แรมเดือนสิบสอง
แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)
ธันวาใช้ชีวิตกับดีนอย่างสมบูรณ์แบบมาหลายวันแล้ว รับประทานอาหารเช้าง่าย ๆ ที่หอหรือบางวันอาจจะเป็นที่โรงอาหารคณะอักษรศาสตร์ แม้กระทั่งพักกลางวันก็ยังแวบไปหาดีนที่คณะ เลิกเรียนในแต่ละวันก็รีบเผ่นไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของคณะนั้นจนถึงเวลาปิด เขาใช้ชีวิตเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคณะอักษรศาสตร์ไปแล้ว
อ่านหนังสือได้บ้างเผลอหลับไปบ้างในแต่วัน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาไม่ต้องคอยพะวงว่าจะเจอคนรู้จัก เพราะที่นี่เป็นห้องสมุดประจำคณะที่ต้องใช้บัตรนักศึกษาคณะนี้เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้
และทั้งที่เป็นห้องสมุดเฉพาะทางซึ่งไม่มีตำราแพทย์อยู่เลยสักเล่มเดียว แต่ธันวาก็ยังพาตัวเองมายืนในซอกแถวชั้นวางหนังสือประหนึ่งเพื่อค้นหาเล่มที่ถูกใจ ทว่าความจริงแล้ว เขากำลังคิดหาข้ออ้างดี ๆ ในการเบี้ยวนัดตฤณเพราะยังไม่พร้อมจะไปเจอหน้าเดือนแรมในเย็นวันนี้ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายโผล่หน้ามาที่สนามซ้อมบ้างแล้วหรือยัง
...ไม่กล้าไปเจอหน้าเพราะกลัวอีกฝ่ายไม่อยากเห็นหน้ากัน...
สองเท้าก้าวเดินอย่างช้า ๆ นิ้วเรียวกรีดสันปกผ่าน ๆ นัยน์ตามองข้ามหนังสือที่นิ้วลากผ่านอย่างไม่มีจุดหมาย ไร้จุดโฟกัส เพราะห้วงคำนึงมีแต่ภาพของผู้ชายคนนั้น ใบหน้าคมคายกับนัยน์ตาคมดุที่มักซ่อนความเอ็นดูเขาเสมอที่มองมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ขยายกว้างขึ้นเวลาที่เขาทำอะไรโง่ ๆ แต่ทำไม ทำไมอยู่ ๆ ภาพนั้นก็กลายเป็นใบหน้าเดียวกันที่นิ่งขรึมและแววตาเศร้าหมองมองมาอย่างตัดพ้อปรากฎขึ้นมาแทนที่ตรงหน้า
“ธันวา” ชัดเหลือเกิน เสียงทุ้มต่ำนั่นชัดจนเสมือนจริง ธันวาพบว่าตัวเองไม่ได้คิดถึงเดือนแรมมากเกินไปจนเห็นแต่ภาพของเขาอีกแล้ว แต่เดือนแรมตัวเป็น ๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในอีกฟากของชั้นวางหนังสือ ในเสี้ยววินาทีที่รู้อย่างนั้นก็เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ทำให้สองขารีบสาวเท้าหนี
ธันวาอาจจะตกใจที่บังเอิญเจอเดือนแรมที่นี่ แต่สำหรับเขา นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ใจร้ายจังวะ” ไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยชื่อว่ากำลังพูดกับใคร เพราะเพียงแค่เดือนแรมว่าอย่างนั้นธันวาก็ไม่อาจก้าวขาเดินหนีได้อีกต่อไป
เมื่ออีกฝ่ายหยุด เดือนแรมก็รีบสาวเท้าเข้าไปยืนเผชิญหน้าด้วย ดวงหน้าที่ไม่ได้มองมาหลายวันไม่สดใสอย่างเคย ดวงตาที่อยากมองสบก็หลุบต่ำไม่เงยขึ้นฉายแววรั้นสู้อย่างทุกที
“พอรู้ว่ากูรัก ก็เลยใจร้ายเหรอ”
“อะไรของพี่” ธันวาเงยขึ้นมองสบแวบหนึ่งก่อนหันเหไปโฟกัสจุดอื่นราวกับหน้าเขาไม่มีอะไรน่าดึงดูดพอให้จ้องมอง
“สนุกไหมเล่นกับความรู้สึกกูอะ”
“ผมเล่นตรงไหน” คราวนี้ธันวาหันไปจ้องตอบอย่างไม่ลดละ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยให้รู้ว่าตนไม่ยอมจำนนต่อข้อกล่าวหา
“ก็ที่มึงหายหัวไปนี่ไง”
“พี่คิดว่าผมทำเพราะพี่ทำกับผมก่อนใช่ไหมล่ะ”
“...”
