พิมพ์หน้านี้ - **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัญญ์ ที่ 26-04-2018 16:57:51

หัวข้อ: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-04-2018 16:57:51
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

****************************************************************************************


ผลงานเรื่องอื่นนะคะ

ห า กั น จ น เ จ อ [END] http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58675.150 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58675.150)

「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] [END] https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61653.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61653.0)



------------------------------------------------------------------
แรมเดือนสิบสอง
.
.
.
ถึงเวลาที่คืนจันทร์แรมจะโคจรเข้าครอบครองเดือนสิบสองแล้ว


หัวข้อ: Re: แรมเดือนสิบสอง ll ก่อนคืนเดือนแรม [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-04-2018 17:05:23
แรมเดือนสิบสอง


ก่อนคืนเดือนแรม









สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราญช์ยังรู้พลั้ง


ทุกคนต่างก็เคยพลาดกันทั้งนั้น


บางคนปิดซ่อนมันจากผู้คนได้ ขณะที่เรื่องของบางคนก็เป็นที่รู้กันในวงกว้าง เพียงแต่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเจ้าตัวจัดมันให้อยู่ในหมวด ‘ความพลาด’ หรือไม่เท่านั้นเอง


ผมเองก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่หนีไม่พ้นกับเรื่องพลาด...ใหญ่หลวงมากทีเดียว พลาดครั้งเดียวแม่งมีผลกระทบกับกูไปจนตายเลยละมั้ง ในตอนนั้น ก่อนตัดสินใจทำลงไปก็คิดแล้วคิดอีก ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบอย่างคนไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่เพราะเชื่อมั่นเลยกล้ากระโดดลงไปในหลุมที่ใครบางคนขุดเอาไว้ กว่าจะรู้ตัวว่าคือความพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ผมก็พบว่าตัวเองปีนกลับขึ้นมายืนในจุดที่เคยยืนไม่ได้อีกแล้ว


ผมไม่เรียกมันว่า ‘ความผิดพลาด’ เพราะผมคิดว่ามันก็แค่พลาด...แต่ไม่ผิด



“ไม่เป็นไร ธันว์เข้าใจ”


เข้าใจก็เหี้ยละ !!


ผมก้มหน้ามองพื้น ผู้หญิงคนล่าสุดที่ผมตามจีบ หยอดเช้าหยอดเย็นมาสองสัปดาห์ถ้วนเพิ่งเซย์กู้ดบายอย่างไม่ใยดีเพราะเชื่อข่าวลือที่ว่าผมเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน


โอเค ยอมรับว่าไม่ใช่ข่าวลือเสียทีเดียว ที่เขาพูดเขาเม้าท์กันนั่นเรื่องจริงล้วน ๆ


แต่แล้วไงวะ?


 

“เฮ้ย!!”


“เหี้ย!!”


ผัวะ!


เพราะมัวแต่เหม่อผมเลยโดนตบหัวคว่ำ เชี่ยเอ้ย หน้าเกือบทิ่มอาจารย์ใหญ่


“มึงเรียกรุ่นพี่แบบนี้เหรอวะ”


“ปะ เปล่าครับ”


“งั้นก็คำทักทาย?”


“ขอโทษครับพี่แรม ผมแค่ตกใจ”


“รู้จักกู?”


ผมมองหน้ารุ่นพี่ที่สูงกว่าผมประมาณคืบหนึ่งแต่ตัวหนากว่าด้วยความข้องใจ นี่ตั้งใจกวนกันรึเปล่าวะ มีรุ่นน้องแพทย์ปีสองคนไหนที่ผ่านการรับน้องตอนปีสองเพราะย้ายจากฝั่งมหา’ลัยมาเรียนฝั่งโรงพยาบาลอันเป็นธรรมเนียมเฉพาะของสถานศึกษานี้แล้วไม่รู้จักประธานรุ่นปีสามบ้างวะ ถ้าบอกว่าไม่รู้จักกูจะโดนอะไรไหมวะครับ


“ไม่รู้จักอ่ะ”


“เฮ้ย อย่า!” นั่นไง ถ้าผมร้องห้ามไม่ทัน มือที่ง้างขึ้นมาคงฟาดกบาลผมเข้าให้อีกครั้ง “มือพี่เลอะป่ะวะ” เพราะอยู่ในห้องกรอสส์หรือห้องเรียนแลปวิชากายวิภาค ผมจึงไม่มั่นใจว่าก่อนหน้านี้พี่แกจับอาจารย์ใหญ่มารึเปล่า แค่กลิ่นฟอร์มาลีนติดตัวนี่ก็ต้องฟอกสบู่สามสี่รอบแล้ว ถ้าผมติดเศษซากอารยธรรมมาด้วย กูจะทำยังไงวะ โดนตบมาแล้วรอบหนึ่งด้วยเนี่ย


“เลอะ”


“เฮ้ย!!”


ผมรีบยกมือขึ้นจับผมตัวเองด้วยท่าทางร้อนรน จับไปจับมาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากอีกฝ่าย รอยยิ้มเยอะเย้ยนั่นก็สะดุดตาจนทำให้ผมได้ฉุกคิด


ไอ้เหี้ย!!


“พี่แม่งหลอกผม”


คราวนี้แหละ พี่แกระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเต็มที่เลย กูซวยเพราะมือกูเนี่ยแหละ เต็ม ๆ หัวเลยไอ้สัด มือพี่แรมสะอาดมาก ไอ้ธันวาจะร้องไห้


“มึงโง่เอง”


ผมจิ๊ปาก โคตรขัดใจแต่ทำอะไรพี่มันไม่ได้ ตอนงานรับน้อง แค่พี่มันเดินขึ้นเวที ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด เด็กรุ่นผมก็เงียบปากเหมือนกลัวถูกแหกอกหมู่กันแล้ว


“แล้วมาทำอะไร”


“มาเก็บตกครับ วันนี้เรียนไม่ทัน” ผมตอบพลางถอดถุงมือออกทั้งสองข้าง ยอมรับว่าน้ำเสียงยังติดเหวี่ยงอยู่เล็กน้อย


“เก็บตกแล้วทำไมนั่งเหม่อ กูเห็นมึงนั่งนิ่ง ๆ มานานแล้วนะ ถ้าไม่เรียนก็อย่ามารบกวนท่านสิวะ” ท่านที่พี่แรมหมายถึงก็คือร่างอาจารย์ใหญ่ตรงหน้าผมนี่แหละครับ


ผมไม่ต่อความยาว เรื่องอะไรจะพูดว่าที่นั่งเหม่อเพราะมัวคิดถึงเรื่องที่โดนเทมาหมาด ๆ


“แล้วมาทวนอะไร”


“muscle”


“พูดไม่มีหางเสียง เดี๋ยวกูตบคว่ำ” ผมรีบโยกหัวหลบมือที่ตั้งท่าจะทำอย่างที่ปากพูด เอ่ยแก้คำใหม่แทบไม่ทัน ทีตัวเองล่ะขึ้นมึงขึ้นกูทั้งที่ไม่สนิทกัน แต่พอกูพูดห้วน ๆ บ้าง แม่งไม่ยอม บ้าอำนาจ


“ทวนเสร็จแล้ว?”


“ยังครับ”


“แล้วถอดถุงมือทำไม ไปหยิบมาใส่สิวะ” สั่งจังวะ อย่าคิดว่าคณะสอนให้เคารพความเป็นพี่เป็นน้องแล้วจะมีสิทธิมาสั่งไอ้ธันวาทำโน่นทำนี่ได้นะครับ


เออ กูยอม!


ห่า ไม่ยอมก็คิดสั้นแล้วครับ พี่แม่งหน้าดุอย่างกับหมา ในห้องกรอสส์ก็อยู่กันแค่สองคน ขืนลองดีตอนนี้ ผมได้กลายเป็นอีกหนึ่งร่างไร้วิญญาณแน่


“หยิบมาเผื่อกูด้วย ไซซ์แอลนะมึง อย่าเสือกหยิบเอส”


ใครจะบ้าหยิบไซซ์เอสวะ มือผมยังใส่ไม่ได้เลยเหอะไซซ์นั้นอ่ะ ไอ้พี่แรมก็สั่งไม่คิด


แต่เดี๋ยวนะ…


ในห้องมีกันสองคน พี่มันบอกว่ามองผมอยู่นานแล้ว แต่พี่แรมไม่ใส่ถุงมืออยู่เหรอ แล้วเข้ามาทำอะไรในนี้วะ


“เหม่ออะไรวะ รีบ ๆ เข้า”


ความคิดผมเป็นอันตกไปเมื่อโดนเร่งด้วยเสียงดุ แต่ใครจะรู้ เห็นเข้ามาก่อกวนกันแบบนี้ พอใส่ถุงมือเสร็จพี่แรมก็จัดการหยิบจับกล้ามเนื้อมัดนั้นมัดนี้แล้วถามทั้งชื่อ หน้าที่ และจุดเกาะต้นเกาะปลายทดสอบความรู้ของผมอย่างคล่องแคล่ว อันไหนตอบไม่ได้ก็บอก แต่หลังจากที่ด่ากูว่าโง่แล้วน่ะนะ


ด่าจนกูคิดว่ากูเกิดมาก็ชื่อ ‘โง่’ เลย


เอาเถอะ ถือว่ามีประโยชน์ ไม่ใช่เดินมาให้ผมกูเลอะซากอารยธรรมอย่างเดียว




ผมเก็บตกเนื้อหาที่เรียนไม่ทันในคาบจบเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ ประมาณหกโมงเย็นผมก็เดินออกจากห้องกรอสส์แล้ว ถึงแม้จะใช้เวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็ไม่ฟุ้งซ่านเรื่องเดิม ๆ อีก ถือว่าดี


“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ ถ้าไม่ได้พี่…”


“เลี้ยงข้าวกูด้วย”


พูดขอบคุณด้วยความซาบซึ้งยังไม่ทันจบ พี่แกก็สวนกลับมาหน้าตายแล้วเดินทิ้งห่างออกไปจนผมต้องรีบตามไปให้ทันลงลิฟต์ตัวเดียวกัน


ก็ยังดีที่ไม่คิดจะรีดไถผมด้วยการพาไปร้านแพง ๆ หน้าโรง’บาล แต่พามานั่งกินข้าวในโรงอาหารใกล้หอพักนักศึกษาแพทย์ชายแทน


ผมนั่งมองหน้าพี่แรม ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงมานั่งกินข้าวกับพี่แกได้ อย่าว่าแต่สนิทกันเลย เพิ่งได้คุยกันก็เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง


“ไหนว่าจะให้ผมเลี้ยงไงพี่”


“ไม่ได้บอกนี่ว่าให้เลี้ยงมื้อนี้” อ้าว! นี่หลอกกูมากินข้าวด้วยเหรอวะ


“มื้อหน้าก็อย่ากินแพงแล้วกัน ผมไม่มีตังค์เยอะนักหรอก” พูดแค่นั้นผมก็ก้มลงกินอาหารตัวเองเงียบ ๆ แต่เฉื่อยกว่าปกติ พอสมองไม่ถูกใช้งานแม่งก็กลับมาคิดมากเรื่องความพลาดในชีวิตตัวเองอีกแล้ว


“เป็นอะไร อกหัก?”


“อือ เพิ่งโดนสาวทิ้ง”


“ไม่แปลก ก็มึงเป็นเกย์ สาวที่ไหนจะมาชอบ”


ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย คนทั้งคณะหรือบางทีอาจจะทั้งมหา’ลัยที่รู้จักผมคงตัดสินผมไปแบบนั้นแล้ว


“แล้วทำไมจีบผู้หญิง”


“ช่างเหอะพี่” ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันนี่หว่า จะให้เล่าก็คงไม่ใช่เรื่อง


“เสียใจมากไหม”


“ก็เสียใจ” ไม่ได้เสียใจที่โดนสาวทิ้งไว้กลางทางนะครับ แต่เสียใจที่แม่งกลับไปจีบสาวเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเนี่ยแหละ


กูกลายเป็นแบล็กลิสต์ของสาว ๆ ไปแล้ว


“แต่มึงเป็นเกย์”


ผมไม่ตอบ ก้มหน้าก้มตากินข้าวตัวเอง แต่ดูเหมือนพี่แรมจะไม่ยอม “หรือเป็นไบฯวะ มึงได้ทั้งชายทั้งหญิงเหรอ”


“แล้วพี่ไม่รังเกียจผมเหรอที่ผมเป็นแบบนี้” ผมไม่ตอบ เบี่ยงจากประเด็นที่เขาอยากรู้มาเป็นประเด็นที่ผมสงสัยเอง


“มึงโง่รึเปล่า ในคณะนี้มีตุ๊ด แต๋ว เกย์ตั้งกี่คน ถ้ากูรังเกียจแล้วจะมีเพื่อนแบบพวกมันรึไง”


“พี่ด่าผมโง่อีกแล้วนะ”


“ก็มึงถามไม่คิด”


“ถ้าผมโง่ ผมจะได้มาอยู่กับพี่ตรงนี้รึไง”


“หมายความว่าไง” พี่แรมวางช้อนส้อม มองหน้าผมด้วยแววตาจริงจังเหมือนตอนที่ยืนบนเวทีในฐานะประธานปีสามไม่มีผิด


“ก็ถ้าผมโง่ ผมคงสอบไม่ติดหมอที่นี่หรอก จริงไหมล่ะ”


พี่แรมหัวเราะ หน้ากูตลกนักรึไงวะ หัวเราะจนกูประสาทจะแดก ข้าวเข้อไม่กงไม่กินมันละ


“เออ มึงฉลาด”


กูไม่เชื่อ…


“แล้วพี่มาคุยกับผมแบบนี้ไม่กลัวผมชอบพี่รึไง” ไม่หรอก ผมแค่ถามไปงั้น ๆ เพราะที่ไม่นิยามรสนิยมทางเพศตัวเองว่าเกย์ หรือไบเซ็กชวลอย่างที่คนอื่นนิยามให้เพราะรู้ตัวเองดีว่าตั้งแต่เลิกกับแฟนผู้ชายคนแรก ผมก็ไม่เคยหวั่นไหวหรือแม้แต่มองผู้ชายคนไหนอีกเลย ผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มพวกนั้นต่างหากที่ทำให้ผมใจสั่น


หรือผมจะเป็นไบเซ็กชวลจริง ๆ


“ชอบก็ดี…”


ห๊ะ!?


“…กับผีสิ”


“ผมก็ไม่เอาพี่เหมือนกันแหละ เห็นผมเป็นอย่างนี้ผมก็เลือกนะพี่”


“มึงหยามกู”


“เฮ้ยเปล่า” ผมยกมือปัดพัลวัน “ผมหมายความว่าผมไม่ได้ใจง่ายชอบทุกคน ไม่ได้จะหยามว่าพี่ไม่ดี” เออ ยอมรับว่ากูคิดอย่างที่พี่แม่งเข้าใจนั่นแหละ แต่ถ้ายอมรับกูคงตายพร้อมอาหารมื้อสุดท้าย “เอาเถอะ ๆ เอาเป็นว่าพี่ไม่ต้องระแวงผมละกัน ผมไม่ทำอะไรพี่หรอก”


“หึ มึงมีอะไรให้กูต้องระแวงวะ”


ผมสบตาที่มักชอบขมึงดุคู่นั้น ทว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความแพรวพราว รอยยิ้มมุมปากก็เจ้าเล่ห์ผิดกับมาดนิ่งขรึมซึ่งเป็นภาพแรกที่น้องปีสองทุกคนเห็น


เออว่ะ กูสินะที่ต้องเป็นฝ่ายระแวง…














------------------------------------------------------------------
เป็นการเล่าด้วยสรรพนามบุรุษที่ 1 แค่ตอนเดียวนะคะ
นี่เป็นเรื่องของพี่แรมกับธันวา ที่หลายคนรู้จักบ้างแล้วจาก 'หากันจนเจอ'
เราเอามาเล่าย้อนค่ะ
ฝากคู่นี้ด้วยนะคะ ใสๆค่ะ
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: แรมเดือนสิบสอง ll ก่อนคืนเดือนแรม [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 26-04-2018 17:20:41
 :pig4: ปาดดดดดดด
หัวข้อ: Re: แรมเดือนสิบสอง ll ก่อนคืนเดือนแรม [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 26-04-2018 21:25:40
กล้าๆหน่อยพี่แรม  :o8:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [29/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 29-04-2018 19:43:05
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)







ธันวาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่จริงอย่างที่รุ่นพี่เดือนแรมว่าไว้


“เชี่ย!”


ธันวาลากเสียงยาวด้วยความหงุดหงิดท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนตัวดีที่นั่งข้างกัน


“เป็นไง” กรองเกียรติถามหน้านิ่ง


“เค็ม” ...มาก


ธันวาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองโง่ที่หลงเชื่อตฤณว่าข้าวราดแกงร้านนี้อร่อยมาก แต่จะด่าว่าไปก็เท่านั้น เก็บพลังงานที่เหลือจากข้าวเช้าไว้เรียนช่วงบ่ายดีกว่า ที่ทำได้ตอนนี้คงมีแค่ส่งสายตาเคียดแค้นไปให้


“รู้ตัวว่าเป็นคนกินยากมากแล้วยังเชื่อใครง่าย ๆ อีกนะมึง” โดนกรองเกียรติเทศน์แล้วก็ยิ่งนอยด์ คนตัวขาวเจ้าของร่างสูงผอมนั่งมองผัดกะเพราราดข้าวด้วยสายตาอาวรณ์ นอกจากจะเค็มแล้วยังน้ำมันเยอะจนชุ่มข้าวไปหมด จะเจียดทานแต่ข้าวเปล่าก็ไม่ได้ ทำได้แต่ดูดน้ำเก็กฮวยอย่างเนือย ๆ


“ด่ากูโง่ก็ได้นะไอ้เก่ง” เพราะถ้าพี่แรมอยู่ตรงนี้ก็คงจะพูดแบบนี้เหมือนกัน


พอนึกถึงใครคนนั้น...


“เออไอ้เก่ง มึงว่ากูงะ…”


“มีคนนั่งเปล่าวะ”


ไม่ทันที่ธันวาจะถามเพื่อนจบประโยค รุ่นพี่ที่ธันวาไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดก็นำทัพเพื่อนกลุ่มหนึ่งมายืนล้อมพวกเขาเอาไว้


...มึงว่ากูโง่ไหมวะ


ถ้าถามออกไปตอนนี้ก็คงได้คำตอบว่าโง่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ได้คำตอบจากไอ้รุ่นพี่ร่างยักษ์นี่นะ ไม่ใช่จากเพื่อนเขาหรอก


หลังจากยกมือไหว้ทักทายกันพอเป็นพิธีแล้วกรองเกียรติก็จัดแจงขยับที่ทางให้รุ่นพี่อีกสี่คนได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันได้


ธันวาได้แต่ทำหน้าเหม็นเบื่อ คนยิ่งเพิ่งเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกโง่มา ยิ่งได้เห็นหน้าเดือนแรมก็ยิ่งรู้สึกชอกช้ำระกำใจ แต่ก็ต้องจำใจนั่งเผชิญหน้ากันเมื่อกรองเกียรติปลาบปลื้มรุ่นพี่ประธานปีสามคนนี้มากจนถึงขั้นเรียกให้ไปนั่งข้างตัวเองจนตอนนี้ร่างสูงใหญ่นั่งโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเยื้องกับเขาหนึ่งตำแหน่ง


“เป็นไร ทำไมไม่กินข้าว” เดือนแรมถามหนุ่มรุ่นน้องที่เอาแต่นั่งดูดน้ำโดยไม่มีท่าทีจะแตะข้าวที่ยังพูนจานอยู่เลยสักนิด ช้อนที่รวบกันไว้ก็บอกชัดว่าเจ้าตัวคงไม่ทานมันอีกแล้ว


“ไม่อยากกิน”


เดือนแรมขมวดคิ้วมุ่น อยากตีปากบาง ๆ ที่พูดไม่มีหางเสียงนั่นเสียจริง “ไม่อยากกินแล้วซื้อมาทำไม”


“มันโดนไอ้ตฤณหลอกว่าอร่อยอ่ะพี่” กรองเกียรติพูดแทรกขึ้นมา ธันวายิ่งหน้าบึ้งเพราะนอกจากเพื่อนรักจะสาธยายความโง่ของเขาให้แรมฟังแล้วไอ้ตัวต้นเรื่องยังระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งด้วย


“หึ โง่”


...ว่าแล้วเชียว


“ผมชื่อธันวา” หนุ่มรุ่นน้องพูดเสียงเรียบแต่กลับเก็บความไม่พอใจเอาไว้ไม่มิด


“กูรู้”


“รู้แล้วก็กรุณาเรียกชื่อด้วยครับ ไม่ใช่เรียกแต่โง่”


เดือนแรมยิ้มมุมปากยักไหล่ไม่สนใจ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ธันวาเกลียดเสียจริง ใครคนอื่นทำแล้วดูน่าหมั่นไส้เล็ก ๆ แต่พอเป็นรุ่นพี่คนนี้ทำแล้วกลับดูกวนตีนจนน่าโมโห


“ไม่อร่อยก็ไปซื้ออย่างอื่นมากินสิวะ”


“เรื่องของผม” ก็ว่าจะไม่หงุดหงิดแล้วถ้าไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจชื่อตน


คนเป็นรุ่นพี่วางตะเกียบ นัยน์ตาดุจ้องมองมาจนธันวาแอบหวั่นเพราะคล้ายกับตอนที่อีกฝ่ายขึ้นไปยืนพูดบนเวทีในวันรับน้องไม่มีผิด


“ไม่กินแล้วจะเอาสมองที่ไหนไปเรียน”


“สมองในกะโหลกดิพี่”


“ไอ้ธันวา!!”


“เชี่ยธันว์ใจเย็น...เอ่อ พี่แรม ปล่อยมันไปเถอะพี่ มันดูแลตัวเองได้” เป็นกรองเกียรติที่แก้สถานการณ์อย่างทันท่วงที แม้จะไม่ได้ผลนักแต่อย่างน้อยเดือนแรมก็ยอมไม่เอาเรื่องรุ่นน้องที่ลอยหน้าลอยตาดูดน้ำหวานอย่างไม่สะทกสะท้าน


“เก็บสีหน้าบ้างก็ได้นะ” ...ไม่ต้องแสดงออกว่าเกลียดกันขนาดนั้นก็ได้


“ขอโทษครับ แต่ผมไม่ใช่พวกลิงหลอกเจ้า”


“หลอกได้ เพราะกูไม่ใช่เจ้าของมึง”


หนุ่มรุ่นน้องเข่นเขี้ยวใส่


“แต่ถ้าเป็นเจ้าของเมื่อไหร่...มึงห้ามหลอก”


เหอะ! ต่อให้เป็นลิงจริงก็ไม่อยากมีเจ้าของแบบนี้หรอกวะ





คาบบ่ายกว่าสามชั่วโมงหมดไปกับการเรียนรู้เรื่องสารเคมีในร่างกาย คาบบรรยายที่ทำเอาหลายคนรวมถึงธันวาหลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่หมดชั่วโมง ห้องสโลปสำหรับคลาสเรียนที่มีนักศึกษาเยอะถึงสามร้อยกว่าชีวิตอาจจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะศีรษะเด็กที่ฟุบต่ำลงไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้อาจารย์แพทย์สนใจเลยสักนิด


“ยังไม่เลิกคลาสอีกเหรอวะ” เจ้าของใบหน้าใสสะอาดมีรอยปื้นแดงตรงหน้าผากเป็นหลักฐานประจานการแอบหลับในห้องเรียนถามเพื่อนข้างกายเสียงงัวเงีย ธันวายังไม่ได้ยกศีรษะขึ้นมาตั้งตรง เด็กหนุ่มยังฟุบหน้ากับท่อนแขนบนโต๊ะเพียงแต่หันหน้าไปด้านตฤณ


“ตื่นมาเรียนบ้างไอ้สัด” ตฤณส่ายหน้าระอา ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นมันถ่างตาเรียนได้ตั้งแต่ต้นจนจบคาบเลยสักครั้ง ทำควิซต้นคาบเสร็จจดยิก ๆ ได้ไม่ทันไรเปลือกตาก็ต้านแรงโน้มถ่วงไม่ไหวตามคำอ้างของอีกฝ่ายตลอด แต่เห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะนับถือเพราะธันวาสอบผ่านตลอดและตกผลึกความรู้ได้ไม่น้อยหน้ากรองเกียรติที่นั่งเรียนนั่งจดได้ทั้งคาบราวกับรับประทานสมาธิเข้าไป


“กูเรียนอยู่” คำตอบเดิม ๆ จากคนเดิม ๆ ทำให้ตฤณยอมแพ้ เห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนก้มศีรษะต่ำคล้ายขออนุญาตอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องแล้วก็คิดเอาว่าคงไปเข้าห้องน้ำ




“ฮ้าว” เสียงหาวลากยาวคล้ายจะสื่ออารมณ์เกียจคร้านมากกว่าจะรู้สึกง่วงงุนจริง ๆ ธันวาตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่นอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต็มตากลับเป็นใบหน้าของใครบางคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังก่อนจะมายืนด้านข้างในระนาบเดียวกัน


รู้อยู่หรอกว่าเวลานี้ปีสามเรียนห้องบรรยายชั้นเดียวกัน แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันเป็นครั้งที่สองของวันแบบนี้


หนึ่งปีที่ผ่านมาไม่ยักเจอกันสักครั้ง แต่นั่นก็ไม่แปลกสักนิดสำหรับคณะที่มีนักศึกษามากถึงชั้นปีละสามร้อยคน ในรุ่นยังรู้จักกันไม่หมดเลย นับประสาอะไรกับรุ่นพี่ แต่ตอนนี้ต่างหากที่แปลก ตั้งแต่ได้เห็นหน้าชัด ๆ ครั้งนั้นก็ดูเหมือนว่าเราจะเจอกันบ่อยขึ้นราวกับมีชั้นปีละแค่สี่สิบ!


เดือนแรมส่งสายตาคมดุผ่านเงาบนกระจกบานใหญ่ไปให้หนุ่มรุ่นน้องเมื่อเห็นรอยปื้นแดงบนหน้าผากขาว


คนถูกจ้องมองเองก็มองตอบไม่ลดละ ถือคติมองมามองกลับไม่โกง ความดื้อเงียบทั้งหมดที่สะสมมาถูกแสดงออกใส่คน ๆ นี้ทั้งหมดโดยไม่ทันรู้ตัว


คนเป็นรุ่นพี่เป็นฝ่ายละสายตาไปก่อนจนคนน้องยกยิ้มมุมปากให้ชัยชนะตัวเองแบบเงียบ ๆ โดยไม่คาดคิดว่าแท้จริงแล้วตนกำลังพลาดให้อีกฝ่ายโจมตีด้วยการเอามือเปียก ๆ มาป้ายเสียเต็มหน้า


“เฮ้ย!”


“ตื่นมาเรียนบ้างนะมึง ปีสองไม่หมูเหมือนที่ผ่านมาหรอกนะ อย่าทำเป็นเล่น”


พูดจบก็เดินออกไปไม่เปิดโอกาสให้คนถูกรังแกได้ร้องหาความเป็นธรรม ธันวาได้แต่มองตามอย่างเคียดแค้นฟึดฟัดขัดใจอยู่ตามลำพัง






“ไปนานขนาดนี้กูนึกว่ามึงไปหลับต่อในส้วม” กรองเกียรติเอนตัวเข้ามาพูดเสียงเบาทั้งที่ตายังจ้องจอยักษ์และมือก็ยังจดตามสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่


“เรียนไปเถอะมึงอ่ะ”


กรองเกียรติละสายตาจากสิ่งน่าสนใจตรงหน้ามาหรี่ตามองเพื่อนด้วยความสงสัย สองคนนี้มีนิสัยอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือไม่ค่อยสนใจใครหรือสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวสักเท่าไหร่ แต่กับเพื่อนฝูงหรือคนที่สนใจสองคนนี้จะไวต่อความรู้สึกผิดแปลกที่เกิดขึ้นเสมอ และครั้งนี้กรองเกียรติก็รู้สึกว่าอารมณ์ธันวาไม่ปกติ “เป็นไรวะ”


“มึงเรียนไปก่อน” แม้จะอยากระบายให้เพื่อนรักได้รู้เต็มแก่แต่ก็ต้องคำนึงถึงอนาคตของเพื่อนด้วยเช่นกัน กรองเกียรติพยักหน้ารับก่อนหันไปให้ความสนใจกับเนื้อหาอีกครั้ง


‘ตื่นมาเรียนบ้างนะมึง...อย่าทำเป็นเล่น’


เพราะเสียงของใครบางคนดังเข้ามาในหัวอีกครั้งธันวาจึงยิ่งรู้สึกอยากต่อต้าน ช่วงเวลายี่สิบนาทีท้ายคาบเขาจึงไม่ได้ตั้งอกตั้งใจเรียนเหมือนหลายคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา เด็กหนุ่มเลือกจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาไถเล่น อ่านนั่นนี่ในสังคมออนไลน์จนเบื่อแล้วก็ตัดสินใจทักเพื่อนสนิทสมัยมัธยมไปในกลุ่มที่มีสมาชิกด้วยกันหกคนซึ่งรวมคนที่กำลังตั้งใจเรียนข้าง ๆ นี่ด้วย เพียงแค่สติ้กเกอร์ตัวเดียวที่ส่งนำทางไปก็ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็วจากหนุ่มคณะอักษรศาสตร์ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน


กลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่คบกันมานานกว่านั้นมีด้วยกันหกคน เรียนอยู่ที่เดียวกันนี้สามคน สองในคนที่เหลือเป็นคู่แฝดเรียนที่เดียวกัน ส่วนอีกคนก็แยกไปอีกที่หนึ่งแต่ยังคงอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงทั้งสิ้น การนัดพบปะกันจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก


แรงสั่นครืดของสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงทั้งเยอะและถี่ขึ้นทำให้กรองเกียรติต้องหันมองเพื่อนข้างกาย เห็นไอ้ตัวดีกดพิมพ์ยิก ๆ แล้วนึกขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่เพราะว่าใกล้หมดเวลาเต็มทีแล้วเขาจึงไม่ได้ตำหนิอะไรออกไป


“ไอ้ดีนชวนไปเล่นบาสเย็นนี้ ไปกันนะมึง” ธันวารีบรายงานกรองเกียรติทันทีที่อาจารย์เลิกคลาส คนถูกชวนตอบรับทันควันเพราะรู้สึกล้าสมองมาทั้งวันแล้วอยากผ่อนคลายบ้างเช่นกัน


“ไปเล่นบาสด้วยกันไหมมึง” ธันวาหันไปชวนตฤณด้วยเพราะดีนบอกว่าคณะตนไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชายนักแต่ตฤณตอบแบ่งรับแบ่งสู้กลับมาว่าไว้โอกาสหน้าจะไม่พลาด


สองหนุ่มรีบออกจากห้องเรียนด้วยสีหน้าระรื่น ธันวาที่หน้าตาสดใสมากจนลืมไปแล้วว่าเมื่อไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก่อนเพิ่งมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจ


เนื่องจากจำนวนนักศึกษาแพทย์มีมากกว่าความพอดีของหอพัก นักศึกษาชั้นปีสองและสามจึงต้องคละห้องกัน แต่ละห้องจะมีผู้อาศัยมากถึงสี่คน เตียงสองชั้นรวมสี่เตียงและเฟอร์นิเจอร์อันประกอบไปด้วยโต๊ะอ่านหนังสือ ตู้หนังสือ และตู้เสื้อผ้าอีกสี่ชุดถูกอัดแน่นในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ จนเว้นเหลือทางเดินระหว่างเตียงกว้างเพียงแค่หนึ่งเมตรเห็นจะได้


ห้องของธันวาคละชั้นปีละสองคนขณะที่กรองเกียรติกลายเป็นปีสองเพียงคนเดียวในห้องข้างกัน


รองเท้าแปลกตาจอดวางหน้าห้องอยู่หนึ่งคู่ ธันวาทึกทักเอาว่ารุ่นพี่คนใดคนหนึ่งในห้องคงมีแขก เด็กหนุ่มเคาะประตูห้องบอกให้รู้ว่าตนอาจจะมาขัดจังหวะบางอย่างของคนข้างในก่อนจะส่งเสียงทักทายนำไปก่อนเปิดประตูอีกด้วย “ขออนุญาตครับ”


“อ้าวไอ้น้องธันว์ นายจะขออนุญาตเข้าห้องตัวเองทำไมวะ” รุ่นพี่โอ๊คที่ยืนล้างมือเตรียมจะล้างหน้าอยู่ตรงอ่างหน้ากระจกอันเป็นสมบัติส่วนรวมหันมาถามด้วยความแปลกใจ


“หวัดดีครับพี่โอ๊ค” เป็นปกติที่ธันวาจะทักทายรุ่นพี่ในห้องทั้งก่อนออกจากห้องและตอนกลับเข้ามาประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ปกครอง “ก็ผมคิดว่าพวกพี่จะคุยหรือทำอะไรกันอยู่ กลัวพรวดพราดเข้ามาแล้วจะเสียมารยาทน่ะครับ...แล้วนี่ไม่มีใครหรอกหรือครับ”


“โน่น” โอ๊คโบ้ยปากไปยังเตียงตัวเองซึ่งเป็นเตียงล่างมุมทะแยงกับเตียงของเขาที่เป็นเตียงบน ที่เตียงล่างนั้นมีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยึดครองเตียงนั้นราวกับเป็นเจ้าของ


...ใครบางคนที่เหมือนเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาในช่วงนี้


“พี่แรม...หวัดดีครับ” แม้ไม่อยากจะทักทายแต่ก็จำต้องทักทายอย่างเสียไม่ได้ อีกฝ่ายก็แค่พยักหน้ารับส่ง ๆ ความขุ่นเคืองทั้งใหม่และเก่าเสริมน้ำหนักกันจนธันวาเริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่คิดเสียเวลาต่อความอะไรด้วยมาก เด็กหนุ่มเดินผ่านเตียงไปวางเป้ที่โต๊ะตัวเองแล้วเดินกลับไปยืนใกล้เตียงตัวเองอีกครั้ง


“รีบหน่อยเว้ยไอ้ธันว์” เสียงกรองเกียรติดังเร่งเข้ามาทำให้ธันวาต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า


ชายเสื้อนักศึกษาถูกดึงออกจากกางเกงเป็นอันดับแรก ก่อนกระดุมแต่ละเม็ดถูกปลดออกอย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลามาสนใจว่ามันจะขาดหรือไม่ เสื้อบาสแบบไม่มีแขนถูกสวมลงแทนที่เสื้อนักศึกษาที่ถูกถอดออกก่อนที่จะปลดกางเกงเป็นลำดับถัดไปเพื่อเปลี่ยนมาใส่กางเกงกีฬาขาสั้นแทน


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นปกติของธันวา ทว่าเด็กหนุ่มลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้และตอนนี้มันไม่ปกติ และไม่มีเวลามากพอจะได้ฉุกคิดอะไร หากแต่ในตอนที่เขารวบชุดที่เพิ่งถอดออกหมายจะโยนใส่ตะกร้าผ้าของตน หางตาก็เหลือบเห็นใครบางคนที่ยังนอนอยู่ที่เดิม


“พี่หน้าแดงจังอ่ะ ร้อนเหรอ” ปกติห้องนี้จะมีมาตรการการเปิดเครื่องปรับอากาศคือเวลาสี่ทุ่มเป็นต้นไป ช่วงเวลาอื่นจะเปิดพัดลมตั้งพื้นที่มีอยู่ถึงสองตัวเท่านั้น “พี่โอ๊คเปิดแอร์ได้นะครับ ผมว่าพี่แรมน่าจะทนร้อนไม่ไหว”


โอ๊คเดินมามองหน้าเพื่อนแล้วหัวเราะน้อย ๆ “ปล่อยมันตายไปกับความร้อนของมันเถอะว่ะธันว์”


เด็กหนุ่มพยักหน้ารับงง ๆ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปเพราะกรองเกียรติร้องเร่งอีกครั้ง




คล้อยหลังรุ่นน้องเจ้าของห้องออกไปแล้วโอ๊คก็ต้องเผชิญกับนัยน์ตาคมดุของเพื่อนที่จ้องมาอย่างเคียดแค้น


“มึงไม่เคยบอกกูว่าน้องมันถอดเสื้อผ้าในห้อง”


“อ้าว เรื่องแบบนี้ต้องบอกด้วยเหรอวะ มันเรื่องธรรมชาตินะเว้ย นี่กูต้องบอกมึงด้วยรึเปล่าว่าน้องมันนอนห่มผ้าอ่ะ” โอ๊คพูดติดตลกทั้งที่เข้าใจประเด็นของเพื่อนสนิทดี แต่เพราะอยากแกล้งพวกแผนเยอะสักหน่อยเท่านั้นเอง


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิวะ แลกห้องนอนกันตอนนี้ไม่ทันแล้วนะเว้ย” โอ๊คหัวเราะลั่นท้ายประโยคแสนเยาะเย้ยของตัวเองก่อนจะต้องวิ่งหนีหมอนอิงที่ปลิวมาจากคนที่ยึดเตียงเขาไปแล้ว


เห็นไอ้ธันว์แก้ผ้าโชว์ความขาวจั๊วน่าเจี๊ยะเข้าหน่อยหวงจนหน้ามืดเชียวเพื่อนกู





“มึงจะกินอะไรหน่อยไหมวะ เมื่อเที่ยงก็ไม่ได้กินข้าว ไปออกกำลังกายเดี๋ยวก็วูบหรอก” กรองเกียรติพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงระหว่างที่กำลังนั่งรถโดยสารภายในจากฝั่งโรงพยาบาลไปฝั่งมหาวิทยาลัย


“ถ้ากินแล้วไปเล่นก็จุกกันพอดีดิวะ กูยังไหวหน่าไม่ต้องห่วง”


กรองเกียรติตั้งท่าจะแย้งอีกครั้งแต่ถูกเจ้าตัวเบรกเสียก่อน “กูรักตัวเองหน่ามึงก็รู้ กูไม่ปล่อยปะละเลยตัวเองหรอก ถ้าไม่ไหวก็รับว่าไม่ไหว แต่ถ้ารู้สึกว่าไหวก็คือไหวจริง ๆ”


กรองเกียรติพยักหน้ารับ


“เออมึง พี่แรมเขาอยู่กลุ่มเดียวกับพี่โอ๊คเหรอวะ ทำไมกูไม่เคยเห็นเขาอยู่ด้วยกัน วันนี้ที่โรงอาหารก็ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนี่หว่า”


“ไอ้ธันว์ มึงพูดอย่างกับว่าถ้าเขาสนิทกันจริงแล้วมึงจะรู้อย่างนั้นแหละ คนอย่างมึงเคย ‘เห็น’ สิ่งที่ไม่สนใจด้วยเหรอ”


เออว่ะ


“อย่างน้อยกูก็รู้นะว่าพี่แรมไม่เคยมาหาพี่โอ๊คที่ห้องอ่ะแต่วันนี้มานอนอยู่บนเตียงเฉย” นอนบนเตียงกันได้หมายความว่าต้องสนิทกันมากสิวะ


เมื่อกรองเกียรติไม่มีคำตอบที่ช่วยไขข้อสงสัยให้ ธันวาจึงเลิกคิดเรื่องนี้ไปเสียเลย





“ไงมึง ยังหลับในห้องเรียนอยู่อีกไหมวะ” ดีน หนุ่มหน้าตี๋แต่ดูฝรั่งจ๋าเพราะมีเชื้อแคนาดาอยู่ในตัวครึ่งหนึ่งคือเพื่อนสนิทจากคณะอักษรศาสตร์ เจ้าของซองผ้าเย็นที่ฟาดลงบนไหล่ธันวาพร้อมคำทักทายที่แสดงออกถึงการรู้จักกันเป็นอย่างดี


“ไม่ใช่แค่หลับ แต่ยังเล่นโทรศัพท์ด้วย” กรองเกียรติถือโอกาสฟ้อง สมัยมัธยมใคร ๆ ก็บอกว่าดีนเป็นพ่อของธันวา นอกจากจะดูแลเรื่องทุกอย่างให้แล้วยังคอยปกป้องดูแลเหมือนไข่ในหิน


“ก็คนมันหงุดหงิดนี่หว่า” พอพูดถึงเรื่องนี้หน้าของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาให้เห็นอีกแล้ว หน้าดุ ๆ ตาดุ ๆ ของคนที่เป็นสาเหตุของความหงุดหงิดในวันนี้


“เป็นอะไร” ดีนถาม


“โดนรุ่นพี่กวนตีนอ่ะ ไม่มีไรหรอก”


“นี่อย่าบอกนะว่ามึงเจอพี่แรมในห้องน้ำ” เห็นอารมณ์ไม่ปกติตั้งแต่ตอนนั้นกรองเกียรติก็พอจะเดาได้ว่าเพื่อนไปเจอรุ่นพี่ตอนไหน


“เออดิ”


“มึงบอกว่าชื่ออะไรนะ” ดีนถามย้ำ


สองหนุ่มนักศึกษาแพทย์ตีหน้าฉงนก่อนที่กรองเกียรติจะเป็นคนตอบ “พี่แรม รุ่นพี่คณะกู”


“เขาวอแวมึงเหรอธันวา”


“กวนตีนละสิไม่ว่า” ธันวาหน้างอ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งหงุดหงิดจึงรีบบอกปัดเพื่อนให้เลิกคุยถึงเรื่องนี้แล้วเริ่มเล่นบาสเกตบอลกันเสียที ไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนต่างคณะกำลังติดใจอะไรกับชื่อที่ได้ยิน




เย็นวันนั้นกว่าจะได้แยกย้ายกันก็หลังจากเสร็จมื้อเย็นที่ร้านโปรดฝั่งมหาวิทยาลัยของทั้งสามคน เพียงแต่วันนี้มีเพื่อนใหม่ต่างคณะที่ร่วมเล่นบาสฯ ด้วยกันไปด้วย


ก่อนจากกันสองหนุ่มจากคณะแพทย์ไม่ลืมที่จะบอกเพื่อนรักว่าพวกตนอาจไม่ว่างมาเจอกันได้บ่อย ๆ อีกแล้วเพราะตารางเรียนที่แน่นขึ้นและมีสอบถี่ทุกเดือน


“กูหลับเป็นตายแน่ ๆ” ธันวาบ่นเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักด้วยความเมื่อยล้า


“เออ หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่มีควิซนะ กูไม่มีแรงอ่านแล้วเนี่ย”


“เออไป ๆ ไปนอนเว้ย” ธันวาตบบ่าเพื่อนส่งท้ายเพราะเดินถึงห้องตนก่อน กำลังจะบิดประตูเพื่อเปิดออกแต่สายตากลับสบเข้ากับรองเท้าแปลกหน้าคู่เดิมที่ยังคงจอดอยู่หน้าห้องตั้งแต่ก่อนเขาออกไป


“เหี้ย!” ฝ่ายเจ้าของห้องร้องเสียงหลงเพราะมีคนเปิดประตูออกมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวจนเกือบจะชนกัน


“มึงเรียกกูแบบนี้สองครั้งแล้วนะ” เดือนแรมมองดุพูดเสียงเรียบนิ่งใส่คนที่รีบถอยห่างออกไปหลายก้าว ความน่ารักน่าเอ็นดูของผมจุกไม่สามารถบดบังแววตาดื้อรั้นของรุ่นน้องคนนี้ได้เลยสักนิด


“ขอโทษครับ ผมแค่อุทาน”


ธันวายืนรอเพื่อให้รุ่นพี่หน้าดุใส่รองเท้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปก่อนที่ตนจะเป็นฝ่ายเข้าห้องบ้าง


“อย่าเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนอีก” เสียงทุ้มต่ำพึมพำในลำคอ


“ห๊ะ!”


เดือนแรมหันกลับไปจ้องหน้าหนุ่มรุ่นน้อง “อย่าให้กูรู้นะว่ามึงถอดเสื้อผ้าในห้องนอนอีก”


คนถูกขู่นิ่งอึ้ง จนอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินนัก “อะไรของพี่วะ” เพราะมัวแต่หงุดหงิดงุ่นง่านจึงไม่ทันมองว่าอีกฝ่ายเดินเข้าห้องไหนไป


...ไม่ทันรู้ว่าอยู่ใกล้กันมากมาหลายเดือนแล้ว








(โปรดติดตามต่อในพาร์ท ๒)
-------------------------------------------------------------------
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [29/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-04-2018 20:21:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [29/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 01-05-2018 17:26:44
โอ้ยยยยย พี่แรม หวงน้องแต่ก็ปากเสียใส่น้องเน้อออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [29/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-05-2018 20:55:23
อ้ากกกกกกกก  :hao7: เปิดผ่านมา ว่าทำไมชื่อเรื่องมันคุ้นๆจังแฮะ
พี่แรมนี่มันคู่ปรับคุณดีนของน้องรณณ์นี่นา  :o8: :-[
จะบอกว่านิยาย "ห า กั น จ น เ จ อ" เป็นเรื่องที่เราประทับใจมากๆ เรื่องนึงเลยน๊า  :กอด1: :L2: ดีใจในที่สุดคนเขียนก็มีพาร์ทของคู่พี่แรมกะธันวามาให้อ่านแล้ว  :pighaun: จะรออ่านทุกวันเลยยยย  :katai2-1: :pig2:
หัวข้อ: Re: แรมเดือนสิบสอง ll ก่อนคืนเดือนแรม [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-05-2018 11:44:43
แรมเดือนสิบสอง
ก่อนคืนเดือนแรม

เม้นครับเม้น  :hao6:
นิยายของคุณธัญญ์ ...ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริมๆ  o13 :กอด1:
มาตอนแรก (บทนำ?) ก็สนุกน่าติดตามแล้ว  :katai2-1:
อ่านตอนแรกนี้ มั่นใจว่าคนเล่าเรื่องต้องเป็นพี่แรมสายแข็งแน่ๆ แต่อ่านลงมาเรื่อยๆ เหยยย ...นี่เจ้าธันว์เป็นคนเล่าเรื่องหรอกเหรอ  :katai1: พออ่านจบบทนี้ แอบคิดเลยว่าเพราะสองคนนี้มีนิสัยคล้ายๆกันรึปล่าวเลยคบกันได้ยืนยาว จนไปถึงเรื่อง "ห า กั น จ น เ จ อ"  :hao6:
แอบชอบความคิดธันว์ แบบที่เป็นคนที่ไม่พูดทุกอย่างที่คิดออกมา ไม่งั้นน่ะเหรอ คงฉะกะพี่แรมตั้งแต่แรกเจอกันแล้วแน่ๆ เหอๆๆ  :pighaun: :m20:
ชอบความร้ายๆของพีแรมอ่ะ มันดูมีเสน่ห์ดี  :man1:
และเดาว่า พี่แรมต้องแอบชอบธันว์อยู่ก่อนแล้วแน่ๆ แต่เพิ่งมาแสดงตัวไรงี้ป่ะ  :hao3:
ส่วนอีกเรื่องที่อยากรู้ ข่าวว่าที่ลือไปทั่วว่าธันว์เคยคบผช. นี่อะไรยังไง  :ruready คุณธัญญ์อย่าลืมมาเฉลยน๊า  :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [29/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-05-2018 10:24:17
แรมเดือนสิบสอง
แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)
เม้นบทที่1นะครับ  :katai3:
ทำไมใครๆชอบแกล้งธันว์  :ling3: แกล้งให้กินของไม่อร่อยนี่น่าสงสารง่ะ แล้วยังไงเห็นไหมสรุปเลยไม่ได้กินต่อเลย  :ling2:
และแล้วพี่แรมก็ตามติดธันว์แทบจะเป็นเงาตามตัว เมื่อก่อนแอบชอบอยู่ห่างๆ เหมือนตอนนี้จะรู้ตัวว่าอยู่เฉยไม่ได้แล้ว เลยต้องรีบทำคะแนนรึปล่าวน้อ ต้องใช่แน่ๆ ฮะๆๆ  :z2:
ชอบประโยคนี้ของพี่แรม "แต่ถ้าเป็นเจ้าของเมื่อไหร่...มึงห้ามหลอก" มีความแอบบอกความนัย เหอๆ  :hao3:
"อย่าให้กูรู้นะว่ามึงถอดเสื้อผ้าในห้องนอนอีก" แถมยังมีความหึงและหวง ฮะๆๆ  :o8:
อ๊ากกก คุณดีนของเลาาปรากฏตัวแล้ว  :-[ มาเป็นแขกรับเชิญใช่มั้ย แต่น่าจะมีบทบาทแน่นอน ว่าแต่ทำไมถึงคุ้นหูชื่อพี่แรมอ่ะ อะไรยังไง
รอตอนต่อไปอยู่นะครับ  :katai4:
ขอบคุณครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 18-05-2018 21:24:13
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)







“ไอ้ธันว์ ธันวาโว้ย!”


เหมือนวิญญาณถูกกระชากคือความรู้สึกในตอนที่ธันวาเด้งตัวตื่นจากที่นอนเพราะเสียงปลุกของอาร์ตเพื่อนร่วมห้องเดียวกัน


“จะสายแล้วไอ้สัด” อาร์ตในชุดนักศึกษาใส่เนคไทเรียบร้อยแล้วยืนอยู่ข้างเตียง คนถูกปลุกคว้าสมาร์ทโฟนมาดูเวลาแล้วอยากจะกร่นด่าอีกฝ่ายที่ปลุกช้าแต่ก็ไม่มีเวลาพอให้พิลี้พิไลสวมบทคนอกตัญญูมากนักเพราะอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเรียนแล้ว


ธันวากระโดดลงจากเตียงชั้นสองได้ก็ถอดเสื้อออกโยนทิ้งไว้บนเตียงจนเหลือเพียงบ็อกเซอร์ขาสั้นเหมือนทุกครั้ง คว้าผ้าเช็ดตัวและอุปกรณ์อาบน้ำได้ก็รีบแจ้นออกจากห้องก่อนจะต้องชะงักเท้าเบรกกะทันหันเพราะใครบางคนยืนขวางอยู่หน้าประตูห้อง ทันได้หยุดจ้องตาคมดุชั่ววินาทีก่อนใส่เกียร์หมาวิ่งไปทางห้องอาบน้ำรวมด้านขวามือสุดโดยไม่สนใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องมองดุใส่ตนแบบนั้นตั้งแต่เจอหน้า


สิบนาทีคือเวลาที่ธันวาใช้ในการอาบน้ำแต่งตัวและอีกสิบนาทีคือการพาร่างตัวเองออกจากหอมานั่งอยู่ในห้องเรียนได้ในความเร็วที่ใกล้เคียงกับคำว่าวาร์ป


กรองเกียรติมองเพื่อนนั่งหอบแฮ่กด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จะว่าสงสารก็สงสาร แต่สมน้ำหน้าคงมีมากกว่า โต ๆ กันแล้วยังตื่นสายก็ต้องรับผิดชอบตัวเองแบบนี้


“ขนมปังหน่อยไหม ยังพอมีเวลาเหลือ”


ธันวายิ้มแฉ่ง ดูก็รู้ว่ากรองเกียรติเพื่อนรักตั้งใจซื้อมาเตรียมไว้ให้ กำลังจะอ้าปากบอกรับน้ำใจอันงดงามแต่กลับถูกขัดด้วยแซนวิสชิ้นใหญ่ที่หล่นตุบลงบนโต๊ะเสียก่อน


“อ่ะ กูแวะไปดูมิลเลอร์มา เห็นวางอยู่ในกล่องมึง คงมีคนอยากให้มึงกินข้าวเช้าก่อนเข้าเรียน” รูมเมทผู้เมตตาปลุกธันวาให้ตื่นมาทันเข้าเรียนเช้านี้ได้พูดถึงกิจกรรมมิลเลอร์ที่ถูกจัดขึ้นตั้งแต่ก่อนรับน้องเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้รุ่นพี่รุ่นน้องหรือเพื่อน ๆ ได้ส่งมอบกำลังใจให้แก่กันโดยการเอาขนมหรือโน้ตเล็ก ๆ ไปหย่อนใส่กล่องตามเลขรหัสและชั้นปี ซึ่งบางคนอาจฉวยโอกาสนี้ในการจีบกันได้เช่นกัน


“ใครให้วะ ไม่มีโน้ตเลยเหรอ” ธันวาถามด้วยความสงสัยทั้งที่มือแกะห่อออกเตรียมอ้าปากงับอาหารในมือแล้ว


“ไม่มีอะ” อาร์ตว่าแล้วเดินแยกไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนตัวเองที่ด้านหลัง แม้จะอยู่ร่วมห้องเดียวกันแต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ต่างคนต่างอยู่กับเพื่อนสนิทจากโรงเรียนเก่าที่ส่วนใหญ่แล้วยกโขยงกันมาเรียนที่เดียวกัน ธันวาเองก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น เพียงแต่เพื่อนที่สนิทด้วยมีเพียงกรองเกียรติเท่านั้น ส่วนตฤณเป็นเด็กต่างจังหวัด สนิทกันได้เพราะนั่งติดกันในวันมอบตัว


“ถ้าเขาใส่ยาพิษให้กินมึงคงตายไปแล้ว” กรองเกียรติว่าหน้านิ่งขณะที่เพื่อนกำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ เต็มปาก “ของใครก็ไม่รู้กล้ากินได้ยังไง”


ธันวารีบเคี้ยวรีบกลืนลงคอก่อนโต้เถียง “กินเพื่ออยู่หน่า ขนาดคนให้กันต่อหน้ายังใส่ยาพิษได้เลย อย่ากลัวตายเลยเพื่อน”


กรองเกียรติส่ายหน้าระอา “ไม่ใช่เพราะมึงเชื่อคนง่ายรึไงถึงได้โดนทำร้ายอยู่ตลอด”


ธันวาชะงักการบดเคี้ยวของฟัน รู้สึกฝืดคอขึ้นมาเสียอย่างนั้น “มันใช่เรื่องเดียวกันเหรอวะ”


“กูแค่เตือน เผื่อช่วงนี้มีใครบางคนพยายามเข้าใกล้ มึงจะได้ระวังตัวไว้”


ธันวายิ้มอ่อน ซาบซึ้งในความห่วงใยที่กรองเกียรติมีให้เสมอ เพราะไม่ใช่แค่ดีนที่ดูแล แต่เพื่อนสนิททุกคนเป็นห่วงเขาและคอยดูแลมาโดยตลอด มีแต่ตนที่ดูแลตัวเองไม่เคยได้





ธันวารู้สึกดีใจที่วันนี้เป็นวันพุธ เพราะการมีตารางว่างในช่วงบ่ายนั้นเหมาะสมมากกับอาการง่วงงุนในวันนี้ ปกติเป็นคนง่วงบ่อยอยู่แล้ว ยิ่งวันนี้เด้งตัวตื่นขึ้นมาก็ยิ่งรู้สึกง่วง ถึงแม้ช่วงบ่ายต้องไปนั่งอ่านหนังสือในหอสมุดกับเพื่อนรักอย่างกรองเกียรติแต่ก็ยังพอของีบหลับได้สักหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย


แต่ก่อนจะได้นอนอย่างสบายใจ ในท้ายคาบของช่วงเช้ามีการประชุมหารือกันถึงงาน Thanks ซึ่งเป็นงานที่น้องปีหนึ่งจัดขึ้นเพื่อขอบคุณพี่ทุกชั้นปี แต่ถึงอย่างนั้นปีสองอย่างพวกเขาก็ยังต้องมีการแสดงบนเวทีเช่นเดียวกัน หัวข้อที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในตอนนี้จึงเป็นเรื่องของกลุ่มคนผู้เสียสละนั่นเอง


“เล่นดนตรีได้ไหม” เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเสนอขึ้นมา


“เราว่าดีนะ เอนเตอร์เทนกำลังดี ไม่เยอะไม่น้อยไป เหมาะกับปีสอง” ประธานรุ่นซึ่งเป็นผู้หญิงรีบตอบรับ


“จริงด้วย ปีก่อนพี่ ๆ เขาแค่อัดคลิปเอง ปีนี้เราแสดงสดจะได้ดูลงทุนขึ้นมาหน่อย”


“ดี ต่อไปก็หาคนเล่น ใครเล่นดนตรีหรือฟอร์มวงได้บ้าง”


ธันวาและกรองเกียรติเผลอหันมองหน้ากัน ต่างคิดตรงกันว่ารอดูเพื่อนร่วมชั้นปีก่อนว่าจะมีใครอาสาทำไหม เพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากเอาเวลาที่มีไปซ้อมดนตรีนัก


“เอ่อ...เราร้องเพลงได้นะ” หวานคือหนึ่งในเพื่อนผู้หญิงไม่กี่คนที่ธันวารู้จักเพราะเธอคือเพื่อนในกลุ่มกรอสส์เดียวกันหรือพูดง่าย ๆ ว่าถูกจับกลุ่มให้ศึกษาและดูแลรับผิดชอบอาจารย์ใหญ่ร่างเดียวกัน


หลายคนเริ่มออกตัวว่าเล่นเครื่องดนตรีกันได้และพร้อมจะฟอร์มวงกับสาวเจ้าจนธันวาคิดว่าช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้เมื่อตำแหน่งที่เหลือคือเบส ตำแหน่งเดียวกับที่เขาเคยเล่นสมัยมัธยมและไม่ใช่ตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่เล่นเป็นเสียด้วย


“เราพอจะเล่นเบสได้” ธันวาเสนอตัว


“ถ้าเพื่อนไม่คิดว่าตำแหน่งคีย์บอร์ดจะทำให้วงรกเกินไป เราก็อยากจะร่วมด้วย” กรองเกียรติเสนอตัวด้วยอีกคนจนธันวาหันมอง ไม่เข้าใจว่าเพื่อนจะหาเรื่องให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิมทำไมในเมื่อตำแหน่งที่วงขาดมีเพียงแค่เขา เพราะเดิมทีที่เล่นด้วยกัน เพื่อนเขาคนนี้เล่นตำแหน่งกลองเป็นหลักเสียด้วยซ้ำ


“มึงน่าจะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ” ธันวากระซิบบ่นในตอนที่เดินออกจากห้องบรรยายหลังประชุมกันเสร็จแล้ว


“เอาหน่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หาอะไรทำให้สนุกกว่าอ่านหนังสือหน่อยเถอะ”


“ระวังจะสนุกจนคะแนนตกนะเพื่อน”


“มึงคิดว่าคนอื่น ๆ จะซ้อมกันจนไม่ได้อ่านหนังสือรึไงวะ ยังไงพวกนั้นก็ต้องห่วงเรื่องสอบมากกว่าอยู่แล้วป่ะไอ้ธันว์ ไม่มีใครอยากสอบตกแม้แต่บล็อกเดียวหรอก”


...โง่


ไม่รู้ทำไมธันวาถึงคิดถึงคำนี้ขึ้นมาอีกแล้ว ถ้ากรองเกียรติงับปากไม่ทันเขาก็คงถูกด่าด้วยคำนี้แน่ ๆ


ชั้นสามของหอสมุดคณะแพทย์แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ ห้องกระจกสำหรับติวเป็นกลุ่มที่มีอุปกรณ์เหมาะกับกิจกรรมอย่างครบครันกับอีกโซนที่เป็นโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่มีฉากกั้นออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กัน ซึ่งธันวาคิดว่ามันเหมาะแก่การหลบงีบของตนมากทีเดียว


สองหนุ่มเหมาโต๊ะหนึ่งตัว เผื่อตฤณที่อาจจะตามมาอ่านด้วยกันในช่วงเย็นเพราะขอกลับไปนอนที่หอก่อน ใจจริงธันวาก็อยากจะทำอย่างนั้นบ้างแต่ก็กลัวจะโดนกรองเกียรติสวมวิญญาณพ่อดุเข้าให้อีก


ธันวาเลือกนั่งริมในสุด ตรงหน้าของโต๊ะเดียวกันยังว่างเพราะกรองเกียรติเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามแต่เยื้องออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวในการอ่านหนังสือ ขณะที่โต๊ะตัวหน้าเหมือนจะมีคนจับจองไว้เพราะเห็นชีทเรียนวางอยู่กองพะเนิน อีกไม่นานคงมีคนมานั่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นแน่


ธันวาจัดการเอาตำรากายวิภาคที่หนาจนรองแทนหมอนนอนได้ไว้ตรงหน้าซ้อนด้วยชีทเรียนและสมุดจดอีกจำหนวนหนึ่งทำให้สูงพอที่จะบังสายตาคนตรงหน้าได้ในตอนที่เขาแอบหลับในหอสมุดแห่งนี้


หนึ่งชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก ธันวาตื่นขึ้นมาได้จากการปลุกของกรองเกียรติเพื่อนรักที่ปลุกได้ตรงเวลาแบบไม่ให้เกินไปแม้แต่วินาทีเดียว


ลุกออกจากโต๊ะไปล้างหน้าล้างตากลับมาได้ก็นั่งตั้งใจฟังเลคเชอร์ที่อัดเสียงมาจากในคาบเรียน ดูประกอบไปกับเอกสารที่อาจารย์แจกในคาบพร้อมกับทำสรุปย่อลงไปในสมุดของตนเอง เสียงที่อัดมาหนึ่งไฟล์ยาวถึงสามชั่วโมง ธันวาฟังไปได้หนึ่งชั่วโมงก็หาวหวอดรู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้งจนต้องบิดขี้เกียจ ในตอนที่ละสายตาจากเอกสารนั่นเองที่ทำให้เขาได้สังเกตคนที่นั่งอยู่โต๊ะตัวหน้าและนั่งฝั่งตรงข้ามเขาได้เป็นครั้งแรก


...และบังเอิญว่าอีกฝ่ายก็มองมาทางนี้ด้วยเช่นกัน


ธันวาจ้องมองตอบอย่างไม่ลดละ แม้จะอ่านสายตาคู่นั้นของเดือนแรมไม่ออกแต่ก็ยังไม่อยากยอมแพ้ให้เสียหน้า มองอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ไม่มีใครยอมละสายตาไปก่อนหรือแม้แต่เอ่ยทักขึ้นมาเลยสักนิด จนกระทั่งเพื่อนร่วมโต๊ะของธันวาไถลตัวมาบังใครอีกคนไว้พร้อมหน้าจอโทรศัพท์ที่ชูขึ้นให้เห็นรายชื่อของคนที่อยู่ในสาย ธันวาถึงได้ละสายตามาสนใจมันแทน


ปลายสายตั้งใจโทรหาเขาไม่ผิดแน่ แต่เพราะเขาเปิดโหมดแอร์เพลน ทุกการติดต่อจึงไม่ได้รับการสนใจจากเขา ธันวาส่งสัญญาณว่าตนจะโทรกลับไปหาปลายสายเอง ให้กรองเกียรติวางสายได้เลย


ธันวาเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอกจนพ้นเขตที่ต้องการความเงียบแล้วค่อยกดโทรออก


“สวัสดีครับลุงภาส”


[ลุงติดต่อลูกไม่ได้เลย รู้ไหมว่าเป็นห่วงมาก] น้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องโกหก ธันวารู้ว่าถ้ากรองเกียรติไม่รับสายอีกคนหนึ่ง คนปลายทางคงได้บุกมาตามหาถึงที่นี่แน่


“ผมอ่านหนังสืออยู่ครับ เลยปิดการรบกวน”


[อ้อ ลุงแค่จะโทรมาบอกว่าวันศุกร์นี้กลับมานอนบ้านนะ ไปทานข้าวกับลุง]


“เอ่อ...”


“เถอะนะธันว์ ลุงคิดถึงนะ ธันว์ไม่กลับบ้านมาหลายสัปดาห์แล้ว” ธันวาไม่อยากใจร้ายกับผู้มีพระคุณ ตั้งแต่พ่อเสียไปก็ได้ลุงประภาสช่วยดูแลตนกับแม่ จนกระทั่งแม่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุไปอีกคน เขาในวัยที่เพิ่งเปลี่ยนจากเด็กชายมาเป็นนายก็ได้มีชีวิตที่ดีเพราะลุงประภาสรักและดูแลเหมือนลูกคนหนึ่งเสมอมา


...เพียงแต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น


[ชวนเจ้าเก่งมาด้วยก็ได้นะ นะลูก]


“ครับ” ธันวาจำต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้


“เย็นวันศุกร์ลุงไปรับนะ”




ธันวาเดินกลับมาหาเพื่อนรักด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


“ไง โดนอ้อนให้กลับบ้านล่ะสิ”


ธันวายิ้มขื่นเมื่อเพื่อนทายถูก “ไปกับกูไหม ศุกร์นี้ลุงภาสชวนไปกินข้าวด้วย” ที่ชวนเพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักไม่กลับบ้าน พ่อแม่ของกรองเกียรติจะเป็นฝ่ายมาหาเองในเย็นวันอาทิตย์เสียมากกว่า


“มึงไปเถอะ...ไม่เอาหน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้น ลุงเขาคิดถึงมึงนะ ไม่สงสารเขารึไง”


“เออ ๆ เปลี่ยนใจจะไปด้วยก็บอกละกัน”


ตกลงกับเพื่อนเสร็จแล้วธันวาก็ไถลตัวกลับมาที่เดิม มองคนตรงข้ามที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือแล้วอดไม่ได้ที่จะเบะปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ให้ก่อนจะให้ความสนใจกับกองชีทตรงหน้าตัวเองบ้าง




ก่อนกลับขึ้นห้องในตอนสองทุ่มหลังห้องสมุดปิดธันวายังมีใจแวะไปยังกล่องมิลเลอร์ของตัวเอง ตั้งใจจะเอาจดหมายขอบคุณผู้ใจดีสำหรับแซนวิสเมื่อเช้าไปหย่อนไว้เผื่อว่าใครคนนั้นจะมาเห็น แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นเขาเสียเองที่ได้รับโน้ตเล็ก ๆ ในกล่องมิลเลอร์นั่น


‘กูบอกว่าห้ามถอดเสื้อผ้าในห้องไง สมองทึบเหรอ!!’


อ่านจบแล้วถึงกับสะดุ้ง ไม่ต้องนั่งแกะลายมือหาคนเขียนให้เสียเวลาธันวาก็รู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของโน้ตแผ่นนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่อยู่ดี ๆ ก็สั่งห้ามเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเมื่อคืนก่อน และก็มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชอบย้ำถึงความโง่ของเขา


“บ้าไปแล้ว” ธันวาพึมพำด้วยความหงุดหงิดและไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย


“มีอะไรไอ้ธันว์”


“โดนก่อกวน อย่าสนใจเลย”


นอกจากจะไม่ทำตามแล้ว กรองเกียรติยังเอาแต่ยืนจ้องหน้าเพื่อนนิ่งเสียจนคนถูกจ้องทำตัวไม่ถูก “มองทำไมวะ”


“ช่วงนี้มีคนมาจีบมึงรึเปล่า”


“มีที่ไหนเล่า กูเพิ่งอกหักเพราะไม่มีสาวเอานะ มึงอย่าลืมดิ”


“แล้วผู้ชายอ่ะ”


“บ้าไปแล้ว!! ใครจะมาจีบกู”


“อย่าลืมว่าใคร ๆ เขาก็คิดว่ามึงเป็นเกย์ คณะเราก็เกย์ออกเยอะแยะ อาจจะมีคนชอบมึงก็ได้”


“คิดเยอะไปละห่า ไป ๆ ไปนอนนนนน” ธันวาใช้กายดันตัวเพื่อนให้เดินไปเพราะมือทั้งสองกำลังกอดกองหนังสือไว้แนบอก


ถ้ากรองเกียรติจะบอกว่าคนที่ก่อกวนเขาคือคนที่มาชอบเขาล่ะก็ไม่มีทางใช่แน่ เพราะรุ่นพี่ที่กรองเกียรติปลื้มหนักหนาอย่างเดือนแรมไม่ใช่เกย์แน่นอน!







สุดสัปดาห์ของใครหลายคนคือวันแห่งความสุขที่แท้จริง นักศึกษาแพทย์ปีสองและสามที่ยังมีอิสระในช่วงเสาร์อาทิตย์ต่างร่าเริงเกินหน้าเกินตารุ่นพี่ปีสูงที่พบเจอเป็นอย่างยิ่ง ตฤณเองก็กระปรี้กระเปร่าผิดจากตอนเรียนลิบลับ อีกฝ่ายวิ่งฉิวออกจากห้องเรียนไปตั้งแต่อาจารย์เดินออกจากห้องในคาบสุดท้ายพร้อมคำลาที่บอกว่าจะกลับไปนอนเล่นเกมที่บ้านให้หนำใจเสียหน่อย ขณะที่ธันวากลับเดินคอตกอยู่ข้างกรองเกียรติ วันศุกร์อื่น ๆ อาจจะสุขสันต์แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่เขาไม่อยากให้มาถึงมากที่สุดวันหนึ่ง


“ไปแปป ๆ แล้วขอกลับมานอนที่หอก็ได้นี่หว่า” กรองเกียรติออกความเห็น หน้าอีกฝ่ายมุ่ยตั้งแต่เช้า ดูไม่สดใสจนเขาเป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้


“อือ ถ้าขอได้นะ” ทั้งคนถามและคนตอบต่างก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่ธันวาจะไม่ใจอ่อนต่อลูกอ้อนของลุงประภาส แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากพูดให้ดูเหมือนมีทางออกของความไม่สบายใจนี้อยู่บ้าง



เสียงกีตาร์โปร่งพร้อมเสียงร้องคลอกันอย่างสนุกสนานดึงดูดความสนใจของรุ่นน้องปีสองทุกคนที่กำลังย่างกรายเข้าโถงใต้หอพักนักศึกษาแพทย์ชายก่อนทันได้เห็นว่าที่มาของเสียงดังกล่าวมาจากกลุ่มรุ่นพี่ที่ขึ้นชื่อว่าโหดสุดในชั้นปีที่สามเพราะมีประธานชั้นปีอย่างเดือนแรมที่เคยฝากความโหดเอาไว้ในตอนรับน้องครั้งที่เพิ่งผ่านมานั่งร่วมวงอยู่ด้วย


ธันวาไม่อยากยอมรับนักหรอกว่ารุ่นพี่เดือนแรมเป็นผู้ชายที่โคตรเท่ การแสดงภาวะความเป็นผู้นำได้อย่างน่าเกรงขามในงานรับน้องยังคงเป็นภาพที่ประทับใจไม่รู้ลืม ตอนคุยกันครั้งแรกแล้วสอนให้แบบตัวต่อตัวก็เก่งเสียจนอยากปรบมือให้ ตอนมีสมาธินั่งอ่านหนังสือก็ดูฉลาดและเท่มากกว่าครั้งไหน ๆ แม้กระทั่งตอนนี้ที่แค่นั่งร้องเพลงไม่ได้เป็นคนเล่นกีตาร์หรือแม้แต่จับมันสักนิดก็ยังเท่เสียจนธันวาอยากพ่นคำหยาบออกมา เสียก็แต่อย่างเดียว...เรื่องที่ด่าเขาว่าโง่ในทุกครั้งที่เจอกันนั่น ทำให้มองอีกฝ่ายในแง่ดีต่อไปไม่ได้อีกเลยจริง ๆ


“เฮ้ยไอ้น้องธันว์ มาร้องเพลงด้วยกันสิวะ” โอ๊คตะโกนชวนมาแต่ไกลแต่ธันวากลับเลือกที่จะเดินเข้าไปใกล้ก่อนแล้วค่อยพูดตอบ “วันนี้จะกลับบ้าน ผมขอขึ้นไปเก็บของก่อนนะพี่”


“อ้าวเหรอวะ เออ ไปเก็บของก่อนไป...แล้วมึงกลับด้วยไหมไอ้น้องเก่ง”


“ไม่อ่ะพี่”


“ดี เก็บของแล้วลงมาร้องเพลงกับพวกพี่นะเว้ย”


กรองเกียรติรับปากก่อนเดินตีคู่กับธันวาเข้าโถงลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพัก




‘เธอสวย…ทุกนาทีที่เคยสัมผัส’



ธันวาที่มีเป้ใบโตกับกรองเกียรติที่เปลี่ยนกางเกงสแล็คเป็นกางเกงขาสั้นเดินลงมาสมทบในตอนที่รุ่นพี่กำลังร้องเพลงจีบสาว ๆ ที่พากันมาทำงานกลุ่มใต้หอชาย


“นั่งตรงนี้เลยเว้ยธันว์ นั่งข้างไอ้แรมมันอ่ะ” โอ๊คที่นั่งบนขอบโต๊ะทำหน้าที่เล่นกีตาร์บอกจัดแจงให้ธันวานั่งข้างเดือนแรมซึ่งนั่งอยู่ด้านซ้ายมือตน


ธันวาหันมองคนถูกพาดพิงแวบหนึ่งก่อนหันหนี “ให้ไอ้เก่งนั่งเถอะพี่ มันเป็นเอฟซีพี่แรม” กล่าวติดตลกแล้วก็ย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังพอว่างอยู่บ้างโดยมีสายตาเดือนแรมมองตามตลอด


“รู้เธอมีเหตุผลอะไรสักอย่าง...ที่ทำให้เธอไม่คิดจะอยู่กับฉัน”


เดือนแรมตวัดตาดุมองเพื่อนที่พร้อมใจกันเปลี่ยนเพลงฉับพลันเพื่อล้อตน ขณะที่คนมาใหม่สองคนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยก็เริ่มร้องคลอตามไปด้วย


จากร้องเพลงคลอกันเบา ๆ กลายเป็นแหกปากร้องเอาสนุกสนานจนเริ่มสร้างความรำคาญให้คนอื่นที่ใช้พื้นที่โถงใต้หอร่วมกัน นอกจากพวกเขาจะไม่เกรงใจแล้วยังส่งเสียงดังขึ้นอีกด้วย


“ไอ้ธันว์”


กรองเกียรติยื่นมือข้ามเดือนแรมไปสะกิดแขนเพื่อนสนิทให้มองไปตรงทางเดินข้างหน้า ผู้ชายร่างสูงชะลูดใบหน้าหล่อเหลาแบบพิมพ์นิยมแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาดูเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังเดินตรงมาทางพวกเขา


“เอ่อพี่ ๆ ผมไปก่อนนะ พี่โอ๊ค ผมไปนะครับ หวัดดีครับ” นอกจากจะยกมือกระพุ่มไหว้รุ่นพี่ร่วมห้องแล้ว ธันวายังเผื่อแผ่ความเคารพนับถือนี้ไปยังรุ่นพี่ทุกคนด้วย ไม่เว้นแม้แต่เดือนแรม


นัยน์ตาคมที่ชอบมองดุอยู่ตลอดมองตามหลังรุ่นน้องสองคนไปด้วยความสงสัย ผู้ชายที่มารับเป็นใครทำไมเด็กสองคนนั้นถึงหน้าซีดราวกับเห็นผี แล้วเจ้าเก่งนั่นเล่า ปากบอกว่าไม่ได้กลับบ้านด้วย แต่ทำไมถึงเดินตามไปราวกับจะไปนอนค้างกับเพื่อนทั้งที่ตนมีแค่เสื้อผ้าชุดที่ใส่อยู่ติดตัวไปแค่นั้น






“พี่ป้องมาคนเดียวเหรอครับ” ธันวาถามพลางชะโงกมองข้างหลังด้วยหวังว่าญาติผู้ใหญ่ที่นัดตนไว้จะมาด้วย


“คุณพ่อนัดคุยกับลูกค้าข้างนอก เดี๋ยวท่านจะตามไปที่ร้านเลย” ปกป้องเบนสายตาไปมองเพื่อนสนิทของญาติผู้น้องก่อนถามอย่างเป็นกันเอง “นายล่ะ ไปทานข้าวด้วยกันไหม”


“ขอฝากท้องมื้อนี้ด้วยนะครับ” ธันวาหันมองเพื่อน ไหนมันบอกเสียงแข็งว่าอย่างไรก็ไม่ไปด้วยเด็ดขาด ทำไมตอนนี้ถึงตอบรับคำชวนโดยไม่เสียเวลาคิดสักนิด


“แล้วก็ขอนอนค้างกับธันว์ด้วยนะครับ พอดีพวกเราต้องติวหนังสือกัน พี่ก็รู้ว่าคณะพวกผมสอบกันถี่ขนาดไหน”


ได้ยินเพื่อนร่ายยาวออกมาแล้วก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากไปร่วมโต๊ะด้วยอย่างที่บอกไว้ เพียงแต่ที่เปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้เพราะอยากจะช่วยเขา


“นอนค้าง?...แล้วไปแค่นี้เหรอ” ปกป้องไล่สายตามองหนุ่มรุ่นน้อง ทั้งเนื้อทั้งตัวเห็นจะมีแค่เสื้อผ้าติดตัวชุดเดียว ข้าวของหรือหนังสือที่อ้างว่าจะติวกันก็ไม่เห็นมี


“ครับ หนังสืออยู่ที่ไอ้ธันว์แล้ว ส่วนเสื้อผ้าก็ยืมมันใส่ แค่คืนเดียวเองครับ เพราะพรุ่งนี้เราต้องรีบกลับมาทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ต่อ” คำว่าเราที่เน้นหนักทำให้ปกป้องต้องหันมองหน้าลูกพี่ลูกน้องอย่างต้องการคำตอบ


“ครับ ชีวิตปีสอง เรียนก็หนัก กิจกรรมก็ยังต้องทำ”


ปกป้องถอนหายใจอย่างหมดคำพูด “บอกพ่อพี่เอาเองละกัน”





บรรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัด หากกรองเกียรติไม่มีกรุ๊ปไลน์เพื่อนเก่าที่กำลังเคลื่อนไหวกันอยู่ เขาก็อาจจะนั่งเกร็งไปตลอดทาง



ทีมพระเอก : วันศุกร์แล้วเว้ยเพื่อน นัดๆๆๆๆ
DEAN : เออ เอาดิ ไอ้ธันว์ไอ้เก่งมาได้ใช่ป่ะวะ พรุ่งนี้พวกมึงหยุดไหม
นโม_ตัสสะ : สาสสสสส ห่วงแต่พวกหมอ ดูพวกกูด้วยยยยย
โอมเพี้ยง : แฝดน้องกูพูดถูก
เก่งก็คือเก่ง : กูไม่ว่างว่ะ ต้องไปเป็นองครักษ์พิทักษ์ธันวา
DEAN : เกิดอะไรขึ้นไอ้เก่ง
เก่งก็คือเก่ง : ไอ้พี่ป้องมารับกลับบ้าน
ทีมพระเอก : เชี่ยยยยยยยยยยยยย
นโม_ตัสสะ : เชี่ยยยยยย
โอมเพี้ยง : เชี่ยยยยย
DEAN : fuck !!











TBC.
----------------------------------------------------------------
ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ติชมกันได้จ้าา
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 19-05-2018 05:07:39
พี่ป้องคือแฟนเก่าธันหรออ หรือยังไง
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 19-05-2018 13:06:06
พี่แรมเกรี้ยวกราดเว่อออออ ด่าน้องตลอดดดด
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-05-2018 21:07:19
เดี๋ยวมาอ่าน/เม้นตอนที่2ให้พี่แรมนะครับ  :really2:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 19-05-2018 22:44:17
กล้าๆหน่อยพี่แรม แสดงตัวจีบน้องไปเลยจ้า
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-05-2018 07:47:23
แรมเดือนสิบสอง
แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)
เม้นบทที่2นะครับ  :katai3:
ธันว์น่าจะเอะใจได้แล้วม้างว่าทำไมช่วงนี้พี่แรมถึงเข้ามาอยู่ในระยะสายตาบ่อยจัง ตื่นสายแล้วมาเจอพี่แกยืนตาดุอยู่หน้าห้อง นี่ก็น่าจะฉุกคิดได้แล้วมั้ว่าเอ...หรือพี่มันจะอยู่ห้องใกล้ๆกันนี่เอง เอ...หรือพี่แกตาค้างที่เห็นผิวขาวๆของน้องเป็นครั้งที่2กันวะครับ ฮ่าๆๆ  :m20:
รู้ว่าน้องไปเรียนสายก็ยังจะมีแซนวิสชิ้นใหญ่ไปหย่อนไว้ในกล่องมิลเลอร์ให้ซะด้วย มุมนี้พี่แกนารักดีนะ  :o8: มีแอบเป็นห่วงงง แต่ธันว์แกจะกินของที่ใครไม่รู้ว่าหย่อนไว้ให้ง่ายๆก็ไม่ควรเน้อ เกิดเขาใส่ยาอะไรลงไปแกไม่ตายเหรอ  :a5:
แต่เรื่องงาน Thanks พี่ นี่คิดว่าพี่แรมต้องมีบทบาทหรือมีเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้คู่นี้ยิ่งแนบแน่นแน่นอน (เดา ฮ่าๆๆ) เดาว่าอาจจะมีเหตการณ์ให้พี่แรมร้อง ส่วนคนน้องเล่นเบส ตามความชอบของทั้งคู่ รึปล่าว?  :hao5:
ว่าแต่ลุงภาสนี่เป็นใคร ทำไมดูน่ากลัว ไม่ใช่ว่าเคยหรือคิดจะมีอะไรกับธันว์นะ  o22
แล้วพี่ป้องคนหล่อนี่จะมีบทบาทยังไงอ่ะ ทำไมดูไม่น่าไว้ใจทั้งพ่อ+ลูกเลย  :m16:
ตอนแรกก็เครียดแทนธันว์ที่จะต้องไปเจอลุงภาสคนเดียว พอเก่งเปลี่ยนใจไปด้วยค่อยโล่ง เฮ้อออออ
ตอนนี้พี่แรมออกน้อยอ่ะ ตอนหน้าขอเยอะๆนะครับคุณธัญญ์  :m26: รอตอนต่อไปครับ
ขอบคุณครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-07-2018 01:50:03
ดูมีความลับนะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [18/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-07-2018 09:51:39
กับพี่ป้องนี่คือเกิดอะไรขึ้น ใช่ที่มาของข่าวที่ธันว์คบกับผู้ชายไหม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [19/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 19-07-2018 19:06:54
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)






“กูกลับดีไหมวะ”


กรองเกียรติพูดขณะก้มดูการแต่งกายของตัวเองในตอนที่กำลังจะเดินตามปกป้องเข้าร้านอาหารบนชั้นยี่สิบสองของโรงแรมชื่อดังซึ่งจัดอยู่ในประเภทภัตตาคารหรูเลยทีเดียว


“กูกราบ อยู่กับกู ถ้ามึงอาย เราสลับชุดกันก็ได้” ธันวาคว้าแขนเพื่อนไว้อย่างอ้อนวอน


“กูไม่ได้อาย กูเขิน กู...ดูเหมือนคนไม่รู้กาลเทศะ”


ชุดของเพื่อนรักดูไม่เหมาะกับสถานที่จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เสื้อนักศึกษากับกางเกงสีเข้มขาสั้นแค่เข่ากับรองเท้าแตะที่แม้จะมีราคาอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่เหมาะสมกับที่แห่งนี้อยู่ดีเพราะไม่ได้เตรียมตัวจะมาด้วยตั้งแต่แรก ขณะที่ธันวายังสวมชุดนักศึกษาเต็มตัวอยู่เหมือนเดิมซึ่งเป็นเหมือนชุดโกงความตายที่ดูสุภาพเหมาะสมกับทุกโอกาสไปเสียหมด


“มัวคุยอะไรกัน รีบตามเข้ามาสิ”


ธันวากระตุกแขนเพื่อนให้เดินตามเข้าไปตามที่ปกป้องหันมาเร่ง กรองเกียรติที่แม้จะประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินเข้าไปแต่โดยดี


“ทำไมครั้งนี้นัดหรูจังวะ” ธันวาบ่นพึมพำกับเพื่อนสนิทที่ต่างก็มองไปทั่วร้านด้วยความตื่นเต้น นอกจากความหรูหราของบรรยากาศภายในร้านแล้ววิวเมืองแบบสามร้อยหกสิบองศาก็ชวนให้สองหนุ่มตื่นตาได้มากทีเดียว


คำตอบของข้อสงสัยถูกเฉลยเมื่อธันวาเห็นลุงประภาสนั่งคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นลูกค้าที่ปกป้องพูดถึง


สามนักศึกษาหนุ่มถูกนำทางไปยังโซนโอเพ่นแอร์ซึ่งเป็นระเบียงชั้นที่ต่ำกว่าเล็กน้อยเพื่อให้ลูกค้าทั้งสองโซนได้ชมวิวเมืองที่สวยงามเหมือนกัน


“เรียนหนักเหรอธันว์ ตั้งแต่ขึ้นปีสองก็ไม่ได้กลับบ้านเลยนะ” ปกป้องถามญาติผู้น้องที่นั่งเยื้องตนเองเพราะเขารู้ว่าพ่อตัวเองต้องอยากนั่งตรงข้ามหลานรักแน่อยู่แล้ว “คุณพ่อพี่บ่นคิดถึงอยู่ทุกวัน”


ธันวายิ้มแห้ง “หนักมากครับ กิจกรรมก็เยอะ”


“เย้อะ เยอะครับ” กรองเกียรติสำทับด้วยการเน้นเสียงเพิ่มน้ำหนักของความเยอะโดยไม่สนใจสีหน้าของปกป้องที่เริ่มเรียบตึงขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจ


“จริง ๆ แล้วธันว์ย้ายกลับมานอนบ้านก็ได้นะ ไปเช้ากลับดึกยังไงก็ให้นายเล็กไปรับไปส่ง” ปกป้องหมายถึงลูกชายคนขับรถเก่าแก่ของพ่อ


“กลัวจะเหนื่อยเกินกว่าจะตื่นเช้ามาก ๆ และนอนดึกเกินไปน่ะสิครับ” ธันวาเลือกจะรักษาน้ำใจแทนการตัดรอนความหวังดีนั้น


สามหนุ่มไม่ทันได้พูดคุยอะไรมากหรือจะให้ถูกคือธันวาไม่ทันได้ถูกญาติผู้พี่ซักไซ้มากนักผู้ใหญ่หนึ่งเดียวของวันนี้ก็เดินเข้ามาสมทบเสียก่อน


“รอลุงนานไหมธันว์” คนมาใหม่ยกมือรับไหว้ทั้งธันวาและกรองเกียรติก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เว้นว่างไว้ “โทษทีนะ ลูกค้าเขาเรื่องเยอะ” ประโยคหลังลุงประภาสป้องปากพูดเสียงเบาด้วยสีหน้าขบขันจนรู้สึกว่าท่านไม่ได้รู้สึกแย่กับสถานการณ์นั้นเลยสักนิด


“ไม่นานครับ วิวสวย ผมมองเพลินเลย”


“วันหลังลุงพามาอีกนะลูก ที่นี่อาหารเขาก็อร่อย รับรองว่าถูกปากธันว์แน่ ๆ”


“ผมชวนน้องกลับมาอยู่บ้านด้วยกันแล้วครับ จะออกเช้ากลับดึกก็ให้นายเล็กขับรถให้” ปกป้องเอ่ยแทรกเมื่อเห็นว่าคนเป็นพ่อเอาแต่พูดกับหลานรักไม่หยุด


“ไม่ต้องถึงนายเล็กหรอก จะเช้าจะดึกแค่ไหนลุงจะขับไปรับไปส่งเองนะลูก”


“เอ่อ…”


“บริษัทกับมหา’ลัยน้องไกลกันมากนะครับ ผมเกรงว่าพ่อจะไปทำงานสาย”


“เป็นเจ้าของบริษัทไม่ต้องไปตอกบัตรหรอกตาป้อง” ประภาสกล่าวติดตลกขณะที่ลูกชายหน้านิ่งไม่ได้รู้สึกขำด้วยเลยสักนิด


“เอ่อ...” ธันวาอ้ำอึ้ง หันมองหน้าเพื่อนเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่คิดออกไป “ผมอยู่หอพักก็สะดวกดีครับ คุณลุงไม่ต้องห่วง”


“ธันว์ก็รู้ว่าลุงคิดถึง อยากให้อยู่ด้วยกันมากกว่า” คนสูงวัยยังยืนกราน


ธันวายิ้มแห้ง และเชื่อว่ากรองเกียรติก็คงอยากจะแสดงออกแบบเดียวกันให้กับสถานการณ์ชวนอึดอัดนี้ เพื่อนสนิทของเขาถึงได้จิบน้ำแก้เก้ออย่างนั้น “ไว้ธันว์จะกลับมาเยี่ยมบ่อย ๆ นะครับ”


“สามสัปดาห์ต่อครั้งน่ะหรือ”


“จะพยายามให้ถี่กว่านั้นครับ”


“สัปดาห์ละสามวัน” คนเป็นลุงต่อรอง


“คุณพ่อครับ” ปกป้องที่นิ่งฟังอยู่นานแทรกขึ้นมา สีหน้าเหมือนจะสุดทนกับความดื้อรั้นของพ่อตัวเอง “น้องเรียนหนักกิจกรรมก็เยอะแถมยังมีสอบเกือบทุกสัปดาห์ คุณพ่อต้องเข้าใจน้องด้วยนะครับ”


“ถ้าอย่างนั้นให้ลุงไปหานะ ไปทานข้าวเย็นด้วยกันบ้าง”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ


“สัปดาห์ละครั้งก็ยังดี...นะ...นะลูก”


ธันวายิ้มแห้งก่อนจะตอบรับอย่างเสียไม่ได้


ปกป้องร้องเหอะในลำคอ ขัดใจกับความรั้นสุดชีวิตของพ่อตัวเองแล้วยังหงุดหงิดกับการตอบรับของธันวาอีกด้วย ทว่าไม่มีใครเห็นกิริยานั้นของเขา นอกเสียจากกรองเกียรติ


กรองเกียรติไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารกับสองพ่อลูกคู่นี้มาก่อน เขาจึงไม่แน่ใจว่าบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัดที่อธิบายไม่ถูกนี้เกิดขึ้นทุกครั้งเลยหรือไม่ ไม่รู้ว่าธันวาเพื่อนรักจะรับรู้ได้แบบเดียวกันหรือเคยชินกับมันไปเสียแล้ว


“อันนี้ของโปรดธันว์ กินเยอะ ๆ นะลูก ผอมลงไปเยอะเลย”


“นี่ก็ของชอบ”


“จานนี้เมนูแนะนำของร้าน อร่อยนะ ธันว์ลองชิมดู”


และอีกสารพัดการเอาใจที่เรียกได้ว่าไม่มีอาหารจานไหนที่ธันวาไม่ได้ชิม ลุงประภาศตักให้เองกับมือทุกจานบนโต๊ะ ซึ่งช่วยไม่ได้ที่ คนที่ไม่มีใครคอยบริการอย่างเขาจะรับประทานเสร็จก่อนเพื่อนรักไปนานจนเหมือนตอนนี้ทั้งโต๊ะมีแค่สองคนลุงกับหลานที่ยังเพลิดเพลินกับมื้อค่ำกันอยู่


ระหว่างรอของหวานที่จะนำมาเสิร์ฟให้เขากับปกป้องก่อน นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองก็ขอเสียมารยาทเล็กน้อยด้วยการกดดูการแจ้งเตือนของสมาร์ทโฟนที่สั่นครืดอยู่เกือบตลอดเวลา หลายข้อความมาจากเพื่อนร่วมคณะ แต่มีเพียงห้องแชทเดียวเท่านั้นที่กรองเกียรติกดเข้าไปอ่าน
นั่นคือ ‘กรุ๊ปอนาคตของชาติ’



DEAN : รายงานสถานการณ์ด้วยไอ้เก่ง @เก่งก็คือเก่ง
ทีมพระเอก : อย่าช้าเว้ย พวกกูลุ้นจนตัวโก่งแล้ว
นโม_ตัสสะ : ไอ้พวกรอเสือก
โอมเพี้ยง : มึงไม่อยากรู้เลยสินะ กินข้าวไปจ้องโทรศัพท์ไปจนแม่ด่าหลายรอบแล้วเนี่ย
นโม_ตัสสะ : มึงมันคนไม่ห่วงเพื่อน
โอมเพี้ยง : กูแค่รู้กาลเทศะเว้ย
DEAN : อยากออกจากกลุ่มก่อนไหม?



เขาหลุดขำพรืดออกมาจนทั้งสามคนที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยหันมามอง เด็กหนุ่มเอ่ยขอโทษผู้ใหญ่ก่อนหันมาให้คำตอบกับเพื่อนรักที่มองมาด้วยความสงสัยด้วยการชูหน้าจอให้อีกฝ่ายดู


ธันวาอ่านแล้วส่ายหน้าระอา เข้าใจว่ากรองเกียรติคงขำที่ดีนรำคาญคู่แฝดที่มาชวนทะเลาะกันในกลุ่ม เพราะตนเองก็เคยเป็นอยู่หลายครั้ง แต่เพราะประเด็นที่เพื่อนกำลังสนใจคือเรื่องของตนเอง เขาจึงไม่ได้ขำออกหน้าออกตาเท่ากรองเกียรตินัก


เขาเข้าใจดีว่าเพื่อนเป็นห่วง ถึงได้ยอมให้กรองเกียรติกดพิมพ์ยิก ๆ เพื่อรายงานสถานการณ์อย่างที่เพื่อนในกลุ่มต้องการ


เก่งก็คือเก่ง : ลีฟกรุ๊ปออกไปซะ!!
นโม_ตัสสะ : ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะมึง
นโม_ตัสสะ : เล่ามาเดี๋ยวนี้
เก่งก็คือเก่ง : สถานการณ์อึดอัดแปลก ๆ แต่กูก็พูดไม่ถูก คงต้องเรียนเชิญหมอผีทีมมาใช้จิตสัมผัส
ทีมพระเอก : ไอ้สัส
DEAN : อึดอัดยังไง
เก่งก็คือเก่ง : ไม่รู้จริง ๆ ว่ะ มันมาคุไปหมด ไอ้พี่ป้องท่าทางแปลก ๆ เหมือนจะไม่พอใจอะไรตลอดเวลา
โอมเพี้ยง : ช่างแม่งพี่มันก่อน แต่มันไม่ได้ทำอะไรไอ้ธันว์ใช่ไหมวะ
เก่งก็คือเก่ง : ไม่อ่ะ
DEAN : แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เก่งก็คือเก่ง : ลุงภาสกับพี่ป้องขอให้มันกลับไปนอนบ้าน แต่เพื่อนมึงปฏิเสธ สุดท้ายก็ยอมแพ้ลูกตื้อพบกันครึ่งทางคือต่อจากนี้ลุงภาสจะไปกินข้าวเย็นกับมันสัปดาห์ละครั้งและมันต้องกลับบ้านทุกสัปดาห์เหมือนกัน
DEAN : มันอึดอัดไหมวะ
เก่งก็คือเก่ง : จะเหลือเหรอ
ทีมพระเอก : กูว่าเราต้องผลัดกันไปหาไอ้ธันว์ให้ตรงกับวันที่ลุงมันมาหา ลำพังไอ้เก่งคงเป็นกาฝากติดสอยไปด้วยไม่ได้ทุกครั้งแน่
นโม_ตัสสะ : วางแผนเก่งงงงงง



กรองเกียรติอ่านแค่นั้นก็ต้องกดปิดหน้าจอเพราะของหวานถูกนำมาเสิร์ฟแล้วพร้อมกับที่สองคนลุงกับหลานรวบช้อนข้าวพอดี กว่ามื้อนั้นจะจบลงได้ก็ทำเอากรองเกียรติอึดอัดแทบแย่ และดูจากสีหน้าเพื่อนสนิทแล้วเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ต่างกัน


มีปัญหาตั้งแต่บนโต๊ะอาหารยันการนั่งรถกลับบ้าน


คนพ่อจะให้หลานรักไปนั่งด้วย ขณะที่คนลูกก็ยื้อญาติผู้น้องไว้กับตัวแล้วผลักไสคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างกรองเกียรติไปนั่งด้วยแทน เถียงกันไปต่าง ๆ นานาจนสุดท้ายคนนอกอย่างกรองเกียรติก็เป็นคนตัดสินให้คือทั้งธันวาและตนเองจะกลับบ้านด้วยรถของลุงประภาส


“เห้อ” กรองเกียรติลากเสียงถอนหายใจยาวทันทีที่ล้มตัวลงนอนบนเตียงธันวาทั้งที่มือยังกดสมาร์ทโฟนไม่หยุด


“ไปอาบน้ำไป จะได้มาติวหนังสือ”


คนที่นอนอยู่ผงกหัวขึ้นมามอง “พูดจริงป่ะเนี่ย”


“ก็มึงบอกพี่ป้องอย่างนั้นเองนี่ จำไม่ได้?”


“กูโกหกไหมล่ะ” กรองเกียรติล้มตัวลงนอนดังเดิม บ่นพึมพำว่าอุตส่าห์ช่วยแท้ ๆ ก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่งเฉียบพลันจนเจ้าของห้องตกใจ “เชี่ยยยย”


“อะไรของมึง”


“พี่แรมแม่งไอดอลกูจริง ๆ ว่ะ คนอะไรวะโพสสเตตัสแค่คำเดียวคนกดไลก์เป็นร้อยในห้านาที เม้นอีกสามสิบ”


ธันวาฟังแล้วส่ายหน้า รู้สึกตัวเองเข้าไม่ถึงลัทธิ ‘เดือนแรม’ อย่างที่เพื่อนสนิทเป็น


“มึงเข้าไปไลก์ดิ๊”


“กูไม่มีเฟซฯพี่เขา”


“เฮ้ย! ไม่มีได้ไงวะ นั่นประธานปีสามนะเว้ย”


“แล้วไงวะ ไม่เห็นจำเป็นต้องมีนี่หว่า”


“ก็เอาไว้ติดต่อเรื่องงานหรือสัพเพเหระตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องไง”


“ไม่สนิท”


กรองเกียรติส่ายหน้าระอา “มึงนี่ชักจะเหมือนไอ้ดีนพ่อมึงเข้าไปทุกที ไม่รู้จักผูกมิตรเลยไอ้บ้านี่”


ธันวาฟังแล้วก็ส่ายหน้าเดินหนีหมายจะไปอาบน้ำก่อนแต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินเพื่อนพูดบางอย่าง


“โง่มันแปลว่าไรวะ”


“หือ?...ก็แปลว่าโง่ไง” ธันวาตอบหน้าซื่อเพราะคิดว่าเพื่อนถามตนจริง ๆ


“ไม่ใช่สิวะ เนี่ย ๆ” เจ้าตัวไม่พูดเปล่าแต่ยังยื่นหน้าจอมาให้ธันวาดูอีกด้วย ไม่ต้องเสียเวลาหาให้นานเพราะกรองเกียรติได้เลื่อนสเตตัสดังกล่าวไว้บนสุดเพื่อง่ายต่อการสะดุดตาแล้ว


‘โง่’


คำเดียวสั้น ๆ กับยอดไลก์และคอมเมนท์มหาศาลจริงอย่างที่เจ้าของเครื่องนี้เล่า หัวคิ้วเข้มเคลื่อนเข้าหากัน เห็นสเตตัสนี้แล้วรู้สึกคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก


“แล้วไงวะ”


“โว๊ะ! เนี่ย ๆ กูเข้าไปส่องคอมเมนท์มา แต่ละคนก็เดากันไปคนละเรื่อง แต่พวกเพื่อน ๆ พี่แกนี่น่าเชื่อถือสุด แต่แม่งก็ไม่รู้ความหมายอยู่ดีว่ะ” กรองเกียรติขยี้หัวจนผมยุ่ง ทำราวกับนี่คือข้อสอบที่ถ้าหาคำตอบไม่ได้แล้วจะสอบตกอย่างไรอย่างนั้น


“เรื่องเรียนเคยจริงจังเท่านี้ไหม”


กรองเกียรติตวัดตาขึ้นมอง “ถามตัวเอง?”


“ไอ้ฟาย!!!” ธันวาปาหมอนอิงอัดหน้าเพื่อนก่อนรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะกลัวจะถูกเอาคืน




‘โง่’

แปลก...ทั้งที่เป็นแค่คำ ๆ เดียวที่ถูกโพสเป็นสเตตัส สื่อความหมายในทางอื่นได้ตั้งมากมาย แต่ทำไมธันวาถึงอ่านแล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกเรียกด้วยเสียงทุ้มดุของอีกฝ่าย


เด็กหนุ่มส่ายหน้าไล่ความคิดที่ช่วงนี้ชักจะมีรุ่นพี่เดือนแรมอยู่ในนั้นมากเกินไปแล้ว


ธันวารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนอาบน้ำนาน แต่ก็ไม่คิดว่าผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้วแต่กรองเกียรติก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการถอดรหัสสเตตัสของเดือนแรม


“ชื่อคน!”


“ห๊ะ! อะไรของมึงไอ้เก่ง” มือที่จับผ้าเช็ดตัวซับผมอยู่หยุดชะงัก


“โง่ต้องเป็นชื่อคน” ธันวาถอนหายใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนรักถึงติดใจคำนั้นนักหนา


ว่าแต่...ใครมันจะชื่อโง่วะ


“ทำไมคิดงั้น”


“ไม่ใช่ดิ ต้องชื่อแทน พี่แรมต้องใช้คำว่าโง่เรียกใครสักคนแน่ ๆ” ดูเหมือนกรองเกียรติจะไม่ได้สนใจคำถามของธันวาเลย


“รู้แล้วจะได้อะไรวะ กูว่าบางทีมึงอาจจะคิดมากไป เขาอาจจะแค่อยากด่าตัวเองก็ได้”


“มึงโง่ป่ะ ถ้าหน้าอย่างพี่แรมเรียกโง่ คะแนนท็อปทุกบล็อกอนาโตมีปีที่แล้วคงไม่สูงจนเกือบเต็มหรอก นั่นน่ะยอดพีระมิดนะเว้ย”


“...”


“เดี๋ยวนะ…” ธันวาตาโต อยู่ ๆ ไอ้เพื่อนบ้าก็ชี้นิ้วมาที่เขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “มึงโง่…”


“ไม่ต้องย้ำมากไอ้สัด”


“ไม่ ๆ ไม่ใช่โง่แบบนั้น แต่พี่แรมเคยเรียกมึงว่าโง่นี่ ใช่ไหม? กูเคยได้ยิน”


“เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว เลิกคิด ๆ ไปอาบน้ำ”


“กูว่าต้องใช่แน่ ๆ” กรองเกียรติสรุปได้แล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่คนเดียว “ว่าง ๆ มึงก็ลองไปส่องเฟซฯพี่เขาดูนะ อ่านคอมเมนท์สเตตัสนั้นด้วย เผื่อจะหายโง่” คนมาอาศัยนอนด้วยเน้นคำสุดท้ายจนหวิดโดนเตะให้ก้นช้ำหากไม่วิ่งหนีเข้าห้องน้ำเร็วพอ


“หายโง่บ้าอะไร!” ธันวากร่นด่าตามหลังเพื่อน ไม่ใช่ว่ามันคิดเองเออเองอยู่คนเดียวหรือ ทำมาเป็นรู้ดีราวกับนั่งอยู่ในใจรุ่นพี่เดือนแรม แน่จริงทักไปถามเลยสิว่าคำนั้นหมายถึงอะไรหรือใคร จะได้รู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่ควรหายโง่เสียที!





เกือบลืมไปแล้วว่าเพื่อนเขาคนนี้อาบน้ำนานเพราะมัวแต่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนเพลิดเพลินราวกับการอาบน้ำเป็นกิจกรรมสุดโปรดที่สุดในชีวิต ดังนั้นในตอนที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นธันวาจึงคิดว่ากรองเกียรติไม่น่าจะได้ยิน


คนที่ยืนอยู่หลังประตูคือญาติผู้พี่ ในมือเขามีจานใบเล็กใส่คุกกี้มาจำนวนหนึ่งที่น่าจะเพียงพอสำหรับผู้ชายสองคน “เห็นว่าจะติวหนังสือกัน พี่เลยเอาขนมมาให้ เผื่อหิว”


“ขอบคุณครับ” คนน้องรับจานคุกกี้มาถือไว้เอง


ปกป้องยืนจ้องหน้าน้องนิ่งก่อนจะยื่นมือไปลูบแก้มเนียนใสของอีกฝ่าย “ซูบไปเยอะเลยนะเรา กินเยอะ ๆ หน่อยสิ”


“อะ เอ่อ…” ธันวาเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย “คงเป็นเพราะนอนดึกมากกว่าครับ”


ปกป้องยิ้มเอ็นดู “แล้วนี่ใจคอจะยืนคุยกันตรงนี้เหรอ”


“เอ่อ...ไอ้เก่งกำลังจะออกมา เดี๋ยวเราก็จะอ่านหนังสือกันเลย คงไม่มีเวลาคุยเล่นกับพี่ป้อง ขอโทษด้วยนะครับ”


ปกป้องนิ่งเงียบ มองน้องชายอย่างวัดใจอีกครั้ง “โอเค งั้นพี่ไปนอนก่อน” คนพี่ยิ้มบาง ยื่นมือไปยีผมน้องจนอีกคนเผลอย่นคอหนีด้วยความตกใจ “ฝันดีนะ”


ก้นจานคุกกี้ไม่ทันถึงโต๊ะ ธันวาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งเสียก่อน ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่จากคนเดิม แต่เป็นลุงประภาสที่มาพร้อมนมอุ่นสองแก้วในมือ ธันวามองเลยไหล่คนเป็นลุงไปเห็นปกป้องยังยืนหันหลังกลับมามองอยู่ไม่ไกลนัก


“นมอุ่น ๆ ดื่มก่อนนอนจะได้หลับสบายนะลูก”


“ขอบคุณครับ” ธันวารับมาถือไว้แล้วยืนมองหน้าลุงนิ่งด้วยความสงสัยเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขายิ้ม ๆ “เอ่อ...ลุงภาสมีอะไรอีกรึเปล่าครับ”


มือหนาสากตามวัยยื่นมาลูบผมคนเป็นหลานด้วยความเอ็นดู  นัยน์ตาคู่นั้นไม่โกหก ธันวารู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรัก แต่บ่อยครั้งที่เขาไม่เข้าใจความหมายของมันและไม่แแน่ใจว่ามันจ้องมาที่เขาหรือมองทะลุไปถึงใครกันแน่ รวมถึงจุมพิตที่ประทับลงบนผมของเขาในตอนนี้ด้วย


“ฝันดีนะครับ”


“ครับ”




นานกว่าที่บอกปกป้องไว้มาก กว่าที่กรองเกียรติจะออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คนมาขอนอนด้วยมองเจ้าของห้องที่นอนแผ่บนเตียงโดยมี Textbook กายวิภาคเล่มหนาวางอยู่ข้าง ๆ “เอาจริงดิ?”


“แล้วแต่มึงอ่ะ กูแค่หยิบมาเผื่อ”


กรองเกียรติรู้ว่าธันวาไม่ได้หยิบมาเผื่ออ่านเองแน่ ๆ แต่คงหยิบมาใช้เป็นข้ออ้างในการปลีกตัวจาก ‘บางคน’ มากกว่า


“แล้วนั่นอะไร” กรองเกียรติชี้นิ้วไปยังอาหารบนโต๊ะอ่านหนังสือของเพื่อนสนิท


“ลุงภาสกับพี่ป้องเอามาให้”


“อ่า...กินซะสิหลานรัก”


“ไอ้เหี้ย” ไม่ด่าอย่างเดียว ธันวายังส่งหมอนอิงไปจูบหน้ากรองเกียรติเต็ม ๆ อีกด้วย และยิ่งหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะกลับมาแทนที่จะเป็นคำด่า


“ของมึงด้วย ช่วยกูแดกเลย”


กรองเกียรติกอดหมอนอิงเดินเข้าไปคว้านมในส่วนของตัวเองมานั่งดื่มปลายเตียง เมื่อเพื่อนรักไม่ว่าอะไรที่ตนกินอาหารบนที่นอนจึงนั่งต่อด้วยความสบายใจ “แล้วนี่มึงตอบไลน์เพื่อนบ้างรึเปล่า พวกมันเป็นห่วงมึงมากนะ”


“พวกมึงก็เกินไป” ธันวาบ่นอุบ


“แหม แล้วใครวะที่รั้งกูไว้ไม่ให้หนีกลับก่อนอ่ะ” ได้ทีจึงปาหมอนอิงใส่เพื่อนกลับไปบ้าง “ไปตอบพวกมันด้วย”


“อือ” ธันวาครางรับเนือย ๆ ก่อนกดเข้าหน้าแชทกรุ๊ปอนาคตของชาติแล้วส่งสติ้กเกอร์ที่ดูร่าเริงที่สุดเท่าทีมีไปให้ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีคนอ่านพร้อมข้อความที่เด้งพรึบพรับ


DEAN : กลบเกลื่อน
ทีมพระเอก : ช้าสัส
นโม_ตัสสะ : ขยายความด้วยเว้ย
โอมเพี้ยง : @นโม_ตัสสะ ปิดเสียงโทรศัพท์ไอ้สัส เดี๋ยวแม่ด่า
นโม_ตัสสะ : แล้วที่มึงปล่อยให้มันสั่นบนเตียงอ่ะ แม่จะไม่ตื่นมาด่าเลยดิ



“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”


กรองเกียรติสะดุ้ง หันมองเพื่อนที่หัวเราะร่วนแล้วกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง เขาให้มันส่งข้อความไปบอกเพื่อนที่รออยู่ มีเรื่องอะไรน่าขำอย่างนั้นหรือ


“เชี่ย ไอ้แฝดตลก กูเดาว่าเดี๋ยวไอ้ดีนต้องด่า”


ไม่ทันที่กรองเกียรติจะได้รับคำอธิบาย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้งจนเขาต้องรีบวางแก้วนมแล้วไปคว้าโทรศัพท์ตัวเองมาดูบ้าง


จริงอย่างที่ธันวาว่า ดีนกำลังด่าเพื่อนแฝดที่ใช้พื้นที่ในกรุ๊ปแชทเถียงกันอย่างน่ารำคาญอีกแล้ว ถ้าให้เดาคือวันนี้ฝาแฝดเองก็กลับบ้าน เพราะทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้นแม่ของทั้งสองจะมานอนคั่นกลางลูกชายสองคนเสมอ


สุดท้ายคืนนั้นก็ไม่มีการติวหนังสืออย่างที่กล่าวอ้าง บทสนทนาในกลุ่มก็ไม่ได้เป็นเรื่องของธันวาอีกแล้ว มันกลายเป็นเรื่องสัพเพเหระที่ชวนให้สองหนุ่มที่นอนข้างกันหัวเราะขบขันกันไปจนหลับไปพร้อมกับการลืมปิดไฟ


….ลืมว่ายังมีนมอีกแก้วที่ยังไม่ได้ดื่ม


รวมถึงคุกกี้ในจานนั่นด้วย…

 



สองหนุ่มนักศึกษาแพทย์ตื่นตั้งแต่เช้ามานั่งงอแงที่โต๊ะอาหารขอกลับมหาวิทยาลัยหลังอาหารเช้าทันที ทำเอาคนเป็นลุงหน้าหงิกงอเพราะตั้งใจว่าจะชวนเล่นเกมกระดานกันเสียหน่อย


“ขอโทษที่ไม่ได้บอกตั้งแต่เมื่อวานครับ ผมลืมเอง” เพราะมัวแต่ยุ่ง ๆ และพูดคุยกันแต่เรื่องอื่น ธันวาจึงหาช่องทางที่จะพูดเรื่องนี้ไม่ได้


“ไม่น่ารีบกลับกันเลย” คนเป็นลุงซึ่งนั่งหัวโต๊ะว่าพลางเอนหลังพิงพนัก รู้สึกว่าอาหารเช้าวันนี้ไม่อร่อยเสียแล้ว ฝั่งขวามือเป็นลูกชายแต่เขากลับเอาแต่หันมาด้านซ้ายซึ่งมีธันวาและกรองเกียรตินั่งอยู่


“เพื่อนนัดทำงานครับ ไม่อยากให้รอกัน” ธันวาไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่ได้นัดกันวันนี้เท่านั้นเอง ซึ่งเขาเองก็รู้สึกผิดที่ทำตัวเหมือนคนอกตัญญู ที่หลุดออกจากอ้อมอกไปได้ก็ถอยห่างไม่ใยดี เพียงแต่ไม่อยากอยู่ที่นี่นานเพราะรู้สึกอึดอัดกับบางสิ่งบางอย่าง


“งั้นเดี๋ยวลุงไปส่ง”


“ผมไปส่งน้องให้เองครับพ่อ” ปกป้องเสนอตัว


“ไม่เป็นไร พ่ออยากไปส่ง”


สองหนุ่มนักศึกษาแพทย์ลอบกลืนน้ำลายอย่างอึดอัด สองพ่อลูกขัดแย้งเรื่องรับส่งพวกเขากันตั้งแต่เมื่อวานจวบจนวันนี้ แต่จนแล้วจนรอดลุงประภาสก็เป็นฝ่ายชนะและพาพวกเขาไปส่งถึงโซนหอพัก


กรองเกียรติยืนเคว้ง ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรในตอนที่ลุงประภาสวางมือบนผมธันวาแล้วลูบอยู่อย่างนั้นหลายนาที “ตั้งใจเรียนนะครับ แล้วอย่าลืมที่สัญญากันไว้”


ธันวายิ้มแห้งก่อนตอบรับแล้วบอกลา


“กูว่าพี่ป้องแปลก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่เราคิด” กรองเกียรติว่าด้วยสีหน้าครุ่นคิดในตอนที่เดินเข้าประตูหอพักนักศึกษาแพทย์ชาย


“อะไรวะ”


“ไม่รู้ว่ะ ถ้าอยากรู้ก็คงต้องเจอกันบ่อย ๆ ซะแล้ว”


“งั้นกูไม่อยากรู้”


คนเป็นลูกพี่ลูกน้องตัวจริงเดินหนีจนกรองเกียรติต้องรีบสาวเท้าตามไปให้ทัน





ธันวากำลังรู้สึกว่าการที่ตนกลับไปนอนบ้านหนึ่งคืนมันราวกับว่าเขาแค่เดินออกจากหอไปซื้อของที่ตลาดข้างโรงพยาบาลเพียงแค่สามสิบนาที เพราะทุกอย่างใต้หอชายยังเหมือนกับตอนจากไปไม่ผิดเพี้ยน เขาไม่ได้หมายถึงจำนวนหรือตำแหน่งโต๊ะเก้าอี้ แต่หมายถึงกลุ่มคนที่นั่งร้องเพลงดีดกีตาร์อยู่นั่นต่างหากที่ยังอยู่กันครบทุกคนและท่าทางเดิม เห็นจะต่างออกไปก็แค่เสื้อผ้าที่สวมใส่ที่เป็นคนละชุดกับเมื่อเย็นวันศุกร์เท่านั้นเอง


“อ้าวเห้ยไอ้น้องธันว์ กลับมาเร็วจังวะ” โอ๊คร้องทักหนุ่มรุ่นน้องร่วมห้องเสียงดังลั่นโถง พาให้เสียงดนตรีต้องลดระดับลงเหลือเพียงแค่เสียงคลอเบา ๆ


“กลับมาอ่านหนังสือครับพี่”


“ดี ๆ ขยัน”


“แล้วทำไมพวกพี่ตั้งวงกันแต่เช้าเลยอ่ะ”


“หาอะไรทำให้สมองรีแล็กซ์โว้ย จะได้อ่านหนังสือจำ”


“อ๋อ...ครับ” ธันวาพยักหน้าเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ ข้อกังขาคือทำแบบนี้จะจำเนื้อหาได้ดีขึ้นจริงหรือ เป็นเขาคงจำได้แต่เนื้อเพลงเสียมากกว่า แต่เอาเถอะ อีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ คงจะทดลองมาเยอะและมันก็คงจะได้ผลดีจริงดังว่า


เดือนแรมมองตามหนุ่มรุ่นน้องที่เดินผ่านเข้าไปยืนตรงโถงลิฟต์แล้วโดยไร้การทักทาย เขาก็อดแค่นหัวเราะเยาะตัวเองออกมาไม่ได้ อย่าว่าแต่อีกฝ่ายจะทักทายกันเลย แค่มองหน้ากันสักนิดก็ไม่มี ทว่าสิ่งที่เขาไม่รู้คือหากธันวาไม่สังเกตเห็นเดือนแรมเป็นคนแรก อีกฝ่ายก็คงไม่รู้ว่าท่าทางทุกอย่างของพวกเขายังเหมือนเดิมยกเว้นเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไป ทั้งที่วันนี้ยังมีสิ่งที่ต่างไปอีกมากอย่างเช่นว่าโอ๊คไม่ได้เล่นกีตาร์แต่ย้ายมานั่งข้างล่างเหมือนเขา






“เย็นพรุ่งนี้หลังซ้อมดนตรีเสร็จไปกินหมูกระทะกันมึง กูอยากกินเนื้อออออ” ธันวาเอ่ยชวนกรองเกียรติก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องพักของตัวเอง เนื้อที่ว่าไม่ใช่เนื้อวัว แต่คือคำที่หมายรวมว่าเนื้อสัตว์ไม่ใช่พวกผักพวกหญ้า


“พ่อแม่กูมาหาว่ะ”


“เออว่ะกูลืม ไม่เป็นไร ๆ ไว้ไปกินกันวันหลัง” จะกินวันนี้เลยก็ไม่ได้ อาหารที่แม่บ้านจัดให้ตามคำสั่งของลุงประภาสมีอยู่เต็มสองมือ ถ้าไม่ได้กินก็เสียของแย่


“เห้ย อยากกินก็ต้องไปกินดิวะ ไปด้วยกันเนี่ยแหละ พ่อแม่กูก็คิดถึงมึง”


“มึงบ้าเหรอะ กูอยากกินหมูกระทะนะไม่ใช่ชาบู”


“เออหน่า พ่อแม่กูกินได้หน่า”


“ไม่เป็นไรหรอก ให้พวกท่านอยู่กับลูกชายสุดที่รักเถอะว่ะ เราไปกันวันอื่นก็ได้”


“เอางั้นเหรอวะ จะ pause ความอยากรอกูเหรอ”


“เออหน่า เดี๋ยวกูก็หาเนื้อนิด ๆ หน่อย ๆ กินก่อน ไว้ไปจัดหนักกับมึงทีหลังไง จะได้ชวนไอ้ตฤณกับไอ้ดีนไปด้วย”


“เออ ตามใจมึง”




สมาชิกห้องมีสี่คน โอ๊คเล่นดนตรีอยู่ใต้หอ อาร์ตกลับบ้าน ส่วนรุ่นพี่อีกคนที่ชื่อนันขาดการติดต่อตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ ธันวาจึงเดาว่าอีกฝ่ายก็น่าจะกลับบ้านเช่นกัน



ก่อนเริ่มอ่านหนังสือธันวาจัดการเคลียร์งานบ้านทั่วไปของตัวเองก่อน โดยเริ่มจากการนำเสื้อผ้าที่ใส่ตลอดทั้งสัปดาห์ลงไปใส่เครื่องซักผ้าใต้หอ ได้ยินเสียงร้องและเสียงกีตาร์ดังอยู่แว่ว ๆ ก่อนกลับขึ้นมาก็แวะดูกล่องมิลเลอร์ของตัวเอง แปลกใจเล็กน้อยที่วันหยุดแบบนี้ยังมีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ อยู่ในนั้น



‘คิดถึง
เขียนแบบนี้ใช่ไหมวะ’




ธันวาร้องหืมทันทีที่อ่านจบ หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากัน นอกจากจะคุ้นลายมือว่าคล้ายกับโน้ตใบก่อนที่ได้รับแล้วก็ยังพอเดาได้อีกว่าน่าจะเป็นฝีมือใคร เพราะคงไม่มีใครอื่นอีกที่จะกวนประสาทเขาเล่นแบบนี้ นอกจากเดือนแรม


ธันวาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย อยู่ดี ๆ มาถามว่าคำนี้เขียนแบบนี้หรือเปล่า แล้วเขาควรทำอย่างไร? เขียนตอบอย่างนั้นหรือ?


เด็กหนุ่มคว้าปากกาสาธารณะที่วางไว้ใกล้ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กิจกรรมนี้มาบรรจงเขียนตอบกลับไปด้วยลายมือที่คิดว่าอ่านง่ายที่สุด





‘เขียนแบบนี้ครับ
กิ๊ดตึ๋ง’
















TBC.
-----------------------------------------------------------
เรื่องนี้พระเอกเราค่าตัวแพง แต่ตอนหน้าจะออกเยอะแบบมากๆแล้วค่ะ
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [19/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-07-2018 22:45:32
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [19/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 20-07-2018 15:42:38
พี่แรมจีบแบบน้องต้องร้องขอชีวิต  :ling1:
อิพี่ป้องกับลุงภาสนี่ยังไง มีลับลมคมใน
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [19/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 20-07-2018 19:13:32
คิดถึง​    .....  รออยู่นะคะ5555
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [19/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: uri uri ที่ 22-07-2018 17:13:55
 o13 :katai5:

กิ๊ดตึ๋ง
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) [19/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tantalum ที่ 23-07-2018 15:15:42
ตามมาจากเรื่อง หากันจนเจอ ค่าาาา กรี๊ดคู่นี้มาก มาต่อเร็วๆนะค้า ชอบๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-07-2018 23:45:03
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)









ห้องที่มีสมาชิกนอนอยู่ในห้องเพียงครึ่งหนึ่งของภาวะปกติทำเอาจิตนักศึกษาแพทย์ปีที่สองปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา มองไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นเตียงของอาร์ตที่มีแต่ความว่างเปล่าและมืดสนิท เตียงใต้ตัวเองซึ่งเป็นของนันก็ว่างเช่นกัน มีเพียงแค่เตียงทะแยงกันของโอ๊คเท่านั้นที่ยังเปิดไฟหัวเตียงไว้เพราะเจ้าตัวยังจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่


“พี่โอ๊คครับ”


“ว่า?”


“พี่ไม่กลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์บ้างเหรอครับ” ย้ายเข้าห้องนี้มาเกือบสองเดือนแล้ว แต่ธันวายังไม่เคยเห็นโอ๊คกลับบ้านสักครั้ง


“กลับไปไม่ได้อ่านหนังสือ เลยคิดว่านาน ๆ กลับทีดีกว่า อีกอย่างพ่อแม่ก็มาหาออกบ่อย”


“แล้ว...พี่กล้านอนคนเดียวในห้องนี้ได้ยังไงอ่ะ” ระดับเสียงลดลงจนคนเป็นรุ่นพี่ต้องละสายตาจากหน้าจอหันมามอง


“กูจะไม่กล้าก็ตอนที่มึงทักเนี่ยแหละไอ้น้องธันว์”


ธันวาหัวเราะแผ่ว “ขอโทษครับ” ในห้องมีสี่เตียง ถ้าให้เขานอนคนเดียวแล้วอีกสามเตียงว่าง จิตคงปรุงแต่งสารพัดจนขนลุกซู่แน่ ๆ


“ทำไม? มึงนอนคนเดียวไม่ได้เหรอวะ”


“ปกติก็นอนคนเดียวได้ครับ แต่ในห้องที่มีเตียงว่าง ยอมรับว่าป๊อดหน่อย ๆ”


“ไว้วันไหนกูกลับบ้านแล้วมึงต้องอยู่คนเดียวกูจะหาคนมานอนเป็นเพื่อนมึงแล้วกัน”


“เห้ยไม่ต้องพี่ ไม่เป็นไรครับ ผมนอนได้”


“เออหน่า ไม่ต้องเกรงใจ เพื่อนพี่มันมานอนได้อยู่แล้วแหละ มันเต็มใจ” โอ๊คยิ้มกว้างปิดท้าย


ธันวายิ้มแห้ง หลังจากนั้นก็ชวนรุ่นพี่ร่วมห้องคุยไปเรื่อยเพราะนอนไม่หลับ ตั้งแต่เรื่องการสอบกลางภาคที่กำลังจะถึงหลังงาน thanks รีวิวอาจารย์แต่ละท่านที่สอน ยันเรื่องอาหารร้านเด็ดแถวฝั่งโรงพยาบาล


“เออพี่ ข้างโรง’บาลมีร้านสเต๊กไหมครับ ผมขี้เกียจข้ามไปฝั่งมออ่ะ”


“มีดิ อยากกินเหรอ”


“ครับ ใจจริงอยากกินหมูกระทะมากกว่า แต่พรุ่งนี้ไอ้เก่งไม่ว่าง เลยว่าจะไปหาสเต๊กกินแก้หิวเนื้อก่อน”


นัยน์ตาจริงจังเปลี่ยนเป็นแพรวพราวฉับพลันเมื่อคิดบางอย่างได้ “พวกพี่จะไปกินสเต๊กกันพอดี ไปด้วยกันเลยไหมล่ะ”


“...”


“เนื้อไงเนื้อออออ” โอ๊คสำทับเมื่อเห็นรุ่นน้องทำหน้าลังเล


“เอ่อ พวกพี่ที่ว่านี่...มีใครบ้างเหรอครับ” อยากจะปฏิเสธอยู่เหมือนกันแต่คนอย่างธันวาเป็นประเภทตามใจปาก อยากกินอะไรต้องได้กิน


โอ๊คแค่ยิ้ม แต่ไม่ตอบ



กรุ๊ปไลน์ ‘บอยโดนแบน’ มีความเคลื่อนไหวในกลางดึกคืนนั้น



โอ๊คคึ : พวกมึงงงงง
โอ๊คคึ : พรุ่งนี้เย็นไปกินสเต๊กกันมึง
แรมโบ้ : กูไม่อยากกิน พวกมึงไปกันเถอะ
โอ๊คคึ : เอางั้นเหรอวะ พวกมึงที่เหลืออ่ะ
Knight : กูไป
Knight : ถ้าไปร้านหน้าม.กูไป
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง : อยากไปส่องเด็กล่ะสิมึงน่ะ
โอ๊คคึ : เสียใจที่ต้องบอกว่าครั้งนี้ขอเป็นฝั่งโรงบาล
Knight : ขัดลาภกูนะมึง
Knight : ไปก็ไป สาว ๆ พยาบาลจิ้มลิ้มดี
โอ๊ค : โอเค ห้าโมงเจอกันใต้หอ
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง : *สติกเกอร์หมีโอเค
โอ๊คคึ : เออ กูลืมบอก ไอ้น้องธันว์ไปด้วยนะเว้ย
แรมโบ้ : ฟัคเชี่ยโอ๊ค!!


โอ๊คยิ้มกริ่มใส่หน้าจอมือถือ ข้อความของเขาถูกส่งไปไม่กี่วินาทีเดือนแรมก็ตอบกลับทันทีทั้งที่พ้นประเด็นที่อยากจะคุยกันไปนานแล้ว



โอ๊คคึ : ว่าไงครับเพื่อนแรม มึงไม่ไปเพื่อนก็ไม่โกรธหรอกนะ ไม่ต้องห่วง พวกกูแมนพอ
แรมโบ้ : ไอ้สัส
แรมโบ้ : กูไปกินด้วย!
เด็กผู้ชายคนหนึ่ง : อ้าว ไหนบอกไม่อยากกิน พวกกูไม่งอนมึงหรอกหน่า ไม่บังคับ ๆ
แรมโบ้ : กูอยากไปกินกับน้อง พอใจไหม?
แรมโบ้ : ใครข้องใจตรงไหน ถาม!!
Knight : เคลียร์ชัดทุกประเด็นเลยครับผม







อีกสองสัปดาห์จะถึงงาน thanks และหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองและสามจะต้องสอบกลางภาค ช่วงนี้เวลาทุกนาทีจึงมีค่า เพราะไม่ใช่แค่รอสอบกลางภาค แต่การสอบย่อยที่เกิดขึ้นทุกวี่วันและทุกวิชาก็สำคัญไม่แพ้กัน คนที่ชอบหลับในห้องเรียนอย่างธันวาจึงต้องเร่งฟังเสียงที่บันทึกมาจากห้องเรียนแล้วทำสรุปย่อเป็นของตัวเองเพื่อให้ง่ายต่อการทบทวนในชั้นปีสูง ๆ ด้วย


“วิชาไหนอ่านเองไม่ทันก็จับกลุ่มกันติวสิวะ” โอ๊คแนะนำในตอนที่ตื่นนอนช่วงสายของวันแล้วเห็นรุ่นน้องร่วมห้องนั่งเคร่งเครียดกับตำราตั้งแต่เช้า


ธันวาถอดหูฟังออกก่อนหันไปหาคนพี่ “ตอนปีหนึ่งก็ทำแบบนั้นกันครับ แต่ถ้าตอนนี้จะทำ ผมว่าผมคงต้องมีความรู้ในหัวบ้าง” ธันวากล่าวติดตลก เสียงขำแหบแห้งนั่นชวนให้คนฟังเอ็นดูเสียเหลือเกิน


“งั้นก็ตั้งใจอ่านนะ” โอ๊คตบบ่าปุ ๆ ให้กำลังใจ ธันวายิ้มรับแล้วตั้งใจฟังเสียงบรรยายอีกครั้ง





“นี่อ่านหนังสือหรือหลับ”


“เห้ย!” ธันวาผงะสุดแรงด้วยความตกใจ ทั้งเสียงที่ทักทายในระยะใกล้และร่างกายสูงใหญ่ที่ค้ำยันระหว่างเก้าอี้กับโต๊ะจนเหมือนว่าตอนนี้เขาถูกอีกฝ่ายกักขังไว้ครึ่งหนึ่ง


“อะไรของพี่เนี่ย!”


“ไม่ตั้งใจเรียนในห้องแล้วยังมาหลับตอนทบทวนอีก มึงสอบตกแน่ ๆ” เดือนแรมยืดตัวตรง ปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องขยับตัวได้สบายขึ้น


“เรื่องของผมหน่า” ธันวามองหาคนที่อีกฝ่ายน่าจะมาหาแล้วก็ไม่เจอ “พี่โอ๊คไปไหน”


“กูจะรู้เหรอ”


“แล้วพี่เข้าห้องคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตได้ไงเนี่ย”


“ก็เจ้าของห้องหลับ ไม่ได้ยินเสียงเคาะของกู”


ธันวาหน้ามุ่ย หมดหนทางจะเถียงต่อ จึงออกแรงดันร่างหนา ๆ ของอีกฝ่ายให้พ้นทาง “ไปรอตรงโน้นเลยไป”


“มีชีทสรุปของรุ่นพี่บ้างรึเปล่า”


“ไม่มีครับ เคยได้ของพี่พิ้งค์มา แต่คิดว่าทำเองดีกว่าจะได้จำได้ด้วย” ธันวาหมายถึงพี่รหัสชั้นปีเดียวกับเดือนแรม อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก


ธันวากลับมาฟังเสียงที่อัดมาต่อได้ไม่ถึงสิบนาทีเดือนแรมก็กลับมาอีกครั้งพร้อมชีทปึกใหญ่ที่ถูกทำเป็นเล่มโดยการใส่สันห่วงกระดูกงู


“เอาไป ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็เอาไปซีรอกซ์ซะ”


ธันวามองชีทเล่มหนาที่ถูกยัดใส่มือสลับกับหน้าเจ้าของอย่างงง ๆ จนกระทั่งอีกฝ่ายพยักเพยิดให้ลองเปิดดูเขาถึงได้ทำการสำรวจมันอย่างรวดเร็ว


มันคือชีทสรุปทุกระบบในร่างกายที่เรียนชั้นปีที่สอง มีทั้งรูปกายวิภาคที่วาดเองทั้งหมดและฟังก์ชั่นการทำงาน เป็นสรุปย่อที่สะอาด เป็นระเบียบ ลายมืออ่านง่ายจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลายมือผู้ชาย เมื่อหันไปดูสรุปย่อของตัวเองที่ชักไม่แน่ใจว่าในปีหรือสองปีข้างหน้าจะยังอ่านออกไหมแล้วก็รีบกอดมันไว้แนบอกราวกับกลัวว่าเจ้าของมันจะเปลี่ยนใจเอาคืน


เดือนแรมมองท่าทางหวงของจนน่าเอ็นดูที่มาพร้อมนัยน์ตาพราวระยับและรอยยิ้มพิมพ์ใจที่เจ้าตัวไม่เคยมอบให้เขาสักครั้งแล้วถึงกับใจเต้นระส่ำ ต้องเรียกสติกันอยู่หลายอึดใจกว่าจะส่งเสียงเข้มดุตามนิสัยออกไปได้ “ยิ้มอะไรนักหนา”


ธันวากระพริบตาปริบ ๆ ริมฝีปากค่อย ๆ หดลงมาจนปิดสนิท “ขอบคุณครับ แต่คงได้ซีรอกซ์พรุ่งนี้ วันนี้ร้านปิด”


“อืม”


“เดี๋ยวพี่” ธันวาเรียกรั้งไว้ เดือนแรมที่กำลังจะเดินออกจากห้องหันกลับมาเลิกคิ้วมองแทนคำถาม “พี่ได้ท็อปอนาโตมี่เพราะอ่านสรุปนี่น่ะเหรอ”


“กูตั้งใจเรียนในห้องด้วย”


ธันวาหน้าเจื่อน รู้สึกเหมือนถูกเสยหมัดเข้าเต็มคาง


“อยากได้ท็อปบ้างไหมล่ะ จะติวให้”


ธันวาส่ายหน้าวืด “ไม่ดีกว่าครับ เอาแค่พอผ่านก็พอ”


คนพี่ตีหน้ายุ่ง เดินกลับมาเขกมะเหงกลงบนหน้าผากน้องหนึ่งทีจนคนถูกประทุษร้ายแบบไม่ทันตั้งตัวร้องเสียงหลงออกมา “เป็นหมอจะสอบแค่พอผ่านได้ยังไง คนไข้เขาไม่ได้แค่อยากมีลมหายใจนะ เขาต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย แล้วนี่น่ะแค่พื้นฐาน ถ้ามึงไม่แม่นพื้นฐานก็เลิกคิดถึงตอนขึ้นชั้นคลินิกได้เลย ลาออกตั้งแต่ตอนนี้ง่ายกว่า”


ธันวาฟังแล้วกลืนน้ำลายหนืดอึกหนึ่ง รู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นออกไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความอย่างนั้นเสียหน่อย แค่ไม่อยากรบกวนกันเท่านั้นเอง


“ครับ ผมจะทำให้เต็มที่”


“ดีมาก ไปอ่านให้เข้าใจ ถ้าอยากให้ติวให้ก็บอก”


“ผมชวนเพื่อนได้ใช่ไหมครับ”


“กูไม่ใช่คนใจแคบ แต่อย่าให้เยอะ กูดูแลได้ไม่ทั่วถึง ไว้พวกมึงไปสอนต่อกันเอง”


“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เดือนแรมได้ยินก่อนรีบเดินหนีออกจากห้องจนชนเพื่อนสนิทอย่างโอ๊คเข้าเพราะกลัวว่าถ้าอยู่นานกว่านั้นจะเผลอพุ่งเข้าไปกอดน้องด้วยความมันเขี้ยว


โอ๊คที่เพิ่งกลับมาจากอาบน้ำมองตามหลังเพื่อนด้วยความสงสัย แต่กลับยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นรุ่นน้องร่วมห้องเอาแต่มองชีทในมือด้วยแววตาเทิดทูนราวกับกำลังจะบูชามันเสียอย่างนั้น


“ไอ้แรมมาทำไมวะธันว์”


ธันวายิ้มกว้าง ชูชีทเล่มหนาในมือขึ้นอย่างอวด ๆ “เอาชีทสรุปมาให้ยืมครับ”


“อ้อเหรอ”


“จริง ๆ แล้วพี่แรมก็น่ารักเหมือนกันนะครับ”


“หะ ห๊ะ!”


