**แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]  (อ่าน 54442 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่แรมกับเจ้าธันว์กลับมาแล้ว คิดถึงมาก เขาหวานกันมากเลย ดีใจที่ทั้งคู่พยายามเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน อบอุ่นหัวใจจัง

ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ชอบที่เค้าหวานกันอ่ะ เขินมากๆ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น้ำตาคลอเบ้า

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อเร็ว ๆ น้าาาาา

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)






คนที่บอกว่าจะนอนที่หอพักตลอดการซ้อมบาสเกตบอลจนกว่าจะถึงวันงานกีฬาสัมพันธ์ลงท้ายก็ต้องเดินทางไปกลับบ้านกับโรงพยาบาลทุกวันเพราะทนคิดถึงธันวาไม่ไหวหลังจากได้ยินคำว่ารักในวันนั้น


ธันวาเองก็ออกจากบ้านในตอนบ่ายไปพร้อมเดือนแรมเกือบทุกวันเพื่อรอข้างสนามในตอนที่อีกฝ่ายซ้อม มีบ้างบางวันที่แยกตัวออกไปเพราะฝ่ายสวัสดิการเองก็มีนัดประชุมงานเหมือนกัน แต่เพียงไม่กี่ครั้งก็เรียบร้อยทุกอย่าง รอแค่ถึงวันงานเท่านั้น


เหลือเวลาอีกแค่สองวัน ทีมนักกีฬาทุกประเภทต่างพร้อมลงสนามจริงกันแล้วและหยุดซ้อมกันไปตั้งแต่เมื่อวาน ต่างกับทีมบาสเกตบอลที่ยังซ้อมอย่างหนักหน่วงในวันนี้เป็นวันสุดท้าย


เดือนแรมเพิ่งปล่อยให้นักกีฬาแยกย้ายกันกลับบ้านเมื่อสิบนาทีก่อน เหลือก็แต่กัปตันทีมและกองเชียร์คนสำคัญที่ยังอยู่ในสนามแม้จะค่ำมืดมากแล้วก็ตาม


“วันนี้นอนค้างที่หอดีไหมครับ พี่ดูเหนื่อยมาก” ธันวาออกความเห็นขณะใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าไล่ลงมาถึงลำคอให้อีกคนที่ยังนั่งบนพื้นสนามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน “เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน”


“คุณลุงไม่ว่ารึไง”


“ผมโทรไปขอตั้งแต่เย็นแล้ว”


เดือนแรมพยักหน้ารับก่อนเอนหลังลงนอนแผ่ร่างกายบนสนามอย่างคนหมดแรง และเพราะแสงไฟที่ส่องในสนามจ้าเกินไปจึงจำเป็นต้องหลับตาลงทั้งที่หวั่นกลัวว่าอาจจะเผลอหลับเข้าจริง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในความจริงแล้วกลับรีบลืมตาขึ้นมองทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนที่เคยนั่งอยู่ข้างกันลุกออกไป


เดือนแรมเห็นร่างสูงโปร่งเลี้ยงลูกบาสไปมาอยู่รอบกาย เสียงลูกหนังกระทบพื้นดังเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งก็มีเสียงดังตึงจากการกระทบกันของลูกบาสกับแป้น เขาไม่เห็นว่ามันหล่นลงห่วงไปหรือไม่ แต่จากเสียงแล้ว หากกระทบดังขนาดนั้นแล้วลูกบาสยังไม่กระเด็นมาตกใส่เขาที่นอนอยู่ก็เดาได้ว่าธันวาทำแต้มเมื่อครู่ได้อย่างแน่นอน


“แข่งกันซักเกมไหม” คนนอนร้องถาม รู้ว่าน้องเล่นกีฬาประเภทนี้ได้ดีไม่แพ้เทนนิสเพราะเคยแอบมองอยู่หลายครั้งแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้เล่นด้วยกันสักหน


“เก็บแรงไว้เดินกลับหอเถอะครับ” ธันวาเย้าขำ ๆ


เดือนแรมยกยิ้มมุมปากขณะยันตัวลุกขึ้นนั่ง “แรงน่ะมีเหลือพอทำอย่างอื่นอีกเยอะ อยากรู้ไหมล่ะว่าทำอะไรได้บ้าง”


ธันวายิ้มแฉ่ง “ผมรู้ว่าเก็บลูกบาสไปคืนหอกีฬาได้แล้วหนึ่งอย่างล่ะ” ไม่ทันขาดคำ ลูกหนังสีอิฐก็ถูกขว้างมาทางเขา แต่ดูเหมือนว่าคนขว้างจะตั้งใจให้มันลอยผ่านเขาไปเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวรีบเดินออกจากสนามพร้อมร้องเร่งให้เขาตามเก็บลูกหนังนั้นแล้วตามไปโดยเร็ว



เป็นธรรมดาของช่วงปิดเทอมที่หอพักนักศึกษาแพทย์จะเงียบราวกับไร้ผู้คน เพราะเวลาเกือบหนึ่งเดือนนี้จะมีแค่รุ่นพี่ปีสูงพักอาศัยอยู่ซึ่งแทบจะมีหอไว้เก็บของและนอนเพียงเท่านั้น ไม่ได้สังสรรค์หรือจับกลุ่มกันเฮฮาให้เห็นตามพื้นที่ส่วนรวมเหมือนบรรดารุ่นพรีคลินิกอย่างปีสองและสามนัก เพราะอย่างนั้นในคืนนี้ธันวาจึงรู้สึกเหมือนได้อยู่กับเดือนแรมเพียงแค่สองคนตามลำพัง


“ธันวา” เดือนแรมเกาท้ายทอยแก้เก้อในตอนที่เดินออกจากห้องอาบน้ำมาด้วยกัน ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดและดูเหมือนว่าจะคิดไตร่ตรองอยู่นานทีเดียวกว่าจะยอมพูดออกมา “คืนนี้มานอนห้องพี่นะ”


คนฟังหน้าเห่อร้อนทันทีที่ได้ยิน เชื่อว่าเดือนแรมจะไม่ทำอะไรเขาอย่างแน่นอน เพียงแต่ก็คงไม่ได้หมายความแค่ว่านอนคนละเตียงกันเป็นแน่ และที่กล้าชวนก็คงเพราะคืนนี้ไม่มีใครนอนด้วยทั้งห้องตนเองและห้องของเขา เขาจึงแกล้งย้อนกลับด้วยความหมั่นไส้กลบความเขินอายของตัวเองว่า “แทนตัวเองว่าพี่ ทีงี๊ละพูดดีเชียวนะพี่แรม”


“นะ” เดือนแรมขยับเข้าไปใกล้ สะกิดไหล่สองสามทีอีกคนก็ขยับหนีแล้ว


“อย่าอ้อน!”


“ไหนเคยบอกว่าไม่มีใครใจดีเท่าธันวาแล้วไง”


“ไม่ต้องจำเก่งไปหมดทุกอย่างก็ได้มั้งครับ” ตั้งแต่คบกันแบบมีสถานะชัดเจนพวกเขายังไม่เคยนอนเตียงเดียวกันเลยสักครั้ง ธันวาต้องขอบคุณที่พวกตนพักหอในจึงไม่สามารถแนบชิดกันในระดับนั้นได้โดยปริยาย และในความจริงแล้วพวกเขาก็แทบไม่เคยสัมผัสกันมากไปกว่าโอบกอดที่แทบนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงจูบ หากไม่นับสติ้กเกอร์ที่แก้มเขาในเช้าวันแรกของการคบกันแล้ว เดือนแรมก็ไม่เคยทำรุ่มร่ามด้วยเลยสักครั้ง


คนพี่ยิ้มซื่อในความคิดของธันวา “นะ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนอกจากนอนกอด”


ธันวาไม่ได้มีปัญหากับคำขอของเดือนแรม เพียงแค่เขินทั้งอีกฝ่ายและตัวเองจนไม่กล้าตอบรับในทันทีจึงแกล้งแสดงท่าทีตอบปัดรำคาญในตอนที่โดนอ้อนอีกครั้ง


เดือนแรมเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านอนกอดอย่างที่บอกไว้จริง ๆ


“กอดแน่นไปป่ะพี่แรม” ธันวาบ่นคนที่นอนซ้อนหลังแล้วพาดแขนกอดเขาช่วงเอวชวนให้รู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนี้มาก่อน


“กูกลัวตก”


“ก็บอกแล้วว่าผู้ชายสองคนจะนอนเตียงบนด้วยกันได้ไง ต่อให้เป็นเตียงล่างผมยังไม่กล้าเบียดเลย” แม้เตียงบนจะมีราวเหล็กกั้นแต่ก็ไม่ได้สูงพอจะรับประกันได้ว่าวันดีคืนดีคนที่นอนอยู่จะไม่ตกลงไป


“เถอะหน่า นอนให้กอดนิ่ง ๆ ก็ไม่ตกแล้ว”


“ดื้อจริง ๆ เลย” ธันวาบ่นงึมงำที่แม้จะเสียงเบาแต่ก็จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน


“ก็อยากนอนกอดแฟนบ้างนี่หว่า อยากทำแบบนี้นานแล้วรู้ไหม แต่หอในมันลำบากมึงก็เห็น”


“นี่พี่คิดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ นึกว่าวัน ๆ คิดแต่เรื่องเรียน”


“แบบนี้คืออะไร คิดหื่นกับมึงน่ะเหรอ กูคิดอยู่ตลอดแหละ” ว่าแล้วก็แกล้งซุกหน้าลงกับหลังคอน้อง กลั้นใจไม่ให้แนบริมฝีปากลงไป เพราะเพียงแต่ลมหายใจที่รดรินก็ทำเอาอีกคนหดคอหนีจนตัวสั่นแล้ว กลัวตัวเองจะลำบากด้วยอย่างหนึ่ง


“ไหนบอกจะแค่นอนกอดไงพี่แรม”


“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย กอดอย่างเดียวเลยนี่ไง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระชับวงแขนอีกนิดจนแผ่นอกแนบกับหลังคนน้องให้ได้รู้สึกถึงไออุ่นจากกายของกันและกัน


เดือนแรมรู้ว่าถ้าใกล้กว่านี้อีกนิด ทั้งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผิวเนื้อและไออุ่นจากเรือนร่างอีกฝ่ายจะมอมเมาเขาให้เผลอไผลทำอะไรที่มากกว่าที่สัญญาไว้ได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่แกล้งธันวาไปมากกว่านี้


“เทอมหน้าย้ายไปอยู่หอนอกด้วยกันไหม” เดือนแรมเสนอความเห็น “หรือปีหน้าก็ได้ ปีสี่พี่ต้องขึ้นวอร์ดแล้ว เราจะเจอกันน้อยลง ถ้าอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็จะเจอกันตอนเย็นและได้ใช้เวลาด้วยกันบนเตียง”


“ม...หมายถึงนอนกอดกันแบบนี้ใช่ไหมครับ”


ธันวาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอที่แม้ไม่หันกลับไปมองก็รู้สึกได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจ


“แบบไหนก็ได้ พี่ตามใจธันวาอยู่แล้ว”


ธันวาพบว่าเดือนแรมมักจะพูดจาสุภาพกว่าปกติด้วยการใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าพี่และเรียกชื่อเขาเมื่อต้องการอ้อนเป็นพิเศษ และเขาก็แพ้ทางเสียด้วย เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากอีกฝ่ายในลักษณะนี้


“ครับ ปีหน้านะ”


“ขอบคุณนะ” เดือนแรมแทบไม่รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงออดอ้อนแค่ไหนเวลาพูดกับธันวา แต่หากเพื่อนฝูงได้ยินคงได้ล้อว่าเขาเป็นเดือนแรมเสียงสองหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำอย่างแน่นอน


“พี่แรม พี่ชอบผมตั้งแต่ตอนไหนอะ”


ไม่รู้เป็นเพราะทิ้งห่างบทสนทนาพอสมควรหรืออย่างไรถึงได้ไร้เสียงตอบรับจากคนข้างหลัง เสียงหายใจสม่ำเสมอบางเบาคือสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันว่าอีกฝ่ายยังอยู่ด้วยกัน


“พี่แรม…” ธันวาลองเรียกดูอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เพราะหากคนพี่หลับไปแล้วจริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปลุกให้ตื่นมาตอบตอนนี้อยู่แล้ว “...หลับแล้วจริง ๆ เหรอ”


คนถูกทิ้งให้หลับทีหลังระบายยิ้มบาง ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงไหล่ของทั้งสองคนแล้วหลับตาลงบ้างโดยไม่ลืมเอ่ยคาดโทษอีกฝ่ายทั้งที่รู้ว่าไม่ได้รับรู้ด้วยเลย “พี่ติดค้างผมไว้หลายคำถามแล้วนะ ครั้งหน้าถ้าไม่ตอบละน่าดู”





ในเช้าวันเดียวกันกับงานกีฬาสัมพันธ์คือวันที่ประภาสเดินทางไปฮ่องกงเพื่อเจรจาธุรกิจอย่างที่เคยบอกทั้งลูกชายและหลานรักเอาไว้ ก่อนไปก็ไม่ลืมกำชับให้ลูกชายตนที่มีศักดิ์เป็นพี่ไปรับน้องกลับบ้านในเย็นนี้ด้วย ซึ่งปกป้องก็รีบรับปากทันทีไม่เปิดโอกาสให้ธันวาปฏิเสธหรือต่อรองได้เลย รวมถึงการต้องยอมให้อีกฝ่ายขับรถไปส่งที่งานกีฬาสัมพันธ์ด้วย


“เลิกกี่โมง” น้ำเสียงตวัดขุ่นมัวเหมือนไม่พอใจกันต่างกับตอนที่รับปากผู้ใหญ่ลิบลับคือประโยคแรกที่ปกป้องพูดกับธันวานับตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านจนกระทั่งจอดในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยฝ่ายเจ้าภาพ


“ประมาณสี่ทุ่มครับ มีงานเลี้ยงช่วงเย็นต่อ”


“ให้รับที่ไหน”


“เอ่อ ความจริงแล้ว…”


“จะให้รับที่ไหน” เสียงญาติผู้พี่เข้มขึ้นจนธันวาไม่กล้าปฏิเสธอีก


“ตรงนี้ก็ได้ครับ”


“โอเค ถ้ามาแล้วจะโทรหา รับโทรศัพท์ด้วย อย่าให้ต้องเข้าไปตามถึงในงานนะ” ไม่เหมือนคำบอกเล่าแสดงความห่วงใย ธันวารู้สึกได้ว่านี่คือการขู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มรับแกน ๆ ตอบรับเสียงค่อยก่อนลงจากรถ


จากจุดที่ปกป้องมาส่งไม่ไกลจากสถานที่จัดงานนัก และเพราะการแต่งกายที่คล้ายกันอย่างการสวมเสื้อที่ถูกออกแบบมาเพื่องานครั้งนี้โดยเฉพาะก็ทำให้ธันวาหาจุดหมายได้ไม่ยากนัก


คนแรก ๆ ที่ธันวาเจอก่อนถึงจุดลงทะเบียนเสียอีกคือกรองเกียรติที่เห็นมาแต่ไกลว่ายืนเคว้งหันรีหันขวางอยู่ทางเข้าโรงยิม ในมือมีสมาร์ทโฟน นัยน์ตาเรียวรีชั้นเดียวคู่นั้นก้มมองหน้าจอสลับกับทางเข้าคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะติดต่อใครก่อนเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหรือไม่


“ไงมึง” ธันวารีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ ส่งเสียงทักทายก่อนที่เพื่อนจะทันได้กดสมาร์ทโฟนที่คงหนีไม่พ้นการติดต่อตนเป็นแน่


“จังหวะดีมากมึง แล้วนี่มาไง พี่แรมอะ”


“พี่แรมบอกจะขับรถมาเอง ส่วนกูมากับพี่ป้อง”


กรองเกียรติขมวดคิ้ว “แปลก นึกว่าลุงภาสจะมาส่งถึงหน้าโรงยิมนี่ซะอีก” ธันวานึกหมั่นไส้ที่ข้อสงสัยของเพื่อนยังแฝงไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมเชิงล้อตน


“ลุงภาสบินเช้านี้ ไม่อยู่อีกหลายวันเลย”


“อ้าวพวกมึง มาแล้วก็เข้ามาลงทะเบียนสิวะ” เสียงเพื่อนร่วมรุ่นจากสถาบันเดียวกันดังขัดขึ้นก่อนที่กรองเกียรติจะทันได้ถามอะไรต่อ เพราะเปลี่ยนมาบ่นถึงความประหม่าของตนก่อนหน้านี้ให้เพื่อนสนิทได้รู้ขณะพากันเดินเข้าไปภายในโรงยิมแทน


ธันวาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตที่หวาดกลัวอะไรก็ร้องหาแต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นแทนที่จะจัดการด้วยตนเอง เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้บอกกรองเกียรติออกไปว่าเย็นนี้ตนต้องอยู่บ้านกับญาติผู้พี่ตามลำพัง


เมื่อลงทะเบียนแล้วสองหนุ่มได้ป้ายชื่อห้อยคอกันมาคนละหนึ่งใบที่บ่งบอกว่าชื่ออะไร ชั้นปีที่เท่าไหร่และมาจากมหาวิทยาลัยไหน อีกทั้งในใบลงทะเบียนยังมีข้อมูลเกี่ยวกับบัดดี้ท้ายชื่อของทุกคนตามจุดประสงค์หลักของกิจกรรมคือการสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกันเอาไว้ด้วย โดยเบื้องต้นคือการที่เจ้าถิ่นจะดูแลบัดดี้ต่างมหาวิทยาลัยตลอดกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งสองเพื่อนซี้ต่างก็ได้บัดดี้เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่  ต่างกันตรงที่ธันวาได้เพื่อนรุ่นเดียวกัน ขณะที่อีกคนได้รุ่นน้องมาดูแล ทำเอากรองเกียรติบ่นอุบเพราะอดสร้างสัมพันธ์กับสาวที่นี่




ฝ่ายสวัสดิการที่มีสมาชิกเกือบสิบคนเป็นทีมงานกลุ่มแรกที่ทำงานกันอย่างแข็งขันโดยมีหัวหน้าฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่ปีสามรับหน้าที่ประสานงานกับมหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้ามเพียงคนเดียวเพื่อการสื่อสารที่ชัดเจน


ธันวากับกรองเกียรติวิ่งวุ่นกันแต่เช้า ทั้งช่วยกันยกอาหารว่างที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งเสิร์ฟบริการให้ฝ่ายกองเชียร์เป็นอันดับแรก ทั้งนี้อากาศยังร้อนจนเสื้อยืดคอปกเริ่มชื้นเหงื่อที่หลังเช่นเดียวกับใบหน้าที่ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามไรผมบ้างแล้ว


“ธันว์วางไว้ก็พอ เดี๋ยวพวกเราช่วยกันแจกน้อง ๆ เอง” หวานเดินเข้ามาหา ธันวามองเลยเธอไปนับจำนวนพี่เลี้ยงกองเชียร์คร่าว ๆ ด้วยสายตา เห็นว่ามีแต่หญิงสาวและเพียงแค่สามคนเท่านั้นจึงยังไม่ยอมปล่อยมือจากแพคน้ำดื่ม


“ไม่เป็นไรหรอก เราขนมาหมดแล้ว เดี๋ยวช่วยแจก ช่วย ๆ กันไง”


