แรมเดือนสิบสอง
แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)
เขาชอบรุ่นพี่เดือนแรม
กรองเกียรติรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่วันรับน้องที่ปีสามจัดให้ปีสอง ประธานชั้นปีที่สามคนที่ยืนบนเวทีพูดจาฉะฉานด้วยสีหน้าขึงขังในวันนั้นสร้างความประทับใจให้เขายกให้อีกฝ่ายเป็นโรลโมเดลหรือบุคคลต้นแบบ เหนือกว่าคำว่าไอดอลอย่างที่ธันวาเข้าใจไปแล้ว
ไม่ใช่แค่หล่อ สูง เท่ แต่เก่งด้วย ทุกอย่างรวมเป็นผู้ชายที่ดูสมาร์ทจนผู้ชายด้วยกันยังชื่นชม
แต่แม้จะชอบอีกฝ่ายมากแค่ไหนใช่ว่าจะดีใจที่เขามาชอบเพื่อนตัวเอง
ธันวาไม่ได้เป็นเกย์…
คบกันมานานทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพื่อนมีรสนิยมทางเพศแบบไหน ถึงจะเคยมีแฟนเป็นผู้ชายแต่ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็ยังไม่ใช่ความรัก และถึงแม้เดือนแรมจะเข้าหาธันวาด้วยวิธีการที่ต่างจากผู้ชายคนอื่นมากจนเพื่อนเขาไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกจีบ แต่เชื่อเถอะว่าธันวาไม่ยินดีนักหรอกที่โดนอีกฝ่ายเข้าหาด้วยความรู้สึกแบบนั้น
เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเข้าไปช่วยในตอนที่เพื่อนยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าเดือนแรมในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเปลือยอยู่
“รีบไปอาบน้ำได้แล้วมึง ไป ๆ”
กรองเกียรติดันหลังเพื่อนบังคับเดินไปทางห้องน้ำรอจนร่างที่ฝืนในคราแรกเดินไปได้เองแล้วกรองเกียรติจึงค่อยหันมายิ้มแป้นทักทายรุ่นพี่ที่เคารพก่อนชิงหนีกลับห้องตัวเอง
“กูวางสิบบาท พี่แรมชอบมึงแน่ ๆ”
ธันวาเกือบสำลักโจ๊กในตอนที่กรองเกียรติพูดย้ำใจความเดิมกับข้อความที่ส่งมาให้เมื่อคืน เด็กหนุ่มคว้าแก้วน้ำมาดื่มก่อนมองเพื่อนตาเขียว
“กูลงหนึ่งร้อยเลย ไม่มีทาง” ธันวาพูดทั้งที่หน้าร้อนผ่าวตอนที่ย้อนดูสติกเกอร์รูปหัวใจที่เดือนแรมส่งมาให้ทุกเช้าเป็นเวลาหลายวันแล้ว “เจอกันทีไรไม่ดุก็กวนตีนใส่ ถ้าบอกว่าอยากถีบ กูว่ายังน่าเชื่อกว่า”
รอยยิ้มบนใบหน้ากรองเกียรติหายไป โหมดจริงจังบนใบหน้าตี๋ไม่ใช่สิ่งที่ธันวาเคยชินนัก “แล้วถ้าเขาจีบมึงจริง ๆ มึงจะว่าไง”
“ก...ก็จ่ายให้มึงหนึ่งร้อยไง”
กรองเกียรตินิ่ง หน้าตึงขึ้นกว่าเดิมเมื่อเพื่อนแกล้งตอบไม่ตรงประเด็นจนสุดท้ายธันวาก็ทนแรงกดดันจากสายตาเพื่อนไม่ไหว
“ไม่รู้โว้ย ไม่เคยคิด”
“ก็เริ่มคิดซะตอนนี้”
“บอกแล้วไงว่าพี่เขาไม่ได้จีบกู”
“กูสังเกตมานานแล้วไอ้ธันว์ กูว่ามีโอกาสใช่สูงมาก”
ถึงกรองเกียรติจะบอกอย่างนั้นแต่ธันวาก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ที่ผ่านมามีผู้ชายเข้ามาจีบมากมาย ไม่มีใครทำแบบเดือนแรมสักคน ใครที่ไหนจะทั้งดุทั้งด่าทั้งกวนประสาทคนที่ชอบ ชอบกันก็ต้องดูแลเอาใจใส่ทำแต่เรื่องดี ๆ ให้ไม่ใช่หรือ
