แรมเดือนสิบสอง
แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒
เดือนแรมกำลังทำให้เพื่อนหมั่นไส้
วันนี้สอบเป็นวันแรก แล้วตัวเต็งอย่างเดือนแรมกำลังเดินเข้ามาหน้าห้องสอบด้วยสีหน้าสดใสเกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วมรุ่นอย่างกับคนที่พร้อมสอบมากถึงมากที่สุด เรียกได้ว่าข่มขวัญเพื่อนตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าห้องสอบเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่โวยวายกับอาการ ‘ยิ้มหน้าแป้น’ ของคนหน้าดุ ยิ่งในตอนที่เดินออกจากห้องสอบ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกอยากกระชากยิ้มนั่นออกไปจากหน้าเดือนแรมเสียจริง
“รู้แล้วว่าทำข้อสอบได้ จะยิ้มอะไรนักหนา กูหมั่นไส้เว้ย” โอ๊คโวยวายทีเล่นทีจริง สำหรับเขาเช้าวันนี้ไม่ได้แย่นัก ถึงไม่มั่นใจว่าทำได้มากเท่าเดือนแรมแต่ก็คิดว่าไม่ตกจากกลุ่มยอดพีระมิดแน่
“เออ น่าหมั่นไส้” บอยเสริม
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องสอบหน่า” เดือนแรมบอกปัด น้ำเสียงคล้ายจะรำคาญแต่รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้า ไนท์ที่มองอยู่เงียบ ๆ จึงลองโยนหินถามทาง “เกี่ยวกับธันวาเหรอ”
“เชี่ย!” บอยกับโอ๊คประสานเสียงกันดังเมื่อเห็นรอยยิ้มของเพื่อนกว้างขึ้นแทนคำตอบจนไนท์ต้องมองดุเพราะตอนนี้พวกเขายังไม่ออกจากพื้นที่หน้าห้องสอบ
“เกิดอะไรขึ้นวะ เล่าซิ” โอ๊ครีบแทรกตัวเข้ามากอดคอเพื่อนรักแล้วกระซิบถาม บอยจะเข้ามาฟังด้วยแต่โดนไนท์ดันหน้าผากไว้ให้ออกห่าง
“พอเลยพวกมึง เพื่อนมองกันใหญ่ละ เก็บความเสือกไว้ก่อน” ไนท์ทำหน้าที่รุนหลังเพื่อนทั้งสามให้เคลื่อนออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
ช่วงเวลาพักกลางวันที่ปกติจะมีเสียงจอแจมากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นพักกลางวันหลังสอบด้วยแล้วยิ่งเสียงดังจนชวนปวดหัว สี่หนุ่มเร่งฝีเท้าออกมาไม่ทันไกลจากเพื่อนร่วมรุ่นนักก็เจอกับหนุ่มรุ่นน้องที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาเดินมาจากอีกห้องหนึ่งเสียก่อน มิหนำซ้ำฝ่ายนั้นยังยืนยิ้มแฉ่งส่งมาทางนี้อีกด้วย
“เฮ้ย ๆ” โอ๊คสะกิดคนข้าง ๆ “ทำไมวันนี้น้องยิ้มให้มึงวะ ฮั่นแหน่ แผนสำเร็จแล้วเหรอวะ”
“มีคนหน้าแดงด้วยว่ะ” บอยเสริม ขณะที่ไนท์เพียงแค่เหลือบมองยิ้ม ๆ เท่านั้น
“พูดมาก” เดือนแรมตวัดตามองดุ ทว่าเพราะกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ น้ำเสียงจึงไม่ดุตามสักเท่าไหร่
