แรมเดือนสิบสอง
แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)
“จบงานกีฬาเปิดเทอมมาไม่ถึงสองเดือนก็ต้องเตรียมงานบายเนียร์อีกละ เรียนก็หนัก กิจกรรมก็เยอะ เมื่อไหร่จะจบปีสองวะ กูเหนื่อยแล้วโว้ย” กรองเกียรติลากเสียงยาวก่อนฟุบหน้ากับโต๊ะที่ลานใต้หอพักชายหลังจากประชุมเรื่องจัดงานเลี้ยงส่งรุ่นพี่ปีหกเสร็จแล้ว
“นั่นดิ เหนื่อยแล้วเหมือนกัน นี่ดีนะที่ไม่ต้องเตรียมงานเทศกาลดนตรีเองอีก ไม่งั้นตาย” ตฤณเสริม ทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้จริง ๆ เมื่อนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อปีก่อนที่ต้องเตรียมงานเทศกาลดนตรีประจำปีของคณะแพทย์
“กว่าจะเรียนจบพวกเราไม่กลายเป็นซอมบี้ไปก่อนเหรอวะ”
“ปีหน้ามึงอาสาเป็นประธานรุ่นดิ...” เสียงของคนมาใหม่เรียกให้สายตาของทั้งสามหนุ่มหันไปมอง “...จะได้รู้ไงว่ากว่าจะเรียนจบมึงจะกลายเป็นซอมบี้จริงรึเปล่า” โอ๊คที่เดินมาพร้อมกลุ่มเพื่อนตัวเองว่ายิ้ม ๆ จงใจส่งสายตาล้อประธานชั้นปีที่สามคนปัจจุบันที่ไม่เพียงแต่เหนื่อยตามหน้าที่เพียงคนเดียว แต่ลากเอาเพื่อนทั้งกลุ่มเหนื่อยมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเป็นพิเศษไปด้วย
“ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่นี่แล้วไงไอ้น้อง เรียนเก่งและทำกิจกรรมหนักไม่ทำให้กลายเป็นซอมบี้ แต่ทำให้ได้แฟนเว้ย” บอยที่เขย่งตัวเพื่อกอดคอเดือนแรมเอ่ยแซวขึ้นบ้างจนเรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนฝูงและรุ่นน้องได้เป็นอย่างดีทำเอาคนที่ถูกพาดพิงรู้สึกเก้อเขินจนทำตัวไม่ถูก
“ไอ้น้องธันว์แม่งเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจจนเพื่อนพี่ไม่ลังเลที่ทำอะไรเพื่อให้ได้มาเลยว่ะ” โอ๊คเสริมยิ้ม ๆ พลางเดินอ้อมไปนั่งข้างกรองเกียรติแต่ยังส่งสายตาล้อเพื่อนที่วางมือบนบ่าของ ‘รางวัล’ แสดงความเป็นเจ้าของตั้งแต่เดินมาถึง
“รางวัลของการเป็นคนเรียนดี กิจกรรมเด่นมันเย้ายวนเนอะ มึงว่าไหม” แม้แต่คนที่นิ่งเงียบที่สุดอย่างไนท์ก็ยังไม่พลาดที่จะร่วมวงแซวเพื่อนทิ้งท้ายก่อนลากบอยขึ้นห้องไปด้วยกัน ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร กลับยิ้มมุมปากรับอย่างคนที่ภูมิใจในตนเอง จนโอ๊คอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความหมั่นไส้
“อะไรวะพี่ ฝั่งโน้นก็มี” ตฤณโวยลั่นเมื่อเดือนแรมสะกิดให้เขาขยับตัวออกห่างธันวาเพื่อที่จะได้แทรกลงมานั่งตรงกลางทั้งที่อีกฝั่งของธันวายังมีที่นั่งว่างอยู่ด้วยซ้ำ
“ก็กูอยากนั่งตรงนี้ กูหมั่นไส้มึง มีไรไหม”
ธันวาส่ายหน้าระอาอย่างไม่จริงจังนัก นับตั้งแต่ที่เขาคบหากับเดือนแรมอย่างเปิดเผย นอกจากดีนก็เห็นจะมีแต่ตฤณที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเดือนแรมมาตลอด เหตุผลก็เพราะเพื่อนเขาเองทั้งนั้นที่ชอบกวนประสาทคนรักของเขาก่อน ถ้าดีนตั้งตนเป็นปรปักษ์อย่างโจ่งแจ้ง ตฤณก็คือคนที่คอยก่อกวนในคราบของคนเป็นมิตร