พี่ภีม...แฟนเก่าเขาก็ทำแบบนั้น
“คุยไรกันวะ หน้าเครียดเชียว” เป็นตฤณที่เดินเข้ามาถามไถ่ วางเสื้อแลปยาวพาดไว้กับเก้าอี้ก่อนนั่งลงข้างธันวา มีแก่ใจเป็นห่วงเพื่อนทั้งที่ยังไม่ได้ไปซื้ออาหารเช้าเลยด้วยซ้ำ
“คุยกันว่าถ้ามึงยังไม่รีบกินข้าวมึงจะเข้าแลปไม่ทัน” กรองเกียรติว่า
“ทันโขหน่า พูดถึงแล้วก็ดีใจ วันนี้ผ่าเช้า จะได้ไม่ต้องเลิกค่ำมืดอีก ถึงจะกระอักกระอ่วนกับมื้อเที่ยงไปบ้างก็เถอะนะ” พวกเขาหมายถึงแลปกรอสส์หรือการผ่าร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อศึกษากายวิภาคที่มักจะเรียนในช่วงบ่ายแล้วกินเวลาล่วงเลยไปถึงค่ำมืดอยู่ตลอด
“ถามจริง มีใครเรียนกรอสส์แล้วแดกหมูตุ๋นไม่ลงบ้าง กูเห็นก็แดกเอา ๆ กลัวเนื้ออะไรไม่มี๊”
“ก็จริงของมึงไอ้เก่ง แต่อาจจะเอียนอาหารเพราะกลิ่นฟอร์มาลีนอบอวลเนี่ยแหละ”
กรองเกียรติกับตฤณคุยกันเรื่องคลาสเรียนสี่ชั่วโมงในเช้าวันนี้จนไม่ทันสนใจว่าธันวาไม่ได้ร่วมบทสนทนาของทั้งคู่เลยสักนิด ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องของเดือนแรม ธันวากำลังประมวลผลทุกอย่างตั้งแต่รุ่นพี่คนนั้นมีตัวตนขึ้นมาแล้วเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต แต่ก็ไม่ได้มีเวลาวิเคราะห์อย่างละเอียดนักเพราะต้องรีบไปเรียนกันต่อ
ไม่มีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองคนไหนคาดคิดว่าการย้ายแลปมาเรียนชั่วโมงเช้าจะทำให้เลิกเรียนช้าไม่ต่างจากชั่วโมงบ่าย อาจจะดีกว่าเล็กน้อยตรงที่ยังมีขอบเขตว่าเลิกไม่เกินบ่ายโมงตรงอย่างแน่นอนเนื่องจากมีเรียนต่อ ขณะที่ชั่วโมงบ่ายอาจยาวต่อไปได้เรื่อย ๆ หากผ่าไม่เสร็จ
“กระเพาะเราถูกย่อยหมดแล้ว” หวาน หนึ่งในเพื่อนร่วมกลุ่มศึกษาอาจารย์ใหญ่ร่างเดียวกับธันวาโอดครวญขึ้นมาท่ามกลางเสียงโครกครากจากท้องของทุกคนในกลุ่ม
“รีบเก็บของเถอะ เรายังต้องไปเรียนต่ออีกนะ” เพื่อนอีกคนว่าทั้งที่สีหน้าสีตาก็เริ่มไม่โอเคแล้ว ไหนจะหิวไหนจะกลิ่นฟอร์มาลีนที่ชวนเวียนศีรษะและน่าคลื่นไส้ แม้จะเริ่มชินกลิ่นแต่ถ้าช่วงไหนกลิ่นแรงจนฉุนก็ทำเอาอยากอาเจียนได้เหมือนกัน
มีเวลาเหลืออีกสิบนาทีมากพอให้พวกเขาไปร้านสะดวกซื้อเพื่อหาอาหารรองท้อง ทว่าทุกคนกลับพร้อมใจกันมุ่งหน้าไปยังกล่องมิลเลอร์ของตัวเองเพราะมีคนส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่มรุ่นมาบอกว่าพวกพี่รหัสปีสามหย่อนขนมไว้ให้ทุกคนแล้ว
ธันวาหยิบแซนวิสและน้ำผลไม้ที่หน้าตาเหมือนกันทั้งสองชุดขึ้นมาดู เห็นจะมีแค่กระดาษโน้ตที่แปะไว้เป็นคนละสีและข้อความข้างในเท่านั้นที่ต่างกัน
ชุดหนึ่งเป็นของพิ้งค์ พี่รหัสของเขา พร้อมข้อความให้กำลังใจ ส่วนอีกชุดไม่ลงชื่อเจ้าของแต่ก็ไม่ยากจะคาดเดานัก
‘เมื่อเช้าบอกไม่ทันว่าแลปเลิกช้า รีบกินรีบไปเรียนซะ’