ทั้งสองกลุ่มเดินมาบรรจบกันก่อนลงบันได ธันวาตั้งใจเดินรั้งท้ายคู่กับเดือนแรม สังเกตเห็นสีหน้าสดใสของอีกฝ่ายก็เดาได้ในทันทีว่าผลพวงจากความขยันของเจ้าตัวคงไม่ทรยศให้เจ็บช้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยถามเพราะอยากชวนคุย
“พี่ทำข้อสอบได้ล่ะสิ/มึงทำได้รึเปล่า” ทั้งสองถามขึ้นมาพร้อมกัน ธันวาเห็นเดือนแรมเกาท้ายทอยแก้เขินด้วย รู้สึกว่าน่ารักกว่าทำหน้าดุเป็นไหน ๆ
“คิดว่าไม่น่าเกลียดอะไรนะครับ” ธันวายิ้มแหย “เพราะได้พี่ช่วยชีวิตไว้”
“จะดีกว่านี้ถ้ามึงไม่หลับในห้องเรียน” เดือนแรมจิ้มนิ้วชี้ลงบนหน้าผากน้องราวกับต้องการฝังคำพูดตัวเองลงไปให้น้องจำได้
“ครับ ครับ”
ลงมาถึงพื้นล่างได้ก็พบว่ากลุ่มเพื่อน ๆ ตนเดินนำหน้าไปหลายก้าวแล้ว เห็นอย่างนั้นแทนที่เดือนแรมจะรีบสาวเท้าตามไปกลับเดินทอดน่องให้ช้าลงเพื่อรั้งคนที่เดินคู่กันให้เดินช้าลงไปด้วยเพื่อจะได้อยู่กันตามลำพังได้นานขึ้น
ไม่ได้เห็นหน้าหลายวัน คิดถึงจะแย่
“เออพี่! ผมรู้แล้วนะ”
“รู้อะไร”
“พี่แรมเป็นรุ่นพี่โรงเรียนผมใช่ป่ะ”
เดือนแรมชะงักเท้า หันมามองหน้าน้อง ตรงนี้ยังโล่งเพราะคนส่วนใหญ่ยังออกันอยู่หน้าห้องสอบเพื่อคุยเรื่องคำตอบกันอยู่ “มึงรู้แล้ว?”
ธันวายิ้มกริ่ม “ผมฉลาดขึ้นนึดนึงแล้วใช่ไหมล่ะ”
“แค่จำได้ไม่ได้แปลว่าฉลาดขึ้น”
ธันวาหน้าเหวอ
“มึงก็ยังโง่เหมือนเดิม” ว่าแล้วก็ก้าวเดินต่อ ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันกลับมาอีกครั้ง
บางอย่างที่ทำให้เขาอารมณ์ดีทั้งวันจนเพื่อนหมั่นไส้
“ทำไมเมื่อเช้าส่งหัวใจกลับมา”
ธันวายิ้มกว้าง “ก็อยากให้อ่ะ”
เดือนแรมดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มแม้ว่าอยากจะยิ้มออกมาให้กว้างอย่างน้องแต่ก็ไม่กล้า “จะกวนตีนกู?”
“เปล่าซักหน่อย เห็นว่าพี่ให้ใจมา เลยอยากจะให้กลับบ้างเท่านั้นเอง”
เดือนแรมสะดุดลมหายใจตัวเอง บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร “อะ อะไรนะ พ...พูดจริง ๆ เหรอ”
“ก็จริงสิครับ พี่ทุ่มเทให้พวกผมด้วยหัวใจของพี่ ผมเลยอยากให้ใจพี่คืนบ้าง” แล้ววันนี้ก็สอบวันแรก เลยอยากเป็นตัวแทนรุ่นน้องที่ได้รับเมตตาจากเดือนแรมส่งกำลังใจให้อีกฝ่ายบ้าง
จบคำอธิบายของน้อง คนหน้าดุก็ริบรอยยิ้มคืนจากใบหน้าเหลือทิ้งไว้แต่เค้าดุดังเดิมที่ออกจะมากขึ้นด้วยซ้ำในความคิดของธันวา “อยากตายไหมธันวา”
“เอ้า ผมผิดอะไรอ่ะ”
เดือนแรมถอนหายใจ “มึงส่งหัวใจให้ทุกคนที่มึงอยากให้ใจเขาเลยรึเปล่า”
หนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้า “ส่งให้พี่คนเดียว”
เดือนแรมถอนหายใจอีกรอบ “จำไว้นะ อย่าทำแบบนี้กับใครอีก คนเขาจะคิดเอาได้ว่ามึงชอบ” เมื่อเช้าก็เผลอดีใจแทบแย่ ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าจะมีสมาธิเพียงพอจะเข้าห้องสอบ