“พี่แรมแม่ง” ตฤณฟึดฟัดเพราะบ่นไปก็ไม่มีใครสนใจแล้ว นอกจากคนถูกบ่นจะเอาแต่คุยหยอกล้อกับคนรักแล้ว กรองเกียรติกับโอ๊คเองก็ไม่ได้สนใจจะช่วยคืนความยุติธรรมให้เขาสักเท่าไหร่นัก
ใบหน้าของกรองเกียรติแต้มรอยยิ้มยามจ้องมองคู่รักตรงหน้าตน ธันวาที่เหม่อลอยซึมกระทือจากเหตุการณ์ช่วงปิดเทอมใช้เวลาไม่กี่วันก็กลับมายิ้มและหัวเราะสดใสได้เหมือนปกติ คนที่เฝ้ามองใกล้ชิดอย่างเขาคิดว่าคงเพราะได้คนดูแลดีอย่างเดือนแรม ถึงอย่างนั้นเกือบสองเดือนมานี้ก็ใช่ว่าจิตใจจะเข้มแข็งพอที่จะสู้หน้าคนเป็นลุงได้เร็วแม้ว่าอีกฝ่ายจะขยันมาหาบ่อยทุกสัปดาห์ก็ตาม
และใช่ว่าตลอดเกือบสองเดือนมานี้จะมีเพียงลุงประภาสเท่านั้นที่กรองเกียรติเพียรเจรจาให้ออกห่างจากเพื่อนรักตน แต่ยังมีคนรักเก่าของเพื่อนอีกด้วย ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หวนกลับมาหาอีกทั้งที่หายหน้าไปตั้งนานแล้ว
กรองเกียรติปลีกตัวออกจากกลุ่มด้วยคำกล่าวอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนรีบพุ่งตรงไปลากคนที่ยืนโดดเด่นอยู่ตรงทางเข้าหอพักชายหลบไปให้พ้นทางที่เพื่อนตนจะมองเห็นได้ ภีมในวันนี้ไม่ต่างจากทุกครั้งที่มาหาธันวา หนุ่มร่างสูงหุ่นดีพิมพ์นิยมแบบที่เห็นได้ทั่วไปในหมู่นักแสดงวัยรุ่น อำพรางใบหน้าตนเองด้วยการสวมหมวกแก๊ปและใส่แว่นกันแดดปิดบังไปครึ่งหนึ่งแต่ก็ยังปิดรัศมีของคนดังไม่มิด ยิ่งคล้องหูฟังอินเอียร์บลูทูธไว้ที่คอเดินไปไหนมาไหนแบบที่นักศึกษาฝั่งโรงพยาบาลไม่ทำกันก็ยิ่งสะดุดตาคนได้ง่าย
“ทำไมพี่ยังมาที่นี่อีก” อดไม่ได้ที่จะหัวเสียเพราะสัปดาห์นี้ภีมมาที่นี่ถึงสองครั้งแล้ว และนั่นทำให้เขายิ่งไม่อาจปล่อยให้ธันวาอยู่คนเดียวตามลำพังได้อีก “บอกแล้วไงว่ามันไม่อยากเจอพี่แล้ว”
“พี่อยากคุยกับธันว์ ขอพี่เจอธันว์เถอะนะเก่ง”
“ก็บอกว่ามันไม่อยากเจอไง” นี่เป็นความคิดของเขาทั้งหมด กรองเกียรติยอมรับว่าตนคิดแทนเพื่อน เขาไม่เคยบอกธันวาเลยว่าเจอใครอื่นอีกบ้างนอกจากลุงประภาสในช่วงเกือบสองเดือนนี้ เพราะไม่อยากให้เพื่อนไม่สบายใจและกังวลกับความรู้สึกของคนรักในปัจจุบัน
“ธันว์มีแฟนใหม่แล้วใช่ไหม” ภีมตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมถอยกลับไปโดยดีอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว เพราะแม้จะแอบมาหาธันวาทุกครั้งที่ว่างจากงานทีไรเป็นอันต้องโดนด่านหน้าอย่างกรองเกียรติสกัดคอตกกลับไปทุกครั้ง
“ใช่ มีแล้ว และพี่ก็ควรเลิกยุ่งกับเพื่อนผมสักที ปล่อยมันมีชีวิตสงบ ๆ บ้างเหอะพี่”
“แฟนใหม่เป็นผู้ชายด้วยใช่ไหม” ผู้ชายคนนั้นที่เขาเห็นอยู่กับธันวาในสวนที่บ้าน คนเดียวกับที่บังเอิญเจอกันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ร้อนใจจนอยากมาถามหาความจริงตั้งแต่ตอนนั้น แต่เพราะติดงานที่ต่างประเทศ กว่าจะกลับมาและกว่าจะมีเวลาว่างปลีกตัวมาหาได้สักครั้งก็ช่างยากเย็น
กรองเกียรติชะงักเล็กน้อยก่อนตอบเสียงดังฟังชัด “ใช่ แล้วไงวะ จะผู้ชายหรือผู้หญิงแฟนเก่าอย่างพี่ก็ไม่ควรกลับมาหามันรึเปล่า”
“...”
