พิมพ์หน้านี้ - × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: 23August ที่ 23-02-2018 22:48:03

หัวข้อ: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 23-02-2018 22:48:03
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**********

23August's World

- เรื่องยาว -
"ที่หนึ่ง" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48590.0) • ♚ PITCH BLACK ♛ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53263.0) • | Fairy Tells ░ หลอก ลวง รัก | (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57367.0) •  × ไม่มีความจริงในความจริง × (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66291.0)
Now Loading
มิอาจก้าวล่วง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67260.0)

- เรื่องสั้น -
FREEZE | FLY (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50166.0) • With Love, ด้วยรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55144.0) • ﹉ RESTART ﹍ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61080.0) • สมุดกระจก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64163.0) • ROOM (ex) MATE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66976.0) • E I L V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69445.0)

หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × หนึ่ง [4.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 04-03-2018 17:48:08
ไม่มีความจริงในความจริง

หนึ่ง
 
   แนะนำตัวหน่อย

   ชื่อปรัญ ชื่อเล่นปัน เป็นนักศึกษาโครงการทุนผู้มีศักยภาพประจำปีนี้ครับ

   เด็กโครงการต้องทำอะไรบ้าง?

   เยอะแยะ แล้วแต่ว่าจะถูกเรียกไปใช้งานในส่วนไหน บางคนอยู่ห้องธุรการ ห้องฝ่ายการนักศึกษา อย่างเราก็ได้อยู่งานที่ปรึกษา

   มีเก็บชั่วโมงการทำงานไหม?

   มีแต่เหมือนไม่มี คือปกติแล้วพอจบเทอมจะต้องให้หัวหน้าฝ่ายงานเซ็นต์ผ่านไง ถ้าไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเป็นประจำก็เตรียมโดนริบทุนได้ ดีไม่ดีถูกเรียกเก็บย้อนหลังด้วย เหมือนว่าในสัญญาจะเขียนเอาไว้นะ

   ดูเหมือนว่าจะเคร่ง?

   พอคิดว่าได้เงินค่าจ้างด้วยแล้วมันก็พอหักลบกันได้

   ตั้งแต่ทำงานในโครงการมา มีเรื่องอะไรน่าสนใจไหม?

   (คิดนานมาก) มันก็มีแหละ...ทุกเรื่องเป็นอะไรที่ใหม่ น่าสนใจทั้งหมด

   มีอะไรอยากจะฝากบอกเด็กที่จะเข้ามาในโครงการนี้ปีหน้าบ้าง?

   ก็ลองดูถ้าคิดว่าคุณสมบัติผ่าน ได้เรียนฟรีมีเงินใช้ แล้วมาเป็นมนุษย์แรงงานด้วยกันนะครับ (ยิ้มกว้าง)

   กระดาษเอสี่ที่ข้างหลังเป็นแผ่นอนุมัติโครงการกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีที่แล้วพร้อมกับแผ่นโพสต์อิทสีเขียวมะนาวที่เขียนข้อความว่า 'ให้ปันเปลี่ยนประโยคให้ดีกว่านี้' และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ที่แทนอารมณ์โกรธถูกวางลงกับโต๊ะทำงานตัวเล็กข้างโน้ตบุ๊กรุ่นกลางของตัวเองที่ใช้งานมาได้นานพอสมควรแล้ว

   "ก็บอกให้ตอบอย่างที่คิด นี่ก็ทำให้แล้วไง"

   บ่นไปแบบที่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ ปรัญยังเขม่นตาใส่สิ่งไม่มีชีวิตอยู่อีกสักพักหนึ่งจึงรู้สึกตัวว่ากำลังโดนจ้องมองอยู่

   ถอนหายใจแบบที่ดูแล้วแนบเนียนที่สุด เงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มที่เห็นนิดเดียวก็รู้ว่ามันไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ให้กับคนมาใหม่ ผู้ชายที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบพร้อมกับกระเป๋าใส่เอกสารแบบหนังสีน้ำตาลเข้ม มีตุ๊กตาช้างสีเขียวพาสเทลที่เคยเห็นแต่ไม่รู้จักชื่อคล้องเอาไว้ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   คนมาใหม่หยิบแฟ้มที่เขียนไว้บนหน้าปกว่ารายชื่อผู้เข้ารับบริการพร้อมกับเปิดไปยังหน้าสุดท้ายเองเสร็จสรรพ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีในการเขียนข้อมูลทั้งหมดลงไป

   "เข้าไปได้เลยใช่ไหม"

   "ได้ วันนี้โล่ง"

   "ขอบคุณ"

   และนั่นคือบทสนทนาทั้งหมดของเรา ผู้ชายคนนั้นเดินตรงเข้าไปด้านในส่วนที่กั้นเอาไว้เป็นห้องสำหรับการพูดคุยส่วนเขาเองก็นั่งอยู่ที่เดิม

   มันก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาแต่ถามว่าชินไหมคงบอกตามตรงว่าไม่ เด็กโครงการผู้รับหน้าที่เป็นฝ่ายต้อนรับของแผนกให้คำปรึกษาเอื้อมมือไปหยิบเอาแฟ้มที่ยังเปิดค้างเอาไว้ที่หน้าสุดท้ายมาไว้กับตัว หมุนเก้าอี้ออกไปทางด้านขวาที่มีอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในงานราชการเท่านั้นตั้งอยู่ ขยับเมาส์เพื่อรันโปรแกรมจากการพักหน้าจอจากนั้นก็เข้าไปยังส่วนบันทึกประวัติ

   คือไม่เข้าใจมากกับการให้คนมาใช้บริการเขียนชื่อตัวเองลงในเล่มเพื่อให้นักศึกษาอย่างเขากรอกเข้าไปในเซิฟเวอร์อีกรอบ กลัวว่าจะไม่มีงานทำจนไม่คุ้มกับค่าจ้างหรือไง

   กดไปตามส่วนต่างๆ ของแบบฟอร์ม ตั้งแต่ประเภทของผู้ใช้งาน วันเดือนปีที่เข้ารับบริการ รหัสนักศึกษา

   "เอื้อม...อา...รัญ"

   ทำเป็นท่องไปอย่างนั้นแหละ นิ้วที่พรมอยู่บนคีย์บอร์ดนี่ขยับไปตามความเคยชินแล้ว เขาเติมนามสกุลลงไปข้างท้ายก่อนที่จะตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนที่จะกดส่งข้อมูลไป

   ยังว่างอยู่เลยไล่สายตาดูว่าในรอบเดือนที่ผ่านมามีผู้เข้าใช้บริการมากเท่าไหร่ ส่วนที่เตะตาคงไม่พ้นลายมือตวัดแบบเฉียงอ่านยากที่โผล่มาถึงสามครั้งในรอบสามสัปดาห์ก่อนหน้า ก็คนที่เข้ามาใช้บริการคนล่าสุดนี่แหละ

   นักศึกษามหาวิทยาลัยกับโรคทางจิตเวชเป็นเรื่องปกติ นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ประจำห้องบอกเมื่อเข้าเทรนและทำความเข้าใจเนื้องานวันแรก จะบอกว่าโชคดีกว่าเพื่อนที่ถูกส่งไปยังห้องฝ่ายการนักศึกษาก็พูดได้ไม่เต็มปาก ขณะที่เพื่อนเหล่านั้นต้องวิ่งวุ่นกับปัญหาสารพัดตลอดทั้งปี บางวันเขาสามารถนั่งแกร่วอยู่ตรงโต๊ะตัวนี้ได้โดยเจอผู้เข้าใช้บริการเพียงหนึ่งราย

   แต่ความง่ายมันก็มักมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ต้องเจอกับอะไรที่เสี่ยงชีวิตกว่าหน่อย

   ถ้าพูดถึงโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นบ่อยกับนักศึกษามันก็คงไม่พ้นโรคซึมเศร้า โรคเครียด อะไรทำนองนั้น ส่วนมากแล้วมีปัจจัยตั้งต้นแตกต่างแต่สุดท้ายแล้วคือไม่สามารถจะจัดการกับมันได้ด้วยตัวเองจนต้องมาหาที่ปรึกษา มันเป็นนโยบายของทางมหาวิทยาลัยที่อยากให้มีห้องรับฟังแบบที่ยังไม่ต้องถึงกับการต้องไปโรงพยาบาล ประมาณว่าอยากให้มันเป็นพื้นที่ที่สร้างความสบายใจให้นักศึกษามากกว่าทำนองนั้น

   ตั้งแต่อยู่ประจำที่นี่มาตั้งแต่เปิดเทอมหนึ่งจนเข้ากลางเทอมสองแล้วปรัญได้เจอเรื่อง 'น่าระทึกใจ' หลายครั้ง ที่ยังตราตึงได้มาจนถึงตอนนี้คือผู้ชายที่เดินยิ้มแย้มเข้ามาก่อนที่จะใช้ปากกาหัวแหลมแทงช่วงขาของตัวเองระหว่างการปรึกษา ทั้งต้องช่วยเข้าไปดึงสติแล้วยังต้องพยายามตามหาคนเข้ามาเสริมทัพ กลับห้องไปทั้งที่ควรหลับเป็นตาย แต่จังหวะการยิ้มคืนให้และรอยเลือดมันก็ตามหลอกหลอนจนนอนไม่หลับอยู่ดี

   อยากจะรู้เหรอว่าแล้วคนที่ชื่อเอื้อมอารัญเข้ามารับคำปรึกษาในเรื่องอะไร บอกเลยก็ได้ว่าไม่รู้หรอก อาจารย์ไม่เคยเอาเรื่องของนักศึกษาที่เข้ารับบริการออกมาเล่าให้ฟังอยู่แล้ว ไม่กล้าฟันธงไปเองเพราะเขาไม่รู้เลยว่าใต้ใบหน้าที่มักประดับด้วยยิ้มมุมปากเล็กๆ มันซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง

   มาบ่อยจนเป็นขาประจำ บางครั้งก็แค่ไม่กี่นาทีส่วนหลายครั้งก็กินเวลาเป็นชั่วโมง บางครั้งด้วยตารางการเรียน เขายังต้องเคยต้องไปเรียนก่อนที่อีกฝ่ายจะออกมาจากห้องด้วยซ้ำไป

   "แม่ง ...เกือบลืมไปเลยว่ามีเจ้ากรรมนายเวรอยู่"

   ค่อนข้างออกประเด็นไปมากจนเกือบลืมว่ามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่รออยู่ ปกติแล้วทุนในโครงการนี้จะเปิดเป็นโครงการแรกๆ ของมหาวิทยาลัยจึงต้องเร่งในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เสียหน่อย เขาก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าบทสัมภาษณ์จะถูกเอาไปลงในแผ่นพับ ก็ตอนนั้นบอกเองว่าตอบให้เป็นตัวของตัวเอง นี่ก็จัดให้แล้วไง

   ไล่ดูว่าควรจะตัดคำไหนบอกบ้าง แน่นอนว่ามนุษย์แรงงานคือสิ่งแรก ส่วนคำว่าเรียนฟรีมีตังค์ใช้มันมีคำอื่นที่สื่อความได้เหมือนกันแต่ว่าเป็นระดับภาษาที่สุภาพมากกว่านี้ไหมนะ

   "ทำงานหาประสบการณ์ในยามเรียนพร้อมกับได้ค่าตอบแทน..."

   แต่มันก็ไม่ได้หาประสบการณ์อะไรสักหน่อย

   "เติมเต็มชีวิตนักศึกษาและได้เงิน..."

   เติมเต็มด้วยความรู้น่าจะดีกว่า

   "ใช้ทุนตามสัญญาก่อนที่จะถูกเรียกเบี้ยปรับ..."

   แม่งเริ่มแปลกๆ เข้าไปทุกที

   "ตอบแทนมหาวิทยาลัย"

   "..."

   "ส่วนประโยคหลังคิดไม่ออก ใช้คำว่า 'เรียนรู้คุณค่าของเงิน' ก็เชยไปหน่อย"

   "ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ"

   ทำได้เพียงแค่กล่าวขอบคุณคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ในเวลานี้ เอื้อมอารัญผงกหัวเล็กน้อยแล้วเดินตรงไปยังประตูกระจกที่กั้นเป็นสัดส่วนของห้องนี้ไว้ เขามองจนแผ่นหลังนั้นกลืนหายกลายเป็นส่วนหนึ่งฝูงชนจึงจรดปลายปากกาที่อยู่ในมือลงกับส่วนของแผ่นกระดาษที่ว่างอยู่

   บรรจงเขียนข้อความที่ได้ยินทั้งหมดลงไป ทำการตัดแต่งให้คำพูดดูไม่อลังการแต่ก็ยังทำให้ประทับใจอยู่ลงไปจนครบ ตั้งใจว่าพอครบชั่วโมงทำงานแล้วจะแวะเอาไปส่งให้เพื่อนเลยจะได้หมดสิ้นภาระติดตัวสักที
 


   เอาเข้าจริงแล้วไอ้ที่เขาชอบตามหาชีวิตการเป็นนักศึกษาที่คุ้มค่าตลอดช่วงสี่ปีมันเป็นอะไรที่เข้าใจยากไม่น้อย อย่างปรัญเองก็ต้องทำงานสัปดาห์ล่ะหลายชั่วโมง นอกจากนั้นแล้วก็ทุ่มให้กับงานอดิเรกอย่างการเข้าโรงหนังไปดื่มด่ำกับงานภาพยนตร์ใหม่ๆ เสมอ

   จะให้ไปมีเวลาทำนู่นนี่นั่นเพิ่มเติมเป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้

   "แต่มึงก็ควรจะทำตัวให้เข้ากับเพื่อนฝูงบ้าง อย่างน้อยศุกร์นี้ก็ไปก๊งกันหน่อยไหม"

   "บอกแล้วว่าไม่ใช่แนว ขี้เกียจเก็บศพพวกมึงด้วย"

   เคยไปรอบหนึ่งช่วงได้เป็นนักศึกษาใหม่ๆ เลย ทั้งไม่เข้าใจว่าเสียงเพลงดังอย่างนั้นฟังรู้เรื่องด้วยเหรอแล้วยังต้องลำบากเก็บซากของเพื่อนกลับห้องจนครบด้วย

   "นักบุญปัน"

   "เลิกเรียกชื่อนั้นสักทีน่า"

   ชื่อที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ก็เรียนโรงเรียนคริสต์มาเลยได้รับอิทธิพลพวกเรื่องเล่าแล้วก็การใช้คำไม่น้อย เขาก็ไม่ได้ทำตัวประเสริฐเลิศเลออะไร ทำไมถึงต้องเรียกด้วยชื่อนี้ก็ไม่รู้

   "ตราบใดที่มึงยังเป็นคนดีผิดที่ผิดเวลาอย่างนี้กูไม่เลิกหรอก"

   ได้ยินบ่อยจนเบื่อแล้ว เพื่อนรอบตัวเขาชอบบ่นลอยๆ เรื่องความใจดีไม่เข้าเรื่องหลายครั้ง อย่างเรื่องที่ยังทำงานอยู่ส่วนของห้องที่ปรึกษาก็เหมือนกัน อาจารย์บอกว่าเจอเรื่องน่าประสาทเสียแบบนั้นบ่อยเข้าส่วนมากเทอมเดียวก็ขอหนีกันแล้ว มีแต่ปรัญนี่แหละที่บอกว่าเต็มใจจะอยู่ต่อ

   คือต่อให้เหมือนจะเป็นคนดีแค่ไหนมันก็ยังมีลิมิตของการยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว เขาจะประเมินก่อนเสมอว่าการแทรกเข้าไปมันจะส่งผลดีหรือร้ายมากกว่ากัน

   "กูจัดการชีวิตได้"

   "มึงแม่งชอบสงสารคนไปเรื่อยอะ อย่างเรื่องเงินเนี่ย แค่ที่กูรู้ลูกหนี้ที่ชักดาบหายไปก็เท่าไหร่แล้ว"

   "ก็มันไม่ค่อยจำเป็น"

   ค่าเรียนฟรี แถมมีเงินใช้จากการทำงานหลายส่วน พ่อแม่นี่แทบจะไม่ต้องส่งเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนมาให้แล้ว

   "เก็บไว้บ้าง เลิกใจดีก็ดี"

   เมื่อได้ยินในเรื่องที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็เลยเอาแค่พอให้ผ่านหู "ถ้าให้กูแก้ตรงไหนอีกก็บอกมา ไปล่ะ"

   "โธ่ ทีอย่างนี้ล่ะมาหนี"

   ถ้าเป็นสมัยที่ยังเลือดร้อนอยู่คงได้ตีกันสักตั้ง แล้วที่ผ่านมาเราก็แลกหมัดกันไปแล้วหลายครั้งอยู่จนเรียนรู้ว่ามันไม่ช่วยอะไร

   "จะไปเตรียมตัว เดี๋ยวเย็นนี้มีงาน"

   "แล้วจะรอรีวิว ...โอ๊ะ คุณเอื้อมนี่"

   ไม่ได้หันหน้าไปตามทิศที่สายตาอีกคนจ้องมองอยู่ในทันที ชื่อที่เพิ่งผ่านหูและผ่านตามาไม่ถึงสามชั่วโมงดีสร้างหนึ่งคำถามขึ้นมาว่าคนชื่อ 'เอื้อม' นี่จะมีสักกี่คนกันเชียว

   เบนหน้าตามไปเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เป็นการแสดงออกว่ากำลังสนใจมากจนเกินไป ที่เห็นอยู่คือขอบกระเป๋าถือกับตุ๊กตาตัวใหญ่ห้อยเอาไว้เด่นบนโต๊ะม้าหินห่างออกไปสี่ตัว ส่วนเจ้าของเห็นแค่แผ่นหลังเท่านั้นเอง

   "ส่งไปให้ฮิวดูดีกว่า เจอเพื่อนรักโดยบังเอิญ"

   ชื่อที่ออกมานั่นก็เพื่อนในแวดวงเดียวกันนี่แหละ มาจากต่างโรงเรียนแต่ว่า 'คลิ๊ก' เลยสนิทกันมาเรื่อยๆ

   "มึงไม่คิดว่าการแอบถ่ายอย่างนี้มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลบ้างเหรอ?" ว่าจะไม่พูดแล้วแต่อดไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยเข้าใจและคิดว่าต่อให้ได้รับคำอธิบายที่สวยหรูแค่ไหนมันก็ยังมาจบตรงที่เป็นการละเมิดอยู่ดี คนสมัยนี้คิดแต่ความสะดวกของตัวเองไม่เคยสนว่ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่

   "ขำๆ ไม่เห็นมีอะไร"

   "แล้วถ้ามีคนมาแอบถ่ายมึงบ้างล่ะ"

   "ไม่มีหรอก คิดมาก"

   ปรัญถอนหายใจออกมาเสียงดัง และสิ่งที่ได้รับคืนมามีเพียงแค่เสียงหัวเราะขบขันน่ารำคาญหู

   "คนดังอย่างเอื้อมมันคงชินกับอะไรอย่างนี้แล้วล่ะ"

   "ดังขนาดนั้น?"

   คงเพราะว่าเจอกันหลายครั้งแล้วล่ะมั้งเลยคิดว่าการได้รู้จักตัวตนของเอื้อมอารัญเพิ่มเติมมันคงไม่ได้มีอะไรแปลก เผื่อว่าจะมีข้อมูลที่บอกได้ด้วยว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นสมาชิกหน้าคุ้นของห้องที่ปรึกษา

   "ในทางที่ไม่ค่อยโอเคนะ เห็นฮิวบอกว่าชมรมออเคสตรารู้วีรกรรมดีว่าขี้โกหกแค่ไหน เหมือนพวกเด็กเลี้ยงแกะไม่ก็พิน็อคคิโอ"

   "โกหก?"

   "อืม บอกว่าตัวเองนั่นนู่นนี่แต่คนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันมาก็บอกว่าไม่เคยได้ยิน พอเข้ามหาลัยก็ยังไม่เลิกสร้างเรื่องสารพัด ไปให้ฮิวเล่าสิ"

   "ไม่ล่ะ"

   "ทำไม จะค้านบอกว่าก่อนที่จะตัดสินใครควรจะทำความรู้จักเขาให้ดีก่อนหรือไง"

   ชักจะอารมณ์เสียกับการคุยกับคนที่มีทัศนคติไม่ตรงกันแล้วล่ะ เขาก้มลงมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเองเพื่อพบว่านี่มันเป็นเวลาที่สมควรจะออกเดินทางแล้ว ถ้าไม่อยากเจอรถติดอีกสามชาติเศษก็จงหนีออกไปก่อน

   "ก็ด้วย ไปแล้วนะ ไว้เจอกัน"

   ไม่สนใจเสียงที่ไล่หลังตามมา จากจุดที่นั่งอยู่ตั้งแต่แรกถ้าจะออกไปทางถนนใหญ่จะต้องผ่านโต๊ะตัวที่เอื้อมอารัญนั่งอยู่คนเดียว กวาดสายตาเพียงชั่วครู่ระหว่างเดินผ่านเพื่อพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มหน้าไม่สนใจสิ่งรอบตัว หน้าจอโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์โชว์หน้าแรกของเฟซบุ๊กอยู่

   มองว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดา และอดคิดต่อไปไม่ได้ว่าความสะดวกสบายมันกำลังทำลายสิ่งที่เรียกว่าการเคารพความเป็นส่วนตัวเข้าไปทุกที

   "...ขี้โกหกอย่างนั้นเหรอ"

   ทำไมปรัญถึงกลับคิดว่าคนที่ยิ้มจางไม่จริงใจเสมออย่างนั้นไม่น่าจะสร้างเรื่องอะไรได้เลย
 


   ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีสักครั้งที่เขาต้องเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ อะไรคือการที่อาจารย์ประจำวันต้องรีบออกไปกะทันหันเพราะลูกสาวมีปัญหากับทางโรงเรียน แล้วไม่สามารถหาใครมาแทนได้ทันจนต้องขอให้เขาคอยนั่งประจำที่เอาไว้เผื่อว่าถ้ามีใครมาหาจะได้บอกว่าให้ไปทางโรงพยาบาลดีกว่า

   บรรยากาศข้างในห้องนี้มักจะเงียบอยู่แล้ว มันเป็นการเข้าออกสม่ำเสมอไม่มีการค้างอยู่นาน การต้องอยู่คนเดียวมันเหงาเสียจนต้องเปิดยูทิวบ์เข้าไปหาเพลงฟังฆ่าเวลา

   อีกตั้งเกือบสองชั่วโมงกว่าจะหมดเวลาทำงาน

   เข้าหน้าจอท่องเที่ยวอินเทอร์เน็ตพร้อมกับเปิดไปยังส่วนที่ดูประจำ ทริลเลอร์ของหนังที่จะเข้าฉายในอีกไม่ช้า ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงรู้สึกไม่ตื่นเต้นหรือว่ารอคอยการมาถึง ทั้งที่ปกติแล้วมันเป็นความสุขไม่กี่อย่างในชีวิตของเขาด้วยซ้ำไป

   สลับไปยังส่วนของทวิตเตอร์ เช็กดูฟีตแบกของรีวิวที่เพิ่งลงไปเมื่อคืน ตอบกลับบางข้อความที่ถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเรื่องและทักทายกับชื่อสมาชิกประจำ

   กราฟค่าการวิเคราะห์ผู้เข้าเยี่ยมชมเป็นสีเขียวที่ควรจะพึงพอใจ ยังไม่รวมกับยอดรีทวิตที่ขยับขึ้นสูงทุกครั้งที่เข้ามาตรวจสอบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทั้งที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทางที่ดีแต่ทำไมถึงห่อเหี่ยวได้เบอร์นี้

   นี่มันแย่เกินไปแล้วนะ

   ข้อความจากช่องเมจเสจของเฟซบุ๊กแจ้งขึ้นมาว่ามีการทักทายจากคนคุ้นเคย เนื้อหาที่บอกว่ายินดีด้วยที่บทสัมภาษณ์เวอร์ชันแก้ไขได้ผ่านการตรวจสอบของกองบรรณาธิการแล้วช่วยให้เขายิ้มขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องการประดิษฐ์คำอีก
พิมพ์ตอบคืนไปพร้อมกับส่งภาพเคลื่อนไหวตลกๆ เมื่อไม่มีเครื่องหมายที่แสดงว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วเขาจึงปิดมันลง ตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปเช็กทวิตเตอร์อีกครั้งเผื่อว่ามีอะไรให้อ่านเพิ่มเติม

   "วันนี้ไม่เป..."

   เตรียมท่องประโยคเดิมเป็นครั้งที่สามเมื่อเห็นว่าประตูกระจกเปิดออกอีกครั้ง คำว่าไม่เปิดให้บริการออกมาไม่ได้เต็มประโยคเพราะช่วงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยลังเลของคนตรงนั้น

   "อ้อ ...ขอบคุณครับ"

   "แต่ว่าถ้าอยากจะนั่งพักก็ได้นะ"

   คำนั้นออกไปเร็วกว่าที่สมองจะทันได้ประมวลอะไร ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีใครใช้ที่นี่เป็นแหล่งพักพิงหรอก เพราะว่าตัวห้องแล้วก็ลักษณะของผู้เข้าใช้บริการนี่แหละ

   ที่กล้าเสนอไปอย่างนั้นคิดว่าส่วนหนึ่งก็มาจากการใบหน้าที่แสดงความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง ต่อให้เป็นการขยับมุมปากขึ้นที่ดูเสแสร้งแต่ว่ามันไม่เคยมีครั้งไหนที่เขามาพร้อมกับอาการ 'เคว้ง' เท่านี้ อีกอย่างเอื้อมอารัญเองก็เรียกได้ว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของที่นี่

   แล้วมันก็ไม่ได้มีกฎที่ห้ามใช้ที่นี่เป็นห้องนั่งเล่นสักหน่อย

   "ผมอยู่คนเดียว โซฟาข้างในว่าง"

   ให้คำสนับสนุนคนที่ยังลังเล คุณเอื้อมของเพื่อนเขาละล้าละหลังอยู่ตรงนั้นอีกสักพักใหญ่ก่อนที่จะยอมพาตัวเองเข้ามาอยู่ด้านใน

   "ขอบคุณ"

   ใครกันที่บอกว่าเอื้อมอารัญเป็นพวกชอบโกหก

   รอยร้าวข้างในนัยน์ตาคู่นั้นบอกหมดทุกอย่างเลยต่างหาก

   จากที่อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวก็เหมือนว่าจะคลายความเหงาไปได้หน่อย สมาชิกที่เพิ่มขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจส่งยิ้มเล็กมาให้ยามที่ก้าวเท้าผ่านเข้าไปยังส่วนในของห้อง เขารอจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างกำลังดีลับหายไปตรงมุมกำแพงถึงกลับมามองหน้าจอโน้ตบุ๊กต่อ

   กวาดตาไล่ตามการอัปเดตไปอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ไม่ค่อยได้สัมผัสความรู้สึกว่างงานเช่นนี้มากเท่าไหร่เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดี เอื้อมอารัญน่าจะอยากอยู่คนเดียว การเข้าทักทายคงรบกวนอยู่ไม่น้อย

   ช่วงเวลาที่เหลือถูกใช้ไปแอปพลิเคชันสำหรับดูภาพยนตร์ เขากดปุ่มหยุดเมื่อเหลือบไปเห็นว่าอีกสิบนาทีก็จะหมดเวลาทำงาน ยกแขนขึ้นเหยียดสูงเป็นการบิดขี้เกียจก่อนเริ่มงานชิ้นต่อไป

   คว้าเอาแก้วน้ำเซรามิกส่วนตัวตรงมุมโต๊ะทางขวามาไว้ในมือ ลุกขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการล้างและเก็บมันเอาไว้ให้เรียบร้อย เพราะคิดว่าคงจะครอบครองส่วนนี้อีกนานเลยซื้อเก็บเอาไว้ใช้งานในระยะยาว เป็นแก้วลายภาพยนตร์หลายภาคที่ได้มาเป็นของฝากจากเพื่อนในกลุ่มที่ไปเที่ยวต่างประเทศ

   จากตรงโต๊ะต้อนรับจะต้องผ่านส่วนของโซฟาก่อนที่จะเจอห้องครัวขนาดเล็กด้านหลังสุด เขาพยายามเดินโดยกำกับจังหวะการก้าวไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนอีกคน เอื้อมอารัญนั่งก้มหน้าจดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นใหญ่ตรงตัก เข้าใจดีว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่จะจ้องนานๆ เลยบังคับให้มองแต่ทางข้างหน้าเท่านั้น

   "เดี๋ยวจะปิดแล้วนะ"

   หรือที่จริงต้องบอกว่าต้องปิดแล้วตอนนี้ เขานึกว่าการที่เดินผ่านเข้าไปล้างแก้วแล้วเดินออกมาอีกรอบจะเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงการหมดช่วงเวลาให้บริการ แต่นี่ออกไปเก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหนเลย

   ปรัญเว้นระยะห่างของตัวเองกับอีกคนแบบที่คิดว่ากำลังดี คือไม่ได้ใกล้จนชิดแต่ก็ไม่ได้ห่างจนให้อารมณ์ของคนน่ารังเกียจ นักศึกษาที่เป็นคนไข้ขาประจำวางปากกาในมือลง ปิดแฟ้มอันใหญ่ในเสีย เขาเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ใช่สมุดที่เย็บมาให้แล้ว แต่เป็นแบบที่สามารถสอดใส่กระดาษเพิ่มเข้าไปได้เอง ตอนแรกมองแค่ผ่านเลยไม่รู้

   "อือ..."

   เพราะมองไม่เห็นหน้าเลยจ้องแต่ส่วนของช่วงแขนและฝ่ามือ ปลายนิ้วเรียวสวยดูสุขภาพดีแบบคนดูแลตัวเองเสมอบรรจงเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ลงแฟ้มหนังใบใหญ่ เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมรอจนแขกขยับตัวลุกออกไปทางด้านหน้า ตรวจสอบอะไรให้เรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายจึงตามไป

   ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายรักษาความปลอดภัย นี่ก็เป็นเรื่องที่แบ่งฝ่ายกันได้ประหลาด ที่บอกว่าปิดประตูคือแค่ปิดประตูจริงๆ ไม่ได้มีการเข้าไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายในเลย ถ้ามีใครแอบอาศัยอยู่ต่อก็ยังได้

   "คิดว่าอาจารย์หมอน่าจะไม่มีธุระอะไรด่วนแล้ว ยังไงถ้าอยากได้คำปรึกษาก็ลองมาพรุ่งนี้อีกทีนะ"

   ยังคงทำหน้าที่เป็นเด็กทำงานใช้ทุนที่ดีจนวินาทีสุดท้ายก่อนปิดประตูลง

   "ขอบคุณมากนะ ขอบคุณที่ให้อยู่ในห้องด้วย"

   "เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว"

   "นายชอบเครื่องดื่มอะไร กาแฟ? ชา?"

   คิดว่าไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะสานต่อบทสนทนา "โกโก้"

   "ศุกร์นี้เข้างานเวลาเดิมใช่ไหม เดี๋ยวซื้อมาให้"

   "เฮ้ย ไม่ต้องหรอก" ปฏิเสธพัลวัน ยกไม้ยกมือขึ้นมาประกอบท่าทางว่าไม่ต้องการรับสินน้ำใจใดๆ เอื้อมอารัญขยับช่วงคอเล็กน้อยแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันหมายถึงอะไร กลับหลังหันพลางเอ่ยคำลา

   "ไว้เจอกันนะ"

   ก็เลยทำได้เพียงเปลี่ยนไปเป็นการโบกมือลาเท่านั้นเอง


***
   ตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่า ต้องไม่หนักค่ะ (ฮา) แต่จะทำได้ไหมนี่ต้องดูอีกทีนะคะ
   ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งค่ะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × หนึ่ง [4.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ที่ 04-03-2018 18:14:11
จะไม่หนักใช่ไหมคะ 555
โอ๊ย ทำไมแค่ตอนแรก เราก็เริ่มเห็นลางหนักแล้ว แง
คุณเอื้อมกับน้องปรัญ เจอกันในที่ๆโรแมนติกมากเลย ._.
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × หนึ่ง [4.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-03-2018 21:37:36
ฮือ คนเขียนจะพยายามเขียนไม่ให้หนักสำเร็จใช่ไหมคะ ตอนต่อๆไปมันจะเบากว่านี้ใช่ไหมคะ  :ruready
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สอง [11.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-03-2018 11:52:14
สอง

   เอื้อมอารัญเป็นคนดังในคณะ

   คณะที่มีนักศึกษาแค่สี่สิบคน

   มันเป็นคณะที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่เมื่อปีที่แล้ว เกี่ยวกับพวกการผสมผสานองค์ความรู้หลายอย่างจนเขาเองเรียกว่าจับฉ่าย ค่าเทอมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคณะอื่นที่เปิดมาเป็นเวลานาน บางคนถึงกับเรียกคณะเปิดใหม่พวกนี้ว่าเป็นแหล่งผลิตใบปริญญาที่จ่ายครบก็จบ

   ส่วนตัวปรัญเองเลือกเรียนในคณะที่มีการแข่งขันในรอบปกติค่อนข้างสูง กระซิบบอกก็ได้ว่าส่วนหนึ่งที่เลือกเป็นเด็กทุนเพราะว่ามันไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงกับคนทั้งประเทศนี่แหละ

   ดูไม่ค่อยยุติธรรม แต่ว่าโลกของเราก็ไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว

   แล้วทำไมถึงเล่าเรื่องที่บอกว่าเป็นคนดังของคณะเหรอ

   ก็เพราะว่าเพื่อนตัวดีกำลังสาธยายเรื่องของ 'เอื้อมอารัญ' ไม่ยอมจบอยู่นี่ไง

   "คือมึงเข้าใจกูใช่ไหม แค่เรื่องในคณะก็วุ่นวายมากพออยู่แล้วนี่ยังต้องมาเจอเรื่องตารางซ้อมบ้าบอคอแตกอะไรนี่อีก"

   "เออ เข้าใจ"

   "ถ้าไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ดีไป นี่อะไร วุ่นวายไปหมด"

   ฟังฮิวบ่นกระปอดกระแปดไป มือก็จัดการตักก้อนน้ำแข็งไสที่เริ่มละลายแล้วเข้าปาก จะเรียกว่าอาหารมื้อบ่ายสี่ก็กระดากปาก เอาเป็นว่าเขาบังเอิญเจอกับเพื่อนต่างคณะคนนี้ที่หน้าประตูทางออกตึก พอคุยจับใจความได้ว่ากำลังจะออกไปหาของกินเลยโดนลากมาด้วย

   มาจบอยู่ที่ร้านบิงซูที่อดีตเคยขายพวกฮันนี่โทสต์ เรียกได้ว่าเป็นการปรับตัวให้เข้ากับยุคที่เทรนด์การกินเปลี่ยนไปได้เสมอจนเหนื่อยจะไล่ตาม

   แล้วเหตุผลอะไรถึงวกมาคุยเรื่องของเอื้อมอารัญเหรอ ก็พอดีฮิวจำได้ว่าวันก่อนเพื่อนเขาส่งรูปจากด้านหลังไปให้ พอรู้ว่าปรัญเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยไม่สามารถหยุดเล่าเรื่องได้

   "อยากจะเชิญออก แต่ก็หาคนมาแทนไม่ทันแล้ว"

   เท่าที่ฟังความฝ่ายเดียวคือฮิวค่อนข้างไม่โอเคกับนิสัยไม่รักษาวินัยของ 'คุณเอื้อม' เท่าไหร่ ชมรมออร์เคสตราต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน วันที่ซ้อมแยกมันก็ยังพอทำเนา แต่อีกไม่นานจะเป็นการซ้อมรวมแล้ว

   "อ้างนู่นอ้างนี่ รถเสีย งานกลุ่ม นี่ล่าสุดบอกว่าต้องกลับบ้านด่วนเพราะแม่ป่วย"

   "แม่เขาอาจจะป่วยจริงก็ได้นี่"

   "ตอนกูโทรไปเช็กแม่เขาตีแบตอยู่"

   ถ้ามีหลักฐานอย่างนี้ก็ค้านยาก แล้วจะให้ปกป้องต่อไปทั้งที่ไม่รู้เรื่องจริงก็ไม่ควร เลยคิดว่าทางที่เป็นกลางที่สุดคือการรับฟังโดยไม่เลือกข้าง

   "ไม่เข้าใจพวกที่โกหกได้หน้าตาย ชีวิตมีความสุขเหรอกับการสร้างเรื่องไปเรื่อยๆ น่ะ"

   อันนี้เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ตั้งแต่ต้องมาทำงานในห้องที่ปรึกษาแล้วทัศนคติเกี่ยวกับมนุษย์ของปรัญเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร เขาเจอตั้งแต่เคสที่เป็นขั้นเริ่มต้นไปจนถึงอาการที่ต้องส่งหาจิตแพทย์ในโรงพยาบาลเร่งด่วน มันค่อยๆ ให้คำสอนกับเขาในเรื่องความแตกต่างของบุคคล

   ก็บอกแล้วไงว่าบางคนที่ยิ้มแย้มเข้ามาแต่กลับทำร้ายตัวเองได้หน้าตาเฉยก็มี

   "ก็เราไม่ใช่เขา บางทีก็ไม่มีทางเข้าใจหรอก"

   "ก็ใช่ เด็กมีปมเรื่องบ้านก็อย่างนี้"

   "เหรอ..." ชักกลัวว่าถ้าไม่เปลี่ยนเรื่องคุยมันอาจจะโยงไปถึงเรื่องที่เขาไม่อยากรับรู้ "ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น"

   "ถ้ามีปมก็ควรไปหาหมอสิวะ"

   เกือบยั้งปากไม่อยู่แล้วว่าเอื้อมอารัญก็ทำอย่างนั้นอยู่ "บางปัญหาหมอก็ช่วยไม่ได้"

   อาจารย์เป็นคนบอกเอง คือมันก็มีทั้งภูมิหลังความสัมพันธ์หรือบางทีก็เป็นความผิดปกติทางประสาท ถ้าเจอต้นตอแล้วคนไข้ให้ความร่วมมือก็ดีไป ต้องยอมรับว่าเคสที่ไม่ยอมรับและปล่อยให้มันเรื้อรังก็มีไม่น้อย

   "มึงอยู่ห้องดูแลพวกมีปัญหาอะไรนั่นใช่ไหม หรือว่าลองแนะนำให้คุณเอื้อมไปดี"

   "กินเถอะ นี่ละลายไปตั้งเยอะแล้ว"

   นั่นเป็นการตัดประเด็นที่ปรัญมองว่าตัวเองสามารถทำได้ดีเหมือนกัน เพื่อนที่เพิ่งมารู้จักกันในมหาวิทยาลัยคงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนชวนมาทาน เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักเกล็ดของหวานต่อจากนั้น ปล่อยให้เรื่องที่คุยก่อนหน้าจบไปไม่มีการต่อความ

   ถึงตัวเองจะเจอกับเอื้อมมาหลายครั้งแต่ถ้าเทียบในเรื่องของรายละเอียดแล้วนั่งอยู่กับฮิวไม่กี่นาทีกลับได้มากกว่า ต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการคัดกรองและจัดสรรให้เหลือแต่เพียงความจริง ยังไม่ควรเชื่อจนสนิทใจ

   ดูเหมือนว่าจะเข้าข้างเอื้อมอารัญสินะ ยอมรับก็ได้ว่าโอนเอียงไปทางนั้นไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่นเจออะไรมาบ้าง แต่เอาจากที่เจอมากับตัวมันเป็นคนละทางเลย

   หรือเพราะว่าเราเจอกันแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้นด้วยล่ะมั้ง

   "แล้วนี่วันนี้ไปดูหนังหรือเปล่า"

   กระดกน้ำเปล่าในแก้วเข้าไปอีกครั้ง วางมันลงพลางส่ายหัวดิก "ไม่ ต้องกลับไปเคลียร์งานกลุ่ม"

   "งานกลุ่มที่ทำไม่กี่คนอีกแล้วล่ะสิ"

   เราเจอกันครั้งแรกในรายวิชาที่มีการคละรหัสนักศึกษาทั้งชั้นปี บอกไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของดวงชะตาฟ้าลิขิตหรืออะไรถึงได้เพื่อนร่วมกลุ่มที่มีความรับผิดชอบและเต็มไปด้วยความสามารถ งานทุกส่วนไม่มีคนบ่ายเบี่ยงหรือโยนภาระให้ใครคนหนึ่งคนใด และผลของมันคือเกรดเอตัวเองในชีวิตการเป็นนักศึกษา

   มันก็เลยพอรู้จักนิสัยการทำงานของแต่ละคนดี

   "ทำหลายคนอยู่"

   "กูอยากให้มึงเลิกเป็นคนดีอะ"

   นี่ทำไมแต่ละคนถึงได้แนะนำเขาในเชิงนี้นะ "ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น"

   "ไม่ดีขนาดนั้น แต่ว่าใครทำอะไรไม่ได้เดี๋ยวปันจัดการให้หมด"

   ปรัญไม่เคยอวดตน มีน้ำใจ และเป็นมิตร นั่นคือสิ่งที่เพื่อนทุกคนสัมผัสได้ และเพราะความจริงใจนั่นแหละคนรอบข้างถึงได้กังวลว่ามันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายสักวัน

   "ช่วยกันไป ไม่งั้นก็ไม่เสร็จ"

   "ใครไม่ทำงานมึงก็ไม่ต้องส่งชื่อเลย โตๆ กันแล้ว"

   พูดน่ะง่าย ส่วนคนที่ทำจริงน่ะหายาก เคยเจอของจริงอยู่แค่ครั้งเดียวตอนปลายภาคเทอมที่แล้ว เป็นคนใกล้ตัวนี่แหละที่ไม่ยอมให้เอาเปรียบ จะว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายก็ใช่ หรือมองอีกแง่มันเต็มไปด้วยความซับซ้อนมากทีเดียว ปันคงไม่ใจเด็ดพอที่จะทำตามสิ่งที่ควรจะเป็น

   "ก็ให้เขาทำอย่างอื่น ออกไปรายงานก็ได้"

   "เหี้ยเอ๊ย พูดถึงรายงานกูต้องทำกับคุณเอื้อมนี่กว่า"

   ทำไมถึงไม่สามารถหลีกพ้นเรื่องนี้ไปได้สักทีนะ

   "อาจารย์แม่งอินดี้นับเลขหนึ่งถึงยี่สิบ ใครได้เหมือนกันก็ต้องคู่กัน แล้วใครได้แจกพ็อตเจอเอื้อมอารัญ กูเอง!"

   เรื่องเล่ามารวดเดียวแทบไม่เว้นจังหวะสำหรับการหายใจ การแสดงออกผ่านทางสีหน้าและท่าทางของฮิวแทนความรู้สึกหน่ายระคนปลงตกได้ดีทีเดียว

   "แต่ก็นะ ถือว่าช่วยเหลือสัตว์โลกไป"
 


   "โกโก้มาแล้ว น่าจะละลายนิดหน่อยอะ"

   หันหน้าออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลาง มองคนมาใหม่อย่างเอื้อมอารัญใช้แผ่นหลังในการดันประตูออก มือข้างหนึ่งถือถุงกระดาษสกรีนลายสัญลักษณ์ร้านค้าเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็เป็นแฟ้มหนังใบใหญ่พร้อมกับตุ๊กตาตัวเดิม

   คนที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้เข้ามาในฐานะคนไข้หรือว่าพนักงานส่งเครื่องดื่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม วางถุงลงบนโต๊ะพลางทำการแจกแจงเองเสร็จสรรพ ปันมองแก้วพลาสติกบรจุน้ำสีน้ำตาลตรงหน้าตัวเองนิดหน่อยก่อนที่จะสลับไปมองเจ้าของแก้วชาเขียวแบบปั่น ชั่งใจอยู่ว่าจะบอกดีหรือไม่

   ว่าที่บอกว่าชอบโกโก้ หมายถึงชนิดร้อนต่างหาก

   "...ขอบคุณ"

   แล้วก็ตัดสินใจว่าถ้าทำอย่างนั้นมัน็เป็นการหักหน้าเกินไปหน่อย เลยเก็บไว้กับตัวเองพอ

   "เราต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย... เออ ชื่ออะไรอะ ว่าจะถามแล้วก็ลืมทุกที"

   "ปัน"

   "เราเอื้อมนะ มาจากชื่อจริงนั่นแหละ"

   เผลอเติมคำว่า 'คุณ' ให้ตรงหน้าชื่อเหมือนอย่างที่เพื่อนทั้งสองคนทำ จะว่าไปแล้วทำไมถึงต้องเรียกว่าคุณเอื้อมด้วยนะ มันเป็นการประชดหรือว่ามีสาเหตุอื่น

   "อืม"

   คนหลอดไปมาเพื่อให้ความเข้มตรงก้นแก้วขึ้นไปผสมกับชั้นน้ำข้างบน เขาไม่ค่อยดื่มแบบที่ใส่น้ำแข็งเพราะว่ามันละลายค่อนข้างไว แล้วยังเจือจางความเข้มข้นของตัวน้ำไปเกือบหมด เพื่อให้สามารถดื่มด่ำกับรสชาติแล้วเขาถึงชอบแบบร้อนมากกว่า

   จรดริมฝีปากกับปลายหลอด ดูดมันขึ้นมาด้วยความปลงตกว่ามันคงไม่ใช่รสชาติที่ถูกปากเท่าไหร่ และมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเขานึกว่าตัวเองกำลังคิดโกโก้ที่มีน้ำเปล่าเป็นส่วนผสมประมาณเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์

   "วันนี้จะคุยไหม" ยกแฟ้มบันทึกการเข้าใช้งานขึ้นเป็นส่วนประกอบ "ต่อว่าคงต้องรอสักพัก เมื่อกี้เพิ่งมีคนเข้าไปเอง"

   เด็กจากคณะแพทยศาสตร์ เป็นคณะที่สร้างสถิติทุกปีไม่เคยมีใครมาล้มล้างได้ คือคณะอื่นมันจะมีเกณฑ์ที่ไม่เคยเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งใช้ไม่ได้กับเด็กคณะนี้ ในหนึ่งปีก็ต้องมีการประชุมเรื่องพักการเรียนและให้พ้นสภาพนักศึกษาอยู่เสมอ

   "เปล่า นี่แวะเอาน้ำมาให้อย่างที่บอกเฉยๆ" เอื้อมอารัญจะว่าไม่ซับซ้อนก็ใช่อยู่ ช่วงไหล่ยักขึ้นเร็วๆ ก่อนที่จะเล่าต่อ "นั่งพักอีกหน่อยเดี๋ยวต้องไปแล้ว มีงานต่อน่ะ"

   งานที่ปรัญรู้เองว่ามันหมายถึงการเข้าซ้อมรวมเป็นวันแรก ตั้งแต่เจอหน้านี่คงเป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้คุยกันยาว ไม่อย่างนั้นแล้วไดอะล็อกจะอยู่แค่ 'เขียนชื่อด้วยครับ' 'ต้องรอนะครับ' 'ขอบคุณครับ' ทำนองนี้ ไอ้การมาคุยกันเรื่องอื่นนี่ไม่ต้องหวังเลย

   "ชอบกินชาเขียวเหรอ" เพราะไม่รู้จะคุยเรื่องไหนเลยงัดเอาสิ่งใกล้ตัวมาเป็นประเด็น

   เพื่อนๆ ชอบบอกว่ารสนิยมการกินของเขาแปลก ไม่เคยคิดจะแตะกาแฟเพราะเคยลองไปกระป๋องเดียวก็พาใจสั่นไปทั้งคืน จากนั้นเลยบอกลากันถาวร

   "ใช่ แต่หาอร่อยยาก" ในขณะที่แก้วข้างกายปรัญยังมีโกโก้ผสมน้ำแข็งอยู่เกือบเต็ม สิ่งที่อยู่ในมือของเอื้อมอารัญก็หมดไปมากกว่าครึ่งแล้ว "คนไทยติดหวาน ทุกอย่างเลยหวานไปหมด"

   พยักหน้าเห็นด้วย ตั้งแต่อาหารคาวไปยันของหวานนั่นแหละ

   "แล้วไหนบอกว่าชอบโกโก้ ไม่เห็นดื่มเลย"

   ชั่งใจอยู่ได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องตอบออกไป "ชอบแบบร้อนน่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอก"

   เรียกไม่ถูกเหมือนกันว่าสีหน้าอย่างนั้นจะอธิบายด้วยคำไหน เอื้อมเขม่นตาใส่เขาในระดับที่ไม่ค่อยต่างจากการมองปกติ ริมฝีปากขมุบขมิบอะไรไม่ได้ศัพท์

   "ก็ซื้อมาแล้ว ไม่อยากให้เสียน้ำใจ"

   "แต่ถ้าไม่บอกเราเมื่อกี้ จะเสียใจกว่าอีก"

   "ไม่ค่อยมีใครกินแบบนี้กันหรอก ไม่แปลก"

   เหมือนคนบ้าที่สั่งเครื่องดื่มแบบนี้ในประเทศที่มีสามฤดูคือร้อน ร้อนมาก และร้อนปางตาย ถ้าเป็นช่วงไหนที่บังเอิญมีลมหนาวมาก็ได้บรรยากาศอยู่ แต่ส่วนมากมันนานๆ ทีจะเกิดขึ้นน่ะ

   แล้วไม่ค่อยมีใครชงถูกใจจนซื้อแบบผงมาเตรียมไว้เองด้วยซ้ำ อยู่ในตู้ชั้นเก็บของในห้องครัวนั่นแหละ วางรวมกับของที่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ศูนย์งานที่มีทางเข้าห้องครัวเชื่อมกัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยทำเองเพราะรสมือตัวเองก็ห่วยแตกพอกัน

   "งั้นไว้ขอแก้ตัวใหม่นะ"

   "เฮ้ย ไม่ต้อง" ปฏิเสธพลัน แค่นี้ก็รู้สึกเกรงใจมากเกินพอ "เราเรื่องมากด้วยอะ อย่าลำบากเลย"

   "ไม่ลำบาก ไปตะลอนกินตามร้านในรีวิวสนุกจะตาย"

   ในบางมุมเอื้อมก็แอบซ่อนความดื้อเอาไว้ไม่น้อย เขาดูดเครื่องดื่มในมือเข้าไปอีกครั้งจนได้ยินเสียงแจ้งเตือนว่ามันหมดลงแล้ว ท่าตบเข่าพร้อมกับส่งยิ้มจางให้เหมือนกับทุกครั้งที่เจอกัน

   "เราไป..."

   ประโยคที่เหมือนจะเป็นการลาออกมาได้ไม่ครบทั้งหมด เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงกระชากประตูอย่างแรง ตามด้วยการตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากอาจารย์หมอ

   "ปัน! เด็กชัก!"

   ไม่มีเวลาสำหรับคำถามอะไรทั้งนั้น ปรัญหันไปคว้าโทรศัพท์ภาพในพร้อมกับกดเบอร์ที่ถูกบังคับให้ท่องจนขึ้นใจ เขารีบแจ้งข้อมูลพื้นฐานและพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือให้กับศูนย์งานที่รับผิดชอบ จัดการดึงประวัติการเข้าใช้งานของนักศึกษาขึ้นมาเตรียมเอาไว้เผื่อ

   เขาไม่มีความรู้เรื่องการรับมือกับอาการชักเบื้องต้น และทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความสับสนปนเร่งรีบจนเกือบลืมไปว่าในห้องนี้ยังมีอีกคน

   คือเอื้อมอารัญที่กลายเป็นผู้ช่วยพยาบาลไปเสียแล้ว

   เพิ่งเรียบเรียงอะไรได้ก็ตอนที่ฝ่ายพยาบาลกรูกันเข้ามาช่วยกันรับช่วงต่อ นักศึกษาสองคนถึงได้หลบฉากออกมาดูการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จบด้วยการย้ายตัวไปรักษายังสถานที่ที่มีเครื่องมือและบุคลากรครบมากกว่านี้

   เก็บไว้เป็นอีกหนึ่งเรื่องระทึกใจสำหรับการทำงาน ปรัญจัดการเคลียร์บางส่วนของห้องให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ตั้งแต่กองกระดาษใบปลิวให้ความรู้เกี่ยวกับโรคจิตเวชเบื้องต้นที่ถูกปัดตกจากชั้นวาง โซฟาที่ถูกย้ายเพื่อให้สะดวกต่อการทำงาน ส่วนที่อยู่ในห้องกั้นของอาจารย์ไม่เข้าไปยุ่ง

   ทุกขั้นตอนมีเพื่อนร่วมชะตากรรมจนถึงลำดับสุดท้ายคือการปิดห้องให้เรียบร้อย ชะโงกหน้าเข้าไปมองด้านในอีกครั้งเป็นการย้ำให้หายกังวล

   "แล้วไม่ต้องไปทำธุระต่อแล้วเหรอ"

   ถามคนข้างตัว มือข้างหนึ่งแกว่งถุงกระดาษของร้านค้าที่มีแก้วน้ำสองใบข้างใน มันยังมีน้ำหนักไม่น้อยเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเขาไม่ได้มีเวลาแตะมันเพิ่มเลย นี่เดี๋ยวจะเอาไปทิ้งตรงถังขยะหน้าตึกแล้ว

   "เจอเรื่องตื่นเต้นจนไม่น่าจะมีสมาธิไปซ้อม อีกอย่างเลทมาครึ่งชั่วโมงแล้ว"

   เสียงหัวเราะแห้งตรงท้ายประโยคกับการขยับมุมปากเล็กน้อยเป็นตัวเสริมที่เข้าใจได้ ตอนนี้เขาเองก็ไม่ต่างกัน อยากจะพุ่งตัวกลับห้องไปนอนบนเตียงแล้ว

   "นี่กำลังจะส่งข้อความไปบอกว่าไปไม่ได้แล้ว แต่พวกนั้นต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าเพิ่งเจออะไรมา"

   ซ่อนใบหน้ากังวลเอาไว้คนเดียว คือนึกเสียงของฮิวออกเลยว่าจะต้องบ่นไปสามบ้านแปดบ้านไม่มีจบสิ้น

   "นี่"

   "ฮะ?"

   เกือบสะดุ้งเพราะการหันหน้ามาสบตาแบบไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาเมื่อสักครู่มันมีแค่เรื่องเล่าจากคนอื่นในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเอื้อมอารัญ ในแง่หนึ่งแล้วความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ควรมีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ส่วนอีกมุมหนึ่งคือถ้าลองมาเจอเหตุการณ์ที่ยากต่อการควบคุมอย่างนี้เองแล้วจะทำอย่างไรต่อไป

   คนเรามักมีวิธีแก้ปัญหาให้คนอื่นได้สารพัด แต่พอเจอกับตัวถึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรตายตัว

   "ถ้าไม่มีอะไรทำต่อไปทานข้าวเย็นกันไหม?"
 


   มันก็เลยกลายเป็นว่าปรัญได้มานั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกับเอื้อมอารัญอีกครั้งในสถานที่ที่ต่างออกไป

   "เอาเท่านี้ครับ ส่วนน้ำดื่มเอาเป็นน้ำเปล่า ปันอยากสั่งอะไรเพิ่มไหม?"