“หมายถึงว่าเป็นรุ่นพี่ที่ดีน่ะครับ”


โอ๊คหลุดขำ “แล้วปกติมันไม่ดีเหรอ”


ธันวานิ่งคิดว่าจะนินทาเดือนแรมให้เพื่อนสนิทของฝ่ายนั้นฟังดีหรือไม่ก่อนจะยอมเอ่ยออกมาในที่สุด “ถ้าไม่ติดว่าชอบกวนประสาทก็จัดว่าดีอยู่นะครับ”


ได้ยินอย่างนั้นโอ๊คถึงกับหัวเราะลั่น เพื่อนเขาเป็นคนกวน ๆ เขารู้ดี แต่ที่กวนประสาทด้วยมากหน่อยเห็นจะมีแต่รุ่นน้องธันวาคนเดียวเท่านั้น “ลองศึกษามันดู จะได้รู้ว่ามันมีดีกว่าที่คิด”


ศึกษา?


ธันวาพยักหน้างง ๆ คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายน่าจะหมายถึงการเปิดใจมองเดือนแรมอีกด้านหนึ่งเหมือนอย่างที่เหรียญย่อมมีสองด้าน ไม่ได้คิดถึงการ ‘ศึกษา’ ในแง่อื่นเลยสักนิด


ธันวาใช้เวลาสำรวจชีทสรุปที่เพิ่งได้มาอีกเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นรูปหัวใจที่ถูกวาดและระบายด้วยปากกาสีแดงตรงมุมบนขวาของปกหน้า แค่คิดว่ารุ่นพี่หน้าดุมีโมเม้นท์อินเลิฟตอนอ่านหนังสือเสียด้วย รอยยิ้มน้อย ๆ ก็จุดขึ้นบนใบหน้าโดยอัตโนมัติ






ก่อนออกไปซ้อมดนตรีที่ใต้หอพักชายในตึกถัดไปพร้อมเพื่อนร่วมรุ่นในช่วงบ่าย ธันวาแวะกล่องมิลเลอร์เพื่อเขียนโน้ตใบเล็ก ๆ ใจความมีเพียงคำว่าขอบคุณและอีโมติค่อนรูปยิ้ม ก่อนหย่อนลงในกล่องของเดือนแรม


ธันวานัดเจอกรองเกียรติใต้หอพักตัวเองก่อนพากันเดินไปพร้อมกัน เมื่อเล่าให้เพื่อนรักฟังถึงความดีงามของเดือนแรม กรองเกียรติก็ยิ่งเพ้อถึงไอดอลตัวเองแบบเข้าขั้นหนักจนธันวาถึงกับส่ายหน้าระอา


ธันวาเคยรู้ว่ามาก่อนว่าใต้หอชายตึกนี้มีห้องซ้อมดนตรีที่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่สำหรับสมาชิกชมรมเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นนักศึกษาคนอื่นในคณะแพทย์ฯ ก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน หวาน หญิงสาวหนึ่งเดียวของวงชั่วคราวในครั้งนี้ได้จองใช้ห้องไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยเธอบอกว่าจองไว้นานถึงสามชั่วโมง นับดูแล้วก็เสร็จประมาณห้าโมงเย็น ธันวาจึงส่งข้อความไปหาโอ๊คเพื่อนัดแนะเวลาสำหรับอาหารเย็นวันนี้


“เพื่อน ๆ ถนัดเล่นแนวไหนกันอ่ะ” หวานเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นในตอนที่ทุกคนกำลังประจำที่เครื่องดนตรีของตัวเองและเช็คเสียงกันอยู่


“ส่วนใหญ่แล้วนักดนตรีก็เล่นได้หมดแหละ เราว่าเอาแนวที่หวานชอบร้องหรือถนัดดีกว่า จะได้เป็นธรรมชาติ” กรองเกียรติเสนอ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย


“ป็อปดีไหม เราไม่ถนัดร็อคอ่ะ”


“ก็ดีนะ ฟังสบาย ๆ ดี” ธันวาบอกพร้อมหันหน้าสบตาเพื่อนทุกคนคล้ายเป็นการขอความเห็นไปในตัว


เมื่อตกลงเรื่องแนวเพลงได้ก็ทำการเลือกเพลงที่จะเล่นด้วยกัน ใช้เวลาไม่นานก็ได้เพลงทั้งเก่าและใหม่มาถึงห้าเพลงด้วยกัน คำนวณเวลาคร่าว ๆ ประกอบกับการพูดคุยบนเวทีอีกก็ได้ตรงตามเวลาสามสิบนาทีที่กำหนดพอดี


ไม่บ่อยนักที่ธันวาจะได้เห็นเพื่อนสนิทเล่นตำแหน่งคีย์บอร์ด ปกติฟอร์มวงกันทีไรเจ้าตัวก็ตีแต่กลอง พอได้เห็นกรองเกียรติเล่นคีย์บอร์ดเต็ม ๆ เพลงแบบนี้ ยิ่งในตอนที่เล่นมือเดียวแล้วปล่อยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวตามอารมณ์ของเพลงทำให้ธันวาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมทางสายตาว่า ‘โคตรเท่’ เมื่อจบเพลงก็แอบหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปส่งไปอวดในกลุ่มอนาคตของชาติเสียหน่อยว่าวันนี้มีบุญตาได้เห็นกรองเกียรติในโหมดนี้อีกครั้ง


พวกเขาซ้อมดนตรีท่ามกลางแรงเชียร์ของสาว ๆ กลุ่มเดียวกับหวาน เจ้าตัวจึงไม่เคอะเขินนักที่อยู่ท่ามกลางชายหนุ่มแบบนี้


กว่าจะเลิกซ้อมก็ใช้เวลาเสียครบโควตาที่ขอจองห้อง ธันวาปลีกตัวออกมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวรุ่นพี่รอนาน โดยไม่ลืมฝากกรองเกียรติสวัสดีพ่อแม่ของเจ้าตัวด้วย





“พี่โอ๊ค”


เดือนแรมที่นั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนใต้หอมองไอ้เด็กรุ่นน้องยกมือโบกไปมาพร้อมร้องเรียกเพื่อนเขาเสียงดังมาตั้งแต่ทางเข้าหอแล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ นึกอยากตำหนิว่าอีกฝ่ายจะรอให้เดินมาถึงที่ก่อนแล้วค่อยเรียกไม่ได้หรือ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเปลืองน้ำลายพูดออกไป อีกฝ่ายก็ดูสงบนิ่งลดท่าทีกะโปโลเกินเหตุลงทันทีที่เห็นเขา


“ไปกันไอ้น้องธันว์”


“เอ่อ...ไปกันหมดนี่เลยเหรอครับ”


“เออ กูลืมแนะนำ นี่ไอ้แรม มึงคงรู้จักอยู่แล้ว ส่วนนี่ไอ้บอย” โอ๊คชี้นิ้วไปยังผู้ชายร่างเล็กที่สุดของกลุ่ม หน้าหวานอย่างกับผู้หญิง ใส่แว่นอย่างคนคงแก่เรียน แต่ธันวามองแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเด็กติดเกมเสียมากกว่า “ส่วนนี่ไอ้ไนท์” เจ้าของชื่อเป็นหนุ่มหล่อ หน้าตาดีมาก มากจนธันวาเผลอคิดว่าคนแบบนี้ไม่สะดุดตาตนเลยได้อย่างไรตั้งปีกว่า ทั้งที่ส่วนสูงและความหนาของตัวก็พอ ๆ กับเดือนแรม แต่เขาก็ไม่ยักจะเคยพบเห็น ธันวาพยายามคิดไปตลอดทางว่าวันนั้นที่เจอเดือนแรมที่โรงอาหาร อีกฝ่ายไปกับใคร จะใช่หนึ่งในสองคนที่เพิ่งได้รู้จักหรือเปล่า จนแล้วจนรอดคนที่ไม่เคยสังเกตอะไรที่ไม่สนใจก็นึกไม่ออกอยู่ดี


“คิดอะไรอยู่ หน้ายับหมดแล้ว” เสียงทุ้มดุดังระยะใกล้ ธันวาจึงได้รู้ว่าตอนนี้ตนเดินทั้งท้ายอยู่กับเดือนแรมแค่สองคน


“เรื่องทั่วไปครับ...เอ้อ ให้ผมเลี้ยงพี่มื้อนี้เลยไหมครับ ที่ติดค้างกันไว้ครั้งนั้น” หนุ่มรุ่นน้องเอ่ยชวนแต่พอได้รับตาขวางจากคนข้าง ๆ ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ชักไม่แน่ใจว่าตนพูดอะไรผิดตรงไหน


“ไม่ใช่วันนี้”


คนชวนเกาหัวแกรก ๆ มองคนปฏิเสธเดินนำหน้าไปด้วยความไม่เข้าใจ จะปฏิเสธก็ไม่ว่าแต่ทำไมต้องมองกันแบบนั้นด้วย




โอ๊คคุยโวกับธันวาว่าร้านที่ตนพามาเป็นร้านดังที่สุดของย่านฝั่งโรงพยาบาลก่อนจะหน้าหงายเมื่อไนท์ขัดว่าเพราะตรงนี้มีแค่สเต๊กร้านเดียวเท่านั้น ทำเอารุ่นน้องคนเดียวในกลุ่มเริ่มไม่มั่นใจที่ตามมาด้วยเสียแล้ว


“อย่าทำหน้าอย่างนั้นไอ้น้อง ถึงจะมีร้านเดียวแต่ก็อร่อยสุด ๆ ไปเลยนะเว้ย” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังคล้องคอรุ่นน้องเดินนำเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจสายตาไม่พอใจของเพื่อนสนิททางด้านหลังเลยสักนิด


“อ้าวธันว์!” เจ้าของชื่อหันมองก็พบหวานกับเพื่อนสาวกลุ่มเดียวกับที่ไปดูพวกเขาซ้อมดนตรีเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง


สี่หนุ่มมองธันวาเดินเข้าไปหาโต๊ะที่มีหญิงสาวนั่งอยู่สี่คนก่อนจะยกมือรับไหว้อย่างงง ๆ แล้วเพิ่งกระจ่างแก่ใจว่าสี่สาวเป็นรุ่นน้องในคณะตนเช่นกันก็ตอนที่ธันวากลับมา


บอยและไนท์นั่งฝั่งเดียวกัน เดือนแรมอาสานั่งหัวโต๊ะเพื่อเว้นที่ว่างให้ธันวาได้นั่งข้างโอ๊ค คนที่อีกฝ่ายคุ้นเคยที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นฝั่งที่ติดกับเขาอยู่ดี


“จะกินอะไร” เดือนแรมถามเสียงเข้มขณะถือปากกาค้างรอจดแค่รายการของธันวาเป็นคนสุดท้าย


“เดี๋ยวผมเขียนเองครับ” ยื่นมือไปรับด้วยความเกรงใจในฐานะที่ตนเป็นน้องเล็กสุดก็อยากจะบริการพี่ ๆ มากกว่า แต่เดือนแรมกลับรีบปฏิเสธแล้วเร่งให้เขาเลือกเมนูเสียที


“เอาเซตคอมโบสเต๊กไก่พริกไทยดำกับปลาทอดครับ”


“โหไอ้น้อง กินเยอะว่ะ” บอยร้องแซว


“กินเยอะแบบนี้ใครจะเลี้ยงไหววะ” ไนท์พูดนิ่ง ๆ ปิดท้ายด้วยเสียงหึในลำคอ


“มีคนเลี้ยงไหวอยู่แล้วหน่า พวกมึงอย่ากังวลแทนมัน” โอ๊คสำทับ หัวเราะอย่างเปิดเผยจนธันวาได้แต่ทำหน้างง หันมองรุ่นพี่อีกคนด้วยเข้าใจว่าประเดี๋ยวจะพูดอะไรในทำนองเดียวกับพี่อีกสามคนหรือเปล่า แต่กลายเป็นว่าได้รับสายตายียวนกลับมาแทน


“มองไร?”


“ก็…” หันมองหน้ารุ่นพี่อีกสามคนที่จ้องมาด้วยความสนใจแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก “...ไม่มีอะไรครับ”


“มึงมี”


ธันวาฟึดฟัดที่ถูกไล่ต้อนด้วยสายตาจนจำต้องยอมพูดออกไป “ก็แค่คิดว่าพี่จะพูดอะไรต่อไหม…เหมือนพี่ ๆ คนอื่น ๆ”


เดือนแรมยิ้มมุมปากที่คนมองรู้สึกว่ามันยียวนไม่แพ้แววตาคู่นั้นเลย “อย่างเช่นว่า…มึงกินเยอะแค่ไหนกูก็เลี้ยงไหว...น่ะเหรอ”


“ง่อวววว” รุ่นพี่อีกสามคนพร้อมใจกันส่งเสียงแซวให้หนุ่มรุ่นน้องได้อายทั้งที่ยังงง ๆ ไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ที่รู้คือตนกำลังโดนรุมแกล้งอย่างแน่นอน เพราะคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นน้อย ๆ สองสามจึกคอยกวนประสาทคือหลักฐานชั้นดี


...ไม่ถึงทีเขาบ้างก็แล้วไป



ระหว่างรออาหาร บอยเอาแต่คุยเรื่องเกมกับไนท์โดยมีโอ๊คแจมบ้างในบางครั้ง ซึ่งทำให้ธันวายิ้มน้อย ๆ ที่เดาความชอบของรุ่นพี่ร่างเล็กได้ ก่อนที่ตัวเองจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดแก้เหงาบ้าง


กรุ๊ปแชทอนาคตของชาติมีการเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ล้วนแต่เป็นการโวยวายเรื่องความโชคดีของธันวาจากรูปที่ส่งไปวางระเบิดไว้ก่อนหน้านั้น และเมื่อเขาส่งสติ้กเกอร์ที่คิดว่ากวนที่สุดไป กรุ๊ปก็กลับมาคึกคักอีกครั้งได้แทบจะทันที





ขัดหูขัดตาชะมัด


ไอ้ท่าทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะกดโทรศัพท์ยิก ๆ ไม่วางมือนั่นชวนให้ขัดหูขัดตาเสียจริง ธันวาเอาแต่สนใจมันตั้งแต่ตอนรออาหารจนกระทั่งลงมือกิน ยิ่งเห็น เดือนแรมก็ยิ่งหงุดหงิดที่ในนั้นมันมีอะไรน่าสนใจกว่าการกินข้าวกับเขา!


“กินข้าว” เอ่ยเสียงดุออกไปโดยไม่ระบุชื่อแต่เจ้าตัวก็รู้ได้ด้วยความคุ้นเคย นัยน์ตาที่เดือนแรมมองว่าแสนดื้อรั้นเงยขึ้นมอง ปากบาง ๆ นั่นเม้มกันเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจแต่ก็ยอมวางโทรศัพท์ลงแต่โดยดี


“เออ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แอดเฟซฯ กันไว้ดิ” บอยเสนอขึ้นเมื่อรู้ว่าเพื่อนดุรุ่นน้องเรื่องอะไร


“งั้นพวกพี่แอดไปแล้วกัน ธันว์จะได้ไม่ต้องไล่แอดพวกพี่ทีละคน อ่ะหยิบมือถือขึ้นมาสิวะ ให้ว่อง ๆ” ไนท์เสริม ทุกคนจึงทำตามยกเว้นโอ๊คที่เป็นเฟรนด์กันอยู่แล้วกับเดือนแรม...ที่สนใจอาหารมากกว่าแอคเคาน์ของธันวา


“ไอ้แรม ไม่แอดตอนนี้ พวกกูไม่ให้ทีหลังนะเว้ย” โอ๊คว่า


เดือนแรมฟึดฟัดก่อนจะทำตามด้วยท่าทีที่เหมือนไม่เต็มใจนัก


“เซลฟี่กันหน่อยเว้ย” บอยเสนอพร้อมยกกล้องขึ้นเตรียมพร้อม ทุกคนยิ้มให้กล้องด้วยความสดใส มีเพียงคนเดียวอีกเช่นเคยที่ยังปั้นหน้าขรึมดุ


“ทำเป็นเข้ม ทำเป็นเข้ม” โอ๊คแซวเดือนแรมที่เริ่มกลับไปสนใจอาหารอีกครั้ง


“ขอแคปชั่นด้วยไอ้แรม กูจะโพสแล้ว” เจ้าของสมาร์ทโฟนอย่างบอยพูด


“ยุ่งอะไรกับกูนักวะ แดกกันได้แล้ว”


“แค่ประโยคเดียวก็ได้หน่า” ไนท์พูดนิ่ง ๆ ธันวาเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าไนท์นิ่งขรึมกว่าเดือนแรมเสียอีก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยกให้รุ่นพี่เดือนแรมเป็นคนที่ดุที่สุดอยู่ดี


คนถูกเร่งถอนหายใจแรง “คิดอะไรให้ยาก หัวใจดวงเดียวก็พอแล้ว”


“เสี่ยวสัด”


ได้ยินบอยว่าอย่างนั้นธันวาถึงกับหลุดขำออกมาเพราะถ้าไม่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยคงไม่มีทางเชื่อว่าเดือนแรมจะเป็นคนคิดแคปชั่นแบบนั้นได้


“มึงขำกู?”


“ป..เปล่าครับ”


“ดี ต่อไปนี้กูจะส่งรูปหัวใจให้มึงทุกวัน อยากขำดีนัก”


ธันวาอ้าปากค้าง งงกับการทำโทษบ้า ๆ บอ ๆ ของประธานชั้นปีสามที่เลื่องลือเรื่องมีเหตุผลเสียจริง


“เนียนเก่งงงงงง” เพราะโอ๊คหันไปพูดกับเพื่อนอีกสองคน ธันวาจึงไม่คิดว่าเกี่ยวกับตน


“แดกได้ละพวกมึงอ่ะ”






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-07-2018 23:46:36

ห้าหนุ่มยังจัดการอาหารตรงหน้าไม่ทันเสร็จ สาว ๆ โต๊ะหลังก็ลุกออกจากร้านไปก่อนโดยไม่ลืมบอกลาพวกเขา จะมีที่อ้อยอิ่งคุยกับธันวาต่ออีกเล็กน้อยก็แค่หวาน รอจนกระทั่งเธอเดินตามเพื่อนออกไปและเดินไปไกลเกินรัศมีร้าน โอ๊คก็ใช้ข้อศอกสะกิดแขนรุ่นน้องที่นั่งข้างตัวเองพร้อมเปิดปากแซวขึ้นทันที


“น้องเขาชอบมึงเหรอวะ”


“บ้าเหรอพี่ ผู้หญิงที่ไหนจะชอบผม”


“จะไปรู้เหรอวะ ถ้าเธอชอบ มึงจะชอบป่ะล่ะ”


ธันวายิ้มเขิน “ให้เธอชอบจริง ๆ ก่อนเถอะพี่”


เพล้ง!


“โทษที มีดหลุดมือ”


“มือไม้อ่อนจังเลยนะเพื่อน” บอยเย้า


“แต่ถ้าให้ต่อยมึงตอนนี้ก็แข็งได้ทันทีนะ”


รุ่นพี่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มหดตัวจนเล็กยิ่งกว่าเดิมและยังไปเบียดคนข้าง ๆ อีกด้วย ทว่าไนท์ไม่ได้มีทีท่าว่าจะผลักออกแต่อย่างใด


“แล้วมึงไม่ได้เป็นเกย์เหรอวะ” ไนท์ถามด้วยความสงสัยก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้สนิทกับรุ่นน้องคนนี้มากเท่าโอ๊ค “โทษทีว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องส่วนตัว”


“ไม่เป็นไรครับ” ธันวาส่งยิ้มให้รู้ว่าตนไม่เป็นไรจริงอย่างที่ปากว่า “ใคร ๆ ก็เข้าใจแบบนั้น แต่ผมยังชอบผู้หญิงอยู่นะครับ แต่อาจจะโชคร้ายหน่อยที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบผมได้สนิทใจ”


“ในขณะที่มึงทำให้คนอื่นกลายเป็นเกย์ มึงกลับบอกว่าตัวเองชอบผู้หญิง?”


“พี่แรมหมายความว่ายังไงครับ” ใบหน้าเนียนใสจริงจังขึ้นกว่าทุกครั้ง ทว่าไม่มีคำตอบจากปากรุ่นพี่หน้าดุนอกจากอวัจนภาษาที่แสดงว่าไม่อยากตอบคือการทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าหนักหนา


“ไอ้แรมมันหมายความว่าอาจจะมีผู้ชายหลายคนกลายเป็นเกย์เพราะชอบมึง” โอ๊คว่า และคงจะพูดมากเกินไป คนที่ควรเป็นคนตอบถึงได้ตวัดตามองราวกับจะฆ่าแกงกัน


“ไม่น่าจะมีนะครับ”


“ทำไมมั่นใจ” คราวนี้บอยถามบ้าง หนุ่มแว่นหน้าสวยปกปิดความอยากรู้เอาไว้ไม่มิดจนไนท์ต้องปราม


“ไม่เห็นมีใครเข้ามาจีบสักคน”


ได้ยินคำตอบซื่อ ๆ จากหนุ่มรุ่นน้อง บอยกับโอ๊คถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะที่ไนท์แค่ยกยิ้มมุมปากเหล่มองเพื่อนที่นั่งหัวโต๊ะเงียบ ๆ


“มึงมันโง่ไง”


ธันวาขมวดคิ้วมุ่น อยากจะตอกกลับไปให้สาสมแต่ก็เกรงใจรุ่นพี่อีกสามคนจึงต้องสงบปากสงบคำไว้ เดี๋ยวจะลือกันได้ว่าธันวาปีสองก้าวร้าวรุ่นพี่


“คนจีบอาจจะกากเองก็ได้นี่ครับ ถ้าจีบจริงผมต้องรู้ตัวสิ” ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีผู้ชายเข้ามาจีบ ยิ่งช่วงที่คบกับ..แฟนคนเก่า เขาฮอตในหมู่ผู้ชายเสียยิ่งกว่าอะไร ใครเข้ามาจีบไม่มีทางที่ธันวาคนนี้จะไม่รู้


ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่บอยและโอ๊คได้หัวเราะสุดเสียง มิหนำซ้ำคราวนี้ไนท์ยังร่วมผสมโรงไปด้วย ยิ่งทำให้ ‘คนกาก’ หงุดหงิดมากขึ้นไปอีก




บรรยากาศโดยรอบโรงพยาบาลในช่วงพลบค่ำเงียบเหมาะแก่การเดินเรื่อยเปื่อย ยิ่งเมื่อยามที่สายลมอ่อน ๆ พัดมาต้องผิวเนื้อ ธันวาถึงกับอยากเดินหลับตาให้ลมได้ไล้ผิวเปลือกตาเพื่อความผ่อนคลายเลยทีเดียว


เสียงโวยวายของบอยที่ถูกโอ๊คแกล้งดังมาจากด้านหน้า ธันวาคลี่ยิ้มเมื่อรุ่นพี่ร่างเล็กที่สุดเอาแต่ร้องขอให้พี่ไนท์ช่วยแต่อีกฝ่ายกลับเข้าผสมโรงกับโอ๊คแกล้งด้วยเสียอย่างนั้น บรรยากาศของสามคนข้างหน้าช่างสดใสต่างกับร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ข้างเขาเสียจริง


“กระดาษโน้ตในมิลเลอร์ผมที่เขียนว่าคิดถึงนั่นเป็นของพี่ใช่ไหมครับ” หนุ่มรุ่นน้องเพียงต้องการหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างตนกับอีกฝ่ายตึงเครียดเกินไป


“มึงรู้?” เดือนแรมเหลือบมอง


ธันวายิ้มแฉ่ง “ผมฉลาด แกะลายมือออก”


เดือนแรมหัวเราะหึ แม้จะยียวนไปเสียหน่อยแต่อย่างน้อยธันวาก็คิดว่านี่ทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาดีขึ้นบ้าง


“ผมรู้ ทั้งคณะก็มีแต่พี่คนเดียวแหละที่กวนประสาทผมอ่ะ จะมีใครที่ไหนมาถามว่าคำนี้เขียนแบบนี้รึเปล่า”


เดือนแรมฟังแล้วอยากจะตบหัวทุยนั่นสักฉาด เผื่อว่าโดนกระแทกเข้าให้แล้วจะฉลาดขึ้นบ้างอย่างที่ปากว่า


“โง่” พูดจบแล้วก็เดินทิ้งห่างออกไปจนแซงสามคนข้างหน้า


“อ้าวเห้ย! ที่ผมเขียนตอบไปก็แค่อยากกวนกลับหรอก ใครที่ไหนจะเขียนคำว่าคิดถึงไม่เป็นวะ”


แค่ได้ยินคำว่าคิดถึง บรรดาเพื่อนฝูงก็มองตรงไปที่เดือนแรมด้วยสายตาล้อเลียนแล้ว ก่อนจะเป็นโอ๊คที่ถามขึ้นมาพร้อมถอยฝีเท้ามาหารุ่นน้องร่วมห้อง “อะไรกันวะ”


“ไม่มีอะไร” เดือนแรมตอบเสียงเข้ม


“มีอะไรจะบอกพี่ไหมไอ้น้องธันว์” โอ๊คถามพลางยกแขนคล้องคอดึงคนน้องเข้ามาใกล้ ทว่าคนไกลอย่างเดือนแรมเห็นแล้วถึงกลับต้องมองดุจนเพื่อนเสียวสันหลังต้องรีบผละออกแบบเนียน ๆ


“ช่างพี่แรมเขาเถอะครับ” น้ำเสียงและถ้อยคำบอกปัดเหมือนตัดรำคาญทำเอาคนถูกพาดพิงยิ่งฉุนเฉียวรีบสาวเท้าเว้นระยะห่างออกไปไกล ทว่าความเป็นจริงแล้วธันวาแทบจะ ‘ช่างแม่ง’ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สมองเอาแต่คิดเรื่องของเดือนแรมจนชักจะหงุดหงิดตามคนพี่ไปด้วย


ซึ่งเดือนแรมไม่เห็น แต่โอ๊คเห็น หน้าน้องมันยู่จนเหมือนคนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว








แม้คืนนี้ทุกเตียงจะมีเจ้าของนอนอยู่แต่ธันวาก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี เด็กหนุ่มกดเข้าไปดูแอปฯโซเชียลชื่อดังที่มีการแจ้งเตือนมหาศาลทีเดียวจากโพสของโอ๊คเมื่อตอนเย็น ยิ่งพอได้เห็นใบหน้านิ่งขรึมของคนที่นั่งใกล้กันในรูปและแคปชั่นที่มีเพียงอิโมติคอนรูปหัวใจสีแดงริมฝีปากก็เบะออกด้วยความขุ่นเคืองที่ยังค้างคา


ธันวาไม่สนใจคอมเมนท์เกือบร้อยในโพส เดาว่าคงมีแต่พวกรุ่นพี่มาคุยเล่นกัน นิ้วเรียวกดตรงชื่อของคนที่สร้างความหมองมัวในใจตัวเองอย่างไม่ลังเล เป้าหมายคือโพสของอีกฝ่ายที่กรองเกียรติสนใจจะถอดรหัสหนักหนาเมื่อคืนก่อน



‘ว่าง ๆ มึงก็ลองไปส่องเฟซฯพี่เขาดูนะ อ่านคอมเมนท์สเตตัสนั้นด้วย เผื่อจะหายโง่’



ธันวาเลืออกอ่านเอาแต่ในส่วนของโอ๊ค บอยและไนท์ที่มาคอมเม้นท์กันอย่างสนุกสนานราวกับต้องการจะถล่มเจ้าของโพสอย่างไรอย่างนั้น


‘ชื่อเขาไม่ได้พิมพ์อย่างนี้ป่ะวะ’

‘กากสัส’

‘คิดถึง พิมพ์งี๊’


‘มิติใหม่ของคำว่าที่รัก’

‘เพื่อนกูอาจจะหัวแตกเข้าสักวัน’



ตึง !!


ไม่ทันที่ธันวาจะอ่านจบหรือคิดวิเคราะห์แต่ละข้อความ เสียงตึงตังสองถึงสามครั้งที่ดังจากฝาผนังห้องทำเอาเขาสะดุ้งโหยง คนฝั่งนี้หงุดหงิดขึ้นทันที นึกตำหนิคนอีกฝั่งว่าไม่รู้หรืออย่างไรว่าผนังห้องบาง บางครั้งคุยกันเสียงดัง คนอีกห้องหนึ่งยังได้ยินเลย ซึ่งคนที่จะทำเสียงที่เขารู้สึกอยู่คนเดียวตอนนอนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่นอนเตียงติดกับเขาในห้องข้าง ๆ


“อาร์ต” ธันวาร้องเรียกเสียงเบาเมื่อเห็นว่าเตียงล่างที่เป็นรุ่นพี่ทั้งสองปิดไฟมืดหมดแล้ว เหลือแต่เตียงบนฝั่งตรงข้ามของเพื่อนที่ยังเปิดไฟหัวเตียงและเจ้าตัวก็กำลังเล่นเกมอยู่ “มีเพื่อนรุ่นเรานอนห้องข้าง ๆ ฝั่งนี้ไหมวะ”


อาร์ตเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนกลับไปสนใจหน้าจอตัวเองต่อ “ไอ้ปัทไง มีไรวะ”


“อยากรู้ว่าใครนอนติดกู แม่งกระแทกอยู่นั่นแหละ” ในตอนที่บ่นเขาก็ยังได้ยินเสียงตึงตังอีกระลอกหนึ่ง


“เดี๋ยวก็คงหยุดมั้ง นอน ๆ”


“อือ”





คืนนั้นกว่าธันวาจะได้นอนหลับสนิทก็เกือบเที่ยงคืนทั้งที่เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม และตื่นในเช้าวันใหม่ด้วยการปลุกของสติกเกอร์รูปหัวใจจากแชทของรุ่นพี่เดือนแรม อดไม่ได้ที่จะขยี้ตาเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเอง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะบ้าบิ่นทำจริงอย่างที่ขู่ไว้เมื่อวานนี้


“บ้าไปแล้ว” บ่นพึมพำแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้ส่งอะไรตอบกลับไปทั้งสิ้น





สงสัยเขาคงต้องไปทำบุญบ้างแล้ว


ธันวาอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างนั้นในตอนที่เดินเข้าโรงอาหารแห่งที่ใกล้หอพักนักศึกษาแพทย์ชายที่สุดในตอนเช้า เพราะดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้ากรรมนายเวรจะออกตัวแรง ตามติดในทุก ๆ ที่เสียเหลือเกิน


เจ้ากรรมนายเวรที่มาในรูปแบบของรุ่นพี่


และตอนนี้ก็กำลังมองเขาพร้อมยักคิ้วข้างเดียวได้กวนประสาทเป็นที่สุด


คงเป็นเวรเป็นกรรมอย่างหนึ่งของธันวาที่มีเพื่อนสนิทคลั่งไคล้รุ่นพี่คนดังกล่าวและยกย่องให้เป็นไอดอล เจอที่ไหนเป็นต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ตลอด และตอนนี้ก็กำลังนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันเสียด้วย


“หยุดทำไมวะ” อาร์ตเดินมากอดคอ แล้วพาเดินเข้าไปยังโต๊ะนั้นด้วยกัน สองหนุ่มทักทายรุ่นพี่ที่เริ่มคุ้นหน้ากันดีก่อนแยกย้ายไปซื้ออาหาร


“เมื่อวานมึงไปกินสเต๊กกับพี่ ๆ มาเหรอวะ” กรองเกียรติถามขึ้นทันทีที่ธันวาวางจานข้าวลงฝั่งตรงข้าม คนถูกถามหย่อนก้นลงนั่ง เหล่มองรุ่นพี่หน้าดุข้างกายเพื่อนที่กำลังสนใจคุยกับคนอื่น ๆ เล็กน้อย


“อือ”


กรองเกียรติยิ้มกรุ้มกริ่ม


“อะไร”


“เปล๊า งั้นวันพุธนี้ไปกินหมูกระทะกัน เลิกเรียนครึ่งวัน จะได้ชวนไอ้ดีนไปด้วย”


“เออ เอาดิ มึงจะไปด้วยกันไหมวะอาร์ต” ธันวาหันไปถามเพื่อนที่นั่งข้างกัน


“ตามสบายเลยเพื่อน กูขอบาย”


“มึงไปชวนไอ้ตฤณด้วย เดี๋ยวกูชวนไอ้ดีนเอง” ธันวาสรุป โดยไม่ทันรู้ว่าคนที่เหมือนจะไม่ได้สนใจตนอยู่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาทุกคำ





เข้าห้องเรียนได้ธันวาก็รีบเดินพุ่งเข้าไปหาปัท คนที่อาร์ตบอกว่านอนอยู่ห้องข้าง ๆ ตนทันทีโดยมีกรองเกียรติตามไปด้วยความงงงวย


“ปัท มึงนอนห้องศูนย์หกใช่ไหม” 


“อือ มีไรวะ”


“กูนอนห้องศูนย์เจ็ด อยากรู้ว่าในห้องมึงอ่ะ ใครนอนเตียงบนฝั่งที่ติดกับห้องกูวะ”


“ฝั่งนั้นเหรอ เดี๋ยวนะ” ปัทหันรีหันขวางเทียบซ้ายขวาก่อนตอบ “พี่แรมว่ะ มีไรวะ”


แม่ง


“เมื่อคืนตอนสี่ทุ่มนิด ๆ พี่แรมเตะผนังป่ะ”


พอได้ยินชื่อรุ่นพี่ที่นับถือและกำลังสงสัยบางอย่าง กรองเกียรติก็หูผึ่งทันที


“เห้ย มึงได้ยินเหรอ”


“เออดิ ผนังบางขนาดนั้น”


“เตะ ๆ แต่เหมือนละเมออ่ะ คงฝันร้ายมั้ง”


แม่ง


ธันวานึกเจ็บใจ เพราะถ้าเดือนแรมเตะจากการละเมอหรือฝันร้าย เขาก็จะเอาผิดอีกฝ่ายไม่ได้...มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันเหมือนทุกครั้ง


...ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันจริง ๆ











“เดี๋ยวกูจะประเคนแคลคาเนียส* ให้มึงแดกแทนข้าว”
*(calcaneus = กระดูกส้นเท้า)


ธันวาไม่ทันสนใจว่าตฤณทำอะไรให้กรองเกียรติโมโหถึงขั้นด่าด้วยศัพท์กายวิภาคตามประสานักศึกษาแพทย์ปีสองที่เห่อความรู้แล้ววิ่งไล่กันออกจากห้องเรียนในเวลาพักกลางวัน


คนเดินตามส่ายหน้าระอาพลางเร่งฝีเท้าให้ทันสองคนนั้นไปยังโรงอาหารแห่งที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ช่วงสิบโมง


โรงพยาบาลอันเป็นสถานศึกษาของนักศึกษาแพทย์ตั้งแต่ชั้นปีที่สองมีโรงอาหารประมาณห้าแห่ง แห่งที่มีนักศึกษามากเป็นพิเศษคือแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้หอพักชาย ธันวาและใครหลายคนก็มักจะไปฝากท้องที่นั่นในช่วงกลางวัน นานทีเขาจะย้ายไปที่อื่นบ้าง...แต่ไม่คิดว่าใครบางคนจะย้ายมาที่เดียวกันในวันนี้ด้วย


ไม่ได้อยากจะยืนต่อหลังเดือนแรมในแถวร้านก๋วยเตี๋ยวสักนิด ถ้าไม่ติดว่าตั้งใจมาถึงที่นี่เพราะอยากกินบะหมี่หมูตุ๋นเจ้านี้ จ้างให้ธันวาก็ไม่พาตัวเองมาอยู่ใกล้คนหน้าดุแต่กวนประสาทแน่ ๆ


เดือนแรมมองหน้ามุ่ยของหนุ่มรุ่นน้อง รอยปื้นแดงบนผิวหน้าขาว ๆ ยังชัดเจนในแบบที่ประจานเจ้าตัวมาตั้งแต่ออกจากห้องเรียนจนถึงที่ตรงนี้ ใครมองก็รู้ว่าเจ้าตัวตั้งใจเรียนมากแค่ไหน “หลับเก่งจริง ๆ เลยนะมึงเนี่ย”


เมื่อโดนทักก็ตกใจ รีบยกมือขยี้หน้าหวังจะช่วยให้รอยแดงจางลงบ้าง นึกโทษเพื่อนที่ไม่เตือนกันสักนิดปล่อยให้เดินมาไกลถึงนี่ คนคงเห็นกันครึ่งโรงพยาบาลแล้วกระมัง


เดือนแรมมองแล้วก็ยิ้มขำ ทำเอาคนถูกมองนิ่งอึ้ง ถูกอีกฝ่ายขำใส่มาก็หลายครั้ง ทั้งเยอะเย้ย ทั้งมองเหมือนตัวตลก แต่ไม่ยักมีครั้งไหนเหมือนครั้งนี้


ทั้งแววขบขันในสายตาและรอยยิ้มนั่นดูแล้วเหมือนอีกฝ่ายกำลัง...เอ็นดู


“มันแดงตรงนี้ด้วย” เพราะทนดูอีกฝ่ายขยี้แต่หน้าผากไม่ไหว เขาจึงต้องยื่นมือออกไปช่วยเกลี่ยรอยแดงตรงแก้มซ้ายให้จางลงแทน


“ขายขี้หน้าจริง ๆ เลย”


อ่า...เมื่อกี๊ผีเข้ารุ่นพี่เดือนแรมแน่ ๆ


ธันวาไม่รู้ว่ารอยแดงตรงแก้มจางลงไปหรือยัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้มันมีจริงหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ความเห่อร้อนตรงหน้าส่งผลต่อสีผิวส่วนที่ถูกสัมผัสได้มากขนาดไหน เพราะประโยคเมื่อครู่ของเดือนแรมที่มาพร้อมแรงผลักตรงหน้าผากที่ทำเอาหน้าหงายมันทำให้เขามีแต่ความขัดเคืองในใจจนพาให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนด้วย


“พี่นอนห้องข้างห้องผมใช่ไหม”


เดือนแรมไหวไหล่ รอยยิ้มยียวนจุดขึ้นมุมปาก “แล้วไง”


ธันวากำลังครุ่นคิดว่าหากตนอยากซื้อยิ้มยียวนของอีกฝ่ายไปทิ้งแล้วจ้างให้ยิ้มแบบก่อนหน้านี้ต้องใช้เงินมากเท่าไหร่กัน “เมื่อคืนพี่เตะผนังห้องจนผมนอนไม่หลับ”


“งั้นเหรอวะ โทษที”


“ผมอยากขอความกรุณา ผนังห้องมันบางพี่ก็น่าจะรู้”


“คนมันหลับ จะไปรู้ตัวได้ไงวะ”


ถ้าไม่เห็นสีหน้าไม่แยแสของอีกฝ่าย เขาก็คงตัดใจเชื่อและยอมรับไปแล้วว่าเป็นเรื่องจริง “พี่แกล้งผม”


“ทำไมคิดว่ากูแกล้ง”


“ก็พี่ชอบแกล้งอ่ะ กวนประสาท”


“เออ กูแกล้ง”


“แม่ง” ยั้งปากไม่ให้สบถคำหยาบออกมาไม่ทันจริง ๆ โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ติดใจมันนัก แต่ถ้าให้เลือก ธันวาคิดว่าให้เดือมแรมด่าตนเรื่องสบถด่ายังดีกว่ายืนยิ้มยียวนแบบที่ยากจะคาดเดาอย่างตอนนี้



“เตรียมรับมือไว้ให้ดีล่ะ เพราะต่อจากนี้ กูจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว”



ไม่รู้ว่าเผลอคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ธันวารู้สึกได้ว่านัยน์ตาคมดุคู่นั้นกำลังบอกให้รู้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องเตะผนังห้องที่เขาต้องเตรียมรับมือให้ดี



สงสัยคงต้องไปทำบุญจริง ๆ เสียแล้ว










TBC.
--------------------------------------------------------
ขอให้มีความสุขกับวันหยุดยาวนะคะ

#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 27-07-2018 01:23:39
 :เฮ้อ:  อยู่บนดาวอังคารยังรู้เลยว่าพี่แรมจีบ​ แต่น้องธันทำไม่รู้​  เฮ้อ...... สงสารพี่แรม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-07-2018 06:29:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 27-07-2018 08:20:23
ง่อววววววววววว คนกากจะรุกน้องหนักแล้ว
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-07-2018 08:50:59
ง่อววววว พี่แรมจะเอาจริงแล้ว
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 28-07-2018 08:38:43
คนกาก อย่าว่าน้องงงงงงงงงง ฮ่าๆๆ
พี่แรมจะรุกหนักแล้วสินะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 02-08-2018 09:46:00
มาเชียร์พี่แรม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Spissy ที่ 08-08-2018 14:02:24
รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) [26/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-08-2018 09:47:22
โอ้ยยย คนจีบกากจนน้องไม่รู้ตัว ชอบดุใส่  :hao7:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 17-08-2018 21:50:38

แรมเดือนสิบสอง

แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)










สิ่งแรกที่ธันวาต้องรับมือคือสติกเกอร์รูปหัวใจที่คาดไม่ถึงว่าเดือนแรมจะขยันส่งมาทุกเช้าติดกันเป็นเวลาสามวันแล้ว


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไอดอลของกรองเกียรติเป็นคนที่กวนประสาทคนได้เสมอต้นเสมอปลายจนน่าปวดหัว คนถูกระรานเองก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะคำว่า ‘Seniority’ ในวัฒนธรรมองค์กรมันค้ำคออยู่ แม้จะอยากด่ากลับไปแรง ๆ แค่ไหนแต่ก็ทำได้แค่ส่งสติ้กเกอร์แมวขู่ฝ่อกลับไปเท่านั้นเอง


“เป็นไร หน้าบูดหน้าบึ้งแต่เช้า” นัน รุ่นพี่ร่วมห้องอีกคนถามขึ้นมาเมื่อเห็นรุ่นน้องหนุ่มตีหน้ายุ่งใส่โทรศัพท์อยู่บนเตียง ไม่ใช่แค่วันนี้ แต่เขาเห็นมาหลายวันแล้ว


“ไม่มีไรครับ”


“ไม่มีไรก็ไปอาบน้ำเว้ย คนเต็มห้องน้ำแล้ว” อาร์ตที่กำลังสวมเสื้อนักศึกษาร้องบอก ธันวาครางรับอืออาก่อนนิ่งไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนกำลังทำอะไรอยู่


แต่งตัวในห้องนอน


ใคร ๆ เขาก็แต่งตัวในห้องนอนกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะผิดหรือว่าแปลกอะไรสักนิด แต่ทำไมรุ่นพี่เดือนแรมต้องห้ามเขาด้วย ทำอย่างกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสียอย่างนั้น


คิดได้ก็ปีนลงเตียงถอดเสื้อนอนเขวี้ยงลงตะกร้าผ้าใช้แล้ว คว้าตะกร้าอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวพาดบ่าอย่างเคย ละเลยชุดนักศึกษาที่แขวนเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะตั้งใจว่าวันนี้จะนำไปใส่ในห้องอาบน้ำเลยหลังจากที่โดนเดือนแรมดุใส่ซ้ำมาอีกสองวันแล้ว


อ่า...สงสัยคงต้องตื่นเช้ากว่านี้ไม่ก็สายไปเลย เพราะทันที่ที่เปิดประตูห้องมาก็เจอรุ่นพี่ที่ทำเขาหัวเสียแต่เช้ายืนหน้านิ่งในชุดนักศึกษาถูกระเบียบอยู่หน้าห้องตนพอดี อีกฝ่ายพอเห็นหนุ่มรุ่นน้องเดินเปลือยท่อนบนออกจากห้องก็รีบถลึงตามองดุ


“บอกกี่ครั้งแล้วว่า…”


“แต่งตัวในห้องนอนผิดตรงไหนอ่ะ กฎใหม่ที่รุ่นพี่จะบังคับรุ่นน้องเหรอ เนี่ย ไอ้อาร์ตยังแต่งตัวในห้องเลย โน่นอีก ยังเดินพันผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำมาได้เลย” ธันวาเถียงก่อนที่เดือนแรมจะพูดจบเสียอีก


“อยากโชว์ว่างั้น?”


“โชว์บ้าโชว์บออะไรล่ะพี่ สะดวกน่ะพี่เข้าใจไหม”


“อยากอ่อยนักก็เรื่องของมึง” เมื่อเห็นเดือนแรมบ่นแค่นั้นแล้วเงียบไปไม่พูดอะไรต่อ ธันวาจึงออกเดินอีกครั้งแต่ได้แค่ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาเรียกคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง


“สติกเกอร์อ่ะ ไม่ต้องส่งมากวนผมแล้วนะ”


“ทำไม? กูจะส่ง มีปัญหา?”


“ก็แล้วจะส่งมาทำไมเล่า” อยากด่าแรงกว่านี้ก็เกรงใจ


“ก็ชอบอ่ะ”


“...”


“อยากส่งให้”


ธันวารู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัด ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้เขาคงคิดว่าตัวเองเพิ่งโดนสารภาพรัก แต่พอเป็นคน ๆ นี้ สายตายียวนแบบนี้ คิดในแง่นั้นไม่ได้เลยจริง ๆ


ชอบที่ว่า ก็คงหมายถึงชอบแกล้งเสียมากกว่า






วันพุธกลางสัปดาห์ไม่มีอะไรน่าดีใจไปกว่าตารางเรียนครึ่งวันอีกแล้ว แต่ที่น่าดีใจมากขึ้นไปอีกสำหรับธันวาคือเย็นนี้มีนัดกับเพื่อนที่ร้านหมูกระทะ เนื้อที่เขาโหยหามาหลายวันจะได้รับการตอบสนองในวันนี้แล้ว แต่กว่าจะถึงเวลานั้น เขาก็ต้องผ่านการอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วงและซ้อมดนตรีอีกหนึ่งถึงสองชั่วโมง ซึ่งธันวามองว่าหมูกระทะเย็นวันนี้ช่างคุ้มค่าสำหรับการรอคอยเสียจริง


และเพราะติดนัดกับเพื่อนไว้ก่อนแล้วจึงทำให้ธันวาต้องปฏิเสธลุงประภาสที่จะมาหาเย็นนี้ตามที่เคยตกลงกันไว้ว่าต้องยอมให้คนเป็นลุงมาทานข้าวด้วยสัปดาห์ละครั้ง แต่เมื่อหลานรักปฏิเสธ ก็กลายเป็นว่าไม่มีวันไหนในสัปดาห์ที่อีกฝ่ายจะสะดวกมาหาอีกแล้ว ธันวาจึงถือโอกาสนี้ขออนุญาตไม่กลับบ้านช่วงสุดสัปดาห์จนกว่าจะสอบเสร็จเสียเลย แม้ประภาสจะงอแงต่อรองแต่สุดท้ายก็ต้องยอมอ่อนให้เพราะเข้าใจว่าคนเรียนแพทย์ต้องอ่านหนังสือหนักจริง ๆ


เดินออกจากห้องเรียนพร้อมเสียงเซ็งแซ่ของนักศึกษาแพทย์ทั้งชั้นปีที่สองและสาม ธันวาเห็นหลังรุ่นพี่หน้าดุไว ๆ และถ้าไม่ติดว่ายังค้างคาเรื่องบางอย่างกันอยู่ ไม่มีทางที่เขาจะรีบพุ่งเข้าไปหาพร้อมร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงดังเด็ดขาด


“พี่แรมครับพี่แรม”


“เอาแล้วเว้ย เอาแล้วเว้ย น้องเข้ามาทักเองเลยว่ะ” โอ๊คสะกิดก่อนหันไปมองตากับเพื่อนอีกสองคนแล้วพากันเดินนำออกไปก่อนหลังจากรับการค้อมศีรษะทักทายจากรุ่นน้องแล้ว


“มีอะไร” คนหน้าดุปั้นหน้านิ่งทั้งที่อยากยิ้มแทบบ้าที่อีกฝ่ายเข้ามาทักกันก่อน


“ไปทานข้าวกันไหมครับ” วันนี้พอมีเวลาว่าง ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ไปวันนี้ให้จบ ๆ กันไป จะได้ไม่มีอะไรค้างคากันอีก


“มึงชวน?”


“ครับ”


“ทำไม”


“ก็ผมติดค้างพี่อยู่นี่ครับ ที่ติวให้ครั้งก่อนผมยังไม่...”


“ไม่ไป”


“อ้าว...แล้วเมื่อไหร่จะได้เลี้ยงล่ะพี่”


“จะยอมให้เลี้ยงก็ต่อเมื่อมึงอยากกินข้าวกับกูจริง ๆ” พูดจบก็เดินจากไปทิ้งรุ่นน้องให้ยืนหน้าเหวออยู่อย่างนั้น


“อะไรของเขาวะ”


“อะไรของมึงไอ้ธันว์” กรองเกียรติเดินตามหลังมากอดคอคนที่ยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่รุ่นพี่เดินจากไปครู่หนึ่งแล้ว


“พี่แรมของมึงโคตรเข้าใจยากเลย”


“แต่กูว่ากูเริ่มเข้าใจละ”


กรองเกียรติยิ้มมุมปากยักไหล่แล้วเดินหนีไปอีกคนเมื่อธันวาเลิกคิ้วมองเพราะต้องการคำอธิบายที่มากกว่านั้น แต่กลายเป็นว่ายังไม่รู้อะไรอยู่ดี




หลังจากฝากท้องมื้อกลางวันที่โรงอาหารใกล้หอพักแล้วธันวากับเพื่อน ๆ ก็ไปนั่งอ่านหนังสือกันต่อที่หอสมุดของโรงพยาบาลซึ่งเป็นของคณะแพทย์ด้วย โดยไม่ลืมแวะซื้อขนมไปหย่อนใส่กล่องมิลเลอร์ของเดือนแรมเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับชีทสรุปก่อนไปรับชีทดังกล่าวที่ร้านถ่ายเอกสารหลังจากเอาไปทิ้งไว้ตั้งแต่สองวันก่อน เล่มนี้เขาถ่ายเอกสารจำนวนเล่มเท่าเพื่อนในคณะที่ต้องการแต่ทยอยกันมารับด้วยตัวเองไม่ได้อาสารับไปให้


“นี่มันระดับคัมภีร์ชัด ๆ” ตฤณว่า ยืนมองชีทเล่มหนาในมือด้วยความเทิดทูนพลางลูบมือบนปกอยู่หน้าร้านถ่ายเอกสาร


“ถ้ามึงไม่อ่านมันก็เป็นแค่หมอนที่ทำมึงคอเคล็ดได้เท่านั้นแหละ”


“ครับ ๆ ว่าที่ศาสตราจารย์นายแพทย์กรองเกียรติ” ตฤณประชดใส่ไอ้คนที่ขยันเรียนในห้องอย่างสม่ำเสมอจนสุดท้ายก็ต้องวิ่งหนีเพราะอีกฝ่ายยกชีทสรุปเล่มเดียวกันนั้นไล่ฟาดหัว กว่าจะได้เคลื่อนทัพไปอ่านหนังสือกันดี ๆ ธันวาก็ต้องเหนื่อยกับการห้ามปรามมากทีเดียว





“เห้ยมึง ไอ้ดีนถามว่าเย็นนี้มันชวนเพื่อนไปด้วยได้ป่ะ” ธันวาถามขึ้นมาในตอนที่ตนกับกรองเกียรติกำลังเก็บหนังสือในตอนสี่โมงเย็นเพราะมีนัดซ้อมดนตรีกันต่อในอีกครึ่งชั่วโมง


“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ตฤณยื่นหน้าเข้าไปถามแม้ว่าวันนี้จะไม่ได้ไปด้วยก็ตาม


“เพื่อนกูเรียนอักษรฯ ก็ต้องผู้หญิงแน่อยู่แล้วสิวะ”


“ผู้หญิงอักษรฯ” อาร์ตที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันพูดเพ้อ ๆ ตาลอยเหมือนจะจินตนาการไปถึงคณะดังกล่าวแล้ว “กูเปลี่ยนใจไปด้วยตอนนี้ทันไหมวะ”


กรองเกียรติยิ้มเย็น ตบบ่าเพื่อนทั้งสองก่อนเอ่ยวาจาตัดรอน “ไม่ทันแล้วเพื่อน”


เป็นอันว่าเย็นนี้นอกจากพวกเขาสามคนอันประกอบด้วยธันวา กรองเกียรติและดีนแล้ว ยังมีเพื่อนสาวปริศนาอีกหนึ่งคนด้วย ส่วนสำคัญที่กรองเกียรติปฏิเสธการตัดสินใจครั้งใหม่ของเพื่อนร่วมคณะสองคนนั้น นอกจากจะอยากแกล้งแล้วยังเป็นเพราะห่วงว่าหญิงสาวหนึ่งเดียวในวันนี้จะเคอะเขินเกินไปถ้าหนุ่ม ๆ ไปกันเยอะ เดิมทีมีแค่เพื่อนที่สนิทกันอยู่แล้วคงไม่เป็นปัญหา เพราะบางที...นี่อาจจะเป็นการเปิดตัวคนรู้ใจของดีนก็เป็นได้



ตัวโน้ตสุดท้ายของเพลงสุดท้ายจบลงในตอนใกล้หกโมงเย็นซึ่งจัดว่าทำเวลากันได้ดีก่อนที่จะโอดโอยเพราะท้องร้องกันไปมากกว่านี้


“ไปกินข้าวด้วยกันไหม” หญิงสาวคนเดียวในวงเอ่ยชวน สถานที่ก็คงหนีไม่พ้นโรงอาหารใกล้หอพักอีกตามเคย


“เรากับเก่งมีนัดกับเพื่อนแล้วอ่ะ ไว้ครั้งหน้านะครับหวาน”


“อื้อ” เธอยิ้มรับ แม้ลึก ๆ แล้วจะรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยก็ตาม




สองหนุ่มคณะแพทย์นัดเจอเพื่อนต่างคณะที่ร้านหมูกระทะชื่อดังย่านนั้น ดีนส่งข้อความมาบอกว่าถึงร้านแล้ว เป็นโต๊ะโซนโอเพ่นแอร์เพื่อจะได้ไม่รมควันในห้องแอร์ ธันวากับกรองเกียรติไปถึงร้านหลังจากนั้นเพียงสิบห้านาทีเพราะร้านใกล้ฝั่งโรงพยาบาลมากกว่ามหาวิทยาลัย


“ไอ้ดีนบอกว่ามันย่างหมูรอละ” ธันวาเล่าด้วยน้ำเสียงขบขัน ขณะเดินเข้าร้านไปพร้อมเพื่อนรัก ครู่หนึ่งถึงได้เห็นเพื่อนยกมือขึ้นบอกตำแหน่งที่แค่ชูมือหน้านิ่ง ๆ ก็รู้สึกว่าเพื่อนเขาช่างเท่เสียจนน่าหมั่นไส้ ยิ่งข้างกายมีสาวสวยในชุดไปรเวทนั่งอยู่ด้วยก็ยิ่งน่าอิจฉาเข้าไปใหญ่


แต่ให้ตายเถอะ! ธันวาชักเริ่มสงสัยว่าทำไมปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาเขาถึงไม่เคยสะดุดตากับใบหน้าหล่อแต่ดุอย่าง...สุนัขของเดือนแรมมากเท่าหลายสัปดาห์มานี้ แล้วนี่ขนาดหนีออกมากินนอกรั้วโรงพยาบาลก็ยังเจออีกฝ่ายนั่งอยู่โต๊ะไม่ไกลกันนักอีก


“บังเอิญจังเลยพี่ ๆ” เป็นกรองเกียรติที่วิ่งโล่เข้าไปทักทายกลุ่มรุ่นพี่ที่ยกกันมาทั้งสี่คนซึ่งธันวารู้จักเป็นอย่างดีแล้วจึงทำให้เขาต้องรีบตามเข้าไปทักทายด้วยทั้งที่อยากจะเดินเลี้ยวไปหาเพื่อนสนิทจะแย่อยู่แล้ว


“หึ” เดือนแรมหัวเราะในลำคอ ปรายตามองรุ่นน้องหน้าใสข้างหลังกรองเกียรติด้วยสายตาที่คนมองรู้สึกถูกก่อกวนอย่างไรไม่รู้


“เรื่องบังเอิญไม่มีจริงหรอกไอ้น้องเก่ง” โอ๊คว่าก่อนหันไปหัวเราะกับบอย ขณะที่ไนท์ยิ้มมุมปากไม่สนใจคนมาใหม่นัก


“หือ?”


“พวกมึงหิว พวกกูก็หิวไง เลยมาเจอกันที่ร้านนี้” สามเกลอหันมองหน้ากันยิ้ม ๆ เมื่อได้ยินเพื่อนตัวเองอธิบายประโยคที่ว่า ‘เรื่องบังเอิญไม่มีจริง’ ได้ฟังดังนั้นแล้วก็พร้อมใจกันอยากจะร้องแหมให้ดังไปถึงดาวอังคาร


“จริงด้วยครับ เรื่องบังเอิญไม่มีจริง” กรองเกียรติทวนโดยไม่ลืมสังเกตรุ่นพี่ที่ตัวเองเทิดทูนไปด้วยเพราะยังมีข้อกังขาบางอย่างที่ยังคาใจ “พวกผมไปก่อนนะครับ”


“เป็นใบ้รึไง” เดือนแรมว่าขึ้นก่อนที่สองรุ่นน้องจะจากไป


“หือ?” สองหนุ่มร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความสงสัย


“เพื่อนมึงเป็นใบ้เหรอวะเก่ง เห็นยืนบื้ออยู่เฉย ๆ ไม่พูดไม่จาสักคำ” ถ้าเดือนแรมพูดแบบนี้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยในบรรยากาศของงานรับน้องที่ผ่านมาธันวาคงเสียวสันหลังวาบไม่กล้าแสดงอาการใด ๆ ออกมานอกจากกลัว แต่เพราะตอนนี้อยู่ในร้านหมูกระทะและรุ่นพี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้ายียวนกวนประสาทขั้นสุด ธันวาจึงชักสีหน้าให้รู้ได้ว่าไม่พอใจ ทว่าใครมองหน้าบูดบึ้งของเจ้าตัวต่างก็คิดตรงกันว่ามันเหมือนท่าทางของคนงอนกันเสียมากกว่า


“ก็ไม่มีใครถาม ผมจะตอบหรือพูดแทรกได้ตรงไหนละครับ”


ดูสิ ว่ากระแทกขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายยังยิ้มอยู่ได้ พอใจนักหรืออย่างไร!




“ใคร?” ดีนถามขึ้นทันทีที่เพื่อนมาถึงโต๊ะ เขาเห็นตั้งแต่เพื่อนทั้งสองคนตรงเข้าไปทักทายแล้ว มองปราดเดียวแค่พอให้รู้ว่ารู้จักกันก็เลิกสนใจ ไม่ได้จ้องมองอะไรมาก


“รุ่นพี่ที่คณะ” ธันวาตอบ


“ใช่คนที่ชื่อแรมอะไรนั่นรึเปล่า”


“หือ? มึงรู้จักด้วยเหรอ”


“พวกมึงเคยบ่นให้ได้ยิน จำไม่ได้เหรอ”


“กูบ่นเหรอ” ธันวาชี้นิ้วเข้าหาตัว บ่นถึงรุ่นพี่หน้าดุแต่โคตรของโคตรกวนประสาทให้ดีนฟังตอนไหนก็จำไม่ได้


“เออดิ มึงบอกว่าเขามากวนประสาทมึง”


“เออ โคตรกวน” ว่าแล้วก็แอบเหล่มองคนที่ตกเป็นประเด็นแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายกำลังคีบหมูบนเตาแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้อย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมา


“เขายังมากวนมึงอีกรึเปล่า”


“ทุกวัน!”


คำตอบของธันวาทำให้ดีนคิ้วกระตุก ปรายหางตามองคนที่ถูกพูดถึงแล้วเผยยิ้มบาง ๆ ที่ธันวาไม่ทันสังเกต


“ดีน” หญิงสาวหนึ่งเดียวในโต๊ะสะกิดเพื่อนชายที่ตนขอตามมาด้วยยิก ๆ ไม่ได้อยากจะขัดบทสนทนาระหว่างสองหนุ่มนัก แต่เพราะคนมาใหม่อีกคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนานั้นและนั่งติดกับเธอเอาแต่จ้องหน้าเธอจนเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้ว


“อ้อ ลืม นี่ผิง เพื่อนสนิทในคณะกู ส่วนนี่ธันว์กับเก่งที่เราบอกว่าเรียนหมอ”


“เพื่อนจริงป่ะวะ” กรองเกียรติถามย้ำ นัยน์ตายังจับจ้องแต่ใบหน้าของหญิงสาวนามว่าผิง


“เพื่อนจริง ๆ”


กรองเกียรติยิ้มกว้าง ผิงเป็นผู้หญิงสวย อาจไม่สวยมากแต่สวยชนิดที่มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ผิวหน้าที่ไม่ได้ประทินแต่งแต้มสีจัดนัก แต่งแค่อ่อน ๆ ดูธรรมชาติยิ่งทำให้น่ามองจนไม่อาจละสายตา รู้สึกคิดถูกแล้วที่ยอมให้ดีนพาเธอมาในคืนนี้ด้วยได้


“เก็บอาการหน่อยมึงอ่ะ” ดีนปรามขำ ๆ แต่ที่ขำกว่าเห็นจะเป็นท่าทางหวั่นกลัวของเพื่อนสาวที่เบียดเข้ามาใกล้ตัวเองเรื่อย ๆ


“เขากลัวมึงแล้วเห็นไหมเนี่ย” ธันวาสมทบก่อนหันไปยิ้มทักทายเธอ “เห็นมันทำตัวคุกคามน่ากลัวแบบนี้แต่มันไม่ใช่คนเจ้าชู้นะครับ คบกันมาตั้งนานผมก็เพิ่งเคยเห็นมันเป็นแบบนี้กับคุณคนแรกเนี่ยแหละ”


ผิงยิ้มแห้ง ค่อย ๆ ขยับตัวออกห่างดีนไปนั่งตรง ๆ เนื่องจากนั่งกันคนละด้านของโต๊ะ เลยกลายเป็นว่าเธอต้องนั่งติดกับกรองเกียรติ ส่วนธันวานั่งฝั่งซ้ายมือของดีน






การที่กลุ่มบอยโดนแบนมารวมตัวกันในร้านหมูกระทะชื่อดังใกล้โรงพยาบาลในวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะใครที่ไหน เพียงแต่หากไม่เป็นเพราะอยากพาตัวเองมาอยู่ในสายตาของธันวา เดือนแรมคงไม่ชักแม่น้ำทั้งห้ามารบเร้าเพื่อนให้ออกมาด้วยกันแบบนี้แน่


“ว่าน้องโง่ น้องบื้อ มึงเองก็กากเหอะ” โอ๊คออกความเห็นเมื่อเห็นเดือนแรมมองตามร่างสูงโปร่งของรุ่นน้องรูมเมทของเขาที่ลุกไปตักอาหาร


“ปากหมาด้วย” บอยเสริม


“น้องมันคงคิดได้หรอกว่ามึงจีบ มีแต่จะเกลียดขี้หน้าน่ะสิ” ไนท์สำทับ


“กูมีวิธีของกูหน่า”


“ระวังเถ้อะะะ จะโดนหมาคาบไปแดกตัดหน้าอีก” โอ๊คว่า


“ครั้งนี้ไม่มีทาง” ว่าเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะหมายจะเดินไปตักอาหารเพิ่มโดยมีเพื่อนว่าไล่หลังไป “วางแผนเก่งงงงง”










(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 17-08-2018 21:52:45

เบคอนคือเป้าหมายที่ทุกคนแย่งชิงและทำให้ธันวาต้องมายืนรออยู่หน้าโซนเนื้อสดเกือบห้านาทีแล้วเนื่องจากเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ต้องสั่งไม่สามารถตักเองตามใจชอบได้ ในมือมีผักสดสองสามชนิดที่เพื่อนฝากมาหยิบ มือข้างที่ว่างก็ไถแอฟโซเชียลในโทรศัพท์เล่นแก้เก้อ เห็นกรองเกียรติอัพสเตตัสเมื่อสิบนาทีก่อนว่ามาร้านนี้กับเขาและดีนเรียกกลุ่มเพื่อนมารุมด่ากันยกใหญ่หาว่าไม่ชวนกันบ้างทั้งที่ชวนไปก็คงจะมาไม่ได้เพราะอยู่ไกลกันเกินไปแท้ ๆ ธันวาไล่อ่านคอมเมนต์แล้วก็เผลอหลุดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะงับปากไว้เพราะกลัวคนรอบข้างจะมองแปลก ๆ เอาได้


“รออะไร”


ธันวาหันมองร่างสูงที่เข้ามายืนข้างกัน พอยืนแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างสูงจนร้อยแปดสิบพอดิบพอดีของเขาดูเตี้ยไปเลย นัยน์ตาคมดุจ้องมองไปยังจุดหมายเดียวกับที่ตนกำลังรอคอยแล้วได้แต่ยอมจำนนในใจว่าตนคงหนีไม่พ้นรุ่นพี่คนนี้จริง ๆ “เบคอนครับ”


“ชอบกินเบคอนเหรอ” อยู่ ๆ คนข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมาทั้งที่เงียบไปหลายอึดใจจนธันวาคิดว่าประเด็นนี้น่าจะตกไปแล้ว


“ครับ”


“แล้วชอบกินอะไรอีก”


“ก็...สามชั้น สันคอ เบคอนที่ไม่เค็ม ที่สุดเลยแหละ” ธันวาพูดไปยิ้มไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าคนพี่จับจ้องอยู่ด้วยสายตาเอ็นดูขนาดไหน


“กินแต่ของมัน เริ่มมีแก้มแล้วเนี่ย” มือหนาที่ยื่นไปหมายจะบีบส่วนที่พูดถึงให้เจ้าตัวดูว่าเยอะขึ้นจริง ๆ แต่กลับพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยเมื่อเป้าหมายห่างออกไปเพราะใครบางคนเดินเข้ามากอดคอดึงธันวาออกห่าง


“มานานเกินไปแล้วนะมึงน่ะ” ดีนมองสบตาคนที่ยืนข้างเพื่อนแวบหนึ่ง ถ้าเขามาไม่ทันอีกฝ่ายคงแต๊ะอั๋งแก้มเพื่อนเขาไปแล้ว แต่มีหรือที่เขาจะยอมให้ทำอย่างนั้นได้ง่าย ๆ


“ยังไม่ถึงห้านาทีเลย นานตรงไหน”


“กลับไปกินไป เดี๋ยวกูรอให้เอง”


“แล้วนั่นอ่ะ เพื่อนจริง ๆ เหรอวะ” ธันวาถามพลางยิ้มล้อ ถ้าดีนมีแฟนจริงเขาจะจุดพลุในร้านหมูกระทะนี่เลย


“เพื่อนจริง ๆ สิวะ...ไม่ต้องมองอย่างนั้น กูเคยมีใครนอกจากมึงเหรอ” ดีนใช้มือข้างเดียวกับแขนที่กอดคอเพื่อนยีผมอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว “กลับโต๊ะไปได้แล้วไป”


เดือนแรมยืนกอดอกขณะที่ดีนยืนสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบาย ทั้งสองรอกันเงียบ ๆ ชั่วครู่ดีนก็ได้จานเบคอนไปครองก่อน ใบหน้าหนุ่มรุ่นน้องต่างคณะแต้มยิ้มมุมปากตอนที่เดินสวนกันออกไป เหมือนเจ้าตัวจะยิ้มให้ลมให้ฟ้าแต่ไม่รู้ทำไมเดือนแรมถึงรู้สึกว่ากำลังถูกเย้ย











“เบคอนกูมาแล้ว” ธันวาร้องเรียกด้วยความดีใจ เสียดายอยู่หน่อย ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนยืนรออยู่ต่อเพราะลึก ๆ แล้วก็อยากยืนรอเป็นเพื่อนรุ่นพี่ร่วมคณะ แต่ก็ด้วยเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเคว้งเพียงเท่านั้น ใช่จะหายเคืองเรื่องเก่าก่อนแล้วหรือพิศวาสอีกฝ่ายเสียหน่อย


“ถ้ามึงมาช้ากว่านี้ผิงจะโดนไอ้เก่งจ้องจนพรุนแล้วนะ” ธันวาว่าติดตลก ส่วนผิงก็ร่วมหัวเราะไปด้วย ไร้ท่าทีขลาดเขินอย่างก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ธันวาพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ห้าวเกินนิยาม ‘สาวอักษรฯ’ ไปเสียหน่อย ไม่แปลกใจเลยที่ดีนเลือกคบเป็นเพื่อนสนิท


“ขยันฟ้องพ่อมึงจริง ๆ เลยนะ” กรองเกียรติว่าก่อนส่ายหน้าหน่าย ๆ ไม่ทันคิดว่าจะโดนผลักหัวจาก ‘พ่อ’ ของธันวา


“เออ แล้วพวกมึงซ้อมดนตรีกันทำไมวะ ว่างด้วยเหรอ” ดีนถาม คาใจตั้งแต่วันที่ธันวาส่งรูปมาให้ดูแล้ว แต่ยังไม่มีใครตอบให้หายข้องใจ


“ซ้อมเล่นงาน Thanks สิ้นเดือน กูอยากให้พวกมึงทุกคนมาดูมากเว้ยดีน งานนี้ไอ้เก่งโคตรเท่” ไม่ใช่แค่อยากชมเพื่อนอย่างเดียว แต่ธันวาก็อยากจะอวดเพื่อนให้สาวเห็นด้วย ไหน ๆ มันก็ชอบแล้ว ถือว่าช่วยกัน “สาว ๆ ต้องหลงมันหนักแน่”


“มึงก็เท่เหอะไอ้ธันว์ ยิ่งถ้าวันจริงได้เล่นกับเบสคู่ใจมันนะ แม่งเอ้ยยยย กูอยากจะรู้นักว่ายังมีใครมองมันเป็นเกย์อีกไหม” ทุกวันนี้พวกเขาใช้เครื่องดนตรีในชมรมซ้อมกันอยู่ เดิมทีก็คิดว่าจะใช้ขึ้นแสดงด้วย แต่กลุ่มเพื่อนลงความเห็นกันว่าถ้าได้ใช้ของตัวเองก็คงจะดีกว่า


“สาธุเหอะ กูจะได้มีสาวกับเขาสักที”


“มีคนมองว่าธันว์เป็นเกย์ด้วยเหรอ” ผิงถามขึ้นมาหน้าซื่อ ๆ


“ไม่เหมือนเลยใช่ไหมล่ะ” ธันวาร้องถามด้วยความดีใจ เพราะนานทีจะมีคนคิดแบบนี้


“ตอนเจอครั้งแรกไม่คิดนะ แต่พอเห็นอยู่กับดีน เอาตรง ๆ ก็แอบคิดว่าเพื่อนชวนมารู้จักแฟนรึเปล่า” คำสารภาพอาย ๆ ของผิงทำเอาสามหนุ่มพร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะ


“นี่เธอคิดแบบนี้เหรอผิง”


“ก็มันน่าคิดนี่หว่า นายไม่มองผู้หญิงคนไหนเลย แต่กับธันว์ทั้งดูแลดีทั้งชอบสกินชิพกัน ต่างจากที่ปฏิบัติกับเก่งที่ดูเหมือนเพื่อนกันมากกว่า”


“มันเป็นพ่อลูกกันครับ” กรองเกียรติว่าติดตลก คบกันมาแต่ไหนแต่ไรเพื่อนลูกเสี้ยวของเขาก็ทำตัวเหมือนพ่อธันวาอยู่ตลอด ปกป้องดูแลไม่ห่าง ยิ่งช่วงมัธยมตัวติดกันเป็นตังเม ถ้าตอนนั้นธันวาไม่มีแฟน คนก็คงคิดกันว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันเองแล้ว


“ผมกับดีนชอบผู้หญิงนะครับ”


“เห้ย!” กรองเกียรติใช้ศอกสะกิดเพื่อน “พูดแบบนี้คือจะจีบผิงแข่งกับกูหรือยังไง”


“มึงพูดอะไรดูหน้าเขาด้วย” ธันวาหัวเราะปิดท้าย ขำในความหวาดระแวงวไม่เข้าเรื่องของเพื่อนเสียจริง


“จะไปรู้เหรอวะ ฟังมึงพูดเหมือนโปรโมทตัวเองยังไงก็ไม่รู้”


“แดก ๆ ไปเลยจะได้เลิกฟุ้งซ่าน” ธันวาคีบเนื้อทั้งหมดที่สุกแล้วบนเตาใส่จานกรองเกียรติเพื่อปิดปาก


ก่อนกลับสามหนุ่มหนึ่งสาวถ่ายรูปด้วยกันโดยมีกรองเกียรติเป็นคนเซลฟี่ ดีนบอกให้ผิงขยับเก้าอี้มาใกล้ตนขณะที่ตัวเองก็ดึงธันวาเข้ามาใกล้เช่นกัน วงแขนกว้างยกขึ้นวางพาดพนักเก้าอี้ธันวาอย่างเป็นปกติเช่นก่อนหน้านี้เวลาต้องการพักจากการรับประทานอาหาร





นักศึกษาแพทย์ทั้งสองกลุ่มกลับเข้าหอพักในเวลาไล่เลี่ยกัน ธันวาจึงนำชีทสรุปไปคืนเดือนแรมในระหว่างที่รอให้อาหารย่อยก่อนไปอาบน้ำ


“ผมเอามาคืน ขอบคุณมากนะครับ”


เดือนแรมรับชีทสรุปของตัวเองคืนมาแล้วมองรุ่นน้องหน้านิ่งจนคนถูกมองใจเสียเพราะเดาอารมณ์อีกฝ่ายไม่ออก “ซีรอกซ์ไปกี่เล่ม”


“เยอะอยู่ครับ เพื่อน ๆ หลายคนก็อยากได้ เอ่อ...พี่แรมไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”


“ไปเอาเล่มของมึงมาซิ”


“ห๊ะ?”


ต้องรอให้เดือนแรมย้ำรอบที่สองธันวาจึงรีบวิ่งกลับห้องไปหยิบฉบับถ่ายเอกสารของตัวเองที่เขียนชื่อแสดงความเป็นเจ้าของลงไปเรียบร้อยแล้ว


เดือนแรมมองชื่อธันวาที่ถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษไว้พร้อมมีเลขรหัสนักศึกษากำกับไว้อีกด้วยตรงตำแหน่งใต้สัญลักษณ์รูปหัวใจที่เขาวาดไว้แล้วเงยหน้ามองเจ้าของแวบหนึ่ง ในมือเขาตอนนี้มีปากกาแดงหนึ่งด้ามแทนที่ชีทของตัวเอง


“ครับ?” ธันวาเอียงคอถามด้วยความสงสัย


เดือนแรมไม่ตอบแต่จรดปลายปากกาลงระบายหัวใจดวงนั้นให้เป็นสีแดงเหมือนเล่มต้นฉบับ


“เห้ยพี่! ระบายทำไมอ่ะ” ธันวาร้องห้ามไม่ทัน เพราะหัวใจดวงเล็กแค่นั้นเดือนแรมระบายไม่กี่ครั้งก็เต็มแล้ว


“จะให้เหมือนต้นฉบับจริง ๆ หัวใจต้องมีสีแดง” เดือนแรมว่าขณะยื่นเล่มนั้นคืนไปให้


“แล้วอย่างนี้พี่ไม่ต้องไล่ระบายสีให้ครบทุกเล่มเลยเหรอ”


“ไม่อ่ะ ระบายให้มึงคนเดียว”


“ไมงั้นวะ”


“ก็กูให้มึงแค่คนเดียว”


“หมายถึงชีทสรุป?”


เดือนแรมส่ายหน้า “หัวใจ”


เกิดสภาวะเงียบ ธันวาอ้าปากค้างเติ่ง ควานหาเสียงตัวเองไม่เจอและบอกไม่ถูกว่าตัวเองควรต้องรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ยิน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำต่อจากนั้นเหมือนปลดล็อกทุกสิ่งอย่าง เพราะหัวที่หงายไปด้านหลังจากการผลักของรุ่นพี่คือสัญญาณบอกว่าที่พูดมาทั้งหมดเมื่อครู่คงหนีไม่พ้นเรื่องกวนประสาทอีกเหมือนเคย


“เหมือนสติกเกอร์หัวใจที่กูส่งให้ทุกวันไง”


“กวนตีนว่ะพี่” ด่าใส่หน้าแล้วก็รีบวิ่งกลับห้องตัวเองเพราะกลัวจะโดนถีบเข้าให้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วเดือนแรมกำลังมองมาด้วยความรู้สึกไหนกันแน่







คืนนั้นกรองเกียรติรีบอัพรูปที่ถ่ายมาพร้อมแคปชั่นที่บ่งบอกถึงการถูกใจสาวทั้งที่ไม่มีเฟสบุ๊คของเธอด้วยซ้ำ ไม่มีแม้กระทั่งของเพื่อนตัวเองที่อยู่ต่างคณะเพราะอีกฝ่ายไม่เล่น และถึงแม้จะอัพดึกแต่ก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากเพื่อนฝูงในการมาคอมเมนต์คุยกัน จะมีก็แต่ธันวาที่โผล่มาแค่คอมเมนต์เดียวแล้วก็หายไปเลย




Keng Krongkiet
14 mins.
สายสัมพันธ์สองคณะ ใครคู่ใครคงไม่ต้องบอกนะครับ #นศพกับเด็กอักษร
(รูปถ่ายสี่คนที่ร้านหมูกระทะ)
Thanwa DilokDharm, นะโม แฝดโอม, โอม แฝดนะโม and 76 other like this
T Team กูชอบ
    Keng Krongkiet สัส ว่าที่แฟนในอนาคตกูเว้ย
    นะโม แฝดโอม โคตรเหี้ย พวกมึงทั้งคู่
    โอม แฝดนะโม ทำไมกูไม่เจอบ้างงงงง
    Keng Krongkiet ไม่มีแต้มบุญก็ยากหน่อยนะ
    Thanwa DilokDharm เห็นไอ้ดีนไม่เล่นเฟสหน่อยเอาใหญ่เลยนะพวกมึง กูจะฟ้องมันว่าพวกมึงเต๊าะเพื่อนมัน
    โอม แฝดนะโม ฟ้องเก่งงงงงง
    T Team จ้า พ่อคนโปรดของไอ้ดีน
จุ๊บแจง แสดงธรรม กรี๊ดดดดดดด น้องธันว์มีแฟนใหม่แล้วเหรอ #ร้องห้ายยยย
สายน้ำ ไม่ไหลกลับ พี่เก่งนิยมของนอกเหรอคะ หันมองคนในคณะบ้าง พลีสสสสส
Oak 06154434xx พูดไม่ทันขาดคำว่าจะมีหมาคาบไปแดกตัดหน้า Boy NoBand Knight Asawin
    Boy NoBand ขนาดนี้แล้วมึงก็แท็กเจ้าตัวมาเลยเถอะ
    Oak 06154434xx อย่าไปแทรกแซงแผนของคุณเขา
    Knight Asawin นี่ยังไม่เรียกว่าแทรกแซงเหรอวะ
    Boy NoBand 555 ป่านนี้คุณเขานิ่งไม่ไหวแล้วมั้ง
    Keng Krongkiet คาบใครไปแดกเหรอครับ ผมหรือธันวา
    Oak 06154434xx ใครน่าแดกก็คาบคนนั้นแหละเว้ย



ชัดเจน!

กรองเกียรติเชื่อว่าเขาคิดไม่ผิด จากการสังเกตมาพักหนึ่งและคิดวิเคราะห์แยกแยะเอาจากสนทนาโต้ตอบของกลุ่มรุ่นพี่ที่มาคอมเมนต์แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปของข้อสงสัยในทันที เด็กหนุ่มไม่รอช้า รีบทักไลน์เดี่ยวเพื่อนสนิทสมัยมัธยมที่ติดมาเรียนคณะเดียวกันเพียงคนเดียวของตนทันที


เก่งก็คือเก่ง : ไอ้ธันว์ นอนยังวะ





ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ผ่านไปสามวันก็กลายเป็นความเคยชินเสียแล้วที่ธันวาต้องตื่นเช้ามาเข้าโปรแกรมแชทของเฟสบุ๊คเป็นอันดับแรกทั้งที่มีการแจ้งเตือนจากโปรแกรมอื่นหรือคนอื่นมากมายแต่ธันวากลับเลือกช่องทางนี้ก่อนเพื่อรับสติกเกอร์รูปหัวใจจากเดือนแรมและส่งสติกเกอร์ที่แสดงอารมณ์ดูโมโหที่สุดกลับไป


เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาก็ไถการแจ้งเตือนหน้าล็อกสกรีนดูคร่าว ๆ เผื่อมีเรื่องด่วนจะได้เตรียมตัวทัน ไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นข้อความที่ทำให้ต้องย้อนกลับไปพิจารณาสติกเกอร์รูปหัวใจที่ได้รับทุกเช้าใหม่เสียแล้ว


เก่งก็คือเก่ง : ไอ้ธันว์ นอนยังวะ
เก่งก็คือเก่ง : กูว่าพี่แรมชอบมึงว่ะ


กูว่าพี่แรมชอบมึงว่ะ



กูว่าพี่แรมชอบมึงว่ะ








TBC.
-------------------------------------------------------------
ฝากพี่เดือนแรมของเราด้วยนะคะ
#แรมเดือนสิบสอง
ส่วนใครคิดถึงคุณดีน กลับไปอ่าน  'ห า กั น จ น เ จ อ' #ไม่ดิ้นรนหา ได้นะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-08-2018 22:34:14
ไม่ใช่ว่าน้องรู้แล้วจะหนีนะคะ  :hao7:

คิดถึงคุณดีนนนนนน  :mew1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-08-2018 07:17:05
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 18-08-2018 08:44:06
หูยยยยยยย
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 18-08-2018 14:09:24
อ่านข้อความเก่งแล้วธันว์สตั้นไป3วิเลย
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 18-08-2018 22:42:55
อิพี่แรมมมมมมมม แกจะบอกชอบเขา จีบเขาแต่หักมุมให้น้องเข้าใจว่าแกล้งว่าหยอกทำไมมมมมมม
คนกากที่แท้ทรู  :hao7: :z3:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-08-2018 13:58:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ....พี่แรมนี่กากจริงไรจริงเนอะ  จีบไปตั้งนานแต่น้องก็ยังไม่รู้ว่าจีบ  อิอิ


หลังจากที่เพื่อนเก่งเฉลยให้รู้แล้ว  เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปหว่า?
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-08-2018 13:36:37
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 20-08-2018 16:33:40
 o13
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-08-2018 21:27:52
พี่แรมคนกากสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ploy1102 ที่ 22-08-2018 15:27:27
เอาใจช่วยพี่แรมคนกาก สู้ๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 22-08-2018 18:59:49
 :m15:  อยากอ่าน...... แต่ไม่อยากค้าง......... รอหลายๆตอนก่อนเนาะค่อยเข้ามาอ่าน​    เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-08-2018 02:22:49
พึ่งมาเห็นว่ามีอีกเรื่อง มาตามแล้วค่ะ 555
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.2 [17/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-08-2018 01:57:30
ขนาดบอกว่าให้ใจน้องยังเข้าใจว่ากวนตีน 555555  :z3:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 01-09-2018 00:51:42
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)




เขาชอบรุ่นพี่เดือนแรม


กรองเกียรติรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่วันรับน้องที่ปีสามจัดให้ปีสอง ประธานชั้นปีที่สามคนที่ยืนบนเวทีพูดจาฉะฉานด้วยสีหน้าขึงขังในวันนั้นสร้างความประทับใจให้เขายกให้อีกฝ่ายเป็นโรลโมเดลหรือบุคคลต้นแบบ เหนือกว่าคำว่าไอดอลอย่างที่ธันวาเข้าใจไปแล้ว


ไม่ใช่แค่หล่อ สูง เท่ แต่เก่งด้วย ทุกอย่างรวมเป็นผู้ชายที่ดูสมาร์ทจนผู้ชายด้วยกันยังชื่นชม


แต่แม้จะชอบอีกฝ่ายมากแค่ไหนใช่ว่าจะดีใจที่เขามาชอบเพื่อนตัวเอง


ธันวาไม่ได้เป็นเกย์…


คบกันมานานทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนมีรสนิยมทางเพศแบบไหน ถึงจะเคยมีแฟนเป็นผู้ชายแต่ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็ยังไม่ใช่ความรัก และถึงแม้เดือนแรมจะเข้าหาธันวาด้วยวิธีการที่ต่างจากผู้ชายคนอื่นมากจนเพื่อนเขาไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจีบ แต่เชื่อเถอะว่าธันวาไม่ยินดีนักหรอกที่โดนอีกฝ่ายเข้าหาด้วยความรู้สึกแบบนั้น


เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเข้าไปช่วยในตอนที่เพื่อนยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าเดือนแรมในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเปลือยอยู่


“รีบไปอาบน้ำได้แล้วมึง ไป ๆ”


กรองเกียรติดันหลังเพื่อนบังคับเดินไปทางห้องน้ำรอจนร่างที่ฝืนในคราแรกเดินไปได้เองแล้วกรองเกียรติจึงค่อยหันมายิ้มแป้นทักทายรุ่นพี่ที่เคารพก่อนชิงหนีกลับห้องตัวเอง





“กูวางสิบบาท พี่แรมชอบมึงแน่ ๆ”


ธันวาเกือบสำลักโจ๊กในตอนที่กรองเกียรติพูดย้ำใจความเดิมกับข้อความที่ส่งมาให้เมื่อคืน เด็กหนุ่มคว้าแก้วน้ำมาดื่มก่อนมองเพื่อนตาเขียว


“กูลงหนึ่งร้อยเลย ไม่มีทาง” ธันวาพูดทั้งที่หน้าร้อนผ่าวตอนที่ย้อนดูสติกเกอร์รูปหัวใจที่เดือนแรมส่งมาให้ทุกเช้าเป็นเวลาหลายวันแล้ว “เจอกันทีไรไม่ดุก็กวนตีนใส่ ถ้าบอกว่าอยากถีบ กูว่ายังน่าเชื่อกว่า”


รอยยิ้มบนใบหน้ากรองเกียรติหายไป โหมดจริงจังบนใบหน้าตี๋ไม่ใช่สิ่งที่ธันวาเคยชินนัก “แล้วถ้าเขาจีบมึงจริง ๆ มึงจะว่าไง”


“ก...ก็จ่ายให้มึงหนึ่งร้อยไง”


กรองเกียรตินิ่ง หน้าตึงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเพื่อนแกล้งตอบไม่ตรงประเด็นจนสุดท้ายธันวาก็ทนแรงกดดันจากสายตาเพื่อนไม่ไหว


“ไม่รู้โว้ย ไม่เคยคิด”


“ก็เริ่มคิดซะตอนนี้”


“บอกแล้วไงว่าพี่เขาไม่ได้จีบกู”


“กูสังเกตมานานแล้วไอ้ธันว์ กูว่ามีโอกาสใช่สูงมาก”


ถึงกรองเกียรติจะบอกอย่างนั้นแต่ธันวาก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ที่ผ่านมามีผู้ชายเข้ามาจีบมากมาย ไม่มีใครทำแบบเดือนแรมสักคน ใครที่ไหนจะทั้งดุทั้งด่าทั้งกวนประสาทคนที่ชอบ ชอบกันก็ต้องดูแลเอาใจใส่ทำแต่เรื่องดี ๆ ให้ไม่ใช่หรือ


พี่ภีม...แฟนเก่าเขาก็ทำแบบนั้น


“คุยไรกันวะ หน้าเครียดเชียว” เป็นตฤณที่เดินเข้ามาถามไถ่ วางเสื้อแลปยาวพาดไว้กับเก้าอี้ก่อนนั่งลงข้างธันวา มีแก่ใจเป็นห่วงเพื่อนทั้งที่ยังไม่ได้ไปซื้ออาหารเช้าเลยด้วยซ้ำ


“คุยกันว่าถ้ามึงยังไม่รีบกินข้าวมึงจะเข้าแลปไม่ทัน” กรองเกียรติว่า


“ทันโขหน่า พูดถึงแล้วก็ดีใจ วันนี้ผ่าเช้า จะได้ไม่ต้องเลิกค่ำมืดอีก ถึงจะกระอักกระอ่วนกับมื้อเที่ยงไปบ้างก็เถอะนะ” พวกเขาหมายถึงแลปกรอสส์หรือการผ่าร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อศึกษากายวิภาคที่มักจะเรียนในช่วงบ่ายแล้วกินเวลาล่วงเลยไปถึงค่ำมืดอยู่ตลอด


“ถามจริง มีใครเรียนกรอสส์แล้วแดกหมูตุ๋นไม่ลงบ้าง กูเห็นก็แดกเอา ๆ กลัวเนื้ออะไรไม่มี๊”


“ก็จริงของมึงไอ้เก่ง แต่อาจจะเอียนอาหารเพราะกลิ่นฟอร์มาลีนอบอวลเนี่ยแหละ”


กรองเกียรติกับตฤณคุยกันเรื่องคลาสเรียนสี่ชั่วโมงในเช้าวันนี้จนไม่ทันสนใจว่าธันวาไม่ได้ร่วมบทสนทนาของทั้งคู่เลยสักนิด ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของเดือนแรม ธันวากำลังประมวลผลทุกอย่างตั้งแต่รุ่นพี่คนนั้นมีตัวตนขึ้นมาแล้วเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต แต่ก็ไม่ได้มีเวลาวิเคราะห์อย่างละเอียดนักเพราะต้องรีบไปเรียนกันต่อ



ไม่มีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองคนไหนคาดคิดว่าการย้ายแลปมาเรียนชั่วโมงเช้าจะทำให้เลิกเรียนช้าไม่ต่างจากชั่วโมงบ่าย อาจจะดีกว่าเล็กน้อยตรงที่ยังมีขอบเขตว่าเลิกไม่เกินบ่ายโมงตรงอย่างแน่นอนเนื่องจากมีเรียนต่อ ขณะที่ชั่วโมงบ่ายอาจยาวต่อไปได้เรื่อย ๆ หากผ่าไม่เสร็จ


“กระเพาะเราถูกย่อยหมดแล้ว” หวาน หนึ่งในเพื่อนร่วมกลุ่มศึกษาอาจารย์ใหญ่ร่างเดียวกับธันวาโอดครวญขึ้นมาท่ามกลางเสียงโครกครากจากท้องของทุกคนในกลุ่ม


“รีบเก็บของเถอะ เรายังต้องไปเรียนต่ออีกนะ” เพื่อนอีกคนว่าทั้งที่สีหน้าสีตาก็เริ่มไม่โอเคแล้ว ไหนจะหิวไหนจะกลิ่นฟอร์มาลีนที่ชวนเวียนศีรษะและน่าคลื่นไส้ แม้จะเริ่มชินกลิ่นแต่ถ้าช่วงไหนกลิ่นแรงจนฉุนก็ทำเอาอยากอาเจียนได้เหมือนกัน


มีเวลาเหลืออีกสิบนาทีมากพอให้พวกเขาไปร้านสะดวกซื้อเพื่อหาอาหารรองท้อง ทว่าทุกคนกลับพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปยังกล่องมิลเลอร์ของตัวเองเพราะมีคนส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่มรุ่นมาบอกว่าพวกพี่รหัสปีสามหย่อนขนมไว้ให้ทุกคนแล้ว


ธันวาหยิบแซนวิสและน้ำผลไม้ที่หน้าตาเหมือนกันทั้งสองชุดขึ้นมาดู เห็นจะมีแค่กระดาษโน้ตที่แปะไว้เป็นคนละสีและข้อความข้างในเท่านั้นที่ต่างกัน


ชุดหนึ่งเป็นของพิ้งค์ พี่รหัสของเขา พร้อมข้อความให้กำลังใจ ส่วนอีกชุดไม่ลงชื่อเจ้าของแต่ก็ไม่ยากจะคาดเดานัก


‘เมื่อเช้าบอกไม่ทันว่าแลปเลิกช้า รีบกินรีบไปเรียนซะ’


เมื่อเช้าที่เขามัวแต่ยืนอึ้งเพราะทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เพื่อนสนิทบอก ไม่ทันได้คุยอะไรกันเพื่อนคนที่ว่าก็เข้ามาจับแยกเสียก่อน


“ไอ้ธันว์ มึงได้สองชุดเลยเหรอ” ตฤณทักขึ้น ธันวาหันมองหน้าตาตื่น รีบเก็บกระดาษโน้ตใบที่ไม่ได้ลงชื่อใส่กระเป๋ากางเกงซ่อนจากสายตาทุกคนทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม


“ใครให้วะ” กรองเกียรติถาม


“พี่พิ้งค์” และเลือกที่จะตอบไปเพียงชื่อเดียว


“สองชุดเลยอ่ะนะ”


“เออ กลัวกูไม่อิ่มมั้ง”








เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เรียนคาบบรรยาย ทำแลป ผ่ากรอสส์ อ่านหนังสือ ซ้อมดนตรี และก็...ต่อปากต่อคำกับเดือนแรม ความกวนประสาทของอีกฝ่ายทำให้ธันวาลืมในสิ่งที่กรองเกียรติเตือนไปเสียสนิท ทุกอย่างเป็นวัฏจักรวนเวียนอย่างนี้มาสัปดาห์กว่า ๆ จนถึงวันงาน Thanks ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ของโรงพยาบาลตามนโยบายของคณบดีคณะแพทยศาสตร์


แต่ถึงจะผ่านมาหลายวันแล้ว ต่อล้อต่อเถียงกันมาก็หลายครั้งทั้งต่อหน้าและผ่านข้อความในกล่องมิลเลอร์ ไหนจะสติกเกอร์รูปหัวใจที่ขยันส่งมาทุกวันพิสูจน์ให้เชื่อสนิทใจว่าอีกฝ่ายคง ‘ชอบ’ จริงอย่างที่ว่าแล้ว แต่ธันวาก็ยังชวนเดือนแรมไปเลี้ยงข้าวไม่สำเร็จสักที


จากที่มักเจอเดือนแรมมายุ่งวุ่นวายกับตัวเองอยู่บ่อย ๆ กลายเป็นว่าช่วงนี้เป็นเขาเสียเองที่ต้องพยายามพาตัวเองเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อรบเร้าให้ตกลงไปทานข้าวด้วยกันเสียที


ช่วงสิบเอ็ดโมงโรงอาหารใกล้หอพักชายคนไม่ค่อยเยอะ อีกอย่าง รุ่นพี่หลายคนยังไม่ตื่นเพราะตั้งใจจะตื่นมาแต่งตัวไปงานเลี้ยงตอนเย็นทีเดียว ขณะที่มีอีกหลายคนตื่นมาอ่านหนังสือก่อนอย่างเช่นเขา ธันวาเห็นแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่เดือนแรมยืนรออาหารอยู่หน้าร้านข้าวตามสั่ง หนุ่มรุ่นน้องจึงไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปยืนต่อหลังทันที


“สวัสดีครับพี่แรม” ทักทายเสียงหวานพร้อมกระพุ่มมือไหว้งาม ๆ เสียหน่อยเผื่อจะได้รับความกรุณาให้สมใจในวันนี้


แต่พี่ท่านแค่ปรายตามองด้วยหางตาแล้วครางอือรับเท่านั้น ไม่ได้สนใจใยดีคนพยายามทำตัวน่ารักเลย ไม่มีเค้าของคนที่ชอบกันอย่างที่กรองเกียรติว่าสักนิด


“พี่แรมครับ พรุ่งนี้วันหยุดไปกินข้าวกัน ที่ห้างก็ได้” ธันวายังตื้อต่อ ได้ยินอีกฝ่ายจิ๊ปากก่อนจะหันมามองหน้ากันตรง ๆ


“ขอบุฟเฟ่ต์แซลมอนนะ”


“บ้าไปแล้ว!” แค่สอนกรอสส์ให้นิด ๆ หน่อย ๆ ถึงกับต้องขูดเลือดขูดเนื้อรุ่นน้องกันเลยเหรอ “ไม่แพงไปหน่อยเหรอพี่”


“ถ้ารีบร้อนจะไปพรุ่งนี้นักก็ต้องแซลมอนเท่านั้น” เดือนแรมว่าก่อนหันไปรับจานข้าวตัวเองที่แม่ค้ายื่นมาให้แล้วหันมามองหน้าหนุ่มรุ่นน้องตรง ๆ อีกครั้ง


“แต่ถ้ารอให้ถึงวันที่มึงอยากไปกินด้วยกันจริง ๆ แค่ข้าวตามสั่งร้านนี้กูก็ยอมแล้ว”


คงจะมีวันนั้นอยู่หรอก!


แต่จะยอมเลี้ยงบุฟเฟ่ต์แซลมอนหรือก็ทำใจจ่ายแพงไม่ได้อยู่ดี


สงสัยคงต้องรอให้ถึงวันนั้น...วันที่ไม่มีจริง






งานเลี้ยงเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเย็น น้องปีหนึ่งที่เป็นแม่งานแต่งตัวจัดเต็มมาตั้งโต๊ะรับลงทะเบียนตั้งแต่ช่วงห้าโมงครึ่ง งานวันนี้ไม่มีธีมการแต่งตัว ไม่เหมือนงานบายเนียร์ งานนี้จัดขึ้นเพื่อพบปะสังสรรค์ตามประสาพี่น้องที่แน่นอนว่ามาร่วมกันไม่ครบทุกคน โดยเฉพาะรุ่นพี่ปีสี่ ห้า และหก ที่แทบจะเรียกได้ว่าส่งตัวแทนรุ่นมาร่วมงานเพียงเท่านั้น


โต๊ะหน้าสุดเป็นของรุ่นพี่ปีที่หก ลดหลั่นกันมาเรื่อย ๆ โดยของปีสองและสามจะปะปนกันอยู่โซนกลางถึงหลังห้อง กว่าจะมาร่วมงานกันเยอะเกินครึ่งห้องก็ล่วงเลยเข้าหนึ่งทุ่ม การแสดงของชั้นปีสองซึ่งเป็นรายการแรกจึงเริ่มต้นขึ้นในตอนนั้น


ธันวาถือเบสสีแดงเลือดนกของตัวเองด้วยความตื่นเต้นอยู่หลังเวที เบสตัวนี้ธันวาเพิ่งให้คนที่บ้านลุงประภาสนำมาให้เมื่อสัปดาห์ก่อน ใช้ซ้อมกับวงอยู่สองสามครั้งก็ชินมือเหมือนเล่นทุกวันได้อย่างง่ายดาย


“หวานตื่นเต้นจังเลยธันว์” นักร้องนำของวงเอ่ยขึ้น ธันวารู้ว่าหวานตื่นเต้นจริงอย่างที่บอก เพราะนอกจากสองมือเธอจะจับกันแน่นแล้ว เขายังเห็นเธอเดินไปมาอยู่หลายรอบ


“สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ นะ” ธันวาวางมือบนไหล่เล็ก ตบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจก่อนดึงกลับเพราะกลัวจะดูไม่ดีนัก “อย่างกังวล คิดซะว่าเราขึ้นไปสนุกกันบนนั้นไง”


เธอส่งยิ้มให้เพื่อนชายได้หวานสมชื่อเจ้าตัว


“มา ทำพร้อมกัน” ธันวาว่าก่อนเริ่มทำอย่างที่แนะนำเธอไปเมื่อครู่จนกระทั่งได้ยินเสียงพิธีกรเรียกให้พวกเขาขึ้นเวที



งานสังสรรค์แบบนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับเดือนแรม เขาแทบไม่อยากจะเสียเวลามาถ้าไม่ติดว่าตัวเองมีตำแหน่งประธานชั้นปีที่สามค้ำคออยู่


ตำแหน่งที่เขาไปแย่งชิงมาครองจนได้เพื่อให้ตัวเองได้มีตัวตนในสายตาของใครบางคน


และใครคนนั้นก็กำลังจะทำให้งานในคืนนี้ดูน่าสนใจขึ้นด้วยการปรากฏตัวขึ้นบนเวทีพร้อมเครื่องดนตรีในมือ


เสียงกรี๊ดของสาว ๆ ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทาง เดือนแรมไม่รู้ว่าพวกเธอกรี๊ดให้ใครหรือกำลังถูกใจอะไร แต่สำหรับเขา สายตาจดจ้องอยู่ที่แค่คน ๆ เดียวเท่านั้น


...มองแค่คน ๆ เดียวมานานแล้ว


ธันวาเจ้าของร่างขาวบาง สูงชะลูด ปล่อยผมให้ปรกหน้าผากตามธรรมชาติดูเข้ากันได้ดีกับเชิ้ตขาวตัวโคร่งที่ปลดกระดุมสามเม็ดบนจนเผยแผงอกขาว คอเสื้อกว้างจนปกแทบหลุดไหล่ไปข้างหนึ่งอยู่รอมร่อนั่นทำให้เดือนแรมหงุดหงิดจนแทบบ้า ถ้าเป็นเจ้าของเมื่อไหร่เขาจะจับอีกฝ่ายตีให้ก้นลายแน่ที่แต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้แบบนี้


การแต่งตัวของธันวาไม่ได้ดูเกย์เลยสักนิด แต่กลับดูเป็นผู้ชายเซอร์ที่มีความแบดบอยอยู่พอตัว ยิ่งเล่นในตำแหน่งเบสก็ยิ่งดึงความสนใจจากสาว ๆ ได้ดีทีเดียว


แค่เพียงสี่หนุ่มปรากฏตัวบนเวทีพร้อมเด็กสาวคนเดียวก็เรียกเสียงกรี๊ดได้มากพอแล้ว แต่เมื่อธันวาเริ่มโซโล่เบสนำเครื่องดนตรีชนิดอื่นตามเพลงต้นฉบับ เสียงกรี๊ดก็ยิ่งถล่มทลาย รวมถึงสาว ๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่นี่ด้วย


“มองไปไกล ที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล อยากจะไป ไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ...”


เสียงหวาน ๆ ชวนเคลื้มของน้องผู้หญิงที่เดือนแรมไม่รู้จักชื่อทำเอาผู้ชายหลายคนเคลิ้มตาม ทว่าไม่ใช่กับเขา นัยน์ตาคมที่ใครเห็นว่ากำลังจดจ้องแต่บนเวทีไม่ได้มองหญิงสาวหนึ่งเดียวอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นมือเบสคนนั้นต่างหาก


“น้องธันวาเป็นเกย์จริงเหรอแก เสียดายอ่ะ ฉันอยากได้”


“แต่น้องเก่งก็งานดีนะ ตี๋ ๆ แบบนี้ฉันชอบ”


เดือนแรมที่นั่งร่วมโต๊ะพยายามไม่สนใจ สายตาจดจ้องอยู่แต่ทุกการเคลื่อนไหวและแววตาซุกซนของธันวาเท่านั้น


ธันวาไม่ใช่คนหล่อจัด น่ารักมากก็ไม่ใช่ แต่เดือนแรมยอมรับว่าหน้าตาดีเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ยิ่งยามที่ได้สบตาโดยบังเอิญก็ยิ่งรู้สึกว่าแววตาขี้เล่นในหน่วยตาคู่นั้นทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์มากอย่างที่อยากจะหันไปมองบ่อย ๆ ทว่าเดือนแรมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าการสบตาตรง ๆ ยามอีกฝ่ายซ่อนความดื้อรั้นในตาคู่นั้นกลับทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย


“แกว่าน้องเป็นรุกหรือรับวะ” ประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศของธันวาถูกยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง


“รับแน่ ๆ ดูด้วยว่าแฟนเก่าน้องเป็นใคร แกคิดว่าพี่ภีม นิเทศฯ เขาจะรับเหรอ”


“ถ้าไม่ติดว่าน้องเคยคบกับพี่ภีม ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าน้องเป็นเกย์” เพื่อนชายใจสาวในโต๊ะพูดขึ้นมา สีหน้าเคร่งเครียดราวกับคิดไม่ตก


“แต่เคยเห็นน้องธันว์ตามจีบสาวพยาบาลมาพักนึงนะ”


“เรื่องเรียนเคยจริงจังแบบนี้ไหมครับพวกคุณ” โอ๊คแทรกขึ้นขำ ๆ


“เออว่ะ ฉันชักจะเชื่อที่แกพูดแล้ว” สายตาคนพูดจดจ้องแต่บนเวทีขณะพูดขึ้นอย่างเหม่อลอย ทำให้ทุกคนที่กำลังร่วมบทสนทนาหันมองตาม


‘อยู่ ๆ ก็มีแต่เธอมาปรากฏตัวในหัวใจ อยู่ ๆ ไม่รู้ทำไมถึงคิดถึงเธอได้ทั้งวัน’


“น้องดูเคมีเข้ากับน้องหวานมากเลยว่ะ เหมือนผู้ชายอ่ะ ไม่เหมือนเกย์”


ภาพที่ทุกคนเห็นเดือนแรมเห็นนานแล้วเพราะเขาไม่เคยละสายตาจากธันวาเลยสักนิดเดียว เพลงจังหวะสนุกกับเนื้อหาสื่อความหมายกับภาพที่นักร้องสาวร้องไปด้วยเต้นไปด้วยสร้างความสนุกสนานให้คนฟังและเพลิดเพลินกับอาหารตาไม่น้อย หากไม่ติดว่าเจ้าหล่อนเหลือบมองไปทางมือเบสของวงบ่อยและบางครั้งก็เต้นเข้าไปหาเหมือนหยอกล้อกัน ดูเหมาะสมจนเดือนแรมไม่ปฏิเสธเลยว่ามันเป็นจริงอย่างที่เพื่อนพูดกัน


“เหมือนเขาร้องเพลงจีบกันเลยว่ะ อะไรเนี่ย ฉันอกหักเหรอเนี่ย”


เดือนแรมจะไม่สนใจเลยถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะน้อย ๆ จากเพื่อนสนิททั้งสามคนที่พร้อมใจกันล้อเขาจนต้องปั้นหน้านิ่งเฉยแสร้งไม่สนใจทั้งที่กลัวอยู่ลึก ๆ


เมื่อมองเลยไปยังนักร้องสาวและเพิ่งพินิจดี ๆ แล้วเดือนแรมก็นึกขึ้นได้ว่าเธอคือคนเดียวกับที่เพื่อนเขาเคยแซวธันวาที่ร้านสเต๊กเมื่อหลายวันก่อน


‘ถ้าเธอชอบ มึงจะชอบป่ะล่ะ’


และคำตอบของธันวาในวันนั้นคือ


‘ให้เธอชอบจริง ๆ ก่อนเถอะพี่’


วันนี้จะยังตอบแบบนั้นอยู่ไหม…


“ฉันว่าไม่นานสองคนนี้ต้องคบกัน เชื่อฉันสิ” ลมหายใจของเดือนแรมสะดุดเมื่อได้ยินเพื่อนชายใจสาวว่าอย่างนั้นด้วยท่าทีมั่นใจ


ใช่จะอยากสนใจลมปากคนอื่น แต่เพราะตัวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะใจน้องได้หรือเปล่า ธันวาเองก็ดูจะเอนเอียงไปหารุ่นน้องที่ชื่อหวานอะไรนั่นด้วย และถ้าน้องจะชอบเธอขึ้นมาจริง ๆ เขาจะทำอะไรได้มากไปกว่าก้มหน้ายอมรับแล้วถอยออกมาแต่โดยดีกันเล่า


“วันนี้พี่ ๆ น้อง ๆ ไปดูกล่องมิลเลอร์กันรึยังคะ” นักร้องสาวถามขึ้นมา “มีใครเคยได้รับของจากบุคคลนิรนามไหมคะ”


หลายคนยกมือขึ้น


“แล้วมีใครเป็นบุคคลนิรนามบ้างไหมคะ”


“ยกสิมึง” โอ๊คหันมาแซวเดือนแรมก่อนจะหันกลับไปพร้อมเสียงหัวเราะน้อย ๆ เมื่อเพื่อนย้อนกลับด้วยริมฝีปากที่ขยับเป็นคำว่า ‘เสือก’


‘โปรดอย่าสงสัยนั่นคือความจริงใจจากฉัน จากคนคนเดิมคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
คนที่คอยอยู่ ดูแลระยะไกล จำได้ไหมเขายังเป็นห่วงคุณเหมือนเดิม...คุณก็รู้ว่าใคร’



ท่อนฮุกที่ถูกร้องขึ้นโดยไม่มีเสียงดนตรีช่วยขับให้เสียงสดของเธอยิ่งหวานล้ำสมชื่อสะกดให้ใครหลายคนตกอยู่ในภวังค์ ต่างจากเดือนแรมที่กำลังถูกดวงตาซุกซนของธันวาดึงไว้ด้วยความฉงนที่กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน


หลังจบโชว์ที่มากถึงห้าเพลงพิธีกรหนุ่มก็เปิดโอกาสให้สมาชิกวงได้แนะนำตัวเองให้ทุกคนในที่นี้รู้จัก


“จบไปแล้วนะครับสำหรับโชว์จากพี่ ๆ ปีสอง เป็นยังไงกันบ้างครับ ขอถามพี่ใหญ่สุดของเราก่อนเลยดีกว่า” เมื่อพิธีกรชายบนเวทีพูดอย่างนั้น พิธีกรสาวที่อยู่ข้างล่างก็ถือไมค์ก้าวฉับเข้าไปยังโต๊ะเป้าหมายทันที


คนที่รับไมค์ไปเป็นประธานรุ่นชั้นปีที่ห้า วันนี้ขาดพี่ปีหกยกชั้น ไม่มีใครว่างมาร่วมงานได้สักคนเพราะเข้าเวรหนักและเหนื่อยเกินกว่าจะเอาเวลามาสังสรรค์แบบนี้ได้ “สุดยอดมากไอ้น้อง โคตรเท่ โดยเฉพาะมึงไอ้เก่ง”


“มีการระบุตัวบุคคลด้วยนะคะเนี่ย”


“น้องรหัสผมครับ สายนี้สมาร์ทกันทั้งสาย” คำยกยอตัวเองเรียกเสียงโห่ร้องจากเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี เขายกนิ้วให้กรองเกียรติแทนคำบอกว่าเยี่ยมมากก่อนที่พิธีกรสาวจะเปลี่ยนเป้าหมายไปถามรุ่นถัดไปบ้าง


“พี่ปีสี่ละคะ โชว์นี้เป็นยังไงบ้าง”


“น่ารักมากครับ น้องหวานน่ารักมาก”


“อันนี้อวยกันเองในสายรหัสอีกรึเปล่าครับ” พิธีกรชายยิงคำถามมาจากบนเวที ช่วงเวลานี้คนที่เพิ่งเล่นดนตรีเสร็จกำลังเก็บของกันอยู่


“ไม่ใช่ครับ อยากเกี่ยวดองกันด้านอื่นมากกว่า” สิ้นเสียงทีเล่นทีจริงก็มีเสียงโห่ดังขึ้นตามระเบียบ เล่นหยอดกันกันต่อหน้าคนหลายร้อยแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะโดนถล่ม คนโดนหยอดเองก็เขินแก้มแดงทั้งที่ยังช่วยเพื่อนเก็บของไม่วางมือ


“ชักอยากจะรู้แล้วล่ะค่ะว่าพี่ปีสามจะว่างยังไงบ้าง” แน่นอนว่าไมค์ไม่หนีเดือนแรมไปไหน คนเป็นประธานรุ่นลอบทำหน้าเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบแสดงความเห็นอะไรในที่สาธารณะแบบนี้เลย


“ในฐานะที่เป็นรุ่นที่ใกล้ชิดกันที่สุด พี่แรมมีความเห็นว่าไงบ้างครับ”


แม้มือจะง่วนอยู่กับการเก็บของแต่ธันวาก็ยังสนใจฟังในสิ่งที่เดือนแรมกำลังจะพูด รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังว่าจะได้รับคำชมจากรุ่นพี่หน้าดุเพราะอยากให้มองกันในด้านดีบ้างนอกจากจะดุว่ากันอย่างที่แล้วมา


“ก็ดี”


“...”


“เอ่อ...ต้องการบอกใครเป็นพิเศษเหมือนคนอื่น ๆ เขาไหมครับ” เพราะเดือนแรมพูดสั้นเกินไป พิธีกรชายจึงรีบแก้สถานการณ์ที่เงียบเชียบด้วยการยิงประเด็นที่สองคนก่อนหน้านี้ทำ


“เก็บไว้บอกให้รู้กันแค่สองคนดีกว่าครับ”


“ง่อววววววว”


“แหม ไม่บอกก็รู้เลยนะคะว่าใคร” พิธีกรสาวแซว ทว่าเดือนแรมก็ไม่ได้แก้ไขว่าไม่ใช่คนที่ทุกคนเข้าใจ


“เห็นเงียบ ๆ ร้ายไม่ใช่เล่นนะท่านประธาน” เพื่อนสาวร่วมโต๊ะแซวขึ้นมา


“ไอ้แรมมันปากดีไปงั้นแหละ” โอ๊คว่าเสียงขบขัน เดือนแรมเองก็ไม่โต้เถียงอะไรนอกจากสนใจอาหารตรงหน้า




ที่ด้านหลังเวทีก็กำลังวุ่นกับการสลับโชว์ หวานแยกออกไปแล้วเพราะเพื่อนมาตามไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงสี่หนุ่มที่กำลังจัดการกับเครื่องดนตรีของตัวเอง


“ติดกระดุมได้แล้ว” กรองกียรติยื่นมือไปจับคอเสื้อของเพื่อนรักด้วยความหงุดหงิดใจ “จบโชว์แล้วก็แต่งตัวดี ๆ”


“มันเป็นทรงของเสื้อ ถ้าติดมากกว่านี้ก็เด๋อกันพอดี”


กรองเกียรติจิ๊ปากขัดใจแต่ไม่ได้รบเร้าอะไรต่อ ธันวาไม่รู้หรอกว่าแต่งตัวแบบนี้ทำให้ตัวเองดึงดูดทั้งเพศหญิงและเพศชายมากขนาดไหน ถ้าได้ตัวเมียอย่างที่อีกฝ่ายหวังไว้ก็คงจะดี แต่ถ้ามีตัวผู้มาติดกับก็คงปวดหัวแย่ และเขาเองก็คงไม่แคล้วต้องปวดหัวตามไปด้วยเหมือนกัน



ช่วงเวลาใกล้เลิกงานคือช่วงที่หลายคนพากันไปถ่ายรูปกับฉากสวย ๆ ที่น้องปีหนึ่งทำไว้ให้ เพื่อนร่วมโต๊ะหลายคนลุกออกไปขอสาว ๆ ถ่ายรูป กรองเกียรติเองก็ถูกน้องรหัสดึงตัวไป โต๊ะกลมสิบที่นั่งจึงเหลือแค่ธันวากับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งห่างออกไปสามช่อง


แต่ไม่ทันไรเก้าอี้ข้างกายก็ถูกแทนที่ด้วยใครบางคน


“งานไม่สนุกเหรอครับ” คนมาใหม่ถามขึ้น ธันวาเพ่งมองไม่นานก็ได้ข้อสรุปว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง ตัวสูงพอกัน ไม่หนาไม่บางไปกว่าเขาสักเท่าไหร่


“สนุกดิ”


“ผมเห็นพี่นั่งไม่เอ็นจอยกับใครเลย”


ธันวาหัวเราะ “ง่วงมากกว่า แต่งานสนุกนะ” ไม่วายปิดท้ายด้วยการเอาใจเด็ก


“ผมขอไลน์พี่ได้ไหมครับ”


“เห้ยไอ้น้อง พี่ยังไม่รู้ชื่อเราเลยนะ ขอไลน์แล้วเหรอ”


อีกฝ่ายยิ้ม “ผมชื่อ...”


“ธันวา” กำลังรอฟังชื่อน้องแต่ไหงกลายเป็นว่าได้ยินชื่อเขาดังขึ้นแทนที่กันเล่า เจ้าของเสียงเข้มดุก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รุ่นพี่เดือนแรมคนเดิมเพิ่มเติมคือแผ่รัศมีที่น่ากลัวจนเกินบรรยายออกมา


“ครับพี่แรม”


เดือนแรมคว้าแขนธันวาให้ลุกขึ้นยืนโดยไม่ปรายตามองน้องปีหนึ่งสักนิด “ไปกับกู”


“ไปไหนวะพี่” ร้องถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เดือนแรมกึ่งลากกึ่งจูงเขาจนออกมานอกหอประชุมแล้ว


“พี่จะพาผมไปไหน”


“กลับหอเป็นเพื่อนหน่อย ง่วงแล้ว”



ธันวาได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา “พี่เป็นเด็กสามขวบรึไงถึงต้องให้มีคนเดินกลับเป็นเพื่อน”


เดือนแรมหยุดเดินแล้วหันกลับมามองน้อง “มึงเองก็ง่วงไม่ใช่เหรอ ออกมากับกูไม่มีใครกล้าว่ามึงหรอก”


ธันวาคิด ก็จริงของพี่แรม เขาก็แค่เด็กปีสองโนเนมคนหนึ่ง ขืนออกจากงานมาตามลำพังก่อนเวลาเลิกคงได้โดยหมายหัวแย่ แต่ถ้าออกมากับคนมีพาวเวอร์อย่างเดือนแรม อย่างน้อยคงมีคนยอมปิดหูปิดตาได้บ้าง


“ส่งข้อความไปบอกเพื่อนด้วยว่ามึงกลับหอแล้ว มันจะได้ไม่เป็นห่วง”


จังหวะที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมากดพิมพ์หาเพื่อนนั่นเองที่ทำให้ธันวาได้สติว่ามือข้างหนึ่งของตนกำลังถูกอีกคนจับไว้ ไม่รู้ว่าเลื่อนจากแขนลงมาถึงมือตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่พอเห็นอย่างนี้แล้วก็รู้สึกเคอะเขินไม่น้อยอยู่เหมือนกัน


“ปล่อยมือผมก่อนดิพี่”


เดือนแรมเลิ่กลั่กรีบปล่อยมือคนน้องราวกับว่าไม่อยากจะจับเท่าไหร่นักทั้งที่กำลังเพลินกับสัมผัสเลยด้วยซ้ำ


ระยะทางจากหอประชุมใหญ่ถึงหอพักนักศึกษาแพทย์ชายไม่ได้ไกลกันนัก ขามาธันวาใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แต่ขากลับกลับรู้สึกว่ามันเนิ่นนานกว่านั้นมาก เป็นช่วงเวลาที่นานแต่ไม่อึดอัดเลยสักนิด คงเป็นเพราะตอนนี้เดือนแรมไม่ดุหรือกวนประสาทกันเช่นทุกที


ธันวาเพิ่งสังเกตเดือนแรมเต็ม ๆ ตาก็ตอนนี้เอง คนที่เดินข้างกันมีผิวไม่คล้ำแต่ก็ไม่ขาวมากเท่าเขา รูปร่างสมส่วน สูงกว่าเขาซักสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ เนื้อตัวก็หนากว่าราวกับคนที่ได้ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อสม่ำเสมอทั้งที่จมจ่อมอยู่แต่กับตัวหนังสือและดนตรีเสียมากกว่า ผมที่เคยปล่อยตามธรรมชาติถูกเซตขึ้นเปิดหน้าผากหวีเรียบแบบเว็ทลุคแต่ไม่ได้ดูเนิร์ด มันกลับเสริมให้ใบหน้าหล่อดุ ๆ ของเขาดูหล่อแบดมากขึ้นไปอีกในแบบที่สาว ๆ ต้องมองกันตาเป็นมัน ทว่ามีบางอย่างบนใบหน้าเดือนแรมสะดุดตาเขาเข้าอย่างจัง ที่ผ่านมาเพราะมัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกันจึงไม่เคยสังเกตเลยว่าริมฝีปากได้รูปนั่นแต้มยิ้มมุมปากอยู่ตลอดราวกับคนอารมณ์ดีเสียเต็มประดา


เดือนแรมเดินมาส่งธันวาถึงหน้าห้อง ไม่มีคำบอกลาใดเหมาะกับสภาวะชวนขัดเขินได้ดีไปกว่าการบอกว่า ‘ฝันดี’ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าห้อง เดือนแรมก็เรียกรั้งไว้เสียก่อน


“เดี๋ยวก่อน”


“ครับ?”


“เก่งมาก”


“หือ?”


“วันนี้เล่นเบสเก่งมาก เพิ่งเคยเห็นมึงเล่นสด ๆ”


“อ่า...ขอบคุณครับ แต่ทำไมพี่ไม่พูดแบบนี้ตอนน้อง ๆ ถามละครับ โถ่...ไม่คูลเลย”


“ก็บอกไปแล้วนี่”


“...?...”


“ว่าจะเก็บไว้บอกให้รู้กันแค่สองคน”









TBC.
------------------------------------------------
เรื่องนี้เขียนย้อนไปประมาณช่วงปี 55 เลยนะคะ
เพราะตอนปัจจุบันนี้ธันวาต้องอายุเท่าคุณดีนแล้วค่ะ
เพลงในเรื่องก็จะเก่าๆหน่อย

#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-09-2018 02:35:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตรง ๆ เนอะ พี่แรม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 01-09-2018 03:49:14
พี่แรมบุกเอาบุกเอา  :-[
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 01-09-2018 06:32:40
สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-09-2018 14:41:37
พี่แรมสู้ๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 01-09-2018 15:20:00
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 01-09-2018 23:47:39
แหมพี่แรม แหมมมมมมมมมมม
ถามว่าน้องรู้รึยังว่าจีบ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-09-2018 21:40:31
พี่แรมไปสะบัดมือทำเหมือนไม่อยากจับน้องแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าจีบจริงๆคะ 55555555555
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 03-09-2018 11:18:04
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 05-09-2018 17:44:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.2 [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 07-09-2018 23:45:24
พี่แรมของน้องงง  :-[
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 12-09-2018 21:41:19
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒





พี่แรมชมเขา


ธันวายังนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะอ่านหนังสืออย่างคนคิดไม่ตก ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่โดนดุก็โดนด่า คำที่ออกจากปากเดือนแรมมีแต่คำว่าโง่ โง่ โง่ และก็โง่ นี่แทบจะเป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายชมกันตรง ๆ


จริง ๆ แล้วพี่แรมก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรอย่างนั้นหรือ


แต่ทำไมต้องชมให้รู้กันแค่สองคนด้วย


ชมต่อหน้าคนอื่นบ้างไม่ได้หรืออย่างไร


ความคิดของธันวาถูกขัดด้วยสายโทรเข้าของกรองเกียรติที่โทรมาโวยวายเหตุที่ตนชิงกลับมาก่อนโดยไม่ได้บอก เจ้าตัวจึงอ้างว่าง่วงและเบื่อ ๆ เลยออกมาก่อนเช่นเดียวกับที่บอกพี่รหัสที่โทรมาตามเพราะยังไม่ได้ถ่ายรูปรวมสายรหัสด้วยกัน


เสร็จสิ้นการแก้ตัวแล้วก็ยีผมตัวเองด้วยความรู้สึกงุ่นง่าน อยากไล่ใครคนนั้นออกไปจากความคิดแต่ก็ทำไม่ได้ สมองน้อย ๆ ของเขาเอาแต่คิดว่าทำไมเดือนแรมถึงทำอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนี้เต็มไปหมด


‘กูว่าพี่แรมชอบมึง’


ธันวาส่ายหน้าหวือตอนที่ความเห็นของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาในหัวก่อนแย้งในใจว่าไม่มีทางเด็ดขาด เดือนแรมก็คงแค่ไม่อยากให้เขาเหลิงเลยไม่ชมต่อหน้าคนอื่นเท่านั้นเอง


ไม่มีเหตุผลที่มากไปกว่านั้นแน่นอน


“วุ้ย!!” ระบายออกมาเป็นเสียงแล้วก็เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวกับอุปกรณ์อาบน้ำเพื่อออกไปชะล้างตัวเตรียมนอนแต่ไม่คาดคิดว่าจะต้องออกมาปะหน้ากับคนที่ติดค้างอยู่ในความคิด


ธันวาทำหน้าเหรอหราไม่ต่างจากเดือนแรมนัก ทั้งสองต่างประดักประเดิดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น คนหนึ่งขัดเขินเพราะเพิ่งเผยความในใจไปทีละน้อย ขณะที่อีกคนคิดหาสาเหตุของการกระทำจนวุ่นวายใจ ยิ่งเผลอคิดว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกในวันนี้คืออาการของคน ‘ชอบกัน’ แล้ว ธันวาก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูก ดวงแก้วใสหลุกหลิกไปมาพร้อมกับเสียงพูดที่ขาด ๆ หาย ๆ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรออกมาแล้วก็ได้


“เอ่อ...อะ เอ่อ…”


“ไหนชุดนอน”


“ห๊ะ…” ธันวาแทบสำลักอากาศเพราะเสียงดุของอีกฝ่ายทั้งที่เมื่อครู่ก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกันอยู่แท้ ๆ


“ไหนชุดนอนที่จะเอาไปใส่ในห้องน้ำ” เดือนแรมขมวดคิ้ว ดูอารมณ์เสียอย่างไร้สาเหตุขึ้นมาอีก


“จะมาใส่ในห้องครับ”


“ขี้อ่อยนะมึง เสื้อนี่ก็แหวกจะถึงสะดืออยู่แล้ว” เดือนแรมว่าหน้านิ่งขณะยื่นมือมาเกี่ยวร่องแหวกของเสื้อออกจนคนถูกกระทำร้องเสียงหลงพร้อมถอยห่างด้วยความตกใจ “ยังจะเดินล่อนจ้อนออกจากห้องน้ำอีกเหรอ”


“ล่อนจ้อนที่ไหน น่าเกลียด ผมพันผ้าขนหนูออกมาเหอะ ใคร ๆ เขาก็ทำกัน” ได้ทีธันวาก็มองสำรวจข้าวของในมืออีกฝ่ายไปด้วย เมื่อไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าชุดนอนได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนไม่ควรยอมแพ้ในเรื่องนี้ ใบหน้าเนียนใสจึงเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างท้าทาย “พี่ก็ทำแบบนั้น อยู่ดี ๆ จะมาห้ามผมทำได้ยังไงอ่ะ”


“ก็อยากห้าม” เดือนแรมว่าหน้าตาย


“มีสิทธิ์อะไรมาห้ามเล่า” เป็นรุ่นพี่แล้วทำได้มากขนาดนี้เลยเหรอ


เดือนแรมจ้องรุ่นน้องนิ่ง นัยน์ตาคมดุทำเอาคนถูกมองเผลอหดคอด้วยความเกรง ไม่ทันตั้งตัวเตรียมรับหรือถอยหนีในตอนที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นอีกนิด และด้วยส่วนสูงที่ต่างกันไม่มากนัก แค่องศาหน้าที่ก้มลงเพียงเล็กน้อยก็หายใจรดแก้มกันได้แล้ว


“แล้วต้องมีสิทธิ์อะไรถึงจะห้ามมึงได้”


กะ ใกล้เกินไปแล้ว


ธันวาเอนตัวออกห่าง อยากจะใช้มือดันอีกฝ่ายให้ถอยออกแต่ก็ทำไม่ได้เพราะหอบของเสียเต็มสองมือ ทำได้แค่ยกขึ้นกอดแนบอกเพื่อกันให้มีระยะห่าง เดือนแรมเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ กับท่าทางของน้อง ทั้งที่ข้างหลังไม่ได้มีอะไรกั้น ยังมีพื้นที่อีกมากมายให้น้องถอยห่างออกไปแต่น้องกลับยืนนิ่งที่เดิมแล้วเลือกจะปกป้องตัวเองด้วยการหาอะไรมาคั่นกลางระหว่างเราแทน


นัยน์ตาแพรวพราวซุกซนที่ดูอย่างไรก็แฝงไปด้วยแววขบขันตนทำเอาคนมองระยะใกล้เผลอใจสั่นจนต้องหลบสายตาด้วยความประหม่า “ตอบด้วย กูรออยู่”


“ถะ ถอยไปก่อนพี่”


“หลบตาทำไม” ปกติเห็นมีแต่จ้องตอบไม่ลดละ นัยน์ตาแสนดื้อนั้นอวดดีเสมอยามมองอย่างไม่ยอมลงให้กันง่าย ๆ


“กะ ก็พี่ใกล้ไปอ่ะ”


“ตอบคำถามกูก่อน” เดือนแรมไม่ยอมถอยห่าง ยังคงรบเร้าเอาคำตอบให้ได้ ช่วงเวลาแบบนี้เหมาะแก่การแกล้งอีกฝ่ายได้นาน ๆ เพราะยังไม่มีใครกลับมาจากงานสังสรรค์ “ต้องมีสิทธิ์อะไรถึงจะห้ามได้”


“จะหวงกันได้ก็ต้องเป็นแฟนสิวะ” ธันวาก้มหน้าก้มตาตอบรัวเร็ว “ถอยออกไปได้แล้ว” คราวนี้ธันวาใช้ลำตัวกระแทกอีกฝ่ายให้ออกห่างแล้วรีบวิ่งหนีไปห้องอาบน้ำก่อนโดยไม่ทันฟังอีกหนึ่งคำถามคาใจของเดือนแรม


“แล้วต้องทำยังไงถึงจะได้สิทธิ์นั้นวะ”





อาบน้ำก็แล้ว เครื่องปรับอากาศในห้องก็เปิดแล้ว แต่ทำไมหน้าเขายังร้อนอยู่ ร้อนตั้งแต่ตอนที่เดือนแรมขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมคำถามที่ไม่รู้ว่าถามไปเพื่ออะไรนั่นอีก ธันวานอนพลิกตัวไปมาบนเตียงตัวเอง ไม่เข้าใจว่าคนฉลาดอย่างเดือนแรมทำไมคิดเองไม่ได้ว่าต้องเป็นคนที่อยู่ในสถานะไหนถึงจะมีสิทธิ์หวงกันได้  ทำไมถึงยังต้องมาถามกันอีก แถมรบเร้ากันจนหน้าเห่อร้อนไปหมด หนักกว่านั้นคือเขาดันใจเต้นแรงและประหม่าถึงขั้นไม่กล้าสบตาเหมือนอย่างเคย


สมาชิกในห้องกลับมาจากงานกันหมดแล้วแต่พากันไปอาบน้ำ ซึ่งคงอีกพักใหญ่กว่าจะกลับเข้ามาเพราะมีคนรอใช้ห้องน้ำกันมากทีเดียว ธันวาที่นอนไม่หลับและไม่มีเพื่อนคุยด้วยจึงจำต้องไล่ดูรูปในงานที่ถูกแท็คมาอย่างมากมายมหาศาล เป็นปกติที่เมื่องานเลี้ยงเลิกราเป็นต้องมีบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องที่เพิ่งมีโอกาสได้รู้จักกันแอดเฟซบุ๊คมาขอเป็นเพื่อน ไหนจะรูปที่แท็คกันมาอีก


การได้ดูรูปตัวเองและเพื่อน ๆ ที่เล่นดนตรีบนเวทีด้วยกันทำให้ธันวาลืมคิดเรื่องของเดือนแรมไปได้ งานนี้เรียกว่าสมาชิกวงได้รูปเท่ ๆ ไปเปลี่ยนรูปโปรไฟล์กันอย่างแน่นอน เขาเองก็หมายตาไว้หลายรูปแต่ยังไม่ได้เลือก เขาไล่ดูไปเรื่อยจนมาเจอรูปหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากคนในคณะเป็นพิเศษนั่นคือรูปของเขากับหวาน เป็นตอนที่เธอร้องเพลงด้วยสีหน้าของคนมีความสุข รอยยิ้มของเธอช่างหวานหยดสมชื่อและดูซุกซนยามจ้องมองเขาที่ก็มองสบเธออยู่เช่นกัน ธันวาจำได้ว่าตอนนั้นคือจังหวะที่ตนเงยหน้าจากเบสขึ้นมาแล้วปะกับสายตาของเธอเข้าพอดี จังหวะดนตรีที่สนุกและเนื้อเพลงแสนน่ารักทำให้เขายิ้มตามเธอไปด้วย ไม่นึกว่าจะมีคนถ่ายเอาไว้และได้รับความสนใจจนมีคนไลก์และคอมเมนต์กันเยอะมากขนาดนี้


ธันวากดเข้าไปอ่านด้วยความอยากรู้ มีทั้งรุ่นพี่และเพื่อน ๆ มาคอมเมนต์เชียร์ให้พวกเขาสองคนเป็นแฟนกันจริง ๆ ส่วนรุ่นน้องก็ได้แต่กรี๊ดกร๊าดเพราะส่วนตัวไม่ได้สนิทกันมากพอที่จะแซวอะไรได้ และดูเหมือนจะยิ่งกลายเป็นที่สนใจหลังจากที่เขากดไลก์รูปนี้ไปเมื่อสองนาทีที่แล้ว เห็นอย่างนั้นแล้วก็รีบกดออกไปไล่ดูรูปอื่นต่อไป แสร้งเพิกเฉยต่อการแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาจากภาพนั้นแบบระรัวราวกับกลัวว่าโทรศัพท์เขาจะไม่ค้าง


ธันวาไล่ดูไม่ทันหมดก็ละออกมาเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ของตัวเองเหมือนอย่างคนอื่น ๆ บ้าง เป็นรูปตอนที่เขากำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโซโล่ในส่วนของตัวเองอย่างเมามันซึ่งดูเท่มากในสายตาตัวเองโดยไม่ลืมให้เครดิตเจ้าของรูปด้วย ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็มีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับรูปดังกล่าวขึ้นมาแทบจะในทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ธันวาต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อเอาออกไปจากหัวสมองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอง


นอกจากจะกดไลก์ให้เป็นคนแรกแล้ว เดือนแรมยังคอมเมนต์ด้วยการโพสรูปเขาอีกด้วย ธันวาเด้งตัวขึ้นเพ่งมองรูปนั้นดี ๆ เพราะเป็นรูปที่เขายังเคยไม่เห็น ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าคงเป็นตอนที่เขาถูกเดือนแรมลากให้เดินตามตอนออกจากโต๊ะ หน้าตาเหรอหราเข้าขั้นเอ๋อของเขาบอกได้อย่างเดียวเลยว่าดูไม่จืด และข้อความกำกับต่อจากนั้นก็ทำเอาธันวาฉุนขึ้นมากับความกวนประสาทของคนเป็นรุ่นพี่


‘รูปนี้ดูเป็นมึงมากกว่า’


ธันวาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกับที่โอ๊คเดินเข้ามาเพียงคนเดียวพอดี ทว่าธันวาก็สนใจเพียงแค่นั้นเพราะสมาธิทั้งหมดถูกนำมาจดจ่ออยู่กับเดือนแรมอีกครั้ง คนอะไรทำไมชอบขายคนอื่นในที่สาธารณะแต่เวลาชมไม่ยักทำแบบนั้นบ้าง

 
“พี่โอ๊คครับ”


“ว่าไงวะ” โอ๊คตอบพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมด้วยแรงที่ค่อนข้างมาก


“พี่แรมเป็นคนยังไงเหรอครับ”


“หืม” โอ๊คชะงักมือ คิ้วขมวดมองรุ่นน้องร่วมห้องที่อยู่ดี ๆ ก็ถามถึงเพื่อนสนิทเขาขึ้นมา “หมายความว่าไง”


“ก็...ปกติพี่เขาขี้อายไหมครับ แบบว่า...ยังไงดี” ธันวาพลิกตัวนอนคว่ำมองหน้าโอ๊คที่เดินมาหยุดใกล้เตียงตนด้วยสายตาจริงจังทว่าสับสน “พี่แรมเขาอายที่จะชมใครต่อหน้าคนเยอะ ๆ ไหมครับ”


โอ๊คคลายสีหน้าสงสัย มุมปากยกยิ้มอย่างไม่ปิดบัง มือเริ่มทำหน้าที่เดิมอย่างเป็นธรรมชาติ “แรมมันชมมึงเหรอวะ”


ธันวาพยักหน้างึกงัก เมื่อโอ๊คทำหน้าทำตาเหมือนรอฟัง เขาจึงเล่าต่อ “พี่แรมชมว่าผมเล่นเบสเก่งครับ”


“อืม....ปกติมันก็ชมคนง่ายนะ แต่ก็อย่างที่มันบอกแหละ กับคนบางคน...คงอยากให้รู้กันแค่สองคนมากกว่า”


แทนที่จะหายคาใจ ธันวากลับเห็นแววว่าตนคงต้องคิดเรื่องของเดือนแรมวนเวียนไปทั้งคืนแน่ ๆ


“บอกแล้วว่าให้ลองศึกษามันดู”




งานรื่นเริงจบไปมีเวลาให้เหลวไหลกันต่ออีกหนึ่งวันก่อนจะเข้าสู่ช่วงเวลานรกที่แท้จริงของนักศึกษาแพทย์ อีกไม่กี่วันต่อจากนี้จะเป็นการสอบกลางภาคของเทอมแรกในชีวิตที่เข้าใกล้คำว่าหมอมากขึ้นกว่าการเรียนวิทย์ทั่วไปในปีหนึ่ง


พวกเขาถูกฝังหัวตั้งแต่ต้นว่าอย่าหวังพึ่งวันไนท์มิราเคิลในการสอบเด็ดขาด เพราะมันไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในคณะนี้ต่อให้คน ๆ นั้นจะเก่งแค่ไหนก็ตาม และอันที่จริงพวกเขาควรเริ่มอ่านอย่างหนักหน่วงล่วงหน้าหนึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ (ไม่รวมควิซที่มีทุกวัน ทุกคาบ) ไม่ใช่มาเริ่มเอาตอนนี้


คล้ายจะเป็นการลองดี แต่ธันวาพบว่าเริ่มอ่านตอนนี้ก็ยังเร็วไปด้วยซ้ำสำหรับตัวเอง


อย่างไรก็ตาม วันพุธกลางสัปดาห์ที่ว่างช่วงบ่ายแบบนี้ก็คือช่วงเวลาที่ดีที่เดือนแรมรับปากว่าจะติวให้พวกเขา


หลายวันมานี้ธันวายังไม่เจอหน้าเดือนแรมเลย ถ้าไม่นับสติกเกอร์รูปหัวใจที่ส่งมาให้ทุกเช้าราวกับเป็นคำทักทายสวัสดี อีกฝ่ายก็แทบจะขาดการติดต่อไปเลย ในกล่องมิลเลอร์ก็ว่างเปล่า ไม่มีข้อความกวนประสาทหรือขนมอะไรจากคนเป็นรุ่นพี่เลยสักชิ้นเดียว


เพิ่งจะได้เจอกันก็วันนี้เอง


ยังไม่มีเวลาได้ ‘ศึกษา’ รุ่นพี่เดือนแรมอย่างที่โอ๊คแนะนำเลย


กรองเกียรติเดินนำเพื่อนสนิทไปขอนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มของเดือนแรมในช่วงพักกลางวันเพราะที่นั่งในกลุ่มเพื่อนไม่พอและคิดว่าอย่างไรเสียเดี๋ยวก็ต้องไปหอสมุดพร้อมกัน นั่งร่วมโต๊ะกันตอนนี้ก็คงไม่เสียหายอะไร


เดือนแรมเงยหน้าขึ้นบอกตอบรับคำขอของรุ่นน้อง ขอบตาที่คล้ำขึ้นมากของอีกฝ่ายบอกได้เป็นอย่างดีถึงสาเหตุที่หายหน้าไปหลายวัน แต่ถึงอย่างนั้นธันวาก็ไม่ได้ทักทายอะไรมากไปกว่าเอ่ยขอบคุณแล้วสอดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา


“ผมถามจริงเหอะพี่แรม พี่ชอบไอ้ธันว์มันเหรอ” กรองเกียรติถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยบนโต๊ะอาหารจนธันวาแทบสำลักข้าวหันไปตีแขนเพื่อนก่อนเหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามที่มองมาอยู่ก่อนแล้วด้วยความประหม่า


“ว่าไงพี่” กรองเกียรติเร่งเร้าเอาคำตอบ


“ไม่ได้ชอบ” เสียงทุ้มตอบราบเรียบ


“นั่นไง กูบอกมึงแล้วว่าพี่แรมไม่คิดอะไรกับกูหรอก ถ้าพี่เขาชอบกูจริงเขาจะมาแกล้งมากวนตีนกูทุกวี่วันเหรอวะ” ...แล้วช่วงนี้ก็ยังหายหน้าไปด้วย


“ก็ตามกฎชอบใครแกล้งคนนั้นไง”


“กฎเชี่ยไรของมึง ตอนนั้นพี่ภีมยังไม่เคยแกล้งกูเลย”


“แล้วเขาเป็นคนยังไง” เดือนแรมถามเสียงเรียบ


“หื้ม?”