เมื่อเช้าที่เขามัวแต่ยืนอึ้งเพราะทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เพื่อนสนิทบอก ไม่ทันได้คุยอะไรกันเพื่อนคนที่ว่าก็เข้ามาจับแยกเสียก่อน
“ไอ้ธันว์ มึงได้สองชุดเลยเหรอ” ตฤณทักขึ้น ธันวาหันมองหน้าตาตื่น รีบเก็บกระดาษโน้ตใบที่ไม่ได้ลงชื่อใส่กระเป๋ากางเกงซ่อนจากสายตาทุกคนทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม
“ใครให้วะ” กรองเกียรติถาม
“พี่พิ้งค์” และเลือกที่จะตอบไปเพียงชื่อเดียว
“สองชุดเลยอ่ะนะ”
“เออ กลัวกูไม่อิ่มมั้ง”
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เรียนคาบบรรยาย ทำแลป ผ่ากรอสส์ อ่านหนังสือ ซ้อมดนตรี และก็...ต่อปากต่อคำกับเดือนแรม ความกวนประสาทของอีกฝ่ายทำให้ธันวาลืมในสิ่งที่กรองเกียรติเตือนไปเสียสนิท ทุกอย่างเป็นวัฏจักรวนเวียนอย่างนี้มาสัปดาห์กว่า ๆ จนถึงวันงาน Thanks ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ของโรงพยาบาลตามนโยบายของคณบดีคณะแพทยศาสตร์
แต่ถึงจะผ่านมาหลายวันแล้ว ต่อล้อต่อเถียงกันมาก็หลายครั้งทั้งต่อหน้าและผ่านข้อความในกล่องมิลเลอร์ ไหนจะสติกเกอร์รูปหัวใจที่ขยันส่งมาทุกวันพิสูจน์ให้เชื่อสนิทใจว่าอีกฝ่ายคง ‘ชอบ’ จริงอย่างที่ว่าแล้ว แต่ธันวาก็ยังชวนเดือนแรมไปเลี้ยงข้าวไม่สำเร็จสักที
จากที่มักเจอเดือนแรมมายุ่งวุ่นวายกับตัวเองอยู่บ่อย ๆ กลายเป็นว่าช่วงนี้เป็นเขาเสียเองที่ต้องพยายามพาตัวเองเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อรบเร้าให้ตกลงไปทานข้าวด้วยกันเสียที
ช่วงสิบเอ็ดโมงโรงอาหารใกล้หอพักชายคนไม่ค่อยเยอะ อีกอย่าง รุ่นพี่หลายคนยังไม่ตื่นเพราะตั้งใจจะตื่นมาแต่งตัวไปงานเลี้ยงตอนเย็นทีเดียว ขณะที่มีอีกหลายคนตื่นมาอ่านหนังสือก่อนอย่างเช่นเขา ธันวาเห็นแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่เดือนแรมยืนรออาหารอยู่หน้าร้านข้าวตามสั่ง หนุ่มรุ่นน้องจึงไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเข้าไปยืนต่อหลังทันที
“สวัสดีครับพี่แรม” ทักทายเสียงหวานพร้อมกระพุ่มมือไหว้งาม ๆ เสียหน่อยเผื่อจะได้รับความกรุณาให้สมใจในวันนี้
แต่พี่ท่านแค่ปรายตามองด้วยหางตาแล้วครางอือรับเท่านั้น ไม่ได้สนใจใยดีคนพยายามทำตัวน่ารักเลย ไม่มีเค้าของคนที่ชอบกันอย่างที่กรองเกียรติว่าสักนิด
“พี่แรมครับ พรุ่งนี้วันหยุดไปกินข้าวกัน ที่ห้างก็ได้” ธันวายังตื้อต่อ ได้ยินอีกฝ่ายจิ๊ปากก่อนจะหันมามองหน้ากันตรง ๆ
“ขอบุฟเฟ่ต์แซลมอนนะ”
“บ้าไปแล้ว!” แค่สอนกรอสส์ให้นิด ๆ หน่อย ๆ ถึงกับต้องขูดเลือดขูดเนื้อรุ่นน้องกันเลยเหรอ “ไม่แพงไปหน่อยเหรอพี่”
“ถ้ารีบร้อนจะไปพรุ่งนี้นักก็ต้องแซลมอนเท่านั้น” เดือนแรมว่าก่อนหันไปรับจานข้าวตัวเองที่แม่ค้ายื่นมาให้แล้วหันมามองหน้าหนุ่มรุ่นน้องตรง ๆ อีกครั้ง
“แต่ถ้ารอให้ถึงวันที่มึงอยากไปกินด้วยกันจริง ๆ แค่ข้าวตามสั่งร้านนี้กูก็ยอมแล้ว”
คงจะมีวันนั้นอยู่หรอก!