   "ไม่ล่ะ" ปฏิเสธกลับไป วางเมนูอาหารในมือลงรอให้พนักงานเสิร์ฟเก็บมันออกไป "ตอนเย็นเรากินไม่ค่อยเยอะ"

   "ทำไมล่ะ เป็นวัยกำลังโตต้องกินเยอะๆ สิ"

   "เหมือนที่เอื้อมสั่งน่ะเหรอ"

   แกล้งหยอกกลับ ก็รายการอาหารที่พนักงานจดไปเมื่อสักครู่เขายังคิดอยู่เลยว่ามันเกินกว่าความสามารถของคนสองคนจะจัดการหมดได้

   "เราแค่สั่งตามที่รีวิวบอกว่าอร่อย"

   ร้านอาหารที่เราสองคนมาหาอาหารเย็นทานไม่ได้อยู่ในละแวกมหาวิทยาลัยแต่ต้องขับรถออกมาพอสมควร เอื้อมอารัญบอกว่าเจอคนแนะนำมาในอินเทอร์เน็ต ตั้งใจว่าจะมาลองหลายครั้งแล้วแต่เพิ่งสบโอกาสหาคนมาด้วย เข้าใจได้เพราะถ้าเป็นตัวเองก็คงไม่มีทางเดินอาดเข้าร้านมาทานคนเดียวแน่

   นึกว่าเอื้อมจะเป็นผู้ชายประเภทที่เพื่อนเยอะเสียอีก

   "เป็นสายชอบของล่าตามรีวิวเหรอ"

   เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ พอเริ่มมีโพสต์รีวิวที่หนึ่งก็จะมีสองสามสี่ตามมาเหมือนการแยกเซลล์แบบยกกำลัง ไม่ได้บอกว่าผิดแต่ว่ามันไม่ใช่ทางเขาเท่าไหร่ ชีวิตวันๆ แค่ดูหนังและดื่มด่ำกับสิ่งที่ต้องการสื่อก็หมดแล้ว

   ร้านอาหารเป็นประเภทฟิวชันผสมหลายชาติ การแต่งร้านเลยหลากหลายตามไม่ได้สื่อเด่นชัดถึงชาติใด ห้องขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยกระจกมีม่านปักสีขาวลายดอกไม้หลายชนิดประดับ เว้นระยะห่างของโต๊ะได้พอดีไม่ชิดเกินไปจนกลายเป็นอึดอัด แล้วราคาก็ไม่ได้สูงเกินเหตุจนสามารถเห็นเด็กในชุดนักศึกษาเหมือนกับพวกเขาหลายส่วน

   "นิดหน่อย มันก็สนุกดี" เหมือนว่าจะเจอเรื่องคุยที่เหมาะ ถึงได้ยินเรื่องเล่าจากนั้นยาวพอสมควร "แถวบ้านเรามันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนอะ เลยอิจฉาพวกที่สามารถบอกว่าปั่นจักรยานไปลองของตามรีวิวก็ยังได้ นี่ก่อนหน้านี้เราไปกินไอติมไข่แข็งมา อร่อย"

   แค่เล่าไม่พอยังมีการเปิดรูปขึ้นมาอวดเพิ่มอีกต่างหาก

   "ปันไม่ชอบเหรอ"

   "เราไม่ชอบวิ่งตามกระแสน่ะ" คำตอบดูน่าหมั่นไส้ ปรัญรู้ดี ช่วยไม่ได้ที่หลายครั้งเขารู้สึกอย่างนั้นจริง "ไม่ได้บอกว่าผิด แค่ไม่ถูกจริตกับตัวเราเท่าไหร่"

   ไม่ถึงกับลนลานแก้ตัวเพื่อให้สบายใจ เขาลอบมองดูทีท่าตั้งแต่ที่พูดเรื่องกระแสแล้วล่ะ เอื้อมอารัญแค่พยักหน้าขึ้นลงนิดหน่อยพอรับทราบ ไม่ได้ดูมีอคติกับสิ่งที่เขาแสดงออกอะไร

   "แต่ที่มากับเรานี่โอเคใช่ไหม"

   "ที่เห็นอยู่ด้วยก็น่าจะเป็นคำตอบอยู่แล้วนะ"

   "นั่นสิเนอะ"

   ถือวิสาสะตอนที่คนนั่งฝั่งตรงข้ามก้มหน้ามองแต่แสงจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเก็บรายละเอียดบางอย่างบนใบหน้า ถ้ามองในภาพรวมแล้วมันไม่มีอะไรที่โดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ แต่ทุกอย่างมันก็ลงตัวเหมาะเจาะไม่ขัดตา ถ้าสายตายังดีอยู่เหมือนจะมีไฝเม็ดเล็กอยู่ตรงโหนกแก้ม แล้วก็มีลักยิ้มด้วย

   ผมที่ไม่เห็นต้องเซ็ตอะไรมากก็เข้าทรง เส้นผมดูมีน้ำหนักและผ่านการดูแลมาอย่างดีไม่เหมือนกับเขา แค่ครีมนวดยังไม่เคยคิดจะซื้อมาใช้

   "เราห้ามลืมสั่งสาคูแคนตาลูปนะ นี่เขาบอกว่าห้ามพลาด"

   เสียงเดินทางมาไม่เต็มประโยคเท่าไหร่ ก็คนเล่ายังเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมขยับเลยนี่นา

   "ได้ ถ้ากินของคาวหมด"

   "ไม่หมดก็เก็บกลับสิ ยากอะไร"

   เหมือนได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้ชายพูดน้อย เอาแต่ยิ้มเล็กๆ ท่าทางไม่ค่อยเอนจอยโลก คนตรงหน้าเขาดูมีชีวิตชีวาหรือพูดอีกอย่างคือเป็น 'มนุษย์' มากขึ้น

   ส่วนมากเราไม่ได้คุยกันต่อเนื่อง จะเป็นประมาณว่าเอื้อมมีอะไรนึกออกก็จะพูดออกมา ส่วนเขาเป็นฝ่ายเริ่มเพียงแค่หัวข้อเดียว

   ไม่รู้สึกแปลกกับการก้มหน้ามองแต่โทรศัพท์ในมือตัวเอง ปรัญเลื่อนหน้านิวฟีตด้วยนิ้วโป้งไวๆ ไม่ได้หยุดอยู่ตรงโพสต์ไหนนาน จนมาเจอกับสเตตัสของฮิวที่เพิ่งอัปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

   โกหกได้ก็โกหกไป

   ทั้งช่วงเวลาแล้วก็เนื้อหามันลงตัวจนเขาไม่คิดว่ามันจะหมายความถึงใครอื่นได้อีก

   เปลี่ยนไปเข้าอีกแอปหนึ่งแทนด้วยความคาดหวังว่ามันคงมีอะไรที่จรรโลงใจมากกว่า ประจวบเหมาะกับการมาเสิร์ฟของอาหารจานแรกเลยเป็นที่รู้กันว่าควรเก็บเครื่องมือสื่อสารให้พ้น

   ค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นกันเองมากกว่าที่คิดเอาไว้ มันเป็นการร่วมโต๊ะครั้งแรกที่ไม่กระอักกระอ่วนหรือว่าต้องมาศึกษาทีท่ากัน อยากทานอะไรก็หยิบ ไม่ชอบผักก็ไม่ตักขึ้นมาปล่อยให้มันถูกลืมเอาไว้อย่างนั้น การปรุงรสชาติที่ไม่ติดหวานอย่างที่บ่นกันก่อนหน้าช่วยให้มื้อเย็นเต็มไปด้วยความน่าพึงพอใจ

   ถ้าเทียบจากความสูงที่แทบไม่ต่าง รูปร่างก็ใกล้เคียงแล้วต้องบอกว่าเอื้อมกินจุกว่าเขาเยอะ ที่บอกว่ามีความสุขกับการตามหาของอร่อยนี่ไม่เกินกว่าที่พูดเลย

   "เราเจอปันในห้องนั้นตั้งแต่เทอมแรกเลยปะ"

   "ใช่ พอดีเขาให้มาประจำงานส่วนนี้น่ะ"

   ไม่หือไม่อือ อยากจะให้ทำในส่วนไหนปรัญก็โอเค ไม่เรื่องมาก

   ต่อให้มีการรีวิวงานจากรุ่นพี่ว่าส่วนไหนดี ส่วนไหนควรเลี่ยง เขาก็มองว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาที่จะพามาให้ ตะกายหนีเท่าไหรก็ไม่มีทางพ้น

   "เราไม่เคยรู้เลยว่ามีโครงการนี้ด้วย" ตอนนี้เป็นช่วงเวลาการรอของหวาน หลังจากที่อาหารเย็นมื้อใหญ่ได้จบลงไปแล้ว "ดูเข้าง่ายกว่าโครงการปกติเยอะเลย"

   "ง่ายกว่าเยอะ ถ้าคุณสมบัติครบก็อยากแนะนำให้สมัครทางนี้ดีกว่า"

   "เราก็ทำหลายอย่างตอนมัธยม แต่ว่าไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน"

   บทสนทนาราบรื่นจนไม่อยากให้มีอะไรมาขัด น่าเสียดายที่มันถูกแย่งความสนใจไปโดยถ้วยของหวานใบกำลังดีที่เพิ่งวางลงกับโต๊ะ คนบอกว่าห้ามพลาดของหวานจัดการคนมันให้เข้าด้วยกันก่อนเริ่มทำการพิสูจน์

   "อร่อยนะ ลองไหม" ช้อนเซรามิกกระทบกับขอบถ้วยยามชิมคำแรกเรียบร้อย ฝ่ามือที่ผายมาทางเขาบอกให้ส่ายหัวกลับไป

   "ไม่ล่ะ อิ่มมาก"

   นี่มันเกินกว่ามื้อปกติไม่น้อย เขาไม่ค่อยทานมื้อเย็นเยอะเพราะว่ามันจะไปรบกวนสมาธิในการชมภาพยนตร์ ก็ส่วนมากรอบปฐมทัศน์มันมักจะเป็นเวลานี้ เขาในฐานะนักรีวิวที่มีคนติดตามจำนวนหนึ่งได้รับเชิญจนกลายเป็นขาประจำนานพอสมควรแล้ว

   เพื่อการทำงานที่ไม่ค่อยได้เงินเป็นหลักเป็นแหล่งเท่าไหร่เลยต้องตัดปัจจัยที่จะเข้าไปขัดขวางสมาธิ อาการง่วงคือสิ่งที่ต้องระวังเอาไว้ แค่เดินทางจากมหาวิทยาลัยไปโรงภาพยนตร์ก็ดูดพลังงานพอแล้ว อย่าให้อย่างอื่นเข้ามามีบทบาทอีกเลย

   "แล้วนายจะต้องเสียใจ"

   ก็เลยกลายเป็นการรับชมการทานของหวานแบบที่ไม่มีบทบรรยายเหมือนกับรายการอาหารทั้งหลาย พอจบมื้อแล้วก็ยังต้องมาทะเลาะกันต่ออีกว่าจะต้องเป็นการจ่ายแบบหารครึ่งเท่านั้น เขาไม่ยอมให้เอื้อมออกเงินทั้งหมดเองหรอก เครื่องดื่มโกโก้ยังไม่ได้ใช้คืนเลย

   งัดเอาเรื่องอเมริกันแชร์ น้ำใจคนไทย และวิธีการเข้าสังคมของบางประเทศ มาได้ข้อสรุปสุดท้ายคือหารครึ่งส่วนของคาวและเครื่องดื่ม ส่วนของหวานจะเป็นความรับผิดชอบของคนอยากกินคนเดียว

   อย่างนี้ค่อยรับได้หน่อย ปรัญไม่สนใจเรื่องราคาที่ปรากฎบนบิลว่ามันจะเป็นเลขสี่หลักซึ่งแตกต่างจากมื้อเบสิกหลายเท่า เขาไม่ค่อยได้เอาเงินไปใช้ทำอะไรอยู่แล้ว จะเอามาลงกับของกินมันคงไม่ได้เป็นเรื่องประหลาด

   "เฟซปันชื่ออะไรอะ แอดไปได้ไหม"

   แค่เดินออกจากร้านไปยังลานจอดรถก็ยังไม่ยอมปล่อยสมาร์ตโฟน มองดูทางกรวดหินที่ทอดยาวต่อไปแล้วอดห่วงไม่ได้ถ้าเผลอสะดุดจนหน้าทิ่ม แรงปะทะของมันน่าจะสร้างความเสียหายได้มากพอควร

   บอกชื่อเสียงเรียงนามที่ใช้ไปทีละตัวให้สามารถกดแป้นได้ทัน "แต่ไม่อัปอะไรหรอก ร้างมาก"

   ตัวตนบนโลกออนไลน์ของปรัญอยู่ในทวิตเตอร์มากกว่า ก็แอคเคาท์รีวิวหนังนั่นแหละ

   "ปา...รัน อ่านอย่างนี้หรือเปล่า"

   "ปรัญ" ออกเสียงแบบที่ถูกต้องให้ "เลยชื่อเล่นว่าปัน"

   เป็นอะไรที่สิ้นคิดจนไม่ค่อยอยากจะเล่าที่มาของชื่อเล่นให้ใครฟังเท่าไหร่ เราสามารถอนุมานได้จากเพื่อนที่ชื่อเกี่ยวข้องกับฟุตบอลว่าเป็นกีฬาโปรดของพ่อ หรือว่าจะเป็นดาราคนโปรดของแม่ สำหรับเขาแล้วมันไม่มีอะไรที่มากไปกว่าการตั้งชื่อจริงแล้วพบว่าขี้เกียจหาชื่ออีกเลยพยัญชนะของคำแรกมาใส่รวมกับสระและตัวสะกดในคำที่สอง

   ปะบวกกับรัญ เลยได้คำว่าปัน

   "แอดไปแล้วนะ ห้ามบล็อก..." อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดินโดยไม่มีสัญญาณเตือน แอบเสียมารยาทด้วยการขยับเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนหน้าจอ มันกำลังแสดงผลเป็นข้อความเดียวกับที่เขาเห็นก่อนหน้า

   "...โดนคิดว่าโกหกจริงด้วยแฮะ"

   "..."

   "เอาเถอะ ยังไงก็เป็นครายวูลฟ์ (Cry Wolf) ของพวกเขาอยู่แล้วล่ะนะ"

   ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็จะรู้ 'กิตติศัพท์' ดีนี่นา


***
   รับรู้ได้ถึงความระแวงของคนอ่าน...เจ้าจะไปแบบเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่เครียดค่ะ (หัวเราะ) ลองวางโครงเรื่องจนจบแล้วน่าจะไม่ยาวเหมือนกับทุกเรื่องที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ลัดคิวแต่งก็งี้ล่ะนะคะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สอง [11.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-03-2018 12:27:31
อ่านตอนนี้แล้วก็ไม่ค่อยเครียดนะคะ แต่อยู่ในสภาวะก้ำกึ่งในการตัดสินใจว่าจะวางใจเอื้อมดีรึเปล่า ก็สงสารเอื้อมนะคะที่โดนเพื่อนว่าแบบนั้น แต่ถ้าเราเจอแบบฮิวที่รู้ว่าแม่ตีแบตอยู่ เราก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน สุดท้ายเราก็อยู่ทีมเดียวกับปันค่ะ เข้าข้างเอื้อมหน่อยๆ ฮ่าๆ

แอบตงิดๆตรงประโยคที่ว่า "เราแค่สั่งตามที่รีวิวบอกว่าอร่อย"
คือมันมีอะไรหรือเราคิดมากไปเอง รู้สึกระแวงไปหมดเลยค่ะ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สอง [11.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ที่ 11-03-2018 14:53:54
เป็นทีมแม่น้องปัน ถ้าน้องปันเข้าข้างเอื้อม แม่ก็จะเข้าข้าง แง
เหมือนคุณเอื้อมนี่น่าจะมีปมอะไรซักอย่าง ก็ต้องอ่านๆไป เพราะไม่เคยเดาอะไรจากงานคุณเจ้าได้เลย ฮือ ไม่ฉลาดพอ ;-;
แต่ถ้าเราเป็นฮิวแล้วรู้ว่าเอื้อมโกหกจริง อย่างเรื่องแม่ตีเเบดงี้ ก็คงไม่สบอารมณ์อ่ะ แต่ในเรื่องอื่นก็ไม่รู้ว่าจริงไหม
แต่นั้นแหละค่ะ ทีมแม่น้องปันปันจะอยู่ข้างคุณเอื้อม เพราะปันว่าดี แม่ก็ว่าดี แง่ม
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สาม [17.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 17-03-2018 19:05:50
สาม
 
   คราวนี้บนโต๊ะเลคเชอร์ของเขามีโกโก้ร้อนแก้วหนึ่งวางเอาไว้

   เอื้อมอารัญส่งข้อความมาถามว่าวันนี้มีเรียนกี่โมง ที่ตึกไหน ด้วยความที่ไม่คิดอะไรเลยตอบไปโดยไม่ซักไซ้ให้มากความ พอเดินมาถึงหน้าห้องเรียนแล้วเจอคนหน้าคุ้นนั่งไขว่ห้างรออยู่แล้วก็เข้าใจว่าถามไปทำไม

   'เห็นในเฟซว่าร้านอยู่แถวนี้ น่าจะยังร้อนอยู่นะ'

   ตลกกับการบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าเป็นการซื้อของตามคำเชื้อเชิญบนโลกออนไลน์ แล้วที่บอกว่ายังร้อนอยู่ตอนที่เอามาถือไว้เองมันก็ยังอุ่นดี

   เหมือนเอื้อมจะถือคติซื้อมาก่อน แม่จะได้ห้ามไม่ได้ เขาพูดทิ้งท้ายทำนองว่าถ้าบอกก่อนก็จะไม่มีทางรับ เพราะฉะนั้นก็ต้องหาทางที่จะไม่โดนเบรก แถมยังภูมิใจกับแผนการที่ตัวเองวางเอาไว้อีกต่างหาก

   เปลี่ยนไปมองโปรเจกเตอร์หน้าห้อง มันไม่มีสไลด์จากโปรแกรมยอดฮิตอย่างหลายวิชา มีเพียงลายมือที่อ่านค่อนข้างยากของอาจารย์กับกราฟบางอย่างที่ดูแล้วน่าปวดหัว ไม่สงสารนักศึกษาที่ต้องมาแกะลายมือโย้เย้จนแทบจะกลายเป็นเส้นวาดเดียวเลย

   จดอะไรลงไปนิดหน่อยในหนังสือเล่มหนา เนื้อหามันไม่ค่อยต่างกันมากเพราะชื่อคนเขียนก็คือคนเดียวกับที่ยังพูดไม่หยุดนั่นแหละ เป็นวิชาที่รุ่นพี่บอกว่าถ้าไม่อยากตื่นมาเรียนก็ตั้งใจจำคำที่อาจารย์ใช้ในหนังสือไปตอบ ยังไงก็ได้เอถ้าไม่พลาดทำผิดข้อ

   นั่นทำให้ปริมาณสมาชิกภายในห้องมีเพียงครึ่งหนึ่งของที่ลงเรียนทั้งหมด ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะว่าจะได้ไม่ต้องแย่งที่นั่ง ปรัญเลือกมุมบนด้านหลังของห้องแบบไล่สโลปเพื่อให้ความสูงไม่เป็นที่รบกวน และแน่นอนว่ามันสะดวกต่อการแอบทำอย่างอื่นด้วย

   เช่นตอบแชตของเจ้าของเครื่องดื่มในเช้าวันนี้

   U Arun : รอเรียนตอนสิบเอ็ดโมง

   สัมผัสได้ว่าช่วงหัวคิ้วคงขยับเข้ามาหากันไม่น้อย นี่เพิ่งเก้าโมงครึ่งเองนะ

   U Arun : แต่ปกติมาเวลานี้อยู่แล้ว

   อย่างกับมีญาณวิเศษว่าเขากำลังไม่พอใจเรื่องนี้ ภาพขยับได้ที่มาพร้อมข้อความ Don't Worry ไม่เห็นทำให้เขาหยุดกังวลได้เลย

   Parun P : แล้วทำอะไรต่อ?
   U Arun : นั่งเหม่อไปเดี๋ยวก็ถึงเวลาแล้ว
   U Arun : ไม่เหมือนตอนอยากให้คาบเรียนหมดไวๆ


   นิ้วโป้งหัวแม่มือยังขยับไปตามส่วนของแป้นพิมพ์ได้ไม่ครบทั้งประโยคก็ต้องรีบวางมันลง ก็อาจารย์เล่นเปลี่ยนเรื่องสอนโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เขารีบเปิดหาเลขหน้าที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่ เพ่งสายตาหาส่วนที่มีเนื้อความตรงกับเสียงที่ผ่านลำโพง

   แล้วไม่รู้ว่าเกิดเครื่องติดอะไรขึ้นมาถึงกลายร่างเป็นแรปเปอร์จนจบคาบ พอได้ยินคำว่ามาต่อชั่วโมงหน้าทั้งห้องถึงสามัคคีถอนหายใจโล่งอก เขาควานหากระเป๋าใบเล็กที่เอาไว้ใส่ปากกาขึ้นมาเก็บอุปกรณ์เขียน จากนั้นก็ปิดหนังสือแล้วเก็บทุกอย่างลงไปทีเดียว

   สะพายกระเป๋าข้างให้เรียบร้อย มือข้างซ้ายถือเครื่องดื่มที่ไม่มีเวลาได้ยกขึ้นจิบชิมรสชาติ ส่วนอีกข้างปลดล็อกรหัสหน้าจอโทรศัพท์เพื่อพบว่าลืมอะไรไป

   U Arun : ว่างจัง
   U Arun : เข้าไปนั่งเรียนด้วยได้ไหมอะ
   U Arun : น่าจะไม่ได้ ตั้งใจเรียนไม่ดูมือถือเลย


   ส่วนภาพประกอบที่ส่งมาต่อจากนั้นคือรูปถ่ายจากช่องกระจกเล็กๆ ด้านนอกประตูห้อง ซึ่งสามารถเห็นแผ่นหลังของเขากำลังก้มหน้าคร่ำเคร่งกับบทเรียนอยู่

   U Arun : ไปเรียนแล้วนะ อย่าลืมรีวิวโกโก้ให้ด้วย

   ข้อความสุดท้ายส่งมาเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้ว นี่อย่าบอกนะว่าเอื้อมอารัญนั่งเหม่ออยู่นอกห้องอย่างที่บอกจริง

   ชั่งใจอยู่นานว่าจะส่งอะไรกลับไปก่อนเป็นอย่างแรก เลยหาที่นั่งแล้วจัดการทดสอบเครื่องดื่มเย็นชืดเสียก่อน มันก็ไม่ถึงกับดีมากแต่สำหรับเขาแล้วก็ถือว่าสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป คราวนี้ถือว่ารีวิวเชื่อถือได้

   Parun P : ก็โอเค

   "..."

   เหลือบขึ้นไปมองความยาวของข้อความที่แตกต่างกันเสียเหลือเกิน รู้สึกผิดเสียจนต้องแค้นสมองออกมาว่าควรจะเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปบ้าง

   จะบอกว่าไม่ต้องสรรหาของมาให้ชิมแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นการห้ามที่ไร้ประโยชน์ เอื้อมอารัญของเพื่อนๆ เป็นจำพวกเอาแต่ใจไม่น้อยเลยล่ะ มันเหมือนเป็นเรื่องเล่าสืบเนื่องต่อกัน ถ้าเริ่มเล่าเรื่องนิสัยที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่แล้วนอกจากเรื่องโกหกมันมักจะต่อด้วยคติถ้าอยากได้ก็ต้องได้

   เอาจากที่ประสบมากับตัวไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่มีเพื่อน ถ้าบอกว่าเรื่องความไม่รับผิดชอบหลังจากวันนั้นแล้วก็เห็นว่าไปซ้อมไม่ขาด บางครั้งยังอัปรูปขึ้นเฟซตอนพักอยู่เลย

   กลับไปทวนดูข้อความก่อนหน้าอีกครั้งด้วยความหวังว่าอาจเจออะไรที่เอามาเป็นส่วนต่อยอดได้ เรื่องเหม่อก่อนเข้าเรียนไม่น่าจะช่วย...

   เอาเป็นตรงนี้แล้วกัน

   Parun P : โต๊ะว่างเยอะ ถ้าอยากเรียนด้วยคาบหน้าก็ลองเข้ามาสิ
 


   บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรสัปดาห์นี้ไม่ค่อยมีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการ แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปอีกพักใหญ่ซึ่งเข้าใกล้การสอบกลางภาคแล้วมันจะเริ่มมีการเพิ่มขึ้นของตัวเลขอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจารย์เลยบอกว่าถือเป็นการเซฟพลังเอาไว้เตรียมเจอกับของจริง

   แฟ้มรายชื่อผู้เข้าใช้บริการถูกหยิบออกมาเปิดตรวจสอบ ภาพรวมมันเป็นตัวเลขในเกณฑ์มาตรฐานไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลง
จะประหลาดก็ตรงไม่มีชื่อของเอื้อมอารัญมาสองสัปดาห์แล้ว

   ใช่ว่าจะไม่มาเลย เอื้อมแวะมาเมื่อวันก่อน แต่มาเพื่อถามว่าเย็นวันพฤหัสเขาสะดวกไปทานข้าวเย็นด้วยหรือเปล่า น่าเสียดายที่วันนั้นมีนัดกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญก่อนแล้วเลยต้องปฏิเสธไป

   คงเป็นคนที่ใจดีมากเกินไปอย่างที่เพื่อนคนอื่นบอก เขายังรู้สึกผิดกับการเป็นต้นเหตุของใบหน้าหงอยลงไปหนึ่งระดับตอนที่บอกว่าไม่สามารถไปด้วยได้อยู่เลย ถึงต่อจากนั้นจะส่งข้อความไปขอโทษซ้ำอีกครั้งและเอื้อมก็บอกว่าไม่เป็นไรก็เถอะ

   คนที่ควรจะเข้าไปขอรับคำปรึกษาคือปรัญนี่แหละ

   "ควรจะเลิกคิดมาก..."

   เอื้อมไม่ได้เข้าไปนั่งเรียนด้วยอย่างที่เคยชวน เขาตอบกลับมาติดเล่นว่าเป็นเด็กสายศิลป์ที่ไม่ถูกกับตัวเลขทุกกรณี และมันก็จบลงอย่างที่ควรจะเป็นโดยที่ไม่มีใครรื้อขึ้นมาพูดใหม่

   ไหนใครเพิ่งบอกว่าต้องเลิกคิดมาก

   ยอมรับว่าเป็นคนที่ชอบเอาใจเขามาใส่ใจเราเองมากจนเกินไป แต่ให้ทำยังไงได้ล่ะ ลองมาเจอผู้ชายทำหน้าตาไม่ค่อยยิ้มในห้องสำหรับการปรึกษาด้านจิตเวชติดต่อกันเป็นระยะเวลาพอสมควรอย่างเขา ร้อยทั้งร้อยคงไม่ทิ้งให้มันแย่ลงกว่าเดิม

   "ปันจะไปงานตลาดตอนเย็นไหม"

   "ครับ?"

   หมดเวลาทำงานในวันนี้ เดี๋ยวจะเป็นช่วงพักเที่ยงของอาจารย์และตัวเขาเอง ต่อจากนั้นก็เตรียมเข้าเรียนในภาคบ่าย

   "งานตลาดนอกรอบที่จัดวันนี้ไง ตรงโซนลานจอดรถน่ะ"

   เมื่อได้คำอธิบายเพิ่มถึงพอนึกได้ว่าช่วงที่ผ่านมาเห็นป้ายเชิญชวนให้เข้าร่วมในรูปแบบต่างๆ อยู่เหมือนกัน ตั้งแต่ไวนิลสีสันสดใส แล้วก็มีป้ายห้อยระย้าตามเสา ที่เข้าไปในเฟซวันก่อนก็มีคนแชร์กิจกรรมภายในงาน มีขายของ โชว์ความสามารถนักศึกษา ของแจกฟรีจากสปอนเซอร์ ไม่ถึงกับระดับสนใจจนต้องไปให้ได้

   "ถ้าเบื่อๆ คงไปแหละครับ"

   "คิดไว้แล้วว่าปันต้องตอบประมาณนี้ อาจารย์ต้องตกใจแน่ๆ ถ้าบอกว่าไปแน่นอน"

   "ก็จะได้ไม่ทำให้อาจารย์ตกใจไงครับ"

   "แต่ถ้าว่างก็ไปเถอะ เผื่อเจอของดีไง" ไม่วายมีการขยิบตาส่งท้ายมาให้อีก "ไปกินข้าวเที่ยงได้แล้ว เจอกันที่งานตอนเย็นนะจ๊ะ"

   สรุปแล้วก็คืออาจารย์จะไปแน่ๆ แค่นั้นแหละ

   ปรัญยกมือขึ้นไหว้ลา ออกจากห้องแอร์ไปเจอกับแสงแดดและความร้อนที่แผดเผาเสียจนอยากกลับหลังหันแล้วเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยตามเดิม เบ้หน้าให้กับอุณหภูมิสุดแสนจะไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตพลางก้าวเดินไปยังที่จอดรถจักรยานเสือภูเขาด้านหลังตึก เอาให้สมกับอยู่ในมหาวิทยาลัยสีเขียวหน่อย

   เอาเข้าจริงแล้วการเดินทางข้างในไม่ได้ยาก มีทางเดินพร้อมหลังคาติดตั้งเอาไว้พร้อมเสร็จสรรพสำหรับการใช้งาน ติดก็ตรงความร้อนนี่แหละที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ ใครมันจะทนเดินจากตึกเรียนกลับหอโดยไม่เป็นลมแดดไปก่อนได้

   ใช้วิธีการโยนหัวก้อยว่ามื้อกลางวันจะไปจบที่ไหน ไม่ค่อยอยากไปส่วนโรงอาหารกลางเท่าไหร่เพราะนี่มันเพิ่งเป็นช่วงเวลาการปล่อยคลาสเรียน บรรดานักศึกษาที่ถูกสูบพลังงานจากห้องเรียนจะต้องกรูกันเข้าไปแย่งชิงพื้นที่นั่งอย่างที่เห็นมาเสมอแน่

   เลยเลือกที่จะเบนทางไปยังโรงอาหารในโซนหอพักแทน นอกจากทางเดินที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่แล้วทางที่สร้างขนานกันไปคือทางสำหรับจักรยาน (และไม่น้อยที่มีจักรยานยนต์แอบเข้ามาใช้) ลัดเลาะไปตามป้ายบอกทางจนถึงทางแยก ด้านซ้ายคือทางเข้าส่วนหอพัก ส่วนที่เห็นคนจำนวนมากเดินไปมาวุ่นวายทางขวาคือลานจอดรถกลาง

   เบรกเกียร์จนเครื่องทุ่นแรงหยุดการทำงาน มองไปยังพื้นที่โล่งที่มักจะเห็นรถยนต์หลากยี่ห้อหลายสีสันจอดเรียงกันไปกลายเป็นลานสำหรับการจัดกิจกรรมในค่ำคืนนี้ เวทีขนาดเล็กตั้งอยู่สุดสายตา ส่วนพื้นก็มีการเอาชอล์กสีมาแบ่งช่องตารางเอาไว้ บางส่วนยังว่างเปล่าแต่ไม่น้อยที่เริ่มจัดวางร้านแล้ว

   เสียงประกาศตามสายเชิญชวนดังมาไม่ขาด เขาไม่ได้สนใจว่ามันจะมีร้านอาหารชื่อดังหรือว่ามินิคอนเสิร์ตจากนักร้องคิวทอง สิ่งเดียวที่นึกถึงคือใบหน้าของคนที่บอกว่าชอบเสาะหาของตามรีวิว

   คิดว่ามันคงไม่ได้เสียหายอะไรสำหรับการเป็นคนเชิญชวนบ้าง ถ้าเทียบแล้วรอบอื่นก็มีแต่เอื้อมที่เอ่ยปากก่อน คราวนี้สลับกันบ้างก็ได้

   "งานใหญ่กว่าที่คิดนะเนี่ย"

   หลังจากตัดสินใจแล้ว ปันก็พิมพ์ลงไปในแชตแค่ว่าสนใจมาเดินตลาดเย็นนี้ด้วยกันหรือเปล่า และได้รับคำตอบเป็นการตกลงแบบลากตัวสุดท้ายยาวยืด ตามมาด้วยภาษาประหลาดที่เขียนด้วยภาษาไทยแต่ไม่เข้าใจความหมาย เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปเร็วล่ะนะ

   "อือ นึกว่าจะมีนิดเดียว" เท่าที่กวาดตามองตอนนี้มันคงมากกว่าร้อยร้านค้า ทั้งส่วนที่เป็นกิจการของนักศึกษาและบุคคลภายนอก มีแบ่งส่วนระหว่างของกินและของใช้ชัดเจน ละลานตาจนไม่รู้ว่าควรเริ่มที่ตรงไหนดี "แล้ววันนี้ไม่ต้องซ้อมเหรอ"

   เอื้อมอารัญตอบทั้งที่สายตายังสอดส่องหาของถูกใจ "งดซ้อม เพราะทุกคนโหวตว่าอยากมางาน"

   "ทุกคนเลยเหรอ" ทวนกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็คิดว่าฮิวน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่โหวตให้งด "อะไรจะมติเป็นเอกฉันท์ขนาดนั้น"

   "ที่จริงคือไม่รู้เหมือนกันว่าใครเริ่มเสนอ แต่ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็ได้ประโยชน์ล่ะนะ"

   "นั่นไม่เท่ากับว่าทุกคนโหวตว่าอยากมา"

   "จะเป็นแบบไหนก็ไม่ได้ทำให้ผลเปลี่ยนไปสักหน่อย ไปทางนู้นกัน"

   ความคิดที่ว่าจะเริ่มตรงไหนถูกเก็บไปเมื่อคนมาด้วยเดินลิ่วนำไปทางโซนของกินแล้ว พวกเขาคงเข้างานในช่วงเวลาที่ตรงกับบรรดานักศึกษาจำนวนมาก มันเลยเป็นการเดินชมงานช้าๆ ไม่สามารถขยับหลบหลีกเพื่อความรวดเร็วได้

   ส่วนสูงที่มากกว่าค่าเฉลี่ยของชายไทยเป็นผลดีกว่าที่คิด ปรัญฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิชาที่เรียนสลับไปกับการแวะเข้าไปซื้อสินค้าหลายประเภท จากหนึ่งก็เป็นสองและสาม แล้วเริ่มเพิ่มขึ้นจนท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติ

   ร้านนี้อร่อย

   ร้านนั้นมีคนแนะนำเยอะ

   ร้านนู้นเป็นเพื่อนของเพื่อนบังคับให้ช่วยอุดหนุน

   "คุณเอื้อมมาช่วยซื้อเร็ว!"

   นึกว่าจะหมดสิ้นเวรกรรมกับส่วนของกินแล้ว อีกแค่สามร้านจะถึงทางออกไปยังลานสำหรับรับประทานควบคู่ไปกับการแสดงบนเวที มันก็ยังไม่วายมีคนเรียกชื่อเอื้อมอารัญอีกจนได้

   เขาก็เจอเพื่อนในคณะเหมือนกัน เป็นการยักคิ้วทักทายแล้วก็จากกันไป ไม่เหมือนกับที่เอื้อมทำ ต้องแวะเข้าไปคุยหรือไม่ก็ได้อะไรติดมือมาเสมอ

   "ขายอะไรอะ"

   "อิตาเลี่ยนโซดา เอาแบบไหนสั่งเลยเดี๋ยวทำให้พิเศษ"

   ชื่อเครื่องดื่มที่ปรัญบอกไม่ได้ว่าเจอมากี่ร้านแล้วในการเดินหนึ่งรอบ ก็ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมหาศาล การขายเครื่องดื่มนี่มันเหมาะสำหรับการค้าเกินกำไรจริงๆ

   "เราไม่กินโซดา มีแบบอื่นไหม" ยืนอยู่ด้านหลังเยื้องพอให้เห็นหน้าแค่นิดหน่อยผ่านช่วงไหล่ ยังไงตรงนั้นก็ไม่มีคนรู้จักอยู่แล้ว "ไม่มีเหรอ ...งั้นปันเอาอะไรไหม เดี๋ยวเราเลี้ยง"

   เพราะการหันมาถามความเห็นกะทันหันเลยไม่ทันได้หลบให้มีระยะห่างที่ดีกว่านี้ มันใกล้ในระดับที่เห็นชัดว่าตามกรอบหน้ามีเม็ดเหงื่อโผล่ขึ้นมาพอควร เอื้อมยักคิ้วขึ้นพลางย้ำในคำถามเดิม

   "อ่า...ไม่ล่ะ"

   ทั้งจากที่ไม่ค่อยถูกปากกับน้ำผสมแก๊ส แล้วก็ไม่อยากรู้สึกติดค้างมากขึ้น

   "งั้นเอาที่น่าจะอร่อยมา ต้องพิเศษอย่างที่บอกนะ"

   ไม่เข้าใจเลยว่ามันมาจบที่ตรงนี้ได้ยังไง

   "ให้เขียนหน้าถุงว่าอะไร ชื่อเอื้อมไหม?" ภาชนะที่ใช้บรรจุไม่ใช่แก้วใสอย่างที่ขายทั่วไป แต่เป็นถุงพลาสติกเนื้อหนาที่มีซิปปิดพร้อมกับหูหิ้ว ไม่แน่ใจว่าสกรีนหรือใช้ปากกาเขียนคำว่า NAME เอาไว้พร้อมกับตัวการ์ตูนสายเส้นน่ารัก "หรือว่าจะเป็นชื่อของเพื่อนดี?"

   อยากจะบอกว่าไม่ต้องสนใจก็ได้ คือดูจากลักษณะการพูดจาและท่าทางแล้วคงเป็นผู้หญิงที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่าย เธอเลยไม่กระดากอายสำหรับการหันมาขอความคิดเห็น

   "เขียนแค่รัญลงไปก็ได้ R-U-N"

   "ว้า นึกว่าจะได้เขียนคำว่าคุณเอื้อมซะอีก"

   "เสียใจด้วยนะ"

   ตลอดการพูดคุยมันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ปรัญลอบเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อยู่คนเดียว ผู้ชายข้างหน้าเขาตอนนี้ไม่เหมือนเอื้อมคนที่เจอในห้องที่ปรึกษา มันแตกต่างเสียจนอดคิดไมได้ว่าแบบไหนที่เป็นตัวตนแท้จริงของเขา

   หรือว่าไม่มีเลย

   เนื่องจากมือเต็มแล้วมันก็ควรถึงเวลาทำลายลงกระเพาะ สถานที่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนยากต่อการหาพื้นที่นั่ง โชคยังอยู่ข้างพวกเขาเมื่อย้อนกลับมายังส่วนการแสดงอีกครั้งก็เจอกับเก้าอี้ตัวยาวทำจากไม้อัดเป็นทรงกล่องว่างพอดี

   ถึงจะบอกว่าเป็นตัวยาวแต่มันก็ไม่ได้สะดวกสำหรับสองคนนั่งเสียทีเดียว บรรดาอาหารในถุงพลาสติกที่สั่งให้ใส่รวมกันเท่าที่จะทำได้ต้องวางลงกับพื้นพิงเก้าอี้ไว้ หยิบขึ้นมาลองทานทีละอย่างตามที่แขนสองคนสี่ข้างจะเอื้ออำนวย

   "เดี๋ยวขอถ่ายอันนี้ก่อน ปันอยากกินอะไรหยิบไปก่อนเลย"

   อันนี้ที่ว่าคือถุงอิตาเลียนโซดาจากร้านสุดท้ายก่อนหลุดพ้นนั่นแหละ เอื้อมขยับซ้ายขวาก้มเงยอยู่หลายทิศ นัยน์ตาเพ่งตรงไปยังส่วนกรอบสี่เหลี่ยมที่กำลังโชว์ภาพตัวอย่างก่อนกดบันทึก ปากก็บ่นเรื่องการจัดไฟของงานที่มันไม่ได้เหมาะกับการถ่ายภาพแนวฮิปสเตอร์เท่าไหร่

   พอรัวชัตเตอร์จนพอใจจึงเปลี่ยนมาเป็นการตรวจสอบภาพที่เพิ่งจัดองค์ประกอบเสร็จสิ้น ปันจิ้มเอาไก่ทอดราดชีสเข้าปากเป็นชิ้นที่สามระหว่างที่มองเอื้อมอารัญสลับภาพเปรียบเทียบไปมา ปากก็คาบหลอดน้ำดื่มค้างเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

   "...ไหนบอกไม่กินโซดา?"

   "พูดไปงั้นอะ ตอนแรกไม่อยากกิน"

   นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับ 'ครายวูลฟ์' ชื่อเอื้อมอารัญ

   "เอาจริงคือมันก็ไม่ได้อร่อยมากสำหรับเราด้วย หวานไป"

   "แล้วทำไมไม่ปฏิเสธ" เหมือนอย่างที่เขาทำ

   "ขี้เกียจโดนเอาไปพูดว่าคุณเอื้อมนั่นนี่ รำคาญ"

   "..."

   อธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไรกับการเล่ากึ่งเล่นกึ่งจริงทั้งที่ใบหน้ายังคงเคร่งเครียดกับการจับจ้องภาพชุดเดิม น้ำเสียงยามเรียกชื่อตัวเองกดลงหนักราวกับต้องการตอกย้ำอะไรบางอย่าง

   "ปันว่าลงภาพนี้ดีไหม"

   ภาพที่มีถุงน้ำสีแดงสดเป็นของดึงความสนใจอยู่ตรงกลาง ส่วนพื้นหลังเป็นภาพเบลอที่คงมีแต่เขารู้ว่าผู้ชายที่เห็นแต่ด้านข้างนั่นคือใคร

   "ถ้าชอบก็ลง"

   ในเรื่องของการมีตัวตนบนโลกออนไลน์เอื้อมคือคนที่ใช้ชีวิตได้ตรงกันข้ามกับเขาอย่างสมบูรณ์ การอัปเดตอะไรสักอย่างขึ้นหน้าฟีตจากยูสเซอร์ U Arun กลายเป็นสิ่งชินตาตั้งแต่รับเป็นเพื่อน

   สงสัยว่าการกดโทรศัพท์ด้วยมือข้างเดียวจะไม่สะดวกสำหรับการเล่น เจ้าน้ำที่เขายังจำชื่อไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไรถึงถูกไหว้วานให้ช่วยถือเอาไว้ ปรัญยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาเพื่อการสำรวจบางอย่าง

   "ทำไมถึงให้เขียนว่ารัญล่ะ" ไม่เคยได้ยินใครเรียกด้วยชื่อนี้ ส่วนมากมีแค่เอื้อมเท่านั้น

   "อ๋อ เพราะมันเป็นชื่อของเราสองคนไง"

   "..."

   ปรัญไม่ได้เตรียมใจว่าจะต้องมาเจอกับคำตอบแบบนี้เลย

   "ก็มาด้วยกัน จะให้เขียนแค่ชื่อตัวเองก็แปลกๆ"

   "ไม่เห็นแปลกเลย"

   รู้อยู่แล้วว่าชื่อจริงของสองคนลงท้ายด้วยคำเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องปกติที่บังเอิญเจอได้ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ยกตัวอย่างเช่นชื่อผู้ชายที่ลงท้ายด้วยพงศ์เป็นต้น

   "จะเดินกลับไปให้เขียนใหม่ไหมล่ะ"

   "ไม่"

   แค่ลองจินตนาการว่าต้องเข้าไปเดินเบียดเสียดกับฝูงชนจำนวนมากแล้วก็ขยาดแล้ว อากาศในฤดูหนาวที่ไม่มีความเย็นมันเหมาะกับการอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว นี่จำไม่ได้แล้วนะว่าใส่เสื้อหนาวแขนยาวครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

   ไก่ทอดคงใส่ผงเพิ่มรสชาติมากเสียจนคอแห้ง ปันจำใจดื่มน้ำในมือพร้อมกับภาวนาว่ามันคงไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิดเอาไว้ รสชาติแรกที่สัมผัสได้คือความหวานอย่างที่เอื้อมอธิบาย แล้วเจือจางลงเมื่อเริ่มคุ้น ไม่ถึงกับกินไม่ได้เลยแต่ก็เหมาะสำหรับการถ่ายรูปอย่างเดียว

   นึกว่าเลือกรูปได้แล้วจะหมดปัญหา นี่เอื้อมยังอยู่ในหน้าเปลี่ยนโทนสีจากโปรแกรมตัดแต่งอยู่เลย ปลายนิ้วเรียวสวยกดไปตามคำสั่งด้านล่างด้วยความชำนาญ ลองชะเง้อหน้าไปมองยังประมวลความลงตัวของมันไม่เสร็จก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นฟิลเตอร์อื่นแล้ว

   ไม่ได้มองว่าเป็นนิสัยของผู้หญิงเท่านั้นที่จะชอบการตกแต่งให้สวยงาม ศิลปะเป็นเรื่องทัศนคติส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ความงามของแต่ละยุคสมัยยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอด เอาอะไรมากกับรูปแค่หนึ่งหรือสองภาพ ถ้าปรัญมีหัวทางด้านการจัดแต่งองค์ประกอบก็คงปฏิบัติคล้ายกัน

   ดูท่าทางแล้วว่าไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจในเร็ววัน กลัวว่าของที่ซื้อมาจะหายร้อนไปก่อนเลยถือวิสาสะยื่นอาหารในมือไปใกล้กับช่วงปาก วิธีการอ้าปากแล้วงับโดยที่ส่วนอื่นของร่างกายยังคงตั้งสมาธิอยู่กับการแต่งภาพดูเป็นธรรมชาติจนต้องกลั้นขำไว้คนเดียว

   "เราแท็กปันได้ใช่ไหม" กว่าจะได้อย่างที่ต้องการก็คืออาหารชุดที่สามคือมันฝรั่งทอดโรยผงรสสาหร่าย และมันยังเหลืออีกหลายอย่างให้จัดการ "เผื่อว่าไม่ชอบน่ะ"

   "ได้ ไม่มีปัญหา"

   เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่มีการแจ้งเตือนเรื่องภาพที่ถูกติดชื่อคือเมื่อไหร่ ที่บอกว่าเป็นเฟซร้างน่ะไม่เกินความจริงหรอก แต่ก็ใช่ว่าไม่เข้าไปดูเลยนะ เข้าเกือบทุกวันแต่ก็ไม่เคยแสดงตัวตนบนนั้นเสียเป็นส่วนใหญ่

   เสียงประกาศของเอ็มซีเรียกให้ผู้เข้าชมงานทยอยมากองอยู่ตรงบริเวณที่พวกเขาสองคนนั่งอยู่ อีกประมาณสิบนาทีก็จะถึงช่วงของมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินที่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ ปรัญมองซ้ายขวาเพื่อประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ถ้าไม่ออกตอนนี้แล้วไปลุกระหว่างการแสดงมันน่าจะไม่โอเค

   "อยากฟังเพลงหรือเปล่า"

   "อยาก!"

   แล้วจะทำอะไรได้นอกจากเก็บความคิดเรื่องชวนไปนั่งที่อื่นไว้ เปลี่ยนไปมองบนเวทีที่นักดนตรีกำลังเซ็ตอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้าที่แทน

   ปรัญไม่อินกับเพลงไทย เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ปกครองชอบเพลงต่างประเทศกันทั้งคู่ เพราะงั้นตั้งแต่ยุคเทป ซีดี ทัมป์ จนมาถึงการฟังเพลงผ่านมือถือเพลย์ลิสต์ของเขาทั้งหมดจึงแทบไม่มีบทเพลงภาษาไทย มีครั้งหนึ่งเคยเล่นเกมทายชื่อเพลงไทยกับฮิว ผลคือแพ้ราบคาบ

   เสียงปรบมือปนกับโห่ร้องดังขึ้นยามผู้หญิงตัวเล็กในชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้ตามแบบที่กำลังนิยมปรากฎตัวขึ้น เธอกล่าวสวัสดีกับผู้เข้าร่วมงานเล็กน้อยพอให้คุ้นกับบรรยากาศ จากนั้นก็เป็นเวลาของบทเพลงที่เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

   ในขณะที่คนรอบกายสามารถร้องตามในท่อนฮุกได้ ทั้งเอื้อมและเขาก็นั่งเงียบกันอยู่สองคนคล้ายหลุมดำ มันฟังยากตามแบบฉบับของเพลงสมัยนี้ แล้วเนื้อร้องก็ไม่ค่อยคล้องจองกันจนเหมือนกับอยากจะเอาคำไหนมาใส่ก็ได้ เข้าไม่ถึงเลยแฮะ

   จับเนื้อหาได้ว่าเป็นการเล่าเกี่ยวกับความรักที่เต็มไปด้วยความระแวงไม่เชื่อใจกัน การโกหกที่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างซ้ำหลายครั้งจบลงด้วยการลาจาก มันก็เป็นเหตุเป็นผลกันดีอยู่ อยู่ที่่ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงคนที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์นั้นจะรับมือกับมันด้วยวิธีเดียวกับในบทเพลงหรือไม่

   ความรักสร้างข้อแม้เสมอ

   ยังดีหน่อยที่ช่วงหลังสลับเป็นเพลงสากล จากที่ต้องนั่งเป็นหุ่นที่ไม่สามารถขยับไปมาได้ก็เลยฮัมตาม พอครบจำนวนบทเพลงแล้วมันก็ถึงคิวของการแสดงชุดอื่น ซึ่งแค่ฟังจากชื่อแล้วก็ชวนให้หลับสบาย

   "ออกไปกันไหม"

   "ไปสิ"

   พออยากจะเดินออกเมื่อไหร่ก็ทำ ปันจัดการรวบรวมขยะทั้งหมดใส่รวมกันไว้ในถุงเดียว ใช้ความสามารถส่วนตัวในการหาช่องว่าแทรกตัวออกจากงาน นี่คิดว่าส่วนหนึ่งที่เพื่อนเรียกว่าคุณเอื้อมเพราะวิธีการแสดงออกอย่างนี้นี่แหละ

   นิสัยตัวละครฝ่ายร้ายชัดๆ

   "ไหนบอกว่าอยากฟังเพลง ไม่เห็นเงยหน้าจากมือถือเลย" เล่าตามที่ตาเห็น ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายเอื้อมอารัญละสายตาจากหน้าจอเพียงแค่สองหรือสามครั้ง และทั้งหมดเป็นการเงยขึ้นมาช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับไปก้มใหม่

   "ที่จริงคือแค่ยังไม่อยากอยู่คนเดียวอะ"

   "..."

   "โกหกปันอีกแล้ว ไม่ดีเลยเนอะ"


***
   เหมือนกำลังแต่งนิยายรีวิวของกิน (ฮา) แต่ให้บรรยายรสชาติก็ทำไม่เป็น เป็นมนุษย์จืดชืดที่สุดเลยค่ะ
   มีทีมปันขึ้นมาล่ะ ส่วนเจ้าขออยู่ทีมตรงกลางแล้วกัน จะได้ไม่มีใครน้อยหน้ากว่า แล้วก็ไม่ต้องระแวงนะคะ ยังยืนยันว่าจะพยายามให้ไม่หนัก ไม่เหนื่อยค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 27-03-2018 21:45:39
สี่
 
   เที่ยงคืนสิบสามนาที

   เสียงเคาะประตูดังสนั่น

   และคำพูดสั้นๆ ว่า "มีอะไรจะคุยด้วย"

   "..."

   เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรตอนนี้ปรัญถึงต้องมานั่งพับเพียบอยู่บนพื้นห้องโดยมีฮิวยืนเท้าสะเอวค้ำหัวอยู่ในห้องนอนของตัวเอง

   "ทำไมไม่บอกว่าช่วงนี้สนิทกับคุณเอื้อม"

   เดี๋ยวลองไปดูดวงหน่อยดีกว่าว่าราศีของเขากำลังพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกใช่ไหม แต่ละคนที่เข้ามาหาเขาไม่ได้พาโชคลาภมาสักคน

   "ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสนิทได้หรือเปล่า"

   นอกจากการเจอกันเฉลี่ยสัปดาห์ละครั้งอย่างที่เป็นเสมอแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่า 'สนิท' อย่างที่เพื่อนใช้คำ ในโลกออนไลน์ก็ไม่ได้คุยกันบ่อย อย่างที่บอกว่าปันอาศัยอยู่ในโลกของทวิตเตอร์มากกว่าเฟซบุ๊ก จะเข้าไปตอบต่อเมื่อนึกขึ้นได้นั่นแหละ

   "เล่ามาว่าทำไมถึงไปเดินตลาดด้วยกันได้"

   "อ้อ" จับเอาประเด็นมาสรุปใจความให้ตัวเองได้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากอะไร "ก็ชวนไปเดิน ไม่มีอะไรแปลกนี่"

   "ถ้าเป็นคนอื่นกูก็เข้าใจ แต่ทำไมต้องเป็นเอื้อมอารัญ"

   "คือกูเข้าใจว่าพวกมึงไม่ถูกกัน..."

   "แค่มึงคิดอย่างนั้นก็ผิดแล้วปัน"

   "..."

   จากการแหงนมองจนคอเกือบเคล็ด ฮิวเดินไปลากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมานั่งคร่อมฝั่งพนักพิง ตั้งศอกขึ้นข้างหนึ่งไว้สำหรับเอนศีรษะไปพิง

   "กูรู้จักกับเอื้อมมาเข้าปีที่หกแล้ว นานอยู่นะ" พวกเขามาจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนคนละห้องแต่ว่าอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน "เอาเป็นว่ากูได้ยินแล้วก็ได้เห็นอะไรมาเยอะ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดีก็เถอะ"

   เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิเอาหลังพิงกับขอบเตียง แสดงออกว่ากำลังตั้งใจฟังเรื่องที่เพื่อนกำลังเล่าอยู่ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ โดยส่วนตัวแล้วยังสับสนอยู่ว่าสรุปแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์ในเชิงไหน ก็เวลาที่ฮิวเล่าเรื่องเกี่ยวกับเอื้อมมันมักจะออกมาในแนวบ่นทุกอย่างที่ขวางหน้า จนนึกว่าเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

   "รู้ใช่ไหมว่ามันมี 'นิสัยไม่ดี' อยู่"

   "เจอมากับตัวแล้ว"

   "เออนั่นแหละ ยังเจอแค่เรื่องเล็กน้อยเลยยังรับได้ใช่ไหมล่ะ"

   "..."

   "กูก็ไม่เคยเจอเรื่องใหญ่หรอกนะ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะไม่เจอ"

   ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเอื้อม มันมักจะเป็นการเล่าที่มีคำว่า 'คนอื่นเล่าว่า' 'ได้ยินมาว่า' 'เขาพูดกันว่า' แทบไม่มีครั้งไหนที่เป็นการประสบพบเจอกับตัวเอง

   จนบอกไม่ได้เลยว่ามันผ่านการเติมแต่งและดัดแปลงมามากแค่ไหน

   "มันก็น่าสงสารแหละ ทั้งเรื่องบ้านแล้วก็เพื่อนที่ไม่ค่อยจริงใจกับมัน" เคยผ่านหูสำหรับส่วนแรกมาแล้ว แต่ในส่วนหลังนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน เพราะอย่างนี้หรือเปล่าเขาถึงกลายเป็นเด็กขี้เหงาอย่างทุกวันนี้ "แต่สำหรับกูมันก็ต้องโทษตัวเองให้เป็นด้วย"

   มีหลายอย่างที่ปรัญอยากจะเอ่ยปากถาม หากลองประเมินในภาพรวมแล้วมันคงจะดีกว่าถ้าเขาปิดปากแล้วเป็นคนฟังต่อไป

   "ที่ลากมันเข้าไปวงด้วยก็เผื่อว่าจะรู้จักปรับตัว เปลี่ยนนิสัย ถ้าเจอคนที่ทำให้มันเชื่อมั่นแล้วพร้อมที่จะเลิกนิสัยไม่ดีพวกนั้นได้ก็ดีไป"

   "..." แค่กลืนน้ำลายลงคอยังรู้สึกผิด

   "แต่คนนั้นจะเป็นใครก็ได้ ...ที่ไม่ใช่มึง"

   เขานึกไปถึงใบหน้าของเอื้อมอารัญในวันนั้น วันที่เห็นชัดถึง 'รอยร้าว' ข้างในนัยน์ตาที่แสดงออกชัดว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ มันอาจจะเป็นอย่างที่เพื่อนชอบพูดกัน ปันเป็นคนดีเกินกว่าที่จะปล่อยให้ใครบางคนตกอยู่ในอันตราย

   แม้มันอาจทำให้ตนเองต้องเผชิญความเสี่ยงด้วยก็ตาม

   "ความใจดีของมึงจะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่กว่าเดิม กูคิดอย่างนั้น" ฝ่ามือทั้งสองของตบลงบนราวเก้าอี้ไม้ ฮิวขยับตัวลุกขึ้นยืนโดยไม่บอกกล่าว หมุนตัวออกไปทางประตูห้องเป็นสัญลักษณ์ของการบอกลา "เท่ากับว่ากูเตือนแล้วนะปัน อย่าถลำลึกกับผู้ชายอย่างคุณเอื้อม"

   "..."