“พี่ภีมของมึงน่ะ เขาเป็นยังไง”


“ก็…ใจดี พี่ภีมใจดีกับผมมาก” รอยยิ้มน้อย ๆ แต้มริมฝีปากยามเอ่ยตอบ


“แล้วที่เขาทำไม่ดีกับมึงอ่ะ จำได้บ้างไหมวะ” กรองเกียรติแย้งขึ้นทันควัน


“ทำไมต้องเลือกจำสิ่งที่ไม่ดีวะ ในเมื่อเรื่องดี ๆ น่าจำกว่าเยอะ”


“แล้วทำไมกับกู...มึงถึงจำได้แต่เรื่องแย่ ๆ วะ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมจานที่ยังเหลือข้าวอีกเกือบครึ่งจาน “รีบกินรีบตามไปห้องติว กูมีเวลาไม่มาก”


“เชี่ยเก่ง” ธันวาหันไปจ้องเพื่อนเมื่อเดือนแรมเดินออกไปแล้ว “พี่แรมโกรธแน่ ๆ”


กรองเกียรติเองก็หัวหด รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะท่าทางเมื่อครู่ของรุ่นพี่ที่ตนยกให้เป็นไอดอลน่ากลัวมากจนน่าจะโกรธพวกเขาจริงอย่างที่ธันวาว่า


“เดี๋ยวมันก็หายไอ้น้อง มันไม่โกรธจริงจังหรอก” โอ๊คว่า


“แบบนี้ไม่เรียกว่าโกรธด้วยซ้ำ” ไนท์เปรยหน้านิ่ง ท่าทีสนใจอาหารมากกว่าจะเป็นการพูดเพื่อคุยกับใครทำให้ธันวาไม่กล้าถามต่อว่าหมายความว่าอย่างไร กลายเป็นว่าบอยเสียเองที่ทนเห็นสีหน้าหมางงของรุ่นน้องไม่ไหวจนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบบอกราวกับเป็นความลับขั้นสุดยอด


“เขาเรียกว่าน้อยใจไงล่ะ”





ทำไมเดือนแรมต้องน้อยใจ...ธันวาหาคำตอบไม่ได้


แต่ถ้าถามว่าทำไมเดือนแรมถึงโกรธ...เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


ถึงอย่างนั้นเขากับกรองเกียรติก็มีขนมและเครื่องดื่มเต็มสองมือในตอนที่ถือเข้ามาในห้องติวเพื่อนำมาขอโทษรุ่นพี่ดีกรีประธานรุ่นชั้นปีที่สาม


ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะคิดว่าเดือนแรมเห็นแก่กิน แต่เพราะคิดว่านี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้


เดือนแรมมองรุ่นน้องสองคนที่แทบจะมาถึงเป็นคนท้าย ๆ พร้อมของกินมากมาย ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นของสองคนนั้นนั่งหน้าสลอนกึ่งหลับกึ่งตื่นกันอยู่เกือบเต็มโต๊ะขนาดสิบที่นั่งแล้ว


นัยน์ตาคมดุมองสองเพื่อนซี้ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงหน้าแทนที่จะรีบหาที่นั่ง กรองเกียรติที่ยืนลดหลั่นไปด้านหลังเพื่อนเล็กน้อยใช้ข้อศอกดันเพื่อนสองสามทีที่คงหมายถึงให้คนด้านหน้าทำอะไรบางอย่างที่ตกลงกันไว้สองคน


“มาแล้วก็หาที่นั่งสิวะ!”


สองเพื่อนซี้สะดุ้งโหยง ใบหน้าเนียนใสของคนด้านหน้าแตกตื่นหนักก่อนจะถลาเข้ามาหาเขาตามแรงดันของคนด้านหลัง เจ้าตัวดื้ออย่างที่เดือนแรมหมายมั่นในใจหันกลับไปทำปากขมุบขมิบว่าเพื่อนก่อนหันกลับมาส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้


“ผมกับเก่งซื้อมาให้พี่แรมครับ” ธันวายื่นถุงขนมมากมายไปตรงหน้าก่อนที่กรองเกียรติจะตามมายืนข้าง ๆ พร้อมยื่นขวดเครื่องดื่มอีกสองขวดออกมาข้างหน้าด้วยเช่นกัน


“ให้ทำไม”


“อยากขอโทษเรื่องที่โรงอาหารครับ”


เดือนแรมจ้องหน้ารุ่นน้องนิ่งท่ามกลางสายตาของคนอื่น ๆ ที่หันมองอย่างสนใจ “มึงทำอะไรผิด”


ธันวาพูดไม่ออก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนทำอะไรผิด รู้แค่ว่าเดือนแรมมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีสักเท่าไหร่หลังจากที่เขาพูดออกไปแบบนั้น


“ผิดที่พวกผมรบเร้าให้พี่ตอบคำถามนั้นครับ” เป็นกรองเกียรติที่ตอบไม่เต็มเสียงนักด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ เคยแต่ชื่นชมตอนรุ่นพี่สีหน้าขึงขัง ไม่นึกเลยว่าเวลาโกรธจะน่ากลัวขนาดนี้


เดือนแรมถอนหายใจก่อนบอกปัดด้วยท่าทีรำคาญ นอกจากขนมนี่ก็ยังมีของกินอีกมากที่รุ่นน้องกลุ่มนี้นำมาให้เพื่อตอบแทนที่ติวให้ “เอาไปแบ่งให้เพื่อนมึงกินไป”


“พี่แรมหายโกรธพวกเรารึยังครับ” ธันวาถามเสียงอ้อมแอ้ม


“แคร์กูด้วยเหรอ”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ถ้าให้ตอบตามความจริงก็แคร์เพราะอีกฝ่ายกำลังจะติวให้ ไม่อยากตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมนานกว่านี้ แต่เขาก็คิดว่าตัวเองไม่ได้เห็นถึงผลประโยชน์มากขนาดนั้น ลึก ๆ แล้วก็ไม่อยากให้เดือนแรมทำหน้าตึงใส่ด้วยเหมือนกัน มันชวนให้รู้สึกผิดทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนทำอะไรผิด


“แคร์สิครับพี่ พวกเราแคร์ความรู้สึกของพี่แรมมากเลยนะครับ” เป็นกรองเกียรติอีกครั้งที่ตอบแทน



เดือนแรมไม่ติดใจเอาความหรือว่าง่าย ๆ ก็คือคร้านจะต่อบทสนทนาด้วยจึงไล่ให้สองคนนั้นไปหาที่นั่งเพื่อจะได้เริ่มติวกันเสียที


แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองใจเมื่อเห็นว่าธันวาเลือกนั่งข้างรุ่นน้องสาวที่ชื่อหวานแทนที่จะนั่งข้างตนที่ยืนหัวโต๊ะแต่เดือนแรมก็ตัดใจเปิด Textbook เล่มดังของรายวิชากายวิภาคอย่าง Atlas ขึ้นมา


เดือนแรมรับติวแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกายวิภาคเท่านั้น ทั้งระบบผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียน ระบบเลือดและน้ำเหลือง ส่วนวิชาที่เกี่ยวกับรากฐานของร่างกายมนุษย์อีกสามรายวิชาและวิชาชีวิตมนุษย์เขาให้น้อง ๆ ไปอ่านกันเอง เนื้อหาในวันนี้เริ่มต้นด้วยโครงสร้างของร่างกายส่วนล่างตามขอบเขตเนื้อหาของปีสองในครึ่งเทอมแรก เดือนแรมไล่ทุกชื่อทุกหน้าที่ทุกรายละเอียดของกล้ามเนื้อแต่ละมัดโดยชี้ไปตามรูปในหนังสือที่ฉายขึ้นจอใหญ่ให้เห็นโดยทั่วกัน


เนื้อหามีอยู่มากมาย ธันวาเบาใจไปเปราะหนึ่งที่เทอมแรกของชั้นปีที่สองยังไม่ได้เรียนผ่ากรอสส์จริงจังมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นแค่การชิมลางเท่านั้น การสอบในครึ่งเทอมแรกนี้จึงมีแต่ภาคทฤษฎีและแลปกริ๊ง แต่เพียงเท่านี้ก็ทำเอาสมองน้อย ๆ ของพวกเขาแทบบวมเสียแล้ว


เสียงของเดือนแรมทุ้มนุ่มน่าฟังและชวนเคลิ้มหลับในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าธันวาเผลอหลับตอนนี้มีหวังคงโดนคนที่อาสามาติวให้โกรธเข้าให้อีกรอบแน่ ๆ หนุ่มรุ่นน้องที่ชอบหลับในห้องเรียนเลยได้แต่จ้องคนติวตาใส


เดือนแรมเสียงสะดุดไปช่วงหนึ่งเพราะเผลอสบตาเข้ากับธันวา นี่น่าจะเป็นการถูกธันวาจ้องหน้านานที่สุดในชีวิตเขาแล้วก็ว่าได้ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่อาจกลั้นยิ้มไว้ให้กับความสำเร็จนี้ได้ ตอนนี้น้องจำหน้าเขาได้แล้ว ทั้งจำได้และรู้ด้วยว่าหน้าอย่างนี้ชื่อว่าเดือนแรม


“ตรง Popliteal fossa มีสามเส้น จำไม่ยากแต่ต้องแยกให้ออกเวลาสอบแลป...” เดือนแรมกำลังจะวางรูปที่ตนถ่ายจากร่างอาจารย์ใหญ่ให้รุ่นน้องดูว่าเส้นไหนคือเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำ และเส้นประสาท แต่ในจังหวะนั้นเองที่สายตาดันสบเข้ากับธันวาที่เบี่ยงเบนความสนใจที่เคยมีให้ตนไปหาคนอื่นเสียแล้ว


“โอ๊ย!” ธันวาร้องเสียงหลงเมื่อถูกปาศีรษะด้วยยางลบจากคนที่ยืนอยู่หัวโต๊ะ เมื่อหันไปมองหมายจะเอาเรื่องแต่พอพบกับสายตาคมดุจนตาแทบถลนออกมา คนที่จ้องจะแรงใส่ก็หงอลงทันที


“ฟังกูอยู่รึเปล่า”


“ฟ...ฟังครับ”


“กูพูดถึงไหนแล้ว”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอก่อนจะยอมรับความจริงออกมา “เอ่อ...ขอโทษครับ พอดีหวานตามไม่ทัน ผมเลยทวนให้เขาอยู่ครับ”


เดือนแรมจ้องหน้าธันวานิ่ง เด็กหนุ่มเริ่มคิดว่าวันนี้ตนโดนอีกฝ่ายจ้องหน้าด้วยสายตาแบบนี้กี่ครั้งแล้ว “มึงมานั่งนี่”


“แต่...”


“ถ้ายังไม่มาก็ไม่ต้องติวต่อ” เหมือนกดดันแทนเพื่อนทั้งกลุ่ม แม้จะอยากแข็งข้อด้วยมากขนาดไหนแต่ก็จำต้องเก็บของแล้วย้ายก้นออกจากที่เดิมอย่างจำยอม


“ครับ ๆ”


“ต่อไปใครไม่ทันตรงไหนให้ยกมือบอก” เดือนแรมว่าเสียงติดดุจนทุกคนพากันก้มหน้า “น้องหวานไม่ทันตั้งแต่ตรงไหนครับ พี่จะย้อนให้”


การติวเริ่มราบรื่นขึ้นอีกครั้งและยาวนานไปจนถึงห้าโมงเย็นโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเดือนแรมต้องใช้สมาธิขนาดไหนในการสอน เพราะมีคนที่ทำให้ใจสั่นมานั่งจ้องตาใสอยู่ในระยะใกล้แล้วยังตกเป็นจุดสนใจของคน ๆ นั้นอยู่ตลอดอีกด้วย


เมื่อสิ้นสุดการติวตลอดสี่ชั่วโมง หลายคนโอดโอยอย่างเกียจคร้านหลังจากขอบคุณเดือนแรมเสร็จแล้ว ก่อนพากันกลับไปพักผ่อน เหลือแค่ธันวา กรองเกียรติ ตฤณและหวานที่ยังอยู่ในห้องนี้กับเดือนแรม


“หวานขอโทษพี่แรมจริง ๆ นะคะที่ชวนธันวาคุย” รุ่นน้องสาวยกมือไหว้ขอโทษขอโพยด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ


“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมาก” หวานยิ้มอย่างสบายใจก่อนหันไปชวนเพื่อนชายทั้งสามคนไปทานอาหารเย็นด้วยกันพร้อมบรรดาเพื่อนสาวของเธอที่ออกไปยืนรออยู่ข้างนอกแล้ว


“เราฝากสองคนนี้ด้วยแล้วกันนะหวาน แต่เราไปไม่ได้อ่ะ ขอโทษด้วย ลุงมาหาน่ะ” ธันวาบอก ลุงประภาสนัดไว้นานแล้ว ท่านบอกว่าจะอ่านหนังสือสอบอย่างไรก็ต้องมีเวลาทานอาหาร เพราะอย่างนั้นธันวาจึงบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีก และปฏิเสธความหวังดีที่จะไปด้วยของเพื่อนสนิทเพราะไม่อยากรบกวนเวลาอ่านหนังสือของเพื่อนมากนัก จึงกลายเป็นว่าสองหนุ่มเดินตามหวานกับเพื่อนผู้หญิงลงไปก่อนเหลือเดือนแรมกับเขาเดินรั้งท้ายกันอยู่สองคน


“อนาโตมี่แม่งโคตรยากอ่ะ พี่แรมจำหมดนี่ได้ยังไง” นั่งฟังเดือนแรมพูดชื่อส่วนประกอบแต่ละชิ้นของร่างกายออกมาง่ายดายราวกับเป็นเพียงแค่ชื่อเพื่อนสนิทมาตลอดสี่ชั่วโมงแล้วก็ยังอึ้งไม่หาย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมด้วยความทึ่ง


“นี่ง่ายแล้ว”


“จ้าาาาา” อยากจะลากเสียงให้ยาวกว่านี้ด้วยความหมั่นไส้แต่ก็ยั้งไว้เพราะกลัวจะโดนเคืองเข้าให้อีกที่ไปแดกดันคุณเขา


“ถ้าเทียบกับเรื่องของมึง”


“...?...”


“แม่งยากฉิบหาย”


“เรื่องของผมคืออะไรวะพี่”


“นี่ไง...” เดือนแรมจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากคนน้อง “...นี่แหละที่ยากกว่าอนาโตมี่” แล้วก็ผละออกไปอย่างไว แต่คราวนี้ธันวาไม่ปล่อยให้คาใจ รีบสาวเท้าตามไปรั้งอีกฝ่ายไว้ด้วยการดึงชายเสื้อที่หลุดออกมานอกกางเกงของเขา


“หมายความว่าไงพี่แรม


“โง่”


“พี่เลิกว่าผมโง่สักที!!”


“ถ้าอยากให้เลิกว่าก็ไปหาเหตุผลมาให้ได้ว่าทำไมกูถึงยังด่ามึงว่าโง่”


ธันวานิ่งค้าง โดนด่าว่าโง่อย่างไร้เหตุผลแล้วยังต้องไปหาเหตุผลที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่ามารองรับความโง่ของตัวเองอีกหรือ ถ้าไม่เห็นว่ามีบุญคุณล้นเหลือช่วยติวกายวิภาคให้ เขาจะไม่ยอมหงอให้ขนาดนี้แน่!







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 12-09-2018 21:42:21

แม้นัดกันไว้แล้วว่าจะรับประทานอาหารเย็นด้วยกันที่หน้าโรงพยาบาลแต่ธันวาก็ยังเห็นคนเป็นลุงมารับถึงหน้าหอ หลานชายที่นำหนังสือมาเก็บที่ห้องก่อนแล้วยิ้มขื่น ไม่ได้ดีใจหรืออยากได้รับความรักที่เกินพอดีแบบนี้นักแต่ก็จำต้องเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้าที่คิดว่าปั้นได้สดใสที่สุด


ประภาสวางมือบนศีรษะหลานรักแทนการรับไหว้ก่อนดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นทั้งที่ยืนอยู่หน้าหอ


“คิดถึงจังเลยลูก” ประภาสโยกตัวไปมาช้า ๆ ทำให้คนในอ้อมกอดโยกตามไปด้วย


“คิดถึงคุณลุงเหมือนกันครับ” ธันวาขืนตัวออกก่อนถอยห่างหนึ่งก้าว “ไปกันเลยไหมครับ ผมมีเวลาไม่มากจริง ๆ”


ลุงประภาสระบายยิ้มอบอุ่นไปทั่วหน้ากอดคอหลานแล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน “ธันว์ต้องทานให้เยอะ ๆ เลยนะ ช่วงอ่านหนังสือจะมาอดมื้อกินมื้อไม่ได้”


“ครับ ว่าแต่วันนี้คุณลุงว่างเหรอครับ”


“สำหรับธันว์ ลุงว่างเสมอแหละลูก” ลุงประภาสลูบผมธันวา มันเป็นสัมผัสอ่อนโยนที่ชวนให้เขารู้สึกขนลุกอย่างไรก็พูดไม่ถูก นับตั้งแต่ที่ชีวิตนี้ไม่เหลือใครเป็นที่พึ่ง ลุงประภาสก็ก้าวเข้ามามีบทบาทมากในแบบที่ ‘เกินไป’ จนบ่อยครั้งเขาก็รู้สึกอึดอัดกับความรักที่ได้รับ


“คุณลุงไม่ชวนพี่ป้องมาทานด้วยกันเหรอครับ” ธันวาถามถึงญาติผู้พี่ทั้งที่ไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายนัก


“รายนั้นเขากลับบ้านไปแล้ว”


“อ้าว แล้วพี่ป้องรู้ล่วงหน้าไหมครับว่าคุณลุงจะมา”


“ไม่รู้หรอก ปล่อยพี่เขาไปเถอะ วันนี้ลุงมาหาธันว์ อยากใช้เวลากับธันว์”


ธันวายิ้มแห้ง ไม่ต่อความอะไรอีก


อาหารมื้อนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามเวลาที่มีจำกัด บทสนทนาส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่องราวในแต่ละวันของธันวาที่คนเป็นลุงอยากรู้จนคะยั้นคะยอให้เล่าต่อเนื่องแม้ว่าเจ้าตัวจะหมดเรื่องเล่าแล้วก็ตาม


ธันวากลับเข้าห้องมาพร้อมขนมสองถุงใหญ่ในตอนหนึ่งทุ่ม จัดแจงแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ให้สมาชิกห้องตัวเอง กรองเกียรติ ตฤณ และเดือนแรม แต่เมื่อไปหาเดือนแรมถึงห้อง เขากลับพบสมาชิกครบทุกคนยกเว้นคนที่อยากเจอ ถามไถ่จากปัท เพื่อนรุ่นเดียวกันได้ความว่าเดือนแรมลงไปอ่านหนังสือที่ห้องอ่านหนังสือรวมที่ชั้นหกตั้งแต่หลังอาหารมื้อเย็นแล้ว


จะว่าปีสามต้องอ่านหนังสือหนักมากกว่าพวกเขาก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้โอ๊คยังอ้อยอิ่งกับการจัดโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองราวกับเป็นช่วงเวลาว่าง ๆ ที่ไม่มีอะไรทำ ส่วนนันก็นอนดูหนังอยู่บนเตียง


“พี่โอ๊คไม่อ่านหนังสือเหรอครับ” ธันวาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ตอนนี้อาร์ตไม่อยู่ นันก็ใส่หูฟัง ไม่มีใครสนใจบทสนทนานี้นอกจากสองคนที่กำลังคุยกัน


“รีบไปไหนวะ”


“อ้าว แล้วทำไมพี่แรมเขาต้องขยันขนาดนั้นล่ะครับ ไอ้ปัทบอกว่าพี่แรมลงไปอ่านหนังสือข้างล่างตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จ” ธันวาจำได้ที่เดือนแรมเตือนเรื่องเป็นหมอไม่ควรสอบแค่พอผ่าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจว่าจะขยันเกินไปหรือเปล่า


“มันอยากได้เหรียญทอง”


“โห แค่เกียรติหนึ่งยังไม่พอเหรอพี่ ต้องเหรียญทองเลยเหรอ”


“เออ นั่นเป้ามัน”

 
ธันวานิ่วหน้า “แล้วพี่ไม่โกรธเหรอ”


โอ๊ควางงานในมือมามองหน้าคู่สนทนาเต็ม ๆ ตา “โกรธทำไมวะ”


“ไม่เชิงโกรธดิ แบบ...เพื่อนขยันเรียนเกินหน้าเกินตา มุ่งมั่นแต่จะโดดหลุดกลุ่มงี๊” เพราะตัดเกรดแบบอิงทั้งเกณฑ์และกลุ่ม คนอย่างเดือนแรมที่เกินเกณฑ์เอแน่ ๆ ก็คงหลุดโดดออกไปยืนบนยอดเดี่ยว ๆ แล้วสอยเอไปครองคนเดียวอย่างแน่นอน ซึ่งมันทำให้คนที่เกินเกณฑ์เอคนอื่น ๆ ต้องได้แค่บีบวกไปครองอย่างชอกช้ำ ธันวาคิดว่าถ้ามีคนแบบนี้ในรุ่น ตนก็คงจะรู้สึกเคืองขึ้นมาหน่อย ๆ ทั้งที่ตัวเองอ่อนเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเคืองคนที่เคร่งเรื่องเรียนมากจนทำให้เพื่อนต้องอ่านหนังสืออย่างหนักไปด้วยเพื่อตะกายขึ้นมาจากฐานให้ได้ และแม้ว่ากรองเกียรติเพื่อนรักจะขยันมากแต่ก็ยังไม่เท่าเดือนแรมอยู่ดี


“จะโกรธทำไม มึงโกรธเหรอ จริง ๆ แล้วพวกเราทุกคนในคณะนี้ควรขยันแบบมันด้วยซ้ำ ในอนาคตเราต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นนะเว้ย จะมาทำเล่น ๆ ไม่ได้”


ธันวายิ้มแห้ง “ครับ”


โอ๊คหันไปจัดกองหนังสือบนโต๊ะต่อ “ไอ้น้องธันว์...คนเรามีเป้าหมายไม่เหมือนกันหรอกนะ และถึงจะมีหลายคนอยากได้เหรียญทองเหมือนมัน แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนอยากได้ด้วยเหตุผลเดียวกับมันนะ”


ธันวาคิดตาม


“ที่มันต้องเร่งอ่านหนังสือหนักขนาดนี้ทั้งที่ยังพอเหลือเวลาเพราะว่ามันจะได้มีเวลาเหลือไปติวให้พวกมึงไง”


ได้ยินอย่างนั้นแล้วธันวาก็อยากจะซาบซึ้งความดีงามของเดือนแรมให้นาน ทว่าคนสมาธิสั้นอย่างธันวากลับเจอสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าขึ้นมานั่นก็คือสมุดบันทึกของโอ๊คที่มีหน้าปกอันบ่งบอกถึงสถาบันในระดับชั้นมัธยมปลายที่คุ้นเคย “พี่โอ๊คจบจากโรงเรียนนี้ด้วยเหรอครับ”


โอ๊คกระตุกยิ้มมุมปาก พูดบอกเพื่อนรักในใจว่า ‘กูไม่ได้ตั้งใจเลยจริง ๆ’ ก่อนตอบคำถามของรุ่นน้อง “อืม กูเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมึง”


ธันวาเข้าไปเกาะขอบโต๊ะอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น “ไม่เห็นเคยรู้เลย...เราเคยเจอกันมาก่อนไหมครับ พี่เคยเห็นผมไหม”


“เคยดิ แต่มึงไม่เคยเห็นกูหรอก”


ธันวายิ้มแห้ง เพราะตนไม่ค่อยสนใจใครอื่น ในสายตามีแต่เพื่อนสนิทและคนรู้จักไม่กี่คนเท่านั้น “เดี๋ยวนะครับ”


โอ๊คเลิกคิ้วมองอย่างรอคอยคำถามต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ


“พี่แรมก็ด้วยใช่ไหมครับ”


โอ๊คคลี่ยิ้มกว้าง พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ ก่อนเอ่ยคำตอบที่ทำให้ธันวาต้องยกมือกุมใจตัวเองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก “ใช่...พวกกูทั้งสี่คนนั่นแหละ”


อ่า...เพราะอย่างนี้นี่เอง


เพราะว่าเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่ากันมาก่อน เดือนแรมถึงได้ทั้งใจดีและกวนประสาทกันขนาดนี้






ค่ำคืนวันพุธยังคงยาวนานอย่างต่อเนื่อง ทั้งรุ่นพี่ปีสามและน้องปีสองในห้องต่างก็คร่ำเคร่งกับเนื้อหาของตัวเอง


สำหรับธันวา เมื่อได้อ่านชีทสรุปของเดือนแรมแล้วเหมือนจะมีแรงใจฮึกเหิมให้อ่านได้จำมากขึ้น ซึ่งคงเป็นเพราะเห็นคำว่าโง่ลอยออกมาจากชีทสรุปพร้อมเสียงและหน้าของคนเป็นต้นฉบับ เหมือนกับว่ามีตำราเทพอยู่ในมือทั้งทีถ้ายังสอบตกอีกก็คงโง่เกินไปแล้วไอ้ธันวาอย่างไรอย่างนั้น


“อยากย้ายกลับไปอยู่หอฝั่งมอ.ว่ะ” อาร์ตว่าในตอนที่ต่างก็พร้อมใจจะเข้านอนพร้อมกันในตอนตีสอง


“ทำไมวะ”


“อยากแหกปากร้องเวลาเครียด ๆ อย่างตอนนี้ไง”


โอ๊คกับนันหลุดขำ ธันวาเองก็ยิ้มตามไปด้วย คล้ายกับเป็นเรื่องเคยชินไปเสียแล้วในช่วงเทศกาลสอบเพราะบรรดานักศึกษาที่อ่านหนังสือจนใกล้ขีดที่เรียกว่า ‘บ้า’ หลายคนจะออกมาตะโกนหรือกรีดร้องนอกหอพักให้เสียงดังก้องไปทั่วทุกตึกในโซนหอในเพื่อระบายความเครียด แล้วเมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตะโกนรับ แต่สำหรับพื้นที่ในรั้วโรงพยาบาลคงทำแบบนั้นไม่ได้ จะกลายเป็นรบกวนผู้ป่วยเอาได้


“ปีที่แล้วมึงทำเหรอ”


“จะเหลือเหรอ ทั้งแคลฯ เจนเคม สแตท ไบโอ กูออกไปว้ากหมดอ่ะ”


“เสียงโคตรหลอน รับส่งกันอย่างกับหมาเห็นผี”


“ไอ้สัด ด่ากู”


“อยากว้ากนักก็ไปในมอ.สิวะ ไม่เห็นยาก” โอ๊คแนะนำ


“ไม่ไหวครับพี่ มันดึกไป น่ากลัว”


“งั้นก็นอนโว้ยไอ้น้อง นอน ๆ” นันว่าขำ ๆ ยิ่งเห็นรุ่นน้องฟึดฟัดด้วยความอึดอัดใจอยากจะระบายความเครียดออกมาเป็นเสียงให้ได้ก็ยิ่งขำ โอ๊คกับธันวาที่ไม่มีข้อเสนออื่นให้อีกก็พร้อมใจกันส่ายหน้าหนีแล้วปีนขึ้นเตียงพร้อมนอน







แม้วันนี้จะเป็นวันสอบกลางภาควันแรกที่มีกำหนดการสอบวิชาแรกตอนเก้าโมง แต่เดือนแรมก็ยังตื่นตามเวลาปกติเช่นเดียวกับสมาชิกในห้อง ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาแทบสิงตัวอยู่มุมโปรดในห้องอ่านหนังสือรวมของหอ ไม่ได้โผล่ออกมาพบใครหรือแม้แต่หาเวลาโผล่ไปให้ธันวาเห็นหน้า เช้านี้เดือนแรมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ยังนั่งรอเวลาเหมือนเช่นทุกวัน ในมือมีสมาร์ทโฟนที่เปิดหน้าต่างแชทของเฟซบุ๊คแอคเคาน์ที่เขาส่งสารหาในทุก ๆ เช้า ประธานรุ่นชั้นปีที่สามฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเช่นทุกวันเป็นภาพที่คุ้นตาสมาชิกในห้องมาพักใหญ่แล้ว


เจ็ดนาฬิกาคือเวลาที่ธันวาตื่นนอน ข้อมูลส่วนนี้เขาได้มาจากโอ๊คตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยรอคอยเวลาเท่าช่วงเดือนนี้ที่ตนมีภารกิจประจำต้องทำทุกเจ็ดโมงเช้า


สติกเกอร์หัวใจสีแดงถูกส่งออกไปพร้อมใจคนส่งที่เต้นรัวแรงขึ้นทุกครั้งที่ทำแบบนี้ เดือนแรมกำลังจดจ่อราวกับลุ้นว่าอีกฝ่ายจะส่งสติกเกอร์หน้าตาแบบไหนกลับมาทั้งที่ได้รับแมวขู่ฟ่ออยู่ทุกวันจนบทสนทนาในหน้าแชทมีแต่รูปหัวใจสลับกับแมวยาวเป็นหางว่าวแบบที่ไม่มีสิ่งอื่นใดแปลกปลอมเข้ามาเลย รูปโปรไฟล์ของอีกฝ่ายเลื่อนลงล่างสุดบ่งบอกว่าเจ้าตัวเปิดอ่านแล้วยิ่งทำให้เดือนแรมลุ้นยิ่งขึ้น ทว่าสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหยุดหายใจไปหรือเปล่าในตอนที่เห็นสติกเกอร์แบบเดียวกันถูกส่งกลับมา!!













TBC.
---------------------------------------------------------------
ทุกคนจะได้พบกับความเป็นคนดีของธันวา
ให้ใจมาก็ให้ใจกลับ ไม่โกงฮะ
๔ ค่ำ จะมีแค่พาร์ทเดียวนะคะ
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-09-2018 22:49:38
สรุปน้องกดผิด พี่แรมนก 555555555555

ปล. รู้สึกกลัวคุณลุงแหลกๆค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 12-09-2018 23:21:32
น้องกดผิดแน่เลย 555 สงสารพี่แรมล่วงหน้า

//แต่เรื่องลุงกับที่บ้าน โผล่มาทีไรก็น่ากลัว  :katai1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-09-2018 02:37:31
พี่แรมสู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-09-2018 09:14:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 13-09-2018 19:45:19
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-09-2018 22:42:17
พี่แรมช็อคไปรึยัง 55555
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 14-09-2018 21:33:58
ไหวไหมคะพี่แรม ฮ่าๆๆๆๆ จะนกไม่นกนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 18-09-2018 21:57:11
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒






เดือนแรมกำลังทำให้เพื่อนหมั่นไส้


วันนี้สอบเป็นวันแรก แล้วตัวเต็งอย่างเดือนแรมกำลังเดินเข้ามาหน้าห้องสอบด้วยสีหน้าสดใสเกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วมรุ่นอย่างกับคนที่พร้อมสอบมากถึงมากที่สุด เรียกได้ว่าข่มขวัญเพื่อนตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าห้องสอบเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่โวยวายกับอาการ ‘ยิ้มหน้าแป้น’ ของคนหน้าดุ ยิ่งในตอนที่เดินออกจากห้องสอบ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกอยากกระชากยิ้มนั่นออกไปจากหน้าเดือนแรมเสียจริง


“รู้แล้วว่าทำข้อสอบได้ จะยิ้มอะไรนักหนา กูหมั่นไส้เว้ย” โอ๊คโวยวายทีเล่นทีจริง สำหรับเขาเช้าวันนี้ไม่ได้แย่นัก ถึงไม่มั่นใจว่าทำได้มากเท่าเดือนแรมแต่ก็คิดว่าไม่ตกจากกลุ่มยอดพีระมิดแน่


“เออ น่าหมั่นไส้” บอยเสริม


“ไม่เกี่ยวกับเรื่องสอบหน่า” เดือนแรมบอกปัด น้ำเสียงคล้ายจะรำคาญแต่รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้า ไนท์ที่มองอยู่เงียบ ๆ จึงลองโยนหินถามทาง “เกี่ยวกับธันวาเหรอ”


“เชี่ย!” บอยกับโอ๊คประสานเสียงกันดังเมื่อเห็นรอยยิ้มของเพื่อนกว้างขึ้นแทนคำตอบจนไนท์ต้องมองดุเพราะตอนนี้พวกเขายังไม่ออกจากพื้นที่หน้าห้องสอบ


“เกิดอะไรขึ้นวะ เล่าซิ” โอ๊ครีบแทรกตัวเข้ามากอดคอเพื่อนรักแล้วกระซิบถาม บอยจะเข้ามาฟังด้วยแต่โดนไนท์ดันหน้าผากไว้ให้ออกห่าง


“พอเลยพวกมึง เพื่อนมองกันใหญ่ละ เก็บความเสือกไว้ก่อน” ไนท์ทำหน้าที่รุนหลังเพื่อนทั้งสามให้เคลื่อนออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด


ช่วงเวลาพักกลางวันที่ปกติจะมีเสียงจอแจมากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นพักกลางวันหลังสอบด้วยแล้วยิ่งเสียงดังจนชวนปวดหัว สี่หนุ่มเร่งฝีเท้าออกมาไม่ทันไกลจากเพื่อนร่วมรุ่นนักก็เจอกับหนุ่มรุ่นน้องที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเดินมาจากอีกห้องหนึ่งเสียก่อน มิหนำซ้ำฝ่ายนั้นยังยืนยิ้มแฉ่งส่งมาทางนี้อีกด้วย


“เฮ้ย ๆ” โอ๊คสะกิดคนข้าง ๆ “ทำไมวันนี้น้องยิ้มให้มึงวะ ฮั่นแหน่ แผนสำเร็จแล้วเหรอวะ”


“มีคนหน้าแดงด้วยว่ะ” บอยเสริม ขณะที่ไนท์เพียงแค่เหลือบมองยิ้ม ๆ เท่านั้น


“พูดมาก” เดือนแรมตวัดตามองดุ ทว่าเพราะกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ น้ำเสียงจึงไม่ดุตามสักเท่าไหร่


ทั้งสองกลุ่มเดินมาบรรจบกันก่อนลงบันได ธันวาตั้งใจเดินรั้งท้ายคู่กับเดือนแรม สังเกตเห็นสีหน้าสดใสของอีกฝ่ายก็เดาได้ในทันทีว่าผลพวงจากความขยันของเจ้าตัวคงไม่ทรยศให้เจ็บช้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยถามเพราะอยากชวนคุย


“พี่ทำข้อสอบได้ล่ะสิ/มึงทำได้รึเปล่า” ทั้งสองถามขึ้นมาพร้อมกัน ธันวาเห็นเดือนแรมเกาท้ายทอยแก้เขินด้วย รู้สึกว่าน่ารักกว่าทำหน้าดุเป็นไหน ๆ


“คิดว่าไม่น่าเกลียดอะไรนะครับ” ธันวายิ้มแหย “เพราะได้พี่ช่วยชีวิตไว้”


“จะดีกว่านี้ถ้ามึงไม่หลับในห้องเรียน” เดือนแรมจิ้มนิ้วชี้ลงบนหน้าผากน้องราวกับต้องการฝังคำพูดตัวเองลงไปให้น้องจำได้


“ครับ ครับ”


ลงมาถึงพื้นล่างได้ก็พบว่ากลุ่มเพื่อน ๆ ตนเดินนำหน้าไปหลายก้าวแล้ว เห็นอย่างนั้นแทนที่เดือนแรมจะรีบสาวเท้าตามไปกลับเดินทอดน่องให้ช้าลงเพื่อรั้งคนที่เดินคู่กันให้เดินช้าลงไปด้วยเพื่อจะได้อยู่กันตามลำพังได้นานขึ้น


ไม่ได้เห็นหน้าหลายวัน คิดถึงจะแย่


“เออพี่! ผมรู้แล้วนะ”


“รู้อะไร”


“พี่แรมเป็นรุ่นพี่โรงเรียนผมใช่ป่ะ”


เดือนแรมชะงักเท้า หันมามองหน้าน้อง ตรงนี้ยังโล่งเพราะคนส่วนใหญ่ยังออกันอยู่หน้าห้องสอบเพื่อคุยเรื่องคำตอบกันอยู่ “มึงรู้แล้ว?”


ธันวายิ้มกริ่ม “ผมฉลาดขึ้นนึดนึงแล้วใช่ไหมล่ะ”


“แค่จำได้ไม่ได้แปลว่าฉลาดขึ้น”


ธันวาหน้าเหวอ


“มึงก็ยังโง่เหมือนเดิม” ว่าแล้วก็ก้าวเดินต่อ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันกลับมาอีกครั้ง


บางอย่างที่ทำให้เขาอารมณ์ดีทั้งวันจนเพื่อนหมั่นไส้


“ทำไมเมื่อเช้าส่งหัวใจกลับมา”


ธันวายิ้มกว้าง “ก็อยากให้อ่ะ”


เดือนแรมดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มแม้ว่าอยากจะยิ้มออกมาให้กว้างอย่างน้องแต่ก็ไม่กล้า “จะกวนตีนกู?”


“เปล่าซักหน่อย เห็นว่าพี่ให้ใจมา เลยอยากจะให้กลับบ้างเท่านั้นเอง”


เดือนแรมสะดุดลมหายใจตัวเอง บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร “อะ อะไรนะ พ...พูดจริง ๆ เหรอ”


“ก็จริงสิครับ พี่ทุ่มเทให้พวกผมด้วยหัวใจของพี่ ผมเลยอยากให้ใจพี่คืนบ้าง” แล้ววันนี้ก็สอบวันแรก เลยอยากเป็นตัวแทนรุ่นน้องที่ได้รับเมตตาจากเดือนแรมส่งกำลังใจให้อีกฝ่ายบ้าง


จบคำอธิบายของน้อง คนหน้าดุก็ริบรอยยิ้มคืนจากใบหน้าเหลือทิ้งไว้แต่เค้าดุดังเดิมที่ออกจะมากขึ้นด้วยซ้ำในความคิดของธันวา “อยากตายไหมธันวา”


“เอ้า ผมผิดอะไรอ่ะ”


เดือนแรมถอนหายใจ “มึงส่งหัวใจให้ทุกคนที่มึงอยากให้ใจเขาเลยรึเปล่า”


หนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้า “ส่งให้พี่คนเดียว”


เดือนแรมถอนหายใจอีกรอบ “จำไว้นะ อย่าทำแบบนี้กับใครอีก คนเขาจะคิดเอาได้ว่ามึงชอบ” เมื่อเช้าก็เผลอดีใจแทบแย่ ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าจะมีสมาธิเพียงพอจะเข้าห้องสอบ


“แต่พี่ก็ส่งให้ผมนี่” ผมยังไม่คิดเลยว่าพี่ชอบ...ธันวาทดประโยคหลังในใจ


“ก็บอกไปแล้วไงว่าชอบ”


อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป นานทีเดียวกว่าจะเปล่งเสียงออกมา “ชะ ชอบผมเหรอ”


เดือนแรมเงียบเพราะคิดว่าน้องจะถามอะไรโง่ ๆ ออกมาอย่างทุกที ไม่คิดว่าจะถามตรงจุดแบบนี้ ทั้งที่รอให้น้องรู้ตัวมาตลอดแต่พออีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแบบนั้นกลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้น้องยังไม่ชอบเขา ถ้าบอกออกไปก็กลัวว่าน้องจะถอยห่าง ความพยายามเข้าใกล้ที่ผ่านมาคงสูญเปล่า


แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้...จะสายเกินไปไหม


“อืม”






มึงพูดถูก พี่แรมชอบกู


ธันวาอยากจะพูดออกไปอย่างนั้นในตอนที่กรองเกียรติถามว่าเป็นอะไรเพราะเห็นเขาเอาแต่นั่งเหม่อ จิ้มส้อมบนเนื้อไก่ทอดแล้วถอนหายใจก่อนจะจิ้มอีกครั้งและอีกครั้งจนใกล้กลายเป็นไก่ป่นเต็มที


ถึงเดือนแรมจะไม่ได้พูดออกมาชัด ๆ แต่เขาก็ไม่โง่เกินกว่าจะไม่เข้าใจคำว่า ‘อืม’ ที่แทบจะเป็นแค่เสียงครางในลำคอเท่านั้น


“ไม่อร่อยรึยังไง ปกติเห็นกินออกบ่อย”


ธันวาเงยหน้ามองกรองเกียรติ ตั้งใจจะส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่พอส่ายไปด้านซ้ายได้ไม่กี่องศาก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมดุของคนที่จ้องมาก่อนอยู่แล้ว หนุ่มรุ่นน้องรีบหลบตาอย่างลุกลี้ลุกลน รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเสียอย่างนั้น


“ไอ้ธันว์” กรองเกียรติเรียกซ้ำด้วยความเป็นห่วง


“กินแล้ว ๆ” ว่าแล้วก็จ้วงข้าวเข้าปากไปคำหนึ่งแล้วไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาใครอีกเลย อยากจะด่าว่าเพื่อนรักเสียจริงที่เลือกนั่งโต๊ะเดียวกับรุ่นพี่กลุ่มนี้ทั้งที่มีที่ว่างตั้งเยอะ เขาที่เดินตามมาทีหลังจึงจำต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเดือนแรมให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างเสียไม่ได้


และธันวาก็อยากด่าพี่โอ๊คเหมือนกัน…


“เห้ยน้องธันว์ ทำอะไรเพื่อนพี่วะ ทำไมมันยิ้มทั้งครึ่งวันเช้าเลย”


ช่วยไม่ได้ที่ธันวาต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และเพราะว่าไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรกว่าโอ๊คนั่งตรงไหน จึงจำต้องไล่กวาดสายตาแล้วสบกับทุกคน ทุกคนจริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ไนท์ที่ไม่ค่อยสนใจวงสนทนา


“ไม่เกี่ยวกับผมหรอกครับ” ธันวาตอบอ้อมแอ้ม ดูอย่างไรก็มีพิรุธจนน่าแกล้งอีกหน่อย


“จริงเหรอ ไม่เกี่ยวจริงดิ?”


“มึงจะเซ้าซี้น้องไปทำไม น้องบอกว่าไม่เกี่ยวก็คือจบ” เดือนแรมว่าเสียงนิ่ง หน้ากลับมาดุผิดกับเมื่อเช้าลิบลับจนเพื่อนทำตัวไม่ถูก


เมื่อประเด็นตกไปธันวาตั้งใจหันกลับมาสนใจอาหารต่อ แต่ดันสะดุดตากับใบหน้าจับผิดของเพื่อนสนิท คนถูกมองยิ้มแหยก่อนรีบจัดการอาหารตรงหน้าเพื่อหลีกหนี


โชคดีที่ภาคบ่ายวันนี้ไม่มีสอบต่อ เขากับกรองเกียรติจึงพากันไปอ่านหนังสือในหอสมุด แต่คงมีแค่กรองเกียรติเพียงคนเดียวที่ได้อ่าน เพราะธันวามัวแต่คิดถึงเรื่องที่คุยกับเดือนแรมเมื่อตอนกลางวันจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือ


หลังจากได้รับคำตอบว่า ‘อืม’ เขาก็แทบไม่รับรู้อะไรต่อจากนั้นอีกแล้ว แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่ามันจะเป็นความจริง เพราะถ้าเดือนแรมไม่พูดออกมาตรง ๆ เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่าย ‘ชอบ’


‘พ...พี่ชอบผมจริง ๆ เหรอ’


เขาถามออกไปอย่างนั้น เดือนแรมไม่ตอบ รุ่นพี่หน้าดุเพียงแค่ใช้ความจริงใจในหน่วยตาทำหน้าที่นั้นแทน


ในตอนนั้นธันวารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างจะระเบิดเสียให้ได้ และไม่รู้ว่าเผลอทำหน้าแบบไหนออกไปด้วย


กรองเกียรติละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองเพื่อนที่นั่งเหม่อเอาแต่ถอนหายใจแล้วก็ฟุบหน้ากับโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเหม่อใหม่อีกรอบวนอยู่อย่างนั้นหลายนาทีแล้วจนเขาไม่เป็นอันอ่านหนังสือไปด้วย


“เป็นอะไร”


“ไม่มีอะไร” ธันวาตอบเสียงเอื่อย


กรองเกียรติจ้องหน้าคนที่กล้าบอกว่าไม่มีอะไรทั้งที่ทำตัวผิดปกติตั้งแต่ที่โรงอาหารแล้ว เขาใช้สายตากดดันจนอีกฝ่ายเริ่มนั่งไม่ติด นัยน์ตาหลุกหลิกเหมือนคนทำความผิดแต่ก็ยังไม่ยอมสารภาพออกมา


“เกี่ยวกับพี่แรมใช่ไหม”


ท่าทางเลิ่กลั่กยิ่งกว่าเดิมของเพื่อนคือคำตอบชัดเจนเพียงพอ ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อมีหวังไม่ได้อ่านหนังสือกันทั้งคู่


“พี่เขาทำไม”


“ทำเสียงดุอย่างกับเป็นพ่อ”


“ตอบ ก่อนที่จะสอบตกกันหมดนี่”


ธันวานิ่งไป ทั้งรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือไปด้วยและไม่กล้าเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น


“หรือจะให้กูลากมึงไปถามพี่แรมด้วย”


“ก...กู คือ…”


กรองเกียรตินิ่งรออย่างใจเย็น มองเพื่อนที่หันซ้ายหันขวาเหมือนดูลาดเลาว่าตรงนี้ปลอดภัยพอจะพูดเรื่องสำคัญ


“พี่แรม...บอกว่าชอบกู”


กรองเกียรติไม่ได้ยิ้ม ทั้งที่เป็นอย่างที่เขาคาดเดาและเตือนเพื่อนไว้ตั้งแต่ทีแรกแต่นี่ไม่ใช่เวลามาข่มกันว่า ‘กูบอกมึงแล้ว’ เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วนคือความรู้สึกเพื่อนเขาตอนนี้


“มึงรังเกียจเขาไหม”


“ไม่นะ” ธันวาตอบโดยไม่ต้องคิด


“เหมือนพี่ภีม?”


คราวนี้ธันวาหยุดคิด น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ชอบเดือนแรมนักจากการที่ถูกกวนประสาทอยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมพอรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายแบบนี้แทนที่ความรู้สึกด้านลบจะยิ่งมีมากขึ้นกลับกลายเป็นว่าได้รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ผ่านมาเขาไม่ได้รู้สึกแย่กับเดือนแรมขนาดนั้น


“...ไม่เหมือน”


“แล้วยังไง อะไรที่ทำให้มึงคิดมากจนไม่เริ่มอ่านหนังสือสักทีวะ”


“ไม่รู้อะ…” ธันวากุมขมับตัวเอง “...กูรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกเวลาเจอพี่เขาอ่ะ”


“อึดอัด?”


“ไม่ ๆ”


“กลัว?”


“ไม่อ่ะ”


“เขิน?”


“...”


“ว่าไง เขินเหรอ?”


“ไม่น่าใช่นะ”


กรองเกียรติจะถือว่าไม่ได้ยิน เพื่อนเขาบอกว่าไม่ได้เขินทั้งที่หน้าแดงและเผลอหลบสายตาทุกครั้งที่สบตากับเดือนแรม มิหนำซ้ำยังไม่รังเกียจอีกฝ่ายอีกด้วย ว่ากันตามตรงแล้วเขาอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับธันวามาตั้งนาน เห็นผู้ชายมาจีบเพื่อนคนนี้ก็เยอะ มีไม่กี่คนหรอกที่มันจะไม่กลัวเขา นอกจากพี่ภีมก็เห็นจะอีกมีแค่คนเดียวคือเดือนแรม


...หรือคราวนี้ธันวาจะเป็นเกย์จริง ๆ


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะชี้ทางเพื่อนตอนนี้ให้คิดมากไปใหญ่


“งั้นก็อ่านหนังสือ ไม่มีอะไรต้องคิดมากแล้ว ในเมื่อไม่รังเกียจ ไม่กลัว ไม่อึดอัด ก็ทำตัวเหมือนเดิมแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง”


“อืม” ธันวาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนถอนหายใจทิ้งหนึ่งทีแล้วเริ่มอ่านหนังสืออย่างจริงจัง




ตารางสอบที่ติดกันทุกวันไม่มีวันพักทำให้นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองและสามต้องอ่านหนังสือให้เข้าใจและจำได้ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้เพื่อที่ช่วงสอบจะได้อ่านแค่เนื้อหาย่อหรือท่องจำเพิ่มเติมในส่วนที่ยังจำไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเอาตัวรอดได้ด้วยวิธีนี้


...และถ้าไม่ได้เดือนแรมคอยช่วย ธันวาเองก็คงไม่รอดเช่นกัน


หลังอาหารมื้อเย็น ธันวาแวะไปยังกล่องมิลเลอร์เพราะรู้สึกผิดกับการตัดรอนความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยการหลบตา แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าในกล่องของตัวเองมีกระดาษโน้ตจากอีกฝ่ายอยู่ในนั้นก่อนแล้ว


‘ไม่ต้องชอบกูก็ได้ แต่อย่าหายไปไหนอีกเลย’


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร รู้แค่ว่าตอนนี้ตนคงทำให้อีกฝ่ายคิดมาก และถ้าหากเดือนแรมสอบตกหรือไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งใจไว้ เขาคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ


เด็กหนุ่มหยิบปากกาออกมาบรรจงเขียนข้อความตอบกลับไปตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง พับสองทบแล้วหย่อนลงในกล่องของเดือนแรม


‘ตั้งใจทำข้อสอบนะครับ’




กว่าช่วงเวลาอิสระจะมาถึงก็ล่อเอาเกือบเป็นศพ การสอบในชั้นปีที่สองหนักหน่วงกว่าปีหนึ่งอยู่มาก ปีหนึ่งที่ยังมีความคล้ายมัธยมปลายเพราะเรียนเนื้อหาวิทย์ คณิตทั่วไป แต่ชั้นปีที่สองที่มีแต่รายวิชาเกี่ยวกับวิชาชีพล้วน ๆ นั้นหนักหน่วงจนต้องขอฉลองด้วยการเข้าร้านเหล้าซักครั้งในชีวิต!


แต่ต้องไม่ใช่คืนนี้!!


กรองเกียรติเตือนสติเพื่อนรักไว้อย่างนั้น เนื่องจากพวกเขาสอบเสร็จกันกลางสัปดาห์ที่วันต่อมาก็ต้องเรียนต่อทันทีไม่มีว่างเว้น เพราะอย่างนั้นจึงปล่อยตัวปล่อยใจให้เมาราวกับเป็นช่วงวันหยุดคงไม่ได้


วันนี้จึงต่างจากทุกวันก็แค่อาบน้ำแล้วเข้านอนก่อนตีสองอย่างหลายวันก่อนหน้านี้เท่านั้น


เสียงเกากีตาร์ดังให้ได้ยินทันทีที่ธันวาเปิดประตูเข้ามาหลังจากไปอาบน้ำ คนเป็นรุ่นน้องวางตะกร้าอาบน้ำในส่วนของตัวเองก่อนเดินไปบริเวณเตียงนอนพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดผมไปด้วย


พื้นที่แคบ ๆ ระหว่างเตียงสองชั้นที่หันด้านข้างเข้าหากันปรากฏร่างสูงโปร่งพันผ้าขนหนูท่อนล่างอวดผิวขาวใสช่วงอก มือชูขึ้นง่วนกับการเช็ดผม ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอออกคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลายเป็นอ้ำอึ้งพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าบนเตียงโอ๊คที่ตนยืนหันหน้าเข้าหาไม่ได้มีแค่เจ้าของเตียงแต่มีเพื่อนของเจ้าตัวอยู่กันครบแก๊งและกำลังมองมายังตนตาค้างไม่ต่างกัน!!


เสียงเกากีตาร์เงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จากเดิมที่กลัวจะโดนเดือนแรมว่าเรื่องที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้ามาตั้งแต่ห้องอาบน้ำ กลายเป็นว่าตอนนี้กลัวสายตาของเดือนแรมที่จับจ้องร่างกายตนมากกว่าเพราะคำว่าชอบที่วิ่งวนอยู่ในหัว เท่าทันความคิดผ้าบนศีรษะถูกลดลงมาปิดร่างช่วงบนของตัวเองในทันที


“ขาวจังวะ” บอยพูดออกมาอย่างเหม่อลอยทั้งที่ตัวเองขาวกว่ารุ่นน้องตรงหน้าเสียอีก ธันวาไม่ทันตั้งตัวกับคำชมนั้นเพราะมีหมอนอิงลอยมาโดนตัวเสียก่อนจนต้องรีบคว้าไว้ด้วยความตกใจ


“จะยืนรอให้กูไปใส่เสื้อให้รึไง!!”


“อะไรเล่า!” ธันวาว่า ทั้งเคืองทั้งเขินพร้อมกับโยนหมอนกลับไปหาเจ้าของเสียงดุแล้ววิ่งหนีไปหน้าตู้เสื้อผ้าของตัวเอง


ใบหน้าเห่อร้อนจนไม่กล้าส่องกระจกให้ประจานตัวเองเลยว่าจะหน้าแดงขนาดไหน และเพราะไม่ได้ส่องจึงไม่ทันรู้ว่าเนื้อตัวก็แดงราวกับกุ้งสุกไปแล้ว ไหนจะหัวใจที่เต้นแรงจนเกือบจะทะลุหน้าอกออกมาอีกเล่า ธันวาอยากจะร้องโอยออกมาดัง ๆ เพื่อคุมทุกความผิดปกติของร่างกายให้เป็นปกติเสียจริง


“อะแฮ่ม” เสียงใครสักคนจากเตียงนั้นดังขึ้น ธันวามารู้ในประโยคต่อมานี้เองว่าเป็นโอ๊ค “วันนี้พวกพี่ขออนุญาตเล่นดนตรีในห้องนะน้องธันว์ โอเคเปล่าวะ”


จะไม่โอเคเพราะสายตาของเดือนแรมเมื่อครู่เนี่ยแหละ มองเหมือนดุแต่กลับทำให้รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าและตัวชวนให้รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายจับเปลื้องผ้าทั้งที่ก็เปลือยท่อนบนอยู่แล้ว


“ไม่มีปัญหาครับ” สิ้นคำอนุญาตเสียงเสียงเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง


ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าธันวาจะใส่เสื้อผ้าเสร็จ เสียเวลาต่ออีกนิดเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อย เสื้อบาสฯแขนกุดที่มีช่องแขนกว้างกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าที่ใส่อยู่ทุกคืนคงไม่โชว์เนื้อหนังมากเกินไปใช่ไหม หันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจรื้อหาเสื้อแขนยาวกับกางเกงวอร์มมาเปลี่ยนในตอนที่เพลงแรกจบลงพอดี ธันวาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนเดินเข้าไปปีนขึ้นเตียงตัวเองโดยไม่มองสบตาใครอีกแต่จังหวะที่กำลังปีนเตียงยังทันเห็นว่านันกับอาร์ตนั่งรวมกันอยู่ใต้เตียงตัวเอง


“คืนนี้หนาวเหรอวะธันว์ ใส่ซะมิดชิดเลย” โอ๊คถามติดตลก อยากจะขำออกมาดัง ๆ อยู่เหมือนกันแต่ก็กลัวว่าน้องมันจะเขิน สำคัญคือไอ้คนที่เอาร่างควาย ๆ มาเบียดเขาบนเตียงนี่จะถีบเอาได้


“นิดหน่อยครับ” ธันวายิ้มแห้ง ทิ้งตัวลงนอนแล้วห่มผ้าถึงแค่ช่วงเอวเพราะรู้สึกร้อนมากกว่าหนาวอย่างที่บอกไป


“จะนอนแล้วเหรอวะ พวกพี่ย้ายห้องกันก็ได้นะ” โอ๊คว่าอย่างเกรงใจ ไร้ท่าทีล้อเล่นอย่างเคย


“ยังครับ แค่นอนเล่นเฉย ๆ ยังไม่ได้จะหลับเลย พี่ ๆ เล่นกันในนี้แหละ ผมอยากฟังด้วย” ธันวาเสริมคำพูดตัวเองด้วยการตะแคงตัวหันไปหาเตียงฝั่งตรงข้ามซึ่งพบว่ามุมสายตาโฟกัสกับคนที่นั่งเตียงล่างแบบพอดิบพอดี


ออกจะเขินอยู่เล็กน้อยที่ถูกเดือนแรมจ้องมองมา ไม่ทันสังเกตรายละเอียดว่าเป็นสายตาแบบไหนเพราะมัวแต่ทำใจดีสู้เสือ ปั้นหน้าเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงและพยายามไม่มองไปยังเขาคนนั้น


เพลงแล้วเพลงเล่าที่ทั้งห้องร่วมกันร้องโดยมีบอย ชายหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเป็นคนเล่นกีตาร์ ธันวาเองนอกจากนอนมองแล้วก็ร่วมร้องคลอตามไปด้วยในพื้นที่ของตน มีบ้างที่เผลอไปสบตาเข้ากับนัยน์ตาคมดุที่หลบเลี่ยงมาโดยตลอด


“ปฏิเสธหัวใจอย่างไร ฉันทำไม่เป็น เมื่อได้เห็นเธอเข้ามาทักทาย...” ต้นเสียงอย่างไนท์ขึ้นต้นเพลงใหม่ก่อนที่คนที่เหลือจะร้องขึ้นพร้อมกัน
.
.
‘หลงรักเธออยู่’


“แอบหลงรักเธออยู่” คงเป็นเพราะเสียงพูดที่แทรกขึ้นมาตรงจังหวะที่กีตาร์เว้นไว้ให้ถึงได้ดึงสายตาคนที่นอนเตียงบนให้จ้องตอบเจ้าของท่อนพูดเหมือนในเพลงต้นฉบับได้


‘แอบหลงรักเธออยู่’


‘แต่เธอคงไม่รู้’


“แต่เธอคงไม่เคยจะรู้”


‘แต่เธอคงไม่รู้’


“ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเหรอวะ” โอ๊คแทรกขึ้นมาราวกับเตี๊ยมกับบอยไว้แล้วว่าจะเว้นจังหวะเพลงไปอีกนิดเพื่อให้ตนได้ล้อเพื่อนที่เอาแต่มองรุ่นน้องเตียงบนไม่วางตา


“วู้วววววว”


ทั้งการแซวของโอ๊คทั้งเสียงโห่ร้องผิวปากของรุ่นพี่ยังไม่ทำให้ธันวาหน้าร้อนได้เท่ากับสายตาของเดือนแรมที่จ้องมองมาในตอนที่พูดประโยคพวกนั้นเลยสักนิด มันร้อนจนไม่อาจทนทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรได้อีกต่อไปแล้ว เด็กหนุ่มพลิกตัวหันหน้าหนีเข้าผนังห้องหมุดซีกหนึ่งของใบหน้าเข้ากับหมอนหลบสายตาจากทุกคนด้วยความอาย ไม่วายโอ๊คยังส่งเสียงตามมาแซวอีกจนได้ว่า “นั่นมึงจะนอนแล้วเหรอวะ”


“ครับพี่!”






สุดสัปดาห์แรกหลังสอบเสร็จหอพักนักศึกษาแพทย์เกือบจะกลายเป็นหอร้างเพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันกลับบ้าน หลายคนเลือกกลับตั้งแต่เย็นวันศุกร์ ขณะบางคนรอเช้าวันเสาร์ ซึ่งสองในนั้นคือธันวากับกรองเกียรติที่ตกลงกันแล้วว่าจะไปนั่งดื่มกันที่ร้านเหล้ากับดีน เพื่อนสนิทต่างคณะ


โอ๊คเป็นรุ่นพี่ที่ใส่ใจคำพูดตัวเองและเป็นห่วงรุ่นน้องอย่างเขามากเกินไป...ธันวาคิดอย่างนั้น เพราะตอนที่รู้ว่าทุกคนในห้องพร้อมใจกันกลับบ้านตั้งแต่เย็นวันศุกร์ โอ๊คก็รับปากเขาทันทีว่าจะหาคนมานอนเป็นเพื่อนตน จะได้ไม่รู้สึกกลัวเหมือนอย่างที่เคยคุยกันไว้


และถ้าธันวารู้ว่าโอ๊คจะให้เดือนแรมมานอนเป็นเพื่อน เขาคงเลือกกลับบ้านตั้งแต่วันศุกร์จะดีกว่า!!


ดูอย่างตอนที่เขากำลังแต่งตัวแต้มน้ำหอมที่ซอกคอในตอนหนึ่งทุ่มโดยมีเดือนแรมในชุดพร้อมนอนนั่งมองจากเตียงของโอ๊คนั่นสิ อย่างกับผู้ปกครองมานั่งคุมความประพฤติมากกว่าแค่มานอนเป็นเพื่อนเสียอีก


“จะไปไหน” เท่าทันความคิด เสียงดุ ๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้นทันที


“ข้าวสารครับ” เขาตอบทั้งที่ยังง่วนอยู่กับการเซตผมหน้ากระจก


“ร้านเหล้า?”


“ครับ” ธันวาไม่อยากโกหก เห็นอีกฝ่ายอึ้งไปเล็กน้อยก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม


“อายุถึงแล้วเหรอ”


“ตั้งแต่ต้นปีแล้วครับ”


“ไปกับใคร”


“เพื่อนครับ”


“…”


“พี่จะห้ามรึเปล่า” ธันวาหันไปเผชิญหน้า ไม่รู้ทำไมถึงถามออกไปแบบนั้นทั้งทีเคยย้ำอยู่ตลอดว่ารุ่นพี่ไม่มีสิทธิ์ แต่คงเพราะอย่างนั้นอีกเหมือนกันถึงได้ถามออกไป เพราะมักจะถูกเดือนแรมห้ามนั่นห้ามนี่อยู่เสมอด้วยความเคยชินถึงได้คิดว่าครั้งนี้ก็อาจจะโดนห้ามเหมือนกัน


“มีสิทธิ์อะไรไปห้าม” คนแอบชอบฝ่ายเดียวอย่างเขามีสิทธิ์สร้างความลำบากใจให้คนที่ชอบด้วยหรือ แค่ได้อยู่ใกล้ ๆ แบบไม่ให้ไปรกสายตาอีกฝ่ายก็ดีแค่ไหนแล้ว


คนแอบชอบก็มีสิทธิ์แค่นั้น ถูกต้องแล้ว


แต่ว่านะ…


...ในฐานะคนที่กำลังจีบ เขาก็ต้องหาโอกาสทำคะแนนด้วยไม่ใช่หรือ?


“แต่ขอสิทธิ์ตามไปดูแลได้ไหม”









TBC.
----------------------------------------------------------------
ตอนนี้มาเร็วมากกกกกกกกก เนอะ
อยากให้ลองไปฟังเพลงปฏิเสธอย่างไรกันดูนะคะ มันจะมีเสียงพูด
ฝากเชียร์พี่แรมของน้องด้วยนะคะ
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 18-09-2018 22:26:07
โธ่ นึกว่าจะแน่ ไม่ห้ามแต่ขอตามไปเป็นไม้กันหมาก่อน  :m20:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-09-2018 23:08:39
เห็นอนาคตพี่แรมมาแต่ไกล ก็คือดุไปเหอะ พอเป็นแฟนแล้วไม่ใช่หงอนะคะ 555555555555555
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-09-2018 11:20:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-09-2018 12:43:49
เขินนน พี่แรม มาติวให้เราบ้างงงง

หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-09-2018 13:18:36
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-09-2018 19:49:30
ไหนๆน้องมันก็รู้ว่าชอบแล้ว ที่นี้ก็รุกจีบให้เต็มที่ไปเลยสิพี่แรม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 20-09-2018 19:16:50
 :hao7: :ling1: พี่แรมของน้องงงงงงง รุกเลยค่ะ เดินหน้าจีบเต็มกำลังเลยไม่ต้องรอแล้ววววว
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-09-2018 07:29:18

ทำไมตอนกลุ่มพี่แรมเดินออกมาจากห้องสอบละเดินไปเจอน้องธัน ละไอ้น้องธันก็ยิ้มมาทางกลุ่ม พระ-นายต่างยิ้มให้กัน ทำไมเลาต้องเผลอยิ้มตามด้วยก็ไม่รู้  :-[
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [18/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-09-2018 16:36:36
เปิดทางให้พี่แรมเดินให้สะดวกด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 06-10-2018 21:58:33
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒





‘ขอสิทธิ์ตามไปดูแลได้ไหม’



ฟังดูเหมือนประโยคขอร้องแต่จริง ๆ แล้วคือบอกเล่า ต่อให้ธันวาร้องห้ามอีกฝ่ายก็คงรั้นตามมาอยู่ดี


และเพราะธันวาไม่พูดอะไร รุ่นพี่หน้าดุถึงได้มานั่งอยู่ในร้านเดียวกันโดยยึดครองโต๊ะเยื้องไปข้างหน้านี่เอง


“พี่แรมแม่งสุดว่ะ” แววตากรองเกียรติแสดงความขื่นชมอย่างเปิดเผยตอนที่พูดถึงคนที่ครองโต๊ะคนเดียวแล้วยังหันหน้ามาทางนี้ด้วย ดวงตาคมดุคู่นั้นก็เอาแต่จ้องมองเพื่อนเขาอย่างไม่ปิดบัง คนไม่รู้เรื่องอย่างดีนมองแวบแรกก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายตามจีบธันวาอยู่


“เขาซื้อมึงเท่าไหร่” ดีนเอ่ยเรียบ ๆ วันนี้มากันแค่สามคน สองนักศึกษาแพทย์กับหนึ่งนักศึกษาอักษรศาสตร์ สองคนแรกมาเพราะเครียดกับการสอบและอยากปลดปล่อย ส่วนอีกคนมาคอยดูแลหรือคุมความประพฤติของธันวาอย่างที่กรองเกียรติชอบแซว


โต๊ะของพวกเขาเป็นโต๊ะกลม ทั้งสามนั่งหันหน้าเข้าหากัน แต่มีเพียงแค่กรองเกียรติที่หันหลังให้เดือนแรม จึงทำให้ต้องคอยหันข้างเหลือบมองอยู่บ่อย ๆ


“ซื้อด้วยใจเว้ย คนมีพระคุณล้นหัวอย่างพี่แรมไม่ต้องใช้เงินซื้อกูหรอก”


“ถ้าเขาไม่จีบธันวาเขาจะมาเสียเวลาติวให้พวกมึงเหรอ”


“อะแค่ก อะแค่ก” คำว่า ‘จีบ’ จากปากเพื่อนทำเอาคนที่นั่งดื่มเงียบ ๆ สำลัก หลุดท่าทีไม่สนใจฟังบทสนทนาให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเสียงเพลงต่างหากที่ไม่เข้าหูสักนิด


“รึไม่จริง” ดีนถาม หันหน้ามองเพื่อนทีละคน ธันวาหลบตาทำไม่รู้ไม่ชี้ขณะที่กรองเกียรติอ้ำอึ้ง


“มึงทั้งเก่งทั้งขยัน มีเหรอจะสอบไม่ผ่าน ไอ้ธันวาก็ใช่ว่าจะโง่ อย่ามองสิ่งที่เขาทำให้เป็นบุญคุณนักเลย ก็แค่เอามาอ้างเพื่อเข้าใกล้มันเท่านั้นแหละ”


“มึงดูถูกน้ำใจพี่เขาเกินไปป่ะวะ” คนที่เทิดทูนเเดือนแรมเหนือหัวโวยวาย


“อย่างน้อย...พี่เขาก็หวังดีกับพวกกูนะ” ธันวาปริปากเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฟังเพื่อนเถียงกันเรื่องเดือนแรม


“ใจอ่อนให้เขาแล้วดิ” ดีนถาม มองเพื่อนด้วยสายตาปกติแต่แอบสังเกตอาการอีกฝ่ายไม่วางตา


“บ้าเหรอวะ กูชอบผู้หญิง”


เขาเห็น...บางอย่างที่สวนทางกับคำปฏิเสธ


“หรือต่อให้ไม่ชอบผู้หญิงก็ไม่อยากชอบผู้ชายแล้ว”


“อย่าเอาผู้ชายคนเดียวมาตัดสินผู้ชายทั้งโลก ไม่เคยได้ยินเหรอ” กรองเกียรติว่า


“อะไรวะ วันก่อนมึงยังว่าพี่ภีมไม่ดีอยู่เลย” ธันวาแย้ง


“มึงเองก็ยังบอกว่าเขาดีเหมือนกัน” อีกฝ่ายสวนกลับทันควัน


“พอ ๆ” คนกลางอย่างดีนห้ามทัพ “นี่มึงยังโกรธพี่ภีมอยู่เหรอ”


“ไม่ได้โกรธแล้ว” ธันวาตอบเสียงอ้อมแอ้ม เบนความสนใจไปเทเหล้าผสมมิกเซอร์ในแก้วจนสีเข้มแทน


“แล้วทำไมถึงไม่อยากชอบผู้ชายอีก”


“ก็ไม่อยากเจ็บแบบเดิม ๆ ป่ะวะ...ไม่เอา ๆ ไม่พูดเรื่องนี้ได้ป่ะ ขออนุญาตเมาเพราะเรื่องเรียนนะครับ” ธันวาไม่สนใจสีหน้าของเพื่อนหลังจากนั้น ยกเหล้าซดไปครึ่งแก้วทั้งที่ทำหน้าปุเลี่ยนจากรสชาติที่ไม่ถูกปากสักนิด


พวกเขาเคยดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้อยู่บ้างสมัยเรียนมัธยมปลาย หนักสุดก็ครั้งที่พากันไปเที่ยวเกาะพะงันตามประสาคนมีที่เรียนต่อกันแล้ว และเพราะรู้ว่าเมื่อธันวาเมามากจะเป็นอย่างไร ดีนจึงต้องตามมาดูแลในวันนี้


หนุ่มลูกเสี้ยวไม่แตะเหล้าที่เพื่อนสั่งมาสักนิด เขาสนใจแค่เหล้าปั่นรสหวานดีกรีอ่อนเท่านั้นเพราะนอกจากต้องคอยดูแลเพื่อนแล้วยังต้องขับรถกลับอีกด้วย


ร้านนี้เป็นร้านในย่านบางลำภู เป็นซอยถนนติดกับถนนข้าวสารที่แม้จะไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติมากเท่า แต่ก็ยังมีมาเดินให้เห็นกันพลุกพล่าน ร้านที่พวกเขาเลือกนั่งแทบจะเป็นร้านเดียวในย่านนี้ที่มีแต่คนไทยล้วน ด้วยเพราะแนวเพลงของดนตรีสดที่ฟังสบาย ๆ ถูกจริตคนไทยไม่ได้เป็นแนวที่มีท่วงทำนองสากลหรือมีคลาสอะไรนักอย่างเพลงแจ๊สจากร้านฝั่งตรงข้าม


ตัวร้านเล็ก ๆ ถูกแบ่งเป็นสองโซน โซนในร้านที่ค่อนข้างแคบเป็นพื้นที่ของวงดนตรีและโต๊ะสามสี่ตัวที่ทำให้ลูกค้าได้ใกล้ชิดกับนักดนตรีมากทีเดียว และโซนนอกร้านให้ลูกค้าได้พอพูดคุยอะไรกันได้บ้างจากเสียงที่ไม่อึกทึกนัก


โต๊ะของพวกเขาอยู่นอกร้าน แต่จัดว่าอยู่ตรงหน้าวงดนตรีและใกล้กันมากอยู่ดี โดยที่ธันวานั่งหันหน้าไปทางนั้นชนิดที่ว่านั่งจ้องตากับนักร้องได้เลยทีเดียว


ธันวาเมาง่าย เมื่อแอลกอฮอล์เข้าเส้นเลือดไม่กี่แก้วก็เริ่มตัวแดง เจ้าตัวเอาแต่บอกว่าต้องดื่มเข้าไปเยอะ ๆ และบ่อย ๆ ร่างกายจะได้สร้างเอนไซม์มาย่อยสารบางอย่างและหายแดงไปเองตามกลไกของร่างกายที่เด็กอักษรฯแต่จบสายวิทย์มาอย่างดีนยังฟังไม่เข้าใจ


แต่ไหนแต่ไรมาธันวาเป็นคนที่ดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยอยู่แล้วแต่เจ้าตัวไม่เคยรู้สึกและไม่สนใจ มีแต่ดีนที่คอยกันท่าให้อย่างเงียบ ๆ ยิ่งพอเมากึ่ม ๆ ทั้งตัวแดงและตาเยิ้มหวานแบบนี้ก็ยิ่งเป็นที่สนใจของโต๊ะรอบข้าง ดีนจึงต้องเก็กหน้าขรึมทำตัวเป็นหมาหวงนายเป็นพิเศษ


ใบหน้าตี๋แต่ดูอินเตอร์ตามเชื้อชาติที่มีแต้มรอยยิ้มมุมปากยามที่เห็นแสงสว่างวาบจากหน้าจอโทรศัพท์ของธันวาที่วางไว้บนโต๊ะ แม้ไม่อยากสนใจแต่ดีนพบว่ายากเหลือเกินที่จะไม่สะดุดตากับการแจ้งเตือนจากแอปฯแชทที่ปรากฏชื่อเดือนแรม


‘หยุดกินได้แล้ว’


ดีนเหลือบมองเจ้าของเครื่อง ธันวายังเอาแต่มองวงดนตรีและเพลิดเพลินกับเสียงเพลงจนไม่ทันสังเกตเห็น เขาจึงหันไปมองคนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะแต่ไม่เคยหลุดโฟกัสไปจากโต๊ะพวกเขาเลย เพียงได้สบนัยน์ตาคมดุคู่นั้น หนุ่มลูกเสี้ยวก็รู้สึกนึกสนุกขึ้นมา ดีนจัดการคว่ำหน้าจอของธันวาอย่างเงียบ ๆ โดยยังประสานตากับรุ่นพี่ต่างคณะให้รู้กันไปเลยว่าจงใจปิดกั้นความเป็นห่วงของอีกฝ่าย


เมื่อเห็นว่าเดือนแรมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั่งจ้องด้วยความขุ่นเคืองและถ้านั่งใกล้ ๆ คงได้ยินเสียงสบถด่าดีนก็หันมาให้ความสนใจเพื่อนต่อ ธันวาตั้งใจมาเมาเพราะเรื่องเรียนจริงอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น เพราะเมื่อดื่มจนเริ่มได้ที่ก็เริ่มพูดกันถึงข้อสอบกลางภาคที่ผ่านมา


“แล็บกริ๊งแม่งโคตรสุดไอ้ดีน มึงต้องลองเจอสักครั้ง กรี๊งทีสติกูกระเจิงหมด ข้อแรกที่กูเจอแม่งง่ายฉิบหายแต่เสือกตอบผิด” ดีนฟังเพื่อนอย่างตั้งใจแม้จะไม่เข้าใจเรื่องของสองว่าที่หมอนัก แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินชื่อคนคนเดิมเป็นอีกครั้งของวันนี้ “ถ้าพี่แรมรู้กูต้องโดนด่าว่าโง่อีกแน่”


ดีนไม่ทันถามต่อว่าอีกฝ่ายด่าบ่อยหรืออย่างไรเพราะกรองเกียรติแทรกขึ้นเสียก่อน “เรื่องนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามึงตอบข้อที่พี่แรมเกร็งให้อย่างกับเป็นคนออกข้อสอบเองไม่ได้อ่ะกูว่าสมควร”


“เออใช่ ๆ ชื่อกล้ามเนื้อแม่งโคตรยาว แล้วดันถามออริจิ้นกับอินเซอร์ชั่น ถ้าพี่ีแรมไม่เกร็งให้กูไม่มีทางจำมัดนั้นไปสอบแน่ ๆ”


“มึงรู้ไหมดีนว่าพวกกูต้องเจอกับอะไรบ้าง” กรองเกียรติเริ่มเล่าด้วยอารมณ์อัดอั้น ไม่บ่อยนักที่ดีนจะเห็นคนคงแก่เรียนอย่างกรองเกียรติมีความรู้สึกแบบนี้ ครั้งล่าสุดน่าจะเป็นตอนที่อ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยจบเป็นรอบที่ห้า “กล้ามเนื้อแต่ละมัดชื่อก็โคตรจำยาก แล้วยังต้องรู้จุดเกาะต้นจุดเกาะปลาย ไหนจะแอคชั่นมันอีก นรกมาก ๆ แล้วกูต้องท่องจำแบบนี้เป็นร้อย ๆ มัดอ่ะมึงคิดดู ไหนจะชื่อกระดูกแต่ละชิ้นอีก ยิ่งชิ้นเล็กชิ้นน้อยยิ่งชื่อยาว สัด!”


ธันวาหัวเราะร่วน เรียนด้วยกันอยู่ด้วยกันตลอดแต่ไม่เคยได้ยินเพื่อนสนิทบ่นเท่านี้มาก่อน “โธ่ นึกว่าชอบ เห็นตั้งใจเรียนตลอด”


“เขาเรียกว่ารู้หน้าที่เว้ย” กรองเกียรติสวนจนธันวาหน้าง้ำไม่กล้าเถียงกลับ ก่อนจะหันไปเล่าให้ดีนฟังต่อ “รุ่นพี่เขาแซวกันขำ ๆ ว่าปีสองรู้อนาโตมีแต่ไม่ได้ใช้ ขึ้นปีสี่จำเป็นต้องใช้แต่จำไม่ได้”


“งั้นพวกมึงก็ท่องให้จำไว้ตลอดสิวะ”


“พี่แรมเขาแนะวิธีจำและทวนง่าย ๆ มาแล้ว”


พี่แรมอีกแล้ว...


ธันวาพูดเหมือนคุยโวราวกับปลาบปลื้มในตัวรุ่นพี่คนดังกล่าวเสียมากมาย ขณะที่ดีนเริ่มรู้สึกว่าชื่อนี้ออกจากปากเพื่อนรักบ่อยเกินไปแล้ว


เรื่องเรียนจบลงในตอนนั้นเพราะดีนไม่มีอะไรจะเล่าเกี่ยวกับตัวเอง แต่เมื่อถูกกรองเกียรติรบเร้าให้เล่าเรื่องผิง เพื่อนสาวร่วมคณะของดีนที่เจ้าตัวแอบชอบ ดีนก็รีบเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องวันวานแทน ซึ่งธันวารับส่งกับเขาได้เป็นอย่างดีจนตอนนี้หัวข้อสนทนาหนีไม่พ้นเรื่องเก่า ๆ ทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องเรียน และเรื่องเล่น


“ไอ้คู่แฝดนรกนั่นทะเลาะกันทุกวันจนดีนปวดประสาท” ธันวาเล่าก่อนหัวเราะเอิ้กอ้าก


“จริง แม่งเรื่องหยุมหยิมทั้งนั้น” กรองเกียรติเสริม


“กวนตีน” ดีนว่า ราวกับจะฝากลมฝากฟ้าไปสรรเสริญเพื่อนที่อยู่ไกลกัน


สองนักศึกษาแพทย์ประสานเสียงหัวเราะกัน ก่อนที่กรองเกียรติจะพูดต่อ “กูยอมพวกแม่ง ยิ่งมึงประสาทแดก พวกมันยิ่งชอบ หลัง ๆ มาสารภาพกับกูว่าเห็นมึงโมโหแล้วสนุกดี”


“คนที่ไม่สนใจอะไรเลยต้องยกให้ไอ้ทีมเลยครับ กูนับถือในความใจเย็น แม่งไม่เคยหัวร้อนกับไอ้แฝดเลย”


“แต่กูว่าทีมมันแอบรำคาญว่ะ” กรองเกียรติแย้งธันวา “ไม่อย่างนั้นมันจะยืนกรานไม่ยอมไปเอ็นฯที่เดียวกับสองคนนั้นเหรอ ทั้งที่คณะที่มันอยากเรียนมอนั้นน่าสนใจกว่าเยอะ”


“เออจริงด้วยว่ะ”


ดีนยิ้มบาง พอเริ่มกึ่ม ๆ ก็เริ่มคุยเรื่องเก่า ๆ สนุกขึ้น  ธันวายิ้มแย้มเต็มหน้า กรองเกียรติเองก็หัวเราะจนตาที่ตี๋อยู่แล้วหยีเล็กเข้าไปใหญ่


“ตอนแรกกูนึกว่าติดสาว ตามเขาไปเรียนที่เดียวกัน”


“ติดบ้าอะไร มันเลิกกันก่อนแล้ว”


“ก็กูไม่รู้นี่หว่า” กว่าเขาจะรู้ก็เรียนปีหนึ่งไปเกือบครบเทอมแล้ว


“มึงมัวแต่ติดพี่ภีมไง เลยไม่รู้เรื่องคนอื่น ตอนนั้นไอ้ดีนเป็นหมาหัวเน่าไปเลย”
กรองเกียรติคงเริ่มเมาจนไม่ทันยั้งปาก เพราะเมื่อพูดถึงชีวิตมัธยม มันก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้พูดถึงคนที่เป็นรักครั้งเก่าของธันวาได้


ธันวาสะอึกในตอนนั้น ดีนมองกรองเกียรติด้วยสายตาปรามให้อีกฝ่ายหยุดพูดถึงบุคคลต้องห้าม แต่กลายเป็นว่าธันวาพูดขึ้นมาเสียเองก่อนที่คนหลุดปากจะทันได้บอกขอโทษเสียอีก “คิดถึงว่ะ”


“ไอ้ธันว์...”


“ตอนนั้นถ้าไม่มีพี่ภีมกูก็คงแย่” ธันวาซดเหล้าอีกอึกหนึ่ง นัยน์ตาเลื่อนลอยคล้ายกำลังคิดไปถึงใบหน้าของคน ๆ นั้นอยู่ “แต่ก็เพราะว่ามีเขาเข้ามา กูถึงไม่ค่อยได้อยู่กับพวกมึงเลย ขอโทษจริง ๆ ว่ะ”


“ไม่เป็นไร” ดีนวางมือบนศีรษะเพื่อนแล้วโยกไปมาขณะที่กรองเกียรติโอบไหล่แล้วตบเบา ๆ เพื่อปลอบใจเพื่อน “มึงไม่ผิดหรอก พวกกูเข้าใจ วันนี้มึงอยากเจอหน้าพวกกูบ่อยหน่อยเพราะเรายังอยู่ด้วยกัน แต่วันนึงมึงอาจจะอยากเจอหน้าคนอื่นบ่อยกว่าก็ไม่เป็นไร รู้แค่ว่าอยากเจอกันเมื่อไหร่แค่หันกลับมา”


“พวกมึง…” อาจจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ทำให้ธันวาอ่อนไหวกับเรื่องนี้ได้มากจนเกือบร้องไห้ออกมาตรงนี้


“อย่าคิดมากดิ วันนึงพวกกูก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกัน เกิดอาการอยากเจอคนอื่นมากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีเพื่อนนี่ จริงไหมวะไอ้เก่ง”


“เออใช่ เหมือนอย่างที่ตอนนี้กูอยากเห็นหน้าผิงมากกว่าหน้ามึงอ่ะ”


“สัด” ธันวาสรรเสิญเข้าให้คำโต


รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเริ่มกลับเข้าสู่วงสนทนาอีกครั้ง มีบ้างที่ปล่อยให้โต๊ะเงียบปล่อยใจไปกับเสียงเพลงและเครื่องดื่มที่ยิ่งดื่มก็ยิ่งลื่นคอจนเกิดอาการหัวหนัก ธันวามักบอกอย่างนั้น มันหนักจนต้องหาที่พัก ซึ่งก็คือไหล่ของดีน ดีนจัดศีรษะเพื่อนให้เข้าที่เข้าทาง เอื้อมแขนไปด้านหลังโอบไหล่ไว้หลวม ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เพื่อนหงายหลังตกเก้าอี้ ดีนทำอย่างนั้นทั้งที่เห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาด้วยความไม่พอใจ


มุมปากกระตุกยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนพูดขึ้นลอย ๆ ทว่ากลับได้รับความสนใจจากเพื่อนทั้งสองคน “ใช้ได้เลย”


“อะไรใช้ได้” กรองเกียรติที่มีสติถามขณะช่วยดีนจัดร่างเพื่อนที่คอพับไปก่อนแล้วให้เข้าที่อีกนิด


ดีนโบ้ยปากไปทางคนที่นั่งอยู่โต๊ะเยื้องกันด้านหน้า “ไม่ก้าวก่าย ไม่คุกคาม ทำตัวเป็นคนจีบที่ดี”


สองหนุ่มมองตามสายตาดีนแล้วได้แต่คิดว่าไอ้สายตาจ้องเขม็งและท่าทางราวกับพร้อมจะลุกมากระชากธันวาจากอ้อมแขนดีนอยู่ตลอดเวลานั่นหรือคือ ‘คนจีบที่ดี’ อย่างที่เพื่อนว่า


“จ้องอย่างกับจะฆ่ามึงนั่นเรียกว่าดีเหรอวะ” กรองเกียรติกระซิบถามด้วยความหวาดกลัวทั้งที่นั่งพูดตรงนี้ด้วยระดับเสียงธรรมดาก็ไม่ดังจนคนโต๊ะนั้นได้ยินอยู่แล้ว


“อย่างน้อยก็ไม่ได้พยายามจะกีดกันคนอื่นหรือยัดเยียดตัวเองให้ธันวา ถึงจะตามจีบตามมาดูแลแต่เขายังเว้นสเปซให้มัน” ...เหมือนที่ทำมาโดยตลอด


ดีนหันมองคนที่ยกศีรษะออกจากไหล่ตนแล้ว ไม่รู้ว่าหายอาการหัวหนักแล้วหรือกลัวใครจะโมโหเข้าให้กันแน่ ถึงได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการตั้งศีรษะให้ตรง “แต่ถ้ามึงยอมเป็นแฟนเขาเมื่อไหร่ กูบอกได้เลยว่าขาดอิสระไปตลอดกาล”


“ใครจะยอมเป็น!” ธันวาแย้งเสียงดังเป็นจังหวะเดียวกับที่เพลงจบลงพอดี เป็นเหตุให้นักร้องที่น่าจะวัยไล่เลี่ยกันพูดแซวผ่านไมค์และรบเร้าให้ธันวาขอเพลงได้หนึ่งเพลง


คนถูกกดดันลุกลนด้วยเพราะไม่ทันตั้งตัว กอปรกับสติที่ยังไม่ครบถ้วนจึงรีบพูดชื่อเพลงที่ติดค้างอยู่ในหัวมาหลายวันออกไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง


“ปฏิเสธอย่างไรครับ”


แต่ที่ขาดสติยิ่งกว่าคือการหันไปมองคนที่เคยร้องเพลงนี้ให้ฟังเมื่อหลายวันก่อนทั้งที่พยายามหลบตามาตลอดตั้งแต่เข้ามาในร้าน จนกลายเป็นว่าตอนนี้ไม่อาจถอนสายตากลับมาได้อีกเลย ราวกับว่าถูกสายตาคมดุสะกดเอาไว้อยู่อย่างนั้น


“สาว ๆ ในร้านก็คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าคุณน่ามองมากแค่ไหน”


ทั้งดีนและเดือนแรมหันขวับไปมองนักร้องที่พูดแซวออกไมค์ อยากจะคิดว่าเขาแค่พูดแทนใจผู้หญิงอยู่เหมือนกัน หากไม่ติดว่าใช้น้ำเสียงเจ้าชู้ที่แม้ไม่เห็นสายตาที่กำลังมองธันวาในขณะนี้ก็รู้ได้ว่าแท้จริงแล้วกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ดีนบันทึกใบหน้านักร้องคนนั้นไว้ในความทรงจำ หากเจอกันอีกครั้งจะต้องกันออกห่างจากธันวาให้ได้!




วิธีสร่างเมาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนฟุบหลับไปครู่หนึ่งตื่นมาก็มีสติครบถ้วน บางคนต้องดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ บางคนต้องอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ส่วนเดือนแรมแค่ปัสสาวะออกก็สร่างไปได้เยอะแล้ว ยิ่งวันนี้ไม่ได้ตั้งใจมาเมาด้วยแล้ว พอได้เข้าห้องน้ำก็สดชื่นขึ้นเยอะ


“เก่งจังเลยนะครับ…” เดือนแรมเหลือบมองผ่านกระจก เห็นว่าเป็นเพื่อนหน้าตี๋ออกฝรั่งของธันวาก็ก้มหน้าล้างมือต่อ “...ในที่สุดก็มีวันนี้ ดีใจด้วยจริง ๆ”


เดือนแรมแค่นหัวเราะ จะให้เชื่อว่าอีกฝ่ายยินดีด้วยความจริงใจอย่างนั้นหรือ “หมายถึงอะไร”


ดีนยิ้มคล้ายจะเป็นมิตรแต่กลับจงใจเผยให้เห็นความยียวนที่มุมปาก “ก็ที่พี่ป้วนเปี้ยนเป็นสัมภเวสี
รอบตัวธันวาอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็ได้อยู่ในสายตามันซักทีไงครับ...แต่ว่านะ คงเส้นคงวาไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ...” ดีนยิ้มเยาะปิดท้าย


เดือนแรมตีหน้านิ่ง ทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่หนุ่มรุ่นน้องกำลังพูดทั้งที่ในใจเริ่มอยู่ไม่สุข ยิ่งในตอนที่อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อเน้นย้ำคำพูดต่อจากนั้น เขาก็ยิ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอดกลั้นไม่ให้กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาอัดปากนั่นด้วยกำปั้น


“...เคยป๊อดอย่างไรก็ยังป๊อดอย่างนั้น”


“เพื่อนมึงยังไม่ชอบกู” เดือนแรมว่าขึ้นก่อนที่ดีนจะสาวเท้าห่างออกไปไกล


“หรือว่าง่าย ๆ ก็คือมันชอบผู้หญิง”


แม้ไม่อยากยอมรับแต่ก็จำต้องยอมรับ “แล้วที่มันเคยคบผู้ชาย?”


“เรื่องนั้นไปถามมันเอง...ถ้าพี่สำคัญพอให้มันเล่าน่ะนะ”


เป็นนักศึกษาทะเลาะวิวาทกันในร้านเหล้าต้องโทษทางกฎหมายและติดทัณฑ์บนของมหา’ลัยร้ายแรงถึงขั้นไหน เดือนแรมกำลังคิดไตร่ตรองว่าคุ้มเสี่ยงกับการได้อัดหมัดดุ้น ๆ ใส่หน้าอีกฝ่ายหรือไม่ เพราะโดนแซะโดนย้ำบ่อย ๆ เข้าก็ชักทนไม่ไหวอยู่เหมือนกัน


“มึงจะว่ากูป๊อดก็ได้ แต่การชอบผู้ชายด้วยกันมันไม่ง่าย และการเข้าหาแบบที่เขาจะไม่หนีก็ไม่ง่ายหรอกนะ” ยิ่งครั้งนั้นที่สารภาพว่าชอบออกไปแล้วถูกเมินหลบหน้าหลบตากันไปยิ่งรู้สึกแย่


ดีนไหวไหล่ ทำเหมือนไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเองที่จะต้องมาคิดเรื่องนี้ทั้งที่แอบชื่นชมอยู่ในใจว่าไม่เสียแรงที่แอบมองธันวาอยู่ตั้งนาน


แต่ถ้าดูจากการที่เพื่อนเขาพูดถึง ‘พี่แรม’ บ่อยขึ้น ดีนคิดว่าเดือนแรมได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของธันวาเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ต้องขึ้นกับความรู้สึกของธันวาว่าจะยอมก้าวข้ามแผลจากเรื่องรักเพศเดียวกันไปอีกครั้งหรือไม่


สามเพื่อนซี๊นั่งดื่มกันไม่ทันถึงเที่ยงคืนก็พากันกลับ ด้วยเพราะนักศึกษาแพทย์ไม่อยากแหกกฎหอพักให้เป็นเรื่องใหญ่ ดีนรับหน้าที่พยุงคนเมาอย่างธันวาที่ชิงหลับไปก่อนแล้ว ยกแขนพาดคอและโอบเอวไว้ก็พอให้เดินได้สะดวกขึ้นโดยมีกรองเกียรติที่มึนศีรษะไม่น้อยแต่ยังพอเดินให้ตรงได้ช่วยประคองอีกฝั่ง


“ธันวา!”


ชื่อคนเมาขาดสติดังมากจากด้านหลัง ดีนหันคอไปมอง ไม่สะดวกจะหันไปทั้งตัวเพราะต้องประคองธันวาไว้


“มากับพวกนายเองเหรอ” ปกป้องถามไถ่อย่างคนคุ้นเคย อีกฝ่ายมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่แทบจะกลายเป็นยืนล้อมพวกเขาสามคนไว้อยู่แล้ว


“ส่งธันว์มาดิ เดี๋ยวพี่พากลับบ้านเอง ยังไงธันว์ก็ต้องกลับพรุ่งนี้อยู่แล้ว”


“อย่าดีกว่าครับ กลับไปสภาพนี้คุณลุงจะว่าเอาได้”


“พ่อพี่ไม่เห็นหรอก” ทั้งที่ไม่ชอบใจแต่ปกป้องก็ยังสุภาพกับหนุ่มรุ่นน้อง


“ไม่เห็นหรือไม่ถึงบ้านครับ” ดีนพูดหน้านิ่งอย่างตรงไปตรงมาตามนิสัยให้รู้ว่าไม่ไว้ใจจนกรองเกียรติต้องสะกิดแล้วออกโรงแทน “ผมพาธันว์กลับหอได้ครับ พรุ่งนี้จะปลุกให้มันตื่นทันลุงภาสมารับแน่นอน”


คิ้วปกป้องกระตุกตอนได้ยินว่าพ่อตัวเองจะไปรับธันวาเองทั้งที่ให้น้องกลับบ้านเองก็ยังได้ “กลับคืนนี้เลยดีกว่า พ่อพี่คงดีใจมากถ้าตื่นมาแล้วเจอหลานรักเลย”


“ผมว่าให้มันกลับไปสร่างเมาที่หอก่อนก็ดีนะครับ” ปล่อยไปทั้งอย่างนี้ไม่ปลอดภัยแน่


“นายดูแลคนเดียวไม่ไหวหรอกเก่ง”


“ไอ้เก่ง ไอ้ธันวา จะกลับหอเลยรึเปล่า กลับพร้อมกันเลยไหม” เหมือนเสียงสวรรค์ กรองเกียรติฉลาดพอที่จะตอบรับความช่วยเหลือนั้นในทันที เช่นเดียวกับดีนที่กระตุกมุมปากยิ้มเพราะเห็นว่าเดือนแรมรอดูสถานการณ์อยู่นานแล้ว


“พอดีเลยครับ พวกเราได้คนช่วยแล้ว เป็นรุ่นพี่ในคณะและก็รูมเมทไอ้ธันว์มันด้วย” กรองเกียรติโกหกคำโตแต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ปกป้องยอมหลีกทางให้ง่าย ๆ โดยไม่ลืมมองประเมินคนมาใหม่




เดือนแรมเก็บความสงสัยที่ว่าใครคนนั้นท่าทางมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกันแต่ทำไมถึงไม่ได้รับความไว้วางใจจากรุ่นน้องทั้งสองคนไว้แล้วยอมนั่งกลับอย่างเงียบ ๆ ทั้งสี่คนกลับด้วยรถของดีน เจ้าของรถจัดแจงให้คนเมานอนเบาะหลังโดยมีกรองเกียรติคอยดูแลแล้วให้เดือนแรมนั่งเบาะหน้าคู่ตน จะว่ากีดกันก็ใช่ เพื่อนเขาทั้งคนนี่ จะหวงก็ไม่แปลก


เมื่อมาถึงหอพักนักศึกษาแพทย์ดีนส่งเดือนแรมไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ประจำหอขณะที่ตนกับกรองเกียรติช่วยกันพยุงร่างคนเมาออกจากรถ


“ส่งธันวามาให้กู” เดือนแรมว่าในตอนที่กลับมา


ดีนมองหน้าคนพูด ยังไม่ปล่อยเพื่อนให้อีกฝ่ายตามคำขอ


“คงไม่ได้คิดว่าหอพักนักศึกษาแพทย์จะต้อนรับคนนอกในเวลานี้หรอกใช่ไหม”


“...”


เดือนแรมยังรออย่างใจเย็น


“ให้แค่ตอนนี้เท่านั้นนะครับ”


สองคนจ้องหน้ากันจนกรองเกียรติต้องขัดทำลายบรรยากาศ นึกอยากจะด่าเพื่อนตัวเองเสียจริงที่พูดจากำกวมทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรกับคนที่เข้ามาจีบเพื่อน


“หวงไม่เข้าเรื่อง” กรองเกียรติพึมพำตอนที่เดินผ่านดีน


“กูแค่ห่วง”
 





(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 06-10-2018 22:00:58
เพราะกรองเกียรติไม่ใช่ดีน แม้เขาจะห่วงเพื่อนแต่เพราะปลาบปลื้มเดือนแรมเป็นทุนเดิมทำให้เขามั่นใจในตัวรุ่นพี่คนนี้มากว่าจะดูแลและให้เกียรติเพื่อนเขาอย่างดีที่สุด เขาจึงวางใจทิ้งเพื่อนไว้กับอีกฝ่ายทันทีหลังช่วยพาเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว


“อาบน้ำก่อน” เดือนแรมบอกคนเมาที่ตื่นแล้วแต่ยังนั่งคอตกสะลึมสะลืออยู่บนเตียงของโอ๊คซึ่งจะเป็นที่นอนของเขาในคืนนี้


“อืออออ” ธันวาคราง “จะนอนแล้ว” เจ้าตัวดื้อลากเสียงยานขณะทรงตัวยืนเพื่อก้าวไปยังอีกฝั่งหนึ่ง คงหมายจะปีนขึ้นไปนอนเตียงตัวเอง แต่ตอนนี้แค่ยืนยังโงนเงนจะล้มจนคนพี่ต้องประคองไว้เต็มสองแขน


เดือนแรมกัดฟันทน ตัวหนักไม่เท่าไหร่ แต่เนื้อตัวนอกร่มผ้าที่แดงปลั่งกับกลิ่นน้ำหอมที่เมื่อผสมกับกลิ่นเหล้าอ่อน ๆ มันทำให้เขาต้องข่มอารมณ์บางอย่างมากกว่าทุกทีที่อยู่ใกล้น้อง


“เช็ดหน้าเช็ดตัวสักนิดนะ จะได้นอนสบาย”


ธันวาพลิกตัวเข้าหาที่พึ่งพิงหนึ่งเดียวของตนในตอนนี้ ทิ้งศีรษะหนัก ๆ ของตัวเองฝังลงกับลาดไหล่กว้าง ครางเสียงอือออกมาอย่างไม่ใส่ใจและอนุญาตให้อีกฝ่ายจัดการกับร่างกายตนตามที่บอกได้ ไม่ทันรู้ตัวว่าด้วยส่วนสูงที่ต่างกันไม่มากของตนทำให้จมูกของอีกฝ่ายซุกกับซอกคอตัวเองแบบพอดิบพอดี


“ธะ ธันวา” เดือนแรมเสียงสั่นเล็กน้อย พยายามหักห้ามใจไม่ให้หลงมัวเมาไปกับสิ่งที่เพิ่งได้สัมผัสและคอยย้ำเตือนตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา “กูเช็ดตัวให้นะ”


“ค้าบบบบ”


หนุ่มรุ่นพี่วางคนเมาลงบนเตียงโอ๊ค ส่ายหน้าให้กับความเมาขาดสติของอีกฝ่ายแล้วจัดการหาผ้าชุบน้ำบิดหมาดมาเช็ดดวงหน้าใสเป็นอย่างแรก


ธันวายิ้มบางทั้งที่ยังหลับตา คงเป็นเพราะว่ารู้สึกสดชื่นขึ้น คนดูแลเองก็ยิ้มตามไปด้วย เวลาเด็กนี่สิ้นฤทธิ์ไม่เถียงไม่กวนมันน่ารักน้อยเสียที่ไหน ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่มักขโมยหัวใจคนพบเจอได้อย่างง่าย ๆ เลยสักนิด


แต่ว่านะ...จะเวลาไหนธันวาก็น่ารักทั้งนั้นแหละ


แม้จะเคยเห็นน้องเปลือยอกมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยต้องมาเป็นคนถอดเองแบบนี้ เดือนแรมรับรู้ได้ทันทีว่าใจเต้นแรงและหน้าก็เห่อร้อนราวกับตนลืมเปิดเครื่องปรับอากาศ กว่าจะปลดกระดุมได้แต่ละเม็ดก็ยากเย็น มือไม้มันสั่นจนกลัวว่าจะโดนผิวน้องให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมาให้กระอักกระอ่วนใจกัน รุ่นพี่หลายคนพูดตรงกันว่าเมื่อเราเรียนกายวิภาคจบ เราจะมองร่างกายของทุกคนเแป็นเหมือนอาจารย์ใหญ่ที่ใช้ในการศึกษา ไม่มีความแตกต่างกัน ไม่มีความรู้สึกขัดเขินเวลาเห็นหรือสัมผัสกันและกัน แต่ตอนนี้เดือนแรมรู้แล้วว่ามันใช้ไม่ได้กับคนที่ทำให้เราใจสั่น ร่างกายตรงหน้ายังทำให้เลือดในกายเขาแล่นพล่านเพราะมีความแตกต่างจากร่างอื่น ๆ ที่เขาพบเจอ ยิ่งได้สัมผัสก็ยิ่งทำเป็นเฉยได้ยาก


เดือนแรมสูดหายใจเข้าลึก ใช้เวลาสองถึงสามลมหายใจทำสมาธิแล้วรีบเช็ดตัวให้ธันวาเสร็จโดยเร็ว คนที่รู้สึกสบายตัวก็ครางรับอย่างพอใจ บิดตัวไล่ความหนักเนื้อหนักตัวแล้วลืมตาขึ้นร้องหาแต่เสื้อผ้าที่จะใส่นอน


ธันวาก็ยังคงเป็นธันวา แม้จำได้ฝังหัวว่าเดือนแรมไม่ชอบให้เปลี่ยนเสื้อในห้องนอนและเพิ่งตระหนักได้อีกด้วยว่าอีกฝ่ายชอบตนอยู่ แต่เขาก็ยังเลือกจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างโจ่งแจ้งตรงนั้นแล้วปีนขึ้นเตียงนอนตัวเองโดยได้รับการช่วยดันตัวและกันตกจากเดือนแรมอีกด้วย


“ขอบคุณนะครับ” หนุ่มรุ่นน้องพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มในตอนที่ล้มตัวลงนอนตะแคงมาหาคนที่ยืนมองอยู่


“ปวดหัวรึเปล่า”


“หนักหัวมากกว่า”


“งั้นก็นอนได้แล้ว” เพราะยืนแล้วสายตาอยู่ในระดับสูงกว่าคนที่นอนอยู่เขาจึงเลือกนั่งลงบนเตียงโอ๊คเพื่อให้น้องมองลงมาดีกว่า ตั้งใจจะรอจนกว่าธันวาหลับแล้วค่อยไปจัดการกับร่างกายตัวเองบ้าง


“พี่แรมใจดีจัง”


“บอกให้นอนไงวะ” เดือนแรมขึ้นเสียงดุเล็กน้อยกลบเกลื่อนความเขินที่ถูกชมโดยไม่ทันตั้งตัว


“พี่ชอบผมจริง ๆ เหรอ”


เดือนแรมนิ่งอึ้ง นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมหลับแล้วยังถามเรื่องที่ไม่คาดคิดออกมาด้วย “ไม่ตอบแล้ว”


“ตอบหน่อยยยย”


เดือนแรมมองหน้าคนเด็กกว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่เมาคงไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่ ๆ


“อย่าออกไปเมากับใครอีก” ทั้งหน้าทั้งเสียงยังดุเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ธันวากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเหมือนแมวขู่ฝ่อแสนน่ารักมากกว่า “ไม่ดิ...อย่าคิดว่ามึงจะได้ออกไปเมาโดยไม่มีกูอีก”


“พี่เรียกชื่อผมหน่อยสิ ไหนเรียกธันวาซิ”


“มึงฟังกูบ้างรึเปล่าเนี่ย”


“พี่แรมเรียกแต่โง่กับมึง เรียกผมว่าธันว์หรือธันวาบ้างสิ”


“ก็มึงโง่”


“ไม่น่ารักเลย”


“กูไม่ได้อยากน่ารัก”


“อืออออ” เสียงครางต่ำคล้ายระบายความง่วงงุนหรือหนักศีรษะมากกว่าจะตอบรับ


“ธันวา” อีกฝ่ายหลับตาไปครู่หนึ่งกว่าเดือนแรมจะร้องเรียกเพื่อเช็คสติคนน้องแต่อีกฝ่ายกลับรีบลืมตาโพลงมามองกัน มันทั้งหวานฉ่ำและซุกซนกว่าครั้งไหน ๆ รอยยิ้มนั่นก็ด้วย


“น่ารัก”


“นอนไปเลย” เดือนแรมว่ากลบเกลื่อน ไอ้เด็กนี่ทำเขาเขินอีกแล้ว


“ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”


“บอกให้หลับไปได้แล้วไง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นสายหรอก ตั้งปลุกไว้แล้วรึยัง”


ธันวาพยักหน้ารับ “กำลังจะหลับนี่ไงครับ ร้องกล่อมหน่อย”


“ไม่!”


“อะไรกัน เมื่อคืนก่อนพี่ยังร้องเพลงจีบผมอยู่เลย”


“พูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”


“ไม่น่ารักเลยจริง ๆ” นิ้วเรียวยื่นออกมาจากราวกั้นเตียงส่ายไปมาช้า ๆ คล้ายตำหนิคนเตียงล่าง


เดือนแรมพึมพำบางอย่างที่คนเมาฟังไม่ได้ศัพท์


“ขอบคุณนะครับ”


“มึงพูดไปแล้ว” เดือนแรมว่ายิ้ม ๆ ทั้งเอ็นดูทั้งมันเขี้ยวคนเมาที่พูดจาวกวน แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วคนพูดไม่ได้ ‘ขอบคุณ’ ตนเรื่องคืนนี้อย่างที่เข้าใจ


คนเมาหลับตาพริ้ม ทิ้งหัวหนัก ๆ ให้จมหมอน ผ่อนลมหายใจช้าลงเพื่อหายใจสะดวกขึ้น ในตอนที่เริ่มรู้สึกเคลิ้มไปกับห้วงนิทราคล้ายกับว่าได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังแว่วมาจากที่ไหนซักแห่ง


“พยายามรู้จัก พยายามทักทายกับเธอ หวังให้เธอได้มองฉันหน่อย
พยายามพิสูจน์ พยายามพูดคุย ไม่เห็นว่าเธอจะมองบ้างเลย แต่ไม่เคย...ท้อใจ”





เสียงเตือนปลุกจากสมาร์ทโฟนทำเอาเจ้าของเด้งตัวตื่นมาลุกขึ้นนั่งจนศีรษะเกือบชนเพดาน หันซ้ายหันขวาควานหาที่มาของเสียงได้ก็กดปิด ยีผมตัวเองเสียยุ่งเหยิงแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งด้วยความงัวเงีย


“มึงเป็นแบบนี้ทุกเช้าเลยรึเปล่า”


ธันวาลืมตาโพลง เด้งตัวขึ้นนั่งอีกเป็นครั้งที่สอง ทว่าคราวนี้ตื่นเต็มตาเพราะเสียงทุ้มต่ำของใครบางคน “เห้ยพี่!”


“ตกใจอะไร อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้ว่ากูพากลับห้อง” เดือนแรมเปลี่ยนจากนอนตะแคงมองคนบนเตียงเป็นลุกขึ้นนั่งห้อยขาลงพื้นแทน


ธันวายิ้มแห้งก่อนปีนลงจากเตียง “จำได้ ๆ แต่ไม่คิดว่ายังอยู่”


“กลัวมึงตื่นมาไม่เจอแล้วจะตกใจ”


“อ่า…”


“แล้วจำเรื่องเมื่อคืนได้รึเปล่า”


“ห๊ะ...เอ๋ เรื่องอะไรครับ ที่พี่ช่วยพาผมปีนเตียงน่ะเหรอ”


เดือนแรมกระตุกยิ้ม มองคนเด็กกว่ายืนทำหน้าเอ๋ออยู่ตรงหน้า “เรื่องอื่น ๆ ด้วย”


“ผ...ผมไม่แน่ใจนะ กึ่งฝันกึ่งจริงว่ะพี่”


เดือนแรมลุกขึ้นยืนก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย “ในฝันกูจูบมึงด้วยรึเปล่าล่ะ”


“บ้าเหรอ! ยังไม่ได้จูบกันซักหน่อย” ธันวาโวยวายอย่างลืมตัวก่อนจะแก้ไขเมื่อเห็นสายตาจับผิดจากคนพี่ “มะ หมายถึงในฝันไง ไม่มีจูบซักหน่อย”


คนพี่ยิ้มมุมปาก ถอนใบหน้ากลับมา “ช่างเถอะ แล้วนี่ปวดหัวรึเปล่า”


“นิดหน่อยครับ มึน ๆ”


“ไปอาบน้ำได้แล้วไป เดี๋ยวสาย”


“ครับ ๆ” ธันวาลอบถอนหายใจเพราะอยากไปจากตรงนี้ตั้งนานแล้ว อยู่ใกล้รุ่นพี่เดือนแรมมาก ๆ แล้วใจจะวาย


“เดี๋ยว”


“ครับ?”


เดือนแรมเข้าประชิดตัว ก้มหน้าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกันจนคนน้องเบิกตาโตและก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ แต่เพราะเดือนแรมรั้งเอวเอาไว้ คนเด็กกว่าจึงไม่อาจหลุดไปไหนได้


“ทะ ทำอะไรวะพี่”


เพราะรู้วาขัดขืนไม่ได้จึงเผลอหลับตาปี๋ในตอนที่อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม ใจเต้นรัวเร็วทั้งที่รู้สึกว่ากำลังหายใจติดขัดเสียด้วยซ้ำ ลมหายใจอีกฝ่ายรดลงบนใบหน้าอย่างจงใจ มารู้ตัวว่ากำลังโดนอะไรก็ตอนที่ได้รับสัมผัสนุ่มตรงแก้มขวา เมื่อคิดพิจารณาแล้วว่าไม่ได้เกิดริมฝีปากแน่ ๆ จึงทำใจกล้าค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมอง


ภาพแรกที่เห็นคือรอยยิ้มเจิดจ้าของเดือนแรมในระยะใกล้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้รับอยู่ครั้งหนึ่งตอนต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยวที่โรงอาหารในวันที่เขาพกพารอยแดงที่หน้าประจานตัวเองไปเสียทั่วว่าแอบหลับในห้องเรียน


สิ่งต่อมาที่เริ่มแยกแยะได้จากอาการสมองขาวโพลนคือสัมผัสของนิ้วที่ลากคล้ายกำลังวาดบางอย่างบนแก้มของตน ธันวาจับความรู้สึกนั้นแล้วตามไปจนพบว่าในตอนที่นิ้วชี้ถูกดึงออกจากใบหน้าคือจุดจบของลายเส้นรูปหัวใจ


“เจอหน้ากันแบบนี้ เลยไม่อยากส่งสติกเกอร์ให้แล้ว”


“...”


“วันนี้เอาแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน” เดือนแรมทาบมือเข้ากับแก้มขวาของธันวาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขากอบมันไว้แล้วใช้นิ้วโป้งลูบ ‘รูปหัวใจ’ ล่องหน ราวกับกำลังระบายสีบนนั้นอยู่


“...”


“แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่บอกด้วยนะ…” ฝ่ามือข้างเดียวกันนั้นเลื่อนขึ้นไปวางแหมะลงบนศีรษะ “...กูอยากให้มึงรับใจกูไปจะแย่อยู่แล้ว”







TBC.
----------------------------------------------------------------
คุณดีนตอนวัยรุ่นเลือดร้อนโผงผาง พูดสิ่งที่คิด กล้าได้กล้าเสียตลอด
โตขึ้นจึงเหลือแค่ความปากเสียเท่านั้น ฮาาาา

ธัญญ์มีกำหนดการเดินทางคืนวันที่ 12 - เช้า 24 ต.ค. นะคะ

จะได้อัพอีกตอนรึเปล่า #ให้คุกกี้ทำนายกัน

#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

--------------------------
ฝากเรื่องสำคัญไว้อีกเรื่องค่ะ
สำหรับแฟนๆคุณดีน 'ห า กั น จ น เ จ อ'
พบกันงานหนังสือตุลาคมนี้นะคะ
(http://)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-10-2018 22:48:04
คุณดีนตอนวัยรุ่นนี่น่าหมันไส้จริงค่ะ ส่วนพี่แรมยังเขินน้องอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ก็น้องน่ารักนี่เนอะะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-10-2018 23:45:44
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-10-2018 23:46:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิพี่แรมแม่ง อดทนได้หว่ะ บรรยากาศแบบนั้น
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 07-10-2018 21:43:01
กรี๊ดดดดดด เขินพี่แรม  :mew3: :o8:
แต่ขำคุณดีนอ่ะ มีความแซะพี่แรมว่าเป็นสัมภเวสีด้วย  :really2:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-10-2018 17:28:37

หากันจนเจอปกสวยดีครับ ผมเป็นแฟนคลับคุณดีน บอกเลยว่าซื้อแน่นอน  :hao6: อุตส่าห์ว่าจะไม่ไปงานสัปดาห์ฯ ปีนี้ละเชียว  :heaven

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-10-2018 19:06:39
ได้เล่มมาแล้วคราบบบ  :hao6:
ปล.น้องๆที่บูทเฮอร์มิทฮามาก มีการให้เลขเด็ดกันด้วย 555
(https://www.picz.in.th/images/2018/10/26/3dUF7f.jpg)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Misakiiz ที่ 27-10-2018 21:30:19
สนุกมากเลยค่ะ /มาปูเสื่อรอพี่แรม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: junlifelove ที่ 03-11-2018 11:20:08
พี่แรมน่ารักมากอะ พี่เค้าดูอบอุ่นสุดๆ ชักอิจฉาน้องธันว์แล้วสิ  :-[
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Bambooyamy ที่ 07-11-2018 09:46:23
โอ้ยย คิดถึง อิพี่แรมกับน้องจังค่ะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-11-2018 00:50:14
เขินนนนนนนน
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 16-11-2018 18:37:44
รอตอนต่อไปอยู่นะครับคุณธัญญ์ เดือนกว่าแล้วหนา...ออเจ้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๒ P.3 [06/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Bambooyamy ที่ 27-11-2018 09:45:41
 :call:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 29-11-2018 18:03:35
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)







สัมผัสที่แก้มข้างขวายังชัดราวกับว่าบนนั้นมีรูปหัวใจสีแดงประทับอยู่จริง ๆ


ธันวารู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าเห่อร้อน แม้จะเอามือจับแก้มไว้อย่างนี้แต่ก็ยังรู้สึกร้อนอยู่ดี ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มของเดือนแรมก็ยิ่งหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกใจสั่นได้มากมายขนาดนี้


มันมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งที่เคยมีความรักมาครั้งหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ


ปลายนิ้วทั้งลูบทั้งวนตำแหน่งนั้นอย่างเลื่อนลอย เหมือนคล้ายจะรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่แต่กลับไม่รู้สึกตัวสักนิดในตอนที่ถูกเรียกจนกระทั่งได้ยินชื่อตัวเองในระดับเสียงที่ดังกว่าปกติ ร่างของเด็กหนุ่มถึงได้สะดุ้งน้อย ๆ


“เป็นอะไรไปลูก เป็นสิวหรือปวดแก้ม ลุงเห็นเราลูบตรงนั้นตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้วนะ”


พอรู้ตัวก็รีบดึงมือลงทันที ไม่กล้าบอกว่าสาเหตุจริง ๆ ไม่ใช่ทั้งสองอย่างที่ลุงภาสว่ามา ธันวายิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ไม่มีอะไรหรอกครับ ว่าแต่เสาร์อาทิตย์นี้ลุงภาสไม่มีธุระที่ไหนเหรอครับ”


คนเป็นลุงยื่นมือข้างหนึ่งมาลูบผมหลาน ละสายตาจากถนนหนทางไปมองด้วยความเอ็นดูแวบหนึ่ง “ไม่มีธุระไหนสำคัญเท่ากับการใช้เวลาอยู่กับธันว์หรอกลูก”


ธันวายิ้มแห้ง ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ยินดี คงจะเป็นเรื่องดีที่มีคนรักคนใส่ใจ ให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่และเต็มใจ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเป็นคนที่เขาเองก็อยากจะอยู่ด้วย ลุงประภาสดึงมือกลับไปแล้ว ปล่อยให้หลานชายสุดที่รักตกอยู่ในห้วงความคิดในอดีต


ครอบครัวที่แสนอบอุ่นพังทลายลงอย่างรวดเร็วโดยไร้การแจ้งเตือนหลังจากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำในวัยที่เขาเพิ่งเลื่อนชั้นจากประถมเข้าโรงเรียนมัธยมชายล้วนที่มีชื่อเสียงได้ การจากไปของพ่อพรากความสุขไปจากสองแม่ลูกจนหมดสิ้น กว่าจะเรียกรอยยิ้มกลับมาได้ บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในบรรยากาศเศร้าโศกอยู่เกือบปี แต่แล้วโชคชะตาก็ไม่เคยปราณี เมื่อสามปีต่อมาที่พึ่งเดียวของเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุรถชนโดยมีเขาร่วมชะตากรรมอยู่ด้วย ทุกประสาทสัมผัสของเด็กน้อยในวันนั้นรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดเจนและจดจำมันจนหมดจดทุกรายละเอียด


...แม้จะไม่อยากจำก็ตาม


ธันวาหลับตาพัก ทิ้งเรื่องราวในอดีตไว้ข้างในอีกครั้ง นึกโทษตัวเองที่ขุดมันขึ้นมาให้ระทมใจอีกครั้งทั้งที่เรื่องผ่านไปนานแล้ว และรู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่จะย้อนกลับมาให้รู้สึกปวดหน่วงในใจ แต่ยังมีอีกเรื่องต่อจากเหตุการณ์นั้นที่แม้จะไม่ได้ถูกพรากจากแบบไม่มีวันกลับ แต่ก็ไม่มีวันที่จะเจอกันได้อีก


ทั้งที่ตั้งใจจะแค่พักสายตาแต่ธันวากลับพบว่าตนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในตอนที่รถจอดสนิทอยู่หน้าบ้านแล้ว นักศึกษาแพทย์หนุ่มคิดว่าคงเป็นเพราะตนยังเพลียกับอาการเมาค้าง แม้เดือนแรมจะคะยั้นคะยอให้ดื่มน้ำอะไรสักอย่างที่เจ้าตัวอุตส่าห์เตรียมไว้ให้หลังเขาอาบน้ำเสร็จ แต่เขาก็ดื่มมันไม่หมดเพราะรู้ว่าลุงประภาสมารอนานแล้ว อาการมึนศีรษะจึงยังหลงเหลือให้รู้สึกเพลียอยู่บ้างเล็กน้อย


“ขึ้นไปนอนพักอีกสักหน่อยไหมธันว์ ค่อยลงมาตอนอาหารมื้อกลางวันเลยก็ได้” ลุงประภาสเสนอ ซึ่งคนที่พร้อมจะปลีกวิเวกตลอดเวลาอย่างธันวาก็รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ทันที


‘ถึงบ้านรึยัง’


ยังไม่ทันตั้งค่าปิดทุกการแจ้งเตือนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนอนอย่างที่ทำทุกครั้ง คนที่เพิ่งทำให้ใจเต้นแรงตั้งแต่เช้าก็ส่งข้อความมาหาเสียก่อน ธันวามองข้อความที่แทรกบทสนทนาที่เคยมีแต่สติกเกอร์นิ่ง คิดอยู่นานจนอีกฝ่ายท้วงด้วยคำถามเดิมซ้ำกว่าจะยอมตอบกลับไปว่าเพิ่งถึงแล้วกดออกมาตั้งค่าอย่างที่ต้องการก่อนทิ้งตัวลงนอนให้สมใจ




ธันวาตื่นขึ้นมาในช่วงใกล้เที่ยงจากการปลุกของแม่บ้านที่ลุงประภาสให้ขึ้นมาตามด้วยสาเหตุที่ว่าควรจะรับประทานอาหารให้ตรงเวลา คนที่อยู่ในตำแหน่งหลานชายสุดที่รักใช้เวลาในการล้างหน้าล้างตาไม่นานก่อนตามลงไปทันได้ยินคนสูงวัยคุยเรื่องงานที่ให้ลูกชายไปทำธุระแทนในเช้าวันนี้


“จริง ๆ แล้ววันนี้คุณลุงมีงานนี่ครับ น่าจะปล่อยให้ผมกลับมาเอง” ธันวาพูดในตอนที่เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามญาติผู้พี่โดยไม่ลืมสบตาอีกฝ่ายเป็นการทักทาย แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น


“เรื่องงานน่ะปล่อยให้พี่เขาทำไปเถอะ ลุงอยากไปรับธันว์มากกว่านะลูก”


เด็กหนุ่มยิ้มบางด้วยเหนื่อยจะพูดเรื่องทำนองนี้แล้วโดยไม่สนใจว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกำลังมีสีหน้าแบบไหนตอนได้ยินประโยคเดียวกันนี้


“แล้วนายล่ะ หน้าตาดูไม่สดใสเลยนะ เมื่อคืนนอนดึกเหรอ” ปกป้องถามขณะตักอาหารข้ามโต๊ะมาให้อย่างเป็นธรรมชาติที่ทำเอาคนนั่งหัวโต๊ะยิ้มพอใจ


คนถูกถามสะดุ้งตัวเล็กน้อยอย่างวัวสันหลังหวะ ความจริงจะเที่ยวที่แบบนั้นเขาคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้โดยไม่ถูกตำหนิ แต่ถึงอย่างนั้น ลึก ๆ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่ายังเร็วเกินไปอยู่ดี เสียงที่ตอบรับออกไปจึงติดสั่นเล็กน้อย โดยไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ตัวเองไม่ได้สติ “ค...ครับ”


“เพิ่งสอบเสร็จเองไม่ใช่เหรอ อย่านอนดึกนักสิลูก ดูซิเนี่ย ขอบตาคล้ำหมดแล้ว” คนเป็นลุงไม่พูดเปล่า แต่ยังทิ้งช้อนในมือเพื่อยื่นมาสัมผัสใบหน้าของคนเป็นหลานอีกด้วย


ไม่ต้องรอให้ธันวาเบี่ยงใบหน้าหลบออกมาเสียงกระแอมไอของปกป้องก็ทำให้ประภาสดึงมือกลับไปเองแล้วเริ่มรับประทานอาหารกันต่อ เพียงแต่มันไม่ได้ราบเรียบตลอดมื้ออาหารเพราะยังคงเต็มไปด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับเขาทั้งสิ้น


“ช่วงบ่ายเล่นเกมกระดานกับลุงนะธันว์ เย็น ๆ ค่อยออกไปวิ่งกัน”


“เอ่อ...” คนถูกชวนเหลือบสายตามองญาติผู้พี่เล็กน้อย ยังคงลังเลว่าจะตอบตกลงดีหรือไม่


“ผมขอตัวนะครับ เชิญพ่อกับน้องตามสบายเลย”


“อือ เกมกระดานมันต้องเราสองคนเท่านั้นจริงไหมธันวา” คนสูงวัยว่าพร้อมยกแขนขึ้นกอดคอหลานพาเดินออกไปที่สวยหย่อมเล็ก ๆ ข้างบ้านโดยที่เจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเลยสักนิด



บ้านของประภาสตั้งอยู่ในโครงการที่จัดว่ามีมูลค่าสูงมากแห่งหนึ่งในย่านปริมณฑล บ้านหลังใหญ่ที่มาพร้อมพื้นที่บริเวณบ้านมากพอจะปลูกไม้ใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางส่วนของตัวบ้านที่ห่างจากบ้านหลังข้างกันไม่มากนัก ในตอนที่เดินตามลุงประภาสไปศาลาไม้ใต้ต้นจามจุรีจึงอดไม่ได้ที่จะมองส่วนนั้น ทั้งที่มันเป็นระเบียงห้องนอนของเขาเอง


...ระเบียงที่ถูกปิดตายมาเป็นปีแล้ว


“ยังติดต่อกับพี่เขาบ้างไหม” ประภาสถามเมื่อเห็นหลานชายมองเลยไปยังระเบียงห้องของบ้านหลังข้างกันซึ่งรู้กันดีว่าเป็นห้องของใคร



“ม...ไม่ได้คุยกันแล้วครับ”


“นั่นสินะ ปีสี่แล้วนี่ใช่ไหม ป่านนี้นายภีมก็คงยุ่งพอ ๆ กับเจ้าป้องละนะ”


ธันวาไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับเขาคนนั้น และประภาสก็ไม่ซักไซ้อะไรต่อแม้จะสงสัยว่าเหตุใดคนที่หลานชายไปทำตัวติดแจด้วยอยู่หลายปีถึงขาดการติดต่อกันไปเสียอย่างนั้น และดูท่าว่าฝั่งนี้เองก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนพยายามจะติดต่อพูดคุยทั้งที่เมื่อก่อนแทบห่างกันไม่ได้เลยทีเดียว


เกมกระดานสุดโปรดของประภาสคือโกะหรือหมากล้อมญี่ปุ่น และคนที่เล่นเข้าขากันที่สุดเห็นจะมีแต่หลานชายคนนี้ที่ก็ชอบมากถึงขั้นเข้าชมรมโกะที่มหา’ลัยเมื่อตอนปีหนึ่ง เพราะธันวาชอบอะไรเหมือน ๆ กัน เขาถึงได้โปรดปรานเด็กคนนี้มาตั้งแต่เยาว์วัย ใบหน้าหล่อที่ดูสวยเหมือนแม่ยามที่ตั้งใจจดจ่อกับอะไรมาก ๆ อย่างเกมตรงหน้าที่ยิ่งโตก็ยิ่งฉายความสวยที่ได้แม่ออกมาเยอะยิ่งทำให้ประภาสเพลิดเพลินกับเกมกระดานนี้เป็นอย่างมาก




ผ่านไปกว่าสามชั่วโมงทั้งโกะทั้งหมากรุกไทยทำเอาสองลุงหลานสนุกจนไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ ธันวาบิดตัวไล่ความเมื่อยขบของร่างกายจากการนั่งนาน ก่อนจะกลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดกีฬาตามคำชวนของลุงประภาสที่อยากออกไปสูดอากาศตรงส่วนกลางของหมู่บ้าน


“จะออกไปวิ่งกันเหรอ” ปกป้องถามขึ้นก่อนที่คนน้องจะลงบันไดไปจากชั้นสองของบ้าน


“ค...ครับ พี่ป้องไปด้วยกันไหมครับ” เด็กหนุ่มแค่นยิ้ม เอ่ยชวนตามมารยาท


คนพี่ส่ายหน้าก่อนเอ่ยปฏิเสธเสริม “ไปกันเถอะ รีบกลับกันมาหน่อยแล้วกัน วันนี้ไอ้ต้าจะมากินข้าวด้วย”


ต้าคือเพื่อนสนิทของปกป้อง ธันวารู้จักดีเพราะอีกฝ่ายมักจะมานอนค้างที่บ้านนี้บ่อยครั้ง คนเป็นน้องรับปากโดยไม่ถามอะไรต่อให้มากความก่อนรีบวิ่งลงไปข้างล่าง


ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่กับลุงประภาส ธันวามักจะใช้ช่วงเวลาตอนเย็นหลังเลิกเรียนไปกับการวิ่งสูดอากาศไปทั่วหมู่บ้านก่อนจะจบลงที่คอร์ทเทนนิสท้ายหมู่บ้าน แต่วันนี้ตั้งใจจะแค่วิ่งไปสวนและนั่งเล่นรับลมเท่านั้น แต่ยังไม่ทันออกวิ่ง คนเด็กกว่าก็เบ้หน้าเพราะรองเท้ากีฬาคู่ที่ไม่ได้ใส่เป็นประจำเริ่มทำพิษเสียแล้ว


“ผมขอปั่นจักรยานดีกว่าครับ ปวดเท้าแบบนี้ ถ้าฝืนวิ่งอีกคงไม่ไหว”


“เอาของพี่เขามาใส่ก่อนไหม”


“ไม่เป็นไรครับ ใส่ไปก็ไม่ชินเท้าอยู่ดี ผมว่าผมปั่นจักรยานดีกว่า”


หลังหลานชายยืนกรานอย่างนั้นประภาสก็ตามใจเจ้าตัวจนได้ เสียดายอยู่ลึก ๆ ที่ไม่ได้วิ่งไปคุยไป เพราะนอกจากธันวาจะปั่นจักรยานแล้ว หลานรักยังขอปั่นไปคอร์ทเทนนิสท้ายหมู่บ้านก่อนเป็นอันดับแรกเลย ทิ้งให้เขาต้องเดินระคนวิ่งไปตามกำลัง


คอร์ทเทนนิสท้ายหมู่บ้านมีอยู่เพียงแค่สองคอร์ทตั้งติดกับคอร์ทแบดมินตัน สนามบาสเกตบอลและสระว่ายน้ำ ส่วนทะเลสาบและสวนรวมถึงสนามเด็กเล่นอยู่อีกฟากหนึ่ง


ธันวาจอดจักรยานไว้หน้าสระว่ายน้ำ เดินเลียบอาคารไปทางด้านหลังก็เริ่มได้ยินเสียงลูกเทนนิสกระทบพื้นสนามชัดขึ้นทุกขณะ


“พี่คริส!” ธันวาตะโกนเรียกคนที่ยืนอยู่ในคอร์ทฝั่งตรงข้ามกับประตูที่ตัวเองเข้ามา


เจ้าของชื่อที่ก้มลงหยิบลูกเทนนิสตั้งท่าจะเสิร์ฟให้คู่ตัวเองอีกครั้งก็เปลี่ยนเป็นยกมือทักทายตอบคนที่โบกมือหยอย ๆ มาจากอีกฝั่ง ก้มหัวส่งสัญญาณให้คู่ที่เล่นด้วยว่าขอเวลานอกแล้วรีบสาวเท้าไปหาเพื่อนสนิทของน้องชายทันที


“พี่คริสมานอนบ้านอาม่าเหรอครับ ไอ้ดีนมาด้วยรึเปล่า” ธันวาร้องถามตั้งแต่คริสยังห่างจากตัวมากกว่าห้าก้าว “ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย” ประโยคหลังเด็กหนุ่มพึมพำบ่นเพื่อนรักอยู่คนเดียว


“มาสิ ดีนไม่ได้บอกเราเหรอ” คริสถือไม้และลูกเทนนิสรวบในมือเดียวเพื่อใช้มือข้างที่ว่างวางลงบนศีรษะคนที่เหมือนเป็นน้องชายแท้ ๆ อีกคน


ได้ยินอย่างนั้นก็รีบตบกระเป๋ากางเกงตัวเองควานหาสมาร์ทโฟนมาเช็คดู แต่เมื่อไม่พบจึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “ลืมหยิบมาด้วยครับ...จริงด้วย! ผมไม่ได้เช็คมือถืออีกเลยตั้งแต่เผลอหลับไปเมื่อตอนสาย แต่เมื่อวานอยู่ด้วยกันก็ไม่เห็นบอก”


“พี่กับดีนก็เพิ่งรู้ว่าเตี่ยจะมาเมื่อเช้านี้เอง...ไปกินข้าวเย็นบ้านอาม่ากัน”


“คงไม่ได้หรอกครับ ลุงภาสไม่ยอมแน่ ๆ” แม้ใจจะอยากไปตามคำชวนมากแค่ไหนก็ตาม แต่เพราะเหตุที่กลับบ้านมาครั้งนี้เนื่องจากคนเป็นลุงเว้าวอนอยากใช้เวลาร่วมกัน ถ้าเขาหนีหายไป แม้จะมื้อเดียวก็คงทำให้ลุงรู้สึกไม่ดีเอาได้ “อีกอย่าง วันนี้มีแขกของพี่ป้องด้วยครับ”


“ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวพี่ไปขอลุงภาสให้เอาไหม ยกอาม่ามาอ้างไง” ประโยคหลังคริสก้มหน้าลงไปกระซิบใกล้ ๆ ราวกับจะให้เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคนเท่านั้น ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน


ไม่สิ! คริสเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนปล่อยให้คู่ที่เล่นเทนนิสด้วยกันรออยู่


“ขอโทษด้วยนะ แต่พี่ต้องไปแล้วว่ะ” คริสกอดคอธันวาก่อนหันไปบอกอีกฝ่ายที่ยืนจ้องมาทางนี้นานแล้ว


“พี่แรม!!”