“มันไม่สำคัญหรอกว่าตอนนี้มันชอบผู้ชายแล้ว
มันสำคัญที่ว่าคนที่มันชอบคือพี่แรมไม่ใช่พี่”
“...”
“จะตอนนั้นหรือตอนนี้ไอ้ธันว์ก็รู้สึกกับพี่แค่พี่ชายเท่านั้นแหละ...พี่รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ” หลุดปากพูดออกไปด้วยอารมณ์แล้วก็รู้สึกผิดเพราะสีหน้าของคนฟังที่ดูเจ็บปวดจากคำพูดแทงใจดำของเขา
“พี่รู้...” ไม่รู้ว่ากรองเกียรติได้ยินหรือไม่ แต่เขารู้ว่าตนพูดออกไปแล้ว แม้จะแผ่วเบามากก็ตาม “แต่ขอให้พี่ได้คุยกับธันว์หน่อยได้ไหม เก่งก็รู้ว่าระหว่างพี่กับธันว์ยังมีเรื่องคาใจกันอยู่”
“มันไม่ได้อยากรู้เรื่องในวันนั้นอีกแล้วพี่ มันไม่ตั้งคำถามกับการจากไปของพี่อีกแล้ว” เขาจำเป็นต้องใจร้ายอีกครั้ง “ตอนนี้ธันวามันสนใจแค่พี่แรมเท่านั้นแหละ”
“...”
“พี่อย่ากลับเข้ามาในชีวิตมันอีกเลยนะ”
แม้นั่นจะเป็นอีกครั้งที่ภีมต้องเดินคอตกกลับไป แต่ความใจร้ายของกรองเกียรติก็ไม่เป็นผลนัก ภีมยังคงโผล่หน้ามาหาธันวาครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบทุกสัปดาห์เหมือนเดิม
แต่ในบรรดาคนที่มาตามตื้อขอเจอธันวาแล้วสมหวังที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ไม่เคยโผล่หน้ามาก่อนหน้านี้เลย
ปกป้อง…
ปกป้องโผล่หน้ามาเป็นครั้งแรกหลังภีมกลับไปในวันนั้นได้สองสัปดาห์ กรองเกียรติถึงกับสบถผรุสวาจาออกมาเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายขณะที่พวกตนกำลังเดินลงจากตึกเรียนในตอนเย็น นึกหงุดหงิดใจที่อีกฝ่ายช่างเลือกเวลาโผล่มาได้ดีเหลือเกินเพราะอีกสองวันพวกเขามีสอบบล็อกใหม่ ถ้าการเจอหน้าปกป้องวันนี้เป็นเรื่องรบกวนจิตใจเพื่อนเขาจนอ่านหนังสือไม่ได้ เขาเองนี่แหละจะอัดหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายให้เละจนจำไม่ได้เลย
ธันวาที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหนึ่งก้าวหันกลับไปหาเพื่อนทั้งสองที่เดินคุยข้างกันมาตลอดทาง “แยกกันตรงนี้เลยนะ”
“มึงจะไปกับเขาจริงเหรอ”
“มีเรื่องอะไรกัน แล้วนั่นใครวะ” ตฤณถามด้วยความสงสัย หันมองหน้าเพื่อนสองคนสลับกัน คนหนึ่งนิ่ง ๆ สบาย ๆ แต่นัยน์ตาฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด ต่างกับอีกคนที่ทั้งกังวลและตื่นตระหนกกับการปรากฎตัวของแขกไม่ได้รับเชิญแบบสุด ๆ
“พี่ชายกูเอง” ธันวาตอบ
“คืนนี้พี่แรมมีติวกับเพื่อนใช่ไหม แล้วมึงจะตามมาอ่านหนังสือกับกูรึเปล่า” กรองเกียรติยังคงเรียกรั้งไว้ เผื่อว่าช่วงเวลาที่นานขึ้นแม้เสี้ยววินาทีเดียวจะทำให้เพื่อนได้ไตร่ตรองการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง
ธันวายิ้ม “ไม่เป็นไร กูอ่านที่ห้องตัวเองแหละ ขอบใจมึงมาก”
“งั้นกินข้าวกัน กูรอที่โรงอาหารนะ”