ได้ยินอย่างนั้นเธอก็จำต้องยอมให้ธันวาและฝ่ายสวัสดิการคนอื่น ๆ ช่วยจนเสร็จ เนื่องจากกองเชียร์จะต้องถูกแบ่งแยกออกไปตามจุดการแข่งกีฬาต่าง ๆ รวมทั้งในส่วนกลางนี้ด้วย พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะแจกอาหารว่างและน้ำให้น้องทุกคนตั้งแต่เช้าไปเลยในตอนที่ยังรวมตัวกันเพื่อป้องกันความผิดพลาด


“มีน้องคนไหนยังไม่ได้ขนมกับน้ำอีกไหมคะ” รุ่นพี่ชั้นปีที่สามที่ธันวาเดาว่าน่าจะเป็นหัวหน้าฝ่ายตะโกนถามน้องที่นั่งเรียงกันเต็มพื้นที่เกือบสิบขั้นบันได


“ธันว์เหงื่อออกเยอะมากเลย” ไม่พูดเปล่า หลังจากทักอย่างนั้นหวานก็รีบหยิบกระดาษทิชชูของตัวเองออกมาและถือวิสาสะซับเหงื่อบนใบหน้าของเขา ธันวายิ้มบางด้วยความเกรงใจพึมพำขอบคุณก่อนรับมาเช็ดเสียเอง


“ไอ้ธันว์” ธันวามองตามสายตากรองเกียรติที่เรียกชื่อเขาแล้วส่งสายตาไปด้านหลังราวกับต้องการให้มองคนมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะคนที่ยืนส่งสายตาคมดุมาจากชั้นล่างคือคนที่ทำให้หวานต้องรีบถอยออกไปทันทีหลังเอ่ยทักทายตามมารยาทแล้ว


“เปลี่ยนชุดเร็วจัง” ธันวาทักทายเสียงใส แสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนว่าอีกฝ่ายอาจจะเคืองที่ตนใกล้ชิดกับหวานมากเกินไปเมื่อครู่นี้


“ต้องใส่ชุดนักกีฬาเข้าร่วมพิธีเปิด” เดือนแรมเองก็ข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ หากไม่เป็นเพราะว่ารุ่นน้องสาวคนนั้นเองก็มีใจให้ธันวาเหมือนกัน เขาก็ไม่อยากหึงหวงทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายอยู่กับคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้อยากมีความรู้สึกแย่ ๆ ให้กันนัก


“อ้อ...แล้วพี่กินอะไรมารึยังครับ เดี๋ยวผมหาให้”


ธันวายกยิ้มในใจเมื่อเห็นมุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนจากหน้าบึ้งดุให้อ่อนลง แม้ไม่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้ว่าเดือนแรมอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว “ทำหน้าที่สวัสดิการรึไง”


คนเด็กกว่าแนบลำตัวกับราวกั้นแล้วโน้มตัวลงไปหาคนข้างล่างที่ขยับเข้ามาใกล้เช่นกัน ไม่ต้องถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตกลงไปก็สามารถสบตากับอีกฝ่ายในระยะประชิดได้แล้ว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมน่ะ เป็นสวัสดิการที่จะดูแลพี่เป็นพิเศษและไม่ใช่แค่ในงานนี้ด้วยนะครับ”


กรองเกียรติหันหน้าหนีทั้งที่ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ เขาเพียงแค่ไม่อยากจ้องมองให้คนมาดดุที่กำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตกต้องรู้สึกขัดเขินเพราะมีคนรู้ว่าตนกำลังเสียอาการ


“เหรอ แล้วงานไหนอีก”


“จะตามไปดูแลทุกงานเลยครับ”


เดือนแรมเม้มปากก่อนยิ้มกว้างขึ้น ทั้งเขินทั้งขบขัน “แค่ดูแลอย่างเดียวเหรอ”


“จะเป็น one stop service ให้เลยครับ อยากได้อะไรอยากให้ทำอะไร ผมคนเดียวเป็นทุกอย่างให้พี่เลย”


เดือนแรมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว “เกินเรื่องจริง ๆ เลยมึงเนี่ย”


ธันวายิ้มแป้นโดยลืมไปว่าพวกตนไม่ได้อยู่กันตามลำพังแค่สองคนแต่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายทั้งในคณะตนเองและผู้คนต่างมหาวิทยาลัย




พิธีเปิดเรียบง่ายใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที เสียงรัวกลองอันเป็นสัญญาณของความรื่นเริงก็ดังขึ้นให้ทุกคนในที่นี้ครึกครื้นกระฉับกระเฉงขึ้นมาในทันที


นักกีฬาประเภทต่าง ๆ แยกกันไปยังสนามของตัวเองโดยการนำทีมด้วยไนท์และรุ่นพี่อีกหลายคน รวมถึงกองเชียร์ที่ถูกนำทางโดยพี่เลี้ยงด้วย แม้กีฬาแต่ละประเภทจะแข่งไม่พร้อมกัน แต่ด้วยเวลาที่ไล่เรี่ยกันมากและบางประเภทแข่งทับซ้อนกันจึงจำเป็นต้องให้แบ่งกองเชียร์ไปพร้อมนักกีฬาเลย


นอกจากกีฬาแล้วยังมีการแข่งขันทางวิชาการกันเป็นทีมภายใต้การดูแลและติวเข้มโดยโอ๊คอีกด้วย โดยใช้โรงยิมกลางเป็นสถานที่หลัก หนึ่งในเกมเหล่านั้นมีการแข่งเรื่องกายวิภาคที่กรองเกียรติคุยโวว่าหากตนไม่สมัครหน้าที่สวัสดิการเสียก่อนก็คงถูกคัดเข้าร่วมทีมแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน


แม้จะเห็นจริงตามนั้นแต่ธันวาก็ยังรู้สึกหมั่นไส้ท่าทีมั่นใจของเพื่อนจนต้องรีบลากตัวอีกฝ่ายออกจากตรงนี้เพราะมีหน้าที่ดูแลนักกีฬาไม่ใช่ทีมแข่งวิชาการ แวบหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อปีก่อนอาจจะมีเดือนแรมเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน


ธันวาและกรองเกียรติช่วยกันยกกระติกน้ำแข็งที่มีทั้งน้ำดื่ม น้ำเกลือแร่และผ้าเย็นสำหรับนักกีฬาแช่อยู่ในนั้นออกจากกองสวัสดิการกลางไปยังสนามบาสเกตบอลในร่มซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก กรองเกียรติทั้งล้อทั้งแซวตลอดทางว่าธันวาลำเอียงเพราะอยากเชียร์คนรักถึงได้รีบเสนอตัวขอหัวหน้าฝ่ายมาดูแลนักกีฬาทีมนี้


“เห้ยไอ้เก่ง ไอ้ธันวา” เสียงใครสักคนดังแทรกเสียงลูกหนังกระทบพื้นสนามจากการซ้อมของนักกีฬาทั้งสองฝั่งในตอนที่สองหนุ่มเจ้าของชื่อเพิ่งเดินเข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าว


“เชี่ย!” เป็นกรองเกียรติที่ทักทายกลับไปอย่างเป็นกันเอง


“คิดถึงพวกมึงฉิบหาย วันนี้ลงแข่งไหมวะ” คนพูดปลีกตัวออกจากทีมที่กำลังซ้อมบริเวณแป้นฝั่งประตูเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความยินดีเป็นอย่างมากอย่างที่พูด


“ไม่ว่ะ” ธันวายกสองมือที่เต็มไปด้วยกระติกน้ำและผ้าเย็นสำหรับนักกีฬาให้อีกฝ่ายดูว่านอกจากจะไม่ลงแข่งเองแล้วยังต้องมาคอยดูแลนักกีฬาอีกด้วย


“ได้ไงวะ กูไม่ได้เล่นบาสกับพวกมึงนานแล้วเนี่ย ไม่ลงให้หายคิดถึงหน่อยเหรอวะ…” สองหนุ่มวางกระติกลงบนพื้นเพราะเห็นท่าว่าอาจจะคุยกันนานกว่าแค่ทักทาย “...อ้าวเห้ย นั่นพี่แรมป่ะ” เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดถึงได้รู้ว่าเป็นใครเมื่อสาดส่องจนเจอ


“มึงรู้จักพี่แรมด้วยเหรอ” กรองเกียรติเองก็สงสัยไม่ต่างจากคนถามนัก


“ใคร ๆ ในโรงเรียนเราก็รู้จักพี่แรมป่ะวะ” คิ้วเข้มขมวดเมื่อจับสังเกตได้จากสีหน้าเพื่อนเก่าทั้งสอง “เชี่ยยยย อย่าบอกนะว่าพวกมึงไม่รู้จัก”


สองหนุ่มสถาบันเดียวกันพร้อมใจกันพยักหน้าแทนคำตอบ “ทำไมทุกคนถึงรู้จักเขา”


“ถามว่าทำไมพวกมึงไม่รู้จักดีกว่าไหมวะ”


“...”


“ไม่ต้องเป็นนักกิจกรรมตัวยงก็รู้จักพี่แรมกันทั้งนั้นแหละ พี่แกอยู่ทุกวงการ ทำกิจกรรมแม่งเยอะมาก”


“เหรอ”


“เออดิ มีช่วงหนึ่ง โรงเรียนจัดงานอะไรก็เห็นแต่หน้าพี่แรม ตั้งแต่การแสดงไปจนกีฬา”


“พี่เขาชอบให้คนสนใจเหรอวะ” แม้เพื่อนต่างสถานศึกษาจะไม่ทันสังเกตแต่กรองเกียรติรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของเพื่อนสนิทขุ่นกว่าปกติ


“เออแปลก ทำตัวเหมือนจะให้เป็นจุดสนใจ แต่เก็บตัวฉิบหาย ไม่ใช่คนที่ใครก็สนิทด้วยได้หรอกนะเว้ย”


“แล้วมึงสนิทไหม” คราวนี้กรองเกียรติถามบ้าง


“ระดับนึง สนิทเพราะเล่นบาสเนี่ยแหละ”


“พวกกูก็เล่น ทำไมไม่เคยเจอ”


“พวกมึงแม่งปลีกวิเวกจะตาย ถ้าพวกกูไม่เสนอหน้าไปขอเล่นด้วย คิดเหรอว่าเราจะรู้จักกัน” สองหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อคิดตาม เมื่อก่อนพวกเขาเล่นบาสเกตบอลกันทั้งกลุ่ม เล่นกันเฉพาะในกลุ่มบ้าง รวมกับเพื่อนร่วมชั้นปีเดียวกันบ้าง ไม่เคยได้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่ธันวามีแฟนก็ยิ่งทิ้งห่างการเล่นบาสฯหลังเลิกเรียนไปเสียเลย


“เฮ้ย ใกล้แข่งแล้ว กูขอไปทักทายพี่แรมก่อนนะ ไว้เจอกันพวกมึง” คนเป็นเจ้าถิ่นตบบ่าเพื่อนทั้งสองก่อนผละไปหาหนุ่มรุ่นพี่อย่างที่บอก


“เดี๋ยวมึง” กรองเกียรติรั้งธันวาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินตามเพื่อนเก่าไปทางเดียวกัน


“มีไร”


“มึงเคยถามพี่แรมไหมว่าเขาชอบมึงตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ทำไมวะ มีอะไร”


“กูกำลังสงสัยว่าคนอย่างพี่แรมพาตัวเองออกมาเป็นจุดเด่นเพราะอยากให้มึงเห็นรึเปล่า”


“...” เขาจำได้ที่ดีนเคยบอกว่าเดือนแรมวนเวียนอยู่รอบตัวเขานานแล้ว  และเดือนแรมเองก็เคยพูดเรื่องทำนองนี้ออกมาเหมือนกัน เพียงแต่เขายังไม่เคยเก็บมาคิดจริงจังมากนัก


“กูว่าใช่แน่ ๆ แต่พวกเราแม่งเสือกไม่เอากิจกรรมเลย” กรองเกียรติสรุปออกมาก่อนเดินนำไปยังที่นั่งพักนักกีฬาฝั่งตน


“ถึงปีที่แล้วผมแพ้ แต่ปีนี้ผมไม่ยอมพี่อีกแน่”


“ปีที่แล้วพวกกูชนะเพราะพวกมึงอ่อนเอง แต่ปีนี้ไม่ว่ายังไงกูก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ มึงสู้สุดตัวก็ดีแล้ว เพราะกูก็จะสู้จนคว้าชัยชนะให้ได้เหมือนกัน”


ธันวาเดินเข้ามาทันได้ยินตอนนี้พอดีกับที่คนพูดเองก็มองมาทางเขาเช่นกัน


“แหมพี่ พูดเหมือนจะชนะอวดสาวงั้นแหละ”


เดือนแรมยิ้มขำเล็กน้อย ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ “เจอกันในสนามเว้ย”


“เจอกันพี่...ไว้เจอกันพวกมึง”


สองหนุ่มฝ่ายสวัสดิการพยักหน้าตอบรับการโบกมือลาของเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยก่อนจัดแจงพื้นที่ใช้สอยบริเวณนั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมานั่งข้างเดือนแรมที่กำลังดูคนอื่น ๆ วอร์มกันอยู่ในสนาม




(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
“พี่ไม่วอร์มเหรอ” ธันวาถามซื่อ ๆ


“วอร์มก่อนแล้ว”


“ยืดกล้ามเนื้อรึยัง”


“บ้างแล้ว”


“งั้นผมนวดให้ป่ะ” เดือนแรมหันมองหน้าคนอาสาด้วยสายตาฉงนจนอีกฝ่ายต้องอธิบายเพิ่ม “นวดกระตุ้นกล้ามเนื้อไง พวกผมทำกันบ่อย ๆ เวลาลงเล่น”


“จริงพี่ ไอ้ธันว์นี่มือนวดอันดับหนึ่งของกลุ่มเลยนะ” กรองเกียรติชะโงกหน้ามาเสริม


“ไหนโชว์ฝีมือซิ”


“ระวังจะติดใจ” ธันวาอวดอ้างทีเล่นทีจริง


“หาเรื่องให้หลงเก่งนะมึงเนี่ย ทุกวันนี้กูก็ไปไหนไม่รอดแล้ว”


“อะแค่ก อะแค่ก” คนกลางอย่างกรองเกียรติถึงกับสำลักน้ำลายเมื่อได้ยินทั้งสองเอ่ยวาจาเกี้ยวพากันไปมา คนบังเอิญได้ยินอย่างเขายังขัดเขินจนหน้าร้อนไปหมด ไม่อยากจะคิดว่าธันวาจะเป็นอย่างไร


แต่เพราะได้ยินเสียงไอของเพื่อนรัก ธันวาถึงได้เก็บอาการเขินไว้แล้วเริ่มนวดน่องให้เดือนแรมทันที


คนเป็นนักกีฬาเผยรอยยิ้มขณะมองคนรักที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้นแล้วค่อย ๆ บรรจงกดนวดน่องให้เขาด้วยความตั้งใจ


“เพิ่งรู้ว่าพี่สนิทกับมันด้วย” ธันวาชวนคุยเพราะเริ่มรู้สึกประหม่ากับสายตาที่จับจ้องตน


“อือ เห็นมันสนิทกับมึง กูเลยตีสนิทด้วย เผื่อมันจะพาไปรู้จักมึงได้ แต่แม่งไม่ได้เรื่องเลย”


“นี่พี่หวังผลประโยชน์จากคนอื่นเป็นด้วยเหรอ” ธันวาช้อนตาถามด้วยความสงสัย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเดือนแรมมีมุมนี้ด้วย


“กูชอบมึงนะ มึงจะให้กูอยู่เฉย ๆ ไม่หาทางเข้าใกล้มึงเลยเหรอ แล้วก็นะ จะให้กูตีสนิทเพื่อนมึงรึไง อย่างไอ้ดีนงั้นเหรอ” เดือนแรมทำหน้าไม่ถูกเมื่อนึกถึงคนที่ตนพาดพิง


ธันวาหลุดขำก่อนรีบงับปากเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ขำด้วยแต่ก็ยังติดน้ำเสียงขบขันในตอนที่ออกความเห็นอยู่ดี “เดินเข้ามาหากันตรง ๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอพี่ มัววนเวียนรอบตัวเป็นสัมภเวสีเหมือนอย่างที่ดีนว่าจริงด้วย”


“ก็ตอนนั้นไม่รู้นี่ว่ามึงคิดยังไงกับผู้ชายด้วยกัน บุ่มบ่ามเข้าไปจีบตรง ๆ มึงหนีกูขึ้นมาทำไง”


“คิดมาก คิดซับซ้อนนะพี่เนี่ย”


“แค่เรื่องมึงแหละ กูถึงได้บอกไงว่าเรื่องของมึงยากกว่าอนาโตมีอีก” เดือนแรมยื่นมือไปลูบท้ายทอยคนน้องเล่นและดึงมือกลับเมื่อเหล่าลูกทีมพากันกลับเข้ามาที่นั่งพัก


“ไอ้ธันว์ มึงนวดเป็นด้วยเหรอ นวดให้กูบ้างดิ” ตฤณกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ามีความหวังเพราะนานทีจะมีโอกาสได้ใช้งานเพื่อนแบบนี้


เดือนแรมตวัดตามองก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ไอ้เก่งก็นวดเป็น จริงไหมวะ” ประโยคหลังเดือนแรมถามกรองเกียรติที่นั่งอยู่ใกล้กัน


“ครับ ๆ” กรองเกียรติรับคำด้วยน้ำเสียงขบขันและรอยยิ้มที่ปิดแทบไม่มิดเพราะเพื่อนเขาช่างไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตนต้องการนั้นเจ้าของเขาหวงแค่ไหน


“อ้าว เป็นสวัสดิการก็ต้องดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมดิพี่” บางทีกรองเกียรติก็ชักสงสัยว่าตฤณไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของเดือนแรมจริง ๆ หรือกำลังก่อกวนอยู่กันแน่ถึงได้ยังรั้นต่อแบบนี้


เดือนแรมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “สวัสดิการมีหน้าที่ซัพพอร์ตปากท้องนักกีฬา ไม่ได้มีหน้าที่นวดนักกีฬา”


“...”


“อันนี้หน้าที่แฟน ชัดไหม”


ตฤณเริ่มหน้าซีด ยิ้มแห้งก่อนตอบรับเสียงค่อย “ชะ ชัดครับ”


“ชัดแล้วยังอยากแชร์หน้าที่นี้ของธันวาจากกูอีกไหม” น้ำเสียงเย็น ๆ ไม่เพียงทำให้ตฤณหวาดกลัวแต่คนที่สังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ อย่างกรองเกียรติก็ถึงกับหายใจติดขัดไปช่วงหนึ่งด้วยเหมือนกัน


“ไม่แล้วครับ รู้แล้วครับว่าหวงมาก”


“พี่แรมก็แกล้งตฤณมัน” ธันวายืนขึ้นก่อนเอ็ดคนรักไม่จริงจังนักแล้วหันไปหาเพื่อน “เดี๋ยวกูนวดให้ เป็นเพื่อนก็ดูแลกันได้”


“กูทำเอง” กรองเกียรติแทรกขึ้นมา ก่อนรีบชิงดึงตัวตฤณมาหาตัวเองก่อนด้วย “มึงมานั่งนี่ ใกล้ ๆ ตีน เอ้ย! มือกูนี่”


เห็นอย่างนั้นแล้วธันวาก็หันมามองดุเดือนแรม ทว่าอีกฝ่ายไม่นึกกลัวสักนิด ท่าทีไหวไหล่ไม่แยแสนั่นก็น่าหมั่นไส้จนชวนให้วาดมือลงไปไม่แรงนักแทนการทำโทษคนที่ชอบแกล้งคนอื่น “แกล้งเพื่อนผมเก่งจังเลยนะ”


“แกล้งที่ไหน จริงจัง” เดือนแรมตอบหน้าตายก่อนขยายความเมื่อเห็นคนฟังนิ่งไป “ก็มันกวนกู เห็นอยู่ว่าไอ้เก่งนั่งว่างอยู่ยังหาเรื่องให้มึงไปนวดให้อีก จงใจกวนกูชัด ๆ”


ธันวาย้ายฝั่งไปอีกข้างแล้วนั่งลงนวดน่องต่อ ไม่ทันทิ้งช่วงบทสนทนานานก็เอ่ยถามเสียงเบาด้วยน้ำเสียงปกติไม่เจือด้วยความขุ่นเคืองหรือไม่พอใจสักนิด “แล้วทำไมต้องดุจริงจังขนาดนั้นละครับ”


“หวง!”