เดือนแรมจ้องรุ่นน้องในคณะตัวเองนิ่ง ไม่เผื่อแผ่ไปให้คนที่กำลังสนทนาด้วยสักนิด มันน่าน้อยใจไหมเล่า ทั้งที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันมากขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของธันวาเป็นลำดับแรก ๆ อยู่ดี ยืนอยู่ตรงนี้ใกล้จุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่แท้ ๆ แต่กลับไปมองเห็นคนไกลก่อนเสียได้


เจ้าบื้อ!!


“รู้จักกันเหรอ”


“ค...ครับ รุ่นพี่ที่คณะน่ะครับ” ธันวาตอบพลางขยับตัวออกจากอ้อมแขนของคริสอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่าเดือนแรมสาวเท้าเข้ามาใกล้ด้วยสายตาคมดุที่ไม่ยอมละจากหน้าตนไปไหน


ที่อยู่ดี ๆ ก็หวงเนื้อหวงตัวขึ้นมาไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิดหรือไม่พอใจอะไรเสียหน่อย แต่เพราะแขนพี่คริสหนักต่างหาก ธันวาคิดอย่างนั้น


“พี่แรมอยู่หมู่บ้านนี้ด้วยเหรอครับ”


“อ้าว นึกว่าเคยเจอกันที่นี่บ่อย ๆ ซะอีก แรมเขามาเล่นเทนนิสบ่อยพอกันกับเราแหละมั้ง พี่มาทุกครั้งก็เจอเขาทุกครั้งนะ” เพราะตอนที่คริสกับดีนมาบ้านอาม่า เขาก็มักจะเล่นบาสเกตบอลกับดีนมากกว่า ธันวาคิดว่าคงไม่แปลกที่ตัวเองจะไม่เคยเห็นหน้าเดือนแรมมาก่อน


“ตาบอดเหรอถึงไม่เห็นกู” เดือนแรมส่งคำถามพุ่งตรงไปหาธันวาอย่างเกรี้ยวกราดจนคนน้องอ้าปากค้าง “แล้วส่งข้อความไปทำไมยังไม่อ่าน”


ธันวาอยากจับคนพี่มาขยี้ขยำเสียจริง คนอะไรเอาแต่ใจ เดี๋ยวด่าเดี๋ยวต้องการคำตอบ อยากได้อะไรจากเขาอย่างนั้นเหรอ “อ่า ขอโทษครับ พอดีผมยุ่ง ๆ พี่มีธุระอะไรด่วนรึเปล่า”


“ช่างเถอะ” ...เรามันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นนี่


“ไปกันเลยไหมธันวา...พี่ไปก่อนนะแรม ไว้มีโอกาสคงได้เล่นกันอีก” คริสบอกเดือนแรมขณะยกแขนกอดคอธันวาอีกครั้งเพื่อพาเดินออกไปจากสนามโดยที่รุ่นพี่รุ่นน้องจากคณะเดียวกันยังไม่ทันได้ร่ำลา


“ธันวา” ...ลองเสี่ยงเรียกดู


เด็กนั่นหันกลับมามองพร้อมคนข้าง ๆ ที่เดือนแรมเริ่มรู้สึกไม่ถูกชะตาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เป็นมิตรกันมาตลอด


“ผมขอตัวธันวาก่อนได้ไหมครับ จะคุยเรื่องกิจกรรมของคณะ” ...อยากลองใจ


ธันวารู้ดีว่าไม่มีกิจกรรมอะไรที่ชั้นปีที่สองต้องรับผิดชอบหรือทำร่วมกับชั้นปีที่สามอีกแล้ว ถ้าน้องเข้าใจความในที่เขาต้องการสื่อและน้องเองอยากอยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายต้องตอบรับโดยไร้ข้อสงสัย แต่ถ้าไม่...เขาคงต้องถอยกลับไปย้อมใจและตั้งหลักใหม่อีกครั้ง


ธันวาหลบตามองพื้น เม้มปากอย่างใช้ความคิดก่อนตัดสนใจหันมองพี่ชายของเพื่อนสนิทแล้วยืนยันความตั้งใจเดิมอย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว


“ฝากความคิดถึงถึงอาม่าและทุกคนด้วยนะครับ แต่วันนี้ผมไม่สะดวกจริง ๆ เดี๋ยวลุงภาสงอนอีก” ธันวาคิดอย่างที่พูด ที่เขาปฏิเสธที่จะไปกับคริสก็เพราะเหตุนี้หรอก ไม่ใช่จะอยากใช้เวลากับเดือนแรมให้นานขึ้นอีกนิดเสียหน่อย


….ใครจะอยากอยู่กับคนที่ชอบดุด่าตัวเองกันละวะ


“ตามใจเราแล้วกัน” คริสวางมือบนกลุ่มผมนุ่มของคนเด็กกว่า โยกไปมาเล็กน้อยด้วยความมันเขี้ยวก่อนบอกลา


เป็นครั้งแรกที่ธันวารู้สึกขัดเขินแปลก ๆ ที่ต้องอยู่กันตามลำพังกับเดือนแรม ในตอนที่คริสจากไปเขาจึงแสร้งหันมองจนลับสายตาด้วยเพราะไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไร


“อะแฮ่ม!”


“เออใช่! กิจกรรมอะไรนะครับที่พี่แรมจะคุยด้วย”


เดือนแรมจ้องคนหน้าซื่อตาใสนิ่ง นึกอยากจะบีบปากที่ถามมาได้ว่ากิจกรรมอะไรทั้งที่รู้อยู่แแก่ใจว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น “ต้องให้บอกชัด ๆ เหรอว่าอยากอยู่ด้วยถึงจะเลิกแกล้งโง่”


ธันวาอึ้งจนอ้าปากค้าง เริ่มไม่แน่ใจว่าตนกำลังถูกด่าทางอ้อมว่า ‘โง่’ หรือแค่ถูกรู้ทันว่า ‘แกล้งโง่’ กันแน่


“ก็แล้วทำไมต้องอยากอยู่ด้วยละวะ” ธันวาพึมพำด้วยความขุ่นเคือง ทว่าอีกคนกลับได้ยินมันเต็มสองหู


“แล้วทำไมมึงถึงยอมอยู่ด้วยล่ะ”


“ผมบอกพี่แบบนั้นเหรอ” คนน้องสวนทันควัน


“มึงปฏิเสธพี่คริส”


“ผมไม่ได้โกหกพี่คริสนะ ผมบอกพี่คริสแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้วแต่พี่เขารั้นเองต่างหาก”



นัยน์ตาคมดุจ้องมองนิ่งจนคนถูกมองขาดความมั่นใจในการต่อปากต่อคำด้วยจนต้องหลบตาหลุกหลิก “สรุปว่าไม่ได้อยากอยู่กับกู”



“เอ่อ…”



ท่าทีอ้ำอึ้งของธันวาไม่ทำให้เดือนแรมฉุนได้มากไปกว่าผิดหวังที่ความพยายามไม่เป็นผล เขายังไม่ได้หวังให้น้องรักตอบ แต่ผิดหวังที่ที่ผ่านมาเขายังทำให้ธันวารู้สึกดีเวลาอยู่ด้วยกันไม่ได้เลย “ถ้างั้นก็แยกกันตรงนี้ อยากไปส่งที่บ้านนะ แต่มึงคงไม่ยินดี กูไปละ”


ไม่ได้ถอดใจ แค่ถอยไปตั้งหลัก เพราะอยากใช้วิธีแบบนุ่มนวลในการเข้าหา อยากจะค่อย ๆ ซึมซาบเข้าไป ไม่อยากใช้ความรู้สึกตัวเองมารุก บีบบังคับหรือยัดเยียดให้อีกฝ่ายรู้สึกตอบ เพราะถ้าเขาไม่รู้สึก การตามตื้อจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ และเดือนแรมก็ไม่อยากได้รับความรู้สึกด้านลบกลับมาด้วย


“เดี๋ยวพี่!...ขี้น้อยใจจังวะ” วลีหลังธันวาพึมพำเสียงเบาแต่ก็ยังไม่รอดพ้นหูของคนพี่อยู่ดี


“ไม่ได้น้อยใจ แต่รู้ว่ายังไม่มีสิทธิ์” ...สิทธิ์จะน้อยใจยังไม่มีเลย


นัยน์ตาคู่นั้นส่อแววตัดพ้อแวบหนึ่งก่อนจะพร่าเบลอไปเมื่อเจ้าของมันเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ธันวาเห็นแค่ช่องว่างระหว่างคิ้วที่แคบลงเหมือนฉงนในบางอย่างเท่านั้น “มึงไม่พอใจกูเรื่องเมื่อเช้ารึเปล่า”


“อะ อะไรครับ เรื่องอะไร” ธันวาเอนตัวออกห่างเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถอยหลัง เมื่อมองระยะนี้ก็เห็นชัดขึ้นมาว่านัยน์ตาดุคู่นั้นกำลังครุ่นคิดบางอย่าง


“ก็ที่กูทำแบบนี้ไง” แก้มใสข้างขวาของธันวาถูกจับจองอีกครั้งด้วยฝ่ามือของคนพูดที่ยื่นมากอบไว้ เดือนแรมเกลี่ยนิ้วทับรอยเดิมกับเมื่อเช้าอย่างอ่อนโยนคล้ายต้องการให้ ‘สติกเกอร์รูปหัวใจ’ ชัดขึ้นอีกครั้ง ทว่าแทนที่จะแดงแค่รอยสติกเกอร์กลับกลายเป็นขยายวงกว้างแดงซ่านไปทั้งใบหน้าอย่างรวดเร็ว


แววฉงนหายไปจากนัยน์ตาคมดุเปลี่ยนเป็นแพรวพราวอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับมุมปากได้รูปที่กระตุกยิ้มแบบที่คนเด็กกว่าไม่ทันสังเกต แต่ก่อนที่จะทนกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหวเจ้าตัวก็รีบปล่อยใบหน้าอีกฝ่ายให้เป็นอิสระแล้วรีบหันหลังเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่กว้างที่สุดเท่าที่กายภาพจะทำได้เสียก่อน


ก็ยังมีหวังนี่หว่าไอ้แรม!


“พี่แรม!...รอด้วยดิ!” เมื่อหายอึ้งแล้วก็รีบวิ่งตามรุ่นพี่หน้าดุไปทันที ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อครู่ใจเต้นแรงจนแทบบ้า ลมหายใจก็ติดขัด ไหนจะใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมาก ๆ จนอีกฝ่ายต้องรู้สึกแน่ ๆ อีก ความจริงแล้วเขาควรจะหนีไปอีกทางไม่ใช่หรือ แล้วใยสองขาถึงพาร่างมาเดินก้มหน้าซ่อนความขัดเขินอยู่ข้างเขาได้กันเล่า


เดือนแรมไม่ปิดบังรอยยิ้ม ยิ่งเห็นท่าทางของคนน้องก็ยิ่งระบายยิ้มเต็มปากเต็มตาไม่สนคนเดินผ่านไปมาจะมองว่าบ้าเลยสักนิด ไอ้เด็กข้าง ๆ ที่เอาแต่เดินก้มหน้าราวกับหาเศษเหรียญนี่มันน่ามันเขี้ยวเสียจริง เห็นแล้วอยากบีบอยากบี้มันซะตรงนี้แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้แล้วย้ำกับตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา


“แยกกันตรงนี้เลยแล้วกัน” เดือนแรมแกล้งพูดเสียงเข้มหลังจากปั้นหน้านิ่งอย่างสุดความสามารถได้สำเร็จแล้ว


คนถูกตัดรอนหันมองค้อน อยากคาดโทษคนพี่แต่ก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้คนอ่อนกว่าอย่างตนจะมีโอกาสได้เอาคืนรุ่นพี่บ้างหรือเปล่า


“ไปนะ”


“ละ แล้วไม่มีอะไรจะคุยด้วยแล้วเหรอพี่”


เดือนแรมหันกลับไปเลิกคิ้วมอง “หมายถึงกิจกรรม?”


ธันวาย่นหน้าอย่างหงุดหงิดใส่คนที่เอาแต่กวนอารมณ์เขาไปมาอยู่แบบนี้ “ไม่รู้โว้ย ไม่คุยก็ไม่คุย”


เดือนแรมกระตุกยิ้ม อาการงุ่นง่านของธันวาถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขา จึงไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปกอดคอคว้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตัวเอง “อยากอยู่ด้วยกันต่อก็พูดดิ ยากอะไร”


“มั่วแล้ว” ธันวาดันตัวออก หันหน้ามามองคนพี่อย่างเอาเรื่อง “พี่ต่างหากที่อยากให้อยู่ พี่ยังไม่เห็นพูดออกมาเลย...ดีแต่ไล่” ท้ายประโยคริมฝีปากอิ่มแดงมุบมิบไม่ให้เกิดเสียงแต่คนมองก็ยังอ่านมันออกอยู่ดี


เดือนแรมเม้มปากเก็บอาการที่อยากจะยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมด สุดท้ายจึงอนุญาตให้มีเพียงรอยยิ้มมุมปากเท่านั้นที่หลุดลอดออกมาพร้อมแววตาแพรวพราวจนคนมองใจกระตุก ยิ่งในยามที่อีกฝ่ายก้มหน้าลงมาหาก็ยิ่งใจเต้นแรงจนเกือบจะช็อคแล้วหยุดเต้นไปดื้อ ๆ เสียให้ได้


ใบหน้าคมดุหยุดห่างจากเขาพอประมาณ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะไม่เคลื่อนเข้ามาใกล้มากกว่านี้ธันวาก็แอบผ่อนลมหายใจให้ปกติอย่างที่คิดว่าแนบเนียนที่สุด


“อยู่ด้วยกันให้หายคิดถึงก่อนนะครับ”


“...”


“...นะ”









(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 29-11-2018 18:04:08


ธันวารู้สึกเหมือนโดนป้ายยา โลกของเขามันฟุ้ง ๆ คล้ายกำลังฝัน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลังจากประโยคนั้นของเดือนแรมแล้วเป็นอย่างไรต่อ รู้แค่ว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในสวนสนุกที่มีเด็กเล็กเล่นสไลเดอร์ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า...และข้าง ๆ ก็มีผู้ชายหน้าดุผิวปากราวกับอารมณ์ดีเสียเต็มประดาจนน่ารำคาญ ความอารมณ์ดีของเดือนแรมช่างน่ารำคาญ มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูกและใจก็วูบหวิวจนน่ารำคาญไปหมด


“ไปเล่น seesaw กันไหม” เดือนแรมทำลายความประดักประเดิดที่เกิดขึ้นด้วยการชี้ชวนไปยังกระดานหก ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเพียงชนิดเดียวที่ยังไม่ถูกเด็ก ๆ จับจอง


“โตเกินกว่าจะเล่นแล้วป่ะพี่” ธันวาพูดติดตลก


“ใคร ๆ ก็เล่นได้ทั้งนั้นแหละ ยิ่งตัวใกล้ ๆ กันก็ยิ่งเล่นสนุกออก”


ไม่รู้ว่าเดือนแรมมีทักษะการเชื้อเชิญที่เก่งมากหรืออย่างไรธันวาถึงพบว่าตัวเองยอมไหลตามน้ำไปด้วยได้ง่ายเสียจริง แล้วที่บอกว่าขนาดตัวเท่ากันนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้วเดือนแรมสามารถทำให้ร่างที่เหมือนจะเท่ากันของเขาลอยค้างอยู่กลางอากาศได้นานหลายนาทีเลยทีเดียว


“ลง ๆ ๆ อย่ากดไว้สิพี่แรม เอาผมลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”


“บนนั้นอากาศดีไหม”


“พี่ลองอยู่ข้างบนดูบ้างไหมล่ะ ”


“อ้อนก่อนสิ”


“เพ้อเจ้อแล้ว เอาลงงงงง” ธันวาโวยวายเสียงดังขึ้นจนเด็ก ๆ และผู้ปกครองต่างหันมามอง เดือนแรมทำปากจุ๊ ๆ ส่งสัญญาณให้อีกคนเงียบแล้วค่อย ๆ ยันเท้าดันตัวขึ้นอย่างนิ่มนวลเพื่อไม่ให้ธันวาตกลงมาด้วยแรงกระแทกจนสุดท้ายทั้งสองก็อยู่ในระดับเดียวกัน รองเท้าทั้งสองคู่สัมผัสพื้นเพื่อประคองน้ำหนักกันและกัน


“โกรธพี่เหรอครับน้องธันวา”


“ขนลุก!” นัยน์ตาใสรีเล็กมองคนพี่ที่กำลังทำหน้าระรื่นอย่างคาดโทษ อย่าคิดว่าเดือนแรมจะพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานชวนใจอ่อนระทวย เพราะทั้งสีหน้าแววตาและน้ำเสียงต่างกวนประสาทจนอยากเอาคืนบ้าง และคงไม่มีวิธีไหนเอาคืนได้เจ็บแสบเท่ากับการดันตัวเองให้ขึ้นสูงเพื่อให้อีกฝ่ายตกลงไปกระแทกพื้นอย่างเฉียบพลันอีกแล้ว


แต่เดือนแรมไม่ใช่ธันวาที่จะโดนหลอกง่าย ๆ และขาดการป้องกันตัว เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นว่าเขายอมทิ้งตัวลงต่ำกว่าอย่างง่ายดายเพื่อให้อีกฝ่ายลอยตัวขึ้นอย่างนุ่มนวลอีกด้วย


“ชอบอยู่ข้างบนก็ไม่บอก แล้วเมื่อกี้ขอลงมาทำไมวะ”


ธันวานึกเกลียดเสียงหัวเราะในลำคอของเดือนแรมขึ้นมาจับใจ “ไม่ต้องมาพูดเลย ทำไมผมต้องแพ้พี่อีกแล้ววะ”


“มึงจะชนะกูทุกอย่างเลยรึไงละวะ”


“ชนะอะไรเล่า ผมเคยชนะอะไรพี่ได้บ้าง แพ้ตลอดเลย”


“โวยวายเก่งจริง ๆ เลยนะมึงเนี่ย” เดือนแรมดันตัวเองขึ้นเพื่อลดระดับอีกคนให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกันอีกครั้ง


“ก็เพราะพี่นั่นแหละ แพ้ให้บ้างก็ไม่ได้”


“ถ้ามึงยอมให้กูชนะมึงอีกอย่าง กูจะยอมแพ้มึงไปตลอดชีวิตเลย”


“อะไร”


“ชนะใจมึงไง”


สองสายตาสอดประสานกัน ไม่มีแววล้อเล่นในหน่วยตาคมดุอีกแล้ว ยิ่งมองลึกลงไปก็ค้นเจอแต่ความจริงใจจนธันวานึกกลัว มันเหมือนสายตาของคน ๆ หนึ่งที่เคยใช้มองเขาเมื่อหลายปีก่อน


คนที่ท้ายที่สุดก็ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในชีวิตเขา


“ธันวา!”


เจ้าของชื่อสะดุ้งหลุดจากภวังค์เช่นเดียวกันกับคนฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาหา ธันวาก็ส่งสัญญาณให้เดือนแรมรู้ว่าตนจะลุกออกจากกระดานหกแล้วเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ตั้งรับทัน


“คุณลุงจะกลับแล้วเหรอครับ”


“ใช่ เจ้าป้องโทรมาตามแล้ว...แล้วนี่รู้จักกันเหรอ”


“สวัสดีครับ” เดือนแรมกระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม ประภาสเองก็รับไหว้ด้วยความอารีย์


“นี่พี่แรมครับ รุ่นพี่ที่คณะ”


“อ้อ ลุงฝากน้องด้วยนะแรม แต่ตอนนี้เราคงต้องไปแล้ว”


“ครับ”


แม้จะผิดแผนที่ตั้งใจจะไปส่งที่บ้านแต่เดือนแรมก็ยังยิ้มได้เพราะได้เข้าใกล้ธันวามากขึ้นกว่าเดิมอีกหนึ่งก้าว ทว่ายังมีอีกหนึ่งอย่างที่คาใจ ในตอนที่พวกเขาสบตากันเมื่อครู่ เดือนแรมสัมผัสได้ว่าแม้อีกฝ่ายจะมองตอบกลับมาแต่เหมือนใจไม่ได้อยู่กับเขาเลย


เดือนแรมตระหนักรู้ว่าตนยังต้องใช้เวลาอีกมากในการเอาชนะใจธันวาได้หมดใจ และเขาก็ใจเย็นมากพอที่จะอดทนรอให้ถึงวันนั้น


วันที่ธันวามองตาเขาแล้วคิดถึงแต่เขาไม่ใช่คนอื่น





สองลุงหลานเพิ่งเดินผ่านประตูรั้วบ้านก็มองเห็นปกป้องยืนรออยู่หน้าบ้านแล้วพร้อมกับเพื่อนสนิทที่บอกว่าคืนนี้จะมาร่วมโต๊ะด้วย ต้าเป็นหนุ่มหน้าตาทะเล้นสูงพอกันกับลูกชายเขา ประภาสเคยเจออยู่บ่อยครั้ง ดูภายนอกเป็นเด็กที่ใช้ได้ทั้งเรื่องนิสัยส่วนตัวและเรื่องงานที่รับช่วงต่อจากครอบครัว ส่วนที่ลึกกว่านั้นเขายังไม่มีโอกาสได้มอง แต่เท่าที่สัมผัส เหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่แปลกจนต้องคอยระมัดระวังให้ดี


“ลุงกับน้องขอขึ้นไปอาบน้ำซักครู่นะ จะให้ป้าเขาตั้งโต๊ะให้ตอนหนึ่งทุ่ม หนุ่ม ๆ รอกันไหวไหมล่ะ” ประภาสว่าหลังจากรับไหว้จากเพื่อนลูกชายแล้ว


“ไหวสิครับคุณลุง” ท่าทีเป็นมิตรนั้นเผื่อแผ่ไปให้ญาติผู้น้องของเพื่อนด้วย ธันวาสบตาแล้วก็รีบเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อมตามที่คนอ่อนกว่าพึงกระทำ


“ไม่เจอกันไม่กี่เดือนเองไม่ใช่เหรอวะ ผอมลงไปเยอะเลยนะ” ต้าแซวอย่างคนคุ้นเคย


ธันวาเองก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตร “เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้อ้วนเหอะ จะผอมลงซักแค่ไหนกันครับ”


“แก้มมึงตอบลงไง” ปากว่ามือถึงคืออีกหนึ่งนิสัยที่ประภาสสังเกตได้จากเพื่อนคนนี้ของลูกชายจนคนหวงหลานอย่างเขาต้องรีบตัดบทแล้วพาตัวหลานขึ้นไปข้างบนด้วยกัน


วันนี้ประภาสยอมย้ายมานั่งข้างหลานชายเพื่อความสะดวกในการพูดคุยกับคนฝั่งตรงข้ามที่มีกันสองคนเช่นกัน


“วันนี้ไม่ค้างด้วยกันเหรอต้า” ประภาสถามด้วยความเคยชินเพราะต้าแทบจะเป็นขาประจำของบ้านหลังนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น


“ไม่สะดวกครับ แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วเลยขออยู่ทานข้าวกับคุณลุงหน่อย...คิดถึงน่ะครับ” ประภาสเห็นว่าท้ายประโยคนัยน์ตาของเด็กหนุ่มเลื่อนไปมองคนข้าง ๆ เขาที่กำลังเพลินอยู่กับอาหารที่ล้วนแต่เป็นเมนูโปรดของเจ้าตัวทั้งนั้น


“คิดถึงลุงเหรอ” ประมุขของบ้านแสร้งถาม


ต้าหัวเราะน้อย ๆ “ครับ คิดถึงบรรยากาศที่บ้านนี้ด้วย”


“จะมาบ่อย ๆ ก็ได้นะ”


“ขอบคุณครับ ถ้ามีโอกาสจะไม่พลาดแน่นอนครับคุณลุง”


“กินไม่พูดเลยนะมึง”


“ห๊ะ ผมเหรอ” คนเด็กสุดเงยหน้ามามองเหรอหรา “ก็พี่บอกว่าผมผอมลงนี่ ผมก็ต้องกินให้เยอะ ๆ สิ”


“เออกินไป งั้นก็ต้องกินหมูเข้าไปเยอะ ๆ” ต้าถือวิสาสะตักเนื้อขาหมูติดมันชิ้นใหญ่ใส่จานธันวาจนอีกฝ่ายร้องโวยวายแต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมกินจนหมด


ช่วงเวลาหลังมือเย็นพวกเขาใช้ไปกับการดูรายการโทรทัศน์ร่วมกัน ต้ายังคงสนุกกับการพูดคุยกับทั้งประภาสและธันวา ขณะที่ปกป้องเพียงแค่นั่งฟังเงียบ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งต้าขอลากลับในตอนสองทุ่มนิด ๆ ทั้งสามถึงได้แยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมันด้วย





เสียงแจ้งเตือนที่สั่นต่อเนื่องทำให้ธันวาต้องยอมให้ความสนใจกับมันก่อนจะไปอาบน้ำอีกครั้งอย่างที่ตั้งใจไว้


ห้องแชทที่มีการเคลื่อนไหวคือกลุ่มอนาคตของชาติ และที่มาของการไลน์เด้งจนเครื่องแทบค้างมาจากรูปที่กรองเกียรติส่งเข้าไปในกลุ่ม


มันเป็นรูปที่จับภาพหน้าจอมาจากสเตตัสหนึ่งในเฟซบุ๊คของเดือนแรมซึ่งเพิ่งถูกโพสเมื่อสิบนาทีที่แล้วด้วยรูปที่มีแสงสุดท้ายของวันเป็นพระเอกแต่กระดานหกมุมขวามือก็ยังโดนเด่นพอที่จะมองออกว่าถ่ายจากที่ไหน มิหนำซ้ำแคปชั่นยังขยายความชัดเจนอีกด้วยว่ามันคือกระดานหกจริง ๆ


‘seesaw has two seats to make sure that someone will bring you up when you are down.’


เก่งก็คือเก่ง : นี่มันอะไรวะไอ้ธันว์
ทีมพระเอก : กูพลาดอะไรไปป่าววะ
DEAN : ที่คริสบอกว่ามึงเจอรุ่นพี่นี่คือเขาเองเหรอ
ทีมพระเอก : เดี๋ยวก่อนครับ เล่าให้กูฟังก่อนว่าเขาเป็นใคร อะไร ยังไง


ธันวาถอนหายใจ รู้สึกว่าโชคยังดีอยู่บ้างที่คู่แฝดยังไม่มาร่วมแจมด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงปวดหัวมากกว่าเดิมแน่


THANWA : เป็นรุ่นพี่ที่คณะ บังเอิญเจอกันเลยเพิ่งรู้ว่าเขาอยู่หมู่บ้านนี้ด้วย
เก่งก็คือเก่ง : *สติกเกอร์หมีตกใจ
เก่งก็คือเก่ง : บังเอิญเก่งงงงงง
DEAN : คงมีแค่เรื่องนี้แหละมั้งที่บังเอิญจริงๆ
เก่งก็คือเก่ง : เออว่ะ ใครจะลงทุนมาซื้อบ้านในหมู่บ้านเดียวกันวะ บ้านไม่ใช่ถูกๆ
ทีมพระเอก : เดี๋ยวนะ คุยไรกันวะ
ทีมพระเอก : มีอะไรที่มากกว่าแค่รุ่นพี่ในคณะใช่ไหม
ทีมพระเอก : เขาจีบมึงเหรอ @THANWA
นโม_ตัสสะ : ตั่ยแล้วววววว
โอมเพี้ยง : เอาแล่วๆๆๆๆๆๆ
นโม_ตัสสะ : คราวนี้เอาให้ดีนะมึง อย่ามา ‘แค่น้องครับผม’ อีกนะ
THANWA : กูไม่ได้ชอบเขา
เก่งก็คือเก่ง : เอาให้แน่
DEAN : กูว่าไม่นาน
เก่งก็คือเก่ง : พี่แรมแม่งจีบมึงจริงจังว่ะ ไอดอลกูไม่ธรรมดา


ธันวาตั้งใจจะพิมพ์บอกให้เพื่อนเลิกเพ้อเจ้อกันไปเองแต่กลับมีแอปฯแชทอีกโปรแกรมหนึ่งเด้งเตือนขึ้นมาเสียก่อน และเพราะว่ามันมาจากคนที่ทำให้เขากำลังตกที่นั่งลำบากเขาจึงต้องรีบผละจากห้องแชทนี้ไปหาอีกฝ่ายทันที


‘โทรหาได้ไหม’


ธันวายังไม่ทันตอบว่าได้ อีกฝ่ายก็โทรเข้ามาก่อนแล้วจนคนฝั่งนี้หลุดบ่นออกมาว่าจะถามก่อนทำไมว่าได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรับสายอยู่ดี


“พี่โทรหาผมทำไมเนี่ย”


[ก็จีบอยู่อ่ะ อยากได้ยินเสียงไม่ได้รึไง]


ถ้ายืนอยู่หน้ากระจกธันวาคงเห็นว่าตัวเองกำลังหน้าตาเหรอหราแค่ไหน


[ขอทำคะแนนหน่อยดิ]


“ก...ก็เพิ่งคุยกันไปเองนะ เมื่อเย็นอ่ะ” และนี่ก็เพิ่งสองทุ่มครึ่งเองด้วย


[คิดถึงอีกแล้วไม่ได้รึไง]


คนที่บ่นว่าเพิ่งคุยกันไม่นานมานี้เองเผลอยิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น


[เออ ทำไมเพื่อนมึงแอดเฟรนด์กูมาเต็มเลยวะ กูควรรับไหม]


“ใครวะพี่”


[มีแฝดกับคนที่ชื่อธีมะ]


คนทางนี้แทบกุมขมับ พอเพื่อนรู้เรื่องปุ๊บก็รีบเข้าหาปั๊บจนน่าปวดหัว คู่แฝดแอดเฟรนด์ไปไม่เท่าไหร่ สองคนนั้นชอบก่อกวนชีวิตคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งใครที่เข้ามาในชีวิตของเพื่อน สองคนนั้นจะรีบเข้าไปทำความรู้จักและสอดส่องทันที แต่สำหรับทีม ธันวารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ต้องมีแผนการบางอย่างในหัวแล้วแน่ ๆ


“ไม่ต้องรับ ๆ”

 
[ทำไม]


“อ้าว ถามความเห็นเค้าแล้วทำไมต้องสงสัยคำตอบเค้าล่ะ”


[พูด ‘เค้า’ ด้วย น่ารักว่ะ]


“บ้าอะไรเนี่ยพี่ ผมพูดให้ฟังดูเป็นบุคคลที่สามหรอก” ...อย่ามาแกล้งโง่ ธันวาทดในใจ นึกหมั่นไส้คนปลายสายขึ้นมาอีกแล้ว


[จะไปรู้เหรอ นึกว่าอยากอ้อน]


“ไปกันใหญ่แล้ว เอ้อ! พี่อยู่หมู่บ้านนี้มานานแล้วเหรอครับ”


[ตั้งแต่เกิด]


“ไปเล่นเทนนิสบ่อยจริงอย่างที่พี่คริสบอกรึเปล่าครับ”


[เกือบทุกวัน]


“แล้วพี่เคยเจอผมไหม”


[สำคัญอะไร]


“ก็...จริง ๆ แล้วเราเจอกันมานานแล้วใช่ไหมครับ”


ปลายสายถอนหายใจ [กูเจอมึงคนเดียว]


“แต่พี่เพิ่งมาชอบผมตอนนี้น่ะเหรอ ทำไมอะ เพราะเรารู้จักกันมากขึ้นน่ะเหรอ”


[อย่าเดาสุ่มเลย]


“อะไรวะ”


[บอกไปแล้วมึงจะชอบกูเลยรึเปล่าล่ะ]


“ไม่อยากรู้แล่ว”


ปลายสายหัวเราะน้อย ๆ ให้คนฟังรู้สึกคันยุบยิบในใจที่ถูกต้อนอีกแล้ว [ต่อไปนี้ต้องตั้งใจเรียนขึ้นด้วยนะ]


ธันวารู้สึกขอบคุณที่เดือนแรมยอมเปลี่ยนเรื่อง แม้จะทำได้แย่มากก็ตาม “รู้คร้าบบ”


[ต้องทำด้วย ต่อไปนี้จะโหดกว่าเดิมมาก ทำเป็นเล่นไม่ได้แล้วนะ เรียนเป็นบล็อกแล้วสอบเลย สามสี่สัปดาห์ก็จบบล็อกแล้ว ไหนจะควิซในคาบอีก ท้ายเทอมยังมีไฟนอลรวบยอดด้วย อย่าประมาท]


“ผมไม่ได้จะเอาเหรียญทองแบบพี่ซักหน่อย” คนน้องบ่นพึมพำแต่ไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยสักนิดที่ถูกอีกฝ่ายเตือน ความอารมณ์ดีของเดือนแรมเมื่อตอนเย็นนั่นน่ารำคาญกว่าเยอะ


[เป็นหมอ...]


“ผมไม่เรียนแค่พอผ่านหรอกหน่า” ธันวาพูดขัดประโยคของเดือนแรมเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร “จะตั้งใจเรียนให้มากขึ้นครับ”


[ดีมาก น่ารัก]


คนฟังหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยชมกันหรือเปล่าที่ทำให้ธันวารู้สึกอยากทำตัวเองให้ดีขึ้นอย่างที่เดือนแรมแนะนำ


ธันวาคุยกับเดือนแรมเรื่องหนังภาคต่อที่กำลังจะเข้าใหม่ซึ่งบังเอิญเป็นเรื่องโปรดของคนทั้งคู่จึงทำให้เพลินจนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนที่รับสายของเดือนแรมตนนั่งหรือยืนอยู่มุมไหนของห้อง มารู้ตัวก็ในตอนที่เผลอเปิดม่านเล่นไปมาแล้วมองออกไปนอกระเบียง เผลอให้ความสนใจกับบ้านหลังตรงข้ามจนปล่อยให้ใจล่องลอยไปถึงวันวานทำให้บทสนทนาที่กำลังได้อรรถรสต้องชะงัก


ห้องที่ตรงกันนั้น มีความทรงจำมากมายเหลือเกิน


“พี่แรมครับ”


[หื้ม]


“ผมยอมให้พี่จีบก็ได้” ถ้าเดือนแรมเปลี่ยนเรื่องได้แย่แล้ว ธันวาคงทำมันได้แย่กว่ามาก


[...]


“แต่บอกไว้ก่อนว่าตอนนี้ผมยังไม่ได้ชอบพี่ และผมก็ไม่ใจอ่อนง่าย ๆ หรอกนะ”  เขาเจ็บแล้วจำ แผลในครั้งก่อนยังทิ้งร่องรอยในแบบที่พร้อมจะมีเลือดซึมได้ตลอดเวลา


[...]


“ผมใจแข็งมากกว่าที่พี่คิด” นัยน์ตาอ่อนแสงแข็งกร้าวขึ้นยามมองไปยังระเบียงห้องของบ้านข้างกัน


[กูก็ชอบมึงมานานมากกว่าที่มึงคิดเหมือนกัน]


นัยน์ตาคู่นี้ฉายแวววูบไหว



[เรื่องยอมแพ้น่ะเลิกคิดไปได้เลย]











TBC.
------------------------------------------------------------
ห่างหายไปนานต้องขออภัยค่ะ #กราบ
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-11-2018 18:25:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

 แสดงว่า  พี่แรมเห็นน้องมานานแล้ว แอบชอบน้องมานานแล้วเช่นกัน

แต่ที่ผ่านมาพี่แรมไม่เคยอยู่ในสายตาน้อง เพราะสายตาน้องมีแต่ภีมในขณะนั้น
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-11-2018 21:04:31
พี่แรมหลุดโฟกัสน้องมาตลอดเลยเหรออ

ทำไมทั้งคุณลุง พี่ป้อง แล้วก็เพื่อนพี่ป้อง แปลกๆ มันหมดเลย กลัว  :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-11-2018 21:24:27
 เซอร์ไพรส์มากที่พี่แรมอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แสดงว่ามองน้องมานานแล้วแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pimmychu ที่ 29-11-2018 22:49:18
 :-[ พี่แรมมม ชั้นมารอพี่ที่นี่ทุกวันเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [29/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 01-12-2018 22:28:49
เป็นกำลังใจให้พี่แรมค่ะ สู้เขาค่ะพี่!!  :angry2:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 08-12-2018 20:52:15
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)







เช้าวันจันทร์คือช่วงเวลาเร่งรีบของทุกคนและนั่นก็ทำให้การจราจรบนท้องถนนติดขัดจนน่าเบื่อหน่าย แต่ถึงอย่างนั้นธันวาก็จำต้องยอมให้ประภาสไปส่งวันนี้แทนที่จะเป็นเย็นวันอาทิตย์อย่างทุกครั้งเพื่อที่จะได้ใช้เวลาร่วมกันเต็มที่อีกหนึ่งวันตามความต้องการของอีกฝ่ายและแลกกับการที่จะไม่ไปหาเขาในกลางสัปดาห์ด้วย แต่สิ่งที่ธันวาไม่คาดคิดคือคนเป็นลุงจะยอมให้เขาติดรถไปมหาวิทยาลัยพร้อมปกป้องเลยทั้งที่ไม่เคยจะยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นสักครั้งเดียว


ธันวาแสร้งทำเป็นอ่านหนังสือบนรถเพื่อกันอีกฝ่ายออกจากการชวนคุยใด ๆ ที่มักจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปเสียทุกครั้ง แม้ว่าปกป้องจะอ้างด้วยความเป็นห่วงว่าการอ่านหนังสือบนรถจะทำให้สายตาของเขามีปัญหาแต่เขาก็ยกเรื่องควิซคาบเช้าวันนี้มาอ้างจนชนะได้


นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองอย่างธันวารู้ดีว่าการอ่านหนังสือขณะนั่งบนรถจะทำให้สายตาของเขาทำงานหนักขนาดไหนที่ต้องคอยปรับโฟกัสอยู่ตลอดเวลา เพราะอย่างนั้นดวงตาคู่นี้ถึงได้ไม่จดจ้องอยู่ที่ตัวอักษรใดเลย เขาเพียงแค่มองหน้ากระดาษแล้วปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปถึงใครคนหนึ่ง ใครคนที่กำลังพยายามเข้ามาในชีวิตของเขาและเขายังไม่ได้ใจอ่อนแต่กลับรู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่คุยกัน


เดือนแรมไม่ได้ทักมาบ่อย เพียงแค่ในตอนเช้าธันวายังตื่นมาเจอสติกเกอร์รูปหัวใจ
เหมือนเดิม และตกเย็นก็ส่งข้อความมางอแงเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นเขากลับเข้าหอพักอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อคืนก็ไม่ได้โทรหา เพียงแค่ส่งข้อความมาส่งเข้านอนตอนเกือบตีหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งธันวาที่มาเห็นในตอนเช้าก็รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคงอ่านหนังสือจนดึกอีกเหมือนเคย


อดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่าไหนบอกว่าคิดถึงอยากได้ยินเสียงกันบ้าง แต่วันทั้งวันกลับส่งมาแต่ข้อความและสติกเกอร์โง่ ๆ ตัวเดิม ๆ
 

“ถึงแล้ว” ทั้งเสียงเรียกและฝ่ามือที่วางทับลงมาบนมือเพื่อลดหนังสือในมือเขาลงอย่างถือวิสาสะทำให้เจ้าตัวสะดุ้งน้อย ๆ อยากจะดึงมือออกอย่างแนบเนียนแต่อีกฝ่ายกลับกุมไว้แน่นเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้


“เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับ แต่ผมต้องไปแล้ว”


ปกป้องยิ้มแบบที่ถ้าเป็นเมื่อตอนยังเด็กธันวาคงยิ้มตอบอย่างสนิทใจได้ไม่ยาก แต่พอเป็นตอนนี้เขากลับรู้สึกขยะแขยงมันจนอยากทำตัวเสียมารยาทใส่เสียเหลือเกิน โชคดีที่ปกป้องยอมปล่อยมืออย่างง่ายดายก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรลงไป


“ตั้งใจเรียนนะครับ”


ธันวาส่งเเสียงตอบรับแล้วรีบลงจากรถ ดูจากเวลาแล้วเขาน่าจะเข้าห้องเรียนสายอย่างแน่นอนแม้ว่าญาติผู้พี่แทบจะจอดรถเทียบตึกเรียนอยู่รอมร่อแล้วก็ตาม


เด็กหนุ่มเร่งสาวเท้า ก้าวยาว ๆ ข้ามบันไดสองขั้นในบางจังหวะ มือข้างซ้ายกระชับเป้ให้สะพายไหล่ข้างเดียวได้ก่อนดึงกลับมาลูบมือข้างขวาที่เพิ่งถูกสัมผัสมาแรง ๆ ราวกับต้องการลบความรู้สึกนั้นให้หายไป และเพราะว่ามัวแต่จดจ่ออยู่กับตัวเอง ในตอนที่เลี้ยวมุมตึกอย่างรวดเร็วจึงสะดุ้งโหยงและเผลอปัดมือของบางคนที่ยื่นมาวางบนไหล่ออกด้วยท่าทีรังเกียจ


“เอ่อ...” ธันวาตกใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือเป็นใคร และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าผิดหวังกับท่าทีรังเกียจของเขา หนุ่มรุ่นน้องขยับเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อยเพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ได้รู้สึกอย่างที่เผลอแสดงท่าทีออกไปแต่อย่างใด “ขอโทษครับ ผมแค่ตกใจ”


“อือ” ความจริงเดือนแรมเห็นธันวาตั้งแต่ตอนลงจากรถแล้ว ท่าทางเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ยิ่งเห็นท่าทีเมื่อครู่ก็ยิ่งชัดเจนว่าตนไม่ได้มองผิดไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ก่อน “รีบไปเรียนเถอะ ตั้งใจเรียนด้วย อย่ามัวแต่หลับ”


คนเป็นน้องยิ้มแหยก่อนรับปากส่ง ๆ แล้วรีบวิ่งไปเข้าเรียน แต่เพราะว่ากลัวจะเข้าห้องหลังอาจารย์ ธันวาจึงเลือกเข้าทางประตูแรกซึ่งตรงกับแถวล่างสุดของห้องบรรยายแบบสโลป ขณะที่เพื่อนฝูงมักจะนั่งประจำกันเกือบแถวบนสุดซึ่งต้องขึ้นบันไดไปอีกหนึ่งชั้นเพื่อเข้าประตูหลังได้


เด็กหนุ่มที่รีบวิ่งกระหืดหอบเข้ามายืนนิ่งคิด หากวิ่งจากแถวแรกขึ้นไปแถวบนสุดเพื่อนั่งกับเพื่อนสนิทคงได้ตกเป็นจุดเด่นของคนทั้งห้อง มิหนำซ้ำยังจะโดนอาจารย์หมายหัวเพราะยังหาที่นั่งไม่ได้ทั้งที่อาจารย์เข้าห้องเรียนแล้ว ครั้นจะหาที่นั่งแถวนี้ก็ใกล้มือใกล้ไม้อาจารย์เกินไป แต่ในตอนที่กำลังลังเลอยู่นั้นเองที่เหมือนจะได้ยินชื่อตัวเองดังแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง


“ธันวา...ทางนี้ ๆ” เจ้าของเสียงเรียกแห่งความมีน้ำใจคือคนที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้สมชื่อเจ้าตัว ธันวาไม่รอช้าที่จะรีบพุ่งเข้าไปนั่งกับเธอตามคำชวนโดยไม่ทันคิดว่ากลุ่มของเจ้าหล่อนจัดเป็นเด็กเรียนกันทั้งแก๊ง มาตระหนักเอาได้ก็ตอนที่เมื่อนั่งลงแล้วสายตาโฟกัสกับจอใหญ่ด้านหน้าได้โดยไม่ต้องหันองศาหน้าไปทางไหนเลยถึงได้รู้ว่ากำลังนั่งอยู่ตรงกลางและประมาณด้วยสายตาคร่าว ๆ ก็พบว่าตนอยู่ในแถวที่ห้านับจากล่างพอดี เรียกได้ว่าใกล้จนไม่กล้าหลับเลยทีเดียว


“หอบมาเชียว มาจากบ้านเหรอ” เด็กสาวถามด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าสวยหวานแต้มรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ทำให้คนมองรู้สึกสดชื่นขึ้น


“อื้ม ขอบใจที่เรียกเรามานั่งด้วยนะ”


“ไม่เป็นไร ๆ สงสารคนยืนเคว้งเป็นหมางงน่ะ”


สองหนุ่มสาวพูดคุยกันได้ไม่นานอาจารย์ก็เริ่มสอนเนื้อหา คาบบรรยายสี่ชั่วโมงเช้ากำลังเริ่มต้นขึ้น ธันวาตั้งใจว่าจะถือโอกาสที่ไม่ได้นั่งข้างเพื่อนในวันนี้ตั้งใจเรียนให้เต็มชั่วโมงให้ได้


แต่คนที่หลับในห้องเรียนมาโดยตลอดอย่างธันวาหรือจะทำได้ ก็แค่ไม่ได้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างทุกครั้งเท่านั้น แต่ศีรษะที่สัปหงกจนคอพับจะตกจากมือที่เท้าโต๊ะอยู่รอมร่อนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะกำลังตั้งใจเรียนอยู่เสียหน่อย และท่าทางนั้นก็ทำเอาคนที่เคยตั้งใจเรียนอยู่ข้าง ๆ ต้องยอมละสายตาจากอาจารย์มามองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว


ธันวาจัดเป็นอีกหนึ่งคนในรุ่นที่มีคะแนนสอบจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เธอไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายนั่งหลับในห้องเรียนแบบนี้ ยิ่งเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ยิ่งชื่นชมว่าธันวาคงเป็นคนที่ขยันอ่านหนังสือมากถึงได้ทำข้อสอบได้ดีอยู่เสมอ


เด็กสาวปล่อยให้ความคิดเกี่ยวกับเพื่อนชายโลดแล่นอยู่ในหัวแทนเนื้อหาที่อาจารย์กำลังบรรยาย รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าอยู่เสมอและยิ่งกว้างขึ้นเมื่อศีรษะนั้นตกลงแล้วเด้งตัวกลับขึ้นตั้งตรงเหมือนเดิม เธอเกือบจะยื่นมือออกไปรองรับอยู่หลายครั้ง แต่เพราะยังไม่มีครั้งไหนที่ศีรษะของธันวาตกลงมาจริง ๆ เลยสักครั้ง จนกระทั่งเมื่อมันตกลงมาจริง ๆ คนที่นั่งจ้องอยู่ตลอดเวลาอย่างหวานก็ไม่พลาดที่จะยื่นมือไปรองรับเพื่อไม่ให้ศีรษะอีกฝ่ายตกกระแทกโต๊ะให้ทั้งเจ็บและเสียงดังจนคนทั้งห้องรู้


“โอ๊ย” เผลอหลุดปากร้องออกมาจนได้ในตอนที่รับแรงกระแทกเข้าจริง ๆ เพราะแขนที่ยื่นออกไปไม่ได้อยู่ในท่าทางที่เหมาะสมแก่การรับน้ำหนักเกือบสองกิโลกรัม ส่วนคนที่หลับก็รู้สึกตัวตื่นในตอนที่สัมผัสผิดแปลกไปนั้นเองเช่นกัน


“หวาน” แม้จะเพิ่งตื่นแต่ก็มีสติพอจะรู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น และยิ่งรู้สึกอยากตีเธอเสียเหลือเกินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเอาแต่ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไรอยู่อย่างนั้น


“แขนเคล็ดแน่ ๆ” ธันวาถือวิสาสะคว้าแขนเธอมาบีบคลำตั้งแต่ต้นแขนเพื่อดูว่าเธอเจ็บตรงจุดไหนโดยลืมไปว่าพวกเขาไม่ได้สนิทกันมากพอจะถูกเนื้อต้องตัวกันขนาดนี้ และที่ผ่านมาก็เป็นเขาเองที่ไว้ตัวและให้เกียรติเธอมาตลอด


“แขนเราน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเรารับไว้ไม่ทันสิคอธันว์ได้เคล็ดจริง ๆ แน่”


ธันวายิ้มเขิน ปล่อยแขนอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ “ขอบใจนะ...ถ้าเจ็บตรงไหนรีบบอกเราเลยนะ เราทำให้หวานเดือดร้อนอ่ะ”


“ไม่เป็นไรหรอกหน่า...ตื่นแล้วก็เรียนกันดีกว่าเนอะ”




สี่ชั่วโมงคาบบรรยายจบลงก่อนเที่ยงตรงเล็กน้อยโดยมีการพักเพียงหนึ่งครั้งให้ธันวาได้ล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาตั้งใจเรียนอย่างที่สัญญาไว้กับเดือนแรม ใบหน้าอ่อนใสเผลอยิ้มระรื่นเต็มหน้าเต็มตา รู้สึกภูมิใจใจตัวเองที่วันนี้ได้เรียนอย่างเต็มที แม้ว่าจะสมาธิหลุดจะวูบหลับอยู่หลายครั้งแต่ก็สามารถดึงตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับเนื้อหาได้อีกเพราะสีหน้าและน้ำเสียงของเดือนแรมที่อยู่ดี ๆ ก็แวบขึ้นมาเตือนใจ


“หวานจะไปกินข้าวที่ไหนกัน” ธันวาถาม ตั้งใจว่าถ้าไปที่เดียวกันจะได้ส่งข้อความไปบอกเพื่อนว่าจะเดินไปด้วยกันกับเธอเลย


“ข้างหอชายนั่นแหละ ธันว์ไปด้วยกันไหม”


“เราก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน”


ธันวาเดินรวมไปกับกลุ่มเพื่อนสาว พูดคุยกับคนโน้นคนนี้บ้างแต่ส่วนใหญ่แล้วรั้งท้ายเดินคู่กับหวานมากกว่าเพราะคุยกันถูกคอกว่าใคร ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรีหรือไลฟ์สไตล์อื่น ๆ สองหนุ่มสาวเดินคุยกันไปมีเสียงหัวเราะตลอดทางโดยไม่ทันสังเกตว่าตกเป็นเป้าสายตาของใคร ๆ รวมถึงเพื่อนในกลุ่มเธอที่หันมามองพร้อมยิ้มล้ออยู่ตลอดด้วย


“ธันว์นั่งกับพวกเราไหม”


“อือ...” ธันวากวาดสายตามองที่นั่งอย่างใช้ความคิด “เราว่าแยกโต๊ะกันน่าจะหาที่นั่งง่ายกว่านะ นั่นไง ตรงนั้นว่างสี่พอดี กลุ่มหวานนั่งตรงนั้นก็ได้”


เมื่อเธอแยกไปแล้วธันวาก็รีบหาที่นั่งสำหรับกลุ่มตนบ้าง รอจนกระทั่งเพื่อนอีกสองคนเข้ามาหาพร้อมอาหาร เขาจึงค่อยไปซื้ออาหารของตัวเอง เดินวนรอบครบทุกร้านทั้งที่จำรายละเอียดได้หมดแต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรหยุดเพื่อต่อแถวที่ร้านไหนดี และดูเหมือนว่าโลกใบนี้จะมีความบังเอิญเกิดขึ้นง่ายดายเหลือเกินเมื่อใครบางคนที่เพิ่งเจอเมื่อเช้าเดินมายืนต่อแถวร้านเดียวกันราวกับความอยากของปากท้องตรงกันเสียอย่างนั้น


ธันวากล่าวทักทายในฐานะรุ่นน้องที่ดีแล้วรีบหันหน้าหนี รู้สึกขัดเขินไม่กล้าสบตาพิลึก เดือนแรมเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งชอบใจ นึกอยากแกล้งให้คนน้องเขินออกมาชัดเจนกว่านี้ แต่เพราะตรงนี้คนเยอะ เดินเบียดกันไปมาจนเขาจำต้องก้มลงไปใกล้น้องมากขึ้นเพื่อกระซิบด้วยระดับเสียงที่มั่นใจว่าจะได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น


“เมื่อวานไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียงด้วย คิดถึงจะแย่”


ธันวาตัวแข็งทื่อ น้ำเสียงแหบพร่ายังติดอยู่ในโสตประสาท แม้ว่าเสียงหัวเราะในลำคอต่อจากนั้นจะลอยเข้าหูเหมือนกันแต่ก็ไม่อาจกลบพลังทำลายล้างของคำพูดหวานหูเมื่อครู่ได้


“จริง ๆ นะ”


“หยุดพูดนะพี่แรม”


ธันวารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่หันไปมองหน้าคนพี่ด้วยหมายจะเอาเรื่อง เพราะนัยน์ตาคมดุนั้นแพรวพราวราวกับพร้อมจะละลายใจเขาได้ทุกเมื่อที่เผลอสบด้วย


“ทำไม? หวั่นไหวเหรอ”


“เกลียดพี่ว่ะ” ธันวาบ่นงุบงิบก่อนหันไปมองหัวแถวต่อ ส่วนคนที่ยืนต่อหลังระบายยิ้มยกมือขยี้ผมน้องด้วยความเอ็นดู


“แต่กูชอบมึงนะ”


ไม่ใช่ไม่เขิน แต่เพราะคนพูดเป็นเดือนแรมที่ชอบแกล้งเขาอยู่เป็นนิจจึงทำให้ธันวาอยากจะว้ากใส่หูอีกฝ่ายออกมามากกว่าเขินตัวบิด แต่เพราะว่าตรงนี้คนเยอะ จะให้หันไปว้ากใส่หน้ารุ่นพี่คงโดนหมายหัวจากคนทั้งคณะว่าก้าวร้าวเป็นแน่ คนอ่อนกว่าจึงต้องเอนตัวไปด้านหลัง เมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของคนโตกว่าจึงส่งเสียงเย็น ๆ ออกไปว่า “ถ้าพี่ยังแกล้งผมอีกได้เจอดีแน่” ทว่าไม่ได้รับรู้เลยว่าอีกคนกำลังสนใจกับการลอบสูดกลิ่นหอมจากตนมากกว่าจะฟังกัน คำพูดชวนหงุดหงิดปนเขินจึงสวนกลับมาให้ยิ่งเจ็บใจ


“หอม”


ธันวายังไม่ทันได้ตอบโต้ใด ๆ ก็ถึงคิวตัวเองสั่งอาหารแล้ว จึงได้แต่มองคาดโทษอีกฝ่ายในตอนที่รออาหารเท่านั้น


“ป้าครับ เก็บเงินที่พี่คนนี้เลยนะครับ เขาจะเลี้ยงผม” ธันวายักคิ้วใส่อย่างเหนือกว่าแต่กลายเป็นว่ารู้สึกพ่ายแพ้อีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายยิ้มยินดีก่อนร้องแซวตามหลังมาว่า


“จะให้ตามไปเลี้ยงทุกมื้อเลยก็ได้นะ”




ธันวาคิดว่าตัวเองซื้อข้าวร้านที่ไกลจากโต๊ะตัวเองพอสมควรแล้ว ไม่คิดว่ากลับมาจะยังต้องเจอสายตาจับผิดจากเพื่อนรักอีกจนได้ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะเชื่อว่าอย่างไรเสียกรองเกียรติต้องไม่พูดออกมาตอนนี้แน่เพราะยังมีตฤณอยู่ด้วยอีกคน และก็จริงอย่างนั้น กรองเกียรติไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาไม่คาดคิดว่าตฤณจะเป็นคนพูดขึ้นมาเสียเอง


“มึงกับพี่แรมไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”


“สะ สนิทอะไร”


“มองจากระยะไกลยังเห็นเลยว่าเล่นหัวอิงซบกันขนาดไหน”


“อย่าใช้คำว่าเล่นหัว ขอร้อง เรียกว่าตบหัวกูดีกว่า แล้วอิงซบอะไร พูดจาน่าเกลียดว่ะ”


“อ้าว ก็พูดตามที่เห็นอ่ะ จริงไหมวะไอ้เก่ง” คนถูกพาดพิงสะดุ้งน้อย ๆ จนถ้าไม่จับจ้องอยู่ก็แทบจะไม่เห็น “มึงมองอยู่ตลอดอ่ะ เห็นเหมือนกูใช่ไหมวะ”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ไม่กล้าสบตาเพื่อนสนิทราวกับวัวสันหลังหวะทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย


“สนิทกันตั้งแต่ที่พี่แรมติวให้คราวก่อนนั่นแหละ” กรองเกียรติพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอะไร


“เออใช่ ว่าจะถามตั้งนานละ ทำไมพี่เขาติวให้มึงวะไอ้ธันว์”


“ติวให้กูคนเดียวที่ไหน ไปติวกันตั้งหลายคน มึงก็ไป ความจำสั้นเหรอวะ”


“กูหมายความว่าทำไมเขาติดต่อมาทางมึง แทนที่จะเป็นน้องรหัสเขา”


“ก็...ก็...ก็กูขอยืมชีทพี่เขามาซีรอกซ์ไง เลยขอให้เขาติวให้ด้วย” เมื่อเห็นว่าตฤณยังมีสีหน้าฉงน ธันวาจึงเสริมต่อว่า “มึงก็รู้ว่ากูชอบหลับในห้อง อ่านเองก็ไม่ทัน ได้คนเทพ ๆ มาติวให้ก็ดีกว่าอ่านเองไม่ใช่เหรอวะ”


“รีบแดกข้าวเหอะ ยังมีเรียนบ่ายอีกนะ” กรองเกียรติตัดบท เหมือนจะช่วยแต่ธันวาเห็นว่าเพื่อนมองคาดโทษเขาไว้ให้เสียวสันหลังวาบเล่น ๆ แล้ว



ช่วงบ่ายธันวากลับไปนั่งหลังห้องกับเพื่อนตัวเองเหมือนเดิม มิวายโดนหวานส่งข้อความมาแซวว่าจะหลับอีกหรือเปล่า เขาจึงแกล้งแหย่กลับไปด้วยสติกเกอร์หมีหลับก่อนเริ่มตั้งใจเรียนและพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอหลับเหมือนช่วงเช้าอีก



ตั้งแต่เปิดโอกาสให้เดือนแรม ชื่อนี้ก็ไม่เคยหายไปจากชีวิตธันวาเกินห้าชั่วโมงได้เลย ทั้งก่อนนอน ตื่นเช้า พักกลางวัน และล่าสุดคือหลังเลิกเรียนในเวลาห้าโมงเย็นไม่ขาดไม่เกิน ยังไม่ทันที่ธันวาจะเก็บของเตรียมออกจากห้องเหมือนอย่างเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ๆ สมาร์ทโฟนเครื่องบางก็สั่นครืดส่งสัญญาณของข้อความจากอีกฝ่ายเสียก่อน


‘ไปกินข้าวกัน’

‘แต่กูเลิกเกือบหกโมงเลย’

‘รอไหวไหมวะ’


ธันวากำลังชั่งใจคิด ลังเลว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี เขาไม่มีปัญหากับคำชวนนั้น แต่ก็ไม่รู้จะบอกเพื่อนอย่างไรดี จนกระทั่งมีอีกหนึ่งข้อความจากคนเดียวกันเด้งขึ้นมา


‘รอเถอะนะ อยากไปกินข้าวด้วย’


ธันวาเงยหน้ามองกรองเกียรติ เห็นอีกฝ่ายมองมาอยู่ก่อนแล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องคิดอีก ข้อความสั้น ๆ ที่คงทำให้คนรับพึงพอใจจึงได้ก็ถูกส่งออกไปทันที


‘ถ้าช้ากว่านั้นพี่ถูกกินหัวแน่’






“เอาเว้ย สงสัยเพื่อนมึงจะถูกจริตกับพยาธิว่ะไอ้บอย ส่องกล้องแล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว” โอ๊คแซวเพื่อนสนิทที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มแม้ดวงตาจะแนบชิดกับเลนส์ตาของกล้องจุลทรรศน์ราวกับพยาธิตัวตืดที่กำลังถูกจดจ้องเป็นอะไรที่น่ามองมากทีเดียว “ดูท่าทีเนียจะน่ารักมากกกก” โอ๊คแกล้งเน้นเสียงดังและยาวขึ้นให้เดือนแรมรู้ว่าเขา ‘เห็น’ ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าตัวหน้าระรื่นขนาดนี้


“มันมองตัวไหนอยู่วะ โซเลี่ยม? แต่แม่งก็น่ารักจริงแหละ” บอยที่นั่งขนาบข้างเดือนแรมอีกฝั่งเสริมอย่างรู้กัน


“น้องไม่ใช่พยาธิ” เดือนแรมพึมพำทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากกล้อง มือขวาก็ยังทำหน้าที่วาดรูปจากสิ่งที่ตาเห็นลงบนสมุดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง


“ห๊ะ เคยได้ยินแต่คนเรียกหมาแมวว่าน้อง เพิ่งเคยได้ยินคนเรียกพยาธิตัวตืดว่าน้องครั้งแรกเลยว่ะ” โอ๊คยังคงสนุกกับการแกล้งเพื่อน จนไนท์ที่ห่างออกไปสองที่นั่งแต่ติดกับบอยเงยหน้าขึ้นมาส่ายระอาใส่


เดือนแรมวางดินสอในมือพร้อมกับละสายตาจากเลนส์กล้องมามองหน้าเพื่อนตรง ๆ “น้องที่ว่าน่ะคือธันวา”


“แล้วไงวะ”


“ทีเนียไม่ได้น่ารัก ที่น่ารักคือธันวา


“ครับ ครับ รู้แล้วว่าน้องท๊าดาน่ารัก อ้อ ไม่ดิ เดี๋ยวนี้เรียกว่าธันวาได้แล้วนี่หว่า” โอ๊คยิ้มล้อก่อนชะโงกหน้าข้ามหัวเดือนแรมไปหาบอย “สงสารโซเลี่ยมมันเนอะ ถูกจ้องถูกมองอยู่ตลอดแต่ใจคนมองไม่อยู่ที่มันเลย”


“เงียบปาก หยุดรบกวนกูซักที”


“จะรีบไปไหนว้า มีเวลาอีกเยอะหน่า”


“จะอยู่จนเขาปิดตึกก็อยู่ไป แต่กูรีบ เข้าใจนะ” เดือนแรมเลิกสนใจเพื่อน รีบหันมามองกล้องจุลทรรศน์และบรรจงวาดรูปของมันอย่างขะมักเขม้นต่อไป


“หิวข้าวเหรอวะ ปกติก็กินดึกได้นี่หว่า”


“กลัวน้องหิว พอใจไหมไอ้สัด” เดือนแรมกร่นด่าทั้งที่ยังตั้งใจกับสิ่งที่ทำ ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะน้อย ๆ พร้อมคำกล่าวเลิกราที่จะก่อกวนกันดังกลับมาแต่เขาไม่มีเวลามาสนใจ เขาเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงกับการวาดพยาธิอีกหนึ่งตัวที่ต้องวาดทั้งสามระยะในวงจรชีวิตของมัน






หกโมงสิบนาทีแล้ว


เกินเวลานัดมาสิบนาทีและข้อความที่ส่งไปถามเมื่อห้านาทีก่อนว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนก็ยังไม่ถูกตอบ ตอนนี้เดือนแรมเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะออกจากห้อง เป็นช่วงเวลาที่สะดวกแก่การโทรหาที่สุดแต่กลับถูกรั้งไว้อีกด้วยเพื่อนเวรที่ขยันก่อกวนกันเสียจริงจนต้องส่งนิ้วกลางให้แล้วรีบวิ่งลงบันไดจากชั้นเจ็ดลงไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากไม่อาจเสียเวลาทนรอลิฟต์ตัวเก่าของอาคารได้อีกแม้วินาทีเดียว


นัดครั้งแรกก็สายเสียแล้ว แทนที่จะได้คะแนนเพิ่มคงจะโดนหักไม่เหลือก็คราวนี้ เดือนแรมตั้งใจจะกดโทรหาธันวาผ่านโปรแกรมแชทที่ใช้ติดต่อกันอยู่เป็นประจำ แต่อีกฝ่ายชิงส่งข้อความมาเสียก่อนว่ารออยู่ใต้หอพักแล้วตามด้วยสติกเกอร์หน้าตาน่าเกลียดแต่แสดงออกว่าหิวมากจนคนทางนี้ต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ


เดือนแรมพาร่างกระหืดหอบตัวเองมายืนค้ำเข่าอยู่ตรงหน้าธันวาที่มองอย่างอึ้ง ๆ ก่อนยื่นมือไปจับร่างของคนพี่ให้ย้ายมานั่งเก้าอี้ก่อนถือวิสาสะเปิดกระเป๋าอีกฝ่ายแล้วหยิบสมุดเล่มบางมาพัดวีให้


“วิ่งมาจากไหนเนี่ยพี่”


เดือนแรมพยายามคุมจังหวะหายใจตัวเองให้เป็นปกติและพูดตอบด้วยเสียงที่สั่นน้อยที่สุด “ภาคปรสิต”


“ไม่ได้วิ่งลงบันไดมาใช่ไหมครับ” แม้จะยังไม่มีโอกาสวนไปเรียนที่ตึกนั้นแต่ธันวาก็รู้ว่าภาคปรสิตวิทยาอยู่ชั้นไหน


เดือนแรมยิ้มแห้ง “กลัวมึงหิว”


ธันวาทำตาดุใส่ให้รู้ว่าโกรธที่อีกฝ่ายไม่ดูแลตัวเองเพราะมัวแต่นึกถึงคนอื่น


“กลัวมึงหาย”


“...” กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียดผ่อนคลายขึ้น


“กลัวมึงไม่รอ”


ธันวาเม้มปากแน่นพร้อมหันหน้าหนี กลัวตัวเองจะใจอ่อนให้อีกฝ่ายง่าย ๆ เสียจนต้องเร่งให้ไปกันเสียทีก่อนที่เขาจะกินหัวของเดือนแรมแทนข้าวจริงอย่างที่ขู่ไว้



แม้เดือนแรมจะเป็นฝ่ายชวนแต่กลับถามความเห็นธันวาก่อนว่าอยากไปร้านไหนรับประทานอะไร เมื่อคนน้องไม่ระบุแต่ให้โจทย์เพียงแค่ว่าขอเป็นประเภทข้าวและปริมาณเยอะ เดือนแรมจึงเลือกร้านข้างโรงพยาบาลที่อร่อยแต่ธันวายังไม่เคยไป


“มื้อนี้ผมเลี้ยงพี่นะ” บรรยากาศในร้านดูดีทีเดียว ธันวาเพลิดเพลินกับการสังเกตรายละเอียดต่าง ๆ ภายในร้านระหว่างรอรายการอาหาร


“เลี้ยงทำไม”


“ก็ที่ผมติดค้างพี่อยู่ไงครับ นี่ไง วันนี้เราได้มากินข้าวด้วยกันแล้ว” คนน้องเลื่อนสายตามาโฟกัสที่คนตรงหน้า พูดเรื่องเหมือนจะไม่สำคัญนี้ด้วยท่าทีจริงจัง


“ไม่ให้เลี้ยง” เดือนแรมทำหน้าตาขึงขังขึ้นมาทันที


“อ้าว ทำไมอ่ะ”


“บอกแล้วไงว่าจะยอมให้เลี้ยงก็ต่อเมื่อมึงเป็นคนชวนและต้องอยากกินข้าวกับกูจริง ๆ ไม่ใช่กูเป็นฝ่ายต้องการแบบนี้”


“แล้วที่ผมยอมมาด้วยไม่ใช่เพราะว่าอยากกินข้าวด้วยหรอกเหรอ”


“ยังไม่ใช่ธันวา มันยังไม่ใช่”


“ต่างกันตรงไหน”


“ต่างดิ เงื่อนไขคือมึงต้องอยากกินกับกู อย่าเจ้าเล่ห์เอาเปรียบโดยใช้ความรู้สึกของกูมาทำให้มึงหลุดพ้นจากสิ่งที่มึงคิดว่าเป็นบุญคุณ กูไม่ได้ต้องการให้มึงเลี้ยงข้าวเลยซักมื้อด้วยซ้ำไป เข้าใจซักทีเถอะว่ากูแค่อยากหาเรื่องมากินข้าวกับมึงและก็อยากให้มีซักวันที่มึงเองก็อยากใช้เวลาตรงนี้กับกูบ้างโดยที่กูไม่ต้องร้องขอ”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ตั้งแต่ฟังเดือนแรมสารภาพมาทุกอย่าง วันนี้คืออีกหนึ่งวันที่กระจ่างแก่ใจเขาที่สุด ถ้าจะมีวันไหนที่มากกว่านี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะตั้งรับอย่างไรดี










นับตั้งแต่วันที่ธันวาอนุญาตให้เดือนแรมจีบได้ กลางสัปดาห์อย่างวันพุธก็เข้าวันที่สี่เข้าไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ตัวเองรู้สึกได้คือความรู้สึกใจพองฟูมากขึ้นทุกวันที่ได้รับสติกเกอร์หัวใจในตอนเช้า แต่วันนี้ไม่ได้มีแค่สติกเกอร์ที่ส่งมาทักทายกันเท่านั้น ยังมีข้อความสั้น ๆ ใจความว่าชวนอ่านหนังสือด้วยกันในช่วงบ่ายที่มีเวลาว่างตรงกันอีกด้วย


ธันวาตอบรับโดยไม่ต้องคิด แม้จะออกตัวว่าไม่ใช่คนใจอ่อนง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาส เมื่อเดือนแรมอยากอยู่ด้วย และเขาก็ไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะไม่ได้ถูกด่าเยอะเหมือนเมื่อก่อน เวลาว่างเกือบทั้งหมดของเขาจึงมักจะมีเดือนแรมอยู่ด้วยกันเสมอ


และแม้กรองเกียรติไม่เคยพูดถึงแต่ใช่ว่าจะไม่รับรู้ ทุกการกระทำของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของเขาตลอด หน้าที่คอยสอดส่องดูแลธันวาไม่ให้เจ็บซ้ำรอยเดิมคือภารกิจยิ่งใหญ่ที่เพื่อนฝูงมอบให้และเขาเองก็เต็มใจทำ


“บ่ายนี้ไปอ่านหนังสือด้วยกันไหม”


สักพักหนึ่งแล้วที่คำว่า ‘ด้วยกัน’ ของธันวาหมายรวมถึงการมีเดือนแรมเพิ่มมาด้วยอีกคน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารเย็นหรือออกกำลังกายอย่างเมื่อวาน


“ไปเถอะ” และกรองเกียรติก็ปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ธันวามีสีหน้าหนักใจกว่าทุกทีจนเขาต้องผลักศีรษะอีกฝ่ายไม่เบาไม่แรงนัก “อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ”


“อยากให้ไปด้วยนี่หว่า”


“ไม่ดีกว่า กูทำตัวไม่ถูก” แม้จะชื่นชอบและเคารพเดือนแรมมากแค่ไหนแต่พออีกฝ่ายแสดงออกว่าจีบเพื่อนของเขา มันก็ยากที่จะทำตัวให้เป็นปกติได้ “ไว้เขาได้เป็นแฟนมึงก่อนแล้วค่อยพามาเจอกัน ตอนนี้ยังไม่มีสถานะ ให้กูเจอหน้าเขาในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องทั่วไปเถอะ”


“อีกนานอ่ะ กูยังไม่ได้ชอบพี่แรมเลยนะ”


กรองเกียรติขมวดคิ้ว แล้วไอ้ที่เขาชวนไปไหนทำอะไรก็ไปกับเขาทุกที่ มีอะไรก็นึกถึงกัน ยังไม่เรียกว่าชอบอีกหรือ


“แล้วทุกวันนี้คืออะไรวะ”


“แค่ให้โอกาส ไม่ได้ปิดตัวเองอ่ะ”


“ให้โอกาส?...แล้วมีโอกาสไหม”


“...”


“ว่ายังไง” กรองเกียรติถามเร่งเอาคำตอบ


“ยังไม่รู้”


“แล้วถ้ามีคนถาม” ทุกวันนี้สองคนนี้ไปไหนมาไหนก็ไม่เคยปิดบังหรือหลบซ่อน ไม่แปลกซักนิดถ้าจะมีใครเข้ามาถามถึงความสัมพันธ์


“จะให้ไปถามพี่แรม กูไม่มีอะไรจะตอบ”


“โอเค กูรู้แล้วว่าตอนนี้กูควรสงสารใคร”


ธันวาหลบสายตา ไม่อยากยอมรับว่ารู้ตัวอยู่ตลอดว่าตัวเองใจร้ายกับเดือนแรมขนาดไหน แต่คนเราก็มีสิทธิ์ปกป้องความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่หรือ






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 08-12-2018 20:53:42

แม้วันพุธจะมีตารางเรียนแค่ครึ่งวันเช้าและนักศึกษาหลายคนจะเลือกออกไปหาอาหารที่ถูกปากตามห้างสรรพสินค้ากันเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดถึงความสะดวกเป็นหลักแล้วเลือกจะบรรเทาความหิวด้วยอาหารในโรงอาหารเดิม ๆ อย่างที่ใช้บริการอยู่ทุกวัน


วันนี้กลุ่มของธันวาได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ร่วมโต๊ะอาหารเพิ่มมาหนึ่งคน หวานคือสาวสวยคนเดียวในหมู่ชายหนุ่มถึงสามคนเนื่องจากเพื่อนกลุ่มเธอแยกย้ายกันไปหมด บ้างไปกับแฟน บ้างเบื่ออาหารในรั้วโรงพยาบาลจึงพากันไปห้าง เธอเองก็อยากจะไปด้วย แต่ติดตรงที่เพื่อนอยากดูหนังกันต่อ ขณะที่เธอตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานี้อ่านหนังสือเพื่อให้เรียนทันเพื่อน


แม้จะสนิทกับธันวามากที่สุดแต่เธอก็เข้ากับกรองเกียรติและตฤณได้เป็นอย่างดี เธอทำให้โต๊ะที่เคยมีแต่หนุ่ม ๆ สดใสขึ้นด้วยความร่าเริงในแบบที่แสนจะเป็นธรรมชาติของเธอ


บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานจนกระทั่งเงาทะมึนของใครบางคนเคลื่อนเข้ามาใกล้


ใบหน้าคมดุขมวดคิ้วมุ่นยามที่มองเลยธันวาไปหารุ่นน้องสาวข้างกาย คุ้นหน้าคุ้นตาดีอยู่ว่าคือใคร แต่ชักสงสัยในความสนิทสนมที่ทั้งคู่มีให้กัน


“กูไปรอชั้นห้านะ”


“ครับ”


สั้น ๆ ง่าย ๆ ได้ใจความแต่ทิ้งความคาใจให้อีกสองคนที่ไม่รู้เรื่องอย่างตฤณและหวาน แต่หญิงสาวเลือกจะเก็บคำถามเอาไว้ภายใน


“มีนัดอะไรกันวะ”


“จะไปอ่านหนังสือกันเนี่ยแหละ แต่ฝากพี่แรมไปจองที่ให้ก่อน” กรองเกียรติเป็นคนตอบให้แทน เพราะรู้ว่าเพื่อนคงจะอ้ำอึ้งด้วยไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรจนโดนเพื่อนซักไซ้แน่


“อ่านที่หอชายหรือหอสมุดเหรอ” หญิงสาวหนึ่งเดียวถามขึ้นมา ขณะที่ตฤณไม่เรียกร้องเพราะปกติตนไม่ได้ไปอ่านหนังสือร่วมกับสองคนนี้อยู่แล้ว


“หอชายน่ะ” ยังคงเป็นกรองเกียรติที่แก้ต่าง ขณะที่ธันวานิ่งเงียบไปแล้ว เขาไม่อยากแล้งน้ำใจกับเพื่อน แต่จะให้ชวนไปด้วยกันก็เกรงว่าเดือนแรมจะไม่ชอบใจ การที่เพื่อนโกหกออกไปว่าเป็นหอชายแทนหอสมุดอย่างที่นัดกับเดือนแรมไว้ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว


“ไว้ครั้งหน้าเราไปอ่านด้วยกันที่หอสมุดนะ” ธันวาเสริม เธอยิ้มกว้างขณะที่กรองเกียรติมองอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่าการพูดออกไปอย่างนั้นจะทำให้เรื่องจบได้ง่ายขึ้นก็ตาม







ชั้นห้าของหอพักชายเป็นห้องอ่านหนังสือขนาดใหญ่ทั้งชั้น มีทั้งห้องปิดสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์และห้องกระจกที่มีชั้นหนังสือวางแนวตอนลึกโดยรอบด้วยโต๊ะอ่านหนังสือที่มีทั้งโต๊ะใหญ่สำหรับกลุ่มและโต๊ะเดียวเป็นล็อก ๆ


ธันวาไม่เคยมาใช้พื้นที่ตรงนี้เลยสักครั้ง ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือกับกรองเกียรติที่หอสมุดคณะเสียมากกว่า แต่สำหรับเดือนแรม โต๊ะตัวท้ายสุดหลังห้องคงเป็นที่ประจำในยามค่ำคืนของเขา


“ขอโทษอีกครั้งนะครับที่ย้ายที่กะทันหัน” ธันวาพูดด้วยความเกรงใจในตอนที่วางกองหนังสือและเอกสารลงบนโต๊ะเดี่ยวข้างคนที่มารออยู่ก่อนแล้ว


เดือนแรมวางปากกาในมือหันมามองคนน้องเต็มตา “ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่นี่เลยก็ดีเหมือนกัน ตอนเย็นจะได้ไม่ต้องย้ายอีก”


ธันวายิ้มรับ สอดตัวลงนั่งก่อนจัดแจงพื้นที่ของตัวเอง “วันนี้พี่ก็จะอ่านจนถึงดึกอีกเหรอครับ สมองไม่บวมแย่เหรอพี่”


“ไม่ดึกหรอก คงแค่สองสามทุ่ม ฆ่าเวลาให้อาหารเย็นย่อยอ่ะ”


“ขยันจังวะ”


“เราจะขี้เกียจเรียนรู้ไม่ได้นะธันวา เรียนหมออย่าคิดว่ากำลังแข่งกับคนอื่น แต่เราต้องตามโลกให้ทัน ตอนนี้เราอาจจะแค่เรียนตามเนื้อหาที่ถูกป้อน หัดคิดบ้างในบางเรื่อง แต่ในอนาคตที่เราต้องพึ่งพาแค่ตัวเองเราต้องตามโลกให้ทัน ข้อมูลโรคหรือข้อกำหนดทางการแพทย์มันเปลี่ยนแปลงกันตลอด เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นก็ควรสร้างนิสัยขยันไว้ตั้งแต่ตอนนี้”


“คร้าบบบ คุณพ่อ” คนน้องยกมือไหว้ปลก ๆ


“อยากเป็นผัว”


“หยุดพูดแล้วอ่านหนังสือไปเลยนะพี่แรม” ธันวาผลักคนช่างเนียนให้หันหน้ากลับเข้าโต๊ะตัวเองไปเสีย เจ็บใจตัวเองอยู่นิดหน่อยที่รู้สึกเขินแปลก ๆ กับคำหยอดทีเล่นทีจริงนั้นทั้งที่ควรเห็นเป็นเรื่องตลกเสียมากกว่า


เดือนแรมรู้สึก แม้หลายวันมานี้ตนจะได้เข้าใกล้ธันวามากขึ้นแต่ก็ยังดูเหมือนว่ายังเข้าไม่ถึงอีกฝ่าย ทุกครั้งที่เหมือนจะซึมลึกก็จะมีกำแพงบางอย่างผุดขึ้นมากั้นอยู่เสมอ กำแพงที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนและคืออะไรมันทำให้เขาถูกกันออกจากอีกฝ่าย ทั้งที่ปากก็บอกว่าเปิดโอกาสให้แต่เขากลับมองไม่เห็นโอกาสนั้นเลยแม้สักนิดเดียว


หนึ่งชั่วโมงผ่านไปสำหรับการเคลียร์สมุดจดที่ธันวาไม่แม้แต่จะสนใจว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย ไม่รู่ว่าเป็นเพราะมีสมาธิจดจ่อเป็นเลิศหรือว่าไม่สนใจกันเลยตั้งแต่แรก


และคงเพราะเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกจ้อง คนน้องถึงได้เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมองแทนคำถาม


“ขอซื้อได้ไหม พื้นที่ข้าง ๆ มึงน่ะ”


“...”


“ซักสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี ให้เราได้อินเตอร์เซคกันบ้าง” ธันวามองคนร้องขอพื้นที่ที่เป็นของ ‘เรา’ ในพื้นที่ของเขา ปั้นหน้านิ่งอย่างที่สุดไม่ให้โอนอ่อนไปกับแววตาเว้าวอนคู่นั้น


“ผมยังไม่ขายครับ”


“จะประกาศขายเมื่อไหร่”


“ยังไม่มีกำหนดครับ” ไม่มีแววตาซุกซนล้อหลอกเหมือนทุกครั้งที่ยอกย้อนกัน


เดือนแรมยิ้มบาง “ไม่เป็นไร กูรอได้” รอมาตั้งนาน จะรอต่ออีกนิดหรือนานอีกเท่าตัวเขาก็คิดว่าตัวเองรอไหวอยู่ดี



ต่างคนต่างอ่านหนังสือกันเงียบ ๆ ไม่ทันไรเดือนแรมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นธันวาหลับเหมือนที่เคยเห็นร่องรอยบ่อยจนชินตา ใบหน้าดุแต้มรอยยิ้มเอ็นดู เห็นแบบนี้ยิ่งมันเขี้ยว อยากจะบีบจมูกที่โด่งพ้นปรอยผมหน้าม้าออกมาให้เจ็บจนตื่นเสียจริง


แต่ว่านะ มีเหตุผลอะไรที่คิดแล้วจะไม่อยากทำล่ะจริงไหม


เท่าทันความคิด ธันวาสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บที่ปลายจมูกเพราะโดนข้อนิ้วของคนพี่หนีบเข้าเต็มรัก ยกมือปัดป่ายพัลวันพร้อมเสียงโวยวายกับหน้าตายู่ยี่


“ให้มาอ่านหนังสือไม่ใช่มาหลับ หลับได้ทุกที่เลยนะมึงเนี่ย”


“ผมแค่พักสายตาเอง พี่ก็ปลุกกันดี ๆ ก็ได้นี่หว่า ไม่อ่อนโยนเลย” ประโยคหลังแอบบ่นงุบงิบให้คนฟังเห็นแค่ปากที่ขมุบขมิบเท่านั้น


“ด่าอะไรกู”


“เปล๊า”


“เสียงสูง ๆ ไปล้างหน้าล้างตาไป”


ธันวาไม่ทำตาม เขาแค่สะบัดศีรษะเล็กน้อยให้สร่างแล้วเริ่มอ่านต่อ เพราะอย่างนั้น ในอีกสิบห้านาทีที่เดือนแรมหันมามองจึงเห็นคนน้องนั่งสัปหงกอีกแล้ว


เดือนแรมดึงปากกาที่ยังคามืออีกฝ่ายออกมาจนเจ้าของสะดุ้งตื่นทันเห็นว่าคนพี่กำลังทำอะไรกับปากกาของตน


ปากกา permanent หัวเล็กสีดำถูกลากบนปากกาของน้องจนเกิดข้อความที่เขามักพูดกรอกหูคนน้องอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ตั้งใจเรียนด้วย อย่าเอาแต่หลับ’


“เฮ้ย!” ธันวารับกลับมาอ่าน นัยน์ตาเบิกกว้าง ตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่ไม่น้อยแต่เข็ดขยาดมากกว่าที่จะมีคำพูดประโยคนี้ตามหลอกหลอนไปทุกคาบ


“ง่วงอะไรนักหนาวะมึงเนี่ย นอนไม่พอเหรอ”


“นอนพอครับ แต่มันง่วงอ่ะ ตาจะปิดเป็นปกติ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาตัวช่วยไม่ให้ตาปิด เอ็มร้อยอ่ะกินเข้าไปดิ”


ธันวาปากคว่ำ เป็นที่รู้กันว่าเรียนคณะนี้กาแฟเอาไม่อยู่จริง ๆ ช่วงไหนต้องอ่านหนังสือเยอะเป็นต้องโดปด้วยเครื่องดื่มชูกำลัง “ผมไม่ชอบอ่ะ ดื่มแล้วใจสั่นเกิน เรียนไม่ไหว”


“งั้นก็กาแฟ ชา ชอบอันไหนบ้างไหม”


ธันวายิ้มแห้ง “ชาเขียวครับ ชอบมาก” เขาลากเสียงยาวให้อีกฝ่ายรู้ว่าความชอบของเขามันมากแค่ไหน


“น้ำหวาน” เดือนแรมส่ายหน้า “ดื่มเป็นชาชงดื่มได้ไหม เดี๋ยวจะชงไว้ให้ทุกเช้าเลย”


“แต่ดื่มชาแล้วผมมักจะนอนหลับยากอ่ะ มันตาค้างยังไงก็ไม่รู้” ธันวาไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเดือนแรม เขาแค่บอกความจริงเพิ่มเติมเพื่อเลี่ยงการดื่มมัน นอนไม่หลับทีไรทรมานไปทั้งคืน กว่าจะข่มตาได้ก็เหลือเวลานอนแค่สามชั่วโมงเท่านั้น


“เดี๋ยวกูชวนทำกิจกรรมเสียเหงื่อเอาไหม จะได้เหนื่อยจนหลับไปเลย”


“ทะ ทำอะไร อย่าคิดว่าผมจะยอมง่าย ๆ นะ”


เดือนแรมเคาะปากกาบนหน้าผากมนให้พอแสบ ๆ คัน ๆ “ลามกเหมือนกันนะมึงเนี่ย กูหมายถึงเทนนิสหรือกีฬาอื่น ๆ เว้ย”


ธันวาลอบพรูลมหายใจเมื่อรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังคิด “แล้วไปดิ”


“แต่ถ้าอยากให้ทำแบบนั้นก็บอกนะ พร้อมเสมอ”


“ฝันไปเถอะ”


“จริงดิ เอามึงไปฝันได้จริงดิ”


ธันวาหน้าแดงซ่านเมื่อรู้ความนัยว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงฝันแบบไหนอยู่ แค่เผลอคิดตามก็หน้าร้อนจนแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ “มะ ไม่ได้ดิ ไม่อนุญาต ห้ามเด็ดขาด ห้าม!”


“ธันวา เขาได้ยินกันหมดแล้ว” เดือนแรมกระซิบพลางชี้ชวนด้วยสายตาให้มองไปรอบ ๆ เพื่อพบว่าทุกคนมองมาทางพวกเขากันเป็นตาเดียว


คนที่เพิ่งส่งเสียงดังยิ้มแห้ง ส่งสายตาสำนึกผิดพร้อมก้มศีรษะน้อย ๆ ให้ทุกคนแทนคำขอโทษก่อนหันมาหาคนตรงหน้าที่หน้าระรื่นได้น่าหมั่นไส้สุด ๆ “เพราะพี่นั่นแหละ”


“อะไรเล่า มึงเสียงดังของมึงเอง”


“ร้ายว่ะ!”


เดือนแรมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ก่อนกระซิบถามในสิ่งที่ยิ่งทำให้อีกฝ่ายอยากฟาดงวงฟาดงาใส่ “แล้วตกลงว่าฝันถึงได้ไหม”


“ไม่!-ได้!”






เดือนแรมกับธันวาชักจะตัวติดกันมากขึ้นทุกวัน อ่านหนังสือ รับประทานอาหารเย็นกันสองคนทุกวันคือสิ่งที่โอ๊คและสมาชิกร่วมห้องอีกสองคนรู้ดี ในตอนที่ธันวากลับเข้าห้องมาในเวลาสามทุ่มพร้อมกองหนังสือเต็มสองแขนจึงได้รับสายตาและรอยยิ้มล้อจากสมาชิกทุกคนในห้อง ธันวาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีใครปริปากพูดออกมา เขาก็ไม่จำเป็นต้องร้อนตัวเผยเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนนี้ออกไปก่อน


ห้าทุ่มแล้วแต่ธันวายังพลิกตัวไปมาบนเตียง เรื่องที่เดือนแรมขอเมื่อตอนบ่ายยังวนเวียนอยู่ในหัว ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับจนสุดท้ายต้องยอมปีนลงจากเตียงพร้อมสมาร์ทโฟนในมือ


“จะไปคุยโทรศัพท์เหรอวะไอ้น้องธันว์” โอ๊คที่ยังนอนเล่นเกมอยู่เตียงล่างถามยิ้ม ๆ ที่ธันวาไม่เข้าใจความหมายของมันนัก


“ครับ  พวกพี่ปิดไฟนอนได้เลยนะ”


“อ่านหนังสือกันจนไม่ได้คุยเหรอถึงต้องมาโทรคุยกันตอนนี้อีก” โอ๊คแซวพาให้นันและอาร์ตยิ้มแซวตามไปด้วย


“ไม่ใช่พี่แรมหรอกครับ”


ธันวารีบออกจากห้องโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าที่ทั้งเจื่อนและกังวลของโอ๊ค



ชั้นหนึ่งหอชายในเวลาห้าทุ่มทั้งมืดและเงียบสงบเหมาะแก่การกลั่นกรองความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ธันวาจึงเลือกเป็นสถานที่ที่ใช้โทรปรึกษาเพื่อนคนสนิทที่รู้ทุกเรื่องของตนมาโดยตลอดอย่างดีน


ธันวาไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะหลับไปแล้วหรือยัง แต่ดีนก็ยังคงไม่ปล่อยให้เขาต้องร้อนใจนาน รอสายไม่กี่อึดใจอีกฝ่ายก็กดรับพร้อมกรอกเสียงทักทายที่ฟังดูพร้อมคุยกับเขาอยู่เสมอ


“ว่างไหมวะ”


[ว่างเสมอ]


“มีเรื่องจะปรึกษาหน่อย”


[ว่ามาดิ]


“เอ่อ...มีคนเข้ามาจีบกู”


[ระบุชื่อมาเลยก็ได้]


“นั่นแหละ พี่แรมเขาจีบกู”


[อืม]


“มึงก็รู้ว่าถ้ากูจะมีแฟนอีก ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น กูไม่อยากคบผู้ชายให้เสียเวลาและความรู้สึกอีกแล้ว แต่…”


[แต่ตอนนี้มึงชอบเขาไปแล้ว]


“ยังไม่ขนาดนั้นนะ” เพิ่งคุยกันแค่ไม่กี่วันเอง


[แล้วขนาดไหน]


“กู...คือกูก็รู้สึกดีเวลาอยู่กับพี่เขานะ แต่กูก็กลัวว่ะ คือกูพยายามเว้นช่องว่างไม่ให้เผลอไผลไปมากกว่านี้แต่บางครั้งกูก็อยากทำตามใจตัวเอง กู...กูไม่แน่ใจอะไรเลยว่ะดีน กูควรทำไงดีวะ ถอยออกมาเหรอ ถ้าถอยแล้วจะมองหน้ากันติดไหม คือกูก็ต้องเจอเขาไปอีกนานอ่ะ กว่าจะเรียนจบ ไหนจะตอนทำงานที่มีโอกาสเจอกันได้อีกละวะ”


[ธันวา เขาเป็นรุ่นพี่ที่มึงต้องเจอหน้าไปอีกหลายปีก็จริง แต่เขาสำคัญขนาดที่มึงยังอยากมีเขาในชีวิตเหรอ ถ้าวันนึงเจอกันไม่ทักทายกันมึงจะเป็นจะตายไหม ถ้าไม่...ก็ไม่ยากที่จะตัดความสัมพันธ์ที่มึงกำลังพยายามถนอมมันไว้ด้วยการหลอกเขาว่ายังมีหวังไหมวะ]


“ดีน”


[มึงลองคิดดูดี ๆ ว่าต้องการอะไร ถ้ามึงวาดฝันว่าในอนาคตจะสร้างครอบครัวที่มีพ่อแม่และก็ลูก มึงก็ไม่ควรคบผู้ชายอีก วงการมึงมันแคบ และคนก็คบกันเอง มึงลองคิดดูว่าถ้าผู้หญิงในอนาคตของมึงรู้ว่ามึงเคยคบผู้ชายมาถึงสองคนเขาจะยังเชื่อในความเป็นชายของมึงอยู่ไหม แต่ถ้ามึงไม่ได้อยากมีครอบครัวแบบนั้น ถ้ามึงต้องการแค่ใครซักคนอยู่เคียงข้างเป็นคู่คิด เป็นแรงเสริมกันในยามแย่ ๆ ของชีวิต มึงก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าเขาจะเป็นเพศไหน กูไม่ได้สนับสนุนให้มึงเป็นเกย์อีกครั้งหรือตลอดไปนะ แต่กูอยากให้มึงทำตามความรู้สึกจริง ๆ ของมึง แค่มึงมั่นใจว่าไม่ได้หวั่นไหวเพราะเหงาหรืออะไรที่ฉาบฉวยก็พอแล้ว]


“แต่พี่แรมดีมาก เป็นผู้ใหญ่ ดูแลกูดีทุกอย่าง”


[แปลกตรงไหน ก็เขาจีบมึงอยู่ ต้องทำคะแนนเป็นเรื่องปกติเปล่าวะ]


“กูเพิ่งรู้ด้วยว่าพี่เขาชอบกูมานานแล้วนะ”


[อื้ม]


“มึงไม่แปลกใจเลยเหรอ”


[กูรู้มานานแล้วธันวา กูเห็นเขาวนเวียนเป็นสัมภเวสีรอบตัวมึงมานานแล้ว]


“ทำไมมึงไม่เคยบอก”


[สำคัญเหรอวะ ในเมื่อเขาไม่พูด กูจะต้องพูดเหรอ แล้วมึงเองก็มีพี่ภีม กูจะบอกเรื่องนี้ให้ได้ประโยชน์อะไรละวะ]


ต่างคนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ดีนใจเย็นพอที่จะรอให้เพื่อนได้ใคร่ครวญความคิด


“พี่แรมเขาขออยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของกูบ้าง แต่กูยังไม่ให้ กูยังไม่มั่นใจตัวเอง กูยังไม่อยากรู้สึกไปมากกว่านี้”


[มึงเปิดโอกาสให้เขาจีบ แต่มึงปิดกั้นตัวเองจากเขาอย่างสุดความสามารถขนาดนี้เนี่ยนะ]


“กูใจร้ายมากเลยดิ”


[ถ้าตอบแบบเพื่อน กูจะบอกว่าใช่ แต่ถ้าตอบแบบกูที่รู้จักมึงดี กูก็ยังจะตอบว่าใช่...แต่ไม่ผิดที่มึงจะปกป้องความรู้สึกตัวเอง เขาเลือกจะจีบมึงแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่คนที่รักมากกว่าต้องดูแลใจตัวเอง]


“...”


[ผู้ชายกับผู้หญิงคิดไม่เหมือนกันหรอกนะ สำหรับผู้ชายเรา การที่ผู้หญิงเคยคบกันเองมาก่อนไม่ได้ทำให้เรารู้สึกไม่ดีหรอก แต่สำหรับผู้หญิง มึงเคยเจอมาแล้วนี่ มันยากที่จะมีคนยอมรับมึงได้อีก กูแค่ให้ข้อเท็จจริง แต่คนตัดสินใจคือมึง สังเกตใจตัวเองเถอะว่ารู้สึกกับเขามากน้อยแค่ไหน และคิดถึงอนาคตไว้ยังไง...ขอแค่อย่าทรมานใจตัวเอง]


“อือ”


[กูอยู๋ข้างมึงเสมอ...รู้ใช่ไหม]


“รู้ ขอบใจมึงมากนะ”


บทสนทนาจบลงไปนานแล้วแต่ธันวายังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พระจันทร์เสี้ยวที่เขาไม่แน่ใจว่านี่คือคืนข้างขึ้นหรือข้างแรม แต่มันดูหม่นเหมือนความรู้สึกของเขาตอนนี้เสียเหลือเกิน หากถามใจตัวเอง เขาก็คงตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าการมีเดือนแรมอยู่ใกล้    ๆ มันทำให้ชีวิตของเขามีความสุขและรู้สึกอุ่นใจมากแค่ไหน ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีเลย เพราะเดือนแรมทำหน้าที่นั้นได้ดีหมดจด แต่เมื่อนึกถึงแผลในครั้งก่อน มันก็ทำให้ยากที่เขาจะกล้ายอมรับผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง


ธันวาถอนหายใจแรง ๆ หนึ่งครั้งก่อนหันหลังจะกลับขึ้นไปนอน ร่างโปร่งสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้า เมื่อเพ่งมองดี ๆ แล้วรู้ว่าเป็นเดือนแรมก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง


“ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”


เดือนแรมส่ายหน้า “มึงล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก”


ธันวาไม่ตอบ คนเด็กกว่ายืนก้มหน้ามองพื้นอย่างใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนเงยขึ้นมองคนตรงหน้า สบตาคู่ที่เห็นไม่ชัดนักด้วยความแน่วแน่ “พี่แรมครับ”


“หื้ม”


“ถ้าวันไหนไม่รู้สึกอะไรกับผมแล้ว หรือรู้สึกกับคนอื่นมากกว่า พี่บอกผมได้เลยนะ ขอแค่บอกกันตรง ๆ อย่าคุยซ้อน ผมขอแค่นี้”


“แล้วมึงล่ะ คุยกับคนอื่นด้วยรึเปล่า”


ธันวาส่ายหน้า “ไม่มีครับ คุยกับพี่คนเดียว...”


“...”


“อย่าชอบผมให้มากกว่าตัวเอง เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ชอบพี่ แต่พี่ชอบผม เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น...ดูแลความรู้สึกของตัวเองนะครับ”










TBC.
------------------------------------------------------------------------
เอาพี่แรมมาฝากในช่วงวันหยุดค่ะ
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-12-2018 23:27:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องธันวาใจร้าย

ปรบมือให้คุณดีนรัว ๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2018 09:03:47
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 09-12-2018 09:37:40
ฮืออ กั๊กชัดๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2018 13:13:09
สงสารพี่แรม  :ling3:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 09-12-2018 21:14:59
ธันวาถ้าไม่ชอบพี่แรมก็ส่งมาให้เรา
เราจะปบอบใจพี่แรมเอง สงสารนาง :mew6:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-12-2018 21:56:23
ตอนแรกเหมือนจะหวานอ่ะ แต่ตอนนี้มันหน่วง สงสารพี่แรม แต่ก็ขอให้พี่แรมสู้ๆ ขอให้น้องเปิดใจยอมรับพี่เข้าไปอยู่ในหัวใจไวๆนะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 12-12-2018 23:12:42
 :hao5: :hao5:
สงสารพี่แรมอ่ะ ถ้าธันวาไม่เอา เราขอนะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: minkyoyo ที่ 15-12-2018 22:40:37
 :monkeysad:  รอน้องใจอ่อน สงสารพี่แล้ววค่ะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: minjeez ที่ 28-12-2018 20:15:17
ธันวาใจแข็งและใจร้ายมากนะ
รู้ว่าไม่อยากเสียใจแล้วที่ทำกับพีแรมล่ะ
ไม่คิดว่าพี่แรมจะเสียใจเหรอ
ธันวาก็ยังคงแคร์ความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี
บอกเลยตอนนี้ทีมพี่แรมนะ
รอให้ถึงวันที่พี่แรมทนไม่ไหวแล้วหายไป
คนที่เสียใจขอให้เป็นธันวาเถอะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaWikit ที่ 10-02-2019 11:03:33
ตามมาจาก "หา กัน จน เจอ" อ่านรวดเดียวจบ อารมณ์ก็เลยไม่ค้าง
สำนวน การเขียน ทำให้อ่านแล้ว หยุดไม่ได้ หัวใจ เต้นตุบ หวาน ไหว อย่างมาก
ไม่ต้องมี NC แต่เนื้อหาน่าติดตาม

พอมาต่อ แรมเดือนสิบสอง อ่านจนจบตอนที่ "คุณธัญญ์" ลงค้างไว้
วันนี้ 10 กุมภาพันธ์ 2562 (2019) ยังสงสัยว่า "คุณธัญญ์" จะมาลงต่อเมื่อไร

มารอนะคะ

ปล. ในเล้านี่ มันจะมีเตือนเราไหมคะ หรือต้องคอยมาคีย์หาชื่อเรื่อง แล้วไล่ดู
ใครพอทราบมั่งว่า จะมีการเตือนไหมคะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 11-02-2019 11:00:35
 :ruready  แอบเข้ามาให้กำลังไจคนแต่ง  แต่ยังไม่ได้อ่านนะคะหลังจากอ่านตอนแรกไปแล้ว  กลัวค้างค่ะ 5555  แต่ยังกลับไปอ่านเรื่องเก่าของคนแต่งทีี่จบแล้วอยู่เรื่อยๆค่ะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๗ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.4 [8/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-02-2019 22:32:10
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 23-04-2019 13:43:48
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)






ทั้งที่ใจร้ายด้วยขนาดนั้น...


แต่เช้าวันต่อมาธันวาก็ยังได้รับสติกเกอร์รูปหัวใจเหมือนเดิม มิหนำซ้ำยังมีกระติกน้ำชาร้อนวางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือพร้อมโน้ตว่า ‘ตั้งใจเรียนนะ’ อีกด้วย


ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มกว้างให้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เดือนแรมทำให้ ไม่ทันรู้ตัวว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้ตนอารมณ์ดีได้ทั้งวัน


และไม่รู้ว่าเป็นเพราะชาร้อนหรือข้อความบนปลอกปากกาที่จับอยู่ตลอดกันแน่ที่ทำให้ธันวาไม่มีท่าทีจะสัปหงกอย่างเคย แต่ถ้าจะหาสาเหตุจริง ๆ ธันวาคิดว่าคงเป็นเพราะเดือนแรม คนที่ชงชาร้อนเตรียมไว้ให้ในตอนเช้า คนที่เป็นเจ้าของลายมือบนปลอกปากกา และเป็นเจ้าของเสียงทุ้มดุที่คอยดังเตือนในความคิดอยู่ตลอดว่าให้ตั้งใจเรียน


เดือนแรมคือคนที่ทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นจนเพื่อนสังเกตได้แม้เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่วันเดียวก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เพียงแค่ธันวานั่งเรียนจนจบคาบตลอดสี่ชั่วโมงเช้าได้โดยไม่มีช่วงพักสายตาเลยก็นับเป็นเรื่องแปลกจนตฤณสนใจ


“แปลกเว้ย วันนี้ไม่หลับเลย” ตฤณว่าในตอนที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อไปพักกลางวัน “มีตัวช่วยดีเหรอวะ”


ธันวาแกล้งยิ้มอย่างภาคภูมิให้เพื่อนหมั่นไส้เล่นแต่ไม่ยอมเฉลยว่า ‘ตัวช่วย’ ที่เพื่อนสงสัยคืออะไร


“กั๊ก ๆ”


“มึงจะต้องการไปทำไม มึงไม่ได้หลับในห้องเรียนเหมือนกูนี่”


“ต่อให้มึงต้องการมึงก็ไม่ได้หรอกไอ้ตฤณ...” กรองเกียรติว่าพลางเหลือบมองเพื่อนสนิทตัวเองแวบหนึ่ง “...เพราะมึงไม่ใช่ธันวา”


“เชี่ยเก่ง” ธันวาสบถตามหลังคนที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้แล้วเดินหนีไปก่อนหน้าตาเฉยทิ้งตนไว้กับตฤณที่เซ้าซี้จะรู้ให้ได้ว่ากรองเกียรติหมายถึงอะไร


“มีคนมาจีบมึงใช่ไหม” คำถามของตฤณทำให้ธันวาชะงักเล็กน้อยแต่ยังคงเร่งฝีเท้าตามกรองเกียรติไปโรงอาหารให้ทันด้วยความเร็วที่มากขึ้น “ใช่ไหมไอ้ธันว์”


“ต้องใช่แน่ ๆ ช่วงนี้มีคนดูแลมึงดี” ตฤณยังคงเดาสุ่มแม้ธันวาจะปฏิเสธ “ผู้ชายหรือผู้หญิงวะ เอ้ยโทษที มึงเป็นเกย์กูลืม ต้องผู้ชายดิ ใครวะ”


ธันวาหยุดเดิน หันมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาจริงจังแต่ยังไม่ทันพูดอะไรหวานก็เดินเข้ามาทักกันเสียก่อน “สุดสัปดาห์นี้ธันว์กลับบ้านรึเปล่า”


“เปล่าครับ หวานมีอะไรไหม”


เธอระบายยิ้มกว้าง “อยากไปอ่านหนังสือด้วย”


“อื้อ เอาสิ หอสมุดเนอะ”


“ดีใจจัง ไว้นัดเวลากันอีกทีนะ”


“ครับ” ธันวาตอบรับก่อนเธอจะเดินนำไปยังจุดหมายเดียวกันเสียก่อน


“หวานเหรอ” ตฤณถาม “ใช่หวานจริง ๆ เหรอ”


“อะไรของมึง”


“คนที่มาจีบมึงไง นี่ตกลงมึงไม่ใช่เกย์เหรอ หรือมึงเป็นไบฯ”


“ไม่มีใครมาจีบกูทั้งนั้นแหละ ไว้มีแฟนจริง ๆ แล้วจะบอก...ไปกินข้าว กูหิว!” ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวหนีเสียงที่ยังตะโกนตามมารบเร้าของอีกฝ่าย


บรรยากาศในโรงอาหารตอนพักกลางวันไม่เคยสงบ นอกจากนักศึกษาแพทย์แล้วก็ยังมีบุคลากรทางการแพทย์อีกมากมายมาใช้บริการที่นี่ หากใครมาถึงก่อนเที่ยงตรงถือว่าโชคดี แต่หากใครมาช้าไปสักหน่อย อาจต้องระเห็จไปพึ่งโรงอาหารแห่งอื่นแทนเพราะไม่มีที่นั่งเพียงพอ แต่เห็นทีคงไม่ใช่สำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สาม เพราะวันนี้พวกเขาเลิกเรียนเร็วกว่ากำหนดสิบนาที ในตอนเที่ยงตรงที่เหล่ารุ่นน้องปีสองทยอยกันเดินเข้ามารุ่นพี่หลายคนก็รับประทานอาหารกันเกินครึ่งจานแล้ว


“พนันกันมึง” บอยสะกิดไนท์เมื่อเห็นรุ่นน้องที่เพื่อนหมายตาไว้กำลังเดินมาทางที่พวกตนกำลังนั่งอยู่ “กูว่าน้องมองไม่เห็นไอ้แรมแน่ ๆ”


“มึงไม่ให้โอกาสกูชนะเลยเหรอ” เดือนแรมทำเป็นไม่สนใจที่ไนท์เองก็เล่นไปกับบอยด้วย ขณะที่โอ๊คเผยยิ้มอย่างนึกสนุก


วันนี้พวกเขาเลือกนั่งโต๊ะติดร้านข้าวตามสั่ง ใครเดินผ่านไปผ่านมาเป็นต้องสะดุดตากับกลุ่มพวกเขาทุกรายเพราะความสูงใหญ่ของตัวและหน้าตาอันดึงดูด ยิ่งเดือนแรมนั่งริมขอบสุดของโต๊ะด้วยแล้ว ประธานชั้นปีคนนี้ก็ยิ่งแทบไม่ว่างเว้นจากการตอบรับคำทักทายจากทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง


...เพียงแต่คงไม่ใช่กับธันวา


เด็กหนุ่มที่ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้างที่แม้จะเดินมายืนหน้าร้านข้าวตามสั่งใกล้โต๊ะของเดือนแรมแต่ก็ยังไม่สังเกตเห็นใครทั้งนั้น


“เอาจริงดิวะ” บอยว่าอย่างอึ้ง ๆ แม้จะพนันว่าธันวาไม่เห็นเดือนแรมแน่ ๆ แต่เมื่อเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าออกจะเกินคาดไปเสียหน่อย


“ไอ้น้องธันว์” โอ๊คเรียกรุ่นน้องร่วมห้องไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินจากไปพร้อมจานข้าวตัวเอง


“อ้าว พี่นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” แม้จะหันมองด้วยหน้าตาเหรอหราแต่ก็ยังไม่ทันสังเกตว่าตรงข้ามคนที่ทักตัวเองคือใครอยู่ดี


“ถ้าเป็นงูก็ฉกมึงตายไปแล้ว” เดือนแรมว่าเสียงเรียบด้วยสีหน้าที่ตึงพอกัน


“พี่แรม”


สีหน้าของทั้งสี่คนต่างกันโดยสิ้นเชิง มีเพียงบอยที่ขำแล้วกระซิบกับเพื่อนฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าระรื่นกว่าใคร “กูวิน เลี้ยงหนมกูด้วยไอ้ไนท์”


“มึงไม่ได้วินไอ้บอย…” เดือนแรมพูดหน้านิ่งยุติผลการพนันของเพื่อนฝูง ทว่าสายตายังไม่ละไปจากดวงหน้าใสของหนุ่มรุ่นน้อง “...ไม่ใช่ว่ามันไม่เห็นกู...แต่มันไม่เคยจะมองมาที่กูเลยต่างหาก”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ รับรู้ว่าเดือนแรมน้อยใจตนแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาตอนนี้เพราะประหม่ากับสายตาของรุ่นพี่อีกสามคน ซึ่งท่าทางประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกของหนุ่มรุ่นน้องก็ทำให้ทั้งสามรู้ในทันทีว่าควรเลิกสนใจคนทั้งคู่เสียที


เมื่อเห็นอย่างนั้นธันวาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ขยับตัวเข้าใกล้เดือนแรมอีกนิดเพื่อเอ่ยขอโทษเสียงแผ่วให้ได้ยินกันสองคน “ขอโทษครับ...ไม่ใช่ว่าไม่เห็น แต่ปกติผมไม่ชอบมองหน้าคนไปทั่วเลยไม่รู้ว่าพี่นั่งอยู่ตรงนี้ อย่าโกรธผมเลยนะครับ”


ไม่ต้องถึงกับหลงตัวเองก็รู้ว่าหน้าตาโดดเด่นอย่างพวกเขาใครเดินผ่านไปมาไม่ต้องตั้งใจมองก็สะดุดตาแน่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ยอมเชื่อเหตุผลของน้องจนเผลอผุดยิ้มมุมปากก่อนจะเม้มริมฝีปากไว้แน่นเมื่อรู้สึกว่าใกล้จะควบคุมมันไม่อยู่ หากไม่รีบบอกปัดแล้วไล่น้องไปกินข้าว เห็นทีคงได้ปล่อยให้รอยยิ้มกว้างเผยออกมาประจานตัวว่าดีใจแค่ไหนที่มีความสำคัญมากพอให้น้องง้อ


“ไปกินข้าวได้แล้วไป”


“หายโกรธรึยังอ่ะ”


“สนใจด้วยเหรอวะ”


“โอ๊ยยยยยย” สองเสียงของโอ๊คและบอยประสานขึ้นพร้อมกันอย่างคุมไม่อยู่เมื่อเห็นความท่าเยอะของเพื่อนทั้งที่ใจอ่อนให้ตั้งแต่ได้ยินคำว่าขอโทษแล้วด้วยซ้ำ


เดือนแรมมองเพื่อนตาเขม็ง ขณะที่ธันวารู้สึกอายจนรีบขอตัวออกไปทันที


“ท่ามากนะมึง” ไนท์ว่าขึ้นขำ ๆ


“สนใจกันจังเลยนะ”


“ถ้าน้องมันไม่สนใจ อย่างน้อยมีพวกกูที่สนใจมึงนะเว้ย” โอ๊คเย้า


“อย่างพวกมึงเรียกเสือก”




แม้ว่าช่วงบ่ายจะเป็นการเรียนแลปกรอสส์แต่ธันวาก็ยังหนีไม่พ้นการเซ้าซี้จากตฤณที่ส่งคำถามผ่านสายตาทุกครั้งที่เผลอหันไปมองสบด้วยจนหวานที่อยู่กลุ่มศึกษาอาจารย์ใหญ่ร่างเดียวกันนึกสงสัย


“มีอะไรรึเปล่าธันว์”


“อ้อ เปล่าครับ”


“ถ้าไม่มีอะไรก็เร่งมือเถอะธันว์ เหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงแล้ว ค่ำมืดขึ้นมาไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนแล้วนะ” ประโยคหลังเธอแกล้งทำเสียงต่ำแผ่วเพื่อให้เขากลัว ทว่ารอยยิ้มซุกซนที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิดนั้นทำให้ธันวาเอ็นดูจนต้องไหลไปตามท้องเรื่องที่เธอปูไว้


“กลัวเหลือเกิน หวานอยู่เป็นเพื่อนเราเถอะนะ เราไม่กล้าอยู่คนเดียว”


หนุ่มสาวหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนโดยลืมไปว่าในกลุ่มตนยังมีเพื่อนอีกสองคนจนถูกตำหนิเข้าจนได้ “เล่นบ้าอะไรไอ้ธันว์ เดี๋ยวได้เจอดีหรอกมึง”


“ใช่ แล้วถ้ายังเล่นอยู่ก็คงได้อยู่ต่อจนดึกจริง ๆ นั่นแหละ”


“ขอโทษครับ ขอโทษครับ”


แม้ธันวาจะยกมือไว้รอบห้องอย่างสำนึกผิดแล้วแต่ก็ไม่ผิดไปจากคำพูดของเพื่อนนัก เพราะกว่าธันวาจะศึกษาตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จและออกจากห้องแลปได้ก็รั้งท้ายเพื่อนร่วมรุ่นจนเลทกว่าเวลาตามตารางเรียนไปถึงสองชั่วโมง ทว่าไม่ได้โดดเดี่ยวนักเมื่อหวานอยู่เป็นเพื่อนตามคำกล่าวอ้างที่จะอยู่ช่วยเพราะศึกษาจากท่านเดียวกันย่อมช่วยได้เยอะกว่ากรองเกียรติหรือตฤณที่ศึกษาท่านอื่น


“ถ้าไม่ได้หวาน เราแย่แน่ ไม่รู้ว่าสองทุ่มจะได้ออกจากห้องกรอสส์รึเปล่า” ธันวายิ้มแห้งพลางใช้มือขยี้จมูกเพราะยังรู้สึกถึงกลิ่นฟอร์มาลีนที่ติดอยู่


“ว่าไปนั่น เราช่วยนิดหน่อยเอง”


“แค่อยู่เป็นเพื่อนก็ถือว่าช่วยมากแล้ว”


เธอยิ้มอาย ๆ ก่อนกลบมันไว้ด้วยการร้องหาอาหารเย็นจนธันวาคนที่ไม่สนใจอะไรไม่ทันสังเกตท่าทีของเธอ


เพราะเวลาหนึ่งทุ่มนั้นดึกเกินกว่าจะสามารถฝากท้องไว้กับร้านอาหารราคาย่อมเยาว์ในโรงอาหารของคณะได้แล้วจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งคู่ต้องลากสังขารอันเหนื่อยล้าและมีกลิ่นฟอร์มาลีนติดตัวไปร้านข้าวข้างรั้วโรงพยาบาล กว่าจะกลับเข้าหอพักก็ดึกจนเกือบสามทุ่ม


ธันวาที่กลับเข้าหอหลังจากแวะไปส่งหวานที่หอพักหญิงมาก่อนแล้วเดินเข้าหอพักชายด้วยท่าทีเมื่อยล้าเต็มทน มือข้างที่ว่างบีบคอไล่ความเมื่อยขบตลอดทางจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครนั่งรอตนอยู่ใต้อาคาร


“ธันวา”


“อ้าวพี่แรม ทำไมมาอยู่ตรงนี้ละครับ” ปกติเวลาแบบนี้คนอย่างเดือนแรมต้องกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือมากกว่าใต้ตึกที่เสียงอึกทึกจากผู้คนแบบนี้


“กี่ครั้งแล้ววะที่มึงมองไม่เห็นกู”


“ขอ—”


“กินข้าวมาแล้วใช่ไหม” เดือนแรมไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษจากปากน้องอีกเพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลยสักนิด


“กิน—” ธันวากำลังจะตอบแต่นึกขึ้นได้ในตอนนั้นว่าเดือนแรมอาจจะยังรอตนอยู่เพราะหลายวันมานี้พวกเขาใช้เวลาช่วงมื้อเย็นร่วมกันตลอดแต่เขากลับลืมอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น “อย่าบอกนะว่าพี่ยังไม่ได้กินอ่ะ”


“ถึงกูจะรักมึงแต่กูก็รักตัวเองเหมือนกันนะ”


“เอ่อ…” ธันวาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อหรือแค่ปล่อยผ่านคำสารภาพรักกลาย ๆ นั่นลอยไปตามลม


“คราวหลังเลิกเรียนหรือเสร็จกรอสส์แล้วก็เช็คโทรศัพท์บ้าง กูเป็นห่วง”


“ครับ” ธันวาก้มหน้ายอมรับผิดเสียงแผ่วแต่กลับใจกล้าเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้ในตอนที่เขาหันหลังให้และกำลังจะเดินจากไป


“โกรธเหรอครับ”


เดือนแรมหันกลับมามองคนที่ถามออกมาหน้าซื่อ ๆ ทว่าแววตาฉายความกังวลอยู่ไม่น้อย “เรื่องอะไร”


...เสียงดุไปเหรอวะ ตัวก็ไม่เล็กทำไม่ถึงสั่นขนาดนั้น


“เอ่อ…”


“ถามว่าเรื่องอะไร”


“ก็แล้วพี่โกรธเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”


คงจริงที่ว่าครั้งแรกเขาใช้โทนเสียงเข้มเกินไปจนน้องกลัว เพราะเมื่อยอมเสียงอ่อนลงอีกฝ่ายถึงได้กล้าจ้องตาสู้แล้วถามหาความจริงจนเขาชักอยากโกรธขึ้นมาจริง ๆ สองขาขยับพาร่างเข้าใกล้เจ้าตัวดื้ออย่างช้า ๆ นึกมันเขี้ยวอยากบีบจมูกเชิดรั้นนั้นให้แบนบี้เสียจริง


“นั่นสิ ควรโกรธเรื่องอะไรดี…” เขาไม่สนใจแล้วว่าตนจะมีสิทธิ์โกรธได้แล้วหรือไม่ เขารู้แค่ว่าตนอยากโกรธ และคงจะเป็นสัญญาณที่ดีหากน้องสนใจมันสักนิด


“...เรื่องที่มึงไม่มากินข้าวกับกู ทิ้งให้กูกินข้าวคนเดียวน่ะเหรอ หึ กูไม่ใช่คนที่อยู่คนเดียวไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้ามึงอยากสนใจว่ากูกำลังโกรธเรื่องอะไร ก็จะบอกให้…”


“ขะ เข้ามาใกล้ทำไมละวะ ถอยออกไปก่อนดิพี่” ธันวาว่าพลางยกมือดันอกคนพี่และถอยตัวเองออกห่างไปด้วย แต่กลับไม่เป็นผล


“ไม่ได้หรอก เรื่องนี้เสียงดังได้ที่ไหน ถ้าใครผ่านมาได้ยินว่าประธานชั้นปีสามคนที่น่าเกรงขามในสายตาน้อง ๆ อ่อนแอแค่เพราะว่าไม่มีความสำคัญพอให้มึงนึกถึง...ไม่ดีแน่”


ใช่...ไม่ดีแน่


ธันวารู้ตัวว่าหากปล่อยให้เดือนแรมอยู่ใกล้ระยะประชิดขนาดนี้ต้องไม่ดีกับตัวเขาแน่


“ใครบอกพี่ว่าผมไม่นึกถึง” ธันวาโวยวาย เดือนแรมยอมถอยห่างออกมายืนกอดอกมองคนดื้อที่ยังรั้นจะเอาชนะ


“เหรอ ไหนมึงบอกให้ชื่นใจสิว่าตอนเรียนกรอสส์เสร็จแล้วมึงรีบหยิบโทรศัพท์เพื่อติดต่อกูหรือเห็นการแจ้งเตือนจากกูแล้วรีบเปิดอ่านและตอบกลับ”


“...”


“ไหนบอกมาซิธันวา มึงนึกถึงกูตอนไหน”


“...”


“เราใช้เวลาด้วยกันบ่อยขึ้น คุยกันมากขึ้น กินข้าวเย็นด้วยกันอยู่ทุกวัน แล้วข้าวเย็นมื้อนี้...มึงคิดถึงกูบ้างรึยัง” ...มีบ้างไหมสักนิดหนึ่ง


“เอ่อ...”


“ไม่ต้องตอบหรอก กูเข้าใจว่าเรายังไม่ใช่สถานะคนศึกษาดูใจกัน ยังเป็นแค่คนจีบกับคนถูกจีบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากเรื่องความรู้สึกกู กูจัดการเองได้ แต่เพราะมึงอยากรู้ กูเลยบอก เท่านั้นเอง”


“พี่แรม คือว่า...” ดูเหมือนว่าช่วงนี้ท่าทีอ้ำอึ้งจะกลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวของธันวาไปเสียแล้ว เพราะเดือนแรมเห็นบ่อยจนชินตาแล้วอยากจะกระตุ้นอีกสักนิดเพื่อให้ได้เห็นท่าทีที่ชัดเจนขึ้น “...ผมยอมรับนะว่าไม่ได้เช็คโทรศัพท์เลยเพราะอยู่กับหวานแค่สองคน ถ้าเธอไม่จับมันเลยผมก็ไม่อยากหยิบขึ้นมาให้เสียมารยาทอ่ะ”


“แคร์เขา? กูเข้าใจ” พูดเองก็เจ็บเอง


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ธันวารีบแย้งเสียงดัง ถ้าใครหันมองตอนนี้คงเข้าใจว่าเดือนแรมกำลังหาเรื่องทำโทษบางอย่างรุ่นน้องอยู่อย่างแน่นอน “มันก็แค่นิสัยผมป่ะที่ไม่จับโทรศัพท์ให้อีกคนรู้สึกอึดอัด ตอนอยู่กับพี่ผมก็ไม่จับเลยเหมือนกันอ่ะ”


จุกดีจริง ๆ


จีบมาเป็นเดือนยังถูกปฏิบัติด้วยไม่ต่างจากคนอื่น



“เออ กูเข้าใจแล้ว อย่างที่บอก ไม่ต้องสนใจความรู้สึกกูหรอก เดี๋ยวแม่งก็หายเอง”


“เข้าใจจริงป่ะเนี่ย”


“เดือดร้อนเหรอมึงน่ะ” อีกครั้งที่เดือนแรมเผลอทำเสียงเข้มใส่เกินกว่าปกติ


แต่ครั้งนี้ธันวาไม่กลัว “มันไม่เหมือนกันหรอกพี่ กับคนอื่นอ่ะผมเป็นแบบนั้นเพราะมารยาท แต่กับพี่อ่ะ ผมไม่จับโทรศัพท์เลยเพราะผมชอบเวลาที่อยู่ด้วยกันกับพี่มากกว่านะ”


เดือนแรมสะกดรอยยิ้มไว้ในใจ “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา”


“มะ ไม่รู้โว้ย” ธันวาโวยวายบอกปัดแล้วรีบหลบหลีกหนีเดินเข้าโถงลิฟต์ไปก่อนโดยที่เดือนแรมเพียงแค่หันมองเท่านั้น


คล้อยหลังธันวาใบหน้าเรียบตึงจนดุแสนดุของเดือนแรมค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป ไม่คาดคิดเลยว่าแค่ลงทุนเล่นละครเผยความงี่เง่าออกมาเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เห็นอะไรได้ชัดขึ้นขนาดนี้


เห็นทีว่าหนทางข้างหน้าคงไม่ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว




...ไม่คาดคิดว่าอุปสรรคจะถูกสร้างขึ้นก่อนหน้านั้นเสียอีก


“ขอโทษครับ ผมนัดอ่านหนังสือกับหวานไว้ก่อนแล้วครับ พี่แรมจะไปด้วยกันไหมล่ะ” คำบอกกล่าวนั้นทำเอาคนที่หอบตำราพะรุงพะรังในเช้าวันเสาร์รู้สึกหมดแรงขึ้นมาทันที


“ถามโง่ ๆ อ่ะ” คนเขาอ่านหนังสือด้วยกันอยู่ทุกวัน อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ตอบรับคำชวนของคนอื่นหน้าตาเฉย ไม่ให้เขาเซ็งก็คงไร้ความรู้สึกกันเกินไปแล้ว


“อ้าว”


“ไปเลยไป ไปไหนก็ไป” ทั้งที่เป็นคนเอ่ยปากไล่แต่กลับกลายเป็นคนเดินหัวเสียออกมาจากตรงนั้นเสียเอง


“พี่โกรธอีกแล้วอ่ะ” ธันวาตะโกนไล่หลังมา


“ไม่ได้โกรธ...” ไม่โกรธก็แย่แล้ว อ่านหนังสือกันอยู่ทุกวัน อยู่ดี ๆ ไปอ่านกับคนอื่นแล้วแทนที่จะบอกกันสักคำก็ไม่มี “ตั้งใจอ่านหนังสือซะ อย่าหลับด้วยนะมึง”


หากสองมือไม่ได้ประคองกอดหนังสืออยู่ ธันวาก็เชื่อว่าเดือนแรมต้องชี้นิ้วมาที่ตนเพื่อย้ำน้ำหนักคำสั่งเมื่อครู่ก่อนเดินจากไปอย่างแน่นอน





ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้วที่หญิงสาวเห็นธันวายุกยิกเหมือนคนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ จะว่าอ่านไม่เข้าใจก็คงไม่ใช่ ท่าทางเหมือนคนใจไม่อยู่กับหนังสือ เพียงแต่เธอไม่รู้ว่ามันลอยไปที่ไหนเท่านั้นเอง


“เป็นอะไรอ่ะธันว์ งีบสักนิดก่อนดีไหม”


“เอ่อ ไม่เป็นไร ขอโทษนะที่เราทำหวานเสียสมาธิไปด้วย”


“ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากนอนก็เริ่มทำสมาธิแล้วอ่านใหม่เถอะ”


ธันวาเหลือบมองโทรศัพท์ตัวเองที่วางไว้ข้างกายแต่ปิดการรบกวนทุกช่องทางสลับกับหน้าเพื่อนสาวอย่างใช้ความคิด “เดี๋ยวเรามานะ”


“อื้อ”


ไม่ทันสิ้นเสียงตอบรับของเธอธันวาก็คว้าโทรศัพท์แล้วเดินออกจากบริเวณนั้นเข้าสู่ซอกตามชั้นวางหนังสือทันที


นิ้วเรียวกดเข้าแอปพลิเคชั่นสำหรับสนทนาที่ตนใช้ติดต่อกับเดือนแรมเป็นหลักเมื่อหาตรอกที่เงียบสงบและปลอดคนได้แล้ว ตัดสินใจส่งสติกเกอร์ไปหยั่งเชิงดูก่อนว่าอีกฝ่ายสะดวกในการพูดคุยด้วยหรือไม่


Ram Jaruphanichakarn : ไหนบอกว่าไม่ชอบจับโทรศัพท์เวลาอยู่กับใครแค่สองคนไง


ธันวายิ้มโล่งใจ อย่างน้อยเดือนแรมตอบกลับมาเร็วแบบนี้ก็หมายความว่าตนยังมีโอกาสได้สะสางเรื่องที่คาใจจนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ


Thanwa DilokDharm : ก็ยังคาใจเรื่องพี่อ่ะ
Ram Jaruphanichakarn : คาใจอะไร
Thanwa DilokDharm : พี่โกรธผม
Ram Jaruphanichakarn : บอกว่าไม่โกรธไง ไปอ่านหนังสือ
Thanwa DilokDharm : พี่โกรธ
Thanwa DilokDharm : แบบนี้ผมไม่มีสมาธิอ่านหนังสือหรอก
Ram Jaruphanichakarn : ธันวา กูบอกว่ากูไม่ได้โกรธ ไปอ่านหนังสือ ครั้งที่ 1
Thanwa DilokDharm : อะไรวะ พี่มีสมาธิอ่านรึไง
Ram Jaruphanichakarn : กูจะอ่านไม่ได้เพราะมึงเป็นแบบนี้นี่แหละ ไปอ่านหนังสือซะ ครั้งที่ 2
Ram Jaruphanichakarn : ถ้ากูนับถึงสามแล้วมึงยังไม่ไปอ่านกูจะถือว่ามึงแคร์กูมากแล้วเราก็จะเป็นแฟนกันทันที
Thanwa DilokDharm : ขอ 5 ครั้ง
Ram Jaruphanichakarn : อย่าดื้อ ไว้ค่อยคุยกันไม่ได้เหรอวะ
Thanwa DilokDharm : อ่านได้ไงวะถ้าพี่ยังโกรธอยู่เนี่ย
Ram Jaruphanichakarn : ตั้งใจอ่านหนังสือธันวา! ครั้งที่ 3
Ram Jaruphanichakarn : ถ้ายังไม่อ่านกูจะโกรธมึงจริง ๆ เนี่ยแหละ
Thanwa DilokDharm : พี่ไม่โกรธผมจริง ๆ เหรอ
Ram Jaruphanichakarn : กูจะนับครั้งที่ 4 แล้วนะ
Thanwa DilokDharm : ไปอ่านแล้วก็ได้ แต่เย็นนี้ไปกินข้าวกันนะพี่ ไถ่โทษ ๆ
Ram Jaruphanichakarn : เออ ไปอ่านหนังสือ ครั้งที่ 4!!


