สิบเก้า สี่วัน
เก้าสิบหกชั่วโมง
จะกี่นาทีก็ช่างมันเถอะ
นั่นคือเวลาทั้งหมดที่เอื้อมอารัญหายไปจากวงโคจรชีวิตโดยสมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อความส่งมาชวนทานข้าวเย็น ไม่มีการแชร์รีวิวเต็มไทม์ไลน์ ไม่มีสักรูปที่อัปโหลดเพื่อให้เขาสบายใจว่ายังโอเคดี
จะว่ากลุ้มใจก็ใช่ ปรัญไม่รู้ว่าวิธีจัดการอารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร คือตัวเขาเองน่ะอยากจะไปบุกถึงบ้านเสียด้วยซ้ำ แต่บางทีเอื้อมอาจอยากอยู่คนเดียวไปอีกสักพักจนว่าเรื่องงี่เง่าทั้งหมดนี้จะซาลง เขาไม่อยากเป็น 'คนใจดีที่ทำเพราะสงสาร' เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายเคยนิยาม
ให้มองจากมุมตัวเองเรื่องมันไม่ได้ลุกลามเหมือนอย่างที่กลัวไปก่อน ตรงกับที่หลายคนบอกว่าข่าวมันมีใหม่ทุกวัน พอไม่มีรีแอกอะไรจากฝั่งของครายวูลฟ์มันก็เลยไม่มีวัตถุดิบให้ปรุงแต่งต่อ มีแค่การขุดเอาเรื่องเดิมขึ้นมาพูดซ้ำ ยังดีที่พอมีเพื่อนในค่ายช่วยกันแก้บางเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นจริง
ไม่มีความคิดตามว่าใครเป็นคนเริ่ม ในโลกเสมือนจริงที่ชื่อว่าอินเทอร์เน็ตสามารถแอบซ่อนตัวตนเอาไว้ได้มิดชิด และเพราะเราคิดว่ากำลังสวมผ้าคลุมล่องหนนั่นแหละมันเลยกลายเป็นความกล้าผิดๆ ที่คอยสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
การทำงานในห้องที่ปรึกษาในวันนี้ยังคงเงียบเหงา แก้วเซรามิกใบเดิมกับแฟ้มบันทึกข้อมูลยังวางเอาไว้ไม่ห่างกัน เหมือนคนจิตตกที่ต้องเปิดดูเสมอว่ามีชื่อของคนที่คิดถึงอยู่หรือไม่ ซึ่งพอไม่มีแล้วก็บอกไม่ได้ว่ารู้สึกดีหรือแย่ยิ่งกว่าเดิม
หมดเวลาทำงานแล้วก็ว่าจะหาซื้อข้าวกล่องกลับขึ้นไปกินบนห้องเลย ตั้งใจทิ้งตอนดึกในวันนี้ไปกับการเปิดหาหนังในเน็ตฟลิกซ์ดู เขาควรหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ถ้าหนังยังฮิลลิ่งไม่ไหวคงต้องเลือกวิธีสุดท้ายอย่างเปิดหนังสือเรียนอ่านแล้วล่ะ
"เอาข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ดาวด้วยครับ"
ไม่อยากจะออกไปไหนไกลก็เลยจบลงตรงโรงอาหารที่ใกล้กับหอพักมากที่สุด เมนูก็เอาจากที่เขียนแนะนำ ทำตัวเหมือนกับคนไม่ชอบเลือกเองบางคนเลยแฮะ
ยังมีคิวรอก่อนหน้าพอควร เพิ่งรู้ว่ามีมนุษย์จำพวกห่อกลับไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นมากี้เหมือนกัน ปันขยับออกมายืนรอตรงริมสุดของร้านไม่ให้ขวางทางเดินใคร มองตรงออกไปยังพื้นที่รับประทานอาหารที่กำลังรับรองประชากรจำนวนมากอยู่เป็นการรอเวลา
...