ธันวายิ้มอย่างอ่อนใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ทันเพื่อน แต่อย่างไรเสียตนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจบเรื่องระหว่างตนกับญาติผู้พี่ในวันนี้ “ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า กูนัดพี่แรมไว้แล้ว ถ้ามึงจะกินด้วยก็เจอกันหกโมงแล้วกัน...กูไปนะ”
คราวนี้กรองเกียรติจำต้องปล่อยให้เพื่อนเดินเข้าไปหาปกป้อง ยืนมองจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปแล้วจึงก้าวเดินไปอีกทางโดยทิ้งตฤณให้ฉงนกับสิ่งที่พวกเขาคุยกันและคำตอบสั้น ๆ แค่ว่าไว้รอถามธันวาเองภายหลัง
ธันวาเดินนำปกป้องไปนั่งม้านั่งข้างคอร์ทเทนนิส ช่วงเวลาเพิ่งเลิกเรียนแบบนี้ยังไม่มีใครมาจับจองพื้นที่ภายในแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ผู้คนผ่านไปมาเสียทีเดียว
คนเป็นน้องนั่งหันหน้าเข้าหาคอร์ทเทนนิสโดยมีญาติผู้พี่นั่งลงข้าง ๆ ไม่มีใครจ้องหน้าใครให้รู้สึกอิหลักอิเหลื่อไปมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นความเงียบที่เข้าปกคลุมก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวอึดอัดขึ้นยิ่งกว่าเดิมได้ ธันวาก้มหน้าเล็กน้อย รู้สึกละอายใจ ทั้งที่คิดว่าอยากเป็นฝ่ายเข้าไปขอโทษก่อนด้วยซ้ำแต่กลับเฉยจนคนพี่เป็นฝ่ายมาหาก่อนเสียเอง
“สบายดีไหม” จนแล้วก็ยังเป็นปกป้องอีกเช่นเคยที่เริ่มบทสนทนาก่อน
“ช่วงนี้เรียนหนักนิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร พี่ป้องละครับ สบายดีไหม”
ปกป้องระบายยิ้มบาง ดีใจกับทุกคำที่ได้ยิน น้องพูดกับเขาด้วยประโยคที่ยาวขึ้น เล่าเรื่องตัวเองมากกว่าแค่ถามคำตอบคำอย่างเมื่อก่อน อีกทั้งยังเรียกเขาว่าพี่เหมือนเดิมได้อีกทั้งที่เขาทำไม่ดีด้วยมากขนาดนั้น “สบายดี...พี่มาขอโทษ”
ธันวาเหลือบมองคนพี่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายจ้องมองตรงไปข้างหน้า ก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองบ้าง
“พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำมันเลวร้ายมากเกินกว่าจะให้อภัย และพี่เข้าใจถ้าธันว์จะไม่ให้อภัยพี่ พี่มาแค่อยากจะบอกว่าพี่เสียใจและอยากขอโทษที่ทำร้ายนาย”
“พี่ป้อง...” ธันวาหันไปมองหน้าคนพี่เกือบทั้งตัว
“ขอโทษจริง ๆ” ปกป้องเองก็หันมาหาน้องเช่นกัน นัยน์ตาที่เคยทำให้น้องหวาดระแวงทุกครั้งที่จ้องมองในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษอย่างจริงใจ
“ผมหายโกรธพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้ว…” วันที่ได้รู้ความจริงทุกอย่าง “ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ไม่เคยรับรู้หรือเอะใจเลยว่าพี่รู้สึกยังไงบ้างตลอดที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน” แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ความผิดจากการเพิกเฉยของเขาโดยตรง แต่ธันวาคิดว่าตนก็มีส่วนทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นเหมือนกัน “ถ้าผมรู้...”