“พี่กำลังเล่นกับความรู้สึกผมอะ เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตคนอื่นเขาแล้วอยู่ดี ๆ ก็หาย”
“ทำไมคิดว่ากูทำแบบนั้น”
“เออ! สรุปว่าไม่ได้ทำใช่ไหมล่ะ ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ ช่างแม่งเหอะ!”
“เดี๋ยว!” เดือนแรมรีบคว้าแขนคนที่กำลังจะหันหลังหนีเขาอีกครั้ง
“อะไรอีก” ธันวาพยายามบิดแขนออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม
“มึงกำลังทำตัวเอง”
“ทำอะไร!”
“ทำให้กูไม่อยากปล่อยมึงให้คลาดสายตาไปไหนอีกเลย”
ธันวานิ่ง ยิ่งมองจ้องเข้าไปในดวงตาดำขลับคู่นั้นก็ยิ่งระลึกได้ว่าไม่มีครั้งไหนที่เดือนแรมจะไม่จริงจังและจริงใจ
ไม่มีใครพูดอะไรต่อและธันวาก็จ้องมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อย ๆ แบะปากเหมือนจะร้องไห้ และยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เพราะทันทีที่เดือนแรมบอกว่าห้ามร้องธันวาก็ปล่อยโฮออกมาอย่างที่ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีก
“หยุดร้องนะธันวา เบา ๆ เดี๋ยวคนก็แห่มากันหรอก” แม้ว่าที่ตรงนี้จะไกลผู้คนและไม่ใช่ที่ที่มีใครเดินผ่านไปมา แต่เดือนแรมก็กลัวว่าเสียงของธันวาจะดังจนมีใครผ่านมาได้ยินเข้าได้
คนเด็กกว่าโผเข้าสวมกอดคนพี่แน่นเพื่อยืนยันอีกครั้งว่านี่คือตัวจริงไม่ใช่มโนภาพของตัวเองอย่างทุกที ขณะที่เดือนแรมยืนตัวแข็งทื่อเพราะตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน
“ขอโทษ ฮึก ขอโทษที่ปล่อยให้พี่รอ ขอโทษจริง ๆ”
“ขอโทษเพราะรู้สึกผิดกับรุ่นพี่ในคณะอย่างกูหรือว่า—”
“คิดถึง”“...”
“ขอโทษที่ปล่อยให้รอ คิดว่าพี่จะไม่รอผมแล้ว ฮึก”
“ระ รอ—”
“ผมคิดถึง”
“หยุดร้องก่อน”
“ฮึก” ธันวาปาดน้ำตาทิ้งทั้งที่ยังกอดคนพี่อยู่อย่างนั้น “ทั้งที่เป็นคนหลบหน้าพี่ก่อนเองแท้ ๆ แต่พออยู่ดี ๆ พี่หายไป ผมก็อดใจเสียไม่ได้ นึกว่าพี่จะถอดใจไม่ชอบผมแล้ว”
เดือนแรมระบายยิ้มเต็มหน้า ยกมือกอดธันวาตอบแล้วลูบหลังปลอบอย่างอ่อนโยน “ขอโทษที่หายไปเหมือนกัน แต่ถึงกูจะหายหน้ากูก็ยังชอบมึงเหมือนเดิมนะ”
ไม่มีคำตอบจากธันวา มีเพียงเสียงสูดน้ำมูกที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพยายามหยุดร้องไห้ และแม้จะอยากกอดนาน ๆ ให้หายคิดถึงแต่เดือนแรมกลับดึงอีกฝ่ายออกเพราะอยากมองหน้ามากกว่า
เดือนแรมปล่อยให้ธันวาเช็ดหน้าเช็ดตา เขาเพียงแค่ยืนมองด้วยรอยยิ้มรอเวลาให้น้องพร้อมแล้วเงยขึ้นมาสบตาเอง “ขี้แยจังวะ”
“อะไรเล่า” ธันวาไม่ได้อยากร้องไห้ แต่มันอดไม่ได้เมื่อรู้ว่าเดือนแรมยังรู้สึกดีกับตัวเองทั้งที่เขาทำไม่ดีด้วยตั้งมากมาย “แค่รู้สึกผิดหรอก”
“งั้นทำดีไถ่โทษหน่อยไหม”
“ทำอะไร” ธันวาหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเมื่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มใบหน้าคมคายก็ยิ่งหวั่นใจจนเผลอถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว
เดือนแรมยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทีเหมือนกลัวเขาเสียเต็มประดาของธันวา “กลัวอะไร แค่จะให้ไปดูกูซ้อมบาสเย็นนี้เท่านั้นเอง คิดไปถึงไหนวะ ฮึ” เดือนแรมบีบปลายจมูกคนน้องที่แดงอยู่แล้วให้แดงมากขึ้นไปอีกในตอนประโยคท้าย
“อื้อ” ธันวาดิ้นหนี เบี่ยงหน้าหลบด้วยทั้งเจ็บทั้งอาย “วันนี้จะไปอยู่แล้ว ไอ้ตฤณให้ไปเชียร์”
“ไปเชียร์กู”
“ห๊ะ”
“วันนี้ไปเพื่อเชียร์กู”
“...”