แต่จะยอมเลี้ยงบุฟเฟ่ต์แซลมอนหรือก็ทำใจจ่ายแพงไม่ได้อยู่ดี
สงสัยคงต้องรอให้ถึงวันนั้น...วันที่ไม่มีจริง
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเย็น น้องปีหนึ่งที่เป็นแม่งานแต่งตัวจัดเต็มมาตั้งโต๊ะรับลงทะเบียนตั้งแต่ช่วงห้าโมงครึ่ง งานวันนี้ไม่มีธีมการแต่งตัว ไม่เหมือนงานบายเนียร์ งานนี้จัดขึ้นเพื่อพบปะสังสรรค์ตามประสาพี่น้องที่แน่นอนว่ามาร่วมกันไม่ครบทุกคน โดยเฉพาะรุ่นพี่ปีสี่ ห้า และหก ที่แทบจะเรียกได้ว่าส่งตัวแทนรุ่นมาร่วมงานเพียงเท่านั้น
โต๊ะหน้าสุดเป็นของรุ่นพี่ปีที่หก ลดหลั่นกันมาเรื่อย ๆ โดยของปีสองและสามจะปะปนกันอยู่โซนกลางถึงหลังห้อง กว่าจะมาร่วมงานกันเยอะเกินครึ่งห้องก็ล่วงเลยเข้าหนึ่งทุ่ม การแสดงของชั้นปีสองซึ่งเป็นรายการแรกจึงเริ่มต้นขึ้นในตอนนั้น
ธันวาถือเบสสีแดงเลือดนกของตัวเองด้วยความตื่นเต้นอยู่หลังเวที เบสตัวนี้ธันวาเพิ่งให้คนที่บ้านลุงประภาสนำมาให้เมื่อสัปดาห์ก่อน ใช้ซ้อมกับวงอยู่สองสามครั้งก็ชินมือเหมือนเล่นทุกวันได้อย่างง่ายดาย
“หวานตื่นเต้นจังเลยธันว์” นักร้องนำของวงเอ่ยขึ้น ธันวารู้ว่าหวานตื่นเต้นจริงอย่างที่บอก เพราะนอกจากสองมือเธอจะจับกันแน่นแล้ว เขายังเห็นเธอเดินไปมาอยู่หลายรอบ
“สูดหายใจเข้าออกลึก ๆ นะ” ธันวาวางมือบนไหล่เล็ก ตบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจก่อนดึงกลับเพราะกลัวจะดูไม่ดีนัก “อย่างกังวล คิดซะว่าเราขึ้นไปสนุกกันบนนั้นไง”
เธอส่งยิ้มให้เพื่อนชายได้หวานสมชื่อเจ้าตัว
“มา ทำพร้อมกัน” ธันวาว่าก่อนเริ่มทำอย่างที่แนะนำเธอไปเมื่อครู่จนกระทั่งได้ยินเสียงพิธีกรเรียกให้พวกเขาขึ้นเวที
งานสังสรรค์แบบนี้เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับเดือนแรม เขาแทบไม่อยากจะเสียเวลามาถ้าไม่ติดว่าตัวเองมีตำแหน่งประธานชั้นปีที่สามค้ำคออยู่
ตำแหน่งที่เขาไปแย่งชิงมาครองจนได้เพื่อให้ตัวเองได้มีตัวตนในสายตาของใครบางคน
และใครคนนั้นก็กำลังจะทำให้งานในคืนนี้ดูน่าสนใจขึ้นด้วยการปรากฏตัวขึ้นบนเวทีพร้อมเครื่องดนตรีในมือ
เสียงกรี๊ดของสาว ๆ ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทาง เดือนแรมไม่รู้ว่าพวกเธอกรี๊ดให้ใครหรือกำลังถูกใจอะไร แต่สำหรับเขา สายตาจดจ้องอยู่ที่แค่คน ๆ เดียวเท่านั้น
...มองแค่คน ๆ เดียวมานานแล้ว
ธันวาเจ้าของร่างขาวบาง สูงชะลูด ปล่อยผมให้ปรกหน้าผากตามธรรมชาติดูเข้ากันได้ดีกับเชิ้ตขาวตัวโคร่งที่ปลดกระดุมสามเม็ดบนจนเผยแผงอกขาว คอเสื้อกว้างจนปกแทบหลุดไหล่ไปข้างหนึ่งอยู่รอมร่อนั่นทำให้เดือนแรมหงุดหงิดจนแทบบ้า ถ้าเป็นเจ้าของเมื่อไหร่เขาจะจับอีกฝ่ายตีให้ก้นลายแน่ที่แต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้แบบนี้
การแต่งตัวของธันวาไม่ได้ดูเกย์เลยสักนิด แต่กลับดูเป็นผู้ชายเซอร์ที่มีความแบดบอยอยู่พอตัว ยิ่งเล่นในตำแหน่งเบสก็ยิ่งดึงความสนใจจากสาว ๆ ได้ดีทีเดียว
แค่เพียงสี่หนุ่มปรากฏตัวบนเวทีพร้อมเด็กสาวคนเดียวก็เรียกเสียงกรี๊ดได้มากพอแล้ว แต่เมื่อธันวาเริ่มโซโล่เบสนำเครื่องดนตรีชนิดอื่นตามเพลงต้นฉบับ เสียงกรี๊ดก็ยิ่งถล่มทลาย รวมถึงสาว ๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่นี่ด้วย