“นายไม่ผิดเลยธันว์ นายเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน”
ธันวาตกใจ แม้ปกป้องจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่เขาก็รู้ถึงความนัย “พี่ป้องยังโกรธคุณลุงอยู่เหรอครับ”
ปกป้องชะงัก ไม่นึกว่าน้องจะพูดออกมาตรง ๆ คนสูงวัยกว่าเบือนหน้าหนีไปมองคอร์ทเทนนิสเหมือนเดิม “ก็ยังเคืองแทนแม่อยู่หน่อย ๆ แหละ แต่เราได้ปรับความเข้าใจกันแล้วนะ และพี่ก็ย้ายกลับไปนอนที่บ้านแล้วด้วย” ปกป้องยิ้มบาง ๆ “พ่อเขาปรับปรุงตัวขึ้นเยอะนะ ไม่ถึงกับเอาอกเอาใจเป็นพิเศษหรอก แต่เป็นห่วงถามไถ่และรับฟังกันมากขึ้น แค่นี้ก็ดีแล้ว” เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการการถูกเอาอกเอาใจ ไม่ได้ต้องการอยู่ในสถานะที่ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ถูกไปหมดทุกอย่างหรือทำอะไรตามใจได้ เขาต้องการแค่ความรักและความเข้าใจที่มากขึ้นเท่านั้น
“พ่อชมพี่ด้วยนะว่าทำงานเก่ง” ปกป้องยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจที่ธันวาสัมผัสได้ถึงความตื้นตันและมีความสุขจริง ๆ ของคนที่รอฟังคำชมจากผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด
“พี่ป้อง” คนเป็นน้องโผเข้ากอดพี่ได้อย่างสนิทใจเป็นครั้งแรก คนถูกกอดเองก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่งก่อนจะยอมกอดตอบเพราะหลายปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้กอดกันแบบนี้
“ไว้พี่ไปขอขมาพ่อกับแม่นายในวันทำบุญครบรอบพวกท่านนะ” ปกป้องบอกหลังจากผละออกจากกันแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอขมาญาติผู้ใหญ่ทั้งสอง เหตุที่ทำร้ายลูกชายของพวกท่าน ธันวาพยักหน้างึกงัก บอกอีกด้วยว่าพ่อแม่ตนต้องยกโทษให้คนพี่อย่างแน่นอน
“ไอ้ต้าฝากมาขอโทษด้วยนะ”
ธันวาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขายังจำสายตาที่จ้องมองเล้าโลมตนในวันนั้นได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากมีเรื่องที่ต้องเกี่ยวพันหรือค้างคากันอีก “ผมยกโทษให้นะ แต่ไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก หวังว่าพี่คงเข้าใจนะครับ”
ปกป้องพยักหน้ารับ “ว่าแต่...นายได้คุยกับพ่อพี่รึยัง” เห็นน้องชะงักไปเล็กน้อยเขาก็พอเดาได้ “อย่าโกรธท่านเลยนะ”
ธันวายิ้มบาง ๆ ช่างเป็นยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเสียจริง “ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่ยังไม่กล้าเจอหน้ากันตรง ๆ ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก”
“อืม” ปกป้องเข้าใจแต่ก็จนด้วยคำพูด เพราะพ่อเขามักใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเสน่หามองทะลุธันวาไปหาใครอีกคนเสมอ “พี่ไม่รบกวนเวลานายแล้วดีกว่า เดี๋ยวก็ต้องอ่านหนังสืออีกนี่ใช่ไหม”
“ครับ”
ปกป้องนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนศีรษะคนเป็นน้อง “ว่าง ๆ กลับไปกินข้าวที่บ้านบ้างนะ พี่จะรอ”
คนเป็นน้องพยักหน้ารับ ก่อนจากกันปกป้องยังกำชับให้เขาหาเวลาพักผ่อนไปเที่ยวเล่นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปบ้างอีกด้วย
ธันวายิ้มระอาส่ายหน้าเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าทั้งคนรักและเพื่อนสนิทนั่งรอตนในโรงอาหารด้วยท่าทีกระวนกระวายราวกับว่าถ้าเขาไม่ปรากฎตัวที่นี่ภายในห้าหรืออย่างมากก็สิบนาทีข้างหน้านี้พวกเขาสองคนจะออกไปตามเขาเป็นแน่
“ทุกอย่างโอเคใช่ไหม” เดือนแรมที่พุ่งเข้าไปถึงตัวโดยเร็วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงขณะช่วยถือกระเป๋า รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มสดใสของคนรักแทนคำตอบก่อนที่เจ้าตัวจะเอาแต่บ่นว่าหิวตอนที่เดินถึงโต๊ะซึ่งมีกรองเกียรตินั่งรออยู่ด้วย