“วันอื่น ๆ ด้วย”
ธันวาหลบสายตาทำเป็นมองนั่นมองนี่ด้วยความขลาดเขิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันก็ได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกบ่อยไม่ยักเขินมากเท่าตอนนี้ที่เผยความรู้สึกออกไปแล้ว เดือนแรมเห็นอย่างนั้นจึงแกล้งย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “ไม่ได้เหรอ”
“ได้” เดือนแรมลอบยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายตอบรับเสียงค่อยในลำคอ
“ชัด ๆ”
ธันวาหันมองคาดโทษคนที่ใช้น้ำเสียงเหมือนตอนสวมบทบาทประธานรุ่นในงานรับน้องแล้วตอบรับเสียงดังฟังชัดว่า “ได้ครับ!”
คนฟังยิ้มกว้าง พอใจในคำตอบ “ขอกอดอีกได้ป่ะ”
“มากไปแล้วพี่แรม”
“ก็คิดถึงอะ” ธันวาขอบคุณที่เดือนแรมไม่ได้ทำเสียงเง้างอดใส่ ไม่อย่างนั้นคงได้ขำมากกว่าเขิน แต่เพราะน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังแบบที่เป็นเดือนแรมสุด ๆ ถึงได้ทำให้เขาจำต้องยอมอย่างไม่อาจปฏิเสธเสียงหัวใจตัวเองได้ว่ารู้สึกแบบเดียวกัน
เดือนแรมระบายยิ้มเต็มหน้า รู้สึกได้ว่าตั้งแต่ชอบธันวาตัวเองยิ้มได้จริง ๆ ก็วันนี้ วันที่น้องไม่ใช่แค่บอกว่าคิดถึง แต่การสวมกอดเขาแน่นกว่าที่เขาคาดหวังต่างหากที่ชัดเจนกว่าคำพูดเหล่านั้น “รู้ไหมว่าตอนที่มึงหลบหน้า กูกลัวมากแค่ไหน”
ธันวาก้มหน้าลงซุกลาดไหล่เดือนแรมคล้ายต้องการปลอบปะโลม
“กูเข้าใจนะว่ามึงคงอยากได้เวลาคิดทบทวน กูเองก็อยากให้เวลามึงคิดนาน ๆ ไม่ได้อยากเร่ง แต่อีกใจก็กลัวว่ามันจะนานจนทำให้มึงรู้ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูเลย”
“พี่แรม”
“แต่วันนี้ที่มึงบอกว่าคิดถึง รู้ใช่ไหมว่ากูตีความว่ายังไง”
“...รู้ครับ”
“มึงคิดดีแล้วใช่ไหม”
ธันวาผละออก แม้จะขลาดเขินอยู่บ้างแต่ก็อยากให้อีกฝ่ายเห็นถึงความจริงใจของตน “ครับ”
“กูไม่ให้เปลี่ยนใจแล้วนะ”
ธันวาหลุดขำเพราะเดือนแรมดูดุกว่าครั้งไหน ๆ “ผมก็ไม่ให้พี่เปลี่ยนใจเหมือนกัน”
เดือนแรมยิ้มมุมปาก เกลี่ยนิ้วเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้น้องอย่างอ่อนโยน “อนาคตกูไม่รู้หรอก รู้แค่ยังไม่เคยมีใครเปลี่ยนความรู้สึกที่กูมีให้มึงได้ แต่กูสัญญาได้อย่างหนึ่ง กูจะดูแลความรักครั้งนี้ให้ดีที่สุด”
ธันวายิ้มรับทั้งตาและปาก เกือบจะน้ำตาแตกอีกครั้งเพราะความเต็มตื้นในใจเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าตนเลือกถูก คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง คนที่มีอ้อมกอดอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัย คนที่ทำให้มีชีวิตชีวา คนที่จะไม่ทำให้เขาโดดเดี่ยว
คนคนนั้นคือเดือนแรมจริง ๆ
ธันวาใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการอ่านหนังสือที่ห้องสมุดคณะอักษรศาสตร์อย่างที่ตั้งใจโดยมีเดือนแรมฟุบหลับอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อรอเวลาซ้อมบาสเกตบอลในตอนสี่โมงเย็น เด็กหนุ่มระบายยิ้มเต็มหน้าเมื่อมองจ้องคนที่ยังหลับอยู่ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นเดือนแรมหลับในเวลาอ่านหนังสือมาก่อน ยิ่งช่วงบ่ายวันพุธที่มีเวลาว่างเยอะเป็นพิเศษก็ยิ่งไม่เคยเห็นเดือนแรมเสียเวลาไปกับการทำสิ่งอื่นนอกจากอ่านหนังสือเลยสักครั้ง แต่เมื่อคิดหาสาเหตุว่าอีกฝ่ายอดหลับอดนอนจากอะไรได้บ้างก็อรู้สึกผิดไม่ได้ว่าหนึ่งในนั้นคงเป็นเพราะตน
สองหนุ่มตรงไปยังสนามบาสของคณะตนเองพร้อมทั้งหนังสือกองพะเนินของธันวาโดยมีเดือนแรมช่วยถือ ยิ่งเดินเข้าใกล้บริเวณนั้นธันวาก็ยิ่งเดินตัวลีบ จากที่เดินข้างกายคนพี่ก็ค่อย ๆ ถอยไปเดินตามหลัง อาศัยร่างกายที่สูงใหญ่กว่าของอีกฝ่ายบดบังตนจากสายตาผู้คนที่ไม่รู้ทำไมถึงพากันจ้องมองมาที่ตนนัก ลำพังแค่สายตาของเพื่อนสนิทของเดือนแรมที่มองมาอย่างล้อ ๆ ก็ทำเอาหน้าเห่อร้อนแล้ว แต่นี่ยังมีสายตาของคนอื่นอีกด้วยจนธันวาชักทำตัวไม่ถูก
“นั่งตรงนี้นะ” เดือนแรมหันมาบอกพร้อมกับจัดแจงให้นั่งข้างกลุ่มเพื่อนของตัวเองซึ่งใกล้ที่พักนักกีฬาที่สุด
ธันวายิ้มบาง ๆ ทักทายพี่ทั้งสามคนด้วยความเคอะเขิน ไม่มีใครมีสีหน้าโกรธเคืองหรือไม่พอใจเขาเหมือนอย่างหลายวันก่อนอีกแล้ว
ธันวามองเดือนแรมคุยกับนักกีฬาในทีมซึ่งหนึ่งในนั้นมีตฤณที่มองมาที่เขาด้วยความฉงนแวบหนึ่งก่อนจะให้ความสนใจกับกัปตันทีมอย่างเต็มที่ แม้หลายวันที่ผ่านมาธันวาจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ตฤณพูดเกี่ยวกับการซ้อมมากนักแต่เขาก็พอรู้ว่าในช่วงนี้เดือนแรมนัดให้มาซ้อมทุกวันเพื่อให้เล่นเป็นทีมเข้าขากันมากขึ้น เพราะเมื่อใกล้สอบจะซ้อมแค่สัปดาห์ละ 2 ครั้งและหยุดซ้อมในช่วงสอบ
“มาด้วยกันได้ไงอะ” ตฤณที่เดินเข้ามาพร้อมเดือนแรมถามขึ้น สีหน้าฉงนจนปิดไม่มิด “คืนดีกันแล้วเหรอ”
ทว่าคนที่ตกใจมากกว่ากลับกลายเป็นคนถูกทัก ธันวาตกใจเพราะคิดมาตลอดว่าตฤณไม่รู้และไม่น่าจะระแคะระคายเรื่องตนกับเดือนแรม “มึงรู้ด้วยเหรอ”
“โอ้ย ใครดูไม่ออกก็โง่แล้ว ก่อนหน้านี้สนิทกันขนาดไหน อยู่ ๆ ห่างหายกันไปแล้วยังถามถึงเขาอีก กูไม่โง่นะเว้ย”
คงมีแต่เขาที่โง่...ธันวาอดคิดอย่างนั้นไม่ได้
“มึงไม่โง่หรอก” ฝ่ามือที่วางลงบนศีรษะแล้วโยกไปมาเบา ๆ และสายตาที่มองมาอย่างเอ็นดูยังไม่ทำให้ธันวาตกใจได้มากเท่ากับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา
“ไม่โง่?” คนอย่างเดือนแรมนี่หรือบอกว่าเขาไม่โง่
เดือนแรมพยักหน้ายืนยันขณะดึงมือกลับ
“ปกติพี่ว่าผมโง่ตลอดเลยนะ”
“มึงแค่ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”
“หมายความว่าพี่จะไม่ด่าผมว่าโง่อีกแล้วใช่ไหมครับ”
“มึงซีเรียสเรื่องนี้เหรอ”