“แต่พี่ก็ส่งให้ผมนี่” ผมยังไม่คิดเลยว่าพี่ชอบ...ธันวาทดประโยคหลังในใจ
“ก็บอกไปแล้วไงว่าชอบ”อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป นานทีเดียวกว่าจะเปล่งเสียงออกมา “ชะ ชอบผมเหรอ”
เดือนแรมเงียบเพราะคิดว่าน้องจะถามอะไรโง่ ๆ ออกมาอย่างทุกที ไม่คิดว่าจะถามตรงจุดแบบนี้ ทั้งที่รอให้น้องรู้ตัวมาตลอดแต่พออีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแบบนั้นกลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้น้องยังไม่ชอบเขา ถ้าบอกออกไปก็กลัวว่าน้องจะถอยห่าง ความพยายามเข้าใกล้ที่ผ่านมาคงสูญเปล่า
แต่ถ้าไม่พูดตอนนี้...จะสายเกินไปไหม
“อืม”
มึงพูดถูก พี่แรมชอบกู
ธันวาอยากจะพูดออกไปอย่างนั้นในตอนที่กรองเกียรติถามว่าเป็นอะไรเพราะเห็นเขาเอาแต่นั่งเหม่อ จิ้มส้อมบนเนื้อไก่ทอดแล้วถอนหายใจก่อนจะจิ้มอีกครั้งและอีกครั้งจนใกล้กลายเป็นไก่ป่นเต็มที
ถึงเดือนแรมจะไม่ได้พูดออกมาชัด ๆ แต่เขาก็ไม่โง่เกินกว่าจะไม่เข้าใจคำว่า ‘อืม’ ที่แทบจะเป็นแค่เสียงครางในลำคอเท่านั้น
“ไม่อร่อยรึยังไง ปกติเห็นกินออกบ่อย”
ธันวาเงยหน้ามองกรองเกียรติ ตั้งใจจะส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่พอส่ายไปด้านซ้ายได้ไม่กี่องศาก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมดุของคนที่จ้องมาก่อนอยู่แล้ว หนุ่มรุ่นน้องรีบหลบตาอย่างลุกลี้ลุกลน รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเสียอย่างนั้น
“ไอ้ธันว์” กรองเกียรติเรียกซ้ำด้วยความเป็นห่วง
“กินแล้ว ๆ” ว่าแล้วก็จ้วงข้าวเข้าปากไปคำหนึ่งแล้วไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาใครอีกเลย อยากจะด่าว่าเพื่อนรักเสียจริงที่เลือกนั่งโต๊ะเดียวกับรุ่นพี่กลุ่มนี้ทั้งที่มีที่ว่างตั้งเยอะ เขาที่เดินตามมาทีหลังจึงจำต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเดือนแรมให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างเสียไม่ได้
และธันวาก็อยากด่าพี่โอ๊คเหมือนกัน…
“เห้ยน้องธันว์ ทำอะไรเพื่อนพี่วะ ทำไมมันยิ้มทั้งครึ่งวันเช้าเลย”
ช่วยไม่ได้ที่ธันวาต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และเพราะว่าไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรกว่าโอ๊คนั่งตรงไหน จึงจำต้องไล่กวาดสายตาแล้วสบกับทุกคน ทุกคนจริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ไนท์ที่ไม่ค่อยสนใจวงสนทนา
“ไม่เกี่ยวกับผมหรอกครับ” ธันวาตอบอ้อมแอ้ม ดูอย่างไรก็มีพิรุธจนน่าแกล้งอีกหน่อย
“จริงเหรอ ไม่เกี่ยวจริงดิ?”