   "เพราะตอนสุดท้ายพวกมึงจะเจ็บทั้งคู่”
 


   "วันก่อนเปลี่ยนกะทำงานกับเพื่อนเหรอ"

   หยุดการพิมพ์ข้อความในกระดานสนทนาลงก่อน ขยับบานพับหน้าจอลงเพื่อให้เห็นใบหน้าของผู้ชายฝั่งตรงข้ามได้ชัดเจน วันนี้เอื้อมอารัญก็ยังคงมาพร้อมกับแฟ้มหนังใบใหญ่เช่นเดิม ที่น่าดีใจคือวันนี้ไม่มีถุงกระดาษใส่เครื่องดื่มติดมือมาด้วย

   "อือ พอดีมีอะไรต้องไปทำหน่อย" ไม่เข้าใจระบบการทำงานของเด็กทุนเลย เขาก็ควรจะรู้ไหมว่าช่วงไหนต้องทำงานแล้วช่วงไหนที่พอจะว่าง นี่คิดอยากจะเรียกเมื่อไหร่ก็ทำ วันก่อนในช่วงเวลาที่ควรจะนั่งอยู่ตรงโต๊ะต้อนรับเลยต้องกลายร่างเป็นพนักงานแบกของที่จะใช้สำหรับการเข้าค่ายสามวันสองคืนของเด็กมัธยมที่สมัครเข้ามาในโครงการผู้มีศักยภาพ

   พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็หน่าย เดี๋ยวต้องไปเป็นสตาฟอีก

   "แวะมาแล้วไม่เจอ ว่าจะชวนไปกินข้าวเย็นหน่อย”

   "ทำไมไม่ทักแชตมาล่ะ โทรมาก็ได้"

   "ถ้าเจอกับตัวยังไงปันก็ปฏิเสธเราไม่ได้ไง"

   ส่ายหัวเบาๆ ให้กับวิธีการคิดแบบเด็กตัวน้อย ถึงจะมาแค่ตัวอักษรเขาก็ไม่ขัดอยู่แล้ว ด้วยเงื่อนไขการเดินทางไปดูภาพยนตร์ตอนเย็นทำให้ปันไม่ค่อยมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนเท่าไหร่ แล้วพอมันกลายเป็นความเคยชินเลยไม่มีใครชวนอีก

   "แล้วจะมาชวนวันนี้แทน?"

   "ฮื่อ ไม่ได้ วันนี้มีซ้อม"

   "ดีแล้ว ตั้งใจซ้อม" ถึงไม่อยากจะนึก ใบหน้าและน้ำเสียงจริงจังของฮิวเมื่อวันก่อนก็กลับมาทักทายอยู่ดี "แล้วจะเข้าไปคุยเลยไหม อาจารย์ว่างอยู่นะ"

   ยังไม่ลืมว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรที่ต้องทำ ถ้าลองดูตามบันทึกจะพบว่าตั้งแต่การเจอกันครั้งที่ช่วยพี่นักศึกษาแพทย์จากอาการชักก็ไม่เคยเห็นชื่อของเอื้อมอารัญในฐานะคนเข้าใช้บริการอีกเลย

   "ไม่ๆ ช่วงนี้คิดว่าโอเคขึ้นแล้ว"

   แม้จะยังไม่เข้าใจที่บอกว่าโอเคขึ้นหมายถึงเรื่องไหน เขาก็ไม่มีสิทธิไปซักไซร้ไล่เรียงให้มากความ ก็เลยตัดสินใจว่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า "แล้วนี่เพื่อนเลิกแกล้งหรือยัง มันเด้งในเฟซเราเต็มไปหมดเลย"
   
   มีเรื่องขำขันนิดหน่อยจากภาพถุงพลาสติกที่มีชื่อของเราเขียนติดเอาไว้ ทั้งการแท็กเฟซแล้วก็แคปชันที่เขียนเพียงคำว่า 'RUN' เท่านั้น ก็เลยได้เห็นการยกพลมาถล่มจากเพื่อนที่โรงเรียนเก่าเกือบห้าสิบข้อความ ใจความสรุปได้ว่าเป็นการแกล้งแซวไปอย่างนั้นเอง

   เอื้อมอารัญจบจากโรงเรียนชายล้วน ลักษณะข้อความเลยดูห่ามและอาจจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่สำหรับบางคน เขาตื่นขึ้นมาเจอการแจ้งเตือนที่มากกว่าปกติในตอนเช้า พอเข้าไปตรวจแล้วก็ติดลมยาวจนเกือบเข้าเรียนคาบเช้าในวันนั้นไม่ทัน

   "เลิกแล้ว แต่ถ้านึกได้มันก็จะขุดขึ้นมาเล่นเองนั่นแหละ"

   "เพื่อนตลกดี"

   "เจ้ากรรมนายเวรน่ะสิ ที่บอกว่าอย่ารับแอดพวกมันนี่เรื่องจริงนะ"

   ส่วนของห้องสนทนาที่มีข้อความส่งมาจากคนคนเดียวเกือบสิบ ที่เขียนย้ำตั้งแต่ต้นแรกจนจบคือการบอกว่าถ้ามีใครส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนมาก็อย่าไปสนใจ ลบไปเลยก็ดี

   "ไม่อยากให้รับก็จะไม่รับ" เป็นนโยบายส่วนตัวด้วย ต่อให้ใครจะบอกว่าบนโลกออนไลน์ไม่มีคำว่าส่วนตัวแต่เขาก็ยังอยากจะสร้างพื้นที่ที่อนุญาตให้เข้าไปเพียงบางคน "แล้วนี่คือแวะมาถามแค่นี้เหรอ"

   ถ้าไม่เข้ารับบริการแล้วมันก็ไม่มีอยากอื่นให้ทำแล้ว เอื้อมขยับรอยยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม ให้คำเฉลยที่ทำให้เขาต้องกะพริบตาถี่ๆ เรียกสติให้กลับมา

   "แค่อยากเจอปันน่ะ"

   มันเป็นคำบอกเล่าที่ง่าย ตรง และไม่มีการใช้คำประดิษฐ์ให้สวยงาม

   ไม่เคยเจอใครเหมือนอย่างเอื้อม ตั้งแต่การยอมรับเรื่องการโกหกในแต่ละครั้ง หรือว่าจะเป็นการบอกในสิ่งที่อยู่ในความคิด ในโลกแห่งความเป็นจริงเรามักจะเจอการเก็บงำซ่อนสิ่งที่อยู่ในความคิดเอาไว้เสมอ จนบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่คิดว่า 'อ่านง่าย' แท้จริงแล้วมันคือ 'อ่านไม่ออก' หรือไม่

   ถึงจะดูภาพยนตร์มาเยอะแต่การแสดงออกทั้งหมดนั่นคือการเล่นให้สมบทบาท ผู้คนที่เจอตามชีวิตประจำวันคงไม่ได้อ่านง่ายเช่นเดียวกับในละคร แล้วเอื้อมอารัญนี่ควรจัดอยู่ในประเภทไหนกันนะ

   "โอ๊ะ มีคนมา งั้นเราไปก่อนดีกว่า"

   ประตูกระจกที่เปิดออกปรากฎให้เห็นนักศึกษาหญิงสองคนมาด้วยกัน เอื้อมอารัญผุดลุกออกจากที่นั่งเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก บอกลาด้วยการส่งยิ้มเล็กที่ดูไม่เข้ากันกับนัยน์ตาที่พยายามการกลบความผิดหวังด้วยการทำให้กลายเป็นสระอิ

   แค่จะยกมือขึ้นบอกลาก็ยังไม่ทัน เขาไม่สามารถมองจนแผ่นหลังลับหายไปได้เพราะต้องให้ความสำคัญกับหญิงสาวตรงหน้ามากกว่า ปันอธิบายจุดประสงค์และวิธีการขอเข้ารับการใช้บริการครั้งแรก และเพราะว่าต้องจัดการกรอกข้อมูลลงไปให้ระบบเลยลืมไปเสียสนิทว่าตั้งใจจะส่งข้อความไปบอกว่าต้องซ้อมให้เยอะ

   จะว่าไปยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเล่นอะไร ฮิวเล่นกลองทิมปานีที่ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่ นึกไม่ออกว่าผู้ชายสไตล์นั้นเหมาะกับเครื่องดนตรีชนิดไหน น่าจะเป็นเครื่องลมทองเหลือง

   "อันนี้ผู้ชายคนนั้นเขาลืมไว้หรือเปล่าคะ ตอนเข้ามาก็เห็นวางเอาไว้แล้ว"

   เพื่อนของผู้เข้ารับบริการก้มลงไปหยิบของบางอย่างที่น่าจะวางเอาไว้กับขอบโต๊ะอีกฝั่งก่อนจะออกจากห้อง ด้วยดีไซน์แบบเก่ามันเลยไม่สามารถมองทะลุหรือว่ามีช่องว่างสำหรับการสังเกตได้

   และแฟ้มหนังใบใหญ่พร้อมด้วยตุ๊กตาสีเขียวมินต์ก็เป็นป้ายชื่อในตัว

   "ใช่ครับ ขอบคุณมาก"

   ตอนนั้นเอื้อมก็รีบจริงนั่นแหละ เล่นเดินลิ่วออกไปไม่สนอะไรสักอย่าง แล้วนี่ก็ไม่เห็นโทรมาถามหา ยังไม่รู้หรือไม่สำคัญจนสามารถมาเอาวันหลังได้

   แต่ปกติแล้วเห็นถือเอาไว้ไม่ห่างตัว ถ้าข้างในมีโน้ตเพลงอยู่แล้วจะซ้อมได้ไหมเนี่ย

   ปรัญกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรเลือกทางไหน ระหว่างรอจนกว่าเขาจะกลับมาตามหาเองหรือว่าเดินเอาไปให้เลย ตึกที่ซ้อมมันไม่ได้ไกลจนไม่สามารถเดินไปได้ และหลังจากนี้มันก็ไม่มีงานอะไรรอเขาอยู่

   ก็นั่นแหละ สรุปว่าเอาไปให้ จบ

   เพราะความกว้างของแฟ้มที่มากกว่ากระเป๋าสะพายข้างของเขาเลยต้องถือเอาไว้ เดินออกจากห้องไปทางที่จอดจักรยานด้วยความเคยชินก่อนจะพบว่าคนเราไม่ควรจะใช้มือเดียวในการบังคับ ต่อให้มีเลนสำหรับจักรยานแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

   เบนไปอีกทางเพื่อใช้ทางเดินเท้าแทน ปลอบใจว่าการได้ขยับร่างกายมันก็ดีเหมือนกัน ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เดินผ่านเส้นทางนี้เลยเกือบหลงไปเหมือนกัน เส้นทางคอนกรีตกว้างพอสำหรับสามหรือสี่คนเดิน รอบข้างประดับไปด้วยต้นไม้ขนาดปานกลาง

   อาจารย์เล่าว่ามันไม่ค่อยมีต้นใหญ่เพราะว่าเกือบทั้งหมดเป็นการยกทั้งต้นมาลง แล้วพอเจอฝนตกหนักหน่อยมันก็ล้มโครมคราม
เบี่ยงหลบเข้าทางขวาเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไล่หลังมา ทำหน้าเบื่อใส่จักรยานยนต์ที่ผ่านหน้าไป เมื่อไหร่จะใช้ทางให้ถูกประเภทไม่มักง่ายสักที

   ผ่านร้านขายของชำสารพัด ตามด้วยร้านเครื่องดื่มตั้งในตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก จำนวนของนักศึกษาที่ยืนรอสินค้ามากพอที่จะการันตีถึงความอร่อย ปรัญหยุดนึกว่าตอนที่เอื้อมมาหาเขาได้ถือแก้วน้ำปั่นมาด้วยหรือไม่ พอมั่นใจว่ามันไม่มีเลยเลี้ยวเข้าไปต่อแถว

   "ชาเขียวปั่นครับ ไม่หวานนะ"

   เอื้อมไม่ใช่คนทานหวาน เท่าที่สังเกตการการบ่นครั้งสองครั้ง เขาไม่ได้สั่งเครื่องดื่มให้ตัวเองเพราะว่าตอนอยู่ในห้องก็ได้รับอภินันทนาการจากอาจารย์มาเป็นน้ำอัดลมกระป๋องหนึ่ง

   สภาพตอนนี้เลยเป็นการถือแฟ้มมือซ้าย แก้วน้ำมือขวา เร่งจังหวะการเดินให้เร็วขึ้นไปหน่อยด้วยความกังวลว่ามันคงไม่ทนทานกับสภาพความร้อนอย่างที่เป็นอยู่

   ตึกกิจกรรมสำหรับนักศึกษาดูวุ่นวายและจอแจเช่นทุกที อย่างห้องของเด็กทุนเดินเข้ามาก็จะเจออยู่ทางซ้ายเลย ลึกเข้าไปก็จะเป็นการจัดสรรปันส่วนตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ ตั้งแต่พวกกลุ่มบำเพ็ญประโยชน์ องค์การนักศึกษา แล้วก็พวกนักเต้น

   เสียงไม่ตีกันตายได้ยังไง

   เลี้ยวเข้าทางซ้ายเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองห้องริมสุด มันกินพื้นที่เกือบหนึ่งส่วนสามของชั้น เป็นกลุ่มกิจกรรมที่น่าจะโดนเขม่นจากเพื่อนร่วมตึกไม่น้อยเลยล่ะ

   ทำตัวเป็นคนเส้นใหญ่โดยการเปิดประตูเข้าไปราวกับเป็นนักดนตรีผู้เข้ามาใช้งานจนคุ้นชิน เขาเคยเดินขึ้นมาหาฮิวอยู่หลายครั้ง เป็นการอู้งานของเด็กทุนแบบเนียนๆ เวลาเจองานที่มันเกินขอบเขตหน้าที่ไปหน่อย

   จากประตูหลักสิ่งแรกที่เจอคือส่วนกลาง ก่อนจะแยกออกไปเป็นห้องย่อยสำหรับเครื่องดนตรีแต่ละชนิด มันเป็นห้องที่มีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาเลยไม่มีใครจ้องให้รู้สึกประหม่า มองหาเจ้าของแฟ้มด้วยการกวาดตาเพียงแค่ครั้งเดียวก็เจอ

   เอื้อมอารัญนั่งไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ตัวติดมุมห้อง ข้างกายมีกล่องเครื่องดนตรีทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายไม้สีสวย ก้าวเท้าเข้าไปหาเพียงไม่กี่จังหวะก็เข้าประชิดตัว

   รอยยิ้มที่กว้างมากกว่าปกติคือสิ่งที่ได้รับกลับมาอย่างแรกเมื่อสบสายตา

   "เอามาให้จริงด้วย"

   "ตั้งใจ?"

   ไม่อย่างนั้นแล้วคำพูดแรกที่ทักมันควรจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า

   "ลืมจริง แต่คิดว่าปันต้องเอามาให้แน่ๆ"

   ปรัญคงเชื่อคำอธิบายได้สนิทใจ ถ้าคำเตือนของฮิวไม่ย้อนกลับมาเตือนความจำเสียก่อน "มั่นใจขนาดนั้น?"

   "ปันใจดี ...นั่นก็ของเราใช่ไหม"

   ชี้ตรงมายังสิ่งที่อยู่ในมือ และทำตามความตั้งใจเดิมคือการยื่นไปให้ไม่มีอิดออด คนชอบชาเขียวลองชิมมันในทันที ตามมาด้วยการรีวิวรสชาติ

   "โอเคเลยอะ ถ้าหวานน้อยกว่านี้ได้จะดีมาก"

   "นี่ก็บอกเขาว่าไม่หวานแล้วนะ"

   "งั้นอาจหวานมาตั้งแต่ตัวผง นี่ซื้อร้านไหนอะ"

   มันมีเก้าอี้ตัวเดียวแถวนั้น เลยต้องลำบากก้มหน้าคุยด้วย "ตรงทางเชื่อมก่อนถึงตึก ไม่ค่อยผ่านล่ะสิ"

   มันเป็นทางเดินเท้าที่คนใช้รถไม่น่าจะเคยใช้เป็นทางผ่าน จะจอดรถเพื่อลงไปซื้อก็ไม่สะดวก จะต้องตั้งใจเดินไปซื้อโดยเฉพาะถึงได้กิน

   ท่าส่ายหัววืดไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้คนเริ่มทยอยเดินเข้าไปในห้องซ้อมของตัวเองกันแล้ว พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเลยลดระดับลงมาหลายเท่าตัว แล้วทำไมคนตรงหน้าเขาไม่กระตือรือร้นกับการฝึกซ้อมเลยนะ

   "ไปซ้อมได้แล้ว"

   "ปันเข้าไปในห้องด้วยได้ไหม"

   อาการงอแงน่ารักดี เลยเผลอยีจนผมไม่เป็นทรง "ไม่ได้ แต่เดี๋ยวจะรอไปกินข้าวหลังซ้อมด้วย"

   ถ้าถามว่าตกลงใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตอบว่าตอนที่พูดออกไปนั่นแหละ ถือเป็นการแก้มือจากที่ปฏิเสธคราวที่แล้วไปด้วย

   "ได้เลย!" ขอเรียกว่าเป็นการตอบแบบลิงโลด เอื้อมกระวีกระวาดหิ้วกล่องไม้ที่เขายังไม่รู้ว่าใส่อะไรขึ้น กอดแฟ้มใบใหญ่ไว้ในอ้อมแขนโดยมีแก้วน้ำปั่นอยู่ในมือ ไม่วายสำทับเรื่องมื้อเย็น "ออกมาเราต้องเจอปันอยู่ตรงนี้นะ"

   ทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค เปลี่ยนไปนั่งแทนที่ให้สบายใจได้ไม่ต้องกังวล คราวนี้ไม่มีการขยับองศาของริมฝีปากจนเห็นรอยบุ๋มแต่เขาก็สัมผัสมันได้ถึงความสุขใจจากอีกฝ่าย

   ถ้าเขาทำให้เอื้อมมีความสุขได้อย่างนี้บ่อยๆ ก็ดีสิ
 


   ช่วงเวลาสามทุ่มไม่ได้เหมาะกับการทานอาหารเย็น แต่ในเมื่อมันเป็นไฟลท์บังคับก็ต้องทนไป

   อาหารตามสั่งในโรงอาหารโต้รุ่งคือจุดหมายของเราสองคน สั่งกับข้าวสามอย่างและข้าวกล้องสองจาน จำนวนผู้ใช้บริการน้อยจนคล้ายกับร้านอาหารที่กั้นห้องไว้เป็นส่วนตัว

   "เอื้อมเล่นไวโอลินเหรอ"

   สังเกตเอาจากสมาชิกของชมรมที่เดินออกมาจากห้องซ้อมเดียวกัน รูปร่างของเคสใส่ตามรูปทรงเครื่องดนตรีบอกได้ว่ามันเก็บรักษาสิ่งใดเอาไว้

   "อืม ตั้งแต่ประถมต้นแล้ว"

   "แปลกดี" ในแง่บวกไม่ใช่การดูแคลน สำหรับเขาแล้วมันเป็นเครื่องดนตรีที่มักจะอยู่คู่กับผู้หญิง "เราเล่นอะไรไม่เป็นเลยล่ะ"

   "สอนได้นะ ค่าสอนเอาเป็นชาเขียวปั่นก็พอ"

   "โห ใจดีจัง"

   "ไม่งั้นเอาเป็นมากินข้าวเย็นกับเราบ่อยๆ ก็ได้ โอเคเหมือนกัน"

   ไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ เขาตักใบผักกาดในแกงจืดมาใส่จานตัวเอง ตัดให้มันขนาดเล็กลงสำหรับการรับประทาน เราใช้วิธีการเลือกอาหารที่คิดว่าทานได้ทั้งคู่หนึ่งอย่าง แล้วแบ่งกันเอาชนิดที่ตนเองต้องการอีกคนละหนึ่ง เลยรวมเป็นสามชนิดที่ไม่เข้ากันบนโต๊ะอาหาร

   เรื่องราวบนโต๊ะเป็นเรื่องทั่วไป ผลัดกับเล่าประสบการณ์ของตัวเองและรับฟังของอีกฝ่าย ชีวิตการเป็นเด็กปีหนึ่งหมายความว่าต้องเข้าเรียนในวิชาที่เป็นตัวบังคับมหาวิทยาลัย เราเลยแชร์กันเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เคยได้รับว่าน่าประทับใจและควรจะทิ้งมันไปแค่ไหน

   "เดี๋ยวมีงานใหญ่อีกชิ้น ให้พรีเซนต์หน้าห้องแล้วก็ตอบคำถาม เตี๊ยมกันให้ดีล่ะ"

   "ตัวนี้คณะเราเรียนแยกต่างหากไม่เจอใครเลย น่าจะคุยกันง่าย"

   อย่างที่เคยเล่าว่าเอื้อมอารัญเรียนอยู่ในคณะที่เพิ่งเปิดใหม่ มีเพียงสองรุ่นเลยรู้จักกันแทบจะทั้งหมด ตึกเรียนก็แยกต่างหากไม่ต้องมาใช้งานรวมกันส่วนกลาง เรียกได้ว่าเป็นเหมาะกับนักศึกษาที่ชอบความเป็นส่วนตัว

   "คิดภาพห้องเรียนไม่ออกเลย เรามีเป็นร้อยคนแหนะ" เลยต้องเรียนห้องใหญ่ตลอด การเป็นเซกชันอย่างมากที่สุดคือสี่กลุ่ม ส่วนมากจะอยู่ที่สอง

   "เหมือนห้องเรียนมัธยม หมายถึงนิสัยของบางคนด้วยนะ ไม่รู้จักโต"

   คลับคล้ายว่าฮิวเคยบ่นประมาณนี้ แต่คนที่บอกว่า 'ไม่รู้จักโต' ก็คือคนตรงข้ามเขานี่แหละ

   นานาจิตตังของแท้

   "น่าจะอบอุ่น"

   "แต่ก็น่าเบื่อพอต้องคิดว่าต้องอยู่กันแค่นี้ไปอีกสามปี"

   "เวลาผ่านไปเร็วจะตาย"

   รวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน คว้าเอาขวดน้ำเปล่ามาดื่มเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะจบมื้อเย็นตอนเกือบสี่ทุ่ม สี่มันไม่ใช่นิสัยการกินที่ดีเท่าไหร่เลยนะ

   "เราอยากเร่งเวลาได้อะ อย่างแรกเลยจะเร่งให้พ้นช่วงแสดงไปสักที"

   "ถ้าไม่ชอบแล้วทำไมถึงมาเล่นล่ะ"

   "เพื่อนชวน มันบอกว่าเราควรจะมีสังคมอื่นอยู่บ้าง" ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงใคร "ทำไมต้องคิดว่าการมีคนรู้จักเยอะถึงเป็นความสุขนะ เราชอบการที่ไม่ต้องเจอใครมากเลย"

   "เป็นสายอินโทรเวิร์ดเหรอ"

   "ข้างนอกมันใจร้ายจนบอกตัวเองว่าอย่าก้าวออกไปอีกเลยต่างหาก"

   "..."

   "มีปันกินข้าวด้วยอย่างนี้ก็ดี ถ้าเราชวนบ่อยๆ จะได้ไหม"

   ข้อหัวถูกเปลี่ยนกะทันหันราวกับต้องการกลบความเจ็บปวดเอาไว้ ใบหน้าเปี่ยมหวังเหมือนเวลาถือขนมให้สุนัขไม่ก็แมว แล้วจะให้ทำร้ายกันลงได้ยังไง

   "บ่อยๆ ไม่ได้ ต้องทำงาน"

   "ห้องปิดห้าโมงไม่ใช่เหรอ"

   "อ่า เราเป็นนักรีวิวหนัง" หลายคนรู้อยู่แล้วไม่ได้เป็นความลับสุดยอดห้ามแพ่งพราย พวกมันยังชอบมาแกล้งขอบัตรฟรีอยู่เลย "เพราะงั้นตอนเย็นจะไม่ได้ว่างตลอด เข้าเมือง"

   "แบบที่จะออกมาโฟ่ๆ แล้วก็ให้คะแนนน่ะเหรอ"

   "อะไรทำนองนั้น"

   ลองนึกเทียบสิ่งที่เขียนรีวิวในทวิตกับคำว่าโฟ่ๆ ที่เขาใช้ ในสายตาของนักดนตรีนี่คงมองต่างมุมมากเลย

   "งั้นจะชวนวันไหนจะทักไปก่อนแล้วกันนะ"

   "ได้เลย"

   "ดูชีวิตยุ่งดี กลางวันก็ทำงาน ตอนเย็นก็ยังมีงานอีก"

   "ชินแล้ว" จัดเทเอาเศษอาหารไว้รวมในจานเดียวเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บบนชั้น ไหนบอกว่าโรงโต้รุ่งนี่เหลืออยู่แค่สามสี่โต๊ะเอง "พอเอนจอยกับมันก็ไม่มีอะไรแย่"

   "อย่างที่เขาบอกว่าทำสิ่งที่ชอบมันดีเสมอล่ะสิ"

   สะพายกระเป๋าให้เรียบร้อยแบบที่เก็บจานแล้วก็สามารถเดินตัวปลิวออกไปข้างนอกตึกได้เลย นี่เขาจะต้องเดินอ้อมกลับไปเอาจักรยานที่จอดไว้ก่อน หรือว่าค่อยมาพรุ่งนี้ทีเดียวเลยดี สวัสดิการของมหาวิทยาลัยเรื่องแสงสว่างที่เพียงพอยังเป็นข้อร้องเรียนที่ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าไหร่

   "วันไหนเบื่อก็แวบไปดูหนังกับเราสิ จะได้ขอเขาไว้สองใบ" เสนอทีเล่นทีจริง ช่วงแรกปรัญก็เป็นแค่เด็กมัธยมที่ชอบดูหนัง แล้วก็เริ่มอยากจะแชร์ความรู้สึกที่มีลงไปบนโลกโซเชียล นานเข้ามันก็กลายเป็นนักดูหนังไปเสียแล้ว

   "ไม่เอา เราไม่ชอบโรงหนัง" ปากของเอื้อมอารัญเบะออก เล่าความหลังต่อจากนั้นไม่มีขาดตอน "คบมาสองคนก็เลิกทั้งหมดหลังจากที่ไปดูหนังหมดเลย เข็ด"

   "..."

   ไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งเรื่องที่ไม่ชอบและเหตุผลเบื้องหลังของมัน

   "เรื่องนี้พูดจริง ไม่ได้โกหก" การหยุดเดินและจ้องตรงเข้ามาข้างในนัยน์ตาระหว่างการเล่าจริงจังยิ่งกว่าทุกครั้งรวมกัน "เราคิดว่าปันก็คงรู้เรื่องของเรามาบ้างแหละ แล้วมันก็มีหลายเรื่องที่ต้องยอมรับว่ามันเป็นจริง"

   เสียงจิ้งหรีดหวีดหวิวแสบหู น่าแปลกที่มันดูไพเราะยิ่งกว่าน้ำเสียงการเล่าเรื่องที่ไม่มีการขึ้นสูงต่ำ 

   "แต่ก็อยากบอกว่าต่อจากนี้ปันจะไม่มีทางได้ยินเรื่องโกหกจากเราแน่นอน"


***
   ไม่รู้จะคุยอะไรดี ยังไงก็ยังอยากอ่านคอมเมนต์เป็นฮีลลิ่งให้ตัวเองอยู่นะคะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 27-03-2018 23:10:59
น้องปันก็ยังใจดีเหมือนเดิม ฮิวก็ดูใจดีแต่เหมือนจะไม่ได้เข้าใจเอื้อมจริงๆ ต่างกับปันที่เชื่อในสิ่งที่เจอกับตัวมากกว่าสิ่งที่ได้ยินมา แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนอื่นๆเจอเอื้อมในแบบไหนกัน แต่เอื้อมก็มีเพื่อนที่แบบคุยหยอกล้อ เล่นกันไรงี้ ไม่ได้โดนแบนง่ะ เอื้อมอาจจะเคยเจอสังคมที่ไม่ดีมา
โอ้ยยย เอื้อมลู๊กกกก  :a5: :a5:
ฮือ ติดตามไปเรื่อยๆน่าจะดีสุดแล้ว  :katai5:
แต่เดี๋ยวจะหาเวลาไปคิดอีกทีว่าทำไมเอื้อมถึงจะไม่โกหกปัน :hao4:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ที่ 28-03-2018 00:16:33
ปันลูกแม่ หนูเป็นคนดีจังเลย ฮือ
ทำไมเราอ่านแล้วรู้สึกตัวเองชั่วไปเลย 555
นี่บางทีเราก็เชื่อไอที่เขาว่ากันว่า แง แต่บางทีก็โดนเอง สรุปวนไปเรื่อยๆ
อ่ะนี่ไง ก็เหมือนที่ปันคิดว่าฮิวไม่ชอบคุณเอื้อม ทำไมเน้นตัวหนา ทำไมมมมมม
มันมีปริศนาอะไรซ่อนอยู่ หรือเราคิดมากไป แง คุณเจ้าาา
ส่งกำลังใจกองโตๆให้นะคะ เราชอบงานคุณเจ้ามากๆ แบบมากๆ ชอบที่สุดคือพิชแบล็ค
คือพออ่านที่หนึ่งจบแล้วต่อพิชแบล็ค หัวใจก็ด้านชาไปเลย ตอนจบทำเอาเราอึนไปสามสี่วัน
พอมาเรื่องแฟร์เฟย์ โอโห ไปค่ะ ไปรักษาใจต่อ ฮือ
ลูกคูมแม่แต่ล่ะคน...
ส่วนเรื่องนี้ ก็ชอบค่ะ ชอบภาษา โทนเรื่อง และชอบตัวละครมากๆ
ชอบบรรยากาศของเรื่องทุกเรื่อง เราไม่ค่อยชอบอ่านนิยายที่มันเป็นเรื่องรักเพียวๆ
แต่จะชอบอ่านที่มันมีอะไรๆ
คุณเจ้าสู้ๆนะคะ ถ้าท้อก็จะเป็นกำลังใจให้ จะรออ่านต่อไปเรื่อยๆน้าาา
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 28-03-2018 03:58:07
เราอ่านแล้วเรารู้สึกฟีลกู๊ด รู้สึกเอื้อมกำลังจีบปันอยู่แบบเนียนๆ แต่ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไรเพราะชื่อเรื่อง :serius2:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 28-03-2018 07:22:10
ทุกอย่างเหมือนจะดีแต่ด้วยชื่อเรื่องไม่มีอะไรที่ไว้ใจได้เลย
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-03-2018 13:24:36
การอ่านไประแวงไปมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

เราเคยได้ยินมาว่าการโกหกบางครั้งมันคือการปกป้องตัวเอง
เวลาคนเราต้องการที่จะมีตัวตนในสังคมทำให้ต้องทำ
แต่บางคนกลับถลำลึกกับมันจนแยกความจริงกับสิ่งที่ตัวเองโกหกไม่ออก

เราอยากรู้ปมของอารัญว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะอารัญรู้ตัวว่าตัวเองโกหกแต่บางครั้งก็ยังเลือกจะทำทั้งๆรู้ผลว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว

อ่านเรื่องแฟร์ไปทำให้เราระแวงคนเขียนไปประมาณ 60 เปอค่ะ 55555

หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-03-2018 12:32:00
อ่านแบบไม่ระแวงไม่ได้เลยค่ะคุณเจ้า ประสบการณ์สอนเรามา 55555555 ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะทีมคุณเอื้อมนะคะ เอ็นดู
เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สี่ [27.3.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 31-03-2018 20:17:55
พลังของคำว่า"เขาว่ากันว่า" มันมากมายมหาศาลจริงๆ เป็นการทำลายคนคนหนึ่งได้รุนแรงแล้วยาวนานที่สุด แล้วแบบแต่ละคนไม่เคยได้เจอแบบจังๆสักคน  ที่เอื้อมทำ เหมือนแค่ปัดๆให้เรื่องจบลงจะได้เลิกเซ้าซี้ เลิกพูดต่อ อยากรู้จังว่าความใจร้ายอะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งขังตัวเองไว้ในคำโกหก เป็นกำลังใจให้ปันให้จิตใจไม่โอนเอียงกันคำว่าเขาว่ากันว่า เป็นกำลังใจให้เอื้อมที่จะพูดความจริง เป็นกำลังให้คุณเจ้าสร้างพลังที่ดีส่งมาให้คนอ่านเสมอๆนะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × ห้า [2.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 02-04-2018 20:55:45
ห้า

   "สรุปก็ใช้คำว่าตอบแทนมหาลัยอย่างที่เราบอกเหรอ"

   "ก็เป็นคำที่โอเค"

   “ขอทวงเครดิตหน่อยสิ”

   “อยากได้ค่าตอบแทนเป็นอะไรล่ะ”

   กระทุ้งศอกคนนั่งข้างกันบนโซฟา ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักส่งกลับมาแต่ไม่มีคำตอบของสิ่งที่ถามไป

   เอื้อมอารัญยังไม่ถึงเวลาซ้อม และเขาเองก็ไม่ต้องไปทำงานไม่ว่าจะในฐานะไหน ช่วงเวลาที่ยังพอเหลืออยู่หลังคาบเรียนสุดท้ายเลยมาจบตรงการนั่งตากแอร์รอในห้องของเด็กทุนกันสองคน

   พูดให้ถูกคือตอนแรกปรัญต้องเข้ามาคุยงานค่ายสำหรับการคัดเด็กรุ่นถัดไป ประธานรุ่นดันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยจนต้องเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนด แล้วเพิ่งประกาศในไลน์เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ใครมันจะเปลี่ยนแผนชีวิตทัน

   คือตอนแรกที่ตั้งใจเอาไว้คือปล่อยเอื้อมไปซ้อม เขาก็ประชุม พอทั้งคู่เสร็จงานก็ได้เวลาไปทานข้าวเย็น ตอนนี้เลยเรียกได้เต็มปากว่าแผนล่มไม่เป็นท่า นั่งแกร่วกันต่อไป

   ห้องเด็กทุนมีชื่อเต็มว่าศูนย์อาสาพัฒนาอะไรสักอย่าง มันยาวเสียจนไม่ค่อยแปลกใจที่คนอื่นจะย่อให้มันสั้นลงจนเหลือแค่ไม่กี่คำ ในเวลาปกติเป็นห้องสารพัดประโยชน์ที่ใครอยากจะมาใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้ จะคึกคักและหมดยุคห้องร้างก็แค่ช่วงที่ต้องทำค่ายนี่แหละ

   อย่างตอนนี้ทั้งห้องก็มีเขานั่งกันแค่สองคน เอื้อมบอกว่าขึ้นไปก็ต้องนั่งเงียบคนเดียวเลยขออยู่ที่นี่ก่อน

   พอพาเข้ามาก็มือบอนไม่มีหยุด หยิบนู่นจับนี่อย่างกับไม่เคยเห็นห้องทำงานของพวกนักกิจกรรม แล้วบนโต๊ะส่วนกลางตอนนี้ก็ดันมีกองแผ่นพับเตรียมแจกวางเอาไว้ อันที่มีเนื้อหาข้างในเป็นบทสัมภาษณ์เจ้าปัญหาตอนแรกนั่นแหละ

   "นี่เพิ่งรู้ว่าทำงานได้เงินด้วย เรานึกว่าทำให้ฟรี"

   "ผู้บริหารเขามองว่าให้ทำงานฟรีสี่ปีก็หน้าเลือดไปหน่อยน่ะ" เงื่อนไขหนึ่งตอนเซ็นต์สัญญาคือต้องทำงานให้ตลอดทั้งสี่ปี ส่วนในทางปฏิบัติสักปีที่สามพวกอาจารย์ก็จะปล่อยให้โบยบินไปเจออิสระกันแล้ว "แต่เงินก็ไม่ได้เยอะอะไร น้อยกว่าขั้นต่ำด้วย"

   คิดเป็นรายชั่วโมงอีกต่างหาก ได้ข่าวกองทุนก็มีเงินตั้งเยอะแยะไม่รู้หายไปหมุนในบัญชีของเจ้าหน้าที่คนไหนหมด

   "ก็ดีนะ นี่เท่ากับออกแค่ค่าหอเลยใช่ไหม"

   "ของเราค่าหอออกเอง แต่เพื่อนบางคนก็มีได้เงินอุดหนุนส่วนนี้เหมือนกัน"

   "จะดีเกินไปล่ะ แล้วรู้จักโครงการนี้ได้ไง"

   "เพื่อนในห้องชวนให้สมัครเป็นเพื่อน แต่เราได้คนเดียว"

   เคยได้ยินประเภทที่ว่าตามเพื่อน ตามแฟน ตามคนที่แอบชอบมาสมัครแต่ว่าอีกคนไม่ติด ยังคิดอยู่เลยว่าโลกไม่น่าจะทำร้ายกันได้ขนาดนี้ เป็นสัจธรรมที่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัว ยังดีที่เพื่อนของเขาสามารถแก้มือได้ในรอบแอดมิชชัน ไม่อย่างนั้นคงต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต

   "เป็นเราจะเลิกคบแล้ว เพื่อนทรยศ"

   "มันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ต่างหาก"

   กว่าจะผ่านไปได้แต่ละรอบ ตอนส่งใบสมัครรอบแรกก็ต้องเตรียมพวกเอกสารและหลักฐานจำพวกเกียรติบัตรเอาไว้ให้พร้อม พวกรุ่นพี่โรงเรียนที่ได้ตอนรุ่นก่อนก็ขู่แล้วขู่อีกว่าแต่ละคนส่งมาเป็นตั้ง พอประกาศผลว่าผ่านการคัดเบื้องต้นแทนที่จะโล่งก็ต้องมาเครียดเรื่องการเข้าค่ายอีก

   ไม่มีใครสปอยล์และบอกได้ว่าเกณฑ์การคัดเลือกเป็นอย่างไร กิจกรรมที่ทำร่วมกันตลอดสามวันสองคืนค่อนข้างจะอยู่ในรูปแบบงานทั่วไป ดูความสามัคคี ภาวะผู้นำ ทำนองนี้ ด้วยความที่ตกอยู่ในสภาวะการแข่งขันตลอดเวลาเลยไม่ค่อยได้เพื่อนต่างโรงเรียน ตอนรายชื่อตัวจริงออกยังสงสัยว่านายปรัญไปทำอะไรที่น่าประทับใจเอาไว้

   "อีกอย่างจะไม่เอาทุนก็ไม่ได้ อาจารย์ขู่ว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วผลเสียจะตกไปที่รุ่นน้อง" ประมาณว่าจะโดนเพ่งเล็งจากกรรมการตัดสินว่าเป็นโรงเรียนที่เคยมีนักเรียนทำตัวไม่ดีมากั๊กที่คนอื่น มองมหาวิทยาลัยนี้เป็นแค่ลำดับสำรอง ทำเป็นผู้ใหญ่ขี้น้อยใจไปได้

   "สุดยอดของความคนละโลก เรานี่แค่ไปสอบแล้วก็รอผล"

   "เลือกคณะนี้เพราะอะไรเหรอ"

   ไม่อยากคิดว่าเป็นเพราะความเข้าง่ายและจบชัวร์ของมัน

   "เอาจริงคืออยากเรียนโปรแกรมที่คลุมตัววิชาพวกนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นมันก็ต้องเลือกแค่ทางหนึ่งทางใดใช่ไหมล่ะ"

   ทั้งที่สิ่งสำคัญต่อการศึกษาในยุคปัจจุบันคือการบูรณาการเข้าด้วยกัน แต่เหมือนว่าเรายังคง 'อนุรักษ์นิยม' กันอยู่พอสมควร

   "เลยเลือกที่นี่ แล้วก็คิดว่าเลือกไม่ผิดนะ"

   ไม่เหมือนอย่างที่คนอื่นเคยเล่าว่าที่เอื้อมอารัญเข้าคณะนี้เพราะช่องทางที่ง่ายต่อการเข้าศึกษา สามารถบอกใครต่อใครได้ว่าตัวเองเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดัง

   "ปกติเรียนประ..."

   "คุณเอื้อม ไปเตรียมซ้อม"

   ไม่ทันได้หาข้อมูลเกี่ยวกับตัวคณะเพิ่มเติมเสียงแทรกก็เข้ามาก่อน ฮิวยืนหน้านิ่งอยู่ตรงบานเลื่อกระจกทำใหม่ ท่ายันขอบประตูดูไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก

   ก็รู้กันอยู่ว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบสิบห้านาที เอื้อมผู้สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีตอบรับพลางลุกไปขึ้นโดยไม่ลืมหันมาสำทับเรื่องอาหารเย็นที่วันนี้เขาต้องเป็นคนเลือก

   อาการไม่พอใจเห็นได้ชัดเจนผ่านนัยน์ตาและริมฝีปาก อดกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกังวลไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าตึงเครียด เขารู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนไม่อยากให้เอื้อมอารัญอยู่ใกล้ แต่จะให้ใจร้ายทำอย่างนั้นโดยไม่มีเหตุผลบอกเลยว่าทำไม่ลง

   สายตาที่มีแต่ 'รอยร้าว' ในวันนั้นยังฝังอยู่แน่นในความทรงจำ

   "ไม่พูดอีกแล้วนะ"

   "อือ"

   "ขอให้โชคดีแล้วกัน"

   บานประตูเลื่อนปิดลงช้าๆ ปรัญหลุบตาลงต่ำมองแผ่นพับที่คนนั่งข้างเมื่อสักครู่ฝากเก็บ หน้าที่ยังเปิดค้างเอาไว้อยู่คือบทสัมภาษณ์นักศึกษา รูปตัวเขาแบบหน้าตรงเห็นเกือบครึ่งตัวที่ถูกบังคับถ่ายใหม่หลังจากที่ส่งภาพเห็นแต่ด้านหลังไปให้ส่งยิ้มที่ดูไม่ออกว่ากำลังเยาะเย้ยหรือให้กำลังใจ

   บางทีปรัญคงใจดีเกินไปอย่างที่คนอื่นบอกจริง
 


   ค่อนข้างเข้าไม่ถึงเนื้อหาที่ต้องการสื่อ เหมือนว่าจะใส่สัญลักษณ์ลงไปในเรื่องมากจนกลบเนื้อหาหลัก ส่วนงานภาพไม่ต้องพูดถึงสวยงามเหมือนอย่างที่ผ่านมา ส่วนตัวผมประทับใจเรื่องก่อนหน้ามากกว่า

   เรียบเรียงคำที่ต้องการจะเล่าผ่านตัวอักษรลงไปเท่าที่ยังติดค้างอยู่ในความทรงจำ เลยผ่านพวกคำผิดและโครงสร้างประโยคที่ไม่ค่อยถูกตำแหน่งไปก่อน ตอนนี้ต้องเน้นที่เมนไอเดียแล้วค่อยกลับมาทำการพิสูจน์อักษรใหม่อีกครั้ง

   บนรถโดยสารสาธารณะเที่ยวสุดท้ายที่จะพาไปมหาวิทยาลัยมีผู้โดยสารประปราย การเดินทางอีกเป็นชั่วโมงคือช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการทำงานให้เสร็จลุล่วง จากที่เคยเวียนหัวทุกครั้งที่เล่นโทรศัพท์บนรถทุกวันนี้บอกเลยว่าสบายมาก

   เลือกนั่งตรงเก้าอี้เดี่ยวจะได้ไม่รบกวนใคร ไม่อย่างนั้นพอมีคนนั่งข้างแล้วก็จะรู้สึกผิดกับการขยันนิ้วโป้งบนหน้าจอไม่มีหยุด สิ่งที่อยู่ในความคิดค่อยๆ ร้อยเรียงออกมาเป็นตัวอักษรและประโยคติดต่อกันจนไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ร้อยคำแล้ว

   หน้าต่างแจ้งเตือนว่ามีการทักทายจากเอื้อมอารัญ เขารีบกดเข้าไปดูข้อความทั้งหมดแบบที่ไม่สนใจว่าค้างอยู่ตรงไหน หรือว่าถ้ากลับมาแล้วอาจจะนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรลงไป

   U Arun : เสาร์บ่ายว่างไหม

   ส่ายหัวเล็กๆ ให้กับการถามที่ดูเหมือนว่าได้คืบจะเอาศอก นอกจากมื้อเย็นหลังจากการซ้อมแล้วนี่เริ่มลามมาถึงวันหยุดแล้วสินะ

   Parun P : ส่งรีวิวมาให้ดูก่อน

   เดาเอาเองไปก่อนว่ามันคงไม่พ้นการแสดงความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวกับทุกครั้ง ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่มันจะได้คำตอบประมาณว่า เป็นร้านประจำ มาบ่อย หรือว่าติดใจรสชาติจนมาซ้ำ มีแต่คำว่ารีวิวว่างอย่างนั้นอย่างนี้เปลี่ยนร้านไปเรื่อย น่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบความจำเจพอสมควรเลยล่ะ

   U Arun : แหนะ รู้ทัน
   U Arun : อันนี้ สาขาไหนก็ได้


   กดตามลิงก์ที่เป็นข้อความสุดท้าย เข้าไปเจอกับสักเพจบนเฟซบุ๊กที่ทำการโฆษณาเกี่ยวกับเครื่องดื่มชนิดใหม่ของร้านสุกี้ที่มีสโลแกนเรื่องความสุข เขาจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทานคือเมื่อไหร่ ที่บ้านชอบปิ้งย่างมากกว่าต้มน่ะ

   Parun P : น้ำอัญชันอะนะ?

   ถ้าไม่นับเรื่องชื่อเมนูแปลกๆ เขาชอบภาพถ่ายที่ใช้ประกอบการรีวิวอยู่เหมือนกัน แต่มันเป็นส่วนผสมที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากันได้เท่าไหร่เลยนะ

   U Arun : ใช่แล้ววว น่ากินเนอะ

   ขอบอกเลยว่าเอื้อมเป็นสายล่าของกินที่แท้จริง

   นึกดูว่าวันเสาร์มีตารางงานอย่างอื่นก่อนหน้าแล้วหรือไม่ จำนวนสาขาที่มีทั่วทั้งกรุงเทพฯ คงช่วยให้ไม่ได้ต้องเดินทางไกลเหมือนอย่างบางข้อเสนอที่เขาปัดตก ถ้าว่างก็ไปได้แหละ

   Parun P : ว่าง
   Parun P : ไปที่ไหนดีล่ะ


   ยังไงปรัญก็เป็นสายติดบ้านที่เพื่อนในกลุ่มก็ไม่ชอบออกไปไหนไกลพอกัน กว่าจะลากมาให้ครบได้แต่ละทีต้องนัดล่วงหน้าเป็นดือน มีคนพูดเล่นอยู่เลยว่าเดี๋ยวจะกำหนดช่วงถ่ายภาพนอกรอบสำหรับรับปริญญาตั้งแต่ขึ้นปีสาม กว่าจะถึงวันจริงคงลืมไปแล้วว่ามีนัด

   เอื้อมส่งสัญลักษณ์แทนการบอกว่าดีใจมายกใหญ่ ทั้งแบบอีโมจิแล้วก็สติกเกอร์ เพื่อไม่ให้ดูไร้การตอบรับเลยส่งเซมิโคลอนและวงเล็บปิดที่เป็นรอยยิ้มแบบคลาสสิกกลับไป

   U Arun : ล่ะนี่ปันอยู่ไหน หนังจบแล้วเหรอ
   Parun P : อยู่บนรถเมล์ กำลังกลับมอแล้ว
   Parun P : คนขับเหมือนเตรียมตัวไปแข่งฟาสเก้า

 
   ปลงตกกับความเสี่ยงที่เจอเป็นกิจวัตรประจำวัน ใครบอกว่าสูบบุหรี่กินเหล้าทำให้ชีวิตสั้นลง การโดยสารอยู่บนรถประจำทางนี่ก็พาเขาไปทักทายยมโลกได้เร็วพอกันนั่นแหละ ดึกอย่างนี้พอไม่ต้องแข่งเก็บรอบหาลูกค้าก็วิญญาณนักซิ่งเข้าสิง ขับเร็วอย่างกับมีกฎห้ามขับต่ำกว่าแปดสิบ

   ยังไม่รวมกับกระเป๋ารถเมล์ที่แล้วแต่ดวงพอกัน ถ้าเจอคนน่ารักก็ดีไป ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะได้ยินประวัติชีวิตของตนเองและพวกพ้องเป็นของแถมนอกจากตั๋วใบเล็ก

   เหยียบไว้เลยนะว่าตอนเด็กปันเคยอยากลองเป็นกระเป๋ารถเมล์ด้วย รู้สึกว่าท่าเก็บเงินแล้วฉีกตั๋วโคตรเท่

   U Arun : อ้าว ทำไมไม่นั่งรถตู้

   ส่วนมากการเดินทางเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่นอกเขตกลางเมืองของนักศึกษาคือรถตู้ เกือบจะเป็นการผูกขาดอยู่แล้ว

   Parun P : หมดรอบแล้ว เวลานี้ไม่มี
   U Arun : งั้นวันหลังให้ไปรับไหม


   "..."

   แต่อันนี้ก็เกินไปหน่อย

   Parun P : ตั้งใจซ้อมไป

   นึกแล้วว่ามันน่าจะเป็นกลางไม่ดูตัดรอนจนน่าเกลียด เอื้อมอารัญชัดเจนเรื่องความต้องการของตัวเอง และเป็นเขาที่พร้อมจะสนองมันกลับไปโดยไม่กลัวสิ่งที่จะตามมา เรียกได้ว่าถ้ามีคนผิดก็ต้องหารครึ่งล่ะ

   U Arun : ซ้อมอยู่

   สงสัยกลัวจริงว่าจะไม่เชื่อเลยส่งรูปถ่ายจากมุมสูงติดช่วงหน้านิดหน่อย ถัดจากนั้นคือแท่นวางโน้ตที่มีแฟ้มพลาสติกเล่มโตตั้งเอาไว้

   Parun P : ดีมากครับ

   เขาเห็นเครื่องหมายถูกแทนการบอกว่าอ่านแล้ว แต่มันไม่มีการแจ้งเตือนว่ามีข้อความไหนกำลังถูกพิมพ์เพื่อตอบกลับมา
ยังไม่ทันได้คิดมากไปเองว่าถูกโกรธหรือเปล่าเครื่องก็สั่นพร้อมกับหน้าจอโชว์ว่ามีสายโทรเข้า ชื่อที่บันทึกเอาไว้ว่า 'เอื้อมอารัญ' กึ่งบังคับให้ต้องรีบรับสายโดยพลัน

   (เหมือนจะไม่เชื่อ?)

   "เชื่อสิ ก็เอื้อมบอกว่าจะไม่โกหกนี่"

   ตั้งแต่วันที่เอื้อมอารัญให้สัญญา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาเคยได้ยินเรื่องโกหกจากเด็กชายผู้ป่าวร้องว่าตนพบเจอหมาป่าอีกเลย ไม่นับรวมเรื่องที่ไปโกหกคนอื่นนะ อันนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมมากจริงๆ

   ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนเริ่มคำถามใหม่ (…นี่อีกนานไหมกว่าจะถึง)

   มองออกไปนอกหน้าต่าง ลองคำนวณดูว่ามันควรจะใช้เวลาเท่าไหร่ “ประมาณยี่สิบนาทีมั้ง”

   (เอาหูฟังมาหรือเปล่า)

   “ใส่อยู่”

   (งั้นสนใจฟังเราซ้อมไหม)

   ขอบคุณที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องโดนล้อเรื่องที่กำลังทำกลั้นยิ้มจนหน้าประหลาดแน่ๆ

   “เสียงไม่ดังรบกวนคนอื่นเหรอ”

   (ใส่ตัวลดเสียงเอาไว้แล้ว)

   “งั้นก็ได้นะ”

   เสียงกุกกักจากปลายสายน่าจะมาจากการวางโทรศัพท์ไว้สักที ตามมาด้วยการไล่โน้ตนิดหน่อยก่อนจะกลายเป็นเพลง มันไม่ต่อเนื่องกันโดยตลอด ค่อนไปทางการเล่นท่อนเดิมซ้ำๆ จนกว่าจะพอใจ

   เลยชิงจังหวะนั้นกลับไปเปลี่ยนข้อความในโน้ตที่ยังค้างเอาไว้ เติมแต่งมันจนพอใจแล้วเปลี่ยนไปเข้าทวิตเตอร์เตรียมทวิต เลทกว่าเวลาปกตินิดหน่อยไม่น่าจะมีปัญหา

   หมดหน้าที่ที่ต้องทำแล้วก็ตั้งสมาธิกับเสียงเพลงได้เต็มที่ ปรัญเคยเรียนเปียโนตอนเด็กตามวิชาบังคับของโรงเรียน เราเข้ากันไม่ได้จนต้องยอมแพ้และไม่เคยเหลียวแลมองเครื่องดนตรีชนิดอื่นอีกเลย อ้อ แต่ตีกลองสันได้นะ อันนั้นสามารถนับด้วยได้หรือเปล่า

   อีกฝ่ายคงติดลมจนลืมไปแล้วว่ากำลังต่อสายถึงกันอยู่ ไม่อยากจะไปขัดอารมณ์ศิลปินเลยเงียบไม่รายงานความคืบหน้า พอลงจากรถเมล์ตรงป้ายประจำก็เดินทอดน่องไปถึงลานจอดจักรยาน ขอบคุณที่เจ้าสองล้อมันยังจอดอยู่ดีไม่โดนใครตัดโซ่ไป

   ลมไม่ถึงกับเย็นเข้าปะทะหน้า ยังติดอยู่ในความสุนทรีย์ไม่อยากจะกลับเข้าไปเจอห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เลยเลี้ยวไปทางซ้ายแทนที่จะเป็นขวาเช่นเดียวกับทุกวัน ตอนเข้ามาใหม่ๆ เห่อลูกชายจนเอาไปสำรวจมาจนทั่วมหาลัย เลยรู้ว่าตรงส่วนหลังจากตึกสร้างใหม่มีสวนร้างตั้งอยู่

   ก็ไม่ได้ร้างแบบไม่ได้รับการดูแล แต่มันไม่ค่อยมีใครดั้นด้นเข้ามาเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์หรอก

   ขนาดไม่ได้ใหญ่โตแต่ร่มรื่น เคยตั้งใจว่าถ้าวันไหนอากาศดีๆ ก็อยากจะมานั่งถอนหายใจทิ้งอยู่เหมือนกัน หรือว่าจะลองชวนเอื้อมมาดีนะ

   (ไหนบอกว่ายี่สิบนาทีถึง นี่มันสามสิบกว่านาทีแล้วนะ)

   เกือบเบรกรถหน้าคว่ำ เขารีบเลี้ยวกลับเพื่อออกไปยังถนนใหญ่ สารภาพออกไปว่าแอบออกมานอกเส้นทาง "มาปั่นจักรยานเล่นต่อ"

   (ปั่นเล่น?)