“ครับ?”


“กูหวงอ่ะ” ท่าทางเดือนแรมในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจเลยสักนิด ทว่าความแปลกตานี้กลับทำให้คนมองใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูกมากกว่าขุ่นเคือง


“...”


“ไม่ได้เหรอ?”


“ดะ ได้ครับ”


“พูดแล้วนะ”


“ครับ ๆ” ธันวาตอบรับพลางส่ายหน้า แสร้งทำเป็นเหนื่อยหน่ายกับการเซ้าซี้ของเดือนแรมกลบความเขินอายของตัวเอง แต่เพราะสีระเรื่อที่ข้างแก้ม เดือนแรมถึงได้สบายใจที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับการแสดงออกของตนอย่างที่กังวล


เดือนแรมกลัว บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้น กลัวว่าแสดงออกตามใจตัวเองมากไปจะทำให้ธันวาไม่พอใจจนก่อเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันได้ โดยไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอคิดมากจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากันมากแค่ไหน คนที่เมื่อครู่ยังนั่งคุกเข่ากับพื้นนวดน่องให้เขาอยู่ก็ลุกขึ้นมานวดขมับและคลายหัวคิ้วออกจากกันให้แล้ว


“ไม่ต้องคิดมากนะครับ โฟกัสเรื่องเกมก็พอ”


เดือนแรมเงยหน้ามองคนที่บดบังทัศนียภาพของสนามตรงหน้าเสียมิด “อือ”


“ไม่ต้องชนะก็ได้ แต่อย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ ผมจะนั่งเชียร์อยู่ตรงนี้แหละ”


รอยยิ้มของธันวาพิมพ์ใจเสมอ เมื่อก่อนแอบมองชอบรอยยิ้มนี้อย่างไรตอนนี้ก็ยังชอบอย่างนั้น และรู้สึกว่ามันช่างมีอิทธิพลกับอารมณ์ของเขาเสียจริง “ขอบคุณครับ”


ก่อนเกมเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย บอยที่เป็นหนึ่งในช่างภาพของงานนี้ก็เข้ามาถึงสนามพร้อมกล้องตัวใหญ่คล้องคอที่ดูจะเกิินตัวไปสักนิด เจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดกับเดือนแรมว่าข้างนอกว่าร้อนระอุแล้วแต่ในนี้กลับอบอ้าวกว่าเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมทำหน้าที่ของตนเองในที่นี้อย่างเต็มที่อยู่ดี


เดือนแรมไม่ได้ลงแข่งในควอเตอร์แรก เขาปล่อยให้ลูกทีมได้เล่นสนุกและโชว์ฝีมือที่ตัวเองภูมิใจกันอย่างเต็มที่เสียก่อน เพราะอย่างนั้นธันวาจึงละสายตาจากเกมการแข่งขันได้อย่างไม่ลำบากใจนักในตอนที่ถูกพี่เลี้ยงกองเชียร์ร้องขอให้ช่วยไปหาถุงขยะมาเพิ่ม


ธันวาเดินกลับไปกองสวัสดิการที่หน้าโรงยิมกลางเพียงลำพัง ยกหลังมือแตะซับเหงื่อตามใบหน้าเป็นระยะเพราะอากาศร้อนระอุจริงอย่างที่บอยบอกไว้ หากไม่ติดว่าต้องรีบกลับไปดูเดือนแรมแข่งบาสเกตบอล เขาก็อยากแวะเข้าไปอู้ตากแอร์ในโรงยิมกลางเสียหน่อย


“ผมมาขอถุงขยะเพิ่มครับ” ที่กองสวัสดิการมีแต่ทีมงานเจ้าภาพ ธันวาจึงไม่ต้องเสียเวลาพิลี้พิไลมากนัก


“นี่ครับ”


ก่อนที่ธันวาจะยื่นมือออกไปรับถุงสำหรับใส่ขยะมาถือไว้ได้ก็มีใครบางคนแย่งมันไปจากมืออีกฝ่ายต่อหน้าต่อตาเขาเสียก่อน


ธันวาหันไปมอง คนมาใหม่ไม่รอให้เขาโวยวายก็รีบแก้ต่างออกมาเสียก่อน “ถ้านายจะถือกลับไปสนามบาส ให้ผมช่วยถือนะครับ ยังไงก็ไปที่เดียวกันอยู่แล้ว”


“เอ่อ แต่ของแค่นี้เองนะครับ”


“งานแบบนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้เราสร้างสัมพันธไมตรีกันไม่ใช่เหรอครับ เพราะฉะนั้น ต่อให้ไม่มีอะไรให้ช่วยมากนัก ก็อย่าตัดไมตรีกันเลยครับ”


ธันวายิ้มบาง ๆ ไม่รั้นที่จะปฏิเสธอีกแล้วยอมเดินข้างกันกลับไปสนามบาสเกตบอลโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในสถานการณ์ประดักประเดิดกันนานนัก


“แค่ถุงขยะแค่นี้ ต้องเดินไกลเลยนะครับ”


“ครับ” ธันวาติดรอยยิ้มไว้บนใบหน้าเพื่อไม่ให้ดูเป็นการตอบรับแกน ๆ นัก


“ผมชื่อไบรท์นะครับ”


ธันวาเหลือบมองป้ายชื่อที่ห้อยคออีกฝ่ายอยู่ มองผ่าน ๆ ให้พอรู้ว่าเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันเท่านั้น “ผมธันว์ครับ ไม่ต้องสุภาพด้วยมากก็ได้ เราเป็นเพื่อนกัน”


“อื้อ แล้วนี่ไม่เอะใจชื่อเราเลยเหรอ”


“หือ?”


“เราเป็นบัดดี้นายไง”


“อ้อ...” กว่าจะร้องอ้อเสียงยาวออกมาได้ก็ต้องใช้เวลานึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มแห้งเพราะรู้สึกผิดที่ไม่ได้จำชื่ออีกฝ่ายไว้ทั้งที่รู้ตั้งแต่ตอนที่ลงทะเบียนแล้วว่าใครเป็นบัดดี้ของตน “โทษทีนะ”


“แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจมารู้จักเพื่อนใหม่เลยดิ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ธันวาปฏิเสธทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะสนใจใครหรืออะไรรอบตัวมากนัก ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนคนที่วนเวียนรอบตัวเขาตลอดอย่างเดือนแรมคงไม่หลุดจากโฟกัสสายตาเขาไปได้ตั้งนานแน่ “เราแค่จำชื่อไม่ได้น่ะ”


จากที่ตั้งใจว่าแค่รู้จักกันผ่าน ๆ แค่ว่าอีกคนคือคนที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ธันวาต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่เพราะอาจมีกิจกรรมให้ต้องพบเจอกันอีกก็เป็นได้


ธันวามองสำรวจอีกฝ่าย เลือกจำเฉพาะจุดเด่นเป็นต้นว่าไบรท์เป็นผู้ชายร่างสูงพอกัน สีผิวโทนเหลือง ใบหน้าคมเข้มเป็นเอกลักษณ์


“นายเป็นสวัสดิฯเหรอ”


“อือ”


“เหมือนกันเลย บังเอิญจังวะ”


ธันวาได้แต่ยิ้มตามมารยาทเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่งสักเท่าไหร่ เรื่องจะให้ต่อบทสนทนากับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ลื่นไหลนั้นเห็นทีว่าคงยาก


ทว่าไม่ใช่กับไบรท์ รายนั้นหยิบยกมาพูดได้หมดไม่ว่าพวกตนจะเดินผ่านตึกไหน ทั้งประวัติและการใช้สอยที่คนฟังเพียงแค่เออออตามแต่ไม่ได้ใส่ใจนัก


ก่อนแยกกันเดินไปคนละฝั่งคณะตัวเองในตอนที่มาถึงสนามก็ยังทิ้งท้ายไว้อีกด้วยว่ารอเจอกันในงานเลี้ยงคืนนี้


ธันวาขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่อุตริขอช่องทางติดต่อตนก่อนแยกกัน ไม่อย่างนั้นจากสายตานิ่ง ๆ ของเดือนแรมที่มองมาแต่ไกลอาจขุ่นเคืองขึ้นได้



“เขาเป็นบัดดี้ผมครับ” ธันวารีบบอกก่อนที่เดือนแรมจะถามออกมาทันทีที่เดินมาถึงตัวจนถูกกรองเกียรติแซวลอย ๆ ว่าเขาร้อนตัว


ธันวาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนก่อนยื่นถุงใส่ขยะให้พี่เลี้ยงกองเชียร์แล้วกลับมายิ้มหวานเอาใจเดือนแรม “เขาแค่เทคแคร์ในฐานะบัดดี้แหละ ไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก”


“เหอะ! น้อยไปน่ะสิ!” เสียงกรองเกียรติพึมพำดังแว่วเข้าหูที่ช่างตรงใจเดือนแรมเสียจริง คนไม่คิดอะไรด้วยที่ไหนจะช่วยถือของที่แม้แต่เด็กเล็กยังถือเองได้อย่างถุงขยะ นอกเสียจากว่าหาเรื่องใกล้ชิด


ทว่าสิ่งที่พูดออกไปกลับตรงกันข้าม “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” พูดจบก็หันไปให้ความสนใจกับเกมตรงหน้าต่อ ใกล้จบควอเตอร์แรกแล้วและคะแนนก็กำลังไปได้สวย แต่เห็นทีว่าเขาคงต้องลงแข่งควอเตอร์ที่สองผิดจากที่ตั้งใจไว้เพราะอารมณ์คุกรุ่นในอกมันไม่อาจสงบนิ่งได้ด้วยการควบคุมอีกแล้ว


“จริงเหรอ แต่หน้าพี่ฟ้องนะ” ธันวาเย้ายิ้ม ๆ


“ธันวา…” ในหน้าขมึงตึงหันกลับมามองกันจนคนเย้าผงะ “...มึงดูออกว่ากูไม่สบายใจที่เห็นเขาเข้าใกล้มึง แต่มึงมองเจตนาเขาไม่ออกว่าเข้ามาจีบ...เพราะมึงเป็นแบบนี้ไงกูเลยทั้งหึงทั้งเป็นห่วง แต่กูก็ไม่อยากงี่เง่าใส่มึง” เดือนแรมระบายออกมา สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสับสนทางความรู้สึกอย่างที่เจ้าตัวว่า


“พี่แรม…”


“ถ้าเกิดอะไรขึ้นในสนาม อย่าตกใจนะ กูขอเวลาจัดการอารมณ์ตัวเองก่อน” เดือนแรมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนลุกไปหาลูกทีมคนอื่นที่นั่งรอเป็นตัวสำรอง


“เคยพูดแล้วว่าอย่าเชื่อคนง่าย มึงนี่มองคนไม่ขาดสักทีวะ ภัยถึงตัวก่อนตลอด” กรองเกียรติขยับตัวมานั่งแทนที่เดือนแรมก่อนบ่นเพื่อนรัก


“ถ้ากูมองขาดกูก็คงรู้ว่าพี่แรมจีบตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาสอนอนาโตมี่แล้วป่ะวะ”


เกมการแข่งขันในควอเตอร์สองดุดันขึ้นตามอารมณ์ของกัปตันทีมฝั่งนี้จนคะแนนยิ่งทิ้งห่างแบบลอยตัว แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามด้วยฝีมือที่มีขนาดไหนก็ไม่อาจต้านทานเกมรุกของเดือนแรมได้จนหลายคนสงสัยว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมายขนาดนี้ และแม้เดือนแรมจะทำคะแนนให้ทีมมากแค่ไหนในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำคะแนนจากลูกโทษเหมือนกัน


ขณะที่คนเชียร์อยู่ข้างสนามอย่างธันวาจับตามองด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นคนรักเล่นเกมรุนแรงจนถูกกระแทกในบางจังหวะก็ยิ่งนั่งไม่ติด และโชคดีจริง ๆ ที่สิบนาทีตลอดควอเตอร์สองเดือนแรมไม่ได้รับบาดเจ็บหรือล้มไถลไปกับพื้นอย่างที่กังวล


อยากจะโกรธในตอนที่คนพี่เดินกลับเข้ามานั่งพัก แต่พอเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนก่อนลงเล่น น้ำเปล่าและผ้าเย็นในมือที่เตรียมไว้ให้ก็ถูกยื่นออกไปให้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


“ขอบคุณที่ไม่บาดเจ็บกลับมานะครับ”


เดือนแรมใจกระตุก ทั้งสีหน้าแววตาของธันวาทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ และอยากรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับทำได้แค่ก้าวเข้าไปใกล้อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”


เดือนแรมคิดว่าเขาเข้าใจอะไรได้มากขึ้นจากแววตาที่มักดื้อรั้นคู่นั้น อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าข้อเท็จจริงที่สุดคือธันวาอยู่กับเขาทั้งตัวและหัวใจ ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องกังวลเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ และเขาก็ต้องจัดการความรู้สึกตัวเองให้ดีกว่านี้ด้วย เพราะสีหน้าทุกข์ใจของธันวาไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะเห็นเอาเสียเลย


จบเกมการแข่งขันบาสเกตบอลในปีนี้มหาวิทยาลัยของพวกเขาก็ยังสามารถเอาชนะไปอย่างเฉียวฉิวได้อีกหนึ่งปี ธันวาพุ่งเข้าไปกระโดดกอดเดือนแรมด้วยความดีใจแบบไม่กลัวสายตาใครก่อนจะผละออกมายืนข้าง ๆ ในตอนที่บอยเดินเข้ามาเล่าให้เดือนแรมฟังด้วยความตื่นเต้นว่าในช่วงท้ายตนไม่กล้ากดชัตเตอร์เพราะเกมสนุกจนอยากมองด้วยตาตัวเองมากกว่าผ่านเลนส์


หลังจากถ่ายรูปรวมทีมทั้งฝั่งตนเองและร่วมกับเจ้าภาพแล้วธันวาก็รีบเซลฟี่คู่กับกัปตันคนเก่งก่อนปลีกตัวไปทำหน้าที่สวัสดิการของตัวเองพร้อมกรองเกียรติ



คณะอื่นอาจจะแข่งกีฬาสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยร่วมกันหลายแห่ง แต่สถาบันของพวกเขาที่นับว่าเป็นคณะแพทย์เก่าแก่จัดงานนี้ขึ้นเพื่อกระชับมิตรกันแค่สองแห่งอันเป็นที่มาของชื่อกีฬาสองเข็ม เพราะอย่างนั้น ในการแข่งขันทุกกิจกรรมทั้งกีฬาและวิชาการจึงมักจะผลัดกันชนะในแต่ละปี จะมีก็แต่บาสเกตบอล ฟุตซอล และแข่งตอบปัญหากายวิภาคเท่านั้นที่ฝั่งมหาวิทยาลัยของธันวาชนะติดต่อกันสองปีซ้อนแล้ว


และเพราะต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันมากในทุกฝ่าย ช่วงกิจกรรมในค่ำคืนจึงเป็นการปลดปล่อยให้นักศึกษาจากทั้งสองมหาวิทยาลัยได้ผ่อนคลายเพลิดเพลินกับทั้งอาหารและบรรยากาศกันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสานสัมพันธ์อีกมากให้ได้ร่วมสนุก ซึ่งล้วนแต่เป็นเกมที่ต้องจับคู่กับบัดดี้เพื่อแข่งขันทั้งนั้น


ในตอนนั้นเองที่เดือนแรมได้เจอกับบัดดี้เป็นครั้งแรกตอนที่สาวเจ้าเข้ามาแนะนำตัวและชวนเล่นเกมด้วยกันถึงโต๊ะอาหารที่มีทั้งกลุ่มของเขาและธันวารวมอยู่ด้วย ชายหนุ่มทำความรู้จักแค่ชื่อแต่ไม่รับไมตรีที่มากกว่านั้น รวมไปถึงออกปากปฏิเสธไบรท์ที่เข้ามาชวนธันวาด้วยเหมือนกัน


“ขี้หึงขี้หวงเกินไปแล้วสัด” ไนท์ว่าขึ้นเรียบ ๆ คล้ายตั้งใจจะติมากกว่าแซว “ให้น้องมันเลือกเองบ้าง”


เดือนแรมฉุกคิดตามที่เพื่อนว่า ทว่าคนที่ถูกพาดพิงกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะวิตกไปมากกว่านี้ “ดีแล้วแหละครับที่พี่แรมปฏิเสธให้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขายังไงเหมือนกัน”


“นี่ก็สปอยล์กันดีเหลือเกิน” ไนท์ส่ายหน้าระอาแต่ก็ดีใจที่ทั้งสองเข้ากันได้ดี


“เขาถึงได้ว่าคนจะคบกันได้ต้องศีลเสมอกัน” บอยสรุปให้คนทั้งโต๊ะได้พยักหน้าเห็นด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง


ทั้งที่สถานการณ์จบลงด้วยดีแต่ดูเหมือนว่าคนข้างกายยังไม่สบายใจ ธันวาขยับมือเข้าไปใกล้มืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ ไต่นิ้วขึ้นไปบนหลังมือแล้วลูบเบา ๆ ให้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดมากอย่างที่ใครคิดแทนเลยสักนิดจนสีหน้าของเดือนแรมเริ่มดีขึ้น


รอยยิ้มบาง ๆ เริ่มปรากฏบนใบหน้าคนเป็นพี่ สิ่งหนึ่งที่เดือนแรมได้เรียนรู้จากไนท์คือต่อไปเขาคงต้องแสดงความเป็นเจ้าของธันวาอย่างโจ่งแจ้งให้น้อยลง อย่างน้อยก็ต้องไม่จำกัดสิทธิ์ในการตัดสินใจของคนรัก แต่สิ่งที่ควรทำคือทำให้ธันวาอยากเลือกเขาแทนที่จะเป็นคนอื่นด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง ๆ



ธันวากับเดือนแรมแทบจะเป็นสองคนที่นั่งเฝ้าโต๊ะเช่นเดียวกันกับไนท์ที่ไม่คิดจะออกไปร่วมสังสรรค์กับส่วนกลางเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้นั่งประจำโต๊ะอย่างเดียวเหมือนสองคนนั้น เขายังคงแวะเวียนไปหาเพื่อนคนนั้นคนนี้เพื่อพูดคุยอยู่บ้าง


ปกป้องทักมาตรงเวลากับที่บอกไว้แบบพอดิบพอดี ธันวาตอบข้อความกลับไปแล้วก็รีบบอกลาเดือนแรมทันทีเพราะเกรงว่าญาติผู้พี่จะบุกเข้ามาหาถึงในนี้จริงอย่างที่ขู่ไว้เมื่อเช้า ท่าทีรีบร้อนของน้องทำให้เดือนแรมไม่ทันรั้งหรือแย้งอะไรได้จึงจำต้องปล่อยให้น้องกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมีโอกาสเดินออกไปส่ง


เดือนแรมนั่งครองโต๊ะเพียงลำพังอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะมีคนกลับมานั่งเป็นเพื่อน


“ไอ้ธันว์ไปไหนแล้วล่ะพี่” กรองเกียรติที่กลับมาที่โต๊ะก่อนใครถามเดือนแรมเมื่อไม่เห็นเพื่อนรักตนนั่งอยู่ด้วย


“กลับบ้านไปสักพักแล้ว”


“ห๊ะ! บ้านไหน ไปกับใครครับ ผมคิดว่ามันจะนอนที่หอซะอีก” กรองเกียรติจำที่เพื่อนบอกไว้ในตอนเช้าได้ และนั่นทำให้เขาเข้าใจโดยบริบททันทีว่าอีกฝ่ายต้องนอนค้างที่หอพักอย่างแน่นอน


รุ่นพี่หนุ่มส่ายหน้า “กลับไปนอนบ้าน พี่ชายมารับ”


“เชี่ย! ไอ้พี่ป้องอะนะ”


เดือนแรมขมวดคิ้วมุ่น สังเกตเห็นท่าทีกังวลแปลก ๆ ของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ตอนรู้ว่าธันวากลับบ้านแล้ว “มีอะไร”


“ผมว่าเราต้องไปบ้านมันเดี๋ยวนี้เลยพี่ สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ ยิ่งวันนี้ลุงภาสไม่อยู่บ้านด้วย” กรองเกียรติไม่เสียเวลาขยายความต่อ รีบคว้าแขนคู่สนทนาออกวิ่งไปด้วยกัน มีเพียงความกระจ่างเดียวที่เดือนแรมรู้คือธันวาอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย!