“มึงจะเซ้าซี้น้องไปทำไม น้องบอกว่าไม่เกี่ยวก็คือจบ” เดือนแรมว่าเสียงนิ่ง หน้ากลับมาดุผิดกับเมื่อเช้าลิบลับจนเพื่อนทำตัวไม่ถูก
เมื่อประเด็นตกไปธันวาตั้งใจหันกลับมาสนใจอาหารต่อ แต่ดันสะดุดตากับใบหน้าจับผิดของเพื่อนสนิท คนถูกมองยิ้มแหยก่อนรีบจัดการอาหารตรงหน้าเพื่อหลีกหนี
โชคดีที่ภาคบ่ายวันนี้ไม่มีสอบต่อ เขากับกรองเกียรติจึงพากันไปอ่านหนังสือในหอสมุด แต่คงมีแค่กรองเกียรติเพียงคนเดียวที่ได้อ่าน เพราะธันวามัวแต่คิดถึงเรื่องที่คุยกับเดือนแรมเมื่อตอนกลางวันจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือ
หลังจากได้รับคำตอบว่า ‘อืม’ เขาก็แทบไม่รับรู้อะไรต่อจากนั้นอีกแล้ว แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่ามันจะเป็นความจริง เพราะถ้าเดือนแรมไม่พูดออกมาตรง ๆ เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่าย ‘ชอบ’
‘พ...พี่ชอบผมจริง ๆ เหรอ’เขาถามออกไปอย่างนั้น เดือนแรมไม่ตอบ รุ่นพี่หน้าดุเพียงแค่ใช้ความจริงใจในหน่วยตาทำหน้าที่นั้นแทน
ในตอนนั้นธันวารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างจะระเบิดเสียให้ได้ และไม่รู้ว่าเผลอทำหน้าแบบไหนออกไปด้วย
กรองเกียรติละสายตาจากหนังสือขึ้นมามองเพื่อนที่นั่งเหม่อเอาแต่ถอนหายใจแล้วก็ฟุบหน้ากับโต๊ะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเหม่อใหม่อีกรอบวนอยู่อย่างนั้นหลายนาทีแล้วจนเขาไม่เป็นอันอ่านหนังสือไปด้วย
“เป็นอะไร”
“ไม่มีอะไร” ธันวาตอบเสียงเอื่อย
กรองเกียรติจ้องหน้าคนที่กล้าบอกว่าไม่มีอะไรทั้งที่ทำตัวผิดปกติตั้งแต่ที่โรงอาหารแล้ว เขาใช้สายตากดดันจนอีกฝ่ายเริ่มนั่งไม่ติด นัยน์ตาหลุกหลิกเหมือนคนทำความผิดแต่ก็ยังไม่ยอมสารภาพออกมา
“เกี่ยวกับพี่แรมใช่ไหม”
ท่าทางเลิ่กลั่กยิ่งกว่าเดิมของเพื่อนคือคำตอบชัดเจนเพียงพอ ขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อมีหวังไม่ได้อ่านหนังสือกันทั้งคู่
“พี่เขาทำไม”
“ทำเสียงดุอย่างกับเป็นพ่อ”
“ตอบ ก่อนที่จะสอบตกกันหมดนี่”
ธันวานิ่งไป ทั้งรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือไปด้วยและไม่กล้าเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
“หรือจะให้กูลากมึงไปถามพี่แรมด้วย”
“ก...กู คือ…”
กรองเกียรตินิ่งรออย่างใจเย็น มองเพื่อนที่หันซ้ายหันขวาเหมือนดูลาดเลาว่าตรงนี้ปลอดภัยพอจะพูดเรื่องสำคัญ
“พี่แรม...บอกว่าชอบกู”
กรองเกียรติไม่ได้ยิ้ม ทั้งที่เป็นอย่างที่เขาคาดเดาและเตือนเพื่อนไว้ตั้งแต่ทีแรกแต่นี่ไม่ใช่เวลามาข่มกันว่า ‘กูบอกมึงแล้ว’ เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วนคือความรู้สึกเพื่อนเขาตอนนี้
“มึงรังเกียจเขาไหม”
“ไม่นะ” ธันวาตอบโดยไม่ต้องคิด
“เหมือนพี่ภีม?”
คราวนี้ธันวาหยุดคิด น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ชอบเดือนแรมนักจากการที่ถูกกวนประสาทอยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมพอรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายแบบนี้แทนที่ความรู้สึกด้านลบจะยิ่งมีมากขึ้นกลับกลายเป็นว่าได้รู้ว่าแท้จริงแล้วที่ผ่านมาเขาไม่ได้รู้สึกแย่กับเดือนแรมขนาดนั้น
“...ไม่เหมือน”
“แล้วยังไง อะไรที่ทำให้มึงคิดมากจนไม่เริ่มอ่านหนังสือสักทีวะ”
“ไม่รู้อะ…” ธันวากุมขมับตัวเอง “...กูรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกเวลาเจอพี่เขาอ่ะ”
“อึดอัด?”