“มองไปไกล ที่ดวงดาวสุดขอบฟ้าไกล อยากจะไป ไปให้ถึงครึ่งทางแสงเธอ...”เสียงหวาน ๆ ชวนเคลื้มของน้องผู้หญิงที่เดือนแรมไม่รู้จักชื่อทำเอาผู้ชายหลายคนเคลิ้มตาม ทว่าไม่ใช่กับเขา นัยน์ตาคมที่ใครเห็นว่ากำลังจดจ้องแต่บนเวทีไม่ได้มองหญิงสาวหนึ่งเดียวอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นมือเบสคนนั้นต่างหาก
“น้องธันวาเป็นเกย์จริงเหรอแก เสียดายอ่ะ ฉันอยากได้”
“แต่น้องเก่งก็งานดีนะ ตี๋ ๆ แบบนี้ฉันชอบ”
เดือนแรมที่นั่งร่วมโต๊ะพยายามไม่สนใจ สายตาจดจ้องอยู่แต่ทุกการเคลื่อนไหวและแววตาซุกซนของธันวาเท่านั้น
ธันวาไม่ใช่คนหล่อจัด น่ารักมากก็ไม่ใช่ แต่เดือนแรมยอมรับว่าหน้าตาดีเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ยิ่งยามที่ได้สบตาโดยบังเอิญก็ยิ่งรู้สึกว่าแววตาขี้เล่นในหน่วยตาคู่นั้นทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์มากอย่างที่อยากจะหันไปมองบ่อย ๆ ทว่าเดือนแรมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าการสบตาตรง ๆ ยามอีกฝ่ายซ่อนความดื้อรั้นในตาคู่นั้นกลับทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย
“แกว่าน้องเป็นรุกหรือรับวะ” ประเด็นเรื่องรสนิยมทางเพศของธันวาถูกยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง
“รับแน่ ๆ ดูด้วยว่าแฟนเก่าน้องเป็นใคร แกคิดว่าพี่ภีม นิเทศฯ เขาจะรับเหรอ”
“ถ้าไม่ติดว่าน้องเคยคบกับพี่ภีม ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าน้องเป็นเกย์” เพื่อนชายใจสาวในโต๊ะพูดขึ้นมา สีหน้าเคร่งเครียดราวกับคิดไม่ตก
“แต่เคยเห็นน้องธันว์ตามจีบสาวพยาบาลมาพักนึงนะ”
“เรื่องเรียนเคยจริงจังแบบนี้ไหมครับพวกคุณ” โอ๊คแทรกขึ้นขำ ๆ
“เออว่ะ ฉันชักจะเชื่อที่แกพูดแล้ว” สายตาคนพูดจดจ้องแต่บนเวทีขณะพูดขึ้นอย่างเหม่อลอย ทำให้ทุกคนที่กำลังร่วมบทสนทนาหันมองตาม
‘อยู่ ๆ ก็มีแต่เธอมาปรากฏตัวในหัวใจ อยู่ ๆ ไม่รู้ทำไมถึงคิดถึงเธอได้ทั้งวัน’“น้องดูเคมีเข้ากับน้องหวานมากเลยว่ะ เหมือนผู้ชายอ่ะ ไม่เหมือนเกย์”
ภาพที่ทุกคนเห็นเดือนแรมเห็นนานแล้วเพราะเขาไม่เคยละสายตาจากธันวาเลยสักนิดเดียว เพลงจังหวะสนุกกับเนื้อหาสื่อความหมายกับภาพที่นักร้องสาวร้องไปด้วยเต้นไปด้วยสร้างความสนุกสนานให้คนฟังและเพลิดเพลินกับอาหารตาไม่น้อย หากไม่ติดว่าเจ้าหล่อนเหลือบมองไปทางมือเบสของวงบ่อยและบางครั้งก็เต้นเข้าไปหาเหมือนหยอกล้อกัน ดูเหมาะสมจนเดือนแรมไม่ปฏิเสธเลยว่ามันเป็นจริงอย่างที่เพื่อนพูดกัน
“เหมือนเขาร้องเพลงจีบกันเลยว่ะ อะไรเนี่ย ฉันอกหักเหรอเนี่ย”
เดือนแรมจะไม่สนใจเลยถ้าไม่ได้ยินเสียงหัวเราะน้อย ๆ จากเพื่อนสนิททั้งสามคนที่พร้อมใจกันล้อเขาจนต้องปั้นหน้านิ่งเฉยแสร้งไม่สนใจทั้งที่กลัวอยู่ลึก ๆ
เมื่อมองเลยไปยังนักร้องสาวและเพิ่งพินิจดี ๆ แล้วเดือนแรมก็นึกขึ้นได้ว่าเธอคือคนเดียวกับที่เพื่อนเขาเคยแซวธันวาที่ร้านสเต๊กเมื่อหลายวันก่อน
‘ถ้าเธอชอบ มึงจะชอบป่ะล่ะ’และคำตอบของธันวาในวันนั้นคือ
‘ให้เธอชอบจริง ๆ ก่อนเถอะพี่’วันนี้จะยังตอบแบบนั้นอยู่ไหม…
“ฉันว่าไม่นานสองคนนี้ต้องคบกัน เชื่อฉันสิ” ลมหายใจของเดือนแรมสะดุดเมื่อได้ยินเพื่อนชายใจสาวว่าอย่างนั้นด้วยท่าทีมั่นใจ