TBC.
-----------------------------------------------------
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสดงว่า  ทั้งลุงและพี่ชายเนี่ย  หวังเคลมธันวากันใช่มั้ย?

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)






การลืมตาตื่นในครั้งนี้ต่างจากครั้งไหน ๆ เพราะเปลือกตาไม่ได้เปิดออกช้า ๆ ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ค่อย ๆ ฉายชัด ธันวาไม่อาจเรียกว่านี่คือการตื่นด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงแค่การรู้สึกตัวจากสิ่งเร้าที่มาในรูปแบบของการถูกใครบางคนพยายามกรอกของเหลวบางอย่างเข้าปากเขา ร่างกายจึงตอบสนองทันทีด้วยการพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกตามธรรมชาติ แต่เพราะว่ามีมือของใครบางคนปิดช่องทางออกเอาไว้ สิ่งที่ควรถูกขับออกจึงไหลย้อนกลับลงไปในร่างกายแบบที่บางส่วนไม่ถูกที่ถูกทางนักจนเกิดอาการสำลัก


ธันวาสำลักไอจนหน้าแดงหูแดง ในตอนที่อยากจะยกมือขึ้นลูบกลางอกตัวเองเพื่อบรรเทานั้นเองถึงได้รู้ว่าแขนทั้งสองข้างถูกจับแยกมัดกับหัวเตียงด้วยเข็มขัดหนัง รวมถึงขาทั้งสองข้างด้วย


เตียง…


ความตื่นตระหนกตามมาหลังจากสติที่เริ่มมากขึ้น ความรู้สึกคุ้นเคยบอกว่านี่เป็นห้องนอนตัวเองก่อนที่จะกวาดสายตาสำรวจเสียอีก อย่างน้อยสิ่งที่ช่วยยืนยันความเชื่อมั่นนี้ก็คือรูปพ่อกับแม่ของเขาที่มองเห็นอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือปลายเตียง


ธันวาฉุกคิดได้ในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาไม่ได้วางรูปพ่อกับแม่ไว้ตรงนั้น!


“ไง น้องรัก” คำเรียกที่เน้นเสียงกระแทกกระทั้นและสีหน้าเคียดแค้นช่วยเตือนสติคนที่เพิ่งตื่นได้ระลึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี จำได้ว่าทันทีที่ขึ้นรถก็ถูกอีกฝ่ายปิดจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้า ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นสติก็พร่าเลือนจนหายไปในที่สุด


ธันวาขยับตัวหนีไปอีกฝั่งทั้งที่ถูกมัดตรึงกับเตียงอยู่แบบนั้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดีในสายตาคนมอง “พี่จะทำอะไร ปล่อยผมไปเถอะครับ”


ปกป้องเหยียดยิ้ม แม้ว่าธันวาจะระวังตัวและเว้นระยะห่างเสมอกับญาติผู้พี่คนนี้ แต่ธันวากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่ปกป้องแสดงออกให้เขารู้สึกกลัวได้มากเท่าครั้งนี้ “ปล่อยไปให้โง่เหรอ มึงรู้ไหมว่าการที่กูอดทนให้ถึงวันนี้ได้มันยากแค่ไหน”


“พี่จะทำอะไรผม อย่าทำแบบนั้นกับผมอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง” ความรู้สึกเมื่อสามปีก่อนเหมือนฝุ่นที่ถูกตีคลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสจากฝ่ามือที่ฉวยโอกาสไล้ไปตามใบหน้าเขาในยามที่หลับตาพักบนรถยังชวนให้รู้สึกขยะแขยงจนต้องคอยระวังตัวทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันนับแต่นั้นมา


ปกป้องทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงก่อนยื่นมือออกไปบีบหน้าคนเป็นน้องแล้วถามด้วยเสียงเย็น ๆ “แบบนั้น? แบบไหน? ทำอีก? มึงหมายความว่าไง?”


“บ...แบบคืนนั้น ปล่อยผมไปเถอะครับ”

เหมือนเป็นแรงกระตุ้นโทสะ ปกป้องปล่อยมือแรงจนอีกฝ่ายหน้าหันทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น “กูไม่เคยทำอะไรมึง! อย่าคิดว่ากูจะพิศวาสมึงนะธันว์ กูอยากขยี้มึงให้แหลกด้วยมือกูเองด้วยซ้ำแต่กูขยะแขยงมึงเกินกว่าจะแตะต้องมึง รู้เอาไว้!”


“พี่ป้อง” ธันวาครางเสียงอ้อนวอนปนตกใจ เริ่มรู้สึกมึนเวียนศีรษะและสายตาพร่ามัวไม่ชัดเหมือนเดิม


“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู!! รู้ไหมว่ากูเกลียดชื่อนี้มากแค่ไหน ปกป้องเหรอ หึ กูขยะแขยงตัวเองทุกครั้งที่ได้ยินพ่อหรือมึงเรียกชื่อกู เพราะอะไรมึงรู้ไหม…” แม้ไม่ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าแต่แววตาของปกป้องก็ไม่ได้แข็งกร้าวเสียทีเดียว ยังฉายแวววูบไหวด้วยความน้อยใจให้เห็นแม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม “...เพราะพ่อกูรักมึงมากไง รักมากทั้งที่มึงยังไม่เกิดเลยตั้งชื่อนี้ให้กูที่เกิดออกมาก่อนเพราะอยากให้กูดูแลปกป้องมึงอย่างดี! หึ ไหนว่าที่คุณหมอลองคิดต่อสิว่าอะไรทำให้พ่อกูรักมึงมากขนาดนี้”


“...”


“ไม่แน่หรอกนะ บางทีมึงอาจจะเป็นลูกเขาก็ได้”


“พี่กำลังดูถูกพ่อตัวเอง”


“กูด่าแม่มึงด้วย!” ปกป้องตะคอกสวนขึ้นทันควัน


“แม่ผมไม่มีทางนอกใจพ่อ”


“เพราะแม่มึงนั่นแหละที่ทำให้แม่กูตรอมใจตาย เพราะแม่มึงทำให้พ่อกูหลงหัวปักหัวปำจนแม่กูต้องตาย มึงได้ยินไหม!!!!”


“ไม่จริง”


“ยิ่งมึงโตมาหน้าเหมือนแม่มึง พ่อกูก็ยิ่งรักมึง ทั้งที่กูพยายามเสนอตัวเกี่ยวกับเรื่องของมึงเพื่อให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาพ่อบ้าง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งไร้ความหมาย ยิ่งทำกูยิ่งรู้สึกอยากให้มึงหายไปจากโลกนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำอย่างนั้นพ่อกูอาจจะตรอมใจตายตามมึงไป มันคงเป็นภาพที่น่าสมเพชเกินกว่ากูจะรับไหวแน่ ๆ กูเลยจะให้มึงได้ขึ้นสวรรค์แทน หึ ไม่ต้องห่วงหรอกน้องชาย กูเลือกคนที่เหมาะสมกับมึงอยู่แล้ว”


“มะ ไม่นะครับ อย่าทำแบบนี้เลยครับพี่ป้อง ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” ไม่ว่าคนที่ปกป้องพูดถึงจะเป็นใครเขาก็ไม่อยากรู้ สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเปลี่ยนใจญาติผู้พี่ให้ได้


“กูไม่ได้ทำลายมึงเพราะอยากให้พ่อหันมาสนใจกู!! กูทำลายมึงเพราะกูเกลียดมึง กูอยากเห็นมึงแหลกสลาย แม้ว่าจะทำให้พ่อรักมึงมากขึ้นก็ตาม แต่ถ้ามึงแหลกสลาย กูก็ว่ามันคุ้มนะ” ปกป้องปิดท้ายด้วยยิ้มเย็นที่ดูโรคจิตอย่างไรชอบกล


“พ...พี่ป้อง”


“ไม่ต้องเรียกบ่อย กูจำได้ว่าตัวเองชื่ออะไร!”


“ผมขอโทษ ฮึก” แม้ท้ายประโยคจะมีเสียงสะอื้นหลุดออกมาแต่ก็ไม่อาจทำให้ปกป้องใจอ่อนหรือแม้แต่ชะงักการกระทำของตัวเองได้


ธันวาคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทัศนียภาพถึงได้พร่าเบลอจนตนต้องหรี่ตาเพ่งมองมากกว่าปกติถึงจะระบุตัวตนของคนที่เข้ามาใหม่ได้ว่าคือใคร


“พะ พี่ต้า” คนถูกมัดตรึงกับเตียงเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก


“เห็นไหมล่ะว่าพี่ชายคนนี้รักน้องธันว์มากแค่ไหน หึหึ”


“เมื่อไหร่ยาจะออกฤทธิ์วะ” ต้าถาม มองธันวาด้วยสายตาโลมเลียอย่างคนอดรนทนไม่ไหว


“พะ พี่จะทำอะไรผม”


ปกป้องเดินเข้าไปนั่งใกล้ แต้มรอยยิ้มเย็น ๆ บนใบหน้าที่ชวนให้คนมองขนลุกซู่จนเนื้อตัวสั่น “บอกแล้วไงว่าจะพามึงขึ้นสวรรค์ จำความรู้สึกนี้ไว้นะน้องรัก เพราะจะไม่มีการอัดวิดีโอให้มึงดูย้อนหลัง แต่พี่ป้องคนนี้จะคอยอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูความสุขของมึงอย่างที่พ่อกูต้องการเอง...”


“พี่ป้อง ไม่นะครับ อย่าทำแบบนี้” ธันวาร้องเสียงดังขึ้น ส่งสายตาเว้าวอนให้คนที่เดินไปนั่งไขว่ห้างตรงปลายเตียงข้างรูปถ่ายพ่อแม่ของเขาด้วยท่าทีใจเย็นราวกับกำลังจะได้ดูละครเรื่องโปรดที่แสนจะจรรโลงใจ “...เหมือนพ่อแม่มึงนี่ไง มองไว้สิ พวกท่านก็กำลังมองมึงมีความสุขอยู่นะ”


“ขอโทษ ผมขอโทษ”


“ยาน่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว มึงกระตุ้นสักนิดหน่อยมันก็เคลิ้มแล้ว” ปกป้องว่าเสียงแข็ง ไม่สนใจเสียงเว้าวอนของญาติผู้น้องเลยสักนิด


“ไม่นะพี่ต้า ปล่อยผมไปเถอะครับ”


“ปล่อยให้โง่สิวะ เรามาสนุกกันดีกว่านะ สัญญาเลยว่าจะไม่ทำแรง”


ธันวาส่ายหน้าแรง เนื้อตัวสั่นจนเกร็ง นอกจากเวียนศีรษะและตาพร่ามากขึ้นตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกปวดหน่วงที่อวัยวะเพศจนอึดอัดภายในเป้ากางเกงแล้ว


ต้ายกยิ้ม เช่นเดียวกับคนที่นั่งมองอยู่ ธันวาไม่เข้าใจว่าทำไมญาติผู้พี่ของเขาถึงได้โหดเหี้ยมจนถึงขั้นนั่งดูความทรมานของเขาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจแบบนั้นได้ ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าใครเป็นอย่างไร เพราะเมื่ออันตรายอยู่ตรงหน้า สิ่งเดียวที่ทำได้คงเป็นการตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทั้งที่รู้ว่าห้องตนเก็บเสียงได้ดีในระดับหนึ่งและในเวลาแบบนี้คงไม่มีใครบังเอิญผ่านมาได้ยินแน่


ธันวาดิ้นพล่านในตอนที่ต้ากดริมฝีปากลงมาทาบทับ พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้รุกล้ำไปมากกว่านั้น แม้ในตอนที่ถูกกัดเพื่อให้ยอมเปิดปากด้วยความเจ็บก็ยังถูกข่มเอาไว้แล้วดึงดันที่จะป้องกันตัวเองอย่างสุดความสามารถ ลำตัวที่ถูกตรึงไว้บิดเกร็งด้วยทั้งหวาดกลัวและต่อต้านความต้องการภายในที่กำลังถูกกระตุ้น


เมื่อริมฝีปากสีสดไม่ได้ดั่งใจลำคอขาวจึงเป็นเป้าหมายต่อไป แม้ธันวาจะไม่เชื่อคำที่ต้าบอกว่าจะไม่ทำแรงแต่ก็ไม่คิดว่าต้าจะเหมือนสัตว์ป่าหิวโหยราวกับจะกลืนกินเขาอย่างมูมมาม ธันวากรีดร้องสุดเสียง เปลือกตาปิดสนิทจนแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะมองให้ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดเหล่านี้


คงเป็นโชคดีของเขาอยู่บ้างที่ใส่เสื้อยืดคอปก ไม่อย่างนั้นกระดุมเสื้อคงถูกแกะออกจนเผยผิวเนื้อช่วงบนไปอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นหน้าท้องก็ยังถูกอีกฝ่ายสัมผัสได้ง่ายด้วยการเลิกชายเสื้อขึ้นอยู่ดี


ความทรมานและเสียงกรีดร้องของญาติผู้น้องคือสิ่งที่ทำให้ปกป้องมีรอยยิ้ม ยิ้มที่เหมือนกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในคอมากมายเพราะไม่ต้องการเผยมันออกมา ไม่รู้ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่นัยน์ตาที่เคยแข็งกร้าวเริ่มสั่นระริก เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า คงเพราะกำลังเต็มตื้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้...แต่ว่า...ไม่ใช่เพราะเด็กน้อยในวันนั้นแน่หรือที่ทำให้เขามีน้ำตา


‘พี่ป้องครับ ผมอยากเล่นด้วย’

เด็กชายวัยประถมปลายที่ยังเต็มไปด้วยความใสซื่อวิ่งซนเข้ามาหาเขาด้วยแววตาเป็นประกายเมื่อเห็นรถบังคับกระป๋องในมือเขาที่กำลังเป็นที่นิยมในสมัยนั้น ท่าทีอ่อนน้อมน่าเอ็นดูจนเขาต้องยอมลดจำนวนครั้งในการเล่นของตัวเองที่ต่อรองพ่อมาได้เพื่อสอนเจ้าน้องน้อย และหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเจ้าตัวก็กลับมาพร้อมกับยื่นรถบังคับคันใหม่ให้เขาเพื่อตอบแทนที่สอนเล่นจนแข่งชนะเพื่อนได้ ยังเล่าอย่างภาคภูมิอีกด้วยว่าอวดเพื่อนไว้ว่าได้ครูดีเป็นเขา หลังจากนั้นแววตาซุกซนคู่นั้นก็มองเขาด้วยความชื่นชมราวกับเป็นฮีโร่ก็ไม่ปานมาโดยตลอด



ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ธันวาคือความสดใสของเขา


แต่ก็นานจนลืมเลือนไปเกือบหมดสิ้นแล้ว


ปกป้องปาดน้ำตาทิ้งแล้วมองภาพตรงหน้าต่อ


ธันวาทั้งกรีดร้องทั้งสะอื้นไห้ด้วยความกลัวจนแทบขาดใจในบางช่วงเพราะหายใจไม่ทัน ยิ่งในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ยิ่งต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนร้องให้สุดเสียง “ช่วยด้วย!!!”


ก็อก ก็อก ก็อก


ต้าชะงักเล็กน้อยแต่ไม่หยุดเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองยังนิ่งเฉยต่อสิ่งรบกวนที่ดังเป็นครั้งที่สอง


ก็อก ก็อก ก็อก


เสียงเคาะประตูยังดังอย่างต่อเนื่องด้วยจังหวะสม่ำเสมอราวกับแค่คนมาเคาะเรียกเหมือนไม่รับรู้ถึงสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในห้องนี้ยิ่งทำให้ปกป้องหัวเสีย ฟึดฟัดอยู่เล็กน้อยก่อนเอ่ยขับไล่โดยไม่คิดถามว่าใครกันที่มารบกวนพวกตน


เดือนแรมเกือบจะทนไม่ไหวในตอนที่กรองเกียรติยังใจเย็นเคาะประตูด้วยจังหวะปกติเพื่อไม่ให้คนข้างในรู้ตัวว่ามีคนตามมาช่วยธันวาหากว่าประตูไม่เปิดออกมาก่อนความอดทนของเขาจะหมดสิ้น สาบานได้เลยว่าประตูต้องพังด้วยฝีมือเขาแน่


เดือนแรมผลักหนุ่มรุ่นน้องออกจากทิศทางฝ่าเท้าของตัวเองเมื่อประตูเปิดออก เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครคือคนที่โผล่หน้าออกมาเพราะแรงถีบถูกส่งออกไปทันทีด้วยโทสะ


“ไอ้เหี้ย!!” เดือนแรมโกรธจนตัวสั่นในตอนที่เห็นใครบางคนทับอยู่บนร่างของธันวา คนที่เขาเฝ้าถนอมด้วยดีมาตลอดกำลังถูกย่ำยีอย่างคนไม่มีจิตใจทำให้เดือนแรมไม่อาจรอช้า เพียงเสี้ยวนาทีเดียวกรองเกียรติก็เห็นร่างของต้าถูกกระชากออกจากตัวเพื่อนรักและซ้ำด้วยหมัดดุ้นอีกเต็มแรง


“ธันวา ธันวา พี่มาช่วยแล้ว ปลอดภัยแล้วนะคนดีของพี่” เดือนแรมประคองใบหน้าน้องที่ยังหลับตาปี๋ เนื้อตัวสั่นสะท้านน่าสงสารจนอยากจะประคองกอดไว้แนบอกแต่เพราะความรู้สึกโกรธที่มากไม่แพ้กันทำให้เขาต้องผละออกไปจัดการกับปกป้องและต้าเสียก่อน โดยไม่ลืมบอกให้กรองเกียรติช่วยพาธันวาออกไปจากที่นี่โดยเร็ว


“พี่แรม” ธันวาร้องเรียกเสียงแผ่วราวกับใช้เสียงหมดไปแล้วกับการกรีดร้องเมื่อครู่


“ปลอดภัยแล้วนะมึง” กรองเกียรติจัดแจงเสื้อผ้าปิดร่างกายให้เพื่อนเรียบร้อยก่อนแก้มัดทั้งมือและขา แต่เพราะร่างกายอีกฝ่ายยังบิดเร้า สีหน้าเบ้บอกอารมณ์ไม่ถูก ผิวเนื้อแดงปลั่ง และที่สะดุดตาคือเป้ากางเกงตุงมากจนคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย “มึงโดนยาเหรอ”


ธันวาพยักหน้าช้า ๆ แม้ไม่มั่นใจในอาการนักแต่ก็คิดว่าไม่ผิดไปจากที่กรองเกียรติคิดแน่


กรองเกียรติสบถคำหยาบก่อนหันไปขัดคนที่กำลังสู้กับคนอีกสองคนอย่างบ้าคลั่ง “พี่แรม”


“บอกให้พามันออกไปก่อนไงวะ!”