“ไม่ ๆ”
“กลัว?”
“ไม่อ่ะ”
“เขิน?”
“...”
“ว่าไง เขินเหรอ?”
“ไม่น่าใช่นะ”
กรองเกียรติจะถือว่าไม่ได้ยิน เพื่อนเขาบอกว่าไม่ได้เขินทั้งที่หน้าแดงและเผลอหลบสายตาทุกครั้งที่สบตากับเดือนแรม มิหนำซ้ำยังไม่รังเกียจอีกฝ่ายอีกด้วย ว่ากันตามตรงแล้วเขาอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับธันวามาตั้งนาน เห็นผู้ชายมาจีบเพื่อนคนนี้ก็เยอะ มีไม่กี่คนหรอกที่มันจะไม่กลัวเขา นอกจากพี่ภีมก็เห็นจะอีกมีแค่คนเดียวคือเดือนแรม
...หรือคราวนี้ธันวาจะเป็นเกย์จริง ๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะชี้ทางเพื่อนตอนนี้ให้คิดมากไปใหญ่
“งั้นก็อ่านหนังสือ ไม่มีอะไรต้องคิดมากแล้ว ในเมื่อไม่รังเกียจ ไม่กลัว ไม่อึดอัด ก็ทำตัวเหมือนเดิมแบบรุ่นพี่รุ่นน้อง”
“อืม” ธันวาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนถอนหายใจทิ้งหนึ่งทีแล้วเริ่มอ่านหนังสืออย่างจริงจัง
ตารางสอบที่ติดกันทุกวันไม่มีวันพักทำให้นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองและสามต้องอ่านหนังสือให้เข้าใจและจำได้ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้เพื่อที่ช่วงสอบจะได้อ่านแค่เนื้อหาย่อหรือท่องจำเพิ่มเติมในส่วนที่ยังจำไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเอาตัวรอดได้ด้วยวิธีนี้
...และถ้าไม่ได้เดือนแรมคอยช่วย ธันวาเองก็คงไม่รอดเช่นกัน
หลังอาหารมื้อเย็น ธันวาแวะไปยังกล่องมิลเลอร์เพราะรู้สึกผิดกับการตัดรอนความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วยการหลบตา แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าในกล่องของตัวเองมีกระดาษโน้ตจากอีกฝ่ายอยู่ในนั้นก่อนแล้ว
‘ไม่ต้องชอบกูก็ได้ แต่อย่าหายไปไหนอีกเลย’ธันวากลืนน้ำลายหนืดลงคอ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร รู้แค่ว่าตอนนี้ตนคงทำให้อีกฝ่ายคิดมาก และถ้าหากเดือนแรมสอบตกหรือไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งใจไว้ เขาคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ
เด็กหนุ่มหยิบปากกาออกมาบรรจงเขียนข้อความตอบกลับไปตามความตั้งใจเดิมของตัวเอง พับสองทบแล้วหย่อนลงในกล่องของเดือนแรม
‘ตั้งใจทำข้อสอบนะครับ’กว่าช่วงเวลาอิสระจะมาถึงก็ล่อเอาเกือบเป็นศพ การสอบในชั้นปีที่สองหนักหน่วงกว่าปีหนึ่งอยู่มาก ปีหนึ่งที่ยังมีความคล้ายมัธยมปลายเพราะเรียนเนื้อหาวิทย์ คณิตทั่วไป แต่ชั้นปีที่สองที่มีแต่รายวิชาเกี่ยวกับวิชาชีพล้วน ๆ นั้นหนักหน่วงจนต้องขอฉลองด้วยการเข้าร้านเหล้าซักครั้งในชีวิต!
แต่ต้องไม่ใช่คืนนี้!!