   "แต่นี่กำลังจะกลับล่ะ" ตั้งใจจะกลับอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับน้ำเสียงติดไม่พอใจนั่นเลย

   (ดีแล้ว กลางคืนอันตราย)

   "เราว่าตอนไหนก็ไม่มีความปลอดภัยทั้งนั้นแหละ"

   คุยเล่นจนถึงบริเวณหน้าหอพัก จัดการจอดมันเอาไว้ตรงพื้นที่ที่คิดว่าปลอดภัย ได้ยินเสียงเพลงจากร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ละแวกนั้นลอยคลอมาเหมือนอย่างทุกที มีใครรู้กฎหมายเกี่ยวกับบริเวณที่อนุญาตให้เปิดร้านเหล้ารอบสถานศึกษาบ้าง ได้ยินบ่อยเข้าก็หน่าย

   "ตอนนี้เรากำลังล้วงหากุญแจห้องในกระเป๋า ...เปิดล็อกห้อง ...ถอดรองเท้าแล้วก็โยนกระเป๋าไปบนเตียง"

   ด้วยความที่เอื้อมถามตลอดเวลาว่าทำอะไร ถึงไหนแล้ว เลยจัดการบรรยายทุกอิริยาบทไปเสียเลย

   "เปิดไวไฟ ...เดินไปหยิบผ้าขนหนูตรงระเบียง ...เตรียมถอดกางเกงแล้ว"

   (ไม่ต้องบอกขนาดนั้นก็ได้ไหม) ปลายสายทักเสียงแหว ยังได้ยินเสียงดีดเครื่องสายเป็นจังหวะคลอตามมา (ไปอาบน้ำแล้วรีบนอน เราก็จะไปอาบบ้างล่ะ)

   "อ่าฮะ"

   (ขอบคุณที่ฟังเราซ้อมนะ)

   "ด้วยความยินดีครับ"
 


   อากาศช่วงบ่ายของวันเสาร์ทรมานเสียจนรู้สึกขอบคุณคนที่คิดค้นเครื่องปรับอากาศขึ้นมา

   เวลานัดของเราคือบ่ายโมงตรง ไม่มากหรือน้อยเกินไปสำหรับมื้อเที่ยง เอื้อมอารัญส่งมาบอกว่าจะมาช้าหน่อยเพราะการก่อสร้างแถวบ้านมันเป็นต้นเหตุของการจราจรที่เคลื่อนตัวได้ช้ากว่าปกติ คนชอบมาถึงก่อนเวลาอย่างเขาเลยต้องมาเดินแกร่วรอ

   รูปแบบการจัดวางโครงสร้างของห้างไม่ค่อยแตกต่างกับอีกหลายแห่งที่สร้างขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน จะให้ขึ้นไปดูรอบหนังก็ไม่ใช่เรื่องเลยต้องเลือกอย่างอื่น จนมาจบที่การเดินเข้าไปยังโซนเครื่องเล่นเกมแทน

   แปลกดีที่มันไม่ค่อยมีคนเข้าใช้บริการทั้งที่เป็นวันหยุด เขาเลือกเกมคลาสสิกอย่างยิงซอมบี้ในการฆ่าเวลา หยอดเหรียญเข้าไปเตรียมตัวสำหรับการเริ่มต้น โทษว่าไม่ได้เล่นมาสักพักใหญ่ก็เลยตายในเวลาไม่นาน เขาเคยได้คะแนนเกือบสูงสุดด้วยนะ ขออวดหน่อย

   ขณะมือล้วงหาเหรียญสำหรับเกมที่สองเอื้อมอารัญก็โทรมาก่อน จากนักล่าอมนุษย์เลยต้องกลับมาเป็นลูกค้าอยู่ในร้านอาหารแทน เราเลือกสิ่งที่ตนเองชอบไม่ต่างจากทุกที แน่นอนว่าต้องตบท้ายด้วยเครื่องดื่มเมนูใหม่ประจำเดือนอันเป็นเป้าหมายหลัก

   มีการลักเอาโทรศัพท์ของเขาไปกดส่วนลดอีกด้วยนะ

   "ก็เลยไปเล่นเกมเหรอ"

   ระหว่างรออาหาร ก็เล่าให้ฟังว่าก่อนหน้าไปทำอะไรมา "อืม มือตกไปเยอะเลย"

   "อยากไปเล่นบ้าง"

   "หลังกินเสร็จไปย่อยกันไหมล่ะ"

   ยื่นข้อเสนอไป สำหรับเขาแล้วถ้าจะให้เข้าห้างเพื่อทานอาหารหนึ่งมื้อแล้วกลับมันก็ลงทุนเกินไปหน่อย

   "ไป อยากลองเล่นเกมต่อยวัดแต้มดูอะ"

   "เดี๋ยวจะรอดูผลงาน"

   "อย่าดูถูกเอื้อมอารัญเชียวนะ" เครื่องดื่มสีประหลาดวางลงสองแก้ว หนึ่งคือนมอะไรสักอย่างส่วนสองเป็นมะนาวผสมอัญชัน คนอยากลองเกือบสั่งอย่างที่สามแล้วดีที่เขาห้ามทัน "เราเคยเรียนต่อยมวยด้วย"

   เท่าที่ฟังมาเอื้อมก็เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตได้คุ้มค่าเหมือนกัน ยื่นมือออกไปตั้งใจจะหยิบแก้วทรงเหลี่ยมมาไว้กับตัวแต่ก็ถูกฟาดเต็มแรงเสียก่อน คนอยากลองหยิบเอาแก้วทั้งสองใบไปวางไว้ข้างกันตามด้วยการยกสมาร์ตโฟนขึ้นเล็งจากมุมสูง เหมือนว่าภาพที่ได้จะไม่ค่อยน่าพอใจเลยบอกให้เขาขยับหลบไปจนพ้นรัศมี

   ยังดีที่ได้รูปตามต้องการเร็ว ปล่อยให้เจ้าของไอเดียได้ลองชิมทั้งสองแก้วเพื่อเลือกเมนูโปรด และดูเหมือนว่าเครื่องดื่มรสเปรี้ยวจะไม่ค่อยถูกปากเลยถูกส่งมาให้เขาจัดการแทน

   "แล้วสัปดาห์หน้าไปดูหนังกี่วัน"

   "น่าจะวันเดียว ไม่ค่อยมีเรื่องอยากดู" มันเริ่มเป็นหนึ่งในหัวข้อการคุยในกิจวัตรประจำวันของเราไปแล้ว "แต่ว่าก็ต้องไปช่วยงานทุนเตรียมของ"

   ทำไมจะไม่รู้ว่าถามเรื่องดูหนังทำไม นี่ในหัวเอื้อมต้องเตรียมเมนูสำหรับทั้งสัปดาห์เอาไว้แล้วแหง

   ดักคอเอาไว้ก่อน นี่เข้าใกล้วันค่ายแล้วทุกชีวิตที่ได้ชื่อว่าเป็นนักศึกษาโครงการผู้มีศักยภาพก็ถูกเกณฑ์กลับมาใช้งานโดยไม่มีข้อแม้ การเตรียมงานทั้งก่อนและวันจริงมีขั้นตอนยุ่งยาก นี่แหละข้อเสียของการเอาเด็กกิจกรรมมาเจอกัน บางคนเคยเป็นแต่ผู้นำแล้วตามไม่ค่อยลง

   ส่วนปรัญอยู่ฝ่ายใช้แรงงาน ใครอยากให้ช่วยอะไรก็บอก ไม่ชอบเสนอตัวเป็นหัวหน้าหรือผู้ริเริ่มด้วยการอธิบายว่าตนทำงานในห้องที่ปรึกษาซึ่งเต็มไปด้วยความปวดหัวมากพออยู่แล้ว ภาระที่ได้รับอาจทำให้การทำงานไม่เต็มที่และมีผลเสียไม่ได้เฉพาะกับตน

   "ก็ห้องข้างล่างเอง ถ้าเราเลิกก่อนแล้วเดี๋ยวไปรอ"

   "ไม่รู้เสร็จกี่โมงนะ"

   "เหมือนไม่ค่อยอยากให้ไปเลย"

   กลายเป็นอย่างนั้นไปอีก "ไม่อยากให้รอนาน ซ้อมก็หนักแล้ว"

   "เราไม่อยากกินข้าวกับพวกนั้น" และน่าจะรวมถึงไม่อยากจะทานคนเดียวด้วย "นิสัยไม่ดีเลยเนอะ"

   ทำการปลอบใจโดยการตักเอาชิ้นเนื้อและแป้งที่ลอยขึ้นมาปริ่มน้ำให้กับเอื้อมอารัญก่อน อันไหนถ้าไม่กินเดี๋ยวก็โยนกลับมาให้เขาเอง "บางทีเราก็ไม่ชอบไปกินข้าวกับคนเยอะๆ เหมือนกัน"

   มากคนมากความ มันน่าเบื่อที่ต้องมารับฟังความคิดเห็นที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆ ตั้งแต่เลือกร้านยันเลือกเมนู ในบางครั้งเลยชอบทานแบบไม่กี่คนมากกว่า ไหงเหลือแค่ตัวคนเดียวในตอนสุดท้ายก็ไม่รู้สิ

   "เราชอบอยู่กับปันนะ"

   บอกไม่ได้เหมือนกันว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจพองโตยามได้ยิน อารมณ์ว่ารู้สึกดีที่สามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ได้ล่ะมั้ง เท่าที่เจอกันมาเอื้อมมักจะอยู่คนเดียว หรือต่อให้มีคนรายล้อมมันก็ให้ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก้อน

   อย่างเวลาไปซ้อมดนตรีก็เหมือนกัน ไม่เคยมีการทักทายจากเพื่อนคนอื่นนอกจากฮิว เขาจะเห็นเอื้อมเดินถือเคสไม้เข้าและออกคนเดียวไม่เคยมีใครสนทนาด้วย ขนาดเขาไปนั่งรอเฉยๆ ยังมีเพื่อนจากคณะเดียวกันเข้ามาถามว่ามาทำอะไร

   ถึงจะได้รับสีหน้าบอกบุญไม่รับตอนตอบว่ามารอเอื้อมอารัญก็เถอะ

   "อืม"

   "ชอบที่ปันแสดงออกอย่างนี้เวลาเราบอกด้วย"

   "อย่างนี้?"

   "ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา"

   "..."

   "บางทีคนเราก็ไม่ต้องการอะไรมากมายหรอก ช่วยตักสาหร่ายให้เราหน่อยสิ"

   กระวีกระวาดทำอย่างที่บอก ตะกร้อที่อยู่ฝั่งเขาทำให้ต้องกลายเป็นพนักงานตักไปโดยปริยาย ล้วงหาสิ่งที่ต้องการเพียงครั้งเดียวก็เจอ

   "ปกติเราต้องกินลูกชิ้นกุ้งกับสาหร่ายอะ ต้องเป็นแพ็กคู่"

   จัดการส่งไปให้ถึงในชาม ทำเป็นดึงกลับมาควานหาอะไรให้ตัวเองทั้งที่สายตายังแอบจับจ้องอยู่แต่ช่วงศีรษะของเอื้อมอารัญ สีหน้าที่ยังคงเป็นปกติไม่มีพิรุธหรือแต่งเติมอะไรตอนพูดคำว่า 'เรื่องธรรมดา' ติดค้างอยู่ในความคิดไม่หลุดออกไปตาม

   หรือเพราะมันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากจนลืมให้ความสำคัญ

   ไม่ลืมว่าอิมเมจของเอื้อมเป็นอย่างไรในสายตาคนอื่น จากมุมมองของตัวเองแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่ตอนบอกถึงความปรารถนา ในบางครั้งสิ่งที่สามัญที่สุดตามหายากที่สุด

   "นี่เพิ่งรู้ว่าสั่งน้ำกลับบ้านได้ ไม่งั้นกินอย่างอื่นไปแล้ว"

   "แต่เอาน้ำร้านนี้ไปเข้าร้านนู้นก็ตลก"

   เดินย่อยโดยมีปลายทางเป็นโซนเกมที่เพิ่งจากมาได้ไม่นาน ความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้จากพนักงานเล่นเอาคนชอบหาของทานตามรีวิวบ่นไม่หยุด เขานึกว่าถ้าจะสั่งเครื่องดื่มต้องทานในร้านเท่านั้น แต่ความจริงแล้วสามารถสั่งแบบเทคโฮมได้

   "ก็จริง...นอกจากที่เราจะไปเล่นแล้วปันอยากทำอะไรอีกไหม"

   "ยิงปืนสักตาก็ดี อยากแก้มือ" ยังคาใจจากรอบแข่งก่อนหน้าอยู่

   "โอเคเลย"

   บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเสียวสันหลังวาบกับการตอบรับไร้ความลังเล

   "แล้วมาแข่งหาคนแพ้กันดีกว่า"

   พนันได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่การแข่งที่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อยแน่นอน


***
   แม้ว่าเจ้าจะทำให้คนอ่านระแวงแต่ก็ยังยืนยันว่าจะพยายามไม่หนักจริงๆ (ฮา) เจ้าชอบความเป็นเรื่องธรรมดา เรียบๆ เรื่อยๆ ของพวกเขาสองคนมากเลยค่ะ
   เรื่องนี้ไม่น่าเกินยี่สิบตอน แล้วเจ้าจะมาเล่าที่มาของเรื่องนี้ให้อ่านช่วงท้ายนะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × ห้า [2.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 03-04-2018 02:08:22
ยังคงยืนยันว่าระแวงเหมือนเดิมค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × ห้า [2.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 03-04-2018 04:21:55
หลงเข้ามาอ่านค่ะ ติดตามนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × ห้า [2.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-04-2018 22:58:02
เหงาแทนคุณเอื้อม  :hao5:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × หก [8.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 08-04-2018 20:41:10
หก
 
   ปรัญเข้าใจมาโดยตลอดว่าในหนึ่งการแข่งขันมีโอกาสแพ้ ชนะ และเสมอ

   "ตกลงนะ ถ้าเราชนะปันไปกับเรา ส่วนถ้าปันชนะก็ไปกับเราเหมือนกัน"

   นั่นหมายความว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนแพ้อยู่ดีต่างหาก

   "ขอทวนใหม่อีกครั้งได้ไหม"

   "สรุปคือยังไงปันก็ต้องไปเที่ยวกับเรา"

   เป็นการสรุปที่จับใจความได้ครบถ้วนอยู่ ถึงตัวเองจะยังไม่รู้รายละเอียดอะไรสักอย่างแต่ถ้าเอื้อมอยากไปก็คงต้องเป็นอย่างนั้น

   "งั้นไม่ต้องแข่งก็ได้มั้ง"

   "ไม่สิ เราอยากเล่น"

   เสียงเครื่องเล่นที่ดังปนเปจากทุกทิศทางกลายเป็นข้อบังคับให้พวกเขาต้องเพิ่มระดับเสียงในการพูดคุย ตอนนี้เราสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเครื่องเล่นเครื่องเดิมที่ทำปันเจ็บแค้นใจเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว พร้อมกับการร่ายกติกาการแข่งขันที่เขาไม่เจอความยุติธรรมข้างใน

   แลกเหรียญอะไรเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่หยอดมันเข้าไปและเตรียมตัวสำหรับการเริ่มเกม เอื้อมไม่ได้เล่าเกี่ยวกับความสามารถในการเล่น เลยไม่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเองได้

   จับอุปกรณ์ในมือเอาไว้ให้มั่น ตั้งสติพร้อมสำหรับการแข่งขัน คราวนี้ปันคิดว่าฝีมือกลับเข้าที่กว่าครั้งก่อน หากยามเหลือบไปมองตัวเลขบอกแต้มคะแนนด้านบนมันกลับห่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ

   เขาเป็นฝ่ายตามหลังอยู่

   ปลอบใจว่าอย่าเพิ่งเสียสมาธิตอนนี้ แต่ดูเหมือว่าการเสียศูนย์หนึ่งครั้งจะทำให้ทุกอย่างเป๋ไปหมด ต่อให้แต้มคะแนนของเขายังคงขยับขึ้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวแต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังตามคนด้านข้างไม่ทันอยู่ดี

   "ไปวันพุธหน้านะ ที่หยุดทั้งม."

   นั่นคือคำแรกที่ควรเอ่ยหลังจากได้รับชัยชนะหรือไง ปรัญขยับมุมปากนิดหน่อยพลางยกมือขึ้นมาตะเบ๊ะรับคำสั่งจากผู้อำนวยการสูงสุด

   "ครับผม"

   "ดีมาก นี่เราขอไปเล่นตรงนั้นต่อได้ไหมอะ"

   ปลายนิ้วที่ชี้ไปทางตู้คีบตุ๊กตาไม่เหมือนอย่างที่คุยไว้ตั้งแต่แรก "แล้วเกมต่อยล่ะ"

   "ไม่เอาแล้ว อยากเล่นอันนี้มากกว่า"

   "ก็ไปสิ" ไม่ขัดใจหรอก เอื้อมเหมือนเด็กที่ถูกตามใจจนเสียคน แล้วเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ใหญ่ที่ไม่ห้ามแถมยังส่งเสริมอีกต่างหาก "เล่นเกมเก่งจัง"

   "เคยไปเรียนยิงปืนกับพ่อน่ะ แต่ก็คงไม่ได้ไปอีกแล้ว"

   ยังจำได้ว่าเอื้อมอารัญมีปัญหากับทางบ้าน มันเกี่ยวข้องกันไหมนะ

   "นี่มาเล่นไม่กี่เกม พวกกลองจับจังหวะพอได้แต่อย่างบาสคือยอมแพ้"

   "อันนั้นเราก็ไม่ถนัด"

   เดินไล่ไปตามตู้ทรงเหลี่ยมวางเรียงราย ตุ๊กตาจำนวนมากข้างในละลานตาจนอยากจะรู้ว่าจะเลือกหยุดอยู่ตรงไหน เขาไม่ค่อยชอบเครื่องเล่นพวกนี้เพราะว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย กว่าจะสำเร็จหนึ่งครั้งเดินเข้าร้านไปซื้อเลยน่าจะใช้เงินและแรงน้อยกว่า

   มันมีทั้งตัวละครที่เขารู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน เอื้อมเดินวนไปมาสองรอบเพื่อประเมินหาตู้ที่ดูแล้วมีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จเยอะที่สุด จนมาจบตรงที่พวงกุญแจขนาดเกือบสามส่วนสี่ของฝ่ามือทรงกลมหน้าตาน่ารัก การตัดเย็บของตุ๊กตาไม่ได้ประณีตเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับห่วยแตก

   "คิดว่าตัวขาวหรือดำน่าจะหยิบง่ายสุด"

   ท่าชะโงกหน้าเข้าไปเกือบชิดตู้ หรี่ตามองดูองศาต่างๆ จริงจังยิ่งกว่าตอนซ้อมดนตรีเสียอีก เคยอ่านทฤษฎีการหยิบตุ๊กตาที่แชร์กันในเน็ตมาเยอะ นี่คงจะได้เห็นว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่

   "เราว่าตัวนี้"​ จิ้มไปตรงโดนัลด์ดั๊กตัวขาวที่อยู่ใกล้สุดและไม่มีตัวอื่นมาเบียดรบกวน "แต่ถ้าชอบตัวดำอยู่แล้วก็ลองตัวนั้นก่อนก็ได้"

   คิดไปถึงเจ้าผ้ายัดนุ่นที่ห้อยอยู่บนแฟ้มหนังใบเดิม อันนั้นก็น่ารัก

   "งั้นรอบนี้ถือว่าลองมือ"

   "เขาว่ากันว่าต้องไม่ตั้งใจถึงจะได้"

   ส่วนถ้าเต็มที่เมื่อไหร่กว่าจะคว้ามาได้คือแทบรากเลือด เราเป็นทีมเวิร์กที่ดีด้วยการให้ผู้ควบคุมจอยขยับหามุมจากด้านหน้า ส่วนตัวเขาเขย่งขึ้นไปมองจากมุมสูงเพื่อกำกับจุดตัดอีกครั้ง ยังดีที่มันไม่ใช่เกมที่เปิดโอกาสให้เคลื่อนไหวได้แค่ครั้งหรือสองครั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วคงคว้าได้แต่อากาศ

   "ตรงนี้เหรอ"

   "ไม่ ขยับซ้ายอีกนิด นิดเดียว" ทำไมบอกว่าซ้ายแล้วถึงไปทางขวาล่ะ "เอื้อม นั่นมันขวา"

   "แต่ซ้ายมันดูห่างไปนะ"

   "มุมบนไม่ห่าง ซ้ายหน่อย"

   "ถ้าไม่ได้เราจะโทษปัน"

   ล็อกเป้าหมายสุดท้ายพร้อมกับกดแป้นกลม อุปกรณ์สำหรับหนีบเคลื่อนตัวลงไปช้าๆ ในความรู้สึก ตั้งแต่จังหวะการกางแขน จับตรงเป้าหมาย อุ้มมันขึ้นมาอยู่ในกรง ทุกการเคลื่อนไหวลุ้นระทึกจนลืมเรื่องที่ไม่ลงรอยกันก่อนหน้า ภาพตุ๊กตาสีขาวข้างในกรงหนีบเคลื่อนไหวตามกลไกแถมยังดูสั่นจนน่าหวาดเสียวเล่นเอาหัวใจเต้นเร็วขึ้นไม่น้อย

   จนมันร่วงหล่นลงมาตามช่องสำหรับการหยิบนั่นแหละถึงกลับมามีเสียงคุยต่อ

   "เหย...ได้จริงด้วยอะ"

   กะพริบตาถี่ว่าสิ่งที่เห็นอยู่เป็นจริงหรือไม่ ก็บอกแล้วว่ามันเป็นความเสี่ยงที่ไม่ค่อยคุ้มค่ากับการลงทุน พอได้อย่างที่หวังเอาไว้มันก็น่าตกใจไม่น้อย

   แต่ก็นะ มนุษย์รักความเสี่ยง

   "ลองอีกดีไหม แต่ว่าเรารู้สึกว่าตัวเองใช้ดวงไปหมดแล้ว"

   พยักพเยิดให้ทำตามใจ "อยากทำก็ทำ"

   "ให้ปันลองดีกว่า"

   แล้วทำไมมันกลายเป็นภาระของเขาไปได้ เหรียญที่วางเอาไว้ตรงหน้าตู้ถูกทิ้งเอาไว้รอให้เขาจัดการ ปันขยับไปยืนตรงตำแหน่งของผู้เล่นแทนแล้วให้อีกคนเป็นผู้กำกับ คราวนี้ต่อให้เล็งจนดูไม่มีข้อผิดพลาดมันก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่ากลับขึ้นมาด้วย

   "ดวงหมดแล้วจริงด้วย"

   ตุ๊กตาตัวกลมในมือถูกโยนขึ้นลงในอากาศ ความผิดหวังที่เพิ่งได้รับดึงเอาความสนุกทั้งหมดออกไปสิ้น ผู้ชายส่วนสูงมาตรฐานเลยเดินห่อเหี่ยวออกจากโซนเกมด้วยความตั้งใจว่าจะแยกย้ายกันกลับเสียที

   "นี่ไงที่เขาบอกว่าอย่าโลภมาก" ปรัญถือคติไม่มีการทดลองซ้ำครั้งที่สาม ทั้งไม่อยากเจอความผิดหวังและมันเป็นการย่ำอยู่กับที่เกินไป

   "เสียดาย นึกว่าจะได้มาเป็นคู่"

   "แค่เป็นตัวละครจากเรื่องเดียวกันไม่น่าจะนับว่าเป็นคู่"

   "มันก็ใช่อยู่ ...แป๊บนะ" เขาหยุดเดินกะทันหัน มือข้างที่ว่างควานหาสิ่งที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง "ครับผม ...รู้ได้ไง"

   เอื้อมอารัญตอบรับตาโต หันรีหันขวางมองหาใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง เขาลองมองตามเผื่อว่าจะเจอสิ่งที่ตามหา เท่าที่มองระดับสายตายังไม่เจอ แต่ว่า...

   "ตรงนั้นหรือเปล่าเอื้อม" ชี้ไปทางชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังยืนเกาะรั้วอยู่หนึ่งชั้นสูงขึ้นไป ไม่เแปลกใจที่มองเห็นกันได้เพราะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เจ้าหล่อนพยายามโบกไม้โบกมือให้มาสักพักแต่เอื้อมเอาแต่มองคนที่เดินสวนในชั้นเดียวกัน

   "เจอแล้ว จะให้ขึ้นไปหาหรือจะลงมา"

   "ก็ได้ รออยู่ตรงนั้นแหละ"

   จากที่มีเป้าหมายเป็นการเดินออกไปยังด้านนอกห้างสรรพสินค้าก็เลยกลายเป็นโดนดึงมือขึ้นบันไดเลื่อนมาอีกชั้นแทน ปรัญมองพวกเขาสามคนทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย เลี่ยงตัวออกมาให้ห่างนิดหน่อยตามประสาคนที่ไม่ชอบเข้าสังคมก่อน

   จากการสังเกตคิดว่าสองคนนั้นน่าจะเป็นแฟนกัน ดูจากท่าจับมือและความแนบชิดที่ไม่น่าจะอยู่ในขั้นของเพื่อนสนิทต่างเพศ ไม่ใส่ใจว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขานี่นา

   เสียงหัวเราะสลับกันไปมาระหว่างทั้งสามคน ดูจากรูปการณ์แล้วเอื้อมน่าจะเป็นเพื่อนกับฝั่งผู้ชายเพราะจบจากโรงเรียนชายล้วน แต่คนที่โทรมาหากลับเป็นผู้หญิง หรือว่าเคยเล่นดนตรีด้วยกัน ไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนที่เจอกันตามที่เรียนพิเศษ

   "งั้นเราไปก่อนล่ะ ไปแล้วนะรัญ"

   ทำหน้าสงสัยกลับไปยามรับรู้ว่าเธอกำลังบอกลาเขา "คนนี้ชื่อปันต่างหาก"

   "อ้าว เราเห็นที่แท็กเขียนชื่อนี้"

   ไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเรื่องทำนองนี้ ก็พยายามเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะให้ความสนใจกับเรื่องที่อยู่รอบตัว

   "โดนหลอกแล้ว"

   "อ้อ เกือบลืมว่าเอื้อมก็ชอบโกหกคนอื่นอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนี่เนอะ"

   มันเป็นคำที่ทำให้ปรัญยิ้มไม่ออก ส่วนอีกคนก็แค่ตอบกลับทีเล่นไปเท่านั้น "ก็นะ"

   "กินข้าวให้อร่อยล่ะ ไว้เจอกันใหม่"

   "บายบาย"

   หลังจากออกนอกแผนที่วางเอาไว้ก็ได้กลับเข้าสู่ทางปกติอีกครั้ง เดี๋ยวเอื้อมจะไปส่งเขาครึ่งทางเพราะว่ายังไงมันก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว "เรากินข้าวกันมาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ"

   ไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะอะไรกับเรื่องเล็กแค่นั้นเอื้อมอารัญถึงต้องเล่าเรื่องเท็จออกไป

   รถยุโรปห้าประตูคันเล็กของเอื้อมอารัญถอยออกจากซองจอด เคลื่อนตัวไปตามลูกศรที่มีข้อความต่อท้ายว่าทางออกไปเรื่อยๆ

   "เผื่อไว้ว่าเขาจะชวนไปทำอะไรต่อน่ะ ไม่อยากไป"

   "แต่เขายังไม่ชวนสักหน่อย"

   "เดี๋ยวก็ชวน เชื่อสิ"

   "สนิทเหรอ"

   "แฟนเก่าน่ะ"
   
   "..."

   ใจจริงก็ไม่อยากเงียบหรอก แต่มันก็ห้ามไม่ได้นี่นา

   จะว่ายังไงดี คือการเจอกันของแฟนเก่ามันเต็มไปด้วยความราบรื่นได้เท่านั้นเลยเหรอ เพื่อนเขาแต่ละคนเวลาเลิกกับแฟนนี่แทบจะไม่เผาผีกัน แล้วนี่คือแบบที่แฟนเก่ากับแฟนปัจจุบันมาด้วยกันด้วยนะ

   "คิดมาก ก่อนคบคนนี้เราก็เคยชอบผู้ชายมาเหมือนกัน"

   "..."

   เงียบรอบสอง

   สมควรจะตกใจมากกว่าเดิมหรือยังไงดี

   "แย่จัง บรรยากาศเสียเลยอะ" เขาไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าแบบไหน "ไม่รู้จะทำให้เชื่อได้แค่ไหน แต่นี่เราไม่อยากโกหกอะไรปันเลยจริงๆ"

   "...เราไม่โอเคแค่เรื่องที่เอื้อมโกหก"

   ไม่อยากให้มันค้างคากันต่อไปนานกว่านี้ มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเอื้อมอารัญถึงต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น เพราะอย่างนี้ไงคนอื่นถึงมองว่าเป็นครายวูลฟ์ไม่จบไม่สิ้น

   "สำหรับเราแล้วถ้าไม่อยากก็บอกออกไปตรงๆ มันก็น่าจะดีกว่าการโกหกไปเรื่อยๆ"

   "แต่สำหรับเราแล้วมันดีกว่า"

   น้ำเสียงที่ใช้ตอนสวนกลับมากระด้างยิ่งกว่าครั้งไหน รถที่ขับอยู่ตรงเลนกลางตลอดตบเข้าทางซ้ายเตรียมเทียบบาทวิถีในบริเวณที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมาส่ง

   "เรารู้ว่าปันไม่เข้าใจหรอก"

   "..."

   "เพราะบางทีเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน"
 


   ถ้าเปิดหาวิธีทำให้รู้สึกผิดน้อยลงในกูเกิลจะเจอไหมนะ

   ทั้งที่คิดว่าไม่ใช่คนผิดตั้งแต่ต้นทำไมถึงต้องมารู้สึกหน่วงในใจอย่างนี้ด้วย กลุ่มความรู้สึกแสนขุ่นมัวเกาะเต็มช่วงอกจนพาลไม่อยากทำอะไรสักอย่าง

   นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง จ้องเครื่องมือสื่อสารเครื่องสี่เหลี่ยมที่นอนอยู่ตรงหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้นคล้ายกับกำลังฝึกสมาธิตามนิกายเซนที่บอกให้เพ่งก้อนหิน ใจหนึ่งก็บอกว่าให้โทรไปเคลียร์อีกรอบให้หมดเรื่อง แต่อีกใจก็ไม่อยากพูดอะไรที่อาจเป็นการทำร้ายอีก

   ไม่รู้สิ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเพิ่งทำให้เอื้อมอารัญพังทลายไปอีกครั้ง

   นี่คงเป็นหนึ่งในนิสัยที่ยังปล่อยไปไม่ได้ ไอ้การที่จะบอกว่า 'ช่างมันเถอะ' ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายสำหรับเขาเท่าไหร่

   มีสองทางเลือกที่ทำได้ หนึ่งคือการโทรไปเคลียร์ให้ตัวเองสบายใจ หรือว่าสองคือรอจนกว่าอีกคนจะติดต่อกลับมาเอง เขาไม่รู้วิธีการจัดการเรื่องอารมณ์ของเอื้อม บางคนก็ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ แล้วกลับมาเอง ฮิวนี่ต้องง้ออย่างเดียวถึงจะหาย

   "หรือว่าทักไปหาฮิวดี..."

   เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า แต่ก็เหมือนว่าจะไม่มีทางไหนที่น่าจะโอเคได้เท่า

   กดปุ่มเปิดหน้าจอ ใส่พาสเวิร์ดที่กดจนชินมือ ใช้นิ้วชี้เดียวในการสไลด์เลื่อนไปยังแอปพลิเคชันที่ตามหา ชื่อของฮิวไม่ใช่รายชื่อที่ดูด้านบนของห้องสนทนา พวกเขามักจะคุยกันแบบต่อหน้ามากกว่า

   พอเข้ามาก็เห็นว่าเรื่องที่คุยกันครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับการนัดหมายเรื่องวันทำงานกลุ่ม ตอนนั้นฮิวก็ยังบ่นเรื่องที่เขาเอาแต่ช่วยเพื่อนจนคนอื่นแทบไม่ต้องทำอะไร

   จิ้มไปทีละตัวอักษรจนกลายเป็นคำ และพอมันอ่านได้ใจความตามที่ต้องการก็ต้องมาชั่งใจอีกว่าจะกดปุ่มส่งไปดีหรือไม่
การตัดสินใจนี่เป็นเรื่องที่ยากเสมอเลย

   หน้าจอที่ดับลงหลังจากไม่มีการใช้งานเกินสามนาทีเป็นเครื่องบอกว่าการต่อสู้กันภายในความคิดดำเนินไปถึงไหนแล้ว เขากลั้นใจเปิดเครื่องอีกครั้ง ตั้งมั่นว่าจะต้องกดส่งไปโดยไม่มีการลังเลอะไรอีก

   "..."

   ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ พอหน้าจอกลับมามีแสงสิ่งที่ปรากฎอยู่คือการแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่จากเอื้อมอารัญ จะขอบคุณความกล้าเรื่องก่อนหน้าที่ยังคงหลงเหลืออยู่เขาถึงกดเข้าไปอ่านทันที ไม่อย่างนั้นแล้วคงต้องมานั่งเครียดอีกรอบเรื่องจะเปิดหรือไม่เปิดอ่านเลยดี

   U Arun : ขอโทษ
   U Arun : ถึงจะไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไรก็เถอะ


   ตลกกับการตอบแบบเอื้อมเหลือเกิน นอกจากข้อความที่อ่านแล้วดูไม่ค่อยเหมือนการง้อมันยังมีภาพของตุ๊กตาตัวกลมที่เคยอยู่ในตู้ส่งมาด้วย การแต่งเติมให้ดูเข้ากับสิ่งที่ต้องการสื่อด้วยการส่งเครื่องหมายแทนสีหน้าเศร้าเหงาหงอยอยู่ข้างกัน

   U Arun : อ่านไม่ตอบนี่คืออะไร?

   แค่ยังนึกไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไรกลับไปบ้างก็โดนเล่นงานเสียแล้ว เก็บเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนเอาไว้ ตอนนี้ต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ดีก่อน

   Parun P : ยังเขียนเรียงความส่งคืนไปไม่เสร็จ
   U Arun : เกินเหตุ
   U Arun : ไม่โกรธเราแล้วใช่ไหม

   ดูท่าว่าจะติดใจเรื่องนี้อยู่แหง ก็บอกแล้วไงว่าไม่โอเคแค่เรื่องเดียว

   Parun P : ไม่ค่อยชอบมากกว่า
   Parun P : แต่ตอนนี้ไม่เท่าไหร่แล้ว


   เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะส่งผลถึง 'ตัวตน' เท่าที่เข้าใจเอื้อมอารัญเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านที่มีเงินในระดับหนึ่งแน่นอน ทั้งโทรศัพท์ เครื่องแต่งกาย รวมถึงรถที่ใช้ แล้วเหมือนว่าหอก็เหมาอยู่คนเดียวทั้งที่ปกติแล้วมันมักจะเป็นการแชร์กันอยู่เสียส่วนใหญ่

   จะบอกว่าเพราะได้รับแต่เงินไม่เคยมีความสุขในชีวิตครอบครัวก็บอกไม่ได้ บางคนชอบความสุขที่เสกจากเงินมากกว่าความใส่ใจจากสถาบันครอบครัว ถึงฮิวจะบอกว่าเป็นปมที่บ้านมันก็แปลได้หลายความหมายอยู่ดี

   U Arun : แล้วเรื่องแฟนเก่าเราอะ
   U Arun : โอเคไหม


   แอบทำใจเอาไว้หน่อยแล้วว่าต้องโดนถามถึงเรื่องนี้ต่อแน่ คือชีวิตวัยรุ่นของคนเรามันก็ต้องเคยผ่านประสบการณ์ความรักกันบ้างแหละ อาจจะเป็นแอบรัก รักข้างเดียว หรือว่าคิดไปเองว่าใจตรงกัน ไอ้การเคยมีแฟนมาก่อนนี่บอกได้เลยว่าธรรมดามาก

   เอื้อมก็เป็นคนหน้าตาดี ถ้าบอกว่าไม่เคยมีแฟนมาก่อนอันนั้นน่าตกใจกว่าอีก ผู้หญิงคนนั้นเองก็ดูเข้ากับเขาได้ดี ขนาดยืนคุยไม่นานยังสัมผัสได้ถึงความน่ารักเลย

   Parun P : เราไม่ได้คิดอะไรนะ
   Parun P : จริงๆ


   แต่ถ้าย้อนถามว่าแล้วอย่างนั้นแสดงว่าปรัญก็เคยมีความรักมาก่อนใช่ไหม อันนี้ต้องบอกเลยว่าสถิติเรื่องความรักเป็นศูนย์ ทั้งจบมาจากโรงเรียนชายล้วนแล้วยังเอาแต่สนใจความรักในหนังไม่คิดจะหาในโลกแห่งความจริง ก็เคยมีคนเข้ามาจีบแหละมั้ง เพื่อนบอกว่าอย่างนั้น

   เหมือนกับว่าเอื้อมอารัญจะพอใจแล้วเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน เขาส่งลิงก์ที่เป็นรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวห่างจากเมืองกรุงไปประมาณสองชั่วโมงมาให้ พร้อมกับเขียนบอกคร่าวๆ ว่าอยากจะไปทำอะไรบ้าง

   เปิดรูปดูแค่ผ่านตาเพราะเชื่อว่าเดี๋ยวไปเจอของจริงทีเดียวง่ายกว่า อันที่สนใจอ่านจริงคือกิจกรรมที่บอกว่าสามารถจะทำได้ข้างใน เดี๋ยวนี้แหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติหลายแห่งก็เริ่มปรับตัวด้วยการสร้างจุดขายอื่นควบคู่ไปด้วย ที่น่ากังวลคือมันจะพาปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อมตามมานี่สิ

   จากลิงก์พอย้อนกลับมาแล้วจะเจอกับหน้าแรกของเฟซบุ๊ก เขากดลากหน้าต่างลงให้มันโหลดข้อมูลใหม่ล่าสุดขึ้นมาดูว่ามีอะไรที่น่าสนใจไหม โพสต์แรกเป็นการแชร์ข่าวที่กำลังฮือฮากันบนโลกออนไลน์ ส่วนต่อมาคือวีดีโอสอนทำอาหารที่เหมือนว่าจะง่ายแต่ลองทำแล้วไม่เคยสำเร็จ

   และที่อยู่ถัดมาคือการอัปภาพพร้อมแคปชันสั้นๆ จากเอื้อมอารัญ

   U Arun
   ฝากตัวด้วยนะ

   รูปถ่ายแนบคือตุ๊กตาตัวเดิมแต่พื้นหลังเปลี่ยนไป มันถูกแขวนเอาไว้กับกล่องไม้สี่เหลี่ยมที่เก็บเครื่องสายขนาดสี่ทับสี่เอาไว้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างขัดตาละไม่มีความเข้ากันเลยสักนิด

   กดเข้าไปตรงส่วนคอมเมนต์ตั้งใจว่าจะแซว มันมีเพียงหนึ่งข้อความที่ปรากฎขึ้นก่อนหน้า

   ตัวนี้ชื่อ RUN หรือเปล่า ; P

   ภาพตัวแทนเป็นรูปคู่ชายหญิงที่เพิ่งเจอกันเมื่อช่วงบ่าย ไม่ได้กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม มองในแง่ดีว่าเรื่องของพวกเขาคงจบสวยอยู่ถึงยังคุยเล่นหยอกล้อกันได้แม้กระทั่งบนโลกออนไลน์

   ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอารมณ์อยากคุยโต้ตอบถึงได้หายไปดื้อๆ ปรัญกดออกจากแอปแล้วเปลี่ยนไปเข้าทวิตเตอร์แทน ตัวเลขการแจ้งเตือนว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหวบ้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับคนที่กำลังศึกษาและเรียนรู้กลไกการทำงานของตลาดออนไลน์

   กว่าจะกดปุ่มกลับสู่หน้าโฮมก็กินเวลาเกือบชั่วโมง ทั้งคุยเล่นโต้ตอบกับผู้ติดตามแล้วก็ท่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย ตอนแรกว่าจะนอนเลยแต่คิดไปคิดมาแล้วกลับไปเช็กอะไรหน่อยดีกว่า

   พิมพ์ชื่อบัญชีผู้ใช้ตรงช่องการหา มันพาเขาไปยังหน้าหลักที่มีรูปโคเวอร์เป็นภาพโน้ตดนตรีหนึ่งบรรทัดแต่ไม่มีส่วนบ่งบอกว่ามันมาจากบทเพลงใด ส่วนรูปตัวแทนเป็นเอื้อมกำลังขยับยิ้มจางจนแทบไม่เห็นรอยบุ๋ม บอกไม่ได้ว่าถ่ายจากที่ไหนเพราะเล่นเบลอหลังเสียขนาดนั้น

   เมื่อไม่มีการอัปเดตอะไรเพิ่มเติมภาพเคสไวโอลินจึงยังเป็นโพสต์ล่าสุด มีการเพิ่มเติมจากครั้งสุดท้ายที่เห็นคือเอื้อมอารัญเข้าไปตอบในรีพลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   แน่อยู่แล้ว

   ก็เลยไปกด Love ให้เสียหน่อย


***
   อากาศจะหนาวได้อีกสักกี่วันนะคะ... คิดว่าการย้ำว่าไม่ต้องระแวงน่าจะทำให้ยิ่งกลัวกันไปกว่าเดิม (ฮา) เรื่องนี้สัญญาว่าไม่หนักเท่าสองเรื่องยาวที่ผ่านมาจริงๆ ค่ะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × เจ็ด [15.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 15-04-2018 20:52:24
เจ็ด
 
   ตามโปรแกรมการท่องเที่ยวที่ผ่านมาในชีวิตของปรัญจะเป็นแนวการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าชัดเจน ไม่ถึงกับกำหนดช่วงเวลาแต่ต้องบอกได้ว่าจบจากที่นี่แล้วจะไปต่อที่ไหน มีแผนสำรองเอาไว้พร้อมเผื่อสำหรับเรื่องไม่คาดคิด

   "ก็ไปน้ำตกก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันต่อ"

   มันเป็นคำบอกเล่าที่ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าการอธิบายสโคปการเที่ยวได้หรือไม่ เอื้อมอารัญกับเสื้อฮาวายสีเขียวหม่น กางเกงขาสั้นพร้อมกับรองเท้าแตะเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ คือเห็นในแวบแรกก็บอกได้เลยว่ากำลังจะเดินทางไปสักที่ที่ไม่ใช่การเข้าห้องเรียน

   "อย่างนั้นก็ได้"

   "เราเข้าไปซื้อน้ำก่อนนะ ปันเอาอะไรไหม"

   แวะตรงปั๊มใหญ่สุดท้ายก่อนออกจากตัวเมือง เขาว่าจะเดินไปซื้อของทานเล่นในร้านสะดวกซื้อหน่อย ระหว่างทางจะได้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป

   ส่วนเอื้อมอารัญชี้ไปตรงป้ายชื่อร้านกาแฟที่รสชาติไม่เหมือนกันสักสาขา นี่ก็เป็นพวกเสพติดเครื่องดื่มจนขาดไม่ได้สินะ

   "ระวังไม่ได้อย่างที่หวังล่ะ" ขู่เอาไว้ก่อน เป็นที่รู้กันในวงกว้างถึงกิตติศัพท์ฝีมือการชง "เราเอาโกโก้ร้อนนะ"

   ยังคงเป็นคนบ้าในอากาศสามสิบเอ็ดองศา เอื้อมพยักหน้ารับทราบแล้วแยกย้ายกันไปตามจุดหมาย เครื่องปรับอากาศในร้านเย็นฉ่ำจนไม่อยากจะออกมาเจอความจริง เขาหยิบตะกร้าเดินไปตรงชั้นวางขนมขบเคี้ยว กวาดเอาของที่ชอบกินสามสี่อย่างลงมาใส่ ตามด้วยการหาสิ่งที่เป็นลิสต์ออเดอร์ของคนขับอย่างโอริโอ้กับเอ็มแอนด์เอ็มถุงฟ้า

   เหมือนว่าวันก่อนมีคนบ่นอยากกินช็อกโกแลตเลยหยิบแบบดาร์กออกมาสองแท่ง มีลูกอมดับกลิ่นปากอีกกล่องและเกือบได้ป๊อกกี้มาเพิ่มถ้าไม่ถูกเบรกเสียก่อน

   "นี่กินกันแค่สองชั่วโมงนะ"

   "เผื่อขากลับด้วยไง"

   มันเป็นการตอบที่ไม่ค่อยเมกเซ้นส์เท่าไหร่ แต่ว่าหยิบลงมาขนาดนี้แล้วมันอาจจะเก็บไปกินได้ถึงทริปหน้าเลยด้วยซ้ำ

   "ไม่ต้องซื้อเยอะหรอก เดี๋ยวไปที่นั่นก็มีของขาย" คงหมายถึงร้านอาหารริมน้ำตกตามรีวิว

   "งั้นเท่านี้พอ มีอะไรอยากได้เพิ่มไหม"

   เอื้อมอารัญส่ายหัวไปมา "ไม่เอาแล้ว ขับรถไม่มีเวลากินหรอก"

   "เดี๋ยวบริการให้" เสนอทางเลือกเสริม ตั้งใจแน่วว่าจะต้องลากเข้ามาร่วมหัวจมท้ายกันให้ได้ "รับรองว่าไม่ลำบาก"

   ส่งแบงก์สีม่วงไปให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ ตอนรอเงินทอนเลยเพิ่งมีเวลาสังเกตว่าในมือของคนอยากเที่ยวมีแก้วพลาสติกและแก้วกระดาษถืออยู่คนละฝั่ง

   "ร้อนไหม ส่งมานี่" ถือวิสาสะคว้ามาไว้กับตัวเอง จากที่มือหนึ่งถือถุงใส่ของแล้วควรจะเหลืออีกข้างไว้สำหรับรับเงินทอนเลยลำบากให้คนเพิ่งมือว่างรับแทน

   "ไม่ร้อนนะ คิดว่าข้างหนึ่งร้อนข้างหนึ่งเย็นจะได้กลายเป็นอุ่น"

   นั่นมันวิธีคิดที่เกินขอบจำกัดของวิทยาศาสตร์เกินไปหน่อยไหม พอกลับขึ้นมาบนรถสิ่งแรกที่ต้องทำคือการตั้งค่าแผนที่ เอื้อมก้มหน้าตรวจสอบความถูกต้องของโลเคชันอีกครั้ง ตั้งมันเอาไว้บนที่ยึดโทรศัพท์ทางซ้ายของพวงมาลัยและเริ่มการเดินทางที่แท้จริง

   "ล่ะเป็นไง ชาเขียวปั่น"

   "เหอะ น้ำเปล่า"

   "บอกแล้ว"

   "ล่ะช็อกโกแลตเป็นไง เราเถียงกับคนสั่งเรื่องช็อกโกแลตกับโกโก้ด้วย แต่เขาบอกมีแค่นี้"

   หนึ่งในปัญหาโลกแตกที่ปรัญเจอยามสั่ง เขาเข้าใจแหละว่ามันก็มาจากต้นโกโก้เหมือนกัน แต่ว่ารสชาติมันไม่เหมือนนี่นา

   "ยังร้อนอยู่ ไม่ได้ลองเลย" ให้มันเข้าไปลวกปากคงไม่ใช่จุดเริ่มต้นการเดินทางที่ดีเท่าไหร่ "เหมือนว่าจะมีการแยกเอาไขมันออกระหว่างกรรมวิธีการผลิต ประมาณนั้น"

   ก็ช่วงที่รู้ว่ามีสิทธิเข้าศึกษาต่อในโครงการแล้วนั่นแหละ มันเลยมีเวลาว่างพอสำหรับการเอนจอยชีวิต ทั้งดูหนังมาราธอนแล้วก็เอ้อระเหยตามใจอยาก เคยไปสั่งแล้วเจอพนักงานตอบกวนส้นเท้ากลับมาเลยเปิดอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลเอาตรงนั้นเลย

   มันจะมีขั้นตอนหนึ่งที่รีดเอาไขมันออกจากตัวโกโก้แบบเหลว คือถ้าเอาออกก็จะกลายเป็นโกโก้ ส่วนถ้าไม่เอาออกก็จะกลายเป็นช็อกโกแลต เป็นความรู้ทั่วไปที่รู้ก็ดีไม่รู้ก็ได้ และเพราะว่ามีส่วนประกอบที่ไม่เหมือนกันนี่แหละบางคนเลยบอกว่าวิธีการแยกชนิดเวลามันเป็นแท่งของแข็งคือให้ลองหักแล้วเสียงจะต่างกัน

   "เราเคยโดนบ่นเรื่องที่เอาแต่กินชาเขียวปั่นด้วยแหละ"

   "ตอนนี้มีเราเป็นคู่หูชาเขียวโกโก้แล้วไง"

   "โคตรไม่เข้ากันเลย" น้ำเสียงร่าเริงสดใสแบบที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก เอื้อมอารัญยังมองแต่ถนนตรงหน้าไม่วอกแวก ปันวางแก้วกระดาษที่มีข้อความเขียนว่าระวังเครื่องดื่มมีความร้อนเอาไว้ตรงที่เก็บข้างตัว รื้อหาของทานเล่นในถุงแทน

   "พูดถึงเรื่องโกโก้ร้อน รู้ไหมว่าเคยมีคดีแปลกๆ เช่นฟ้องร้องเรื่องที่กาแฟร้อนไป หรือว่าฝาที่ใช้ปิดมันไม่แน่นพอด้วยแหละ"
ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ปรัญก็จะเล่าเรื่องที่ต่อยอดจากการหาข้อมูลเกี่ยวกับโกโก้ให้ฟัง

   "ไม่เคยรู้ มีด้วยเหรอ"

   ดูท่าแล้วจะเป็นพวกมนุษย์เมืองร้อนที่แท้จริง ถ้าลองสังเกตดูตามแก้วบรรจุเครื่องดื่มร้อนของร้านที่มีชื่อเสียงหน่อยมันจะมีข้อความที่เขียนเตือนให้ระวังเรื่องอุณหภูมิที่สูง เห็นเขาว่ามันเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันเรื่องการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ

   "อืม มีผู้หญิงแก่เคยฟ้องแมกโดนัลล์เพราะว่าไม่ยอมเตือนเรื่องที่กาแฟมันร้อนไป แบบว่าเปิดฝาจะเทน้ำตาลแล้วทำหกใส่ตัว ทีนี้มันมีดาเมจเยอะมาก พอแจ้งไปทางแมกก็รับผิดชอบแค่นิดเดียวก็เลยฟ้องศาลจนชนะ"

   "เห..."

   "ทีนี้พวกบริษัทใหญ่ๆ ก็เลยต้องพิมพ์เตือนเอาไว้ เผื่อเป็นข้อต่อสู้ว่าก็นี่ไงเตือนแล้ว ไม่ระวังเอง"

   "แปลกดี"

   "เป็นบริษัทพวกนี้ก็น่าปวดหัวอยู่หรอก มีคนเคยฟ้องเรื่องที่ใส่น้ำแข็งเยอะไปด้วยนะ"

   ฉีกถุงโอรีโอ้ออก หยิบหนึ่งชิ้นยื่นไปให้ชิดกับริมฝีปากคนขับ เอื้อมอ้าปากเตรียมงับแล้วในจังหวะแรกแต่พอหลุบตาลงมาเห็นก็รีบหดศีรษะกลับ "เอาไส้ออกให้ก่อน มันหวาน"

   นี่ก็กลัวหวานทุกประเภทเลยแฮะ

   ทำตามคำสั่งไม่มีบกพร่อง ไม่อยากให้มันต้องทิ้งเสียเปล่าเลยยัดเข้าปากตัวเองแทน เกิดความคิดแผลงๆ อย่างเช่นอยากจะลองเอาครีมไปจุ่มกับน้ำช็อกโกแลตแต่ใจก็ไม่อยากเสี่ยงเจออันตรายอย่างผู้หญิงแก่รายนั้น

   ประกอบกับนึกขึ้นได้ว่าคงปล่อยให้ความร้อนได้ระบายออกไปพอสมควรแล้ว เคลื่อนมือออกไปคว้ามันเอามาถือไว้แล้วลองชิมมันเป็นครั้งแรก รู้สึกดีที่เตรียมใจเอาไว้แล้วเลยไม่ค่อยผิดหวังกับมันมากเท่าไหร่ เอาเป็นว่าอยู่ในเกณฑ์กินได้แต่คงไม่กลับมาซื้อซ้ำ

   จากตัวเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลมากอยู่แล้วพอไปผสมกับความหวานของครีมที่ทานเข้าไปก่อนหน้ามันก็ยิ่งเอียนไปใหญ่ เสียดายที่เมื่อกี้ไม่ได้ซื้อน้ำเปล่าติดมาด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ยังพอมีอะไรให้กลั้วปาก

   "ปันนี่เคยทะเลาะกับคนอื่นบ้างไหม"

   นึกตามสักครู่ก่อนตอบ "ไม่ค่อยนะ"

   ทั้งรู้สึกเสียดายเวลาแล้วก็เสียดายความรู้สึก สู้เอาไปทำอย่างอื่นน่าจะมีประโยชน์และประเทืองปัญญามากกว่า

   "ถึงว่า..."

   "ทำไม?"

   "ก็ปันไม่เคยขัดใจเราเลยอะ" เสียงกำกับเส้นทางจากโทรศัพท์เตือนว่าจะต้องเลี้ยวออกเลนนอกในอีกสองร้อยเมตร "เลยคิดว่าต้องเป็นจำพวกคนที่ยอมก่อนแน่ๆ"

   มันก็จริงอย่างที่มีข้อสังเกต หมายถึงเรื่องที่เขาไม่ค่อยทำตัวเป็นเรือขวางคลอง ยอมเดินตามเส้นทางที่มีคนกำกับเอาไว้แล้ว มันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาอยู่แล้วด้วยแหละ ในสายตาของคนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยากถ้าทางไหนทำให้เรื่องมันไปสู่ปลายทางได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อก็จะเลือกทางนั้น

   "ก็แค่ไม่ได้มีความคิดเห็นเรื่องไหนที่ชัดเจนน่ะ"

   "อย่างฮิวชอบบอกว่าเราเรื่องมาก"

   เอื้อมอารัญรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาก่อน

   "ก็ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย" บอกในมุมที่ตัวเองมอง ยังไม่ลืมหน้าที่คนแกะขนมและป้อนเข้าปาก

   "ชื่อนักบุญปันนี่ไม่ได้พูดกันเล่นสินะ"

   "รู้?"

   "เข้าเฟซไปก็เจอแล้ว เพื่อนปันชอบทักอย่างนี้อะ"

   อย่างที่บอกว่าโลกของปรัญมักจะอยู่ในทวิตเตอร์ จะเข้ามาตรวจสอบพอเป็นพิธีหรือไม่ก็มาตอบข้อความที่เพื่อนทักหน้าวอล มันก็เหมือนกับการล้อชื่อพ่อแม่ แค่เปลี่ยนมาเรียกฉายาที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาแทน

   "มันก็พูดเว่อร์" เขาว่าตัวเองก็มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง แค่ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้

   "แต่เราเห็นด้วยนะ ปันใจดีจริงๆ นั่นแหละ"

   "..."