ไม่มีเรื่องราวใดจากปากธันวา มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ แต้มใบหน้าสดใสเท่านั้นที่ทำให้กรองเกียรติคลายกังวลได้
“วันนี้อ่านหนังสือเองอย่ามัวแต่หลับนะ” เดือนแรมกำชับธันวาในตอนที่เตรียมจะปลีกตัวออกไปก่อนเพราะนัดติวกับเพื่อนในรุ่นทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือร่วมกับคนรักอย่างเช่นทุกวัน
“ไม่หลับหรอกหน่า เดี๋ยวโด้ปเอ็มร้อยเลย”
“ถ้าอ่านจบแล้วก็นอนไปเลยนะ ไม่ต้องรอพี่”
ธันวาพยักหน้างึกงัก “พี่เองก็อย่าดึกนักล่ะ”
“อืม...ไอ้เก่ง ดูโน่นดิ” เดือนแรมรับปากก่อนชี้นิ้วไปด้านหลังสองหนุ่ม รอจนกรองเกียรติหันมองตามแล้วจึงโฉบตัวข้ามโต๊ะไปหอมขมับคนรักที่หันไปมองข้างหลังด้วยความไม่รู้เช่นกัน
“อะไรวะพี่ ไม่เห็นมีเลย” กรองเกียรติหันกลับมาโวยจะถามรุ่นพี่หนุ่มแต่อีกฝ่ายกลับวิ่งออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็แต่เพื่อนเขาที่หน้าขึ้นสีระเรื่อไว้เป็นคำตอบให้แซวทันทีที่ประติดประต่อเรื่องราวได้
คล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ได้ไม่นานสองหนุ่มก็แยกย้ายกันไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่จะมาถึงในอีกสองวันด้วยเช่นกัน
เสียงเซ็งแซ่หน้าห้องแลปกรอสส์หลังหมดเวลาสอบกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใจสำหรับอาจารย์ไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะตำหนิให้เงียบกี่ครั้งและกี่รุ่นที่สอนมาก็ไม่เป็นผล ไม่ได้ตระหนักกันเลยว่าเสียงจากลำคอสามร้อยกว่าชีวิตนั้นไม่ต่างจากนกกระจอกแตกรังที่ดังไปทั่วทั้งตึกนี้
นอกจากการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องเนื้อหาในห้องสอบแล้ว นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองบางคนก็ยังคงบ่นเรื่องสติกระเจิงจากเสียงกริ่งแม้ว่าจะผ่านการสอบแลปกริ๊งมาหลายครั้งจนน่าจะชินชาได้แล้วก็ตาม ซึ่งตฤณเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่กรองเกียรติกับธันวาถกกันเรื่องเนื้อหา เพราะอย่างนั้นตฤณจึงเดินรั้งท้ายและกลืนหายไปกับฝูงชนที่บ่นเรื่องเดียวกัน
“กูกราบ แลปกริ๊งครั้งสุดท้ายของปีสักที ทิ้งทวนแบบข้อสิบสองใจร้ายกับกูมาก” กรองเกียรติว่าอย่างหัวเสีย ไม่ถึงกับทำไมได้ แต่ก็ไม่ได้สบายใจนัก
“ถามว่าไรวะ” เพราะจำนวนคนในรุ่นมีมากถึงสามร้อยคนจึงต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายวงในการสอบและเรียงข้อไม่เหมือนกันอีกด้วย เพราะอย่างนั้นธันวาที่อยู่คนละวงสอบกับกรองเกียรติจึงต้องถามหาคำถามแทนเลขข้อสอบเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน “เข็มปักตรงไหนอะ”
ธันวาหมายถึงเข็มหมุดที่ปักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างที่ชำแหละเฉพาะส่วนออกมาแล้วเพื่อจะเทียบเคียงว่ากรองเกียรติหมายถึงข้อไหนของตน แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบก็ชะงักไปเสียก่อน เขาจึงต้องหันมองตามสายตาเพื่อนไปพบกับใครบางคน
“จังหวะดีอีกละ” กรองเกียรติบ่นเสียงหน่าย ตั้งท่าจะก้าวออกไปหาคนที่ตามตื้อเพื่อนตนเก่งที่สุดเหมือนเช่นทุกที แต่ครั้งนี้ธันวากลับรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน
“อย่าบอกนะว่ามึง…”
“อือ กูว่าถึงเวลาแล้ว”
“อะไรกัน” เดือนแรมที่แยกออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่ปีสามเดินเข้ามาหาคนรัก เอ่ยถามก่อนทักทายด้วยการลูบผมและถามถึงเรื่องสอบ
“แล้วเมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่” เดือนแรมวกเข้าเรื่องเดิมหลังจากที่ธันวาให้คำตอบแล้วว่าทำข้อสอบได้
“โน่นครับ” เป็นกรองเกียรติที่พยักพเยิดหน้าไปทางญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนแทนเจ้าตัว
