟิศขึ้นไปยังชั้นเป้าหมาย คราวนี้สถานที่ประชุมเป็นอาคารเดิม หากเปลี่ยนเเปลงชั้นเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่กว่าเดิมเเละมีการจัดที่นั่งเพิ่มเติม ด้านหน้าห้องกระจกมีพนักงานต้อนรับและให้ลงทะเบียนด้วย
ความช่วยเหลือของคุณกวีทำให้โอกาสการมองหาคู่เเข่งเรืองรองขึ้นอีกเมื่อการพรีเซนต์ถูกจัดเป็นเเบบพบกันหมด ในขณะที่มีการนำเสนองาน บริษัทอื่นก็จะนั่งดูอยู่ด้วย โดยก่อนเข้าห้องทุกบริษัทต้องลงชื่อในกระดาษหนึ่งเเผ่น จัดลำดับการพรีเซนต์ตามลำดับการลงทะเบียน หนูพุกเเละคีรินทร์มาเป็นลำดับที่หกจากทั้งหมดแปดบริษัท
หนูพุกขยับเข้าไปนั่งที่โต๊ะหลังห้อง เตรียมเปิดโน้ตบุ้คและอุปกรณ์อัดเสียงป้องกันการตกหล่นระหว่างบันทึกการประชุม พี่เต้ยยังยิ้มสว่างสดใสเหมือนเคย แดนเดินเปิดสไลด์ของตัวเองดูเงียบ ๆ ในขณะที่คีรินทร์ยังติดสายโทรศัพท์อยู่ด้านนอกห้อง
บรรยากาศการเเข่งขันนี้ไม่ได้กดดันอย่างที่คาดคิดเนื่องจากเหล่าผู้บริหารยังไม่มาถึงห้องประชุม สถาปนิกจากบริษัทต่าง ๆ จึงอยู่ในช่วงทบทวนงานหรือบางคนก็มีการเดินมาทักทายกันข้ามบริษัท ซึ่งพี่เต้ยก็เป็นคนหนึ่งที่เดินไปทักทายเพื่อนร่วมสถาบันที่จบมาตอนปริญญาตรี
หนูพุกสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ แต่เเล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าประตูกระจกถูกดันเข้ามาโดยสถาปนิกสาวที่ดูเร่งรีบ เธอกวาดตามองรอบ ๆ ห้องเเละทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งทีมตัวเอง
...หนูพุกเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนสมัยเรียนที่เพิ่งจะเจอกันก็เข้าร่วมการประกวดแบบนี้เช่นเดียวกัน…
...โลกมันกลมอะไรขนาดนี้…
แต่เขาก็ไม่ได้ลุกไปทักทายอะไรเนื่องจากสถาปนิกฝั่งนั้นดูจะยุ่งกันน่าดู กระทั่งเก้าโมงครึ่งวินาทีเเห่งการเเข่งขันก็เริ่มต้น การพรีเซนต์เป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยพรีเซนต์ต่อกันไปเรื่อย ๆ พี่ภู พี่เต้ย และคุณเเดน จ้องมองสไลด์หน้าห้องอย่างเงียบสงบ โดยพี่ภูก็ตวัดปลายปากกาลงในสมุดทำงานของตัวเองด้วย
หนูพุกเองก็มีหน้าที่บันทึกทุกรายละเอียดของทีมอื่น ๆ หากเมื่อทีมลำดับที่สี่ขึ้นรายงาน ทุกคนก็อยู่ในภาวะชะงักงัน บนหน้าจอปรากฏภาพกราฟฟิกแบบเดียวกันกับที่คุณเเดนทำขึ้นหากเเต่เปลี่ยนสีไปเท่านั้น สถาปนิกหน้าห้องอธิบายเกี่ยวกับคอนเซปต์ ทั้งรูปด้าน และรูปตัดพื้นที่ก็คล้ายคลึงกับของที่พี่เต้ยทำเพียงเเต่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมด้านการก่อสร้างบนอาคารเพิ่มขึ้น
พี่ภูเขานั่งอยู่ข้างกันกับเจ้านายตัวเอง สัมผัสได้ว่าคีรินทร์หายใจสะดุดไปจังหวะหนึ่ง สายตาคมสบเข้ากับเพื่อนรัก เเจ้งแก่ใจเเล้วว่าความลับของบริษัทรั่วไหลออกไป หนูพุกปรายตามองเเดนดินในขณะที่มือก็ยังพิมพ์รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่กำลังพรีเซนต์อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เม้มปาก ดวงตาสีดำเข้มขึ้นอีกเมื่อฝั่งตรงข้ามเปลี่ยนคนขึ้นมาพูด
คราวนี้เป็นหนูพุกที่เกือบหยุดหายใจ… เพื่อนของเขากำลังโต้ตอบกับผู้บริหารเกี่ยวกับการควบคุมงบประมาณ ตัวเลขเบื้องหน้าอยู่ในจำนวนใกล้เคียงกับงานของพวกเขาที่เตรียมมา หลักใหญ่ใจความทั้งหมดนี้หนูพุกเคยได้ยินเเล้วจากปากของพี่ภู
...เพื่อนของหนูพุกกำลังพูดราวกับว่าทุกอย่างที่พี่ภูคิดเเละทำนั้นถูกกลั่นกรองออกมาจากทีมของตัวเองทั้งสิ้น...
เหมือนสัญญาณเตือนภัยตอนไฟไหม้ดังไปทั่วพื้นที่สมองของทุกคน ตอนนี้ทางบริษัทเขากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ เหลือเวลาอีกไม่เกินสิบห้านาทีสำหรับแก้ปัญหาก่อนที่พวกเขาจะพรีเซนต์เท่านั้นเอง สถาปนิกทั้งสามคนขยับตัวเข้าหากันอย่างเร่งด่วนแต่ไม่กระโตกกระตาก เลขาหนุ่มกลืนน้ำลาย กล้ามเนื้อทุกส่วนหดเขม็งเกร็งไปด้วยความเคร่งเครียดที่ประดังประเดเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของพี่ภู
“เราต้องเปลี่ยนเเผน...”
------------------------- #พิชิตภู --------------------------
ฮือมาช้าไปเกือบสองวัน ขอโทษด้วยค่า ;-;

บทนี้บรรยายเยอะไปหน่อย แต่ว่ามันจำเป็นค่ะ บทหน้าจะพยายามปรับให้บรรยายลดลงนะคะ
จะพยายามระมัดระวังเรื่องคำผิดให้มากกว่านี้นะคะ ถ้ามีคำผิดบอกเก๊าได้เลยน้า จะรีบมาแก้ค่ะ
ขอบคุณทุกๆคนมากนะคะ