“เปล่า ก็แค่สงสัยว่าตัวเองโง่มากเลยเหรอ ทำไมถึงโดนด่าแบบนี้อยู่ตลอด”
“ขอโทษ”
ธันวาตาโต ไม่ได้คิดว่าคนอย่างเดือนแรมขอโทษไม่เป็น แต่ตกใจที่อีกฝ่ายขอโทษเพราะเรื่องแค่นี้ “ขอโทษทำไมวะพี่ เรื่องแค่นี้เอง”
“แต่เป็นเรื่องแค่นี้ที่มึงซีเรียสไง มันทำให้มึงไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ”
“...”
“อะแฮ่ม!” ตฤณส่งเสียงขัดก่อนทำใจกล้ายื่นหน้าพร้อมรอยยิ้มแหย ๆ เข้ามาแทรก “สรุปว่าคืนดีกันแล้วเนอะ”
“ทำไมยังไม่ไปวอร์มเหมือนคนอื่น” เดือนแรมเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าดุจนคนไม่เกี่ยวข้องโดยตรงยังขยาดแทน ขณะที่คนโดนว่ายิ้มแห้งแล้วรีบปลีกตัวออกไปทันทีไม่รอให้ต้องเอ่ยซ้ำ
“ผูกให้หน่อย” คล้อยหลังตฤณเดือนแรมก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมลงสนามด้วยเหมือนกัน ยางมัดผมเส้นเล็กในมือถูกยื่นออกไปให้คนตรงหน้าเหมือนที่เคยทำ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับไปทันที ธันวาเหลือบมองซ้ายขวายังไม่กล้ารับมาจนเดือนแรมเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงยังไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์กับเขาให้ใครรู้มากนัก “กูมัดเองดีกว่า”
ธันวารีบแย่งยางมัดผมมาถือไว้เองในตอนที่เดือนแรมดึงมือกลับไป “ผมมัดให้”
“เฮ้ย ไม่ต้อง กูเข้าใจ ตรงนี้คนเยอะ”
“เถอะหน่า ผมอยากทำ” เมื่อก่อนก็เคยทำ ต่อหน้าคนเยอะกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ที่ลังเลเพราะขัดเขินกับสถานะที่เปลี่ยนไปต่างหาก
“แน่ใจนะ”
ธันวาพยักหน้าแล้วดันเดือนแรมให้นั่งลงแทนที่ตนเพื่อให้ง่ายต่อการมัดผม บางทีเขาก็สงสัยว่าเดือนแรมไม่อายบ้างหรืออย่างไรที่ถูกมองด้วยสายตาในเชิงล้อ ตัวเขาเองหลายคนรู้ว่าเป็นเกย์เพราะเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาแล้ว แต่เดือนแรมที่ไม่เคยแสดงออกว่าชอบเพศเดียวกันมาก่อนกลับไม่สนใจเลยสักนิดว่าใครจะมองอย่างไร
เสียงโห่แซวดังไปทั้งสนามจนธันวาเขิน มุดหน้าไม่กล้าสู้สายตาใคร เดือนแรมรอให้น้องมัดผมจุกให้เสร็จก่อนแล้วจึงลุกขึ้นยืนหันหน้าเข้าหาคนดูเพื่อบังสายตาคนอื่นไม่ให้จ้องมองคนของตน “ถ้าใครแซวธันวา อย่าหาว่าผมไม่เตือน”
“พวกกูแซวได้ไหมวะ” โอ๊คถามขึ้นด้วยสายตาชวนให้คนถูกมองอายยิ่งขึ้น รวมถึงไนท์และบอยด้วย
“พวกมึงก็ไม่ได้” เดือนแรมว่าแล้วกวาดสายตามองคนอื่นจนทั่ว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาที่ทำให้ธันวาประหม่าไปมากกว่านี้ บางคนไม่แม้แต่จะกล้าสบตาเดือนแรมด้วยซ้ำ
“อย่าน่ารัก”
“ห๊ะ!” ธันวาตั้งตัวแทบไม่ทันเมื่อเดือนแรมหันมาบอกตนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าที่พูดกับคนอื่นเมื่อครู่
“ถึงจะน่ารักแต่กูก็ไม่ชอบเห็นมึงเขินเพราะคนอื่นแซว กูชอบเวลามึงเขินเพราะกูแซวมากกว่า”
“...”
“เพราะฉะนั้น...อย่าน่ารัก”
ธันวาถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้เดือนแรมอมยิ้ม เพราะตอนนี้ธันวากำลังเขินที่เขาแซว และน้องก็น่ารักมากเสียด้วย ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ไม่อยากแกล้งต่อให้น้องยิ่งอายหนัก เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่เห็น จึงต้องเปลี่ยนเรื่องเสียเอง “ไม่ต้องรอข้างสนามหรอก ไปอ่านหนังสือเถอะ”
“ไหนบอกว่าให้มาเชียร์ไง”
“มาแค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรอจนจบเกมหรอก”
“แต่ผมอยากรอ”
“ธันวา” เดือนแรมเรียกเสียงเข้มขึ้น “อ่านหนังสือทันแล้วรึไง”
“อ่านอยู่เรื่อย ๆ เหอะหน่า วันนี้อยากรออะ ไม่ได้เหรอ”
คนเจอลูกอ้อนถึงกับไปไม่เป็น อยากจะไล่ไปอ่านหนังสืออีกครั้งแต่ลึก ๆ แล้วก็อยากเห็นแก่ตัวตามใจตัวเองเหมือนกัน “ตามใจ งั้นก็ช่วยหิ้วท้องรอไปกินข้าวพร้อมกันด้วยล่ะ”
ธันวายิ้มพร้อมพยักหน้ารับงึกงักแทนคำตอบให้คนพี่ได้ยื่นมือมายีผมเล่นด้วยความเอ็นดูก่อนผละไปวิ่งวอร์มรอบสนามเหมือนคนอื่นบ้าง
เพื่อนทั้งสามคนของเดือนแรมปลีกตัวออกไปเมื่อจบสองควอเตอร์แรกขณะที่ธันวานั่งดูจนจบ และเป็นการนั่งดูที่สนุกไปกับเกมในสนามมากกว่าทุกที อาจเพราะความสบายใจที่มากขึ้นหรืออย่างไรธันวาไม่ได้หาคำตอบ รู้แค่ว่าเพราะได้นั่งอยู่ตรงนี้และรับรู้ว่าเดือนแรมอยู่ใกล้กันก็เท่านั้น
“กินข้าวที่โรงอาหารข้างหอแล้วกันนะ จะได้รีบขึ้นไปพัก มึงเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เดือนแรมว่าขณะใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวที่ชุ่มเหงื่อ
“เอ่อ คือ ผมต้องกลับไปนอนที่ห้องดีนครับ”
เดือนแรมขมวดคิ้วมุ่น เผลอมองน้องตาขุ่นจนอีกฝ่ายเสียความมั่นใจ
เดือนแรมไม่อยากเก็บเรื่องที่ธันวาไปนอนค้างห้องเพื่อนสนิทอย่างดีนมาคิดให้เป็นอารมณ์ขุ่นมัว แต่ครั้นจะยอมให้ค้างต่อไปก็คงไม่ได้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงต้องตามน้องมาถึงห้องของดีนเพื่อช่วยขนของกลับหอพักแพทย์ดังเดิมหลังจากรับประทานอาหารและเก็บของส่วนหนึ่งในหอพักเรียบร้อยแล้ว
ทั้งที่ธันวามีคีย์การ์ดแต่กลับกดกริ่งเพื่อขออนุญาตเจ้าของห้องและยืนรออีกฝ่ายที่หน้าห้องอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักดีนก็โผล่หน้าออกมา ใบหน้าเรียบตึงเผยยิ้มยียวนเมื่อเห็นว่ามีใครมาด้วยก่อนดึงธันวามายืนซ้อนหลังตนเองแล้วจับมือของเพื่อนไว้แน่น “ขอบคุณที่พาธันวามาส่งนะครับ”
“ไม่ได้พามาส่ง จะมารับกลับ” เดือนแรมพูดพร้อมมองมือของดีนที่จับมือธันวาอยู่ด้วยความไม่พอใจ
“เป็นแฟนกันแล้วเหรอ”
“ดีน!” ธันวาตกใจที่อยู่ ๆ เพื่อนก็ถามโพล่งขึ้นมา
“ทำไมล่ะ ถ้าไม่ใช่แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมองกูแบบนั้นวะ พี่มีสิทธิ์ไม่พอใจที่ผมจับมือธันวาเหรอ”
“ดีน” คนกลางอย่างธันวากระตุกแขนเพื่อนด้วยสีหน้าลำบากใจ จะบอกว่าเป็นแฟนกันแล้วก็พูดได้ไม่เต็มปาก แม้ว่าเคลียร์ใจกันชัดแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พูดถึงสถานะที่เป็นอยู่หรือมีการตกลงกันอย่างเป็นทางการ
“จริง ๆ คำถามนี้มึงตอบแทนเขาได้นะ” ดีนพูดกับธันวาทั้งที่ยังจ้องหน้าเดือนแรมไม่วางตา
“รอผมเก็บของแป๊บนึงนะครับพี่แรม” ธันวาบอกคนของตนแล้วรีบดึงแขนเพื่อนให้ตามเข้าไปในห้อง ดีนยอมเดินตามแต่โดยดีเพื่อไม่ให้เพื่อนเปลืองแรงนักโดยไม่ลืมบอกให้หนุ่มรุ่นพี่ยืนรอหน้าห้อง ไม่ต้องตามเข้ามาด้วย
“มึงนี่จริง ๆ เลย ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ตัวเองเป็นคนพาเดือนแรมเข้าไปในห้องสมุดเพื่อเจอเขาแท้ ๆ แต่พอเวลาแบบนี้กลับหาเรื่องอีกฝ่ายอีกเสียอย่างนั้น
ดีนไหวไหล่ไม่สนใจจะต่อความประเด็นนั้น ธันวาเห็นก็ถอนหายใจเลิกเถียงด้วยแล้วเดินเข้าห้องนอนไปเก็บของใส่กระเป๋า
ดีนเดินตามเข้าไปยืนพิงกรอบประตูมองเพื่อนเก็บของด้วยความเร่งรีบแล้วอดถามสิ่งที่คาใจไม่ได้ “ตัดสินใจดีแล้วเหรอ”
“อือ” ธันวาพยักหน้างึกงักแล้วรีบพูดย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนยืนมองตนนิ่ง ๆ “จริง ๆ นะ กูคิดดีแล้ว”
ดีนยิ้มอย่างอ่อนใจ “มากอดหน่อยมา”
ธันวาวางของในมือแล้วยอมเดินเข้าไปกอดเพื่อนตามที่อีกฝ่ายขอ “กูไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้มึงกล้าตัดสินใจแบบนี้ และมึงคงเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าแล้ว ยังไงก็ขอให้รู้ว่ายังมีพวกกูอยู่ข้างมึงเสมอนะธันวา”
“ขอบใจมึงมากนะดีน กูเคยบอกมึงรึยังว่าสำหรับกู มึงเหมือนแฝดกูเลยนะ เป็นเหมือนคนเดียวในครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ของกู” ดีนรู้ ธันวาไม่เคยมองว่าลุงประภาสและปกป้องเป็นคนในครอบครัวที่ให้ความรู้สึกสบายใจได้ทั้งที่สายเลือดใกล้ชิดกัน
ดีนผละออก มองเพื่อนด้วยแววตาและรอยยิ้มล้อ “ครอบครัวที่มีสมาชิกใหม่เป็นเขาด้วยใช่ไหม”
เดือนแรมยืนพิงผนังห้องฝั่งตรงข้ามรออย่างใจเย็น ไม่ถึงสิบห้านาทีธันวาก็เดินออกมาพร้อมสะพายกระเป๋าใบโตโดยมีดีนถือถุงผ้าซึ่งมีของบางส่วนของธันวาออกมาด้วย ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปรับช่วงต่อจากดีนทันที
“มานอนห้องกูได้เสมอนะมึง”
ธันวาพยักหน้า
“ขอบใจมาก แต่คงไม่ต้องรบกวนแล้ว” เดือนแรมว่าเสียงนิ่ง ดีนปรายตามองแวบหนึ่งแล้วยกยิ้มยียวนเหมือนส่งให้ลมให้ฟ้า
“มาให้กูกอดหน่อยมา”
“ในห้องก็กอดไปแล้วนี่”
เดือนแรมคิ้วกระตุก และดีนเห็น หนุ่มคณะอักษรฯถึงได้นึกสนุกยิ่งขึ้น “อยากกอดอีก”
ธันวาไม่ทันหันไปหาเดือนแรมด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแบบไหนก็โดนดีนดึงเข้าไปกอดเสียก่อน ไม่รู้ด้วยว่าเพื่อนรักกำลังยักคิ้วยียวนให้คนรักของตนเพราะความหมั่นไส้ที่มีต่อกัน