ใช่จะอยากสนใจลมปากคนอื่น แต่เพราะตัวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะใจน้องได้หรือเปล่า ธันวาเองก็ดูจะเอนเอียงไปหารุ่นน้องที่ชื่อหวานอะไรนั่นด้วย และถ้าน้องจะชอบเธอขึ้นมาจริง ๆ เขาจะทำอะไรได้มากไปกว่าก้มหน้ายอมรับแล้วถอยออกมาแต่โดยดีกันเล่า
“วันนี้พี่ ๆ น้อง ๆ ไปดูกล่องมิลเลอร์กันรึยังคะ” นักร้องสาวถามขึ้นมา “มีใครเคยได้รับของจากบุคคลนิรนามไหมคะ”
หลายคนยกมือขึ้น
“แล้วมีใครเป็นบุคคลนิรนามบ้างไหมคะ”
“ยกสิมึง” โอ๊คหันมาแซวเดือนแรมก่อนจะหันกลับไปพร้อมเสียงหัวเราะน้อย ๆ เมื่อเพื่อนย้อนกลับด้วยริมฝีปากที่ขยับเป็นคำว่า ‘เสือก’
‘โปรดอย่าสงสัยนั่นคือความจริงใจจากฉัน จากคนคนเดิมคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
คนที่คอยอยู่ ดูแลระยะไกล จำได้ไหมเขายังเป็นห่วงคุณเหมือนเดิม...คุณก็รู้ว่าใคร’ท่อนฮุกที่ถูกร้องขึ้นโดยไม่มีเสียงดนตรีช่วยขับให้เสียงสดของเธอยิ่งหวานล้ำสมชื่อสะกดให้ใครหลายคนตกอยู่ในภวังค์ ต่างจากเดือนแรมที่กำลังถูกดวงตาซุกซนของธันวาดึงไว้ด้วยความฉงนที่กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน
หลังจบโชว์ที่มากถึงห้าเพลงพิธีกรหนุ่มก็เปิดโอกาสให้สมาชิกวงได้แนะนำตัวเองให้ทุกคนในที่นี้รู้จัก
“จบไปแล้วนะครับสำหรับโชว์จากพี่ ๆ ปีสอง เป็นยังไงกันบ้างครับ ขอถามพี่ใหญ่สุดของเราก่อนเลยดีกว่า” เมื่อพิธีกรชายบนเวทีพูดอย่างนั้น พิธีกรสาวที่อยู่ข้างล่างก็ถือไมค์ก้าวฉับเข้าไปยังโต๊ะเป้าหมายทันที
คนที่รับไมค์ไปเป็นประธานรุ่นชั้นปีที่ห้า วันนี้ขาดพี่ปีหกยกชั้น ไม่มีใครว่างมาร่วมงานได้สักคนเพราะเข้าเวรหนักและเหนื่อยเกินกว่าจะเอาเวลามาสังสรรค์แบบนี้ได้ “สุดยอดมากไอ้น้อง โคตรเท่ โดยเฉพาะมึงไอ้เก่ง”
“มีการระบุตัวบุคคลด้วยนะคะเนี่ย”
“น้องรหัสผมครับ สายนี้สมาร์ทกันทั้งสาย” คำยกยอตัวเองเรียกเสียงโห่ร้องจากเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี เขายกนิ้วให้กรองเกียรติแทนคำบอกว่าเยี่ยมมากก่อนที่พิธีกรสาวจะเปลี่ยนเป้าหมายไปถามรุ่นถัดไปบ้าง
“พี่ปีสี่ละคะ โชว์นี้เป็นยังไงบ้าง”
“น่ารักมากครับ น้องหวานน่ารักมาก”
“อันนี้อวยกันเองในสายรหัสอีกรึเปล่าครับ” พิธีกรชายยิงคำถามมาจากบนเวที ช่วงเวลานี้คนที่เพิ่งเล่นดนตรีเสร็จกำลังเก็บของกันอยู่
“ไม่ใช่ครับ อยากเกี่ยวดองกันด้านอื่นมากกว่า” สิ้นเสียงทีเล่นทีจริงก็มีเสียงโห่ดังขึ้นตามระเบียบ เล่นหยอดกันกันต่อหน้าคนหลายร้อยแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะโดนถล่ม คนโดนหยอดเองก็เขินแก้มแดงทั้งที่ยังช่วยเพื่อนเก็บของไม่วางมือ
“ชักอยากจะรู้แล้วล่ะค่ะว่าพี่ปีสามจะว่างยังไงบ้าง” แน่นอนว่าไมค์ไม่หนีเดือนแรมไปไหน คนเป็นประธานรุ่นลอบทำหน้าเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบแสดงความเห็นอะไรในที่สาธารณะแบบนี้เลย
“ในฐานะที่เป็นรุ่นที่ใกล้ชิดกันที่สุด พี่แรมมีความเห็นว่าไงบ้างครับ”
แม้มือจะง่วนอยู่กับการเก็บของแต่ธันวาก็ยังสนใจฟังในสิ่งที่เดือนแรมกำลังจะพูด รู้ว่าตัวเองกำลังคาดหวังว่าจะได้รับคำชมจากรุ่นพี่หน้าดุเพราะอยากให้มองกันในด้านดีบ้างนอกจากจะดุว่ากันอย่างที่แล้วมา
“ก็ดี”
“...”