เดือนแรมมองตามก่อนหันกลับมาหาคนรัก เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้คนฟังใจชื้น “พร้อมแล้วเหรอ” เขารับรู้มาตลอดว่ากรองเกียรติช่วยบอกปัดให้ทุกครั้งที่ลุงมาหาธันวา เมื่อเห็นว่าครั้งนี้กรองเกียรติยังไม่รีบไปยืนอยู่ตรงนั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนรักกำลังคิดอะไร
ธันวาพยักหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้รับข้อความชวนไปกินข้าวจากคนเป็นลุงเหมือนเร่งการตัดสินใจของเขาให้เร็วขึ้นด้วย
“ผมไปกินข้าวกับคุณลุงนะครับ” ธันวาบอกเดือนแรมที่หมายรวมไปถึงเพื่อนสนิทด้วย
“มึงจะไปคนเดียวจริงเหรอวะ” ขณะที่เดือนแรมส่งความห่วงใยและความเชื่อมั่นในตัวเขาผ่านสายตาและการบีบไหล่ กรองเกียรติก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวลเกินควร “ให้กูหรือพี่แรมไปเป็นเพื่อนเถอะ”
“นี่กูเพื่อนมึงนะ อย่าทำเหมือนกูเป็นเด็กดิ กูดูแลตัวเองได้หน่า ร้านอาหารมีคนตั้งเยอะแยะ”
“กูเชื่อว่าลุงภาสไม่ทำอะไรมึงหรอก แต่เผื่อมึงอึดอัดไง พวกกูจะได้ช่วยทัน ให้ไปนั่งแยกโต๊ะกันก็ได้นะเว้ย”
ธันวาระบายยิ้ม ถ้าดีนยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเขาคงเหนื่อยใจมากกว่านี้แน่ “แบบนั้นจะยิ่งอึดอัดกันสิวะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไปนะ”
กรองเกียรติตั้งใจจะรั้งไว้อีกครั้งในตอนที่เพื่อนเดินแยกออกไปแล้วแต่เดือนแรมห้ามเอาไว้ก่อน
ยากกว่าที่คิด
ธันวาพบว่าตัวเองทำตัวให้เป็นปกติได้ยากกว่าที่คิด
ช่วงเวลาระหว่างรออาหารมีแต่ความเงียบจนเขาทำตัวไม่ถูก คิดว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ต่างกันถึงได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ คนเป็นหลานจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหยิบเอกสารประกอบการเรียนออกมาพลิกไปมาขีด ๆ เขียน ๆ เหมือนมีงานสำคัญต้องเร่งส่งทั้งที่เพิ่งสอบเสร็จ เหตุเพราะยังไม่กล้าสบตากับคนเป็นลุงด้วยยังหวั่นกลัวว่าจะพบกับแววเสน่หาที่มองมายังตนเพื่อส่งไปถึงบุพการี
เขายังไม่พร้อมเจอกับสายตาแบบนั้นจริง ๆ แค่คิดว่าที่ผ่านมาได้รับสายตาแบบนั้นมาโดยตลอดก็ยิ่งรู้สึกแย่กับการนั่งอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายจ้องมอง
และแม้ว่าจะมีอาหารจานโปรดวางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็ใช่ว่าจะทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้น เพราะมันกลับแย่ลงจากการเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลายของคนเป็นลุง
“กินเข้าไปเยอะ ๆ นะลูก ช่วงนี้ซูบลงไปเยอะเลยนะ” ธันวาไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ดูปกติมากหรืออย่างไรอีกฝ่ายถึงได้กล้ายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสแก้มเขาเพื่อยืนยันความซูบผอมทั้งที่เห็นด้วยตาแล้ว
คนสูงวัยชะงักมือแล้วรีบดึงกลับเมื่อหลานเบี่ยงหน้าหลบก่อนฝ่ามือจะถึงเป้าหมาย สะเทือนใจกับท่าทีที่ดูเหมือนรังเกียจกันเสียเต็มประดาจนเผลอปล่อยให้เสียงสั่นตอนที่เอ่ยถามออกไป “ธันว์ยังโกรธลุงอยู่เหรอลูก”
“เปล่าครับ” แม้จะบอกอย่างนั้นแต่การหลบตาและเลี่ยงสัมผัสกลับสวนทางกับคำบอกกล่าวจนประภาสยิ่งร้อนใจ
“ลุงขอโทษ”
“ผมไม่ได้โกรธคุณลุงแล้วจริง ๆ ทานข้าวเถอะครับ” เขาคงยังไม่พร้อมเจอหน้าคนเป็นลุงจริงอย่างที่เพื่อนกังวล แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยื้อเวลาอีกแล้ว เขาควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ขอโทษและตนได้ให้อภัย ไม่ควรปล่อยให้เจ็บปวดคาราคาซังกันนานกว่านี้
“ธันว์จะโกรธไหมที่ลุงไม่ได้ลงโทษพี่เขา” ประภาสพูดขึ้นมาอีกเมื่อหลานเงียบไปนาน แต่ถึงอย่างนั้นก็สังเกตตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เจริญอาหารนัก ท่าทีฝืดฝืนเหมือนจะเร่งให้หมดจานแต่ก็กินไม่ลงนั่นดูทรมานจนเขาต้องเป็นฝ่ายรีบสะสางเรื่องราวให้จบโดยเร็วเสียเอง
“...”