กรองเกียรติเตือนสติเพื่อนรักไว้อย่างนั้น เนื่องจากพวกเขาสอบเสร็จกันกลางสัปดาห์ที่วันต่อมาก็ต้องเรียนต่อทันทีไม่มีว่างเว้น เพราะอย่างนั้นจึงปล่อยตัวปล่อยใจให้เมาราวกับเป็นช่วงวันหยุดคงไม่ได้
วันนี้จึงต่างจากทุกวันก็แค่อาบน้ำแล้วเข้านอนก่อนตีสองอย่างหลายวันก่อนหน้านี้เท่านั้น
เสียงเกากีตาร์ดังให้ได้ยินทันทีที่ธันวาเปิดประตูเข้ามาหลังจากไปอาบน้ำ คนเป็นรุ่นน้องวางตะกร้าอาบน้ำในส่วนของตัวเองก่อนเดินไปบริเวณเตียงนอนพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดผมไปด้วย
พื้นที่แคบ ๆ ระหว่างเตียงสองชั้นที่หันด้านข้างเข้าหากันปรากฏร่างสูงโปร่งพันผ้าขนหนูท่อนล่างอวดผิวขาวใสช่วงอก มือชูขึ้นง่วนกับการเช็ดผม ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอออกคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลายเป็นอ้ำอึ้งพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าบนเตียงโอ๊คที่ตนยืนหันหน้าเข้าหาไม่ได้มีแค่เจ้าของเตียงแต่มีเพื่อนของเจ้าตัวอยู่กันครบแก๊งและกำลังมองมายังตนตาค้างไม่ต่างกัน!!
เสียงเกากีตาร์เงียบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จากเดิมที่กลัวจะโดนเดือนแรมว่าเรื่องที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้ามาตั้งแต่ห้องอาบน้ำ กลายเป็นว่าตอนนี้กลัวสายตาของเดือนแรมที่จับจ้องร่างกายตนมากกว่าเพราะคำว่าชอบที่วิ่งวนอยู่ในหัว เท่าทันความคิดผ้าบนศีรษะถูกลดลงมาปิดร่างช่วงบนของตัวเองในทันที
“ขาวจังวะ” บอยพูดออกมาอย่างเหม่อลอยทั้งที่ตัวเองขาวกว่ารุ่นน้องตรงหน้าเสียอีก ธันวาไม่ทันตั้งตัวกับคำชมนั้นเพราะมีหมอนอิงลอยมาโดนตัวเสียก่อนจนต้องรีบคว้าไว้ด้วยความตกใจ
“จะยืนรอให้กูไปใส่เสื้อให้รึไง!!”
“อะไรเล่า!” ธันวาว่า ทั้งเคืองทั้งเขินพร้อมกับโยนหมอนกลับไปหาเจ้าของเสียงดุแล้ววิ่งหนีไปหน้าตู้เสื้อผ้าของตัวเอง
ใบหน้าเห่อร้อนจนไม่กล้าส่องกระจกให้ประจานตัวเองเลยว่าจะหน้าแดงขนาดไหน และเพราะไม่ได้ส่องจึงไม่ทันรู้ว่าเนื้อตัวก็แดงราวกับกุ้งสุกไปแล้ว ไหนจะหัวใจที่เต้นแรงจนเกือบจะทะลุหน้าอกออกมาอีกเล่า ธันวาอยากจะร้องโอยออกมาดัง ๆ เพื่อคุมทุกความผิดปกติของร่างกายให้เป็นปกติเสียจริง
“อะแฮ่ม” เสียงใครสักคนจากเตียงนั้นดังขึ้น ธันวามารู้ในประโยคต่อมานี้เองว่าเป็นโอ๊ค “วันนี้พวกพี่ขออนุญาตเล่นดนตรีในห้องนะน้องธันว์ โอเคเปล่าวะ”
จะไม่โอเคเพราะสายตาของเดือนแรมเมื่อครู่เนี่ยแหละ มองเหมือนดุแต่กลับทำให้รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าและตัวชวนให้รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายจับเปลื้องผ้าทั้งที่ก็เปลือยท่อนบนอยู่แล้ว