พลันภาพสีที่ปรากฎต่อสายตาก็กลายเป็นขาวดำยามความคิดบางอย่างสะกิดใจ
จะมีสักที่คนในนี้ที่เคยเห็นภาพของเอื้อมในเพจนั้น แล้วมีใครบ้างที่เข้าไปอ่านแล้วผสมโรงไปด้วย บางคนอาจจะเอาออกมาเล่าให้เพื่อนฟังปากต่อปากจนมันกลายเป็นเรื่องแต่งขึ้นใหม่ เอื้อมอารัญจะกลายเป็น 'คนขี้โกหก' ของคนกี่คนไปแล้วกัน
ข้างนอกมันใจร้ายจนบอกตัวเองว่าอย่าก้าวออกไปอีกเลยต่างหาก ขยะแขยงทุกสิ่งรอบตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ปรัญแทบจะกระชากถุงสินค้าจากคนขายเพื่อรุดกลับห้อง ความคิดเดียวในตอนนี้คืออยากจะกลับไปหลบอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เขามั่นใจได้ว่าเป็นส่วนตัว ไม่มีใครสามารถแทรกแซงเข้ามายุ่งวุ่นวายได้
"อ้าว วันนี้ไม่ไปกินกับคุณเอื้อมเหรอมึง"
บังเอิญเจอฮิวตรงข้างล่างตึกเสียอย่างนั้น เขาฝืนใจส่งยิ้มเล็กๆ ที่คงดูแล้วน่าห่วงมากกว่าเดิมไปให้ก่อนตอบ "เปล่า วันนี้อยู่คนเดียว"
"ห่างกันบ้างเป็นแล้วสินะ"
เอาจริงแล้วก็ไม่ได้อยากห่างไหมล่ะ "เอื้อมเป็นไงบ้าง"
"ก็ดูปกตินะ แค่โพสต์นั้นไม่ทำให้เป็นอะไรหรอก" ไม่มีความกังวลเจืออยู่แม้แต่น้อย ไม่ต่างจากตอนเล่าเรื่องที่บอกว่าเอื้อมเคยบอกอะไรเอาไว้ "สบายใจได้"
"เหรอ..."
"ห่วงอะไรมากมาย เอื้อมไม่เป็นไรหรอกน่า"
เหมือนเป็นคนคิดมากคนเดียวท่ามกลางความ 'ปกติ' ทั้งหลาย ไม่มีใครกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ไม่มีสัญญาณเตือนบ้างเหรอ ทุกคนกลายเป็นคนในหมู่บ้านที่ไม่หวาดหวั่นยามเด็กชายตะโกนร้องขึ้นมาว่าพบเจอหมาป่าอย่างนั้นใช่หรือไม่
ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเลยเหรอว่าเพราะอะไรเด็กชายจึงเลือกการโกหก
"กูไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกมึงถึงไม่ห่วงมากกว่า"
"ทีมคุณเอื้อมแนะนำให้ไปอยู่กับไนน์นะ กูทีมแอนตี้จ้า" เป็นความสัมพันธ์ที่รักไปพร้อมกับเกลียดอย่างแท้จริง เขาชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอื้อมถึงไม่พูดให้เหนื่อยเปล่า ก็มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักอย่างนี่นา “บอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับเอื้อม เป็นอย่างที่กูบอกใช่ไหมล่ะ”
"ฮิว กูถามได้ไหมว่าเรื่องพวกนั้นจริงหรือเปล่า"
อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นก่อนถาม "หมายถึงเรื่องไหน เจาะจงหน่อย"
"เรื่องพ่อ"
เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปิดปากสนิท พอเห็นว่าเขายังคงรอคอยคำตอบอยู่จึงถอนหายใจออกมาก่อนเริ่มเล่า "ตัวเนื้อข่าวจริงไม่จริงไม่รู้ แต่มีนักข่าวพยายามหาข้อมูลด้วยจริง กูเคยได้ยินแค่เพื่อนเล่าว่ามีหลายคนกล้าเข้าไปถามว่าพ่อเป็นชู้จริงไหมด้วย ส่วนเอื้อมมาเรียนตามปกติแต่ไม่เข้าซ้อม"
“...เหรอ”
"ดูไม่ค่อยตกใจนะ"
ลำคอแห้งผากจากการเอ่ยเพียงคำเดียว ปรัญแหงนหน้ารับแสงจากหลอดไฟที่จ้าจนแสบตา "เริ่มชิน...แล้วมั้ง"
ยิ่งได้รู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากการกระทบเพียงแค่ครั้งเดียว หากเป็นการสะสมจนแรงยึดทั้งหมดนั้นมันพังทลายลง ปรัญจึงหมดความสงสัยแล้วว่าเพราะอะไรเด็กชายคนนั้นถึงไม่หยุดร้องไห้เสียที