“ธันว์โดนยาปลุกพี่...พี่พามันไปดีกว่า เดี๋ยว…” ไม่ทันจบประโยค เดือนแรมก็เข้ามาถึงตัวเสียก่อน


“ฝากทางนี้ด้วย”



เดือนแรมประคองกอดร่างสั่นเทาของธันวาไว้แนบกายในตอนที่พาลงมาจากชั้นสองของบ้าน ทั้งห่วงน้องและโกรธตัวเองที่มีส่วนทำให้อีกฝ่ายต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ หากเขาตามออกไปส่งหรือขอให้กลับด้วยกันก็คงไม่เกิดเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ขึ้น


“อยู่กับพี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะธันวา” เดือนแรมกระซิบบอกน้อง แม้ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะมีสติรับรู้เพียงพอ แต่ก็อยากบอกให้น้องวางใจ “ไปหาหมอกันนะ”


ธันวาส่ายหน้า จับล็อกแขนคนพี่ไว้แน่น “ไม่เอา ไม่อยากไป ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ พี่แรมข่วยผมนะ นะ”


“ไปคลินิกก็ได้ ไม่ต้องไปโรง’บาลเรา ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกนะ ไม่ต้องห่วง” แม้เดือนแรมจะกล่อมแค่ไหนธันวาก็ยังยืนยันที่จะปฏิเสธ


ผิวเนื้อของธันวาทั้งแดงซ่านและร้อนไปทั้งตัวจนน่าเป็นห่วง และเมื่อคิดถึงสาเหตุและแนวทางแก้ไขได้แล้ว เดือนแรมจึงต้องเสียเวลาขับย้อนออกไปหน้าหมู่บ้านเพื่อซื้อน้ำแข็งปริมาณมากก่อนกลับเข้าบ้านตนเอง


เดือนแรมอุ้มร่างกึ่งหมดสติของธันวาขึ้นห้อง จัดแจงห่อตัวอีกฝ่ายด้วยผ้าห่มนวมบนเตียงก่อนจะรีบลงไปหอบน้ำแข็งขึ้นมาบนห้องโดยไม่ลืมกระซิบคนน้องไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกเพราะเขาหายไป


เดือนแรมไม่อยากให้ใครในบ้านรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เขาจึงไม่ได้เรียกให้ใครช่วยขนน้ำแข็งจำนวนมากที่ซื้อมา กว่าจะเทน้ำแข็งทั้งหมดใส่อ่างอาบน้ำที่เปิดน้ำเตรียมไว้แล้วเสร็จก็แทบคุมสติตัวเองไม่อยู่เพราะเสียงร้องครางด้วยความทรมานของคนรัก


“พี่อยู่นี่แล้วธันวา” เดือนแรมประคองใบหน้าน้องไว้ด้วยสองมือ อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมอง เนื้อตัวยังสั่นสะท้านแม้ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนหนาและพึมพำให้ได้ยินอยู่ตลอดว่าร้อนไปทั้งตัว “มองชัดไหม”


ธันวาส่ายหน้า


“คลื่นไส้รึเปล่า”


อีกฝ่ายส่ายหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้ยื่นมือมากอบดวงหน้าของคนพี่ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปวดหัวมาก มองหน้าพี่ไม่ชัดเลย”


ฝ่ามือใหญ่ลูบหน้าลูบตาน้องด้วยความรักความถนอม “มีอาการอะไรอีก”


“อึดอัด...ปวด...ตรงนั้น”


เดือนแรมจูบบนเรือนผมของธันวาเพื่อปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัวแล้วนะ พี่จะช่วยเอง”


เจ้าของห้องแกะห่อผ้าห่มออก ประคองร่างของธันวาที่พอเดินไหวเข้าไปในห้องน้ำ “ถอดกางเกงธันวา”


“พะ...พี่แรม” ธันวาครางเสียงแผ่ว แม้จะถูกปลุกความกระสันอยากจากภายในแต่ก็ยังขลาดเขินเกินกว่าที่จะกล้าทำอย่างที่เดือนแรมบอกอยู่ดี


เดือนแรมจุมพิตหน้าผากคนน้องแผ่วเบา “อย่ากลัว คนดีของพี่ ถอดเถอะนะ พี่ไม่อยากเห็นธันวาทรมานนาน”


ธันวามีเวลาให้คิดครู่เดียวเท่านั้นเพราะเดือนแรมถือวิสาสะช่วยปลดตะขอกางเกงยีนส์ให้จนท่อนล่างเหลือแค่กางเกงในตัวน้อย “ตะ ต้องถอดเสื้อไหมครับ”


“ใส่ไว้ เดี๋ยวหนาว” เดือนแรมว่าแล้วก็ประคองตัวธันวาที่ยังงง ๆ เดินไปแช่ตัวในอ่าง กายที่สั่นเทาอยู่แล้วสะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสกับน้ำเย็นยะเยือก มือเล็กเกาะแขนคนพี่แน่นด้วยความหวาดกลัว “ไม่ต้องกลัวแล้วนะ พี่จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”





(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
ธันวาพยักหน้ารับก่อนกล่าวย้ำให้อีกฝ่ายอยู่กับตนตรงนี้อีกหลายครั้งจนเดือนแรมต้องโอบกอดไว้ ไม่นานเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดขยับอย่างไม่เป็นสุข มือไม้ที่กอดตอบก็ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของเขา พร้อมกับสัมผัสจากริมฝีปากที่ซึมผ่านเนื้อผ้ามาถึงแผ่นอก


“ธันวา...” เดือนแรมพยายามผลักน้องออกจากตัว “ตั้งสติก่อนธันวา”


“งื้อ...” ธันวาครางอย่างขัดใจ “ช่วยผมหน่อยนะพี่แรม”


“ไม่ได้” เดือนแรมผละถอยออกห่างไปหนึ่งก้าว ฝืนตัวเองไว้ ไม่อยากทำอะไรน้องตอนนี้ เขาไม่อยากฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่มีสติสัมปชัญญะมากพอแม้จะกำลังร้องขออยู่ก็ตาม


“ช่วยผมด้วยพี่แรม ชะ ช่วยผมหน่อยนะ”


“ม...ไม่ ไม่เด็ดขาด”


“พี่แรม” ธันวาครางเสียงแผ่วด้วยความทรมาน


“ตั้งสติธันวา ฟังพี่นะคนดี ยามันออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด เป็นธรรมดาที่ตรงนั้นของมึงจะตื่นตัว แต่มึงไม่ได้อยากมีเซ็กส์ มึงหยุดมันได้ธันวา มึงหยุดความรู้สึกนั้นได้” ไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณของคนจะเป็นหมอที่ทำให้ต้องเลือกการรักษาที่ดีและเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยมากที่สุด แต่เพราะเขารักธันวามากต่างหาก เขาจึงไม่อาจทำแบบที่ธันวาต้องการได้ ไม่ใช่แค่ว่าต้องการให้ครั้งแรกของพวกเขาเป็นการเมคเลิฟมากกว่าแค่เซ็กส์เพียงเท่านั้น แต่เพราะผลเสียที่จะเกิดกับร่างกายของธันวามันไม่คุ้มเสี่ยงหากอีกฝ่ายมีเพศสัมพันธ์จากฤทธิ์ยาแบบขาดสติสัมปชัญญะ


“ความเย็นจัดจะช่วยฤทธิ์ทางกายภาพ แต่ถ้าอยากหายเร็วมึงต้องช่วยตัวเองธันวา ปลดปล่อยด้วยตัวเอง พี่จะอยู่ตรงนี้นะคนดี ไม่ต้องกลัว”


“พะ พี่แรม”


“พี่ขอโทษ แต่ธันวาต้องปลดปล่อยด้วยตัวเอง” เดือนแรมย้ำ


ธันวาหน้าเบ้ที่ไม่รู้ว่างอนคนพี่หรือบิดเบี้ยวจากฤทธิ์ยาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เด็กดีของเดือนแรมค่อย ๆ สอดมือเข้าไปลูบแกนกลางของตัวเองช้า ๆ ร่างกายสะดุ้งเป็นระยะเพราะเจ้าตัวไม่กล้าแตะต้องมากซึ่งตรงข้ามกับแรงกระตุ้นภายใน “อ๊ะ!”


ใบหน้าแดงซ่านเงยเชิด หลับตาพริ้มกับริมฝีปากที่ส่งเสียงร้องครางสลับกับเม้มบ้างเลียริมฝีปากแห้งผากบ้างดูเซ็กซี่และเร้าอารมณ์ดิบภายในคนมองจนต้องหันหลังหนี กลัวว่าถ้ายืนมองนานกว่านี้จะกลายเป็นตนเสียเองที่ทนไม่ไหวจนต้องกลืนน้ำลายตัวเอง


ไม่มีเสียงสวบสาบหยาบโลนให้ได้ยินเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นใต้น้ำ แต่เสียงที่เกิดจากแรงกระเพื่อมของน้ำก็ทำเอาคนไม่เห็นจินตนาการไปไกลได้เหมือนกัน ยิ่งเมื่อเริ่มได้ยินเสียงร้องครางของธันวาก็กระตุ้นสัญชาตญาณในกายเขาให้ตื่นตัวขึ้นอย่างที่ต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจคุมไว้ได้อีกแล้ว


“พะ...พี่แรม”


“เสร็จแล้วเหรอ” เดือนแรมหันกลับไปมอง แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายพิงศีรษะกับขอบอ่างเหมือนคนหมดแรงจนต้องรีบถลาเข้าไปประคองกอด “เป็นอะไรธันวา เป็นอะไรไหนบอกพี่สิครับ”


“นะ เหนื่อย” เดือนแรมไม่รอให้น้องอธิบายจบก็รีบสังเกตอาการ หน้าอกกระเพื่อมถี่กว่าปกติบ่งบอกว่าเจ้าตัวหายใจไม่ทันก็รีบจับชีพจรที่คอดูอีกทางหนึ่งด้วยว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติด้วยหรือไม่


“มีโรคประจำตัวอะไรไหม” นักศึกษาแพทย์ปีสามเทอมหนึ่งอย่างเขายังไม่รู้อะไรมากถึงขั้นการรักษาหรือแม้แต่ตัวโรค แต่พื้นฐานที่มีทำให้เขารู้ว่าตนควรสงสัยอะไรได้บ้างและคัดกรองได้ในระดับหนึ่ง


ธันวาส่ายหน้า เม็ดเหงื่อจำนวนมากยังผุดขึ้นเต็มใบหน้า “มันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มีแรง”


เดือนแรมจูบซับหน้าผากน้องปลอบประโลม แม้จะมีหลายอย่างที่เขาต้องคำนึงถึงมากกว่าความกระสันอยากของตัวเองแต่นี่คงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องรีบทำให้ยาหมดฤทธิ์เร็วที่สุด “กอดพี่ไว้นะ แล้วอย่าหลับ ห้ามหลับเด็ดขาด”


“ขออนุญาตนะครับ” เดือนแรมกระซิบกับขมับขาว แม้จะเป็นการขอแต่เขาก็ไม่ได้รอการยินยอมจากอีกฝ่าย ฝ่ามือหนาถือวิสาสะจุ่มลงไปในอ่างน้ำ ผิวน้ำเย็นจัดทำเอามือที่เพิ่งผ่านลงไปเกือบจะชาจนนึกสงสารคนที่ต้องแช่ตัวอยู่ในนี้นานสองนาน ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะแขนขาอ่อนแรงได้และเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อครู่ธันวายังไม่ได้จัดการตัวเองเลยสักนิด


เดือนแรมเกี่ยวกางเกงในของน้องออกอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องควานหาเป้าหมายก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เด้งตัวสู้มือทันทีที่ปราการชิ้นสุดท้ายถูกปลดออก ริมฝีปากได้รูปประทับบนกระหม่อมคนน้องที่ไถลตัวลงไปจนใบหน้าฝังกับอกเขาแล้ว “พร้อมนะคนดี อยู่กับพี่นะ เรียกชื่อพี่ไว้ อย่าหลับเด็ดขาด”


ธันวาตอบสนองให้คนพี่เบาใจด้วยการครางรับในลำคอและพนักหน้าเล็กน้อย เพราะหากน้องหลับ เขาจะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นกังวลมากขึ้น


เดือนแรมเริ่มกำรอบแกนกลางที่ขยายตัวเต็มที่จนไม่อยากคาดเดาว่าเส้นเลือดบริเวณนั้นจะขยายจนปูดโปนขนาดไหน


“เรียกชื่อพี่ ธันวา อย่าหลับ” เดือมแรมออกคำสั่งด้วยเสียงแหบพร่าขณะใช้มือช่วยสำเร็จความใคร่ให้น้องเพราะตัวเองก็รู้สึกปวดหนึบมากขึ้นแล้วเหมือนกัน


“อ๊ะ! พะ พี่แรม”


ธันวากระตุกและขานชื่อคนพี่เป็นระยะ และทุกครั้งที่ได้ยินชื่อตัวเองเดือนแรมก็จะเร่งมือให้เร็วขึ้นอีกจังหวะหนึ่ง นอกจากจะอยากให้น้องหายทรมานโดยเร็วแล้วยังต้องทำเวลาเพราะมือเขาชามากขึ้นทุกทีจนใกล้จะขยับเร็วไม่ได้อีกต่อไป อีกทั้งความต้องการปลดปล่อยของตัวเองที่เรียกร้องมากขึ้นทุกทีอีกด้วย


“พี่แรม ฮึก!” ธันวาร้องดังขึ้นพร้อมกับปฏิกิริยาที่ทำเอาเดือนแรมแทบคุมตัวเองไม่อยู่ กายสั่นเทาเบียดเข้าชิดตัวเขามากขึ้น สองแขนโอบแน่นจนจิกข่วนเนื้อผ่านเสื้อผ้าล้วนเป็นสิ่งที่ปลุกอารมณ์ดิบในกายเขา เดือนแรมกัดริมฝีปากข่มเอาไว้ ท่องในใจว่าต้องรีบช่วยให้น้องปลอดภัยเร็วที่สุด


“ฮึก!” เหมือนเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของธันวาที่จบลงด้วยการเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางก่อนทิ้งตัวพิงคนพี่เต็มแรง


เดือนแรมใช้เวลาปรนเปรออยู่นานทีเดียวกว่าจะช่วยธันวาได้ แต่การที่อีกฝ่ายสงบลงได้บ้างแล้วก็ใช่ว่ายาจะหมดฤทธิ์ ถึงอย่างนั้นการที่ธันวาอ่อนกำลังลงก็ทำให้เขาจัดการอะไรได้ง่ายขึ้น “ทนหนาวหน่อยนะ อยู่อย่างนี้ไปอีกสักพัก”


ธันวาครางอือรับให้คนพี่สบายใจว่ายังรู้สึกตัว


“ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” เดือนแรมใช้มือข้างที่เคยปรนเปรอให้น้องเลื่อนขึ้นมาโอบหลังเพื่อพยุงร่างอีกฝ่ายไม่ให้ไหลลงไปในอ่างและใช้มืออีกข้างลูบหน้าลูบตาอีกฝ่ายอย่างแสนรัก


ธันวาหลับตาพริ้ม ยังมีแก่ใจยิ้มบาง ๆ ให้คนพี่ เพราะรู้สึกอุ่นใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้ แม้สติจะไม่ครบถ้วน แต่เขารู้ว่าตัวเองกำลังได้รับความรักอย่างที่โหยหาจากใครสักคนมาตลอด ความรักที่เติมเต็มเหมือนเป็นคนในครอบครัวกันจริง ๆ “หนักหัว..หนาว...ชา...ไม่มีแรง” ธันวาตอบอย่างช้า ๆ


เดือนแรมรอฟังจนจบแล้วสบายใจขึ้น จูบซับขมับน้องหนัก ๆ อีกครั้งก่อนพลิกตัวหันหลังนั่งพิงขอบอ่างเหยียดขาออกโดยที่ยังดึงแขนสองข้างของน้องให้เกี่ยวคอตัวเองไว้ “อย่าเพิ่งหลับนะ”


มือข้างหนึ่งจับมือของธันวาไว้ ปล่อยให้ศีรษะของอีกฝ่ายพิงบนลาดไหล่กว้างและปล่อยลมหายใจร้อนผ่าวใส่คอตน ขณะที่ใช้มือข้างเดียวกับที่ได้สัมผัสน้องมาแล้วจัดการกับความอึดอัดของตัวเองที่เกิดขึ้นตลอดชั่วโมงนี้บ้าง ความเหนียวหนืดจากสารคัดหลั่งของอีกฝ่ายที่ยังติดมือตนอยู่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่เพียงแค่ทาบบนของตัวเองก็ชวนให้รู้สึกวาบหวามในอกอย่างบอกไม่ถูก


“พี่แรมทำอะไร” เพราะความหนักอึ้งของศีรษะไม่อาจทำให้ธันวาลืมตาขึ้นมองได้ แต่การที่ร่างกายที่ตนพึ่งพิงอยู่ไม่อยู่นิ่งก็ชวนสงสัยจนต้องเอ่ยถาม


“ช่วยตัวเอง”


“หือ?...” ธันวาครางในลำคอด้วยความฉงนแต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าทำไมเดือนแรมต้องทำอย่างนั้นก็รีบเสนอตัวทันทีเพื่อตอบแทนที่ตนได้รับความช่วยเหลือก่อน “ให้ผมช่วยไหม”


“มีแรงรึไงเราน่ะ ไว้มีแรงก่อนเถอะ จะให้ทำจนกว่าจะหมดแรงเลย”


เดือนแรมไม่รู้ว่าน้องยิ้ม ไม่ทันรู้ตัวด้วยว่าอีกฝ่ายขยับศีรษะเข้าใกล้ตนมากขึ้น รู้อีกทีก็ตอนที่ได้รับจุมพิตบางเบาที่ต้นคอตัวเองตามเรี่ยวแรงที่อีกฝ่ายมี และเพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาจึงต้องรีบร้องห้ามก่อนที่ตนจะทนไม่ไหวขึ้นมาจริง ๆ “อื้อ...อย่านะธันวา”