“ธันวาต้องกลับไปพักแล้ว” เดือนแรมว่าออกมานิ่ง ๆ ดีนยิ้มมุมปาก ยอมปล่อยเพื่อนแต่โดยดี
“มีอะไรก็ติดต่อมานะ”
“อือ ขอบใจมึงมาก”
ดีนยืนมองเพื่อนเดินเคียงข้างไปพร้อมคนที่อีกฝ่ายเลือกด้วยความยินดี คำสารภาพของธันวาในห้องเมื่อครู่ยังชัดเจนในความรู้สึก
‘รู้ไหม กูตัดสินใจได้ในตอนที่เจอหน้าพี่แรมนั่นแหละ แค่กูเห็นหน้าเขา แค่เขาบอกว่าไม่อยากให้กูหายไปไหนอีก แค่นั้นกูก็รู้เลยว่ากูอยากอยู่กับเขา ไม่รู้หรอกว่าจะตลอดไปไหม รู้แค่ว่ากูไม่อยากเสียเขาไปและอยากจะดูแลความสัมพันธ์ครั้งนี้ให้ดีที่สุด’
ดีนไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากจะยินดีกับธันวาด้วย เพื่อนอย่างเขาก็ได้แต่หวังว่า ‘ตลอดไป’ จะเกิดขึ้นจริงกับธันวา เพราะเขาเชื่อว่าธันวาเลือกคนถูก และมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ธันวาจะไม่มีวันที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
เช้านี้ไม่มีสติกเกอร์รูปหัวใจ…
ธันวารีบหันมองโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองก่อนจะปีนลงไปเตรียมตัวอาบน้ำเสียอีก
เช้านี้ก็ยังไม่มีน้ำชาร้อนอีกเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุยกันเรียบร้อยแล้วหรือ จะว่าเป็นเพราะเคืองเรื่องของดีน ก็ไม่น่าใช่ ธันวาคิดย้อนถึงเมื่อคืนก็พบว่าไม่มีความผิดปกติอะไรที่จะทำให้สถานการณ์ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ
“ไปอาบน้ำได้แล้วมึง เดี๋ยวก็สายหรอก” อาร์ตที่กำลังแต่งตัวพูดเตือนสติ
ธันวาทำตามอย่างงง ๆ ยังคงคิดทบทวนว่าตนทำอะไรผิดหรือไม่ หรือว่าตอนนี้ตนกำลังฝันและยังไม่ตื่นอย่างที่เข้าใจ จนกระทั่งออกมานอกห้อง
“พะ พี่แรม” เดือนแรมตัวเป็น ๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ภาพในฝันแน่ ๆ เพราะในนั้น รอยยิ้มของเดือนแรมไม่มีทางเจิดจ้าจนทำให้ใจของเขาสั่นได้มากขนาดนี้แน่
“วันนี้ยังไม่ได้ให้สติกเกอร์รูปหัวใจเลย”
“ก็แล้วทำไมไม่—” เสียงของธันวาขาดหายไปพร้อมกับสติเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาจูบแก้มเขาแบบที่ไม่มีพื้นที่มุมไหนของปากไม่แนบสนิทกับผิวแก้มของเขา
“ถ้ากูทาลิปสติก ตอนนี้ที่แก้มมึงคงมีรูปหัวใจติดอยู่”
“...”
“ต่อไปนี้ ขอให้สติกเกอร์แบบนี้ทุกเช้าเลยได้ไหม”
ฝันอยู่ ฝันอยู่แน่ ๆ เพราะตอนนี้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอกลายเป็นขาวโพลนหมดแล้ว และอีกสักครู่เขาก็คงจะตื่น
“นะ”
“ไม่ไหว...แบบเดิมเถอะครับ แบบนี้ผมไม่ไหว”
ถ้าเป็นฝัน ตอบแบบนี้ก็คงได้ใช่ไหม
TBC.
-----------------------------------------------------------------------
ในที่สุด!!!
หลังจากนี้จะมีเรื่องราวความรักของทั้งคู่อีกมาก
ฝากติดตามด้วยนะคะ
#แรมเดือนสิบสอง
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์