ต่อให้อยากหัวเสียมากแค่ไหนแต่เดือนแรมก็ยังยิ้มออกมาเมื่อเจ้าตัวดื้อของเขาส่งสติกเกอร์หน้าทะเล้นกลับมาหลังจากข้อความนั้นของเขาเพื่อเป็นการจบบทสนทนาที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรนอกจากถ้อยความซ้ำไปซ้ำมาจากทั้งสองฝ่าย


‘พี่มีสมาธิอ่านรึไง’


ธันวาถามได้ถูกจุด หากมีสมาธิอ่านหนังสือจริงมีหรือที่เขาจะตอบแชทของธันวาได้เร็วขนาดนั้น แต่เพราะมัวแต่จ้องหน้าจอด้วยความต้องการที่จะติดต่อกลับไปให้รู้ดำรู้แดงกันไปเสียเลยถึงได้รีบคว้ามันทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายทักมา


จากที่ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเพราะความขุ่นมัวในใจ ตอนนี้กลับพร้อมบรรจุความรู้มากมายให้เข้าหัว ในใจมันลิงโลดเมื่อตีความความรู้สึกของธันวาผ่านตัวอักษรได้ว่าอีกฝ่ายก็ทุกข์ร้อนกับความรู้สึกของเขาเช่นเดียวกัน และแม้จะยังไม่ได้พักกลางวัน แต่เขากลับอยากให้ถึงเวลาของอาหารมื้อเย็นเสียแล้ว ความคิดที่อยากจะแกล้งหนุ่มรุ่นน้องมีมากจนชักจะทนให้ถึงเวลานั้นไม่ไหวเข้าทุกที


แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ใช่วันของเขา


แม้จะไม่มีเพื่อนสนิทคนใหม่ของธันวาอย่างหวานตามมาร่วมมื้อเย็นด้วยและกรองเกียรติเองก็ไปกับบุพการี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาขัดความสุขของเขาตั้งแต่ยังไม่ทันพากันเดินพ้นรั้วหอพักนักศึกษาแพทย์ชาย


“พี่ป้อง”


ธันวาอุทานชื่อหนึ่งในคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา เดือนแรมที่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลหรี่ตามองคนมาใหม่อย่างพินิจ เขาจำได้ หนึ่งในนั้นคือคนที่เข้ามาอาสาพาธันวากลับบ้านในคืนที่เมาอยู่ร้านเหล้าและถูกกรองเกียรติกับดีนปฏิเสธหัวชนฝา

 
“คุณพ่อบอกว่าวีคนี้ธันว์ขอไม่กลับบ้าน แต่ทั้งที่งานเยอะท่านก็ยังเป็นห่วงหลานสุดที่รัก พี่กับไอ้ต้าเลยอาสามาชวนธันว์ไปกินข้าวด้วยกัน คุณพ่อจะได้สบายใจ”


ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็นึกถึงกรองเกียรติจับใจ แต่อีกฝ่ายไปกับพ่อแม่ และเขาก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กที่ต้องให้ใครมาตามดูแลไปตลอด ทว่าท่าทางที่แสดงออกมากลับตรงกันข้าม เขารู้ในทันทีว่าตนต้องการใครสักคนไปอยู่ข้าง ๆ ให้อุ่นใจเมื่อได้ยินเดือนแรมเสนอตัวขึ้นมา


“อยากให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”


ถ้อยความของเดือนแรมทำให้ปกป้องหรี่ตามองอย่างสนใจ “ใครเหรอธันว์ แฟนใหม่?”


“ไม่ใช่ครับ”


เดือนแรมพยายามจะไม่น้อยใจกับการโต้ตอบทันควันของน้องเพราะสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจตรงหน้าน่าเป็นห่วงกว่า


“เอ่อ…” เป็นธันวาเสียเองที่รู้สึกผิดและไม่กล้าหันมองรุ่นพี่ข้างกาย “...เป็นรุ่นพี่ครับ เราเพิ่งติวหนังสือกันเสร็จ”


“งั้นก็ไปกันเถอะไอ้น้อง” เป็นต้าที่เดินเข้ามากอดคอลากให้เดินไปด้วยกันแทนที่จะเป็นญาติผู้พี่โดยไม่ทันได้พูดอะไรกับเดือนแรม


คนที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกทิ้งกลางครันทำได้แค่มองสามคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตาด้วยความไม่สบายใจ แม้น้องจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่เขารับรู้ได้ว่าธันวาไม่เต็มใจจะไปกับคนเป็นญาติด้วยเลยสักนิด ครั้นจะแอบตามไปก็จนปัญญา ฝ่ายนั้นขับรถแต่เขาทำได้แค่วิ่งไปหาวินมอเตอร์ไซค์ที่ห่างออกไปไกลซึ่งตามอย่างไรก็คงไม่ทัน ทำได้แค่รอพิกัดจากน้องเท่านั้น...หากว่าธันวาจะนึกถึงกัน




พิกัดของธันวาคือร้านสเต๊กหน้ามหาวิทยาลัย ทว่าธันวาไม่ได้ส่งมันให้กับเดือนแรมแม้ว่าอีกฝ่ายจะเสนอความช่วยเหลือมาให้ก็ตาม


‘มึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากกูจริง ๆ เหรอ’


ธันวาไม่ได้ตั้งใจจะเพิกเฉยต่อข้อความของเดือนแรม เพียงแต่เวลาน้อยนิดที่มีทำให้เขาต้องตัดสินใจส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนที่ตนวางใจอย่างดีนมากกว่า ไม่ทันตรวจดูหลังจากนั้นว่าเพื่อนตอบกลับมาว่าอย่างไร ได้แต่ภาวนาว่าขอให้เพื่อนอยู่หอพักแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยมากในวันเสาร์แบบนี้ก็ตาม


“มึงอ่านหนังสือทุกวันเลยเหรอวะ” ต้าชวนคุยระหว่างรออาหารขณะที่ปกป้องเช็คนั่นนี่ในโทรศัพท์ไม่สนใจธันวานัก


“ครับ”


“ขยันฉิบหาย”


“สถานการณ์บังคับน่ะครับ”


“เออ คณะมึงแข่งกันเรียนน่าดู”


“ไม่หรอกครับ ช่วย ๆ กันเรียนมากกว่า”


“เอ้อ แล้วไอ้รุ่นพี่นั่นเขามาจีบมึงเหรอ” ปกป้องหูผึ่ง ลอบมองท่าที่ญาติผู้น้องอย่างเงียบ ๆ


“เปล่าครับ”


“ไม่ใช่ก็ดี” ปกป้องเอ่ยเสียงเรียบทั้งที่ไม่ได้สบตาใครทั้งนั้น


“มีน้องน่ารักพี่เราก็หวงเป็นธรรมดาแหละว่ะธันว์” ต้าว่าติดตลกพร้อมกับถือวิสาสะยื่นมือไปลูบผมคนน้องเล่น


ธันวายิ้มแหยตอบรับเสียงค่อยเบี่ยงตัวออกจากสัมผัสนั้นแบบไม่ให้เสียมารยาทมากนัก


ช่วงที่รออาหารธันวากลายเป็นเพื่อนคุยให้ต้าไปโดยปริยายเมื่อปกป้องสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมากับโทรศัพท์ของตนเอง คนอ่อนวัยกว่าเป็นฝ่ายตอบเสียมากกว่าจะชวนคุย เขาสงวนคำจนต้ายังแซวทีเล่นทีจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกชวนคุย กลับกลายเป็นว่าการมีต้าอยู่ด้วยสร้างความอึดอัดให้เขามากกว่าอยู่กับปกป้องเพียงแค่สองคนเสียอีก


รอจนอาหารมาเสิร์ฟครบทั้งสามรายการดีนถึงได้โผล่เข้ามาในร้านด้วยท่าทีสบาย ๆ อย่างคนที่แค่แวะมาหาอาหารเย็นรับประทานเท่านั้น ธันวาลอบอมยิ้ม เพื่อนคนนี้รอบคอบเสมอ เพราะหากหน้าตาตื่นเข้ามาคงโจ่งแจ้งเกินไปว่าเขาระแวงจนต้องตามคนมาช่วย


“อ้าวเห้ยไอ้ดีน!”


“ธันวา มากับใครวะ” เพราะสองหนุ่มรุ่นพี่นั่งหันหลังให้ดีนจึงได้เล่นบทแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนได้ “อ้าวพี่ป้อง สวัสดีครับ” หนุ่มคณะอักษรศาสตร์ทักทายพอเป็นพิธีก่อนตีเนียนนั่งร่วมโต๊ะข้างธันวาที่ขยับให้อย่างรู้หน้าที่ “ขอนั่งด้วยคนนะครับ พอดีมาคนเดียว”


“อือ” ปกป้องแค่ครางรับในลำคอ ไม่แม้แต่จะชายตามองคนมาใหม่สักนิด


หลังจากที่ธันวาแนะนำต้ากับดีนให้รู้จักกันแล้วทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบจนจบมื้ออาหาร เพราะเมื่อต้าเปิดบทสนทนาชวนธันวาคุยดีนก็มักจะแทรกด้วยจนอีกฝ่ายยอมเลิกราไป







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 23-04-2019 13:45:30

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” นี่แทบจะเป็นประโยคแรกที่ดีนได้ยินเสียงของปกป้องในวันนี้


“ไม่ต้องไปส่งหรอกครับ ผมเดินเข้าไปกับดีนได้”


“เดินทำไมให้เหนื่อย กว่าจะถึงฝั่งโรง’บาลอีกตั้งไกล พี่ขับรถไปส่งน่ะดีแล้ว” น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดเล็กน้อยยิ่งทำให้ธันวาชักไม่มั่นใจว่าหงุดหงิดที่มีดีนอยู่ด้วยหรือเพราะเขาดื้อขัดคำสั่งอีกฝ่ายกันแน่


“เราเดินย่อยแค่นิดเดียวเท่านั้นแแหละครับ ในมอมีรถฟรีให้บริการ ไม่ได้เดินเหนื่อยอะไรนักหรอก” ดีนแทรกขึ้นมาเพื่อตัดรำคาญ และก็ได้ผลเมื่อปกป้องไม่ยื้อไว้อีก ซึ่งมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ธันวาเดาเอาว่าปกป้องคงไม่อยากต่อปากต่อคำกับดีนสักเท่าไหร่


“รำคาญแม่ง” ดีนว่าขึ้นเมื่อเดินออกห่างจากสองคนนั้นแล้ว


“ขอบใจมึงมากที่มาช่วย โชคดีจริง ๆ ที่มึงอยู่หอ”


“กูมาจากบ้าน”


“เชี่ย!” ธันวารู้ว่าดีนพูดจริงเสมอและมันก็เป็นไปได้เสมอเช่นกัน เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่ถามย้ำหรือกล่าวหาว่าล้อเล่น “บอกกี่ทีแล้วว่าไม่ต้องทำเพื่อกูขนาดนี้” แม้บ้านของดีนจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักแต่ก็อดเกรงใจไม่ได้


“มึงไม่ต้องรู้สึกผิดเลย กูเต็มใจ กูว่าง ไปไหนก็ได้”


“แล้วนี่กลับบ้านเลยไหมเนี่ย”


“ไม่ว่ะ ลาเตี่ยกับมัมกลับมานอนหอเลย”


“มาฉุกลหุกแบบนี้บอกเขาว่าไง”


“บอกไปตามตรงว่ามึงต้องการความช่วยเหลือ”


“เขาไม่ถามต่อเหรอ”


“ใคร ๆ ในบ้านกูก็รู้ป่ะว่าถ้าเป็นเรื่องของมึงไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็จัดว่าด่วนทั้งหมดสำหรับกู”


“ขอบใจมึงมากจริง ๆ ว่ะ”


“เออ ๆ เรื่องเล็ก....แล้วทำไมไม่ให้ไอ้เก่งตามมาด้วยละวะ”


“มันไปกับพ่อแม่แล้ว”


“แล้วตอนเขาไปหา มึงอยู่กับใคร ชวนใครไปด้วยสักคนก็ได้นี่หว่า”


“อยู่กับพี่แรม จะให้ชวนเขาไปในฐานะไรวะ”


ดีนจ้องหน้าเพื่อนนิ่ง พยายามใช้ช่วงเวลาเล็กน้อยนี้เรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดที่ตรงใจแต่ไม่ห้วนจนทำร้ายความรู้สึกเพื่อนสนิท แต่แล้วก็กลืนมันเสียหมดเพราะสีหน้าสับสนของอีกฝ่าย


“เขาไม่ขอตามไปด้วยบ้างเหรอวะ กูว่าเขาน่าจะรับรู้ความรู้สึกของมึงได้นะ”


“ขอดิ ทำไมจะไม่ขอ แต่จะให้เขาตามไปด้วยได้ไง แค่ฐานะรุ่นพี่ มึงคิดว่าพี่ป้องจะยอมเหรอ”


“ก็บอกไปดิว่าคบกัน”


“ยังไม่ได้คบ!” ธันวาแย้งทันควัน จริงจังทั้งสีหน้าแววตาและน้ำเสียง


“โกหกหน่อยไม่เป็นรึไง ถ้าวันนี้กูไปหามึงไม่ได้จะทำยังไง ยอมอยู่กับพวกนั้นตามลำพังเหรอ”


“แล้วมึงจะให้กูหลอกใช้เขารึไงวะ”


“...”


“จะสถานะหรือความรู้สึกก็ยังไม่ชัดเจน อยู่ ๆ บอกคนอื่นว่าเขาเป็นแฟนเพราะจะหลอกใช้เขามันไม่ใจร้ายกับความรู้สึกเขาไปหน่อยเหรอวะ”


ดีนเผยยิ้มบาง “วันก่อนมึงยังใจร้ายกับเขาอยู่เลย มาวันนี้แคร์เขามากแล้วสินะ”


“...”


“คนที่บอกว่ายังไม่อยากรู้สึกกับเขามากไปกว่านี้คนนั้นน่ะ...หายไปไหนแล้ววะ”


ธันวาเงียบ


จนได้...ไอ้รุ่นพี่คนนั้นทำสำเร็จจนได้


ในที่สุดก็เข้ามาอยู่ในใจเพื่อนของเขาได้แล้วจริง ๆ


ธันวาก็แค่คนที่ดีแต่หาข้อแก้ตัวให้ตัวเองว่ายังไม่ได้ชอบผู้ชายคนนี้แต่กลับเปิดโอกาสให้เขาจีบทั้งที่ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าจะไม่มีแฟนเป็นผู้ชายอีก


ธันวาก็แค่คนที่กลัวไปเสียทุกอย่าง กลัวแม้กระทั่งเสียงหัวใจตัวเอง


“ช่างเถอะ ยังมีเวลาให้มึงคิดอีกเยอะ” ดีนตัดบท “ว่าแต่...ช่วงนี้พี่ชายมึงเขามาเกาะแกะมึงบ่อยเหรอ”


“ถ้าไม่รวมตอนกลับบ้านก็มีแค่ครั้งนี้แหละที่ตามมาถึงนี่ อ้อ! ยังมีมาส่งแล้วก็พยายามมารับกลับบ้านด้วย”


ดีนพยักหน้ารับ “แล้วพี่ต้าอะไรนั่นละวะ”


“รู้จักกันนานแล้ว เจอกันบ้างตามโอกาส”


“เช่นโอกาสแบบนี้?”


“พี่ต้าไปที่บ้านบ่อย แต่หลัง ๆ มากูไม่ค่อยอยู่บ้านเลยไม่เจอเขาไง”


“เขาก็เลยมาเจอมึงที่นี่แทน”


“มึงระแวงไปป่ะวะ”


“แล้วมึงสบายใจเหรอ”


“...”


“ระวังตัวไว้นะธันวา อย่าไว้ใจใครเขาไปทั่ว”


“ครับพ่อ”


“สัด”


 




สองทุ่มตรงกับข้อความของเขาที่คนปลายทางยังไม่เปิดอ่านเช่นเคย ความร้อนรนก่อตัวขึ้นตั้งแต่ที่ธันวาออกไปกับคนพวกนั้นจนถึงตอนนี้ที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหรือแม้แต่จะได้รับสัญญาณของความปลอดภัยใด ๆ ทำให้เดือนแรมกระวนกระวายจนแทบบ้า แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ตนกำลังรอด้วยความเป็นห่วงเดินมากับดีนใจหนึ่งก็อยากหันหลังหนี ไม่อยากสนใจแววตื่นตระหนกในหน่วยตาใสของอีกฝ่าย หนีเพราะอยากรู้ว่าจะได้ยินชื่อตัวเองดังตามหลังบ้างหรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาทำคือการทำหน้าให้เรียบเฉยที่สุดขณะยืนรออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้


เดือนแรมเข้าใจแล้วว่าจนถึงตอนนี้ ตนก็ยังไม่ใช่คนที่ธันวาจะมองเห็น ทั้งที่เสนอตัวจะช่วยเหลือแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่นึกถึงกันอยู่ดี


แต่ถึงอย่างนั้น...ก็ยังอยากรอถามให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจริง ๆ


“พี่แรม...”


“มึงโอเคใช่ไหม” เดือนแรมชิงถามขัดท่าทีเงอะงะอย่างไม่รู้จะพูดอะไรของคนน้อง


“ค...ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปพักได้แล้ว”


“เอ่อ...”


“ทำตามที่รุ่นพี่มึงบอกสิวะ” เป็นดีนที่ย้ำอีกครั้งจนจากคำบอกเล่าที่แฝงความห่วงใยกลายเป็นคำสั่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“ไม่ต้องออกไปส่งกูหรอก มึงขึ้นไปได้แล้ว” ดีนย้ำเมื่อเพื่อนยังมีท่าทีลังเล


“อือ กลับดี ๆ บาย” ธันวาโบกมือลาเพื่อนสนิทก่อนจะรู้สึกมือไม้เกะกะไม่รู้จะจัดวางอย่างไรเมื่อหันกลับมาสบตากับเดือนแรม จะเอ่ยคำว่าฝันดีเหมือนทุกทีก็ขัดเขินเพื่อนตัวเอง อีกทั้งยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายอยู่ด้วย


ดีนยังยืนประจัญหน้ากับเดือนแรมแม้ว่าคนกลางอย่างธันวาจะเดินจากไปแล้วโดยปราศจากคำลาที่มีให้คนตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ก็ยังเรียบเฉย เห็นแล้วชวนหมั่นไส้จนอยากยั่วโมโหเข้าสักหน่อย


“พี่แค่มายืนรอเพื่อนผม?”


“อือ”


“ถ้าจะเข้ามาเพื่อทำให้เพื่อนผมสับสนก็ถอยออกไปเถอะ”


“กูจริงจังและจริงใจกับเพื่อนมึง...มากกว่าแฟนเก่ามันแน่ ๆ”


“อย่าเทียบตัวเองกับพี่ภีม พี่ไม่มีทางสู้เขาได้ พี่ภีมคือที่สุดในชีวิตของธันวา”


“ถ้าที่สุดแล้วทำไมถึงเลิก...ไม่ดิ ทำไมถึงทิ้งมันไป”


มุมปากของคู่สนทนากระตุก ทั้งเยาะเย้ยคนตรงหน้าและขึ้งโกรธแทนคนที่ถูกพาดพิง “ถ้าไม่มีความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพี่ภีม คิดเหรอว่าการปรากฏตัวของพี่ในทุกวันนี้จะมีผลกับธันวา”


“...”


“ถ้าเขาไม่ออกไปจากชีวิตเพื่อนผม ไม่มีทางที่มันจะมองเห็นพี่หรอก”


“...”


“อย่างมากพี่ก็เป็นได้แค่รุ่นพี่คนหนึ่งในคณะที่ชื่อเดือนแรม”


จะเอาความมั่นใจจากไหนมาปฏิเสธ เดือนแรมรู้ดีว่าตนต้องยอมรับมันเท่านั้น


“ผมพูดถูกไหมพี่ก็น่าจะรู้ดี”




เดือนแรมพกพาความบอบช้ำของจิตใจกลับขึ้นมาบนห้อง ไม่ทันเตรียมใจว่าต้องเจอกับต้นเหตุนั่งรออยู่หน้าห้อง ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดเหมือนทุกที


“มึงรอกูเหรอ” เป็นเดือนแรมที่ชิงถามขึ้นก่อนเพราะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับท่าทางของอีกฝ่าย


“เอ่อ…”


คนเป็นพี่ถอนหายใจ “อึดอัดไหมวะ”


“ครับ?”


“ที่ต้องคิดเยอะตลอดว่าจะตอบอะไรกับกู”


“...”


“พูดตามความรู้สึกออกมาตรง ๆ ดิ ไม่ต้องคิดว่าจะตอบยังไงเพื่อรักษาน้ำใจกูหรือคิดที่จะตอบตรงข้ามความรู้สึกเพราะกำลังกลัว กูขอได้ไหมวะ รู้สึกยังไงก็พูดอย่างนั้น”


“...”


“เมื่อก่อนกูไม่พูดเพราะกูไม่มีสิทธิ์ แต่ตอนนี้กูอยู่ในสถานะที่พูดได้แล้ว กูก็จะบอกความรู้สึกทุกอย่างให้มึงรู้ตรง ๆ มึงเองก็ควรทำแบบเดียวกัน มันไม่ยากหรอก”


“...”


“โอเคไหม”


“ครับ”


มันน่านัก!


เดือนแรมสูดหายใจเข้าก่อนจะถามใหม่อีกครั้ง “มึงรอกูเหรอ”


“ครับ” ธันวาตอบเสียงหนักแน่นขึ้น


“รอทำไม”


“ผม...ไม่แน่ใจครับ”


“โอเค คำถามปลายเปิดอาจจะยากเกินไปสำหรับมึง”


“จะด่าว่าผมโง่ก็ได้”


เดือนแรมส่ายหน้าแทนการปฏิเสธ “มึงแค่สับสน”


“...”


“เอาใหม่...มึงแคร์ความรู้สึกกูเหรอ”


“ครับ”


หนุ่มรุ่นพี่เผยยิ้มอ่อนโยนจนคนน้องชักเริ่มทำตัวไม่ถูก “ในห้องมีคนอยู่ไหม”


“ไม่มีครับ” ก่อนออกมานั่งรอเดือนแรมตรงนี้ ตนเข้าไปในห้องตัวเองก่อนแล้ว ถึงได้พบความกระวนกระวายในใจจนต้องมายืนอยู่ตรงนี้


“งั้นเข้าไป”


ธันวาทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเดินตามเข้ามาด้วย “ทำไมต้องเข้ามาในนี้ล่ะครับ พี่แรมมีอะไรรึเปล่า”


เดือนแรมจ้องหน้าธันวานิ่งอย่างใช้ความคิด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันราวกับชั่งใจที่จะทำอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้รอให้น้องถามย้ำ รีบแจ้งความต้องการของตนออกมาเสียก่อน


“ขอกอดได้ไหมวะ”


“ห๊ะ!”


“ขอกอดหน่อย...”


“...”


“...ให้พี่ได้ไหม”


“...”


“บอกแล้วไงว่าให้พูดตาม--”


“ได้ครับ”


“...”


เดือนแรมนิ่งค้าง ทั้งที่ร้องขอเองแต่กลับไปไม่เป็นเมื่อคนน้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาสวมกอดหลวม ๆ เองหลังจบคำอนุญาต “ผมยอมให้กอด”


ไม่รู้คนที่ต้องการหรือคนตอบสนองกันแน่ที่เกร็งกว่ากัน ฝ่ายที่เดินเข้าไปสวมกอดก่อนแม้จะเพียงหลวม ๆ เว้นระยะห่างแต่ก็รู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ขณะที่คนร้องขอเองก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อในอ้อมกอดอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นราวกับคนกึ่งฝันกึ่งตื่น นานหลายอึดใจจนคนน้องใกล้จะถอนตัวออก เขาถึงรีบกอดตอบเพื่อรั้งร่างนั้นให้ใกล้ตนเข้าอีกนิดและนานขึ้นอีกอย่างที่ใจต้องการ


น้องเพิ่งจะเริ่มเผยความรู้สึก เขาจึงไม่อยากละโมบโลภมาก ได้แค่กอดก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับคนที่ไร้ตัวตนในสายตาธันวามาโดยตลอดอย่างเขา








TBC.
------------------------------------------------------------
ห่างหายไปนานมากกกกกกกก
ขออภัยค่ะ #กราบ

#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-04-2019 21:40:33
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-04-2019 22:57:26
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Zhouzhou23 ที่ 24-04-2019 10:09:45
 :ling1:  :ling1: :ling1:พี่แรมมมมมมม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Bluedock ที่ 24-04-2019 18:07:35
 :ling2:สงสารพี่แรม หน่วงมาก
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-04-2019 00:17:11
ก็คือถ้าคบกันแล้ว อีกประเด็นนึงที่ทำให้ความสัมพันธ์สั่นคลอนต้องเป็นเรื่องพี่ภีมแน่ๆ สงสารพี่แรมใจจะขาดแล้วค่ะ แง  :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-04-2019 01:15:04
สงสารพี่แรม เป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 26-04-2019 18:18:54
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Bambooyamy ที่ 27-04-2019 19:53:45
รอวันเค้ารักกันหวานๆ สงสารอิพี่ :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 27-04-2019 23:00:24
สงสารพี่แรม ทไมถึงอดทนได้ขนาดนี้นะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 28-04-2019 09:20:54
สงสารพี่แรมมากกกกก อย่าใจร้ายกันขนาดนี้เลย ฮืออออ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.4 [23/04/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Zhouzhou23 ที่ 02-05-2019 16:50:44
มารอปลอบใจพี่แรม ถ้าพี่แรมไม่ไหวเดี๋ยวเราช่วยปลอบเอง :mew1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-05-2019 23:30:59
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)





...กอดกันแล้ว


เขายอมให้เดือนแรมกอดแล้ว


ไม่สิ...เขาต่างหากที่ยอมให้ตัวเองกอดได้


ธันวาไม่ได้ปิดกั้น ไม่ใช่ว่าไม่ยอมทำหรือพูดตามความรู้สึกตัวเอง แต่เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกอะไรมากไปกว่าคนเป็นมิตรที่ดีต่อกันพึงรู้สึกเท่านั้น


ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่วันที่เขาปล่อยให้ตัวเองรู้สึกได้อย่างที่เดือนแรมร้องขอ ธันวาพบว่ามันไม่แย่ ตรงกันข้ามคือสบายใจมากขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกผิดกับตัวเองที่ปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไปจนอาจถอนตัวไม่ทันเมื่อเวลานั้นมาถึง


“อย่าเพิ่งออกไปนะ นั่งรอก่อน” ประธานชั้นปีกล่าวย้ำหลังเลิกเรียนหลังจากที่แจ้งตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วว่าท้ายคาบจะมีรุ่นพี่ปีที่สามเข้ามาแจ้งเรื่องสำคัญ ซึ่งเป็นใครก็ต้องคิดว่าคนที่มาคงหนีไม่พ้นประธานชั้นปีอย่างเดือนแรมอย่างแน่นอน


“ไม่ต้องชะเง้อนักหรอก เดี๋ยวคนเขารู้กันหมดว่ามึงกิ๊กกับประธานปีสาม” กรองเกียรติพูดหน้านิ่งที่ธันวาอยากจะเข้าใจว่าคือการแซวไม่ใช่กำลังเหน็บเขาอยู่


“สัด” ธันวาสบถผรุสวาจากลับไปก่อนลดคางลงวางบนท่อนแขนแทนการชะเง้อรอเจอคนที่กำลังจะเข้ามา


“เรื่องอะไรวะ มึงรู้ปะ” ตฤณใช้ข้อศอกสะกิดถามธันวา ทว่าสายตาก็เผื่อแผ่ไปถามกรองเกียรติด้วยเช่นกัน


“เอาขนมมาให้มั้ง” ธันวาประชดติดตลก


“ให้มึงคนเดียวต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ” ธันวานึกขอบคุณที่อย่างน้อยกรองเกียรติเพื่อนรักยังพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสรรเสริญด้วยคำหยาบกลับไปอีกครั้ง


“พี่แม็ค”


“หือ” ธันวาเด้งตัวขึ้นตั้งตรงเมื่อได้ยินตฤณว่าอย่างนั้น “ใครคือพี่แม็ค”


“นั่นไงพี่แม็ค พี่รหัสกู”


ใบหน้าของธันวาสลดลงจนเข้าใกล้คำว่าเหี่ยวอย่างที่กรองเกียรติพูดผ่านสายตาที่มองมาเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ที่เข้ามาในห้องไม่ใช่เดือนแรมอย่างที่คิด


“สวัสดีน้อง ๆ ทุกคน พี่ชื่อแม็คนะครับ จะขอรบกวนเวลาของน้อง ๆ ไม่นานหรอก พี่จะมาพูดเรื่องโครงการกีฬาเข็มสัมพันธ์ หรือ Syringe games ที่พี่เป็นประธาน ซึ่งจัดขึ้นทุกปีระหว่างมอเรากับคณะแพทย์มอ xx เพียงแค่สองมอเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่ากีฬาสองเข็ม”


เสียงฮือฮาดังขึ้นเป็นหย่อม บางคนมีโอกาสได้ร่วมโครงการนี้ตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งแล้ว แต่เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มากเกือบสี่ร้อยคนแล้วก็นับว่าส่วนน้อยเท่านั้นที่คุ้นเคยกับกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่มีธันวากับกรองเกียรติที่ชอบเที่ยวเล่นมากกว่าทำกิจกรรมของคณะ


“ฟังก่อนครับฟังก่อน...งานจะจัดขึ้นในอีกสองเดือน ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมแรกพอดี โดยครั้งนี้ มอเราไม่ใช่เจ้าภาพ งานจึงไม่หนักมาก แต่พวกพี่ก็ต้องการความช่วยเหลือจากน้องปีสอง ทั้งในส่วนของนักกีฬาและสต๊าฟ ส่วนสแตนด์เชียร์จะเป็นปีหนึ่งทั้งหมด ใครสนใจงานด้านไหนให้ติดต่อรุ่นพี่คนนั้น พี่จะประกาศรายชื่อหนึ่งรอบแล้วจะฝากรายละเอียดไว้กับประธานชั้นปีสองนะ”


“กูจะลงบาสกับพี่แรม อยากใกล้ชิด อยากรู้ว่าเวลาเขาเล่นกีฬาจะเท่ขนาดไหน” ตฤณว่าขึ้นหลังจากได้ยินรายชื่อทั้งหมดแล้ว และแม้ไม่ได้พูดอย่างคนเพ้อเหมือนที่กรองเกียรติมักทำจนชินตาแต่ท่าทีชื่นชมออกนอกหน้านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ธันวาคุ้นเคยนัก เพิ่งรู้ซึ้งเดี๋ยวนี้เองว่าตฤณก็เป็น ‘ทาสเดือนแรม’ เหมือนกัน “พวกมึงอ่ะ ลงกับกูไหม”


“ไม่อ่ะ กูว่าครั้งนี้จะเป็นสวัสดิฯ” ธันวาว่า


ตฤณตบไหล่เพื่อนอย่างภาคภูมิ “ดี ๆ มาดูแลกู”


“มันน่าจะอยากดูแลคนอื่นมากกว่ามึงนะ” กรองเกียรติแทรกขึ้นมาให้ธันวาแยกเขี้ยวใส่ ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ใช่วันของเขาเพราะถูกกรองเกียรติกัดบ่อยจนได้หลายแผลแล้ว


“แล้วมึงละวะ จะทำอะไร”


“สวัสดิการ”


“ปัดโธ่ ไอ้คนติดเพื่อน!”


“ไม่ได้ติด กูแค่ไม่ถนัดอย่างอื่น” กรองเกียรติแก้ตัวหน้านิ่งทว่านัยน์ตาหลุกหลิกจนถูกธันวาจับได้และอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา


“ไม่ถนัดบ้านมึง พอกันทั้งคู่ เล่นกีฬาออกจะเก่งเสือกไม่ลง ทิ้งกูนะพวกมึง กูจะฟ้องพี่แรมว่าพวกมึงไม่อยากช่วยให้มอเราชนะ”


“ฟ้องเลย พวกกูแบ็คดี” กรองเกียรติเชิดหน้าเล็กน้อยอย่างท้าทาย


ธันวามองอย่างคาดโทษ พึมพำให้ได้ยินแค่สองคนว่า “ใช้อำนาจในทางมิชอบนะมึง”


“ใคร? มีแบ็คคนไหนเหนือไปกว่าพี่แรมของกูอีกเหรอ”


“ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ” ธันวาโบกมือปัด ตัดบทก่อนที่กรองเกียรติจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ “ไอ้เก่งมันโม้ไปงั้นแหละ”


“ใช่เหรอวะ” ตฤณพึมพำเหมือนไม่มั่นใจนักแต่ก็ยอมให้ประเด็นนั้นตกไปเพราะเพื่อนอีกสองคนชิงเดินนำออกจากห้องไปก่อนแล้ว




คนที่เดินอยู่กับเพื่อนสนิทเกือบหลุดสบถคำหยาบเสียงดังเมื่อถูกใครบางคนฉุดจากด้านหลัง กรองเกียรติเองก็มือไวเกือบจะซัดคนต้นเหตุเข้าสักหมัดแต่ก็ยั้งมือไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าเป็นเดือนแรมที่ยืนหลบมุมอยู่นั่นเอง


“ขอตัวเพื่อนมึงแปปนะ”


“ตามสบายเลยพี่” กรองเกียรติว่าก่อนโบกมือลาเพื่อน ช่วงหลังมานี้เขาแทบไม่ได้ใช้ชีวิตหลังเลิกเรียนร่วมกับธันวาอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่เดือนแรมต้องพูดอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ


“ผิดหวังมากเหรอที่ไม่เห็นกู”


ธันวาหรี่ตามองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าหล่ออย่างพิจารณา “นี่พี่แอบดูผมเหรอ”


“ไม่ดูมึงจะให้ดูใคร” เดือนแรมว่าแล้วก็กอดคอคนเด็กกว่าเดินเลี่ยงไปลงทางบันไดหนีไฟเพื่อปลีกจากฝูงชน พวกเขาแตะเนื้อต้องตัวกันบ่อยและเป็นธรรมชาติมากขึ้นหลังจากที่กอดกันวันนั้น แต่ก็ใช่ว่าธันวาจะไม่รู้สึกขัดเขิน


“พี่ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลยว่าคณะเราจะมีงานนี้”


“ก็กูไม่ได้เป็นเฮดนี่หว่า ให้เฮดมันบอกเองสิวะ”


“แล้วไมพี่ไม่เป็นเฮดอ่ะ”


“กูเป็นเฮดชั้นปีก็รับผิดชอบเยอะแล้ว ถ้ายังไปทำแบบนั้นอีกแฟนมึงจะเท่เกินไปแล้วนะเว้ย” เดือนแรมว่าติดตลกทว่าตั้งใจดูท่าทีอีกฝ่ายในตอนที่ตั้งใจเอ่ยสถานะนั้นออกมาอย่างธรรมชาติที่สุดด้วย


“แฟนใคร อย่ามั่ว ๆ ยังไม่ได้เป็นซะหน่อย”


“เออ รออยู่นะ เผื่อไม่รู้”


“เงียบไปเลย แล้วนี่พี่จะลงแข่งบาสด้วยเหรอวะ”


“ดูก่อน ถ้าสมาชิกเยอะก็จะเป็นเฮดข้างสนาม แต่ถ้าคนไม่พอจะลงเอง”


ธันวาพยักหน้าเข้าใจ


“แล้วมึงล่ะคิดไว้รึยังว่าจะทำอะไร”


“ผมกับไอ้เก่งจะลงสวัสดิฯ ส่วนไอ้ตฤณจะไปเล่นบาสกับพี่ครับ”


“แล้วทำไมมึงสองคนไม่ลงบาส”


“อยากลองทำหน้าที่อื่นดูบ้างอ่ะ”


เดือนแรมยิ้ม ใช้มือข้างที่กอดคอน้องอยู่ลูบผมอีกฝ่ายเล่น “ดีแล้ว กีฬาน่ะเล่นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่งานอื่น ๆ น่ะไม่ได้มีโอกาสให้ได้เรียนรู้กันง่าย ๆ”


“ผมก็ว่างั้นแหละ”


“เสียอย่างเดียว”


“อะไรครับ”


“มึงต้องดูแลทุกคนเลย”


“...”


“เป็นสวัสดิการที่ดูแลแค่นักกีฬาเดือนแรมคนเดียวไม่ได้เหรอ”


“ผมไม่ใช่คนลำเอียงซะด้วย” ตั้งแต่ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองทำตามใจดูธันวาก็ค้นพบว่าตัวเองมองเห็นเดือนแรมในหลาย ๆ มุมมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อยู่มาก อย่างเช่นว่าเดือนแรมเป็นคนขี้อ้อน และมักจะนิ่งขรึมจนน่าเกรงขามเมื่อมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าด้วยภาพลักษณ์ประธานชั้นปีที่สร้างไว้ตั้งแต่งานรับน้องครั้งก่อนหรืออย่างไร


“ลำเอียงตรงไหน เขาเรียกว่าพิเศษ”


“พิเศษใส่ไข่น่ะเหรอ”


เดือนแรมยิ้มตามหลังเจ้าตัวดื้อที่ว่าอย่างนั้นแล้วก็รีบผละออกจากเขาชิงหนีออกไปนอกอาคารเสียก่อน


“เดี๋ยวสิ!” เดือนแรมระบายยิ้มกว้างเมื่อน้องยอมหยุดรอ เปลี่ยนจากเดินกอดคอเหมือนในที่ลับตาคนเป็นเดินขนาบข้างเว้นระยะห่างเล็กน้อย “เย็นวันศุกร์ว่างไหม ไปมอเป็นเพื่อนหน่อย”


“หือ วันศุกร์เหรอครับ” ธันวานิ่งคิด


“อือ กลับบ้านรึเปล่า”


“กลับเช้าวันเสาร์ครับ ผมไปกับพี่ได้” สองสัปดาห์มาแล้วที่ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน มีแต่คนทางนั้นที่ผลัดเวียนกันมาหาถึงที่นี่


“ดีมาก ใส่ชุดลำลองขาสั้นหนีบแตะได้นะ”


ธันวาขมวดคิ้ว ธุระแบบไหนกันถึงแต่งตัวได้ราวกับอยู่หอพักแบบนั้น “นี่พี่อย่าบอกนะว่าแค่ชวนไปกินข้าวที่มอ”


“อันนั้นผลพลอยได้ แต่มีธุระตอนห้าโมงครึ่ง”


ธันวาพยักหน้ารับ “แล้วเย็นนี้พี่จะอ่านหนังสือหรือทำอะไรอ่ะ”


“มึงอยากทำอะไร”


“ตีเทนนิสกันไหมพี่ อยากขยับตัวอ่ะ ค่อยอ่านหนังสือคืนนี้”


“เอาดิ” เดือนแรมยิ้มกว้าง อะไรก็ตามที่น้องชวน เขายินดีทั้งหมด เพราะนั่นเท่ากับว่าอีกฝ่ายอยากใช้เวลาทำสิ่งนั้นร่วมกับตน





ช่วงบ่ายของวันพุธกลางสัปดาห์รุ่นพี่ปีสามนัดแต่ละฝ่ายคุยเรื่องการเตรียมงานกีฬาสองเข็มสัมพันธ์ที่ได้มาเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ธันวาและกรองเกียรติเข้าร่วมประชุมกับทีมสวัสดิการเสร็จแล้วก็รีบตามไปดูการคัดเลือกนักกีฬาบาสเกตบอลที่สนามเล็กข้างหอพักนักศึกษาแพทย์ชายต่อทันทีโดยไม่ลืมแวะซื้อน้ำเกลือแร่และผ้าเย็นไปให้เดือนแรมและเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนสนิทอย่างตฤณด้วย แต่กว่าสองหนุ่มจะมาถึง สแตนด์ข้างสนามก็เต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวคณะแพทย์ที่มีตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่งถึงสามแล้ว


“พี่แรมจองที่ให้มึงป่ะ” กรองเกียรติถาม ธันวาอยากจะบ่นอีกฝ่ายที่ชักจะใช้บารมีของเดือนแรมในการให้ได้อะไรบางอย่างมาอย่างมิชอบธรรมมากขึ้นแต่ก็ยอมปล่อยผ่านเพราะสถานการณ์ไม่เอื้อ


“ยืนโบกมืออยู่โน่นไง”


ที่นั่งของธันวาและกรองเกียรติคือโซนนักกีฬาซึ่งมีตฤณรวมอยู่ในนั้นด้วย สองหนุ่มเข้าไปทักทายเพื่อนตัวเองเพียงเล็กน้อย ตั้งใจว่าไม่นานแล้วจะพากันไปนั่งข้างเดือนแรม ไม่คาดคิดว่าธันวาจะถูกรั้งตัวไว้เพราะน้องปีหนึ่งที่เข้ามาทักทายอย่างคนคุ้นเคยแต่เขากลับต้องใช้เวลากว่าจะนึกออกว่าเคยเจอกันมาก่อนแล้วในงาน Thanks ครั้งก่อน ไม่ทันได้ทำความรู้จักกันเป็นจริงเป็นจังร่างของรุ่นพี่ปีสองก็ถูกกระชากออกไปเสียก่อนโดยรุ่นพี่ที่ตนเพิ่งรู้จักในฐานะหัวหน้าฝ่ายกีฬาบาสเกตบอล


“อะไรของพี่เนี่ย แล้วนี่พี่จะลงแข่งด้วยเหรอครับ นึกว่าแค่ดูข้างสนาม” ธันวาพูดพลางมองสำรวจคนข้างกายไปด้วยเพราะเพิ่งเคยเห็นเดือนแรมในชุดบาสเกตบอลแบบนี้ 


“ต้องลง แบ่งกลุ่มกันไม่ลงตัว”


“คนสมัครเยอะจริง ๆ ด้วย คนถูกคัดออกเยอะเลยดิ สงสารอ่ะ” เพราะเดือนแรมเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้แล้วว่ามีคนแห่กันมาสมัครกีฬาชนิดนี้เยอะเกินจำนวนจึงต้องมีการคัดเลือกด้วยการแบ่งออกเป็นสองฝั่งแล้วแข่งกันเพื่อดูทักษะและการเล่นเป็นทีมแต่ธันวาไม่คิดว่าจะมีกันเยอะขนาดนี้


“อือ ทำไงได้ล่ะ”


“ไอ้ตฤณ สู้ ๆ นะมึง กูเอาใจช่วย” ธันวาตะโกนให้กำลังใจเพื่อนตัวเองอีกครั้ง


“ไม่ให้กำลังใจกูบ้างเหรอ” เดือนแรมว่า นัยน์ตาจ้องเหมือนจะเอาคำตอบให้ได้


“จ...จะต้องให้ทำไมอ่ะ ยังไงพี่ก็เป็นเฮดอยู่แล้วนี่ ไม่โดนคัดออกหรอก”


“แต่กูต้องเป็นคนคัดพวกนั้นออก กูก็รู้สึกผิดนะ อยากได้กำลังใจบ้าง”


“อะแค่ก ๆ”


คนที่เผลออ้อนด้วยความลืมตัวรีบเก็กหน้าขรึมทันทีที่ได้ยินเสียงกระแอมไอแบบยั้งไว้ไม่อยู่ของกรองเกียรติจนธันวาหลุดขำ หลังจากนั้นเดือนแรมก็ไม่พูดอะไรอีกเลยนอกจากยืดเหยียดกล้ามเนื้อวอร์มร่างกายไปเรื่อย


“พี่จะมัดผมเหรอ” ธันวาถามเมื่อเห็นเดือนแรมหยิบยางมัดผมออกมาจากกระเป๋า


“อือ”


“นั่งลงดิ เดี๋ยวผมมัดให้” ธันวาอาสาพร้อมแบมือขอยางมัดผมจากอีกฝ่าย


เดือนแรมเหลือบมองผู้คนรอบข้างอย่างใช้ความคิดก่อนถามย้ำกลับไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “อยากทำเหรอ”


“อื้อ เอามาเถอะหน่า นั่งลง ๆ” ธันวาแย่งยางมัดผมจากมือเจ้าของแล้วกดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งลงอีกด้วย


เดือนแรมเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ที่กำลังตั้งใจรวบผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากขึ้นโดยไม่กลัวว่าจะถูกใครมองไม่ดี


“อย่าเงยหน้าสิพี่แรม ทำหน้าตรง ๆ”


เดือนแรมยิ้ม ยอมทำตามอย่างว่าง่ายจนตอนนี้ระดับสายตาอยู่ตรงกับระดับอกอีกฝ่ายพอดี “อยากกอดว่ะ”


“ไม่ให้นะ”


เดือนแรมหลุดขำเมื่อธันวาตอบกลับแทบจะในทันที “รู้หน่า ไว้แอบกอดตอนอยู่สองคน”


“พี่แรม” ยิ่งธันวากดเสียงต่ำเหมือนแมวขู่ฝ่อเดือนแรมก็ยิ่งยิ้มกว้าง “อยากผมร่วงเป็นกระจุกเหรอ”


“ใครจะกล้าหือ ไม่ใช่เพราะผมหรอก แต่หัวใจกูต่างหากที่อยู่ในกำมือมึง”


“หยอดเก่ง” ธันวาว่าพร้อมกับมือที่ปล่อยจากผมพอดี ใบหน้าใสยิ้มขำเมื่อถอยออกมาดูผลงานตัวเองชัด ๆ ทั้งที่ผมจุกเหมือนน้ำพุรับกับใบหน้าหล่อขนาดนั้นแต่กลับทำให้เขาอดขำออกมาไม่ได้ วันนี้หลายคนคงได้เห็นแล้วว่าประธานชั้นปีสามที่ว่าโหดนักหนาแท้จริงแล้วน่ารักขนาดไหน


“น่ารักว่ะ”


เดือนแรมยิ้มประหม่ากับคำชมที่ไม่คาดคิดนั้น “นี่ก็หยอดเก่ง”


ธันวายักคิ้วให้รู้ว่าครั้งนี้ตนชนะ


ความสนิทสนมของคนทั้งคู่ประจักษ์แก่สายตาผู้คนตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าทั้งสองคบหากันได้แบบที่หมดข้อกังขา และนั่นก็ทำให้ใครบางคนรู้ตัวเสียทีว่าควรต้องรีบเร่งทำอะไรบางอย่างเสียทีก่อนที่จะสายเกินไป


“ขอเรานั่งด้วยได้ไหม” ธันวาละสายตาจากเกมในสนามมามองเจ้าของเสียงใส รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นเหนือริมฝีปากก่อนตอบรับพร้มอขยับชิดกรองเกียรติเว้นที่ว่างให้เธอได้นั่งซึ่งเป็นที่นั่งเดิมของเดือนแรม “ตอนแรกไม่เห็น นึกว่าธันว์จะไม่มาซะอีก”


“มาสิ เราก็ต้องมาเชียร์ไอ้ตฤณอยู่แล้ว” กรองเกียรติที่แอบฟังอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่คิดจะร่วมวงสนทนาแสร้งทำเป็นไม่สนใจข้อเท็จจริงนั้น เขารู้ว่าเพื่อนพูดถูก มาเชียร์ตฤณก็ใช่ แต่สำคัญกว่านั้นคือมาเป็นกำลังใจให้เดือนแรมเสียมากกว่า สายตาที่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเดือนแรมไม่ว่าจะได้ครองลูกบาสหรือไม่ทั้งที่ในสนามก็มีคนตั้งเยอะนั่นชัดเจนเกินกว่าถ้อยคำยอมรับหรือบิดเบือนใด ๆ


“แล้วทำไมมาช้าล่ะ”


“เรากับไอ้เก่งไปประชุมทีมสวัสดิฯมาน่ะ แล้วปีนี้หวานอยู่ฝ่ายไหนไหม”


“เราเป็นพี่คุมเชียร์”


“อ๋อ ดีเลย เดี๋ยวเราจะบริการฝ่ายเชียร์อย่างเต็มที่เลย”


หญิงสาวยิ้มกว้าง “พูดแล้วนะ”


“ครับผม”


ธันวาจบบทสนทนาไว้แค่นั้นแล้วกลับไปให้ความสนใจกับเกมในสนามอีกครั้งและได้สบตาเข้ากับเดือนแรมพอดี แม้จะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของนัยน์ตาฉงนและคิ้วที่ขมวดมุ่นแต่เขาก็ยังส่งยิ้มสดใสไปให้เป็นกำลังใจเหมือนเดิม


“กูว่าไอ้ตฤณผ่านแน่ มึงดูลูกสามแต้มมันเมื่อกี๊ดิ ดูแล้วรู้เลยว่าแม่งไม่มีหวั่นกลัวว่าจะพลาดเลยสักนิด” กรองเกียรติว่า ชี้ชวนโน้มน้าวให้เพื่อนเห็นด้วยโดยที่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนจะไม่สนใจใครอื่นนอกจากเดือนแรมเลยจริง ๆ


“อือ ก็ดีแล้ว”


“เป็นเอามากนะมึงน่ะ จ้องเขาไม่วางตาขนาดนี้ไม่รับรักเขาสักทีละวะ”


ธันวาหันมาจิ๊ปากใส่ ใช่จะไม่พอใจเนื้อความที่เพื่อนพูด เพียงแต่นึกรำคาญที่อีกฝ่ายเอาแต่รบกวนสมาธิในการดูเดือนแรมขยับตัวในสนามบาสเท่านั้นเอง “ก็เพิ่งเคยเห็นพี่เขาเล่นบาสนี่หว่า เท่ว่ะ มึงว่าไหม”


“ไม่รู้โว้ย”


“อะไรของมึง นั่นน่ะไอดอลของมึงไม่ใช่เหรอ”


“ก็ใช่ แต่ดูท่าว่าตอนนี้กูจะคลั่งไคล้เขาน้อยกว่ามึงแล้วว่ะ”


“คลั่งไคล้บ้าอะไร” ธันวาย้อนเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจนักแล้วกลับไปสนใจเกมในสนามต่อ


เมื่อจบควอเตอร์แรกธันวาก็รีบลุกจากที่นั่งไปหยิบน้ำกับผ้าเย็นในกระติกน้ำแข็งมาเตรียมให้เดือนแรมทันที


“เตรียมให้ตฤณเหรอ ธันว์เป็นเพื่อนที่น่ารักจัง” หวานเอ่ย ทว่าคนถูกชมกลับยิ้มเจื่อนเพราะความจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่เธอว่า แต่เมื่อตฤณเข้ามากลับมีใครบางคนแย่งหน้าที่นั้นไปเสียก่อน


“น้ำกับผ้าเย็นเว้ยตฤณเพื่อนรัก”


“เห้ยขอบใจว่ะ ไม่ต้องแย่งกันดูแลกูนะพวกมึง”


“ทำอะไรของมึง” ธันวากระซิบถามกรองเกียรติที่ลุกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


“กูก็อยากน่ารักเพราะดูแลเพื่อนบ้าง” ได้ยินอย่างนั้นก็หลุดยิ้มออกมาเพราะเข้าใจความหมายของเพื่อนดี อยากจะเอ่ยขอบคุณแต่ก็ถูกอีกฝ่ายตัดบทด้วยการบอกว่าเดือนแรมเดินเข้ามาหาแล้ว


“น้ำกับผ้าเย็นครับพี่แรม”


คนรับยิ้งแฉ่งพอ ๆ กับคนให้ “ไม่มีสถานะแล้วตามด้วยคำว่ารักเหมือนที่เก่งพูดกับตฤณบ้างเหรอ”


คนถูกเย้าหน้าแดงปลั่งแข่งกับคนที่เพิ่งเล่นกีฬามา


“เช่น...พี่แรมคน--”


“อยากเป็นพี่ที่รักเหรอครับ” คนน้องสวนกลับก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เมื่อเห็นเดือนแรมหน้าง้ำก็ยักคิ้วเย้ยอีกสองสามครั้งก่อนจัดแจงให้นั่งลงแทนที่กรองเกียรติที่ยังช่วยบีบนวดให้ตฤณอยู่


“เพิ่งเคยเห็นพี่เล่นบาส โคตรเท่เลย” ธันวาพูดพลางใช้สมุดเล่มบางพัดวีให้คนพี่ที่ยกขวดน้ำซดทีเดียวหมดขวด “ค่อย ๆ กินดิ เดี๋ยวจุกหรอก”


“มึงไม่บอกกูก็รู้ตัว”


ธันวาแบะปากใส่คนคุยโว “สมัยเรียนมอปลายพี่เล่นบาสบ่อยป่ะ ผมไม่เคยเจอพี่ที่สนามเลย”


“ไม่เจอหรือไม่เคยมอง”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ “อะ ไอ้เก่งก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันแหละ”


“พอกันทั้งคู่อ่ะพวกมึงสองคน”


“แต่ตอนนี้เห็นแล้วไง” ธันวาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำเข้าใกล้คำว่าง้ออยู่มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากทำต่อไป “มองอยู่ตลอดด้วยนะ”


“เหรอ” เดือนแรมแสร้งมองอย่างไม่ไว้วางใจทั้งที่ใจอ่อนยวบตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกแล้ว


“หวานก็คิดเหมือนธันว์นะคะ” สองหนุ่มหันมองเจ้าของเสียงที่แทรกบทสนทนาขึ้นมา เกือบลืมเสียสนิทว่าที่นั่งตรงนี้มีเธออยู่ด้วยและคงได้ยินหมดแล้วทุกอย่าง “พี่แรมเท่มากค่ะ”


เดือนแรมยิ้มรับตามมารยาทก่อนจะบอกให้ธันวาหยุดพัดแล้วปลีกตัวออกไปรวมกับนักกีฬาคนอื่น ๆ โดยไม่ลืมสังเกตท่าทีของรุ่นน้องทั้งสองคนอยู่เรื่อย ๆ






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-05-2019 23:32:11
เมื่อแข่งจบทั้งสี่ควอเตอร์โดยไม่มีการต่อเวลาเดือนแรมก็ประกาศรายชื่อสมาชิกคนที่ได้ร่วมแข่งกีฬาสองเข็มทันทีทั้งตัวจริงและตัวสำรองโดยที่ตัวเต็งในใจของธันวาและกรองเกียรติอย่างตฤณติดตัวจริงตามคาด ขณะที่เดือนแรมมีทำหน้าที่เป็นกัปตันทีม


“ไปฉลองกันพวก!” ตฤณร้องชวนอย่างร่าเริงขณะเดินเข้ามากอดคอกรองเกียรติและธันวาแต่กลับโดนทั้งสองขยับตัวหนีเพราะร่างชื้นเหงื่อ “แค่นี้รังเกียจเหรอ กูต้องสเตอไรล์รึไงถึงยอมให้กอดได้” ตฤณประชดว่าคงต้องทำตัวเองให้สะอาดระดับปลอดเชื้อเพื่อนถึงจะยอมให้เข้าใกล้ได้


“รีบฉลองเหรอวะ รอให้ชนะมอโน้นก่อนเถอะ” กรองเกียรติว่า


“ชนะอยู่แล้ว”


“เก่งขนาดนั้นเลย” ธันวาแกล้งปรามาศ


“มีพี่แรมทั้งคน ชนะแน่นอน”


“อ้อออ” กรองเกียรติลากเสียงยาว ปรายตามองเพื่อนสนิทแวบหนึ่ง “ชนะไหมไม่รู้ รู้แต่พี่แรมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่”


“ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็ไปฉลองกัน ไปเถอะพวกมึง กูโครหิว”


ธันวาเหลือบมองเดือนแรม เข้าใจว่าอีกฝ่ายก็คงอยากให้ตนอยู่ด้วยเหมือนทุกวัน ยิ่งวันนี้เพิ่งแข่งกีฬาเสร็จเหนื่อย ๆ ก็คงอยากอยู่ด้วยกัน แต่เดือนแรมกลับส่งสัญญาณให้เขาไปกับเพื่อนพร้อมรอยยิ้มที่แสดงถึงความจริงใจ


“หวานไปด้วยกันไหม ไหน ๆ ก็มาช่วยเชียร์เราแล้ว” เห็นเพื่อนสาวร่วมคณะมานั่งข้างธันวากับกรองเกียรติตลอดเกมก็เข้าใจเอาว่าเธอมาเชียร์ตนด้วย และหญิงสาวก็ไม่ปฏิเสธคำชวนนั้น


เดือนแรมมองตามหลังทั้งสี่คนนั้นไป ไม่อยากจะคิดมากกับสองหนุ่มสาวที่เดินรั้งท้าย ท่าทางคุยกันถูกคอนั้นเป็นที่น่าสงสัยเพราะธันวาไม่เคยเอ่ยถึงความสนิทสนมที่มีต่อเธอให้ฟังเลยสักครั้ง


ช่วงเวลามื้อเย็นที่ไม่มีธันวาเหงากว่าเมื่อก่อนอยู่มาก เดือนแรมคิดว่าเมื่อกลับไปไม่มีธันวาอีกครั้งคงรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่ธันวายังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ทว่าเขาคิดผิด โสดมานานแต่กลับเพิ่งรู้สึกถึงความเหงาก็ตอนนี้เอง


หลังมื้อเย็นง่าย ๆ แบบรวดเร็วไม่อ้อยอิ่งเหมือนอย่างเคยที่โรงอาหารเดือนแรมก็พบว่าตนเงอะงะกับการจัดการตัวเองพอสมควรเพราะลำดับไม่ถูกว่าควรจะทำอะไรต่อจากนั้นถึงกับสบถออกมาว่าเป็นเอามากเมื่อได้ข้อสรุปให้กับอาการของตัวเองได้สั้น ๆ ว่าเป็น ‘โรคติดธันวา’


แต่สุดท้ายกิจวัตรของเดือนแรมก็ยังเหมือน ๆ เดิมแม้จะไม่มีธันวาร่วมอยู่ในนั้นด้วยก็ตาม นั่นคือหลังจากอาบน้ำชะล้างตัวให้สะอาดจากเหงื่อไคลแล้วก็ลงไปอ่านหนังสือที่เดิมเช่นทุกคืน


“ขยันจังวะ” เดือนแรมละสายตาจากหนังสือหันมองคนที่ทำให้เขาเหงามาทั้งช่วงเย็นแต่ตอนนี้นั่งมองเขาตาใสจากโต๊ะข้าง ๆ นี่แล้ว


“ทำไมมานี่”


“ขรึมอีกละ ไม่ดีใจหน่อยเหรอ”


“อ่อยเก่ง”


ธันวาหลุดขำก่อนยกถุงน้ำเต้าหู้ขึ้นในระดับสายตาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย “ซื้อนี่มาฝากครับ”


เดือนแรมรับมาดูขณะที่ฟังธันวาอธิบายไปด้วย “น้ำเต้าหู้ธรรมด๊าธรรมดาหวานน้อย”


“จำได้ด้วยเหรอ” อดตกใจไม่ได้ที่น้องจำได้เพราะเคยมีโอกาสไปดื่มน้ำเต้าหู้ด้วยกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น


“จำได้ดิ...เป็นคนจืด ๆ นะเราอ่ะ”


เดือนแรมยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่อย่างอื่นไม่จืดนะ”


“เล่นด้วยล่ะเอาใหญ่เลยนะ แล้วนี่ทำไมไม่นอนพักบ้างอ่ะ วันนี้เหนื่อยจะตายยังอ่านหนังสือไหวอีกเหรอครับ”


“ทำไงได้ละวะ”


“คนอื่นไม่เห็นอ่านเลย”


“คนอื่นไม่จำเป็นเท่ากูนี่...ช่างเถอะ ไปอาบน้ำนอนไป”


“เดี๋ยวผมลงมาอ่านเป็นเพื่อนนะ”


เดือนแรมยิ้ม ยีผมน้องด้วยความเอ็นดูในความกระตือรือร้นที่จะมาอยู่ด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีแต่จะหนีหน้ากัน “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูก็ขึ้นไปนอนแล้วเหมือนกัน”


“แน่นะ”


“อือ ไปเถอะ”


“โอเค งั้น ฝันดีนะครับ”


“อื้อ ฝันดี”


เดือนแรมยิ้มตามหลัง เห็นทีว่าวันนี้น้ำเต้าหู้ธรรมดาหวานน้อยที่เขาชอบสั่งจะหวานกว่าที่เคยดื่มเสียแล้ว






หลังเลิกเรียนในเย็นวันศุกร์ เดือนแรมที่เตรียมตัวเสร็จก่อนเดินมารับธันวาถึงห้องตามที่บอกไว้ตั้งแต่เช้า เจ้าตัวไม่เพียงส่งเสียงเข้ามาเท่านั้นแต่ยังเดินเข้าไปถึงบริเวณเตียงที่มีโอ๊คอยู่ด้วยโดยไร้เงาสมาชิกห้องอีกสองคน


“เสร็จรึยังธันวา”


“อะไร จะพารูมเมทกูไปไหนครับ กูไม่ให้” เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนรักโอ๊คก็รีบเด้งตัวจากเตียงตัวเองมาคว้าคอรุ่นน้องเข้ามากอดรั้งไว้อย่างท้าทายอีกฝ่าย


“รูมเมทมึงแล้วไง กูจีบไม่ได้เหรอ” เดือนแรมว่าพลางยกแขนเพื่อนออกจากตัวน้องอย่างเบามือ


“ครับ ๆ คนเขารู้กันทั้งคณะแล้วครับว่ามึงจีบมันอยู่”


นัยน์ตาเข้มดุพยายามไม่หันมองใบหน้าซับสีระเรื่อให้เจ้าตัวยิ่งขลาดเขินไปมากกว่านี้ แต่คำพูดคำจาต่อจากนั้นกลับยิ่งเสริมให้ใบหน้านั้นยิ่งแดงมากขึ้นเสียอีกเมื่อออกมาจากห้องแล้ว “มึงนี่ก็ไม่ระวังตัวเลย ทำไมชอบปล่อยให้คนอื่นถึงเนื้อถึงตัวนักวะ”


“ปล่อยเปล่ยอะไรเล่า” อีกครั้งที่ธันวาชิงเดินนำหน้าไปก่อนเพราะเขินอาย และก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เดือนแรมจะปล่อยให้เกิดระยะห่างระหว่างกันนาน คนตัวสูงกว่ารีบสาวเท้าตามไปจนเคียงคู่กัน


“ก็หวงอ่ะ ยอมให้หวงได้ยัง”


ธันวาพบว่าตัวเองเสียอาการอีกครั้งเมื่อต้องอยู่กันตามลำพังกับเดือนแรมในลิฟต์


“ตอบตามความรู้สึกหน่า ไม่ต้องรักษาน้ำใจกันหรอก” เดือนแรมพยายามเลือกใช้น้ำเสียงกลาง ๆ ไม่ให้ดูน้อยใจหรือกดดันกันเกินไป


“พี่นี่จริงอย่างที่ดีนเคยพูดไว้เลย”


“พูดว่าไง” เมื่อได้ยินชื่อนั้นเสียงที่เปล่งถามออกไปก็เข้มขึ้นทันที


‘ถ้ามึงยอมเป็นแฟนเขาเมื่อไหร่ กูบอกได้เลยว่าขาดอิสระไปตลอดกาล’


“ดีนบอกว่า...” หนุ่มรุ่นน้องเหลือบมองเลขสีแดงที่แสดงให้เห็นว่าอีกไม่กี่วินาทีพวกเขาก็จะถึงชั้นหนึ่งแล้ว


“...”


“ถ้าพี่อยากรู้ก็ไปถามมันเองครับ”


เดือนแรมส่ายหัวให้กับการเอาตัวรอดของธันวาที่รีบวิ่งออกไปทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด กี่ครั้งแล้วที่เขาถูกอีกฝ่ายทิ้งไว้ข้างหลังแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยหน่ายกับการตามไปอยู่ใกล้อยู่ดี




ธุระของเดือนแรมที่ชวนธันวามาด้วยคืออะไรคนถูกชวนก็ยังไม่รู้แน่ชัด เขารู้แค่ว่าเดือนแรมพามาที่อาคารศูนย์การเรียนรู้หลักของมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าให้เขาเดาก็คงเป็นการมาห้องชมรมซึ่งล้วนตั้งอยู่ที่นี่


“พี่มาห้องชมรมเหรอครับ”


“อือ...หิวยัง รอกูแปบได้ป่ะ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก เดี๋ยวค่อยไปกินข้าวกัน”


“อื้อ ว่าแต่ผมเข้าไปด้วยได้ไหมอ่ะ”


“ได้ดิ มึงก็เป็นสมาชิกชมรมนั้นเหมือนกันนะ”


“หือ?” สมัยเรียนปีหนึ่งเขาบ้าพลังตามเพื่อนไปลงสมัครเข้าชมรมไว้เยอะมาก แต่ที่เข้าร่วมเป็นจริงเป็นจังก็มีแค่ชมรมโกะตามความชอบเท่านั้น “พี่หมายถึงโกะเหรอ”


เดือนแรมยิ้มแทนคำตอบ



เรื่องน่าทึ่งของเดือนแรมอีกอย่างคืออีกฝ่ายเป็นถึงเซียนโกะหรือที่เรียกกันในวงการหมากล้อมว่าดั้ง ซึ่งสำหรับมือสมัครเล่นแล้วกว่าจะขึ้นเป็นดั้งได้ยังต้องผ่านตำแหน่งคิวไปอีกสิบห้าขั้น ขณะที่เขาเพียงแค่เล่นเอาสนุกสนานเพราะลุงประภาสชวนเล่นด้วยก็เท่านั้น


“พี่เป็นดั้งเลยเหรอ! พี่ผ่านคิวไปได้ไงอ่ะ โห เจ๋ง ๆ ๆ”


“เท่ใช่ไหมล่ะ รีบรับเป็นแฟนซะนะ เดี๋ยวมีคนมาแย่งไม่รู้ด้วย”


“โธ่ ใครจะชอบพี่ เท่น่ะไม่เถียงนะ แต่กิตติศัพท์พี่ที่ดังกระฉ่อนน่ะคือดุอย่างกับหมานะ” เพราะไม่มีใครได้สัมผัสเดือนแรมอย่างที่เขาได้รับ หลายคนจึงยังมีภาพจำของเดือนแรมเป็นวันรับน้องข้ามฝั่ง


“หลอกด่ากูเหรอธันวา ฝากไว้ก่อนเถอะ” ธันวายิ้มร่าเมื่อเดือนแรมไม่สามารถทำอะไรตนได้เพราะถึงเวลาที่ต้องออกไปพูดหน้าห้องตามคำเรียกขานของหัวหน้าชมรมแล้ว แต่มิวายยังกำชับก่อนไปด้วยว่า “หาที่นั่งที่กูมองเห็นมึงได้ชัดนะ อย่าให้ต้องชะเง้อ”


“เนื่องจากปีที่แล้วได้กระแสตอบรับดี ปีนี้เราเลยชวนเขามาเล่าประสบการณ์และเผยทักษะการเล่นจนได้หนึ่งดั้งกันอีกในปีนี้ ขอเสียงปรบมือต้อนรับแรม คณะแพทย์ปีสามด้วยครับ”


ปีที่แล้ว...ชวนมาอีกในปีนี้…


เป็นอีกครั้งที่ธันวารู้สึกได้ว่าเดือนแรมวนเวียนอยู่ใกล้ตนมานานมากแล้วจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้างและคำบอกเล่าของดีน ที่ผ่านมายอมรับว่าไม่เคยสนใจ แต่กรณีนี้ตนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะคลาดกันเสียมากกว่า เพราะถึงแม้จะเข้าชมรมนี้บ่อยที่สุดแต่ก็ยังมีวันที่โดดอยู่บ้าง เหตุที่ไม่เคยเจอกันคงเพราะเดือนแรมมาในวันที่เขาติดธุระอื่นที่สำคัญกว่าอยู่อย่างแน่นอน


เดือนแรมเริ่มเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเล่นโกะ ฟังแล้วธันวาอยากจะยกมือเห็นด้วยเพราะตรงกับตัวเองเช่นกัน เหตุผลที่ลองเล่นโกะเพราะชอบมองเวลานิ้วคีบตัวหมาก ยิ่งเจอคนที่เล่นเก่ง ๆ ใช้ปลายนิ้วกลางทับนิ้วชี้คีบและวางตัวหมากได้ชำนาญแล้วก็ยิ่งหลงใหล รวมถึงจังหวะการเคลื่อนนิ้วกลางเพื่อดันหมากให้ตกลงตำแหน่งที่เลือกแล้วก็ยิ่งน่ามอง เพราะอย่างนั้น เขาจึงสนุกและเพลิดเพลินกับการเล่นหมากกระดานขนิดนี้พอสมควร


“จะว่าไปก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว” ธันวาว่าในตอนที่เดินข้างเดือนแรมออกจากห้องชมรมหลังอีกฝ่ายเสร็จธุระแล้ว “แต่เดี๋ยวนะ เรายังไม่เคยเจอกันที่นี่แล้วพี่รู้ได้ไงว่าผมเป็นสมาชิกชมรมนี้อ่ะ”


“เพราะกูเสือกเรื่องมึงไง”


“อย่าบอกนะว่าพี่เล่นโกะเพราะรู้ว่าผมเล่นอ่ะ” ธันวามองตาโต หากเป็นอย่างนั้นจริงเดือนแรมก็เข้าขั้นโรคจิตจนน่ากลัวแล้ว


“เขกหัวสักทีดีไหม” ธันวาโยกศีรษะหลบโดยอัตโนมัติทั้งที่เดือนแรมไม่มีทีท่าว่าจะทำจริงด้วยซ้ำ “นี่เป็นเรื่องบังเอิญหนึ่งในไม่กี่เรื่องเกี่ยวกับเรา”


“ว้าว”


“ปลอมมาก” เดือนแรมส่ายหน้ากับความเล่นใหญ่เล่นโตของน้อง “กินไรดี ในคาเฟทไหม”


“ก็ดีนะพี่ ผมคิดถึงเมนูโปรด ฝั่งโรง’บาลไม่มีให้กิน”


ข้าวฉู่ฉี่ปลาราดไข่เจียวคือเมนูที่ธันวาพูดถึง เดือนแรมมองอีกฝ่ายมีความสุขกับเมนูตรงหน้าแล้วก็พลอยยิ้มไปด้วย ตั้งแต่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่าการแอบมองเขาก็รู้ว่าน้องเป็นคนกินยาก ดูเหมือนจะกินได้ทุกอย่างแต่ก็ช่างเลือกอยู่พอสมควร แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนจำเก่งอย่างเขา


“อ้าวน้องธันว์ มากินข้าวฝั่งนี้ทำไมไม่บอกกันบ้างวะ” ทั้งสองหันมองคนมาใหม่ เดือนแรมจำได้ว่าคือเพื่อนของญาติผู้พี่ของธันวาที่เคยเจอกันครั้งก่อน เช่นเดียวกันกับต้าที่ลอบมองเดือนแรมอย่างพิจารณาเพราะชักจะสงสัยในความสนิทสนมเมื่อเจอทั้งคู่อยู่ด้วยกันอีกครั้งและยังนอกพื้นที่คณะแพทย์อีกด้วย


ธันวาได้แต่ยิ้มแห้งเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร จะบอกว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องบอกอีกฝ่ายก็เกรงจะดูเป็นการตัดรอนกันเกินไป


“แก ๆ ๆ ดูนั่นสิ ดูนั่น” ดูเหมือนว่าเสียงซุบซิบของสาว ๆ ที่แสดงออกถึงความสนใจอะไรบางอย่างจะช่วยชีวิตของธันวาไว้ได้ทันท่วงที ทว่าไม่ทันคาดคิดว่าการที่ตนแสร้งทำเป็นหันไปสนใจสิ่งเดียวกันนั้นเพื่อหนีคำถามจากต้าจะเป็นการหนีเสียปะจระเข้


“พี่ภีมโคตรเท่อ่ะ” ไม่ต้องเอ่ยชื่อต้องห้ามนั้นออกมาเองแต่ก็ยังได้ยินมันอยู่ดี


ธันวารู้สึกคล้ายตัวเองถูกสาปจากความหลังครั้งเก่าให้มองสบตาใครคนนั้นแน่นิ่ง ใครคนที่ยืนห่างออกไปไม่เกินสิบก้าวและกำลังมองมาที่เขาอยู่เหมือนกัน


ผอมลงกว่าเดิมรึเปล่านะ


ธันวาไม่ทันได้ข้อสรุปก็มีมือใครบางคนจับใบหน้าของตนให้หันกลับไปที่เดิม จนเมื่อแน่ชัดแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภีมแต่เป็นเดือนแรม นัยน์ตาใสถึงได้กลับมาเป็นปกติ ทว่าที่ยังไม่เป็นปกติจนคนฝั่งตรงข้ามสังเกตได้คือความรู้สึกของเขา


“ไปกันเถอะครับพี่แรม”





เป็นไงบ้าง? สบายดีไหม?


เรียนหนักมากเหรอ ขอบตาคล้ำเชียว



ภีมอยากจะทักคนรักเก่าที่ไม่เคยเลิกรักแบบนั้น แต่อีกฝ่ายกลับรีบลุกออกไปโดยไม่หันมามองกันอีกเลยในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยเรียกออกไปพอดี


ใครจะคาดคิดว่าการมาถ่ายละครที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ในวันนี้จะทำให้เขาโชคดีได้เจอกับธันวา แฟนเก่าที่มาพร้อมผู้ชายอีกคนที่เขาภาวนาให้เป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่สถานะที่เขาต้องกังวล ทว่ามือที่ถือวิสาสะยื่นมาจับใบหน้าธันวาให้หันหนีเขาไปนั่นก็ทำให้อดกังวลไม่ได้เลยจริง ๆ






“ธันวา” เดือนแรมคว้าแขนรั้งคนที่สับเท้าเดินนำหน้าอย่างไว


“เราเช่าจักรยานปั่นรอบมอกันไหมครับ”


“เอาดิ” เดือนแรมตอบรับ ทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มเฝื่อน ๆ และแววตาเศร้าหมองคู่นั้น


ธันวายิ้มบางแทนคำขอบคุณเมื่อเดือนแรมยอมเป็นคนปั่นให้เขาซ้อน รวมไปถึงการไม่ยอมเอ่ยถามถึงใครคนนั้นที่ตนเพิ่งหนีมาด้วย ทว่ากลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ตอกย้ำการมีตัวตนของคน ๆ นั้นด้วยการเอาแต่นึกถึง สีหน้าและแววตายามสบกันตรง ๆ ครั้งแรกหลังจากกันไปเกือบหนึ่งปีราวกับเป็นหลุมดำที่พาเขาย้อนกลับไปหาอดีตที่ทั้งหอมหวาน อบอุ่นและขื่นขม หลาย ๆ อย่างในวันวานเริ่มก่อตัวชัดขึ้นในความรู้สึก รวมทั้งรอยยิ้มและน้ำตา รู้ตัวอีกทีก็เผลอทิ้งศีรษะหนักอึ้งพิงแผ่นหลังกว้างของเดือนแรมเสียแล้ว


“หิวไหม” เดือนแรมเอ่ยทำลายความเงียบด้วยการยกประเด็นที่น่าเป็นห่วงเพราะเมื่อครู่น้องรับประทานอาหารไปเพียงไม่กี่คำเท่านั้น


“ไม่หิวครับ” ธันวาตอบกลับเสียงเนือยแต่อย่างน้อยก็ทำให้เดือนแรมโล่งใจที่คนซ้อนยังไม่ใจลอยไปถึงไหนต่อไหน “อ้อ แวะหาอะไรทานอีกก็ได้นะครับ พี่แรมคงยังไม่อิ่ม”


เดือนแรมยิ้มบาง ลึก ๆ แล้วดีใจกับการใส่ใจของน้อง “กูไม่หิวหรอก กลัวมึงจะหิวมากกว่า กินไปนิดเดียวเอง”


“ผมไม่หิวครับ” ...กินไม่ลง


แม้ธันวาไม่พูดแต่เดือนแรมก็รู้ดี  หลังจากนั้นพวกเขาก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้งจนกระทั่งพากันเดินกลับมาถึงหอพัก


“พี่แรมมีน้องชายไหมครับ” ธันวาถามขึ้นในตอนที่เดือนแรมกำลังจะบอกให้น้องขึ้นไปก่อน


เดือนแรมส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนตอบย้ำชัดอีกครั้ง “ไม่มี”


“พ...พี่ชอบผมจริง ๆ เหรอ”


“กูบอกมึงไปหลายครั้งแล้วนะ”


“พี่แค่เอ็นดูผมเหมือนน้องชายคนหนึ่งรึเปล่า”


“อะไรนะ”


“พี่แค่เหงาเลยอยากมีน้องชายสักคนไว้เล่นด้วย ไว้ให้แกล้ง ไว้ให้เป็นห่วง ไว้ให้ดูแล ไว้—“


“ธันวา!” เดือนแรมจับร่างของน้องไว้ราวกับเรียกสติ ทว่าเป็นมือของเขาเองที่สั่นอย่างคุมไม่อยู่ “กูเคยทำอะไรให้มึงรู้สึกว่ากูชอบมึงแบบน้องชายเหรอ”


ธันวาก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าเงยขึ้นมาสู้หน้าทั้งที่เดือนแรมไม่ได้ตะคอกหรือเสียงดังใส่เลยสักนิด มิหนำซ้ำยังใช้น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังอีกต่างหาก


“หรือเพราะว่าความห่วงใจและหวังดีที่กูมีให้ เพราะกูคอยดูแลใส่ใจมึงทุกอย่างน่ะเหรอ”


“...”


“ธันวา...อาจจะมีพี่ชายที่ยอมตื่นเช้ามาชงชาให้มึงทุกวันเพราะไม่อยากให้หลับในห้องเรียนนะ”


“...”


“อาจจะมีพี่ชายที่เขี่ยวเข็ญให้มึงอ่านหนังสือและตัวเองก็ต้องอ่านหนังสือมากกว่าเดิมสองเท่าเพื่อติวให้มึงไม่ให้แค่เกาะมีน”


“...”


“และก็อาจจะมีพี่ชายที่เป็นห่วงมึงมากเลยตามดูแลมึงไม่ห่าง”


“...”


“เพราะกูทำแบบนั้นเหรอ”


“พี่แรม...”


“กูทำให้มึงรู้สึกแบบนั้นเหรอ?”


“...”


“ถ้าอย่างนั้น มึงลองบอกกูหน่อยว่าพี่ชายที่ไหนส่งสติกเกอร์หัวใจไปให้ทุกเช้าแบบกูบ้าง”


“...”


“พี่ชายที่ไหนกอดมึงแบบที่กูทำ”


“...”


“พี่ชายที่ไหนหึงหวงเวลาเห็นมึงอยู่ใกล้คนอื่น”


“...”


“พี่ชายที่ไหนพาตัวเองออกไปยืนในที่แจ้งเพื่อให้มึงมองเห็นแต่มึงก็ไม่เห็น”


“...”


“พี่ชายที่ไหนต้องร้องขอความรักจากมึงและอดทนเพื่อให้ได้มาอย่างที่กูทำ”


“...”


เดือนแรมเลื่อนมือที่จับอีกฝ่ายขึ้นมาถึงไหล่ ก้มหน้าทิ้งศีรษะพิงอกน้องอย่างคนหมดแรงและสิ้นหวัง


“บอกกูหน่อย กูยังแสดงออกไม่มากพอเหรอวะ”









TBC.
---------------------------------------------------------------------
อย่าเพิ่งว่าน้องงงงงงงงงง
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-05-2019 00:02:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

โหย...อิพี่แรมแม่งรักน้องมาตั้งแต่น้องยังไม่รู้ความอ่ะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 05-05-2019 11:13:07
 :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: JaikOrn ที่ 05-05-2019 13:10:49
 :sad4:  อยากปลอบพี่แรม พี่โคตรแมนเลยอ่ะ ..​แต่ธันวาเค้ายังทิ้งอดีตไม่ได้ อยากรู้ปมว่าภีมทำอะไรน้องธัน น้องถึงได้กังวลกับความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้มาก พี่แรมอดทนก่อนนะ ตอนนี้น้องค่อยๆเปิดใจแล้ว  :m15:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: little_def ที่ 05-05-2019 19:44:20
 :o12: โถพี่แรม ไม่เป็นไรนะพี่นะ
ปมเยอะมากเลย ทั้งลุง พี่ป้อง พี่ภีมทำไมถึงเลิก แงงงงงง อยากรู้แล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 05-05-2019 21:05:23
นับถือใจพี่แรมจริงๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-05-2019 00:43:56
อยากรู้ปมในใจของธันวามากๆเลย เป็นกำลังใจให้พี่แรมนะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 08-05-2019 10:51:20
ธันว์เปิดโอกาสให้แรมเข้ามาก็จริง แต่ว่าธันว์ยังไม่ยอมเปิดใจยอมรับพี่แรมเเบบที่พี่แรมเป็นและยังไม่ยอมเลิกวนเวียนกับสิ่งที่เจอมาในอดีต แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าธันว์คงเจ็บหนักมาก อยากเห็นวันที่ธันว์เปิดใจยอมรับพี่แรมในแบบที่พี่แรมเป็นและละทิ้งอะไรก็ตามที่เจอมาในอดีต แล้วคืดถึงแค่ปัจจุบันกับเดือนแรม ยังไงก็ตามรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 08-05-2019 20:50:43
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 10-05-2019 18:28:53
อ่านทันแล้ว
สงสารพี่แรม แค่น้องยังไม่รักก็เจ็บมากแล้ว
แต่นี่นัองยังไม่สามารถทำใจกับรักเก่าได้เลย
น้องยังรักพี่ภีมอยู่เลย อาจจะถึงเวลาที่พี่แรมต้องถอย
แต่คงต้องถอยมาตั้งหลักไกลกว่าที่เคยสักหน่อย
เพราะเจ็บคราวนี้ทำให้เกือบหมดหวังแล้วใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [04/05/62]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-05-2019 09:19:26
+1 o13 :katai2-1: ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 16-06-2019 16:20:35
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)





‘กูเคยทำอะไรให้มึงรู้สึกว่ากูชอบมึงแบบน้องชายเหรอ’


ไม่เคย


‘กูยังแสดงออกไม่มากพอเหรอ’


ความรู้สึกของพี่แรมชัดเจน…


แต่กับคนก่อนก็เป็นแบบนี้


เพราะพี่ภีมแสดงออกชัดเจนไม่ใช่หรือ เขาถึงได้วางใจ ทุ่มให้ความรักครั้งนั้นหมดทั้งใจแล้วสุดท้ายก็ตกม้าตายไม่เป็นท่า


ธันวาไม่ได้ตอบออกไปในตอนนั้น เขาเพียงแค่ยังคิดถึงคำพูดของเดือนแรมแม้จะข้ามวันและกลับมานอนอยู่ที่ห้องของตัวเองในบ้านลุงประภาสแล้ว


ห้องตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของใครคนนั้นที่ทำให้เขาต้องลังเลในความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้อีกครั้ง


ความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันที่ธันวายังหาหนทางพิสูจน์ไม่ได้ว่าความรู้สึกในวันนี้เป็นของจริงหรือไม่ จะใช่ความรู้สึกรักชอบแบบคนรักหรือแท้จริงแล้วก็แค่พี่น้องที่สนิทกันและอบอุ่นใจเวลาอยู่ด้วยก็เท่านั้นกันแน่


เหมือนที่เขาเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง


ตอนนั้น ในยุคที่เพศทางเลือกยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก มันไม่ง่ายเลยกับการที่คนที่คิดมาตลอดว่าตัวเองชอบผู้หญิงจะยอมรับกับตัวเองและคนรอบข้างว่าชอบผู้ชายด้วยกัน ต้องอาศัยทั้งความเชื่อมั่นในตัวอีกคนและกล้าหาญมากพอ แต่แล้วก็เกิดความรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางอกเมื่อตัวเองปักใจเชื่อว่าสิ่งนี้คือความรักและอีกฝ่ายก็แสดงออกชัดเจนมาตลอดแต่วันหนึ่งกลับบอกว่ารู้สึกด้วยแค่พี่น้องเท่านั้น...มันทำให้เขาเสียศูนย์ไประยะหนึ่ง


ราวกับโลกที่เคยคิดว่าสดใสพังทลายลงมาทั้งใบ


กว่าจะฟื้นตัวจากความเจ็บปวดในครั้งนั้นได้ก็เกือบเหลวไหลออกนอกลู่นอกทางจนเสียอนาคต หากไม่มีเพื่อนที่ดีเขาก็อาจจะหลุดจากสภาพนักศึกษาแพทย์ไปแล้ว


ธันวายังจำได้ ครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้ให้ใครคนนั้นเขาตั้งปณิธานกับตัวเองต่อหน้าเพื่อนฝูงว่าจะไม่มีแฟนเป็นผู้ชายอีกและมุ่งมั่นที่จะจีบแต่ผู้หญิงเท่านั้น


จนมาเจอกับเดือนแรม


รุ่นพี่ที่ค่อย ๆ เข้ามามีตัวตนในชีวิตและแสดงตัวชัดเจนว่าชอบเขา ขอโอกาสจากเขา


ธันวาอยากจะใจร้าย อยากจะทำตามความตั้งใจของตัวเองแล้วไล่ตะเพิดอีกฝ่ายออกจากชีวิตไปเสีย แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเขาเข้าหาเพราะต้องการจีบก็สายไปเสียแล้ว


ธันวาไม่กล้าไล่เดือนแรมอย่างที่เคยคิด


ไม่รู้เป็นเพราะเกรงใจหรือเริ่มผูกพันกันแน่ เขารู้แต่เพียงว่าที่ยอมให้จีบเพราะอยากลองดูอีกสักครั้ง


ทำแบบนี้ใจร้ายกว่าการไล่ตะเพิดเสียอีก เขารู้


เขายอมให้เดือนแรมจีบ ยอมให้เข้าใกล้ แต่กลับไม่ยอมเปิดใจตัวเอง เพราะลึก ๆ แล้วยังกลัวที่จะเป็นเหมือนเดิม กลัวความรู้สึกผิดหวังเพราะความรู้สึกที่อีกฝ่ายแค่เข้าใจผิดไปเอง


กลัวว่าเมื่อตัวเองยอมเปิดใจ ปล่อยให้ความรู้สึกถลำลึกลงไปมากแล้วพบว่าท้ายที่สุดแล้วเดือนแรมไม่ได้รักเขาอย่างคนรัก แล้วชีวิตเขาก็จะมีผู้หญิงเชื่อมั่นในตัวเขาน้อยลงอย่างที่ดีนบอก


กลัวที่สุดคือการใช้ชีวิตคนเดียวหลังจากเดือนแรมทิ้งไป....


...เพราะการกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งไม่เคยเป็นเรื่องง่าย


ธันวาระวังเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ในวันที่เขายอมลดกำแพงลงแล้วปล่อยให้ตัวเองทำตามใจที่อยากทำ ใครคนนั้นก็กลับมาย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงความพลาดพลั้งในครั้งก่อนอีกครั้งจนต้องรีบถอยตัวเองออกมาโดยไว คล้ายกับว่าความรู้สึกกลัวในใจเผยตัวออกมาชัดเจนขึ้นจนไม่กล้าเดินหน้าต่อ เพราะอย่างนั้นถึงได้ปิดเครื่องมือสื่อสารเพื่อปิดกั้นทุกการติดต่อจากเดือนแรม กลัวว่าจะใจอ่อนให้อีกฝ่ายก่อนที่ความรู้สึกของตัวเองจะชัดเจน


ธันวาลุกจากที่นอนไปเปิดม่านตรงระเบียงออก หนึ่งปีมาแล้วที่มันทำหน้าที่ปิดกั้นผู้ชายคนนั้นออกจากชีวิตเขา แต่ในวันนี้ เขาอยากจะนั่งมองห้องฝั่งโน้นเต็ม ๆ ตา


ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้สบตากับเจ้าของห้องโน้นอีกครั้ง เขาเพียงแค่อยากมองเท่านั้น


ธันวาแน่ใจ เขาคิดว่าตัวเองแน่ใจว่าตนไม่ได้คิดถึงภีมด้วยความรู้สึกสิเน่หาอีกแล้ว เพียงแต่ยังไม่มั่นใจว่าหากได้สบตากันตรง ๆ อีกครั้งอย่างเมื่อวันก่อน เขาจะทนได้แค่ไหน







“สองเดือนหน้าธันว์ปิดเทอมแล้วใช่ไหมลูก” บทสนทนาบนโต๊ะอาหารในตอนกลางวันเป็นเรื่องกิจกรรมช่วงปิดเทอมหลังจากที่ลุงประภาสบ่นเขาเรื่องที่ไม่ยอมรับประทานอาหารเช้าก่อนขึ้นไปนอนแล้ว


“ครับ”


“ลุงจะไปฮ่องกง ไปด้วยกันไหม”


“คุณลุงไปเรื่องงานนี่ครับ”


“มีงานแค่วันสองวันเอง เราอยู่เที่ยวกันต่อไง”


“พ่อไปวันไหนนะครับ” ปกป้องถามด้วยความอยากรู้แต่ใช่ว่าจะอยากไปด้วยเพราะติดสอยห้อยตามไปหลายครั้งแล้ว


“นัดทางโน้นไว้วันที่สิบ ถ้าธันว์ไปด้วยกันก็คงกลับสักปลายเดือนเป็นไง”


ธันวายิ้มแห้ง “คงไม่ได้หรอกครับ ผมติดงานกีฬาของคณะวันที่สิบพอดีเลยครับ”


“เดี๋ยวลุงเลื่อนนัดทางโน้นแล้วกัน”


“นั่นงานนะครับ เราบอกเขาไปแล้วจะเลื่อนได้ยังไงกัน” ปกป้องแย้งขึ้นก่อนที่ธันวาจะได้พูดอะไร


“ได้สิ ยังพอมีเวลา ขอเลื่อนตอนนี้ไม่น่าเกลียดหรอก”


“จริงอย่างที่พี่ป้องว่านะครับ คุณลุงไม่ต้องเลื่อนเพื่อผมหรอก”


“ถ้าอย่างนั้นธันว์บินตามไปนะ เสร็จงานกีฬาแล้วอยากพักก่อนก็ได้ ลุงไม่ว่า”


“เอ่อ...ไว้ครั้งหน้าดีกว่าครับ ผมอยากอยู่บ้านมากกว่า” ความจริงแล้วเขายังไม่มีโปรแกรมสำหรับปิดเทอมนี้ แต่ก็ไม่ได้อยากไปฮ่องกงกับลุงประภาส แม้จะไม่อยากอยู่บ้านกับญาติผู้พี่แค่สองคนตามลำพังก็ตาม


“เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วปิดเทอมนี้อยากไปเที่ยวไหนไหม” เมื่อเห็นว่าทั้งลูกและหลานต่างพากันเงียบ ประภาสก็ขยายความต่ออีกว่า “ถามทั้งคู่นั่นแหละ”


“ผมนึกพ่อว่าถามน้อง”


“ผมยังไม่ได้คิดครับ”


“ผมก็ยังไม่มีแพลนครับ”


“อือ อยากไปไหนกันก็บอกนะ เป็นไปได้ก็ไปด้วยกัน”


ธันวาเหลือบมองญาติผู้พี่ก่อนครางรับเสียงแผ่ว


หลังมื้ออาหารธันวาปฏิเสธที่จะเล่นหมากกระดานกับลุงประภาสอย่างทุกครั้งโดยที่คนเป็นลุงเองก็ไม่ได้รบเร้าอะไรเพราะเห็นจากสีหน้าหลานก็เข้าใจได้ว่าคงเหนื่อยจนอยากพักผ่อนมากกว่า


ทว่าธันวากลับไม่ได้ต้องการนอนหลับอย่างที่ประภาสเข้าใจ เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง พิงแผ่นหลังกับขอบเตียงอย่างคนหมดแรง ทอดสายตามองออกไปนอกห้องอย่างเลื่อนลอยและว่างเปล่า ธันวาไม่ได้คิดอะไรเช่นเดียวกับที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดถึงนั่งมองห้องฝั่งตรงข้ามอยู่อย่างนี้


ผ่านไปนานทีเดียวที่ธันวาปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปกับการนั่งเฉย ๆ ทว่าก็ไม่เสียเปล่าเสียทีเดียวเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้คำตอบในชั่วโมงที่สองว่าตัวเองกำลังทำแบบนี้เพื่ออะไร


เขากำลังรอคอยที่จะได้เจอภีมอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เจอตัวเองเหมือนกัน เพราะแม้ไม่มีม่านแต่ก็ยังมีบานกระจกที่ปกปิดความเคลื่อนไหวใด ๆ ในห้องนี้จากสายตาของคนภายนอกอยู่ดี


ธันวาจำได้ดี ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายระหว่างเขากับภีม โซฟาตัวยาวที่เจ้าของห้องสละตักให้เขาหนุนต่างหมอนในยามบ่ายโดยไม่บ่นสักคำ พื้นพรมปลายเตียงที่พวกเขานั่งเล่นเกมอยู่ข้างกัน มุมห้องฝั่งติดระเบียงที่พวกเขานั่งแกะโน้ตเพลงด้วยกัน มีกีตาร์ของภีม เบสของเขาและเสียงร้องของเรา แต่ที่เยอะที่สุดเห็นจะเป็นตรงโต๊ะอ่านหนังสือ


ธันวาคิ้วกระตุกเมื่อมีภาพของใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา ใครบางคนที่มีความทรงจำร่วมกันที่โต๊ะอ่านหนังสือมากกว่าภีมและกำลังทำให้เขาใจเต้นแรงเพียงแค่นึกถึง


ธันวาหลับตาไถลตัวแหงนศีรษะให้ขอบเตียงรับต้นคอพอดี รู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ตนถอยออกมาช้าเกินไป


เขารู้สึกกับเดือนแรมมากเกินกว่าจะกังวลเรื่องการเดินหน้าต่อ แต่จะให้ยอมรับก็ดูจะเป็นเรื่องยากพอกัน


เพราะไม่มีอะไรทำให้มั่นใจได้ทั้งนั้นว่าอีกฝ่ายจะไม่ทิ้งให้เขาเคว้ง ในเมื่อมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง


ก็อก ก็อก ก็อก


ธันวาไม่ได้ขานรับทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เขายังคงหลับตาปล่อยให้เสียงที่ได้ยินเป็นเพียงแค่สายลมพัดผ่าน


ธันวาระบุได้แค่ว่านั่นคือเสียงของหญิงสาว อาจจะเป็นสาวใช้คนใดคนหนึ่งในบ้านแต่ไม่รับรู้ใจความที่เธอสื่อ เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเขา อีกสักครู่เธอก็คงล้มเลิกไปเองด้วยความเข้าใจว่าเขากำลังหลับอยู่


ทว่าสำหรับคนรอแล้วไม่อาจเข้าใจเป็นอื่นไปได้นอกจากว่าอีกฝ่ายกำลังหลบหน้าตน


“น้องป่วยเหรอครับ” เดือนแรมถามผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม หลังจากว้าวุ่นใจกับการติดต่ออีกฝ่ายมาทั้งวันแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับหรือแม้แต่จะเปิดอ่านข้อความเขาก็ตัดสินใจบากหน้ามาหาถึงบ้านด้วยข้ออ้างว่านำหนังสือมาให้อีกฝ่ายยืมอ่านตามที่เคยคุยกันไว้


“ลุงว่าน่าจะแค่เพลียนะ หน้าตาดูไม่สดใสตั้งแต่เช้าแล้ว หนังสือนั่นฝากลุงไว้ไหมล่ะ หรือว่าเธอก็ต้องรีบใช้เหมือนกัน”


“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่หมู่บ้านนี้แหละครับ ยังไงถ้าน้องตื่นแล้วรบกวนคุณลุงบอกให้น้องติดต่อกลับมาหาผมด้วยนะครับ และถ้าไม่เป็นการรบกวน เย็น ๆ ผมขอแวะมาหาอีกทีได้ไหมครับ”


“เอาเป็นว่ารอให้เจ้าตัวเขาติดต่อไปเองแล้วกันนะ ลุงแล้วแต่ธันว์ แต่ถ้าเขาไม่ติดต่อไป ลุงก็อยากให้เขาได้พักผ่อนเต็มที่ ไม่อยากให้ใครกวน ไว้เธอกลับมาใหม่พรุ่งนี้สาย ๆ แล้วกัน”


เดือนแรมตอบรับความเมตตาแล้วบอกลาด้วยความอาลัยที่มีต่อคนที่อยู่ข้างบน ไม่ทันคาดคิดว่าจะได้เจอเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านหลังเดียวกันนี้


“ธันวาหลับ” เดือนแรมบอกคนมาใหม่ราวกับมีน้ำใจแจ้งสารแทนเจ้าของบ้าน จะว่าเขากันท่าก็ได้ แต่หากจะมีใครได้เจอธันวาในตอนนี้ คน ๆ นั้นควรเป็นเขาไม่ใช่ดีน


ดีนฟังแล้วหันมองประภาส กระพุ่มมือไหว้ทักทายแล้วถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ


“อย่างที่เขาบอกแหละ ไว้มาใหม่นะดีน”


ผิดปกติ…


ดีนเหลือบมองเดือนแรมแวบหนึ่ง


ธันวาน่ะหรือนอนกลางวัน แม้จะชอบหลับในห้องเรียนแต่เขารู้ว่าธันวาไม่เคยนอนกลางวันตั้งแต่โตมา อย่างน้อยก็ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ แต่การที่เดือนแรมมาหาเพื่อนเขาถึงที่บ้านแล้วกลับไปด้วยความผิดหวังแบบนี้มันผิดปกติเกินไป


“ผมนึกว่าคุณลุงกับธันวากำลังเล่นโกะกันอยู่ เลยตั้งใจจะมาแจมด้วย เสียดายจังเลยครับ”


“ยังไงดีล่ะ ธันวาหลับ ลุงเองก็ไม่ว่างเสียด้วย...เธอเล่นหมากกระดานอะไรเป็นบ้างไหมล่ะ อยู่เล่นกับดีนก่อน จะได้ไม่มาเสียเที่ยวทั้งคู่” ประโยคหลังประภาสถามเดือนแรมซึ่งเป็นสิ่งที่น่าพอใจสำหรับดีน


“พอเป็นครับ”


“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตยืมหมากกระดานของคุณลุงมาเล่นกับพี่เขาได้ไหมครับ...พี่ไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม” ดีนรีบคว้าโอกาสไว้ทันที


“เอาสิ เล่นกันไปก่อนสักเกมสองเกมธันว์อาจจะตื่นพอดี”


“ขอบคุณครับ”


ดีนถือกล่องใบใหญ่ที่รวมกระดานและหมากหลายเกมเดินนำหนุ่มรุ่นพี่ไปยังศาลาไม้ข้างบ้านซึ่งมองเห็นระเบียงห้องนอนของเพื่อนสนิทได้อย่างชัดเจน ทว่าเพียงแค่วางกล่องบนม้านั่ง ไม่ทันหลอกถามเรื่องราวจากอีกฝ่ายก็คิดว่าตนพอจะเห็นเค้าลางของความผิดปกติแล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วพบว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงระเบียงห้องของบ้านหลังข้าง ๆ


ใครคนที่คงจะกลับเข้ามาและทำให้ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะกำลังเริ่มต้นด้วยดีของธันวาและเดือนแรมสั่นคลอนเสียแล้ว


เดือนแรมมองตามสายตาดีน ทั้งตกใจและหวั่นกลัวเมื่อเห็นและได้รู้ว่าแฟนเก่าของธันวาอยู่บ้านข้าง ๆ และห้องของทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน เดือนแรมไม่รู้ว่าทั้งสองจะกำลังมองกันและกันจากในที่ของตัวเองหรือไม่ แต่จากมุมนี้ เดือนแรมมั่นใจว่าภีมมองธันวาอยู่อย่างแน่นอน


“เรื่องของธันวากับเขา...เล่าให้กูฟังหน่อยได้ไหม”


ดีนหันกลับมามองคนข้าง ๆ อย่างพิจารณา


“เท่าที่มึงอยากเล่าก็ได้”


“จะอยากรู้ไปทำไม...รู้แล้วจะได้ถอดใจเหรอ”


“กูชอบเพื่อนมึงจริง ๆ” เดือนแรมย้ำด้วยน้ำเสียงและแววตามั่นคง


“ผมรู้ พี่เคยบอกผมแล้ว ผมเดาว่าพี่ก็น่าจะเคยบอกไอ้ธันวาแล้วด้วย แต่จะอยากรู้เรื่องสองคนนั้นทำไม”


“กูอยากรู้ว่ามันกำลังกลัวอะไร กูอยากทำให้มันมั่นใจว่ากูจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด”


ดีนมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่นิ่งหลายอึดใจก่อนตัดสินใจ “ถ้าพี่ชนะหมากรุกสากลผมได้ ผมจะเล่าให้ฟัง”





ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขานั่งสบตากับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องฝั่งตรงข้าม


คลับคล้ายคลับคลากับเมื่อครั้งที่เจอกันครั้งแรก ตอนนั้นเขาก็นั่งพิงเตียงมองออกไปนอกห้องด้วยแววตาเศร้าหมองแบบนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เปิดบานกระจกออก อีกฝ่ายถึงได้มองไม่เห็นว่าคนในห้องนี้เองก็กำลังมองสบเขาอยู่เช่นกัน


ธันวายิ้มบาง อดยอมรับกับตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่ได้มองอีกฝ่ายได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องกังวลอะไรเพราะอีกฝ่ายไม่รับรู้


คิดถึง


ธันวาคิดถึงภีม แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว เขาเพียงแค่ดีใจที่ได้เจออีกครั้ง แต่ไม่ได้อยากวิ่งเข้าไปสวมกอดแน่น ๆ อีกแล้ว ราวกับว่าภีมเป็นเพียงเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วเท่านั้นเอง


พี่ภีมดูผอมลง ไม่สิ! หุ่นดีขึ้นต่างหาก เขาดูดีขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน อาชีพนักแสดงของเขาคงไปได้ดี รูปลักษณ์ภายนอกถึงได้ดูดีถึงเพียงนี้ ทว่าทำไมนัยน์ตาคู่นั้นถึงเศร้าหมองและมองมาอย่างอาวรณ์เล่า ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์นี้เองอย่างเลือดเย็น!






แพ้จนได้…


เดือนแรมรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าตนไม่มีทางชนะเกมนี้ของดีนได้ หมากรุกสากลไม่ใช่ทางถนัดของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ยอมให้ตัวเองถูกล้มได้ง่าย ๆ และเพราะเดือนแรมเป็นคนแบบนี้ คนที่วางตัวเป็นปรปักษ์กันมาตลอดอย่างดีนจึงอดนับถือใจของอีกฝ่ายไม่ได้


ไม่ใช่เพิ่งรู้ว่าเดือนแรมเป็นคนไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แต่รู้มาตั้งนานแล้ว


“ถ้ามึงมีโอกาสได้เจอธันวา ถึงมันจะไล่ออกมาก็ช่วยหน้าด้านอยู่เป็นเพื่อนมันหน่อยนะ อย่าปล่อยให้มันจมอยู่กับความทุกข์ใจตามลำพัง” เดือนแรมพูดกับดีนในตอนที่เดินออกจากบ้านของธันวาพร้อมความผิดหวังกันทั้งคู่


ดีนหยุดเดิน นิ่งฟังคำขอของคนแพ้


เดือนแรมหันกลับมามองหน้าคู่สนทนา “และถ้ามันอยากซบไหล่ใครสักคน...ก็ช่วยเป็นคนคนนั้นแทนกูด้วย...กูอนุญาตให้หนึ่งวัน”


ดีนร้องเหอะในลำคอ หมั่นไส้คนที่ออกตัวราวกับเป็นเจ้าของเพื่อนเขาแล้วเสียจริง แต่คำทิ้งท้ายก่อนจากไปของเดือนแรมกลับทำให้ดีนมองข้ามความน่าหมั่นไส้ไปเห็นความจริงใจของอีกฝ่ายได้


“ขอบคุณมาก”


“เดี๋ยวพี่…”







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 16-06-2019 16:21:09

ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รอ


ไม่ว่าเดือนแรมจะถามตัวเองสักกี่ครั้งว่าควรรอธันวาต่อไปหรือไม่ คำตอบก็ยังคงเป็นอย่างนั้น


ไม่ว่าจะเป็นเมื่อห้าปีก่อนหรือตอนนี้ เดือนแรมก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลใดมาหักล้างความตั้งใจในการรอได้ แม้จะถูกตัดเยื่อใยอยู่หลายครั้ง แต่คำตอบของเขาก็ยังเหมือนเช่นทุกครั้ง


อย่างไรก็จะรอ



‘ถ้ามันจะรักพี่ มันก็รักในสิ่งที่พี่เป็น ในสิ่งที่พี่ทำ ไม่ใช่เพราะพี่ไม่ทำสิ่งที่ซ้ำรอยแผลเดิมหรอก’



นั่นคือสิ่งที่ดีนบอกแม้ว่าเขาจะแพ้เกมกระดานนั้นก็ตาม


เพราะอย่างนั้นก็ยิ่งควรรอไม่ใช่หรือ


จากคนที่เคยไม่มีตัวตนกลับกลายเป็นคนที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ จากคนที่น้องไม่เคยสนใจแต่ตอนนี้อยู่ในสถานะศึกษาดูใจกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะเขายังรออยู่ไม่ใช่หรือ


ไม่เหนื่อยสักนิด


ไม่ใช่แค่เพื่อนฝูง แต่เขาเองก็ถามตัวเองบ่อยครั้งว่าเหนื่อยบ้างหรือยังกับการรอคอย


เมื่อก่อนเขาเองก็อดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดถึงไม่ไปชอบคนอื่นแทนที่จะทำตัวไร้ตัวตนอยู่ใกล้ ๆ ตัวธันวา หรือแม้กระทั่งตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแฟนแล้ว แทนที่จะถอดใจกลับยิ่งมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าธันวาคบกับผู้ชาย คงเป็นเพราะรู้ว่าตนยังมีสิทธิ์ แม้จะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่ก็ตาม


แต่เพราะยังรอ วันหนึ่งโอกาสจึงใกล้เข้ามา


ธันวาคงไม่รู้ว่าเขาดีใจมากแค่ไหนกับความสัมพันธ์ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นจากเดิมที่มีแต่เขาและความหวังลม ๆ แล้ง ๆ และแม้ว่าในตอนนี้น้องจะยังหลบหน้าเขาด้วยเพราะความสับสนหรืออย่างไรก็ตาม เขาก็ยังใจเย็นพอที่จะรอให้ธันวาได้ใช้เวลาไตร่ตรองความรู้สึกตัวเองให้มากพอ ตราบใดที่น้องยังไม่ตกลงปลงใจกับใคร เขาก็ยังมีสิทธิ์รอต่อไปแม้ความหวังจะริบหรี่ลงก็ตาม


เดือนแรมถอนหายใจ


เพราะความจริงแล้ว...ครั้งนี้เขาไม่อยากรอ


ไม่อยากรอเพื่อให้ธันวามีเวลาทบทวนแล้วพบว่าหัวใจของเรา มันอาจไม่มีส่วนใดที่ตรงใจกันเลย...


‘อย่าชอบผมให้มากกว่าตัวเอง เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ชอบพี่ แต่พี่ชอบผม เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น...ดูแลความรู้สึกของตัวเองนะครับ’


หรือจะถึงคราวที่เขาต้องยอมถอยออกมาดูแลความรู้สึกตัวเองแล้วจริง ๆ




เหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนเข้าเรียนคาบเช้าแต่เดือนแรมยังยืนจดจ่อรอเจอหน้าธันวาที่หน้าห้องเรียนของชั้นปีที่สองไม่ไปไหน ใบหน้าตึงเครียดทำเอาเหล่ารุ่นน้องหวั่นกลัวหลบสายตากันเป็นแถว ไม่มีใครไม่ตั้งคำถามว่าประธานชั้นปีที่สามมายืนทำอะไรตรงนี้ บ้างก็ตีความไปว่ารุ่นพี่หนุ่มมาจับผิดพฤติกรรมของพวกเขา ขณะที่คนบางกลุ่มที่ระแคะระคายเรื่องธันวากับเดือนแรมบ้างแล้วก็คิดเอาว่ารุ่นพี่คนนี้แค่มารอเจอคนของตนเท่านั้น


ใบหน้าตึงเครียดอ่อนลงเมื่อเห็นคนที่ตนกำลังรอเดินขึ้นบันไดมาแล้ว แย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอ่ยเรียกด้วยเสียงอ่อนอย่างอ้อนวอน “ธันวา”


“หวัดดีครับพี่แรม ผมไปเรียนก่อนนะ” ทว่าคนน้องกลับเบี่ยงตัวออกไปอีกทางที่เดือนแรมอยากจะเข้าใจว่าน้องแค่รีบเข้าเรียนและไม่ได้ตั้งใจหลบหน้าหลบตาเขา


“เดี๋ยว เย็นนี้—” มือที่เอื้อมไปหาคว้าไว้ได้เพียงลม


“เย็นนี้ผมมีนัดนะครับ…”


“ธันวา…”


“...พี่ไม่ต้องรอ”


ไม่ต้องรอ...หมายถึงแค่เย็นนี้ใช่ไหม?...




ถ้าจะมีอะไรรบกวนสมาธิในการเรียนหนังสือของเดือนแรมได้ โอ๊คก็เห็นว่าคงจะมีแค่หนุ่มรุ่นน้องที่ชื่อธันวาเท่านั้น


ในตอนที่เลิกเรียนคาบเช้าที่ยาวนานกว่าสี่ชั่วโมงเขาจึงอดถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นไรวะ ทะเลาะกันเหรอ”


“เปล่า”


“โกหก มึงคิดว่ามึงเหมือนเดิมเหรอถึงได้กล้าโกหกพวกกู”


“นั่นดิ ไม่เอาแล้วรึไงเกียรติฯหนึ่งเหรียญทองอ่ะ” บอยเสริม แม้ไม่ได้นั่งใกล้เดือนแรมมากแต่ก็รับรู้ถึงความผิดปกติอยู่ดี


“ถ้าไม่ใช่เพื่อธันวา กูจะอยากได้เกียรติฯหนึ่งเหรียญทองไปทำไมวะ”


“เกียรติฯหนึ่งเหรียญทองมันสำหรับอนาคตของมึงที่มีเขา แต่ถ้าไม่มีเขาแล้ว มึงก็ไม่อยากมีอนาคตของตัวเองแล้วเหรอวะ” ไนท์ว่า เพื่อนจะรักใครชอบใครเพศไหนเขาไม่เคยก้าวก่าย แต่เขาไม่ชอบเห็นเพื่อนเอาอนาคตไปผูกกับคนอื่น


“อนาคตที่มีแค่กูไม่ต้องพึ่งเหรียญทองหรอก กูไม่ต้องเก่งขนาดนั้นก็ได้ ไม่ต้องทำให้พ่อยอมรับ ไม่ต้องเก่งที่สุดในรุ่นเพื่อมีสิทธิ์เลือกฟิกวอร์ดที่นี่ให้ได้อยู่ใกล้มัน กูเป็นแค่หมอคนหนึ่งที่รักษาชีวิตคนไข้ได้ดีเท่านั้นพอแล้ว”


“...”


“กูขอโทษพวกมึงที่ทำให้เป็นห่วง แต่กูขอแค่วันนี้วันเดียวแล้วกัน”





ธันวาเหม่อลอยสลับกับฟุบหลับ ไม่ตั้งใจเรียนเหมือนช่วงหลัง ๆ มานี้จนตฤณชักสงสัย ต่างกับกรองเกียรติที่รู้เรื่องราวคร่าว ๆ จากดีนก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจนัก เห็นเพื่อนตนเป็นขนาดนี้แล้วไม่อยากจะคิดว่าคนที่รักมากกว่าอย่างเดือนแรมจะอยู่ในสภาพไหน


“เป็นไรของมึง เสาร์อาทิตย์ติดต่อไม่ได้ วันนี้ก็มาซะเกือบสาย แถมยังนั่งหลับอีก ของขาดเหรอวะ” ตฤณถามขึ้นทันทีที่เลิกเรียนชั่วโมงเช้า


คำว่า ‘ของขาด’ ทำให้ธันวาสะดุดลมหายใจ มันทำให้เขานึกถึงคนที่ทำทุกอย่างให้เพื่อให้เขามีสมาธิในการเรียนมากขึ้น


“ยุ่ง” ธันวาว่าเสียงนิ่งด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์ด้วยเท่าไหร่ก่อนหันไปหากรองเกียรติ “กูไปเก็บของที่ห้องนะ ไม่ต้องรอกินข้าว เจอกันห้องกรอสส์เลย” เพราะเพิ่งกลับมาจากบ้าน สัมภาระส่วนหนึ่งจึงยังติดกับตัวให้เขาใช้เป็นข้ออ้างในการหลบเลี่ยงการเจอหน้าใครบางคนในโรงอาหารได้


“มันเป็นไรของมันวะ” ตฤณถามขึ้นลอย ๆ ขณะมองตามหลังตนที่ชิงเดินออกไปก่อน ขณะที่กรองเกียรติมองด้วยความเป็นห่วงอยู่เงียบ ๆ ไม่แสดงความเห็นใด


‘ลูกมึงอาการหนักว่ะ’


กรองเกียรติพิมพ์ข้อความส่งไปหาดีนขณะเดินไปโรงอาหาร ยังไม่ทันได้อ่านข้อความที่ส่งกลับมาก็ต้องพบกับต้นตอที่ทำให้เพื่อนเขาอาการหนักเสียก่อนตรงทางลงบันได


เดือนแรมชะเง้อมองหาคนที่อยากเจอก่อนเอ่ยปากถามเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงา “เพื่อนมึงล่ะ”


“ไอ้ตฤณเดินไปโน่นแล้วไงครับ” ไม่ใช่ไม่รู้ว่ารุ่นพี่หนุ่มถามถึงใครแต่ก็ยังกวนประสาทตามนิสัย พร้อมทั้งยังชี้นิ้วระบุตัวคนที่เดินนำไปก่อนด้วยความหิวอีกด้วย


เดือนแรมตีหน้าขรึมขึ้นจนกรองเกียรติรู้สึกตัวว่ากำลังคุยอยู่กับใครและไม่ควรกวนประสาทอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ “ธันวา”


กรองเกียรติหงอลง “ไปเก็บของที่หอครับ”


“มันจะตามไปกินข้าวด้วยใช่ไหม”


“เอ่อ...คงซื้ออะไรขึ้นไปกินเลยครับ” กรองเกียรติตอบออกไปทั้งที่ไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าเพื่อนจะกินอะไรลง แต่เพราะไม่อยากเห็นเดือนแรมเป็นห่วงไปมากกว่านี้จึงตอบออกไปแบบนั้น


แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล


“ช่วงนี้มันคงไม่อยากให้กูดูแล กูฝากมึงดูแลมันก่อนแล้วกันนะ”


“พี่แม่ง ผม respect ว่ะ อย่าเพิ่งท้อนะพี่”


เดือนแรมยิ้มบาง นอกจากตัวเองก็เห็นจะมีแค่กรองเกียรติที่บอกว่าอย่าเพิ่งท้อ ใครเห็นสภาพเขาตอนนี้มีแต่จะบอกให้เลิกรอไปเสีย แม้เพื่อนจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่สายตามันฟ้อง



 
ใช้เวลากับอาหารมื้อกลางวันของตัวเองเสร็จแล้ว เพื่อนที่ดีอย่างกรองเกียรติก็ไม่ลืมที่จะโทรหาเพื่อนสนิทเพื่อถามไถ่ เผื่อว่าจะได้ซื้อของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือไปให้ แต่ปลายสายกลับบอกว่าตอนนี้นั่งรอในห้องกรอสส์แล้วทั้งที่ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง


กรองเกียรติรีบรุดหน้าไปหาเพื่อน ปล่อยให้ตฤณใช้เวลาพักให้เต็มที่กับเพื่อนกลุ่มอื่น แต่ก็ยังช้ากว่าใครบางคนอยู่ดี


หนุ่มตี๋ชะงักเท้า หยุดยืนตรงมุมบันไดมองประธานรุ่นชั้นปีที่สามยืนอยู่หน้าห้องเรียนกรอสส์ นัยน์ตาจ้องมองอะไรบางอย่างในห้องนั้นผ่านกระจกใสแผ่นเท่าฝ่ามือด้วยความเป็นห่วงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในมือมีนมหนึ่งกล่องกับแซนวิสชิ้นโต


กรองเกียรติถอนหายใจก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาแต่เดือนแรมรู้ตัวเสียก่อนจึงเดินสวนออกมา


“ไม่ให้มันเหรอพี่” คนเป็นรุ่นน้องร้องถามในตอนที่เดือนแรมกำลังจะเดินผ่านตนไป “ซื้อมาให้มันไม่ใช่เหรอ”


“ห้ามกินอาหารในห้องกรอสส์ มึงไม่รู้เหรอ”


กรองเกียรติรู้ และเดือนแรมเองก็รู้ว่ามีอีกตั้งหลายวิธีที่สามารถกินอาหารในมือนั่นได้ “เรียกออกมากินหน้าห้องได้นี่พี่”


เดือนแรมส่ายหน้า “ฝากมึงไปให้แล้วกัน” สั่งเสร็จก็ยัดอาหารใส่มือรุ่นน้องแล้วรีบเดินออกมา


กรองเกียรติมองตามด้วยความเป็นห่วง ที่เคยสงสัยว่าคนที่รักมากกว่่าอย่างเดือนแรมจะอาการหนักขนาดไหน ตอนนี้รู้แจ้งแก่ใจแล้ว


หนุ่มตี๋ส่ายหน้า ถอนหายใจให้ความรักของคนทั้งคู่ก่อนก้าวเดินต่อไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูเหมือนเดือนแรมเมื่อครู่ รายนั้นก็ดูจะอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ นั่งเหม่ออยู่หน้าร่างอาจารย์ใหญ่เพียงลำพัง ไม่รู้ว่าในหัวน้อย ๆ นั่นคิดอะไรอยู่บ้าง แต่คงหนีไม่พ้นเรื่องเก่า ๆ ของคนเก่า ๆ คนเชียร์เดือนแรมอย่างเขาได้แต่หวังว่าธันวาจะคิดเรื่องของคนมาใหม่บ้าง


“ไง ได้กินอะไรรึยัง” กรองเกียรติแวะเข้าไปถามธันวาที่โต๊ะกลุ่ม เห็นอีกฝ่ายอยู่คนเดียวก็ถือวิสาสะหย่อนก้นนั่งเป็นเพื่อนอีกสักหน่อย “อย่าโกหกกูนะ” เขาว่าดักคอไว้ก่อน


“แค่นม”


“ตั้งแต่เช้าด้วยรึเปล่า”


“เมื่อเช้ากินโจ๊กแล้ว” ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่กับลุง กรองเกียรติก็เชื่อว่านมกล่องนั่นคืออาหารมื้อแรกของวันสำหรับธันวา กรองเกียรติกำลังจะเอ่ยเตือนสติเพื่อนแต่ไม่ทันเอ่ยอะไร สมาชิกโต๊ะนี้อีกคนก็เดินเข้ามาเสียก่อน


“หวานมาเร็วจัง”


“เรามีเรื่องจะคุยกับธันวาน่ะ” เธอว่าด้วยท่าทีขลาดเขินแต่ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรเป็นสัญญาณว่าคนนอกกลุ่มอย่างกรองเกียรติควรต้องออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว


กรองเกียรติตบบ่าเพื่อนรักเบา ๆ ไม่ลืมวางอาหารที่เดือนแรมฝากมาไว้บนกระเป๋าของธันวาก่อนเดินออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินสิ่งที่เธอพูดกับธันวาอยู่ดี


“เย็นนี้ธันว์ว่างไหม ไปกินข้าวเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”


“อื้อ ไปสิ” ธันวาตอบออกไปโดยแทบไม่ต้องคิด


เธอยิ้มหวาน “ถ้าอย่างนั้น เลิกเรียนแล้วไปกันเลยนะ”


“ครับ”


หลังจากตอบรับออกไปแล้วธันวาก็ได้รับข้อความจากกรองเกียรติ ทว่าเขาเลือกที่จะไม่ตอบกลับไป เพราะคำตอบของคำถามนั้นเขารู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว


‘ทำบ้าอะไรวะ’


กรองเกียรติคงคิดว่าถึงแม้นี่จะไม่ใช่เวลาที่เขาจะใช้เวลาช่วงเย็นร่วมกับเดือนแรมไปอีกสักพัก แต่ก็คงไม่คิดว่าเขาจะหลบหน้าด้วยการไปกับคนอื่นแบบนี้


แต่ธันวาตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจที่จะถอยห่าง จำเป็นต้องใจร้ายกับเดือนแรมในตอนนี้ แต่อีกไม่นานอีกฝ่ายต้องเข้าใจว่าเขาใจดีมากแล้วที่ไม่ฝืนเดินหน้าต่อ ไม่อยากให้เดือนแรมต้องมาเสียเวลากับคนที่ยังก้าวข้ามความกลัวในอดีตไปไม่ได้อย่างเขา


ไม่คาดคิดเลยว่าในตอนที่อยากเว้นระยะห่างกับคนอื่น กลับมีใครอีกอยากคนเข้ามา


“หวานชอบธันว์นะ คบกับหวานได้ไหม” สมองของธันวาโล่งไปชั่วขณะหนึ่งราวกับอาหารเย็นที่เพิ่งหมดจานไปเมื่อครู่ยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะเลี้ยงสมอง จนเมื่อเธอย้ำอีกครั้ง นัยน์ตาที่เหม่อลอยถึงได้มองสบเธอตรง ๆ อย่างมีสติ


“หวานไม่รังเกียจเหรอ ที่เราเคย…”


“เคยคบกับผู้ชายน่ะเหรอ” ธันวาพยักหน้า “ไม่หรอก เราชอบซะอีก ธันว์ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองอ่ะ ความรักก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”


...ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง


“คบกับหวานนะ”


ทั้งที่รอมาโดยตลอด รอที่จะมีผู้หญิงสักคนเปิดใจให้เขาคนที่เคยมีจุดด่างพร้อยในชีวิต แต่ทำไม...ทำไมเมื่อโอกาสมาถึง เขาถึงยังลังเลที่จะตอบตกลง


ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง...


...ความรักก็ควรเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ







TBC.
---------------------------------------------------------------------
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Malibu ที่ 16-06-2019 17:15:09
ตามนั้นเลยจ้ะ พี่แรมอย่าไปรออีกเลย เสียเวลา
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-06-2019 20:36:21
การตัดสินใจครั้งนี้ของธัน
คงจะป็นผลให้พี่แรมรอต่อหรือถอนห่าง
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 16-06-2019 20:49:27
เจ็บดีเนอะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-06-2019 21:23:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 16-06-2019 21:49:20
สงสารแรม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: oily06 ที่ 16-06-2019 23:04:38
สงสารพี่แรมสุดใจ  :o12:
หวังว่าธันจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองในครั้งนี้นะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-06-2019 02:58:18
 สงสารพี่แรมมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.5 [16/06/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Bambooyamy ที่ 28-06-2019 12:07:07
 :o12: สงสารพี่แรม ต่างคนต่างไม่พูดเปิดใจกันสักที แงงง
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 15-07-2019 14:19:48
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)








เช้านี้ไม่มีสติกเกอร์รูปหัวใจจากเดือนแรม


จะว่าตื่นเช้ากว่าปกติ ยังไม่ถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะส่งมาให้ก็ไม่ใช่ ธันวารอตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งอาจารย์จะเข้าสอนคาบเช้าในอีกห้านาทีข้างหน้านี้แล้วก็ยังไม่เห็นการแจ้งเตือนจากแอคเคาน์ของเดือนแรมเลย


เช้านี้ไม่มีน้ำชาร้อนบนโต๊ะอ่านหนังสือด้วย


ไม่มีของในกล่อง mirror


ไม่เจอเดือนแรมที่โรงอาหารในตอนเช้า


ไม่มีแม้แต่เงาของอีกฝ่ายมายืนรอหน้าห้องเรียน


คงเหลือเพียงแค่ข้อความบนปลอกปากกาเท่านั้นที่ไม่หายไป


ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะถอยห่าง ปล่อยเดือนแรมให้เป็นอิสระจากตนก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่มองหาเมื่ออีกฝ่ายหายไป


ถอดใจไปแล้วจริงหรือ


ธันวาฟุบศีรษะลงกับโต๊ะเรียน ปล่อยทิ้งความหนักอึ้งทั้งหลายไปตามแรงโน้มถ่วงทั้งที่อาจารย์เพิ่งเริ่มสอน


คิดถึง…


หลายวันก่อนไม่เจอหน้าแต่แค่รับรู้ถึงตัวตนว่าอยู่ใกล้ ๆ ก็ว่าคิดถึงมากแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายหายหน้าไปจริง ๆ คล้ายจะออกไปจากชีวิตกันแล้วแบบนี้...เพียงแค่วันเดียว


เพียงแค่วันเดียวก็คิดถึงจวนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว


“เงยหน้าขึ้นมาเรียนก่อน” เสียงกระซิบของกรองเกียรติดังขึ้นใกล้ ๆ ที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบใจนักที่เขาทำตัวเหลวไหลแบบนี้


ธันวาดันตัวขึ้นอย่างอิดออด “ง่วง”

 
“ไม่บอกกูก็รู้ หน้ามึงฟ้องตั้งแต่ระยะร้อยเมตร” กรองเกียรติพูดทั้งที่ตายังมองสิ่งที่อาจารย์สอน “แต่ช่วยถ่างตาเรียนด้วย”


“วันนี้ไม่มีตัวช่วย”


คราวนี้กรองเกียรติตวัดตามามองเพราะรู้ดีว่าตัวช่วยที่เพื่อนพูดถึงคืออะไร “อย่าทำตัวเหมือนเอาชีวิตไปยึดติดเขา...”


ไม่ได้ยึดติดเสียหน่อย ไม่ได้อยากได้เลยด้วยซ้ำ น้ำชานั่นน่ะ


...แค่ไม่อยากให้พี่แรมหายไปต่างหาก


ธันวาแย้งในใจและอดรู้สึกไม่ได้ว่าเดือนแรมใจร้ายกับเขาอยู่เหมือนกันที่คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปไม่บอกกล่าว


“...โดยเฉพาะกับคนที่มึงผลักเขาออกไปจากชีวิตเอง”


จุกดีจริง ๆ


“ก็ถ้าเขาไม่พยายามเข้ามาในชีวิตกู กูจะอยากผลักเขาออกไปรึไงเล่า”


“ก็ถ้าอยากผลักเขาออกไปก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจ หน้าที่ของมึงคือเรียนหนังสือและใช้ชีวิตอย่างคนที่ปกติที่สุด”


“...”


“ให้สมกับที่เป็นคนเจ็บน้อยกว่า”


กรองเกียรติพูดถูกที่บอกว่าคนเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์ไม่ควรมานั่งเสียใจ


แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเจ็บน้อยกว่าเสียหน่อย


แค่เพราะความรู้สึกของเขาเริ่มจากศูนย์ ไม่ได้แปลว่าตอนนี้มันยังน้อยกว่า




ธันวาตั้งใจเรียนได้ทั้งคาบเช้าตลอดสี่ชั่วโมง ถือว่าเกินกว่าที่กรองเกียรติคาดการณ์ไว้ แต่จะมีสติเก็บเกี่ยวเนื้อหาที่อาจารย์สอนได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่อาจคาดเดาได้


“เที่ยงนี้จะกินข้าวไหมมึงอะ” กรองเกียรติถามธันวาด้วยความเป็นห่วง


“กินดิ หิว” ...อยากเจอหน้าพี่แรม


“นึกว่าจะอยากหนีหน้าใครอีก”


ธันวาไม่ต่อบทสนทนา เลือกที่จะเดินกอดคอตฤณนำหน้าไปก่อนโดยมีสายตาของกรองเกียรติมองตามไปด้วยความเป็นห่วง


แม้จะพากันออกจากห้องเรียนเป็นกลุ่มท้าย ๆ แต่กลุ่มของกรองเกียรติก็ไม่มีปัญหาเรื่องการไม่มีที่นั่งในโรงอาหารเพราะมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นสาวสวยกวักมือเรียกให้ไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันแล้ว


“นั่งด้วยกันนะธันว์ หวานจองเผื่อไว้ให้แล้ว”


อ่า...ไม่ใช่น้ำใจจากความบังเอิญ


กรองเกียรติหันมองหน้าเพื่อนที่ทำให้พวกตนได้รับสิทธิพิเศษไปด้วยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ในตอนที่เดินไปซื้ออาหารด้วยกันจึงไม่เสียเวลารีบกระซิบถามให้รู้เรื่องทันที “มึงกับเขานัดกันไว้แล้ว?”