“ไม่มีปัญหาครับ” สิ้นคำอนุญาตเสียงเสียงเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าธันวาจะใส่เสื้อผ้าเสร็จ เสียเวลาต่ออีกนิดเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อย เสื้อบาสฯแขนกุดที่มีช่องแขนกว้างกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าที่ใส่อยู่ทุกคืนคงไม่โชว์เนื้อหนังมากเกินไปใช่ไหม หันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจรื้อหาเสื้อแขนยาวกับกางเกงวอร์มมาเปลี่ยนในตอนที่เพลงแรกจบลงพอดี ธันวาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนเดินเข้าไปปีนขึ้นเตียงตัวเองโดยไม่มองสบตาใครอีกแต่จังหวะที่กำลังปีนเตียงยังทันเห็นว่านันกับอาร์ตนั่งรวมกันอยู่ใต้เตียงตัวเอง
“คืนนี้หนาวเหรอวะธันว์ ใส่ซะมิดชิดเลย” โอ๊คถามติดตลก อยากจะขำออกมาดัง ๆ อยู่เหมือนกันแต่ก็กลัวว่าน้องมันจะเขิน สำคัญคือไอ้คนที่เอาร่างควาย ๆ มาเบียดเขาบนเตียงนี่จะถีบเอาได้
“นิดหน่อยครับ” ธันวายิ้มแห้ง ทิ้งตัวลงนอนแล้วห่มผ้าถึงแค่ช่วงเอวเพราะรู้สึกร้อนมากกว่าหนาวอย่างที่บอกไป
“จะนอนแล้วเหรอวะ พวกพี่ย้ายห้องกันก็ได้นะ” โอ๊คว่าอย่างเกรงใจ ไร้ท่าทีล้อเล่นอย่างเคย
“ยังครับ แค่นอนเล่นเฉย ๆ ยังไม่ได้จะหลับเลย พี่ ๆ เล่นกันในนี้แหละ ผมอยากฟังด้วย” ธันวาเสริมคำพูดตัวเองด้วยการตะแคงตัวหันไปหาเตียงฝั่งตรงข้ามซึ่งพบว่ามุมสายตาโฟกัสกับคนที่นั่งเตียงล่างแบบพอดิบพอดี
ออกจะเขินอยู่เล็กน้อยที่ถูกเดือนแรมจ้องมองมา ไม่ทันสังเกตรายละเอียดว่าเป็นสายตาแบบไหนเพราะมัวแต่ทำใจดีสู้เสือ ปั้นหน้าเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงและพยายามไม่มองไปยังเขาคนนั้น
เพลงแล้วเพลงเล่าที่ทั้งห้องร่วมกันร้องโดยมีบอย ชายหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเป็นคนเล่นกีตาร์ ธันวาเองนอกจากนอนมองแล้วก็ร่วมร้องคลอตามไปด้วยในพื้นที่ของตน มีบ้างที่เผลอไปสบตาเข้ากับนัยน์ตาคมดุที่หลบเลี่ยงมาโดยตลอด
“ปฏิเสธหัวใจอย่างไร ฉันทำไม่เป็น เมื่อได้เห็นเธอเข้ามาทักทาย...” ต้นเสียงอย่างไนท์ขึ้นต้นเพลงใหม่ก่อนที่คนที่เหลือจะร้องขึ้นพร้อมกัน
.
.
‘หลงรักเธออยู่’“แอบหลงรักเธออยู่” คงเป็นเพราะเสียงพูดที่แทรกขึ้นมาตรงจังหวะที่กีตาร์เว้นไว้ให้ถึงได้ดึงสายตาคนที่นอนเตียงบนให้จ้องตอบเจ้าของท่อนพูดเหมือนในเพลงต้นฉบับได้
‘แอบหลงรักเธออยู่’‘แต่เธอคงไม่รู้’“แต่เธอคงไม่เคยจะรู้” ‘แต่เธอคงไม่รู้’“ไม่ใช่ว่ารู้แล้วเหรอวะ” โอ๊คแทรกขึ้นมาราวกับเตี๊ยมกับบอยไว้แล้วว่าจะเว้นจังหวะเพลงไปอีกนิดเพื่อให้ตนได้ล้อเพื่อนที่เอาแต่มองรุ่นน้องเตียงบนไม่วางตา
“วู้วววววว”
ทั้งการแซวของโอ๊คทั้งเสียงโห่ร้องผิวปากของรุ่นพี่ยังไม่ทำให้ธันวาหน้าร้อนได้เท่ากับสายตาของเดือนแรมที่จ้องมองมาในตอนที่พูดประโยคพวกนั้นเลยสักนิด มันร้อนจนไม่อาจทนทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรได้อีกต่อไปแล้ว เด็กหนุ่มพลิกตัวหันหน้าหนีเข้าผนังห้องหมุดซีกหนึ่งของใบหน้าเข้ากับหมอนหลบสายตาจากทุกคนด้วยความอาย ไม่วายโอ๊คยังส่งเสียงตามมาแซวอีกจนได้ว่า “นั่นมึงจะนอนแล้วเหรอวะ”
“ครับพี่!”
สุดสัปดาห์แรกหลังสอบเสร็จหอพักนักศึกษาแพทย์เกือบจะกลายเป็นหอร้างเพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันกลับบ้าน หลายคนเลือกกลับตั้งแต่เย็นวันศุกร์ ขณะบางคนรอเช้าวันเสาร์ ซึ่งสองในนั้นคือธันวากับกรองเกียรติที่ตกลงกันแล้วว่าจะไปนั่งดื่มกันที่ร้านเหล้ากับดีน เพื่อนสนิทต่างคณะ
โอ๊คเป็นรุ่นพี่ที่ใส่ใจคำพูดตัวเองและเป็นห่วงรุ่นน้องอย่างเขามากเกินไป...ธันวาคิดอย่างนั้น เพราะตอนที่รู้ว่าทุกคนในห้องพร้อมใจกันกลับบ้านตั้งแต่เย็นวันศุกร์ โอ๊คก็รับปากเขาทันทีว่าจะหาคนมานอนเป็นเพื่อนตน จะได้ไม่รู้สึกกลัวเหมือนอย่างที่เคยคุยกันไว้
และถ้าธันวารู้ว่าโอ๊คจะให้เดือนแรมมานอนเป็นเพื่อน เขาคงเลือกกลับบ้านตั้งแต่วันศุกร์จะดีกว่า!!
ดูอย่างตอนที่เขากำลังแต่งตัวแต้มน้ำหอมที่ซอกคอในตอนหนึ่งทุ่มโดยมีเดือนแรมในชุดพร้อมนอนนั่งมองจากเตียงของโอ๊คนั่นสิ อย่างกับผู้ปกครองมานั่งคุมความประพฤติมากกว่าแค่มานอนเป็นเพื่อนเสียอีก
“จะไปไหน” เท่าทันความคิด เสียงดุ ๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้นทันที
“ข้าวสารครับ” เขาตอบทั้งที่ยังง่วนอยู่กับการเซตผมหน้ากระจก
“ร้านเหล้า?”
“ครับ” ธันวาไม่อยากโกหก เห็นอีกฝ่ายอึ้งไปเล็กน้อยก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม
“อายุถึงแล้วเหรอ”
“ตั้งแต่ต้นปีแล้วครับ”
“ไปกับใคร”
“เพื่อนครับ”
“…”
“พี่จะห้ามรึเปล่า” ธันวาหันไปเผชิญหน้า ไม่รู้ทำไมถึงถามออกไปแบบนั้นทั้งทีเคยย้ำอยู่ตลอดว่ารุ่นพี่ไม่มีสิทธิ์ แต่คงเพราะอย่างนั้นอีกเหมือนกันถึงได้ถามออกไป เพราะมักจะถูกเดือนแรมห้ามนั่นห้ามนี่อยู่เสมอด้วยความเคยชินถึงได้คิดว่าครั้งนี้ก็อาจจะโดนห้ามเหมือนกัน
“มีสิทธิ์อะไรไปห้าม” คนแอบชอบฝ่ายเดียวอย่างเขามีสิทธิ์สร้างความลำบากใจให้คนที่ชอบด้วยหรือ แค่ได้อยู่ใกล้ ๆ แบบไม่ให้ไปรกสายตาอีกฝ่ายก็ดีแค่ไหนแล้ว
คนแอบชอบก็มีสิทธิ์แค่นั้น ถูกต้องแล้ว
แต่ว่านะ…
...ในฐานะคนที่กำลังจีบ เขาก็ต้องหาโอกาสทำคะแนนด้วยไม่ใช่หรือ?
“แต่ขอสิทธิ์ตามไปดูแลได้ไหม”TBC.
----------------------------------------------------------------
ตอนนี้มาเร็วมากกกกกกกกก เนอะ
อยากให้ลองไปฟังเพลงปฏิเสธอย่างไรกันดูนะคะ มันจะมีเสียงพูด
ฝากเชียร์พี่แรมของน้องด้วยนะคะ
#แรมเดือนสิบสอง
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์