“เอ่อ...ต้องการบอกใครเป็นพิเศษเหมือนคนอื่น ๆ เขาไหมครับ” เพราะเดือนแรมพูดสั้นเกินไป พิธีกรชายจึงรีบแก้สถานการณ์ที่เงียบเชียบด้วยการยิงประเด็นที่สองคนก่อนหน้านี้ทำ
“เก็บไว้บอกให้รู้กันแค่สองคนดีกว่าครับ”“ง่อววววววว”
“แหม ไม่บอกก็รู้เลยนะคะว่าใคร” พิธีกรสาวแซว ทว่าเดือนแรมก็ไม่ได้แก้ไขว่าไม่ใช่คนที่ทุกคนเข้าใจ
“เห็นเงียบ ๆ ร้ายไม่ใช่เล่นนะท่านประธาน” เพื่อนสาวร่วมโต๊ะแซวขึ้นมา
“ไอ้แรมมันปากดีไปงั้นแหละ” โอ๊คว่าเสียงขบขัน เดือนแรมเองก็ไม่โต้เถียงอะไรนอกจากสนใจอาหารตรงหน้า
ที่ด้านหลังเวทีก็กำลังวุ่นกับการสลับโชว์ หวานแยกออกไปแล้วเพราะเพื่อนมาตามไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงสี่หนุ่มที่กำลังจัดการกับเครื่องดนตรีของตัวเอง
“ติดกระดุมได้แล้ว” กรองกียรติยื่นมือไปจับคอเสื้อของเพื่อนรักด้วยความหงุดหงิดใจ “จบโชว์แล้วก็แต่งตัวดี ๆ”
“มันเป็นทรงของเสื้อ ถ้าติดมากกว่านี้ก็เด๋อกันพอดี”
กรองเกียรติจิ๊ปากขัดใจแต่ไม่ได้รบเร้าอะไรต่อ ธันวาไม่รู้หรอกว่าแต่งตัวแบบนี้ทำให้ตัวเองดึงดูดทั้งเพศหญิงและเพศชายมากขนาดไหน ถ้าได้ตัวเมียอย่างที่อีกฝ่ายหวังไว้ก็คงจะดี แต่ถ้ามีตัวผู้มาติดกับก็คงปวดหัวแย่ และเขาเองก็คงไม่แคล้วต้องปวดหัวตามไปด้วยเหมือนกัน
ช่วงเวลาใกล้เลิกงานคือช่วงที่หลายคนพากันไปถ่ายรูปกับฉากสวย ๆ ที่น้องปีหนึ่งทำไว้ให้ เพื่อนร่วมโต๊ะหลายคนลุกออกไปขอสาว ๆ ถ่ายรูป กรองเกียรติเองก็ถูกน้องรหัสดึงตัวไป โต๊ะกลมสิบที่นั่งจึงเหลือแค่ธันวากับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งห่างออกไปสามช่อง
แต่ไม่ทันไรเก้าอี้ข้างกายก็ถูกแทนที่ด้วยใครบางคน
“งานไม่สนุกเหรอครับ” คนมาใหม่ถามขึ้น ธันวาเพ่งมองไม่นานก็ได้ข้อสรุปว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง ตัวสูงพอกัน ไม่หนาไม่บางไปกว่าเขาสักเท่าไหร่
“สนุกดิ”
“ผมเห็นพี่นั่งไม่เอ็นจอยกับใครเลย”
ธันวาหัวเราะ “ง่วงมากกว่า แต่งานสนุกนะ” ไม่วายปิดท้ายด้วยการเอาใจเด็ก
“ผมขอไลน์พี่ได้ไหมครับ”
“เห้ยไอ้น้อง พี่ยังไม่รู้ชื่อเราเลยนะ ขอไลน์แล้วเหรอ”
อีกฝ่ายยิ้ม “ผมชื่อ...”