“ลุงรู้ว่าป้องเขาทำเกินไป มันเลวร้ายเกินกว่าที่ลุงจะมองข้ามได้ แต่ลุงก็ไม่ได้ลงโทษอะไรเขา เพราะลุงรู้ว่าคนที่ผิดจริง ๆ คือลุง ธันว์อาจจะไม่ให้อภัยพี่เขาได้ แต่หวังว่าจะไม่โกรธที่ลุงเว้นโทษให้พี่นะ”
ธันวายิ้มบาง แม้จะระวังตัวไม่ให้เผลอยิ้มแบบเดิม ๆ เพราะกลัวจะเหมือนแม่เกินไปแต่ก็ไม่อาจปั้นออกมาให้เป็นอื่นไปได้อยู่ดี “ผมไม่โกรธหรอกครับ ผมให้อภัยพี่ป้องแล้วด้วย…” เพราะบางที บทลงโทษอาจจะอยู่ในรูปแบบของความทุกข์จากสิ่งที่เคยกระทำคอยกัดกินใจของพวกเขาทั้งสองคนไปตลอดก็ได้ “...ต่อจากนี้ผมก็อยากให้คุณลุงกับพี่ป้องดูแลซึ่งกันและกันดี ๆ นะครับ”
ประภาสพูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อเรียกเพื่อรั้งเอาไว้ทั้งที่รู้ดีว่าประโยคสุดท้ายที่หลานพูดออกมาไม่ต่างจากคำบอกลาอย่าถาวรเลยสักนิด
ธันวาเดินออกมาจากร้านอาหารก่อนคนเป็นลุงด้วยสีหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นว่ามีใครมายืนรอตนอยู่หน้าร้านอาหารข้าง ๆ คนที่เชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะดูแลตัวเองได้และยอมปล่อยให้ออกมากับลุงประภาสตามลำพังแต่ตัวเองกลับมารอรับอยู่ใกล้ ๆ
ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งเขาไปไหนเลยจริง ๆ
“กลัวผมไม่ไหวเหรอครับ”
ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งให้เขาต้องเผชิญเรื่องทุกข์ใจเพียงลำพัง
รอยยิ้มที่มอบกลับมานั่นก็แสนอบอุ่นเสียจนไล่หมอกควันในใจไปเสียหมด โลกทั้งใบสดใสขึ้นได้จริง ๆ เพียงแค่มีเดือนแรมอยู่ด้วย
“มารับกลับ กลัวหลงทาง”
ผู้ชายคนนี้พร้อมจะเคียงข้างเขาทั้งยามทุกข์และสุขโดยไม่เคยต้องร้องขอ
ธันวายิ้มกว้างขึ้น แม้ในสภาวะที่ไม่น่าจะยิ้มออก แต่ธันวาก็พบว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะไม่ยิ้มเพราะเดือนแรม และเกือบจะยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตันเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือออกมาหา ไม่ได้เสียเวลาคิดเลยสักนิดที่ยื่นมือออกไปจับไว้แล้วออกเดินไปพร้อมกัน
TBC.
-------------------------------------------------
หายไปนานม้ากกกกก ไม่รู้จะยังจำกันได้ไหม
ด้วยรักและขอบคุณเสมอ
ธัญญ์