“ช่วยเท่าที่ช่วยได้ไง” ริมฝีปากร้อนยังพรมจูบอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ได้ลากเลื่อนไปไหนนักแต่การย้ำบริเวณเดิม ๆ ก็ทำเอาคนถูกกระทำแทบคลั่งได้เหมือนกัน


“นอนไปเถอะหน่า”


“ไหนบอกว่าไม่ให้หลับไง”


“เถียงได้แสดงว่าดีขึ้นแล้วใช่ไหม”


“เปล่าสักหน่อย แต่เมื่อกี้พี่ยังจูบผมเลย”


“พี่จูบขมับจูบผม ไม่ได้จูบยั่วแบบเรานะ”


“เหรอ” เดือนแรมไม่รู้ว่าคนป่วยเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนในการดึงมือไปจากการจับกุมของเขาและยืดตัวขึ้นประคองศีรษะเขาไว้ข้างหนึ่งแล้วเริ่มจูบซับตามไรผมข้างขมับอย่างที่เขาทำให้ เพียงแค่ไม่หนักแน่นเท่า ความรู้สึกคนถูกกระทำจึงไม่ต่างจากเมื่อครู่นัก จะอย่างไรก็เหมือนกำลังถูกยั่วอยู่ดี “ทำต่อสิครับ ผมไม่ชิงหลับก่อนหรอก”


เดือนแรมไม่เสียเวลาห้ามต่อ เขาปล่อยให้ธันวาได้ทำอย่างที่ต้องการและจะยั้งไว้แค่บางครั้งที่เริ่มเกินเลยเท่านั้น กว่าจะเสร็จกิจก็เล่นเอาหมดแรงกันทั้งคู่




ธันวาอยากจะขอบคุณเดือนแรมที่ให้เขารับประทานยาแก้ปวดก่อนนอนเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าในตอนที่ตื่นขึ้นมาช่วงสายของวันใหม่จะปวดหัวจวนจะระเบิดได้ขนาดไหน อีกทั้งการดูแลอื่น ๆ จากเดือนแรมยังทำให้เขารู้สึกอุ่นไปทั้งใจอีกด้วย


ธันวาพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงในตอนที่เดือนแรมเดินเข้ามาในห้องพอดี รอยยิ้มของคนรักคืออีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ธันวารู้สึกว่าวันนี้ช่างสดใสและคู่ควรกับการลืมตาตื่นหลังผ่านเรื่องเลวร้ายมา


“นอนต่ออีกก็ได้นะ” ธันวาส่ายหน้า เดือนแรมเดินเข้ามานั่งลงข้างกัน เกลี่ยปอยผมออกจากใบหน้าใสก่อนเลื่อนสายตาสำรวจหาร่องรอยความบาดเจ็บบนเนื้อตัวน้องอย่างถ้วนถี่เพราะเมื่อคืนไม่ได้ทำแล้วก็พบว่าข้อมือขาวทั้งสองข้างช้ำแดงจากการถูกมัดอย่างแน่นหนา


“เจ็บไหม เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จพี่ทายาให้นะ” เดือนแรมลูบบนรอยช้ำอย่างเบามือก่อนยกขึ้นมาจูบซับทั้งสองข้าง


ธันวาอมยิ้ม เอ่ยแซวแก้แขินว่า “ทีเมื่อคืนละไม่กล้าทำอะไร นิ่งเฉยเป็นฤๅษีจำศีลเชียวนะครับ”


เดือนแรมหันมองขู่ “อยากลองตอนนี้เลยไหมล่ะ จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วฤๅษีจำศีลเป็นยังไง”


คนเป็นฝ่ายเย้าก่อนมีนัยน์ตาหลุกหลิกขึ้นมาทันที น่าเอ็นดูจนคนที่เพิ่งแกล้งน้องเผยยิ้มอ่อนโยน มือทั้งสองก็ลูบรอยช้ำวนไปมาอย่างแผ่วเบา “ขอโทษนะที่เมื่อคืนช่วยได้แค่นั้น พี่อยากให้ครั้งแรกของเราน่าจดจำ ไม่ใช่การใช้สัญชาตญาณดิบแบบนั้น”


ธันวายิ้ม แววตาของคนรักจริงจังขึ้นอีกครั้งอย่างที่มักจะเป็นเวลาพูดเรื่องของเรา บางทีเขาก็คิดว่าทำไมเด็กอย่างพวกเขาต้องทำเป็นจริงจังกับการพูดถึงความสัมพันธ์ขนาดนี้ แต่เพราะเดือนแรมเป็นคนแบบนี้ ถึงได้ทำให้เขาอุ่นใจและรู้สึกมั่นคงกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่


“ครับ”


“สัญญานะว่าต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันเพื่อช่วยกันแก้ไข”


ธันวาน้ำตารื้น ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเปราะบางมานานมากแล้ว “ขอบคุณที่ทำทุกอย่างเพื่อผม” ว่าจบแล้วก็โผเข้ากอดคนพี่ ธันวารู้ว่าหลังจากพักฟื้นแล้วยังมีเรื่องที่กระทบจิตใจรอให้กลับไปเผชิญ แต่เขาจะไม่กลัวมันอย่างที่เคยเป็นเพราะเชื่อมั่นว่าเจ้าของอ้อมกอดนี้พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างตนในทุกสถานการณ์ “ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตผมนะครับ”






โปรดติดตามตอนต่อไป
------------------------------------
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ๊ะโอ....

หลงเข้าใจผิดมาตั้งนานว่า  ปกป้องหวังจะเคลมนู๋ธันว์มาตลอด

กลับตาลปัตรกลายเป็นเกลียดมากจนต้องการทำลายซะงั้น

ออฟไลน์ Malibu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อห เรื่องร้ายแรงกว่าที่คิดนะเนี่ย

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่แรมคนดี​ที่หนึ่งเลย​ แบบนี้ธันวาหนีไปไหนไม่รอดแล้ว​ หลงรักความเป็นสุภาพบุรุษของพี่แรม

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
จะยังไงต่อล่ะนี่

ออฟไลน์ Panamapaper

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :mew1: แต่งดีมากเลย ขอคุณนะคะ

ออฟไลน์ cassper_W

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2052
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-1
เมื่อไหร่มาต่อค่าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LifePo-YuGu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ คือตอนแรกหน่วงมากกกกก อกแทบแตกตาย หื้มมมม  :katai4: :katai1:
แต่ตอนนี้แฮปปี้ดี เราก็ดีใจ สงสารน้องธันวามากเลย แต่มีพี่แรมดูแลและรักมากก็เบาใจ  :-[

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒






การได้นอนซุกตัวใต้ผ้าห่มและหนุนตักคนรักไม่เคยอยู่ในความฝันของธันวาเลยสักนิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว แม้จะขัดเขินอยู่บ้างแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีอย่างไรชอบกล ยิ่งอีกฝ่ายลูบผมของเขาเล่นอย่างสนุกมือด้วยแล้วก็ยิ่งเคลิ้มจนเกือบจะหลับได้อีกครั้งทั้งที่เพิ่งตื่นในช่วงบ่ายจากการงีบหลับหลังมื้ออาหารเมื่อช่วงสายของวัน


“หนึ่งปีที่ผ่านมาพี่ไปอยู่ไหนมาอะ ทำไมผมไม่เคยเห็นพี่” ธันวาชวนคุยเพราะไม่อยากเผลอหลับไปอีกครั้ง


“ไม่ใช่แค่ปีเดียว”


“หืม?” คนที่นอนอยู่พลิกตัวเพื่อให้มองหน้าอีกฝ่ายได้ชัดขึ้น


“สี่ปีได้แล้วมั้ง…”


“อ้อ พี่เคยบอกนี่เนอะว่าชอบผมมานานแล้ว”


“แล้วก็ไม่ใช่เพราะกูซ่อนตัว แต่มึงเองที่ไม่เคยมองกู”


ธันวายิ้มแห้งเหมือนจะรู้สึกผิดแต่กลับเอ่ยโทษคนพี่เสียอย่างนั้น “ก็ใครใช้ให้พี่แอบมองอยู่แบบนั้นล่ะ ต้องเข้ามาจีบเลย มีคนทำแบบนั้นตั้งเยอะแยะ”


“กูรู้” น้ำเสียงขุ่น ๆ ของเดือนแรมทำให้ธันวายิ้มแห้งอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ “เห็นอยู่ว่ามีคนเข้าหาเยอะ มึงปฏิเสธหมดเลยด้วย”


“ฝ่อเลยดิ แต่ทำไมฟังดูเหมือนผมฮอตจังวะ”


เดือนแรมจุดยิ้มมุมปาก ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องนั้น “แต่ขนาดกูจงใจเข้าใกล้แล้วมึงก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่ากูจีบ” ปิดท้ายด้วยการดีดหน้าผากมนหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว


“แหะ จงใจเรื่องไรบ้าง ไหนเล่าซิ”


“ทุกอย่างนั่นแหละ จงใจมานานแล้วด้วย”


คราวนี้ธันวาเด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ “ทุกอย่างเลยเหรอ”


“ก็เออสิวะ ถ้าไม่สร้างโอกาสเอง มีเหรอที่เราจะได้คบกันอย่างทุกวันนี้”


“โห...มีเรื่องอะไรที่บังเอิญบ้างไหมเนี่ย”


“แค่เรื่องเดียว...มึงเป็นรูมเมทเพื่อนกู”


“อะไร ๆ ก็เลยง่ายขึ้นเหรอครับ”


เดือนแรมอยากจะดีดหน้าผากเจ้าคนบื้ออีกสักครั้งแต่ก็ยั้งเอาไว้ “นี่ง่ายแล้วเหรอ มึงเป็นรูมเมทกับไอ้โอ๊คตั้งกี่เดือนแล้ว มึงยังไม่แม้แต่จะรับรู้ว่ากูเป็นเพื่อนมัน”


ธันวายิ้มแห้ง พลิกตัวนั่งพิงหัวเตียงเหมือนอีกฝ่าย ถ้าคนข้าง ๆ ยังเป็นเดือนแรมเมื่อหลายเดือนก่อน คำปิดท้ายประโยคข้างต้นคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘โง่’ เป็นแน่


“เย็นนี้เพื่อนมึงจะมาหานะ นอนพักต่ออีกหน่อยก็ได้” เดือนแรมเปลี่ยนเรื่องพลางจัดผมอีกฝ่ายเพราะเสียทรงจากการนอนหนุนตักเขาเมื่อครู่


“หือ”


“ไอ้เก่งกับดีน”


“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่พี่จะไม่ว่าอะไรเหรอครับ” แค่เขามาค้างด้วยอย่างนี้ก็เกรงใจมากแล้ว ยังชวนเพื่อนมาหาอีกตั้งสองคนคงไม่เหมาะสมนักสำหรับฐานะคนมาขออาศัยชั่วคราว


“พวกท่านไม่อยู่หรอก ช่วงนี้เราก็อยู่กับพี่ไปก่อน ไว้ค่อยกลับไปเมื่อคุณลุงกลับมาแล้ว”


ธันวาพยักหน้า พึมพำขอบคุณ “จริงสิ ผมไม่เคยรู้เรื่องของพี่บ้างเลย”


“อยากรู้อะไรก็ถามสิ”


“พ่อกับแม่พี่ทำงานอะไรเหรอครับ ครั้งก่อนที่ผมจะมาอ่านหนังสือด้วยพี่ก็บอกว่าพวกท่านไม่อยู่บ้าน”


“พ่อกับแม่พี่เป็นหมอทั้งคู่น่ะ พ่อเป็นหมอเมด(อายุรแพทย์) แต่ตอนนี้เป็นรองคณบดีแล้ว ส่วนแม่เป็นทันตะฯ ช่วงนี้พากันไปเที่ยว อีกหลายวันกว่าจะกลับ”


“โห...เดี๋ยวนะ ไม่ใช่รองคณบดีมอเราใช่ไหมพี่”


เดือนแรมยิ้มเอ็นดู ไม่แปลกที่ธันวาจะไม่รู้ เพราะรองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ของพวกเขามีมากมายหลายท่านตามฝ่ายที่ดูแลจนยากที่จะรู้จักชื่อหรือจำหน้าได้หมด “ไม่ใช่หรอก มอที่เราแข่งกีฬาด้วยต่างหากล่ะ”


“อ๋อ...” ธันวาเริ่มเข้าใจเดือนแรม คนที่โตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่ทำงานวงการแพทย์กันหมดและมีหน้ามีตาแบบนี้ จะจริงจังกับชีวิตตัวเองมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก “เพราะอย่างนี้พี่ถึงต้องเรียนให้เก่งขนาดนี้ใช่ไหมครับ”


เดือนแรมส่ายหน้า “เคยบอกแล้วว่าตั้งใจเรียนมากกว่าคนทั่วไปตั้งแต่เห็นชื่อมึงติดคณะนี้ต่างหาก”


“...”


“พูดแบบโลกไม่สวยเลยนะ…” เดือนแรมพิงหลังกับหัวเตียง จัดให้ศีรษะคนน้องอิงซบไหล่ตัวเองก่อนพาดแขนยาวไปตามราวหัวเตียง “...พ่อแม่พี่เป็นคนมีหน้ามีตา แล้วคนที่ชอบเพศเดียวกันอย่างเราก็ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมมากนักหรอกถ้าเราไม่เป็นคนเก่งหรือคนที่ประสบความสำเร็จ พี่ไม่อยากทำให้พวกท่านสู้กับคำนินทาตามลำพังน่ะ”


“เพราะอย่างนี้พี่เลยต้องเอาเหรียญทองให้ได้สินะ”


“กูต้องได้ฟิกวอร์ดที่นี่ด้วย”


“พี่ต้องเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”


“อือ”


“…”


“ไม่ใช่ว่าเราเป็นแบบนี้แล้วต้องพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับมากกว่าคนอื่นหรอกนะ แต่บนโลกใบนี้น่ะ ส่วนใหญ่แล้วลูกที่จะได้รับความเชื่อใจและถูกปล่อยให้ทำอะไรตามใจชอบได้ก็มีแต่ลูกที่พิสูจน์ตัวเองว่าเก่งมากพอแล้วเท่านั้นแหละ ถ้าเราดูแลตัวเองได้ดี พวกท่านก็จะวางใจและเปิดใจยอมรับการตัดสินใจของเราในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้นด้วย”


ธันวาผละออกจากไหล่อีกฝ่ายมาจ้องหน้าตรง ๆ “พี่ทำเพื่อผมเหรอ”


“…”


“ทั้งหมดนี้...ที่พี่ทำมาทั้งหมด เพื่อผมรึเปล่า”


เดือนแรมลูบใบหน้าใสอย่างแสนรัก “กูทำเพื่อเรา...ธันวา กูจริงจังกับมึงนะ ไม่ได้อยากคบเล่น ๆ กูอยากให้พ่อแม่ยอมรับความรักของเรา อยากให้เขาเห็นว่าการที่กูรักคนเพศเดียวกันไม่ได้ทำให้ชีวิตเสียหายตรงไหน”


“...” ธันวาพูดไม่ออก แค่ได้รู้ว่าเดือนแรมวางแผนชีวิตอะไรไว้บ้างและมีตนอยู่ในนั้นด้วยก็ตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า


“อีกอย่าง มึงคิดเหรอว่ากูจะปล่อยให้มึงห่างสายตาไปอีก รู้ไว้เลยว่าไม่มีทาง ในตอนที่มึงยังเรียนไม่จบ กูก็ต้องได้ฟิกวอร์ดที่นี่เพื่ออยู่ใกล้มึง”


“อย่างนั้นผมก็ต้องเรียนให้เก่งเหมือนพี่ จะได้ฟิกวอร์ดอยู่ที่นี่ด้วยกันเหรอครับ”


เดือนแรมเสมองออกนอกระเบียง “ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องก็ได้”


คนน้องยิ้ม นานทีจะได้เห็นคนพี่น้อยใจแบบนี้ ธันวาเว้นช่วงจ้องมองเสี้ยวหน้าดุแสนงอนอีกนิดก่อนขยับเข้าไปใกล้แล้วซุกหน้าคลอเคลียกับซอกคออีกฝ่าย “ผมจะพยายามอย่างหนักเลยครับ”


“อย่าอ้อนแบบนี้ธันวา เดี๋ยวจะติดเตียงไม่รู้ตัว”


“ขู่เก่ง” ธันวาขยับปากพึมพำแต่เสียงเบา ๆ ก็ยังไม่รอดพ้นหูเดือนแรมอยู่ดี


“ท้าสินะ” พริบตาเดียวร่างของธันวาก็ถูกพลิกจนแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอน


เดือนแรมไม่ได้ตั้งใจ เขาสาบานกับจิตใต้สำนึกเลยว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสหลังจากที่เผลอจ้องลึกเข้าไปในหน่วยตาที่ตนหลงใหล คงเป็นเพราะแรงดึงดูดของโลกที่ทำให้คนที่อยู่ข้างบนอย่างเขาค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงต่ำเรื่อย ๆ จนริมฝีปากสัมผัสกับส่วนเดียวกันของคนใต้ร่างอย่างไม่อาจต้านทานได้ ยิ่งเมื่อได้รับการตอบสนองแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้เขาใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นไปด้วย เพราะอย่างนั้นเดือนแรมจึงยิ่งรู้สึกเสียดายในตอนที่จำต้องหักห้ามใจแล้วผละออก


เขาเป็นจูบแรกของธันวา


นัยน์ตาคมพราวระยับยามจ้องมองดวงหน้าแดงระเรื่อของคนรักครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งใบหน้าลงซุกเตียงตรงซอกคออีกฝ่ายอย่างหักห้ามใจเพราะเผลอต้องการมากกว่านี้เสียแล้ว


เขาอยากสอนธันวา


อยากสอนทุกอย่าง...ตอนนี้เลย


คนถูกขโมยจูบเองก็เขินจนหน้าร้อนผ่าว ยิ่งนึกถึงสัมผัสเมื่อครู่ก็ยิ่งเขินตัวเอง


เพราะคิดไว้ว่าเดือนแรมคงแค่แกล้งทำให้เขินเหมือนทุกที สัมผัสเกินเลยกว่านั้นคงยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่ออีกฝ่ายทาบริมฝีปากแนบลงมาจริง ๆ ก็อดใจสั่นไม่ได้


ธันวายังจับความรู้สึกนั้นได้ชัดราวกับยังเกิดขึ้นในตอนนี้ เนื้อตัวของเขาสั่นน้อย ๆ ด้วยความตื่นเต้น เปลือกตาปิดสนิทจนเข้าใกล้คำว่าปี๋ รับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รู้สึกดีเกินกว่าจะห้ามใจตัวเองได้ ยิ่งในตอนที่คนรักค่อย ๆ เล็มริมฝีปากใจก็ยิ่งเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกจากอกเสียให้ได้ ทุกความรู้สึกแปลกใหม่พาลให้หายใจไม่ทันเหมือนออกกำลังกายมาอย่างหนัก และยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อลิ้นของอีกฝ่ายฉกวูบเข้ามาในตอนที่เผยอปากโกยอากาศ เขาในตอนนั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก อยากผลักออกแต่ทำไม่ได้ ในหัวสมองโล่ง คิดอะไรไม่ออก ทั้งกลัวและรู้สึกดี ชั่ววินาทีนั้นเหมือนวิญญาณถูกสูบ จิตใต้สำนึกจึงผลักดันให้เขาตอบสนองกลับด้วยความเคอะเขินอย่างคนขาดประสบการณ์


“หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นแบบนี้เองสินะ” เดือนแรมพูดทั้งที่ยังอยู่ในท่าเดิม