“ธันวา” กำลังรอฟังชื่อน้องแต่ไหงกลายเป็นว่าได้ยินชื่อเขาดังขึ้นแทนที่กันเล่า เจ้าของเสียงเข้มดุก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รุ่นพี่เดือนแรมคนเดิมเพิ่มเติมคือแผ่รัศมีที่น่ากลัวจนเกินบรรยายออกมา
“ครับพี่แรม”
เดือนแรมคว้าแขนธันวาให้ลุกขึ้นยืนโดยไม่ปรายตามองน้องปีหนึ่งสักนิด “ไปกับกู”
“ไปไหนวะพี่” ร้องถามไปก็ไม่ได้คำตอบ เดือนแรมกึ่งลากกึ่งจูงเขาจนออกมานอกหอประชุมแล้ว
“พี่จะพาผมไปไหน”
“กลับหอเป็นเพื่อนหน่อย ง่วงแล้ว”
ธันวาได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา “พี่เป็นเด็กสามขวบรึไงถึงต้องให้มีคนเดินกลับเป็นเพื่อน”
เดือนแรมหยุดเดินแล้วหันกลับมามองน้อง “มึงเองก็ง่วงไม่ใช่เหรอ ออกมากับกูไม่มีใครกล้าว่ามึงหรอก”
ธันวาคิด ก็จริงของพี่แรม เขาก็แค่เด็กปีสองโนเนมคนหนึ่ง ขืนออกจากงานมาตามลำพังก่อนเวลาเลิกคงได้โดยหมายหัวแย่ แต่ถ้าออกมากับคนมีพาวเวอร์อย่างเดือนแรม อย่างน้อยคงมีคนยอมปิดหูปิดตาได้บ้าง
“ส่งข้อความไปบอกเพื่อนด้วยว่ามึงกลับหอแล้ว มันจะได้ไม่เป็นห่วง”
จังหวะที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมากดพิมพ์หาเพื่อนนั่นเองที่ทำให้ธันวาได้สติว่ามือข้างหนึ่งของตนกำลังถูกอีกคนจับไว้ ไม่รู้ว่าเลื่อนจากแขนลงมาถึงมือตั้งแต่ตอนไหน รู้แต่พอเห็นอย่างนี้แล้วก็รู้สึกเคอะเขินไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
“ปล่อยมือผมก่อนดิพี่”
เดือนแรมเลิ่กลั่กรีบปล่อยมือคนน้องราวกับว่าไม่อยากจะจับเท่าไหร่นักทั้งที่กำลังเพลินกับสัมผัสเลยด้วยซ้ำ
ระยะทางจากหอประชุมใหญ่ถึงหอพักนักศึกษาแพทย์ชายไม่ได้ไกลกันนัก ขามาธันวาใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ แต่ขากลับกลับรู้สึกว่ามันเนิ่นนานกว่านั้นมาก เป็นช่วงเวลาที่นานแต่ไม่อึดอัดเลยสักนิด คงเป็นเพราะตอนนี้เดือนแรมไม่ดุหรือกวนประสาทกันเช่นทุกที
ธันวาเพิ่งสังเกตเดือนแรมเต็ม ๆ ตาก็ตอนนี้เอง คนที่เดินข้างกันมีผิวไม่คล้ำแต่ก็ไม่ขาวมากเท่าเขา รูปร่างสมส่วน สูงกว่าเขาซักสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ เนื้อตัวก็หนากว่าราวกับคนที่ได้ออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อสม่ำเสมอทั้งที่จมจ่อมอยู่แต่กับตัวหนังสือและดนตรีเสียมากกว่า ผมที่เคยปล่อยตามธรรมชาติถูกเซตขึ้นเปิดหน้าผากหวีเรียบแบบเว็ทลุคแต่ไม่ได้ดูเนิร์ด มันกลับเสริมให้ใบหน้าหล่อดุ ๆ ของเขาดูหล่อแบดมากขึ้นไปอีกในแบบที่สาว ๆ ต้องมองกันตาเป็นมัน ทว่ามีบางอย่างบนใบหน้าเดือนแรมสะดุดตาเขาเข้าอย่างจัง ที่ผ่านมาเพราะมัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกันจึงไม่เคยสังเกตเลยว่าริมฝีปากได้รูปนั่นแต้มยิ้มมุมปากอยู่ตลอดราวกับคนอารมณ์ดีเสียเต็มประดา
เดือนแรมเดินมาส่งธันวาถึงหน้าห้อง ไม่มีคำบอกลาใดเหมาะกับสภาวะชวนขัดเขินได้ดีไปกว่าการบอกว่า ‘ฝันดี’ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าห้อง เดือนแรมก็เรียกรั้งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน”
“ครับ?”
“เก่งมาก”
“หือ?”
“วันนี้เล่นเบสเก่งมาก เพิ่งเคยเห็นมึงเล่นสด ๆ”
“อ่า...ขอบคุณครับ แต่ทำไมพี่ไม่พูดแบบนี้ตอนน้อง ๆ ถามละครับ โถ่...ไม่คูลเลย”
“ก็บอกไปแล้วนี่”
“...?...”
“ว่าจะเก็บไว้บอกให้รู้กันแค่สองคน”
TBC.
------------------------------------------------
เรื่องนี้เขียนย้อนไปประมาณช่วงปี 55 เลยนะคะ
เพราะตอนปัจจุบันนี้ธันวาต้องอายุเท่าคุณดีนแล้วค่ะ
เพลงในเรื่องก็จะเก่าๆหน่อย
#แรมเดือนสิบสอง
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์