“เปล่า”


“แล้วทำไมต้องจองเผื่อ ทำเหมือนอยากนั่งกินข้าวด้วยกันทั้งที่ปกติก็ไม่”


ธันวาไม่เล่าอะไรต่อ กลายเป็นคนถามที่คิดคำตอบขึ้นมาได้เองจากความสงสัย “หรือว่าที่มึงไปกับเขาเมื่อวาน นี่อย่าบอกนะว่ามึง--”


“พี่แรมไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” เสียงหงอย ๆ ของธันวาดังแทรกก่อนที่กรองเกียรติจะพูดจบจึงทำให้เขาเพิ่งได้เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะของใคร หนุ่มตี๋หันมองตาม ทำความเคารพพอเป็นพิธี ไม่แปลกใจที่ธันวาจะถามอย่างนั้นเพราะรุ่นพี่กลุ่มนี้นั่งกันครบกลุ่มขาดก็แต่เพียงคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีที่สุดเท่านั้น อีกทั้งยังรับประทานอาหารใกล้เสร็จกันแล้วด้วย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกำลังรอใครคนนั้นตามมาสมทบเลยสักนิด


“อือ” โอ๊คตอบเสียงแข็ง แทบไม่เสียเวลามองหน้ารุ่นน้องร่วมห้องนอนนานเลยด้วยซ้ำ


“แต่พี่เขาได้กินข้าวใช่ไหมครับ” ธันวายังถามต่อ


“ไอ้แรมมันเป็นคนรักตัวเอง แม้ว่าใครจะไม่รักมันก็ตาม”


ธันวายิ้มแห้ง ตอบรับก่อนเดินออกจากตรงนั้น “ครับ”


“มึงกำลังจะกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก” กรองเกียรติว่าด้วยท่าทีขยาด แต่อีกคนกลับทำหน้านิ่ง


“ไว้กูจะเล่าให้ฟัง”


“คืนนี้” กรองเกียรติต่อรอง “ช้าที่สุดเท่าที่กูจะให้มึงแล้ว”


กรองเกียรติทำเป็นไม่สนใจท่าทีสนิทสนมของหวานกับธันวาตลอดมื้ออาหารกลางวันแล้ว แต่ก็ยังต้องมาเจอเหตุการณ์ซ้ำสองในตอนเย็นอีกครั้งเมื่อสาวเจ้าเข้ามาชวนไปเดินเที่ยวเล่นในฝั่งมหาวิทยาลัย


“วันนี้เราว่าจะไปดูตฤณซ้อมบาสอะ ใช่ไหม วันนี้มึงมีซ้อม” ประโยคหลังธันวาหันไปถามตฤณที่กำลังเก็บของ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับทันทีว่าใช่ “หวานไปด้วยกันไหมครับ”


กรองเกียรติถอนหายใจเงียบ ๆ คนเดียว รู้ดีว่าเพื่อนตนไม่ได้พิศวาสอะไรกับการซ้อมบาสเกตบอลของตฤณนัก แต่ที่ไปก็คงเพราะอยากเจอเดือนแรมเสียมากกว่า และที่อยากจับเพื่อนตัวเองมาตีสักสองสามทีก็เพราะเจ้าตัวดันเอ่ยปากชวนหญิงสาวไปด้วยกันเสียนี่


หากเขาเป็นคนมาตามจีบธันวา บอกได้เลยว่าทำกันแบบนี้มันช่างโหดร้ายต่อจิตใจเกินไปแล้ว


“จะดีเหรอวะ” กรองเกียรติคว้าแขนเพื่อนไว้ให้ถอยมาเดินรั้งท้ายด้วยกัน


“หวานก็ไปดูเพื่อนซ้อมเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ”


“มึงนี่มัน...” กรองเกียรติยีผมตัวเองเพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร


การซ้อมบาสเกตบอลวันแรกมีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องมานั่งดูให้กำลังใจกันอย่างคับคั่งไม่น้อยไปกว่าในวันคัดตัว ในตอนที่ธันวากับกรองเกียรติไปถึงนักกีฬากำลังวิ่งรอบสนามวอร์มร่างกายกันอยู่ แต่ก็ยังไม่เห็นร่างสูง ๆ ของเดือนแรม เมื่อหาที่นั่งจับจองได้ใกล้ที่พักนักกีฬาที่สุดได้ครู่หนึ่ง หวานกับเพื่อนอีกสองคนก็เดินเข้ามาสมทบ


“มองหาใครเหรอธันว์” ตั้งแต่มาถึงธันวายังไม่หยุดมองซ้ายมองขวา ท่าทางเป็นกังวลจนเธออดสงสัยไม่ได้


“อะ อ้อ แค่อยากรู้ว่ามีเพื่อนรุ่นเรามาเยอะไหมน่ะ”


หวานพยักหน้ารับ


“ตฤณ เดี๋ยวตฤณ” ธันวาเรียกรั้งเพื่อนสนิทเอาไว้พร้อมกับกระโจนเข้าไปหาเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะลงสนามไปซ้อมอย่างจริงจังแล้ว


“พวกมึงซ้อมกันโดยไม่มีกัปตันเหรอ”


“ใคร พี่แรมอะนะ” ธันวาพยักหน้า “วันนี้เขาไม่มาหรอก ออกคำสั่งมาทางไลน์กลุ่มแล้ว มึงอยู่ดูกูจนจบนะ”


“เออ แน่นอนอยู่แล้วหน่า”


ตลอดเวลาธันวาแทบไม่ได้จดจ่ออยู่กับเกม แม้ตาจะมองตรงไปข้างหน้าแต่กลับไม่สนใจความเคลื่อนไหวใด ๆ ของคนในสนาม และไม่มีปฏิกิริยาใดกับแต้มคะแนนในแต่ละครั้ง หากหวานไม่ชวนคุยหรือคอยกระตุ้น ธันวาก็แทบไม่รับรู้ความเป็นไปของการซ้อมในครั้งนี้


ความนึกคิดของธันวาจมอยู่กับการคิดถึงเดือนแรม ทั้งเสียใจที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็หายหน้าไปและเข้าใจว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาเองที่ผลักไส และแม้จะรู้สึกผิดแต่ธันวาก็ยังเชื่อว่าตนทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วเพียงแค่ต้องใช้เวลาเยียวยาอีกสักหน่อยเท่านั้น


หวานกับเพื่อนปลีกตัวออกไปก่อนการซ้อมจะจบลง ตฤณเองก็ไปสังสรรค์กันต่อกับเพื่อนร่วมทีมเพื่อสร้างสัมพันธ์ ธันวากับกรองเกียรติจึงได้โอกาสหาร้านสงบเพื่อนั่งคุยกันโดยที่วันนี้ทั้งวันธันวาก็ยังไม่ได้เจอหน้าเดือนแรมเลยแม้แต่เงา


“นานแล้วเหมือนกันเนอะที่เราไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยกัน” กรองเกียรติว่าไปเรื่อยระหว่างรออาหาร


ธันวายิ้มเจื่อน ไม่ได้มาด้วยกันนับตั้งแต่ที่เขายอมเปิดโอกาสให้เดือนแรมเข้ามาในชีวิต “มึงน้อยใจกูเหรอ”


“เฮ้ย จะน้อยใจทำไมวะ แค่รำพึงรำพันเฉย ๆ”


“หวานบอกว่าชอบกู เขาขอคบกับกู”


กรองเกียรตินิ่งค้างไปเพราะไม่ทันตั้งตัวกับสิ่งที่ธันวาเล่าออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก็รวบรวมสติแล้วถามกลับไปได้โดยเร็ว “แล้วมึงตอบเขาไปว่าไง”


“กูขอเวลา กูยังไม่กล้าตอบ”


“ยังไม่ให้คำตอบแต่ยอมไปไหนมาไหนกับเขา” กรองเกียรติอยากจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก ให้ตายเถอะ! ธันวามันซื่อบื้อหรือโง่กันแน่ ป่านนี้คนคงลือกันทั้งคณะแล้วว่าสองคนนี้สานสัมพันธ์กันอยู่


“อือ”


“มึงยังสับสน?”


ธันวาพยักหน้ายอมรับ


กรองเกียรติยีผมตัวเองอย่างหัวเสีย “มึงฟังนะ มึงไม่ควรมานั่งสับสนแล้วเพื่อน ทุกอย่างมันชัดตั้งแต่ที่มึงเปิดโอกาสให้พี่แรมจีบแล้ว”


“แต่กูยังไม่ได้ชอบเขา”


“โว้ย!” กรองเกียรติเผลอสบถเสียงดังจนต้องรีบงับปากตัวเองแล้วหันไปก้มหัวแทนคำขอโทษแก่ผู้คนในร้าน “มีผู้ชายแท้คนไหนบ้างที่ยอมให้ผู้ชายแมน ๆ จีบตัวเอง ผู้ชายสวย ๆ เข้ามาจีบกูยังไม่ยอมเลย กลัวโว้ย แล้วยิ่งเป็นมึงนะ มึงคนที่บอกว่าจะไม่มีแฟนเป็นผู้ชายอีกแล้ว จะคบแต่ผู้หญิงเท่านั้น นั่นเท่ากับว่าไม่มีโอกาสที่มึงจะคบผู้ชายอีก แล้วไอ้การที่มึงยอมให้ผู้ชายจีบแบบรู้เนื้อรู้ตัวเนี่ยมันเรียกว่าอะไรละวะถ้าไม่ใช่เพราะว่าความจริงแล้วมึงเองก็ชอบเขาไปแล้วอะ”


“...”


“มึงอยากอยู่ใกล้เขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้หรอก”


ธันวาอึ้ง กรองเกียรติมักพูดจาให้สติเขาแบบตรงไปตรงมาและโผงผางแบบนี้เสมอ ไม่มีน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังให้รู้สึกถูกถนอมน้ำใจ ถ้าด่าคำว่าโง่ออกมาได้ก็คงแทนสิ่งที่พูดมาทั้งหมดได้แล้ว เพียงแต่คนพูดเองก็คงกลัวว่าเขาจะยัง ‘โง่’ เกินกว่าจะเข้าใจ


“แต่ถ้าจนถึงตอนนี้เล้วมึงยังยืนยันว่าตัวเองสับสนก็คิดให้ดี ๆ นะ มีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่เขาไม่สนใจว่าผู้ชายคนหนึ่งจะเคยคบผู้ชายด้วยกันมาก่อน แต่แน่นอนว่าคนในจุดแบบพวกเราต้องมี mindset แบบที่ต่อให้รักยังไง ยอมรับได้แค่ไหนแต่ก็ระวังเรื่องที่ว่าคนที่รักอาจเคยมีเซ็กซ์กับผู้ชายคนอื่นมาก่อนแล้วส่งผลต่อเธอ มึงเข้าใจที่กูสื่อใช่ไหม ถ้ามึงหลุดจากหวานไปแล้วคบพี่แรมหรือผู้ชายคนอื่นอีก มันก็ยากที่จะมีผู้หญิงอย่างหวานเข้ามาในชีวิตมึงอีก นอกจากว่ามึงจะออกจากวงการนี้หรือประเทศนี้ไปมีชีวิตใหม่ที่อื่น”


“...”


“แต่ถ้าเลือกเดินทางนี้แล้ว มึงจะถอยหลังกลับไม่ได้อีกแล้วนะ”


ธันวาซุกหน้ากับฝ่ามือ รู้สึกปวดหัวจนไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว เพราะต่อให้เขาเลือกเดินทางที่มีเดือนแรมรออยู่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อเดือนแรมออกไปจากชีวิตของเขาแล้ว






“วันนี้เขาไม่มาหรอก”


วันที่สามแล้วที่ธันวาได้ยินประโยคนี้และแทบจะต่อประโยค ‘ออกคำสั่งมาทางไลน์กลุ่มแล้ว’ ได้ในทันที แต่วันนี้ตฤณกลับเสริมให้อีกว่า “คงไม่เข้ามาทั้งสัปดาห์แหละ เห็นพี่แกว่างั้นนะ”


“งี๊พวกมึงก็โดดซ้อมได้ดิ” ธันวาว่าติดตลก


“โดดบ้าอะไรล่ะ ไม่เสี่ยงด้วยหรอก”


“ทำไม ใช่ว่าพี่เขาจะมาดูตอนใกล้เลิกซ้อมนี่” หลายวันที่นั่งดูตฤณซ้อมจนเลิกค่ำมืดแต่ธันวาก็ยังไม่ได้เจอเดือนแรมแม้แต่เงา


“สายเขาเยอะ กูไปวอร์มละ” ตฤณตัดบทพร้อมกับผละไป ไม่ทันสังเกตสีหน้าของเพื่อนที่หงอยลงไป


เดือนแรมคงออกไปจากชีวิตเขาแล้วจริง ๆ หลายวันมานี้แม้แต่โอ๊คที่อยู่ห้องเดียวกันเขาก็แทบไม่ได้เจอ โอ๊คออกจากห้องไปตั้งแต่เช้า กลับเข้ามาก็ดึกดื่น บางวันใกล้เวลาปิดหอแล้วด้วยซ้ำ ช่วงกลางวันก็ไม่เจอที่โรงอาหารหลักของนักศึกษาแพทย์เหมือนอย่างเคย แม้ว่าเขาจะผลัดเวียนไปโรงอาหารอื่น ๆ บ้างแต่ก็ไม่เจอแม้สักคนเดียวในกลุ่มนั้น


อยากเจอ


อยากคุยด้วย


เพียงแค่คิดถึงเรื่องเก่า ๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างกันทั้งในที่แห่งนี้และทุก ๆ ที่ที่อยู่ด้วยกันก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกแน่นที่คอ ไม่ทันไรทัศนียภาพเบื้องหน้าก็พร่าเบลอเพราะน้ำตาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป


ธันวาปาดมันออกด้วยหลังมือก่อนที่มันจะตกลงมาแล้วทำให้คนข้าง ๆ หันมาสนใจเขาแทนที่จะเป็นเกมตรงหน้า


เขาทนดูการซ้อมได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นก็บอกลาตฤณขอกลับขึ้นมาบนห้องก่อน รอยยิ้มแรกในรอบหลายวันจึงได้แต้มใบหน้าใสเมื่อเจอนันอยู่ในห้องเพียงคนเดียว


“ช่วงนี้ใกล้สอบบล็อกใหม่เหรอครับ” เพราะไปหาเดือนแรมถึงห้องแต่ก็ไม่เคยได้เจอ ไปหาที่ห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือก็ไม่เห็น คนที่น่าจะให้คำตอบได้ก็คงมีแต่นันที่เขาหวังให้อีกฝ่ายมีความเป็นกลางหรืออย่างน้อยก็ยังไม่รู้เรื่องเขากับเดือนแรมมากนัก


“ไม่นะ” นันตอบ เห็นสีหน้าไม่สบายใจของรุ่นน้องร่วมห้องแล้วอยากจะถามไถ่ต่อ แต่ก็เกรงว่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ตนจะช่วยเหลือได้ และยิ่งเห็นสีหน้าเจื่อนสนิทก่อนเดินออกไปของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าตนทำถูกแล้ว


คงหนีไม่พ้นเรื่องของเดือนแรมที่โอ๊คขอไว้




เดือนแรมตั้งใจหลบหน้าเขา


จะเพราะหมดใจ ถอดใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ธันวารู้แค่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหลบหน้าตน และนั่นแปลความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากอีกฝ่ายตัดสินใจที่จะออกไปจากชีวิตเขาแล้ว


ธันวาเดินไปมาอยู่ตรงลานกว้างรับลมชั้นเดียวกับห้องอ่านหนังสือ ความคิดมากมายตีรวนในสมองพาให้เหนื่อยล้าจนต้องหาที่นั่งปักหลัก


หากเดือนแรมหลบหน้าเพราะไม่อยากเห็นเขาอยู่ในสายตา มันก็ควรจะเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายหายหน้าไปเสียเองเพื่อให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตอย่างปกติไม่ต้องลำบากหลบซ่อนให้วุ่นวาย และถ้าหากเดือนแรมหมดใจจริง ๆ การที่เขาจะถอยห่างออกไป ไม่ต้องเห็นหน้าเดือนแรมหรืออยู่ในที่ที่เคยมีกันและกันก็คงจะดีกว่า


ธันวาหวังว่าดีนจะดีใจที่เขานึกถึงในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อดีนตอบรับทันทีโดยไม่อิดออดหลังจากได้ยินคำขอของเขา


เย็นวันนั้นธันวาจึงไปปรากฏตัวที่หน้าห้องของดีนพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า ตำรา และของใช้ส่วนตัวบางส่วน สภาพภายนอกและสีหน้าไม่ต่างจากพวกผู้หญิงที่ออกจากบ้านสามีเพราะทะเลาะกันมาเลยสักนิด เพียงแต่เพื่อนของเขายังไม่มีชื่อสถานะเท่านั้นเอง แต่เพราะอย่างนั้น เพราะยังไม่มีสถานะ และเพราะยังไม่ยอมให้สถานะ ธันวาถึงต้องหอบข้าวของมาอยู่กับเขาชั่วคราว


“มาหากูนี่บอกใครไว้บ้างรึยัง” ดีนถามด้วยท่าทีปกติ ไม่แสดงความกังวลมากให้เพื่อนไม่สบายใจขณะที่ช่วยถือสัมภาระของเพื่อนเข้ามาในห้องตัวเอง


ห้องของเขาเป็นหอพักนอกและกว้างพอสำหรับคนสองคนอยู่ได้อย่างสบาย


“บอกไอ้เก่งแล้ว”


“มันว่าไงล่ะ”


“ก็ดี มันบอกว่าเปลี่ยนที่สักพักเผื่อจะดีขึ้น”


“ธันวา ถ้ามึงอกหักแล้วอยากมาพักใจอยู่กับกู กูโอเคนะ แต่ที่มึงทำเนี่ยคือการหนี รู้ตัวไหม” กรองเกียรติเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ แล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร และคิดว่าที่เพื่อนเห็นดีเห็นงามกับการหนีครั้งนี้ของธันวาคงเพราะจนปัญญาจะช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้นได้แล้วถึงได้ส่งมาหาเขา


“อย่ายืนขี้แยตรงนั้น มานี่มา” ธันวาไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ปากแบะ ดีนแค่แกล้งหยอกเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเพื่อนรัก


“อย่าใจร้ายกับกู” ธันวาว่าเสียงเบาในตอนที่ยอมถูกจับจูงไปนั่งบนโซฟายาวด้วยกัน


“ก็มึงทำตัวน่าตี” ดีนโยกศีรษะเพื่อนไปมาเบา ๆ “จะไปต่อหรือถอยห่างทำไมไม่เปิดใจคุยกันก่อนวะ หนีมาทั้งที่ยังไม่เคลียร์กันมันไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้วันหนึ่งทำใจได้จริงแต่มึงกับเขาไม่มีทางมองหน้ากันติดนะ”


“แล้วจะให้กูทำไงอ่ะ เขาหนีหน้ากูไปก่อนนี่”


“มึงก็เลยหนีบ้าง?”


“ก...กูแค่ช่วยเขาเว้นระยะห่างไง เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก” ธันวาปิดท้ายประโยคด้วยยิ้มขื่น


“มึงตามหาเขารึยัง”


“กูพลิกโรง’บาลหาแล้วดีน เขาหายไปเพราะอะไรกูยังไม่รู้เลย” ธันวาเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ดีนรู้ในทันทีว่าตนเจอศึกหนักไม่ต่างจากครั้งก่อนเลยสักนิด การหายไปของผู้ชายคนหนึ่งกำลังมีผลกระทบต่อจิตใจของธันวาอีกครั้ง


“ก่อนหน้านี้มึงหลบหน้าเขา กูพูดถูกไหม”


ธันวานิ่งชั่วอึดใจกว่าจะพยักหน้ายอมรับ


“แล้วทำไมถึงตามหาเขา อยากเจอหน้าเขาอีก? มึงมีคำตอบของความสัมพันธ์ให้เขาแล้วเหรอ”


ธันวาเงียบ


“ช่างเถอะ” ดีนเลิกคาดคั้น “แล้วนี่กินอะไรมารึยัง”


“กูแค่อยากเจอเขา” อยู่ดี ๆ ธันวาก็พูดขึ้นมาทำให้ดีนต้องเปลี่ยนใจที่จะลุกขึ้นยืน “ไม่อยากให้เขาหายไป กูคิดถึงพี่แรมว่ะดีน กูคิดถึงเขา” ธันวาซุกหน้ากับฝ่ามือทันทีที่พูดจบ


“คิดถึงเขาในฐานะอะไร”


“ฮึก”


ดีนสูดหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของธันวาหลุดออกมาจากการที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นมันเอาไว้ “มึงยังไม่ชัดเจนในตัวเองเลยธันวา มึงยังไม่รู้เลยว่าถ้ามึงเจอเขามึงจะเคลียร์กับเขายังไง” ...ช่างทำตัวน่าตีจริง ๆ


ใบหน้าใสบิดไปมาในฝ่ามือคล้ายจะเช็ดหลักฐานของความเสียใจก่อนเงยขึ้นมาให้เห็นแค่ขอบตาแดง ๆ “ไม่สำคัญแล้วแหละดีน พี่แรมเขาคงอยากออกไปจากชีวิตกูแล้ว”


“แล้วมึงก็ปล่อยเขาไป”


“อือ”


“กับเพื่อนที่ชื่อหวานล่ะ”


“บอกเขาไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรด้วย”


“ไม่เสียดายเหรอ” ธันวารอโอกาสที่จะมีผู้หญิงสักคนเข้าใจเขามาตลอด และพบกับความผิดหวังมานับไม่ถ้วน วันหนึ่งมีผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่งมาบอกชอบ การที่ธันวาไม่ตอบรับทั้งที่ไม่ได้รู้สึกแย่ด้วยนั่นย่อมชัดเจนอยู่แล้วว่าตนมีใครอีกคนในใจ และดีนเองก็รู้ว่าสิ่งที่ยังขัดขวางไม่ให้ธันวายอมรับมันได้อย่างสนิทใจคืออะไร


ธันวาส่ายหน้าแทนคำตอบ ดูหงอหงอยจนคนเป็นเพื่อนทนมองไม่ไหวต้องดึงเข้ามากอดปลอบ “ไม่ตีกูหน่อยรึไง” เสียงอู้อี้ของอีกฝ่ายทำให้ดีนมีรอยยิ้ม จึงหยอกกลับไปว่าจะตีหากอีกฝ่ายไม่ยอมกินข้าวและเรียนหนังสือ







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 15-07-2019 14:20:37


“ธันวาหายไปไหน”


เพื่อนสามคนหันมองหน้ากันเมื่อเดือนแรมถามถึงธันวา ไม่ใช่ไม่รู้ว่าแม้เพื่อนจะทำตัวลึกลับหลบหน้าหลบตาแต่ก็ยังคอยมองส่องหารุ่นน้องคนนั้นอยู่ตลอดจนถูกชมแกมเหน็บบ่อย ๆ ว่าซ่อนตัวเก่ง เพียงแต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้ธันวาหายไปไหน


“ไม่รู้” สุดท้ายคนที่เป็นเพื่อนร่วมห้องนอนก็ต้องเป็นตัวแทนในการบอกข่าวร้ายกับเดือนแรม


“สามวันแล้วนะเว้ย!!” เดือนแรมเผลอทำเสียงดุใส่ แต่พวกเขาใจเย็นพอที่จะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ “รูมเมทมึงหายไปสามวันไม่กลับมานอนที่ห้อง มึงไม่สงสัยหรืออยากรู้บ้างรึไงวะ”


“ก็น้องมันไม่ได้บอกใครไว้” โอ๊คว่า


เดือนแรมทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้บริเวณส่วนกลางหน้าห้องพัก ทุกวันที่กลับเข้าหอดึก ๆ ก็เพื่อได้มีโอกาสมองหน้าธันวาโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องอึดอัดใจ ซึ่งเขาจะแวะเข้าไปในห้องของโอ๊คหลังจากได้รับคำยืนยันว่าน้องหลับแล้ว แต่สามคืนมานี้กลับไม่เจอธันวานอนอยู่บนเตียงเดิม


“ไอ้น้องธันว์อาจจะกลับบ้านเฉย ๆ ก็ได้ นี่มันเสาร์อาทิตย์นะมึง รอดูพรุ่งนี้ดิ” บอยว่า ไม่อยากเห็นเพื่อนเศร้านานจึงอยากต่อความหวังให้อีกนิด


“ปกติน้องมันไม่ค่อยกลับบ้านนะ”


“เชี่ยโอ๊ค!”


ไนท์เดินเข้าไปวางมือบนบ่า บีบเบา ๆ ให้กำลังใจ “แต่มันก็เป็นโอกาสดีที่มึงจะได้ตัดใจนะ”


“พออกหักจริง ๆ แม่งไม่ไหวว่ะ กูไม่ไหว”


ทั้งสามคนต่างมองไปที่เดือนแรมด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าเพื่อนยังสามารถดูแลตัวเองได้ดีแต่ก็ต้องยอมรับว่าอาการหนักเอาเรื่องทีเดียว


“กูจะไม่ได้เห็นหน้าน้องแล้วเหรอวะ รู้อย่างนี้กูน่าจะยังอยู่ในที่ของตัวเอง มองน้องจากตรงนั้นไม่ต้องออกมา จะได้ไม่เจ็บแบบนี้”


“ไอ้แรม…” แม้แต่คนที่มีอารมณ์ร่วมน้อยที่สุดในหลาย ๆ เรื่องอย่างไนท์ยังอดสะเทือนใจกับความรู้สึกของเดือนแรมไม่ได้ “มีแต่คนสมหวังเท่านั้นแหละที่บอกว่าการรอมันคุ้มค่า กูว่าตอนนี้มึงน่าจะรู้แล้วนะว่ามันคุ้มค่าหรือเสียเปล่า คนมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ออกมาแล้วเจอแบบนี้ก็ดี กูว่ามึงเสียเวลากับธันวามามากไปแล้ว ทำใจเถอะ”


“กูก็ไม่ได้อยากทุ่มเวลาให้คนคนเดียวนานขนาดนี้นะ แต่มึงก็เห็นว่าที่ผ่านมากูไม่รู้สึกแบบนี้กับใครเลย กูอยู่กับความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ธันวามาเกือบห้าปีเลยนะ”


“เอาหน่าไอ้ไนท์ ให้เวลามันหน่อย” บอยแทรกขึ้นก่อนที่ไนท์จะทันได้ว่าอะไรเดือนแรมอีก “ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ มันอาจมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกว่าเสียใจนะ แต่ไม่ควรมีเรื่องไหนที่ทำให้รู้สึกเสียดาย อย่างน้อยมึงก็ได้เรียนรู้จากรักครั้งนี้ แล้วการดึงความรู้สึกกลับมาอยู่กับตัวเองน่ะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ยาก มึงรู้ใช่ไหมแรม”


“เออ เอาตามที่คนอกหักบ่อยว่าแล้วกัน” บอยฟึดฟัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินไนท์เหน็บตนก่อนเดินหนีกลับห้องตัวเอง


“อย่าถือสาเลย มันเป็นห่วงมึง” โอ๊คว่า


“กูรู้ ขอบใจพวกมึงมาก” เดือนแรมส่งยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนเป็นการส่งสัญญาณว่าอยากอยู่คนเดียวสักพัก


เดือนแรมไถลตัวเองพิงศีรษะกับพนักแล้วหลับตาลงช้า ๆ ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างตนกับธันวาเหมือนอย่างทุกวันก่อนนอน เพื่อหวังจะให้ตอกย้ำถึงความจริงที่ว่าธันวาไม่เลือกเขา แต่กลับกลายเป็นว่าการคิดแบบนี้ยิ่งทำให้เขาคิดถึงธันวามากกว่าเดิมและไม่อาจสลัดอีกฝ่ายออกจากห้วงคำนึงไปได้


‘ในที่สุดน้องธันวาของฉันกับน้องหวานก็คบกันจนได้ ใครบอกว่าน้องเป็นเกย์ยะ ไบฯชัด ๆ’


เรื่องเล่าจากเพื่อนชายออกสาวที่เขาบังเอิญได้ยินก่อนขึ้นห้องนอนในคืนเดียวกันกับที่ธันวาบอกเขาว่าไม่ต้องรอในช่วงเย็น ในตอนนั้นเขาไม่อาจห้ามใจไม่ให้เดินเข้าไปถามรายละเอียดต่อได้ แม้อีกฝ่ายจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขาสนใจเรื่องของคนอื่นเป็นครั้งแรกแต่ก็ยอมบอกแต่โดยดีว่าได้ยินมาเองกับหูว่าสองคนนั้นตกลงคบกันที่ร้านอาหารข้างโรงพยาบาล


ธันวาเลือกแล้ว


ที่น้องเคยลังเลใจมาตลอดและไม่เปิดใจให้เขาเต็มร้อย ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าธันวาไม่เลือกเขา


ในวันนั้นบังคับขาให้พาตัวเองขึ้นมาถึงห้องได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว เพราะเพียงแค่คิดว่าที่ธันวาบอกว่าไม่ต้องรอเจอตอนเย็นเหมือนทุกวันเพื่อที่ตนจะได้ไปกับหวานก็อดคิดต่อไม่ได้ว่าเจ้าตัวคงตัดสินใจมาดีแล้วในช่วงหลายวันก่อนหน้านั้นที่หลบหน้าเขามาตลอด


เดือนแรมรู้ว่าเขาไม่ควรเชื่อคนง่าย แต่เพราะความขี้ขลาด ไม่กล้าเดินเข้าไปถามหาความจริงเพราะกลัวรับไม่ไหว ไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้าธันวา กลัวจะพบว่าที่ผ่านมาความรักความจริงใจของเขาไม่อาจซึมลึกเข้าไปถึงใจน้องได้เลย


และแม้จะไม่ถาม แต่เรื่องเล่าจากปากเพื่อนก็ชัดเจนขึ้นเมื่อเห็นสองคนนั้นตัวติดกันไปเกือบทุกที่ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่


นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็ตัดสินใจถอย แม้เขาไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความผูกพัน แต่เดือนแรมเชื่อว่าตนสามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้ด้วยการหยุดเอาตัวเองไปอยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายให้ลำบากใจ ไม่ส่งข้อความใด ๆ ให้ใครคนนั้นยังรู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา ทำได้แค่ยังคงรักธันวาอยู่เงียบ ๆ รอให้ถึงวันที่ใจตัวเองคลายความรู้สึกรักเขาลงไปเองจนเลิกรักในที่สุด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีสิ่งสุดท้ายที่เขาจะสามารถทำเพื่อธันวาได้


แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ธันวาหายไปจากสายตาก็ทำให้เขาไม่อาจอยู่ในที่ของตัวเองได้อย่างสงบอีกต่อไป




ธันวาไม่กลับมาในวันจันทร์อย่างที่บอยให้ความหวัง


ในวันอังคารก็ด้วย...


แม้ว่าเดือนแรมจะขยันออกมาเข้าห้องน้ำเพราะหวังจะเจอคนชอบหลับในห้องเรียนออกมาล้างหน้าบ้างแต่ก็ไม่เคยเจอ


ซ้ำร้ายกว่านั้นคือการได้เจอรุ่นน้องสาวคนที่ธันวาเลือก และที่เหนือความคาดหมายคือเธอเรียกรั้งเขาไว้


“เดี๋ยวค่ะพี่แรม”


“ครับ?”


“หวานมีอะไรจะถาม”


เดือนแรมลอบหายใจเข้าลึกก่อนตอบรับ


แม้ใบหน้าเรียบเฉยของรุ่นพี่หนุ่มจะดูดุน่าเกรงขามมากแค่ไหนแต่หวานก็ยังทำใจกล้าถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป “พี่แรมชอบธันวาใช่ไหมคะ”


จะให้เขาตอบอย่างไร ตอบว่าไม่ใช่ก็คงเป็นการโกหกทั้งคนอื่นและตัวเอง แต่หากยอมรับออกไปตรง ๆ ความรู้สึกของเขาจะทำให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า








เมฆฝนก่อตัวตั้งแต่ช่วงพลบค่ำ กว่าจะเทกระหน่ำลงมาก็เป็นช่วงดึกที่ใครหลายคนรวมถึงดีนและธันวาเข้านอนแล้ว


ทว่าคนที่มาขออาศัยอยู่ด้วยยังไม่อาจหลับตาได้ และเจ้าของห้องเองก็รู้สึก ดีนรอจนกระทั่งเสียงประตูกระจกที่กั้นระเบียงกับห้องนอนไว้ปิดลงแล้วจึงลืมตาขึ้นมามอง


คนที่เป็นฝ่ายตัดสัมพันธ์ในความเชื่อของกรองเกียรติมักจะใช้เวลากลางคืนหมดไปกับการนั่งเหม่อตรงระเบียงเสียมากกว่านอนหลับบนเตียงในทุกวัน และคงเพราะคืนนี้ฝนตกหนัก เพื่อนของเขาถึงได้ถือโอกาสนี้นั่งซุกหน้ากับเข่าร้องไห้ตัวโยนด้วยหวังจะให้เสียงฝนกลบเสียงร้องไห้ของตัวเองคงเพราะไม่อยากให้เสียงดังเข้ามารบกวนการนอนของเขา


ดีนไม่รู้ว่าธันวาจะรู้ตัวหรือไม่ ว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้อาการหนักกว่าครั้งก่อนอยู่มาก แต่คนที่อยู่ด้วยทั้งสุขและทุกข์อย่างเขารู้ดี


หนุ่มลูกเสี้ยวมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ฝนจะไม่สาดระเบียง ก็ใช่ว่าธันวาจะไม่ได้รับละอองฝน เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้เพื่อนได้มีเวลาระบายความเสียใจอยู่ตรงนั้นนานนัก


“ธันวา” เปิดประตูระเบียงแล้วก็ส่งเสียงเข้มแกมดุออกไป “เข้ามาในห้อง คิดจะนั่งรับละอองฝนจนป่วยเลยรึไง” พูดจบแล้วก็แกล้งเดินกลับเข้าห้องด้วยการย่ำเท้าให้เกิดเสียงดังกว่าปกติเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเขาไม่ได้กำลังจับตามองภาพที่ตนเองเช็ดน้ำตาอยู่


ดีนแสร้งมองเลยตาแดง ๆ กับขอบตาบวมฉึ่งของเพื่อนรัก ตบมือบนที่นอนข้างตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างกัน “ไง กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน นั่งทำอะไรทุกคืนวะ”


“...” ธันวาก้มหน้าต่ำลงจนคางเกือบชิดอก


“กูชอบพี่แรม” ธันวายอมรับเสียงแผ่ว และถ้าไม่ได้ตาฝาด ดีนคิดว่าเขาเห็นอีกฝ่ายน้ำตาตกในตอนที่ยังก้มหน้าหลบตาเขา


“นี่คือพูดเพื่อให้กูรู้หรือกำลังยอมรับกับตัวเอง”


“ดีน” ธันวาลากเสียงยาวอย่างงอแง เจ้าของชื่อยิ้ม ยื่นมือออกไปโยกศีรษะเพื่อนไปมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู


“แล้วทำไมถึงเลือกปล่อยมือเขา”


ธันวาเงยหน้าแล้วหันมามองสบกันแวบหนึ่ง “มึงก็รู้ว่าทำไม”


ดีนดึงมือกลับ พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ธันวา”


“ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่ได้ต่างกันมากนักหรอก” ธันวาชิงพูดขึ้นก่อนเหมือนรู้ว่าเพื่อนกำลังจะบอกอะไร “ยังต้องใช้ความกล้ามหาศาลเปิดตัวว่าชอบเพศเดียวกันท่ามกลางกระแสสังคมและครอบครัว มึงก็รู้ดีว่าตอนนั้นกูกล้าเพราะมั่นใจในความรู้สึกของพี่ภีม สุดท้ายแม่งก็พังไม่เป็นท่า กูเนี่ยพังไม่เป็นท่า!”


ดีนปล่อยให้เพื่อนได้ระบายอย่างเต็มที่ ธันวาไม่มีใคร ดีนรู้ดีว่าเพื่อนรู้สึกแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ที่เสียไปทั้งพ่อและแม่ และดีนก็รู้ว่าการมีภีมเป็นสิ่งสำคัญมากขนาดไหนในชีวิตของธันวาในตอนนั้น ภีมที่เป็นทุกอย่างในชีวิต เพียงแค่ภีมเผยความรู้สึกว่าคิดเกินพี่น้อง ธันวาก็รีบตอบรับความรู้สึกนั้นเพราะกลัวจะเสียอีกฝ่ายไปทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่ตนมีต่ออีกฝ่ายเป็นแบบไหนกันแน่ และดีนเข้าใจดีว่าในตอนนั้นธันวาต้องใช้ความกล้ามากมายขนาดไหนในการยอมรับกับเพื่อนฝูงคนใกล้ชิดว่าชอบผู้ชายด้วยกัน แต่เพราะมั่นใจในความรักของภีม ธันวาจึงไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าไปในโลกใบนั้น


“แล้วถ้าตอนนี้กูยอมเปิดอีกอะ กูยอมรับอีกว่ากูชอบผู้ชายแล้วถูกเขาทิ้งอีกมันจะเป็นยังไงวะ กูจะอยู่ยังไงอะ”


“ธันวา กูไม่รู้หรอกนะว่าในอนาคตเขาจะทิ้งมึงรึเปล่า แต่ตอนนี้เขาชอบมึงจริง ๆ”


“เขาอาจจะไม่ได้ชอบกูจริง ๆ เหมือนกับพี่ภีมก็ได้”


ดีนถอนหายใจ ธันวายังคงฝังใจกับความรู้สึกที่ภีมมอบให้ในครั้งนั้นจนไม่มั่นใจในความรู้สึกของใครอีกเลย “ครั้งที่แล้วพี่ภีมเขาชอบมึง...มึงต่างหากที่ไม่ชอบเขา”


“หมายความว่าไง”


“…”


“มึงรู้ใจกูดีกว่ากูได้ไงดีน”


“กูไม่รู้หรอก แต่พี่ภีมเขารู้ ไว้มึงไปถามเขาเองแล้วกัน”


“…”


“ว่าแต่มึงเถอะ หวั่นไหวกับผู้ชายถึงสองครั้งแล้ว ยอมรับเถอะว่าตัวเองชอบแบบไหน อย่าเอาแต่คิดว่าจะกลับลำยังไง หรืออยู่ยังไงในสังคม มึงไม่จำเป็นต้องแคร์คนเยอะขนาดนั้น”


“ค...ครั้งนี้กูก็อาจจะไม่ได้ชอบพี่แรมเหมือนครั้งพี่ภีมก็ได้”


“...”


“ครั้งนี้กูก็คงแค่เสพติดการมีเขาเหมือนครั้งก่อนไง ไม่นานกูก็จะทำใจได้เหมือนกัน”


“กูเข้าใจดีว่ามึงกำลังกลัวอะไร แต่มึงคิดสักนิดไหมว่าทำไมมึงถึงกลัว”


“...” ธันวารู้


“เพราะมึงชอบเขามากไง และมึงไม่ได้กำลังกลัวว่าถ้าถูกทิ้งแล้วมึงจะกลับลำไปชอบผู้หญิงยังไง จะมีผู้หญิงมาชอบมึงอีกไหม แต่มึงกลัวถูกพี่แรมทิ้ง ไม่ใช่ผู้ชายทิ้ง...เพราะว่าเป็นผู้ชายคนนั้น เพราะว่าเป็นพี่แรม แค่นั้นเลยเว้ย”


“ละ แล้วถ้าเขาทิ้งกูจริง ๆ ขึ้นมาละวะ กูจะทำยังไง”


“แล้วไงวะ ก็แค่อกหักป่ะ มึงยังมีพวกกูอยู่ข้าง ๆ ใช้ชีวิตให้สนุกดิ ถ้าเขาไม่รักมึงแล้วจริง ๆ มึงก็แค่ต้องไปรักคนอื่น จะยึดติดอะไรกับคนคนเดียว”


“ดีน…”


“สำคัญและต้องทำให้เร็วที่สุดตอนนี้คือแยกให้ออกว่าที่เสพติดการอยู่ใกล้เขาเพราะอุ่นใจวางใจเห็นเขาเป็นที่พึ่งได้เหมือนคนในครอบครัวหรือว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น”


“มากกว่านั้น...เช่น?”


ดีนชะงัก ทำไมคนที่ไม่เคยมีความรักและไม่อินกับมันอย่างเขาต้องมาให้คำปรึกษาเรื่องความรักแก่คนรอบข้างด้วย แค่เพราะว่าเป็นกลาง รักความถูกต้อง ดูน่าเชื่อถือและมีตรรกะเป็นเหตุเป็นผลที่สุดในกลุ่มอย่างนั้นหรือ “เช่นการทำอะไรด้วยความถี่ที่มากกว่าคนทั่วไป คุยกันเกือบทุกเรื่อง วันละหลาย ๆ ครั้ง ส่งข้อความหา อยากเล่าเรื่องเล็กน้อย หรือแม้กระทั่งการขออนุญาตในเรื่องที่ไม่เคยต้องขอใครโดยไม่รู้ตัว”


“มีอย่างอื่นอีกไหม”


“ก็…ออกอาการเวลาเขาขอสัมผัสหรือแสดงความรู้สึกแบบคนรัก”


“ตื่นเต้น ประหม่า เขิน แต่ก็อยากให้เขาทำ แบบนั้นน่ะเหรอ”


ดีนพยักหน้า “something like that”


ธันวามีสีหน้าคิดหนัก “มึงลองคิดดูนะ เมื่อก่อนมึงก็ตัวติดกูจะตาย มึงเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมล่ะว่ารู้สึกกับกูเกินกว่าเพื่อนไหม” ธันวาส่ายหน้าพลางคิดไปด้วย “ไม่เคยถามเพราะกูไม่ได้จีบมึงเหมือนสองคนนั้นน่ะเหรอ” คราวนี้ธันวาหันมามองตากันแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง “เราไปไหนมาไหนด้วยกัน กอดกัน ซบกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นเป็นเรื่องปกติ แต่มึงไม่เคยสงสัยในความรู้สึกของกันและกัน ก็เพราะว่าความรู้สึกดี ๆ ที่พิเศษแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ไง”


“แต่มึงบอกว่ากูไม่ได้ชอบพี่ภีม แล้วกูจะรู้ได้ยังไงว่ากูชอบพี่แรมแบบ...คนรักจริง ๆ”


ดีนนิ่งชั่วอึดใจ “นั่นคือสิ่งที่มึงต้องรีบหาคำตอบด้วยตัวเอง”


ธันวาหันมองหน้าดีน ขมวดคิ้วมุ่นอย่างคนคิดไม่ตกก่อนทิ้งตัวเอนหลังนอนมองเพดานแล้วถอนหายใจโดยที่ดีนเองก็ล้มตัวตามลงไปนอนข้าง ๆ


“มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะหน้าตาแบบไหนหรือเพศอะไร ถ้ามึงกังวลว่าเขาจะชอบมึงจริงรึเปล่า มึงต้องถามตัวเองดี ๆ ว่ามึงมองเห็นคนคนนี้ให้กำลังใจมึงในวันที่มึงเหนื่อย มึงท้อไหม” ดีนย้ำเรื่องที่เพื่อนกังวลอีกครั้ง


“...”


“เขาจะยอมลดทิฐิมาปรับความเข้าใจกับมึงในวันที่ทะเลาะกันรึเปล่า”


“...”


“ในความคิดเขา มึงสำคัญกับเขามากขนาดไหน...ชั่งน้ำหนักดูเอาแล้วกัน”


“...”


“แต่ถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้หรือภาพมันไม่ชัดเจน มึงก็ต้องห้ามความรู้สึกตัวเองให้ได้”


ดีนเชื่อว่าธันวารู้ใจตัวเองแล้วว่าคิดอย่างไรกับเดือนแรม แต่ที่ยังลังเลเพราะกลัวตีความความรู้สึกของอีกฝ่ายผิดไปเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง คำว่ารักในวันนี้ที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้าจึงทำให้ธันวาไม่กล้าเดินตามทางที่เสียงหัวใจตัวเองเรียกร้อง




“ธันวาเพื่อนรัก” ตฤณลากเสียงยาวอย่างออดอ้อนในตอนที่เลิกเรียนครึ่งเช้าของวันพุธ “เย็นนี้มาดูกูซ้อมด้วยนะ”


“กูส่งไอ้เก่งไปดูแล้วนี่” หลายวันมานี้ธันวาไม่ได้โผล่หน้าไปที่สนามบาสเลย เลิกเรียนก็รีบกลับห้องของดีนทันที ไม่ใช้เวลาอยู่ในฝั่งโรงพยาบาลนานนัก


“วันนี้มันไม่ว่าง มึงไปดูกูเถอะนะ คอยดูแลกูไง นะ นะ นะ”


ธันวาหันมองกรองเกียรติทันที “วันนี้ไม่ว่างเหรอวะ”


กรองเกียรติไม่สบตา เอาแต่เก็บของใส่กระเป๋าอย่างเร่งรีบ “อือ จะกลับบ้าน”


“หือ กลับวันนี้เหรอ มีอะไรด่วนเปล่าวะ” ธันวาถามด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าช่วงบ่ายของวันพุธจะว่างและบ้านอยู่ไม่ไกลนักแต่พวกเขาก็ไม่เคยกลับบ้านเลยสักครั้ง


“คิดถึงแม่ ไปละ เจอกันพรุ่งนี้นะมึง” กรองเกียรติว่าแล้วก็รีบโบกมือลา ชิงเดินออกไปก่อนโดยเร็ว แต่ธันวาไม่ได้โง่ เขารู้จักเพื่อนตัวเองดีทุกคนและรู้ดีว่ากรองเกียรติมีบางอย่างปิดบังอยู่ ได้แต่หวังว่าคงไม่ใช่การเห็นดีเห็นงามให้เขาไปสนามบาสในวันนี้


“เจอกันตอนเย็นเลยนะ” เมื่อถูกตื้อมากเข้าธันวาก็จำต้องยอมอย่างเสียไม่ได้


“เดี๋ยวดิ ไม่กินข้าวเที่ยงกับกูเหรอ”


“โทษทีว่ะ กูรีบ” ธันวาไม่พิลี้พิไลมากนักเพราะกลัวจะออกจากห้องเรียนช้าจนตรงกับเวลาที่รุ่นพี่ปีสามเลิกเรียนพอดี


เขายังไม่พร้อมจะเจอหน้า ไม่รู้ว่าจะปั้นหน้าอย่างไรในตอนที่บังเอิญเจอกัน เขายังต้องการเวลาเตรียมใจอีกนิดก่อนจะต้องเจอกันจริง ๆ ในเย็นวันนี้







TBC.
--------------------------------------------------
ใครเคยอ่านเรื่องหากันจนเจอ จะรู้ว่านี่เป็นเรื่องราวที่ย้อนกลับไป ซึ่งก็ประมาณปี 55 นะคะ
ในยุคสมัยนั้น เด็กวัยมัธยมแบบนั้น สังคมยังไม่เปิดกว้างเรื่องเพศเท่าทุกวันนี้
การที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งยอมรับกับคนรอบข้างว่าชอบผู้ชายด้วยกันได้ต้องใช้ความกล้ามากๆ
ซึ่งสิ่งที่ทำให้เขากล้าได้เพราะเขารู้ว่าเขาจะไม่โดดเดี่ยว
ความรักของผู้ชายคนที่เขาชอบคือของจริงที่ทำให้เขากล้าเข้าไปอยู่ในโลกใบนั้น
แต่ในวันที่มันพังทลายลงเพราะอีกคนบอกว่ารู้สึกด้วยแค่พี่น้อง
นั่นจึงเท่ากับว่าอีกฝ่ายสร้างบาดแผลในใจเขา

อาจจะมาอัพให้อีกตอนในช่วงวันหยุดนี้นะคะ แต่ถ้าไม่ทัน เจอกันวีคเอนค่ะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์


หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-07-2019 17:26:10
รอดูว่าอะไรทำให้ธันวากล้าก้าวผ่านความกลัว
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Malibu ที่ 15-07-2019 18:52:23
คนอย่างพี่แรมนี่หาได้ที่ไหนอีกคะ อยากได้เป็นของตัวเอง ขนาดตอนหวานมาถามยังกลัวเค้าไม่สบายใจอีก
คือถ้าไม่มีเก่งกับดีนนี่ไม่อยากจะคิด เห้ออออ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: JaikOrn ที่ 15-07-2019 23:41:39
 :katai5: ใครเอามือบีบหัวใจเราไว้ สงสารพี่แรมมากๆเลย น้องธันยังไม่รู้ใจตัวเอง แต่เค้าสองคนใจตรงกันนะ แค่ต่างคนเลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกไป แล้วก็เลือกที่จะคิดเองเออเอง // เอาใจช่วยน้องธันให้ซื้อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-07-2019 11:38:35
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-07-2019 20:26:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 17-07-2019 15:11:34
อย่างพี่แรมจะหาจากไหนได้อีกเหรอคะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.5 [15/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 19-07-2019 07:37:14
ตามมาอ่านจากในทวิต~
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 20-07-2019 21:47:33
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)







ธันวาใช้ชีวิตกับดีนอย่างสมบูรณ์แบบมาหลายวันแล้ว รับประทานอาหารเช้าง่าย ๆ ที่หอหรือบางวันอาจจะเป็นที่โรงอาหารคณะอักษรศาสตร์ แม้กระทั่งพักกลางวันก็ยังแวบไปหาดีนที่คณะ เลิกเรียนในแต่ละวันก็รีบเผ่นไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของคณะนั้นจนถึงเวลาปิด เขาใช้ชีวิตเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคณะอักษรศาสตร์ไปแล้ว


อ่านหนังสือได้บ้างเผลอหลับไปบ้างในแต่วัน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาไม่ต้องคอยพะวงว่าจะเจอคนรู้จัก เพราะที่นี่เป็นห้องสมุดประจำคณะที่ต้องใช้บัตรนักศึกษาคณะนี้เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้


และทั้งที่เป็นห้องสมุดเฉพาะทางซึ่งไม่มีตำราแพทย์อยู่เลยสักเล่มเดียว แต่ธันวาก็ยังพาตัวเองมายืนในซอกแถวชั้นวางหนังสือประหนึ่งเพื่อค้นหาเล่มที่ถูกใจ ทว่าความจริงแล้ว เขากำลังคิดหาข้ออ้างดี ๆ ในการเบี้ยวนัดตฤณเพราะยังไม่พร้อมจะไปเจอหน้าเดือนแรมในเย็นวันนี้ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายโผล่หน้ามาที่สนามซ้อมบ้างแล้วหรือยัง


...ไม่กล้าไปเจอหน้าเพราะกลัวอีกฝ่ายไม่อยากเห็นหน้ากัน...


สองเท้าก้าวเดินอย่างช้า ๆ นิ้วเรียวกรีดสันปกผ่าน ๆ นัยน์ตามองข้ามหนังสือที่นิ้วลากผ่านอย่างไม่มีจุดหมาย ไร้จุดโฟกัส เพราะห้วงคำนึงมีแต่ภาพของผู้ชายคนนั้น ใบหน้าคมคายกับนัยน์ตาคมดุที่มักซ่อนความเอ็นดูเขาเสมอที่มองมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ขยายกว้างขึ้นเวลาที่เขาทำอะไรโง่ ๆ แต่ทำไม ทำไมอยู่ ๆ ภาพนั้นก็กลายเป็นใบหน้าเดียวกันที่นิ่งขรึมและแววตาเศร้าหมองมองมาอย่างตัดพ้อปรากฎขึ้นมาแทนที่ตรงหน้า


“ธันวา” ชัดเหลือเกิน เสียงทุ้มต่ำนั่นชัดจนเสมือนจริง ธันวาพบว่าตัวเองไม่ได้คิดถึงเดือนแรมมากเกินไปจนเห็นแต่ภาพของเขาอีกแล้ว แต่เดือนแรมตัวเป็น ๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าในอีกฟากของชั้นวางหนังสือ ในเสี้ยววินาทีที่รู้อย่างนั้นก็เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ทำให้สองขารีบสาวเท้าหนี


ธันวาอาจจะตกใจที่บังเอิญเจอเดือนแรมที่นี่ แต่สำหรับเขา นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


“ใจร้ายจังวะ” ไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยชื่อว่ากำลังพูดกับใคร เพราะเพียงแค่เดือนแรมว่าอย่างนั้นธันวาก็ไม่อาจก้าวขาเดินหนีได้อีกต่อไป


เมื่ออีกฝ่ายหยุด เดือนแรมก็รีบสาวเท้าเข้าไปยืนเผชิญหน้าด้วย ดวงหน้าที่ไม่ได้มองมาหลายวันไม่สดใสอย่างเคย ดวงตาที่อยากมองสบก็หลุบต่ำไม่เงยขึ้นฉายแววรั้นสู้อย่างทุกที


“พอรู้ว่ากูรัก ก็เลยใจร้ายเหรอ”


“อะไรของพี่” ธันวาเงยขึ้นมองสบแวบหนึ่งก่อนหันเหไปโฟกัสจุดอื่นราวกับหน้าเขาไม่มีอะไรน่าดึงดูดพอให้จ้องมอง


“สนุกไหมเล่นกับความรู้สึกกูอะ”


“ผมเล่นตรงไหน” คราวนี้ธันวาหันไปจ้องตอบอย่างไม่ลดละ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยให้รู้ว่าตนไม่ยอมจำนนต่อข้อกล่าวหา


“ก็ที่มึงหายหัวไปนี่ไง”


“พี่คิดว่าผมทำเพราะพี่ทำกับผมก่อนใช่ไหมล่ะ”


“...”


“พี่กำลังเล่นกับความรู้สึกผมอะ เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตคนอื่นเขาแล้วอยู่ดี ๆ ก็หาย”


“ทำไมคิดว่ากูทำแบบนั้น”


“เออ! สรุปว่าไม่ได้ทำใช่ไหมล่ะ ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ ช่างแม่งเหอะ!”


“เดี๋ยว!” เดือนแรมรีบคว้าแขนคนที่กำลังจะหันหลังหนีเขาอีกครั้ง


“อะไรอีก” ธันวาพยายามบิดแขนออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอม


“มึงกำลังทำตัวเอง”


“ทำอะไร!”


“ทำให้กูไม่อยากปล่อยมึงให้คลาดสายตาไปไหนอีกเลย”


ธันวานิ่ง ยิ่งมองจ้องเข้าไปในดวงตาดำขลับคู่นั้นก็ยิ่งระลึกได้ว่าไม่มีครั้งไหนที่เดือนแรมจะไม่จริงจังและจริงใจ


ไม่มีใครพูดอะไรต่อและธันวาก็จ้องมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อย ๆ แบะปากเหมือนจะร้องไห้ และยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เพราะทันทีที่เดือนแรมบอกว่าห้ามร้องธันวาก็ปล่อยโฮออกมาอย่างที่ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีก


“หยุดร้องนะธันวา เบา ๆ เดี๋ยวคนก็แห่มากันหรอก” แม้ว่าที่ตรงนี้จะไกลผู้คนและไม่ใช่ที่ที่มีใครเดินผ่านไปมา แต่เดือนแรมก็กลัวว่าเสียงของธันวาจะดังจนมีใครผ่านมาได้ยินเข้าได้


คนเด็กกว่าโผเข้าสวมกอดคนพี่แน่นเพื่อยืนยันอีกครั้งว่านี่คือตัวจริงไม่ใช่มโนภาพของตัวเองอย่างทุกที ขณะที่เดือนแรมยืนตัวแข็งทื่อเพราะตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน


“ขอโทษ ฮึก ขอโทษที่ปล่อยให้พี่รอ ขอโทษจริง ๆ”


“ขอโทษเพราะรู้สึกผิดกับรุ่นพี่ในคณะอย่างกูหรือว่า—”


“คิดถึง”


“...”


“ขอโทษที่ปล่อยให้รอ คิดว่าพี่จะไม่รอผมแล้ว ฮึก”


“ระ รอ—”


“ผมคิดถึง”


“หยุดร้องก่อน”


“ฮึก” ธันวาปาดน้ำตาทิ้งทั้งที่ยังกอดคนพี่อยู่อย่างนั้น “ทั้งที่เป็นคนหลบหน้าพี่ก่อนเองแท้ ๆ แต่พออยู่ดี ๆ พี่หายไป ผมก็อดใจเสียไม่ได้ นึกว่าพี่จะถอดใจไม่ชอบผมแล้ว”


เดือนแรมระบายยิ้มเต็มหน้า ยกมือกอดธันวาตอบแล้วลูบหลังปลอบอย่างอ่อนโยน “ขอโทษที่หายไปเหมือนกัน แต่ถึงกูจะหายหน้ากูก็ยังชอบมึงเหมือนเดิมนะ”


ไม่มีคำตอบจากธันวา มีเพียงเสียงสูดน้ำมูกที่บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังพยายามหยุดร้องไห้ และแม้จะอยากกอดนาน ๆ ให้หายคิดถึงแต่เดือนแรมกลับดึงอีกฝ่ายออกเพราะอยากมองหน้ามากกว่า


เดือนแรมปล่อยให้ธันวาเช็ดหน้าเช็ดตา เขาเพียงแค่ยืนมองด้วยรอยยิ้มรอเวลาให้น้องพร้อมแล้วเงยขึ้นมาสบตาเอง “ขี้แยจังวะ”


“อะไรเล่า” ธันวาไม่ได้อยากร้องไห้ แต่มันอดไม่ได้เมื่อรู้ว่าเดือนแรมยังรู้สึกดีกับตัวเองทั้งที่เขาทำไม่ดีด้วยตั้งมากมาย “แค่รู้สึกผิดหรอก”


“งั้นทำดีไถ่โทษหน่อยไหม”


“ทำอะไร” ธันวาหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเมื่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มใบหน้าคมคายก็ยิ่งหวั่นใจจนเผลอถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว


เดือนแรมยิ้มขำเมื่อเห็นท่าทีเหมือนกลัวเขาเสียเต็มประดาของธันวา “กลัวอะไร แค่จะให้ไปดูกูซ้อมบาสเย็นนี้เท่านั้นเอง คิดไปถึงไหนวะ ฮึ” เดือนแรมบีบปลายจมูกคนน้องที่แดงอยู่แล้วให้แดงมากขึ้นไปอีกในตอนประโยคท้าย


“อื้อ” ธันวาดิ้นหนี เบี่ยงหน้าหลบด้วยทั้งเจ็บทั้งอาย “วันนี้จะไปอยู่แล้ว ไอ้ตฤณให้ไปเชียร์”


“ไปเชียร์กู”


“ห๊ะ”


“วันนี้ไปเพื่อเชียร์กู”


“...”


“วันอื่น ๆ ด้วย”


ธันวาหลบสายตาทำเป็นมองนั่นมองนี่ด้วยความขลาดเขิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันก็ได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกบ่อยไม่ยักเขินมากเท่าตอนนี้ที่เผยความรู้สึกออกไปแล้ว เดือนแรมเห็นอย่างนั้นจึงแกล้งย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “ไม่ได้เหรอ”


“ได้” เดือนแรมลอบยิ้มขำเมื่ออีกฝ่ายตอบรับเสียงค่อยในลำคอ


“ชัด ๆ”


ธันวาหันมองคาดโทษคนที่ใช้น้ำเสียงเหมือนตอนสวมบทบาทประธานรุ่นในงานรับน้องแล้วตอบรับเสียงดังฟังชัดว่า “ได้ครับ!”


คนฟังยิ้มกว้าง พอใจในคำตอบ “ขอกอดอีกได้ป่ะ”


“มากไปแล้วพี่แรม”


“ก็คิดถึงอะ” ธันวาขอบคุณที่เดือนแรมไม่ได้ทำเสียงเง้างอดใส่ ไม่อย่างนั้นคงได้ขำมากกว่าเขิน แต่เพราะน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังแบบที่เป็นเดือนแรมสุด ๆ ถึงได้ทำให้เขาจำต้องยอมอย่างไม่อาจปฏิเสธเสียงหัวใจตัวเองได้ว่ารู้สึกแบบเดียวกัน


เดือนแรมระบายยิ้มเต็มหน้า รู้สึกได้ว่าตั้งแต่ชอบธันวาตัวเองยิ้มได้จริง ๆ ก็วันนี้ วันที่น้องไม่ใช่แค่บอกว่าคิดถึง แต่การสวมกอดเขาแน่นกว่าที่เขาคาดหวังต่างหากที่ชัดเจนกว่าคำพูดเหล่านั้น “รู้ไหมว่าตอนที่มึงหลบหน้า กูกลัวมากแค่ไหน”


ธันวาก้มหน้าลงซุกลาดไหล่เดือนแรมคล้ายต้องการปลอบปะโลม


“กูเข้าใจนะว่ามึงคงอยากได้เวลาคิดทบทวน กูเองก็อยากให้เวลามึงคิดนาน ๆ ไม่ได้อยากเร่ง แต่อีกใจก็กลัวว่ามันจะนานจนทำให้มึงรู้ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูเลย”


“พี่แรม”


“แต่วันนี้ที่มึงบอกว่าคิดถึง รู้ใช่ไหมว่ากูตีความว่ายังไง”


“...รู้ครับ”


“มึงคิดดีแล้วใช่ไหม”


ธันวาผละออก แม้จะขลาดเขินอยู่บ้างแต่ก็อยากให้อีกฝ่ายเห็นถึงความจริงใจของตน “ครับ”


“กูไม่ให้เปลี่ยนใจแล้วนะ”


ธันวาหลุดขำเพราะเดือนแรมดูดุกว่าครั้งไหน ๆ “ผมก็ไม่ให้พี่เปลี่ยนใจเหมือนกัน”


เดือนแรมยิ้มมุมปาก เกลี่ยนิ้วเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้น้องอย่างอ่อนโยน “อนาคตกูไม่รู้หรอก รู้แค่ยังไม่เคยมีใครเปลี่ยนความรู้สึกที่กูมีให้มึงได้ แต่กูสัญญาได้อย่างหนึ่ง กูจะดูแลความรักครั้งนี้ให้ดีที่สุด”


ธันวายิ้มรับทั้งตาและปาก เกือบจะน้ำตาแตกอีกครั้งเพราะความเต็มตื้นในใจเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าตนเลือกถูก คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง คนที่มีอ้อมกอดอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัย คนที่ทำให้มีชีวิตชีวา คนที่จะไม่ทำให้เขาโดดเดี่ยว


คนคนนั้นคือเดือนแรมจริง ๆ




ธันวาใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการอ่านหนังสือที่ห้องสมุดคณะอักษรศาสตร์อย่างที่ตั้งใจโดยมีเดือนแรมฟุบหลับอยู่ฝั่งตรงข้ามเพื่อรอเวลาซ้อมบาสเกตบอลในตอนสี่โมงเย็น เด็กหนุ่มระบายยิ้มเต็มหน้าเมื่อมองจ้องคนที่ยังหลับอยู่ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นเดือนแรมหลับในเวลาอ่านหนังสือมาก่อน ยิ่งช่วงบ่ายวันพุธที่มีเวลาว่างเยอะเป็นพิเศษก็ยิ่งไม่เคยเห็นเดือนแรมเสียเวลาไปกับการทำสิ่งอื่นนอกจากอ่านหนังสือเลยสักครั้ง แต่เมื่อคิดหาสาเหตุว่าอีกฝ่ายอดหลับอดนอนจากอะไรได้บ้างก็อรู้สึกผิดไม่ได้ว่าหนึ่งในนั้นคงเป็นเพราะตน


สองหนุ่มตรงไปยังสนามบาสของคณะตนเองพร้อมทั้งหนังสือกองพะเนินของธันวาโดยมีเดือนแรมช่วยถือ ยิ่งเดินเข้าใกล้บริเวณนั้นธันวาก็ยิ่งเดินตัวลีบ จากที่เดินข้างกายคนพี่ก็ค่อย ๆ ถอยไปเดินตามหลัง อาศัยร่างกายที่สูงใหญ่กว่าของอีกฝ่ายบดบังตนจากสายตาผู้คนที่ไม่รู้ทำไมถึงพากันจ้องมองมาที่ตนนัก ลำพังแค่สายตาของเพื่อนสนิทของเดือนแรมที่มองมาอย่างล้อ ๆ ก็ทำเอาหน้าเห่อร้อนแล้ว แต่นี่ยังมีสายตาของคนอื่นอีกด้วยจนธันวาชักทำตัวไม่ถูก


“นั่งตรงนี้นะ” เดือนแรมหันมาบอกพร้อมกับจัดแจงให้นั่งข้างกลุ่มเพื่อนของตัวเองซึ่งใกล้ที่พักนักกีฬาที่สุด


ธันวายิ้มบาง ๆ ทักทายพี่ทั้งสามคนด้วยความเคอะเขิน ไม่มีใครมีสีหน้าโกรธเคืองหรือไม่พอใจเขาเหมือนอย่างหลายวันก่อนอีกแล้ว


ธันวามองเดือนแรมคุยกับนักกีฬาในทีมซึ่งหนึ่งในนั้นมีตฤณที่มองมาที่เขาด้วยความฉงนแวบหนึ่งก่อนจะให้ความสนใจกับกัปตันทีมอย่างเต็มที่ แม้หลายวันที่ผ่านมาธันวาจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ตฤณพูดเกี่ยวกับการซ้อมมากนักแต่เขาก็พอรู้ว่าในช่วงนี้เดือนแรมนัดให้มาซ้อมทุกวันเพื่อให้เล่นเป็นทีมเข้าขากันมากขึ้น เพราะเมื่อใกล้สอบจะซ้อมแค่สัปดาห์ละ 2 ครั้งและหยุดซ้อมในช่วงสอบ

 
“มาด้วยกันได้ไงอะ” ตฤณที่เดินเข้ามาพร้อมเดือนแรมถามขึ้น สีหน้าฉงนจนปิดไม่มิด “คืนดีกันแล้วเหรอ”


ทว่าคนที่ตกใจมากกว่ากลับกลายเป็นคนถูกทัก ธันวาตกใจเพราะคิดมาตลอดว่าตฤณไม่รู้และไม่น่าจะระแคะระคายเรื่องตนกับเดือนแรม “มึงรู้ด้วยเหรอ”


“โอ้ย ใครดูไม่ออกก็โง่แล้ว ก่อนหน้านี้สนิทกันขนาดไหน อยู่ ๆ ห่างหายกันไปแล้วยังถามถึงเขาอีก กูไม่โง่นะเว้ย”


คงมีแต่เขาที่โง่...ธันวาอดคิดอย่างนั้นไม่ได้


“มึงไม่โง่หรอก” ฝ่ามือที่วางลงบนศีรษะแล้วโยกไปมาเบา ๆ และสายตาที่มองมาอย่างเอ็นดูยังไม่ทำให้ธันวาตกใจได้มากเท่ากับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา


“ไม่โง่?” คนอย่างเดือนแรมนี่หรือบอกว่าเขาไม่โง่


เดือนแรมพยักหน้ายืนยันขณะดึงมือกลับ


“ปกติพี่ว่าผมโง่ตลอดเลยนะ”


“มึงแค่ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว”


“หมายความว่าพี่จะไม่ด่าผมว่าโง่อีกแล้วใช่ไหมครับ”


“มึงซีเรียสเรื่องนี้เหรอ”


“เปล่า ก็แค่สงสัยว่าตัวเองโง่มากเลยเหรอ ทำไมถึงโดนด่าแบบนี้อยู่ตลอด”


“ขอโทษ”


ธันวาตาโต ไม่ได้คิดว่าคนอย่างเดือนแรมขอโทษไม่เป็น แต่ตกใจที่อีกฝ่ายขอโทษเพราะเรื่องแค่นี้ “ขอโทษทำไมวะพี่ เรื่องแค่นี้เอง”


“แต่เป็นเรื่องแค่นี้ที่มึงซีเรียสไง มันทำให้มึงไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ”


“...”


“อะแฮ่ม!” ตฤณส่งเสียงขัดก่อนทำใจกล้ายื่นหน้าพร้อมรอยยิ้มแหย ๆ เข้ามาแทรก “สรุปว่าคืนดีกันแล้วเนอะ”


“ทำไมยังไม่ไปวอร์มเหมือนคนอื่น” เดือนแรมเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าดุจนคนไม่เกี่ยวข้องโดยตรงยังขยาดแทน ขณะที่คนโดนว่ายิ้มแห้งแล้วรีบปลีกตัวออกไปทันทีไม่รอให้ต้องเอ่ยซ้ำ


“ผูกให้หน่อย” คล้อยหลังตฤณเดือนแรมก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมลงสนามด้วยเหมือนกัน ยางมัดผมเส้นเล็กในมือถูกยื่นออกไปให้คนตรงหน้าเหมือนที่เคยทำ ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับไปทันที ธันวาเหลือบมองซ้ายขวายังไม่กล้ารับมาจนเดือนแรมเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงยังไม่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์กับเขาให้ใครรู้มากนัก “กูมัดเองดีกว่า”


ธันวารีบแย่งยางมัดผมมาถือไว้เองในตอนที่เดือนแรมดึงมือกลับไป “ผมมัดให้”


“เฮ้ย ไม่ต้อง กูเข้าใจ ตรงนี้คนเยอะ”


“เถอะหน่า ผมอยากทำ” เมื่อก่อนก็เคยทำ ต่อหน้าคนเยอะกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ที่ลังเลเพราะขัดเขินกับสถานะที่เปลี่ยนไปต่างหาก


“แน่ใจนะ”


ธันวาพยักหน้าแล้วดันเดือนแรมให้นั่งลงแทนที่ตนเพื่อให้ง่ายต่อการมัดผม บางทีเขาก็สงสัยว่าเดือนแรมไม่อายบ้างหรืออย่างไรที่ถูกมองด้วยสายตาในเชิงล้อ ตัวเขาเองหลายคนรู้ว่าเป็นเกย์เพราะเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาแล้ว แต่เดือนแรมที่ไม่เคยแสดงออกว่าชอบเพศเดียวกันมาก่อนกลับไม่สนใจเลยสักนิดว่าใครจะมองอย่างไร


เสียงโห่แซวดังไปทั้งสนามจนธันวาเขิน มุดหน้าไม่กล้าสู้สายตาใคร เดือนแรมรอให้น้องมัดผมจุกให้เสร็จก่อนแล้วจึงลุกขึ้นยืนหันหน้าเข้าหาคนดูเพื่อบังสายตาคนอื่นไม่ให้จ้องมองคนของตน “ถ้าใครแซวธันวา อย่าหาว่าผมไม่เตือน”


“พวกกูแซวได้ไหมวะ” โอ๊คถามขึ้นด้วยสายตาชวนให้คนถูกมองอายยิ่งขึ้น รวมถึงไนท์และบอยด้วย


“พวกมึงก็ไม่ได้” เดือนแรมว่าแล้วกวาดสายตามองคนอื่นจนทั่ว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาที่ทำให้ธันวาประหม่าไปมากกว่านี้ บางคนไม่แม้แต่จะกล้าสบตาเดือนแรมด้วยซ้ำ


“อย่าน่ารัก”


“ห๊ะ!” ธันวาตั้งตัวแทบไม่ทันเมื่อเดือนแรมหันมาบอกตนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าที่พูดกับคนอื่นเมื่อครู่


“ถึงจะน่ารักแต่กูก็ไม่ชอบเห็นมึงเขินเพราะคนอื่นแซว กูชอบเวลามึงเขินเพราะกูแซวมากกว่า”


“...”


“เพราะฉะนั้น...อย่าน่ารัก”


ธันวาถึงกับทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ซึ่งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทำให้เดือนแรมอมยิ้ม เพราะตอนนี้ธันวากำลังเขินที่เขาแซว และน้องก็น่ารักมากเสียด้วย ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ไม่อยากแกล้งต่อให้น้องยิ่งอายหนัก เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่เห็น จึงต้องเปลี่ยนเรื่องเสียเอง “ไม่ต้องรอข้างสนามหรอก ไปอ่านหนังสือเถอะ”


“ไหนบอกว่าให้มาเชียร์ไง”


“มาแค่นี้พอแล้ว ไม่ต้องรอจนจบเกมหรอก”


“แต่ผมอยากรอ”


“ธันวา” เดือนแรมเรียกเสียงเข้มขึ้น “อ่านหนังสือทันแล้วรึไง”


“อ่านอยู่เรื่อย ๆ เหอะหน่า วันนี้อยากรออะ ไม่ได้เหรอ”


คนเจอลูกอ้อนถึงกับไปไม่เป็น อยากจะไล่ไปอ่านหนังสืออีกครั้งแต่ลึก ๆ แล้วก็อยากเห็นแก่ตัวตามใจตัวเองเหมือนกัน “ตามใจ งั้นก็ช่วยหิ้วท้องรอไปกินข้าวพร้อมกันด้วยล่ะ”


ธันวายิ้มพร้อมพยักหน้ารับงึกงักแทนคำตอบให้คนพี่ได้ยื่นมือมายีผมเล่นด้วยความเอ็นดูก่อนผละไปวิ่งวอร์มรอบสนามเหมือนคนอื่นบ้าง


เพื่อนทั้งสามคนของเดือนแรมปลีกตัวออกไปเมื่อจบสองควอเตอร์แรกขณะที่ธันวานั่งดูจนจบ และเป็นการนั่งดูที่สนุกไปกับเกมในสนามมากกว่าทุกที อาจเพราะความสบายใจที่มากขึ้นหรืออย่างไรธันวาไม่ได้หาคำตอบ รู้แค่ว่าเพราะได้นั่งอยู่ตรงนี้และรับรู้ว่าเดือนแรมอยู่ใกล้กันก็เท่านั้น


“กินข้าวที่โรงอาหารข้างหอแล้วกันนะ จะได้รีบขึ้นไปพัก มึงเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เดือนแรมว่าขณะใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวที่ชุ่มเหงื่อ


“เอ่อ คือ ผมต้องกลับไปนอนที่ห้องดีนครับ”


เดือนแรมขมวดคิ้วมุ่น เผลอมองน้องตาขุ่นจนอีกฝ่ายเสียความมั่นใจ


เดือนแรมไม่อยากเก็บเรื่องที่ธันวาไปนอนค้างห้องเพื่อนสนิทอย่างดีนมาคิดให้เป็นอารมณ์ขุ่นมัว แต่ครั้นจะยอมให้ค้างต่อไปก็คงไม่ได้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงต้องตามน้องมาถึงห้องของดีนเพื่อช่วยขนของกลับหอพักแพทย์ดังเดิมหลังจากรับประทานอาหารและเก็บของส่วนหนึ่งในหอพักเรียบร้อยแล้ว


ทั้งที่ธันวามีคีย์การ์ดแต่กลับกดกริ่งเพื่อขออนุญาตเจ้าของห้องและยืนรออีกฝ่ายที่หน้าห้องอยู่อย่างนั้น ไม่นานนักดีนก็โผล่หน้าออกมา ใบหน้าเรียบตึงเผยยิ้มยียวนเมื่อเห็นว่ามีใครมาด้วยก่อนดึงธันวามายืนซ้อนหลังตนเองแล้วจับมือของเพื่อนไว้แน่น “ขอบคุณที่พาธันวามาส่งนะครับ”


“ไม่ได้พามาส่ง จะมารับกลับ” เดือนแรมพูดพร้อมมองมือของดีนที่จับมือธันวาอยู่ด้วยความไม่พอใจ


“เป็นแฟนกันแล้วเหรอ”


“ดีน!” ธันวาตกใจที่อยู่ ๆ เพื่อนก็ถามโพล่งขึ้นมา


“ทำไมล่ะ ถ้าไม่ใช่แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมองกูแบบนั้นวะ พี่มีสิทธิ์ไม่พอใจที่ผมจับมือธันวาเหรอ”


“ดีน” คนกลางอย่างธันวากระตุกแขนเพื่อนด้วยสีหน้าลำบากใจ จะบอกว่าเป็นแฟนกันแล้วก็พูดได้ไม่เต็มปาก แม้ว่าเคลียร์ใจกันชัดแล้วแต่ก็ยังไม่ได้พูดถึงสถานะที่เป็นอยู่หรือมีการตกลงกันอย่างเป็นทางการ


“จริง ๆ คำถามนี้มึงตอบแทนเขาได้นะ” ดีนพูดกับธันวาทั้งที่ยังจ้องหน้าเดือนแรมไม่วางตา


“รอผมเก็บของแป๊บนึงนะครับพี่แรม” ธันวาบอกคนของตนแล้วรีบดึงแขนเพื่อนให้ตามเข้าไปในห้อง ดีนยอมเดินตามแต่โดยดีเพื่อไม่ให้เพื่อนเปลืองแรงนักโดยไม่ลืมบอกให้หนุ่มรุ่นพี่ยืนรอหน้าห้อง ไม่ต้องตามเข้ามาด้วย


“มึงนี่จริง ๆ เลย ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่” ตัวเองเป็นคนพาเดือนแรมเข้าไปในห้องสมุดเพื่อเจอเขาแท้ ๆ แต่พอเวลาแบบนี้กลับหาเรื่องอีกฝ่ายอีกเสียอย่างนั้น


ดีนไหวไหล่ไม่สนใจจะต่อความประเด็นนั้น ธันวาเห็นก็ถอนหายใจเลิกเถียงด้วยแล้วเดินเข้าห้องนอนไปเก็บของใส่กระเป๋า


ดีนเดินตามเข้าไปยืนพิงกรอบประตูมองเพื่อนเก็บของด้วยความเร่งรีบแล้วอดถามสิ่งที่คาใจไม่ได้ “ตัดสินใจดีแล้วเหรอ”


“อือ” ธันวาพยักหน้างึกงักแล้วรีบพูดย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นเพื่อนยืนมองตนนิ่ง ๆ “จริง ๆ นะ กูคิดดีแล้ว”


ดีนยิ้มอย่างอ่อนใจ “มากอดหน่อยมา”


ธันวาวางของในมือแล้วยอมเดินเข้าไปกอดเพื่อนตามที่อีกฝ่ายขอ “กูไม่รู้หรอกนะว่าอะไรทำให้มึงกล้าตัดสินใจแบบนี้ และมึงคงเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าแล้ว ยังไงก็ขอให้รู้ว่ายังมีพวกกูอยู่ข้างมึงเสมอนะธันวา”


“ขอบใจมึงมากนะดีน กูเคยบอกมึงรึยังว่าสำหรับกู มึงเหมือนแฝดกูเลยนะ เป็นเหมือนคนเดียวในครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ของกู” ดีนรู้ ธันวาไม่เคยมองว่าลุงประภาสและปกป้องเป็นคนในครอบครัวที่ให้ความรู้สึกสบายใจได้ทั้งที่สายเลือดใกล้ชิดกัน


ดีนผละออก มองเพื่อนด้วยแววตาและรอยยิ้มล้อ “ครอบครัวที่มีสมาชิกใหม่เป็นเขาด้วยใช่ไหม”




เดือนแรมยืนพิงผนังห้องฝั่งตรงข้ามรออย่างใจเย็น ไม่ถึงสิบห้านาทีธันวาก็เดินออกมาพร้อมสะพายกระเป๋าใบโตโดยมีดีนถือถุงผ้าซึ่งมีของบางส่วนของธันวาออกมาด้วย ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเข้าไปรับช่วงต่อจากดีนทันที


“มานอนห้องกูได้เสมอนะมึง”


ธันวาพยักหน้า


“ขอบใจมาก แต่คงไม่ต้องรบกวนแล้ว” เดือนแรมว่าเสียงนิ่ง ดีนปรายตามองแวบหนึ่งแล้วยกยิ้มยียวนเหมือนส่งให้ลมให้ฟ้า


“มาให้กูกอดหน่อยมา”


“ในห้องก็กอดไปแล้วนี่”


เดือนแรมคิ้วกระตุก และดีนเห็น หนุ่มคณะอักษรฯถึงได้นึกสนุกยิ่งขึ้น “อยากกอดอีก”


ธันวาไม่ทันหันไปหาเดือนแรมด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแบบไหนก็โดนดีนดึงเข้าไปกอดเสียก่อน ไม่รู้ด้วยว่าเพื่อนรักกำลังยักคิ้วยียวนให้คนรักของตนเพราะความหมั่นไส้ที่มีต่อกัน


“ธันวาต้องกลับไปพักแล้ว” เดือนแรมว่าออกมานิ่ง ๆ ดีนยิ้มมุมปาก ยอมปล่อยเพื่อนแต่โดยดี


“มีอะไรก็ติดต่อมานะ”


“อือ ขอบใจมึงมาก”


ดีนยืนมองเพื่อนเดินเคียงข้างไปพร้อมคนที่อีกฝ่ายเลือกด้วยความยินดี คำสารภาพของธันวาในห้องเมื่อครู่ยังชัดเจนในความรู้สึก


‘รู้ไหม กูตัดสินใจได้ในตอนที่เจอหน้าพี่แรมนั่นแหละ แค่กูเห็นหน้าเขา แค่เขาบอกว่าไม่อยากให้กูหายไปไหนอีก แค่นั้นกูก็รู้เลยว่ากูอยากอยู่กับเขา ไม่รู้หรอกว่าจะตลอดไปไหม รู้แค่ว่ากูไม่อยากเสียเขาไปและอยากจะดูแลความสัมพันธ์ครั้งนี้ให้ดีที่สุด’


ดีนไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากจะยินดีกับธันวาด้วย เพื่อนอย่างเขาก็ได้แต่หวังว่า ‘ตลอดไป’ จะเกิดขึ้นจริงกับธันวา เพราะเขาเชื่อว่าธันวาเลือกคนถูก และมั่นใจว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ธันวาจะไม่มีวันที่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน






เช้านี้ไม่มีสติกเกอร์รูปหัวใจ…


ธันวารีบหันมองโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองก่อนจะปีนลงไปเตรียมตัวอาบน้ำเสียอีก


เช้านี้ก็ยังไม่มีน้ำชาร้อนอีกเช่นกัน


ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุยกันเรียบร้อยแล้วหรือ จะว่าเป็นเพราะเคืองเรื่องของดีน ก็ไม่น่าใช่ ธันวาคิดย้อนถึงเมื่อคืนก็พบว่าไม่มีความผิดปกติอะไรที่จะทำให้สถานการณ์ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ


“ไปอาบน้ำได้แล้วมึง เดี๋ยวก็สายหรอก” อาร์ตที่กำลังแต่งตัวพูดเตือนสติ


ธันวาทำตามอย่างงง ๆ ยังคงคิดทบทวนว่าตนทำอะไรผิดหรือไม่ หรือว่าตอนนี้ตนกำลังฝันและยังไม่ตื่นอย่างที่เข้าใจ จนกระทั่งออกมานอกห้อง


“พะ พี่แรม” เดือนแรมตัวเป็น ๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ภาพในฝันแน่ ๆ เพราะในนั้น รอยยิ้มของเดือนแรมไม่มีทางเจิดจ้าจนทำให้ใจของเขาสั่นได้มากขนาดนี้แน่


“วันนี้ยังไม่ได้ให้สติกเกอร์รูปหัวใจเลย”


“ก็แล้วทำไมไม่—” เสียงของธันวาขาดหายไปพร้อมกับสติเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาจูบแก้มเขาแบบที่ไม่มีพื้นที่มุมไหนของปากไม่แนบสนิทกับผิวแก้มของเขา


“ถ้ากูทาลิปสติก ตอนนี้ที่แก้มมึงคงมีรูปหัวใจติดอยู่”


“...”


“ต่อไปนี้ ขอให้สติกเกอร์แบบนี้ทุกเช้าเลยได้ไหม”


ฝันอยู่ ฝันอยู่แน่ ๆ เพราะตอนนี้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอกลายเป็นขาวโพลนหมดแล้ว และอีกสักครู่เขาก็คงจะตื่น


“นะ”


“ไม่ไหว...แบบเดิมเถอะครับ แบบนี้ผมไม่ไหว”


ถ้าเป็นฝัน ตอบแบบนี้ก็คงได้ใช่ไหม







TBC.
-----------------------------------------------------------------------
ในที่สุด!!!
หลังจากนี้จะมีเรื่องราวความรักของทั้งคู่อีกมาก
ฝากติดตามด้วยนะคะ

#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-07-2019 23:46:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-07-2019 10:35:31
เฮ้ออออโล่ง
รอดูเดือนแรมรักกับธันวา
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 21-07-2019 12:08:41
ดีใจยิ่งกว่าพี่แรมก็เรานี่แหละ สมหวังสักทีหลังจากที่เป็นพระเอกรันทดมานาน
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 23-07-2019 16:47:46
ใครไหวไปก่อนเลย :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-07-2019 00:14:40
 แบบนี้ไม่ไหวเหมือนกัน แงงงงง  เขินพี่แรมมาก
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 30-07-2019 15:10:30
พี่แรมมมมมมม ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ
เขินแทนน้องไปหมดแล้ววววว
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.6 [20/07/62]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 18-08-2019 14:34:55
อ่านแล้วก็สงสารพี่แรม แต่มันกำลังดีขึ้น เป็นกำลังใจให้พี่แรมนะ
ชอบวิธีส่งหัวใจแบบใหม่ให้น้องธันวาจริงๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 24-08-2019 23:21:25
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)






“ไงมึง” กรองเกียรติทักทายหน้าระรื่นทันทีที่ธันวาเดินเข้ามาใกล้


คนถูกทักมองด้วยความหมั่นไส้ ให้เดาก็คงรู้เรื่องจากตฤณหมดแล้วเป็นแน่ “เมื่อวานที่หายไปนี่จงใจให้กูไปสนามบาสให้ได้เลยใช่ไหม”


“กูทำเพื่อมึงน้า”


“เสียงสูง ๆ” ธันวาว่าอย่างไม่ใส่ใจนักขณะสอดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างกรองเกียรติที่เพื่อนเว้นไว้ให้


“แล้วตกลงเป็นไง ดีกันแล้วใช่ไหม”


“อือ” ธันวาแสร้งปั้นหน้านิ่ง ไม่อยากออกอาการมากให้เพื่อนล้อเอาได้


“ไอ้ตฤณบอกว่ามึงกับพี่แรมเดินเข้าไปที่สนามพร้อมกันเหรอ ไปดีกันที่ไหน”


“ก็ถามไอ้ตฤณต่อดิ”


“เหี้ยธันว์” กรองเกียรติตีหน้านิ่ง


“เพิ่งเคยเห็นมึงขี้เสือก”


“ไอ้ธันว์ ถ้ามึงไม่ใช่เพื่อนกูจะไม่สนใจเลยนะเว้ย แล้วนี่คือการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของมึงด้วย กูก็อยากรู้เป็นธรรมดา”


ธันวาหันมองกรองเกียรติเลยไปถึงตฤณที่เอียงหูฟังแบบโจ่งแจ้งด้วย “เจอกันที่ฝั่งโน้น กูไม่ได้คิดอะไรเยอะ แค่ยอมรับใจตัวเอง”


“แล้วเป็นไง มึงสบายใจขึ้นไหมล่ะ”


ธันวาพยักหน้ายอมรับอาย ๆ นัยน์ตาหลุกหลิกไม่โฟกัสคนถามเหมือนเดิม ยิ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์หน้าห้องเมื่อเช้าก็ยิ่งรู้สึกหน้าร้อนจวนจะไหม้จนกลัวว่าจะประจานความรู้สึกตัวเองออกมาเป็นริ้วแดงบนแก้มให้เพื่อนจับได้ว่าออกอาการกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย


โชคเข้าข้างธันวาเมื่ออาจารย์แพทย์เดินเข้ามาในห้อง เป็นผลให้นอกจากเขาจะรอดจากการล้อและซักฟอกจากเพื่อนแล้ว ความเคลื่อนไหวที่แสนวุ่นวายในห้องเรียนยามเช้าก็สงบลงด้วย


แต่ไม่วายยังโดนเพื่อนแซวต่อทันทีที่อาจารย์ปล่อยในตอนพักกลางวัน


“วันนี้ของไม่ขาดแล้วดิ ตั้งใจเรียนได้ตลอดไม่หลับเลยนะมึง” ตฤณส่งเสียงข้ามกรองเกียรติที่คั่นกลางไปหาธันวา “หรือเป็นเพราะว่าถูกใครดุมากันแน่วะ”


ตฤณชักจะรู้ดีเกินไปแล้ว ธันวาเข่นเขี้ยวในใจ ไม่สวนกลับแต่ชิงเดินนำออกจากห้องไปก่อน ถึงอย่างนั้นตฤณก็ยังส่งเสียงตามหลังมาแกล้งถามว่าเขาจะไปพักด้วยกันหรือนัดใครไว้หรือไม่


คนเดินหนีอยากจะหันกลับไปชูนิ้วกลางใส่แก้เขินแต่ก็ไม่ต่อความด้วยให้อีกฝ่ายยิ่งได้ใจว่าเขาแกล้งง่าย แต่ไม่คิดเลยว่าการเร่งสาวเท้าหนีของเขาจะทำให้มาเจอกับเพื่อนสาวร่วมชั้นเรียนตรงทางลงบันไดเลื่อนจนจำต้องยิ้มทักทายและเดินไปด้วยกันอย่างเลี่ยงไม่ได้


ธันวาไม่ได้อึดอัดหรือรังเกียจการอยู่ใกล้หวาน เขาเพียงแค่รู้สึกผิดกับเธอจนไม่กล้าสบตาด้วยก็เท่านั้น


“กับพี่แรม...คุยกันแล้วใช่ไหม”


ไม่เพียงแต่อยู่ดี ๆ ก็พูดขึ้นมา แต่ประเด็นที่เธอพูดถึงยังทำให้คนฟังเบิกตาโตด้วยความตกใจอีกด้วย “ม...หมายความว่าไงเหรอ”


เธอยิ้ม ยังคงเป็นยิ้มที่ทำให้ธันวารู้สึกว่าสมกับชื่อของเธอเสียงจริงแม้ในยามที่กำลังพูดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีสำหรับตนเองสักเท่าไหร่ แววตาสุกใสนั่นก็ด้วย “เราได้คุยกับพี่แรม เลยรู้ว่าพี่เขาเข้าใจเรื่องของเราผิด”


ธันวานิ่งอึ้ง ไม่รู้จะพูดอย่างไร


“ธันว์เคลียร์กับพี่แรมแล้วใช่ไหม”


“เอ่อ…” ธันวาลูบท้ายทอยแก้เก้อ ไม่แน่ใจนักว่า ‘เคลียร์’ ที่เธอพูดถึงคืออะไร “ก็...คุยกันแล้ว”


หวานยิ้มกว้างกว่าเดิม “เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วแหละว่าพี่แรมน่าจะจีบธันว์อยู่ แต่พี่เขาจีบก็ใช่ว่าธันว์จะชอบนี่เนอะ เพราะอย่างนั้นเราถึงได้รีบสารภาพออกไปว่าชอบ เราแค่อยากรู้ชัด ๆ ไปเลยว่าตัวเองจะสมหวังไหม ไม่อยากคิดสรุปเรื่องราวเอาเองแล้วพบว่าตัวเองพลาดทีหลัง”


ธันวาทำได้แค่พยักหน้า รู้ซึ้งว่าตัวเองเกือบจะพลาดเสียเดือนแรมไปเหมือนกันจากการที่ทึกทักเรื่องราวเอาเองและคิดแทนอีกฝ่ายโดยไม่ถามก่อน


“ยังไงก็...ยินดีกับความรักครั้งนี้ด้วยนะ”


ธันวายิ้มขำด้วยความขัดเขิน “อย่างกับอวยพรงานแต่งแหนะหวาน”


เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังประสานขึ้นมา “ก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นี่ ยินดีกับธันวาด้วยจริง ๆ”


“ขอบใจนะ”


ธันวาเดินเคียงข้างกับหวานโดยปราศจากการพูดคุยต่อจากนั้นจนมาถึงด้านในของโรงอาหาร ก่อนจะแยกกันไปหาที่นั่งเพื่อนสาวยังไม่วายแกล้งเขาด้วยการสะกิดให้หันไปหาเดือนแรมที่มองมาอยู่ก่อนแล้วให้ขลาดเขินจนต้องแกล้งมองเลยอีกฝ่ายไป ทำทีเป็นไม่เห็นทั้งที่สบตากันแล้วแม้จะแค่พริบตาเดียวก็ตาม


“ยืนทำหน้าเลิกลั่กทำไม หาที่นั่งดิวะ” ตฤณที่ตามมาถึงทีหลังกระแทกไหล่เล็กน้อยแทนการสะกิดก่อนแยกตัวไปหาที่นั่งก่อน


“หน้าแดงหูแดง ร้อนเหรอวะ” กรองเกียรติถามซื่อ ๆ ด้วยความสงสัย


“ดะ แดงเหรอวะ เออร้อนมั้ง ในนี้มันอบว่ะ”


“ทนแดก ๆ ไปเถอะ ไปที่อื่นตอนนี้ไม่ทันแล้ว ขี้เกียจไปต่อแถวยาว...นั่น ไอ้ตฤณได้ที่นั่งพอดี ไปซื้อข้าวกัน”


“มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูไปนั่งจองที่แทนมันดีกว่า กูยังคิดไม่ออกว่าจะกินไร”


กรองเกียรติจ้องก่อนตอบรับอย่างงง ๆ แล้วเลิกสนใจ ธันวาพรูลมหายใจในตอนที่เดินเลี่ยงไปอีกทางกับที่เดือนแรมนั่งอยู่ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร อยากเจอเขาแต่ก็ไม่กล้าสู้หน้า แค่ได้สบตาคู่นั้นก็ขลาดเขินไปเสียหมด แต่ไม่คิดเลยว่าการไม่ยอมสบตาทักทายจะกลายเป็นการเรียกให้อีกฝ่ายเข้ามาหากันถึงที่เสียเอง


ธันวาตัวเกร็งเล็กน้อยในตอนที่เดือนแรมเดินเข้ามายืนใกล้ “ทำไมไม่เข้าไปทัก” เสียงทุ้มนุ่มไม่ได้เจือความขุ่นเคืองไม่พอใจหรือน้อยใจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายประหม่าเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ


คนเด็กกว่าเหลือบสายตามองเพื่อน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจ้องตนอยู่ก็เบาใจ แม้จะรู้ว่าทั้งสองคนกำลังตั้งใจฟังอยู่ก็ตาม อีกทั้งยังมีกลุ่มเพื่อนสนิทของเดือนแรมยืนล้อมโต๊ะอยู่อีกด้วย “คนมันทำตัวไม่ถูกอะ”


“ทำตัวเหมือนปกติดิ”


ธันวาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนหันข้างให้ตนและหันหน้าไปด้านอื่นทั้งที่พูดกับเขาแล้วยิ้มขำกับการทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีของอีกฝ่าย “อย่างกับพี่ปกตินักนี่” ไม่ทันระวังตัว เมื่ออยู่ ๆ ใบหน้าคร้ามคมก็หันมามองกัน ธันวาจึงหันหลบแทบไม่ทัน


“ก็กูเขิน มองมึงมาตั้งนาน จีบมึงมาก็หลายเดือน พอได้สถานะจริง ๆ แล้วมันเขินแปลก ๆ”


“อะแค่ก ๆ” ไม่มีเวลาให้ธันวาได้เขินกับคำพูดตรงไปตรงมาชวนใจสั่นเพราะกรองเกียรติเพื่อนรักเล่นสำลักน้ำซุปชวนให้อายจนไม่กล้าสู้หน้าใครเสียก่อน ซ้ำเจ้าตัวยังเอ่ยขอโทษออกมาอย่างโจ่งแจ้งให้รู้อีกด้วยว่าตั้งใจฟังพวกเขาคุยกันอยู่จริง ๆ


“เย็นนี้อย่าขาดซ้อมนะไอ้ตฤณ” เดือนแรมเปลี่ยนเรื่องเสียงเข้ม ทำเป็นไม่สนใจกรองเกียรติและลืมคำพูดชวนอ้วกของตัวเองไป


“ผมน่ะเหรอจะขาดซ้อม จะพูดเป็นนัยว่าให้ใครบางคนไปดูตัวเองซ้อมด้วยก็พูดตรง ๆ เถอะครับพี่” ตฤณไม่เพียงแต่แซวเดือนแรมเท่านั้นแต่ยังมองล้อเพื่อนตัวเองด้วย


“เออ...” เดือนแรมว่าเสียงเรียบพอกันกับใบหน้าที่นิ่งเฉยให้เด็กมันตระหนักรู้ว่าตนไม่ใช่คนที่จะเล่นด้วยง่าย ๆ “...มึงไปดูกูซ้อมด้วยนะธันวา”


“ครับ” ธันวามองคาดโทษเพื่อน รู้สึกขอบคุณที่เดือนแรมเพียงแค่วางมือบนบ่าก่อนจากไปแทนการลูบผมหรือทำอะไรที่ทำให้เขาต้องเขินสายตาเพื่อนไปมากกว่านี้


“พี่แรมแม่ง...ถ้าได้ของดีแบบนี้กูก็ยอมเป็นเกย์วะ” ตฤณว่าอย่างเพ้อ ๆ เมื่อคล้อยหลังเดือนแรมแล้ว “คนอะไร เท่ฉิบหาย สูง หล่อ หุ่นดี เรียนโคตรดี กีฬาก็เด่น แถมยังมีภาวะผู้นำอีก อีกหน่อยชีวิตมึงก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ถึงตอนนั้นมีแต่คนอิจฉาแน่…” ธันวาไม่สนใจเรื่องนี้นักเพราะตนไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นจากการคบกับเดือนแรม “...ความจริงกูว่าคงมีคนอยากได้พี่แรมเยอะแหละ แต่ที่สาว ๆ ไม่ค่อยกรี๊ดพี่แรมออกนอกหน้ามากคงเพราะหน้าดุ ๆ ของพี่แกเนี่ยแหละมั้ง เสียดายจริง ๆ”


“ดีแล้วที่สาว ๆ ไม่กรี๊ดมาก ไม่งั้นคนแถวนี้มีคู่แข่งเยอะแน่” กรองเกียรติเสริม พร้อมใจกันมองล้อเพื่อนตัวเองกันอย่างสนุกสนาน


“แล้วไง ก็ได้แค่กรี๊ดแหละวะ พี่เขาชอบกูคนเดียวมานานแล้ว” พูดเองก็กระดากอายในความมั่นหน้าของตัวเอง แต่เพราะไม่อยากถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวจึงจำต้องปั้นหน้านิ่งสู้กลับไป


“โอ้โห มั่นหน้ามากเพื่อนกู” ตฤณว่าติดตลก


“เรื่องจริง ถ้ามึงกล้าก็ไปถามพี่แรมได้เลยนะ”


“ค้าบ เชื่อแล้วครับ หนึ่งเดียวในใจพี่แรมคือธันวา เพื่อนกูเองครับ”


“กวนตีน” ธันวาสบถทิ้งท้ายก่อนจะเลิกต่อล้อต่อเถียงด้วย




กว่านักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองจะเลิกเรียนในคาบบ่ายก็จวนจะห้าโมงเย็นแล้ว ตฤณที่นัดซ้อมกีฬาในเวลาห้าโมงตรงจึงรีบเร่งวิ่งออกจากห้องเรียนไปโดยไว ธันวาเองก็คิดว่าคงได้เจอเดือนแรมที่สนามบาสแต่กลับกลายเป็นว่าเจอกันใต้หอพักในตอนที่เขาลงมาจากเก็บกระเป๋าและเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องเรียบร้อยแล้วเสียอย่างนั้น


“อ้าวพี่แรม ทำไมยังอยู่ตรงนี้อะ” ธันวาตะโกนเรียกก่อนจะวิ่งตามเข้าไปใกล้


“เพิ่งเลิกเรียน สายแล้วด้วยเนี่ย”


“ไม่เป็นไรหรอกมั้งพี่ ปีสองก็เพิ่งเลิกเหมือนกัน”


เดือนแรมครางรับในลำคอแต่ยังไม่ลดความเร็วของฝีเท้าลง


“เย็นนี้ไปกินข้าวกัน...ผมเลี้ยง”


เดือนแรมอมยิ้ม ไม่ถึงกับหยุดเพื่อมองหน้าคนพูด เขาเพียงแค่ชะลอฝีเท้าลงโดยอัตโนมัติเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้น้องเองก็อยากใช้เวลาอยู่กับเขาโดยที่เขาไม่ต้องเป็นฝ่ายร้องขออยู่ข้างเดียวอีกแล้ว หัวใจพองโตจบคับอกเป็นอย่างไรเดือนแรมเพิ่งรู้ซึ้งก็วันนี้


“ไม่ไปเหรอ” ธันวาถามย้ำเมื่อเดือนแรมยังไม่ยอมให้คำตอบ


“ไปดิ มึงก็รู้ว่ากูรอวันนี้มานานมากแค่ไหน”


“วันที่จะได้กินฟรีน่ะเหรอ” ธันวาเบี่ยงประเด็นแก้เขินจากสายตาที่อีกฝ่ายมองมาอย่างหวานซึ้ง


เดือนแรมร้องหึในลำคอก่อนกอดคออีกฝ่ายดึงเข้ามาใกล้แล้วก้มลงไปกระซิบใกล้หูให้ได้ยินกันแค่สองคน “ถ้าให้เทียบแล้ว กูรอวันที่จะได้กินมึงมากกว่ากินฟรีอีกนะ”


“พี่แรมโว้ย!” ธันวาโวยวายด้วยสีหน้าแดงก่ำ เบี่ยงตัวเองออกห่างแล้วยังผลักไสอีกฝ่ายออกไกลตัวอีกด้วย “เป็นคนแบบนี้เหรอเนี่ย ไปไกล ๆ เลยนะ คนคิดไม่ดี”


“ไอ้น้องธันว์” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังขึ้นเรียกความสนใจของคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี


“พี่ต้า หวัดดีครับ” ธันวายกมือไหว้ตามมารยาท แม้ไม่ยินดีจะพบเจอแต่อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็อาวุโสกว่าและเป็นเพื่อนของญาติผู้พี่ตนด้วย “มาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ”


“กูมาเยี่ยมญาติน่ะ แต่ไม่มีเพื่อนกินข้าวด้วย มึงไปกินข้าวกับกูนะ ที่โรงอาหารคณะมึงก็ได้”


“เอ่อ…”


“มึงไม่ว่างก็บอกเขาไปตรง ๆ จะมัวอ้ำอึ้งอยู่เพื่อ?” เดือนแรมแทรกด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ ไม่ได้ไม่พอใจน้อง เขาหงุดหงิดแขกไม่ได้รับเชิญมากกว่าเพราะดูจากสายตาที่มองมาก็รู้ว่าหวังอะไรที่มากกว่าอาหารเย็นธรรมดา ๆ แน่ เพียงแต่ธันวาคงไม่รู้


“ผมไม่ว่างน่ะครับ ขอโทษด้วย”


ต้าเหลือบมองคนที่ออกตัวแทนธันวาแวบหนึ่ง เก็บรายละเอียดด้วยท่าทีที่ทำเป็นไม่สนใจนักพลางคิดว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาเห็นผู้ชายคนนี้อยู่กับธันวา “แล้วมึงกินข้าวเย็นกี่โมง กูรอได้นะ”


เดือนแรมขมวดคิ้ว ใบหน้าหล่อตึงขึ้น ชักหงุดหงิดกับความรั้นของอีกฝ่ายจนอยากจะเสียมารยาทบอกปัดแทนธันวาเสียเอง


“ผมมีนัดแล้วครับ ขอโทษจริง ๆ”


“ไปกันเถอะ สายแล้ว” เดือนแรมไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับหรือต่อรองใด ๆ อีก รีบกอดคอรั้งให้คนน้องเดินตามตนออกไปจากตรงนี้โดยเร็ว


ธันวารู้ว่าเดือนแรมไม่ได้หงุดหงิดตัวเองเพราะไม่ได้มีท่าทีมึนตึงใส่ เพราะอย่างนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรให้มากความนอกจากยอมให้อีกฝ่ายกอดคอพาเดินไปจนถึงสนามบาสเกตบอล และยืนยันความคิดของธันวาได้ดีเมื่อก่อนปลีกตัวออกไปหาทีม เดือนแรมยังหันมาบอกกันด้วยน้ำเสียงปกติอีกด้วยว่าให้รอไม่นานเพราะวันนี้ตั้งใจจะเลิกซ้อมเร็ว


คนทำหน้าที่เป็นกองเชียร์นั่งดูได้ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันจบควอเตอร์แรกบรรดาเพื่อนสนิททั้งสามของเดือนแรมก็เข้ามาสมทบ ได้รับคำแซวจากบอยบ้างโอ๊คบ้างหนุ่มรุ่นน้องก็แค่ยิ้มรับเพราะเริ่มชินเสียแล้ว


“พวกมึงมากันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เดือนแรมเอ่ยทักทายเพื่อนในตอนที่เดินออกจากสนามมาพัก ทว่าสายตากลับพุ่งตรงมาที่ธันวาเพียงคนเดียว มิหนำซ้ำยังยื่นมือออกไปยีผมคนรักเล่นอีกด้วย ทำเอาอีกสามคนอดคิดไม่ได้ว่าถูกลืมเสียแล้วว่านั่งอยู่ตรงนี้ด้วย


“ทักพวกกูแต่เดินมาแกล้งแฟน”


แก้มธันวาซับสีระเรื่อให้พวกรุ่นพี่ได้แซวทางสายตากันต่อจนเดือนแรมต้องเอาตัวมาบังโดยหันหน้าเข้าหาน้อง “อย่าน่ารัก”


“โว้ย!! ไอ้แรม!!” บอยโวยลั่นด้วยทั้งหมั่นไส้และอิจฉาเพื่อน


“พอแล้วพี่แรม” ธันวาปั้นหน้าดุทั้งที่กลั้นยิ้มแทบจะไม่อยู่ขณะยื่นน้ำดื่มและผ้าเย็นให้อีกฝ่าย “รีบซ้อมได้แล้ว หิว”


“เออ พวกกูก็หิว” โอ๊คแทรกขึ้นมาทำให้เดือนแรมหันกลับไปมอง


“อย่าบอกนะว่าที่มารอเพราะจะชวนไปกินข้าวด้วย”


“เออสิวะ”


“ไม่ได้ เย็นนี้กูมีนัดแล้ว”


“มีเดทเหรอวะ” โอ๊คแซวทั้งน้ำเสียงและสายตาเลยไปถึงคนที่ถูกซ่อนไว้ข้างหลังด้วย


“เออ” เดือนแรมตอบเสียงนิ่งอย่างไม่สนใจอะไร


“วันอื่นพวกมึงก็ไปกันได้ วันนี้เดทแบบมีพวกกูด้วยไม่ได้เหรอ” เดือนแรมรู้ว่าที่บอยพูดไม่ได้หมายความว่ากำลังน้อยใจอยู่แต่อย่างใด เพียงแค่เห็นว่าเขายืนกรานแล้วอยากจะแกล้งกันก็เท่านั้น


“วันนี้ไม่เหมือนวันอื่น กูรอวันนี้มานาน ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้างอใส่กูเลยนะ”


“เอ่อ...เราไปกันวันอื่นก็ได้นะพี่แรม วันนี้ไปกินกับพี่ ๆ เขาก่อน เดี๋ยวผมชวนไอ้ตฤณกับเก่งไปด้วย ได้ใช่ไหมครับพี่ ๆ”


“ว่านอนสอนง่ายแบบนี้สิวะค่อยเข้ากันได้หน่อย”


“ทำไมมึงยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลนักวะ ต่อไปถ้านัดกูแล้วเปลี่ยนใจง่าย ๆ แบบนี้กูลงโทษมึงหนักแน่”


บอยกับโอ๊คระเบิดเสียงหัวเราะลั่น แม้แต่ไนท์ยังหลุดยิ้มขำให้สีหน้าเหรอหราของหนุ่มรุ่นน้องและความจริงจังของเพื่อนตัวเอง


“ไปกับเพื่อนพี่เถอะไอ้น้องธันว์ มันรอวันนี้มานาน อย่าปล่อยให้มันเก้อเลย” ไนท์บอก ในน้ำเสียงยังติดความขบขันไว้อย่างปิดไม่มิด


“พวกมันแค่แกล้งกูเล่น ไม่ได้งอนจริงจังหรอก มึงไม่ต้องคิดมาก” เดือนแรมอธิบายเมื่อเห็นธันวายังเป็นกังวล คงกลัวว่าจะเข้ามาทำให้เขามีปัญหากับเพื่อนฝูง


“ซื่อจังวะ” สายตาเอ็นดูแกมล้อและมือของโอ๊คที่ยื่นมาหาคือภาพสุดท้ายที่ธันวาเห็นก่อนจะถูกกำแพงมนุษย์อย่างเดือนแรมแทรกตัวเข้ามาขวางไว้


“ปากว่าได้ แต่มือไม่ต้องถึง”


“แหม หวงซะจริงเลยนะ หมั่นไส้โว้ย!”


“ถ้ามาหากูด้วยเรื่องนี้ก็ไปกินข้าวกันเถอะ”


“ยังอยากนั่งเป็นเพื่อนน้องมันว่ะ กลัวมันเหงา” โอ๊คยังไม่เลิกแกล้งให้เดือนแรมหงุดหงิดใจ


“นั่งรอกู จะเหงาได้ยังไง”


“ไว้กลับมาแก้ตัวเถอะ กูว่าวันนี้มึงแพ้” ไนท์เคลียร์สถานการณ์ เพราะหากปล่อยไว้อย่างนี้มีหวังคงได้หิ้วท้องฟังสองคนนี้ย้อนกันไปมาจนไส้กิ่ว “กูหิวแล้ว”


เดือนแรมยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะยิ่งทำให้โอ๊คฟึดฟัดที่ไนท์เหมือนจะเข้าข้างเดือนแรมมากกว่าจึงเลือกที่จะทิ้งท้ายในสิ่งที่ทำให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายจางลงไปจนเกือบหายสนิท “ยังมีเวลาให้กูแก้ตัวอีกเยอะ อย่างน้อยน้องมันก็นอนห้องเดียวกับกูละวะ”


เดือนแรมหันมองหน้าธันวานิ่งเหมือนใช้ความคิด แต่คนน้องกลับร้อนตัวรีบพูดคำสัญญาออกมารัวเร็วด้วยกลัวว่าอีกคนจะคิดมาก “สัญญาว่าจะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนอีก จะใส่ชุดนอนที่มิดชิดและระวังตัวให้มากขึ้นด้วยครับ!”


คนฟังยิ้มเอ็นดู “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”


“ก็เห็นพี่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง”


“ขอบใจ” เขาหมายความว่าอย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกอยากขอบคุณที่อีกฝ่ายเต็มใจจะปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อความสบายใจของเขาโดยไม่ต้องเอ่ยบอกให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย เพราะแม้เขาจะหวงแต่ก็ไม่อยากบังคับให้น้องรู้สึกอึดอัดและไม่เป็นตัวเอง “หิวรึยัง รออีกนิดนะ”


“ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า”


เดือนแรมรักษาคำพูดที่บอกว่าจะปล่อยให้ธันวารอไม่นาน เพราะการซ้อมในวันนี้จบลงที่สองควอเตอร์เท่านั้น หลายคนในทีมต่างมองมายิ้ม ๆ อยากจะแซวออกเสียงที่กัปตันทีมมีคนดูแลปรนนิบัติพัดวีให้อย่างดีแต่ก็ไม่กล้า


คนพี่แอบยิ้มอย่างพอใจเมื่อธันวาไม่ได้เอ่ยปากชวนเพื่อนอย่างตฤณไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกัน จะเพราะอยากสงวนให้ช่วงเวลานี้เป็นของพวกเขาแค่สองคนอย่างที่ควรจะเป็นหรือเพราะอะไรก็ตาม แต่มันก็ทำให้เดือนแรมพอใจมากทีเดียว


“อยากกินอะไรสั่งเลยนะครับ” ธันวายิ้มแป้นหลังพูดประโยคแสดงความมือใหญ่ใจโตออกมาที่หน้าร้านอาหารตามสั่งในโรงอาหารคณะแพทย์


“นึกว่าจะเลี้ยงอย่างอื่นซะอีก” เดือนแรมไม่ได้มีสีหน้าผิดหวังนัก


“ไหนพี่บอกว่าถ้าวันนี้มาถึง แค่ข้าวร้านป้าชื่นก็ยอมแล้วไง”


“หึ ครับ ยอมอยู่แล้วครับ”


“สั่งเลย เต็มที่!”


“ผมเอาฉู่ฉี่หมูไข่เจียวครับป้า”


“กินอีกแล้ว ไม่เบื่อเหรอพี่”


“รู้ด้วยเหรอว่ากูกินบ่อย”


“ไม่รู้ก็เกินไปป่ะ กินข้าวด้วยกันมากี่มื้อละ”


เดือนแรมยิ้ม “น่ารักเกินไปแล้วนะมึงน่ะ”


“พะ พูดบ่อยเกินไปแล้ว”


“ก็มึงทำตัวน่ารัก”


“อะไร คนเขาเป็นแบบนี้มานานแล้วเหอะ” ธันวาหลบตาด้วยการแสร้งก้มหน้าจดรายการอาหารของตัวเองใส่กระดาษแทนการแจ้งโดยตรงทั้งที่ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยสักคน


“กูรู้” เดือนแรมยิ้มเอ็นดูคนน้องจนอยากจะรวบมากอดเสียตรงนี้ “รู้มานานแล้วว่ามึงน่ารัก”


คนพี่ถึงกับหลุดขำเมื่ออีกคนเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วใส่ยิ่งทำให้รู้สึกอยากแกล้งต่ออีกนิด “แต่ช่วงนี้น่ารักขึ้น...” เมื่อธันวายังไม่ยอมเหยียดตรงขึ้นมาเสียทีเขาจึงต้องเป็นฝ่ายก้มลงไปเสียเอง “...พี่หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วรู้ไหม”


“น...นี่จีบเหรอ” ธันวายืดตัวขึ้นตรงแต่ยังจับเสาร้านไว้เพราะยอมรับกับตัวเองว่าบางอย่างในร่างกายฟ้องว่าตนกำลังจะไม่ไหว


“จีบดิ” เดือนแรมทำหน้าจริงจังไร้แววล้อหลอกต่างจากเมื่อครู่ที่แพรวพราวเสียจนอีกคนทำตัวไม่ถูก


“ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้เนี่ย”


“ก็จริงจัง คิดว่ากูล้อเล่นอยู่เหรอ”


ธันวากระพริบตาปริบ ๆ ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าเดือนแรมจะล้อเล่นกับความรู้สึก “เปล่าสักหน่อย แค่ไม่คิดว่า...” คนเด็กกว่าเกาท้ายทอยแก้เก้อ ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ตรงกับความรู้สึกและไม่เป็นการตรงเกินไปจนขัดเขินไปมากกว่านี้


“ว่าอะไร” เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงหูแดงแล้วก็พอรู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไร เพียงแต่ยังเดาคำตอบของอีกฝ่ายไม่ได้


“...ว่าคบกันแล้วยังจะจีบอีก”


เดือนแรมงับปากตัวเองไว้ไม่ให้หัวเราะลั่นออกมาได้ทัน และเพราะมัวแต่มองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจึงไม่ทันสนใจว่าพวกตนกำลังยืนคุยกันหน้าร้านอาหารตามสั่งและมีสายตาของใครจับจ้องอยู่บ้าง “ก็ที่ผ่านมามึงรู้สึกตัวช้า กลัวยังไม่รู้ว่าจีบอยู่นะ”


“ก็...” ตั้งใจจะเงยหน้าขึ้นมาแย้ง แต่พอเจอสายตาแพรวพราวก็เกิดอาการพูดไม่ออกจนต้องหันหน้าหนีอีกครั้งจึงไม่ทันสังเกตว่าหน่วยตาคู่นั้นฉายแววขบขันตนปนอยู่ด้วย “คบแล้ว ไม่ต้องจีบแล้ว”


“เหรอวะ” เดือนแรมนิ่งคิด “แต่อยากจีบอีกเรื่อย ๆ อะ”


“เพื่อ” เหมือนจะอ่อนใจและเหนื่อยกับความดื้อของคนพี่ แต่ธันวาก็ไม่อาจกลั้นยิ้มเอาไว้ได้


“อยากให้มึงหลงกูแบบที่กูหลงมึงบ้างไง”


“...”


“ทั้งรักทั้งหลงจนหัวปักหัวปำ”







TBC.
---------------------------------------
ปล่อยให้มีช่วงเวลาหวานๆไปก่อนนนน
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-08-2019 00:36:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 25-08-2019 08:58:21
ไม่ใช่แค่ธันวาที่ใจสั่น คนอ่านก็ใจสั่นอีพี่แรมหยอดอะไรขนาดนั้น มันเขิน
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 26-08-2019 01:58:08
ฮือออออออ เขินนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-08-2019 17:17:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 28-08-2019 16:46:37
พี่แรมมมมมมมมมมมมมมม
อ้อยให้น้องหลงแรงๆ เลยนะพี่ มีโซแดม โซฮอตเท่าไหร่จัดไป งานนี้มิต้องกั๊กกันแล้ว
fc พี่แรม
 :hao7:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 29-08-2019 14:53:04
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-08-2019 01:37:43
คนอ่านเขินจนมือหงิกไปหมดแล้ว  :hao7: :-[
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 04-09-2019 19:31:33
โอ้ยยยย ไอ้พี่บ้า เขินแทนน้องไปหมดแล้วเนี่ย


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-10-2019 22:56:31
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.6 [24/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-10-2019 23:33:07
โอ้ยยยย อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 19-10-2019 23:18:16
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒






เช้าวันเสาร์สุดท้ายที่บ้านก่อนเข้าสู่ช่วงสอบบล็อกสุดท้ายของเทอมหนึ่ง ธันวาตื่นขึ้นมาในตอนเกือบแปดโมงหลังจากที่กดเลื่อนปลุกของโปรแกรมในสมาร์ทโฟนถึงสามครั้ง หากไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากับลุงและพี่ชายผู้เป็นเจ้าของบ้าน เขาเองก็อยากนอนตื่นสายบ้างเหมือนกัน


ชีวิตนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองที่ตนเดินทางมาเกือบครึ่งทางแล้วสูบพลังชีวิตไปเยอะพอสมควรจากการตื่นเช้าในทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่มีเรียนคาบเช้าตอนแปดโมงตรง ตารางเรียนของเขายิ่งกว่าตอนเรียนชั้นมัธยมเสียอีก แม้บางครั้งจะโชคช่วยหรือเวรกรรมแต่อย่างไรก็ไม่รู้เมื่อมีการยกเลิกคลาสกะทันหันเพราะอาจารย์ติดคนไข้บ้างติดภาระงานอื่นบ้างทำให้พอมีเวลาว่างแต่ก็ต้องแลกมากับการชดเชยเวลาเรียนในวันหยุด รวมถึงการที่แต่ละคาบยาวนานกว่าสี่ชั่วโมงก็ทำเอาสมองล้าอยู่ไม่น้อย หากช่วงหลังมานี้ไม่ได้น้ำชาของเดือนแรมช่วยให้ไม่หลับในคาบเรียนได้ เขาเองก็คงต้องเหนื่อยตามทบทวนทีหลังอีกมาก


แม้จะผลัดเวลาตื่นมาหลายนาทีแล้วแต่ก็ยังพอมีเวลาให้บิดขี้เกียจบนเตียงนอนก่อนอาหารเช้าอีกเล็กน้อย ธันวาจึงเช็คการแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทต่าง ๆ ก่อนลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน และสิ่งหนึ่งที่ยังคงเห็นในเวลาเดียวกันของทุกเช้าก็ยังคงเด้งในวันหยุดแบบนี้


สติกเกอร์หัวใจจากเดือนแรม


นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาได้ยิ้มให้กับตัวเองในทุกเช้าทันทีที่ตื่นนอน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมตนถึงยังได้รับสิ่งนี้ในทุกเช้าทั้งที่เดือนแรมก็น่าจะเลิกแกล้งส่งมากวนกันได้แล้ว ไวเท่าความคิด ธันวารีบพิมพ์ส่งข้อความตอบกลับไปทันที


‘พี่แรม ถามไรหน่อยดิ ทำไมยังส่งหัวใจมาให้ตอนเช้าอะ’



และแม้ว่าสติกเกอร์ของเดือนแรมจะถูกส่งมานานเกือบชั่วโมงแล้วแต่อีกฝ่ายยังโทรกลับมาทันทีที่ได้รับข้อความของเขา


[มึงรำคาญเหรอ] ไม่มีคำทักทายยามเช้าด้วยเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง มีแต่คำพูดเข้าประเด็นเหมือนเป็นเรื่องร้อนใจ


“เปล่า แค่สงสัย เมื่อก่อนพอเข้าใจนะว่าพี่ส่งมากวนประสาท แต่ตอนนี้สงสัยว่าทำไมไม่ส่งข้อความหรืออะไรอื่น ๆ เลย เอาแต่ส่งหัวใจมาให้” ธันวาพลิกตัวนอนคว่ำหน้าบนเตียงจนผ้าห่มร่นไปเกาะเอวสอบ ยิ่งได้คุยโทรศัพท์แบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกขี้เกียจลุกออกจากที่นอน เปลือกตาสีอ่อนจึงปิดลงอีกครั้งทั้งที่ยังถือโทรศัพท์คาไว้ที่หู


[ไม่เคยส่งไปกวนประสาท ตอนนั้นส่งไปจีบ อยากให้มึงเห็นแล้วนึกถึงกูทันทีที่ตื่นนอน แต่มึงก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมัน]


“แล้วตอนนี้อะ เคยชินงี๊เหรอ”


[เปล่า ส่งไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วย แต่อยากส่งให้รู้ว่ากูตื่นแล้วและกำลังคิดถึงมึงอยู่]


นัยน์ตาสุกใสเบิกขึ้นเต็มตาเมื่อได้ยินอย่างนั้นพร้อมกับร่างที่พลิกกลับมานอนหงายเพราะใจที่เต้นรัวเร็วเกินกว่าจะกดทับเอาไว้ได้ ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าต่อไปตนจะส่งสติกเกอร์หัวใจกลับไปให้ทันทีที่ตื่นนอนเช่นกัน


“พี่แรม”


[ครับ]


“วันนี้ไปอ่านหนังสือด้วยได้ไหมครับ”


ได้ยินปลายสายหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ [ไม่อยากเล่นเกมหรือทำอย่างอื่นแล้วรึไง]


“ไม่อะ กลัวชวนพี่เล่นแล้วพากันเสียคน อ่านหนังสือตามพี่ดีกว่าจะได้ไม่หนักตอนสอบ”


[อือ เอาสิ จะมาที่บ้านเหรอ]


“ครับ ได้ไหมอะ หรือเราเจอกันที่คาเฟ่ในสวนก็ได้นะ”


[บ้านกูก็ได้ ไม่มีคนอยู่ ทางสะดวก]


“หมายถึงอ่านหนังสือใช่ไหมพี่”


ธันวาได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วจากปลายสาย [เออสิวะ เดี๋ยวไปรับช่วงสาย ๆ นะ]


“ครับ”


อีกฝ่ายกดวางสายไปแล้วแต่ธันวายังกำโทรศัพท์แนบไว้กับตัว ใบหน้าเนียนใสระบายยิ้มเต็มหน้า รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าเมื่อก่อนตนรู้สึกอย่างไรและเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่ตอนที่ไปเที่ยวเล่นอยู่บ้านคนรักเก่าเป็นวัน ๆ อยู่หลายเดือน



ธันวาพกพาสีหน้าระรื่นอย่างคนมีความสุขลงไปเจอทุกคนที่โต๊ะอาหาร และคงเพราะนานมากแล้วที่หลานชายไม่ได้มีสีหน้าแบบนี้ คนเป็นลุงถึงได้จ้องมองด้วยความสนใจเป็นพิเศษ ปกป้องเองก็เช่นกัน


“นอนพอหรือไร เช้านี้หน้าตาสดใสเชียว”


“ผมว่ามีบางอย่างพิเศษเกิดขึ้นมากกว่า” ปกป้องออกความเห็น คำบอกเล่าของเพื่อนสนิทอย่างต้าดังย้อนขึ้นมาให้เขาสงสัยว่าบางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นสาเหตุของความสุขบนใบหน้าญาติผู้น้องก็เป็นได้


“ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ...คุณลุงครับ วันนี้ผมจะไปอ่านหนังสือที่บ้านรุ่นพี่นะครับ อยู่หมู่บ้านเดียวกับเรานี่เอง” ได้ทีจึงรีบขออนุญาตขณะที่ป้าแม่บ้านยกอาหารมาเสิร์ฟ


“ใช่คนที่เคยเอาหนังสือมาให้เรายืมรึเปล่า ที่มานั่งเล่นเกมกระดานอยู่กับเจ้าดีนรอเราตั้งครึ่งวันน่ะ”


ธันวายิ้มแห้ง นึกถึงวันนั้นที่แค่หืออือกับคำบอกเล่าของลุงประภาสแต่ไม่มีปฏิกิริยาใดกับการมาหาถึงบ้านของเดือนแรมแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมา “ครับ”


“ถ้าธันว์ต้องการคนช่วยติวก็ให้เขามาอ่านที่บ้านเราได้ไหม สุดสัปดาห์หน้าธันว์ก็ไม่กลับบ้านจนกว่าจะสอบเสร็จ ลุงจะไม่ได้เจอเราเลยนะลูก วันนี้อยู่บ้านเถอะ” คนเป็นลุงร้องขอและธันวาก็ไม่อาจดื้อรั้นที่จะปฏิเสธความต้องการนั้นได้


“น้องแค่ไปอ่านหนังสือ บ่าย ๆ เย็น ๆ ก็กลับบ้านแล้วนะครับพ่อ” ปกป้องว่า พยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้ขุ่นเหมือนในใจ


“แต่พ่ออยากให้ธันว์อยู่ในสายตา”


ธันวาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหลือบมองพี่ชายสลับกับลุงแล้วจำต้องเอ่ยตอบรับออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก


เมื่อจบมื้ออาหารธันวาจึงส่งข้อความไปบอกเดือนแรมให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลง โชคดีของเขาที่อีกฝ่ายเข้าใจและไม่ตั้งคำถามอะไรมาก


ธันวาใช้เวลาหลังมื้ออาหารร่วมกับประภาสในห้องนั่งเล่น รายการเบาสมองที่กำลังฉายบนหน้าจอโทรทัศน์คือจุดสนใจก่อนจะถูกแทนที่ด้วยใครอีกคนที่เดินเข้ามาร่วมวงด้วยทั้งที่ปกติแล้วไม่เคยมีส่วนร่วมในกิจกรรมแบบนี้เลย


“วันนี้ไม่รีบแต่งตัวออกไปข้างนอกรึไง”


“ไม่ล่ะครับ อยู่บ้านอาจมีอะไรน่าสนุกมากกว่า” ธันวาไม่ได้มองอีกฝ่ายอย่างที่ประภาสให้ความสนใจจึงไม่ทันรู้ตัวว่าตนถูกพาดพิงทางสายตาแวบหนึ่ง


“ดี วันหยุดก็อยู่บ้านซะบ้าง”


“แล้วรุ่นพี่นายจะมาเมื่อไหร่” ปกป้องถามคนน้องที่นับวันจะยิ่งหลบสายตากันให้หันมามองกันบ้าง ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็แค่เหลือบมามองแวบหนึ่งในตอนที่ให้คำตอบสั้น ๆ เท่านั้น


“10 โมงครับ”


“ชวนเขาทานมื้อกลางวันด้วยแล้วใช่ไหม”


“ครับคุณลุง”


“ถ้ารู้ว่าเขาชอบทานอะไรก็ไปบอกในครัวไว้นะ จะได้ทำให้ถูกปาก”


“ครับคุณลุง”


“เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องรู้ด้วยเหรอว่าเขาชอบทานอะไร” ปกป้องตั้งข้อสังเกตที่ธันวายังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นที่สงสัยเรื่องอะไร


“สนิทกันพอสมควรครับ”


ปกป้องเหยียดยิ้มที่ไม่มีใครทันเห็น “ก็คงงั้น”


เดือนแรมมาถึงบ้านของธันวาพร้อมหนังสือและเอกสารประกอบการเรียนอีกปึกใหญ่ในตอนสิบโมงตรงไม่ขาดไม่เกินจนประภาสอดแซวไม่ได้


พื้นที่สำหรับอ่านหนังสือของสองหนุ่มคือศาลาในสวนที่เดิมที่เดือนแรมเคยมานั่งเล่นหมากรุกกับดีนครั้งก่อน ธันวาช่วยเดือนแรมถือหนังสือไปยังศาลาไม้ก่อนกลับขึ้นห้องไปหยิบของตัวเองบ้าง โดยไม่ลืมแวะเข้าห้องครัวไปเตรียมอาหารว่างตามที่คนเป็นลุงบอก


ฝั่งคนรอเลือกนั่งด้านที่มองเห็นบ้านหลังข้าง ๆ ได้ชัดเจน ระเบียงห้องฝั่งตรงข้ามของบ้านข้างกันยังเป็นเรื่องกวนใจเขา แต่ตราบใดที่ธันวาไม่ให้ความสนใจหรือพูดถึง เขาก็จะพยายามไม่คิดถึงให้บั่นทอนจิตใจด้วยเช่นกัน


ธันวาหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมเอกสารและสมุดบันทึกโดยมีแม่บ้านถือขนมและเครื่องดื่มตามหลังมาด้วย


“มาแล้วครับ มีกาแฟของพี่ ชาเขียวร้อนของผม และคุกกี้กับถั่วไว้ทานเล่นครับ” นอกจากที่ธันวาบรรยายเจื้อยแจ้วแล้วยังมีน้ำเปล่าเย็น ๆ อีกหนึ่งเหยือกใหญ่ ซึ่งจำเป็นไม่แพ้เครื่องดื่มที่เจ้าตัวว่ามาเลย “คุณลุงสั่งให้ทำของโปรดพี่ไว้ด้วยนะ เตรียมพุงกางได้เลย” ธันวายังเล่าต่อเพราะประภาสพูดชวนรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันแล้วในตอนที่เจอกัน


“กินเยอะขนาดนั้นตอนบ่ายคงไม่ต้องอ่านหนังสือแล้วมั้ง เตรียมนอนเถอะ” เดือนแรมว่ายิ้ม ๆ ขณะจัดพื้นที่ของอาหารและหนังสือให้เข้าที่เข้าทาง


ธันวายิ้มแห้ง ร้อนตัวเหมือนถูกอีกฝ่ายเหน็บเรื่องชอบหลับเวลาเรียนและอ่านหนังสืออย่างไรชอบกล


ทั้งสองจัดแจงตัวเองให้นั่งเยื้องกันเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับวางเอกสารของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างตั้งใจอ่านหนังสือในส่วนของตัวเอง ไม่มีใครชวนคุย มีแค่บางครั้งที่ธันวาขอความช่วยเหลือให้เดือนแรมอธิบายในส่วนที่ตนไม่เข้าใจและอีกฝ่ายก็ยินดีที่จะสอน


และต่อให้ตั้งใจอ่านหนังสือมากแค่ไหนแต่คนที่สมาธิสั้นอย่างธันวาก็ยังละความสนใจจากหนังสือมาหาคนตรงหน้าอยู่ดี


คนเด็กกว่าทิ้งศีรษะลงกับท่อนแขนบนโต๊ะ เอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองคนที่นั่งเยื้องกับตนได้ชัดเจน ไม่ทันรู้ตัวว่าใช้สายตาแบบไหนจ้องมองอีกฝ่าย แต่เพียงไม่นานคนที่ถูกจ้องก็เริ่มทำเป็นเฉยไม่ไหว


“มองอะไรนัก” เดือนแรมไม่ได้ดุ


“มองพี่”


เมื่อได้คำตอบตรงไปตรงมาคนพี่จึงจำต้องวางปากกาลงแล้วหันไปหาอีกคนเต็ม ๆ ตา “มองทำไม”


“ไม่รู้ดิ” นัยน์ตาใสจ้องมองตาแป๋ว


“ไม่รู้ได้ไง ไม่รู้จะมองเหรอ”


“คงเพราะอยากมองละมั้ง...มองแล้วสบายใจดี...ชอบ”


“ชอบกู?”