“พี่แรม!” ธันวาไม่ได้ดุจริงจังนัก ใบหน้าใสเห่อร้อนด้วยความเขินอายเบี่ยงหนีไปอีกด้านทั้งที่ไม่ได้ถูกจ้องมองอยู่ด้วยซ้ำ


“จูบแรกเลยเหรอ”


“อย่าล้อดิพี่” เพราะธันวาว่าอย่างนั้นเดือนแรมจึงผงกหัวขึ้นมามองหน้า จุดยิ้มเจ้าเล่ห์ยามมองล้อน้องให้ได้อายมากขึ้น


“ทำไมถึง…” เดือนแรมอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าทำไมตนถึงได้รับความพิเศษนี้ทั้งที่อีกฝ่ายเคยมีแฟนมาก่อนแล้ว


“ไม่รู้สิครับ...ตอนนั้นผมไม่เคยคิดถึงโมเมนท์แบบนี้เลยนะ และเราก็ไม่เคยแม้แต่เฉียดใกล้กันเลยสักนิดด้วย” เมื่อนึกย้อนดูแล้ว ธันวาถึงเพิ่งได้ตระหนักว่าที่ผ่านมาแม้ตนจะอิงซบ กอด หรือใกล้ชิดภีม คนรักเก่าขนาดไหน นอกจากความรู้สึกอุ่นใจที่อยู่ด้วยกันแล้วเขาก็ไม่เคยรู้สึกอยากมีสัมผัสที่ลึกซึ้งเหมือนธรรมชาติของคู่รักด้วยเลยสักนิด


ไม่เพียงแต่รอยยิ้มและสายตาที่มอบให้อย่างแสนรักเท่านั้น แต่ธันวายังรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านสัมผัสบางเบายามปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมออกพ้นกรอบหน้าของเขาด้วย


“ตกใจมากไหม...ที่พี่ทำ”


ธันวาหลบตาด้วยความขลาดเขินแต่เมื่อสบกับแผงอกกว้างผ่านคอเสื้ออีกฝ่ายให้ได้เผลอคิดเลยเถิดถึงได้จำต้องย้ายสายตากลับมาที่เดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ “นิดหน่อยครับ” แม้ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อคืน แต่ก็ยังทำให้เขาตื่นเต้นกับมันได้อยู่ดี


“แล้วชอบไหม”


ธันวาเขินได้ครู่เดียวก็รู้ทันว่าถูกแกล้ง นัยน์ตาอ่อนแสงจึงแข็งขึ้นยามมองคาดโทษคนพี่และพยายามดันตัวอีกฝ่ายออก “ลุกออกไปได้แล้ว”


“ตอบก่อนว่าชอบไหม”


“ไม่ชอบจะจูบตอบรึไงเล่า”


“หึ น่ารัก”


“ลุกได้แล้ว” น้ำเสียงเง้างอดงอแงกลบความเขินยิ่งทำให้เดือนแรมไม่มีการเคลื่อนไหวแม้มีแรงกระทำจากคนใต้ร่างก็ตาม


“ไว้วันหลังจะสอนนะ...ทุกอย่างเลย”


ธันวาหน้าแดงซ่าน รู้สึกร้อนไปหมดเมื่อเผลอคิดว่า ‘ทุกอย่าง’ ที่เดือนแรมหมายถึงนั้นครอบคลุมถึงอะไรบ้าง


เดือนแรมฝังจมูกลงบนแก้มใสหนึ่งทีและพูดเย้าหยอกว่าหอมก่อนดันตัวลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกจากห้อง “นอนพักเถอะ เดี๋ยวสองคนนั้นมาถึงแล้วพี่มาปลุกนะ”


“ไม่อยากนอนแล้ว” ธันวาเด้งตัวจากที่นอนมาคว้ามือคนพี่ไว้ นัยน์ตาที่เคยรั้นยามดื้อในตอนนี้กลับอ้อนเสียจนคนมองเกือบใจเหลว “ขอลงไปเดินเล่นสูดอากาศข้างล่างบ้างนะครับ”


“เอาสิ ดีเหมือนกัน จะได้สดชื่นขึ้น”


สระว่ายน้ำคือจุดพักพิงหลังจากสองหนุ่มเดินเล่นชมพันธุ์ไม้รอบบ้านแล้ว ลงท้ายคนที่บ่นว่าไม่อยากนอนอีกก็ผล็อยหลับบนเก้าอี้ไม้ริมสระหลังจากเอนหลังและฟังเรื่องวัยเด็กของเดือนแรมได้ไม่นาน


เจ้าของบ้านมองคนหลับตาพริ้มอย่างแสนรัก ยิ่งยามไร้พิษสงดื้อรั้นแบบนี้แล้วยิ่งน่าทะนุถนอม แสงแดดที่สาดกระทบเสี้ยวหน้าของคนหลับทำให้เดือนแรมต้องลุกไปขยับร่มริมสระมาบังแดดให้คนรักเพื่อจะได้ไม่ต้องย้ายอีกฝ่ายขึ้นไปบนห้องให้เป็นการรบกวนการนอน


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ แต่เมื่อลืมตาตื่นด้วยความงัวเงียแล้วพบว่าคนรักนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกันไม่ไปไหนก็รู้สึกอุ่นใจจนเผลอยิ้มออกมา


“ตื่นแล้วเหรอ เพลียแดดรึเปล่า” เดือนแรมพับเก็บหนังสือแล้วหันมาสนใจกันอย่างเต็มที่ ธันวาแน่ใจว่าที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตื่นแล้วไม่ใช่เพราะรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง แต่คงเป็นเพราะเดือนแรมมักจะหันมามองเขาอยู่เสมอแม้จะจดจ่ออยู่กับตำราก็ตาม แค่คิดว่าอาจจะเป็นทุกครั้งที่เปิดอ่านหน้าใหม่อย่างเช่นครั้งนี้ก็ยิ่งใจฟูฟ่องกับการได้รับความใส่ใจมากมายขนาดนี้


คนอ่อนกว่าส่ายหน้าน้อย ๆ “ผมหลับไปนานไหมครับ”


“ไม่นานหรอก แต่นอนเยอะแบบนี้คืนนี้แย่แน่”


ธันวายิ้มทะเล้น “ผมนอนได้ทั้งวันแหละครับ ไม่ต้องห่วง”


“จริงสิ โดยเฉพาะเวลาเรียน”


“โห แรงมาก ไม่หลับแล้วเหอะ ตั้งใจเรียนมากด้วย ถามไอ้เก่งได้เลยครับ”


เดือนแรมยิ้มเอ็นดูคนละล่ำละลักแก้ต่างเหมือนเด็กถูกผู้ปกครองซักฟอก “ถามได้ไหม ทำไมถึงอยากเป็นหมอ”


ธันวาเลิกคิ้วด้วยความฉงนเพราะอีกฝ่ายไม่เคยถามแบบนี้เลยสักครั้ง ถ้าไม่รวมถึงการบอกให้ตั้งใจเรียนและติวหนังสือให้ เดือนแรมไม่เคยถามหรือพูดเรื่องความสนใจที่ดูจริงจังในทำนองนี้มาก่อน


“เอาจริงป่ะ ผมตามเพื่อนมา” ธันวายิ้มเก้อเขิน ไม่กล้าสบตาคนรักที่คงมีปณิธานแรงกล้าในการเลือกเรียนแพทย์ “พี่ก็รู้ว่ายุคเรา เด็กแทบจะถูกล้างสมองให้เรียนแค่หมอกับวิศวะ น้อยคนแหละที่จะรู้ตัวเองแล้วฉีกออกไปจากสองคณะนี้ แม้แต่ผมที่ไม่มีพ่อแม่กดดันหรือคุณลุงที่ตามใจแทบทุกอย่างก็ยังโดนอิทธิพลไปด้วยเลย แต่ก็นั่นแหละ ผมตามเพื่อนมา”


“ทำไมไม่ตามดีนไปล่ะ สนิทกับดีนที่สุดไม่ใช่เหรอ”


“แหนะ แอบมองผมนานจริงด้วย รู้ดีนะเราอะ” ธันวายิ้มล้อ “ถึงจะติดเพื่อนแต่ผมก็พิจารณาเหมือนกันนะครับว่าน่าจะเรียนอันไหนรอด”


ลึก ๆ แล้วเดือนแรมยังอยากถามอีกด้วยว่าทำไมไม่ตามคนรักเก่าไปเรียนคณะเดียวกัน เพราะเห็นอยู่ว่าตัวติดกันมากหลังคบกัน แต่เขาคิดว่าก็คงได้รับคำตอบแบบเดียวกับกรณีของดีน


“พี่แปลกใจไหมที่รู้ว่าผมเข้าคณะเดียวกัน”


“รู้อยู่แล้วว่าโอกาสที่มึงเลือกเรียนแพทย์น่าจะสูง ก็อย่างที่มึงว่าแหละ เด็กวิทย์ส่วนใหญ่ก็มีธงแค่สองคณะนี้ แต่ตกใจที่มึงติดที่เดียวกัน คิดว่าจะเลือกมอเดียวกับเขา” เดือนแรมแปลกใจที่ตัวเองพูดถึงคนรักเก่าของธันวาได้ง่ายดายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจหรือกลัวท่าทีของน้องอย่างที่กังวลไปเอง


“ก็ไอ้เก่งมันเลือกที่นี่ อีกอย่าง มีดีนด้วย ไม่เหงาดี”


“แล้วตอนนี้เป็นยังไง มีความสุขกับการเรียนไหม”


ธันวายิ้มล้อ “พี่ถามเหมือนเป็นผู้ปกครองหรือครูแนะแนวอะไรแบบนั้นเลย”


“ก็กูเป็นห่วง มึงไม่ได้อยากเรียนแต่แรก แล้วต้องมาเรียนหนักขึ้นทุกวัน ซ้ำกูยังเคี่ยวเข็ญให้ขยันอีก เลยอยากรู้ว่ายังมีความสุขกับการเรียนไหม เพราะถ้าไม่มี พี่ก็อยากขอโทษ”


“คิดมากไปแล้วพี่แรม ถ้าผมไม่มีความสุข ผมเหนื่อย ผมก็แค่หยุดอ่าน ผมฝืนทำไม่ได้หรอก ที่ยังขยันอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะมันยังไหว เอาจริง ๆ เรียนหมอก็ไม่ได้แย่นะ ผมอาจจะชอบมันมาก ๆ ในสักวันก็ได้”


เดือนแรมยิ้มกว้าง ท่าทางมีความสุขกับอะไรบางอย่างที่มากกว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอีกคนต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “พี่ไม่ได้แค่ดีใจที่ผมยังมีความสุขกับการเรียนใช่ไหม”


“มึงมีความสุขกูก็ดีใจ แต่ดีใจด้วยที่โอกาสกลับมาหากูอีกครั้ง” เดือนแรมไม่กล้าบอกว่าตนเกือบจะเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับคนรักเก่าของธันวาแล้วเพราะคาดว่าในปีถัดไปคนติดแฟนอย่างธันวาคงตามไปเรียนที่เดียวกันให้คนแอบชอบอย่างเขาได้มองบ่อย ๆ บ้าง แต่เพราะแรงยุของเพื่อนที่อยากให้เขาอยู่ห่าง ๆ เพื่อตัดใจจึงต้องมาเรียนที่นี่เหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่คิดเลยว่าธันวาจะเป็นฝ่ายตามมาอยู่ใกล้เสียเอง


“โอกาสไรอะ”


เดือนแรมยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ให้อีกคนหายใจติดขัดเฉียบพลัน “ก็โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดมึงไง…”


“...”


“และกูก็ไม่โง่ที่จะปล่อยให้มึงหลุดมือไปอีกครั้งซะด้วย”


ธันวาหลบตา ขวยเขินเกินกว่าจะสู้ มือไม้ระเกะระกะ จากที่วางอยู่เฉย ๆ ในตำแหน่งของมันได้มาโดยตลอดก็รู้สึกเหมือนไม่รู้ว่าควรวางมันไว้ตรงไหน สุดท้ายก็ถูกคนพี่รวบไปกุมไว้จนได้


“เขินเหรอ”


“ก็หน้าบางนี่หว่า”


เดือนแรมหลุดขำพรืด แม้จะขุ่นเคืองแต่ธันวาก็ขอบคุณอยู่ในใจเพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้ชวนให้เขินอายอีกแล้ว “ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไป อีกเดี๋ยวสองคนนั้นก็คงมาแล้ว”


เดือนแรมลุกขึ้นยืนพร้อมดึงคนน้องตามไปด้วยแต่ก็ถูกเหนี่ยวเอาไว้ก่อนที่จะก้าวเดิน


“หือ?” เดือนแรมหันไปแค่เสี้ยวหน้า


“ขอบคุณที่พี่ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปนะครับ”


“...”


“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นทุกอย่างในชีวิตผม”


เดือนแรมหันกลับไปเต็มตัว สบนัยน์ตาใสที่จ้องมองมาอย่างจริงใจแล้วรู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น “อยากจูบว่ะ”


ธันวาตกใจตาโตก่อนเรียกสติกลับมาแล้วออกแรงผลักคนพี่ให้เดินหน้าต่อ “ไม่ให้โว้ย!”





(มีต่อนะคะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2020 21:04:26 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

จริงอย่างที่เดือนแรมคาดการณ์ ธันวาไม่มีเวลามากนักหลังจากล้างหน้าล้างตา เพื่อนรักทั้งสองก็มาถึงแล้ว


ดีนพุ่งเข้าไปสำรวจเนื้อตัวเพื่อนรักทันทีด้วยความเป็นห่วง ปากก็เอ่ยรัวคำถามไม่หยุดจนเจ้าตัวต้องเรียกเตือนสติ


หนุ่มลูกเสี้ยวถอนหายใจก่อนสวมกอดธันวาแน่น คนหวงแฟนเห็นอย่างนั้นก็จำต้องยอมละเว้นทว่าสายตากลับแข็งขึ้นจนกรองเกียรติที่สังเกตเห็นต้องรีบแก้สถานการณ์ด้วยการหยอกติดตลกขึ้นมา “พ่อได้กอดแล้ว ขอเพื่อนกอดบ้างดิ”


“มึงเป็นไงบ้างวะ โอเคขึ้นรึยัง” ดีนถามธันวาที่ยังถูกกรองเกียรติกอด


“ดีขึ้นแล้ว” ธันวาผละออกก่อนพาคนทั้งคู่เดินตามเจ้าของบ้านไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น


“แล้วเมื่อคืน…” กรองเกียรติแอบกระซิบถามพลางเหลือบมองเดือนแรมให้รู้ว่าตนหมายถึงเรื่องอะไร


คนถูกถามหน้าเห่อร้อนแต่ก็ยังให้คำตอบที่สวนทางกับหลักฐานบนใบหน้า “รู้แค่ว่าพี่แรมไม่ได้ทำอะไรแบบที่มึงคิดก็พอ”


“ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ฉวยโอกาส” ดีนจงใจพูดด้วยระดับเสียงปกติทั้งที่เพื่อนพยายามกระซิบกระซาบกัน


“กูเป็นสุภาพบุรุษพอ”


“เฉยได้ยังไงวะ ตายด้านรึเปล่า” แม้เป็นการตั้งคำถาม แต่ดีนกลับไม่ได้ถามเดือนแรม เขาแค่ทำหน้าทำตาเหมือนพูดลอย ๆ เท่านั้นจนถูกธันวาปราม


เดือนแรมปล่อยให้รุ่นน้องทั้งสามคนนั่งโซฟายาวตัวเดียวกันโดยที่มีธันวาอยู่ตรงกลาง ขณะที่ตนแยกไปนั่งคนเดียว


“มึงเองก็ไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหมไอ้เก่ง” เพราะเมื่อคืนพวกเขาออกมาโดยทิ้งกรองเกียรติให้จัดการสองคนนั้นอยู่คนเดียวจึงอดเป็นห่วงไม่ได้แม้ว่าภายนอกจะไม่มีส่วนไหนบอบช้ำก็ตาม


“นั่นดิ” ธันวารีบสำรวจร่างกายเพื่อนบ้าง


“ผมไม่เป็นไรครับ เมื่อคืนก็ออกตามหลังพวกพี่มาติด ๆ แหละ...ว่าแต่มึงเถอะ จะเอาไงต่อ”


“รอคุณลุงกลับมาแล้วค่อยเข้าไปเคลียร์”


“เมื่อไหร่ ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” ดีนอาสาด้วยความเป็นห่วงก่อนที่กรองเกียรติจะสมทบด้วย


“ขอบใจพวกมึงมาก แต่กูไปเองได้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็กลับแล้วมั้ง เห็นบอกว่ามีงานแค่สองวัน”


“อืม...แล้วรู้ไหมว่ามันทำแบบนี้ทำไม”


“เอ่อ...” ท่าทีอึกอักของเพื่อนสนิททำให้ดีนจำต้องรออย่างใจเย็น จะเปลี่ยนเป้าหมายไปหาเดือนแรมก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายบอกไว้ตั้งแต่ตอนพวกตนโทรหาแล้วว่ายังไม่ได้ถามอะไรธันวามากนัก กลัวสภาพจิตใจคนรักยังไม่พร้อมจะพูดถึง


“เอ่อ...กู...”