"ล่ะนี่ทำไมถึงห่างกันได้ เกิดอะไรขึ้น"
"ก็ใครล่ะบอกว่าใจดีเกินไป" มันเจือความหัวเสียเอาไว้จนเต็มประโยค ภาพสายตาว่างเปล่าในวันนั้นยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำ
"นี่ก็เลยเป็นคนใจร้ายแล้วไง" พอผ่านมาอีกสัปดาห์หนึ่งก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งเหมือนอยากที่ปากเคยบอก
เจ็ดวันคือหนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมง บวกกับของเดิมไปอีกนี่เกินสองร้อยชั่วโมงเข้าไปแล้วนะ เอื้อมจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้จริงๆ เหรอ
การสอบก็ใกล้ถึง งานในห้องที่ปรึกษาก็ยังต้องทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูหนังเลย นี่เขามองตารางการเดินทางแล้วก็อยากให้มีเครื่องวาร์ปจากโรงหนังกลับมาหอ มันจะช่วยเพิ่มชั่วโมงการอ่านหนังสือของเขาได้เยอะ
นี่วันนี้ไม่ใช่เวรปกติก็ต้องมาทำเพราะว่าพี่ปีสองที่ดูแลประจำขอแลก ส่วนพรุ่งนี้ที่เป็นเวรตัวเองก็ยังต้องมาตามเดิม ปรัญเข้าใจว่าช่วงสอบมันก็ทำให้สติแตกอย่างนี้ล่ะนะ นี่ดูในแฟ้มมีคนเข้ารับบริการสี่คนแล้วตั้งแต่เช้า คิดว่าครึ่งบ่ายนี่ต้องมีหนึ่งไม่ก็สองคนแน่
มีชื่อของเอื้อมอารัญปรากฎเมื่อสามวันที่แล้ว ระดับความถี่เริ่มกลับมาคล้ายช่วงแรกที่เราได้คุยกัน แม้จะยังกลุ้มใจเรื่องที่ได้ยินมาในวันนั้นแต่เขาก็ยอมรับเลยว่าการที่ยังเห็นลายมือนี้มันก็ยังช่วยคลายห่วงได้หน่อย
เขาไม่กล้าถามว่าเอื้อมเข้ามาคุยด้วยสาเหตุใด ตอนแรกก็คิดไปเองว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนิสัยชอบโกหก พอได้รู้จักมากขึ้นก็มีเรื่องพ่อเข้ามาอีก เอาเป็นว่าเขาไม่แปลกใจแล้วที่เข้ามาใช้บริการที่นี่บ่อยจนเหมือนว่าจะสนิทกับอาจารย์
ไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าไปดูว่าในเฟซบุ๊กมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง แอปเมจเซนเจอร์ก็ลบทิ้งชั่วคราว ทำได้แค่หมกตัวอยู่ในทวิตเตอร์ทั้งวันเพื่อไม่ให้บังเอิญไปเจออะไรที่ทรมานจิตใจ เขาไม่อยากจะต้องรับรู้ว่าการห่างของเรามันเป็นผลดีกับเอื้อมมากกว่าหรือเปล่านี่นา
ก็บอกไม่ได้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ยอมทำอย่างที่อีกฝ่ายขอ เขาก็ยังเป็นคนใจดีที่ยอมถอยเพื่อให้ความสบายใจกับคนอื่น แม้ว่ามันจะกลับกลายมาเป็นการทำร้ายตัวเองก็ตาม
เหยียดตัวบนเก้าอี้ตามท่าที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะนั่งไม่นานก็ไม่ควรปล่อยให้มันสะสมเรื้อรังจนกลายเป็นโรคติดตัว เขาไม่อยากจะมีอาการปวดติดตัวทั้งที่อายุเพิ่งขึ้นเลขสองหรอกนะ
สายตาเหลือบไปเห็นว่ามีแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างติดอยู่ตรงซอกข้างซีพียูของคอมพิวเตอร์ประจำห้อง ก็เลยก้มตัวยื่นแขนออกไปหยิบแบบที่คนขี้เกียจเขามักจะทำกัน เสียงประตูกระจกเปิดออกที่แว่วเข้ามาแทนการบอกว่างานในวันนี้ก็ยังไม่มีทางเสร็จได้ง่ายๆ ถ้าเป็นพวกที่เคยเข้ามาแล้วก็น่าจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อล่ะ
"ลงชื่อ..."
ดึงตัวกลับมานั่งหลังตรงได้ภายหลังจากที่จัดการกับกระดาษเจ้าปัญหาเรียบร้อย ไม่อาจเอ่ยออกมาได้เต็มทั้งประโยคเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ชัด
เอื้อมอารัญ
คล้ายว่าเป็นการเล่าซ้ำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ต่างคนต่างนิ่งไปไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มต้นฉากการเล่นองก์ถัดไป ปรัญรู้ตัวว่ามันดูไม่ดีที่เขามองช่วงนัยน์ตาเป็นอย่างแรกว่าวันไหนมันดูแย่ยิ่งกว่า แล้วก็สรุปได้ว่ามันแย่พอกัน
"วันนี้อาจารย์อยู่นะ" มันคือการหลุดประชดที่ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ ปรัญไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายเอาแต่คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นสิ่งผิด เอื้อมไม่เคยหลอกหรือโกหกให้เขาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะครั้งไหนก็เป็นเขาที่เต็มใจทำให้เสมอโดยไม่มีข้อแม้
"ส่วนเราก็อยู่ตรงนี้เหมือนกัน" เป็นการเดิมพันที่สูงจนน่ากลัว คงลืมไปว่านี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ไม่ว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นไรมันก็ไม่มีผลกระทบต่อความเป็นจริง
ริมฝีปากของเอื้อมเม้มเข้าหากันจนเห็นชัด คนที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตูนิ่งไม่ไหวติงจนเขาเป็นฝ่ายขยับลุกขึ้นเอง การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นการคุกคามสร้างความระแวงให้หนึ่งระดับเห็นได้จากการถอยหลังออกไปยืนนอกห้อง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงจนเขาไม่กล้าทำอะไรอีก
วิธีการสร้างความคุ้นเคยให้กับแมวที่กำลังสับสนคือไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปจับตัว ระยะห่างที่ดูเป็นการเข้ามาอย่างเป็นมิตรคือสิ่งจำเป็นที่สุด
ภาวนาให้อย่าเพิ่งมีนักศึกษาเดินเข้ามาทำให้เสียเรื่อง รวมถึงขอให้เอื้อมอย่าเพิ่งตัดสินใจหนีหายไปอีกครั้ง
ปรัญไม่ชอบความน่าอึดอัดนี้เอาเลยเสีย เขาชอบให้มันเป็นพื้นที่ที่ได้เห็นเอื้อมเดินเข้ามาพร้อมกับชาเขียวปั่นในมือ เล่าบ่นเรื่องที่เจอมาให้ฟังเจื้อยแจ้ว จากนั้นก็รอให้หมดเวลาทำงานเพื่อที่ว่าจะได้ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน
ไม่ใช่ความห่างเหินอย่างนี้
จับความรู้สึกได้เลยว่าผิดหวังเพียงใดตอนที่เอื้อมปิดประตูลง เขากลายเป็นผู้ชมที่มองการแสดงจากหน้าจอการฉาย จับจ้องทุกอากัปกิริยาตั้งแต่บานประตูเคลื่อนตัวปิดสนิท กระจกใสบอกได้ว่าคนตรงนั้นมองไปที่อื่นไม่เหลียวกลับมาสักนิด
"เมื่อกี้เอื้อมมาเหรอปัน?"
สะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงแทรกระหว่างที่ความคิดยังตีกันไม่จบ ปรัญหมุนตัวกลับมาแสร้งยิ้มกลบรอยเศร้าเอาไว้พลางตอบ "รู้ได้ยังไงครับว่าเป็นเอื้อม"
"ก็มีคนเดียวที่มาหาปันนี่" นั่นหมายความว่าระดับความถี่อยู่ในขั้นจับสังเกตได้เลยสินะ "แค่แวะมาทักเหรอ"
มองซ้ายขวาแล้วก็เห็นแค่เขาคนเดียวยืนอยู่นี่นา "อ่า...ครับ"
"ทะเลาะกันหรือเปล่า"
"...คิดว่าไม่นะครับ"
"มีอะไรก็คุยให้เคลียร์ รีบหน่อยก็ดี"
"ผมก็ไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรอกครับ" จะว่าไปแล้วคนที่รู้เรื่องเกือบทั้งหมดคงไม่พ้นอาจารย์นี่แหละ ถึงจะถามออกไปตรงๆ ไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ระบายหน่อยเถอะ "อีกคนต่างหาก"
“เอื้อมน่ะต่อกลับมาติดให้สนิทเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ รู้ใช่ไหม”
“...รู้ครับ”
“อืม ดีแล้ว”
อาจารย์พยักหน้าขึ้นลงสองสามครั้ง ท่าขยับตัวหมุนกลับไปเตรียมเข้าห้องส่วนตัวเรียกให้ปรัญต้องรีบเอ่ยปากเรียกออกไปก่อน
“แล้วมันไม่แปลกใช่ไหมครับถ้าผมไม่คิดจะต่อกลับ แค่ขอเก็บชิ้นส่วนพวกนั้นเอาไว้ก็พอ”
อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองทำหน้าประหลาดเหรออาจารย์ถึงอมยิ้มคืนมาให้อย่างนี้ “ไม่นะ”
“ขอบคุณครับ”
รอจนบริเวณนั้นเหลือเพียงเขาคนเดียวถึงถอนหายใจออกมาได้สะดวก ปากก็รับคำไปเหมือนว่าจะจริงจัง เอาเข้าจริงแล้วให้เริ่มต้นตรงไหนเขายังไม่รู้เลย
ให้ไปขอข้อมูลจากฮิวก็ไม่น่าจะช่วยอะไร ดีไม่ดีอาจโดนด่ากลับมาเจ็ดชั่วโคตรก็เป็นได้
ปรัญตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องเป็นครั้งสุดท้าย ปลงแล้วว่าวันนี้อาหารเย็นก็คงเป็นร้านข้าวใกล้หอเช่นเดิม ช่วงนี้เหมือนว่าไม่เจริญอาหารเท่าที่ควรด้วย
เดินไปยังมุมเก็บจักรยานเสือภูเขาคันเดิมที่รู้สึกขอบคุณทุกครั้งยามเห็นมันจอดอยู่ที่เดิมไม่โดนใครขโมยไป นี่เพื่อนก็เพิ่งเล่าว่าโดนขโมยจักรยานที่เพิ่งซื้อมาได้แค่สองวัน น่าสงสารไม่น้อยเลยล่ะ แล้วมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่น่าพึงพอใจสำหรับเรื่องนี้เลย
สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณกระเป๋าหน้า เขารีบควานหาเครื่องมือสื่อสารสารพัดประโยชน์พลางนึกไปว่ามีใครที่อยากจะติดต่อเขาในเวลานี้บ้าง
ชื่อที่ปรากฎคำว่าเอื้อมอารัญทำให้ลืมทุกอย่างที่คิดค้างเอาไว้ก่อหน้า รีบกดรับสายแล้วเอาแนบหูทันที
(ปันบอกว่าจะอยู่กับเราใช่ไหม...?)
"…"
(งั้นช่วยมาหาเราตอนนี้เลยได้หรือเปล่า)
ไม่เคยเกลียดคอนโดของเอื้อมเท่าวันนี้มาก่อน
เพราะกว่าจะหาทางขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าได้นี่ต้องงัดสารพัดเรื่องขึ้นมาอ้าง ยังดีที่เจอเจ้าหน้าที่ใจดีที่เคยเอาขนมมาฝากตอนกลับจากเชียงใหม่ก็เลยคุยกันง่ายหน่อย ถึงอีกใจหนึ่งจะคิดว่าเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพเลยก็เถอะ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องหลักที่ต้องสนใจ
ตัวเลขดิจิทัลบอกเลขชั้นขยับขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่รัวเร็ว เขาแทบจะปั่นจักรยานแบบสี่คูณร้อยออกมานอกรั้ว บ้าดีเดือดพอที่จะปั่นสวนเลนออกไปยังเส้นทางที่นำไปสู่ห้องพักขอเอื้อมอารัญ จอดมันเอาไว้ส่งๆ ไม่กลัวหายเหมือนอย่างทุกทีเพื่อให้สามารถกระโจนพุ่งเข้ามาได้เร็วที่สุด
เอื้อมบอกว่าตัวเองกำลังอยู่บนดาดฟ้าของตึกคนเดียว
เช่นเดิมเหมือนที่เป็นมาเสมอ
ขนาดไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้ายยังรู้เลยว่ามันมีข้อความใดแฝงอยู่ อันตรายที่หลายคนเคยบอกว่ามันเป็นแค่คำโกหกไม่มีความน่าเชื่อตอนนี้พาเอาความตึงเครียดทั้งหมดมากองเอาไว้อยู่ภายในความคิดเขาที่เดียว
กลัว
กลัวว่าตนเองจะมาไม่ทันการณ์
ประตูดาดฟ้าเปิดเอาไว้อยู่แล้ว เขาพุ่งออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว หันซ้ายขวามองหาร่างของใครอีกคนด้วยความกระวนกระวายเต็มหัวใจ ราวผ้าที่มีตั้งแต่แบบเอาเชือกมาแขวนไว้ลวกๆ และราวเหล็กวางระเกะระกะบอกว่ามันเป็นสถานที่สำหรับตากผ้าของนักศึกษาอย่างที่เคยได้ยินมา
ลัดเลาะไปตามบริเวณต่างๆ เพื่อตามหาคนที่โทรมาก่อนหน้า จากมุมแรกไปสู่มุมที่สองของตึก จนกระทั่งพบใครบางคนนั่งห้อยขาออกไปด้านนอกอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว ท้องฟ้ายามตะวันคล้อยตัวลงเป็นพื้นหลังเสริมให้บรรยากาศหม่นหมองจนไม่กล้าขยับ
ปรัญตั้งคำถามที่ไม่มีใครตอบได้
หากว่าเขาไปอยู่เคียงข้างตรงนั้นมันจะเป็นอย่างไรนะ
ไม่มีทางรู้คำตอบนอกจากลงมือทำ ปันก้าวขยับเข้าไปจนเกือบชิด สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเรียกชื่ออีกฝ่าย
"เอื้อม..."
เจ้าของชื่อหันกลับมาเชื่องช้า นัยน์ตาเปี่ยมหวังกับริมฝีปากที่กำลังขยับข้างจนปรากฎรอยยิ้มจางสวยงามกว่าครั้งไหน
เขาคงไม่มีทางลืมใบหน้าของเอื้อมอารัญตอนนั้นได้ตลอดกาล
"ปันมาจริงด้วย..."
"ทำไมถึงพูดอย่างนั้น"
"ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มานี่นา"
นอกจากจะเอ่ยออกมาสบายๆ แล้วยังตบขอบปูนข้างตัวชวนให้นั่งด้วยกันอีกต่างหาก ปันทิ้งกระเป๋าเป้ของตัวเองไว้ด้านในระหว่างชะโงกมองออกไปสำรวจความปลอดภัยด้านนอก ยังดีที่ตึกออกแบบมาให้มีขอบปูนยื่นออกไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะต้องเครียดมากกว่านี้หลายเท่าแน่
“พูดเหมือนเลือกได้เลยเนอะ ทั้งที่จริงคือนอกจากปันเราก็ไม่มีใครแล้ว”
“...”
มันเป็นการตอกย้ำลงไปซ้ำๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่าสังคมมนุษย์น่ากลัวแค่ไหนสำหรับเอื้อมอารัญ
"ถามจริงนะ ไม่เคยสงสัยเหรอว่าทำไมเราถึงติดแจอย่างนี้"
จากคนที่รู้จักกันแค่ชื่อจริงนามสกุล และไม่มีการทักทายที่มาไปกว่าการส่งยิ้มให้ กลับกลายเป็นความคุ้นชินที่จะต้องมีอีกฝ่ายอยู่ด้วยเสมอ
“ไม่นะ”
"วันนั้นเราตั้งใจจะฆ่าตัวตายแหละ" ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ออกมาได้ทั้งที่มุมปากยังขยับองศาขึ้นอยู่ ในขณะที่มั่นใจเลยว่าตัวเองต้องทำหน้าตึงใส่เรื่องเล่านี้ไปแล้วอย่างแน่นอน
"…"
"เราไม่ใช่โรคซึมเศร้า ตั้งแต่มัธยมแล้วที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่ทำให้อยากหายใจอยู่แล้วก็เท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าทำสักทีเพราะว่ากลัวมันจะไปเดือดร้อนคนอื่น ก็ถ้าตายในหอคนทั้งตึกคงสยองขวัญ จะให้กลายเป็นศพไร้ญาติก็เหนื่อยแม่ต้องตามไปพิสูจน์อีก จนเราว่าทางที่ดีที่สุดก็คือขับรถชนเสาไฟนี่แหละ ก็เลยว่าจะไปหากับอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายหน่อย ยังไงอาจารย์ก็ช่วยคุยกับเราตั้งเยอะ"
"...แต่ไปเจอเราแทนใช่ไหม" วันที่เดินเข้ามาพร้อมกับ 'รอยร้าว' ที่บอกตัวเองเสมอว่าไม่อยากเห็นอีกแล้ว
"อือ รู้ไหมว่าตอนนั้นปันเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เราตัดสินใจอยู่ต่อ"
"…"
"ปันทำให้เราคิดว่าคนที่ใจดีกับคนอย่างเรานี่ต้องประหลาดแค่ไหนนะ" ความเย็นจากสายลมชั้นดาดฟ้าเทียบไม่ได้กับเรื่องเล่า ปรัญขยับตัวเข้าไปใกล้ในระยะที่มั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที "เราเห็นแก่ตัวเนอะ"
"ไม่เลยนะเอื้อม"
"เนี่ย จนถึงตอนนี้ปันก็ยังใจดีเหมือนเดิมเลย"
ไม่มีความสั่นผสมอยู่ในการเล่า เอื้อมอารัญยังยืนหยัดอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที
"เราอยากให้ปันใจร้ายกับเราสักเรื่องได้ไหม"
"ไม่"
"นี่ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเรื่องอะไร"
"ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็จะเป็นคนใจดีของเอื้อมต่อไป" ยืนกรานว่าจะไม่มีทางทำสิ่งที่เป็นคำร้องขอต่อจากนั้นเด็ดขาด เคลื่อนไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้จนแน่นจนมั่นใจว่ามันจะส่งผ่านความจริงใจไปถึง "เราไม่ปล่อยเอื้อมไปหรอกนะ"
เอื้อมอาจจำไม่ได้หรอกว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ มันคงจะเป็นอีกหนึ่งคำยืนยันว่าปรัญไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดเป็นเรื่องความสงสาร
“แต่...”
ไม่อยากจะได้ยินคำท้วงอะไรอีกแล้วเลยโน้มตัวเข้าไปปิดด้วยริมฝีปากของตัวเองเสีย ปรัญเป็นฝ่ายเริ่มที่ดูแล้วจะเต็มไปด้วยความเคอะเขินมากกว่าสองครั้งที่ฝ่ายมา เขาไม่เร่งร้อนในการเชื้อเชิญ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามจังหวะและขั้นตอนตามที่ควรจะเป็น
ตอนแรกก็ยังเม้มปากเอาไว้อยู่แหละ ถือเอาเองว่าการที่อีกฝ่ายยอมขยับองศาของศีรษะให้พอดีเป็นการยอมรับ มือข้างหนึ่งยกขึ้นประคองส่วนท้ายทอยของเอื้อมอารัญเอาไว้ เราแลกสัมผัสที่มีความหมายแฝงเอาไว้พักใหญ่ และในช่วงเวลาที่เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเราตรงกันจึงผละออกช้าๆ
“คราวนี้ยังจะถามอีกไหมว่าทำไมเราถึงจูบเอื้อม”
“...ถาม” เสียงแผ่วเบาดูไม่มั่นใจนั่นมันน่ารักยิ่งกว่าอะไรดี
“เราชอบเอื้อม” “...”
"เพราะงั้นจะให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้างก็เถอะ มันเป็นเรื่องในอดีตที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีใครเข้าใจก็ช่างเขา มีแค่เราที่เชื่อเอื้อมคนเดียวก็ได้ เพราะอย่างนั้นอยากจะดึงเราเอาไว้เท่าไหร่ก็ทำเลย"
ต่อให้ใครจะไม่เชื่อคำที่ตะโกนร้องบอกว่าหมาป่ากำลังขย้ำฝูงแกะ เขาก็ยังยืนยันที่จะเป็นคนเดียวที่คอยซับน้ำตาของเด็กชายจนกว่าเขาจะหยุดร่ำไห้
“เอื้อมยังไม่ต้องบอกก็ได้ว่าคิดกับเราแบบไหน เอาจริงเราก็ไม่ค่อยถนัดบทโรแมนติกอะ” เกาแก้มแก้เขิน รู้สึกว่าการกระทำเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าคำพูด และเชื่อว่าที่ผ่านมาตนเองก็แสดงออกชัดเจนพอ “หน้าเราแดงปะ”
“แดงมาก หัวก็ยุ่ง”
ผงกหัวขึ้นลงเป็นสิ่งประกอบ เอื้อมยื่นมือออกมาฃ่วยจัดแต่งให้มันเข้าทางอยู่ครู่ใหญ่โดยมีสายตาของเขาคอยจับจ้องทุกอากัปกิริยา ไม่รู้ว่าผอมลงไปหน่อยหรือเปล่าถึงดูแก้มหายไป ถ้ากินแต่ชาเขียวปั่นล่ะเขาจะตีให้
“...”
และยามที่นัยน์ตาของอีกคนเปลี่ยนมาจ้องมองที่เขา ช่วงเวลาแห่งความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความลังเลใจบางอย่าง เอื้อมอารัญเคลื่อนฝ่ามือมาแตะตรงไหล่ หลุบตาลงไม่ยอมสบสายตากับเขาจนใจหายวูบว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หากทั้งร่างที่โถมเข้ามามันกลบทุกอย่างให้หายไปทันตา
ได้แต่รีบสวมกอดเอาไว้ให้แน่นไม่แพ้กัน สูดเอากลิ่นหอมบางอย่างจากเสื้อผ้าเข้าไปลึกสร้างความมั่นใจว่าในเวลานี้เขามีเอื้อมอารัญอยู่ในความครอบครองจริง
“ขอบคุณที่มานะ” คำนั้นอู้อี้อยู่ข้างหู “ชอบปันเหมือนกันด้วย”
ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ คลี่ยิ้มเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกแล้วพอผละออกจากกันก็เห็นได้ชัดว่าคุณเอื้อมตาแดงแค่ไหน
“จะร้องไห้ทำไม ต้องยิ้มสิ”
“ไม่ได้ร้อง!”
“ไม่ร้องก็ได้ ...งั้นไปกินข้าวเย็นกันเนอะ" ตบเข่าเตรียมตัวลุกขึ้น แม้จะรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ก็ยังเป็นฝ่ายยืนด้านนอกเพื่อป้องกันอันตรายเอาไว้ “ให้เอื้อมเลือกร้านเลย”
รอจนกว่ามั่นใจว่าเอื้อมอารัญจะข้ามไปอยู่ในโซนปลอดภัยแน่นอนจึงก้าวตามไป หยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาระหว่างได้ยินเสียงเรียกชื่อตนอีกครั้ง
"นี่ปัน"
"ครับ?"
"...ไว้ไปดูหนังด้วยกันนะ"
“หือ...”
“คราวนี้เราจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
"ได้เลย"
"มึงทำตัวเหมือนเรียนคณะนี้เข้าไปทุกวัน"
"เหรอ ก็ไม่นะ"
ปรัญลอยหน้าลอยตาใส่คำประชดของอดีตเพื่อนในกลุ่มทำงาน ชะโงกหน้าไปทางมุมตึกที่ไม่มีใครเดินตามมาสักที
"คุณเอื้อมยังไม่ออก มันไม่ใช่คนค้นพบสัจธรรมอย่างกู" เลิกคิ้วให้รู้ว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ไหนเอื้อมบอกว่าสอบวิชาวิทยาการการแปรรูปอะไรสักอย่าง ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาสักหน่อย "หมายถึงกูตรัสรู้ว่าถ้าทำไม่ได้ก็ออกมาเถอะ อย่าฝืนต่อไปเลย"
"อ๋อ..."
"ล่ะนี่เลิกไวเหรอ ปกติไม่ได้มาเวลานี้"
"พอดีมีพรีเซนต์เลยเสร็จเร็ว"
"เออดี เลยรีบมาเฝ้าเจ้าของ"
ชินไปแล้วล่ะเวลาได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกจากฮิว นี่ยังถือว่าเบานะเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เอื้อมเปิดตัวทางเฟซ เขาโดนทั้งตัวอักษรแล้วก็เสียง เหมือนว่าวันไหนที่อารมณ์ไม่ดีก็เดินดุ่มมาเคาะห้องเพื่อสบถคำผรุสวาทใส่ให้สบายใจ พอระบายหมดแล้วก็ไป
ทิ้งให้เขาเป็นฝ่ายต้องสรุปจับใจความเอาเองว่ามันมีเนื้อหาอะไรบ้าง
"ภาคบ่ายก็มีเรียนตัวบังคับใช่ไหม จะได้ไปกินแค่โรงใกล้ๆ"
"ถ้าไม่ได้ชวนกูไปกินด้วยจะไม่ตอบ"
ก็เลยแกล้งทำเป็นเศร้าเสียเต็มประดา ปันชอบการยืนหยัดว่าเป็นทีมแอนตี้ของเพื่อนคนนี้เหมือนกัน คือเข้าใจเลยที่เคยบอกว่าเป็นเพื่อนกันมานานจนไม่รู้ว่าจะเกลียดกันไปเพื่ออะไร ฮิวน่ะทำเป็นบ่นนั่นนี่แต่เอาเข้าจริงแล้วก็โทรมาว่าทำรายงานส่วนของตัวเองเสร็จแล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก
ด้วยรักและเกลียดตลอดไป
"ไว้วันหลังถ้าเจอรีวิวอันไหนน่าสนจะชวน"
ส่วนนิสัยที่ชอบตะลอนหาของตามรีวิวนี่ยังเลิกไม่ได้ ที่ดูมีพัฒนาการขึ้นหน่อยก็เรื่องกล้าลองอะไรแปลกใหม่อย่างที่ไม่มีเขียนในรายการแนะนำ ถ้าชอบอะไรก็จะสั่งเลยแล้วเอามาลุ้นกันเอง
นี่เดือนหน้าว่าจะไปเขาแหลมหญ้า เอื้อมส่งลิงก์มาให้รอบที่สามแล้วเท่ากับว่าอยากไปจริง
"เป็นพระคุณมาก"
"ไม่ต้องเกรงใจ เพื่อนกัน"
สงสัยทำตัวกวนบาทาเกินไปหน่อยก็เลยเกือบได้วางมวยกันตรงนี้ ฮิวยืนพิงกับเสาที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายฝั่งตรงข้ามไม่ได้ลงมานั่ง ก็จับเจ่าอยู่บนเก้าอี้ในห้องตั้งนานสองนานคงอยากจะยืดเส้นยืดสายเสียบ้าง
เพื่อนคนกลางเงียบไปสักพักใหญ่จึงเปิดปากอีกครั้ง "นี่...ไม่คิดเหรอว่าความจริงแล้วเอื้อมมันโกหกเพื่อให้มึงติดกับอะ"
สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้นคือการลุกขึ้นพร้อมสะพายกระเป๋าให้เรียบร้อยเมื่อเหลือบเห็นร่างที่ถูกดูดวิญญาณของอีกคน ที่เห็นแต่ไกลคือเอื้อมทำหน้าบูดจนมั่นใจว่าต้องฟังเรื่องข้อสอบไปอีกสักพักแน่
ปรัญขยับยิ้มมุมปากไม่มีความหมาย
"บางที
ความจริงอาจเป็นกูที่สร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเพื่อเก็บเอื้อมเอาไว้คนเดียวก็ได้นะ"
แด่คุณผู้แหลกสลาย
...
..
.
ไม่มีความจริงในความจริง
***
Talk ด้านล่างนะคะ