ธันวายิ้มบางทว่าหวานอยู่ในที เป็นรอยยิ้มที่เดือนแรมชอบ ไม่ได้ทำให้ใจเต้นแรงหรือวาบหวามในอก แต่มองแล้วสบายตาและใจจนไม่อาจละสายตา เขาเคยแต่แอบมองอยู่ไกล ๆ ยามเจ้าตัวมอบมันให้คนอื่น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ได้มองใกล้ขึ้น เพราะเขาคือคนที่ได้รับมัน “ชอบตัวเองเวลาสบายใจ” เดือนแรมยังไม่ทันว่าอะไรต่อเขาก็ยืดตัวขึ้นตรงแล้วมองจ้องด้วยสายตาที่จริงจังขึ้น “เห็นพี่ขยันแบบนี้ ผมชักสงสัยว่าพี่เฟลบ้างไหมเวลาที่ทำข้อสอบพลาดไปบ้าง”


“กูไม่ใช่คนแบบ perfectionist นะ ที่จะพลาดไม่ได้เลยหรือพลาดแล้วเครียดมาก ๆ ถึงกูจะคิดอยู่เสมอว่าคนเรียนแพทย์ไม่ควรตอบข้อสอบผิด เพราะนั่นเท่ากับความรู้เราไม่พอที่จะดูแลคนอื่นอย่างถูกต้อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้รู้ไปเสียหมดทุกอย่าง อะไรที่ไม่รู้ก็แค่ต้องหาให้รู้”


“แต่เคยได้ยินมาว่าพี่อยากได้เกียรติฯหนึ่งเหรียญทอง”


เดือนแรมชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงความตั้งใจของตัวเองที่วางไว้ก่อนจะเผยยิ้มออกมา “จริง ๆ แล้วกูเพิ่งวางเป้าหมายนี้ตอนที่เห็นชื่อมึงเข้ามาเป็นรุ่นน้อง”


“หมายความว่าไงวะพี่”


“ไว้เมื่อถึงเวลาแล้วจะบอก”


“ทำไมไม่บอกตอนนี้เลยล่ะ”


“ปวดฉี่ว่ะ ไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”


“ได้ไงวะพี่” ธันวาโวยวายที่อยู่ ๆ เดือนแรมก็เลี่ยงคำถามของตัวเองหนีไปดื้อ ๆ แบบนี้ แต่ตนก็ยังระบายยิ้มน้อย ๆ ออกมาอยู่ดี เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะหมายความว่าอย่างไร สาเหตุของเป้าหมายนั่นก็คือเขาอยู่ดี


สิ่งแรกที่สะดุดตาเดือนแรมในตอนที่เดินกลับมายังศาลาไม้ไม่ใช่ธันวาที่กำลังตั้งใจเขียนสรุปย่อของตัวเอง แต่คือร่างสูงสง่าที่ยืนบนระเบียงของบ้านอีกหลังและกำลังจ้องมองมายังคนน้องต่างหาก


ภีม...คนรักเก่าของธันวา


จนเมื่อเดือนแรมเดินเข้าไปยืนที่โต๊ะในศาลา สายตาอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนจากธันวามาเป็นเขา ทั้งสองสบตากัน ภีมยืนอยู่ไกลเกินกว่าที่เดือนแรมจะเห็นรายละเอียดในแววตาคู่นั้น แต่เขารู้ว่าตนมีแววสั่นไหวในแววตาของตนเอง โดยไม่รับรู้เลยว่ายังมีสายตาอีกคู่ที่จับจ้องมายังตนจากในบ้านหลังเดียวกันนี้


“ทำไมยังไม่นั่งลงอีกอะ” ธันวาพูดขึ้นโดยไม่ได้ละสายตาจากสมุดจดขึ้นมามองคนพี่จึงไม่เห็นว่านัยน์ตาคมคู่นั้นกำลังจดจ้องสิ่งใดอยู่


เดือนแรมละสายตาจากคนบนระเบียงมามองน้อง ทิ้งความไม่สบายใจทั้งหมดไปแล้วสนใจแต่คนที่อยู่ในสายตาตนตอนนี้พร้อมกับยื่นมือออกไปลูบท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างจงใจให้คนที่กำลังมองอยู่รับรู้ถึงระดับความสัมพันธ์ของพวกเขา หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่กล้า แต่เพราะตอนนี้น้องเปิดใจให้เขาและกำลังคบหากันอยู่จริง ๆ นั่นเท่ากับว่าเขามีสิทธ์ที่จะแสดงความเป็นเจ้าของอีกฝ่ายแล้ว


“กำลังดูว่ามึงอ่านอะไรอยู่ ไหน บล็อกนี้สอบอะไรบ้าง”


“พี่ไม่ต้องอ่านเผื่อผมแล้วนะ” ธันวาเงยหน้าขึ้นโวยวายในตอนที่เดือนแรมนั่งลงพอดี


“ใครบอกกูอ่านเผื่อ กูอ่านเตรียมสอบเอ็นแอลหนึ่งหรอก” เดือนแรมหมายถึงการสอบใบประกอบโรคศิลป์ขั้นที่หนึ่งที่จะสอบเมื่อเขาเรียนจบชั้นปีที่สาม


“ไว้ค่อยอ่าน ตอนนี้อ่านแค่ที่จะสอบบล็อกตัวเองก็พอ ส่วนของผมเดี๋ยวจะอ่านเอง”


“กูอยากช่วย” เขารู้ว่าธันวาเก่งพอจะเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ยิ่งถ้าขยันสักนิดก็ติดท็อปของรุ่นได้ไม่ยาก


“แต่ผมอยากให้พี่พัก ไม่อยากให้หักโหมอ่านเยอะเพื่อติวผมจนตัวเองนอนน้อยอีกแล้วอะ”


เดือนแรมยิ้มมีเลศนัย “ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาไปเดท”


“ใครจะไปด้วยเล่า” ธันวาหันหน้าหนีอย่างเขิน ๆ


“แล้วมึงจะให้กูไปเดทกับใครละวะ”


“อยากให้ไปด้วยก็ชวนดี ๆ ก่อนสิ พูดเพราะ ๆ ไปเดทกับพี่นะครับ แบบนี้”


“ชักเอาใหญ่แล้วนะธันวา” เดือนแรมแกล้งตีหน้าเข้ม


คนน้องแม้จะหวั่นเกรงบ้างแต่ยังรั้นสู้ “อยากไปคนเดียวก็ตามใจ”


“ไปคนเดียวจะเรียกว่าเดทเหรอวะ” แม้จะน้ำเสียงขุ่น ๆ แต่ก็อ่อนลงมากจนคนฟังยิ่งได้ใจก่อนสะดุดลมหายใจกับคำพูดต่อมาของอีกฝ่าย “ไม่เป็นไร กูชวนคนอื่นไปก็ได้”


“แล้วไปกับคนอื่นเรียกว่าเดทรึไงเล่า!”


“ธันวาอยากไปเดทกับพี่ไหมละครับ”


“ทะ ทำไมยอมแพ้อะ” เพราะไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยิน จากที่แกล้งให้อีกคนพูดกลายเป็นตัวเองเสียอย่างนั้นที่รู้สึกเหมือนถูกแกล้งและเสียเปรียบในสถานการณ์นี้


“กลัวมึงไม่ยอมไปด้วย...อยากให้ไปด้วยกัน”


“...”


“จะปฏิเสธเหรอ” เดือนแรมถามย้ำ


“ไปดิ” ธันวาอ้อมแอ้มตอบก่อนจะกลบเกลื่อนความขลาดเขินด้วยการเร่งให้อีกฝ่ายเริ่มอ่านหนังสือเสียที


อาหารมื้อกลางวันของบ้านนี้เริ่มในเวลาเที่ยงตรงจนเดือนแรมอดกระซิบแซวกับธันวาไม่ได้ว่าตรงเวลาประหนึ่งอยู่ในชั้นเรียน แต่เหมือนประภาสจะล่วงรู้ความคิดนั้นเพราะเอ่ยดักออกมาเสียก่อนว่าที่ตั้งโต๊ะตรงเวลาเพราะวันนี้ได้ต้อนรับแขกที่ตรงเวลามาก ๆ อย่างเขา


ธันวาโล่งใจที่นอกจากสายตาที่คอยจ้องสังเกตการณ์แล้วปกป้องก็ไม่ได้ทำหรือพูดอะไรที่ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแย่ลง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะคนนั่งหัวโต๊ะไม่เปิดช่องว่างให้ใครแทรกบทสนทนาระหว่างตนกับแขกได้เลย


หัวข้อสนทนาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของหลานชายคนโปรด อยู่ที่มหาวิทยาลัยธันวาเป็นอย่างไร ขยันมากเกินไปไหม ทำกิจกรรมบ้างหรือเปล่า มีเวลาได้ออกกำลังกายและกินอาหารอร่อย ๆ บ้างไหม ประภาสถามจนคนถูกพูดถึงทำหน้าไม่ถูก กลัวคนตอบจะรำคาญใจ ขณะที่คนตอบกลับใจเย็นและให้คำตอบประหนึ่งคนรู้จักกันผิวเผิน ไม่ได้สนิทกันมากเพื่อไม่ให้ปกป้องล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกตนได้ โดยไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่ควรเปิดเผยแต่เดือนแรมรับรู้ได้ว่าสัญชาตญาณกำลังเตือนให้ตนสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน


เดือนแรมกลับบ้านไปในช่วงก่อนสี่โมงเย็นเพื่อให้ลุงหลานได้ใช้เวลาร่วมกันในการออกกำลังกายด้วยการวิ่งภายในหมู่บ้านและเลือกโทรหาก่อนนอนโดยใช้เวลาไม่นานนักในการพูดคุยเรื่องจิปาถะ






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 19-10-2019 23:20:51
ลงท้ายเดือนแรมก็ไม่ได้ชวนธันวาไปเดทที่ไหนในช่วงก่อนสอบนอกจากหาโอกาสอ่านหนังสือด้วยกันในช่วงเย็นที่เหมารวมถึงช่วงเวลาของอาหารเย็นแบบเร่งรีบอีกด้วย สาเหตุหลักก็เพราะต่างก็อ่านหนังสือไม่ทัน แต่ถึงอย่างนั้นกลับยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปมากกว่าการออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันเสียอีกจนเพื่อนฝูงต่างล้อกันว่าสองคนนี้ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ คนที่ไม่รู้ว่าเดือนแรมปีสามกับธันวาปีสองกำลังคบกันอยู่ก็ได้รู้ในช่วงนี้เอง และเพราะอย่างนั้นหลายคนจึงทำนายกันว่าการสอบครั้งนี้ ธันวาจะต้องได้คะแนนสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอน บ้างก็คาดเดาว่าอาจจะได้ท็อปเหมือนเดือนแรมในปีที่แล้วเสียด้วยซ้ำ


ขณะที่คนได้รับความคาดหวังโดยไม่รู้ตัวเหน็ดเหนื่อยกับการเร่งอ่านหนังสือจนต้องทิ้งศีรษะหนักอึ้งโดยใช้ส่วนของหน้าผากพิงต้นแขนของคนที่นั่งอ่านหนังสือข้างกันอยู่ทุกวันไว้พร้อมกับหลับตาพักโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รำคาญเลยสักนิดเดียวที่ถูกขัดจังหวะการอ่านหนังสือ


“พิงดี ๆ ธันวา”


เมื่อคนพี่ขยับตัวจะเปลี่ยนท่าทางอีกฝ่ายก็รีบส่งเสียงแย้งแบบอ้อน ๆ “อื้อ ขออยู่ท่านี้แป๊บนึงครับ” ธันวาไม่ได้ตั้งใจจะอิงซบหรือคลอเคลีย เขาแค่อยากพิงเพื่อทิ้งสมองหนัก ๆ ของตัวเองเท่านั้น


“ให้พี่ขยับก่อน จะได้พิงสบาย ๆ ไง” ไม่บ่อยนักที่เดือนแรมจะแทนตัวเองว่าพี่โดยไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทหรือหยอกกัน และนั่นทำให้ธันวารู้สึกลื่นหูเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเวลาที่เหนื่อยล้าแบบนี้


“ไม่เอา แบบนี้พี่จะได้อ่านหนังสือไปด้วย ขอรบกวนไม่นานหรอก” ธันวาว่าทั้งที่ยังหลับตาจึงไม่เห็นรอยยิ้มของคนพี่


เดือนแรมเลิกเจรจาแต่ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ จับตัวน้องออกห่างและใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวหมุนตัวเข้าหาอีกฝ่ายเปลี่ยนตำแหน่งที่ให้อีกฝ่ายพิงจากต้นแขนเป็นอกกว้างแทน “แบบนี้สบายกว่าเยอะ จริงไหม”


“อื้อ” ธันวาครางรับด้วยความเหนื่อยล้า “ขอบคุณครับ”


วงแขนโอบล้อมคนน้องไว้หลวม ๆ ถือโอกาสนี้เป็นการพักสายตาไปด้วย ทว่าเพียงครู่เดียวคนที่ซบอกอยู่ก็ปริปากพูดขึ้นมาเหมือนกับว่าสาเหตุของความอ่อนล้าไม่ได้มีเพียงแค่การอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วงในทุกวัน “คนเขาพูดกันว่าผมคบพี่เพราะหวังเกรดเอ”


เดือนแรมเองก็ได้ยินผ่านหูมาบ้างแต่ไม่ได้เก็บมาสนใจนัก เพราะอย่างนั้นถึงได้ดีใจที่อีกฝ่ายพูดออกมาตรง ๆ เมื่อมีบางอย่างทำให้ไม่สบายใจ “ไม่สบายใจเหรอ”


“ผมกลัวพี่ไม่สบายใจมากกว่า...กลัวจะคิดมาก”


“กลัวกูคิดเหมือนที่คนอื่นพูดกันน่ะเหรอ”


คนน้องผละออกมาพยักหน้างึกงักแล้วมองสบตาตรง ๆ “ไม่ได้ร้อนตัวนะ แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ”


เดือนแรมมองยิ้ม ๆ จัดผมเผ้าอีกฝ่ายทั้งที่ไม่ได้ยุ่งเหยิงอะไรนักอย่างเบามือ “ธันวา กูไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นหรอก กูไม่สนด้วยว่าใครจะตั้งคำถามกับรสนิยมทางเพศของกูยังไง เพราะฉะนั้นไม่มีความจำเป็นอะไรที่กูต้องคิดแบบนั้นหรอกนะ เพราะถ้ามึงหวังผลประโยชน์จากกูจริง ๆ มึงไม่จำเป็นต้องรับรักกูก็ได้ มึงแค่ให้ความหวังกูไปวัน ๆ เปิดโอกาสให้กูจีบอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนเมื่อก่อนมึงก็ได้ในสิ่งที่คนอื่นคิดกันแล้ว”


“โห ทำไมฉลาด ไม่คิดเหรอว่าผมยอมเปลืองตัวเพื่อให้ได้ผลที่มากกว่าเดิมอะ”


เดือนแรมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้างั้นก็ยอมเสียตัวดิ จะทำให้ได้เต็มทุกบล็อกเลย”


ธันวาถอยห่างด้วยสีหน้าตื่นกลัว “ผมไม่ใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูงขนาดนั้นหรอกครับ เท่านี้พอแล้ว”


เดือนแรมหลุดขำ รู้ว่าน้องไม่ได้หวาดกลัวจริง ๆ อย่างที่แสดงออกเพราะไร้ท่าทีขัดขืนเมื่อถูกดึงกลับเข้ามาซบอกเหมือนเดิม “คบกัน อย่าฟังความเห็นลบ ๆ ของคนอื่นมาก ฟังเสียงหัวใจของเราก็พอแล้ว”


ธันวาซ่อนยิ้มไว้กับอกคนพี่ “ครับ”







บล็อกสุดท้ายในเทอมหนึ่งของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองใกล้เข้ามาทุกที ขณะที่นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามเริ่มสอบกันแล้ว


“เป็นไงบ้างพี่แรม” ธันวารีบผละจากเพื่อนฝูงเดินกึ่งวิ่งเข้าไปถามเดือนแรมทันทีที่เจอหน้าใต้หอพักในช่วงเย็น เมื่อช่วงกลางวันก็ไม่ได้พักด้วยกัน เจอกันครู่เดียวตอนที่เขาอาสาซื้ออาหารไปให้อีกฝ่ายรองท้องเพราะไม่ยอมลงมากินข้าวที่โรงอาหาร


เดือนแรมยิ้มบาง ไม่ได้สดชื่นอย่างที่คนถามอยากจะเห็น รวมถึงน้ำเสียงนั่นด้วย “ก็ดีนะ”


“เสียงไม่สดใสเลยพี่แรม” คนถามพานเสียงค่อยเพราะไม่สบายใจไปด้วย


“ไอ้แรมมันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งแหละธันว์” ธันวามองข้ามเดือนแรมไปหาเจ้าของเสียงที่เดินตามหลังมาด้วย “ไม่ต้องห่วงมันหรอก”


“จริงอย่างที่พี่ไนท์ว่าเหรอครับ”


เดือนแรมยิ้มเอ็นดู “ทำได้หรือไม่ได้มึงก็ไม่ต้องห่วงกูขนาดนั้นหรอก” คนเป็นพี่วางฝ่ามือลงบนศีรษะน้องแล้วโยกไปมาเบา ๆ “อย่าคิดมากเลย”


ธันวาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มแป้นเมื่ออีกฝ่ายชวนไปกินข้าว “วันนี้หาของหวานกินด้วยดีป่ะ”


“หืม” เดือนแรมหันมองด้วยความสงสัย


“คลายเครียดไง เทคน้ำตาลหน่อย”


“กลัวกูน้ำตาลตกหรือมึงอยากกินเองกันแน่วะ ชอบจังเลยนะของหวาน ๆ มัน ๆ เนี่ย”


“อะไรเล่า ลดลงเยอะแล้วนะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์ติดมันแล้ว ของหวานก็นาน ๆ ทีเหอะ”


เดือนแรมเพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ ไม่ว่าอะไรต่อนอกจากกอดคอคนน้องเดินออกจากลานใต้หอพักเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการกินแล้วอย่างที่บอกจริง ๆ


เข้าสู่ช่วงสอบของชั้นปีที่สอง เดือนแรมกับธันวาแยกกันอ่านหนังสือโดยสมบูรณ์แบบ ต่างก็เข้าร่วมกลุ่มติวกันในชั้นปีของตัวเอง เวลาที่เจอกันจึงน้อยลงกว่าที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นธันวาที่เลิกสอบก่อนก็ยังรอเจอเดือนแรมพร้อมนมหนึ่งขวดใหญ่ที่เตรียมไว้ให้อีกฝ่ายรองท้องก่อนไปรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันในช่วงค่ำหลังจากต่างฝ่ายต่างติวเสร็จแล้ว


กลุ่มของชั้นปีที่สองที่ธันวาและกรองเกียรติเข้าร่วมติวด้วยนัดหมายสถานที่เป็นคาเฟ่ข้างมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่ประจำของรุ่นพวกเขามาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่ง และก็เป็นคนหน้าเดิม ๆ อีกด้วย ขณะที่กลุ่มปีสามของเดือนแรมเลือกจะอ่านหนังสือกันที่ห้องติวในหอสมุดคณะฝั่งโรงพยาบาล


ทุกเย็นหลังพระอาทิตย์ตก เดือนแรมจะนั่งรถโดยสารภายในมารับธันวาที่ฝั่งมหาวิทยาลัยเพื่อรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แม้ธันวาจะบอกให้เดือนแรมเป็นฝ่ายรอตนกลับไปเองจะได้ไม่เสียเวลาในการอ่านหนังสือของคนพี่ แต่ก็ไม่อาจหักล้างเหตุผลที่อีกฝ่ายอยากมารับเพื่อจะได้ถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศมื้อเย็นไปด้วย


“มาแล้ว ๆ” เสียงใครบางคนพูดด้วยความตื่นเต้นแทรกคำอธิบายของหวานเกี่ยวกับเนื้อหาที่ออกความเห็นกันว่าน่าจะเจอในข้อสอบของวันพรุ่งนี้


“มาเวลาเดิมเป๊ะ” ใครบางคนออกความเห็นที่ทำให้ทั้งคนที่ถูกเบรกและเจ้าตัวที่นั่งติดกันรู้ในทันทีว่าเพื่อนฝูงกำลังให้ความสนใจเรื่องใดอยู่


เดือนแรมยืนมองอยู่หน้าร้าน เมื่อเห็นว่าเป็นใคร คนที่นั่งข้างเธอก็ลุกออกไปทิ้งไว้เพียงไออุ่นของร่างกายจาง ๆ เท่านั้น


“ประคบเย็นบ้างนะ สมองมึงบวมหมดแล้ว” เดือนแรมว่ายิ้ม ๆ พลางยื่นมือไปสางผมที่ยุ่งเหยิงของอีกฝ่ายให้เป็นทรง


“เดี๋ยวเถอะ!” ธันวาปล่อยกำปั้นใส่อกแกร่งไม่แรงนัก


“หิวยัง ไปกินข้าวกัน” เดือนแรมมองเลยเข้าไปในร้านเห็นเครื่องดื่มและขนมวางอยู่เต็มโต๊ะก็เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “กินขนมอิ่มแล้วดิ”


ธันวายิ้มแห้ง “ครับ สมองมันขาดน้ำตาล...แต่ว่าผมไปกับพี่ได้นะ ไปนั่งด้วย” ทุกทีจะเห็นดื่มแค่นมสดเหมือนกัน แต่วันนี้มีขนมด้วยเดือนแรมก็เข้าใจได้ว่าน้องคงหิวและเพลียมากจริง ๆ


“ไม่เป็นไรหรอก ไปติวต่อเถอะ เดี๋ยวกูนั่งกินข้าวรอแถวนี้ได้”


“จริง ๆ ก็ใกล้เสร็จแล้วแหละ เดี๋ยวผมไปนั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนพี่กินข้าวดีกว่า รอนี่แป๊บนะครับ ไปเก็บของก่อน” ธันวาไม่รอให้คนพี่ปฏิเสธความต้องการของตน รีบสรุปรีบผละกลับเข้าร้านไปโดยเร็วแต่ก็ยังถูกเรียกรั้งไว้อีกอยู่ดี


“ขอบใจนะ”


“ที่ไปนั่งด้วยอะนะ”


เดือนแรมส่ายหน้าเล็กน้อยแค่ให้รู้ว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น “ที่บอกกันตามตรงว่าอิ่มแล้ว ไม่ฝืนตัวเองให้ลำบากใจภายหลัง”


ธันวายิ้มซุกซนอีกครั้ง “ภูมิใจล่ะสิ มีแฟนดีขนาดนี้”


เดือนแรมหลุดขำ ได้เจอหน้าธันวาแค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้เขาลืมความตึงเครียดของการสอบไปเสียสนิท “อือ ภูมิใจที่จีบติด”


กลายเป็นคนยอตัวเองเสียอย่างนั้นที่เป็นฝ่ายเขินจนต้องรีบกลับเข้าไปเก็บของในร้าน บอกลาเพื่อนฝูงด้วยความเร่งรีบเพราะกลัวถูกล้อแล้วกลับออกไปโดยเร็ว


ธันวาทำอย่างที่บอกจริง ๆ เขาปล่อยให้เดือนแรมจัดการกับอาหารขณะที่ตัวเองนั่งอ่านส่วนที่เหลือจากการติวอย่างขะมักเขม้น ขณะที่เดือนแรมเองก็เหลือบมองคนน้องเป็นระยะ ตั้งแต่เลื่อนสถานะกันแบบไม่มีการตกลงชื่อเรียกสถานะอย่างชัดเจน มีเพียงแค่ความรู้สึกของคนสองคนที่ตรงกันและรู้กันดีว่าต่างเป็นคนสำคัญของกันและกัน ชีวิตของพวกเขาก็ไม่มีอะไรหวือหวามากนัก ที่ผ่านมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูเหมือนชีวิตคู่รักที่แสนจืดชืดแต่เดือนแรมกลับรู้สึกสบายใจที่อยู่ด้วยกันและหวังว่าอีกฝ่ายจะคิดแบบเดียวกันด้วย


เดือนแรมจุดยิ้มมุมปาก มีความสุขทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน


“พรุ่งนี้กูก็สอบเสร็จแล้ว อยู่ด้วยกันนะ เดี๋ยวติวให้”


ธันวายิ้มซน แม้สีหน้าเดือนแรมจะไม่แสดงออกมากนัก แต่น้ำเสียงและการหลบหน้าหลบตายามเอ่ยข้อเสนอก็เผยความรู้สึกโหยหาเขาออกมาอย่างปิดไม่มิด


“คิดถึงเหรอ” ธันวาเย้า


“เออ” ทั้งที่ยั่วให้อีกฝ่ายพูดออกมาเอง แต่พอได้ยินเข้าจริง ๆ พร้อมสีหน้าจริงจังอย่างทุกทีกลับไปไม่เป็นเสียอย่างนั้น ราวกับการตั้งรับที่เตรียมไว้ไม่ได้ผล...มันไม่เคยได้ผล


“ไม่คิดถึงกันเลยเหรอ” เดือนแรมย้อนถามเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ให้คำตอบว่าจะยอมอยู่ด้วยกันหลังจากเขาสอบเสร็จหรือไม่ “ใจร้ายจังวะ”


“ไม่มีใครใจดีเท่าธันวาหรอกหน่า” ธันวาตอบอ้อมแอ้ม แม้จะไม่พูดออกมาตรง ๆ ว่าคิดถึงเหมือนกัน แต่เดือนแรมก็จะถือว่านี่คือคำตอบตกลง





 ช่วงก่อนสอบธันวาและกรองเกียรติยุ่งกับการอ่านหนังสือจนไม่ได้ติดต่อเพื่อนสนิทต่างคณะและต่างมหาวิทยาลัยเลยนอกจากนัดหมายฉลองหลังสอบเสร็จเท่านั้น โดยที่ธันวาไม่ลืมแจ้งล่วงหน้าเพื่อขออนุญาตชวนเดือนแรมไปด้วยกัน ซึ่งคนที่จะมาฉลองด้วยได้เพียงคนเดียวอย่างดีนตอบรับอย่างไร้ข้อกังขา


สามหนุ่มจากคณะแพทยศาสตร์ที่มาถึงห้างสรรพสินค้าก่อนเลือกรออีกคนที่ร้านหนังสือ แต่ถึงอย่างนั้นคนคงแก่เรียนอย่างเดือนแรมก็ไม่ได้ทำตัวเป็นหนอนหนังสือในแผนกตำราแพทย์แต่อย่างใด แต่กลับตามธันวาไปดูหนังสือนวนิยายแปลหมวดสืบสวนสอบสวนของญี่ปุ่น โดยมีกรองเกียรติยืนอยู่ด้วยเพราะมีความสนใจหนังสือประเภทเดียวกันกับเพื่อนสนิท


“ปกติพี่แรมชอบอ่านหนังสือแนวไหนครับ” ธันวาถามขณะที่ตัวเองนั่งยอง ๆ เพื่อหาหนังสือแถวล่างสุดของชั้น “อ่านแนวนี้บ้างรึเปล่า”


“อ่านบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะติดการ์ตูนมากกว่า อ่านง่ายจบเป็นเล่ม ๆ เร็ว”


“แต่นานมากกว่าจะจบเรื่อง” ธันวาเงยหน้าขึ้นมาล้อ


“ข้างล่างมีของอาจารย์เคโงะไหมวะมึง” เสียงของกรองเกียรติดังแทรกขึ้นมาถามถึงหนังสือของนักเขียนคนโปรดของพวกตนที่มักจะซื้อมาแบ่งกันอ่านทั้งกลุ่ม


“ผลงานระดับอาจารย์ใครจะเอามาวางข้างล่างวะ” ธันวาว่าพร้อมยืดตัวขึ้นยืนคล้ายกับได้ข้อสรุปของการค้นหาแล้ว ทว่ากลับหยิบเล่มหนึ่งที่ไม่ใช่ผลงานของนักเขียนคนดังกล่าวติดมือขึ้นมาด้วย “เล่มล่าสุดที่ออกมึงก็อ่านแล้วป่ะวะ ยังอยากได้เล่มไหนอีก”


“อยากซื้อพวกตระกูลกาลิเลโอเล่มเก่า ๆ เก็บไว้ว่ะ แว่วว่าแกจะเขียนออกมาอีกหลายเล่ม จะได้มีครบ ๆ” กรองเกียรติว่า สายตายังสาดส่องมองรายชื่อเล็ก ๆ ตามสันหนังสือไปทั่วทั้งชั้นอย่างไม่ย่อท้อ ธันวาจำได้ว่าหนังสือเรื่องเหล่านั้นที่เพื่อนกำลังต้องการ พวกตนยืมอ่านจากคู่แฝดที่มีสะสมครบทุกเล่ม ปัญหาใหญ่สำหรับช่วงนั้นไม่ใช่การที่หนังสือขาดมือ แต่เป็นการหลบเลี่ยงสปอยล์จากเพื่อนที่อ่านจบก่อนแล้วต่างหาก


“ถ้าอย่างนั้นมึงคงต้องลิสต์รายชื่อไปให้พี่เขาหาแล้วแหละ บางทีอาจต้องสั่งจองไว้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ”


“คงงั้น”


เมื่อกรองเกียรติได้ข้อสรุปและปลีกตัวออกไปแล้วธันวาจึงได้หันมาหาเดือนแรม เห็นอีกฝ่ายกำลังสนใจหนังสือเล่มหนึ่งในมือก็ไม่อยากกวน แต่เพราะอยากรู้ชื่อหนังสือจึงก้มหน้าลงไปดูหน้าปกหนังสือเสียเอง


เดือนแรมจุดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักแทรกเข้ามาเป็นส่วนเล็ก ๆ ขณะตนกำลังอ่านหนังสือหน้าฝั่งเดียวกับปกที่คนน้องกำลังสนใจมันอยู่เช่นกันก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้มแห้งเพราะคิดว่าทำให้เขาเสียสมาธิเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจตัวหนังสืออีกต่อไป แต่เป็นใบหน้าของตนต่างหากที่กำลังอยู่ในสายตาแพรวพราวคู่นี้


ธันวายืดตัวขึ้นตรง ยื่นหน้าเข้าไปกวาดสายตาอ่านหน้าที่เดือนแรมยังเปิดค้างเอาไว้ “อ่านแล้วเป็นไง ชอบไหมครับ”


เดือนแรมพยักหน้า


“งั้นซื้อ”


“ไม่ดีกว่า ซื้อไปก็ไม่ได้อ่าน พี่ไม่มีเวลาอ่านเล่มหนา ๆ แบบนี้หรอก”


ธันวารู้ว่าชีวิตเดือนแรมหลังจากนี้จะยุ่งมากแค่ไหน หนังสือประเภทเดียวที่เขาต้องใช้เวลาด้วยคงมีแต่ตำราเรียนเท่านั้น แต่แววตาใคร่รู้คลางแคลงใจในเนื้อเรื่องของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่สิ่งที่ธันวาจะต้องมองข้าม


“งั้นผมซื้อเอง” ธันวากวาดตามองแวบเดียวก็เจอว่าเรื่องเดียวกันนี้วางอยู่ตรงไหนของชั้นหนังสือตรงหน้าก่อนจะคว้ามาถือไว้เองหนึ่งเล่ม “ไว้พี่อยากอ่านเมื่อไหร่ก็ค่อยมายืมผมนะ แต่ถ้าไม่มีเวลาอ่านจริง ๆ เดี๋ยวผมอ่านแล้วไปเล่าให้ฟังเอง”


“หึ มีแฟนดีจริง ๆ เลย” เดือนแรมบีบปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายส่ายไปมาพลางว่าด้วยความหมั่นไส้อย่างรู้ทันว่าน้องกำลังหาเรื่องเลี่ยงอ่านหนังสือเรียนเสียมากกว่า


แม้ว่าตรอกหนังสือที่พวกเขายืนอยู่นี้จะไม่ได้ใกล้กระจกร้านนักแต่ก็ทำให้คนที่ตามมาสมทบทีหลังมองเห็นสองหนุ่มจากนอกร้านได้ไม่ยาก และการแสดงออกของทั้งสองคนก็ทำให้ดีนหยุดยืนมองอยู่นานตั้งแต่ที่กรองเกียรติยังยืนอยู่ด้วยจนแยกออกไปแล้ว


ดีนมองสองคนที่ยืนคุยกันกระหนุงกระหนิงตามลำพังด้วยสายตาที่ไม่มีใครอ่านออก หนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดตัว ส่วนอีกคนก็คือคนที่คอยแอบมองเพื่อนเขาจากที่ไกล ๆ อยู่นานหลายปี มาวันนี้ทั้งสองได้ยืนอยู่ด้วยกันตรงหน้าเขาแล้ว และดูเหมือนว่าคนที่มีความสุขที่สุดเห็นจะไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายอยากเข้าใกล้มานาน แต่เป็นเพื่อนของเขาเอง


ธันวามีความสุข


แววตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่เพื่อนสนิทอย่างเขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว


ใบหน้าหนุ่มลูกเสี้ยวแต้มยิ้มบางก่อนโทรบอกกรองเกียรติว่าตนมาถึงแล้วและนัดเจอกันที่ร้านอาหาร ก่อนจะยอมละสายตาจากคนทั้งคู่แล้วเดินไปยังจุดหมายก่อน





(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 19-10-2019 23:23:37




สามเพื่อนซี้ทักทายกันหน้าร้านอาหารแบบปิ้งย่างโดยที่ดีนเพียงแค่พยักหน้าน้อย ๆ ให้รุ่นพี่เพียงหนึ่งเดียวในวันนี้แทนการไหว้ ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด


“หิวเนื้อ หิวเนื้อ” กรองเกียรติบ่นตั้งแต่เดินนำเข้าร้านจนหย่อนก้นลงนั่งฝั่งเดียวกับดีนซึ่งตรงข้ามกับหนุ่มรุ่นพี่ “สั่งหมูก่อนเลยแล้วกันเนอะ เอาสามชั้นเท่าไหร่ดีวะ”


“ไม่ต้องสั่งสามชั้นเผื่อกูนะ” ดีนเงยหน้ามองคนบอกด้วยความแปลกใจเพราะแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาชอบรับประทานอาหารแบบเดียวกัน สั่งรวมกัน จึงไม่เคยเกิดปัญหาเกี่ยงกันอย่างอันนั้นของมึงอันนี้ของกูเลยสักครั้ง “กูจะกินสันคอ...ของพี่เอาสันในเนอะ เท่าไหร่ดีอะ” ประโยคหลังธันวาหันไปพูดกับคนรักที่กำลังเปิดดูเมนูด้วยความสนใจ


“เดี๋ยวนี้กินเนื้อไม่ติดมันเป็นแล้วเหรอ” ดีนถามด้วยความฉงน เพราะคนที่ชอบเนื้อติดมันเยอะ ๆ แบบเบคอนหรือหมูสามชั้นกว่าใครเพื่อนก็คือธันวาและไม่ชอบเนื้อล้วนเลยเพราะเจ้าตัวบอกว่าไม่อร่อยเท่า ทั้งในส่วนของรสชาติและสัมผัสเวลาเคี้ยว


“มีคนสอน” ธันวายักคิ้วข้างเดียวแถมกลับมาด้วย ความจริงแล้วเดือนแรมไม่ได้สอนอย่างที่บอก เขาแค่พูดแกล้งเพื่อนเล่นเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่คบกับเดือนแรม นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้กินบุฟเฟ่ต์และเป็นเนื้อสัตว์เยอะขนาดนี้ แต่ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่สั่งอาหารเขาพยายามกินเนื้อติดมันน้อยลง เพียงแต่ยังปรับไปทานเนื้อล้วนแบบเดือนแรมไม่ได้ จึงจำต้องสั่งสันคอซึ่งมีมันแทรกอยู่บ้างเล็กน้อย


ดีนปรายตามองคนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนภูมิใจในผลงานของตัวเองเสียเต็มประดาแล้วอยากจะเบะปากด้วยความหมั่นไส้ออกมาแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ “เขาบังคับมึง?”


“ไม่ใช่ ๆ” ธันวาโบกมือพัลวัน “กูแค่อยากลองแบบพี่เขา ไป ๆ มา ๆ ก็ชิน แล้วก็เริ่มรู้สึกเอียนเวลากินมันเยอะ ๆ แล้วว่ะ”


ดีนมองตามสายตาเดือนแรมที่มองเพื่อนของตนประหนึ่งว่าหากตรงนี้มีเพียงแค่พวกตนสองคน เขาคงจะยื่นมือออกไปวางบนศีรษะธันวาด้วยความเอ็นดูพร้อมคำพูดว่า ‘เก่งมาก’ อะไรประมาณนั้น


“เสียดายที่พวกมันไม่ได้มาด้วย คิดถึงว่ะ” ธันวารำพึงถึงเพื่อนในกลุ่มอีกสามคนที่ติดสอบในช่วงนี้พอดิบพอดีหลังจากสั่งอาหารแล้ว


“รอให้เพื่อนสอบเสร็จแล้วค่อยนัดใหม่ก็ได้”


ดีนกลอกตาให้กับความอ่อนโยนในน้ำเสียงและแววตาที่คนพูดมอบให้เพื่อนของเขา ประโยคนี้ถ้าเป็นเพื่อนในกลุ่มพูดคงเป็นน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกว่าถูกด่าด้วยคำว่า ‘โง่’ เสียมากกว่าจะเอ็นดู


“มึงน่าจะชวนผิงมาด้วย” กรองเกียรติผู้ไม่รับรู้และสนใจอารมณ์ของเพื่อนร่วมโต๊ะเปรยกับเพื่อนต่างคณะอย่างเซ็ง ๆ


“มากันแต่ผู้ชาย จะชวนเธอมาทำไม”


“ครั้งที่แล้วมึงยังชวน”


“ครั้งที่แล้วเธออยากกินด้วย”


“ครั้งนี้ก็น่าจะชวนมาด้วย ไอ้ธันว์ยังชวนพี่แรมมาด้วยเลย” กลุ่มพวกเขาเหมือนเป็นสังคมปิด นัดสังสรรค์กันเมื่อไหร่น้อยครั้งมากที่จะมีคนนอกกลุ่มมาด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนที่สำคัญมากพอให้ขออนุญาตเพื่อนในกลุ่ม ไม่ใช่ธรรมเนียมปฏิบัติ แต่เป็นที่รู้กันว่าสมาชิกในกลุ่มบางคนไม่ได้สบายใจที่จะสังสรรค์ร่วมกับคนที่ไม่สนิท


“ก็มันเป็นคนติดแฟน”


“เออกูจะฟ้อง เชี่ยธันว์แม่งติดพี่แรมมาก ๆ อะ” กรองเกียรติแกล้งบ่นเพื่อนต่อหน้าเจ้าตัว ทว่าดีนกลับพูดนิ่ง ๆ เรียบ ๆ อย่างจริงจังโดยไม่สนสีหน้าคนที่ถูกพาดพิงอย่างเดือนแรมเลยสักนิด


“ธันวาเป็นคนติดแฟนอยู่แล้วมึงก็น่าจะจำได้”


และกรองเกียรติเองก็ไม่ได้สนใจรอบตัว “ไม่เหมือนกับคนก่อนนะเว้ย”


ดีนกดยิ้มมุมปาก แม้ไม่หันมองหรือให้ความสนใจแต่ก็ยังรอปฏิกิริยาจากเดือนแรมอย่างใจจดใจจ่อ “ยังไงวะ”


“เก็บไว้คุยกันสองคนดีกว่าไหม” เดือนแรมเปรยเสียงเรียบ แต่ใบหน้าที่ขรึมขึ้นนั้นดูดุจนกรองเกียรติสำนึกได้ว่าตนทำผิดและรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นมา


ดีนไม่ได้กลัวเดือนแรมเหมือนเพื่อนอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดเซ้าซี้ถามย้ำให้เสียบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร เพราะต่อให้กรองเกียรติไม่บอก เขาก็รู้คำตอบด้วยตัวเองอยู่แล้ว


เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าต่างกับครั้งก่อนอย่างไร ห่วงก็แต่ธันวาเท่านั้นว่าจะรู้ตัวบ้างหรือไม่


และเพราะว่ายังลอยหน้าลอยตาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนจึงโดนธันวาเตะขาใต้โต๊ะเข้าให้ด้วยความหมั่นไส้หลังจากดูแลความรู้สึกของเดือนแรมแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนเจ็บกลับเพียงแค่ยิ้มขำออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ธันวาจึงเลิกสนใจไปในที่สุด


ทั้งสี่ช่วยกันปิ้งและย่างโดยไม่แบ่งแยกว่าใครเลือกรับประทานเนื้อแบบไหน ขณะที่บทสนทนาบนโต๊ะยังเป็นเรื่องสัพเพเหระโดยที่ไม่มีใครรู้สึกเป็นส่วนเกินเพราะต่างก็ร่วมแสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่อย่างคนคุ้นเคย จนมาสะดุดเมื่อหมูสามชั้นที่สุกกำลังดีเป็นชิ้นแรกบนเตาถูกคีบไปวางบนจานของธันวาโดยดีน คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็พร้อมใจกันหยุดชะงักในทันที


“โทษที กูลืมว่ามึงไม่กินสามชั้นแล้ว” ดีนยื่นตะเกียบออกไปอีกครั้งหมายจะคีบหมูชิ้นนั้นคืนเมื่อนึกขึ้นได้แต่ธันวากลับคีบเอาไว้เสียก่อน


“ก็แค่กินน้อยลง ไม่ใช่ว่าไม่กินเลยเหมือนกินชิ้นเดียวก็ไม่ได้อะไรแบบนั้น” ธันวาว่าโดยไม่ทันมองสายตาเดือนแรมที่จ้องมองเพื่อนของตนด้วยความฉงน แต่ไม่ใช่กับคนถูกมอง เพราะดีนรู้สึกได้ ถึงได้อยากจะคีบกลับมา


“แต่เขาคงไม่อยากให้มึงกิน”


ธันวาหันมองเดือนแรม เห็นอีกฝ่ายจ้องดีนก่อนละสายตามาหาเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ธันวาไม่เข้าใจความนัยของสายตาคู่นั้น แต่เขารู้ว่าเดือนแรมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลที่จะห้ามอะไรอย่างที่ดีนว่า


“อันนี้กูขอแย้ง” กรองเกียรติแทรกขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเกรงใจรุ่นพี่ตนเอง


“กูว่าพี่แรมไม่ได้อยากห้ามหรือบังคับไม่ให้ไอ้ธันว์กินหมูสามชั้นเลย แต่เขาอาจจะไม่พอใจที่มึงคีบอาหารให้มันมากกว่า”


ดีนขมวดคิ้ว ยังคงไม่เข้าใจว่า ‘แค่’ คีบอาหารให้จะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน


“กูหมายความว่าเขาไม่พอใจที่มึงดูแลเอาใจแฟนเขา เพราะมันเป็นหน้าที่เขาไม่ใช่ส่วนที่มึงจะไปเจ๋อ” กรองเกียรติว่าออกมาด้วยความหงุดหงิดในความไม่เข้าใจเรื่องบทบาทสถานะของเพื่อนสนิท


“อ้อ โทษที เคยชินไปหน่อย” ดีนว่าอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกับท่าทีเฉยเมยอย่างการคีบเนื้อพลิกไปมาบนเตาและคีบชิ้นหนึ่งวางบนจานของกรองเกียรติบ้าง แม้ใจจะอยากวางระเบิดอีกประโยคเช่น ‘กับคนก่อนไม่เห็นมีปัญหา’ แต่ก็ต้องสงวนคำพูดไว้เพราะไม่อยากให้เพื่อนตนลำบากใจ


เดือนแรมไม่อยากใส่ใจความเคยชินของอีกฝ่ายให้รำคาญใจ แต่พอเห็นคนรักยิ้มแหยเหมือนหากว่าเมื่อครู่กรองเกียรติไม่พูดขึ้นมาตนก็ยังไม่รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจเรื่องใดอยู่กันแน่ก็ชักหงุดหงิดใจขึ้นมาอีกครั้ง


“แฟนมึงขี้หึง รู้ไว้ด้วย” กรองเกียรติกระซิบบอกที่ถึงอย่างไรคนที่ถูกพาดพิงก็ได้ยินอยู่ดี


“กูเคยเตือนมันแล้วว่าจะขาดอิสระตลอดกาล” ดีนพูดนิ่ง ๆ


“ผมจะระวังตัวให้มากขึ้นครับ” ธันวาหันไปพูดกับเดือนแรมด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง


“กับเพื่อน กูจะพยายามไม่คิดมาก แต่ให้อยู่ในขอบเขต” ประโยคหลังเดือนแรมหันไปมองดีนเพื่อเป็นการเตือนกลาย ๆ แต่ดีนกลับไหวไหล่ไม่สนใจ “ที่ผ่านมามึงอาจจะดูแลธันวาดี ถือเป็นโชคดีของมันที่มีเพื่อนดี แต่ตอนนี้ธันวาเป็นแฟนกู หวังว่าจะให้เกียรติกูบ้าง ไม่ได้จะห้ามไม่ให้สนิทกันเหมือนก่อน แต่อยากให้คิดว่าไม่มีใครอยากเห็นคนอื่นเทคแคร์แฟนเราเหมือนเป็นแฟนเขาเองหรอกนะ”


“ถ้าไม่เห็น...ไม่รู้...ก็ได้ใช่ไหมครับ” ดีนยิ้มยียวน ไม่ได้อยากสร้างศัตรู แต่แค่พูดอย่างที่คิดเท่านั้นเอง


เดือนแรมไม่ได้ฉุนเฉียว ตรงกันข้าม รุ่นพี่คนนี้กลับนิ่งและพูดเสียงเรียบทว่าหนักแน่นและจริงจังกลับมาเท่านั้น “กูไม่อยากเป็นแฟนงี่เง่าที่จำกัดขอบเขตแฟนกับเพื่อน ไม่อยากดึงเขาออกจากใครหรือกีดกันไม่ให้สนิทกัน แต่มึงก็ต้องเข้าใจ กูอยากเป็นคนเดียวที่ดูแลมันดีเหมือนเป็นอีกคนในครอบครัว”


ดีนยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินอย่างนั้นขณะคีบหมูสันคอใส่จานธันวาอีกหนึ่งชิ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน “แต่เผอิญว่าผมเป็นคนในครอบครัวของมัน...จริงไหมธันวา”


คนกลางอย่างธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากกรองเกียรติแต่อีกฝ่ายกลับหลบตาเอาแต่ดื่มน้ำหนีสถานการณ์ตรงหน้าไปอย่างเงียบ ๆ


“พ...พี่แรมครับ คือว่า…”


เดือนแรมละสายตาจากดีนมามองคนที่อ้ำอึ้งด้วยไม่รู้จะอธิบายอย่างไรด้วยรอยยิ้มที่สดใจจนอีกฝ่ายเริ่มสับสนเพราะคิดว่าจะถูกโกรธเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อคนพี่ยื่นมือมากอบใบหน้าตนและลูบแก้มแผ่วเบาก็ยิ่งสร้างความงุนงนให้ทั้งเขาและอีกสองคนที่มองอยู่ “อย่าทำหน้าแบบนี้ กูเข้าใจ กูรู้ว่าเพื่อนมึงทำด้วยความเคยชิน ไม่ได้คิดกับมึงเกินเพื่อน ความจริงกูไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ…”


เดือนแรมหันมองดีน “แต่จากนี้ถือว่ากูขอเถอะ ขอให้หน้าที่ดูแลธันวาเป็นของกู ได้ไหมวะ”


ดีนไหวไหล่ไม่ตอบอะไรแต่หันไปหาเพื่อนข้างกายแทน “อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นพยานรักของเขาสองคนว่ะ”


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดเรื่มคลี่คลายลงกรองเกียรติก็หายใจโล่งขึ้นจนกล้าพูดเล่นได้เหมือนเดิม “อ้าว มึงเป็นพ่อมันอะ เขาขอมึงดูแลมันก็ถูกแล้วป่ะวะ”


“อย่าคืนคำก็แล้วกัน” ไร้ท่าทียียวนเหมือนทุกที ดีนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจังเช่นเดียวกันกับคนถูกมอง


“มึงรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทาง”


“อย่าเอาผมไปค้ำประกันความรักที่พี่มีให้ธันวา เพราะผมต้องอยู่ฝ่ายเพื่อนตัวเองอยู่แล้ว”


“เอ่อ เอาเป็นว่าพี่แรมจะดูแลเพื่อนของพวกเราเป็นอย่างดี ส่วนไอ้ดีนก็จะลดความโอเวอร์ในการดูแลธันว์ลง เป็นอันจบนะครับ...กินเถอะครับทุกคน” กรองเกียรติถือวิสาสะสรุปใจความเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างเพื่อนสนิทและคนรักของธันวา อีกทั้งยังคีบเนื้อหมูใส่จานทั้งสามคนเพื่อเป็นการคืนความสงบสุขให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารด้วย “นี่ครับ สันในของพี่แรม...สันคอของธันว์...ส่วนสามชั้นชิ้นนี้ของมึงไอ้ดีน”


หลังจากนั้นบรรยากาศก็ไม่อึมครึมอีก ไม่มีหัวข้อสนทนาที่รู้กันแค่ไม่กี่คนเพื่อให้ใครต้องอึดอัดหรือถูกกีดกันเป็นส่วนเกิน ซึ่งล้วนเป็นหัวข้อเกี่ยวกับความสนใจที่ร่วมแสดงความเห็นได้อย่างอิสระ ขณะที่เดือนแรมกับธันวาก็ดูแลเอาใจใส่กันอย่างเปิดเผยแบบไม่โจ่งแจ้งมากเกินไปนัก และกรองเกียรติเห็นว่าบ่อยครั้งที่ดีนนิ่งมองคู่รักตรงหน้า ไม่รู้ว่าดีนกำลังสนใจสิ่งใด แต่สำหรับเขา เขาสังเกตมาได้พักใหญ่แล้วว่าหากมีธันวาอยู่ใกล้ ๆ แม้จะหน้านิ่งแต่เดือนแรมก็ไม่เคยหน้าบึ้ง ใบหน้านิ่งเรียบมักแต้มรอยยิ้มจาง ๆ เหนือริมฝีปากเสมออย่างคนที่มีความสุขมากโดยไม่ต้องยิ้มกว้างออกมาอย่างคนอื่น


การเพลิดเพลินกับอาหารและบทสนทนาจิปาถะผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถามหาของหวานมาปิดท้ายมื้ออาหาร


“กูไปตักไอติม มึงจะเอาด้วยเลยไหม” เป็นเดือนแรมที่ยอมแพ้ให้กับอาหารคาวก่อนใคร


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมออกไปตักเองดีกว่า”


“มึงนั่งข้างใน จะเข้าจะออกลำบาก กูตักให้เลยดีกว่า”


“รู้เหรอว่าผมจะกินรสอะไร” ตั้งแต่รู้จักกันมาเคยไปกินไอศกรีมข้างมหาวิทยาลัยกันแค่ครั้งเดียวเห็นจะได้ ไม่คาดหวังสักนิดว่าเดือนแรมจะจำได้ว่าเขาโปรดรสอะไรเป็นพิเศษ


“ชาเขียวไง”


“เก่งจังอะ เก่งทุกเรื่องเลยนะเราน่ะ” ธันวาแกล้งเย้า


“แล้วจะเอาเลยไหม”


“พี่ตักมาให้เลยก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง”


“เยอะ ๆ” เดือนแรมว่าในความล้นของคนน้องด้วยความเอ็นดู


ดีนสะกิดส่งสัญญาณให้กรองเกียรติลุกออกไปพร้อมเดือนแรมด้วยเพื่อที่ตนจะได้มีเวลาอยู่กับธันวาสองคน ซึ่งเพื่อนรักก็รู้หน้าที่ดี


ดีนมองธันวาที่มองตามหลังเดือนแรมไปด้วยแววตาพราวระยับและใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา “มึงดูมีความสุข”


ธันวาหันขวับมามองกันด้วยอารมณ์ที่ต่างจากเมื่อครู่สุดขั้ว “ไอ้ห่า เกือบทุกข์เพราะมึงหาเรื่องให้กูเนี่ยแหละ”


“อ้อ อยากผลักไสกูแล้วสินะ”


“อย่ามางอนกูนะไอ้ดีน กูรู้ว่ามึงแกล้งพี่แรมเล่น”


“กูทำด้วยความเคยชินจริง ๆ”


“การกระทำมึงน่ะธรรมชาติ แต่พอรู้ตัวแล้วมึงก็ยังพูดแกล้งเขาต่ออีก มึงเป็นเพื่อนกูอยู่แล้ว แต่อย่าให้กูเลือกข้างได้ไหมวะ กูลำบากใจนะเว้ย”


“ไม่ต้องห่วงกูหรอก ห่วงตัวเองเถอะ อย่าผูกติดกับเขามากเกินไปเหมือนคนก่อนอีกล่ะ”


ธันวานิ่งคิด ดีนไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะแค่คิดไต่ตรองความรู้สึกตัวเองตอนนี้ว่าเผลอทำแบบที่เขาเตือนไปแล้วหรือยัง หรือว่ากำลังคิดถึง ‘คนก่อน’ กันแน่


“แล้วที่กูถามไอ้เก่งค้างไว้แต่ยังไม่ได้คำตอบ...”


“พอเลยดีน” แค่เพื่อนเปรยขึ้นมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องอะไร “อย่าพูดถึงเขาต่อหน้าพี่แรมอีกนะ กูขอล่ะ กูไม่อยากให้พี่แรมไม่สบายใจ”


“กูไม่ได้จะพูดต่อหน้าเขา กูแค่อยากถามมึง ว่าสิ่งที่ไอ้เก่งบอกว่าไม่เหมือนกันน่ะ มึงรู้ตัวเหมือนอย่างที่เพื่อนสังเกตเห็นบ้างไหม”


“ท...ที่บอกว่าต่างจากคนก่อนอะ หมายความว่าไงวะ”


“คนนอกจะรู้ดีกว่าใจมึงเองได้ไงวะ” ดีนเชื่อว่าถ้าธันวาได้รู้ใจตัวเองอย่างแท้จริงแล้วจะทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะปราศจากความกลัวต่าง ๆ อันเกิดจากอดีตของธันวา


ธันวามีสีหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นสดใสเมื่อสองหนุ่มเดินกลับมาพร้อมไอศกรีม


“พี่แรมแม่งเก่งทุกอย่าง ตักไอติมยังเก่งเลย ดูดิ”


ธันวาเห็นตั้งแต่ที่เดือนแรมวางถ้วยลงแล้ว แต่ไม่ทันได้เอ่ยชมก็มีคนชมแทนเสียก่อน จากที่อยากชื่นชมคนรักก็กลายเป็นหมั่นไส้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น “มึงยอจนเขาจะลอยได้อยู่แล้วนะ”


“ก็มันจริงนี่หว่า มีใครตักไอติมให้มึงได้ดีทั้งปริมาณและคุณภาพแบบพี่แรมบ้าง”


ธันวารีบหันไปยิ้มหวาน เอ่ยขอบคุณเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเดือนแรมจากสิ่งที่กรองเกียรติเพิ่งหลุดพูดออกมาจนคนที่มองอยู่อย่างดีนหลุดยิ้มขำมุมปาก ขณะที่คนพูดมีสีหน้าหวั่นเกรงเพราะเพิ่งตระหนักได้ว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง ทว่าเดือนแรมเองก็มองข้ามมันไปเหมือนกัน


“กูสอบผ่านใช่ไหมล่ะ”


“ให้ห้าดาวเลยครับ” คนน้องทำมือประกอบคำตอบด้วย


ธันวาน่ารักเสียจนอยากเย้าหยอกกลับว่าขอรางวัลเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ดาวแต่ก็ได้แค่ยิ้มกว้างเพราะรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง


พวกเขาพากันออกจากร้านก่อนหมดเวลาที่ทางร้านกำหนดไว้เล็กน้อย ดีนเป็นคนอาสารวบรวมเงินไปจ่ายแม้ว่าเดือนแรมจะเสนอตัวขึ้นก่อนก็ตาม


ขณะรอชำระเงินที่เคาน์เตอร์ ดีนก็ไม่พลาดที่จะสังเกตอีกสามคนที่ออกไปยืนนอกร้านแล้ว


ธันวาบ่นพึมพำพลางลูบท้องตัวเองแล้วทำท่าแอ่นน้อย ๆ เหมือนโชว์ให้กรองเกียรติดูว่าอาหารมื้อนี้ทำพิษกับตัวเองอย่างไรบ้าง ขณะที่ดีนยืนห่างออกไปเล็กน้อยที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจให้พื้นที่เพื่อนสนิทได้คุยกันเพื่อไม่ให้คนไม่มีคู่อย่างกรองเกียรติทำตัวไม่ถูกเพราะรู้สึกเป็นส่วนเกิน


ดีนซ่อนรอยยิ้มพอใจไว้ภายใน


ให้เขาเดาก็คิดว่ารู้ใจเพื่อนอย่างกรองเกียรติดี แน่นอนอยู่แล้วว่าต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันและเข้ากับแฟนเพื่อนได้ดี แต่ในยามที่อยู่กันสามคน กรองเกียรติก็ต้องประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกกันบ้าง คนอย่างกรองเกียรติคงคิดแน่ว่าไม่อยากทำตัวติดกับธันวาให้คนรักอีกฝ่ายเหงา แต่กลายเป็นเดือนแรมเสียเองที่ให้พื้นที่กับกรองเกียรติอย่างเต็มที่โดยที่ตัวเองไม่ได้ไปไหน แค่รอมีบทบาทตามโอกาส คงเพราะหวั่นว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน หากเขาจะทำตัวกระหนุงกระหนิงกับธันวาเหมือนอยู่กันแค่สองคน


และที่น่าดีใจคือธันวาเองก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรู้สึกของเพื่อน


คนกลางอย่างธันวาไม่มีทางไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่ชวนให้วางตัวไม่ถูกแน่ ไม่ใช่ว่าอึดอัด เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างเกรงใจกัน เพราะอย่างนั้น การที่เจ้าตัวคุยเล่นกับเพื่อนแล้วยังหันไปทำหน้างอแงใส่คนรักเกี่ยวกับเรื่องที่ท้องป่องด้วยก็ดูเป็นการสร้างบรรยากาศการอยู่ร่วมกันได้ดี


แม้ว่าธันวาจะถูกคนเป็นลุงเรียกตัวกลับบ้านทันทีที่ปิดเทอม ขณะที่เดือนแรมตั้งใจจะค้างที่หอพักจนกว่าจะถึงวันงานกีฬาสัมพันธ์ แต่หลังมื้ออาหารในวันนี้ธันวากลับปฏิเสธที่จะกลับบ้านพร้อมดีนที่กล่าวอ้างว่าจะไปหาอาม่าพอดิบพอดีเพราะกำลังหาโอกาสอยู่กับเพื่อนสนิทตามลำพัง


ธันวาให้เหตุผลว่ายังอยากเดินเที่ยวเล่นกับเดือนแรมอีกครู่หนึ่งที่เป็นใครมองก็รู้ว่าเจ้าตัวมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่างที่อยากพูดกับคนรักให้เรียบร้อยก่อนจากกันในวันนี้


“กลับบ้านกัน” เดือนแรมเป็นฝ่ายออกความเห็นหลังจากแยกทางกับสองคนนั้นแล้ว


“ผมกลับเองได้ครับ พี่ไม่ต้องไปส่งหรอก” เขาไม่อยากให้คนรักต้องเสียเวลาย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีก “...แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยก่อนกลับเท่านั้นเอง”


เดือนแรมยิ้มบางทว่าสว่างไสวเหลือเกินในความรู้สึกของคนที่มีเรื่องกวนใจ “ขอบคุณนะที่ไม่อยากปล่อยให้มีเรื่องคาใจกันข้ามวัน แต่เอาไว้คุยกันตอนเดินเข้าหมู่บ้านดีกว่า...ไม่ต้องห่วงว่ากูจะเสียเวลาหรอกหน่า คืนนี้เปลี่ยนใจจะกลับไปนอนบ้านแล้ว” เดือนแรมรีบพูดออกมาเมื่อเห็นสีหน้าคนฟังกังวล


“เอางั้นเหรอ”


“อือ กลับกัน” เดือนแรมว่าพร้อมคว้าแขนอีกคนให้เดินตาม


ตลอดการเดินทางทั้งโดยรถไฟฟ้าและแท็กซี่มาลงหน้าหมู่บ้านไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศก็ไม่ได้อึมครึมเหมือนขึ้งโกรธกันแต่อย่างใด จนกระทั่งเดินเคียงคู่กันตามถนนในหมู่บ้านแล้ว ธันวาจึงได้เอ่ยพูดขึ้นก่อนด้วยความไม่สบายใจที่อัดแน่นในอก


“พี่แรมครับ คือว่าเรื่องดีน…”


“หือ” ความจริงเดือนแรมไม่อยากเซ้าซี้วุ่นวายจึงไม่ได้ถามออกไปก่อน แต่ถ้าหากน้องอยากจะเล่าให้ฟัง เขาก็ดีใจที่อีกฝ่ายยอมเล่าเรื่องส่วนตัวมาก ๆ ให้ฟังบ้าง


ธันวาเหลือบมองท่าทีคนข้างกาย เห็นอีกฝ่ายมองตรงไปข้างหน้าเรียบนิ่งแล้วต้องเรียกความกล้าจากภายในออกมาเพื่อพูดต่อ “ผมไม่รู้ว่าพี่รู้รึเปล่าว่าผมไม่มีพ่อกับแม่แล้ว”


“...” เขาไม่เคยสืบเรื่องของธันวา ทุกเรื่องที่รู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายก็มาจากการสังเกตเท่านั้นซึ่งก็พอรู้เรื่องนี้จากการที่เห็นว่าธันวาพักอยู่บ้านลุงและมีเพียงลุงเป็นผู้ปกครอง


“ผมเสียพวกท่านไปตั้งแต่มอสาม นอกจากลุงภาสก็มีเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ที่เป็นที่พึ่งพิงของผม”


นอกจากคนที่เดินฝั่งติดถนนอย่างเดือนแรมจะต้องระวังรถที่สวนมาแล้วยังใส่ใจเกี่ยวกิ่งไม้ไม่ให้โดนคนข้างในที่ไม่ทันสนใจภัยรอบตัวเพราะสายตาจับจ้องอยู่ที่เขาตลอดอีกด้วย “แต่สนิทกับดีนที่สุดใช่ไหม”


“ครับ ดีนเป็นเหมือนครอบครัวของผม...เป็นครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ของผม”


คนข้างกายหยุดชะงักทันทีที่เขาพูดจบ ธันวาเดาใจไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร เขาเพียงแต่อยากพูดความจริงทั้งหมดให้ฟังในตอนนี้


“อยากกอด”


“...”


“ไม่อยากให้มึงอยู่กับความรู้สึกแบบนี้คนเดียว”


ธันวารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในหน่วยตาคู่นั้นที่มองมา แม้อีกฝ่ายจะเพียงแค่ยืนมองนิ่ง ๆ ไม่ได้ทำอย่างที่พูดออกมาจะเพราะไม่เหมาะสมหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ธันวาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดจากคนคนนี้


คนที่จะไม่ทำให้เขาต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป


เพราะเดือนแรมไม่กล้าทำอะไรที่มากไปกว่านั้น ธันวาจึงเป็นฝ่ายยื่นมือไปหาและเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกฝ่ายไว้แล้วก้าวเดินอีกครั้ง


ไออุ่นจากการสัมผัสกันเพียงน้อยนิดแต่กลับมหาศาลในใจของทั้งคู่


สำหรับเขา ความรู้สึกที่มีให้ภีมและเดือนแรมต่างกันอย่างไร?


อีกหนึ่งเรื่องที่คาใจคือประเด็นที่ดีนทิ้งไว้ให้


ธันวาเหลือบมองใบหน้าคนข้างกายไล่เลื่อนลงมายังนิ้วที่เกี่ยวกัน


สำหรับเขา ภีมเหมือนเป็นที่พึ่งทางใจคนเดียวที่เหลืออยู่หลังจากสูญเสียมารดาไป เขากลายเป็นทุกอย่างในชีวิตของธันวาได้เพียงแค่ทำให้คนอ่อนกว่ารู้สึกปลอดภัย ดีใจที่มีเขาในชีวิต ภีมต่างจากดีนหรือกลุ่มเพื่อนตรงที่อยู่ห่างกันแค่รั้วบ้านกั้น เพราะอย่างนั้นธันวาจึงสะดวกในการใช้เวลาอยู่ด้วยมากกว่าใคร


แต่กับเดือนแรม...


ธันวาไม่เพียงแค่อุ่นใจหรือรู้สึกปลอดภัยที่มีที่พึ่งพิงเมื่อมีเดือนแรมในชีวิต แต่เขาอยากอยู่ในชีวิตของเดือนแรมด้วย


ไม่เพียงแต่ยิ้มได้เพราะมีเดือนแรมอยู่ตรงหน้า แต่ยิ้มได้กว้างขึ้นเมื่อมีตัวตนอยู่ในสายตาของเดือนแรม


ธันวากระชับนิ้วให้เกี่ยวกันแน่นขึ้น สัมผัสกันมากขึ้น


เขาดีใจที่ตัวเองได้อยู่ในชีวิตของเดือนแรม


“ถึงบ้านแล้ว” เดือนแรมบอกพร้อมกับปล่อยมืออย่างอาวรณ์เมื่อเดินมายืนอยู่หน้ารั้วบ้านของธันวาแล้ว


“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ เดินกลับบ้านดี ๆ ถึงแล้วบอกด้วยนะ”


“อื้อ เข้าบ้านได้แล้วไป”


แม้จะอยากยืนรอส่งแต่ธันวาก็คร้านจะรั้นเพราะคงเถียงสู้เดือนแรมไม่ได้อยู่ดี แต่คนพี่ก็ไม่คาดคิดว่าคนที่ยอมเดินเข้าบ้านง่าย ๆ จะหันกลับมาหากันอีก


“พี่แรม...”


“หือ”


“รักพี่ว่ะ”


เดือนแรมนิ่งอึ้งด้วยเพราะทั้งไม่ทันตั้งตัวและไม่คิดว่าจะได้ยินคำนั้นในตอนนี้ อีกทั้งยังออกจากปากอีกฝ่ายก่อนด้วย ทั้งที่เขาเป็นคนรู้สึกก่อนแท้ ๆ แต่กลับไม่เคยพูดออกไปตรง ๆ สักครั้ง มีแค่คำว่าชอบที่ฟังดูเหมือนแค่ความรู้สึกดี ๆ ที่ไม่มีน้ำหนักมากพอให้ผู้ชายคนหนึ่งกล้าลงเอยด้วยเลย


“ใจร้ายจังวะ”


“ผมเนี่ยนะ”


“สารภาพรักหลังประตูรั้วและหน้าบ้านแบบนี้ใครจะกล้าเดินเข้าไปกอด”


อีกคนฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจ ไม่ยอมบอกให้รู้ว่าเพราะเป็นแบบนี้ถึงได้กล้าพูดออกไป ไม่อย่างนั้นคงเขินจนทำตัวไม่ถูกเป็นแน่


“รักมึงเหมือนกัน”


จากที่กลั้นยิ้มไม่เผยให้รู้ว่ากำลังเขินอยู่ก็เริ่มคลายริมฝีปากออกทีละนิด คำว่ารักที่ได้ยินทำให้ธันวารู้ในทันทีว่าอะไรคือความแตกต่างของความสัมพันธ์ที่ตนเคยมีให้ผู้ชายสองคนในชีวิต คำว่ารักของเดือนแรมทำให้เขาอยากตอบรับในทันทีเพราะรู้สึกแบบเดียวกันไม่ใช่ตอบรับเพราะกลัวว่าปฏิเสธแล้วจะเสียเขาไปเหมือนคนก่อน









TBC.
------------------------------------------------------------
ยังไม่ทิ้งน้าาาาาาาาาา
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2019 01:54:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 20-10-2019 02:01:43
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-10-2019 19:49:21
พี่แรมกับเจ้าธันว์กลับมาแล้ว คิดถึงมาก เขาหวานกันมากเลย ดีใจที่ทั้งคู่พยายามเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน อบอุ่นหัวใจจัง
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 21-10-2019 22:52:31
ชอบที่เค้าหวานกันอ่ะ เขินมากๆ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-10-2019 20:20:43
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-10-2019 21:54:51
น้ำตาคลอเบ้า
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ P.6 [19/10/62]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 09-11-2019 11:56:27
มาต่อเร็ว ๆ น้าาาาา
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.7 [15/11/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 15-11-2019 23:20:22
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)






คนที่บอกว่าจะนอนที่หอพักตลอดการซ้อมบาสเกตบอลจนกว่าจะถึงวันงานกีฬาสัมพันธ์ลงท้ายก็ต้องเดินทางไปกลับบ้านกับโรงพยาบาลทุกวันเพราะทนคิดถึงธันวาไม่ไหวหลังจากได้ยินคำว่ารักในวันนั้น


ธันวาเองก็ออกจากบ้านในตอนบ่ายไปพร้อมเดือนแรมเกือบทุกวันเพื่อรอข้างสนามในตอนที่อีกฝ่ายซ้อม มีบ้างบางวันที่แยกตัวออกไปเพราะฝ่ายสวัสดิการเองก็มีนัดประชุมงานเหมือนกัน แต่เพียงไม่กี่ครั้งก็เรียบร้อยทุกอย่าง รอแค่ถึงวันงานเท่านั้น


เหลือเวลาอีกแค่สองวัน ทีมนักกีฬาทุกประเภทต่างพร้อมลงสนามจริงกันแล้วและหยุดซ้อมกันไปตั้งแต่เมื่อวาน ต่างกับทีมบาสเกตบอลที่ยังซ้อมอย่างหนักหน่วงในวันนี้เป็นวันสุดท้าย


เดือนแรมเพิ่งปล่อยให้นักกีฬาแยกย้ายกันกลับบ้านเมื่อสิบนาทีก่อน เหลือก็แต่กัปตันทีมและกองเชียร์คนสำคัญที่ยังอยู่ในสนามแม้จะค่ำมืดมากแล้วก็ตาม


“วันนี้นอนค้างที่หอดีไหมครับ พี่ดูเหนื่อยมาก” ธันวาออกความเห็นขณะใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าไล่ลงมาถึงลำคอให้อีกคนที่ยังนั่งบนพื้นสนามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปไหน “เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อน”


“คุณลุงไม่ว่ารึไง”


“ผมโทรไปขอตั้งแต่เย็นแล้ว”


เดือนแรมพยักหน้ารับก่อนเอนหลังลงนอนแผ่ร่างกายบนสนามอย่างคนหมดแรง และเพราะแสงไฟที่ส่องในสนามจ้าเกินไปจึงจำเป็นต้องหลับตาลงทั้งที่หวั่นกลัวว่าอาจจะเผลอหลับเข้าจริง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า แต่ในความจริงแล้วกลับรีบลืมตาขึ้นมองทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนที่เคยนั่งอยู่ข้างกันลุกออกไป


เดือนแรมเห็นร่างสูงโปร่งเลี้ยงลูกบาสไปมาอยู่รอบกาย เสียงลูกหนังกระทบพื้นดังเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งก็มีเสียงดังตึงจากการกระทบกันของลูกบาสกับแป้น เขาไม่เห็นว่ามันหล่นลงห่วงไปหรือไม่ แต่จากเสียงแล้ว หากกระทบดังขนาดนั้นแล้วลูกบาสยังไม่กระเด็นมาตกใส่เขาที่นอนอยู่ก็เดาได้ว่าธันวาทำแต้มเมื่อครู่ได้อย่างแน่นอน


“แข่งกันซักเกมไหม” คนนอนร้องถาม รู้ว่าน้องเล่นกีฬาประเภทนี้ได้ดีไม่แพ้เทนนิสเพราะเคยแอบมองอยู่หลายครั้งแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้เล่นด้วยกันสักหน


“เก็บแรงไว้เดินกลับหอเถอะครับ” ธันวาเย้าขำ ๆ


เดือนแรมยกยิ้มมุมปากขณะยันตัวลุกขึ้นนั่ง “แรงน่ะมีเหลือพอทำอย่างอื่นอีกเยอะ อยากรู้ไหมล่ะว่าทำอะไรได้บ้าง”


ธันวายิ้มแฉ่ง “ผมรู้ว่าเก็บลูกบาสไปคืนหอกีฬาได้แล้วหนึ่งอย่างล่ะ” ไม่ทันขาดคำ ลูกหนังสีอิฐก็ถูกขว้างมาทางเขา แต่ดูเหมือนว่าคนขว้างจะตั้งใจให้มันลอยผ่านเขาไปเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวรีบเดินออกจากสนามพร้อมร้องเร่งให้เขาตามเก็บลูกหนังนั้นแล้วตามไปโดยเร็ว



เป็นธรรมดาของช่วงปิดเทอมที่หอพักนักศึกษาแพทย์จะเงียบราวกับไร้ผู้คน เพราะเวลาเกือบหนึ่งเดือนนี้จะมีแค่รุ่นพี่ปีสูงพักอาศัยอยู่ซึ่งแทบจะมีหอไว้เก็บของและนอนเพียงเท่านั้น ไม่ได้สังสรรค์หรือจับกลุ่มกันเฮฮาให้เห็นตามพื้นที่ส่วนรวมเหมือนบรรดารุ่นพรีคลินิกอย่างปีสองและสามนัก เพราะอย่างนั้นในคืนนี้ธันวาจึงรู้สึกเหมือนได้อยู่กับเดือนแรมเพียงแค่สองคนตามลำพัง


“ธันวา” เดือนแรมเกาท้ายทอยแก้เก้อในตอนที่เดินออกจากห้องอาบน้ำมาด้วยกัน ท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดและดูเหมือนว่าจะคิดไตร่ตรองอยู่นานทีเดียวกว่าจะยอมพูดออกมา “คืนนี้มานอนห้องพี่นะ”


คนฟังหน้าเห่อร้อนทันทีที่ได้ยิน เชื่อว่าเดือนแรมจะไม่ทำอะไรเขาอย่างแน่นอน เพียงแต่ก็คงไม่ได้หมายความแค่ว่านอนคนละเตียงกันเป็นแน่ และที่กล้าชวนก็คงเพราะคืนนี้ไม่มีใครนอนด้วยทั้งห้องตนเองและห้องของเขา เขาจึงแกล้งย้อนกลับด้วยความหมั่นไส้กลบความเขินอายของตัวเองว่า “แทนตัวเองว่าพี่ ทีงี๊ละพูดดีเชียวนะพี่แรม”


“นะ” เดือนแรมขยับเข้าไปใกล้ สะกิดไหล่สองสามทีอีกคนก็ขยับหนีแล้ว


“อย่าอ้อน!”


“ไหนเคยบอกว่าไม่มีใครใจดีเท่าธันวาแล้วไง”


“ไม่ต้องจำเก่งไปหมดทุกอย่างก็ได้มั้งครับ” ตั้งแต่คบกันแบบมีสถานะชัดเจนพวกเขายังไม่เคยนอนเตียงเดียวกันเลยสักครั้ง ธันวาต้องขอบคุณที่พวกตนพักหอในจึงไม่สามารถแนบชิดกันในระดับนั้นได้โดยปริยาย และในความจริงแล้วพวกเขาก็แทบไม่เคยสัมผัสกันมากไปกว่าโอบกอดที่แทบนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงจูบ หากไม่นับสติ้กเกอร์ที่แก้มเขาในเช้าวันแรกของการคบกันแล้ว เดือนแรมก็ไม่เคยทำรุ่มร่ามด้วยเลยสักครั้ง


คนพี่ยิ้มซื่อในความคิดของธันวา “นะ สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรนอกจากนอนกอด”


ธันวาไม่ได้มีปัญหากับคำขอของเดือนแรม เพียงแค่เขินทั้งอีกฝ่ายและตัวเองจนไม่กล้าตอบรับในทันทีจึงแกล้งแสดงท่าทีตอบปัดรำคาญในตอนที่โดนอ้อนอีกครั้ง


เดือนแรมเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านอนกอดอย่างที่บอกไว้จริง ๆ


“กอดแน่นไปป่ะพี่แรม” ธันวาบ่นคนที่นอนซ้อนหลังแล้วพาดแขนกอดเขาช่วงเอวชวนให้รู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่เคยได้รับสัมผัสแบบนี้มาก่อน


“กูกลัวตก”


“ก็บอกแล้วว่าผู้ชายสองคนจะนอนเตียงบนด้วยกันได้ไง ต่อให้เป็นเตียงล่างผมยังไม่กล้าเบียดเลย” แม้เตียงบนจะมีราวเหล็กกั้นแต่ก็ไม่ได้สูงพอจะรับประกันได้ว่าวันดีคืนดีคนที่นอนอยู่จะไม่ตกลงไป


“เถอะหน่า นอนให้กอดนิ่ง ๆ ก็ไม่ตกแล้ว”


“ดื้อจริง ๆ เลย” ธันวาบ่นงึมงำที่แม้จะเสียงเบาแต่ก็จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน


“ก็อยากนอนกอดแฟนบ้างนี่หว่า อยากทำแบบนี้นานแล้วรู้ไหม แต่หอในมันลำบากมึงก็เห็น”


“นี่พี่คิดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ นึกว่าวัน ๆ คิดแต่เรื่องเรียน”


“แบบนี้คืออะไร คิดหื่นกับมึงน่ะเหรอ กูคิดอยู่ตลอดแหละ” ว่าแล้วก็แกล้งซุกหน้าลงกับหลังคอน้อง กลั้นใจไม่ให้แนบริมฝีปากลงไป เพราะเพียงแต่ลมหายใจที่รดรินก็ทำเอาอีกคนหดคอหนีจนตัวสั่นแล้ว กลัวตัวเองจะลำบากด้วยอย่างหนึ่ง


“ไหนบอกจะแค่นอนกอดไงพี่แรม”


“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย กอดอย่างเดียวเลยนี่ไง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระชับวงแขนอีกนิดจนแผ่นอกแนบกับหลังคนน้องให้ได้รู้สึกถึงไออุ่นจากกายของกันและกัน


เดือนแรมรู้ว่าถ้าใกล้กว่านี้อีกนิด ทั้งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผิวเนื้อและไออุ่นจากเรือนร่างอีกฝ่ายจะมอมเมาเขาให้เผลอไผลทำอะไรที่มากกว่าที่สัญญาไว้ได้ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่แกล้งธันวาไปมากกว่านี้


“เทอมหน้าย้ายไปอยู่หอนอกด้วยกันไหม” เดือนแรมเสนอความเห็น “หรือปีหน้าก็ได้ ปีสี่พี่ต้องขึ้นวอร์ดแล้ว เราจะเจอกันน้อยลง ถ้าอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็จะเจอกันตอนเย็นและได้ใช้เวลาด้วยกันบนเตียง”


“ม...หมายถึงนอนกอดกันแบบนี้ใช่ไหมครับ”


ธันวาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอที่แม้ไม่หันกลับไปมองก็รู้สึกได้ถึงความไม่น่าไว้วางใจ


“แบบไหนก็ได้ พี่ตามใจธันวาอยู่แล้ว”


ธันวาพบว่าเดือนแรมมักจะพูดจาสุภาพกว่าปกติด้วยการใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าพี่และเรียกชื่อเขาเมื่อต้องการอ้อนเป็นพิเศษ และเขาก็แพ้ทางเสียด้วย เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากอีกฝ่ายในลักษณะนี้


“ครับ ปีหน้านะ”


“ขอบคุณนะ” เดือนแรมแทบไม่รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงออดอ้อนแค่ไหนเวลาพูดกับธันวา แต่หากเพื่อนฝูงได้ยินคงได้ล้อว่าเขาเป็นเดือนแรมเสียงสองหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำอย่างแน่นอน


“พี่แรม พี่ชอบผมตั้งแต่ตอนไหนอะ”


ไม่รู้เป็นเพราะทิ้งห่างบทสนทนาพอสมควรหรืออย่างไรถึงได้ไร้เสียงตอบรับจากคนข้างหลัง เสียงหายใจสม่ำเสมอบางเบาคือสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันว่าอีกฝ่ายยังอยู่ด้วยกัน


“พี่แรม…” ธันวาลองเรียกดูอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เพราะหากคนพี่หลับไปแล้วจริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปลุกให้ตื่นมาตอบตอนนี้อยู่แล้ว “...หลับแล้วจริง ๆ เหรอ”


คนถูกทิ้งให้หลับทีหลังระบายยิ้มบาง ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงไหล่ของทั้งสองคนแล้วหลับตาลงบ้างโดยไม่ลืมเอ่ยคาดโทษอีกฝ่ายทั้งที่รู้ว่าไม่ได้รับรู้ด้วยเลย “พี่ติดค้างผมไว้หลายคำถามแล้วนะ ครั้งหน้าถ้าไม่ตอบละน่าดู”





ในเช้าวันเดียวกันกับงานกีฬาสัมพันธ์คือวันที่ประภาสเดินทางไปฮ่องกงเพื่อเจรจาธุรกิจอย่างที่เคยบอกทั้งลูกชายและหลานรักเอาไว้ ก่อนไปก็ไม่ลืมกำชับให้ลูกชายตนที่มีศักดิ์เป็นพี่ไปรับน้องกลับบ้านในเย็นนี้ด้วย ซึ่งปกป้องก็รีบรับปากทันทีไม่เปิดโอกาสให้ธันวาปฏิเสธหรือต่อรองได้เลย รวมถึงการต้องยอมให้อีกฝ่ายขับรถไปส่งที่งานกีฬาสัมพันธ์ด้วย


“เลิกกี่โมง” น้ำเสียงตวัดขุ่นมัวเหมือนไม่พอใจกันต่างกับตอนที่รับปากผู้ใหญ่ลิบลับคือประโยคแรกที่ปกป้องพูดกับธันวานับตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านจนกระทั่งจอดในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยฝ่ายเจ้าภาพ


“ประมาณสี่ทุ่มครับ มีงานเลี้ยงช่วงเย็นต่อ”


“ให้รับที่ไหน”


“เอ่อ ความจริงแล้ว…”


“จะให้รับที่ไหน” เสียงญาติผู้พี่เข้มขึ้นจนธันวาไม่กล้าปฏิเสธอีก


“ตรงนี้ก็ได้ครับ”


“โอเค ถ้ามาแล้วจะโทรหา รับโทรศัพท์ด้วย อย่าให้ต้องเข้าไปตามถึงในงานนะ” ไม่เหมือนคำบอกเล่าแสดงความห่วงใย ธันวารู้สึกได้ว่านี่คือการขู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มรับแกน ๆ ตอบรับเสียงค่อยก่อนลงจากรถ


จากจุดที่ปกป้องมาส่งไม่ไกลจากสถานที่จัดงานนัก และเพราะการแต่งกายที่คล้ายกันอย่างการสวมเสื้อที่ถูกออกแบบมาเพื่องานครั้งนี้โดยเฉพาะก็ทำให้ธันวาหาจุดหมายได้ไม่ยากนัก


คนแรก ๆ ที่ธันวาเจอก่อนถึงจุดลงทะเบียนเสียอีกคือกรองเกียรติที่เห็นมาแต่ไกลว่ายืนเคว้งหันรีหันขวางอยู่ทางเข้าโรงยิม ในมือมีสมาร์ทโฟน นัยน์ตาเรียวรีชั้นเดียวคู่นั้นก้มมองหน้าจอสลับกับทางเข้าคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะติดต่อใครก่อนเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหรือไม่


“ไงมึง” ธันวารีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ ส่งเสียงทักทายก่อนที่เพื่อนจะทันได้กดสมาร์ทโฟนที่คงหนีไม่พ้นการติดต่อตนเป็นแน่


“จังหวะดีมากมึง แล้วนี่มาไง พี่แรมอะ”


“พี่แรมบอกจะขับรถมาเอง ส่วนกูมากับพี่ป้อง”


กรองเกียรติขมวดคิ้ว “แปลก นึกว่าลุงภาสจะมาส่งถึงหน้าโรงยิมนี่ซะอีก” ธันวานึกหมั่นไส้ที่ข้อสงสัยของเพื่อนยังแฝงไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมเชิงล้อตน


“ลุงภาสบินเช้านี้ ไม่อยู่อีกหลายวันเลย”


“อ้าวพวกมึง มาแล้วก็เข้ามาลงทะเบียนสิวะ” เสียงเพื่อนร่วมรุ่นจากสถาบันเดียวกันดังขัดขึ้นก่อนที่กรองเกียรติจะทันได้ถามอะไรต่อ เพราะเปลี่ยนมาบ่นถึงความประหม่าของตนก่อนหน้านี้ให้เพื่อนสนิทได้รู้ขณะพากันเดินเข้าไปภายในโรงยิมแทน


ธันวาเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตที่หวาดกลัวอะไรก็ร้องหาแต่ความช่วยเหลือจากคนอื่นแทนที่จะจัดการด้วยตนเอง เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้บอกกรองเกียรติออกไปว่าเย็นนี้ตนต้องอยู่บ้านกับญาติผู้พี่ตามลำพัง


เมื่อลงทะเบียนแล้วสองหนุ่มได้ป้ายชื่อห้อยคอกันมาคนละหนึ่งใบที่บ่งบอกว่าชื่ออะไร ชั้นปีที่เท่าไหร่และมาจากมหาวิทยาลัยไหน อีกทั้งในใบลงทะเบียนยังมีข้อมูลเกี่ยวกับบัดดี้ท้ายชื่อของทุกคนตามจุดประสงค์หลักของกิจกรรมคือการสร้างความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนกันเอาไว้ด้วย โดยเบื้องต้นคือการที่เจ้าถิ่นจะดูแลบัดดี้ต่างมหาวิทยาลัยตลอดกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งสองเพื่อนซี้ต่างก็ได้บัดดี้เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่  ต่างกันตรงที่ธันวาได้เพื่อนรุ่นเดียวกัน ขณะที่อีกคนได้รุ่นน้องมาดูแล ทำเอากรองเกียรติบ่นอุบเพราะอดสร้างสัมพันธ์กับสาวที่นี่




ฝ่ายสวัสดิการที่มีสมาชิกเกือบสิบคนเป็นทีมงานกลุ่มแรกที่ทำงานกันอย่างแข็งขันโดยมีหัวหน้าฝ่ายซึ่งเป็นรุ่นพี่ปีสามรับหน้าที่ประสานงานกับมหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้ามเพียงคนเดียวเพื่อการสื่อสารที่ชัดเจน


ธันวากับกรองเกียรติวิ่งวุ่นกันแต่เช้า ทั้งช่วยกันยกอาหารว่างที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งเสิร์ฟบริการให้ฝ่ายกองเชียร์เป็นอันดับแรก ทั้งนี้อากาศยังร้อนจนเสื้อยืดคอปกเริ่มชื้นเหงื่อที่หลังเช่นเดียวกับใบหน้าที่ก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อซึมตามไรผมบ้างแล้ว


“ธันว์วางไว้ก็พอ เดี๋ยวพวกเราช่วยกันแจกน้อง ๆ เอง” หวานเดินเข้ามาหา ธันวามองเลยเธอไปนับจำนวนพี่เลี้ยงกองเชียร์คร่าว ๆ ด้วยสายตา เห็นว่ามีแต่หญิงสาวและเพียงแค่สามคนเท่านั้นจึงยังไม่ยอมปล่อยมือจากแพคน้ำดื่ม


“ไม่เป็นไรหรอก เราขนมาหมดแล้ว เดี๋ยวช่วยแจก ช่วย ๆ กันไง”


ได้ยินอย่างนั้นเธอก็จำต้องยอมให้ธันวาและฝ่ายสวัสดิการคนอื่น ๆ ช่วยจนเสร็จ เนื่องจากกองเชียร์จะต้องถูกแบ่งแยกออกไปตามจุดการแข่งกีฬาต่าง ๆ รวมทั้งในส่วนกลางนี้ด้วย พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะแจกอาหารว่างและน้ำให้น้องทุกคนตั้งแต่เช้าไปเลยในตอนที่ยังรวมตัวกันเพื่อป้องกันความผิดพลาด


“มีน้องคนไหนยังไม่ได้ขนมกับน้ำอีกไหมคะ” รุ่นพี่ชั้นปีที่สามที่ธันวาเดาว่าน่าจะเป็นหัวหน้าฝ่ายตะโกนถามน้องที่นั่งเรียงกันเต็มพื้นที่เกือบสิบขั้นบันได


“ธันว์เหงื่อออกเยอะมากเลย” ไม่พูดเปล่า หลังจากทักอย่างนั้นหวานก็รีบหยิบกระดาษทิชชูของตัวเองออกมาและถือวิสาสะซับเหงื่อบนใบหน้าของเขา ธันวายิ้มบางด้วยความเกรงใจพึมพำขอบคุณก่อนรับมาเช็ดเสียเอง


“ไอ้ธันว์” ธันวามองตามสายตากรองเกียรติที่เรียกชื่อเขาแล้วส่งสายตาไปด้านหลังราวกับต้องการให้มองคนมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะคนที่ยืนส่งสายตาคมดุมาจากชั้นล่างคือคนที่ทำให้หวานต้องรีบถอยออกไปทันทีหลังเอ่ยทักทายตามมารยาทแล้ว


“เปลี่ยนชุดเร็วจัง” ธันวาทักทายเสียงใส แสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนว่าอีกฝ่ายอาจจะเคืองที่ตนใกล้ชิดกับหวานมากเกินไปเมื่อครู่นี้


“ต้องใส่ชุดนักกีฬาเข้าร่วมพิธีเปิด” เดือนแรมเองก็ข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ หากไม่เป็นเพราะว่ารุ่นน้องสาวคนนั้นเองก็มีใจให้ธันวาเหมือนกัน เขาก็ไม่อยากหึงหวงทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายอยู่กับคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้อยากมีความรู้สึกแย่ ๆ ให้กันนัก


“อ้อ...แล้วพี่กินอะไรมารึยังครับ เดี๋ยวผมหาให้”


ธันวายกยิ้มในใจเมื่อเห็นมุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนจากหน้าบึ้งดุให้อ่อนลง แม้ไม่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้ว่าเดือนแรมอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว “ทำหน้าที่สวัสดิการรึไง”


คนเด็กกว่าแนบลำตัวกับราวกั้นแล้วโน้มตัวลงไปหาคนข้างล่างที่ขยับเข้ามาใกล้เช่นกัน ไม่ต้องถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตกลงไปก็สามารถสบตากับอีกฝ่ายในระยะประชิดได้แล้ว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมน่ะ เป็นสวัสดิการที่จะดูแลพี่เป็นพิเศษและไม่ใช่แค่ในงานนี้ด้วยนะครับ”


กรองเกียรติหันหน้าหนีทั้งที่ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ เขาเพียงแค่ไม่อยากจ้องมองให้คนมาดดุที่กำลังกลั้นยิ้มจนแก้มแทบแตกต้องรู้สึกขัดเขินเพราะมีคนรู้ว่าตนกำลังเสียอาการ


“เหรอ แล้วงานไหนอีก”


“จะตามไปดูแลทุกงานเลยครับ”


เดือนแรมเม้มปากก่อนยิ้มกว้างขึ้น ทั้งเขินทั้งขบขัน “แค่ดูแลอย่างเดียวเหรอ”


“จะเป็น one stop service ให้เลยครับ อยากได้อะไรอยากให้ทำอะไร ผมคนเดียวเป็นทุกอย่างให้พี่เลย”


เดือนแรมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว “เกินเรื่องจริง ๆ เลยมึงเนี่ย”


ธันวายิ้มแป้นโดยลืมไปว่าพวกตนไม่ได้อยู่กันตามลำพังแค่สองคนแต่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายทั้งในคณะตนเองและผู้คนต่างมหาวิทยาลัย




พิธีเปิดเรียบง่ายใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที เสียงรัวกลองอันเป็นสัญญาณของความรื่นเริงก็ดังขึ้นให้ทุกคนในที่นี้ครึกครื้นกระฉับกระเฉงขึ้นมาในทันที


นักกีฬาประเภทต่าง ๆ แยกกันไปยังสนามของตัวเองโดยการนำทีมด้วยไนท์และรุ่นพี่อีกหลายคน รวมถึงกองเชียร์ที่ถูกนำทางโดยพี่เลี้ยงด้วย แม้กีฬาแต่ละประเภทจะแข่งไม่พร้อมกัน แต่ด้วยเวลาที่ไล่เรี่ยกันมากและบางประเภทแข่งทับซ้อนกันจึงจำเป็นต้องให้แบ่งกองเชียร์ไปพร้อมนักกีฬาเลย


นอกจากกีฬาแล้วยังมีการแข่งขันทางวิชาการกันเป็นทีมภายใต้การดูแลและติวเข้มโดยโอ๊คอีกด้วย โดยใช้โรงยิมกลางเป็นสถานที่หลัก หนึ่งในเกมเหล่านั้นมีการแข่งเรื่องกายวิภาคที่กรองเกียรติคุยโวว่าหากตนไม่สมัครหน้าที่สวัสดิการเสียก่อนก็คงถูกคัดเข้าร่วมทีมแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน


แม้จะเห็นจริงตามนั้นแต่ธันวาก็ยังรู้สึกหมั่นไส้ท่าทีมั่นใจของเพื่อนจนต้องรีบลากตัวอีกฝ่ายออกจากตรงนี้เพราะมีหน้าที่ดูแลนักกีฬาไม่ใช่ทีมแข่งวิชาการ แวบหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อปีก่อนอาจจะมีเดือนแรมเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันด้วยอย่างแน่นอน


ธันวาและกรองเกียรติช่วยกันยกกระติกน้ำแข็งที่มีทั้งน้ำดื่ม น้ำเกลือแร่และผ้าเย็นสำหรับนักกีฬาแช่อยู่ในนั้นออกจากกองสวัสดิการกลางไปยังสนามบาสเกตบอลในร่มซึ่งห่างออกไปไม่ไกลนัก กรองเกียรติทั้งล้อทั้งแซวตลอดทางว่าธันวาลำเอียงเพราะอยากเชียร์คนรักถึงได้รีบเสนอตัวขอหัวหน้าฝ่ายมาดูแลนักกีฬาทีมนี้


“เห้ยไอ้เก่ง ไอ้ธันวา” เสียงใครสักคนดังแทรกเสียงลูกหนังกระทบพื้นสนามจากการซ้อมของนักกีฬาทั้งสองฝั่งในตอนที่สองหนุ่มเจ้าของชื่อเพิ่งเดินเข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าว


“เชี่ย!” เป็นกรองเกียรติที่ทักทายกลับไปอย่างเป็นกันเอง


“คิดถึงพวกมึงฉิบหาย วันนี้ลงแข่งไหมวะ” คนพูดปลีกตัวออกจากทีมที่กำลังซ้อมบริเวณแป้นฝั่งประตูเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความยินดีเป็นอย่างมากอย่างที่พูด


“ไม่ว่ะ” ธันวายกสองมือที่เต็มไปด้วยกระติกน้ำและผ้าเย็นสำหรับนักกีฬาให้อีกฝ่ายดูว่านอกจากจะไม่ลงแข่งเองแล้วยังต้องมาคอยดูแลนักกีฬาอีกด้วย


“ได้ไงวะ กูไม่ได้เล่นบาสกับพวกมึงนานแล้วเนี่ย ไม่ลงให้หายคิดถึงหน่อยเหรอวะ…” สองหนุ่มวางกระติกลงบนพื้นเพราะเห็นท่าว่าอาจจะคุยกันนานกว่าแค่ทักทาย “...อ้าวเห้ย นั่นพี่แรมป่ะ” เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดถึงได้รู้ว่าเป็นใครเมื่อสาดส่องจนเจอ


“มึงรู้จักพี่แรมด้วยเหรอ” กรองเกียรติเองก็สงสัยไม่ต่างจากคนถามนัก


“ใคร ๆ ในโรงเรียนเราก็รู้จักพี่แรมป่ะวะ” คิ้วเข้มขมวดเมื่อจับสังเกตได้จากสีหน้าเพื่อนเก่าทั้งสอง “เชี่ยยยย อย่าบอกนะว่าพวกมึงไม่รู้จัก”


สองหนุ่มสถาบันเดียวกันพร้อมใจกันพยักหน้าแทนคำตอบ “ทำไมทุกคนถึงรู้จักเขา”


“ถามว่าทำไมพวกมึงไม่รู้จักดีกว่าไหมวะ”


“...”


“ไม่ต้องเป็นนักกิจกรรมตัวยงก็รู้จักพี่แรมกันทั้งนั้นแหละ พี่แกอยู่ทุกวงการ ทำกิจกรรมแม่งเยอะมาก”


“เหรอ”


“เออดิ มีช่วงหนึ่ง โรงเรียนจัดงานอะไรก็เห็นแต่หน้าพี่แรม ตั้งแต่การแสดงไปจนกีฬา”


“พี่เขาชอบให้คนสนใจเหรอวะ” แม้เพื่อนต่างสถานศึกษาจะไม่ทันสังเกตแต่กรองเกียรติรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของเพื่อนสนิทขุ่นกว่าปกติ


“เออแปลก ทำตัวเหมือนจะให้เป็นจุดสนใจ แต่เก็บตัวฉิบหาย ไม่ใช่คนที่ใครก็สนิทด้วยได้หรอกนะเว้ย”


“แล้วมึงสนิทไหม” คราวนี้กรองเกียรติถามบ้าง


“ระดับนึง สนิทเพราะเล่นบาสเนี่ยแหละ”


“พวกกูก็เล่น ทำไมไม่เคยเจอ”


“พวกมึงแม่งปลีกวิเวกจะตาย ถ้าพวกกูไม่เสนอหน้าไปขอเล่นด้วย คิดเหรอว่าเราจะรู้จักกัน” สองหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อคิดตาม เมื่อก่อนพวกเขาเล่นบาสเกตบอลกันทั้งกลุ่ม เล่นกันเฉพาะในกลุ่มบ้าง รวมกับเพื่อนร่วมชั้นปีเดียวกันบ้าง ไม่เคยได้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่ธันวามีแฟนก็ยิ่งทิ้งห่างการเล่นบาสฯหลังเลิกเรียนไปเสียเลย


“เฮ้ย ใกล้แข่งแล้ว กูขอไปทักทายพี่แรมก่อนนะ ไว้เจอกันพวกมึง” คนเป็นเจ้าถิ่นตบบ่าเพื่อนทั้งสองก่อนผละไปหาหนุ่มรุ่นพี่อย่างที่บอก


“เดี๋ยวมึง” กรองเกียรติรั้งธันวาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินตามเพื่อนเก่าไปทางเดียวกัน


“มีไร”


“มึงเคยถามพี่แรมไหมว่าเขาชอบมึงตั้งแต่เมื่อไหร่”


“ทำไมวะ มีอะไร”


“กูกำลังสงสัยว่าคนอย่างพี่แรมพาตัวเองออกมาเป็นจุดเด่นเพราะอยากให้มึงเห็นรึเปล่า”


“...” เขาจำได้ที่ดีนเคยบอกว่าเดือนแรมวนเวียนอยู่รอบตัวเขานานแล้ว  และเดือนแรมเองก็เคยพูดเรื่องทำนองนี้ออกมาเหมือนกัน เพียงแต่เขายังไม่เคยเก็บมาคิดจริงจังมากนัก


“กูว่าใช่แน่ ๆ แต่พวกเราแม่งเสือกไม่เอากิจกรรมเลย” กรองเกียรติสรุปออกมาก่อนเดินนำไปยังที่นั่งพักนักกีฬาฝั่งตน


“ถึงปีที่แล้วผมแพ้ แต่ปีนี้ผมไม่ยอมพี่อีกแน่”


“ปีที่แล้วพวกกูชนะเพราะพวกมึงอ่อนเอง แต่ปีนี้ไม่ว่ายังไงกูก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ มึงสู้สุดตัวก็ดีแล้ว เพราะกูก็จะสู้จนคว้าชัยชนะให้ได้เหมือนกัน”


ธันวาเดินเข้ามาทันได้ยินตอนนี้พอดีกับที่คนพูดเองก็มองมาทางเขาเช่นกัน


“แหมพี่ พูดเหมือนจะชนะอวดสาวงั้นแหละ”


เดือนแรมยิ้มขำเล็กน้อย ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ “เจอกันในสนามเว้ย”


“เจอกันพี่...ไว้เจอกันพวกมึง”


สองหนุ่มฝ่ายสวัสดิการพยักหน้าตอบรับการโบกมือลาของเพื่อนต่างมหาวิทยาลัยก่อนจัดแจงพื้นที่ใช้สอยบริเวณนั้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วจึงค่อยมานั่งข้างเดือนแรมที่กำลังดูคนอื่น ๆ วอร์มกันอยู่ในสนาม




(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.7 [15/11/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 15-11-2019 23:21:31
“พี่ไม่วอร์มเหรอ” ธันวาถามซื่อ ๆ


“วอร์มก่อนแล้ว”


“ยืดกล้ามเนื้อรึยัง”


“บ้างแล้ว”


“งั้นผมนวดให้ป่ะ” เดือนแรมหันมองหน้าคนอาสาด้วยสายตาฉงนจนอีกฝ่ายต้องอธิบายเพิ่ม “นวดกระตุ้นกล้ามเนื้อไง พวกผมทำกันบ่อย ๆ เวลาลงเล่น”


“จริงพี่ ไอ้ธันว์นี่มือนวดอันดับหนึ่งของกลุ่มเลยนะ” กรองเกียรติชะโงกหน้ามาเสริม


“ไหนโชว์ฝีมือซิ”


“ระวังจะติดใจ” ธันวาอวดอ้างทีเล่นทีจริง


“หาเรื่องให้หลงเก่งนะมึงเนี่ย ทุกวันนี้กูก็ไปไหนไม่รอดแล้ว”


“อะแค่ก อะแค่ก” คนกลางอย่างกรองเกียรติถึงกับสำลักน้ำลายเมื่อได้ยินทั้งสองเอ่ยวาจาเกี้ยวพากันไปมา คนบังเอิญได้ยินอย่างเขายังขัดเขินจนหน้าร้อนไปหมด ไม่อยากจะคิดว่าธันวาจะเป็นอย่างไร


แต่เพราะได้ยินเสียงไอของเพื่อนรัก ธันวาถึงได้เก็บอาการเขินไว้แล้วเริ่มนวดน่องให้เดือนแรมทันที


คนเป็นนักกีฬาเผยรอยยิ้มขณะมองคนรักที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้นแล้วค่อย ๆ บรรจงกดนวดน่องให้เขาด้วยความตั้งใจ


“เพิ่งรู้ว่าพี่สนิทกับมันด้วย” ธันวาชวนคุยเพราะเริ่มรู้สึกประหม่ากับสายตาที่จับจ้องตน


“อือ เห็นมันสนิทกับมึง กูเลยตีสนิทด้วย เผื่อมันจะพาไปรู้จักมึงได้ แต่แม่งไม่ได้เรื่องเลย”


“นี่พี่หวังผลประโยชน์จากคนอื่นเป็นด้วยเหรอ” ธันวาช้อนตาถามด้วยความสงสัย นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าเดือนแรมมีมุมนี้ด้วย


“กูชอบมึงนะ มึงจะให้กูอยู่เฉย ๆ ไม่หาทางเข้าใกล้มึงเลยเหรอ แล้วก็นะ จะให้กูตีสนิทเพื่อนมึงรึไง อย่างไอ้ดีนงั้นเหรอ” เดือนแรมทำหน้าไม่ถูกเมื่อนึกถึงคนที่ตนพาดพิง


ธันวาหลุดขำก่อนรีบงับปากเมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ขำด้วยแต่ก็ยังติดน้ำเสียงขบขันในตอนที่ออกความเห็นอยู่ดี “เดินเข้ามาหากันตรง ๆ ไม่ง่ายกว่าเหรอพี่ มัววนเวียนรอบตัวเป็นสัมภเวสีเหมือนอย่างที่ดีนว่าจริงด้วย”


“ก็ตอนนั้นไม่รู้นี่ว่ามึงคิดยังไงกับผู้ชายด้วยกัน บุ่มบ่ามเข้าไปจีบตรง ๆ มึงหนีกูขึ้นมาทำไง”


“คิดมาก คิดซับซ้อนนะพี่เนี่ย”


“แค่เรื่องมึงแหละ กูถึงได้บอกไงว่าเรื่องของมึงยากกว่าอนาโตมีอีก” เดือนแรมยื่นมือไปลูบท้ายทอยคนน้องเล่นและดึงมือกลับเมื่อเหล่าลูกทีมพากันกลับเข้ามาที่นั่งพัก


“ไอ้ธันว์ มึงนวดเป็นด้วยเหรอ นวดให้กูบ้างดิ” ตฤณกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ามีความหวังเพราะนานทีจะมีโอกาสได้ใช้งานเพื่อนแบบนี้


เดือนแรมตวัดตามองก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ไอ้เก่งก็นวดเป็น จริงไหมวะ” ประโยคหลังเดือนแรมถามกรองเกียรติที่นั่งอยู่ใกล้กัน


“ครับ ๆ” กรองเกียรติรับคำด้วยน้ำเสียงขบขันและรอยยิ้มที่ปิดแทบไม่มิดเพราะเพื่อนเขาช่างไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ตนต้องการนั้นเจ้าของเขาหวงแค่ไหน


“อ้าว เป็นสวัสดิการก็ต้องดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมดิพี่” บางทีกรองเกียรติก็ชักสงสัยว่าตฤณไม่รับรู้ถึงอารมณ์ของเดือนแรมจริง ๆ หรือกำลังก่อกวนอยู่กันแน่ถึงได้ยังรั้นต่อแบบนี้


เดือนแรมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “สวัสดิการมีหน้าที่ซัพพอร์ตปากท้องนักกีฬา ไม่ได้มีหน้าที่นวดนักกีฬา”


“...”


“อันนี้หน้าที่แฟน ชัดไหม”


ตฤณเริ่มหน้าซีด ยิ้มแห้งก่อนตอบรับเสียงค่อย “ชะ ชัดครับ”


“ชัดแล้วยังอยากแชร์หน้าที่นี้ของธันวาจากกูอีกไหม” น้ำเสียงเย็น ๆ ไม่เพียงทำให้ตฤณหวาดกลัวแต่คนที่สังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ อย่างกรองเกียรติก็ถึงกับหายใจติดขัดไปช่วงหนึ่งด้วยเหมือนกัน


“ไม่แล้วครับ รู้แล้วครับว่าหวงมาก”


“พี่แรมก็แกล้งตฤณมัน” ธันวายืนขึ้นก่อนเอ็ดคนรักไม่จริงจังนักแล้วหันไปหาเพื่อน “เดี๋ยวกูนวดให้ เป็นเพื่อนก็ดูแลกันได้”


“กูทำเอง” กรองเกียรติแทรกขึ้นมา ก่อนรีบชิงดึงตัวตฤณมาหาตัวเองก่อนด้วย “มึงมานั่งนี่ ใกล้ ๆ ตีน เอ้ย! มือกูนี่”


เห็นอย่างนั้นแล้วธันวาก็หันมามองดุเดือนแรม ทว่าอีกฝ่ายไม่นึกกลัวสักนิด ท่าทีไหวไหล่ไม่แยแสนั่นก็น่าหมั่นไส้จนชวนให้วาดมือลงไปไม่แรงนักแทนการทำโทษคนที่ชอบแกล้งคนอื่น “แกล้งเพื่อนผมเก่งจังเลยนะ”


“แกล้งที่ไหน จริงจัง” เดือนแรมตอบหน้าตายก่อนขยายความเมื่อเห็นคนฟังนิ่งไป “ก็มันกวนกู เห็นอยู่ว่าไอ้เก่งนั่งว่างอยู่ยังหาเรื่องให้มึงไปนวดให้อีก จงใจกวนกูชัด ๆ”


ธันวาย้ายฝั่งไปอีกข้างแล้วนั่งลงนวดน่องต่อ ไม่ทันทิ้งช่วงบทสนทนานานก็เอ่ยถามเสียงเบาด้วยน้ำเสียงปกติไม่เจือด้วยความขุ่นเคืองหรือไม่พอใจสักนิด “แล้วทำไมต้องดุจริงจังขนาดนั้นละครับ”


“หวง!”


“ครับ?”


“กูหวงอ่ะ” ท่าทางเดือนแรมในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจเลยสักนิด ทว่าความแปลกตานี้กลับทำให้คนมองใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูกมากกว่าขุ่นเคือง


“...”


“ไม่ได้เหรอ?”


“ดะ ได้ครับ”


“พูดแล้วนะ”


“ครับ ๆ” ธันวาตอบรับพลางส่ายหน้า แสร้งทำเป็นเหนื่อยหน่ายกับการเซ้าซี้ของเดือนแรมกลบความเขินอายของตัวเอง แต่เพราะสีระเรื่อที่ข้างแก้ม เดือนแรมถึงได้สบายใจที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับการแสดงออกของตนอย่างที่กังวล


เดือนแรมกลัว บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้น กลัวว่าแสดงออกตามใจตัวเองมากไปจะทำให้ธันวาไม่พอใจจนก่อเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันได้ โดยไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอคิดมากจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากันมากแค่ไหน คนที่เมื่อครู่ยังนั่งคุกเข่ากับพื้นนวดน่องให้เขาอยู่ก็ลุกขึ้นมานวดขมับและคลายหัวคิ้วออกจากกันให้แล้ว


“ไม่ต้องคิดมากนะครับ โฟกัสเรื่องเกมก็พอ”


เดือนแรมเงยหน้ามองคนที่บดบังทัศนียภาพของสนามตรงหน้าเสียมิด “อือ”


“ไม่ต้องชนะก็ได้ แต่อย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ ผมจะนั่งเชียร์อยู่ตรงนี้แหละ”


รอยยิ้มของธันวาพิมพ์ใจเสมอ เมื่อก่อนแอบมองชอบรอยยิ้มนี้อย่างไรตอนนี้ก็ยังชอบอย่างนั้น และรู้สึกว่ามันช่างมีอิทธิพลกับอารมณ์ของเขาเสียจริง “ขอบคุณครับ”


ก่อนเกมเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย บอยที่เป็นหนึ่งในช่างภาพของงานนี้ก็เข้ามาถึงสนามพร้อมกล้องตัวใหญ่คล้องคอที่ดูจะเกิินตัวไปสักนิด เจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดกับเดือนแรมว่าข้างนอกว่าร้อนระอุแล้วแต่ในนี้กลับอบอ้าวกว่าเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมทำหน้าที่ของตนเองในที่นี้อย่างเต็มที่อยู่ดี


เดือนแรมไม่ได้ลงแข่งในควอเตอร์แรก เขาปล่อยให้ลูกทีมได้เล่นสนุกและโชว์ฝีมือที่ตัวเองภูมิใจกันอย่างเต็มที่เสียก่อน เพราะอย่างนั้นธันวาจึงละสายตาจากเกมการแข่งขันได้อย่างไม่ลำบากใจนักในตอนที่ถูกพี่เลี้ยงกองเชียร์ร้องขอให้ช่วยไปหาถุงขยะมาเพิ่ม


ธันวาเดินกลับไปกองสวัสดิการที่หน้าโรงยิมกลางเพียงลำพัง ยกหลังมือแตะซับเหงื่อตามใบหน้าเป็นระยะเพราะอากาศร้อนระอุจริงอย่างที่บอยบอกไว้ หากไม่ติดว่าต้องรีบกลับไปดูเดือนแรมแข่งบาสเกตบอล เขาก็อยากแวะเข้าไปอู้ตากแอร์ในโรงยิมกลางเสียหน่อย


“ผมมาขอถุงขยะเพิ่มครับ” ที่กองสวัสดิการมีแต่ทีมงานเจ้าภาพ ธันวาจึงไม่ต้องเสียเวลาพิลี้พิไลมากนัก


“นี่ครับ”


ก่อนที่ธันวาจะยื่นมือออกไปรับถุงสำหรับใส่ขยะมาถือไว้ได้ก็มีใครบางคนแย่งมันไปจากมืออีกฝ่ายต่อหน้าต่อตาเขาเสียก่อน


ธันวาหันไปมอง คนมาใหม่ไม่รอให้เขาโวยวายก็รีบแก้ต่างออกมาเสียก่อน “ถ้านายจะถือกลับไปสนามบาส ให้ผมช่วยถือนะครับ ยังไงก็ไปที่เดียวกันอยู่แล้ว”


“เอ่อ แต่ของแค่นี้เองนะครับ”


“งานแบบนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้เราสร้างสัมพันธไมตรีกันไม่ใช่เหรอครับ เพราะฉะนั้น ต่อให้ไม่มีอะไรให้ช่วยมากนัก ก็อย่าตัดไมตรีกันเลยครับ”


ธันวายิ้มบาง ๆ ไม่รั้นที่จะปฏิเสธอีกแล้วยอมเดินข้างกันกลับไปสนามบาสเกตบอลโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในสถานการณ์ประดักประเดิดกันนานนัก


“แค่ถุงขยะแค่นี้ ต้องเดินไกลเลยนะครับ”


“ครับ” ธันวาติดรอยยิ้มไว้บนใบหน้าเพื่อไม่ให้ดูเป็นการตอบรับแกน ๆ นัก


“ผมชื่อไบรท์นะครับ”


ธันวาเหลือบมองป้ายชื่อที่ห้อยคออีกฝ่ายอยู่ มองผ่าน ๆ ให้พอรู้ว่าเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันเท่านั้น “ผมธันว์ครับ ไม่ต้องสุภาพด้วยมากก็ได้ เราเป็นเพื่อนกัน”


“อื้อ แล้วนี่ไม่เอะใจชื่อเราเลยเหรอ”


“หือ?”


“เราเป็นบัดดี้นายไง”


“อ้อ...” กว่าจะร้องอ้อเสียงยาวออกมาได้ก็ต้องใช้เวลานึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มแห้งเพราะรู้สึกผิดที่ไม่ได้จำชื่ออีกฝ่ายไว้ทั้งที่รู้ตั้งแต่ตอนที่ลงทะเบียนแล้วว่าใครเป็นบัดดี้ของตน “โทษทีนะ”


“แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจมารู้จักเพื่อนใหม่เลยดิ”


“ไม่ใช่อย่างนั้น” ธันวาปฏิเสธทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะสนใจใครหรืออะไรรอบตัวมากนัก ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนคนที่วนเวียนรอบตัวเขาตลอดอย่างเดือนแรมคงไม่หลุดจากโฟกัสสายตาเขาไปได้ตั้งนานแน่ “เราแค่จำชื่อไม่ได้น่ะ”


จากที่ตั้งใจว่าแค่รู้จักกันผ่าน ๆ แค่ว่าอีกคนคือคนที่เข้ามาช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ธันวาต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่เพราะอาจมีกิจกรรมให้ต้องพบเจอกันอีกก็เป็นได้


ธันวามองสำรวจอีกฝ่าย เลือกจำเฉพาะจุดเด่นเป็นต้นว่าไบรท์เป็นผู้ชายร่างสูงพอกัน สีผิวโทนเหลือง ใบหน้าคมเข้มเป็นเอกลักษณ์


“นายเป็นสวัสดิฯเหรอ”


“อือ”


“เหมือนกันเลย บังเอิญจังวะ”


ธันวาได้แต่ยิ้มตามมารยาทเท่านั้น เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่งสักเท่าไหร่ เรื่องจะให้ต่อบทสนทนากับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ลื่นไหลนั้นเห็นทีว่าคงยาก


ทว่าไม่ใช่กับไบรท์ รายนั้นหยิบยกมาพูดได้หมดไม่ว่าพวกตนจะเดินผ่านตึกไหน ทั้งประวัติและการใช้สอยที่คนฟังเพียงแค่เออออตามแต่ไม่ได้ใส่ใจนัก


ก่อนแยกกันเดินไปคนละฝั่งคณะตัวเองในตอนที่มาถึงสนามก็ยังทิ้งท้ายไว้อีกด้วยว่ารอเจอกันในงานเลี้ยงคืนนี้


ธันวาขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่อุตริขอช่องทางติดต่อตนก่อนแยกกัน ไม่อย่างนั้นจากสายตานิ่ง ๆ ของเดือนแรมที่มองมาแต่ไกลอาจขุ่นเคืองขึ้นได้



“เขาเป็นบัดดี้ผมครับ” ธันวารีบบอกก่อนที่เดือนแรมจะถามออกมาทันทีที่เดินมาถึงตัวจนถูกกรองเกียรติแซวลอย ๆ ว่าเขาร้อนตัว


ธันวาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนก่อนยื่นถุงใส่ขยะให้พี่เลี้ยงกองเชียร์แล้วกลับมายิ้มหวานเอาใจเดือนแรม “เขาแค่เทคแคร์ในฐานะบัดดี้แหละ ไม่ได้คิดอะไรกับผมหรอก”


“เหอะ! น้อยไปน่ะสิ!” เสียงกรองเกียรติพึมพำดังแว่วเข้าหูที่ช่างตรงใจเดือนแรมเสียจริง คนไม่คิดอะไรด้วยที่ไหนจะช่วยถือของที่แม้แต่เด็กเล็กยังถือเองได้อย่างถุงขยะ นอกเสียจากว่าหาเรื่องใกล้ชิด


ทว่าสิ่งที่พูดออกไปกลับตรงกันข้าม “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” พูดจบก็หันไปให้ความสนใจกับเกมตรงหน้าต่อ ใกล้จบควอเตอร์แรกแล้วและคะแนนก็กำลังไปได้สวย แต่เห็นทีว่าเขาคงต้องลงแข่งควอเตอร์ที่สองผิดจากที่ตั้งใจไว้เพราะอารมณ์คุกรุ่นในอกมันไม่อาจสงบนิ่งได้ด้วยการควบคุมอีกแล้ว


“จริงเหรอ แต่หน้าพี่ฟ้องนะ” ธันวาเย้ายิ้ม ๆ


“ธันวา…” ในหน้าขมึงตึงหันกลับมามองกันจนคนเย้าผงะ “...มึงดูออกว่ากูไม่สบายใจที่เห็นเขาเข้าใกล้มึง แต่มึงมองเจตนาเขาไม่ออกว่าเข้ามาจีบ...เพราะมึงเป็นแบบนี้ไงกูเลยทั้งหึงทั้งเป็นห่วง แต่กูก็ไม่อยากงี่เง่าใส่มึง” เดือนแรมระบายออกมา สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสับสนทางความรู้สึกอย่างที่เจ้าตัวว่า


“พี่แรม…”


“ถ้าเกิดอะไรขึ้นในสนาม อย่าตกใจนะ กูขอเวลาจัดการอารมณ์ตัวเองก่อน” เดือนแรมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนลุกไปหาลูกทีมคนอื่นที่นั่งรอเป็นตัวสำรอง


“เคยพูดแล้วว่าอย่าเชื่อคนง่าย มึงนี่มองคนไม่ขาดสักทีวะ ภัยถึงตัวก่อนตลอด” กรองเกียรติขยับตัวมานั่งแทนที่เดือนแรมก่อนบ่นเพื่อนรัก


“ถ้ากูมองขาดกูก็คงรู้ว่าพี่แรมจีบตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาสอนอนาโตมี่แล้วป่ะวะ”


เกมการแข่งขันในควอเตอร์สองดุดันขึ้นตามอารมณ์ของกัปตันทีมฝั่งนี้จนคะแนนยิ่งทิ้งห่างแบบลอยตัว แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามด้วยฝีมือที่มีขนาดไหนก็ไม่อาจต้านทานเกมรุกของเดือนแรมได้จนหลายคนสงสัยว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมายขนาดนี้ และแม้เดือนแรมจะทำคะแนนให้ทีมมากแค่ไหนในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ทำคะแนนจากลูกโทษเหมือนกัน


ขณะที่คนเชียร์อยู่ข้างสนามอย่างธันวาจับตามองด้วยความเป็นห่วง ยิ่งเห็นคนรักเล่นเกมรุนแรงจนถูกกระแทกในบางจังหวะก็ยิ่งนั่งไม่ติด และโชคดีจริง ๆ ที่สิบนาทีตลอดควอเตอร์สองเดือนแรมไม่ได้รับบาดเจ็บหรือล้มไถลไปกับพื้นอย่างที่กังวล


อยากจะโกรธในตอนที่คนพี่เดินกลับเข้ามานั่งพัก แต่พอเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนก่อนลงเล่น น้ำเปล่าและผ้าเย็นในมือที่เตรียมไว้ให้ก็ถูกยื่นออกไปให้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


“ขอบคุณที่ไม่บาดเจ็บกลับมานะครับ”


เดือนแรมใจกระตุก ทั้งสีหน้าแววตาของธันวาทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ และอยากรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับทำได้แค่ก้าวเข้าไปใกล้อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ”


เดือนแรมคิดว่าเขาเข้าใจอะไรได้มากขึ้นจากแววตาที่มักดื้อรั้นคู่นั้น อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าข้อเท็จจริงที่สุดคือธันวาอยู่กับเขาทั้งตัวและหัวใจ ไม่ว่าจะมีใครเข้ามาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องกังวลเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ และเขาก็ต้องจัดการความรู้สึกตัวเองให้ดีกว่านี้ด้วย เพราะสีหน้าทุกข์ใจของธันวาไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะเห็นเอาเสียเลย


จบเกมการแข่งขันบาสเกตบอลในปีนี้มหาวิทยาลัยของพวกเขาก็ยังสามารถเอาชนะไปอย่างเฉียวฉิวได้อีกหนึ่งปี ธันวาพุ่งเข้าไปกระโดดกอดเดือนแรมด้วยความดีใจแบบไม่กลัวสายตาใครก่อนจะผละออกมายืนข้าง ๆ ในตอนที่บอยเดินเข้ามาเล่าให้เดือนแรมฟังด้วยความตื่นเต้นว่าในช่วงท้ายตนไม่กล้ากดชัตเตอร์เพราะเกมสนุกจนอยากมองด้วยตาตัวเองมากกว่าผ่านเลนส์


หลังจากถ่ายรูปรวมทีมทั้งฝั่งตนเองและร่วมกับเจ้าภาพแล้วธันวาก็รีบเซลฟี่คู่กับกัปตันคนเก่งก่อนปลีกตัวไปทำหน้าที่สวัสดิการของตัวเองพร้อมกรองเกียรติ



คณะอื่นอาจจะแข่งกีฬาสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยร่วมกันหลายแห่ง แต่สถาบันของพวกเขาที่นับว่าเป็นคณะแพทย์เก่าแก่จัดงานนี้ขึ้นเพื่อกระชับมิตรกันแค่สองแห่งอันเป็นที่มาของชื่อกีฬาสองเข็ม เพราะอย่างนั้น ในการแข่งขันทุกกิจกรรมทั้งกีฬาและวิชาการจึงมักจะผลัดกันชนะในแต่ละปี จะมีก็แต่บาสเกตบอล ฟุตซอล และแข่งตอบปัญหากายวิภาคเท่านั้นที่ฝั่งมหาวิทยาลัยของธันวาชนะติดต่อกันสองปีซ้อนแล้ว


และเพราะต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันมากในทุกฝ่าย ช่วงกิจกรรมในค่ำคืนจึงเป็นการปลดปล่อยให้นักศึกษาจากทั้งสองมหาวิทยาลัยได้ผ่อนคลายเพลิดเพลินกับทั้งอาหารและบรรยากาศกันอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสานสัมพันธ์อีกมากให้ได้ร่วมสนุก ซึ่งล้วนแต่เป็นเกมที่ต้องจับคู่กับบัดดี้เพื่อแข่งขันทั้งนั้น


ในตอนนั้นเองที่เดือนแรมได้เจอกับบัดดี้เป็นครั้งแรกตอนที่สาวเจ้าเข้ามาแนะนำตัวและชวนเล่นเกมด้วยกันถึงโต๊ะอาหารที่มีทั้งกลุ่มของเขาและธันวารวมอยู่ด้วย ชายหนุ่มทำความรู้จักแค่ชื่อแต่ไม่รับไมตรีที่มากกว่านั้น รวมไปถึงออกปากปฏิเสธไบรท์ที่เข้ามาชวนธันวาด้วยเหมือนกัน


“ขี้หึงขี้หวงเกินไปแล้วสัด” ไนท์ว่าขึ้นเรียบ ๆ คล้ายตั้งใจจะติมากกว่าแซว “ให้น้องมันเลือกเองบ้าง”


เดือนแรมฉุกคิดตามที่เพื่อนว่า ทว่าคนที่ถูกพาดพิงกลับชิงพูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะวิตกไปมากกว่านี้ “ดีแล้วแหละครับที่พี่แรมปฏิเสธให้ เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขายังไงเหมือนกัน”


“นี่ก็สปอยล์กันดีเหลือเกิน” ไนท์ส่ายหน้าระอาแต่ก็ดีใจที่ทั้งสองเข้ากันได้ดี


“เขาถึงได้ว่าคนจะคบกันได้ต้องศีลเสมอกัน” บอยสรุปให้คนทั้งโต๊ะได้พยักหน้าเห็นด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง


ทั้งที่สถานการณ์จบลงด้วยดีแต่ดูเหมือนว่าคนข้างกายยังไม่สบายใจ ธันวาขยับมือเข้าไปใกล้มืออีกฝ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะ ไต่นิ้วขึ้นไปบนหลังมือแล้วลูบเบา ๆ ให้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดมากอย่างที่ใครคิดแทนเลยสักนิดจนสีหน้าของเดือนแรมเริ่มดีขึ้น


รอยยิ้มบาง ๆ เริ่มปรากฏบนใบหน้าคนเป็นพี่ สิ่งหนึ่งที่เดือนแรมได้เรียนรู้จากไนท์คือต่อไปเขาคงต้องแสดงความเป็นเจ้าของธันวาอย่างโจ่งแจ้งให้น้อยลง อย่างน้อยก็ต้องไม่จำกัดสิทธิ์ในการตัดสินใจของคนรัก แต่สิ่งที่ควรทำคือทำให้ธันวาอยากเลือกเขาแทนที่จะเป็นคนอื่นด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง ๆ



ธันวากับเดือนแรมแทบจะเป็นสองคนที่นั่งเฝ้าโต๊ะเช่นเดียวกันกับไนท์ที่ไม่คิดจะออกไปร่วมสังสรรค์กับส่วนกลางเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้นั่งประจำโต๊ะอย่างเดียวเหมือนสองคนนั้น เขายังคงแวะเวียนไปหาเพื่อนคนนั้นคนนี้เพื่อพูดคุยอยู่บ้าง


ปกป้องทักมาตรงเวลากับที่บอกไว้แบบพอดิบพอดี ธันวาตอบข้อความกลับไปแล้วก็รีบบอกลาเดือนแรมทันทีเพราะเกรงว่าญาติผู้พี่จะบุกเข้ามาหาถึงในนี้จริงอย่างที่ขู่ไว้เมื่อเช้า ท่าทีรีบร้อนของน้องทำให้เดือนแรมไม่ทันรั้งหรือแย้งอะไรได้จึงจำต้องปล่อยให้น้องกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมีโอกาสเดินออกไปส่ง


เดือนแรมนั่งครองโต๊ะเพียงลำพังอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะมีคนกลับมานั่งเป็นเพื่อน


“ไอ้ธันว์ไปไหนแล้วล่ะพี่” กรองเกียรติที่กลับมาที่โต๊ะก่อนใครถามเดือนแรมเมื่อไม่เห็นเพื่อนรักตนนั่งอยู่ด้วย


“กลับบ้านไปสักพักแล้ว”


“ห๊ะ! บ้านไหน ไปกับใครครับ ผมคิดว่ามันจะนอนที่หอซะอีก” กรองเกียรติจำที่เพื่อนบอกไว้ในตอนเช้าได้ และนั่นทำให้เขาเข้าใจโดยบริบททันทีว่าอีกฝ่ายต้องนอนค้างที่หอพักอย่างแน่นอน


รุ่นพี่หนุ่มส่ายหน้า “กลับไปนอนบ้าน พี่ชายมารับ”


“เชี่ย! ไอ้พี่ป้องอะนะ”


เดือนแรมขมวดคิ้วมุ่น สังเกตเห็นท่าทีกังวลแปลก ๆ ของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ตอนรู้ว่าธันวากลับบ้านแล้ว “มีอะไร”


“ผมว่าเราต้องไปบ้านมันเดี๋ยวนี้เลยพี่ สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ ยิ่งวันนี้ลุงภาสไม่อยู่บ้านด้วย” กรองเกียรติไม่เสียเวลาขยายความต่อ รีบคว้าแขนคู่สนทนาออกวิ่งไปด้วยกัน มีเพียงความกระจ่างเดียวที่เดือนแรมรู้คือธันวาอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย!








TBC.
-----------------------------------------------------
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.7 [15/11/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 00:01:31
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.7 [15/11/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-11-2019 01:03:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสดงว่า  ทั้งลุงและพี่ชายเนี่ย  หวังเคลมธันวากันใช่มั้ย?
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.7 [15/11/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 01-12-2019 08:29:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 05-12-2019 19:14:19
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)






การลืมตาตื่นในครั้งนี้ต่างจากครั้งไหน ๆ เพราะเปลือกตาไม่ได้เปิดออกช้า ๆ ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ค่อย ๆ ฉายชัด ธันวาไม่อาจเรียกว่านี่คือการตื่นด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงแค่การรู้สึกตัวจากสิ่งเร้าที่มาในรูปแบบของการถูกใครบางคนพยายามกรอกของเหลวบางอย่างเข้าปากเขา ร่างกายจึงตอบสนองทันทีด้วยการพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกตามธรรมชาติ แต่เพราะว่ามีมือของใครบางคนปิดช่องทางออกเอาไว้ สิ่งที่ควรถูกขับออกจึงไหลย้อนกลับลงไปในร่างกายแบบที่บางส่วนไม่ถูกที่ถูกทางนักจนเกิดอาการสำลัก


ธันวาสำลักไอจนหน้าแดงหูแดง ในตอนที่อยากจะยกมือขึ้นลูบกลางอกตัวเองเพื่อบรรเทานั้นเองถึงได้รู้ว่าแขนทั้งสองข้างถูกจับแยกมัดกับหัวเตียงด้วยเข็มขัดหนัง รวมถึงขาทั้งสองข้างด้วย


เตียง…


ความตื่นตระหนกตามมาหลังจากสติที่เริ่มมากขึ้น ความรู้สึกคุ้นเคยบอกว่านี่เป็นห้องนอนตัวเองก่อนที่จะกวาดสายตาสำรวจเสียอีก อย่างน้อยสิ่งที่ช่วยยืนยันความเชื่อมั่นนี้ก็คือรูปพ่อกับแม่ของเขาที่มองเห็นอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือปลายเตียง


ธันวาฉุกคิดได้ในเสี้ยววินาทีต่อมา เขาไม่ได้วางรูปพ่อกับแม่ไว้ตรงนั้น!


“ไง น้องรัก” คำเรียกที่เน้นเสียงกระแทกกระทั้นและสีหน้าเคียดแค้นช่วยเตือนสติคนที่เพิ่งตื่นได้ระลึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี จำได้ว่าทันทีที่ขึ้นรถก็ถูกอีกฝ่ายปิดจมูกด้วยผ้าเช็ดหน้า ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นสติก็พร่าเลือนจนหายไปในที่สุด


ธันวาขยับตัวหนีไปอีกฝั่งทั้งที่ถูกมัดตรึงกับเตียงอยู่แบบนั้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดีในสายตาคนมอง “พี่จะทำอะไร ปล่อยผมไปเถอะครับ”


ปกป้องเหยียดยิ้ม แม้ว่าธันวาจะระวังตัวและเว้นระยะห่างเสมอกับญาติผู้พี่คนนี้ แต่ธันวากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่ปกป้องแสดงออกให้เขารู้สึกกลัวได้มากเท่าครั้งนี้ “ปล่อยไปให้โง่เหรอ มึงรู้ไหมว่าการที่กูอดทนให้ถึงวันนี้ได้มันยากแค่ไหน”


“พี่จะทำอะไรผม อย่าทำแบบนั้นกับผมอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง” ความรู้สึกเมื่อสามปีก่อนเหมือนฝุ่นที่ถูกตีคลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสจากฝ่ามือที่ฉวยโอกาสไล้ไปตามใบหน้าเขาในยามที่หลับตาพักบนรถยังชวนให้รู้สึกขยะแขยงจนต้องคอยระวังตัวทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันนับแต่นั้นมา


ปกป้องทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงก่อนยื่นมือออกไปบีบหน้าคนเป็นน้องแล้วถามด้วยเสียงเย็น ๆ “แบบนั้น? แบบไหน? ทำอีก? มึงหมายความว่าไง?”


“บ...แบบคืนนั้น ปล่อยผมไปเถอะครับ”

เหมือนเป็นแรงกระตุ้นโทสะ ปกป้องปล่อยมือแรงจนอีกฝ่ายหน้าหันทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น “กูไม่เคยทำอะไรมึง! อย่าคิดว่ากูจะพิศวาสมึงนะธันว์ กูอยากขยี้มึงให้แหลกด้วยมือกูเองด้วยซ้ำแต่กูขยะแขยงมึงเกินกว่าจะแตะต้องมึง รู้เอาไว้!”


“พี่ป้อง” ธันวาครางเสียงอ้อนวอนปนตกใจ เริ่มรู้สึกมึนเวียนศีรษะและสายตาพร่ามัวไม่ชัดเหมือนเดิม


“ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู!! รู้ไหมว่ากูเกลียดชื่อนี้มากแค่ไหน ปกป้องเหรอ หึ กูขยะแขยงตัวเองทุกครั้งที่ได้ยินพ่อหรือมึงเรียกชื่อกู เพราะอะไรมึงรู้ไหม…” แม้ไม่ถึงกับน้ำตาคลอเบ้าแต่แววตาของปกป้องก็ไม่ได้แข็งกร้าวเสียทีเดียว ยังฉายแวววูบไหวด้วยความน้อยใจให้เห็นแม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม “...เพราะพ่อกูรักมึงมากไง รักมากทั้งที่มึงยังไม่เกิดเลยตั้งชื่อนี้ให้กูที่เกิดออกมาก่อนเพราะอยากให้กูดูแลปกป้องมึงอย่างดี! หึ ไหนว่าที่คุณหมอลองคิดต่อสิว่าอะไรทำให้พ่อกูรักมึงมากขนาดนี้”


“...”


“ไม่แน่หรอกนะ บางทีมึงอาจจะเป็นลูกเขาก็ได้”


“พี่กำลังดูถูกพ่อตัวเอง”


“กูด่าแม่มึงด้วย!” ปกป้องตะคอกสวนขึ้นทันควัน


“แม่ผมไม่มีทางนอกใจพ่อ”


“เพราะแม่มึงนั่นแหละที่ทำให้แม่กูตรอมใจตาย เพราะแม่มึงทำให้พ่อกูหลงหัวปักหัวปำจนแม่กูต้องตาย มึงได้ยินไหม!!!!”


“ไม่จริง”


“ยิ่งมึงโตมาหน้าเหมือนแม่มึง พ่อกูก็ยิ่งรักมึง ทั้งที่กูพยายามเสนอตัวเกี่ยวกับเรื่องของมึงเพื่อให้ตัวเองมีตัวตนในสายตาพ่อบ้าง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งไร้ความหมาย ยิ่งทำกูยิ่งรู้สึกอยากให้มึงหายไปจากโลกนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำอย่างนั้นพ่อกูอาจจะตรอมใจตายตามมึงไป มันคงเป็นภาพที่น่าสมเพชเกินกว่ากูจะรับไหวแน่ ๆ กูเลยจะให้มึงได้ขึ้นสวรรค์แทน หึ ไม่ต้องห่วงหรอกน้องชาย กูเลือกคนที่เหมาะสมกับมึงอยู่แล้ว”


“มะ ไม่นะครับ อย่าทำแบบนี้เลยครับพี่ป้อง ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” ไม่ว่าคนที่ปกป้องพูดถึงจะเป็นใครเขาก็ไม่อยากรู้ สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเปลี่ยนใจญาติผู้พี่ให้ได้


“กูไม่ได้ทำลายมึงเพราะอยากให้พ่อหันมาสนใจกู!! กูทำลายมึงเพราะกูเกลียดมึง กูอยากเห็นมึงแหลกสลาย แม้ว่าจะทำให้พ่อรักมึงมากขึ้นก็ตาม แต่ถ้ามึงแหลกสลาย กูก็ว่ามันคุ้มนะ” ปกป้องปิดท้ายด้วยยิ้มเย็นที่ดูโรคจิตอย่างไรชอบกล


“พ...พี่ป้อง”


“ไม่ต้องเรียกบ่อย กูจำได้ว่าตัวเองชื่ออะไร!”


“ผมขอโทษ ฮึก” แม้ท้ายประโยคจะมีเสียงสะอื้นหลุดออกมาแต่ก็ไม่อาจทำให้ปกป้องใจอ่อนหรือแม้แต่ชะงักการกระทำของตัวเองได้


ธันวาคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ร้องไห้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทัศนียภาพถึงได้พร่าเบลอจนตนต้องหรี่ตาเพ่งมองมากกว่าปกติถึงจะระบุตัวตนของคนที่เข้ามาใหม่ได้ว่าคือใคร


“พะ พี่ต้า” คนถูกมัดตรึงกับเตียงเอ่ยออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก


“เห็นไหมล่ะว่าพี่ชายคนนี้รักน้องธันว์มากแค่ไหน หึหึ”


“เมื่อไหร่ยาจะออกฤทธิ์วะ” ต้าถาม มองธันวาด้วยสายตาโลมเลียอย่างคนอดรนทนไม่ไหว


“พะ พี่จะทำอะไรผม”


ปกป้องเดินเข้าไปนั่งใกล้ แต้มรอยยิ้มเย็น ๆ บนใบหน้าที่ชวนให้คนมองขนลุกซู่จนเนื้อตัวสั่น “บอกแล้วไงว่าจะพามึงขึ้นสวรรค์ จำความรู้สึกนี้ไว้นะน้องรัก เพราะจะไม่มีการอัดวิดีโอให้มึงดูย้อนหลัง แต่พี่ป้องคนนี้จะคอยอยู่ข้าง ๆ เฝ้าดูความสุขของมึงอย่างที่พ่อกูต้องการเอง...”


“พี่ป้อง ไม่นะครับ อย่าทำแบบนี้” ธันวาร้องเสียงดังขึ้น ส่งสายตาเว้าวอนให้คนที่เดินไปนั่งไขว่ห้างตรงปลายเตียงข้างรูปถ่ายพ่อแม่ของเขาด้วยท่าทีใจเย็นราวกับกำลังจะได้ดูละครเรื่องโปรดที่แสนจะจรรโลงใจ “...เหมือนพ่อแม่มึงนี่ไง มองไว้สิ พวกท่านก็กำลังมองมึงมีความสุขอยู่นะ”


“ขอโทษ ผมขอโทษ”


“ยาน่าจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว มึงกระตุ้นสักนิดหน่อยมันก็เคลิ้มแล้ว” ปกป้องว่าเสียงแข็ง ไม่สนใจเสียงเว้าวอนของญาติผู้น้องเลยสักนิด


“ไม่นะพี่ต้า ปล่อยผมไปเถอะครับ”


“ปล่อยให้โง่สิวะ เรามาสนุกกันดีกว่านะ สัญญาเลยว่าจะไม่ทำแรง”


ธันวาส่ายหน้าแรง เนื้อตัวสั่นจนเกร็ง นอกจากเวียนศีรษะและตาพร่ามากขึ้นตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกปวดหน่วงที่อวัยวะเพศจนอึดอัดภายในเป้ากางเกงแล้ว


ต้ายกยิ้ม เช่นเดียวกับคนที่นั่งมองอยู่ ธันวาไม่เข้าใจว่าทำไมญาติผู้พี่ของเขาถึงได้โหดเหี้ยมจนถึงขั้นนั่งดูความทรมานของเขาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจแบบนั้นได้ ทว่าตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าใครเป็นอย่างไร เพราะเมื่ออันตรายอยู่ตรงหน้า สิ่งเดียวที่ทำได้คงเป็นการตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทั้งที่รู้ว่าห้องตนเก็บเสียงได้ดีในระดับหนึ่งและในเวลาแบบนี้คงไม่มีใครบังเอิญผ่านมาได้ยินแน่


ธันวาดิ้นพล่านในตอนที่ต้ากดริมฝีปากลงมาทาบทับ พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้รุกล้ำไปมากกว่านั้น แม้ในตอนที่ถูกกัดเพื่อให้ยอมเปิดปากด้วยความเจ็บก็ยังถูกข่มเอาไว้แล้วดึงดันที่จะป้องกันตัวเองอย่างสุดความสามารถ ลำตัวที่ถูกตรึงไว้บิดเกร็งด้วยทั้งหวาดกลัวและต่อต้านความต้องการภายในที่กำลังถูกกระตุ้น


เมื่อริมฝีปากสีสดไม่ได้ดั่งใจลำคอขาวจึงเป็นเป้าหมายต่อไป แม้ธันวาจะไม่เชื่อคำที่ต้าบอกว่าจะไม่ทำแรงแต่ก็ไม่คิดว่าต้าจะเหมือนสัตว์ป่าหิวโหยราวกับจะกลืนกินเขาอย่างมูมมาม ธันวากรีดร้องสุดเสียง เปลือกตาปิดสนิทจนแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะมองให้ยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดเหล่านี้


คงเป็นโชคดีของเขาอยู่บ้างที่ใส่เสื้อยืดคอปก ไม่อย่างนั้นกระดุมเสื้อคงถูกแกะออกจนเผยผิวเนื้อช่วงบนไปอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นหน้าท้องก็ยังถูกอีกฝ่ายสัมผัสได้ง่ายด้วยการเลิกชายเสื้อขึ้นอยู่ดี


ความทรมานและเสียงกรีดร้องของญาติผู้น้องคือสิ่งที่ทำให้ปกป้องมีรอยยิ้ม ยิ้มที่เหมือนกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในคอมากมายเพราะไม่ต้องการเผยมันออกมา ไม่รู้ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่นัยน์ตาที่เคยแข็งกร้าวเริ่มสั่นระริก เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า คงเพราะกำลังเต็มตื้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้...แต่ว่า...ไม่ใช่เพราะเด็กน้อยในวันนั้นแน่หรือที่ทำให้เขามีน้ำตา


‘พี่ป้องครับ ผมอยากเล่นด้วย’

เด็กชายวัยประถมปลายที่ยังเต็มไปด้วยความใสซื่อวิ่งซนเข้ามาหาเขาด้วยแววตาเป็นประกายเมื่อเห็นรถบังคับกระป๋องในมือเขาที่กำลังเป็นที่นิยมในสมัยนั้น ท่าทีอ่อนน้อมน่าเอ็นดูจนเขาต้องยอมลดจำนวนครั้งในการเล่นของตัวเองที่ต่อรองพ่อมาได้เพื่อสอนเจ้าน้องน้อย และหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเจ้าตัวก็กลับมาพร้อมกับยื่นรถบังคับคันใหม่ให้เขาเพื่อตอบแทนที่สอนเล่นจนแข่งชนะเพื่อนได้ ยังเล่าอย่างภาคภูมิอีกด้วยว่าอวดเพื่อนไว้ว่าได้ครูดีเป็นเขา หลังจากนั้นแววตาซุกซนคู่นั้นก็มองเขาด้วยความชื่นชมราวกับเป็นฮีโร่ก็ไม่ปานมาโดยตลอด



ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ธันวาคือความสดใสของเขา


แต่ก็นานจนลืมเลือนไปเกือบหมดสิ้นแล้ว


ปกป้องปาดน้ำตาทิ้งแล้วมองภาพตรงหน้าต่อ


ธันวาทั้งกรีดร้องทั้งสะอื้นไห้ด้วยความกลัวจนแทบขาดใจในบางช่วงเพราะหายใจไม่ทัน ยิ่งในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกับเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ยิ่งต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนร้องให้สุดเสียง “ช่วยด้วย!!!”


ก็อก ก็อก ก็อก


ต้าชะงักเล็กน้อยแต่ไม่หยุดเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองยังนิ่งเฉยต่อสิ่งรบกวนที่ดังเป็นครั้งที่สอง


ก็อก ก็อก ก็อก


เสียงเคาะประตูยังดังอย่างต่อเนื่องด้วยจังหวะสม่ำเสมอราวกับแค่คนมาเคาะเรียกเหมือนไม่รับรู้ถึงสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในห้องนี้ยิ่งทำให้ปกป้องหัวเสีย ฟึดฟัดอยู่เล็กน้อยก่อนเอ่ยขับไล่โดยไม่คิดถามว่าใครกันที่มารบกวนพวกตน


เดือนแรมเกือบจะทนไม่ไหวในตอนที่กรองเกียรติยังใจเย็นเคาะประตูด้วยจังหวะปกติเพื่อไม่ให้คนข้างในรู้ตัวว่ามีคนตามมาช่วยธันวาหากว่าประตูไม่เปิดออกมาก่อนความอดทนของเขาจะหมดสิ้น สาบานได้เลยว่าประตูต้องพังด้วยฝีมือเขาแน่


เดือนแรมผลักหนุ่มรุ่นน้องออกจากทิศทางฝ่าเท้าของตัวเองเมื่อประตูเปิดออก เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครคือคนที่โผล่หน้าออกมาเพราะแรงถีบถูกส่งออกไปทันทีด้วยโทสะ


“ไอ้เหี้ย!!” เดือนแรมโกรธจนตัวสั่นในตอนที่เห็นใครบางคนทับอยู่บนร่างของธันวา คนที่เขาเฝ้าถนอมด้วยดีมาตลอดกำลังถูกย่ำยีอย่างคนไม่มีจิตใจทำให้เดือนแรมไม่อาจรอช้า เพียงเสี้ยวนาทีเดียวกรองเกียรติก็เห็นร่างของต้าถูกกระชากออกจากตัวเพื่อนรักและซ้ำด้วยหมัดดุ้นอีกเต็มแรง


“ธันวา ธันวา พี่มาช่วยแล้ว ปลอดภัยแล้วนะคนดีของพี่” เดือนแรมประคองใบหน้าน้องที่ยังหลับตาปี๋ เนื้อตัวสั่นสะท้านน่าสงสารจนอยากจะประคองกอดไว้แนบอกแต่เพราะความรู้สึกโกรธที่มากไม่แพ้กันทำให้เขาต้องผละออกไปจัดการกับปกป้องและต้าเสียก่อน โดยไม่ลืมบอกให้กรองเกียรติช่วยพาธันวาออกไปจากที่นี่โดยเร็ว


“พี่แรม” ธันวาร้องเรียกเสียงแผ่วราวกับใช้เสียงหมดไปแล้วกับการกรีดร้องเมื่อครู่


“ปลอดภัยแล้วนะมึง” กรองเกียรติจัดแจงเสื้อผ้าปิดร่างกายให้เพื่อนเรียบร้อยก่อนแก้มัดทั้งมือและขา แต่เพราะร่างกายอีกฝ่ายยังบิดเร้า สีหน้าเบ้บอกอารมณ์ไม่ถูก ผิวเนื้อแดงปลั่ง และที่สะดุดตาคือเป้ากางเกงตุงมากจนคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย “มึงโดนยาเหรอ”


ธันวาพยักหน้าช้า ๆ แม้ไม่มั่นใจในอาการนักแต่ก็คิดว่าไม่ผิดไปจากที่กรองเกียรติคิดแน่


กรองเกียรติสบถคำหยาบก่อนหันไปขัดคนที่กำลังสู้กับคนอีกสองคนอย่างบ้าคลั่ง “พี่แรม”


“บอกให้พามันออกไปก่อนไงวะ!”


“ธันว์โดนยาปลุกพี่...พี่พามันไปดีกว่า เดี๋ยว…” ไม่ทันจบประโยค เดือนแรมก็เข้ามาถึงตัวเสียก่อน


“ฝากทางนี้ด้วย”



เดือนแรมประคองกอดร่างสั่นเทาของธันวาไว้แนบกายในตอนที่พาลงมาจากชั้นสองของบ้าน ทั้งห่วงน้องและโกรธตัวเองที่มีส่วนทำให้อีกฝ่ายต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ หากเขาตามออกไปส่งหรือขอให้กลับด้วยกันก็คงไม่เกิดเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ขึ้น


“อยู่กับพี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะธันวา” เดือนแรมกระซิบบอกน้อง แม้ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะมีสติรับรู้เพียงพอ แต่ก็อยากบอกให้น้องวางใจ “ไปหาหมอกันนะ”


ธันวาส่ายหน้า จับล็อกแขนคนพี่ไว้แน่น “ไม่เอา ไม่อยากไป ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ พี่แรมข่วยผมนะ นะ”


“ไปคลินิกก็ได้ ไม่ต้องไปโรง’บาลเรา ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกนะ ไม่ต้องห่วง” แม้เดือนแรมจะกล่อมแค่ไหนธันวาก็ยังยืนยันที่จะปฏิเสธ


ผิวเนื้อของธันวาทั้งแดงซ่านและร้อนไปทั้งตัวจนน่าเป็นห่วง และเมื่อคิดถึงสาเหตุและแนวทางแก้ไขได้แล้ว เดือนแรมจึงต้องเสียเวลาขับย้อนออกไปหน้าหมู่บ้านเพื่อซื้อน้ำแข็งปริมาณมากก่อนกลับเข้าบ้านตนเอง


เดือนแรมอุ้มร่างกึ่งหมดสติของธันวาขึ้นห้อง จัดแจงห่อตัวอีกฝ่ายด้วยผ้าห่มนวมบนเตียงก่อนจะรีบลงไปหอบน้ำแข็งขึ้นมาบนห้องโดยไม่ลืมกระซิบคนน้องไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกเพราะเขาหายไป


เดือนแรมไม่อยากให้ใครในบ้านรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เขาจึงไม่ได้เรียกให้ใครช่วยขนน้ำแข็งจำนวนมากที่ซื้อมา กว่าจะเทน้ำแข็งทั้งหมดใส่อ่างอาบน้ำที่เปิดน้ำเตรียมไว้แล้วเสร็จก็แทบคุมสติตัวเองไม่อยู่เพราะเสียงร้องครางด้วยความทรมานของคนรัก


“พี่อยู่นี่แล้วธันวา” เดือนแรมประคองใบหน้าน้องไว้ด้วยสองมือ อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมอง เนื้อตัวยังสั่นสะท้านแม้ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนหนาและพึมพำให้ได้ยินอยู่ตลอดว่าร้อนไปทั้งตัว “มองชัดไหม”


ธันวาส่ายหน้า


“คลื่นไส้รึเปล่า”


อีกฝ่ายส่ายหน้าอีกครั้ง แต่คราวนี้ยื่นมือมากอบดวงหน้าของคนพี่ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปวดหัวมาก มองหน้าพี่ไม่ชัดเลย”


ฝ่ามือใหญ่ลูบหน้าลูบตาน้องด้วยความรักความถนอม “มีอาการอะไรอีก”


“อึดอัด...ปวด...ตรงนั้น”


เดือนแรมจูบบนเรือนผมของธันวาเพื่อปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัวแล้วนะ พี่จะช่วยเอง”


เจ้าของห้องแกะห่อผ้าห่มออก ประคองร่างของธันวาที่พอเดินไหวเข้าไปในห้องน้ำ “ถอดกางเกงธันวา”


“พะ...พี่แรม” ธันวาครางเสียงแผ่ว แม้จะถูกปลุกความกระสันอยากจากภายในแต่ก็ยังขลาดเขินเกินกว่าที่จะกล้าทำอย่างที่เดือนแรมบอกอยู่ดี


เดือนแรมจุมพิตหน้าผากคนน้องแผ่วเบา “อย่ากลัว คนดีของพี่ ถอดเถอะนะ พี่ไม่อยากเห็นธันวาทรมานนาน”


ธันวามีเวลาให้คิดครู่เดียวเท่านั้นเพราะเดือนแรมถือวิสาสะช่วยปลดตะขอกางเกงยีนส์ให้จนท่อนล่างเหลือแค่กางเกงในตัวน้อย “ตะ ต้องถอดเสื้อไหมครับ”


“ใส่ไว้ เดี๋ยวหนาว” เดือนแรมว่าแล้วก็ประคองตัวธันวาที่ยังงง ๆ เดินไปแช่ตัวในอ่าง กายที่สั่นเทาอยู่แล้วสะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสกับน้ำเย็นยะเยือก มือเล็กเกาะแขนคนพี่แน่นด้วยความหวาดกลัว “ไม่ต้องกลัวแล้วนะ พี่จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”





(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 05-12-2019 19:14:53
ธันวาพยักหน้ารับก่อนกล่าวย้ำให้อีกฝ่ายอยู่กับตนตรงนี้อีกหลายครั้งจนเดือนแรมต้องโอบกอดไว้ ไม่นานเท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างในอ้อมกอดขยับอย่างไม่เป็นสุข มือไม้ที่กอดตอบก็ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของเขา พร้อมกับสัมผัสจากริมฝีปากที่ซึมผ่านเนื้อผ้ามาถึงแผ่นอก


“ธันวา...” เดือนแรมพยายามผลักน้องออกจากตัว “ตั้งสติก่อนธันวา”


“งื้อ...” ธันวาครางอย่างขัดใจ “ช่วยผมหน่อยนะพี่แรม”


“ไม่ได้” เดือนแรมผละถอยออกห่างไปหนึ่งก้าว ฝืนตัวเองไว้ ไม่อยากทำอะไรน้องตอนนี้ เขาไม่อยากฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่มีสติสัมปชัญญะมากพอแม้จะกำลังร้องขออยู่ก็ตาม


“ช่วยผมด้วยพี่แรม ชะ ช่วยผมหน่อยนะ”


“ม...ไม่ ไม่เด็ดขาด”


“พี่แรม” ธันวาครางเสียงแผ่วด้วยความทรมาน


“ตั้งสติธันวา ฟังพี่นะคนดี ยามันออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด เป็นธรรมดาที่ตรงนั้นของมึงจะตื่นตัว แต่มึงไม่ได้อยากมีเซ็กส์ มึงหยุดมันได้ธันวา มึงหยุดความรู้สึกนั้นได้” ไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณของคนจะเป็นหมอที่ทำให้ต้องเลือกการรักษาที่ดีและเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยมากที่สุด แต่เพราะเขารักธันวามากต่างหาก เขาจึงไม่อาจทำแบบที่ธันวาต้องการได้ ไม่ใช่แค่ว่าต้องการให้ครั้งแรกของพวกเขาเป็นการเมคเลิฟมากกว่าแค่เซ็กส์เพียงเท่านั้น แต่เพราะผลเสียที่จะเกิดกับร่างกายของธันวามันไม่คุ้มเสี่ยงหากอีกฝ่ายมีเพศสัมพันธ์จากฤทธิ์ยาแบบขาดสติสัมปชัญญะ


“ความเย็นจัดจะช่วยฤทธิ์ทางกายภาพ แต่ถ้าอยากหายเร็วมึงต้องช่วยตัวเองธันวา ปลดปล่อยด้วยตัวเอง พี่จะอยู่ตรงนี้นะคนดี ไม่ต้องกลัว”


“พะ พี่แรม”


“พี่ขอโทษ แต่ธันวาต้องปลดปล่อยด้วยตัวเอง” เดือนแรมย้ำ


ธันวาหน้าเบ้ที่ไม่รู้ว่างอนคนพี่หรือบิดเบี้ยวจากฤทธิ์ยาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เด็กดีของเดือนแรมค่อย ๆ สอดมือเข้าไปลูบแกนกลางของตัวเองช้า ๆ ร่างกายสะดุ้งเป็นระยะเพราะเจ้าตัวไม่กล้าแตะต้องมากซึ่งตรงข้ามกับแรงกระตุ้นภายใน “อ๊ะ!”


ใบหน้าแดงซ่านเงยเชิด หลับตาพริ้มกับริมฝีปากที่ส่งเสียงร้องครางสลับกับเม้มบ้างเลียริมฝีปากแห้งผากบ้างดูเซ็กซี่และเร้าอารมณ์ดิบภายในคนมองจนต้องหันหลังหนี กลัวว่าถ้ายืนมองนานกว่านี้จะกลายเป็นตนเสียเองที่ทนไม่ไหวจนต้องกลืนน้ำลายตัวเอง


ไม่มีเสียงสวบสาบหยาบโลนให้ได้ยินเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นใต้น้ำ แต่เสียงที่เกิดจากแรงกระเพื่อมของน้ำก็ทำเอาคนไม่เห็นจินตนาการไปไกลได้เหมือนกัน ยิ่งเมื่อเริ่มได้ยินเสียงร้องครางของธันวาก็กระตุ้นสัญชาตญาณในกายเขาให้ตื่นตัวขึ้นอย่างที่ต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจคุมไว้ได้อีกแล้ว


“พะ...พี่แรม”


“เสร็จแล้วเหรอ” เดือนแรมหันกลับไปมอง แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายพิงศีรษะกับขอบอ่างเหมือนคนหมดแรงจนต้องรีบถลาเข้าไปประคองกอด “เป็นอะไรธันวา เป็นอะไรไหนบอกพี่สิครับ”


“นะ เหนื่อย” เดือนแรมไม่รอให้น้องอธิบายจบก็รีบสังเกตอาการ หน้าอกกระเพื่อมถี่กว่าปกติบ่งบอกว่าเจ้าตัวหายใจไม่ทันก็รีบจับชีพจรที่คอดูอีกทางหนึ่งด้วยว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติด้วยหรือไม่


“มีโรคประจำตัวอะไรไหม” นักศึกษาแพทย์ปีสามเทอมหนึ่งอย่างเขายังไม่รู้อะไรมากถึงขั้นการรักษาหรือแม้แต่ตัวโรค แต่พื้นฐานที่มีทำให้เขารู้ว่าตนควรสงสัยอะไรได้บ้างและคัดกรองได้ในระดับหนึ่ง


ธันวาส่ายหน้า เม็ดเหงื่อจำนวนมากยังผุดขึ้นเต็มใบหน้า “มันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่มีแรง”


เดือนแรมจูบซับหน้าผากน้องปลอบประโลม แม้จะมีหลายอย่างที่เขาต้องคำนึงถึงมากกว่าความกระสันอยากของตัวเองแต่นี่คงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องรีบทำให้ยาหมดฤทธิ์เร็วที่สุด “กอดพี่ไว้นะ แล้วอย่าหลับ ห้ามหลับเด็ดขาด”


“ขออนุญาตนะครับ” เดือนแรมกระซิบกับขมับขาว แม้จะเป็นการขอแต่เขาก็ไม่ได้รอการยินยอมจากอีกฝ่าย ฝ่ามือหนาถือวิสาสะจุ่มลงไปในอ่างน้ำ ผิวน้ำเย็นจัดทำเอามือที่เพิ่งผ่านลงไปเกือบจะชาจนนึกสงสารคนที่ต้องแช่ตัวอยู่ในนี้นานสองนาน ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะแขนขาอ่อนแรงได้และเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อครู่ธันวายังไม่ได้จัดการตัวเองเลยสักนิด


เดือนแรมเกี่ยวกางเกงในของน้องออกอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องควานหาเป้าหมายก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เด้งตัวสู้มือทันทีที่ปราการชิ้นสุดท้ายถูกปลดออก ริมฝีปากได้รูปประทับบนกระหม่อมคนน้องที่ไถลตัวลงไปจนใบหน้าฝังกับอกเขาแล้ว “พร้อมนะคนดี อยู่กับพี่นะ เรียกชื่อพี่ไว้ อย่าหลับเด็ดขาด”


ธันวาตอบสนองให้คนพี่เบาใจด้วยการครางรับในลำคอและพนักหน้าเล็กน้อย เพราะหากน้องหลับ เขาจะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นกังวลมากขึ้น


เดือนแรมเริ่มกำรอบแกนกลางที่ขยายตัวเต็มที่จนไม่อยากคาดเดาว่าเส้นเลือดบริเวณนั้นจะขยายจนปูดโปนขนาดไหน


“เรียกชื่อพี่ ธันวา อย่าหลับ” เดือมแรมออกคำสั่งด้วยเสียงแหบพร่าขณะใช้มือช่วยสำเร็จความใคร่ให้น้องเพราะตัวเองก็รู้สึกปวดหนึบมากขึ้นแล้วเหมือนกัน


“อ๊ะ! พะ พี่แรม”


ธันวากระตุกและขานชื่อคนพี่เป็นระยะ และทุกครั้งที่ได้ยินชื่อตัวเองเดือนแรมก็จะเร่งมือให้เร็วขึ้นอีกจังหวะหนึ่ง นอกจากจะอยากให้น้องหายทรมานโดยเร็วแล้วยังต้องทำเวลาเพราะมือเขาชามากขึ้นทุกทีจนใกล้จะขยับเร็วไม่ได้อีกต่อไป อีกทั้งความต้องการปลดปล่อยของตัวเองที่เรียกร้องมากขึ้นทุกทีอีกด้วย


“พี่แรม ฮึก!” ธันวาร้องดังขึ้นพร้อมกับปฏิกิริยาที่ทำเอาเดือนแรมแทบคุมตัวเองไม่อยู่ กายสั่นเทาเบียดเข้าชิดตัวเขามากขึ้น สองแขนโอบแน่นจนจิกข่วนเนื้อผ่านเสื้อผ้าล้วนเป็นสิ่งที่ปลุกอารมณ์ดิบในกายเขา เดือนแรมกัดริมฝีปากข่มเอาไว้ ท่องในใจว่าต้องรีบช่วยให้น้องปลอดภัยเร็วที่สุด


“ฮึก!” เหมือนเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของธันวาที่จบลงด้วยการเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางก่อนทิ้งตัวพิงคนพี่เต็มแรง


เดือนแรมใช้เวลาปรนเปรออยู่นานทีเดียวกว่าจะช่วยธันวาได้ แต่การที่อีกฝ่ายสงบลงได้บ้างแล้วก็ใช่ว่ายาจะหมดฤทธิ์ ถึงอย่างนั้นการที่ธันวาอ่อนกำลังลงก็ทำให้เขาจัดการอะไรได้ง่ายขึ้น “ทนหนาวหน่อยนะ อยู่อย่างนี้ไปอีกสักพัก”


ธันวาครางอือรับให้คนพี่สบายใจว่ายังรู้สึกตัว


“ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” เดือนแรมใช้มือข้างที่เคยปรนเปรอให้น้องเลื่อนขึ้นมาโอบหลังเพื่อพยุงร่างอีกฝ่ายไม่ให้ไหลลงไปในอ่างและใช้มืออีกข้างลูบหน้าลูบตาอีกฝ่ายอย่างแสนรัก


ธันวาหลับตาพริ้ม ยังมีแก่ใจยิ้มบาง ๆ ให้คนพี่ เพราะรู้สึกอุ่นใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้ แม้สติจะไม่ครบถ้วน แต่เขารู้ว่าตัวเองกำลังได้รับความรักอย่างที่โหยหาจากใครสักคนมาตลอด ความรักที่เติมเต็มเหมือนเป็นคนในครอบครัวกันจริง ๆ “หนักหัว..หนาว...ชา...ไม่มีแรง” ธันวาตอบอย่างช้า ๆ


เดือนแรมรอฟังจนจบแล้วสบายใจขึ้น จูบซับขมับน้องหนัก ๆ อีกครั้งก่อนพลิกตัวหันหลังนั่งพิงขอบอ่างเหยียดขาออกโดยที่ยังดึงแขนสองข้างของน้องให้เกี่ยวคอตัวเองไว้ “อย่าเพิ่งหลับนะ”


มือข้างหนึ่งจับมือของธันวาไว้ ปล่อยให้ศีรษะของอีกฝ่ายพิงบนลาดไหล่กว้างและปล่อยลมหายใจร้อนผ่าวใส่คอตน ขณะที่ใช้มือข้างเดียวกับที่ได้สัมผัสน้องมาแล้วจัดการกับความอึดอัดของตัวเองที่เกิดขึ้นตลอดชั่วโมงนี้บ้าง ความเหนียวหนืดจากสารคัดหลั่งของอีกฝ่ายที่ยังติดมือตนอยู่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่เพียงแค่ทาบบนของตัวเองก็ชวนให้รู้สึกวาบหวามในอกอย่างบอกไม่ถูก


“พี่แรมทำอะไร” เพราะความหนักอึ้งของศีรษะไม่อาจทำให้ธันวาลืมตาขึ้นมองได้ แต่การที่ร่างกายที่ตนพึ่งพิงอยู่ไม่อยู่นิ่งก็ชวนสงสัยจนต้องเอ่ยถาม


“ช่วยตัวเอง”


“หือ?...” ธันวาครางในลำคอด้วยความฉงนแต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าทำไมเดือนแรมต้องทำอย่างนั้นก็รีบเสนอตัวทันทีเพื่อตอบแทนที่ตนได้รับความช่วยเหลือก่อน “ให้ผมช่วยไหม”


“มีแรงรึไงเราน่ะ ไว้มีแรงก่อนเถอะ จะให้ทำจนกว่าจะหมดแรงเลย”


เดือนแรมไม่รู้ว่าน้องยิ้ม ไม่ทันรู้ตัวด้วยว่าอีกฝ่ายขยับศีรษะเข้าใกล้ตนมากขึ้น รู้อีกทีก็ตอนที่ได้รับจุมพิตบางเบาที่ต้นคอตัวเองตามเรี่ยวแรงที่อีกฝ่ายมี และเพราะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เขาจึงต้องรีบร้องห้ามก่อนที่ตนจะทนไม่ไหวขึ้นมาจริง ๆ “อื้อ...อย่านะธันวา”


“ช่วยเท่าที่ช่วยได้ไง” ริมฝีปากร้อนยังพรมจูบอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ได้ลากเลื่อนไปไหนนักแต่การย้ำบริเวณเดิม ๆ ก็ทำเอาคนถูกกระทำแทบคลั่งได้เหมือนกัน


“นอนไปเถอะหน่า”


“ไหนบอกว่าไม่ให้หลับไง”


“เถียงได้แสดงว่าดีขึ้นแล้วใช่ไหม”


“เปล่าสักหน่อย แต่เมื่อกี้พี่ยังจูบผมเลย”


“พี่จูบขมับจูบผม ไม่ได้จูบยั่วแบบเรานะ”


“เหรอ” เดือนแรมไม่รู้ว่าคนป่วยเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนในการดึงมือไปจากการจับกุมของเขาและยืดตัวขึ้นประคองศีรษะเขาไว้ข้างหนึ่งแล้วเริ่มจูบซับตามไรผมข้างขมับอย่างที่เขาทำให้ เพียงแค่ไม่หนักแน่นเท่า ความรู้สึกคนถูกกระทำจึงไม่ต่างจากเมื่อครู่นัก จะอย่างไรก็เหมือนกำลังถูกยั่วอยู่ดี “ทำต่อสิครับ ผมไม่ชิงหลับก่อนหรอก”


เดือนแรมไม่เสียเวลาห้ามต่อ เขาปล่อยให้ธันวาได้ทำอย่างที่ต้องการและจะยั้งไว้แค่บางครั้งที่เริ่มเกินเลยเท่านั้น กว่าจะเสร็จกิจก็เล่นเอาหมดแรงกันทั้งคู่




ธันวาอยากจะขอบคุณเดือนแรมที่ให้เขารับประทานยาแก้ปวดก่อนนอนเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าในตอนที่ตื่นขึ้นมาช่วงสายของวันใหม่จะปวดหัวจวนจะระเบิดได้ขนาดไหน อีกทั้งการดูแลอื่น ๆ จากเดือนแรมยังทำให้เขารู้สึกอุ่นไปทั้งใจอีกด้วย


ธันวาพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงในตอนที่เดือนแรมเดินเข้ามาในห้องพอดี รอยยิ้มของคนรักคืออีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ธันวารู้สึกว่าวันนี้ช่างสดใสและคู่ควรกับการลืมตาตื่นหลังผ่านเรื่องเลวร้ายมา


“นอนต่ออีกก็ได้นะ” ธันวาส่ายหน้า เดือนแรมเดินเข้ามานั่งลงข้างกัน เกลี่ยปอยผมออกจากใบหน้าใสก่อนเลื่อนสายตาสำรวจหาร่องรอยความบาดเจ็บบนเนื้อตัวน้องอย่างถ้วนถี่เพราะเมื่อคืนไม่ได้ทำแล้วก็พบว่าข้อมือขาวทั้งสองข้างช้ำแดงจากการถูกมัดอย่างแน่นหนา


“เจ็บไหม เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จพี่ทายาให้นะ” เดือนแรมลูบบนรอยช้ำอย่างเบามือก่อนยกขึ้นมาจูบซับทั้งสองข้าง


ธันวาอมยิ้ม เอ่ยแซวแก้แขินว่า “ทีเมื่อคืนละไม่กล้าทำอะไร นิ่งเฉยเป็นฤๅษีจำศีลเชียวนะครับ”


เดือนแรมหันมองขู่ “อยากลองตอนนี้เลยไหมล่ะ จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วฤๅษีจำศีลเป็นยังไง”


คนเป็นฝ่ายเย้าก่อนมีนัยน์ตาหลุกหลิกขึ้นมาทันที น่าเอ็นดูจนคนที่เพิ่งแกล้งน้องเผยยิ้มอ่อนโยน มือทั้งสองก็ลูบรอยช้ำวนไปมาอย่างแผ่วเบา “ขอโทษนะที่เมื่อคืนช่วยได้แค่นั้น พี่อยากให้ครั้งแรกของเราน่าจดจำ ไม่ใช่การใช้สัญชาตญาณดิบแบบนั้น”


ธันวายิ้ม แววตาของคนรักจริงจังขึ้นอีกครั้งอย่างที่มักจะเป็นเวลาพูดเรื่องของเรา บางทีเขาก็คิดว่าทำไมเด็กอย่างพวกเขาต้องทำเป็นจริงจังกับการพูดถึงความสัมพันธ์ขนาดนี้ แต่เพราะเดือนแรมเป็นคนแบบนี้ ถึงได้ทำให้เขาอุ่นใจและรู้สึกมั่นคงกับความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่


“ครับ”


“สัญญานะว่าต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันเพื่อช่วยกันแก้ไข”


ธันวาน้ำตารื้น ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเปราะบางมานานมากแล้ว “ขอบคุณที่ทำทุกอย่างเพื่อผม” ว่าจบแล้วก็โผเข้ากอดคนพี่ ธันวารู้ว่าหลังจากพักฟื้นแล้วยังมีเรื่องที่กระทบจิตใจรอให้กลับไปเผชิญ แต่เขาจะไม่กลัวมันอย่างที่เคยเป็นเพราะเชื่อมั่นว่าเจ้าของอ้อมกอดนี้พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างตนในทุกสถานการณ์ “ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตผมนะครับ”






โปรดติดตามตอนต่อไป
------------------------------------
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-12-2019 19:46:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอ๊ะโอ....

หลงเข้าใจผิดมาตั้งนานว่า  ปกป้องหวังจะเคลมนู๋ธันว์มาตลอด

กลับตาลปัตรกลายเป็นเกลียดมากจนต้องการทำลายซะงั้น
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Malibu ที่ 05-12-2019 21:09:15
อห เรื่องร้ายแรงกว่าที่คิดนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 06-12-2019 19:25:54
พี่แรมคนดี​ที่หนึ่งเลย​ แบบนี้ธันวาหนีไปไหนไม่รอดแล้ว​ หลงรักความเป็นสุภาพบุรุษของพี่แรม
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-12-2019 20:18:41
จะยังไงต่อล่ะนี่
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Panamapaper ที่ 12-12-2019 13:40:48
 :mew1: แต่งดีมากเลย ขอคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: cassper_W ที่ 25-01-2020 08:09:10
เมื่อไหร่มาต่อค่าาาา
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.7 [5/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: LifePo-YuGu ที่ 28-01-2020 15:51:03
เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ คือตอนแรกหน่วงมากกกกก อกแทบแตกตาย หื้มมมม  :katai4: :katai1:
แต่ตอนนี้แฮปปี้ดี เราก็ดีใจ สงสารน้องธันวามากเลย แต่มีพี่แรมดูแลและรักมากก็เบาใจ  :-[
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-03-2020 20:16:55
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒






การได้นอนซุกตัวใต้ผ้าห่มและหนุนตักคนรักไม่เคยอยู่ในความฝันของธันวาเลยสักนิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว แม้จะขัดเขินอยู่บ้างแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีอย่างไรชอบกล ยิ่งอีกฝ่ายลูบผมของเขาเล่นอย่างสนุกมือด้วยแล้วก็ยิ่งเคลิ้มจนเกือบจะหลับได้อีกครั้งทั้งที่เพิ่งตื่นในช่วงบ่ายจากการงีบหลับหลังมื้ออาหารเมื่อช่วงสายของวัน


“หนึ่งปีที่ผ่านมาพี่ไปอยู่ไหนมาอะ ทำไมผมไม่เคยเห็นพี่” ธันวาชวนคุยเพราะไม่อยากเผลอหลับไปอีกครั้ง


“ไม่ใช่แค่ปีเดียว”


“หืม?” คนที่นอนอยู่พลิกตัวเพื่อให้มองหน้าอีกฝ่ายได้ชัดขึ้น


“สี่ปีได้แล้วมั้ง…”


“อ้อ พี่เคยบอกนี่เนอะว่าชอบผมมานานแล้ว”


“แล้วก็ไม่ใช่เพราะกูซ่อนตัว แต่มึงเองที่ไม่เคยมองกู”


ธันวายิ้มแห้งเหมือนจะรู้สึกผิดแต่กลับเอ่ยโทษคนพี่เสียอย่างนั้น “ก็ใครใช้ให้พี่แอบมองอยู่แบบนั้นล่ะ ต้องเข้ามาจีบเลย มีคนทำแบบนั้นตั้งเยอะแยะ”


“กูรู้” น้ำเสียงขุ่น ๆ ของเดือนแรมทำให้ธันวายิ้มแห้งอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ “เห็นอยู่ว่ามีคนเข้าหาเยอะ มึงปฏิเสธหมดเลยด้วย”


“ฝ่อเลยดิ แต่ทำไมฟังดูเหมือนผมฮอตจังวะ”


เดือนแรมจุดยิ้มมุมปาก ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องนั้น “แต่ขนาดกูจงใจเข้าใกล้แล้วมึงก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่ากูจีบ” ปิดท้ายด้วยการดีดหน้าผากมนหนึ่งทีด้วยความมันเขี้ยว


“แหะ จงใจเรื่องไรบ้าง ไหนเล่าซิ”


“ทุกอย่างนั่นแหละ จงใจมานานแล้วด้วย”


คราวนี้ธันวาเด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ “ทุกอย่างเลยเหรอ”


“ก็เออสิวะ ถ้าไม่สร้างโอกาสเอง มีเหรอที่เราจะได้คบกันอย่างทุกวันนี้”


“โห...มีเรื่องอะไรที่บังเอิญบ้างไหมเนี่ย”


“แค่เรื่องเดียว...มึงเป็นรูมเมทเพื่อนกู”


“อะไร ๆ ก็เลยง่ายขึ้นเหรอครับ”


เดือนแรมอยากจะดีดหน้าผากเจ้าคนบื้ออีกสักครั้งแต่ก็ยั้งเอาไว้ “นี่ง่ายแล้วเหรอ มึงเป็นรูมเมทกับไอ้โอ๊คตั้งกี่เดือนแล้ว มึงยังไม่แม้แต่จะรับรู้ว่ากูเป็นเพื่อนมัน”


ธันวายิ้มแห้ง พลิกตัวนั่งพิงหัวเตียงเหมือนอีกฝ่าย ถ้าคนข้าง ๆ ยังเป็นเดือนแรมเมื่อหลายเดือนก่อน คำปิดท้ายประโยคข้างต้นคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘โง่’ เป็นแน่


“เย็นนี้เพื่อนมึงจะมาหานะ นอนพักต่ออีกหน่อยก็ได้” เดือนแรมเปลี่ยนเรื่องพลางจัดผมอีกฝ่ายเพราะเสียทรงจากการนอนหนุนตักเขาเมื่อครู่


“หือ”


“ไอ้เก่งกับดีน”


“แล้วคุณพ่อกับคุณแม่พี่จะไม่ว่าอะไรเหรอครับ” แค่เขามาค้างด้วยอย่างนี้ก็เกรงใจมากแล้ว ยังชวนเพื่อนมาหาอีกตั้งสองคนคงไม่เหมาะสมนักสำหรับฐานะคนมาขออาศัยชั่วคราว


“พวกท่านไม่อยู่หรอก ช่วงนี้เราก็อยู่กับพี่ไปก่อน ไว้ค่อยกลับไปเมื่อคุณลุงกลับมาแล้ว”


ธันวาพยักหน้า พึมพำขอบคุณ “จริงสิ ผมไม่เคยรู้เรื่องของพี่บ้างเลย”


“อยากรู้อะไรก็ถามสิ”


“พ่อกับแม่พี่ทำงานอะไรเหรอครับ ครั้งก่อนที่ผมจะมาอ่านหนังสือด้วยพี่ก็บอกว่าพวกท่านไม่อยู่บ้าน”


“พ่อกับแม่พี่เป็นหมอทั้งคู่น่ะ พ่อเป็นหมอเมด(อายุรแพทย์) แต่ตอนนี้เป็นรองคณบดีแล้ว ส่วนแม่เป็นทันตะฯ ช่วงนี้พากันไปเที่ยว อีกหลายวันกว่าจะกลับ”


“โห...เดี๋ยวนะ ไม่ใช่รองคณบดีมอเราใช่ไหมพี่”


เดือนแรมยิ้มเอ็นดู ไม่แปลกที่ธันวาจะไม่รู้ เพราะรองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ของพวกเขามีมากมายหลายท่านตามฝ่ายที่ดูแลจนยากที่จะรู้จักชื่อหรือจำหน้าได้หมด “ไม่ใช่หรอก มอที่เราแข่งกีฬาด้วยต่างหากล่ะ”


“อ๋อ...” ธันวาเริ่มเข้าใจเดือนแรม คนที่โตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่ทำงานวงการแพทย์กันหมดและมีหน้ามีตาแบบนี้ จะจริงจังกับชีวิตตัวเองมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก “เพราะอย่างนี้พี่ถึงต้องเรียนให้เก่งขนาดนี้ใช่ไหมครับ”


เดือนแรมส่ายหน้า “เคยบอกแล้วว่าตั้งใจเรียนมากกว่าคนทั่วไปตั้งแต่เห็นชื่อมึงติดคณะนี้ต่างหาก”


“...”


“พูดแบบโลกไม่สวยเลยนะ…” เดือนแรมพิงหลังกับหัวเตียง จัดให้ศีรษะคนน้องอิงซบไหล่ตัวเองก่อนพาดแขนยาวไปตามราวหัวเตียง “...พ่อแม่พี่เป็นคนมีหน้ามีตา แล้วคนที่ชอบเพศเดียวกันอย่างเราก็ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมมากนักหรอกถ้าเราไม่เป็นคนเก่งหรือคนที่ประสบความสำเร็จ พี่ไม่อยากทำให้พวกท่านสู้กับคำนินทาตามลำพังน่ะ”


“เพราะอย่างนี้พี่เลยต้องเอาเหรียญทองให้ได้สินะ”


“กูต้องได้ฟิกวอร์ดที่นี่ด้วย”


“พี่ต้องเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ”


“อือ”


“…”


“ไม่ใช่ว่าเราเป็นแบบนี้แล้วต้องพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับมากกว่าคนอื่นหรอกนะ แต่บนโลกใบนี้น่ะ ส่วนใหญ่แล้วลูกที่จะได้รับความเชื่อใจและถูกปล่อยให้ทำอะไรตามใจชอบได้ก็มีแต่ลูกที่พิสูจน์ตัวเองว่าเก่งมากพอแล้วเท่านั้นแหละ ถ้าเราดูแลตัวเองได้ดี พวกท่านก็จะวางใจและเปิดใจยอมรับการตัดสินใจของเราในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้นด้วย”


ธันวาผละออกจากไหล่อีกฝ่ายมาจ้องหน้าตรง ๆ “พี่ทำเพื่อผมเหรอ”


“…”


“ทั้งหมดนี้...ที่พี่ทำมาทั้งหมด เพื่อผมรึเปล่า”


เดือนแรมลูบใบหน้าใสอย่างแสนรัก “กูทำเพื่อเรา...ธันวา กูจริงจังกับมึงนะ ไม่ได้อยากคบเล่น ๆ กูอยากให้พ่อแม่ยอมรับความรักของเรา อยากให้เขาเห็นว่าการที่กูรักคนเพศเดียวกันไม่ได้ทำให้ชีวิตเสียหายตรงไหน”


“...” ธันวาพูดไม่ออก แค่ได้รู้ว่าเดือนแรมวางแผนชีวิตอะไรไว้บ้างและมีตนอยู่ในนั้นด้วยก็ตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้า


“อีกอย่าง มึงคิดเหรอว่ากูจะปล่อยให้มึงห่างสายตาไปอีก รู้ไว้เลยว่าไม่มีทาง ในตอนที่มึงยังเรียนไม่จบ กูก็ต้องได้ฟิกวอร์ดที่นี่เพื่ออยู่ใกล้มึง”


“อย่างนั้นผมก็ต้องเรียนให้เก่งเหมือนพี่ จะได้ฟิกวอร์ดอยู่ที่นี่ด้วยกันเหรอครับ”


เดือนแรมเสมองออกนอกระเบียง “ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องก็ได้”


คนน้องยิ้ม นานทีจะได้เห็นคนพี่น้อยใจแบบนี้ ธันวาเว้นช่วงจ้องมองเสี้ยวหน้าดุแสนงอนอีกนิดก่อนขยับเข้าไปใกล้แล้วซุกหน้าคลอเคลียกับซอกคออีกฝ่าย “ผมจะพยายามอย่างหนักเลยครับ”


“อย่าอ้อนแบบนี้ธันวา เดี๋ยวจะติดเตียงไม่รู้ตัว”


“ขู่เก่ง” ธันวาขยับปากพึมพำแต่เสียงเบา ๆ ก็ยังไม่รอดพ้นหูเดือนแรมอยู่ดี


“ท้าสินะ” พริบตาเดียวร่างของธันวาก็ถูกพลิกจนแผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนอน


เดือนแรมไม่ได้ตั้งใจ เขาสาบานกับจิตใต้สำนึกเลยว่าตนไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสหลังจากที่เผลอจ้องลึกเข้าไปในหน่วยตาที่ตนหลงใหล คงเป็นเพราะแรงดึงดูดของโลกที่ทำให้คนที่อยู่ข้างบนอย่างเขาค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงต่ำเรื่อย ๆ จนริมฝีปากสัมผัสกับส่วนเดียวกันของคนใต้ร่างอย่างไม่อาจต้านทานได้ ยิ่งเมื่อได้รับการตอบสนองแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้เขาใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นไปด้วย เพราะอย่างนั้นเดือนแรมจึงยิ่งรู้สึกเสียดายในตอนที่จำต้องหักห้ามใจแล้วผละออก


เขาเป็นจูบแรกของธันวา


นัยน์ตาคมพราวระยับยามจ้องมองดวงหน้าแดงระเรื่อของคนรักครู่หนึ่งก่อนจะทิ้งใบหน้าลงซุกเตียงตรงซอกคออีกฝ่ายอย่างหักห้ามใจเพราะเผลอต้องการมากกว่านี้เสียแล้ว


เขาอยากสอนธันวา


อยากสอนทุกอย่าง...ตอนนี้เลย


คนถูกขโมยจูบเองก็เขินจนหน้าร้อนผ่าว ยิ่งนึกถึงสัมผัสเมื่อครู่ก็ยิ่งเขินตัวเอง


เพราะคิดไว้ว่าเดือนแรมคงแค่แกล้งทำให้เขินเหมือนทุกที สัมผัสเกินเลยกว่านั้นคงยังไม่เกิดขึ้น แต่เมื่ออีกฝ่ายทาบริมฝีปากแนบลงมาจริง ๆ ก็อดใจสั่นไม่ได้


ธันวายังจับความรู้สึกนั้นได้ชัดราวกับยังเกิดขึ้นในตอนนี้ เนื้อตัวของเขาสั่นน้อย ๆ ด้วยความตื่นเต้น เปลือกตาปิดสนิทจนเข้าใกล้คำว่าปี๋ รับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รู้สึกดีเกินกว่าจะห้ามใจตัวเองได้ ยิ่งในตอนที่คนรักค่อย ๆ เล็มริมฝีปากใจก็ยิ่งเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกจากอกเสียให้ได้ ทุกความรู้สึกแปลกใหม่พาลให้หายใจไม่ทันเหมือนออกกำลังกายมาอย่างหนัก และยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อลิ้นของอีกฝ่ายฉกวูบเข้ามาในตอนที่เผยอปากโกยอากาศ เขาในตอนนั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก อยากผลักออกแต่ทำไม่ได้ ในหัวสมองโล่ง คิดอะไรไม่ออก ทั้งกลัวและรู้สึกดี ชั่ววินาทีนั้นเหมือนวิญญาณถูกสูบ จิตใต้สำนึกจึงผลักดันให้เขาตอบสนองกลับด้วยความเคอะเขินอย่างคนขาดประสบการณ์


“หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นแบบนี้เองสินะ” เดือนแรมพูดทั้งที่ยังอยู่ในท่าเดิม


“พี่แรม!” ธันวาไม่ได้ดุจริงจังนัก ใบหน้าใสเห่อร้อนด้วยความเขินอายเบี่ยงหนีไปอีกด้านทั้งที่ไม่ได้ถูกจ้องมองอยู่ด้วยซ้ำ


“จูบแรกเลยเหรอ”


“อย่าล้อดิพี่” เพราะธันวาว่าอย่างนั้นเดือนแรมจึงผงกหัวขึ้นมามองหน้า จุดยิ้มเจ้าเล่ห์ยามมองล้อน้องให้ได้อายมากขึ้น


“ทำไมถึง…” เดือนแรมอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าทำไมตนถึงได้รับความพิเศษนี้ทั้งที่อีกฝ่ายเคยมีแฟนมาก่อนแล้ว


“ไม่รู้สิครับ...ตอนนั้นผมไม่เคยคิดถึงโมเมนท์แบบนี้เลยนะ และเราก็ไม่เคยแม้แต่เฉียดใกล้กันเลยสักนิดด้วย” เมื่อนึกย้อนดูแล้ว ธันวาถึงเพิ่งได้ตระหนักว่าที่ผ่านมาแม้ตนจะอิงซบ กอด หรือใกล้ชิดภีม คนรักเก่าขนาดไหน นอกจากความรู้สึกอุ่นใจที่อยู่ด้วยกันแล้วเขาก็ไม่เคยรู้สึกอยากมีสัมผัสที่ลึกซึ้งเหมือนธรรมชาติของคู่รักด้วยเลยสักนิด


ไม่เพียงแต่รอยยิ้มและสายตาที่มอบให้อย่างแสนรักเท่านั้น แต่ธันวายังรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านสัมผัสบางเบายามปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมออกพ้นกรอบหน้าของเขาด้วย


“ตกใจมากไหม...ที่พี่ทำ”


ธันวาหลบตาด้วยความขลาดเขินแต่เมื่อสบกับแผงอกกว้างผ่านคอเสื้ออีกฝ่ายให้ได้เผลอคิดเลยเถิดถึงได้จำต้องย้ายสายตากลับมาที่เดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ “นิดหน่อยครับ” แม้ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อคืน แต่ก็ยังทำให้เขาตื่นเต้นกับมันได้อยู่ดี


“แล้วชอบไหม”


ธันวาเขินได้ครู่เดียวก็รู้ทันว่าถูกแกล้ง นัยน์ตาอ่อนแสงจึงแข็งขึ้นยามมองคาดโทษคนพี่และพยายามดันตัวอีกฝ่ายออก “ลุกออกไปได้แล้ว”


“ตอบก่อนว่าชอบไหม”


“ไม่ชอบจะจูบตอบรึไงเล่า”


“หึ น่ารัก”


“ลุกได้แล้ว” น้ำเสียงเง้างอดงอแงกลบความเขินยิ่งทำให้เดือนแรมไม่มีการเคลื่อนไหวแม้มีแรงกระทำจากคนใต้ร่างก็ตาม


“ไว้วันหลังจะสอนนะ...ทุกอย่างเลย”


ธันวาหน้าแดงซ่าน รู้สึกร้อนไปหมดเมื่อเผลอคิดว่า ‘ทุกอย่าง’ ที่เดือนแรมหมายถึงนั้นครอบคลุมถึงอะไรบ้าง


เดือนแรมฝังจมูกลงบนแก้มใสหนึ่งทีและพูดเย้าหยอกว่าหอมก่อนดันตัวลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกจากห้อง “นอนพักเถอะ เดี๋ยวสองคนนั้นมาถึงแล้วพี่มาปลุกนะ”


“ไม่อยากนอนแล้ว” ธันวาเด้งตัวจากที่นอนมาคว้ามือคนพี่ไว้ นัยน์ตาที่เคยรั้นยามดื้อในตอนนี้กลับอ้อนเสียจนคนมองเกือบใจเหลว “ขอลงไปเดินเล่นสูดอากาศข้างล่างบ้างนะครับ”


“เอาสิ ดีเหมือนกัน จะได้สดชื่นขึ้น”


สระว่ายน้ำคือจุดพักพิงหลังจากสองหนุ่มเดินเล่นชมพันธุ์ไม้รอบบ้านแล้ว ลงท้ายคนที่บ่นว่าไม่อยากนอนอีกก็ผล็อยหลับบนเก้าอี้ไม้ริมสระหลังจากเอนหลังและฟังเรื่องวัยเด็กของเดือนแรมได้ไม่นาน


เจ้าของบ้านมองคนหลับตาพริ้มอย่างแสนรัก ยิ่งยามไร้พิษสงดื้อรั้นแบบนี้แล้วยิ่งน่าทะนุถนอม แสงแดดที่สาดกระทบเสี้ยวหน้าของคนหลับทำให้เดือนแรมต้องลุกไปขยับร่มริมสระมาบังแดดให้คนรักเพื่อจะได้ไม่ต้องย้ายอีกฝ่ายขึ้นไปบนห้องให้เป็นการรบกวนการนอน


ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ แต่เมื่อลืมตาตื่นด้วยความงัวเงียแล้วพบว่าคนรักนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกันไม่ไปไหนก็รู้สึกอุ่นใจจนเผลอยิ้มออกมา


“ตื่นแล้วเหรอ เพลียแดดรึเปล่า” เดือนแรมพับเก็บหนังสือแล้วหันมาสนใจกันอย่างเต็มที่ ธันวาแน่ใจว่าที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตื่นแล้วไม่ใช่เพราะรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง แต่คงเป็นเพราะเดือนแรมมักจะหันมามองเขาอยู่เสมอแม้จะจดจ่ออยู่กับตำราก็ตาม แค่คิดว่าอาจจะเป็นทุกครั้งที่เปิดอ่านหน้าใหม่อย่างเช่นครั้งนี้ก็ยิ่งใจฟูฟ่องกับการได้รับความใส่ใจมากมายขนาดนี้


คนอ่อนกว่าส่ายหน้าน้อย ๆ “ผมหลับไปนานไหมครับ”


“ไม่นานหรอก แต่นอนเยอะแบบนี้คืนนี้แย่แน่”


ธันวายิ้มทะเล้น “ผมนอนได้ทั้งวันแหละครับ ไม่ต้องห่วง”


“จริงสิ โดยเฉพาะเวลาเรียน”


“โห แรงมาก ไม่หลับแล้วเหอะ ตั้งใจเรียนมากด้วย ถามไอ้เก่งได้เลยครับ”


เดือนแรมยิ้มเอ็นดูคนละล่ำละลักแก้ต่างเหมือนเด็กถูกผู้ปกครองซักฟอก “ถามได้ไหม ทำไมถึงอยากเป็นหมอ”


ธันวาเลิกคิ้วด้วยความฉงนเพราะอีกฝ่ายไม่เคยถามแบบนี้เลยสักครั้ง ถ้าไม่รวมถึงการบอกให้ตั้งใจเรียนและติวหนังสือให้ เดือนแรมไม่เคยถามหรือพูดเรื่องความสนใจที่ดูจริงจังในทำนองนี้มาก่อน


“เอาจริงป่ะ ผมตามเพื่อนมา” ธันวายิ้มเก้อเขิน ไม่กล้าสบตาคนรักที่คงมีปณิธานแรงกล้าในการเลือกเรียนแพทย์ “พี่ก็รู้ว่ายุคเรา เด็กแทบจะถูกล้างสมองให้เรียนแค่หมอกับวิศวะ น้อยคนแหละที่จะรู้ตัวเองแล้วฉีกออกไปจากสองคณะนี้ แม้แต่ผมที่ไม่มีพ่อแม่กดดันหรือคุณลุงที่ตามใจแทบทุกอย่างก็ยังโดนอิทธิพลไปด้วยเลย แต่ก็นั่นแหละ ผมตามเพื่อนมา”


“ทำไมไม่ตามดีนไปล่ะ สนิทกับดีนที่สุดไม่ใช่เหรอ”


“แหนะ แอบมองผมนานจริงด้วย รู้ดีนะเราอะ” ธันวายิ้มล้อ “ถึงจะติดเพื่อนแต่ผมก็พิจารณาเหมือนกันนะครับว่าน่าจะเรียนอันไหนรอด”


ลึก ๆ แล้วเดือนแรมยังอยากถามอีกด้วยว่าทำไมไม่ตามคนรักเก่าไปเรียนคณะเดียวกัน เพราะเห็นอยู่ว่าตัวติดกันมากหลังคบกัน แต่เขาคิดว่าก็คงได้รับคำตอบแบบเดียวกับกรณีของดีน


“พี่แปลกใจไหมที่รู้ว่าผมเข้าคณะเดียวกัน”


“รู้อยู่แล้วว่าโอกาสที่มึงเลือกเรียนแพทย์น่าจะสูง ก็อย่างที่มึงว่าแหละ เด็กวิทย์ส่วนใหญ่ก็มีธงแค่สองคณะนี้ แต่ตกใจที่มึงติดที่เดียวกัน คิดว่าจะเลือกมอเดียวกับเขา” เดือนแรมแปลกใจที่ตัวเองพูดถึงคนรักเก่าของธันวาได้ง่ายดายโดยไม่ตะขิดตะขวงใจหรือกลัวท่าทีของน้องอย่างที่กังวลไปเอง


“ก็ไอ้เก่งมันเลือกที่นี่ อีกอย่าง มีดีนด้วย ไม่เหงาดี”


“แล้วตอนนี้เป็นยังไง มีความสุขกับการเรียนไหม”


ธันวายิ้มล้อ “พี่ถามเหมือนเป็นผู้ปกครองหรือครูแนะแนวอะไรแบบนั้นเลย”


“ก็กูเป็นห่วง มึงไม่ได้อยากเรียนแต่แรก แล้วต้องมาเรียนหนักขึ้นทุกวัน ซ้ำกูยังเคี่ยวเข็ญให้ขยันอีก เลยอยากรู้ว่ายังมีความสุขกับการเรียนไหม เพราะถ้าไม่มี พี่ก็อยากขอโทษ”


“คิดมากไปแล้วพี่แรม ถ้าผมไม่มีความสุข ผมเหนื่อย ผมก็แค่หยุดอ่าน ผมฝืนทำไม่ได้หรอก ที่ยังขยันอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะมันยังไหว เอาจริง ๆ เรียนหมอก็ไม่ได้แย่นะ ผมอาจจะชอบมันมาก ๆ ในสักวันก็ได้”


เดือนแรมยิ้มกว้าง ท่าทางมีความสุขกับอะไรบางอย่างที่มากกว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอีกคนต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “พี่ไม่ได้แค่ดีใจที่ผมยังมีความสุขกับการเรียนใช่ไหม”


“มึงมีความสุขกูก็ดีใจ แต่ดีใจด้วยที่โอกาสกลับมาหากูอีกครั้ง” เดือนแรมไม่กล้าบอกว่าตนเกือบจะเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับคนรักเก่าของธันวาแล้วเพราะคาดว่าในปีถัดไปคนติดแฟนอย่างธันวาคงตามไปเรียนที่เดียวกันให้คนแอบชอบอย่างเขาได้มองบ่อย ๆ บ้าง แต่เพราะแรงยุของเพื่อนที่อยากให้เขาอยู่ห่าง ๆ เพื่อตัดใจจึงต้องมาเรียนที่นี่เหมือนเพื่อนคนอื่น ไม่คิดเลยว่าธันวาจะเป็นฝ่ายตามมาอยู่ใกล้เสียเอง


“โอกาสไรอะ”


เดือนแรมยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ให้อีกคนหายใจติดขัดเฉียบพลัน “ก็โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดมึงไง…”


“...”


“และกูก็ไม่โง่ที่จะปล่อยให้มึงหลุดมือไปอีกครั้งซะด้วย”


ธันวาหลบตา ขวยเขินเกินกว่าจะสู้ มือไม้ระเกะระกะ จากที่วางอยู่เฉย ๆ ในตำแหน่งของมันได้มาโดยตลอดก็รู้สึกเหมือนไม่รู้ว่าควรวางมันไว้ตรงไหน สุดท้ายก็ถูกคนพี่รวบไปกุมไว้จนได้


“เขินเหรอ”


“ก็หน้าบางนี่หว่า”


เดือนแรมหลุดขำพรืด แม้จะขุ่นเคืองแต่ธันวาก็ขอบคุณอยู่ในใจเพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้ชวนให้เขินอายอีกแล้ว “ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไป อีกเดี๋ยวสองคนนั้นก็คงมาแล้ว”


เดือนแรมลุกขึ้นยืนพร้อมดึงคนน้องตามไปด้วยแต่ก็ถูกเหนี่ยวเอาไว้ก่อนที่จะก้าวเดิน


“หือ?” เดือนแรมหันไปแค่เสี้ยวหน้า


“ขอบคุณที่พี่ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปนะครับ”


“...”


“ขอบคุณที่เข้ามาเป็นทุกอย่างในชีวิตผม”


เดือนแรมหันกลับไปเต็มตัว สบนัยน์ตาใสที่จ้องมองมาอย่างจริงใจแล้วรู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น “อยากจูบว่ะ”


ธันวาตกใจตาโตก่อนเรียกสติกลับมาแล้วออกแรงผลักคนพี่ให้เดินหน้าต่อ “ไม่ให้โว้ย!”





(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-03-2020 20:17:45

จริงอย่างที่เดือนแรมคาดการณ์ ธันวาไม่มีเวลามากนักหลังจากล้างหน้าล้างตา เพื่อนรักทั้งสองก็มาถึงแล้ว


ดีนพุ่งเข้าไปสำรวจเนื้อตัวเพื่อนรักทันทีด้วยความเป็นห่วง ปากก็เอ่ยรัวคำถามไม่หยุดจนเจ้าตัวต้องเรียกเตือนสติ


หนุ่มลูกเสี้ยวถอนหายใจก่อนสวมกอดธันวาแน่น คนหวงแฟนเห็นอย่างนั้นก็จำต้องยอมละเว้นทว่าสายตากลับแข็งขึ้นจนกรองเกียรติที่สังเกตเห็นต้องรีบแก้สถานการณ์ด้วยการหยอกติดตลกขึ้นมา “พ่อได้กอดแล้ว ขอเพื่อนกอดบ้างดิ”


“มึงเป็นไงบ้างวะ โอเคขึ้นรึยัง” ดีนถามธันวาที่ยังถูกกรองเกียรติกอด


“ดีขึ้นแล้ว” ธันวาผละออกก่อนพาคนทั้งคู่เดินตามเจ้าของบ้านไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น


“แล้วเมื่อคืน…” กรองเกียรติแอบกระซิบถามพลางเหลือบมองเดือนแรมให้รู้ว่าตนหมายถึงเรื่องอะไร


คนถูกถามหน้าเห่อร้อนแต่ก็ยังให้คำตอบที่สวนทางกับหลักฐานบนใบหน้า “รู้แค่ว่าพี่แรมไม่ได้ทำอะไรแบบที่มึงคิดก็พอ”


“ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ฉวยโอกาส” ดีนจงใจพูดด้วยระดับเสียงปกติทั้งที่เพื่อนพยายามกระซิบกระซาบกัน


“กูเป็นสุภาพบุรุษพอ”


“เฉยได้ยังไงวะ ตายด้านรึเปล่า” แม้เป็นการตั้งคำถาม แต่ดีนกลับไม่ได้ถามเดือนแรม เขาแค่ทำหน้าทำตาเหมือนพูดลอย ๆ เท่านั้นจนถูกธันวาปราม


เดือนแรมปล่อยให้รุ่นน้องทั้งสามคนนั่งโซฟายาวตัวเดียวกันโดยที่มีธันวาอยู่ตรงกลาง ขณะที่ตนแยกไปนั่งคนเดียว


“มึงเองก็ไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหมไอ้เก่ง” เพราะเมื่อคืนพวกเขาออกมาโดยทิ้งกรองเกียรติให้จัดการสองคนนั้นอยู่คนเดียวจึงอดเป็นห่วงไม่ได้แม้ว่าภายนอกจะไม่มีส่วนไหนบอบช้ำก็ตาม


“นั่นดิ” ธันวารีบสำรวจร่างกายเพื่อนบ้าง


“ผมไม่เป็นไรครับ เมื่อคืนก็ออกตามหลังพวกพี่มาติด ๆ แหละ...ว่าแต่มึงเถอะ จะเอาไงต่อ”


“รอคุณลุงกลับมาแล้วค่อยเข้าไปเคลียร์”


“เมื่อไหร่ ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” ดีนอาสาด้วยความเป็นห่วงก่อนที่กรองเกียรติจะสมทบด้วย


“ขอบใจพวกมึงมาก แต่กูไปเองได้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็กลับแล้วมั้ง เห็นบอกว่ามีงานแค่สองวัน”


“อืม...แล้วรู้ไหมว่ามันทำแบบนี้ทำไม”


“เอ่อ...” ท่าทีอึกอักของเพื่อนสนิททำให้ดีนจำต้องรออย่างใจเย็น จะเปลี่ยนเป้าหมายไปหาเดือนแรมก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายบอกไว้ตั้งแต่ตอนพวกตนโทรหาแล้วว่ายังไม่ได้ถามอะไรธันวามากนัก กลัวสภาพจิตใจคนรักยังไม่พร้อมจะพูดถึง


“เอ่อ...กู...”


ดีนวางมือบนบ่าเพื่อนรักอย่างเห็นใจ “ไม่เป็นไร ถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องเล่าก็ได้”


“กูก็อยากเล่านะ แต่ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน กูขอเคลียร์กับเขาก่อนแล้วกัน”


“อือ แล้วจะไม่ให้ไปด้วยจริง ๆ เหรอ ไหวแน่เหรอวะ พวกกูเป็นห่วงนะเว้ย”


“กูไม่ปล่อยให้มันไปคนเดียวหรอก” เดือนแรมแทรกขึ้นมา และพูดย้ำเสียงเข้มอีกด้วยเมื่อธันวาฉายแววรั้นออกมา “ไม่ว่ามันจะดื้อแค่ไหนก็ตาม”


“ถ้าพี่แรมไปด้วยผมก็สบายใจครับ” กรองเกียรติเสริม


“เอาอย่างนั้นก็ได้...ระหว่างนี้ก็ไปนอนบ้านกูก่อนแล้วกัน” ดีนเสนอตัว


“เอ่อ...” ธันวาอึกอัก หันมองหน้าคนรักสลับกับเพื่อนสนิทก่อนจะยอมเอ่ยตัดน้ำใจเพื่อนออกมา “กูจะอยู่กับพี่แรม”


“ให้มันอยู่กับแฟนเถอะมึง” กรองเกียรติรีบออกโรงไกล่เกลี่ยก่อนเพื่อนจะรั้นไปมากกว่านี้เพราะอยากเอาชนะรุ่นพี่หนุ่ม


“แล้วมึงคิดว่าพ่อแม่พี่เขาโอเคกับการที่มันมาค้างด้วยหลายวันเหรอ”


“พ่อแม่กูไม่อยู่ ถึงอยู่กูก็คุยได้ พวกท่านไม่ว่าอะไรแน่”


“ทางสะดวกเลยสินะ” ดีนว่าลอย ๆ


“เสือกเรื่องของเขา มึงนี่!” กรองเกียรติชิงติเพื่อนตนก่อนที่เดือนแรมจะต่อปากต่อคำด้วยให้คนกลางอย่างธันวายิ่งลำบากใจ


ดีนจำต้องยอมถอยแม้จะหมั่นไส้รอยยิ้มเล็ก ๆ ของรุ่นพี่ก็ตาม


“เออ แล้วโทรศัพท์มึงละวะ” กรองเกียรติถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนติดต่อธันวาไม่ได้เลยทุกช่องทางจนต้องติดต่อผ่านเดือนแรมแทน


“อยู่ที่กูเนี่ยแหละ ยังไม่ได้สนใจเลย แบตคงหมดแล้วด้วยมั้ง”


“อย่าลืมดูล่ะ บางทีลุงภาสอาจจะติดต่อมาแล้วก็ได้”




เดาจากสีหน้าของธันวาในตอนที่เปิดโทรศัพท์ดูก่อนเข้านอนแล้วเดือนแรมก็พอจะเดาได้ว่าดีนคงพูดถูก


“คุณลุงกลับมาถึงพรุ่งนี้ช่วงสายครับ” ธันวาเอ่ยออกมาเมื่อเดือนแรมเพียงแค่เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ บนเตียง


“พร้อมไหมล่ะ หรืออยากไปหาวันหลัง”


“พรุ่งนี้เลยก็ดีครับ” แม้ไม่มั่นใจนักแต่ก็เด็ดเดี่ยวกับการตัดสินใจ


“ถ้าอย่างนั้นก็นอนเถอะ ทิ้งเรื่องของวันพรุ่งนี้ให้ตัวเราในวันพรุ่งนี้จัดการเถอะนะ”


ธันวายิ้มบาง ๆ แทนการตอบรับ ตราบใดที่มีเดือนแรมอยู่ข้าง ๆ เขาก็เชื่อว่าตนเองจะผ่านเรื่องร้ายไปได้ด้วยดี



ก่อนผ่านประตูรั้วบ้านธันวาได้รับการปลุกขวัญกำลังใจจากเดือนแรมจนพร้อมสู้กับทุกอย่างในวันนี้แล้ว แต่ยังไม่ทันย่างกรายเข้าบ้าน คนที่ธันวายังไม่พร้อมเผชิญหน้าด้วยมากที่สุดก็โผล่ออกมาจนทำเอาขวัญที่ปลุกมาอย่างดีกระเจิงเล็กน้อย


“ตามมา” ปกป้องบอกเสียงนิ่งเรียบก่อนหันหลังก้าวเดินไปโดยไม่สนใจว่าอีกสองคนจะยอมทำตามหรือไม่ และแม้สีหน้าท่าทางจะเรียบเฉยแต่คนฟังก็จับสังเกตได้ว่าไม่ปกตินัก ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมเดินตามไปแต่โดยดี


ธันวาเดินตามไปห่าง ๆ พร้อมเดือนแรมแต่ก็เห็นว่าปกป้องเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องไหน แม้จะไม่ค่อยได้เดินมามุมนี้ของบ้านแต่เขาก็จำได้ดีว่ามันคือห้องเก็บของสะสมของลุงประภาสที่เคยถูกปิดตายอยู่หลายปีในช่วงที่พวกเขายังไม่มีความระมัดระวังมากเท่าทุกวันนี้


“จำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องนี้” ปกป้องพูดขึ้นทั้งที่ยืนหันหลังให้คู่สนทนา นั่นยิ่งทำให้ธันวายิ่งคลางแคลงใจในจุดประสงค์ของการชวนมาคุยในห้องนี้


“ถ้าพี่หมายถึงเรื่องที่ผมทำแก้วใบโปรดของคุณลุงแตก…”


“ใบโปรดที่สุด” ปกป้องแทรกขึ้นเสริมเสียงแข็ง “แล้วจำได้ไหมว่าพ่อกูทำยังไงกับมึง”


“หลังจากนั้นคุณลุงก็ปิดตายห้องนี้”


ปกป้องหลับตาข่มอารมณ์บางอย่างที่ไม่มีใครรับรู้เอาไว้ สูดหายใจเข้าลึกก่อนหันกลับมาจ้องตาคนน้องที่สะดุ้งตัวน้อย ๆ ทันทีเมื่อได้สบสายตาน่ากลัวคู่นั้น หากไม่มีคนรักยืนอยู่ด้วย เขาคงรีบหนีออกไปจากตรงนี้เสียก่อนที่ญาติผู้พี่จะได้ขยับตัวแน่


ปกป้องนึกย้อนถึงเรื่องราวที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีแต่กัดกินใจเขามานานหลายปี


เสียงแก้วตกกระทบพื้นทำให้ทั้งเขาและพ่อรีบวิ่งมาที่ห้องนี้ ภาพที่เห็นคือธันวาในวัยมัธยมต้นตัวสั่นเทาด้วยกลัวจะถูกลงโทษ ละล่ำละลักพูดขอโทษไม่หยุดปากหากแต่เป็นพ่อเขาเองที่บอกให้อีกฝ่ายเลิกขอโทษและแทนที่จะโกรธเพราะของรักของหวงชิ้นสำคัญแตกสลายตรงหน้ากลับให้ความสนใจกับความปลอดภัยของหลานรักมากกว่า


‘ธันว์เจ็บตรงไหนไหม โดนบาดรึเปล่า’ วันนั้นพ่อเขาสำรวจร่างกายหลานรักเสียทั่วโดยไม่ใยดีหรือนึกเสียดายของรักเลยสักนิด


“มึงทำแก้วใบที่พ่อรักมากที่สุดแตก แต่พ่อรีบเอาตัวมึงออกจากตรงนั้นไม่ยอมให้มึงเก็บเศษแก้วด้วยซ้ำ เขาห่วงว่ามึงจะบาดเจ็บมากกว่าห่วงแก้ว เพราะเขารักมึงมากกว่าแก้วไง”


“...”


“แล้วรู้อะไรไหม...กูก็เคยทำแบบมึง แต่เป็นแก้วใบที่เขาไม่เคยเห็นในสายตาด้วยซ้ำ แล้วรู้ไหมว่ากูต้องเจอกับอะไร”


“...”


“กูถูกตี ถูกกระทำเหมือนมีค่าน้อยกว่าแก้วทุกใบในห้องนี้รวมกัน!”


“พะ พี่ป้อง คุณลุงคงแค่ไม่กล้าตีผมเพราะผมเป็นลูกคนอื่น”


“ไม่!! เพราะเขารักมึงมากกว่าแก้วใบนั้น เขารักมึงมากกว่ากู!!” น้ำตาหยดหนึ่งกลั่นออกจากดวงตาแดงก่ำที่ทั้งวาวโรจน์และเจ็บปวด


คนถูกตะคอกตัวสั่น หน่วยตาทั้งสองมีน้ำคลอเบ้า ไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายตนจะเจ็บปวดกับเรื่องที่ตัวเขาเองไม่ได้ใส่ใจมันเลยด้วยซ้ำ


“เขาสอนให้มึงเรียนรู้ว่าไม่ควรทำของแตกอีกเพราะมันจะเกิดอันตรายกับตัวมึงได้...แต่กับกู เขาทำให้กูรู้สึกว่ากูไม่ควรทำของแตกอีกเพราะของจะเสียหาย”


“มึงเห็นรึยังว่าเขารักมึงมากกว่ากู”


“พี่ป้อง ผม...ผม”


“เขาทำให้กูรู้สึกว่าเขาโกรธและเสียใจที่เห็นของที่เขารักแตก ขณะเดียวกันเขาก็คงจะโกรธและเสียใจมากที่เห็นมึงบาดเจ็บ...เพราะอย่างนั้น” ปกป้องยิ้มเย็นยามจ้องมองคนน้องไม่ละสายตาขณะก้าวเท้าเข้าใกล้อย่างช้า ๆ เดือนแรมจึงต้องก้าวเข้ามาบังน้องเอาไว้เพื่อปกป้องคนรักทั้งที่เป็นคนนอก


ปกป้องเหยียดยิ้มให้กับคนที่เข้ามาขวาง เขาไม่ผลักอีกฝ่ายออก ไม่พยายามจะมองข้ามไปหาคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างหลัง เขาแค่เลือกที่จะจ้องตาเดือนแรมอย่างไม่ลดละ “เพราะอย่างนั้นกูถึงได้อยากให้เขาเห็นมึงแหลกสลาย มึงควรขอบใจกูนะที่ยังปรานีเลือกผู้ชายมาให้ตรงกับจริตมึง ไม่ชอบผู้หญิงนี่...ใช่ไหม” สิ้นคำพูดของปกป้องก็เหมือนหมดสิ้นความอดทนของเดือนแรมด้วยเหมือนกัน กำปั้นที่กำข่มความขึ้งโกรธไว้อยู่นานถูกปล่อยออกไปกระทบใบหน้าอีกฝ่ายให้มุมปากได้มีมีเลือดซึมเล็กน้อย


“พี่แรมอย่า!” ธันวารั้งคนพี่ที่จะเข้าไปซ้ำเอาไว้


“ปล่อยพี่ มันทำกับมึงเกินไป”


“หึ” ปกป้องมองเหยียดเลยไปถึงคนที่ยังซ่อนอยู่ข้างหลังร่างสูง “อ้อ กูสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง วันนั้นที่มึงรังเกียจสัมผัสของกูและพูดเหมือนว่ากูทำแบบนี้อีกแล้ว หมายความว่ายังไง”


ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ขยับตัวออกจากเกาะกำบังมนุษย์อย่างเดือนแรมมาสู้หน้าญาติผู้พี่ที่กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตนอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว “พะ พี่แอบจับหน้า ลูบหน้าผมตอนผมหลับบนรถ”


ปกป้องหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่งเมื่อได้รู้ความจริง “มึงเลยคิดว่ากูพิศวาสมึงสินะ เพราะแบบนี้เหรอมึงถึงเว้นช่องว่างกับกูมาตลอด”


ธันวาไม่แม้แต่จะกล้ายืนยันความคิดนั้นด้วยการพยักหน้า


“หึ สบายใจเถอะน้องรัก กูไม่เคยพิศวาสมึงเลย ที่กูเผลอทำแบบนั้นเพราะกูข่มความรู้สึกอยากทำลายมึงเอาไว้ไม่ได้แล้วต่างหาก กูอยากจะฉีกมึงออกเป็นชิ้น ๆ ในตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ”


“ทะ ทำไม พี่ถึงเป็นได้ขนาดนี้”


“เพราะมึงไง!!”


“...”


“เพราะมึงกับแม่เข้ามาแย่งความรักของพ่อไปจากกูกับแม่”


“ไม่จริง ไม่มีทางที่คุณลุงจะไม่รักพี่”


“แล้วมึงเคยเห็นกูได้รับความรักบ้างไหมล่ะ!!”


“...”


“กูทำทุกอย่าง ตั้งใจเรียน ช่วยงาน ทำตัวว่านอนสอนง่าย แม้กระทั่งเสนอตัวดูแลมึงต่าง ๆ กูก็ทำ แต่พ่อก็ไม่เคยเห็นกูในสายตา ไม่เคยชื่นชมกู ไม่เคยเอาใจใส่หรือสนใจกู จนกูเริ่มคิดแล้วว่าถ้ามึงไม่ใช่ลูกเขาอีกคน เขาก็คงคิดกับมึงมากเกินกว่าหลาน”


“เจ้าป้อง!!” เสียงแหบแต่ยังทรงอำนาจของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านดังลั่นห้องยามตวาดกร้าวหลังจากที่มาแอบฟังอยู่นานจนเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้


ธันวาเผลอขยับตัวเบียดเดือนแรมผู้เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของตนในยามนี้โดยลืมไปว่าคนเป็นลุงจะรู้สึกอย่างไรที่ท่าทีของตนแสดงออกเหมือนรังเกียจอีกฝ่ายอยู่ในที


“พ่อไม่เคยคิดอะไรชั่ว ๆ อย่างที่แกปรักปรำ” ประภาสถอนหายใจ คุมอารมณ์คุกรุ่นให้สงบลงก่อนเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น “พ่อขอโทษ พ่อยอมรับผิดที่ให้ความสนใจกับธันวามากเกินไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพ่อไม่รักแกนะป้อง”


ประภาสเองก็เสียใจเมื่อแววตาตัดพ้อยังไม่จางหายจากนัยน์ตาของคนเป็นลูก อีกทั้งหลานรักก็ยังไม่ยอมสบตากันอีกด้วย “พ่อยอมรับนะว่าพ่อรักแม่ของธันวา”


“คุณลุง...” ธันวาร้องเสียงหลง เดือนแรมจับมือน้องเอาไว้ บีบเล็กน้อยเพื่อให้กำลังใจคนที่กำลังขวัญเสีย


“พ่อแอบรักเธอมานานแล้ว แอบรักเธอข้างเดียว แม้ว่าเธอจะแต่งงานกับอาของแกไปแล้วพ่อก็ยังรัก พ่อพยายามหักห้ามใจ...ธันวา ลุงขอโทษ ลุงละอายใจที่มีความสุขเมื่อได้ดูแลแม่ของลูกหลังพ่อเราจากไป แต่ลุงสาบานได้ว่าไม่เคยมีอะไรเกินเลยระหว่างเราเลยนะ แม่ของธันว์รักพ่อของธันว์มากนะลูก”


“จนถึงตอนนี้พ่อก็เอาแต่ปกป้องแม่ของธันว์ พ่อห่วงความรู้สึกของมัน แล้วผมล่ะ พ่อสนใจบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้!!” ปกป้องตะโกนออกมาอย่างเหลืออด


“พ่อขอโทษ พ่อผิดเอง” ประภาสลูบหน้าลูบตาตัวเอง “พ่อไม่ได้ตั้งใจจะสนใจธันวามากกว่าลูกนะป้อง แต่เพราะยิ่งโตธันว์ก็ยิ่งเหมือนแม่ โดยเฉพาะดวงตา พ่อเลย...”


“คุณลุงเห็นผมเป็นตัวแทนของแม่เหรอครับ” ธันวาสรุปเมื่อเห็นว่าประภาสทำหน้าเหมือนยากที่จะพูดมันออกมา ที่ผ่านมาใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึก บ่อยครั้งที่จับสังเกตได้ว่าคนเป็นลุงมักจะมองเขาลึกเกินไปเหมือนผ่านเขาไปยังคนอื่น เพียงแต่ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้


ประภาสหลบตาไม่กล้าสู้หน้า เอ่ยคำว่าขอโทษที่ทั้งลูกและหลานเอียนจะฟังออกมาอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง


“ผมขอย้ายออกไปอยู่หอนะครับ” ธันวาว่าแค่นั้นก่อนบีบมือส่งสัญญาณให้เดือนแรมพาตนออกไปจากที่นี่โดยไม่สนใจคำร้องขอของคนเป็นลุงเลยสักนิด และก่อนออกมาก็ยังได้ยินปกป้องบอกกับพ่อตนเองว่าจะย้ายออกไปอยู่คอนโดฯเช่นกัน


ธันวาไม่ได้นั่งร้องไห้ฟูมฟาย แต่อาการมองเหม่อตั้งแต่นั่งรถจนมาถึงหอพักก็น่าเป็นห่วงจนเดือนแรมไม่อาจทิ้งให้อยู่ตามลำพังได้ เขาปล่อยให้น้องนั่งประจำโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองตามลำพังขณะที่ตนยืนพิงเสามองอยู่ห่าง ๆ แผ่นหลังบางพิงเต็มพนัก สองขาชันขึ้นบนเก้าอี้ทิ้งพิงกับขอบโต๊ะ สายตามองออกไปนอกระเบียงอย่างไร้ปลายทาง ธันวาเป็นอย่างนี้มาครู่ใหญ่แล้ว


“ผมใจร้ายกับคุณลุงมากไปไหมครับ” เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบาคล้ายกับหลุดรอดออกมาจากจิตใต้สำนึกมากกว่ากำลังสื่อสาร ถึงอย่างนั้นคนที่ยืนรออยู่ด้วยความเป็นห่วงก็ยังรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้


เดือนแรมลูบผมน้องอย่างอ่อนโยน “พี่ว่าคุณลุงท่านเข้าใจนะว่าธันวาอยากได้เวลา มันขึ้นอยู่กับว่าหลังจากนี้คนดีของพี่จะทำยังไงต่อต่างหาก”


ธันวาแหงนมองหน้าเดือนแรม ใบหน้าของคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาและพร้อมจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ อย่างน้อยคำว่า ‘คนดี’ ของเดือนแรมก็ช่วยลดความรู้สึกที่ว่าตนเป็นคนอกตัญญูไปได้บ้าง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แค่ตอนนี้ไม่กล้าสู้หน้าใครในบ้านนั้น ผมไม่รู้ต้องปั้นหน้ายังไงเวลาที่มองหน้าคุณลุง แค่คิดว่าในบางครั้งอาจจะมีแววตาเสน่หามองมา ผมก็ยิ่งไม่อาจทำตัวให้ไม่รู้สึกอะไรได้”


เดือนแรมขยับเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนดึงน้องเข้ามาซบ “ไม่เป็นไรนะ พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับไปด้วยกัน


“พี่แรมพาผมไปหาพี่ป้องด้วยได้ไหมครับ” วันหนึ่งเขาก็คงจะมองหน้าญาติผู้พี่ได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับตนเช่นกัน “ผมอยากขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้พี่เขาไม่มีความสุข”


“ไปขอโทษได้ แต่อย่าโทษตัวเองแบบนี้นะธันวา ทั้งเราและเขาต่างก็รับผลจากการกระทำของผู้ใหญ่ มันไม่ใช่เพราะมีเราเขาถึงไม่ได้รับความรัก เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมธันวา”


ธันวาพลิกตัวซุกหน้ากับหน้าท้องคนพี่ “เข้าใจครับ”


“ไว้พร้อมแล้วเราไปด้วยกันนะ ไปขอโทษเพื่อปลดล็อกความบาดหมางในใจของกันและกัน”


“ขอบคุณมากนะครับ”







TBC.
-----------------------------------
ยังจำพี่แรมกับธันวากันได้ไหมคะ?
#แรมเดือนสิบสอง

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 04-03-2020 23:37:34
ร้องไห้หนักมาก ขอสงสารพี่ปกป้องก่อนเลยค่ะ
มีพ่อแบบนี้ คงเสียใจน้อยใจหนักมาก
พ่อทำแบบนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพ่อที่รักผู้หญิงคนอื่นมาก
แม่กระทั่งผู้หญิงไม่ได้รักตอบเลย ก็ยังรักและเผื่อแผ่ไปให้ลูกเขาอย่างหนักอีก แล้วถ้าผู้หญิงรักตอบล่ะ แล้วถ้าผู้หญิงไม่พอใจลูกเลี้ยงล่ะ คุณคงจะให้สิทธิ์ผู้หญิงทำอะไรกับลูกชายตัวเองก็ได้ซินะ ถ้าเป็นป้องก็คงไม่อยากอยู่ไกล้้้ๆพ่อแบบนี้แล้วเหมือนกัน
โอ้ยยยยย พิมพ์ทุกอย่างที่คิดที่รู้สึกไม่หมดอ่ะ แค่รู้ว่าเข้าใจป้องและสงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-03-2020 00:04:25
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารทุกคนกับปมที่ผู้ใหญ่สร้างไว้
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 06-03-2020 00:20:22
สงสารไปหมด สงสารทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 07-03-2020 23:52:54
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kikilululu ที่ 21-03-2020 01:03:40
เห็นใจปกป้องแต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำร้ายคนอื่นได้อยู่ดี
ใจจริงอยากเห็นว่าผู้ใหญ่ในเรื่องนี้จะจัดการสิ่งที่ลูกตัวเองทำหลาน
พูดถึงในแง่ความถูกต้องไม่มีเสน่หามาเกี่ยวยังไงก็ควรจัดการ
ดีใจที่น้องยังมีพี่แรม เป็นพระเอกที่ดูโตกว่าวัยมากๆเท่าที่เคยอ่านเจอมากเลยค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 07-09-2020 09:17:56
อยากอ่านต่อ  :hao7:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ P.7 [4/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-10-2021 13:51:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.8 [1/11/64]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 01-11-2021 19:00:30
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)




“จบงานกีฬาเปิดเทอมมาไม่ถึงสองเดือนก็ต้องเตรียมงานบายเนียร์อีกละ เรียนก็หนัก กิจกรรมก็เยอะ เมื่อไหร่จะจบปีสองวะ กูเหนื่อยแล้วโว้ย” กรองเกียรติลากเสียงยาวก่อนฟุบหน้ากับโต๊ะที่ลานใต้หอพักชายหลังจากประชุมเรื่องจัดงานเลี้ยงส่งรุ่นพี่ปีหกเสร็จแล้ว


“นั่นดิ เหนื่อยแล้วเหมือนกัน นี่ดีนะที่ไม่ต้องเตรียมงานเทศกาลดนตรีเองอีก ไม่งั้นตาย” ตฤณเสริม ทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้จริง ๆ เมื่อนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อปีก่อนที่ต้องเตรียมงานเทศกาลดนตรีประจำปีของคณะแพทย์


“กว่าจะเรียนจบพวกเราไม่กลายเป็นซอมบี้ไปก่อนเหรอวะ”


“ปีหน้ามึงอาสาเป็นประธานรุ่นดิ...” เสียงของคนมาใหม่เรียกให้สายตาของทั้งสามหนุ่มหันไปมอง “...จะได้รู้ไงว่ากว่าจะเรียนจบมึงจะกลายเป็นซอมบี้จริงรึเปล่า” โอ๊คที่เดินมาพร้อมกลุ่มเพื่อนตัวเองว่ายิ้ม ๆ จงใจส่งสายตาล้อประธานชั้นปีที่สามคนปัจจุบันที่ไม่เพียงแต่เหนื่อยตามหน้าที่เพียงคนเดียว แต่ลากเอาเพื่อนทั้งกลุ่มเหนื่อยมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเป็นพิเศษไปด้วย


“ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่นี่แล้วไงไอ้น้อง เรียนเก่งและทำกิจกรรมหนักไม่ทำให้กลายเป็นซอมบี้ แต่ทำให้ได้แฟนเว้ย” บอยที่เขย่งตัวเพื่อกอดคอเดือนแรมเอ่ยแซวขึ้นบ้างจนเรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนฝูงและรุ่นน้องได้เป็นอย่างดีทำเอาคนที่ถูกพาดพิงรู้สึกเก้อเขินจนทำตัวไม่ถูก


“ไอ้น้องธันว์แม่งเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจจนเพื่อนพี่ไม่ลังเลที่ทำอะไรเพื่อให้ได้มาเลยว่ะ” โอ๊คเสริมยิ้ม ๆ พลางเดินอ้อมไปนั่งข้างกรองเกียรติแต่ยังส่งสายตาล้อเพื่อนที่วางมือบนบ่าของ ‘รางวัล’ แสดงความเป็นเจ้าของตั้งแต่เดินมาถึง


“รางวัลของการเป็นคนเรียนดี กิจกรรมเด่นมันเย้ายวนเนอะ มึงว่าไหม” แม้แต่คนที่นิ่งเงียบที่สุดอย่างไนท์ก็ยังไม่พลาดที่จะร่วมวงแซวเพื่อนทิ้งท้ายก่อนลากบอยขึ้นห้องไปด้วยกัน ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร กลับยิ้มมุมปากรับอย่างคนที่ภูมิใจในตนเอง จนโอ๊คอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความหมั่นไส้


“อะไรวะพี่ ฝั่งโน้นก็มี” ตฤณโวยลั่นเมื่อเดือนแรมสะกิดให้เขาขยับตัวออกห่างธันวาเพื่อที่จะได้แทรกลงมานั่งตรงกลางทั้งที่อีกฝั่งของธันวายังมีที่นั่งว่างอยู่ด้วยซ้ำ


“ก็กูอยากนั่งตรงนี้ กูหมั่นไส้มึง มีไรไหม”


ธันวาส่ายหน้าระอาอย่างไม่จริงจังนัก นับตั้งแต่ที่เขาคบหากับเดือนแรมอย่างเปิดเผย นอกจากดีนก็เห็นจะมีแต่ตฤณที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเดือนแรมมาตลอด เหตุผลก็เพราะเพื่อนเขาเองทั้งนั้นที่ชอบกวนประสาทคนรักของเขาก่อน ถ้าดีนตั้งตนเป็นปรปักษ์อย่างโจ่งแจ้ง ตฤณก็คือคนที่คอยก่อกวนในคราบของคนเป็นมิตร


“พี่แรมแม่ง” ตฤณฟึดฟัดเพราะบ่นไปก็ไม่มีใครสนใจแล้ว นอกจากคนถูกบ่นจะเอาแต่คุยหยอกล้อกับคนรักแล้ว กรองเกียรติกับโอ๊คเองก็ไม่ได้สนใจจะช่วยคืนความยุติธรรมให้เขาสักเท่าไหร่นัก


ใบหน้าของกรองเกียรติแต้มรอยยิ้มยามจ้องมองคู่รักตรงหน้าตน ธันวาที่เหม่อลอยซึมกระทือจากเหตุการณ์ช่วงปิดเทอมใช้เวลาไม่กี่วันก็กลับมายิ้มและหัวเราะสดใสได้เหมือนปกติ คนที่เฝ้ามองใกล้ชิดอย่างเขาคิดว่าคงเพราะได้คนดูแลดีอย่างเดือนแรม ถึงอย่างนั้นเกือบสองเดือนมานี้ก็ใช่ว่าจิตใจจะเข้มแข็งพอที่จะสู้หน้าคนเป็นลุงได้เร็วแม้ว่าอีกฝ่ายจะขยันมาหาบ่อยทุกสัปดาห์ก็ตาม


และใช่ว่าตลอดเกือบสองเดือนมานี้จะมีเพียงลุงประภาสเท่านั้นที่กรองเกียรติเพียรเจรจาให้ออกห่างจากเพื่อนรักตน แต่ยังมีคนรักเก่าของเพื่อนอีกด้วย ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หวนกลับมาหาอีกทั้งที่หายหน้าไปตั้งนานแล้ว


กรองเกียรติปลีกตัวออกจากกลุ่มด้วยคำกล่าวอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนรีบพุ่งตรงไปลากคนที่ยืนโดดเด่นอยู่ตรงทางเข้าหอพักชายหลบไปให้พ้นทางที่เพื่อนตนจะมองเห็นได้ ภีมในวันนี้ไม่ต่างจากทุกครั้งที่มาหาธันวา หนุ่มร่างสูงหุ่นดีพิมพ์นิยมแบบที่เห็นได้ทั่วไปในหมู่นักแสดงวัยรุ่น อำพรางใบหน้าตนเองด้วยการสวมหมวกแก๊ปและใส่แว่นกันแดดปิดบังไปครึ่งหนึ่งแต่ก็ยังปิดรัศมีของคนดังไม่มิด ยิ่งคล้องหูฟังอินเอียร์บลูทูธไว้ที่คอเดินไปไหนมาไหนแบบที่นักศึกษาฝั่งโรงพยาบาลไม่ทำกันก็ยิ่งสะดุดตาคนได้ง่าย


“ทำไมพี่ยังมาที่นี่อีก” อดไม่ได้ที่จะหัวเสียเพราะสัปดาห์นี้ภีมมาที่นี่ถึงสองครั้งแล้ว และนั่นทำให้เขายิ่งไม่อาจปล่อยให้ธันวาอยู่คนเดียวตามลำพังได้อีก “บอกแล้วไงว่ามันไม่อยากเจอพี่แล้ว”


“พี่อยากคุยกับธันว์ ขอพี่เจอธันว์เถอะนะเก่ง”


“ก็บอกว่ามันไม่อยากเจอไง” นี่เป็นความคิดของเขาทั้งหมด กรองเกียรติยอมรับว่าตนคิดแทนเพื่อน เขาไม่เคยบอกธันวาเลยว่าเจอใครอื่นอีกบ้างนอกจากลุงประภาสในช่วงเกือบสองเดือนนี้ เพราะไม่อยากให้เพื่อนไม่สบายใจและกังวลกับความรู้สึกของคนรักในปัจจุบัน


“ธันว์มีแฟนใหม่แล้วใช่ไหม” ภีมตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมถอยกลับไปโดยดีอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว เพราะแม้จะแอบมาหาธันวาทุกครั้งที่ว่างจากงานทีไรเป็นอันต้องโดนด่านหน้าอย่างกรองเกียรติสกัดคอตกกลับไปทุกครั้ง


“ใช่ มีแล้ว และพี่ก็ควรเลิกยุ่งกับเพื่อนผมสักที ปล่อยมันมีชีวิตสงบ ๆ บ้างเหอะพี่”


“แฟนใหม่เป็นผู้ชายด้วยใช่ไหม” ผู้ชายคนนั้นที่เขาเห็นอยู่กับธันวาในสวนที่บ้าน คนเดียวกับที่บังเอิญเจอกันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ร้อนใจจนอยากมาถามหาความจริงตั้งแต่ตอนนั้น แต่เพราะติดงานที่ต่างประเทศ กว่าจะกลับมาและกว่าจะมีเวลาว่างปลีกตัวมาหาได้สักครั้งก็ช่างยากเย็น


กรองเกียรติชะงักเล็กน้อยก่อนตอบเสียงดังฟังชัด “ใช่ แล้วไงวะ จะผู้ชายหรือผู้หญิงแฟนเก่าอย่างพี่ก็ไม่ควรกลับมาหามันรึเปล่า”


“...”


“มันไม่สำคัญหรอกว่าตอนนี้มันชอบผู้ชายแล้ว มันสำคัญที่ว่าคนที่มันชอบคือพี่แรมไม่ใช่พี่


“...”


“จะตอนนั้นหรือตอนนี้ไอ้ธันว์ก็รู้สึกกับพี่แค่พี่ชายเท่านั้นแหละ...พี่รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ” หลุดปากพูดออกไปด้วยอารมณ์แล้วก็รู้สึกผิดเพราะสีหน้าของคนฟังที่ดูเจ็บปวดจากคำพูดแทงใจดำของเขา


“พี่รู้...” ไม่รู้ว่ากรองเกียรติได้ยินหรือไม่ แต่เขารู้ว่าตนพูดออกไปแล้ว แม้จะแผ่วเบามากก็ตาม “แต่ขอให้พี่ได้คุยกับธันว์หน่อยได้ไหม เก่งก็รู้ว่าระหว่างพี่กับธันว์ยังมีเรื่องคาใจกันอยู่”


“มันไม่ได้อยากรู้เรื่องในวันนั้นอีกแล้วพี่ มันไม่ตั้งคำถามกับการจากไปของพี่อีกแล้ว” เขาจำเป็นต้องใจร้ายอีกครั้ง “ตอนนี้ธันวามันสนใจแค่พี่แรมเท่านั้นแหละ”


“...”


“พี่อย่ากลับเข้ามาในชีวิตมันอีกเลยนะ”


แม้นั่นจะเป็นอีกครั้งที่ภีมต้องเดินคอตกกลับไป แต่ความใจร้ายของกรองเกียรติก็ไม่เป็นผลนัก ภีมยังคงโผล่หน้ามาหาธันวาครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบทุกสัปดาห์เหมือนเดิม


แต่ในบรรดาคนที่มาตามตื้อขอเจอธันวาแล้วสมหวังที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ไม่เคยโผล่หน้ามาก่อนหน้านี้เลย


ปกป้อง…


ปกป้องโผล่หน้ามาเป็นครั้งแรกหลังภีมกลับไปในวันนั้นได้สองสัปดาห์ กรองเกียรติถึงกับสบถผรุสวาจาออกมาเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายขณะที่พวกตนกำลังเดินลงจากตึกเรียนในตอนเย็น นึกหงุดหงิดใจที่อีกฝ่ายช่างเลือกเวลาโผล่มาได้ดีเหลือเกินเพราะอีกสองวันพวกเขามีสอบบล็อกใหม่ ถ้าการเจอหน้าปกป้องวันนี้เป็นเรื่องรบกวนจิตใจเพื่อนเขาจนอ่านหนังสือไม่ได้ เขาเองนี่แหละจะอัดหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายให้เละจนจำไม่ได้เลย


ธันวาที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหนึ่งก้าวหันกลับไปหาเพื่อนทั้งสองที่เดินคุยข้างกันมาตลอดทาง “แยกกันตรงนี้เลยนะ”


“มึงจะไปกับเขาจริงเหรอ”


“มีเรื่องอะไรกัน แล้วนั่นใครวะ” ตฤณถามด้วยความสงสัย หันมองหน้าเพื่อนสองคนสลับกัน คนหนึ่งนิ่ง ๆ สบาย ๆ แต่นัยน์ตาฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด ต่างกับอีกคนที่ทั้งกังวลและตื่นตระหนกกับการปรากฎตัวของแขกไม่ได้รับเชิญแบบสุด ๆ


“พี่ชายกูเอง” ธันวาตอบ


“คืนนี้พี่แรมมีติวกับเพื่อนใช่ไหม แล้วมึงจะตามมาอ่านหนังสือกับกูรึเปล่า” กรองเกียรติยังคงเรียกรั้งไว้ เผื่อว่าช่วงเวลาที่นานขึ้นแม้เสี้ยววินาทีเดียวจะทำให้เพื่อนได้ไตร่ตรองการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง


ธันวายิ้ม “ไม่เป็นไร กูอ่านที่ห้องตัวเองแหละ ขอบใจมึงมาก”


“งั้นกินข้าวกัน กูรอที่โรงอาหารนะ”


ธันวายิ้มอย่างอ่อนใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ทันเพื่อน แต่อย่างไรเสียตนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจบเรื่องระหว่างตนกับญาติผู้พี่ในวันนี้ “ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า กูนัดพี่แรมไว้แล้ว ถ้ามึงจะกินด้วยก็เจอกันหกโมงแล้วกัน...กูไปนะ”


คราวนี้กรองเกียรติจำต้องปล่อยให้เพื่อนเดินเข้าไปหาปกป้อง ยืนมองจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปแล้วจึงก้าวเดินไปอีกทางโดยทิ้งตฤณให้ฉงนกับสิ่งที่พวกเขาคุยกันและคำตอบสั้น ๆ แค่ว่าไว้รอถามธันวาเองภายหลัง


 
ธันวาเดินนำปกป้องไปนั่งม้านั่งข้างคอร์ทเทนนิส ช่วงเวลาเพิ่งเลิกเรียนแบบนี้ยังไม่มีใครมาจับจองพื้นที่ภายในแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ผู้คนผ่านไปมาเสียทีเดียว


คนเป็นน้องนั่งหันหน้าเข้าหาคอร์ทเทนนิสโดยมีญาติผู้พี่นั่งลงข้าง ๆ ไม่มีใครจ้องหน้าใครให้รู้สึกอิหลักอิเหลื่อไปมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นความเงียบที่เข้าปกคลุมก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวอึดอัดขึ้นยิ่งกว่าเดิมได้ ธันวาก้มหน้าเล็กน้อย รู้สึกละอายใจ ทั้งที่คิดว่าอยากเป็นฝ่ายเข้าไปขอโทษก่อนด้วยซ้ำแต่กลับเฉยจนคนพี่เป็นฝ่ายมาหาก่อนเสียเอง


“สบายดีไหม” จนแล้วก็ยังเป็นปกป้องอีกเช่นเคยที่เริ่มบทสนทนาก่อน


“ช่วงนี้เรียนหนักนิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร พี่ป้องละครับ สบายดีไหม”


ปกป้องระบายยิ้มบาง ดีใจกับทุกคำที่ได้ยิน น้องพูดกับเขาด้วยประโยคที่ยาวขึ้น เล่าเรื่องตัวเองมากกว่าแค่ถามคำตอบคำอย่างเมื่อก่อน อีกทั้งยังเรียกเขาว่าพี่เหมือนเดิมได้อีกทั้งที่เขาทำไม่ดีด้วยมากขนาดนั้น “สบายดี...พี่มาขอโทษ”


ธันวาเหลือบมองคนพี่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายจ้องมองตรงไปข้างหน้า ก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองบ้าง


“พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำมันเลวร้ายมากเกินกว่าจะให้อภัย และพี่เข้าใจถ้าธันว์จะไม่ให้อภัยพี่ พี่มาแค่อยากจะบอกว่าพี่เสียใจและอยากขอโทษที่ทำร้ายนาย”


“พี่ป้อง...” ธันวาหันไปมองหน้าคนพี่เกือบทั้งตัว


“ขอโทษจริง ๆ” ปกป้องเองก็หันมาหาน้องเช่นกัน นัยน์ตาที่เคยทำให้น้องหวาดระแวงทุกครั้งที่จ้องมองในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษอย่างจริงใจ


“ผมหายโกรธพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้ว…” วันที่ได้รู้ความจริงทุกอย่าง “ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ไม่เคยรับรู้หรือเอะใจเลยว่าพี่รู้สึกยังไงบ้างตลอดที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน” แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ความผิดจากการเพิกเฉยของเขาโดยตรง แต่ธันวาคิดว่าตนก็มีส่วนทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นเหมือนกัน “ถ้าผมรู้...”


“นายไม่ผิดเลยธันว์ นายเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน”


ธันวาตกใจ แม้ปกป้องจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่เขาก็รู้ถึงความนัย “พี่ป้องยังโกรธคุณลุงอยู่เหรอครับ”


ปกป้องชะงัก ไม่นึกว่าน้องจะพูดออกมาตรง ๆ คนสูงวัยกว่าเบือนหน้าหนีไปมองคอร์ทเทนนิสเหมือนเดิม “ก็ยังเคืองแทนแม่อยู่หน่อย ๆ แหละ แต่เราได้ปรับความเข้าใจกันแล้วนะ และพี่ก็ย้ายกลับไปนอนที่บ้านแล้วด้วย” ปกป้องยิ้มบาง ๆ “พ่อเขาปรับปรุงตัวขึ้นเยอะนะ ไม่ถึงกับเอาอกเอาใจเป็นพิเศษหรอก แต่เป็นห่วงถามไถ่และรับฟังกันมากขึ้น แค่นี้ก็ดีแล้ว” เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการการถูกเอาอกเอาใจ ไม่ได้ต้องการอยู่ในสถานะที่ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ถูกไปหมดทุกอย่างหรือทำอะไรตามใจได้ เขาต้องการแค่ความรักและความเข้าใจที่มากขึ้นเท่านั้น


“พ่อชมพี่ด้วยนะว่าทำงานเก่ง” ปกป้องยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจที่ธันวาสัมผัสได้ถึงความตื้นตันและมีความสุขจริง ๆ ของคนที่รอฟังคำชมจากผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด


“พี่ป้อง” คนเป็นน้องโผเข้ากอดพี่ได้อย่างสนิทใจเป็นครั้งแรก คนถูกกอดเองก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่งก่อนจะยอมกอดตอบเพราะหลายปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้กอดกันแบบนี้


“ไว้พี่ไปขอขมาพ่อกับแม่นายในวันทำบุญครบรอบพวกท่านนะ” ปกป้องบอกหลังจากผละออกจากกันแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอขมาญาติผู้ใหญ่ทั้งสอง เหตุที่ทำร้ายลูกชายของพวกท่าน ธันวาพยักหน้างึกงัก บอกอีกด้วยว่าพ่อแม่ตนต้องยกโทษให้คนพี่อย่างแน่นอน


“ไอ้ต้าฝากมาขอโทษด้วยนะ”


ธันวาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขายังจำสายตาที่จ้องมองเล้าโลมตนในวันนั้นได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากมีเรื่องที่ต้องเกี่ยวพันหรือค้างคากันอีก “ผมยกโทษให้นะ แต่ไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก หวังว่าพี่คงเข้าใจนะครับ”


ปกป้องพยักหน้ารับ “ว่าแต่...นายได้คุยกับพ่อพี่รึยัง” เห็นน้องชะงักไปเล็กน้อยเขาก็พอเดาได้ “อย่าโกรธท่านเลยนะ”


ธันวายิ้มบาง ๆ ช่างเป็นยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเสียจริง “ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่ยังไม่กล้าเจอหน้ากันตรง ๆ ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก”


“อืม” ปกป้องเข้าใจแต่ก็จนด้วยคำพูด เพราะพ่อเขามักใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเสน่หามองทะลุธันวาไปหาใครอีกคนเสมอ “พี่ไม่รบกวนเวลานายแล้วดีกว่า เดี๋ยวก็ต้องอ่านหนังสืออีกนี่ใช่ไหม”


“ครับ”


ปกป้องนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนศีรษะคนเป็นน้อง “ว่าง ๆ กลับไปกินข้าวที่บ้านบ้างนะ พี่จะรอ”


คนเป็นน้องพยักหน้ารับ ก่อนจากกันปกป้องยังกำชับให้เขาหาเวลาพักผ่อนไปเที่ยวเล่นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปบ้างอีกด้วย



ธันวายิ้มระอาส่ายหน้าเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าทั้งคนรักและเพื่อนสนิทนั่งรอตนในโรงอาหารด้วยท่าทีกระวนกระวายราวกับว่าถ้าเขาไม่ปรากฎตัวที่นี่ภายในห้าหรืออย่างมากก็สิบนาทีข้างหน้านี้พวกเขาสองคนจะออกไปตามเขาเป็นแน่


“ทุกอย่างโอเคใช่ไหม” เดือนแรมที่พุ่งเข้าไปถึงตัวโดยเร็วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงขณะช่วยถือกระเป๋า รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มสดใสของคนรักแทนคำตอบก่อนที่เจ้าตัวจะเอาแต่บ่นว่าหิวตอนที่เดินถึงโต๊ะซึ่งมีกรองเกียรตินั่งรออยู่ด้วย


ไม่มีเรื่องราวใดจากปากธันวา มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ แต้มใบหน้าสดใสเท่านั้นที่ทำให้กรองเกียรติคลายกังวลได้


“วันนี้อ่านหนังสือเองอย่ามัวแต่หลับนะ” เดือนแรมกำชับธันวาในตอนที่เตรียมจะปลีกตัวออกไปก่อนเพราะนัดติวกับเพื่อนในรุ่นทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือร่วมกับคนรักอย่างเช่นทุกวัน


“ไม่หลับหรอกหน่า เดี๋ยวโด้ปเอ็มร้อยเลย”


“ถ้าอ่านจบแล้วก็นอนไปเลยนะ ไม่ต้องรอพี่”


ธันวาพยักหน้างึกงัก “พี่เองก็อย่าดึกนักล่ะ”


“อืม...ไอ้เก่ง ดูโน่นดิ” เดือนแรมรับปากก่อนชี้นิ้วไปด้านหลังสองหนุ่ม รอจนกรองเกียรติหันมองตามแล้วจึงโฉบตัวข้ามโต๊ะไปหอมขมับคนรักที่หันไปมองข้างหลังด้วยความไม่รู้เช่นกัน


“อะไรวะพี่ ไม่เห็นมีเลย” กรองเกียรติหันกลับมาโวยจะถามรุ่นพี่หนุ่มแต่อีกฝ่ายกลับวิ่งออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็แต่เพื่อนเขาที่หน้าขึ้นสีระเรื่อไว้เป็นคำตอบให้แซวทันทีที่ประติดประต่อเรื่องราวได้


คล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ได้ไม่นานสองหนุ่มก็แยกย้ายกันไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่จะมาถึงในอีกสองวันด้วยเช่นกัน




เสียงเซ็งแซ่หน้าห้องแลปกรอสส์หลังหมดเวลาสอบกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใจสำหรับอาจารย์ไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะตำหนิให้เงียบกี่ครั้งและกี่รุ่นที่สอนมาก็ไม่เป็นผล ไม่ได้ตระหนักกันเลยว่าเสียงจากลำคอสามร้อยกว่าชีวิตนั้นไม่ต่างจากนกกระจอกแตกรังที่ดังไปทั่วทั้งตึกนี้


นอกจากการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องเนื้อหาในห้องสอบแล้ว นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองบางคนก็ยังคงบ่นเรื่องสติกระเจิงจากเสียงกริ่งแม้ว่าจะผ่านการสอบแลปกริ๊งมาหลายครั้งจนน่าจะชินชาได้แล้วก็ตาม ซึ่งตฤณเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่กรองเกียรติกับธันวาถกกันเรื่องเนื้อหา เพราะอย่างนั้นตฤณจึงเดินรั้งท้ายและกลืนหายไปกับฝูงชนที่บ่นเรื่องเดียวกัน


“กูกราบ แลปกริ๊งครั้งสุดท้ายของปีสักที ทิ้งทวนแบบข้อสิบสองใจร้ายกับกูมาก” กรองเกียรติว่าอย่างหัวเสีย ไม่ถึงกับทำไมได้ แต่ก็ไม่ได้สบายใจนัก


“ถามว่าไรวะ” เพราะจำนวนคนในรุ่นมีมากถึงสามร้อยคนจึงต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายวงในการสอบและเรียงข้อไม่เหมือนกันอีกด้วย เพราะอย่างนั้นธันวาที่อยู่คนละวงสอบกับกรองเกียรติจึงต้องถามหาคำถามแทนเลขข้อสอบเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน “เข็มปักตรงไหนอะ”


ธันวาหมายถึงเข็มหมุดที่ปักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างที่ชำแหละเฉพาะส่วนออกมาแล้วเพื่อจะเทียบเคียงว่ากรองเกียรติหมายถึงข้อไหนของตน แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบก็ชะงักไปเสียก่อน เขาจึงต้องหันมองตามสายตาเพื่อนไปพบกับใครบางคน


“จังหวะดีอีกละ” กรองเกียรติบ่นเสียงหน่าย ตั้งท่าจะก้าวออกไปหาคนที่ตามตื้อเพื่อนตนเก่งที่สุดเหมือนเช่นทุกที แต่ครั้งนี้ธันวากลับรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน


“อย่าบอกนะว่ามึง…”


“อือ กูว่าถึงเวลาแล้ว”


“อะไรกัน” เดือนแรมที่แยกออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่ปีสามเดินเข้ามาหาคนรัก เอ่ยถามก่อนทักทายด้วยการลูบผมและถามถึงเรื่องสอบ


“แล้วเมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่” เดือนแรมวกเข้าเรื่องเดิมหลังจากที่ธันวาให้คำตอบแล้วว่าทำข้อสอบได้


“โน่นครับ” เป็นกรองเกียรติที่พยักพเยิดหน้าไปทางญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนแทนเจ้าตัว


เดือนแรมมองตามก่อนหันกลับมาหาคนรัก เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้คนฟังใจชื้น “พร้อมแล้วเหรอ” เขารับรู้มาตลอดว่ากรองเกียรติช่วยบอกปัดให้ทุกครั้งที่ลุงมาหาธันวา เมื่อเห็นว่าครั้งนี้กรองเกียรติยังไม่รีบไปยืนอยู่ตรงนั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนรักกำลังคิดอะไร


ธันวาพยักหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้รับข้อความชวนไปกินข้าวจากคนเป็นลุงเหมือนเร่งการตัดสินใจของเขาให้เร็วขึ้นด้วย


“ผมไปกินข้าวกับคุณลุงนะครับ” ธันวาบอกเดือนแรมที่หมายรวมไปถึงเพื่อนสนิทด้วย


“มึงจะไปคนเดียวจริงเหรอวะ” ขณะที่เดือนแรมส่งความห่วงใยและความเชื่อมั่นในตัวเขาผ่านสายตาและการบีบไหล่ กรองเกียรติก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวลเกินควร “ให้กูหรือพี่แรมไปเป็นเพื่อนเถอะ”


“นี่กูเพื่อนมึงนะ อย่าทำเหมือนกูเป็นเด็กดิ กูดูแลตัวเองได้หน่า ร้านอาหารมีคนตั้งเยอะแยะ”


“กูเชื่อว่าลุงภาสไม่ทำอะไรมึงหรอก แต่เผื่อมึงอึดอัดไง พวกกูจะได้ช่วยทัน ให้ไปนั่งแยกโต๊ะกันก็ได้นะเว้ย”


ธันวาระบายยิ้ม ถ้าดีนยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเขาคงเหนื่อยใจมากกว่านี้แน่ “แบบนั้นจะยิ่งอึดอัดกันสิวะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไปนะ”


กรองเกียรติตั้งใจจะรั้งไว้อีกครั้งในตอนที่เพื่อนเดินแยกออกไปแล้วแต่เดือนแรมห้ามเอาไว้ก่อน




ยากกว่าที่คิด


ธันวาพบว่าตัวเองทำตัวให้เป็นปกติได้ยากกว่าที่คิด


ช่วงเวลาระหว่างรออาหารมีแต่ความเงียบจนเขาทำตัวไม่ถูก คิดว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ต่างกันถึงได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ คนเป็นหลานจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหยิบเอกสารประกอบการเรียนออกมาพลิกไปมาขีด ๆ เขียน ๆ เหมือนมีงานสำคัญต้องเร่งส่งทั้งที่เพิ่งสอบเสร็จ เหตุเพราะยังไม่กล้าสบตากับคนเป็นลุงด้วยยังหวั่นกลัวว่าจะพบกับแววเสน่หาที่มองมายังตนเพื่อส่งไปถึงบุพการี


เขายังไม่พร้อมเจอกับสายตาแบบนั้นจริง ๆ แค่คิดว่าที่ผ่านมาได้รับสายตาแบบนั้นมาโดยตลอดก็ยิ่งรู้สึกแย่กับการนั่งอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายจ้องมอง


และแม้ว่าจะมีอาหารจานโปรดวางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็ใช่ว่าจะทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้น เพราะมันกลับแย่ลงจากการเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลายของคนเป็นลุง


“กินเข้าไปเยอะ ๆ นะลูก ช่วงนี้ซูบลงไปเยอะเลยนะ” ธันวาไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ดูปกติมากหรืออย่างไรอีกฝ่ายถึงได้กล้ายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสแก้มเขาเพื่อยืนยันความซูบผอมทั้งที่เห็นด้วยตาแล้ว


คนสูงวัยชะงักมือแล้วรีบดึงกลับเมื่อหลานเบี่ยงหน้าหลบก่อนฝ่ามือจะถึงเป้าหมาย สะเทือนใจกับท่าทีที่ดูเหมือนรังเกียจกันเสียเต็มประดาจนเผลอปล่อยให้เสียงสั่นตอนที่เอ่ยถามออกไป “ธันว์ยังโกรธลุงอยู่เหรอลูก”


“เปล่าครับ” แม้จะบอกอย่างนั้นแต่การหลบตาและเลี่ยงสัมผัสกลับสวนทางกับคำบอกกล่าวจนประภาสยิ่งร้อนใจ


“ลุงขอโทษ”


“ผมไม่ได้โกรธคุณลุงแล้วจริง ๆ ทานข้าวเถอะครับ” เขาคงยังไม่พร้อมเจอหน้าคนเป็นลุงจริงอย่างที่เพื่อนกังวล แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยื้อเวลาอีกแล้ว เขาควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ขอโทษและตนได้ให้อภัย ไม่ควรปล่อยให้เจ็บปวดคาราคาซังกันนานกว่านี้


“ธันว์จะโกรธไหมที่ลุงไม่ได้ลงโทษพี่เขา” ประภาสพูดขึ้นมาอีกเมื่อหลานเงียบไปนาน แต่ถึงอย่างนั้นก็สังเกตตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เจริญอาหารนัก ท่าทีฝืดฝืนเหมือนจะเร่งให้หมดจานแต่ก็กินไม่ลงนั่นดูทรมานจนเขาต้องเป็นฝ่ายรีบสะสางเรื่องราวให้จบโดยเร็วเสียเอง


“...”


“ลุงรู้ว่าป้องเขาทำเกินไป มันเลวร้ายเกินกว่าที่ลุงจะมองข้ามได้ แต่ลุงก็ไม่ได้ลงโทษอะไรเขา เพราะลุงรู้ว่าคนที่ผิดจริง ๆ คือลุง ธันว์อาจจะไม่ให้อภัยพี่เขาได้ แต่หวังว่าจะไม่โกรธที่ลุงเว้นโทษให้พี่นะ”


ธันวายิ้มบาง แม้จะระวังตัวไม่ให้เผลอยิ้มแบบเดิม ๆ เพราะกลัวจะเหมือนแม่เกินไปแต่ก็ไม่อาจปั้นออกมาให้เป็นอื่นไปได้อยู่ดี “ผมไม่โกรธหรอกครับ ผมให้อภัยพี่ป้องแล้วด้วย…” เพราะบางที บทลงโทษอาจจะอยู่ในรูปแบบของความทุกข์จากสิ่งที่เคยกระทำคอยกัดกินใจของพวกเขาทั้งสองคนไปตลอดก็ได้  “...ต่อจากนี้ผมก็อยากให้คุณลุงกับพี่ป้องดูแลซึ่งกันและกันดี ๆ นะครับ”


ประภาสพูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อเรียกเพื่อรั้งเอาไว้ทั้งที่รู้ดีว่าประโยคสุดท้ายที่หลานพูดออกมาไม่ต่างจากคำบอกลาอย่าถาวรเลยสักนิด




ธันวาเดินออกมาจากร้านอาหารก่อนคนเป็นลุงด้วยสีหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นว่ามีใครมายืนรอตนอยู่หน้าร้านอาหารข้าง ๆ คนที่เชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะดูแลตัวเองได้และยอมปล่อยให้ออกมากับลุงประภาสตามลำพังแต่ตัวเองกลับมารอรับอยู่ใกล้ ๆ


ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งเขาไปไหนเลยจริง ๆ


“กลัวผมไม่ไหวเหรอครับ”


ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งให้เขาต้องเผชิญเรื่องทุกข์ใจเพียงลำพัง


รอยยิ้มที่มอบกลับมานั่นก็แสนอบอุ่นเสียจนไล่หมอกควันในใจไปเสียหมด โลกทั้งใบสดใสขึ้นได้จริง ๆ เพียงแค่มีเดือนแรมอยู่ด้วย


“มารับกลับ กลัวหลงทาง”


ผู้ชายคนนี้พร้อมจะเคียงข้างเขาทั้งยามทุกข์และสุขโดยไม่เคยต้องร้องขอ


ธันวายิ้มกว้างขึ้น แม้ในสภาวะที่ไม่น่าจะยิ้มออก แต่ธันวาก็พบว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะไม่ยิ้มเพราะเดือนแรม และเกือบจะยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตันเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือออกมาหา ไม่ได้เสียเวลาคิดเลยสักนิดที่ยื่นมือออกไปจับไว้แล้วออกเดินไปพร้อมกัน







TBC.
-------------------------------------------------
หายไปนานม้ากกกกก ไม่รู้จะยังจำกันได้ไหม

ด้วยรักและขอบคุณเสมอ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.8 [1/11/64]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-11-2021 12:50:29
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.8 [1/11/64]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-11-2021 02:17:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

หายไปเป็นปี  ในที่สุดก็ได้เห็นตอนใหม่
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.8 [1/11/64]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 14-01-2022 00:59:46
รอนะครับบ
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๑) P.8 [1/11/64]
เริ่มหัวข้อโดย: partner_soulmate ที่ 24-08-2022 09:28:31
รอนานมากค่ะ..เป็นกำลังใจให้น้า จะรอต่อไป
หัวข้อ: Re: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 25-08-2022 13:51:23
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)




ธันวาไม่ได้กลับไปที่บ้านของประภาสอีกเลยแม้ว่าจะรับปากกับปกป้องไว้ว่าจะกลับไปร่วมมื้ออาหารด้วยกันบ้างในวันที่ตนสบายใจขึ้นแล้ว ถึงอย่างนั้นสองพ่อลูกเองก็ไม่ได้แวะไปหาธันวาที่คณะอีกเลยเช่นกัน มีเพียงแค่การทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบผ่านข้อความเท่านั้น ซึ่งนั่นช่วยให้ธันวาลดความอึดอัดไปได้เยอะเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งในวันทำบุญครบรอบวันเสียชีวิตของแม่ที่รวมการทำบุญให้พ่อด้วยเช่นกัน



ภีมยังคงมาทำบุญให้แม่เขาทุกปี ธันวารู้เพราะเห็นดอกไม้วางอยู่ก่อนหน้าตนมาถึงแล้วอยู่ทุกครั้ง เพียงแต่ไม่มีครั้งไหนที่อีกฝ่ายจะโผล่หน้าออกมาเจอกัน และเพราะเป็นตอนที่ตนยืนอยู่กับเดือนแรมแบบนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งตกใจจนทำหน้าไม่ถูก



“พี่ไปรอตรงโน้นนะ” ถ้าได้ยินแค่เสียงธันวาคงใจแป้ว แต่เพราะสีหน้าแววตาและรอยยิ้มที่แสดงถึงความเข้าใจและให้กำลังใจกันที่มอบให้มาทำให้เขาใจชื้นขึ้น



“แฟนเหรอ” ภีมถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่สดใสนักเมื่ออยู่กับธันวาตามลำพัง แต่ก็ไม่ได้ฝืดฝืนจนคนมองไม่สบายใจ แม้จะได้เจอกันต่อหน้าหนึ่งครั้งและมองจากระยะไกลอีกหนึ่งครั้ง แต่นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น ‘แฟนใหม่’ ของธันวาชัด ๆ



คนนี้เองน่ะหรือ



ภีมยิ้มให้ตัวเองในตอนที่น้องยืนยันความเข้าใจของเขาพอดี เขาจำใบหน้าของผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ได้ดี ช่วงที่ตัวติดกับธันวาก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาอยู่บ่อยครั้ง ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้หัวใจของธันวาไปจะเป็นเขาคนนั้น



แต่ก็… “ยินดีด้วยนะที่ได้รู้จักความรักจริง ๆ แล้ว”



“พี่ภีม...”



“เรียนเป็นไงบ้าง เริ่มชอบคณะนี้บ้างรึยัง” คนเป็นพี่เปลี่ยนเรื่องที่ทำเอาคนฟังชะงักเล็กน้อย เขาลืมไปแล้วว่าภีมเคยรู้เรื่องของเขาดีมากแค่ไหน



“สนุกดีนะครับ ถึงจะเรียนหนักไปหน่อย” ธันวาเล่า รอยยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้าเหมือนน้องชายคนหนึ่งกำลังเล่าเรื่องประจำวันให้พี่ชายฟัง “พี่ภีมละครับ เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะ”



ภีมยิ้มเขิน ไม่ออกความเห็นเรื่องของตัวเอง “ถ้าธันว์มีความสุขดีพี่ก็ดีใจด้วยนะ”



ภีมเลือกที่จะมองใบหน้าของผู้หญิงในรูปเล็ก ๆ บนเจดีย์บรรจุอัฐิตรงหน้าแทนใบหน้าของธันวา ฝืนกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในตอนที่ภาพวันเก่า ๆ ระหว่างตนกับคนข้าง ๆ ไหลบ่าเข้ามาในห้วงความคิด เพราะการจากไปของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาได้พบกับเด็กผู้ชายเจ้าของดวงตาเศร้าโศกที่นั่งเหม่อลอยบนพื้นพิงขอบเตียงอยู่ในห้องนอนตัวเอง คนที่เขาเคยมอบกำลังใจให้ผ่านการมองจากฝั่งระเบียงห้องตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกันจนลงท้ายด้วยการใช้เวลาอยู่ด้วยกันในห้องเขาเป็นวัน ๆ จากเด็กที่ไร้ที่พึ่ง ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์จากการลาจากกลายเป็นเด็กที่สดใสขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เลือกที่จะมอบความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งให้น้องอีกครั้ง



เขาโง่เอง



โง่เองที่ทิ้งไปแล้วกลับมาในวันที่สายเกินไป



“เรายังเป็นพี่น้องกันได้ใช่ไหม”



ธันวายังคงยิ้มให้เขาเหมือนในวันวาน รอยยิ้มแบบที่น้องชายมอบให้พี่ชายมาโดยตลอด มันไม่มีทางลึกซึ้งกว่านั้นไปได้ “ได้สิครับ...พี่เป็นเหมือนคนในครอบครัวของผมเสมอนะ”



ภีมแค่นยิ้ม ขมขื่นในความรู้สึกจนไม่อาจสบตาได้



“ขอบคุณนะ”



“พี่ภีม...”



“ถ้าเขาทำให้เสียใจ วิ่งมาฟ้องพี่เลยนะ พี่ชายคนนี้จะจัดการให้” ธันวายิ้มให้ท่าทางมุ่งมั่นนั่น “หรือถ้ามีปัญหาเรื่องอื่น ก็ให้นึกไว้ว่ายังมีพี่ที่รับฟังและพร้อมช่วยเหลืออยู่เสมอ”



ธันวาพยักหน้าเหมือนเด็กน้อย และกลายเป็นฝ่ายที่น้ำตาไหลออกมาก่อนอีกด้วย “ขอบคุณครับ”



ภีมจ้องมองน้องอย่างชั่งใจ อยากเอ่ยขอบางอย่างเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยให้อีกฝ่ายลำบากใจ แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่สนิทกันหลายปีจะไม่เสียเปล่าเพราะธันวาเอ่ยมันออกมาก่อนราวกับล่วงรู้ความต้องการของเขา “ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ”



ก่อนที่จะไม่มีโอกาส…



ภีมอ้าแขนออกรับน้องเข้ามาในอ้อมกอดที่เคยรอคอยอีกฝ่ายมาตลอด รอวันที่ธันวาจะรู้สึกกับเขาเหมือนสถานะคนรักที่มอบให้กัน แต่ก็ไม่มีวี่แวว และภีมก็ไม่อยากรั้งอีกฝ่ายให้ยึดติดกับตนโดยพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักกับความรักที่แท้จริง ในวันนั้นเขาจึงต้องเป็นฝ่ายบอกลาด้วยข้ออ้างว่าตนคิดกับอีกฝ่ายแค่น้องชายทั้งที่รักลึกซึ้งจนหมดใจ



เขาเคยคิดว่าธันวาจะยังแคลงใจกับคำพูดของเขาในวันนั้นและไม่ยอมรับมัน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากรองเกียรติพูดถูก ธันวาไม่อยากรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาใช้เป็นเหตุผลในการบอกลาครั้งนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่



คงถึงเวลาที่เขาต้องปล่อยธันวาไปจริง ๆ แล้วเสียที





 

ธันวารอให้ภีมเดินจากไปจนลับสายตาก่อนค่อยกลับไปหาเดือนแรม เห็นคนรักแค่ยิ้มให้ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเขาจึงเปิดประเด็นขึ้นก่อน “ไม่ถามเรื่องพี่ภีมเหรอครับ”



“อยากให้ถาม?”



“ก็...เป็นปกติของแฟนใหม่ไม่ใช่เหรอครับ”



เดือนแรมส่ายหน้า ไร้ข้อกังขาจริงอย่างที่แสดงออก “ไม่ถามหรอก” สำหรับเขา การที่ได้เห็นว่าแววตาของน้องยังมั่นคงในตัวเขาเหมือนเดิม ไร้แววสับสนสั่นคลอนเหมือนครั้งก่อนที่เจอภีมก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเดินหน้าไปด้วยกันโดยไม่จำเป็นต้องสนใจอยากรู้เรื่องในอดีตอีกแล้ว



“ไม่ถามตอนนี้ จะไม่ให้ถามอีกแล้วนะครับ” เขาอยากให้เรื่องเก่า ๆ มันจบในวันนี้ให้หมดเพื่อเริ่มต้นใหม่ด้วยชีวิตที่สดใสกว่าเดิมเสียที



“ชัดเจนขนาดนี้ยังต้องถามอะไรอีกล่ะครับ”



รอยยิ้มของเดือนแรมอบอุ่นเสมอ



“ต่อจากนี้จะมีแค่เรา ผมสัญญาครับ” ธันวาแบมือไปข้างหน้ารอให้อีกคนวางมือลงมาเพื่อจับประสานกัน เดือนแรมเองก็ไม่ปล่อยให้น้องรอนาน เขารีบจับมือนั่นไว้และกระชับแน่นแทนคำสัญญาที่มีให้กัน



“เดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ เลยนะ”


 







-----------------------------------------
TBC.


ไม่คิดว่าจะยังมีคนรอ เกรงใจคนที่ยังรออยู่มาก ๆ เลยค่ะ

ตามแพลน ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้าย แต่นี่ก็ถือว่าจบแล้ว

ถือว่าธัญญ์ไม่ได้ทิ้งตัวละครและคนอ่านให้ค้างคาอะไรกับเรื่องราวของพวกเขาสองคนอีก

ที่ผ่านมาหายหน้าไปเป็นปี ๆ เพราะมีปัญหารุมเร้าจนผลิตผลงานออกมาไม่ได้

แต่จะพยายามลงให้จบเรื่องนะคะ (แต่งตอนจบคาไว้เป็นปีแล้วค่ะ แต่ยังไม่จบ)

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้และในระหว่างทางด้วย

ทุกคนเป็นกำลังใจให้ธัญญ์มากเลยค่ะ

เร็ว ๆ นี้ธัญญ์จะกลับมาลงผลงานใหม่ ๆ ในหลายแพลตฟอร์ม ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์