ดีนวางมือบนบ่าเพื่อนรักอย่างเห็นใจ “ไม่เป็นไร ถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องเล่าก็ได้”


“กูก็อยากเล่านะ แต่ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน กูขอเคลียร์กับเขาก่อนแล้วกัน”


“อือ แล้วจะไม่ให้ไปด้วยจริง ๆ เหรอ ไหวแน่เหรอวะ พวกกูเป็นห่วงนะเว้ย”


“กูไม่ปล่อยให้มันไปคนเดียวหรอก” เดือนแรมแทรกขึ้นมา และพูดย้ำเสียงเข้มอีกด้วยเมื่อธันวาฉายแววรั้นออกมา “ไม่ว่ามันจะดื้อแค่ไหนก็ตาม”


“ถ้าพี่แรมไปด้วยผมก็สบายใจครับ” กรองเกียรติเสริม


“เอาอย่างนั้นก็ได้...ระหว่างนี้ก็ไปนอนบ้านกูก่อนแล้วกัน” ดีนเสนอตัว


“เอ่อ...” ธันวาอึกอัก หันมองหน้าคนรักสลับกับเพื่อนสนิทก่อนจะยอมเอ่ยตัดน้ำใจเพื่อนออกมา “กูจะอยู่กับพี่แรม”


“ให้มันอยู่กับแฟนเถอะมึง” กรองเกียรติรีบออกโรงไกล่เกลี่ยก่อนเพื่อนจะรั้นไปมากกว่านี้เพราะอยากเอาชนะรุ่นพี่หนุ่ม


“แล้วมึงคิดว่าพ่อแม่พี่เขาโอเคกับการที่มันมาค้างด้วยหลายวันเหรอ”


“พ่อแม่กูไม่อยู่ ถึงอยู่กูก็คุยได้ พวกท่านไม่ว่าอะไรแน่”


“ทางสะดวกเลยสินะ” ดีนว่าลอย ๆ


“เสือกเรื่องของเขา มึงนี่!” กรองเกียรติชิงติเพื่อนตนก่อนที่เดือนแรมจะต่อปากต่อคำด้วยให้คนกลางอย่างธันวายิ่งลำบากใจ


ดีนจำต้องยอมถอยแม้จะหมั่นไส้รอยยิ้มเล็ก ๆ ของรุ่นพี่ก็ตาม


“เออ แล้วโทรศัพท์มึงละวะ” กรองเกียรติถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนติดต่อธันวาไม่ได้เลยทุกช่องทางจนต้องติดต่อผ่านเดือนแรมแทน


“อยู่ที่กูเนี่ยแหละ ยังไม่ได้สนใจเลย แบตคงหมดแล้วด้วยมั้ง”


“อย่าลืมดูล่ะ บางทีลุงภาสอาจจะติดต่อมาแล้วก็ได้”




เดาจากสีหน้าของธันวาในตอนที่เปิดโทรศัพท์ดูก่อนเข้านอนแล้วเดือนแรมก็พอจะเดาได้ว่าดีนคงพูดถูก


“คุณลุงกลับมาถึงพรุ่งนี้ช่วงสายครับ” ธันวาเอ่ยออกมาเมื่อเดือนแรมเพียงแค่เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ บนเตียง


“พร้อมไหมล่ะ หรืออยากไปหาวันหลัง”


“พรุ่งนี้เลยก็ดีครับ” แม้ไม่มั่นใจนักแต่ก็เด็ดเดี่ยวกับการตัดสินใจ


“ถ้าอย่างนั้นก็นอนเถอะ ทิ้งเรื่องของวันพรุ่งนี้ให้ตัวเราในวันพรุ่งนี้จัดการเถอะนะ”


ธันวายิ้มบาง ๆ แทนการตอบรับ ตราบใดที่มีเดือนแรมอยู่ข้าง ๆ เขาก็เชื่อว่าตนเองจะผ่านเรื่องร้ายไปได้ด้วยดี



ก่อนผ่านประตูรั้วบ้านธันวาได้รับการปลุกขวัญกำลังใจจากเดือนแรมจนพร้อมสู้กับทุกอย่างในวันนี้แล้ว แต่ยังไม่ทันย่างกรายเข้าบ้าน คนที่ธันวายังไม่พร้อมเผชิญหน้าด้วยมากที่สุดก็โผล่ออกมาจนทำเอาขวัญที่ปลุกมาอย่างดีกระเจิงเล็กน้อย


“ตามมา” ปกป้องบอกเสียงนิ่งเรียบก่อนหันหลังก้าวเดินไปโดยไม่สนใจว่าอีกสองคนจะยอมทำตามหรือไม่ และแม้สีหน้าท่าทางจะเรียบเฉยแต่คนฟังก็จับสังเกตได้ว่าไม่ปกตินัก ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมเดินตามไปแต่โดยดี


ธันวาเดินตามไปห่าง ๆ พร้อมเดือนแรมแต่ก็เห็นว่าปกป้องเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องไหน แม้จะไม่ค่อยได้เดินมามุมนี้ของบ้านแต่เขาก็จำได้ดีว่ามันคือห้องเก็บของสะสมของลุงประภาสที่เคยถูกปิดตายอยู่หลายปีในช่วงที่พวกเขายังไม่มีความระมัดระวังมากเท่าทุกวันนี้


“จำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องนี้” ปกป้องพูดขึ้นทั้งที่ยืนหันหลังให้คู่สนทนา นั่นยิ่งทำให้ธันวายิ่งคลางแคลงใจในจุดประสงค์ของการชวนมาคุยในห้องนี้


“ถ้าพี่หมายถึงเรื่องที่ผมทำแก้วใบโปรดของคุณลุงแตก…”


“ใบโปรดที่สุด” ปกป้องแทรกขึ้นเสริมเสียงแข็ง “แล้วจำได้ไหมว่าพ่อกูทำยังไงกับมึง”


“หลังจากนั้นคุณลุงก็ปิดตายห้องนี้”


ปกป้องหลับตาข่มอารมณ์บางอย่างที่ไม่มีใครรับรู้เอาไว้ สูดหายใจเข้าลึกก่อนหันกลับมาจ้องตาคนน้องที่สะดุ้งตัวน้อย ๆ ทันทีเมื่อได้สบสายตาน่ากลัวคู่นั้น หากไม่มีคนรักยืนอยู่ด้วย เขาคงรีบหนีออกไปจากตรงนี้เสียก่อนที่ญาติผู้พี่จะได้ขยับตัวแน่


ปกป้องนึกย้อนถึงเรื่องราวที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีแต่กัดกินใจเขามานานหลายปี


เสียงแก้วตกกระทบพื้นทำให้ทั้งเขาและพ่อรีบวิ่งมาที่ห้องนี้ ภาพที่เห็นคือธันวาในวัยมัธยมต้นตัวสั่นเทาด้วยกลัวจะถูกลงโทษ ละล่ำละลักพูดขอโทษไม่หยุดปากหากแต่เป็นพ่อเขาเองที่บอกให้อีกฝ่ายเลิกขอโทษและแทนที่จะโกรธเพราะของรักของหวงชิ้นสำคัญแตกสลายตรงหน้ากลับให้ความสนใจกับความปลอดภัยของหลานรักมากกว่า


‘ธันว์เจ็บตรงไหนไหม โดนบาดรึเปล่า’ วันนั้นพ่อเขาสำรวจร่างกายหลานรักเสียทั่วโดยไม่ใยดีหรือนึกเสียดายของรักเลยสักนิด


“มึงทำแก้วใบที่พ่อรักมากที่สุดแตก แต่พ่อรีบเอาตัวมึงออกจากตรงนั้นไม่ยอมให้มึงเก็บเศษแก้วด้วยซ้ำ เขาห่วงว่ามึงจะบาดเจ็บมากกว่าห่วงแก้ว เพราะเขารักมึงมากกว่าแก้วไง”


“...”


“แล้วรู้อะไรไหม...กูก็เคยทำแบบมึง แต่เป็นแก้วใบที่เขาไม่เคยเห็นในสายตาด้วยซ้ำ แล้วรู้ไหมว่ากูต้องเจอกับอะไร”


“...”


“กูถูกตี ถูกกระทำเหมือนมีค่าน้อยกว่าแก้วทุกใบในห้องนี้รวมกัน!”


“พะ พี่ป้อง คุณลุงคงแค่ไม่กล้าตีผมเพราะผมเป็นลูกคนอื่น”


“ไม่!! เพราะเขารักมึงมากกว่าแก้วใบนั้น เขารักมึงมากกว่ากู!!” น้ำตาหยดหนึ่งกลั่นออกจากดวงตาแดงก่ำที่ทั้งวาวโรจน์และเจ็บปวด


คนถูกตะคอกตัวสั่น หน่วยตาทั้งสองมีน้ำคลอเบ้า ไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายตนจะเจ็บปวดกับเรื่องที่ตัวเขาเองไม่ได้ใส่ใจมันเลยด้วยซ้ำ


“เขาสอนให้มึงเรียนรู้ว่าไม่ควรทำของแตกอีกเพราะมันจะเกิดอันตรายกับตัวมึงได้...แต่กับกู เขาทำให้กูรู้สึกว่ากูไม่ควรทำของแตกอีกเพราะของจะเสียหาย”


“มึงเห็นรึยังว่าเขารักมึงมากกว่ากู”


“พี่ป้อง ผม...ผม”


“เขาทำให้กูรู้สึกว่าเขาโกรธและเสียใจที่เห็นของที่เขารักแตก ขณะเดียวกันเขาก็คงจะโกรธและเสียใจมากที่เห็นมึงบาดเจ็บ...เพราะอย่างนั้น” ปกป้องยิ้มเย็นยามจ้องมองคนน้องไม่ละสายตาขณะก้าวเท้าเข้าใกล้อย่างช้า ๆ เดือนแรมจึงต้องก้าวเข้ามาบังน้องเอาไว้เพื่อปกป้องคนรักทั้งที่เป็นคนนอก


ปกป้องเหยียดยิ้มให้กับคนที่เข้ามาขวาง เขาไม่ผลักอีกฝ่ายออก ไม่พยายามจะมองข้ามไปหาคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างหลัง เขาแค่เลือกที่จะจ้องตาเดือนแรมอย่างไม่ลดละ “เพราะอย่างนั้นกูถึงได้อยากให้เขาเห็นมึงแหลกสลาย มึงควรขอบใจกูนะที่ยังปรานีเลือกผู้ชายมาให้ตรงกับจริตมึง ไม่ชอบผู้หญิงนี่...ใช่ไหม” สิ้นคำพูดของปกป้องก็เหมือนหมดสิ้นความอดทนของเดือนแรมด้วยเหมือนกัน กำปั้นที่กำข่มความขึ้งโกรธไว้อยู่นานถูกปล่อยออกไปกระทบใบหน้าอีกฝ่ายให้มุมปากได้มีมีเลือดซึมเล็กน้อย


“พี่แรมอย่า!” ธันวารั้งคนพี่ที่จะเข้าไปซ้ำเอาไว้


“ปล่อยพี่ มันทำกับมึงเกินไป”


“หึ” ปกป้องมองเหยียดเลยไปถึงคนที่ยังซ่อนอยู่ข้างหลังร่างสูง “อ้อ กูสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง วันนั้นที่มึงรังเกียจสัมผัสของกูและพูดเหมือนว่ากูทำแบบนี้อีกแล้ว หมายความว่ายังไง”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ขยับตัวออกจากเกาะกำบังมนุษย์อย่างเดือนแรมมาสู้หน้าญาติผู้พี่ที่กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตนอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว “พะ พี่แอบจับหน้า ลูบหน้าผมตอนผมหลับบนรถ”


ปกป้องหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้รู้ความจริง “มึงเลยคิดว่ากูพิศวาสมึงสินะ เพราะแบบนี้เหรอมึงถึงเว้นช่องว่างกับกูมาตลอด”


ธันวาไม่แม้แต่จะกล้ายืนยันความคิดนั้นด้วยการพยักหน้า


“หึ สบายใจเถอะน้องรัก กูไม่เคยพิศวาสมึงเลย ที่กูเผลอทำแบบนั้นเพราะกูข่มความรู้สึกอยากทำลายมึงเอาไว้ไม่ได้แล้วต่างหาก กูอยากจะฉีกมึงออกเป็นชิ้น ๆ ในตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ”


“ทะ ทำไม พี่ถึงเป็นได้ขนาดนี้”


“เพราะมึงไง!!”


“...”


“เพราะมึงกับแม่เข้ามาแย่งความรักของพ่อไปจากกูกับแม่”


“ไม่จริง ไม่มีทางที่คุณลุงจะไม่รักพี่”


“แล้วมึงเคยเห็นกูได้รับความรักบ้างไหมล่ะ!!”


“...”


“กูทำทุกอย่าง ตั้งใจเรียน ช่วยงาน ทำตัวว่านอนสอนง่าย แม้กระทั่งเสนอตัวดูแลมึงต่าง ๆ กูก็ทำ แต่พ่อก็ไม่เคยเห็นกูในสายตา ไม่เคยชื่นชมกู ไม่เคยเอาใจใส่หรือสนใจกู จนกูเริ่มคิดแล้วว่าถ้ามึงไม่ใช่ลูกเขาอีกคน เขาก็คงคิดกับมึงมากเกินกว่าหลาน”


“เจ้าป้อง!!” เสียงแหบแต่ยังทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านดังลั่นห้องยามตวาดกร้าวหลังจากที่มาแอบฟังอยู่นานจนเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้


ธันวาเผลอขยับตัวเบียดเดือนแรมผู้เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของตนในยามนี้โดยลืมไปว่าคนเป็นลุงจะรู้สึกอย่างไรที่ท่าทีของตนแสดงออกเหมือนรังเกียจอีกฝ่ายอยู่ในที


“พ่อไม่เคยคิดอะไรชั่ว ๆ อย่างที่แกปรักปรำ” ประภาสถอนหายใจ คุมอารมณ์คุกรุ่นให้สงบลงก่อนเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น “พ่อขอโทษ พ่อยอมรับผิดที่ให้ความสนใจกับธันวามากเกินไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่รักแกนะป้อง”


ประภาสเองก็เสียใจเมื่อแววตาตัดพ้อยังไม่จางหายจากนัยน์ตาของคนเป็นลูก อีกทั้งหลานรักก็ยังไม่ยอมสบตากันอีกด้วย “พ่อยอมรับนะว่าพ่อรักแม่ของธันวา”


“คุณลุง...” ธันวาร้องเสียงหลง เดือนแรมจับมือน้องเอาไว้ บีบเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจคนที่กำลังขวัญเสีย


“พ่อแอบรักเธอมานานแล้ว แอบรักเธอข้างเดียว แม้ว่าเธอจะแต่งงานกับอาของแกไปแล้วพ่อก็ยังรัก พ่อพยายามหักห้ามใจ...ธันวา ลุงขอโทษ ลุงละอายใจที่มีความสุขเมื่อได้ดูแลแม่ของลูกหลังพ่อเราจากไป แต่ลุงสาบานได้ว่าไม่เคยมีอะไรเกินเลยระหว่างเราเลยนะ แม่ของธันว์รักพ่อของธันว์มากนะลูก”


“จนถึงตอนนี้พ่อก็เอาแต่ปกป้องแม่ของธันว์ พ่อห่วงความรู้สึกของมัน แล้วผมล่ะ พ่อสนใจบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้!!” ปกป้องตะโกนออกมาอย่างเหลืออด


“พ่อขอโทษ พ่อผิดเอง” ประภาสลูบหน้าลูบตาตัวเอง “พ่อไม่ได้ตั้งใจจะสนใจธันวามากกว่าลูกนะป้อง แต่เพราะยิ่งโตธันว์ก็ยิ่งเหมือนแม่ โดยเฉพาะดวงตา พ่อเลย...”


“คุณลุงเห็นผมเป็นตัวแทนของแม่เหรอครับ” ธันวาสรุปเมื่อเห็นว่าประภาสทำหน้าเหมือนยากที่จะพูดมันออกมา ที่ผ่านมาใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึก บ่อยครั้งที่จับสังเกตได้ว่าคนเป็นลุงมักจะมองเขาลึกเกินไปเหมือนผ่านเขาไปยังคนอื่น เพียงแต่ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้


ประภาสหลบตาไม่กล้าสู้หน้า เอ่ยคำว่าขอโทษที่ทั้งลูกและหลานเอียนจะฟังออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง


“ผมขอย้ายออกไปอยู่หอนะครับ” ธันวาว่าแค่นั้นก่อนบีบมือส่งสัญญาณให้เดือนแรมพาตนออกไปจากที่นี่โดยไม่สนใจคำร้องขอของคนเป็นลุงเลยสักนิด และก่อนออกมาก็ยังได้ยินปกป้องบอกกับพ่อตนเองว่าจะย้ายออกไปอยู่คอนโดฯเช่นกัน


ธันวาไม่ได้นั่งร้องไห้ฟูมฟาย แต่อาการมองเหม่อตั้งแต่นั่งรถจนมาถึงหอพักก็น่าเป็นห่วงจนเดือนแรมไม่อาจทิ้งให้อยู่ตามลำพังได้ เขาปล่อยให้น้องนั่งประจำโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองตามลำพังขณะที่ตนยืนพิงเสามองอยู่ห่าง ๆ แผ่นหลังบางพิงเต็มพนัก สองขาชันขึ้นบนเก้าอี้ทิ้งพิงกับขอบโต๊ะ สายตามองออกไปนอกระเบียงอย่างไร้ปลายทาง ธันวาเป็นอย่างนี้มาครู่ใหญ่แล้ว


“ผมใจร้ายกับคุณลุงมากไปไหมครับ” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาคล้ายกับหลุดรอดออกมาจากจิตใต้สำนึกมากกว่ากำลังสื่อสาร ถึงอย่างนั้นคนที่ยืนรออยู่ด้วยความเป็นห่วงก็ยังรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้


เดือนแรมลูบผมน้องอย่างอ่อนโยน “พี่ว่าคุณลุงท่านเข้าใจนะว่าธันวาอยากได้เวลา มันขึ้นอยู่กับว่าหลังจากนี้คนดีของพี่จะทำยังไงต่อต่างหาก”


ธันวาแหงนมองหน้าเดือนแรม ใบหน้าของคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาและพร้อมจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ อย่างน้อยคำว่า ‘คนดี’ ของเดือนแรมก็ช่วยลดความรู้สึกที่ว่าตนเป็นคนอกตัญญูไปได้บ้าง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แค่ตอนนี้ไม่กล้าสู้หน้าใครในบ้านนั้น ผมไม่รู้ต้องปั้นหน้ายังไงเวลาที่มองหน้าคุณลุง แค่คิดว่าในบางครั้งอาจจะมีแววตาเสน่หามองมา ผมก็ยิ่งไม่อาจทำตัวให้ไม่รู้สึกอะไรได้”


เดือนแรมขยับเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนดึงน้องเข้ามาซบ “ไม่เป็นไรนะ พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับไปด้วยกัน


“พี่แรมพาผมไปหาพี่ป้องด้วยได้ไหมครับ” วันหนึ่งเขาก็คงจะมองหน้าญาติผู้พี่ได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับตนเช่นกัน “ผมอยากขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้พี่เขาไม่มีความสุข”


“ไปขอโทษได้ แต่อย่าโทษตัวเองแบบนี้นะธันวา ทั้งเราและเขาต่างก็รับผลจากการกระทำของผู้ใหญ่ มันไม่ใช่เพราะมีเราเขาถึงไม่ได้รับความรัก เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมธันวา”


ธันวาพลิกตัวซุกหน้ากับหน้าท้องคนพี่ “เข้าใจครับ”


“ไว้พร้อมแล้วเราไปด้วยกันนะ ไปขอโทษเพื่อปลดล็อกความบาดหมางในใจของกันและกัน”


“ขอบคุณมากนะครับ”







TBC.
-----------------------------------
ยังจำพี่แรมกับธันวากันได้ไหมคะ?
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2020 21:04:48 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ร้องไห้หนักมาก ขอสงสารพี่ปกป้องก่อนเลยค่ะ
มีพ่อแบบนี้ คงเสียใจน้อยใจหนักมาก
พ่อทำแบบนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพ่อที่รักผู้หญิงคนอื่นมาก
แม่กระทั่งผู้หญิงไม่ได้รักตอบเลย ก็ยังรักและเผื่อแผ่ไปให้ลูกเขาอย่างหนักอีก แล้วถ้าผู้หญิงรักตอบล่ะ แล้วถ้าผู้หญิงไม่พอใจลูกเลี้ยงล่ะ คุณคงจะให้สิทธิ์ผู้หญิงทำอะไรกับลูกชายตัวเองก็ได้ซินะ ถ้าเป็นป้องก็คงไม่อยากอยู่ไกล้้้ๆพ่อแบบนี้แล้วเหมือนกัน
โอ้ยยยยย พิมพ์ทุกอย่างที่คิดที่รู้สึกไม่หมดอ่ะ แค่รู้ว่าเข้าใจป้องและสงสารจริงๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารทุกคนกับปมที่ผู้ใหญ่สร้างไว้

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารไปหมด สงสารทุกคนเลย

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ kikilululu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เห็นใจปกป้องแต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำร้ายคนอื่นได้อยู่ดี
ใจจริงอยากเห็นว่าผู้ใหญ่ในเรื่องนี้จะจัดการสิ่งที่ลูกตัวเองทำหลาน
พูดถึงในแง่ความถูกต้องไม่มีเสน่หามาเกี่ยวยังไงก็ควรจัดการ
ดีใจที่น้องยังมีพี่แรม เป็นพระเอกที่ดูโตกว่าวัยมากๆเท่าที่เคยอ่านเจอมากเลยค่ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Bebii123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากอ่านต่อ  :hao7:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด