แรมเดือนสิบสอง
แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)
เช้านี้ไม่มีสติกเกอร์รูปหัวใจจากเดือนแรม
จะว่าตื่นเช้ากว่าปกติ ยังไม่ถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะส่งมาให้ก็ไม่ใช่ ธันวารอตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งอาจารย์จะเข้าสอนคาบเช้าในอีกห้านาทีข้างหน้านี้แล้วก็ยังไม่เห็นการแจ้งเตือนจากแอคเคาน์ของเดือนแรมเลย
เช้านี้ไม่มีน้ำชาร้อนบนโต๊ะอ่านหนังสือด้วย
ไม่มีของในกล่อง mirror
ไม่เจอเดือนแรมที่โรงอาหารในตอนเช้า
ไม่มีแม้แต่เงาของอีกฝ่ายมายืนรอหน้าห้องเรียน
คงเหลือเพียงแค่ข้อความบนปลอกปากกาเท่านั้นที่ไม่หายไป
ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะถอยห่าง ปล่อยเดือนแรมให้เป็นอิสระจากตนก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่มองหาเมื่ออีกฝ่ายหายไป
ถอดใจไปแล้วจริงหรือ
ธันวาฟุบศีรษะลงกับโต๊ะเรียน ปล่อยทิ้งความหนักอึ้งทั้งหลายไปตามแรงโน้มถ่วงทั้งที่อาจารย์เพิ่งเริ่มสอน
คิดถึง…
หลายวันก่อนไม่เจอหน้าแต่แค่รับรู้ถึงตัวตนว่าอยู่ใกล้ ๆ ก็ว่าคิดถึงมากแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายหายหน้าไปจริง ๆ คล้ายจะออกไปจากชีวิตกันแล้วแบบนี้...เพียงแค่วันเดียว
เพียงแค่วันเดียวก็คิดถึงจวนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“เงยหน้าขึ้นมาเรียนก่อน” เสียงกระซิบของกรองเกียรติดังขึ้นใกล้ ๆ ที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบใจนักที่เขาทำตัวเหลวไหลแบบนี้
ธันวาดันตัวขึ้นอย่างอิดออด “ง่วง”
“ไม่บอกกูก็รู้ หน้ามึงฟ้องตั้งแต่ระยะร้อยเมตร” กรองเกียรติพูดทั้งที่ตายังมองสิ่งที่อาจารย์สอน “แต่ช่วยถ่างตาเรียนด้วย”
“วันนี้ไม่มีตัวช่วย”
คราวนี้กรองเกียรติตวัดตามามองเพราะรู้ดีว่าตัวช่วยที่เพื่อนพูดถึงคืออะไร “อย่าทำตัวเหมือนเอาชีวิตไปยึดติดเขา...”
ไม่ได้ยึดติดเสียหน่อย ไม่ได้อยากได้เลยด้วยซ้ำ น้ำชานั่นน่ะ
...แค่ไม่อยากให้พี่แรมหายไปต่างหาก
ธันวาแย้งในใจและอดรู้สึกไม่ได้ว่าเดือนแรมใจร้ายกับเขาอยู่เหมือนกันที่คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปไม่บอกกล่าว
“...โดยเฉพาะกับคนที่มึงผลักเขาออกไปจากชีวิตเอง”
จุกดีจริง ๆ
“ก็ถ้าเขาไม่พยายามเข้ามาในชีวิตกู กูจะอยากผลักเขาออกไปรึไงเล่า”
“ก็ถ้าอยากผลักเขาออกไปก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจ หน้าที่ของมึงคือเรียนหนังสือและใช้ชีวิตอย่างคนที่ปกติที่สุด”
“...”
“ให้สมกับที่เป็นคนเจ็บน้อยกว่า”
กรองเกียรติพูดถูกที่บอกว่าคนเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์ไม่ควรมานั่งเสียใจ
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเจ็บน้อยกว่าเสียหน่อย
แค่เพราะความรู้สึกของเขาเริ่มจากศูนย์ ไม่ได้แปลว่าตอนนี้มันยังน้อยกว่า
ธันวาตั้งใจเรียนได้ทั้งคาบเช้าตลอดสี่ชั่วโมง ถือว่าเกินกว่าที่กรองเกียรติคาดการณ์ไว้ แต่จะมีสติเก็บเกี่ยวเนื้อหาที่อาจารย์สอนได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่อาจคาดเดาได้
“เที่ยงนี้จะกินข้าวไหมมึงอะ” กรองเกียรติถามธันวาด้วยความเป็นห่วง
“กินดิ หิว” ...อยากเจอหน้าพี่แรม
“นึกว่าจะอยากหนีหน้าใครอีก”
ธันวาไม่ต่อบทสนทนา เลือกที่จะเดินกอดคอตฤณนำหน้าไปก่อนโดยมีสายตาของกรองเกียรติมองตามไปด้วยความเป็นห่วง
แม้จะพากันออกจากห้องเรียนเป็นกลุ่มท้าย ๆ แต่กลุ่มของกรองเกียรติก็ไม่มีปัญหาเรื่องการไม่มีที่นั่งในโรงอาหารเพราะมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นสาวสวยกวักมือเรียกให้ไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันแล้ว
“นั่งด้วยกันนะธันว์ หวานจองเผื่อไว้ให้แล้ว”
อ่า...ไม่ใช่น้ำใจจากความบังเอิญ
กรองเกียรติหันมองหน้าเพื่อนที่ทำให้พวกตนได้รับสิทธิพิเศษไปด้วยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ในตอนที่เดินไปซื้ออาหารด้วยกันจึงไม่เสียเวลารีบกระซิบถามให้รู้เรื่องทันที “มึงกับเขานัดกันไว้แล้ว?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมต้องจองเผื่อ ทำเหมือนอยากนั่งกินข้าวด้วยกันทั้งที่ปกติก็ไม่”
ธันวาไม่เล่าอะไรต่อ กลายเป็นคนถามที่คิดคำตอบขึ้นมาได้เองจากความสงสัย “หรือว่าที่มึงไปกับเขาเมื่อวาน นี่อย่าบอกนะว่ามึง--”
“พี่แรมไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เสียงหงอย ๆ ของธันวาดังแทรกก่อนที่กรองเกียรติจะพูดจบจึงทำให้เขาเพิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะของใคร หนุ่มตี๋หันมองตาม ทำความเคารพพอเป็นพิธี ไม่แปลกใจที่ธันวาจะถามอย่างนั้นเพราะรุ่นพี่กลุ่มนี้นั่งกันครบกลุ่มขาดก็แต่เพียงคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีที่สุดเท่านั้น อีกทั้งยังรับประทานอาหารใกล้เสร็จกันแล้วด้วย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกำลังรอใครคนนั้นตามมาสมทบเลยสักนิด
“อือ” โอ๊คตอบเสียงแข็ง แทบไม่เสียเวลามองหน้ารุ่นน้องร่วมห้องนอนนานเลยด้วยซ้ำ
“แต่พี่เขาได้กินข้าวใช่ไหมครับ” ธันวายังถามต่อ
“ไอ้แรมมันเป็นคนรักตัวเอง แม้ว่าใครจะไม่รักมันก็ตาม”
ธันวายิ้มแห้ง ตอบรับก่อนเดินออกจากตรงนั้น “ครับ”
“มึงกำลังจะกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก” กรองเกียรติว่าด้วยท่าทีขยาด แต่อีกคนกลับทำหน้านิ่ง
“ไว้กูจะเล่าให้ฟัง”
“คืนนี้” กรองเกียรติต่อรอง “ช้าที่สุดเท่าที่กูจะให้มึงแล้ว”
กรองเกียรติทำเป็นไม่สนใจท่าทีสนิทสนมของหวานกับธันวาตลอดมื้ออาหารกลางวันแล้ว แต่ก็ยังต้องมาเจอเหตุการณ์ซ้ำสองในตอนเย็นอีกครั้งเมื่อสาวเจ้าเข้ามาชวนไปเดินเที่ยวเล่นในฝั่งมหาวิทยาลัย
“วันนี้เราว่าจะไปดูตฤณซ้อมบาสอะ ใช่ไหม วันนี้มึงมีซ้อม” ประโยคหลังธันวาหันไปถามตฤณที่กำลังเก็บของ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับทันทีว่าใช่ “หวานไปด้วยกันไหมครับ”
กรองเกียรติถอนหายใจเงียบ ๆ คนเดียว รู้ดีว่าเพื่อนตนไม่ได้พิศวาสอะไรกับการซ้อมบาสเกตบอลของตฤณนัก แต่ที่ไปก็คงเพราะอยากเจอเดือนแรมเสียมากกว่า และที่อยากจับเพื่อนตัวเองมาตีสักสองสามทีก็เพราะเจ้าตัวดันเอ่ยปากชวนหญิงสาวไปด้วยกันเสียนี่
หากเขาเป็นคนมาตามจีบธันวา บอกได้เลยว่าทำกันแบบนี้มันช่างโหดร้ายต่อจิตใจเกินไปแล้ว
“จะดีเหรอวะ” กรองเกียรติคว้าแขนเพื่อนไว้ให้ถอยมาเดินรั้งท้ายด้วยกัน
“หวานก็ไปดูเพื่อนซ้อมเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ”
“มึงนี่มัน...” กรองเกียรติยีผมตัวเองเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร
การซ้อมบาสเกตบอลวันแรกมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมานั่งดูให้กำลังใจกันอย่างคับคั่งไม่น้อยไปกว่าในวันคัดตัว ในตอนที่ธันวากับกรองเกียรติไปถึงนักกีฬากำลังวิ่งรอบสนามวอร์มร่างกายกันอยู่ แต่ก็ยังไม่เห็นร่างสูง ๆ ของเดือนแรม เมื่อหาที่นั่งจับจองได้ใกล้ที่พักนักกีฬาที่สุดได้ครู่หนึ่ง หวานกับเพื่อนอีกสองคนก็เดินเข้ามาสมทบ
“มองหาใครเหรอธันว์” ตั้งแต่มาถึงธันวายังไม่หยุดมองซ้ายมองขวา ท่าทางเป็นกังวลจนเธออดสงสัยไม่ได้
“อะ อ้อ แค่อยากรู้ว่ามีเพื่อนรุ่นเรามาเยอะไหมน่ะ”
หวานพยักหน้ารับ
“ตฤณ เดี๋ยวตฤณ” ธันวาเรียกรั้งเพื่อนสนิทเอาไว้พร้อมกับกระโจนเข้าไปหาเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะลงสนามไปซ้อมอย่างจริงจังแล้ว
“พวกมึงซ้อมกันโดยไม่มีกัปตันเหรอ”
“ใคร พี่แรมอะนะ” ธันวาพยักหน้า “วันนี้เขาไม่มาหรอก ออกคำสั่งมาทางไลน์กลุ่มแล้ว มึงอยู่ดูกูจนจบนะ”
“เออ แน่นอนอยู่แล้วหน่า”
ตลอดเวลาธันวาแทบไม่ได้จดจ่ออยู่กับเกม แม้ตาจะมองตรงไปข้างหน้าแต่กลับไม่สนใจความเคลื่อนไหวใด ๆ ของคนในสนาม และไม่มีปฏิกิริยาใดกับแต้มคะแนนในแต่ละครั้ง หากหวานไม่ชวนคุยหรือคอยกระตุ้น ธันวาก็แทบไม่รับรู้ความเป็นไปของการซ้อมในครั้งนี้
ความนึกคิดของธันวาจมอยู่กับการคิดถึงเดือนแรม ทั้งเสียใจที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็หายหน้าไปและเข้าใจว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาเองที่ผลักไส และแม้จะรู้สึกผิดแต่ธันวาก็ยังเชื่อว่าตนทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วเพียงแค่ต้องใช้เวลาเยียวยาอีกสักหน่อยเท่านั้น
หวานกับเพื่อนปลีกตัวออกไปก่อนการซ้อมจะจบลง ตฤณเองก็ไปสังสรรค์กันต่อกับเพื่อนร่วมทีมเพื่อสร้างสัมพันธ์ ธันวากับกรองเกียรติจึงได้โอกาสหาร้านสงบเพื่อนั่งคุยกันโดยที่วันนี้ทั้งวันธันวาก็ยังไม่ได้เจอหน้าเดือนแรมเลยแม้แต่เงา
“นานแล้วเหมือนกันเนอะที่เราไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกัน” กรองเกียรติว่าไปเรื่อยระหว่างรออาหาร
ธันวายิ้มเจื่อน ไม่ได้มาด้วยกันนับตั้งแต่ที่เขายอมเปิดโอกาสให้เดือนแรมเข้ามาในชีวิต “มึงน้อยใจกูเหรอ”
“เฮ้ย จะน้อยใจทำไมวะ แค่รำพึงรำพันเฉย ๆ”
“หวานบอกว่าชอบกู เขาขอคบกับกู”
กรองเกียรตินิ่งค้างไปเพราะไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่ธันวาเล่าออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็รวบรวมสติแล้วถามกลับไปได้โดยเร็ว “แล้วมึงตอบเขาไปว่าไง”
“กูขอเวลา กูยังไม่กล้าตอบ”
“ยังไม่ให้คำตอบแต่ยอมไปไหนมาไหนกับเขา” กรองเกียรติอยากจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก ให้ตายเถอะ! ธันวามันซื่อบื้อหรือโง่กันแน่ ป่านนี้คนคงลือกันทั้งคณะแล้วว่าสองคนนี้สานสัมพันธ์กันอยู่
“อือ”
“มึงยังสับสน?”
ธันวาพยักหน้ายอมรับ
กรองเกียรติยีผมตัวเองอย่างหัวเสีย “มึงฟังนะ มึงไม่ควรมานั่งสับสนแล้วเพื่อน ทุกอย่างมันชัดตั้งแต่ที่มึงเปิดโอกาสให้พี่แรมจีบแล้ว”
“แต่กูยังไม่ได้ชอบเขา”
“โว้ย!” กรองเกียรติเผลอสบถเสียงดังจนต้องรีบงับปากตัวเองแล้วหันไปก้มหัวแทนคำขอโทษแก่ผู้คนในร้าน “มีผู้ชายแท้คนไหนบ้างที่ยอมให้ผู้ชายแมน ๆ จีบตัวเอง ผู้ชายสวย ๆ เข้ามาจีบกูยังไม่ยอมเลย กลัวโว้ย แล้วยิ่งเป็นมึงนะ มึงคนที่บอกว่าจะไม่มีแฟนเป็นผู้ชายอีกแล้ว จะคบแต่ผู้หญิงเท่านั้น นั่นเท่ากับว่าไม่มีโอกาสที่มึงจะคบผู้ชายอีก แล้วไอ้การที่มึงยอมให้ผู้ชายจีบแบบรู้เนื้อรู้ตัวเนี่ยมันเรียกว่าอะไรละวะถ้าไม่ใช่เพราะว่าความจริงแล้วมึงเองก็ชอบเขาไปแล้วอะ”
“...”
“มึงอยากอยู่ใกล้เขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้หรอก”
ธันวาอึ้ง กรองเกียรติมักพูดจาให้สติเขาแบบตรงไปตรงมาและโผงผางแบบนี้เสมอ ไม่มีน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังให้รู้สึกถูกถนอมน้ำใจ ถ้าด่าคำว่าโง่ออกมาได้ก็คงแทนสิ่งที่พูดมาทั้งหมดได้แล้ว เพียงแต่คนพูดเองก็คงกลัวว่าเขาจะยัง ‘โง่’ เกินกว่าจะเข้าใจ
“แต่ถ้าจนถึงตอนนี้เล้วมึงยังยืนยันว่าตัวเองสับสนก็คิดให้ดี ๆ นะ มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่เขาไม่สนใจว่าผู้ชายคนหนึ่งจะเคยคบผู้ชายด้วยกันมาก่อน แต่แน่นอนว่าคนในจุดแบบพวกเราต้องมี mindset แบบที่ต่อให้รักยังไง ยอมรับได้แค่ไหนแต่ก็ระวังเรื่องที่ว่าคนที่รักอาจเคยมีเซ็กซ์กับผู้ชายคนอื่นมาก่อนแล้วส่งผลต่อเธอ มึงเข้าใจที่กูสื่อใช่ไหม ถ้ามึงหลุดจากหวานไปแล้วคบพี่แรมหรือผู้ชายคนอื่นอีก มันก็ยากที่จะมีผู้หญิงอย่างหวานเข้ามาในชีวิตมึงอีก นอกจากว่ามึงจะออกจากวงการนี้หรือประเทศนี้ไปมีชีวิตใหม่ที่อื่น”
“...”
“แต่ถ้าเลือกเดินทางนี้แล้ว มึงจะถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้วนะ”
ธันวาซุกหน้ากับฝ่ามือ รู้สึกปวดหัวจนไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว เพราะต่อให้เขาเลือกเดินทางที่มีเดือนแรมรออยู่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อเดือนแรมออกไปจากชีวิตของเขาแล้ว
“วันนี้เขาไม่มาหรอก”
วันที่สามแล้วที่ธันวาได้ยินประโยคนี้และแทบจะต่อประโยค ‘ออกคำสั่งมาทางไลน์กลุ่มแล้ว’ ได้ในทันที แต่วันนี้ตฤณกลับเสริมให้อีกว่า “คงไม่เข้ามาทั้งสัปดาห์แหละ เห็นพี่แกว่างั้นนะ”
“งี๊พวกมึงก็โดดซ้อมได้ดิ” ธันวาว่าติดตลก
“โดดบ้าอะไรล่ะ ไม่เสี่ยงด้วยหรอก”
“ทำไม ใช่ว่าพี่เขาจะมาดูตอนใกล้เลิกซ้อมนี่” หลายวันที่นั่งดูตฤณซ้อมจนเลิกค่ำมืดแต่ธันวาก็ยังไม่ได้เจอเดือนแรมแม้แต่เงา
“สายเขาเยอะ กูไปวอร์มละ” ตฤณตัดบทพร้อมกับผละไป ไม่ทันสังเกตสีหน้าของเพื่อนที่หงอยลงไป
เดือนแรมคงออกไปจากชีวิตเขาแล้วจริง ๆ หลายวันมานี้แม้แต่โอ๊คที่อยู่ห้องเดียวกันเขาก็แทบไม่ได้เจอ โอ๊คออกจากห้องไปตั้งแต่เช้า กลับเข้ามาก็ดึกดื่น บางวันใกล้เวลาปิดหอแล้วด้วยซ้ำ ช่วงกลางวันก็ไม่เจอที่โรงอาหารหลักของนักศึกษาแพทย์เหมือนอย่างเคย แม้ว่าเขาจะผลัดเวียนไปโรงอาหารอื่น ๆ บ้างแต่ก็ไม่เจอแม้สักคนเดียวในกลุ่มนั้น
อยากเจอ
อยากคุยด้วย
เพียงแค่คิดถึงเรื่องเก่า ๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างกันทั้งในที่แห่งนี้และทุก ๆ ที่ที่อยู่ด้วยกันก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกแน่นที่คอ ไม่ทันไรทัศนียภาพเบื้องหน้าก็พร่าเบลอเพราะน้ำตาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
ธันวาปาดมันออกด้วยหลังมือก่อนที่มันจะตกลงมาแล้วทำให้คนข้าง ๆ หันมาสนใจเขาแทนที่จะเป็นเกมตรงหน้า
เขาทนดูการซ้อมได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นก็บอกลาตฤณขอกลับขึ้นมาบนห้องก่อน รอยยิ้มแรกในรอบหลายวันจึงได้แต้มใบหน้าใสเมื่อเจอนันอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
“ช่วงนี้ใกล้สอบบล็อกใหม่เหรอครับ” เพราะไปหาเดือนแรมถึงห้องแต่ก็ไม่เคยได้เจอ ไปหาที่ห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือก็ไม่เห็น คนที่น่าจะให้คำตอบได้ก็คงมีแต่นันที่เขาหวังให้อีกฝ่ายมีความเป็นกลางหรืออย่างน้อยก็ยังไม่รู้เรื่องเขากับเดือนแรมมากนัก
“ไม่นะ” นันตอบ เห็นสีหน้าไม่สบายใจของรุ่นน้องร่วมห้องแล้วอยากจะถามไถ่ต่อ แต่ก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ตนจะช่วยเหลือได้ และยิ่งเห็นสีหน้าเจื่อนสนิทก่อนเดินออกไปของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าตนทำถูกแล้ว
คงหนีไม่พ้นเรื่องของเดือนแรมที่โอ๊คขอไว้
เดือนแรมตั้งใจหลบหน้าเขา
จะเพราะหมดใจ ถอดใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ธันวารู้แค่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหลบหน้าตน และนั่นแปลความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากอีกฝ่ายตัดสินใจที่จะออกไปจากชีวิตเขาแล้ว
ธันวาเดินไปมาอยู่ตรงลานกว้างรับลมชั้นเดียวกับห้องอ่านหนังสือ ความคิดมากมายตีรวนในสมองพาให้เหนื่อยล้าจนต้องหาที่นั่งปักหลัก
หากเดือนแรมหลบหน้าเพราะไม่อยากเห็นเขาอยู่ในสายตา มันก็ควรจะเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายหายหน้าไปเสียเองเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตอย่างปกติไม่ต้องลำบากหลบซ่อนให้วุ่นวาย และถ้าหากเดือนแรมหมดใจจริง ๆ การที่เขาจะถอยห่างออกไป ไม่ต้องเห็นหน้าเดือนแรมหรืออยู่ในที่ที่เคยมีกันและกันก็คงจะดีกว่า
ธันวาหวังว่าดีนจะดีใจที่เขานึกถึงในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อดีนตอบรับทันทีโดยไม่อิดออดหลังจากได้ยินคำขอของเขา
เย็นวันนั้นธันวาจึงไปปรากฏตัวที่หน้าห้องของดีนพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า ตำรา และของใช้ส่วนตัวบางส่วน สภาพภายนอกและสีหน้าไม่ต่างจากพวกผู้หญิงที่ออกจากบ้านสามีเพราะทะเลาะกันมาเลยสักนิด เพียงแต่เพื่อนของเขายังไม่มีชื่อสถานะเท่านั้นเอง แต่เพราะอย่างนั้น เพราะยังไม่มีสถานะ และเพราะยังไม่ยอมให้สถานะ ธันวาถึงต้องหอบข้าวของมาอยู่กับเขาชั่วคราว
“มาหากูนี่บอกใครไว้บ้างรึยัง” ดีนถามด้วยท่าทีปกติ ไม่แสดงความกังวลมากให้เพื่อนไม่สบายใจขณะที่ช่วยถือสัมภาระของเพื่อนเข้ามาในห้องตัวเอง
ห้องของเขาเป็นหอพักนอกและกว้างพอสำหรับคนสองคนอยู่ได้อย่างสบาย
“บอกไอ้เก่งแล้ว”
“มันว่าไงล่ะ”
“ก็ดี มันบอกว่าเปลี่ยนที่สักพักเผื่อจะดีขึ้น”
“ธันวา ถ้ามึงอกหักแล้วอยากมาพักใจอยู่กับกู กูโอเคนะ แต่ที่มึงทำเนี่ยคือการหนี รู้ตัวไหม” กรองเกียรติเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ แล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร และคิดว่าที่เพื่อนเห็นดีเห็นงามกับการหนีครั้งนี้ของธันวาคงเพราะจนปัญญาจะช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้แล้วถึงได้ส่งมาหาเขา
“อย่ายืนขี้แยตรงนั้น มานี่มา” ธันวาไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ปากแบะ ดีนแค่แกล้งหยอกเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเพื่อนรัก
“อย่าใจร้ายกับกู” ธันวาว่าเสียงเบาในตอนที่ยอมถูกจับจูงไปนั่งบนโซฟายาวด้วยกัน
“ก็มึงทำตัวน่าตี” ดีนโยกศีรษะเพื่อนไปมาเบา ๆ “จะไปต่อหรือถอยห่างทำไมไม่เปิดใจคุยกันก่อนวะ หนีมาทั้งที่ยังไม่เคลียร์กันมันไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้วันหนึ่งทำใจได้จริงแต่มึงกับเขาไม่มีทางมองหน้ากันติดนะ”
“แล้วจะให้กูทำไงอ่ะ เขาหนีหน้ากูไปก่อนนี่”
“มึงก็เลยหนีบ้าง?”
“ก...กูแค่ช่วยเขาเว้นระยะห่างไง เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก” ธันวาปิดท้ายประโยคด้วยยิ้มขื่น
“มึงตามหาเขารึยัง”
“กูพลิกโรง’บาลหาแล้วดีน เขาหายไปเพราะอะไรกูยังไม่รู้เลย” ธันวาเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ดีนรู้ในทันทีว่าตนเจอศึกหนักไม่ต่างจากครั้งก่อนเลยสักนิด การหายไปของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมีผลกระทบต่อจิตใจของธันวาอีกครั้ง
“ก่อนหน้านี้มึงหลบหน้าเขา กูพูดถูกไหม”
ธันวานิ่งชั่วอึดใจกว่าจะพยักหน้ายอมรับ
“แล้วทำไมถึงตามหาเขา อยากเจอหน้าเขาอีก? มึงมีคำตอบของความสัมพันธ์ให้เขาแล้วเหรอ”
ธันวาเงียบ
“ช่างเถอะ” ดีนเลิกคาดคั้น “แล้วนี่กินอะไรมารึยัง”
“กูแค่อยากเจอเขา” อยู่ดี ๆ ธันวาก็พูดขึ้นมาทำให้ดีนต้องเปลี่ยนใจที่จะลุกขึ้นยืน “ไม่อยากให้เขาหายไป กูคิดถึงพี่แรมว่ะดีน กูคิดถึงเขา” ธันวาซุกหน้ากับฝ่ามือทันทีที่พูดจบ
“คิดถึงเขาในฐานะอะไร”
“ฮึก”
ดีนสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของธันวาหลุดออกมาจากการที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นมันเอาไว้ “มึงยังไม่ชัดเจนในตัวเองเลยธันวา มึงยังไม่รู้เลยว่าถ้ามึงเจอเขามึงจะเคลียร์กับเขายังไง” ...ช่างทำตัวน่าตีจริง ๆ
ใบหน้าใสบิดไปมาในฝ่ามือคล้ายจะเช็ดหลักฐานของความเสียใจก่อนเงยขึ้นมาให้เห็นแค่ขอบตาแดง ๆ “ไม่สำคัญแล้วแหละดีน พี่แรมเขาคงอยากออกไปจากชีวิตกูแล้ว”
“แล้วมึงก็ปล่อยเขาไป”
“อือ”
“กับเพื่อนที่ชื่อหวานล่ะ”
“บอกเขาไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรด้วย”
“ไม่เสียดายเหรอ” ธันวารอโอกาสที่จะมีผู้หญิงสักคนเข้าใจเขามาตลอด และพบกับความผิดหวังมานับไม่ถ้วน วันหนึ่งมีผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่งมาบอกชอบ การที่ธันวาไม่ตอบรับทั้งที่ไม่ได้รู้สึกแย่ด้วยนั่นย่อมชัดเจนอยู่แล้วว่าตนมีใครอีกคนในใจ และดีนเองก็รู้ว่าสิ่งที่ยังขัดขวางไม่ให้ธันวายอมรับมันได้อย่างสนิทใจคืออะไร
ธันวาส่ายหน้าแทนคำตอบ ดูหงอหงอยจนคนเป็นเพื่อนทนมองไม่ไหวต้องดึงเข้ามากอดปลอบ “ไม่ตีกูหน่อยรึไง” เสียงอู้อี้ของอีกฝ่ายทำให้ดีนมีรอยยิ้ม จึงหยอกกลับไปว่าจะตีหากอีกฝ่ายไม่ยอมกินข้าวและเรียนหนังสือ
(มีต่อนะคะ)