   "จนบางทีก็คิดเหมือนกันว่าที่ปันดีกับเราเพราะแค่สงสาร"

   ปรัญชักจะเกลียดนิสัยของตัวเองก็ตอนนี้แหละ
 


   "เออ เราว่าจะถามอยู่ ตลาดมันเปิดวันธรรมดาใช่ไหม"

   จากป้ายบอกทางดูเหมือนว่าเราจะเข้าใกล้จุดหมายแล้ว มันเป็นเรื่องที่เขาเพิ่งสะกิดใจตอนเปิดอ่านข้อมูลในโทรศัพท์อีกครั้ง เพราะว่านอกจากกิจกรรมข้างในแล้วมันไม่มีรายละเอียดในส่วนของวันและเวลาเปิดทำการเลย

   "...ไม่รู้แฮะ"

   "เอื้อม" ไม่ได้อยากเรียกชื่อเสียงหน่าย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นการตอบที่ค่อนข้างจะกำปั้นทุบดินเกินไปหน่อย "จริงจังไหมเนี่ย"

   เพราะทุกครั้งวางใจให้เป็นคนจัดการ โดยที่ลืมไปว่ามันเป็นการแวะทานอาหารไม่ได้ออกมาท่องเที่ยวต่างจังหวัดเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ทำไมชักจะสัมผัสได้ถึงแววผิดหวังมาแต่ไกลเลย

   "แต่มันเป็นน้ำตกนะ ตลาดไม่เปิดก็น่าจะไปให้ปลากัดเท้าได้อยู่แหละ"

   กิจกรรมที่เอื้อมอารัญเล่าซ้ำมาเป็นสิบรอบได้แล้ว เขาบอกว่าเคยไปทำสปาปลามาตอนที่มันบูมใหม่ๆ แล้วผิดหวังกับการบริการมาก คราวนี้ตั้งใจว่าจะต้องได้แก้มือกับปลาที่อยู่ในธรรมชาติให้ได้

   สำหรับปรัญส่วนที่อยากจะทำคือการได้นั่งมองสายน้ำไหลไปตามเส้นการเดินทาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

   เป็นไงล่ะทริปสบายๆ ได้เจอกับธรรมชาติ เดี๋ยวรอดูเลย

   "มีเบอร์ไหม ลองโทรไปเช็กก่อนเถอะ"
   
   "แต่เห็นป้ายทางเข้าตลาดแล้วนะ" ชี้ไปตรงป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่ที่อยู่ทางริมถนนทางซ้าย "ไม่ต้องหรอก วัดดวงเอา"

   ถ้าคนขับต้องการอย่างนั้นก็จะไม่ขัด คนอยากนั่งมองน้ำไหลเอื่อยหันหน้าออกไปทางด้านนอกหน้าต่างรออ่านข้อความยินดีต้อนรับที่ติดห่างกันเป็นระยะ ตอนแรกมันก็มีแต่ชื่อของตลาดแล้วก็บอกจำนวนกิโลเมตรที่ยังต้องเดินทางต่อ แต่พอใกล้เข้าไปเรื่อยๆ มันก็มีข้อความที่เปลี่ยนไป

   "มันเขียนว่าเปิดแค่เสาร์อาทิตย์อะเอื้อม"

   "อือออ เห็นแล้ว" ไม่ต้องเห็นหน้ายังรู้เลยว่าต้องงอแงอยู่แน่ "ส่วนอื่นก็น่าจะเปิดแหละ"

   เจอเรื่องประทับใจแรกเข้าไปก็ไม่อยากให้ความหวังอีก เครื่องยนต์ห้าประตูยังคงเคลื่อนตัวตามเส้นทางไม่มีพัก จนกระทั่งเจอกับเรื่องจริงที่ไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่

   "พูดเป็นเล่น ปิดตั้งแต่ทางเข้าเลยเนี่ยนะ"

   มองป้ายที่เขียนชื่อน้ำตกสลับกับรั้วเหล็กที่ปิดเอาไว้สนิท เรียกได้ว่าไม่เกินความคาดหมายเหมือนกับตอนชิมเครื่องดื่มร้อนของตัวเอง

   "เขาก็คงขี้เกียจดูแลทุกวันล่ะมั้ง"

   "มันเป็นแหล่งศึกษาตามธรรมชาติ!"

   เข้าสู่โหมดคุณเอื้อมแล้วสินะ...

   "จะลองแงะรั้วเข้าไปไหมล่ะ แต่ว่ายามสี่ขาตัวนั้นน่าจะไม่ปลื้ม" ผายมือไปทางสุนัขตัวโตหลังรั้วที่ตั้งการ์ดสังเกตการมาทางนี้สักพักแล้ว "หรืออย่างน้อยลงไปเหยียบให้รู้ว่าถึงแล้วก็ได้นะ"

   "ไม่เอา!"

   "งั้นก็ต้องมาสุมหัวเลือกแผนสำรอง"

   หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเตรียมหาข้อมูลท่องเที่ยวใกล้เคียง และคำว่า No Service ตรงมุมซ้ายบนมันก็เป็นตัวขัดขวางไปในตัว
สัญญาณจะไม่ครอบคลุมอะไรได้เท่านี้ เสียเงินเดือนหนึ่งก็เยอะอยู่นะ

   "มือถือเอื้อมมีสัญญาณไหม ของเราไม่มีเลย"

   "มีหลายขีดอยู่ ปันเอาไปลองหาเลย"

   เรียกว่าอารมณ์เหวี่ยงได้ที่ เขารับเอาโทรศัพท์ที่ทำการปลดล็อกหน้าจอเป็นที่เรียบร้อยแล้วมาเปิดหาเว็บเบราว์เซอร์ ภาพที่ใช้เป็นพื้นหลังตอนนี้คือรูปกล่องไวโอลินที่มีตุ๊กตาสีขาวตัวกลมห้อยเอาไว้อยู่ เอื้อมเป็นคนที่ถ่ายภาพสวยจริงๆ นั่นแหละ

   "มีทะเล สนไหม"

   "ก็ได้ ตั้งแผนที่เลย"

   จัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ มองทิวทัศน์ข้างทางพร้อมฟังเสียงบ่นไปด้วย

   "ปกติเอื้อมไปทะเลบ่อยไหม" จะไปที่ไหนก็ควรจะหาเรื่องคุยให้เข้ากับบรรยากาศ ปรัญเคยไปเกาะล้านกับชาวแก๊งก์ตอนมัธยมปลาย คิดถูกที่เชื่อคำกล่าวว่าจงนัดเพื่อนเที่ยวให้ได้ตอนมัธยม เพราะว่าเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อไหร่การเจอกันให้ครบกลุ่มเป็นเรื่องยากมาก "เราไม่ได้มาเป็นปีแล้วมั้ง"

   "เคยแบบ จอดเทียบข้างทางแล้วก็เปิดหน้าต่างให้อากาศเค็มๆ เข้ามา อันนั้นนับไหม"

   "อืม...นับก็ได้มั้ง"

   "เบื่อเลยขับไปเรื่อยๆ ไปโผล่หัวหินเฉย"

   นั่นเรียกว่าเรื่อยๆ ได้เหรอ

   "จะว่าไปแล้วอยากไปเชียงใหม่อะ"

   จากหัวหิน ตอนนี้ขึ้นเหนือสู่เชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อย จะว่าไปแล้วเขาไปเชียงใหม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ เหมือนจะเด็กอยู่พอควรมั้ง นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ตอนกลางคืนเพื่อให้ถึงเช้ามืด ส่วนไปที่ไหนบ้างลืมหมดแล้ว

   "ไปไหมล่ะ" ยื่นข้อเสนอที่เหมือนการพลั้งปากออกไป

   "ขอคิดก่อน ..ไหนป้ายบึกเตียนเนี่ย"

   มองซ้ายขวาหาทางเข้า จากสามแยกมันเขียนว่าให้เลี้ยวมาทางซ้ายประมาณหนึ่งกิโลเมตร แต่นี่คิดว่าเข้ากิโลเมตรที่สามแล้วนะ

   "ไม่เห็นนะ หรือว่าจะเลยแล้ว" ดูตามแผนที่มันก็ห่างจากจุดปักพอสมควร "อ้อมกลับไหม หรือไง"

   ชักจะหัวเสียกับความผิดแผนทุกจังหวะในการเดินทาง วันนี้เป็นวันดวงดาวร้ายเข้าแทรกหรือเปล่า นี่คือจะไปเหยียบทะเลยังหาหาดไม่เจอเลย

   "ไม่ล่ะ เดี๋ยวแวะหาดหน้าเลยแล้วกัน"

   เป็นการเที่ยวแบบถึงเวลาค่อยว่ากันต่ออย่างแท้จริง เอื้อมเลี้ยวเข้าถนนทางขวา จากสองข้างทางที่มีแต่พื้นที่สีเขียวก็เริ่มเห็นตึกคอนกรีตขึ้นเรียงราย ที่เห็นอยู่สุดทางเวลานี้คือพื้นน้ำทอดยาวไปไกล มีรถยนต์จอดเรียงกันประปรายตามริมถนนและลานจอดใกล้เคียง

   หาที่จอดใต้ร่มไม้ ดับเครื่องพร้อมลงไปสัมผัสกับพื้นทรายหลังจากที่ต้องนั่งหุบขาอยู่บนรถเป็นเวลานาน ลมแรกปะทะไม่ค่อยให้ความรู้สึกของชายหาด คือมันก็ดูเหนียวแต่ว่าไม่ได้ให้กลิ่นไอทะเล เจ้าของแผนการเดินทางเดินข้ามจากฝั่งพื้นยางมะตอยลงไปหาธรรมชาติ ตามมาด้วยตัวเขาเองที่ขยับเข้าไปใกล้ตาม

   สูดลมหายใจเข้าไปลึก เสียงคลื่นและสายลมอันเป็นเอกลักษณ์ทักทายการมาถึงสมกับเป็นเจ้าบ้านที่ดี แสงแดดในเวลาเกือบเที่ยงเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าคงไม่มีการเดินลงไปสัมผัสพื้นน้ำ นับถือใจกลุ่มเด็กที่กำลังเล่นน้ำอยู่ไม่ไกลจากริมหาดชะมัด

   คนน้อย ขยะแทบไม่เห็น มันเงียบสงบต่างจากการเดินทางมาทะเลครั้งหลังสุด แต่ก็นะ เวลาเที่ยงในวันธรรมดาไม่ใช่ช่วงเวลาการพักผ่อนของคนทั่วไป

   "เหยียบทรายแค่นี้ก็พอแล้วเนอะ"

   "นั่นสิ"

   จากเมื่อก่อนที่เคยมองว่าการเที่ยวหนึ่งครั้งต้องเต็มไปด้วยกิจกรรมสารพัด ตอนนี้เขาแค่ยืนเฉยๆ ทอดสายตามองท้องฟ้าและแผ่นน้ำก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว

   ทำตัวเหมือนคนแก่ที่ผ่านโลกมาเยอะแล้วเลย

   "ลองหาร้านอาหารกินกันไหมปัน มาถึงริมหาดทั้งที"

   "ไก่ย่างกับส้มตำน่ะเหรอ"

   อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมีเมนูตายตัวแค่นี้ แล้วรถเข็นที่ขายอยู่รอบตัวเขาก็มีแค่นั้นด้วยนะ

   "กินอาหารทะเลสิ เดี๋ยวดูรีวิวก่อน"

   เอื้อมและแอปรีวิวเป็นของคู่กัน นี่จะไม่แปลกใจเลยวันหนึ่งไปโผล่ในชื่อของกลุ่มคนพัฒนาแอปพลิเคชันหรือไม่ก็สร้างแพลทฟอร์มเป็นของตัวเอง

   "มีทางนั้น เลี้ยวไปสองร้อยเมตร น่าจะโอเคอยู่"

   ถ้าเป็นเรื่องของกินแล้วค่อนข้างให้ความเชื่อมั่นกับเซ้นส์ในการเลือก มีบ้างที่มันไม่ถูกปากแต่โดยภาพรวมคือดีมากกว่าเสีย ส่วนคราวนี้จะออกหัวหรือก้อยก็คงต้องเป็นเรื่องที่ติดตามกันต่อไป

   ตกลงกันว่าเดินไปหาร้านดีกว่าการขับรถ ผู้ชายวัยมหาลัยสองคนเลยต้องตากแดดเลาะไปตามริมถนนเพื่อสืบเสาะหาร้านที่มีชื่อตามบอก  ระยะทางที่แจ้งไว้ในแผนที่กับความเป็นจริงยังสอดคล้องกันอยู่เลยหาเจอได้ไม่ยาก มันก็เหมือนกับร้านอาหารริมทะเลทั่วไปที่ไม่ได้ตกแต่งให้สวยงาม มีหลังคาพอให้กันแดดกันฝนได้ โต๊ะทำจากไม้ไผ่หรือไม่ก็ม้าหินอ่อน มีลูกค้าในยามบ่ายเพียงแค่สองโต๊ะ

   เป็นพวกนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด เท่ากับว่าทั้งร้านมีแค่พวกเขาที่เป็นลูกค้าคนไทย เสียงพนักงานบอกว่าเลือกที่นั่งได้ตามสะดวกไล่หลังมา เอื้อมลังเลระหว่างโต๊ะไม้ไผ่ตัวในกับม้าหินเกือบพ้นส่วนกันแดด เขาเลยเสนอว่านั่งข้างนอกน่าจะได้บรรยากาศริมทะเลกว่า

   แผ่นกระดาษเคลือบพลาสติกพิมพ์คำว่าเมนูตัวใหญ่วางลงตรงหน้าทันทีที่หย่อนตัวนั่ง เขาชะเง้อหน้าไปมองป้ายกระดาษแข็งที่เขียนว่าวันนี้มีเมนูพิเศษคือกั้งในราคาพิเศษ กลับมาพนันกับตัวเองว่าคุณเอื้อมจะต้องสั่งแน่นอน

   "เอาเป็นปลากะพงทอดน้ำปลา ต้มยำทะเล แล้วก็กั้งทอดกระเทียมครับ"

   ผิดจากที่บอกไหมล่ะ

   "ที่จริงเขาบอกว่ากุ้งอบวุ้นเส้นก็โอเค..." รายการอาหารน่าจะส่งไปถึงครัวแล้วแต่เอื้อมอารัญก็ยังเปิดดูข้อคิดเห็นในมือถืออยู่ดี "ถ้าเพิ่มอีกอย่างคิดว่าจะกินหมดไหม"

   เพื่อสุขภาพของตัวเองแล้วแย้งน่าจะดีที่สุด "เท่านี้ก่อนแหละ ขนมก็ยังไม่หมด"

   "ก็ได้ ...แต่ทะเลที่นี่สะอาดเนอะ"

   พยักหน้าเห็นด้วย ที่ผ่านมาพอพูดถึงทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วหมายถึงปริมาณผู้คนมหาศาล ขยะเกลื่อนกลาด แล้วก็น้ำทะเลสีขุ่น

   "ตลกอะ มาทะเลเพื่อหาร้านกินข้าว"

   "ก็ดีกว่าเปิดหน้าต่างไปทักทายอย่างเดียวไหมล่ะ"

   ปรัญเอนหลังพิงกับเก้าอี้ ปล่อยท่านั่งตามสบายให้สมกับเป็นการมาพักผ่อน ลมทะเลพัดพาอากาศที่หาไม่ได้ในเมืองกรุงมาให้ไม่มีหยุด ปล่อยสายตาให้หลุดจากการจับจ้องบางสิ่ง ถือว่าเป็นการปล่อยให้ทั้งนัยน์ตาและสมองได้ลดการทำงานไปพร้อมกัน

   "โอ๊ะ!"

   สะดุ้งโหยงตอนมีสัมผัสแปลกปลอมบางอย่างคลอเคลียตรงช่วงขา เขารีบมองหาตัวการใต้ที่นั่งเพื่อพบกับเจ้าแมวสีขาวขนสั้นตัวหนึ่งกำลังเยื้องย่างอยู่รอบๆ ไม่ไปไหน หางของมันเข้มปลายแล้วไล่สีขึ้นมาจนถึงโคน ท่าทางจะคุ้นชินกับคนมากเลยเงยหน้าขึ้นมาหาวใส่ไปที

   "อะไรเหรอ"

   "แมวน่ะ"

   ไม่กล้าจู่โจมเข้าไปจับ ลองเชิงดูสักพักด้วยการส่งมือไปให้ เมื่อไม่มีอาการหลบหนีหรือถอยหลังเลยเปลี่ยนไปเขี่ยตรงกลางหน้าผาก ตาแมวสีขาวมุกค่อนไปทางเทาแปลกตากว่าที่เคยพบเจอ "สีตาสวยด้วยนะ"

   "ไหน"

   เอื้อมถามเสียงสดใส นัยน์ตาลุกวาวพร้อมจะข้ามโต๊ะมาอีกฝั่งจนเขาต้องรีบปรามให้อ้อมมาดีๆ

   "สวยจังเลยสาวน้อย"

   "รู้ด้วยว่าเพศอะไร?" ปันรู้แค่ว่านี่คือแมวก็พอแล้ว

   "ก็ไม่มีลูกกระแป๋ง" ยังมีการชี้ไปตรงหางอีกน่ะ "ว่าไง ชื่ออะไรน่ะเรา"

   ชอบตั้งชื่อให้ทุกอย่างรอบตัวนั่นคือเอื้อมอารัญ ไวโอลินก็มี รถที่ขับมาวันนี้ก็เหมือนกัน ชื่อหลากหลายไม่มีจุดร่วมเพราะถ้าตอนนั้นคิดอะไรออกก็ตั้ง

   "แมรี่ไหม น่ารักนะ"

   แม้ว่าจะมีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าความจริงแล้วแมวเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ต้องการจะสื่อแต่มันเพียงแค่ไม่สนใจเท่านั้นเองก็ตามที คนแยกเพศของแมวไม่เป็นก็คิดว่าปล่อยให้มันเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยอิสระไม่ต้องไปทำความเข้าใจมันต่อไปก็ดีแล้ว
   
   แมวเหงามาเจอคนหงอย (จากทริปที่ผิดแผนไม่มีชิ้นดี) ดูเข้ากันได้ ปันขยับตัวออกห่างมาหน่อยเพื่อให้พวกเขาสามารถทักทายกันได้สะดวก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ให้อีกคนดูว่าตัวเองทำเสียงสองใส่สิ่งมีชีวิตขนาดไหน

   จะว่าไปคุณเอื้อมเองก็มี 'นิสัยแมวๆ' เยอะอยู่เหมือนกัน

   อาหารอยู่ในเกณฑ์โอเคมาก ประทับใจต้มยำทะเลที่น้ำเข้มข้นและใส่เครื่องมาจนแทบล้นชาม ปลาก็ตัวใหญ่ไม่ทอดจนไหม้เกินไป ส่วนกั้งเป็นเมนูเด็ดของร้านที่น่าประทับใจไม่ต่างจากการการันตีของพนักงาน คิดถูกที่ไม่สั่งกุ้งอบวุ้นเส้นเพิ่ม แค่นี้ก็ยังแน่นพอสมควร

   "ไปแล้วนะแมรี่"

   ไม่วายโบกมือลาก่อนกลับ เขาสะบัดมือไล่เศษทรายที่ไม่รู้ติดมาจากตรงไหน มองหนึ่งคนหนึ่งแมวเล่นฉากจากลากันโดยมีพี่พนักงานคนเดิมอยู่ด้านหลังเป็นตัวประกอบ

   "น่ารักอะ ตาสวย"

   "แต่ไม่ยอมให้ถ่ายดีๆ เลย"

   คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย รถที่มีระบบการเตือนเรื่องมาตรการความปลอดภัยเป็นอย่างดีพร้อมที่จะแผดเสียงสั่งให้รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ทันทีที่ล้อขยับออกจากจุดจอด นี่ทั้งสองคนงัดสารพัดวิธีมาล่อให้มองกล้องแล้วแต่แมรี่ของเอื้อมก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย

   "หมดปลาไปตั้งหลายชิ้น"

   "คราวหน้าเตรียมขนมแมวไว้สิ" เคยเห็นพวกเพื่อนบ้าแมวใช้เป็นตัวหลอกล่ออยู่ เขาว่ากันว่าแมวมักจะถูกล่อลวงด้วยของกินง่าย "รับรองเอื้อมจะฮอตขึ้นมาทันที"

   "ไว้จะไปหาข้อมูล"

   "แล้วนี่จะไปไหนต่อ" เป็นการวางแผนแบบงานต่องานมากๆ "จะกลับเลยเหรอ"

   "อืม...นั่นสิ นอยด์จนไม่อยากจะไปไหนแล้ว"

   ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ก็น่าจะเซ็งอยู่หรอก "งั้นกลับเนอะ"

   "ตามนั้น โอ๊ะ! เขาบอกตรงนั้นมีร้านขายของฝากแหละ"

   "..."

   "ปันนน" อ้อนเรียกชื่อแถมเขย่าขาอย่างนี้เหมือนแมวอย่างที่บอกไหมล่ะ "แวะกันเถอะ"

   ใครเพิ่งบอกว่าไม่อยากจะไปไหนแล้วไง


***
   สวัสดีวันสงกรานต์นะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × แปด [22.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 22-04-2018 22:12:20
แปด
 

   ยิ่งใกล้วันแสดงมากเท่าไหร่ห้องที่ปรึกษาก็มีโอกาสได้ต้อนรับเอื้อมอารัญบ่อยเท่านั้น

   "วันนี้ร้านน้ำปิดล่ะ"

   แต่ไม่ได้มาในฐานะนักศึกษาที่ขอเข้ารับบริการเลยสักครั้ง

   "เขาก็ปิดป้ายไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วนี่"

   เห็นว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ อยากจะรู้จริงว่ากำไรที่ได้จากการขายน้ำหลังจากหักลบค่าใช้จ่ายแล้วมันมากพอสำหรับการตะลอนทัวร์เลยเหรอ ถ้าดีจริงเดี๋ยวจบไปแล้วเขาจะหาเรื่องเปิดบ้าง

   พูดไปอย่างนั้น คิดว่าที่เจ้าของร้านทำได้เพราะเปิดร้านขายน้ำตามใจนี่คืองานเสริมทำเอาสนุก วัตถุดิบกับราคาไม่ได้ไปด้วยกันเลย

   "อยากกินชาเขียวปั่น"

   "เพลาๆ ลงบ้างก็ดีนะ" ไม่อย่างนั้นเจอเอื้อมที่ไหนก็จะมีแก้วชาเขียวที่นั่น

   "ไม่ได้ เสพติดไปแล้วอะ"

   "เข้าไปคุยกับอาจารย์เลยว่ามีวิธีการลดละเลิกบ้างไหม"

   ไม่ได้พูดเล่น นี่หยิบเอาแฟ้มบันทึกรายชื่อขึ้นมาแล้วจริง เอื้อมส่ายหน้าโดยพลัน เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นอย่างเป็นธรรมชาติและแนบเนียน "ช่วงนี้ปวดข้อมือมากเลย"

   "เล่นโทรศัพท์มากไป"

   ใช้คำว่าติดโทรศัพท์ขั้นหนักก็ได้ ถ้ามือข้างหนึ่งถือแก้วชาเขียวอีกข้างก็มีไว้สำหรับจับมือถือแหละ ตอนคุยกันจะตอบเร็วเสมอจนสามารถทักไปแล้วรอคำตอบได้เลย

   "เพราะซ้อมต่างหาก" คนโดนบ่นทำหน้าเซ็ง แนบหน้าลงกับหลังมือที่วางบนโต๊ะอยู่ก่อนแล้ว "เหนื่อยอะ นึกว่าเข้ามหาลัยแล้วจะไม่ต้องเล่นหนักแท้ๆ"

   นั่นไม่เกี่ยวกับการซ้อมแต่เป็นโรครักความสมบูรณ์แบบต่างหาก ถ้าได้ฟังตอนซ้อมก็จะรู้เลยว่าเขาไม่เคยปล่อยให้ท่อนไหนผิดพลาด จะเล่นซ้ำจนกว่าจะได้อย่างที่พอใจ อย่างเมื่อคืนก็เล่นแค่ไม่กี่บรรทัดวนไปมาจนเขามั่นใจว่าตอนวันจริงจะต้องจำจังหวะได้ตั้งแต่ตัวโน้ตแรก

   "เล่นวันไหน" รู้แค่ว่าจะมีการแสดง แต่ไม่เห็นเรื่องประกาศวันเวลาสักที "ต้นเดือนหน้าหรือเปล่า"

   "กลางเดือนสามมั้ง ประมาณนั้น"

   นั่นคืออีกประมาณสามสัปดาห์ได้ ปรัญผงกหัวขึ้นลงให้รู้ว่ารับทราบเรียบร้อย

   "ปันต้องมานะ"

   เขาโดนย้ำเรื่องนี้มากี่ครั้งแล้วกัน ไม่ว่าตอนไหนพอนึกขึ้นมาได้เอื้อมจะต้องหยิบมันขึ้นมาสั่งการซ้ำๆ จนอยากเปิดหน้าปฏิทินแล้วให้เขียนตัวหนาลงไปเลยว่านี่คือวันแสดงจริง

   ยกมือขึ้นสามนิ้วแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ส่งสัญญาณผ่านสายตาไปว่าให้เขยิบออกจากที่นั่งเพื่อให้คนเข้าใช้บริการได้รับความสะดวก วันนี้มีนักศึกษาเข้ามารายที่สองแล้ว สมแล้วที่กำลังเข้าใกล้ช่วงสอบกลางภาค

   จัดการทุกอย่างเช่นเดียวกับที่ได้รับการเทรนมา พอนักศึกษาเข้าไปแล้วก็ได้เวลากรอกข้อมูลเข้าระบบ ตอนที่ต้องค่อยๆ อ่านลายมือชื่อทีละตัวอักษรเพื่อป้องกันความผิดพลาดก็อดคิดเรื่องอื่นตามไปด้วยไม่ได้ จะว่าไปแล้วทำไมเอื้อมอารัญถึงหยุดการรักษาไปเสียอย่างนั้นนะ มันก็ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนี่นา

   จะให้ถามออกไปตามตรงมันก็ไม่ใช่เรื่อง ดันมองได้ทั้งสองแง่ว่าอาการป่วยฟื้นตัวมากแล้วหรือจะบอกว่าเขาคิดว่าการรักษาไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

   มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ถ้าแตะผิดจุดอาจหมายถึงการแตกสลาย

   ยังไม่ทันกดส่งบันทึกเสียงโครมครามจากด้านหลังเรียกให้เขาต้องรีบไปตามหาสาเหตุ ป้ายหน้าห้องที่กั้นขึ้นมาปรับเป็นคำว่ากำลังอยู่ระหว่างการปรึกษาตัดรายชื่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมดให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว

   "...ทำอะไรเนี่ย"

   เดินไปถามคนยืนกอดอกหน้าเคร่งเครียดอยู่หลังสุดของห้องครัว ตามองตรงไปยังอุปกรณ์หลายอย่างที่ดูแล้วคือการหยิบจับลงมาก่อนค่อยเลือกใช้ตรงแผ่นหินอ่อนข้างซิงก์น้ำ เสียงที่ได้ยินไม่พ้นแก้วสำหรับแขกคว่ำหน้าอยู่ไม่ไกล ดีนะหยิบแบบพลาสติกมา

   "สวมวิญญาณบาริสตา แต่ได้เป็นล้มเหลวไม่เป็นท่า"

   แค่เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังก็รู้แล้วว่าเขาก็ต้องเป็นคนจัดการต่อสินะ "จะทำอะไรล่ะ"

   "ไม่รู้อะ ของเยอะมากเลย"

   ในตู้ริมซ้ายสุดของห้องคือแหล่งสะสมขุมทรัพย์ชั้นดี มีตั้งแต่ชาเขียวหลายเชื้อชาติ ชาพม่า กาแฟแบบซอง และรวมไปถึงกระป๋องโกโก้ของเขาเอง นี่ก็เป็นโรคชอบซื้อมาเก็บให้อุ่นใจเหมือนกันทุกคน ได้ใช้หรือไม่เป็นประเด็นรอง เรื่องหลักคือมันต้องเต็มตลอดต่างหาก

   "ลองชาพม่าไหม แต่หวานนะ"

   เคยได้ลองอยู่ครั้งหนึ่ง มีงานใหญ่แล้วเตรียมเกินเลยเป็นภาระให้เขาจัดการ เป็นชาผสมนมที่หอมดี

   "มันไม่ต้องเพิ่มน้ำตาลเองใช่ไหม"

   "ไม่ต้อง เราไม่ค่อยอยากแนะนำโกโก้ เพราะตัวเองก็ยังไม่กล้าทำเลย" สมัยเป็นคนเห่อห้องก็อย่างนี้ ซื้อมาทั้งแก้วเซรามิกทั้งเครื่องดื่มส่วนตัว สุดท้ายกินแต่น้ำเปล่า "ชาเขียวแบบซองเอื้อมก็ไม่น่าจะชอบ"

   "เราเชื่อปันนะ"

   "ความเชื่อมันก็คือการเสี่ยงหัวก้อยเหมือนกันแหละ"

   ตอบรับพลางเดินไปเสียบปลั๊กกาต้มน้ำ มันมีตู้กดน้ำแบบที่สามารถสั่งได้ทั้งสองแบบอยู่ข้างกัน สงสัยใช้งานมานานจนน้ำที่ได้มีอุณหภูมิน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ก็เลยกลายเป็นเครื่องกดน้ำอุ่นไปแทน

   ควานหาแก้วส่วนกลางออกมาอีกใบตามด้วยช้อนอีกคัน เก็บของที่วางไว้ระเกะระกะตอนแรกให้กลับไปอยู่ตามตำแหน่งเดิม ก็เมนูนี้มันไม่ต้องทำอะไรนอกจากฉีกซอง เท แล้วก็ตามด้วยน้ำร้อน ถ้าสามารถทำให้มันผิดกว่าที่ควรจะเป็นได้คือต้องเก่งมาก

   "แล้วหยิบของคนอื่นทำเองได้อย่างนี้เลยเหรอ"

   "มันกลายเป็น 'ธรรมเนียมปฏิบัติ' ไปแล้วล่ะ" กึ่งกุศโลบายให้รู้จักแบ่งปัน นี่ไม่ได้เช็กเลยว่ามีใครหยิบผงโกโก้ของเขาไปใช้บ้าง ถ้าใกล้หมดแล้วจะได้ไปซื้อใหม่

   น้ำเดือดดีแล้ว เขาจัดการทำตามสเต็ปง่ายๆ อย่างที่ได้บอกไป ไม่ถึงสองนาทีต่อจากนั้นในมือเอื้อมอารัญก็ได้ครอบครองเครื่องดื่มที่อาจจะช่วยลดอาการเสพติดชาเขียวเฉพาะหน้าไปได้

   เดินกลับมาส่วนหน้าห้องพร้อมกัน วิธีการประคองเครื่องดื่มด้วยสองมือน่าเอ็นดู อะไรจะกลัวทำหกได้ขนาดนั้น

   "หวานจริงด้วย"

   จิบคำแรกก็บ่นเสียแล้ว ปรัญกลับไปตั้งใจกรอกข้อมูลให้ครบทั้งหมดก่อนถึงกลับมาคุยด้วยต่อ

   "แต่รสชาติโอเคใช่ไหม"

   "กลิ่นหอมดี"

   ไม่ค่อยตรงกับประเด็นที่ถาม ช่างมันเถอะ "วันนี้ซ้อมเร็วขึ้นใช่ไหม อย่าลืมล่ะ"

   ใกล้ช่วงสอบแล้วมันก็ต้องมีการผ่อนปรนกันบ้าง หมายถึงเลิกเร็วขึ้นแต่ว่าก็ต้องเริ่มก่อนเพื่อทบให้ชั่วโมงการฝึกยังเท่าเดิม วันนี้ไม่ได้ไปรอด้วย ภาพยนตร์โรแมนติกคอมมาดีรอให้เขาไปทำความรู้จักอยู่

   กลายเป็นสมาชิกของห้องออร์เคสตราไปโดยปริยาย วันไหนที่มีซ้อมและเขาไม่ต้องเดินทางออกนอกมหาวิทยาลัยมันก็จะเป็นการนั่งรอทานมื้อดึกด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไรให้ปวดหัวกับการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เคยบอกแล้วไงว่าเขาไม่ค่อยมีเพื่อนทานข้าวเย็นอยู่แล้ว

   แล้วก็อยากจะเป็นเงื่อนไขให้เอื้อมไม่ขาดซ้อม ถ้าไปตามคุมยังไงก็ไม่มีทางโดดได้ และยังเป็นจุดเซฟที่ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกด้วย

   เอื้อมอารัญเก่ง ถ้าเป็นเขาการที่ต้องเข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมอะไรบางอย่างโดยไม่มีใครให้ความสำคัญแล้วมันต้องเป็นสังคมที่น่ากระอักกระอ่วน แต่กับครายวูลฟ์แล้วนั้นเขาสามารถมาถึงเพื่อซ้อมอย่างเดียว เมื่อหมดเวลาก็เดินออกมาไม่เคยมีการไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มนี้ต่อ

   "ไม่อยากซ้อมเลย...ไม่มีชาเขียวเสริมแรงด้วย"

   "ก็ได้กินชาพม่าแล้วไง"

   "วันนี้ไม่ไปดูหนังได้ไหม"

   เวลาเด็กทารกรู้ว่าการร้องไห้จะทำให้มีคนปลอบก็จะร้องเพื่อเรียกความสนใจ นักไวโอลินคนนี้ก็ไม่ต่างกันเลย

   "ไม่ได้ มีบัตรแล้ว" การไม่ไปคือการเสียมารยาทขั้นสุด "ก็ซ้อมเหมือนทุกวันไง"

   "แต่วันนี้ปวดข้อมือ" มีการยกแขนขึ้นมาแกว่งประกอบด้วย

   ตกอยู่ในสภาวะที่ตอบแบบไหนก็เหมือนจะมีแต่ข้อเสีย ไม่สามารถสิงร่างเพื่อวัดระดับอาการได้ด้วยสิ

   "บอกฮิวว่าลาซ้อมดีไหม"

   ถ้าใจไม่มีแล้วจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องยาก ปันเชื่อว่าอาการบาดเจ็บที่บอกเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วเมื่อเทียบกับนิสัยช่างซ้อมจะกว่ามันจะออกมาดีที่สุด สิ่งที่ยากคือสำหรับคนอื่นจะเชื่อหรือเปล่านี่สิ เอื้อมอารัญยิ่งเป็นนักโกหกในสายตาของทุกคนอยู่ด้วย

   "ก็จะได้โดนโทรไปเช็กอาการกับแม่อีกน่ะสิ" เบะปากมองบน เรื่องนี้เอื้อมก็รู้เหรอ "บอกไปก็โดนคิดว่าโกหกทั้งหมด แล้วก็ชอบไปพูดแบบผิดๆ ให้แม่ฟัง"

   เข้าใจทั้งสองฝ่าย หนึ่งไม่เชื่อและอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต้องการให้เชื่อ

   "งั้นเอามือมา"

   แบมือยื่นออกไปเกือบสุดแขน คนบ่นปวดแขนทำหน้างงใส่แต่ก็ยอมวางทับมาโดยดี

   บรรจงกดไล่ไปตามฝ่ามือ จับได้ถึงก้อนผังผืดช่วงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ มั่นใจได้ว่ามันเป็นจุดที่มีอาการบาดเจ็บยามกดแรงลงไปมากกว่าปกติแล้วอีกฝ่ายถึงร้องลั่น เดี๋ยวนี้คนเป็นเยอะเพราะว่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์ทั้งวัน นี่คิดว่ายังดีไม่ถึงขั้นนิ้วล็อก

   "ต้องเล่นมือถือน้อยลงนะ เริ่มเป็นก้อนแล้ว"

   "เจ็บ อย่าลงแรงเยอะสิ"

   "ไม่เจ็บแล้วจะหายได้ยังไง" ปากบ่น ส่วนมือก็ยอมผ่อนแรงลง ก็ไม่อยากจะเห็นคนทำหน้าเบี้ยวนี่นา "ตรงข้อมือด้วยใช่ไหม"

   ใช้การคลำเอาตามที่คิดว่าน่าจะถูกหลัก เคยไปร้านนวดกับคุณแม่หลายรอบจนพอจำคร่าวๆ ได้ จากฝ่ามือไล่ลงไปตรงข้อมือเจ้าปัญหา มันเป็นส่วนกระดูกที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มาก อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ที่จริงแล้วควรจะดึงข้อนิ้วด้วย อย่างว่าล่ะนะเขาเป็นฝีมือสมัครเล่น

   เดี๋ยวเอื้อมจะได้ลาซ้อมเพราะนวดผิดวิธีเอา

   เปลี่ยนไปจัดการอีกข้าง ปลายนิ้วด้านสมกับผ่านการกดสายเหล็กมาไม่รู้กี่รอบ ช่วงมือของเอื้อมยาวเรียวสวยไม่คดข้อ น่าจะเหมาะกับการจับคันชักและประคองเครื่อง จะว่าไปแล้วยังไม่เคยเห็นเอื้อมอารัญและไวโอลินของเขาเลยแฮะ

   ตั้งสมาธิกับการนวดเพลินจนเกือบลืมเวลาซ้อม ใจจริงอยากจะเดินไปนวดตรงไหล่ให้อีกหน่อย

   "ไว้ไปนวดแผนไทยกันไหม หรือว่าไปตรงคณะกายภาพก็ได้"

   พนันเลยว่าคนเสพติดชาเขียวปั่นไม่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายแน่ อย่างน้อยถ้าได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน่อยมันก็คงจะเป็นเรื่องดี

   "นวดแค่นี้ยังเจ็บเลย ไปร้านต้องกระดูกหักแน่"

   "แต่มันจะสบายตัวขึ้นนะ"

   "เราไปซ้อมแล้วดีกว่า" สงสัยว่าทำให้กลัวการนวดไปแล้วแหง ถึงตัดบทฉับ "ขอบคุณสำหรับบริการเสริมครับ"

   ปรัญขยับยิ้มอ่อนโยน "ด้วยความยินดีครับ"

   "เดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วจะส่งไปบอกว่ายังปวดมากอยู่ไหม"

   มือข้างหนึ่งถือแฟ้มหนัง อีกข้างสะพายเคสสี่เหลี่ยมผืนผ้าเอาไว้ ตุ๊กตาเป็ดตัวกลมสีขาวขยับไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว เอื้อมไม่กล้าเอาเครื่องดนตรีไว้บนรถเพราะกลัวเรื่องความร้อน

   จะว่าไปแล้วนึกขึ้นได้ว่าจะเตือนเรื่องนี้ "แล้วตอนเดินก็ระวังตุ๊กตาหล่นอีกล่ะ"

   มีอย่างที่ไหนโทรมาเสียงเครียดบอกว่าหาตุ๊กตาที่แขวนเอาไว้กับไวโอลินไม่เจอ คุยเรียกสติตั้งนาน ให้ลองนึกว่าไปตะลอนที่ไหนมาบ้างในหนึ่งวัน ให้ทายว่าเจอที่ไหน...ใต้เบาะรถยนต์

   พอเจอแล้วก็กลับมาร่าเริงอย่างกับว่าคนสติแตกเมื่อสักครู่ไม่มีอยู่จริง ปรัญล่ะกลุ้มใจ
 


   ไฟในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กลับมาสว่างอีกครั้ง และเหล่าผู้ชมในรอบการแสดงเดียวกันทยอยลุกออกจากที่ไปจนเกือบหมด ปรัญนั่งมองหน้าจอที่ปรากฎชื่อรูปแบบการฉายภาพอยู่อีกสักพักจึงลุกออก ปล่อยให้พนักงานเคลียร์งานเก็บกวาดไปเช่นเดียวกับที่ผ่านมา

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาว่าดึกแค่ไหน ตั้งใจจะเข้าไปตรวจสอบข้อความว่ามีคนส่งมาบ่นเรื่องปวดข้อมือหรือไม่ แต่ทั้งหมดก็ถูกพับเก็บลงไปก่อนเมื่อเห็นการแจ้งเตือนจำนวนสายไม่ได้รับและข้อความแบบเอสเอ็มเอสจากฮิว

   โทรกลับด้วย

   การประกอบเข้ากันของปัจจัยหลายอย่างบอกให้เขาทำตามโดยไม่ลังเล ปันกดหาเบอร์ของเพื่อนในขณะที่ยังก้าวบนพื้นพรมออกไปยังส่วนของทางออก

   มันมีเสียงรายงานสัญญาณต่อติดเพียงแค่หนึ่งครั้งก็ได้ยินเสียงของเพื่อน

   (คุณเอื้อมอยู่ด้วยไหม?)

   แค่ต้นประโยคก็เริ่มน่ากังวลแล้วสิ "ไม่ นี่กูมาดูหนัง"

   (แล้วมันได้ส่งอะไรไปหาหรือเปล่า)

   "ยังไม่ได้เช็ก แป๊บ..." ที่จริงสิ่งที่ต้องการมากสุดคือความเป็นมาของเรื่อง นี่มีปัญหาอะไรกับเอื้อมอีกหรือเปล่า "มีแค่บอกว่าจะซ้อมแล้ว"

   ซึ่งเป็นข้อความปกติที่เจอทุกวันถ้ามีการซ้อม เหมือนการรายงานความประพฤติในหนึ่งวัน

   (เหรอ)

   "เกิดอะไรขึ้น"

   มันต้องมีอยู่แล้วล่ะ น้ำเสียงของฮิวก็ไม่ได้สบายดีเท่าไหร่ ติดเคร่งเครียดด้วยซ้ำไป (จะเรียกว่าทะเลาะหรือว่าเข้าใจผิดดีก็ไม่รู้)

   เพื่อนกันมานานบางคู่ยิ่งเข้าใจกัน ส่วนสองคนนี้ต้องบอกเลยว่าหาเรื่องกันได้ตลอด

   "เล่ามา"

   ไม่ใช่การลองหยั่งเชิงถาม แต่เป็นการบอกว่าปรัญต้องรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเอื้อมอารัญ เขาเลี้ยวขวาเตรียมออกจากส่วนของโรงภาพยนตร์ ซึ่งจะต่อไปยังส่วนรับรองกลางข้างห้องขายตั๋ว จากตรงนั้นการออกไปข้างนอกตึกต้องใช้ลิฟต์ที่อยู่บล็อกถัดออกไป

   (ก็ทะเลาะ...)

   "ฮิว เดี๋ยวกูโทรกลับ"

   ตัดบทลงตรงนั้นยามเห็นว่ามีใครนั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่โดดเดี่ยวบนเบาะตัวยาว รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้แล้ว

   เอื้อมอารัญเงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ โครงหน้าที่สะท้อนจากแสงไฟสลัวดูสับสนกับทุกอย่างรอบกาย ปันมีหลายคำถามไล่ตั้งแต่ว่าทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ไปถึงเรื่องที่มีปัญหากับเพื่อนอีกคน ทุกอย่างที่ต้องการคำอธิบายถูกเก็บเอาไว้ในใจสวนทางกับฝ่ามือที่ยื่นออกไปให้จับ

   "กลับม.กันเนอะ"
 


   "อยากแวะซื้ออะไรไหม"

   ในวันที่เจ้าของรถดูไม่พร้อมแม้แต่การประคองตนเอง ปรัญเสนอตัวเป็นคนขับโดยไม่ลืมที่จะเล่นมุกเรื่องที่จะไม่รับประกันความปลอดภัยของรถยุโรปห้าประตูคันนี้ มันไม่ค่อยได้ผลกลับมาเป็นที่น่าพึงพอใจเมื่อเอื้อมเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดกับเขาสักที

   เข้าใจว่าจะต้องรับฟังเรื่องบ่นยาวยืดเสียอีก

   "ไม่"

   "อยากฟังเรื่องที่เราเพิ่งดูมาหรือเปล่า"

   อีกเรื่องที่เพิ่งนึกได้ กว่าจะกลับไปเคลียร์ทุกอย่างเสร็จคืนนี้ไม่มีรีวิวแหง ขอให้ความทรงจำของเขายังอยู่ดีถึงเวลานั้นด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นอาจต้องลงทุนกลับเข้ามาดูเองอีกรอบ

   "ไม่"

   เจอมาสองไม่แล้ว ยังไม่อยากได้ไม่ที่สามเพราะมันหมายถึงการตกรอบ

   "งั้นถ้าเอื้อมอยากเล่าเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกเรานะ"

   ฟันธงแล้วว่าคืนนี้ยังอีกยาวไกล เมื่อกี้ถ้าได้คุยกับฮิวนานกว่านั้นหน่อยก็อาจจะพอเข้าใจเรื่องได้ ทำยังไงได้ล่ะ ปรัญแค่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็ไม่สามารถแบ่งความคิดไปให้ความสนใจกับส่วนอื่นได้แล้ว

   เขากลัว...กลัวว่าต้องเห็นสายตาแบบนั้นอีกครั้ง

   ถึงโล่งอกตอนที่เห็นว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่กลัวไปเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไว้วางใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ต่อให้พวกเขาทะเลาะหรือว่าเข้าใจไม่ตรงกันแค่ไหนมันก็ไม่เคยถึงขั้นว่ามาหาเขาถึงที่ นี่ถ้าไม่เคยเล่าให้ฟังว่าปกติมาดูสาขาไหนแล้วเอื้อมจะทำอย่างไร จะต้องอยู่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ

   แค่ลองนึกยังใจวูบโหวง

   มันเป็นความเงียบที่ไม่ได้แย่จนรู้สึกทนอยู่ไม่ได้ การแบ่งประสาทสัมผัสสายตาให้บาลานซ์กันระหว่างถนนกับคนข้างกายเป็นเรื่องยากพอสมควร ขอบคุณปริมาณรถอันน้อยนิดบนท้องถนนยามกลางคืนสำหรับความร่วมมือ

   เขาไม่หันมานั่งหน้าตรงเลยด้วยซ้ำ เอื้อมพิงหน้ากับขอบกั้นมองออกไปด้านนอกตลอดเวลาจนถึงหน้าหอพักและยอมกลับมาคุยกับด้วยตอนเท้าเหยียบพื้น

   "แวะเซเว่นก่อน"

   ร้านสะดวกซื้อขนาดสามห้องตั้งเด่นอยู่ริมทางเข้า ปันกลายร่างเป็นลูกเป็ดที่เดิมตามแม่ต้อยๆ ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา สิ่งที่อยู่ในตะกร้าสีส้มตอนนี้มีเครื่องดื่มรสนมเปรี้ยว สาหร่ายแบบซอง น้ำแข็งถุง แล้วก็ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น

   "…"

   อย่างสุดท้ายมันไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่เลย

   มาในอารมณ์ไหนไม่รู้ขนาดถุงใส่ยังไม่รับ ช่วยเอาของที่น่าจะหนักที่สุดอย่างน้ำแข็งแล้วก็นมเปรี้ยวมาถือเอาไว้เอง ที่เหลือให้เจ้าของเงินจัดการไป

   ใช้คีย์การ์ดเป็นกุญแจผ่านเข้าไป กดปุ่มเลขชั้นสูงสุดที่มีในลิฟต์ จากที่เห็นสะท้อนผ่านกระจกยังเป็นการก้มหน้ามองของในมือไม่ยอมสบตาสักครั้ง ความผิดปกติทั้งหมดชักจะทำให้ระดับอารมณ์คงที่ของเขาขยับขึ้นสูง เรื่องเดิมยังไม่เคลียร์นี่ยังมีเรื่องชุดทำแผลเข้ามาอีก

   ห้องพักของเอื้อมอารัญใหญ่กว่าที่เขาอาศัยอยู่พอสมควร เจ้าของห้องหายเข้าไปทางฉากกั้นระหว่างส่วนนั่งเล่นกับที่น่าจะเป็นห้องครัว ปล่อยให้เขาได้ยืนสำรวจภาพรวมของห้องอีกครู่ใหญ่ มันก็เหมือนกับสถานที่พักของนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วไป หนังสือกองไว้เป็นหย่อมทั่วห้อง โต๊ะทำงานกับของที่ดูแล้วไม่เกี่ยวกับการเรียน แล้วก็มีที่วางโน้ตเหล็กพิงเอาไว้ตรงริมกำแพงติดกับหน้าต่าง

   เอื้อมกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกะละมังขนาดปานกลางที่มีน้ำเกือบครึ่ง เข้าใจแล้วว่าเอาน้ำแข็งมาทำอะไร เฮชทูโอในสถานะของแข็งถูกเทลงไปทั้งหมดจนปริ่มเกือบล้น ตามมาด้วยการกดฝ่ามือข้างซ้ายลงไปให้จมลึก

   "...มือเป็นอะไร"

   สารภาพเลยว่าไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติ เท่าที่จำได้ตอนที่ยื่นมือมาให้จับก็ใช้มือขวา บนรถหรือว่าตอนอยู่ในร้านก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ

   "…"

   คำตอบของคำถามมีเพียงความเงียบ มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่เราแยกกัน เอื้อมจะไปซ้อมไวโอลิน...

   ที่ต้องใช้มือซ้ายในการกดสายดนตรี

   มือตรงไปคว้าข้อแขนขึ้นมาเร็วกว่าความคิด ปรากฎรอยแผลถลอกขนาดใหญ่แห้งกรังกลางฝ่ามือ เอื้อมอารัญที่พยายามกระตุกมือกลับไปยิ่งสร้างความไม่พอใจให้มากขึ้นไปอีก

   "อย่างแรกที่ต้องรู้นะเอื้อม ทำอย่างนี้มันไม่ช่วยให้แผลหายไวขึ้น"

   มีใครเขาเอาน้ำเย็นจัดมาล้างแผลที่แห้งขนาดนี้แล้วกัน มีแต่รีบไปล้างเอาสิ่งสกปรกออกแล้วจัดการใส่ยาฆ่าเชื้อปิดแผลให้เรียบร้อย ปกติแล้วการประคบเย็นมันใช้กับอาการปวดหรืออักเสบของกล้ามเนื้อ

   ไม่มีผ้าใช้ซับหยดน้ำที่ยังเกาะหลายจุด ก็เลยดึงปลายเสื้อตัวเองขึ้นมาเช็ดให้จนมันแห้งดี ความเย็นที่ยังคงฝังตัวอยู่ข้างในผิวไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคต่อการล้างแผลหรอก ปรัญแค่อยากทำให้มั่นใจก่อนว่าตัวแผลมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่กังวลคราวแรก

   สำรวจภาพรวมทั้งหมดของบาดแผล น่าหงุดหงิดเมื่อคิดว่าเขาเพิ่งสัมผัสมันเมื่อไม่ถึงครึ่งวันที่แล้วในสภาพสมบูรณ์ดี

   "เดี๋ยวแห้งแล้วทายาให้ ปวดไหมจะได้ลงไปซื้อพาราเพิ่ม"

   "…"

   "แล้วนี่ไวโอลินอยู่ไหน ไม่ชอบให้มันอยู่ในรถไม่ใช่เหรอ"

   เหมือนว่าจะเจอคำใบ้แรก เอื้อมหน้าเสียลงไปมากกว่าเดิมเมื่อพูดถึงเครื่องดนตรี ในหัวลิสต์ออกมาเป็นช้อยส์แยกความน่าจะเป็นเต็มไปหมด อาจเป็นเรื่องที่บอกว่าปวดมือแล้วจะขอไม่ซ้อมเลยโดนฮิวบ่น หรือว่าระหว่างซ้อมไปมีปัญหากับใครเพิ่มเติม

   ทุกทางมีความเป็นไปได้ทั้งหมด คงมีแต่คนฝั่งตรงข้ามเท่านั้นที่จะให้เฉลยได้

   "เราลงไปเอาให้นะ จะได้ซื้อพาราด้วย"

   ใจจริงยังไม่อยากปล่อยเอาไว้คนเดียวหรอก ขืนอยู่กับความเงียบแล้วมีความคิดแผลงๆ ขึ้นมานี่ห้ามไม่ทันเลยนะ ยาระงับอาการปวดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเจ็บ โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการล้างแผลที่ถูกวิธีควรเป็นอย่างไร

   ลุกขึ้นเตรียมไปหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจรถในจังหวะที่จับได้ถึงแรงรั้งบางอย่างตรงปลายเสื้อที่ยังมีรอยชื้นอยู่ เอื้อมอารัญรั้งเขาเอาไว้ด้วยสาเหตุอันใดก็ไม่อาจรู้ได้

   "ไม่กินยาก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องลงไปเอาของนะ" เริ่มการต่อรองครั้งที่หนึ่ง

   "…"

   "นับหนึ่งถึงห้าร้อย รับรองกลับมาทันแน่"

   เป็นการต่อรองครั้งที่สองที่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่าตอนนี้ค่อยๆ จัดการไปทีละเรื่องแล้วกัน

   ระหว่างยังคิดไม่ออกว่าจะเสนอรอบที่สามเป็นเรื่องอะไรดี มือที่เพียงรั้งเอาไว้ตอนแรกกลับกลายเป็นขยุ้มมันจนแน่น รับรู้แล้วว่าก่อนจะเปิดข้อต่อรองอีกครั้งเขาจะต้องรับมือกับอย่างอื่นให้ได้ก่อน

   "ไหนใครบอกว่าจะไม่โกหกเรา"

   มันเป็นไพ่ตายที่ไม่ควรนำออกมาใช้หากไม่ใช่สถานการณ์คับขัน ซึ่งมันใช่สำหรับเขาตอนนี้

   "งั้นก็ต้องเล่าให้เราฟังนะว่าเกิดอะไรขึ้น"


***
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × แปด [22.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 23-04-2018 20:32:17
เกิดอะไรขึ้น??อ่านงานของคุณเจ้าต้องตั้งใจอ่านมากๆเลยค่ะกลัวว่าถ้าพลาดช่วงไหนไปแล้วช่วงนั้นมันอาจมีอะไรซ่อนอยู่รอติดตามอ่านนะคะเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × แปด [22.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 23-04-2018 21:56:34
อ่านถึงตอนที่ 4แล้ว ยอมรับตรงๆเลยว่ากลัวมากค่ะ จริงๆเราว่าเรื่องนี้ดูปูมาแบบที่ทำให้เรากลัวมากกว่าเรื่องน้องแฟร์อีก T_T
กลัวใจคุณเอื้อมมาก เดาทางไม่ถูกเลย แล้วไหนจะชื่อเรื่องที่บอกว่าไม่มีความจริงอีก กลัวว่าเอื้อมจะหลอกปันมาทั้งหมดเนี่ยสิ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าสงสารคุณเอื้อมอยู่เหมือนกันนะ แต่เราคิดว่ายังไงสิ่งที่เพื่อนทำกับเอื้อมก็ไม่ได้ขนาดที่ทนไม่ได้เพราะเราก็เห็นว่าคุณเอื้อมก็ยังพอมีเพื่อนอยู่นี่นา (คือตอนแรกคิดว่าจะนิสัยแย่+พูดถึงกันแย่จนเพื่อนขยาด ไม่คบเลยอะไรประมาณนั้นอะค่ะ)
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × แปด [22.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 24-04-2018 13:26:56
อ่านจนถึงตอนแปดแล้วค่ะ ตอนคุณเอื้อมเล่นกับน้องแมวต้องน่ารักมากกกกกกแน่ๆเลย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าคุณเอื้อมโกหกงู้นงี้ แล้วตอนนี้เราเชื่อได้ใช่มั้ยว่าจะไม่โกหกปัน อย่างน้อยแค่ไม่โกหกปันเราก็โอเคแหละ เพราะเชื่ออยู่ลึกๆว่าคุณเื้อมมีเหตุผลที่ต้องโกหก อยากรู้จังว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ;-;
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × แปด [22.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 24-04-2018 19:43:30
เป็น​ไป​ได้​ไห​มว่า เอื้อมไม่ได้​ไป​รักษา​ แต่ต้องการไปพบปัน แล้​วอดีต​ของเอื้อมคืออะไร ฮิว้ใช่ไหม​แต่​ไม่​พูด​ อ่านไปเครียด​ไป
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × เก้า [29.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 29-04-2018 21:53:08
เก้า
 

   "เอื้อมหลับไปแล้ว"

   (เออ ดีแล้ว นี่ทางนี้ก็วุ่นวายฉิบหาย)

   "กล่องไวโอลินอยู่แน่นอนใช่ไหม"

   (อยู่ เก็บไว้ให้แล้วไม่ห่วง)

   ฟังคำบ่นยาวเหยียดต่อจากนั้นไม่เข้าไปขัด เอาให้ปลายสายได้ระบายความเครียดเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้าง นี่บางทีก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองมีคาแรกเตอร์ของเพื่อนที่น่าเชื่อถือหรืออย่างไรถึงชอบมีคนเข้ามาบอกให้ช่วยรับฟังหน่อย อาจจะเป็นเพราะมั่นใจได้ว่าเรื่องที่คุยกันสองคนจะไม่มีคนที่สามเข้ามารับรู้

   โล่งอกอยู่ไม่น้อยหลังจากได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากทั้งสองฝ่าย แม้จะตามมาด้วยความไม่เข้าใจนิดหน่อยก็ตามที

   กว่าจะทำให้เอื้อมอารัญสงบได้ก็ปาไปหลายชั่วโมง การเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อแล้วข้อมูลที่บอกเล่าในแต่ละรอบก็ไม่ค่อยเหมือนกัน ต้องใจเย็นค่อยๆ เรียบเรียงจนได้รู้ว่าที่มาของเรื่องทั้งหมดคืออะไร

   ตุ๊กตาตัวกลมชื่อรัญนั่นเอง

   เตือนไปแล้วว่าตัวล็อกมันไม่ค่อยดี ให้ระวังหล่น ยังไม่ทันขาดคำพอถึงห้องซ้อมเอื้อมก็พบว่าเจ้าก้อนสีขาวมันไม่อยู่เสียแล้ว แล้วคราวนี้ดันอารมณ์ศิลปินจอดรถเอาไว้แถวห้องที่ปรึกษาแล้วเดินไปยังตึกกิจกรรมแทน พอเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่เลยเดินย้อนกลับไปหา

   นึกทางตรงนั้นออกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการเดินหาของชิ้นไม่ใหญ่ ทั้งเป็นทางเดินยอดฮิตจากตึกเรียนกลับเข้าไปยังส่วนของหอพักด้านใน แล้วยังไม่รวมแหล่งชุมนุมของนักศึกษานี่อีก

   เอื้อมบอกว่าเดินหาสองสามรอบแล้วก็ยังไม่เจอ พอปลงตกจะกลับไปซ้อมก็เจอรถมอเตอร์ไซต์พุ่งเข้ามาจนหลบแทบไม่ทัน ก็เลยได้แผลที่มือมาเป็นของฝาก

   เมื่อไหร่คนเราจะเข้าใจว่าทางจักรยานไม่ควรมีเครื่องยนต์ชนิดอื่นวิ่งผ่าน

   กลับมาทุกคนก็เริ่มซ้อมไปแล้ว มือก็ยังเจ็บเลยว่าจะไปทำแผลแล้วกลับห้องไปนอนพัก บังเอิญเจอกับฮิวที่ออกมาพักพอดีก็เลยเป็นเรื่อง หลังจากตรงนี้เขาจะขอเปลี่ยนไปเล่าในมุมของฮิวบ้างแล้วกันนะ พอดีข้อมูลที่ได้มันไม่ตรงกันเท่าไหร่แล้ว

   ฮิวบอกว่าตอนที่เอื้อมไม่ได้บอกว่าจะออกไปหาของ แค่หันมาพูดทำนองจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวกลับมา เขาก็ไม่อยากให้ไปเพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะได้เวลาซ้อมแล้ว แน่นอนว่าเอื้อมไม่ฟัง สำทับว่าจะรีบกลับมาให้ทันแต่กว่าจะกลับมาจริงก็ปาไปครึ่งชั่วโมง

   พอเจออีกทีก็บอกแค่ว่าจะไม่ซ้อมแล้ว ขอกลับเลย พอได้ยินอย่างนั้นจะให้คุมอารมณ์อยู่คงไม่ไหว เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมเลยน็อตหลุดต่อว่าไปชุดใหญ่ จบลงด้วยการเดินปึงปังออกไปจากห้องซ้อมของเอื้อมอารัญ

   ขอย้ำอีกครั้งว่ามันเป็นการเล่าจากทั้งสองฝ่าย ถ้าข้อมูลตรงไหนไม่เหมือนกันปรัญก็คงไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตเพื่อทำตัวเป็นผู้ชมในเหตุการณ์

   หนึ่งความจริงกลายเป็นหลายเรื่องเล่าได้เสมอ

   (แล้วมือคุณเอื้อมเจ็บมากไหม) ฮิวไม่รู้เรื่องนี้ เขาถึงกับเงียบไปตอนเล่าให้ฟัง (กูไม่อยากจะไปตามหาคนใหม่นะ)

   "ห่วงเพื่อนหรือว่ากลัวคนขาด"

   น่าหงุดหงิดใจแทน ในเวลานี้เขายังสนใจเรื่องการแสดงได้มากกว่าสภาพจิตใจของเพื่อนเลย

   (ทั้งคู่ แต่เอาจริงแล้วห่วงเรื่องคนขาดมากกว่า)

   "ไม่สนใจเพื่อนหน่อยเหรอวะ"

   (คุณเอื้อมเคยบอกว่าจะตายมาตั้งแต่ม.สี่ทุกวันนี้ยังไม่เห็นจะมีวี่แวว)

   "..."

   ปรัญเม้มปากเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นแล้วคงได้เผลอหลุดคำหยาบคายออกไปแน่ สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาทักทายคือความโกรธจากวิธีและน้ำเสียงการเล่าที่ดูปล่อยสบายไม่คิดมาก ต่างจากเนื้อหาซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงผสมกับความน่ากังวลใจ

   (ถ้าเอื้อมพูดอะไรทำนองนี้ก็อย่าไปเชื่อมาก เพื่อนเสียหมามาหลายครั้งแล้ว)

   "มึง..."

   (เอาจริงนี่กูกำลังกลืนน้ำลายตัวเอง ที่บอกว่าจะไม่เตือนมึงแล้ว)

   มีหลายอย่างที่อยากจะเอ่ยออกไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงเลือกการเงียบแล้วกลายเป็นเพียงฝ่ายฟังโดยไม่ออกความคิดเห็น

   (ระวังนะ ถ้ามึงอยากปล่อยเมื่อไหร่คุณเอื้อมจะไม่ยอมให้ทำ)

   ไม่มีการต่อสัญญาณจากปลายสายแล้ว แต่ปรัญก็ยังมองหน้าจอที่มีวอลเปเปอร์เป็นรูปโควทข้อความจากหนังเรื่องโปรดต่ออีกหลายนาที สิ่งที่กำลังวิ่งตีกันอยู่ข้างในความคิดมีหลายอย่าง เขาค่อยๆ จัดเรื่องสิ่งที่ต้องจำเพิ่ม ตามด้วยหัวข้อที่ยังอยู่ในลิ้นชักรอการพิสูจน์

   เปิดประตูห้องให้เบามือที่สุด ทั้งห้องมีเพียงแสงไฟขนาดอ่อนจากโคมไฟตั้งพื้นให้แสงสว่าง ตามทางไม่มีสิ่งของวางรกให้การเดินลำบาก เขาขยับนั่งยองริมเตียงฝั่งที่มีเอื้อมอารัญนอนหลับสนิทไร้พิษสง จัดผ้าห่มสีฟ้าเข้าชุดกับผ้าคลุมเตียงให้ปิดถึงช่วงอก

   มือข้างซ้ายที่กอดหมอนข้างคว่ำเอาไว้ไม่เห็นอาการของบาดแผล จากนักศึกษาช่วยงานห้องที่ปรึกษาก็ได้เป็นผู้ช่วยพยาบาล ปันจัดการทายาและปิดแผลไว้แล้วเรียบร้อย

   แล้วเอื้อมยังมี 'แผลที่มองไม่เห็น' อยู่ตรงไหนอีกหรือเปล่านะ

   นาฬิกาดิจิทัลสี่เหลี่ยมบอกเวลาตีสามเข้าไปแล้ว มันถึงเวลาที่ควรจะกลับไปพักผ่อนเหมือนกัน เขาไม่ได้นอนค้างในห้องนี้ด้วยหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องเสื้อผ้าแล้วก็สิ่งที่เจ้าของห้องยืนกราน

   'เพราะถ้าเราขอ ปันก็จะทำให้เราไง'

   ในช่วงเวลาที่ปรัญพบว่าตนไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้เท่าไหร่ เอื้อมอารัญเข้าใจตัวตนของเขาดีทีเดียว

   มันถูกเผงตามบอก ขอแค่เอื้อมเอ่ยออกมาคำเดียวว่าอยากให้อยู่ด้วยเขาก็พร้อมจะทำให้ เขาไม่อยากปล่อยให้คนยังอารมณ์ไม่คงที่อยู่คนเดียว ยิ่งฮิวบอกว่าเคยมีความคิดเรื่องการปลิดชีวิตตัวเองยิ่งแล้วใหญ่

   ลอบมองเจ้าชายนิทราอีกหน่อยจึงยืดขาลุกขึ้นไล่อาการเมื่อยล้า ชั่งใจว่าควรจะออกจากห้องไปเลยหรือว่าควรจะบอกลาเสียก่อน

   ไม่ใช่การปลุกขึ้นมาเพื่อโบกมือลาก่อนแน่ การทิ้งข้อความเอาไว้เป็นทางเลือกที่ดูเข้าท่า

   แล้วห้องมืดอย่างนี้จะไปหาแสงสว่างที่ไหนมาส่อง ให้ใช้โคมไฟก็ลำบากไปหน่อย ...หรือว่าเอาเป็นวิธีที่เพิ่งเห็นในภาพยนตร์มาดีนะ

   เป็นการบอกลาที่น่ารักผสมความขำขันของคนไม่ประสีประสาในรัก การประทับจูบตรงปลายนิ้วตัวเองก่อนจะยื่นไปแตะกับอีกฝั่ง เขาเปลี่ยนมันนิดหน่อยตรงที่ปลายทางไม่ใช่ริมฝีปากของอีกคน แต่เป็นหลังฝ่ามือซ้ายที่มีอาการบาดเจ็บทิ้งร่อยรอยเอาไว้อยู่

   ผิวเนื้อเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่มีการตอบสนองกลับ

   "...ตัวเองก็เป็นคนใจดีเหมือนกันแหละ"
 


   สรุปแล้วอาการบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องถอนตัว

   แถมยังได้เวลาพักเพิ่มเติมมาอีกต่างหาก

   ปรัญไม่รู้ว่าเกิดการทำสัญญาประนีประนอมกันระหว่างเอื้อมกับชมรมออร์เคสตรายังไง ผลสรุปเลยกลายเป็นว่าเพื่อให้มือได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่หนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้สามารถไม่เข้าซ้อมได้ เขาล่ะตกใจแทบแย่ตอนที่คนได้พักแทบจะกระชากประตูกระจกเพื่อบอกเล่าข่าวดี ความยินดีบนใบหน้านี่กลบไม่มิดเลย

   "แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะออกมาตะลอนอย่างนี้ไหมเอื้อม"
   
   ขอให้ได้บ่นบ้างก็พอใจแล้ว ปรัญรับหน้าที่เป็นผู้ขับรถยุโรปห้าประตูแทนคนงอแงอบอกว่าตัวเองยังต้องการการพักผ่อน

   โดยการเข้าเมืองมาหาร้านเครื่องดื่มเน้นชาเขียวตามรีวิวที่เพจหนึ่งเพิ่งโพสต์

   "แล้วจะอยู่ม. ทำไมล่ะ น่าเบื่อออก"

   "ไหนบอกว่าต้องไปหาหนังสือในห้องสมุดไง"

   ยกเรื่องที่เป็นหัวข้อการพูดคุยในสองสามวันที่ผ่านมาขึ้นแย้ง เอื้อมยังถามเขาถึงวิธีการเสิร์จหาข้อมูลจากเว็บกลางอยู่เลย ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่หาข้อมูลเรื่องรีวิวเก่งแต่ใช้งานส่วนของงบริการหาหนังสือออนไลน์ไม่เป็น

   "เดี๋ยววันนี้กลับไปหาก็ได้"

   "ต้องไปหาเองนะ เราต้องไปช่วยงานเด็กทุน" งานค่ายเหมือนเดิม สุดสัปดาห์นี้เป็นวันจริงแล้ว "แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็โทรมาตามได้เลย"

   "พนักงานห้องสมุดน่าจะช่วยได้แหละ ไม่เป็นไร"

   "ระวังมือด้วย"

   "มันไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อกี้ปันก็เพิ่งเปลี่ยนผ้าให้เอง"

   คนเอาแต่ใจอ้างว่าทำแผลเองไม่ถนัด ทั้งที่เป็นคนถนัดขวาและเจ็บมือซ้ายนั่นแหละ

   ชักอยากจะรู้แล้วว่าเอื้อมอารัญกดไลก์ทุกเพจที่เกี่ยวข้องกับการรีวิวรวมถึงตั้งค่าให้เตือนเสมอเมื่อมีการอัปเดตหรือไม่ ช่างสรรหาของมาเสนอได้ตลอดสามเวลาหลังอาหาร

   คราวนี้ไม่พ้นเครื่องดื่มโปรด ที่มีการเพิ่มระดับความเข้มข้นด้วยการใส่ไอติมลงไปปั่นด้วย

   หยุดอยู่ตรงหน้าบันไดเลื่อน หันมาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ "อยู่ชั้นไหนนะ"

   "ในนี้บอกชั้นล่าง"

   ในนี้ก็คือหน้าจอโพสต์ที่ได้ทำการแคปเอาไว้เรียบร้อย กดเร็วๆ สองครั้งเพื่อให้มันขยายส่วนที่ต้องการ นั่นคือชื่อร้านและสถานที่ตั้ง

   พยักหน้ารับทราบข้อมูล "งั้นลงไปเลยเนอะ"

   ห้างสรรพสินค้าเวลากลางวันในวันธรรมดาเงียบสงบแตกต่างจากการมาเยือนช่วงสุดสัปดาห์ เขาเคยนัดกับเพื่อนมาเที่ยวเล่นอยู่หลายครั้ง ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนรวมถึงพวกเขาเอาถึงต้องมากองกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย

   นึกว่าจะได้สั่งเครื่องดื่มสบายๆ เสียอีก ผิดคาดเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าจำนวนหนึ่งยืนกระจายตัวตามพื้นที่ว่าง เอื้อมไม่เสียเวลามองเมนู ตรงดิ่งเข้าไปยังส่วนสั่งสินค้าพร้อมกับสั่งทันทีราวกับคิดมาตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้าแล้ว

   "ปันเอาช็อกโกแลตไหม"

   ใบหน้าแหงนมองป้ายรายการสินค้าเคลื่อนองศาลงมาหาคนข้างตัว "ก็ได้ ถ้าเอาแบบไม่หวานได้ก็ดี"

   ถึงมันจะไม่ได้เป็นโกโก้ก็เถอะ

   "แล้วก็เอาช็อกโกแลตร้อนครับ"

   เสียงพนักงานทวนรายการคล่องแคล่ว เขาย้ายสายตาไปมองส่วนของราคาเพื่อจดจำตัวเลขที่ต้องให้คืน เปิดกระเป๋าเงินหยิบธนบัตรราคาเท่าสินค้าให้กับเอื้อม

   "นี่สั่งแบบเข้มสุดเลยนะ ถ้ายังหวานต้องมีเรื่องกันหน่อยแล้ว"

   ขยับยิ้มอ่อนโยนให้กับนัยน์ตามุ่งมั่น "ก็บอกแล้วว่ามันคือการเสี่ยงดวง"

   "เราเชื่อแล้วก็อย่าทำให้ผิดหวังสิ"

   "งั้นก็ไปรับมาพิสูจน์ได้แล้ว"

   ผลักหลังให้ออกเดิน รับเครื่องดื่มตามความชอบของตัวเองมาถือเอาไว้ จากตรงนั้นเราเลือกกันไม่ได้ว่าจะเดินทางไปที่ไหนต่อ ข้างนอกก็ร้อนแต่ข้างในนี้มันก็ไม่มีอะไรให้เดิน

   "เราคิดมาสักพักล่ะว่าชาเขียวเมืองไทยให้ฟิลลิงเหมือนกันหมด ไม่เหมือนตอนไปญี่ปุ่นเลย"

   "มาจากแหล่งผลิตเดียวกันมั้ง"

   ไม่มีความสามารถในการแยกแยะรสชาติขนาดนั้น เขารู้แค่ว่าอันไหนถูกปากแล้วอันไหนที่ตกรอบเท่านั้นแหละ ให้มานั่งแยกว่าอันนี้กลมกล่อม อันนี้หวานมัน บอกเลยว่าทำไม่ได้

   ยังถือเครื่องดื่มชนิดร้อนเอาไว้ไม่ยกขึ้นจิบ สำหรับเอื้อมอารัญรายนั้นแทบจะยกซดตั้งแต่แก้วหลุดออกจากมือของพนักงาน

   "ก็อร่อยดี"

   "งั้นเก็บเข้าลิสต์ได้สินะ"

   "แต่ถ้าอยากกินต้องถ่อมาถึงที่นี่เลยเหรอ"

   "ชีวิตเด็กนอกเมือง..."

   "คุณเอื้อม"

   ชื่อที่ใช้เรียกส่งผลให้ทั้งสองตวัดหน้าไปหา ผู้ชายตัวสูงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบที่มาพร้อมกับหนังสือใส่กระดูกงูในมือคุ้นหน้าแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยพบปะกันเมื่อไหร่

   "อ้าว เจอกันบ่อยเฉยเลยนะไนน์"

   "พอบทไม่เจอก็ไม่เจอนานเลยเนอะ"

   น้ำเสียงและท่าทางเริ่มคุ้น ใบหน้าบอกเชื้อจีนแย้มยิ้มสดใส และพอพวกเขาอ้างถึงบุคคลที่สามถึงปิ๊งว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

   แฟนใหม่ของแฟนเก่าเอื้อม

   เป็นวิธีการนับความสัมพันธ์ที่น่าปวดหัวใช่เล่น ปันอยากจะรู้ว่าเรื่องระหว่างพวกเขาสามคนดำเนินไปทางไหนถึงยังสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ขนาดนี้ ถ้าลองเป็นตัวเองการเผชิญหน้ากับบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนใหม่ของคนเคยคบนี่ไม่น่าจะสุขสงบไร้อาการกระอักกระอ่วนได้

   "ล่ะนี่น้ำร้านใหม่ข้างล่างปะ เห็นเพื่อนพูดว่าจะมาลองอยู่"

   "ใช่ ก็โอเคนะ ลองไหม?" ไม่ว่าเปล่ายังมีการยื่นไปให้ทดสอบ และอีกฝ่ายก็ไม่ลังเลที่จะทำตามคำเสนอ

   "เข้มดี แบบที่เอื้อมชอบเลย"

   "ใช่แล้ววว"

   ไม่ผิดใช่ไหมถ้าปรัญจะบอกว่าไม่ปกติเลยสักนิด ทุกอย่างราบรื่นไร้รอยบาดหมางจนคิดว่าหรือว่ากำลังอยู่ในความฝัน

   ถ้าเข้าใจไม่ผิดพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม น่าจะสนิทเลยล่ะ นั่นยิ่งทำให้แผนผังความสัมพันธ์ในหัวของเขายุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ นี่มันพล็อตของนิยายรักทั่วไปไม่ได้มีการตลบหลังให้กลายเป็นเรื่องสยองขวัญใช่ไหม

   เป็นอีกครั้งที่สมัครใจขยับตัวออกจากวงสนทนา ทำได้แต่เงียบไม่อาจก้าวไปหลบอยู่มุมอื่นได้เพราะมือของเอื้อมคว้าข้อแขนเอาไว้แน่น ระหว่างที่เขาสองคนแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าพร้อมกับเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย สิ่งเดียวที่ทำได้คือละเลียดเครื่องดื่มในมือเสีย

   ให้คะแนนเจ็ดเต็มสิบ ตัดตรงที่ทั้งเรื่องของความหวานแล้วก็ไม่พอใจอะไรไม่รู้

   "ตั้งแต่วันก่อนแล้วปันไม่พูดอะไรเลยอะ คุณเอื้อมมึงห้ามไว้เหรอ"

   "ทำไมต้องมองว่ากูร้ายตลอดเลยวะ มึงแม่ง"

   "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย นอกจากกูแล้วมีใครอยู่กับมึงได้นานขนาดนี้ไหมล่ะ"

   ปรัญรู้ตัวดีว่ากำลังอิจฉาในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

   "ก็คนอื่นแย่..."

   "ตัวเองก็ด้วยครับคุณเอื้อม" การยกมือขึ้นจิ้มหน้าผากเอื้อมเป็นธรรมชาติอย่างกับเป็นของคุ้นชิน "ก่อนจะทำตัวเป็นกระจกส่องคนอื่นควรจะเป็นแก้วที่ชัดใสก่อนนะ"

   ให้ความรู้สึกเป็นเพื่อนที่เหมือนพี่แล้วก็พ่อไปในตัว จากเอื้อมอารัญคนเอาแต่ใจกลายเป็นเพียงเด็กน้อยไร้พิษสงไม่กล้าออกปากเถียง บทสนทนาทั้งหมดจบด้วยการฝากความคิดถึงไปให้หญิงสาวที่เป็นตัวเชื่อมของคนทั้งสอง ต่อจากนั้นเราก็ต้องกลับมาคิดเรื่องเดิมอีกครั้งคือจะไปที่ไหนต่อ

   "ปันอยากซื้อของไปฝากเพื่อนไหม ขนมอะไรงี้"

   "คนชั้นแรงงานอย่างพวกนั้นน่าจะอยากกินเอ็มร้อยมากกว่า" ไม่เข้าใจระบบการทำงานโต้รุ่งสักที ความที่เป็นคนศรัทธาในเรื่องการแบ่งเวลาให้เป็นสร้างคำถามให้เสมอว่าการทำงานจำเป็นต้องหามรุ่งหามค่ำเท่านั้นจริงหรือ ควรจะจัดสรรเวลาให้ลงตัวได้หรือไม่ "นี่กี่โมงแล้วอะ มันนัดเอาไว้สี่ครึ่ง"

   "บ่ายสองแล้ว ในซุปเปอร์น่าจะมีเอ็มร้อยนะ"

   "ค่อยกลับไปซื้อในเซเว่นก็ได้"

   "เหรอ"

   พอมันเหลือเวลาให้ใช้ตอนว่างอีกไม่นานเลยคิดว่าทำอะไรที่อีกฝ่ายอยากทำดีกว่า "คุ...เอื้อมล่ะอยากไปไหนอีกไหม"

   แทบจะตบปากตัวเองที่เกือบหลุดปากเรื่องด้วยคำนำหน้าชื่อเหมือนอย่างที่คนอื่นทำ ทั้งที่ก็ปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ก็ดันฟังพวกเขาคุยกันตั้งนานนี่นา

   นัยน์ตาที่อ่านความหมายไม่ออกสบไม่ลดละ "จะว่าไปแล้วปันไม่เคยเรียกเราว่าคุณเอื้อมเหมือนคนอื่นเลยเนอะ"

   "เหมือนเอื้อมไม่ชอบ เลยไม่อยากพูด"

   จำได้ชัดเจนทั้งสีหน้าและน้ำเสียงยามเรียกตัวเองว่า 'คุณเอื้อม' ออกมา

   มันเป็นคำที่ทั้ง 'ให้เกียรติ' และ 'หยันเหยียด' ในเวลาเดียวกัน

   ดูจากบุคลิกแล้วไม่แปลกใจหรอกถ้าเพื่อนจะรวมหัวกันเรียกแบบนั้น ท่าทางเป็นคุณหนูทุกกระเบียดนิ้ว ฐานะทางบ้านต้องไม่ขี้เหร่แน่จากข้าวของเครื่องใช้ กิริยามารยาทไปจนถึงรสนิยมในเรื่องต่างๆ คือแค่เครื่องดนตรีที่เล่นยังเป็นเครื่องสายคลาสสิกเลย

   แต่มันก็มองได้อีกแง่ว่าเป็นการ 'ประชด' ตามแบบฉบับของสังคมแห่งการนินทา

   "ที่จริงเราก็ไม่ได้ชอบนะ แต่ก็ชินไปแล้วล่ะ"

   "..."

   "ขอบคุณที่คิดถึงใจเราด้วยนะ"
 


   ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูกที่สมัครใจเป็นฝ่ายใช้แรงงาน ตั้งแต่นั่งทำงานจนถึงตอนนี้ยังไม่เจอเรื่องราบรื่นเลยสักนิด

   ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้นับ ปัญหาที่ต้องการสกิลการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากเสียจนชักอยากจะลากเอาประธานการจัดการมานั่งคุยกับรองฝ่ายอื่นอีกครั้งเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน พอฝ่ายกิจกรรมบอกหนึ่งอย่าง วิชาการก็เดินมาบอกว่าไม่ใช่ ยังไม่รวมกับคำพูดของอาจารย์ที่เนื้อหามาเป็นหนังคนละม้วน

   พอใกล้ถึงงานจริงมากเท่าไหร่คนเราก็สติแตกได้มากเท่านั้น มันเป็นงานใหญ่ที่มีผลต่อชื่อเสียงและหน้าตาของมหาวิทยาลัยเสียด้วย คือถ้าเป็นค่ายอื่นที่จัดโดยนักศึกษาคณะนั้นๆ มันก็เป็นค่ายที่ทำแล้วจบไป ไม่เหมือนของเขาที่มีการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อด้วย ขืนพลาดตรงไหนไปเรียกว่าตายยกกลุ่ม

   สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือกระดาษเอาไว้สำหรับกิจกรรมเงียบ ต้องรัดกุมในการวางแผนการเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหรือว่าจุดพลิก ทุกอย่างจำเป็นต้องดำเนินตามเส้นทางที่วางเอาไว้

   ด้วยความที่ 'หน้าปันดูน่าเชื่อถือที่สุด' เลยถูกโยนตำแหน่งผู้รับผิดชอบมาให้เมื่อประมาณสามสิบนาทีที่แล้ว การตบบ่าพร้อมกับให้กำลังใจว่ามันไม่มีอะไรยากยิ่งทำให้เขากลุ้มใจเข้าไปใหญ่ มันเป็นกิจกรรมที่ปีที่แล้วก็ได้เล่นมาด้วยตนเองอยู่หรอก แต่ได้ตำแหน่งคนที่ต้องนั่งเงียบตลอดกิจกรรมไง

   นึกภาพไม่ออกเลยว่าควรจะเริ่มตำแหน่งใด ดำเนินการต่ออย่างไร และพาร์ตจบที่สมบูรณ์มีหน้าตาประมาณไหน

   ปวดหัวจนอยากจะเขวี้ยงแผนงานทั้งหมดเข้ากองไฟ

   ดันอยู่ในสังคมที่ต้องยอมรับกว่าการโยนงานเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยเอาคำว่างานที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันมาอ้าง เคสของเขาน่าจะยังดีกว่าเพื่อนบางมหาวิทยาลัยที่ทำงานเหมือนเล่นขายของตอนเด็ก

   หลับตาลงเรียกสติและสมาธิให้กลับมาสถิตร่าง ตั้งใจว่าจะกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก่อนที่จะไล่ไปตามสาย คำนวณความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในหัวว่าจะต้องทดสอบเส้นทางทั้งหมดกี่ครั้ง แล้วนี่มีอยู่ชีวิตเดียวจะรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

   มองซ้ายขวาหาเหยื่อช่วยงาน สิ่งที่พบคือความวุ่นวายและหัวหมุนกระจายตัวอยู่ทั่วไป นี่มันจะไม่มีใครว่างมาเป็นคนร่วมะตากรรมกับเขาหน่อยเลยเหรอ

   "หน้าเครียดจัง"

   แหงนมองสุดคอเพื่อพบว่ามีบางคนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง เขาฝืนขยับยิ้มทักทายพลางทิ้งตัวลงพิงกับช่วงขา เปลี่ยนเป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือบ้าง

   "เอื้อมสนใจมาแบ่งความเครียดไหม"

   ได้ยินเสียงหัวเราะสดใส ขยับมานั่งหลังตรงดีๆ หลังจากที่ข้อเข่ากระทุ้งเตือนว่าหมดเวลาพักผ่อน เอื้อมอารัญทรุดตัวลงมานั่งขัดสมาธิอยู่เยื้องออกไปทางขวา ชะโงกหน้าเข้ามาดูสิ่งที่อยู่ในมือของตน

   "แค่เห็นตัวหนังสือเป็นพรืดก็ไม่ค่อยอยากช่วยแล้วอะ"

   ที่จริงแล้วนอกจากรายละเอียดของกิจกรรมภาพรวมมันยังมีลายมือหลายคนโยงเส้นไปมาเพื่อเชื่อมความคิดให้ถูกต้องตรงกัน เส้นนี้เป็นตัวเชื่อมจากฐานสองไปห้า ส่วนอันนี้ต้องระวังว่าฐานสี่อาจจะเข้าใจว่าเป็นฐานแปด เป็นต้น

   "แล้วได้หนังสือหรือยัง" เราแยกกันตรงหน้าห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย

   "เรียบร้อย เจ้าหน้าที่อย่างเจ๋งอะ เราหาตั้งนานไม่เจอเขาเดินมาช่วยแป๊บๆ เสร็จล่ะ"

   แค่เอื้อมหาตู้วางเจอเขาก็ดีใจแล้ว "ระวังเรื่องวันคืนด้วย เดี๋ยวค่าปรับเข้าไปไม่สนุกนะ"

   รุ่นพี่ของปันเคยเจอไปพันกว่าบาท ก็อยากจะบอกว่าถ้าพี่จะยืมนานขนาดนั้นก็ซื้อไปเลยเถอะครับ

   "นี่ตั้งแจ้งเตือนไว้แล้ว รับรองไม่มีพลาด"

   "ดีแล้ว"

   "สรุปจะให้เราช่วยตรงไหนบ้าง"

   "นี่จะช่วยจริงอะ" นึกว่าแค่แวะมาหาเหมือนทุกที แบบที่แค่โผล่หน้ามาได้พูดว่าปันคำเดียวก็พอใจ "แล้วรายงาน?"

   "มีเวลาตั้งเยอะ ตอนนี้อยากช่วยมากกว่า"

   ขัดใจไปก็คงไม่ดี ปรัญส่งปึกกระดาษเจ้าปัญหาไปให้ดูแลพร้อมสำหรับอธิบายกฎกติกาการเล่นคร่าวๆ รวมถึงเล่าเรื่องกังวลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

   "มันจะวุ่นวายอยู่หน่อย เราไม่ได้ทำเหมือนปีที่แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเพื่อนบางคนบอกว่ามันมีช่องโหว่อยู่"

   "เราว่าถ้ากลัวก็ทำเป็นเส้นทางเดียวไปเลย หรือไม่คนประจำฐานอะต้องเช็กว่ากลุ่มไหนมาแล้ว กลุ่มในยังไม่มา ถ้าบอกว่าต้องเข้าทุกฐานเสมอ"

   ปากกาหมึกในมือเอื้อมหมุนไปมายามเสนอความคิดเห็น พอคิดว่าอยากจะเพิ่มเติมตรงไหนก็จัดการขีดมันลงไปเพิ่มจนเห็นเป็นเส้นสีดำเข้มชัดเจน

   "แต่ว่ามันจะมีปัญหาเรื่องฐานแรกๆ ที่จะชนกันน่ะสิ"

   "ก็ให้พวกเขาเริ่มคนละฐาน หลังจากนั้นอยู่ที่ไทม์เมอร์ว่าจะเมเนจเวลาได้ไหม"

   "คือมันค่อนข้างควบคุมยาก"

   "แสดงว่ายังคุมได้ หรือว่าเราลองเปลี่ยนตรงนี้..."

   ปรัญมองครึ่งหน้าข้างของคนที่หลุดเข้าไปในโลกของหลักแห่งการเชื่อมโยงของเหตุและผล นัยน์ตาเป็นประกายกับการวางโครงเส้นการเดินทาง เห็นรอยลักยิ้มชัดเวลาทวนแผนแล้วมันเป็นไปอย่างที่วางเอาไว้ เขาชอบที่เอื้อมเป็นอย่างนี้

   จนบางทีอาจเป็นเขาเองที่ไม่สามารถปล่อยเอื้อมอารัญไป


***
   การันตีว่าไม่น่ากลัวและไม่ต้องเผื่อใจ ความหนักน้อยกว่าเรื่องของแฟร์แน่ๆ (หัวเราะ) เรื่องนี้คนที่น่าระแวงที่สุดคือเจ้านี่แหละค่ะ ไม่ใช่เอื้อมหรอก (ฮา) อีกสองสามตอนน่าจะได้เขียนถึงที่มาว่าทำไมเจ้าถึงเลือกชื่อเรื่องนี้แล้วล่ะค่ะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × เก้า [29.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 30-04-2018 02:24:18
อ่านไประแวงไป  ฮ่าๆ เดาใจเอื้อมยากมากเลย   :katai1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × เก้า [29.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 30-04-2018 11:58:46
ชอบอ่ะ แต่อย่าหน่วงกว่านี้นะ
กลัวว่าคนน่าสงสารที่สุดคือคุณเอื้อม
รอตอนต่อไปอยู่นะจ้ะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × เก้า [29.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 30-04-2018 12:34:14
หลงรักคุณเอื้อมโดยไม่รู้ตัวรักแบบยังมีความอึมครึมอยู่ไม่รู้ว่าปรัญแอบคิดเหมือนเรามั่งหรือเปล่าว่าแท้จริงคุณเอื้อมอาจจะเกรงใจคนนั้นคนนี้มากจนเกินกว่าจะบอกเรื่องเดือดร้อนให้ใครฟังพอใครถามก็จะบอกแต่ว่าไม่มีอะไรไม่เป็นไรพอมันมีเหตุเกิดขึ้นคนอื่นๆก็เลยรู้สึกเหมือนคุณเอื้อมไม่พูดความจริง#ไม่มีความจริงในความจริงเพราะมันคือความจริงเอ๊ะ!@_@ขอบคุณคุณเจ้าและเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × เก้า [29.4.18] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 01-05-2018 03:51:54
ทำไมรู้สึกว่าคุณเอื้อมมีเสน่ห์จังเลยอะ
มันต้องเคยเกิดอะไรสักอย่างที่ทำให้คุนเอื้อมมีนิสัยแบบนี้
รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบ [6.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 06-05-2018 21:12:04
สิบ


   ช่วงเวลาตีห้าสี่สิบห้าในวันปกติแล้วคือช่วงเวลาแห่งการนิทรา

   ถ้าไม่นับเพื่อนบางคนที่ออกมาซื้อไก่ย่างร้านเด็ดตอนเช้ากินน่ะนะ

   "ต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอ"

   "บางคนยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำ"

   มองซากงานกระจัดกระจายจากอดีตสนามรบที่ชื่อว่า 'คืนก่อนวันจริง' รอบกาย มีทั้งส่วนที่หมดแรงนอนสลบเหมือดไปแล้ว และบางคนอยู่ในชุดเสื้อค่ายกางเกงยีนส์ขายาวเตรียมพร้อมต้อนรับนักเรียนจำนวนเกือบหนึ่งร้อยคนที่กำลังเดินทางมาเข้ารับการคัดเลือก

   นึกไม่ค่อยออกว่าช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีที่แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ปรัญแค่ตามเพื่อนมาอย่างที่บอก คิดง่ายๆ แค่ว่าถ้าได้เข้าเรียนในโครงการนี้เลยก็ดี จะได้ไม่ต้องไปเจอการสอบอีกหลายสนาม

   "แล้วจะทำงานไหวเหรอ..."

   "ต้องไหว ทำไงได้"

   สัจธรรมของชาวค่าย ผ่านมากี่ครั้งไม่เห็นมีการพัฒนาสักที

   จากหน้าที่ฝ่ายใช้แรงงาน เลื่อนขั้นมาเป็นคนรับผิดชอบกิจกรรมใหญ่ เราสองคนได้รับความไว้วางใจให้เป็นคนจัดการทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องมีการบรีฟอะไรเพิ่มเติมมากมายเหมือนอย่างที่บางกิจกรรมโดน

   พูดไม่ผิดนะ เราสองคนคือทั้งเขาและเอื้อมอารัญ

   เอื้อมดูสนุกกับการได้วางโครงสร้างกิจกรรมทั้งหมดใหม่อีกครั้ง จากการช่วยที่นึกว่าแค่แวะมาเพียงครั้งคราวกลายเป็นงานคู่ไปเสียได้ งานนี้ไม่ได้มีแต่พวกเด็กทุนมาทำอยู่แล้วเลยไม่ได้เป็นแกะดำ

   อีกอย่างคือเขายังว่างจากสัปดาห์พักมืออยู่ด้วย อาการบาดเจ็บทั้งหมดหายไปแล้ว เหลือแต่ร่องรอยของสะเก็ดอีกนิดหน่อย ถึงจะเป็นอย่างนั้นมือซ้ายก็ยังมีพลาสเตอร์ติดเอาไว้เสมอเพื่อตบตาคนอื่น อารมณ์ประมาณว่าเขาไม่อยากจะตอบคำถามว่าถ้าไม่พันมือแล้วทำไมถึงยังไม่กลับไปซ้อม

   เดินไปรับป้ายชื่อและเสื้อค่ายสีกรมท่าตามไซซ์ที่สั่งมาถือเอาไว้คนละตัว ขั้นต่อไปคือการเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย พื้นที่ของห้องเด็กทุนไม่เหมาะสำหรับการค้างในคืนก่อนวันงานเลยอนุญาตให้คนที่เคลียร์งานเสร็จหมดแล้วกลับไปนอนห้องตัวเองก่อนที่มาเจอกันช่วงเช้าแทน

   นอกจากรับผิดชอบหน้าที่ฝ่ายกิจกรรมในวันที่สองช่วงเย็นแล้วปันกับเอื้อมไม่ได้มีงานชิ้นอื่นชัดเจน เลยโดนเด้งไปเป็นฝ่ายสวัสดิการด้วยเหตุผลว่าต้องการผู้ชายเอาไว้ยกข้าวยกน้ำ ตรงป้ายชื่อของพวกเขาเลยมีตำแหน่งเขียนเอาไว้เยอะกว่าคนอื่นนิดหน่อย

   "แลกป้ายชื่อแกล้งเด็กกันไหม"

   ระหว่างที่กำลังแก้ไขความยาวของเชือกสีขาวแดงข้อเสนอแผลงๆ ก็มาหา

   "จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า"

   "ไม่หรอก ยังไงเราก็อยู่กับปันตลอดอยู่แล้ว"

   ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง พอสบเข้ากับสายตาเปี่ยมหวังแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้เช่นเดียวกับทุกครั้ง เอื้อมนี่ก็ชอบหาเรื่องเล่นอะไรแปลกๆ ไม่ต่างจากแผนงานใหม่ในกิจกรรมของเขาเลย

   มองป้ายกระดาษด้านที่เขียนว่า 'ปัน' ในมือเป็นครั้งสุดท้าย จัดการคล้องมันผ่านศีรษะลงไปจนจบตรงช่วงคอ ลองดูความยาวว่ามันจะทำให้อึดอัดมากเกินไปหรือไม่

   ส่วนป้ายชื่อของเอื้อมย้ายไปแขวนร้อยเอาไว้กับสายร้อยเข็มขัด ปรัญไม่ชอบให้มีอะไรแขวนอยู่ตรงคอเท่าไหร่ มันจั๊กจี้จนพาลให้หงุดหงิด แต่บางคนก็ไม่ชอบให้ทำอย่างนี้นะ บอกว่ามันดูไม่เป็นมืออาชีพทำนองนั้น บอกเลยว่าไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเป็นเหตุเป็นผลตรงไหน

   "สามวันนี้จะเป็นพี่ปัน ห้ามหลุดเลยนะ"

   "ครับๆ" มีคำอื่นให้ตอบรับที่ไหน "ทำไมถึงอยากสลับล่ะ หรือว่าเคยทำมาก่อนเหรอ"

   "เปล่า แค่อยากหลุดจากการเป็นคุณเอื้อมบ้างน่ะ"

   "งั้นเราต้องเป็นเอื้อมเวอร์ชันที่ประหลาดแน่เลย"

   "มาแตะสลับร่างให้จบพิธีเร็ว"

   ยกฝ่ามือทั้งสองข้างไว้ระดับอก ความห่างอยู่ในระดับที่พอดีกับการทาบมือตัวเองลงไป เทียบจากสายตาแล้วนิ้วเอื้อมจะเรียวสวยส่วนเขาจะหนาแล้วก็ยาวกว่า อิจฉามือนักดนตรีจังเลยนะ

   ไม่มีการประสานนิ้วให้เชื่อมกันสนิท เขาฟังเอื้อมอารัญท่องบทคาถาที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ประมาณว่าจงอย่าลืมแล้วเผลอหลุดออกมาไม่อย่างนั้นจะไม่สนุกแน่ ย้ำตรงช่วงที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่เอื้อมจนรู้สึกตงิดในใจ

   ไม่อยากจะเป็นตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ

   "โอเคนะ ตอนนี้เราคือปันแล้วปันคือเรา"

   "ครับ ตอนนี้ชื่อเอื้อมอารัญ"

   "เรียนคณะอะไรก็ต้องเนียนนะ"
   
   พอทักเรื่องนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ "แล้วถ้าน้องถามว่าคณะพี่เรียนอะไรบ้างจะตอบยังไง"

   "บอกว่าผ่านค่ายให้ได้ก่อนค่อยมาถามใหม่นะเด็กน้อย"
 


   ทุกอย่างยังดำเนินตามแผนงานที่วางเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ประทับใจที่อธิการบดีมาเปิดงานได้ตรงตามเวลาที่นัดหมายเอาไว้ ปรัญมองเด็กชายหญิงในชุดนักเรียนจากมุมหลังสุดของห้อง รู้สึกว่ายูนิฟอร์มของเด็กมัธยมนี่มันตอกย้ำความแก่เสียเหลือเกิน

   นี่ยังไม่จบปีหนึ่งเลยนะ

   "เราเคยคิดว่าตอนสอบเข้าเครียดแล้วนะ มาเจออย่างนี้รู้สึกสบายขึ้นมาเลย"

   เอื้อมหรือพี่ปันในเวลานี้เขยิบเข้ามาใกล้ ใช้เสียงเบาในการพูดคุยกันไม่ให้รบกวนคนอื่น

   "อะไรได้มากกว่าก็ต้องแลกเยอะกว่า" เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ "ยิ่งมีจำกัดก็ต้องแข่งขันมากขึ้น"

   เปอร์เซ็นต์คือหนึ่งในสิบ หมายความว่าจะเด็กเกือบร้อยจะมีเพียงสิบรายชื่อตัวจริงเท่านั้นปรากฎอยู่ในประกาศ เป็นการแข่งขันที่ไม่สูงจนน่ากลัวแต่ก็ไม่ได้คว้ามาได้ง่ายๆ หมายความว่าต้อง 'แซง' คนอีกเก้าชีวิตเพื่อให้ถึงเส้นชัยทันเวลา

   "ของเราคนสอบไม่เยอะเลยอะ แบบ วันสัมภาษณ์เห็นหน้าคนไหนตอนเรียนก็เห็นเหมือนเดิม"

   "เอาจริงคือเพิ่งรู้ว่ามีคณะนี้ก็ตอนฮิวบอก"

   ยังต้องขอทวนอีกรอบเลยว่าชื่อคณะอะไร ไม่ได้เมกขึ้นมาเองใช่ไหม แค่ชื่อคณะยังยาวเป็นพรืดพอบอกว่าเรียนอะไรบ้างก็ปาเพิ่มเข้าไปอีกครึ่งคาบ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังสงสัยอยู่หลายอย่าง แล้วคงทำหน้าตาเด๋อใส่จนตอนเจอกันในชั่วโมงเรียนถัดมาเลยได้แผ่นแนะนำคณะเป็นของฝาก

   "ไม่แปลกหรอก ก็แอบเหงานะมีกันแค่สองชั้นปี"

   "ตอนนี้ต้องเป็นพี่ปันเศรษฐศาสตร์สิ" แกล้งแหย่ในสิ่งที่เป็นคนเริ่มต้นเอง

   "ได้ครับพี่เอื้อม"

   พิลึกดีกับการได้ยินเสียงเรียกชื่อ ด้านหลังของโต๊ะสวัสดิการและพยาบาลยังไม่ได้เริ่มใช้งานจริงจัง ต่อจากพิธีการเปิดที่เป็นทางการจนน่าง่วงนอนแล้วจะเป็นพาร์ตการแนะนำตัวพี่ค่ายทั้งหมด ไม่ได้หวังให้จำได้หรอก มันมีไว้เพื่อให้ตารางงานไม่โล่งเกินไปน่ะ

   ท่องบอกตัวเองอีกครั้งว่าต้องอย่าลืมเรื่องสำคัญที่สุด เขาไม่เคยอยากจะเป็นคนอื่นมาก่อนเลย แบบว่ายังไงการเป็นตัวของตัวเองก็น่าจะดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรือไง

   "ปัน นี่ไม้นะ" ยังสับสนอยู่แต่ก็รับไม้กลองมัดหนึ่งมาจากเพื่อนที่ติดป้ายว่าฝ่ายพัสดุ "กลองทอมวางเอาไว้หน้าห้องแล้ว เดี๋ยวเตรียมไปเล่นได้เลย"

   เหมือนว่าจะได้เจอเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่หัววันเสียแล้ว "เราไม่ได้เป็นคนตีนะ"

   ไม่มีใครมอบตำแหน่งนี้ให้สักหน่อย เขาเป็นแค่สองอย่างก็เหนื่อยแล้ว ทำไมต้องหาเรื่องมาเพิ่มตำแหน่งที่สามให้ด้วย ปรัญมั่นใจว่าในการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีสักใครพูดเรื่องนี้ หันไปถามเอื้อมก็ได้

   "อ้าว แต่ประธานบอกว่าเป็นปัน"

   ชื่อตำแหน่งที่ทำเขาหัวปั่นมาเป็นสัปดาห์ชวนโมโห นี่ต้องคิดเองจัดการเองอีกแล้วแน่ "อือ เดี๋ยวเราไปเคลียร์เอง"

   เวลานี้เป็นช่วงของการจำใจพยุงให้งานดำเนินต่อไปได้ไม่มีสะดุด ปรัญมองไม้กลองราคาถูกที่แสนเปราะบางในมือด้วยความคิดที่ว่าถ้าลงแรงไปมากหน่อยมันจะต้องหักระหว่างการเล่นแน่ ก็บอกแล้วไงว่าเครื่องดนตรีชนิดเดียวที่เล่นได้ก็คือกลองสัน

   "นี่เราต้องออกไปเล่นเหรอ..."

   หันไปหาคนเปรยคำก่อนหน้า เห็นป้ายชื่อที่ยังห้อยคอเอาไว้แล้วก็หลุดขำออกมาได้นิดหน่อย "พี่ปันต้องเป็นมือกลองด้วยนะ"

   "พี่ปันเล่นเป็นแต่ไวโอลินครับ"

   "หืม ไหนใครบอกต้องเนียนไง"

   "ทางเดี๋ยวที่เราจะเนียนได้คือต้องสลับวิญญาณกันแล้วล่ะ"

   "นี่แสดงว่าพิธีกรรมเมื่อเช้าไม่ได้ผล" กระเซ้าพอให้อาการขุ่นมัวคลายลงไป ตอนนี้จะให้โวยวายก็ไม่ใช่ที่ ปรัญจะไม่มีปัญหาถ้ามันเป็นการตกลงตั้งแต่แรกแบ่งงาน นี่คือเขาเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองต้องทำงานฝ่ายสวัสดิการ ตอนแบ่งสคริปงานเลยสนใจแต่ส่วนที่ต้องรับผิดชอบ "ผิดพลาดตรงไหนเนี่ย"

   "เดี๋ยวขอไปเช็กก่อน ไว้จะมาแก้มือ"

   ยิ่งรับมุกด้วยแล้วก็เริ่มไปกันใหญ่ ฝ่ายกิจกรรมที่คอยดูภาพรวมส่งสัญญาณยิกจากข้างเวทีให้เข้าไปประจำที่ คนเพิ่งได้รับมอบตำแหน่งมือกลองเป็นอย่างล่าสุดเดินเลาะไปตามริมกำแพงจนถึงหน้างาน คุยกับพิธีกรในช่วงถัดไปก่อนว่าจะต้องเล่นจังหวะอะไรบ้าง

   ทดลองตีกับอากาศไปพลาง ตามองไปด้านหลังสุดของห้องเป็นระยะตามความห่วงที่ยังมีอยู่ เอื้อมเคยคุยกับคนร่วมฝ่ายแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วปล่อยให้อยู่ตรงนั้นคนเดียวเดี๋ยวก็กลายเป็นอากาศ

   "ต่อไปเป็นการแนะนำพี่ค่าย ช่วยมายืนกันตรงข้างหน้าด้วยจ้า"

   รัวตามจังหวะปกติที่ใช้ เอื้อมถูกเพื่อนดันหลังให้ออกมาพร้อมกันทั้งฝ่าย ก็อยากจะไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันมากกว่าต้องมายืนจังก้าอยู่คนเดียวตรงนี้

   พอมันเป็นการแนะนำแบบแถวหน้ากระดานเลยง่ายหน่อย ชื่อเพื่อนร่วมโครงการและเพื่อนของเพื่อนเข้าโสตแล้วก็หายไปตามความไม่ใส่ใจ จากมุมนี้ไม่เห็นว่าสีหน้าของน้องนักเรียนเอนจอยกับช่วงเวลานี้แค่ไหนเพราะว่าโดนบังจนมิด

   "ชื่อพี่ปันครับ อยู่สวัสกับกิจกรรม"

   ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เสียงร้องและปรบมือยามชื่อของตัวเองออกไมค์ด้วยน้ำเสียงอีกคนมันได้รับการต้อนรับที่ดีจนน่าภูมิใจปนหมั่นไส้ไปพร้อมกัน

   "และสุดท้ายพี่มือกลองของเรา..." เห็นหน้าเพื่อนก็รู้แล้วว่ามีคำถามเรื่องการแนะนำตัวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ปันส่งยิ้มปลอบว่าไม่ต้องกังวล โน้มตัวเข้าไปใกล้เครื่องขยายเสียงโดยที่สายตาไม่หันเหไปมองใครอื่น

   นอกจากผู้ชายที่กำลังยกมุมปากรู้แกวการตอบ

   "พี่เอื้อมนะครับ"

   ให้มันเป็นเรื่องที่รู้กันสองคนก็พอ
 


   "สรุปแล้วชื่อพี่ปันหรือพี่เอื้อมคะ"

   "เอื้อมครับ"

   กลับมาประจำที่ฝ่ายสวัสดิการผู้แบกน้ำขนข้าวเป็นที่เรียบร้อย หลังจากการเดินไปเคลียร์กับประธานก็ได้คำตอบว่าวันนี้คงต้องช่วยไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะพยายามหาคนมาแทน ปรัญอ้างเรื่องที่ต้องคอยคุมกิจกรรมใหญ่ช่วงเย็นด้วยเลยมีภาษีดีกว่า

   มีคนเดินมาถามหลายรอบแล้วเพราะว่าฝ่ายเอ็มซีดันหลุดชื่อออกมาตามความเคยชิน มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร เราสองคนก็เลยได้สนุกกับการปั่นหัวเด็กอย่างที่พูดเล่นกันเอาไว้

   "แต่เมื่อกี้พี่แป้งบอกชื่อพี่ปัน"

   "พี่ปันอยู่ตรงนั้น"

   นี่แหละนะที่บอกว่าคนเรามักจะสนุกบนความทุกข์ของคนอื่น ปันในชื่อพี่เอื้อมกลั้นขำให้กับอาการสับสนของเด็กหญิงที่มาพร้อมกับขวดน้ำสำหรับวนเติม นี่เขายังเบาๆ เอื้อมอารัญตัวจริงน่ะมีวิธีการแพรวพราวเยอะยิ่งกว่า

   "พี่เอื้อม สงสารน้องแต่ก็สนุก ทำไงดี"

   "เอาตามที่พี่ปันเห็นสมควรเลยครับ"

   มันกลายเป็นคำทั่วไปที่สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แค่มองหน้า สบตา และเรียกชื่ออีกฝ่ายเท่านั้นเอง

   "ไว้ค่อยสารภาพก่อนจบค่ายแล้วกัน"

   "ตามนั้น" เป็นฝั่งรับทราบและนำไปปฏิบัติตามอยู่แล้ว "เดี๋ยวอีกห้านาทีออกไปโทรเช็กข้าวกลางวันนะ"

   เป็นหน้าที่ที่สำคัญอันดับต้นๆ ของฝ่าย นั่นคือการดูแลเรื่องอาหารการกินไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เรื่องมื้อาหารไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเป็นการทานที่ร้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ให้เป็นข้าวกล่องด้วยนโยบายลดขยะตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย นี่มันโครงการเชิดหน้าชูตาเลยนะ

   "แล้วต้องเตรียมน้ำเพิ่มไหม เมื่อกี้เติมไปเยอะแต่เหมือนจะพร่องไปแล้ว"

   เห็นเล่นไวโอลิน ไม่ค่อยออกกำลัง แต่เรื่องพละกำลังนี่ไม่ด้อยกว่าใครเลย ตอนแรกเพื่อนคนอื่นกังวลมากเกี่ยวกับแผลที่ฝ่ามือ จะให้ทำแต่งานที่ไม่ต้องใช้แรงมากเท่านั้น พ่อคุณคนเคยป่วยเลยโชว์แบกน้ำถังขุ่นจากด้านนอกเข้ามาอยู่ส่วนงานข้างในคนเดียว

   ไม่บ่นเรื่องปวดแขนสักคำด้วย

   "ยังหรอก เดี๋ยวกลางวันก็มีน้ำส่วนข้างนอกอีก" รายละเอียดตอนแบ่งงานบอกมาอย่างนี้ ก็จะเชื่อไป

   "งั้นเราออกไปโทรเช็กข้าวแล้วนะ"

   "โอเค"

   ทำมือเป็นรูปตัวโอประกอบ ปล่อยให้เอื้อมอารัญเดินออกไปใช้โทรศัพท์ข้างนอกไม่ส่งเสียงรบกวนกิจกรรมแนะนำข้อมูลเบื้องต้นของมหาวิทยาลัย ปีที่แล้วแนะนำจริงแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นการปลอบใจว่าถ้าไม่ติดในโครงการนี้มันยังมีทางเลือกใดให้ลองต่อไป

   "สรุปคือสลับป้ายชื่อกันใช่ไหม จะได้ตามน้ำไปด้วย" ชำเลืองมองเพื่อนฝ่ายพยาบาล ป้ายชื่อหมุนหลายทบจนเห็นเพียงแค่ด้านหลัง เราเป็นรายชื่ออันดับหนึ่งและสองของโครงการผู้มีศักยภาพที่เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ที่บอกว่ามีคนได้ทุนค่าที่พักด้วยก็คนนี้แหละ

   "ประมาณนั้น ที่จริงไม่ต้องช่วยก็ได้ ให้น้องสับสนไปเรื่อยๆ"

   "ขี้แกล้งเหมือนกันเนอะ"

   "ก็นะ"

   เรื่องโกหกและการหลอกคือภาพลวงของความสนุกสนาน มันจะทำให้เคลิ้มจนหลงทางได้ง่าย

   หนึ่งคำที่เอ่ยคือหนึ่งก้าวที่ขยับเข้าใกล้ปากเหวแสนอันตราย

   "เอื้อมน่ารักดี"

   ชอบเวลาที่ได้ยินคำพูดทำนองนี้ เขาเบื่อเรื่องเล่าของครายวูลฟ์แล้ว "เราก็ว่าอย่างนั้น"

   "ไม่เหมือนที่ได้ยินมาเท่าไหร่ ...จากพวกออร์เคสตราน่ะ"

   จากที่มีรอยยิ้มประดับหุบลงทันควัน ปรัญสูดลมหายใจเข้าลึกเป็นการเตือนไม่ให้โพล่งอะไรที่ไม่ค่อยดีออกไป มันไม่ใช่เรื่องแปลก เราเป็นเพื่อนร่วมตึกที่เจอหน้ากันตลอด การแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าเกิดขึ้นได้เสมอ

   "อยากให้เจอเอง"

   "เราก็ว่างั้น แต่บางคนอาจจะไม่"

   ฝืนเท่าที่จะทำได้สำหรับการปั้นหน้านิ่งไม่ถึงกับตึงเรียบ เขาเข้าใจว่าฐานะของเอื้อมในการทำงานครั้งนี้คือผู้ช่วยสำหรับกิจกรรมเงียบ ไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกคนที่ทำงานหลักๆ เอาแค่ให้งานส่วนที่รับผิดชอบสำเร็จเรียบร้อยไม่มีข้อผิดพลาดก็พอแล้ว เลยไม่คิดว่าเรื่องนี้ก็กระจายมาถึง

   ไม่ได้คิดว่าเป็นการสร้างสังคมให้อย่างที่ฮิวพยายามทำ อย่างน้อยแล้วก็เป็นตัวเอื้อมเองที่สมัครใจเข้ามาช่วยงานนี้ ไอ้เรื่องหนีงานไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

   "คนรู้เยอะไหม"

   "บอกไม่ได้ เสียงมันกระจายได้ทุกทิศทาง"

   บุคคลที่สามกลับมาพอดีจึงหมดเวลาสำหรับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวแล้ว เก็บเรื่องน่าห่วงเอาไว้คนเดียวพลางรับฟังเอื้อมคอนเฟิร์มว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเรียบร้อย หน้าที่ต่อมาของพวกเราชาวสวัสจึงเป็นการเคลื่อนตัวออกไปแสตนด์บายที่โรงอาหารเตรียมให้พร้อมเอาไว้ ยังมีเรื่องของน้ำดื่มและอาหารว่างรอให้ไปจัดการอยู่

   บางคนบอกว่าการเป็นสวัสดิการมีข้อดีคือได้ทานก่อนเพื่อน นี่อยากจะแย้งเหลือเกินว่าภาวนาให้มันยังเหลือมาถึงก่อนดีกว่าไหม พวกเรารอจนกระทั่งมั่นใจว่าเด็กเกือบร้อยชีวิตและพวกพี่เลี้ยงกลุ่มได้อาหารครบตามจำนวนแล้วจึงเริ่มมื้อเที่ยงบ้าง

   "อยากกินชาเขียวปั่น..."

   คิดอยู่เลยว่าวันนี้ยังไม่ลงแดง เอื้อมไม่ได้กินเครื่องดื่มโปรดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตอนแรกก็ว่าจะเดินไปซื้อแต่งานมันประดังเข้ามาจนต้องพับเก็บ นี่ก็มาอยู่ในโรงอาหารที่ห่างออกจากร้านที่โอเคกับรสชาติเกือบคนละฝั่ง ไม่มีเวลาเอ้อระเหยพอหรอก

   "ทนอีกสองวัน แล้วจะพาไปกิน"

   "ไม่ไหวอะปัน นานไป" น่าจะอาการหนักจริง ไม่งั้นตั้งแต่เช้ามายังไม่เห็นหลุดเรียกชื่อที่ถูกต้องเลยสักครั้ง "ถ้าโบกวินไปจะกลับมาทันไหม"

   "ทัน แต่อันตราย"

   การเดินทางที่ไม่มีอะไรปลอดภัยสักอย่าง พี่วินแต่ละรายก็บิดเร็วท้าทายขีดจำกัดเสียเหลือเกิน เห็นป้ายติดว่าร้องเรียนเรื่องการขับขี่ที่เสี่ยงภัยแล้วเคยอยากไลน์ตอบไปเหมือนกันว่าร้องเรียนกี่ครั้งมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรพัฒนาขึ้นมาให้ชื่นใจบ้าง

   "เราจะบอกให้ขับช้าๆ นะ"

   "พี่ปันไม่กินชาเขียว" งัดเอาเรื่องที่เพิ่งนึกออกขึ้นมาสู้

   "...พี่ปันซื้อมาให้พี่เอื้อมไง"

   "พี่เอื้อมทนไปกินหลังจบงานได้"

   "พี่เอื้อมทนไม่ได้!"

   โดนขึ้นเสียงใส่เสียแล้ว จะทำยังไงกับเอื้อมอารัญต่อดีนะ

   "ทำงานภาคบ่ายก่อน มันจะมีช่วงว่างนี่" จำได้ว่าหลังจากช่วงแจกอาหารว่างภาคบ่ายมันจะมีเวลาว่างสำหรับการพักอยู่เกือบชั่วโมง "พี่ปันยังมีงานต้องทำนะ"

   "ตอนนี้ก็ว่าง แป๊บเดียวเอง จะรีบกลับมา" หากอยู่ในสถานการณ์ทั่วไปท่าการอ้อนโดยการเกาะแขนแล้วเขย่าไปมาก็ดูน่ารักดี แต่ตอนนี้เขาชักจะไม่พอใจที่เราสองคนคุยกันไม่ลงตัวสักที "อยากกินชาเขียวปั่นมากเลย"

   "ทำไมวันนี้ดื้อจัง"

   "..."

   หน้าก็ดุ เสียงก็แข็ง ถึงไม่แปลกใจเลยตอนเห็นเอื้อมอารัญไม่กล้าต่อปากต่อคำกลับ

   "เรากำลังทำงานอยู่นะ อย่าเพิ่งเอาแต่ใจสิ"

   จุดประสงค์คือการอธิบายให้เข้าใจ ยิ่งมารู้ว่ามีหลายคนได้รับข่าวสารเกี่ยวกับเอื้อมในมุมที่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดแล้วก็อยากทำให้ทุกอย่างรัดกุมมากที่สุด เขาไม่อยากให้คำพูดที่ผสมการแต่งเติมทำร้ายผู้ชายคนนี้อีก

   เรื่องยังไม่ทันได้ข้อสรุปที่พอดีกับทั้งสองฝ่ายปรัญก็โดนเรียกให้ไปช่วยอธิบายงานฝ่ายสวัสภาคบ่าย เหมือนกับว่าทางอาจารย์เพิ่งได้ของทานเล่นมาเพิ่มเลยอยากเอามาแจกเป็นขวัญและกำลังใจ นี่ก็โอเวอร์เสียเหลือเกิน

   ตกลงกันอยู่นานจนมาจบที่ว่าสวัสดิการจะเอาของส่วนนี้ไปแจกให้วันกลับเพื่อไม่ให้ไปรบกวนการจัดเตรียมเดิมที่วางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเดินกลับมาภายในโรงอาหารอีกครั้งเพื่อพบว่าคนนั่งข้างที่บ่นเรื่องชาเขียวปั่นไม่อยู่แล้ว

   "เอื้อมล่ะ"

   "บอกว่าไปห้องน้ำ แต่ว่านานแล้วนะ"

   ทำหน้าเครียดไม่รู้ตัว ปันรู้นิสัยอยากได้ต้องได้ของเอื้อมอารัญดี ที่กลัวไปเองคือนี่เป็นเรื่องโกหกเพื่อไปทำอย่างที่ต้องการหรือไม่

   เดินเลี่ยงไปตามทางที่เขียนว่าห้องสุขา มือเตรียมกดโทรออกหาเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ด้วยชื่อจริงแล้ว ปรัญอยากให้ทุกอย่างเป็นสิ่งที่คิดเยอะเกินเหตุ เอื้อมสัญญาแล้วว่าจะไม่โกหก แล้วมันต้องย้ำว่าแต่สำหรับคนอื่นแล้วนิสัยจอมแต่งเรื่องเท็จไม่ได้พัฒนาขึ้นมากเท่าไหร่

   กวาดสายตาตามหาเพียงคนเดียว ก้าวเท้าเร็วขึ้นจนมันเกือบจะเป็นการวิ่งเหยาะได้

   "โอ๊ย เจอพอดีเลย มาช่วยกันหน่อย"

   หยุดชะงักไปพลันยามได้ยินเสียงคุ้นเคย เหมือนมีเรดาร์ที่แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าควรหันไปทางไหน เอื้อมยืนหน้าตื่นอยู่ตรงหน้าห้องน้ำหญิง เป็นภาพที่ขัดตาแต่ว่าไม่มีเวลาซักไซ้เรื่องนั้น

   "ช่วย?"

   "น้องคนที่มาถามเรื่องชื่อเราสองคนประจำเดือนมาอะ แล้วน้องออกมาเจอเราพอดีเลยขอให้ช่วย" มันคือค่ายที่รวมเด็กจากหลายโรงเรียนเข้าไว้ด้วยกัน แล้วการมาเพื่อเป็นคู่แข่งไม่สามารถสร้างเพื่อนแท้ได้ง่าย "เราควรไปหาฝ่ายพยาบาลไหม ให้เขาช่วยจัดการต่อ"

   เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น "เดี๋ยวเอื้อมไปบอกนะ เราอยู่ตรงนี้ให้"

   ใจจริงคืออยากจะได้เวลาหายใจ ทั้งโล่งใจที่เรื่องค้างในความคิดไม่เป็นอย่างที่ระแวงรวมไปถึงอยากได้เวลาทบทวนสิ่งที่ตัวเองเป็น

   เขาไม่เชื่อใจเอื้อมอารัญ

   ทั้งที่อีกฝ่ายสัญญาและปฏิบัติตามมาได้เสมอ

   น่าละอายจนไม่อยากจะสู้หน้าตอนที่เอื้อมกลับมาพร้อมกับเพื่อนหญิงฝ่ายพยาบาลคนเดิม เราปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของผู้หญิงถึงผู้หญิง มันไม่มีเวลาให้พักนานเพราะต้องเตรียมส่วนของภาคบ่ายแล้ว

   พยายามสนใจแต่งานไม่วอกแวก จัดการทุกอย่างให้ตรงตามข้อตกลงตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคิดโทษตัวเองเรื่องที่ผ่านมาอยู่ ถอนหายใจแรงพร้อมกับตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง

   "ถ้าไม่มีอะไรเร่งด่วนจะไปซื้อด้วย โอเคไหม"

   เลยจบลงด้วยการรับรองว่าจะทำอย่างที่ต้องการในเงื่อนไขที่วางเอาไว้ ปรัญทำอะไรที่ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่าอย่างการยกนิ้วริมสุดขึ้นเตรียมเกี่ยวก้อย หวังว่าอย่างน้อยมันคงช่วยทดแทนความรู้สึกผิดที่ก่อตัวอยู่

   "แค่ปล่อยให้เราซื้อก็พอ ปันไม่ต้องไปด้วยหรอก" อีกฝ่ายทำหน้าไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็ยื่นมือออกมาเกี่ยวเอาไว้โดยดี

   "ไม่ได้สิ"

   ปฏิเสธชัด กระชับช่วงนิ้วอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

   "ก็ตอนนี้เราเป็นเอื้อมไม่ใช่เหรอ"


***
   ปุ่มบวกเป็ดหายไปเหรอคะ เจ้าจะกดบวกให้คอมเมนต์แต่หาไม่เจอ
   ชอบที่แต่งเรื่องนี้แล้วชีวิตดูไม่เครียดมากๆ เลยค่ะ (ฮา) เอื้อมกับปันแต่งลื่นมากจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ช่วงนี้ก็จะให้ทายกันไปก่อนแล้วจะเริ่มเฉลยไปเรื่อยๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและอยู่ด้วยกันมาเสมอนะคะ
   ลืมเอามาลงในนี้ว่าเรื่องสั้นประจำปีนี้มาแล้ว ROOM (ex) MATE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66976.0) ตามลิงก์นี้เลยค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบ [6.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 06-05-2018 21:53:59
ดูเหมือนเอื้อมสบายๆที่เป็นปันแต่ปันแอบเครียดนะเนี่ยบางที่ที่เอื้อมขอให้ปันเป็นเอื้อมปันอาจรู้อะไรเพิ่มก็ได้นะอิอิ..ไม่ใช่นิยายสืบสวนเนาะเป็นกำลังให้คุณเจ้านะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบ [6.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 06-05-2018 22:10:14
ค่อยๆ ปรับไป มีแผลมันก็ต้องทิ้งรอยไว้บ้าง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบ [6.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 07-05-2018 14:36:00
สงสารเอื้อมเหมือนกันนะเนี่ย ชื่อเสียงดังมาถึงนี่ และดูๆแล้วเอื้อมก็พยายามขึ้นมากๆเลย เอาใจช่วยเอื้อมนะ ปล.อ่านแล้วอยากกินชาเขียวสุดๆไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเอ็ด [13.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-05-2018 13:07:35
สิบเอ็ด
 

   ไปสองคนก็ควรได้กลับมาสองแก้ว ในความเป็นจริงคือแบกกลับมาสิบสามแก้ว

   จะไม่บอกคนอื่นก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนเขม่น พอบอกเป็นพิธีก็เกิดคลื่นใต้น้ำเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ จนต้องบอกว่าจะให้ซื้ออะไรก็ส่งมาในไลน์

   "อะ ไปรื้อกันเอง จ่ายเงินมาด้วย"

   ทั้งน้ำทั้งบิลวางกองรวมกันไว้ บรรยากาศข้างหลังห้องที่มักจะติดทะมึนยิ่งดูเหมือนโลกแยกของเหล่าซอมบี้ผู้กระหายน้ำเข้าไปใหญ่ ปรัญยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากเป็นเชิงว่าจัดการกันเบาๆ ไม่ให้รบกวนกิจกรรมเกี่ยวกับการพาทัวร์มหาวิทยาลัยในภาคบ่ายด้านหน้า

   เงินจ่ายเงินทอนตีกันให้วุ่น เอื้อมหยิบจับแลกธนบัตรกับรับเหรียญมือระวิง ก็ดันเป็นคนจ่ายเงินทั้งหมดไปก่อนล่ะนะ

   "ชาเขียวที่เขียนว่ารัญนี่ของใครอะ" เพื่อนเศรษฐศาสตร์ยกมันขึ้นมาชูสูง ทุกแก้วจะมีเขียนชื่อคนสั่งเอาไว้เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของ "สองแก้วด้วย ร้านทำผิดปะ"

   "ไม่นะ ถูกแล้ว"

   เอื้อมอารัญส่งแก้วกระดาษบรรจุดาร์กช็อกโกแลตแก้วเดียวในบรรดาของเย็นทั้งหมดมาให้ ตามมาด้วยแบมือขอสิ่งที่เป็นออเดอร์ตัวเอง

   มันพิลึกไปหน่อยถ้าจะเขียนชื่อของอีกฝ่ายลงบนแก้วเครื่องดื่มโปรดของตัวเอง แต่ถ้าไม่อยากให้ใครจับได้มันก็ควรจะตามน้ำไป จนเอื้อมเสนอมาว่าก็ใช้ชื่อรัญไปเหมือนกันทั้งสองแก้วเลย อย่างไรมันก็เป็นชื่อของพวกเราสองคนจริงๆ ไม่ได้หลอกใคร

   "จ่ายกันน่าจะครบแล้วล่ะ ถ้าไม่ครบเราก็ไม่รู้อยู่ดี"

   แหงล่ะ เล่นรับจ่ายแบบที่ไม่สนใจเช็กความถูกต้องเลย

   "ขอบคุณสำหรับการช่วยชีวิตค่า นี่เดี๋ยวถ้าต้องออกไปเจอแดดแบบไม่มีไอเทมต้องตายแน่"

   ก็อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวจะเป็นการทัวร์รอบรั้วในยามบ่าย ท้องฟ้าโปร่งโล่งไม่ค่อยมีเมฆบังแสง ควรมีอุปกรณ์กันแดดอย่างหมวกไม่ก็ครีมกันแดดเตรียมพร้อมเอาไว้ การต่อสู้ของมนุษย์และธรรมชาติจะยังดำเนินไปไม่มีสิ้นสุดตราบใดที่เรายังกระทำตนเป็นผู้ล่าอยู่

   ไม่เหมือนกับคนอื่นที่สามารถยกเครื่องดื่มขึ้นงับหลอดได้ทันที เขายังต้องรอให้อุณหภูมิข้างในแก้วลดระดับลงไปก่อนถึงจะได้ลองชิม นี่ก็เจ้าของร้านอินดี้ เคยบ่นว่าอยากกินโกโก้แต่หาซื้อยาก พี่เขาก็เลยไปหาช็อกโกแลตแบบดาร์กมาให้เพื่อปลอบใจ

   จะไปเปิดร้านกาแฟหลังเรียนจบจริงๆ แล้วนะ

   เตรียมตัวออกเดินทางไปพร้อมกับคนอื่น หน้าที่ของพวกเขาคือแจกจ่ายของว่างบ่ายสามครึ่งตามฐานต่างๆ ที่วางเอาไว้ อย่างต่อจากนี้ก็ต้องแวะเอาบรรดาขนมซองจากห้องพัสดุไปแจกจ่าย

   ย้อนแย้งและไม่เข้าใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในการสร้างเงื่อนไขว่าไม่อยากจะใช้ชามโฟมในการแบ่งขนมแต่ก็ไปเลือกแบบถุงพลาสติกแทน มีการยกข้อต่อสู้ว่าอย่างน้อยมันก็สะดวกกว่าในแง่การแบกมาเสริม เลยได้บทสรุปออกมาเป็นแนวทางนี้

   "เราต้องไปโรงกลางก่อนใช่ไหม"

   "อ่าฮะ" ต่อจากนั้นคือศูนย์วิทยาศาสตร์ และหอประชุมตึกเรียนรวมห้า "แบกขึ้นรถม. ไหวเนอะ"

   ยังเห็นใจเด็กนักเรียนจึงเปิดทัวร์ด้วยการโดยสารรถรางรอบมหาลัย ไม่ได้ให้เดินสลับปั่นจักรยานอย่างที่ประสบมาปีที่แล้ว หลังทานข้าวมื้อเย็นนี่ตาแทบปิดทำฐานต่อไม่ได้

   "ทำไมไม่ขับรถไปล่ะ" เอื้อมอารัญก็มีวิธีการแก้ปัญหาในแบบของตัวเอง

   "เพราะว่าตอนนี้เจ้าของรถอย่างพี่เอื้อมไม่อยากขับน่ะสิครับ"

   "ตอกย้ำจังเลยนะ"

   ลอยหน้าลอยตาส่งสัญญาณว่ากำลังเป็นฝ่ายเหนือกว่าไปให้ ไม่รู้ว่าใครอินกับการสวมบทบาทเป็นอีกฝ่ายมากกว่ากัน

   "มีเวลาตั้งเยอะ ไม่ต้องเร่งรีบอะไรหรอก"

   ทอดน่องเดินออกมาจนถึงป้ายประจำทาง รถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยมีหลายเวอร์ชันให้ลอง ทั้งแก๊สและไฟฟ้า เหมือนจะเต็มไปด้วยความใส่ใจแต่ความจริงแล้วถ้ามีความจำเป็นเร่งรีบอย่ามาฝากชีวิตไว้ด้วยเลย ตารางการเดินรถไม่เคยตรงเวลา

   รออยู่เกือบสิบนาทีถึงเจอสายการเดินทางที่ต้องการ มือสี่ข้างของสองคนเต็มไปด้วยถุงพะรุงพะรังจนเห็นชัดว่าสายตาของผู้โดยสารที่รับบริการอยู่ก่อนแล้วมองมาเป็นตาเดียว พวกเขาพยายามแทรกตัวไปทางด้านหลังสุดของรถ วางของทานเล่นพิงเอาไว้กับมุมเพื่อให้มีเวลาสำหรับจัดการเครื่องดื่มที่ยังพร่องไม่ถึงครึ่ง

   "นี่เป็นครั้งแรกที่เราขึ้นรถราง"

   "ไม่แปลก ก็มีรถนี่" บางครั้งเขาว่าการเดินยังถึงที่หมายเร็วกว่าการขึ้นรถเลย "เราก็ปั่นจักรยานตลอด ไม่ค่อยได้ขึ้น"

   "โอ๊ะ นั่นเด็กๆ นี่นา"

   ท่ายกมือขึ้นป้องกันแสงมองออกไปด้านนอกคล้ายฉากในหนังบางเรื่อง หันตามออกไปเพื่อพบกับกลุ่มของเด็กนักเรียนกำลังยืนฟังคำอธิบายนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับตึกห้องสมุดด้านหลัง จะว่าไปแล้วก็เตือนอีกเลยแล้วกัน

   "อย่าลืมทำรายงานนะเอื้อม"

   "อย่าเอาความจริงมาตอกย้ำสิ" ตอบอย่างนี้ยังไม่ถึงไหนแหง

   "เดี๋ยวลืมแล้วจะยุ่ง เตรียมลงได้แล้ว"

   พยักเพยิดให้กดกริ่งก่อนจะเลยป้าย หอบหิ้วเอาของทั้งหมดลงมาพลางสอดส่องหาสถานที่ทำกิจกรรม จนได้ยินเสียงของเอ็มซีผ่านโทรโข่งแว่วมาจึงมีตัวนำทางใหม่ พวกเขาไม่ได้กำหนดเวลาการแจกอาหารว่างเอาไว้ชัดเจน เป็นการคาดคะเนแล้วก็เสี่ยงดวงว่าจะถึงเมื่อไหร่

   สถานที่สำหรับการทัวร์ส่วนนี้คือตึกอ่านหนังสือยี่สิบสี่ชั่วโมง เพิ่งสร้างก่อนเขาเข้ามาแค่ปีเดียว ดีไซน์โดยรวมถึงไม่ได้เก่าแก่เช่นเดียวกับตึกเรียนรวมต่างๆ เคยมาอยู่ครั้งสองครั้งแล้วก็โบกมือลา ไม่ค่อยชอบอากาศแบบขั้วโลกแล้วก็อึดอัดปริมาณผู้ใช้บริการ

   ฟังเรื่องเล่าจริงผสมกับการใส่ไฟให้ดูมีสีสันอยู่ด้านหลังร่วมกับพี่เลี้ยงกลุ่ม เพิ่งรู้เหมือนกันว่าความจริงแล้วเปิดแค่ยี่สิบสามชั่วโมงเพื่อให้แม่บ้านมีเวลาทำความสะอาด ส่วนเรื่องที่บอกว่ามีคนหอบหมอนกับผ้าห่มมาค้างคืนนี่ไม่แปลกใจเพราะเจอมากับตัว

   "ปันกับเอื้อมมานี่หน่อย มีน้องหลายคนอยากรู้ว่าสรุปแล้วชื่ออะไรกัน"

   ถึงจะคิดว่าไม่ได้อยู่ในงานที่ได้รับมอบหมายก็ยังปลงตกว่าควรให้ความร่วมมือ จูงกันออกไปยืนต่อหน้าสายตาหลายสิบคู่ รู้อยู่แล้วว่าสร้างเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง

   “ตามป้ายจะชื่อพี่ปันครับ”

   วิธีการ ‘เลี่ยงบาลี’ สมบูรณ์แบบ เอื้อมไม่พูดอะไรที่เป็นการมัดตัวเองสักนิด ปรัญก็เลยทำตามไม่ให้มีข้อพิรุธ

   “ถ้านั่นคือพี่ปัน อีกคนก็ต้องเป็นพี่เอื้อมครับ”

   ท่ายืนชิดติดกันเป็นธรรมชาติ คนสองคนที่ร่วมหัวจมท้ายกันทำเรื่องน่าปวดหัวชักชอบสีหน้าการแสดงออกว่าไม่เข้าใจของเหล่าเด็กอายุห่างกันปีกว่า

   มีน้องที่ไม่ยอมแพ้ จะซักไซ้เพิ่มอยู่เหมือนกัน ยังพออ้างว่าต้องเอาของไปส่งให้ฐานอื่นเพื่อชิ่งออกจากการสอบสวนได้ ทั้งเอื้อมอารัญและปรัญหัวเราะสนุกสนานกันอยู่สองคน ไม่สนใจว่าคนรอบข้างอาจจะมองมาด้วยความสงสัยว่าอากาศร้อนจนสติเพี้ยนหรือเปล่า

   "ชอบหน้าน้องตอนบอกว่าไม่เข้าใจมากๆ เลยอะปัน"

   "แต่ว่าก็เกือบโดนจับได้เหมือนกันนะ"

   "ไม่หรอก ยังได้อยู่"

   ต่อจากโรงกลางคือศูนย์วิทย์ ห่างออกไปพอประมาณและรถรางเข้าไม่ถึง คือมันดันเป็นส่วนพื้นที่เดียวที่มหาวิทยาลัยไม่ได้รับผิดชอบทั้งหมด แต่ยกให้กับองค์กรทางวิทยาศาสตร์เป็นคนจัดการ ข้างในมีพวกแลปแล้วก็ห้องเรียนสำหรับนักศึกษาที่เรียนสายวิทยาศาสตร์อยู่ไม่น้อย ไม่แปลกที่เลือกมาทัวร์ตรงนี้ด้วย

   "เราไม่เคยเข้าไปข้างในเลย" จากสามถุงตอนนี้เหลือแค่สองแล้ว เลยแบ่งกันถือคนละถุง "ที่จริงคือศูนย์นั่นเราเคยเข้าไปปรินต์งานแค่รอบเดียวเอง"

   "ตึกเอื้อมมีหมดทุกอย่างแล้วนี่"

   นี่แหละข้อดีของคณะเปิดใหม่ มีตึกเป็นของตัวเองแล้วอุปกรณ์ก็ครบครัน

   "เดี๋ยวปันเดี๋ยวเอื้อม พอเรียกชื่อไปมาชักสับสนเองแล้ว"

   พอเห็นคนต้นคิดทำหน้ายุ่งก็เลยหยอกไป "อะไร จะยอมแพ้แล้วเหรอ"

   "ไม่เอา เป็นปันสนุกอะ"

   เก็บคำว่าสนุกเอามาตีความเอง เอาเข้าจริงแล้วพวกเราไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการแลกชื่อกัน ส่วนอื่นแล้วมันก็ยังเป็นตัวตนที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปตามได้ ยิ่งเอื้อมเคยพูดว่าไม่อยากจะเป็น 'เอื้อมอารัญ' ด้วยแล้ว บทสรุปของเรื่องราวมันเลยไร้ความชัดเจนในความรู้สึก

   
   ง่วง เหนื่อย และไม่อยากจะทำอะไรแล้ว

   ปรัญปิดถังน้ำแข็งที่มีก้อนน้ำเหลือเพียงก้นลงตามเดิม เป็นการปิดงานของวันแรกโดยสมบูรณ์ เขาก้มลงมองนาฬิกาตัวเองที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มด้วยความรู้สึกหลากหลายปนกัน ทั้งดีใจที่เลิกก่อนเที่ยงคืนแต่ก็ยังไม่พอใจกับการจัดสรรเวลาที่บอกตอนแรกว่างานจะจบตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง

   ค่ายพวกนี้ไม่ค่อยยอมให้เด็กนอนดึก วันนี้ยังเป็นการแนะนำทั่วไปไม่ค่อยมีอะไรน่ากังวล พรุ่งนี้ทั้งวันนี่แหละของจริง เหล่าอาจารย์และรุ่นพี่ที่ถูกเชิญมาจะคอยมอนิเตอร์การมีส่วนร่วมตลอดทั้งวันเหมือนกล้องวงจรปิด หิ้วแฟ้มคะแนนไปมาจนกลายเป็นภาพหลอน

   "เอื้อม กลับกัน"

   เรียกคนที่ยังยืนหน้ายุ่งอยู่กับปึกกระดาษในมือ ก่อนจะมาเช็กของมีการประชุมสรุปงานของพรุ่งนี้อีกครั้ง แล้วอยู่ดีๆ ก็มีรุ่นพี่โผล่มาจากไหนไม่รู้ถามยุบยับ ในฐานะคนวางแผนกับมือสามารถตอบได้หมดไม่มีช่องโหว่ แถมมันก็พาลปลุกความรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมา

   "เอื้อมครับ"

   ย้ำชื่ออีกครั้งก็ยังไม่ได้ยิน ปันเดินเอามือไปบังแผ่นบันทึกแผนงานทั้งหมดด้วยมือเดียว ซึ่งมันก็บีบให้ต้องเงยขึ้นมาสบสายตากันไปในตัว

   ไม่ชอบเลยที่เห็นเอื้อมเก็บความเครียดเอาไว้จนแสดงออกมาผ่านสีหน้า "เดี๋ยวค่อยกลับไปดูอีกรอบที่ห้อง กลับก่อนนะ"

   "เราไม่ชอบพี่คนนั้นเลยอะ"

   ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ได้ยินคำนั้นเป็นอย่างแรก เราสองคนเดินตัวปลิวออกจากพื้นที่จัดกิจกรรมไปยังส่วนของทางเดินเชื่อมต่อไปยังด้านนอกอันมีห้องพักราคานักศึกษาตั้งเรียงราย วันนี้เขาจะไปนอนค้างที่ห้องของเอื้อมติดต่อกันเป็นคืนที่สอง ด้วยเหตุผลเรื่องความสะดวกในการทำงาน

   "รุ่นสูง ไม่เคยเห็นเหมือนกัน" ผู้หญิงตัวเล็กที่รุ่นพี่ดูเกรงใจไม่ใช่น้อย "ก็เข้าใจได้ว่าคงไม่เชื่อพวกเราเท่าไหร่"

   "คืออยากจะยื่นทั้งปึกให้ไปอ่านเอง ถ้าจะสงสัยทุกสเต็ปขนาดนั้น" นี่เดินไปแต่ตาก็ไม่ได้มองทางเท่าไหร่ เอาแต่จ้องแผนที่การดำเนินกิจกรรมอยู่ "เราดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ"

   ชักจะห่วงว่าจากเดินบนทางคอนกรีตอาจจะหล่นคูน้ำข้างทาง เลยแตะตรงศอกให้เปลี่ยนเข้ามาเดินเลนในก่อน ตอนแรกก็ยอมทำตามไม่อิดออดอยู่หรอก พอสักพักเริ่มได้ใจนี่ไม่ได้มองตรงดูทางเลยสักนิด

   จากแค่สัมผัสบางเบาเลยขยับไปโอบตรงช่วงไหล่เอาไว้โดยไม่ขออนุญาต ปากก็ช่วยตอบว่างานในวันพรุ่งนี้มีอะไรรออยู่บ้าง ตั้งแต่เช้ามีการอธิบายของเวิร์กชอปที่จะลากยาวไปตลอดทั้งวัน สวัสดิการจะสบายกว่าวันนี้หน่อยตรงที่ไม่ต้องเดินผจญภัยไปมา

   "คนไม่เคยเจอกันมาก่อนก็งี้แหละ เอื้อม ระวังหลุม"

   กลายเป็นกล้องหน้าของรถยนต์ไปแทน ดึงทั้งร่างเข้ามาชิดให้พ้นจากพื้นที่เสี่ยงอุบัติเหตุ เสียงรถยนต์เร่งความเร็วแข่งสองสามคันผ่านหน้าไปในเวลาไม่กี่วินาทีทำให้เขาเบ้หน้าออกมาไม่รู้ตัว

   จากรั้วฝั่งที่ออกมาไปจนถึงหอของเอื้อมอารัญใช้เวลาเดินประมาณหกนาที แสงไฟรอบตัวเลขชั้นสูงสุดปรากฎเมื่อทำการป้อนคำสั่ง ยอมดึงแขนกลับมาไว้ข้างตัวก็ตอนที่ใช้คีย์การ์ดแตะเปิดห้องแล้วจำเป็นต้องมีอีกมือหนึ่งขยับลูกบิดประตู

   "ใครอาบก่อน"

   "ปันอาบเลย เราขอดูตรงนี้อีกรอบก่อน"

   เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเอื้อมจะไม่ยอมจบกับเรื่องนี้ง่ายๆ ผงกหัวรับแบบที่อีกคนก็คงไม่เห็น เขาข้ามฝั่งออกไปหยิบผ้าขนหนูนอกระเบียง ตอนกลับมาก็ยีหัวให้ไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ไปอีกสักรอบ

   ใช้เวลาทำความสะอาดร่างกายไม่นานเพราะต้องเผื่อเวลาให้เจ้าของห้องด้วย พรุ่งนี้เด็กจะตื่นเจ็ดโมงแต่สวัสดิการอย่างพวกเขาหกโมงก็ต้องแสตนด์บายเตรียมพร้อมแล้ว เท่ากับว่าจะได้นอนแค่สี่ถึงห้าชั่วโมงเอง

   หยิบเอากองกระดาษเอสี่ยับยู่ยี่ที่เต็มไปด้วยรอยการขีดเขียนขึ้นมาอ่านยามอีกคนเข้าไปชำระล้างร่างกายบ้าง บางส่วนเป็นการเพิ่มเติมแบบที่คงมีแต่คนเขียนเองเข้าใจ ปรัญคิดมาตลอดว่าตนเองในฐานะคนรับผิดชอบร่วมสามารถจำภาพรวมงานกิจกรรมได้ทั้งหมดอยู่แล้ว มาเห็นอย่างนี้อดรู้สึกแย่ไม่ได้

   ละเอียดทุกขั้นตอน จนไม่น่าแปลกใจที่กลายเป็นคนระเบียบจัด ดูจากการจัดเรียงทุกอย่างภายในห้องก็ได้ แค่ของใช้ในห้องน้ำยังต้องเรียงเอาไว้ให้ง่ายต่อการหยิบจับเลย

   จมอยู่กับสิ่งที่ต้องจำเพิ่มเติมอยู่อีกสักพักใหญ่ เอื้อมอารัญจึงเดินออกมาในชุดนอนขายาวเข้าชุดลายสีเทา มีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดเอาไว้กับไหล่ หัวเปียกลู่หมดมาดคุณเอื้อมของเพื่อนๆ
   
   "มาเช็ดให้ จะได้รีบนอน" ปรัญผมสั้นกว่าเยอะ ตอนนี้มันก็เริ่มแห้งแล้ว "จะตีหนึ่งแล้วเนี่ย"

   "ปกติแล้วเวลานี้ยังไม่อาบน้ำเลย ซ้อมอยู่"

   เอื้อมยอมเดินมานั่งพิงข้างเตียงโดยดี บุ้ยหน้าไปทางกล่องไวโอลินที่ไม่มีตุ๊กตาสีขาวห้อยเอาไว้แล้ว "จะว่าไปต้องกลับไปซ้อมอีกแล้วอะ..."

   ช่วงเวลาพักมือใกล้จะหมดไปแล้ว ยิ่งใกล้จะถึงวันจริงมากเท่าไหร่รับรองเลยว่าการซ้อมจะต้องเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน

   "คิดว่าใกล้จะจบแล้วสิ จะได้มีกำลังใจ"

   การมองกลับอีกมุมหนึ่งอาจจะเหมือนการโกหกตัวเอง แล้วจะต้องสนใจทำไมในเมื่อผลสุดท้ายมันก็คือการจบลงอย่างที่ต้องการอยู่ดี

   ขยับผ้าซับน้ำไปมา จากมุมนี้มองลงไปเหมือนเป็นคุณครูโรงเรียนอนุบาลกับเจ้าเด็กดื้อตัวน้อย ขนาดตอนนี้เอื้อมก็ยังเอาแต่พึมพำทบทวนเส้นทางการเดินฐานไม่หยุด ไม่เคยเห็นอยู่ห่างจากโทรศัพท์ได้นานเท่านี้มาก่อนเลยแฮะ

   "จากสามไปห้า...ต้องระวังเรื่องป้าย...แต่เตือนสตาฟไว้แล้ว...ส่วนตรงนี้ก็..."

   ถ้าคืนนี้ละเมอเป็นสถานที่และชื่อกิจกรรมก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วล่ะ

   "เสร็จแล้ว นอนเร็ว" พาดผ้าเอาไว้กับปลายเตียง ขี้เกียจเดินออกไปตากข้างนอก ตอนนี้แบตเตอรี่อ่อนสุดๆ

   "อีกแป๊บ นอนก่อนเลย"

   "เอื้อม ต้องนอน"

   ใช้เสียงดุกว่าปกตินิดหน่อย เพื่อไม่ให้มีการต่อรองเลยฉกเอาของในมืออีกฝ่ายมายัดเอาไว้ใต้หมอนฝั่งตัวเอง ตามด้วยการนอนทับลงไปทันที เขาหลับตาลงเตรียมดับสวิทช์การทำงาน

   "..."

   "พรุ่งนี้ ไม่สิ เช้านี้ยังต้องใช้แรงงานอีกเยอะ"

   "ปันนะ..."

   "หืม? เราทำไม?" เริ่มได้ยินไม่ครบทั้งประโยคแล้วเนื่องจากร่างกายปรับเข้าสู่โหมดการพักผ่อน ตบเตียงข้างตัวแปะๆ ส่งสัญญาณอีกครั้ง "ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว ตื่นมาค่อยคิดต่อ"

   คราวนี้แค่ได้ยินเสียงแต่จับใจความไม่ได้เลยสักนิด เหมือนว่าจะเดินออกไปตากผ้าเพราะมีเสียงเปิดปิดบานเลื่อน ต่อจากนั้นแสงไฟที่แยงตาอยู่ก็กลายเป็นความมืดสนิท

   "โอ๊ย!" หลุดร้องออกมายามสัมผัสได้ถึงแรงกดหนักๆ ตรงช่วงท้อง แล้วยังมีระลอกสองตามมาอีก

   "ขอโทษ มันมืดอะ มองไม่เห็น"

   ปรัญขบเขี้ยวกับคำอธิบายที่แสนจะสดใสนั้นคนเดียว

   น่าเชื่อมากเลยสิ
 


   "พี่ปันเอื้อม พี่เอื้อมปันอยู่ไหนคะ"

   คนเราก็มีวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไปล่ะนะ

   ปรัญที่ยังคงห้อยป้ายชื่อพี่เอื้อมเอาไว้ตรงข้างเอววางมือจากการจัดเรียงสีไม้ให้เป็นชุด หันไปตอบคำถามของเด็กผู้หญิงผมม้าในชุดลำลองเรียบร้อยก่อน "ไปคุยงานภาคบ่ายครับ มีอะไรหรือเปล่า"

   "อ่า...เมื่อวานพี่เขาช่วยอะไรไว้นิดหน่อยเลยจะมาขอบคุณน่ะค่ะ"

   "อยากบอกเองไหม เดี๋ยวถ้ากลับมาแล้วจะบอกให้เดินไปหา" สันนิษฐานเอาเองว่าคงเป็นสาวน้อยคนนั้น "ไม่งั้นเดี๋ยวพี่บอกให้ก็ได้"

   "ฝากบอกก็ได้ค่ะ แล้วสรุปนี่คือพี่ปันหรือพี่เอื้อมคะ?"

   กลายเป็นเรื่องสนุกของเด็กไปแล้ว บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ แล้วไอ้การถามรุ่นพี่ประจำกลุ่มแต่ได้คำตอบยียวนกลับมาก็เสริมให้ความสนุกของคนสองคนทวีขึ้นไปอีก

   "ป้ายชื่อเขียนพี่เอื้อมครับ"

   "พี่ตอบอย่างนี้มันไม่ใช่อะ"

   ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้ "พี่ว่าก็ไม่ได้ตอบอะไรผิดนะ"

   "คุยอะไรกันอยู่"

   "น้องจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวาน"

   เอื้อมอารัญทำหน้าอ๋อ โบกมือไปมาบอกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย "ไม่เป็นไร เห็นทำหน้าเครียดอยู่ก็อยากช่วย"

   ส่งไม้ต่อให้เจ้าของผลงาน กลับมาสนใจกับการแยกเครื่องเขียนหลายชนิดให้เรียบร้อย ต่อจากสีไม้แล้วยังต้องไปแยกกรรไกร ไม้บรรทัด รวมถึงกระดาษสีอีกด้วย คนอื่นเขามองว่าสวัสดิการว่างเกินไปเหรอเลยหางานมาให้ได้ตลอด

   วันนี้ปรัญไม่ต้องรับหน้าที่มือกลองแล้ว ไม่สนใจว่าประธานที่จัดงานไม่เป็นระบบจะไปหาคนช่วยจากไหนมา มันเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร ส่วนตัวเขาเองก็มีงานที่ต้องคอยจัดการให้สำเร็จไปด้วยดีเหมือนกัน ต่อจากช่วยพัสดุแล้วก็ต้องเตรียมอาหารกลางวันอีก

   นับจำนวนปากกาเป็นอย่างสุดท้าย ขมวดคิ้วเข้าหากันยามพบว่ามันน้อยกว่าจำนวนที่ควรจะเป็น ต่อให้ลองทวนอีกครั้งตัวเลขที่ได้มันก็ยังเหมือนเดิม

   สงสัยต้องมีคนแอบหยิบไปใช้ไม่บอกแน่ เพราะอย่างนี้ไงพัสดุเลยทำโหดใส่ทุกครั้งตอนบอกว่ามาขอเบิกอุปกรณ์ เขารีบจ้ำอ้าวออกจากตรงนั้นไปยังส่วนงานของพัสดุ หวังว่าถ้าบอกไปตามตรงแล้วจะไม่โดนพ่นไฟใส่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

   "...เอาจริงก็ไม่ค่อยชอบเอื้อมเท่าไหร่นะ"

   การเก็บอุปกรณ์มีห้องกั้นต่างหากแยกชัดเจน ความที่เป็นตึกปิดมิดชิดจึงมีทางเข้าออกต่อห้องแค่ประตูเดียว ปรัญหยุดอยู่ที่เดิมยังไม่โผล่หน้าเข้าไปอย่างที่ตั้งใจ มองทางเข้าที่เปิดกว้างเอาไว้ด้วยความชั่งใจว่าจะทำอย่างไรต่อดี

   "แต่ตัวจริงก็น่ารักออก ไม่เห็นเหมือนที่ออร์เคสตราเล่ามาเลย"

   "ก็นะ แต่คือนี่ไม่เข้าใจเลยว่าจะสลับชื่อกับปันไปทำไม เรียกร้องความสนใจเหรอ"

   "เหย น้องๆ ก็ดูสนุกดี"

   ด้วยความที่มันหมดช่วงวุ่นวายไปแล้วเลยไม่มีใครเดินสวนไปมา ปันกระเถิบออกมาจากจุดยืนเดิมอีกนิดตามที่สมองสั่ง

   มันเป็นสัจธรรมที่ไม่ควรยอมรับได้ แม้การตั้งต้นมันจะมีส่วนที่ต้องยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมีผลส่วนหนึ่งมาจากตัวของเอื้อมอารัญเอง

   "ไม่รู้ดิ คือไม่ถูกชะตาไง คงเปลี่ยนไม่ได้"

   "ก็ต่างคนต่างอยู่ไป อะไรที่เราไม่ได้เกี่ยวก็ปล่อย"

   มันมีหนึ่งเสียงหลักและสลับไปด้วยอีกสองเสียงที่แตกต่างกัน จำไม่ได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใครเนื่องจากพัสดุเป็นฝ่ายที่ค่อนข้างเก็บตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม ไม่ได้ออกไปเสวนาอะไรกับใครอื่นเท่าไหร่ ตอนนี้ที่รู้คือในห้องอย่างน้อยก็มีสามชีวิตเป็นอย่างต่ำ

   "แอบสงสารปันที่ต้องอยู่ด้วยอะ คนอย่างนั้นไม่เห็นน่าเข้าใกล้เลย"

   "นี่ก็คิดแทนทุกเรื่อง"

   "แล้วคิดไม่ได้หรือไง?"

   หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนมันออกมาทีละน้อยพอให้ใจสงบ ปลอบตัวเองว่าทำงานให้เสร็จแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป

   เสียงเดินทางได้ทุกทิศจริงด้วย


***
   ยังอยากงอแงกับการที่บวกเป็ดหายอยู่ค่ะ จะมีทางได้กลับมาไหมเน้อ
   ไม่ใช่นิยายสอบสวนแน่ๆ ค่ะ (ฮา) เป็นเรื่องที่เจ้าตั้งเป้าไว้ว่าต้องไม่เข้าใจยาก ปล่อยให้คนเนียนเขาเนียนของเขาต่อไปเรื่อยๆ ถ้าลองเทียบแล้วเอื้อมเป็นตัวละครที่เจ้าเอาตัวเองมาใช้เยอะมากเลยค่ะ แต่จะไม่บอกว่าเรื่องไหนบ้าง (หัวเราะ)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเอ็ด [13.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 14-05-2018 04:30:58
การถูกพูดถึงลับหลังมันไม่หายไปง่ายๆเลยอ่ะ เดี๋ยวก็มีประเด็นมากตลอด สงสารเอื้อมเลย ถ้าเอื้อมไม่ได้เป็นอย่างนั้นอ่ะ  :katai1:
คิดถึงบวกเป็ดเหมือนกันค่ะ :ling1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเอ็ด [13.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 14-05-2018 07:14:40
สงสารเอื้อมจังทำไมต้องพูดลับหลังปันยังไม่เดือดร้อนคนอื่นมาคิดแทนทำไมเจอบ่อยจังเรื่องคิดแทนคนอื่นแต่เรื่องของตัวเองไม่คิดไม่รู้
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเอ็ด [13.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 14-05-2018 08:06:04
คำพูดบางทีมันก็เป็นเหมือนคำพิพากษา
'ไม่รู้สิ จากที่เห็น...'
นั่นคือคำที่ตัดสินที่เชื่อตามที่ตาเห็นไปแล้ว
ไม่ใช่ว่ามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
เพียงแต่เราก็ไม่ได้เห็นความจริงทุกครั้งไง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสอง [20.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 20-05-2018 15:40:54
สิบสอง
 

   ตั้งแต่เช้ามาเรียกได้ว่ายังไม่ค่อยมีอะไรดีเกิดขึ้น

   อย่างเช่นตอนที่มีคนเดินเข้ามาถามว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นฮาลาลหรือเปล่า

   แล้วคนที่บอกกับเจ้าหน้าที่เขตว่าตรงช่องศาสนาให้เว้นว่างไปเลยอย่างเขาจะช่วยอะไรได้มากเท่าไหร่กันเชียว

   ลำบากต้องไปหาเพื่อนที่ค่อนข้างเคร่งในเรื่องศาสนามาช่วยตอบ ได้รับคำตอบประมาณว่ามันก็แล้วแต่นโยบายของแต่ละยี่ห้อ ถ้ามีตลาดใหญ่คือการส่งไปในแหล่งที่มีกลุ่มเป้าหมายเยอะก็จะมีการบอกเอาไว้เรียบร้อย ส่วนถ้าอันไหนไม่มีก็เลี่ยงไปจะดีกว่า

   เลยต้องรีบกุลีกุจรเข้าเซเว่นไปนั่งก้มหาเครื่องหมายบนซองกันเสียวุ่นวาย

   "เดี๋ยวเราไปเคลียร์รอบสุดท้ายก่อนนะ รอบก่อนตอนคุยเราว่าวิญญาณน่าจะออกจากร่างประธานไปแล้ว"

   เห็นด้วยกับข้อเสนอเต็มที่ ปรัญล่ะเบื่อคนที่ไม่เข้าใจบทบาทการทำงานและความรับผิดชอบที่มี ถ้าเกิดปัญหาอะไรสักอย่างเขาไม่ค้านในเรื่องให้ประธานเป็นคนตัดสินใจ แต่ไม่จำเป็นต้องลงมารับผิดชอบเองทั้งหมดก็ได้นี่ แล้วพออาสาทำเองจนล้นก็กลายเป็นร่างกายไม่พร้อมทำงานอีก

   "ย้ำกับมันเยอะๆ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อัดเสียงเอาไว้เลยกันเหนียว"

   "ได้เลย"

   กำมือขึ้นมาทำท่าให้กำลังใจอีกครั้ง ปล่อยให้คนห้อยป้ายชื่อพี่ปันเดินออกไปตามหาประธานค่ายเอาเอง ส่วนพี่เอื้อมอย่างเขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวหลังสุดของห้องประชุม พิงศีรษะพักร่างกายขณะที่สายตาก็ยังมองตรงไปยังส่วนงานที่ดำเนินอยู่

   เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ตอนมาเข้าค่ายเองมันก็ทรมานอยู่หรอก มิตรภาพไปด้วยกันไม่ค่อยได้กับการเอาชนะ เอาจริงแล้วเพื่อนหลายคนยังคิดว่าเขาไม่ควรได้เพราะว่าความใจดีเกินไปนี่แหละ

   มีอย่างที่ไหนใครอยากจะทำก็ให้ทำ ตัวเองยอมเป็นเบื้องหลังที่แทบไม่ออกหน้า

   เพราะงั้นตอนได้เห็นชื่อนายปรัญอยู่บริเวณส่วนกลางของประกาศสิ่งแรกที่คิดคือพิมพ์ผิดหรือเปล่า มารู้ทีหลังตอนเข้ามาเรียนแล้วว่านอกจากคะแนนของเหล่าอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิแล้วมันยังเปิดโอกาสให้รุ่นพี่ที่เข้ามาคลุกคลีในระดับใกล้ชิดกว่ามีสิทธิเสนอด้วย เขาก็เลยได้แบกอัปเป็นพวกพี่ๆ ที่เอ็นดูความใจดีนี่แหละ

   ที่อยู่ในใจของปรัญตอนนี้มีแล้วสองสามชื่อ เป็นน้องที่ให้ความรู้สึกเป็นคนแบบเดียวกันคือยอมตามใจแต่ไม่ถึงกับปล่อยปละละเลย

   "ปัน ฝากบอกเอื้อมด้วยนะว่าเตรียมของเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่รอสตาฟไปประจำที่"

   "อืม ขอบคุณนะ" ยังกล่าวไม่จบอีกฝ่ายก็จ้ำอ้าวออกไปเพื่อประสานงานกับส่วนอื่นต่อแล้ว ไม่แปลกใจกับความวุ่นวายผิดวิสัยในทุกพื้นที่ เพราะต่อจากนี้มันคือกิจกรรมที่เรียกได้ว่าเป็น 'ไฮไลต์' ของงานเวิร์กชอปวันนี้เลยทีเดียว

   กิจกรรมเงียบ

   หรือเรียกให้ชัดคืองานที่ปันถูกโยนมาให้ช่วยจัดการ ถึงจะใช้ชื่อแบบเดียวกันทุกปีแต่เนื้อหาจะถูกเปลี่ยนแปลงไปตามความเห็นของแต่ละรุ่นว่าสมัยที่ตนเองเจอมีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง อย่างรุ่นของเขาก็มองว่ามันแยกความรับผิดชอบมากเกินไปจนไม่รู้สึกถึงการทำงานเป็นทีม ที่บอกว่าตัวเองได้แต่นั่งเงียบตลอดการเล่นนั่นไง

   ส่วนของปีนี้มีธีมอยู่ที่การสื่อสาร ซึ่งค่อนข้างจะดูเป็นทางตรงกันข้ามกับความเงียบมากทีเดียว เกิดขึ้นจากการเสนอว่าช่วงที่ผ่านมาสังคมมีปัญหาเกี่ยวกับการสื่อสารและการตีความมากจนน่ากังวล จึงอยากจะสร้างความตระหนักรู้บางอย่างขึ้นมา

   โจทย์หนักจนอยากจะเห็นหน้าคนคิด

   กลับกลายเป็นว่าเอื้อมอารัญดูจะสนุกกับการตั้งต้นและแต่งเติมจนเขาวางใจที่จะให้เป็นคนจัดการหลัก ผลสุดท้ายที่ออกมาตอนสรุปคืนก่อนวันจริงก็สมบูรณ์แบบจนไม่มีใครกล้าแย้ง

   จากห้องประชุมที่มีเพียงพี่สตาฟตัวหลักตอนนี้เริ่มหนาแน่นเมื่อเข้าใกล้เวลาไปทุกที ด้วยความที่เป็นงานสเกลใหญ่ที่สุดเลยต้องของความร่วมมือจากทุกคน แม้แต่ประธานก็ยังต้องลงมานั่งเป็นพี่ประจำฐานเลย ยิ่งใหญ่แค่ไหนล่ะคิดดู

   ไทม์เมอร์ส่งสัญญาณว่าได้เวลาเริ่มกิจกรรมถัดไป คราวนี้ไมค์กระจายเสียงตกอยู่ในมือของเอื้อมอารัญผู้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงหน้าห้องพร้อมกับกองกระดาษปึกเดิมในมือ ความที่เป็นขวัญใจของน้องหลายคน 'พี่ปัน' จึงไม่จำเป็นต้องงัดเอาวรยุทธ์ออกมาดึงความสนใจไว้ที่ตน

   "เดี๋ยวพี่กลุ่มจะเอาซองกระดาษเท่าจำนวนสมาชิกในกลุ่มไปให้ อย่าเพิ่งเปิดนะครับ ให้พี่ส่งสัญญาณก่อน"

   "เรากำลังจะเข้าสู่สถานการณ์จำลอง เป็นเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยของนายเอและนายบี ในซองที่ถืออยู่ในมือของทุกคนคือบทบาทต่างๆ ที่จะพาน้องเข้าใกล้ข้อมูลที่มีผลต่อการตามหาเรื่องราวเบื้องหลัง"

   กติกาข้อแรกคือกิจกรรมนี้ต้องเงียบเกือบตลอดเวลา ซองที่ได้รับจะมีอธิบายหน้าที่และข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามบทบาท น้องๆ จะต้องทำตามสิ่งที่เขียนเอาไว้เท่านั้น พี่กลุ่มจะเป็นคนคอยจับผิดว่ามีการทำผิดข้อคำสั่งเกิดขึ้นหรือไม่

   "หลังจากที่บอกให้เปิดอ่านแล้ว ห้ามส่งสัญญาณหรือกระทำการใดๆ เพื่อบอกให้เพื่อนในกลุ่มรู้ว่าหน้าที่ที่ตนได้รับคืออะไร คำสั่งพวกนั้นจะพาน้องออกไปยังฐานด้านนอก แล้วสิ่งตอบแทนจากการร่วมิจกรรมย่อยคือส่วนหนึ่งของข้อความ ให้จำข้อความพวกนั้นมาเรียงต่อกันตามลำดับแล้วกลุ่มไหนที่เรียงประโยคได้ถูกต้องสมบูรณ์มากที่สุดคือผู้ชนะ"

   พูดบ้านๆ คือใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ พูดได้แค่เท่าที่คำสั่งให้พูด แล้วพอไปเล่นฐานได้คำกลับมาก็เอามาเรียงต่อกันให้เป็นประโยค กลุ่มไหนตอบได้ใกล้เคียงกับตัวต้นฉบับที่สุดก็ชนะไป

   เหมือนจะง่ายใช่ไหมล่ะ

   แต่บอกแล้วไงว่าคนคิดคือเอื้อมอารัญ

   เหล่ารุ่นพี่ที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีอะไรซ่อนเอาไว้มากกว่าที่อธิบายต่างแยกไปประจำตามจุดของตน ปรัญในฐานะผู้รับผิดชอบหลักร่วมจะเน้นหนักไปทางเอ้อระเหยย้ายไปตามโซนเผื่อว่ามีงานงอกจะได้เข้าไปแก้ไขทัน

   "ไปอยู่ตรงไหนกันก่อนดี"

   กิจกรรมเริ่มขึ้นแล้ว ส่วนแรกของในซองที่แต่ละกลุ่มได้เหมือนกันคือจะมีคนหนึ่งได้รับหน้าที่เป็นผู้รวบรวม คนนี้จะได้กระดาษและปากกาเป็นของเสริม หน้าที่คือเงียบรอจนกว่าเพื่อนที่ได้รับคำสั่งอื่นจะกลับมาพร้อมกับส่วนหนึ่งของประโยค และรอออกไปตอบเมื่อได้คำตอบครบจากทุกฐาน

   ส่วนคนที่เหลือจะแตกต่างกันไป เมื่อคนแรกกลับมาพร้อมกับสัญลักษณ์ให้คนอื่นออกไปต่อ อาจจะเป็นการแสดงท่าทางหรือว่าสิ่งของบางอย่าง ในคำสั่งของคนที่ได้รับสเต็ปถัดไปเมื่อเห็นสิ่งที่เขียนอยู่ในคำสั่งแล้วก็จะออกไปตามหาต่อ

   ดูเหมือนจะวุ่นวายแต่ถ้าทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองโดยเคร่งครัดแล้วมันจะลงตัวพอดี จุดยากคือการสื่อสารโดยไม่มีเสียงประกอบ บางคนอาจจะเหม่อจนไม่รู้ว่าถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องออกไปทำหน้าที่แล้ว หรือบางทีอาจจะเกิดการสื่อสารผิดพลาดจนเรียงลำดับการออกไปผิด

   ก็เลยต้องคอยกำกับเอาไว้ไม่ให้หลุดออกจากแผนนี่แหละ

   "เราสองคนต้องไปอยู่ตรงฐานสี่ เร็ว"

   "อันนั้นของประธานไม่ใช่เหรอ" ปากถามส่วนขารีบก้าวตามให้ทัน เอื้อมอารัญเดินฉับเลี้ยวไปตามทางรวดเร็วไม่มีพัก

   "ประธานม่องอยู่ในห้องพยาบาลแล้ว ก่อนเราไปคุยงานรอบสุดท้ายแป๊บเดียว"

   นั่นไงล่ะ

   ไม่ทันขาดคำเลย บอกแล้วว่าการเอางานมาสะสมไว้เองมันมีแต่ข้อเสียมากกว่าข้อดี

   "มันคืออันไหนนะ เมืองโกหกใช่หรือเปล่า" นับเลขฐานพลางนึกตัวกิจกรรมย่อย ดีที่ยังเป็นส่วนแรกๆ เลยนึกออกไว "ใช้สองคนพอดีเลย"

   ส่วนที่พวกเขาต้องมาประจำฐานเป็นการชั่วคราวมีชื่อว่า 'เมืองโกหก' พวกเขาจะสร้างเรื่องเพื่อให้ตอบว่าประตูไหนที่เป็นเรื่องจริงและเรื่องเท็จ หากตอบถูกประตูนั้นก็จะเปิดแล้วก็ยอมให้คำตอบคือส่วนหนึ่งของประโยค

   "ปันยังจำสคริปได้ใช่ไหม"

   "ได้" ต่อในใจว่าดีมาก ก็เพราะว่าพวกเขาต้องมานั่งเลือกเรื่องที่จะใช้เป็นสิบหัวข้อกว่าจะเจออันที่ลงตัว

   "งั้นเราเป็นหนึ่ง ปันเป็นสองนะ"

   ตรงฐานที่มีเลขสี่ติดเอาไว้บนกำแพงเหนือหัวมีอุปกรณ์เพียงแค่เก้าอี้สองตัวสำหรับนั่งรอ อย่างอื่นเป็นไดอะล็อกที่อยู่ในกระดาษทั้งหมด คือถ้าเป็นฐานอื่นจะมีอุปกรณ์เยอะแยะมากมายจนเอื้อมประชดด้วยการไม่ขออะไรเพิ่มเติมเลยในส่วนนี้

   นั่งจุ้มปุ้กกันสองหน่อ ฉีกซองทายากันยุงเตรียมเอาไว้ให้พร้อม จากตารางการเดินทางของแต่ละกลุ่มกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ยังมีเวลาท่องบทเพื่อความชัวร์อีกครั้ง

   "สวัสดี ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองโกหกครับ"

   มันเป็นเรื่องตลกร้าย ที่ครายวูลฟ์ต้องมาอยู่ในเมืองโกหก

   "ที่นี่จะเป็นประตูทางออกจากเมือง ที่ประตูหนึ่งพูดแต่ความจริง และอีกประตูพูดแต่ความเท็จ พวกเราจะให้โอกาสน้องถามได้หนึ่งคำถาม ถ้าสุดท้ายแล้วน้องบอกได้ว่าประตูไหนคือทางออกที่แท้จริง เราก็จะให้คำตอบที่หายไป"

   ตามหลักตรรกศาสตร์และความน่าจะเป็นมันเป็นเรื่องง่าย สามารถนึกคำถามที่มีคำตอบเพียงแค่จริงหรือเท็จเท่านั้นได้ตั้งมากมาย

   "ผมเป็นผู้ชายใช่หรือไม่"

   ปรัญนึกในใจว่าเป็นการเลือกคำถามที่ง่ายแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่น้อย ที่ตกลงกันไว้เอื้อมจะเป็นฝ่ายตอบเท็จ และเขาตอบจริง

   "ไม่ใช่"

   "ใช่"

   เห็นรอยกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วก็ได้แต่ซ่อนสีหน้าของผู้เหนือกว่าเอาไว้ พวกน้องไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นกับใคร

   "ผมตอบว่าพี่เอื้อมเป็นประตูทางออก" เพื่อให้เข้าใจตรงกันก่อนคือน้องยังไม่รู้เรื่องชื่อเล่นที่แท้จริงของเรา เท่ากับว่าน้องเลือกปรัญเป็นคำตอบสุดท้าย

   ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนริเริ่มในการดัดหลัง "ผิดนะครับ"

   "อ้าว?"

   "ก็บอกแล้วว่านี่เมืองโกหก"

   แสบไหมล่ะ ตอนที่ได้ยินครั้งแรกถึงกับสตั๊นไปเลย

   ด่านนี้ถึงชื่อว่าเมืองโกหก ความตั้งใจที่อยากจะทำให้สังเกตตั้งแต่การย้ำชื่อเมืองอีกครั้งกับเด็กที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นไปด้วยกันไม่ค่อยได้หรอก มันเป็นฐานโหดสุดในบรรดาทั้งหมด ไม่ใช่ในแง่ของการต้องใช้กำลังหรือว่าต้องผ่านหลายขั้นตอน ก็แค่เรื่องของ 'คำพูด' นี่แหละ

   มันเลยกลายเป็นความรับผิดชอบของประธานในทีแรก ด้วยความที่หลายคนออกความเห็นว่ามันเป็นฐานที่ต้องใช้วาทศิลป์และบารมีในการกล่อมไม่ให้น้องโมโหร้ายกับการถูกหลอกไปก่อน

   แต่ยังไงเราก็ต้องให้ส่วนหนึ่งของประโยคน้องไป มันเลยกลายเป็นการแกล้งให้ทำตามคำสั่งเพื่อความบันเทิงเล็กน้อยไปเสีย แล้วแต่ว่าจะให้ทำอะไร อย่างเช่นไปลากพี่เลี้ยงกลุ่มให้มาเต้นบอยแบนด์ด้วยกัน หรือไม่ก็แข่งทายชื่อหนังกับเจ้าของทวิตเตอร์รีวิวหนัง

   พอใจแล้วก็จะให้คำตอบ เราจะท่องประโยคสั้นๆ ไม่เกินสิบคำให้น้องฟังเพียงแค่หนึ่งครั้ง จากนั้นเป็นหน้าที่ของตัวกลางในการเอาสารไปส่งยังผู้รับสาร

   ถ้าถามว่าอย่างนี้มันก็ขี้โกงนี่ เป็นฐานที่ถูกบีบให้ต้องแพ้ เอื้อมแบ่งรับแบ่งสู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว มันก็อาจจะมีน้องที่จับคำใบ้ที่ซ่อนเอาไว้อยู่ได้เหมือนกัน

   "พี่ชื่อพี่เอื้อมใช่ไหมคะ?"
   
   อย่างเช่นสาวน้อยคนที่ยังมีปัญหากับเรื่องชื่อของพวกเขาสองคนอยู่

   ดวงชะตามักจะดึงดูดให้กลับมาเจอกันอีกเสมอ ตั้งแต่วันเมื่อวานตอนเช้าจนถึงตอนนี้น่าจะสนิทกับเธอมากที่สุดแล้ว

   ปรัญผู้รับหน้าที่ตอบตามจริงชั่งน้ำหนักนิดหน่อยก่อนตอบ "ใช่ครับ"

   ก็ถ้าต้องตอบความจริงคือไม่ ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ชื่อเอื้อม มันก็เลยต้องให้เวลาเรียบเรียงความคิดเสียหน่อย

   "แล้วพี่ชื่อพี่เอื้อมใช่ไหมคะ"

   ลอบมองคนข้างตัวจากหางตา เอื้อมอารัญยังทำหน้ายิ้มเล็กๆ เหมือนที่ให้กับเด็กคนอื่น ทุกอย่างที่ดำเนินไปตามแผนไม่มีพลาดคงสร้างความสุขไม่น้อย "ใช่ครับ พี่ชื่อพี่เอื้อม"

   การผสมกันกลายเป็นเรื่องจริงผสมเท็จปนเปไปเสียแล้ว มองเด็กสาวมองสลับระหว่างเขาทั้งคู่อีกสักพัก นึกคิดไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะให้น้องไปทำอะไรดี คนเมื่อกี้ให้กระโดดตบสิบทีต่อด้วยวิ่งรอบตึก คราวนี้ให้ทายชื่อเพลงในเพลย์ลิสต์คลาสสิกตลอดกาลของเอื้อมจะตอบได้ไหมนะ

   "งั้นขอตอบว่าไม่มีประตูไหนที่เป็นทางออกค่ะ"

   หากสิ่งที่ได้ยินถัดมาก็ลบทุกเรื่องที่อยู่ในความคิดก่อนหน้าไปเสียหมด

   "...ใช่ไหมคะ?"

   "รู้ได้ไงอะ"

   นัยน์ตาเบิกกว้างกว่าปกติเล็กน้อยพร้อมน้ำเสียงประหลาดใจเป็นตัวบ่งชี้ว่าคนคิดเกมยังไม่เชื่อว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้

   "ก็พี่เอื้อมปันบอกเองว่าที่นี่คือเมืองโกหก" แถมยังมีการยักไหล่ขึ้นเล็กน้อยอีก "แค่เอาพี่ปันเอื้อมมานั่งก็ระแวงแล้วค่ะ"

   กลายเป็นว่าโดนจับได้เพราะความซนของตัวเองนี่แหละ
 


   ติ๊กถูกตรงหน้าช่องว่ากลุ่มสุดท้ายได้ผ่านเข้ามาเยี่ยมฐานนี้แล้ว เท่ากับว่างานในส่วนนี้สิ้นสุดลง ปรัญตรวจพื้นที่โดยรอบว่าไม่ลืมเก็บของอะไรเข้าไปใช่ไหม ความว่างเปล่าของมันบอกให้ทำสิ่งสุดท้ายคือซ้อนเก้าอี้ไว้ด้วยกันเพื่อให้ฝ่ายสถานที่เก็บได้สะดวก

   "ตอนนี้น่าจะมีกลุ่มที่ใกล้เสร็จแล้ว เข้าไปในห้องกันเถอะ"

   หมดจากฐานที่สี่มันจะเหลือเพียงแค่สองฐานสุดท้ายในการวน ข้างในห้องประชุมใหญ่มีเพียงความเงียบและเสียงขีดเขียนเล็กน้อยลงในกระดาษ เนียนเดินเข้าไปดูว่าความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ทำเป็นเมินสายตาแค้นเคืองของน้องผู้โชคร้ายที่เจอกันในฐานมาก่อน

   ทั้งหมดเป็นความคิดของเอื้อม ไม่ใช่พี่สักหน่อย

   แต่ตอนนี้เขาคือเอื้อมนี่นา

   จบความคิดไร้สาระตรงนั้น เดินเสียงเบาไปสังเกตการณ์อีกสองกลุ่มเพื่อพบว่าใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์ที่สองของกิจกรรมนี้ นอกจากเรื่องของเมืองโกหกแล้วด่านต่อไปที่น้องคงนึกไม่ถึงว่าต้องเจอคือการ 'แอบเฉลย' ที่ซ่อนเอาไว้

   "ตอนนี้เราก็ได้ฟังประโยคของทุกกลุ่มแล้วนะ ต่อไปจะเป็นการเฉลยว่าที่จริงแล้วมันคือประโยคว่า 'เอเข้าไปในห้องสมุดกลาง วางของเอาไว้ตรงโต๊ะริมสุดติดหน้าต่าง เขาออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาแล้วพบว่ามีบีมานั่งอยู่ก่อนแล้ว เอพยายามคุยกับบีด้วยคำสุภาพ แต่บีไม่ฟังอะไรแล้วชกเข้าที่หน้าของเอ' นะครับ"

   มีหลายกลุ่มที่ใกล้เคียง และบางกลุ่มเรียกได้ว่าคนละเรื่อง

   มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมออยู่แล้วในการสื่อสาร แต่งเติม เสริม ลดทอน ประโยคสั้นๆ ที่แต่ละคนได้มาก่อนจะถึงคนรวบรวมไม่มีทางเหมือนเดิมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างจากการพูดคุยทั่วไปในชีวิตประจำวันของเรา

   สนุกสนานอยู่คนเดียวตอนเห็นความแตกตื่นของคนในกลุ่ม อย่างที่อธิบายทุกคนมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน โดยที่หนึ่งในนั้นได้รับบทเป็น 'เอ' คนที่เป็นคู่กรณี คนที่ได้รับตำแหน่งนี้จะทำได้เพียงเตือนครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการออกมาอ่านประโยคที่เรียงเอาไว้แล้ว

   "เหมือนว่าจะเคยได้ยินข้อความที่ถูกต้องมาแล้วใช่ไหมล่ะ"

   ในจังหวะนั้นการโพล่งทวนคำที่มีความเหมือนหรือแตกต่างออกมาไม่ค่อยได้รับความสนใจหรอก คนรวบรวมก็จะเชื่อมั่นแต่คำเล่าของคนที่ออกไปตามหาคำมาเท่านั้น เอื้อมตั้งใจซ่อนเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าในหลายครั้งเราอาจจะเคยได้ยินเรื่องออกจากปากของเจ้าของเรื่องฝ่ายหนึ่งแล้ว แต่ไม่ใส่จะฟัง

   ตอนเล่าคอนเซ็ปต์คร่าวๆ ให้ฟังก็คิดว่าโหดร้ายแล้วนะ ถ้าปรัญจะบอกว่ามันยังมีจุดหักมุมสุดท้ายรออยู่อีกล่ะ

   พอน้องกลับไปยังที่นั่ง เสียงจอแจมันก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง คนถือไมค์เว้นจังหวะให้ความโกลาหลมันก่อตัวขึ้นช้าๆ ไม่เข้าไปขัด รอจนกระทั่งเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเข้าที่จึงจัดการดึงเข้าสู่พาร์ตสุดท้ายของกิจกรรม

   "ตอนนี้..." รอยแย้มยิ้มกระหยิ่มที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของคนหน้าห้องคงมีเพียงปรัญที่เข้าใจ "ให้น้องที่ได้รับบทเป็นบีอ่านข้อความในซองได้ครับ"

   ใช่

   นอกจากมีคนได้รับบทบาทเป็นเอแล้ว คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งก็อยู่ในกลุ่มเช่นเดียวกัน

   "บีเข้าไปในห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ เขาไม่สามารถหาที่นั่งได้เนื่องจากมีหลายพื้นที่ถูกจองเอาไว้ล่วงหน้า เขารอประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อพบว่าไม่มีใครกลับมานั่งตรงโต๊ะที่มีการจองเอาไว้ จึงทำการย้ายออกไปไว้โต๊ะข้างๆ แล้วเริ่มอ่าน ต่อจากนั้นอีกนานพอสมควรเอจึงกลับมาพร้อมใช้ถ้อยคำหยาบคายและแสดงมารยาทที่ไม่ดีเพื่อกดดันให้เขาลุกออกไป ด้วยความโมโหเขาจึงผลักบริเวณหน้าอกเบาๆ ไปหนึ่งครั้งก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาห้าม"

   ความเงียบต่อจากนั้นคือช่วงเวลาที่ปรัญรอคอยที่สุด เด็กนักเรียนที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงเมื่อสักครู่นิ่งค้างไปตามๆ กัน ถ้าเรียกตามภาษาทั่วไปก็หักมุมในหักมุม ส่วนคำที่เอื้อมอารัญใช้คือ 'โลกแห่งความจริงมันก็ชอบแกล้งเราอย่างนี้แหละ'

   "ตลกดีเนอะ หนึ่งเหตุการณ์ แต่หลายเรื่องเล่า" เอื้อมไม่ใช่คนเสียงเพราะชวนฟัง บางจังหวะก็ยังดำเนินผิดพลาดอยู่เหมือนกัน แต่เนื้อเรื่องที่เขาพยายามสื่อผ่านเรื่องราวทั้งหมดมันดึงทุกความสนใจให้อยู่เพียงแต่ตรงนั้น "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว เราชอบได้ยินอย่างนั้น แต่ใครจะไปรู้นะครับ"

   "..."

   "ว่ามันอาจไม่มีความจริงอยู่ในความจริงเลยก็ได้"

   ปรัญมองตามทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ส่งยิ้มไร้ความหมายครั้งสุดท้าย มอบไมค์กับเอ็มซีดำเนินกิจกรรมต่อ และเดินเลาะมุมมาทางหลังห้องท่ามกลางสายตาทุกคู่ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม

   จากที่เห็นจากมุมห่างไกล ตอนนี้คนนั้นมายืนใกล้จนแทบชิด ตอนนี้น้องทั้งหมดต้องกลับไปให้ความสนใจกับคำอธิบายกิจกรรมต่อจากนั้นของคนหน้าห้อง ส่วนด้านหลังเองก็วุ่นวายกับการเตรียมบายศรีจนไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเราสองคน

   "ให้รางวัลเราหน่อย" ยิ้มแก้มบุ๋มกลับมาอีกครั้งหลังจากไม่เห็นนาน "ทำได้แล้วนะ"

   "เก่งมากเลย"

   เข้าใจดีที่สุดว่าความกดดันต่อกิจกรรมมันมากเพียงใด ทั้งความเป็นกิจกรรมสุดท้ายของวันและคนรับผิดชอบไม่เคยผ่านงานมาก่อนด้วย

   "แค่นั้นเองเหรอ"

   "เก่งมากๆ"

   ไหงถึงทำหน้าผิดหวังระคนปลงตกได้ชัดเจนขนาดนั้น "เอาเถอะ เดี๋ยวเราต้องรอบายศรีใช่ไหม"

   "อือ นั่งตรงไหนดี หรือไม่อยากทำ?"

   "ที่จริงก็ไม่อยากอะ ง่วง" ก็ได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่นะ แล้วงานเมื่อกี้คงดูดพลังงานไปเยอะอยู่ "แต่ถ้าไม่อยู่เดี๋ยวก็โดนเขม่นอีก ขี้เกียจเป็นคุณปันของใครต่อใคร"

   กิจกรรมบายศรีสู่ขวัญเป็นอะไรที่ทั้งชอบแล้วก็เบื่อในตัว เขาเป็นคนที่ไม่ชอบให้มีเส้นด้ายผูกเอาไว้เกะกะน่ะ มันก็เป็นพิธีที่ดู 'ขลัง' ดีตอนท่องคาถาแล้วก็ร้องเพลง ต่อจากนั้นมันไม่มีส่วนที่เขาอยากมีส่วนร่วมในระดับจะไม่ยอมพลาดเป็นอันขาด

   ทั้งต้องมาระวังเรื่องน้ำตาเทียน รอบนี้ใช้ถางประทีปซึ่งบอกไม่ได้เลยว่าจะหมดเร็วกว่าแค่ไหน เรื่องจะคุยกับน้องก็ไม่มี จะบอกว่าขอให้ได้มาเจอกันอีกโอกาสมันก็มีแค่หนึ่งในสิบ เดี๋ยวจะกลายเป็นการให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ไปอีก

   "งั้นเอื้อมกลับก่อนคนเดียวไหม เดี๋ยวเรารีบตามไป" หน้าที่ของสวัสดิการมันก็ไม่มีอะไรต้องทำต่ออยู่แล้วนอกจากเช็กความเรียบร้อยของถังน้ำเหมือนเมื่อวาน อย่างอื่นให้สถานที่จัดการไป "เดี๋ยวเป็นทั้งปันแล้วก็เอื้อมให้"

   "ไม่ขำ"

   "แย่จัง" แตะหลังให้เริ่มเดิมก่อน เมื่อเห็นว่าเหล่ารุ่นพี่และสตาฟทำงานเริ่มเข้าที่กันแล้ว เพื่อความศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ตามแต่ไฟภายในห้องสี่เหลี่ยมถูกปรับลดให้เหลือเพียงแค่พอให้เห็นทาง ความเงียบที่กลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้งส่งสัญญาณว่าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายก็ควรจะปิดปากหรือไม่ก็ใช้เสียงให้น้อยที่สุด

   สัมผัสตรงช่วงแขนราวกับหาที่พึ่งพิงน่าเอ็นดูจนปรัญหลุดขยับองศาของมุมปาก รู้สึกดีที่เดินนำไปครึ่งก้าวจนอีกฝ่ายไม่น่าจะสังเกตเห็นสิ่งที่เผยอยู่บนใบหน้า

   ล็อกเป้าหมายและพุ่งเข้าไปนั่งจองเอาไว้อย่างกับว่ากลัวใครมาแย่ง เอื้อมนั่งอยู่ทางซ้ายมือส่วนทางขวามือเป็นใครที่ไม่คุ้นฝ่าย รอให้เหล่าเด็กนักเรียนที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่ได้เรียงเข้ามานั่งประจันหน้า

   หันกลับไปตั้งใจจะถามคนข้างตัวว่าร้องเพลงคลอที่เตรียมไว้ระหว่างพิธีได้บ้างหรือไม่ ใบหน้าส่วนที่เห็นจากแสงสะท้อนของเปลวเทียนบอกเขาว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้ทำการแวบออกไปหาเทพแห่งช่วงเวลาการนิทราแล้ว

   ขำก็ขำ สงสารก็สงสาร ทุกอย่างคือของใหม่สำหรับเอื้อมอารัญผู้ไม่เคยคิดอยากจะมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมค่ายและคนแปลกหน้า ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่นการแบ่งฝ่ายยาวไปถึงวิธีการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า พวกประเพณีประจำค่ายก็ไม่เข้าใจ

   จากคอตั้งตรงมันเริ่มสัปหงกลงมาน้อยๆ ปรัญจึงตัดสินใจขยับมือออกไปเคลื่อนให้มันโน้มลงมาหาไหล่ตนเองโดยระวังไม่ให้มันสร้างความตกใจ เอื้อมดูชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นไถหัวกับช่วงไหล่แถมยังบ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์ออกมา

   ขอบคุณที่น้องเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามในวงกลมขนาดใหญ่แบบที่ปิดตาอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วจากความซึ้งมันอาจเหลือเพียงภาพตลกให้บันเทิงใจ

   ร้องเพี้ยนบ้างตรงคีย์บ้าง ตามองเนื้อเพลงในโทรศัพท์สลับไปกับการหันไปเช็กคนนอนอุตุ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะสะกิดให้ตื่นช่วงจบเพลงสุดท้ายก่อนที่จะให้น้องลืมตา ไม่รู้ว่าพอขยับเปลือกตาเปิดมาเจอเอื้อมอารัญสภาพคอพับกับตาปรือเพิ่งตื่นนอนอันไหนมันจะดีกว่ากัน

   "สวัสดีครับ พี่ชื่อพี่ปันนะ" ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมจบบทบาท จนเริ่มคิดจริงแล้วว่าเอื้อมอยากจะหนีจากการเป็นตัวเองเหลือเกิน "อือ พี่เป็นคนคิดหลัก แล้วมีพี่เอื้อมช่วย"

   เด็กจำนวนเกือบร้อยกับสตาฟและรุ่นพี่มีปริมาณใกล้เคียงกัน สามารถบายศรีได้เกือบเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง ปรัญปล่อยให้น้องตรงหน้าตัวเองขยับไปหาคนถัดไปเรียบร้อยแล้ว ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่มีเรื่องอะไรให้คุยมากมายสักหน่อย

   "พี่เรียนเศรษฐศาสตร์ครับ ...ก็ดีนะ สนุกดี ...อืม เพื่อนก็ดี น่ารัก ...อ่า ...พี่เอื้อมมองแล้วอะ"

   ตอนฟังน้องถามข้อมูลเชิงลึกมันก็ต้องลุ้นดีว่าคำตอบจะออกมาประมาณไหน เขาเก่งในเรื่องการเลี่ยงคำจนมันไม่แตกต่างจากการโกหกที่ลื่นไหล

   มันเป็นตลกร้าย

   เพราะคนที่ไม่มีความจริงที่สุดคือคนเล่านั่นแหละ


***
   หรือว่าคนที่ไม่มีความจริงที่สุดคือเจ้านะคะ (ฮา)
   มันน่าเศร้าจริงๆ นะคะตอนที่ต้องยอมรับว่าความจริงของเรามันไม่เท่ากับคนอื่นเขา และเขากลับเชื่อคนอื่นมากกว่าเจ้าของเรื่องอย่างเรา ตอนแรกก็เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระ แต่พอเจอเข้ากับตัวก็รู้เลยค่ะว่ามันแย่แค่ไหน
   ช่วงนี้เจ้านึกเรื่องเขียนตรงท้ายตอนไม่ออกเลยค่ะ เลยมาแบบเงียบๆ สั้นๆ ตลอดเลย ถ้ามีเรื่องไหนอยากให้เจ้าเล่าก็บอกได้นะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสอง [20.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 20-05-2018 17:43:12
เป็นกำลังใจให้คุณเจ้านะคะความจริงเกี่ยวกับเอื้อมอารัญที่ทุกๆคนรู้มันไม่มีความจริงอยู่ในนั้นใช่มั้ยนะอ่านไปแปลความไปสนุกค่ะเพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว :mew1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสอง [20.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 21-05-2018 08:19:08
อยากรู้แล้วว่าความจริงในความจริงของเอื้อม
เป็นยังไง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสอง [20.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 28-05-2018 01:12:41
คุณเอื้อมมมมม :katai5:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสอง [20.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-05-2018 21:55:02
แล้วความจริงของคุณเอื้อมคืออะไรคะ เราพร้อมจะเชื่อ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสอง [20.5.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 31-05-2018 22:51:45
เราหลงรักคุณเอื้อมเข้าแล้วสิ  :mew1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสาม [1.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 01-07-2018 21:00:29
สิบสาม


   มือข้างซ้ายที่กำลังถือถุงสกรีนยี่ห้อร้านขนมปังชื่อคุ้นในห้างสรรพสินค้าแอบเป็นของเกะกะในการโหนราวบนรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ

   ยังดีที่มีช่องว่างไม่ถึงกับอัดเป็นปลากระป๋อง เขาไม่แน่ใจว่าปริมาณผู้โดยสารที่มากกว่าปกติเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร อาจมีรถเสียกลางทางเลยต้องรับขึ้นมาด้วย ไม่ก็มีอีเวนต์พิเศษบางอย่างที่เลิกในช่วงเวลาก่อนหน้านี้

   เสียงเพลงจากแอปขาดหายไปพร้อมกับการสั่นสะเทือนของเครื่องมือสื่อสาร ปรัญกดปุ่มรับสายจากตัวบังคับตรงสายหูฟัง เตรียมตัวปลอบใจคนงอแงเหมือนหลายวันที่ผ่านมา

   (ปัน เหนื่อยแล้ว)

   แค่ฟังเสียงระโหยโรยแรงยังนึกหน้าออก "ก็ต้องซ้อมต่อไป"

   (เมื่อไหร่จะมา ทาร์ตชีสเราไม่ลืมใช่ไหม)

   "อยู่บนรถเมล์แล้ว ที่ถ่ายรูปส่งไปให้ไง" นั่นน่ะเป็นเป้าหมายแรกตั้งแต่เหยียบข้ามประตูเข้ามา ไม่รู้สถานที่ตั้งจนต้องลำบากคนแปลกหน้าช่วยพาไปอีก "กินตอนกลางคืนเดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก"

   (จะนอนไม่หลับเพราะเสียงเพลงที่ตีกันในหัวนี่แหละ ...ไม่อยากซ้อมแล้วอะ)

   เป็นประโยคติดปากในช่วงนี้ของเอื้อมไปเสียแล้ว ไม่อยากซ้อม เหนื่อย อยากกลับหอ นี่วันนี้พอรู้ว่าเขาต้องมาดูหนังก็ทำหน้าบูดตั้งแต่ไปหาในห้องที่ปรึกษา บอกว่าจะยอมอารมณ์ดีไปซ้อมถ้าซื้อทาร์ตชีสกลับมาฝากเป็นขนมมื้อดึก แล้วปรัญจะทำอะไรได้ล่ะ

   "อีกนิดเนอะ กำลังไปหาครับผม"

   (อือ รีบๆ มา)

   "ไปเร่งคนขับให้หน่อยสิ"

   (ได้ เอามือถือไปให้เลย) นี่ต้องเบื่อขั้นไหนถึงจริงจังกับเรื่องล้อเล่นเนี่ย (ทำไมปันชอบดูหนังอะ ว่าจะถามหลายทีแล้วแต่ลืม)

   "อืม...เพราะเราชอบเวลาที่นักแสดงซ่อนตัวตนเอาไว้ในบทบาทมั้ง การกลายเป็นใครอีกคนเพื่อหลอกให้ตายใจว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง"

   คุยกันเรื่องหนังที่เพิ่งดูมาอีกหน่อยก่อนปลายสายจะโดนเรียกตัวกลับไปซ้อม ถ้าเป็นตามนิสัยปกติเขาก็จะหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ความรู้สึกต่อภาพยนตร์ที่เพิ่งฉายจบไป ตอนนี้มือทั้งสองข้างดันไม่ว่างเสียอีก แล้วอย่างนี้จะทำอะไรได้นอกจากเหม่อออกไปข้างนอกฆ่าเวลา

   เหลืออีกแค่สามวันเท่านั้นก่อนถึงวันแสดงจริง เรียกได้ว่าตั้งแต่จบงานค่ายเอื้อมก็ต้องอุทิศเวลาให้กับการซ้อมรวมจนดึกดื่น จากที่ทานมื้อสามทุ่มก็เข้าสู่มื้อเที่ยงคืนไปโดยปริยาย

   ในแง่ของมาตรวัดอารมณ์ของเอื้อมอารัญค่อนข้างคงที่มีลงไปติดลบนิดหน่อย ยังไม่เคยมีครั้งไหนกลายเป็นระเบิดที่นับถอยหลังจนถึงศูนย์ มีเมื่อวานเฉียดเข้าใกล้อยู่ ยังโชคดีที่ซื้อชาเขียวเย็นแบบกล่องเตรียมเอาไว้รับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน

   พอผ่านจุดจอดใหญ่ผู้โดยสารส่วนมากก็ทยอยลงไปตามลำดับ เก้าอี้นั่งว่างจนสามารถลงไปพักขาได้สักที เขาใช้เวลาตรงนั้นเคลียร์สิ่งที่ยังค้างอยู่ในความคิดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมเตือนตัวเองว่าอย่าลืมแวะซื้อน้ำเปล่าเข้าไปให้ฮิวด้วย

   เปิดประตูบานใหญ่เข้าไปเงียบๆ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องประชุมที่ใช้แสดงจริง ไม่ต่างจากเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายชีวิตที่ต้องมารออยู่ในห้องรับรองแขกเป็นการชั่วคราว ตอนแรกก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกันส่วนตอนนี้มองตาก็รู้ใจ

   วันนี้ก็รอไปด้วยกันนะ

   อะไรประมาณนั้น

   วางของทั้งหมดไว้ข้างตัว ทำตัวเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาท่องโลกออนไลน์ไม่สนใจเรื่องภายนอก ปรัญทวนข้อความทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด กดส่งเป็นการจบงานในค่ำคืนนี้

   เปลี่ยนไปหยิบสมุดจดงานขึ้นมาทบทวนสิ่งที่ต้องทำ ทั้งตารางงานในห้องที่ปรึกษาที่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย แล้วก็เปเปอร์ที่ต้องทำให้เสร็จในปลายเดือน จะว่าไปแล้วรายงานของเอื้อมไปถึงไหนแล้วนะ ต้องเตือนเรื่องต่ออายุการยืมอีก

   "ไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน..."

   "ไปสิ" ทาบมือทับไปบนฝ่ามืออีกฝ่ายที่แตะลงมาตรงบ่า เกลี่ยมันนิดหน่อยแทนการบอกว่าขอเก็บของอีกสักครู่ "ทาร์ตอยู่นี่นะ"

   "กินเลยได้ไหม"

   ท่าจะอาการหนัก คนซ้อนอยู่ด้านหลังของเก้าอี้โน้มตัวชิดลงมาเพื่อคว้าสิ่งประทังความหิว ปันปล่อยให้นักไวโอลินได้ล้วงหาแป้งผสมชีสเอง ส่วนตัวเขาเองก็เปลี่ยนจากถือถุงพลาสติกมาเป็นกล่องไม้ใส่เครื่องสายแทน

   เดินคู่กันออกจากส่วนของหอประขุม ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคนรอบตัวมากเท่าไหร่ เอื้อมบ่นไปเรื่อยตามประสาเช่นเดียวกับทุกที คราวนี้จะขาดๆ หายๆ หน่อยเพราะปากเต็มไปด้วยของทานเล่นที่ราคาไม่ได้เล่นตาม กดรีโมตเปิดล็อกรถห้าประตูเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย เดี๋ยวนี้ที่นั่งคนขับกลายเป็นตำแหน่งของปรัญไปแล้ว ก็ไม่อยากให้คนซ้อมหนักต้องมาเหนื่อยอีกนี่นา

   "คือแบบ ซ้อมแล้วก็เหมือนเดิมอะ แล้วยังจะเล่นซ้ำๆ อยู่นั่น"

   "เอื้อมก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันแหละ"

   ฟังมาตั้งหลายสิบคืน ใครจะไม่รู้แกวกัน

   "แต่มันมีบางท่อนที่ไม่ชอบไง เพลงไร้รสนิยม" ให้คีย์เวิร์ดมาอย่างนี้คงไม่พ้นเรื่องการแสดงส่วนหลังที่เป็นการเอาเพลงร่วมสมัยมาเล่นให้ตรงตามธีม "ไม่เห็นเพราะเลย"

   "ก็เหมือนกับที่พ่อแม่บ่นแหละ ว่าเพลงรุ่นเราฟังยาก"

   เรียกได้ว่ากรรมตามสนองหรือว่าเป็นธรรมดาของโลกกันนะ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและมีเวลาเฉิดฉายของมัน

   "เลิกดึกอย่างนี้ก็มีเปิดไม่กี่ร้าน อยากกินสเต็กที่วันก่อนส่งไปให้ดู"

   "อันไหน เอื้อมส่งมาเยอะมาก" ขอเรียกมันว่าช่วงเวลากักเก็บรอการปลดปล่อย เขาเลิกนับแล้วว่ามันมีกี่ลิงก์ที่ส่งมาในห้องแชต "อันที่จานใหญ่ๆ ปะ"

   "ไม่ ที่ไม่ค่อยเหมือนสเต็กเท่าไหร่"

   "อ่า...ไว้ค่อยส่งให้ดูอีกทีแล้วกันนะ"

   สารภาพออกไปตามตรง นึกไม่ออกว่ามันคือรีวิวอันไหนกันแน่

   ดับเครื่องเมื่อเข้าซองจอดเรียบร้อย ช่วงเวลาที่เข็มสั้นเลยเลขสิบสองไปแล้วร้างผู้คนสัญจร มีเพียงเสียงเพลงคลอมาจากร้านขายเครื่องดื่มมึนเมาในบริเวณใกล้เคียงขับกล่อม มองดูหอพักที่ตั้งรอบข้างแล้วก็อยากสัมภาษณ์ความรู้สึกของการได้ฟังเพลงฟรีทุกวันว่าชอบหรือหน่าย

   ร้านที่เปิดจนโต้รุ่งมีหลงเหลืออยู่สองสามล็อก ได้ทำการตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าจะมาทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าเด็ด อยากจะรู้เหลือเกินว่าตั้งแต่เอื้อมมาอยู่มีร้านไหนยังไม่เคยลองบ้าง

   "แล้วรายงานถึงไหนแล้ว" นึกขึ้นได้พอดีเลยถาม

   "เสร็จหลายส่วน แต่ก็ยังไม่ชอบเยอะอยู่"

   "อย่าลืมไปต่อเวลาเช่าหนังสือนะ"

   "ต่อแล้ว ...ใครโทรมาเนี่ย" ชามอาหารตรงหน้ายังพร่องไม่ถึงครึ่งมันก็มีสายเรียกเข้าเสียก่อน "ว่า ...อ๋อ ใช่เพิ่งเลิกซ้อม ...หือ จะมาจริงเหรอ ...โหย ใจร้าย"

   จากทำหน้าปกติ เบิกตาโตปากยิ้มกว้าง แล้วจบลงด้วยความผิดหวังที่ต่างจากน้ำเสียง

   ใครกันนะที่ทำให้เขารู้สึกถึงกำแพงที่คั่นกลางเอาไว้ได้ขนาดนี้

   "เออ มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ไกลด้วย ...อือ ไว้บังเอิญเจอกัน ...บายครับ"

   ก้มลงจัดการอาหารมื้อเที่ยงคืนต่อ ใช้ความเคยชินในการรอคอยให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มเล่าเอง ก็ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนเอื้อมก็เล่าให้ฟังทั้งนั้นแหละ

   แต่ครั้งนี้เขาคิดผิดแฮะ สุดท้ายแล้วมันไม่มีเรื่องใดออกจากปากของเอื้อมอารัญอีก

   แปลก...

   "ทำไมปันเงียบจัง?"

   หลุดออกจากความคิดที่ฟุ้งในหัวได้ก็ตอนอีกคนยกมือขึ้นมาโบกตรงหน้า "...เพลียมั้ง วันนี้รถเมล์คนเยอะอะ"

   "บอกแล้วว่าให้เอารถไปใช้ แล้วค่อยกลับมารับเรา"

   เอื้อมเคยเสนอหลายครั้งแล้วว่าให้เอารถยุโรปของเขาไปใช้ได้ เพราะยังไงก็ต้องกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกันอยู่ดี ปันปฏิเสธไปง่ายๆ ว่าไม่อยากให้เปลืองค่าน้ำมันรวมถึงไม่ค่อยอยากขับรถเข้าเมืองเท่าไหร่ มีคนขับให้สบายกว่าเยอะ

   "ไม่เอาอะ แค่นี้ก็เหนื่อยพอแล้ว"

   "เราทำให้ปันเหนื่อยเหรอ"

   "หมายถึงการเดินทางสิ" แก้ความเข้าใจผิดที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเอื้อมถึงจับใจความไปเองอย่างนี้ "เราไม่เคยเหนื่อยกับเอื้อมสักหน่อย"

   "จริงนะ"

   "แน่นอน"

   เอื้อมสบตาเขากลับ ริมฝีปากขยับออกเพื่อถามย้ำอีกครั้ง "...เราเชื่อปันได้ใช่ไหม?"
 


   นาฬิกาที่ขยับเข้าใกล้เวลาการแสดงเข้าไปทุกทีเรียกรอยกังวลให้ปรากฎ ปรัญไม่เจอเอื้อมตั้งแต่เมื่อวานหลังจากการซ้อมรอบสุดท้าย กินข้าวมื้อดึก ไปส่งห้อง เนื่องจากตารางเรียนในวันรุ่งขึ้นค่อนข้างไม่ลงตัวก็เลยตกลงว่าไว้เจอกันที่งานทีเดียว

   เอื้อมอารัญส่งข้อความสุดท้ายมาตอนเที่ยง บอกว่าอยู่หอประชุมแล้ว เลยส่งกลับไปให้กำลังใจบวกกับบอกว่าไว้เจอกันตอนเย็น

   จะซื้อชาเขียวปั่นไปให้ก็ไม่ได้ ส่วนของนักดนตรีกับผู้ชมถูกแยกกันชัดเจน ไม่อยากจะทำตัวเป็นพวกเส้นใหญ่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสร้างความไม่พอใจให้กับคนอื่น ก็เลยทบเอาไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะพาไปซื้อย้อนหลัง

   ในห้องประชุมที่ใช้งานสารพัดตั้งแต่เรียน คัดการประกวดดาวเดือน และแสดงซิมโฟนีออร์เคสตราเริ่มมีผู้ชมจากทุกชั้นปีรวมถึงบุคคลภายนอกหนาตา งานเข้าชมฟรีเป็นสวัสดิการที่เขาว่ามันก็แฟร์ในระดับหนึ่ง ไม่นับเรื่องคำบ่นล้านแปดของเอื้อมว่าไม่คุ้มทุนนะ

   เลือกที่นั่งแถวที่สองของช่วงกลางห้องแบบสโลปเพื่อไม่ให้ใกล้และไกลจนเกินไป สะดวกต่อการเข้าออกในกรณีที่คุณนักไวโอลินไม่อยากอยู่นานหลังจบ ลองมองดูว่ามีคนรู้จักเข้ามาชมการแสดงเหมือนกันหรือไม่ เหมือนว่าจะเห็นเพื่อนของฮิวอยู่ตรงล็อกแรกสุด ที่นั่งวีไอพีเชียวล่ะ

   ข้อความในห้องสนทนายังไม่มีข้อความใหม่ ลังเลอยู่ว่าจะส่งรูปไปรายงานดีไหมว่าอยู่ข้างในแล้ว หากต้องเปลี่ยนไปหงุดหงิดกับกลุ่มชายหญิงที่เสียงดังโฉงฉางบนแถวที่นั่งสูงขึ้นไปแทน อยากจะบอกว่าถ้ามารยาทแย่ก็อย่าเพิ่งเข้ามารบกวนคนอื่นเลย 

   การแสดงเริ่มต้นขึ้น มองหาคนงอแงเอาแต่ใจบริเวณที่นั่งส่วนของนักไวโอลินด้วยความไวแสง ไม่คิดจะโบกมือทักทายให้กลายเป็นคนประหลาด พอนึกย้อนไปแล้วนี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเอื้อมเล่นต่อหน้า ที่เหลือจะเป็นแนวของการฟังแต่เสียงมากกว่า

   ท่าการโค้งให้ความเคารพผู้ชมไม่ใช่การทำเพียงผ่าน มองอากัปกิริยาของเอื้อมอารัญมากกว่าวาทยกรผู้มาพร้อมไม้ทูบาร์ ตัวโน้ตแรกเริ่มบรรเลง และเขาเองก็หลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งเสียงเพลงเสียแล้ว

   กลายเป็นว่ามันไกลเกินกว่าจะเห็นรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด แต่ก็ยังเพลิดเพลินยามเห็นใบหน้าจริงจังไม่มีวอกแวกของอีกคน เหมือนได้เห็นเอื้อมตอนที่วางแผนทำกิจกรรมเงียบอีกครั้ง

   เอื้อมอารัญตอนจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่างนี่มีเสน่ห์จังนะ

   เสียงปรบมือดังเป็นครั้งสุดท้ายยาวนาน ปรัญยังไม่ยอมละสายตาออกจากผู้ชายคนนั้นที่ยืนถือไวโอลินสีน้ำตาลไม้และโบวไว้ด้วยมือเดียว เขาดึงหน้าตึงต่างจากคนอื่นที่ฉีกยิ้มกว้างรับคำชม มองซ้ายขวาสลับไปมาหยุกหยิกไม่ยอมอยู่นิ่ง เดี๋ยวรีบลงไปหน่อยดีกว่ามั้ง

   มีหนึ่งความกังวลอยู่ในใจตอนนี้ คือไม่รู้เลยว่ามันมีธรรมเนียมมอบดอกไม้ให้กับผู้แสดง จากที่มองผ่านๆ มีตั้งแต่ช่อใหญ่เกือบเท่าตัวคนไปจนถึงช่อเล็กน่ารัก ส่วนตัวเองนี่มามือเปล่าของแท้
   
   นอกจากเขาแล้วไม่คิดว่าจะมีใครอื่นที่มาเพื่อชมการแสดงของเอื้อมอีก เท้าทั้งสองข้างจึงซอยถี่เร็วขึ้นในจังหวะการเดินลงไปตามขั้นบันได นึกคำสารภาพไปพร้อมๆ กับการหาดีลใหม่สำหรับความผิดพลาดในครั้งนี้ พาไปกินสเต็กตามที่คุยวันก่อนก็น่าสน หรือว่าจะชวนไปเชียงใหม่ดีนะ

   "..."

   เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้วยความตั้งใจว่าจะล็อกเป้าหมายก่อนที่จะคลาดกันไป ภาพตรงหน้าที่เล่นต่อจากนั้นแปรความเร่งรีบเพื่อให้ถึงจุดหมายเป็นการหยุดโดยพลันจนสัมผัสได้ถึงแรงปะทะจากด้านหลัง

   "...ขอโทษครับ" หันไปก้มหัวเป็นสิ่งประกอบ ทิ้งช่วงเวลาสำหรับการตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป

   ในเมื่อบริเวณที่เคยมีเอื้อมอารัญยืนอยู่คนเดียว ตอนนี้มีใครอีกคนพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่

   จำได้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ก็บังเอิญเจอมาตั้งสองครั้งแล้ว ย้อนไปถึงเมื่อวันก่อนแล้วก็เอามาประกอบเองว่าปลายสายก็น่าจะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมคนนี้เช่นกัน
   
   คือ...จะให้ว่ายังไงดีล่ะ ปันรู้สึกว่าเอื้อมมีแค่เขามาตลอด แต่ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่เคยกลัวเอาไว้แล้วมันควรจะทำอย่างไรต่อ จะรอจนกว่าพวกเขาคุยเสร็จ หรือว่าจะเดินเข้าไปทะลุกลางปล้องตอนนี้เลยดี

   จะว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ไม่กี่ขั้นต่อจากนั้นมีช่องประตูให้หลบซ่อน เขายืนอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่เป็นการปรับอารมณ์ให้เข้าที่ ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกแย่กับภาพที่เห็น

   จะผิดไหมถ้าไม่อยากเจอเอื้อมตอนนี้เลย

   "ว่าไงนักบุญปัน ซึ้งในรสพระธรรมไหม"

   เขยิบหนีทั้งตัวตอนเพิ่งรู้สึกว่ามีใครมายืนข้าง ฮิวกับช่อดอกไม้แห้งขนาดกำลังดีสีชมพูไม่เข้ากับหน้าตาและนิสัยส่งยิ้มกว้างมาให้พลางถามซ้ำอีกครั้ง

   "เอามาปนกี่ศาสนาเนี่ย" เถียงกลับไม่จริงจังเท่าไหร่

   "เอาใหม่ๆ สนุกปะ ตีกลองแต่กูถามเหมือนเป็นวาทยกรเลยไอ้เหี้ย"

   เท่าที่ลอบมองฮิวบางครั้งก็ยังเบื่อแทน ตีให้จังหวะซ้ำเดิมตลอด "เพราะดี ประทับใจ"

   "ตอบดี อยู่เป็น ล่ะนี่มาดูเอื้อมล่ะสิ"

   "อือ"

   ก็ไม่มีวิธีการตอบที่ยาวมากกว่านี้อีกแล้วนี่นา

   "เห็นมันยังอยู่บนเวทีนะ ...อ้าว สรุปไนน์ก็มาเหรอ ไอ้นี่แม่งก็ใจดีกับคุณเอื้อมตลอด"

   "..."

   "เคยเจอแม่งปะ กูขอเรียกว่าเพื่อนประเสริฐเพื่อนตายที่คุณเอื้อมไม่ควรรู้จัก"

   "เคย...มากับแฟน" จะเพิ่มข้อมูลลงไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก แค่อยากจะย้ำอะไรบางอย่างน่ะ "เขาก็ไนซ์ ดูเป็นผู้ชายที่ดี"

   "ดีสิ ไม่งั้นแฟนเก่าเอื้อมจะเปลี่ยนมาเอาไนน์แทนเหรอ"

   นอกจากจะมีชื่อของสองคนตรงนั้นโผล่ขึ้นมา แม้แต่ผู้หญิงยิ้มสวยก็ยังกลับมาทักทายด้วย "นี่คุณเอื้อมปิดเรื่องที่แฟนไนน์เป็นแฟนเก่าไหม มันชอบโกหกว่าไม่ได้คบกันจริงจัง"

   ไม่ชอบหลายคำในประโยคหรอก ติดตรงเขาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดโดยไม่จำเป็น "เคยบอกแล้ว ตั้งแต่เจอครั้งแรกนั่นแหละ"

   จนต้องแก้ไขความเข้าใจผิดอีกหน่อย เป็นการปกป้องทั้งสามคนไปในคราวเดียวกัน

   "เออ ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เวลาต้องเล่าให้คนอื่นฟังว่าพวกมันมีความสัมพันธ์แบบไหนแล้วงงฉิบหาย" เขาตอนแรกก็คงเป็นหนึ่งในบรรดาคนไม่เข้าใจ "เอื้อมคบกับผู้หญิงคนนั้นก่อนแล้วพอเลิกผู้หญิงก็ไปคบกับไนน์ต่อ ส่วนสองคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นี่ยังแอบคิดเลยว่าแม่งจงใจปล่อยคุณเอื้อมมาเรียนที่นี่คนเดียว และคนซวยคือกูเอง"

   คลับคล้ายคลับคลาว่าวันที่เจอตรงชั้นใต้ดินของตึกพวกเขาก็พูดทำนองนี้ ประมาณว่าที่เลือกเรียนในเมืองเพราะอยากให้เอื้อมได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ใช่แค่เพราะว่าฝ่ายหญิงเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยนี้

   "เหี้ย ลูบหัวเหมือนพ่อเลย" มองตามทิศทางเดิมเพื่อพบกับท่าลูบศีรษะแสนอ่อนโยน "แต่ตั้งแต่บ้านมันมีข่าว ไนน์นี่แหละที่เหมือนเป็นพ่อให้แทน"

   ชะงักกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้เพิ่มเติม เอื้อมไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ให้ฟัง แล้วที่ฮิวเคยเล่าก็ไม่เคยเท้าความไปถึงเรื่องของบิดา นี่คือปมเรื่องบ้านอย่างที่บอกหรือเปล่านะ

   "กูปล่อยให้มึงไปหาคุณเอื้อมดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าแม่งไม่ส่งไฟล์รายงานให้กูเกมแน่"

   ก็ว่าจะโบกมือลาเลย หน้าจอโทรศัพท์ในมือก็ปรากฎสายโทรเข้าด้วยชื่อจริงของผู้ชายที่เป็นความสนใจเดียวในวันนี้เสียก่อน ปรัญส่งสัญญาณว่าต้องไปก่อนให้กับฮิว สูดหายใจเข้าลึกก่อนรับสาย

   "ครับ"

   (ปันอยู่ไหน ไม่ได้มาดูเราเหรอ) น้ำเสียงไม่ได้หัวเสียอย่างที่กลัวเอาไว้ตั้งแต่แรก ติดมีความสุขเสียด้วย

   ก็แน่ล่ะ เพื่อนสนิทมาทั้งที

   "เราอยู่ในงานแล้ว พอดีเจอฮิวเลยคุยกันนิดหน่อย กำลังลงไปครับ"

   (อือ อยู่บนเวทีนะ กับดอกไม้ช่อใหญ่ๆ เลย)

   กลายเป็นการตอกย้ำเข้าไปอีก ปันตัดบทวางสายด้วยเหตุผลว่าเห็นเอื้อมแล้ว ตบช่วงแก้มเรียกขวัญและกำลังใจ ถ้าเขาจัดการความรู้สึกไม่ได้มันก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเอื้อมและไม่ควรให้มารับรู้

   เอื้อมอารัญไม่ใช่คนสูงสะดุดตา เมื่อตกอยู่ในสภาวะที่คนรอบข้างต่างยืนพูดคุยกับเหล่านักดนตรีอย่างออกรสมันควรจะถูกกลืนไปกับฝูงชน น่าแปลกที่เขามองตรงไปเพียงพริบตาเดียวก็มองเห็นผู้ชายในชุดนักศึกษายืนโดดเดี่ยวกับช่อดอกไม้ใหญ่สีสันสวยงามได้

   "นั่งอยู่ตรงไหน ไม่มีเวลามองเลย"

   "ช่วงกลางแถวแรกๆ น่าจะไกลอยู่"

   "เราเล่นเป็นไง"

   "ท่าสวย"

   ท่านั่งหลังตรง นิ้วเรียวสวยกดปล่อยไปตามจังหวะงดงาม สายตาที่พุ่งสมาธิให้กับโน้ตเพลงตรงหน้าลงตัวไปทุกสัดส่วน เขาไม่ค่อยเห็นโหมดจริงจังของอีกคนเท่าไหร่ และพบว่ามันก็เพลินตาดีเหมือนกัน

   แก้มที่พองออกแทนการบอกว่ามันไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ "ปันนี่ไม่เคยชมให้ได้ชื่นใจเลยอะ"

   "จะให้บอกว่าเล่นไม่พลาดเราก็บอกไม่ได้นี่" เอื้อมไม่ได้เล่นโซโล่สักหน่อย เสียงที่ออกมามันประสานกันจากหลายเครื่องดนตรีด้วย "แต่เราชอบเพลงที่เลือกมาเล่นนะ"

   ไวโอลินคอนแชร์โตหมายเลขสามสิบห้าของไซคอฟสกี้ ถึงไม่ได้เป็นนักโซโล่แต่ก็อยู่แถวหน้าสุด

   "ก็จริงนะ ไว้เล่นให้ฟังใหม่ก็ได้ กลับกันเลยไหม?"

   "อ้อ ...ไม่ต้องรอใครมาหาใช่ไหม" ถามเผื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า

   "เฮอะ ไม่มีหรอก ตอนแรกก็คิดว่ามีแต่ปันคนเดียวแล้ว นี่มีคนกวนตีนมาเซอร์ไพรส์" ช่อดอกไม้ใหญ่ถูกยกขึ้นมาเกือบปิดทั้งหน้า "ไนน์โทรมาบอกว่ามาไม่ได้ วันนี้โผล่บนเวทีเฉย แต่นี่บอกว่ากลัวไม่ทันรถตู้เที่ยวสุดท้ายเลยกลับไปแล้ว"

   บอกตามตรงว่าคิดคำสำหรับการต่อบทสนทนาไม่ออก ก็เลยปล่อยให้เอื้อมได้เล่าเรื่องราวเบื้องหลังเวทีที่เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะสวยงามเหมือนฉากหน้า ในช่วงเวลาที่หลายคนเดินสวนไปมาตรงบันไดทางออก เขารับหน้าที่ช่วยถือตัวเคสไวโอลินไร้ตัวห้อยเหมือนเดิม ส่วนเอื้อมยังไม่ยอมปล่อยช่อดอกไม้ใหญ่

   "แล้วปันมีอะไรมาให้เราปะ"

   ตอบตามตรงคงไม่แย่เท่าไหร่ "ไม่มีอะ ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรอย่างนี้กัน"

   "อ่าฮะ"

   "ไม่โกรธ?"

   "ที่จริงก็เสียใจนิดหน่อย แต่แค่ปันมาดูก็ดีแล้วล่ะ" เราหยุดอยู่ตรงประตูรถส่วนหน้าฝั่งซ้ายเหมือนกัน นักดนตรีในวันนี้เลิกคิ้วถามพร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง "ให้เราขับเหรอ นี่นึกว่าจะได้นั่งกลับห้องสบายๆ แล้ว"

   ปรัญจงใจหลบสายตา ทำทีเป็นขยับไปเปิดประตูหลังเพื่อเก็บเครื่องสายสี่เส้นพลางนึกว่าควรจะตอบอย่างไรให้ไม่มีปัญหาตามมา เขาแค่รู้สึกว่าไม่อยากจะอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังเรื่องใดเพิ่มเติม

   "เอื้อมขับกลับเองนะ เราจะกลับห้องเลยอะ"

   "อ้าว..."

   "พอดีมีงานค้างอยู่"

   "เหรอ..."

   "ขอโทษนะ แล้วไว้พรุ่งนี้ไปกินสเต็กกันเนอะ"

   เขาชักจะเข้าใจความหมายที่เอื้อมบอกว่าบางครั้งการโกหกมันก็ดีกว่าแล้วล่ะ
 


   เขาไม่อาจลบภาพเอื้อมที่ฝืนยิ้มโบกมือลาทั้งที่กำลังยืนคนเดียวได้เลย

   ไม่ชอบที่เอื้อมบอกแค่ว่าไว้เจอกันพรุ่งนี้โดยไม่รั้งหรือว่าทำนิสัยเอาแต่ใจเลยสักนิด สิ่งที่เคยเห็นมาก่อนหน้าเมื่อต้องมาประสบซ้ำสองมันแย่เกินกว่าที่จะตามหาข้ออ้างร้อยแปดเพื่อสร้างความสบายใจให้ตัวเอง มันเหมือนกับวันที่อีกฝ่ายเคยห้ามไม่ให้เขาค้างคืนด้วยเหตุผลว่าถ้าร้องขอไปแล้วตนจะทำตาม

   บนหน้าแรกของแอปเฟซบุ๊กมีการอัปเดตจากทั้งฝั่งของผู้แสดงและผู้ชม ฮิวลงภาพถ่ายรวมพร้อมกับเพื่อนทั้งกลุ่ม มีแคปชันที่อ่านแล้วเหมือนลอบด่าความเล่นใหญ่มากกว่าขอบคุณสำหรับการรับชม เพื่อนเขาบางคนก็ลงคลิปช่วงหนึ่งของการแสดงที่ตนชื่นชอบ ทั้งหมดที่ไล่ดูตามเวลาการโพสต์ไม่มีอันไหนที่เป็นของเอื้อมอารัญเลย

   มันผิดปกติ ผิดมากเสียด้วย อย่างน้อยๆ แล้วมันก็น่าจะมีสักรูปหรือไม่ก็คำคมสักอย่าง ไม่มีทางหายไปไร้ร่องรอยเช่นนี้แน่

   มีหลายข้อเสนอตีกันไปมาภายในความคิด จะโทร จะแชต หรือว่าไปโผล่ใต้หอให้หมดเรื่องหมดราว

   ยังไม่ทันออกจากหน้าจอก็มีจุดแดงขึ้นการแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่ เห็นชื่อบัญชีคนทักมาแล้วนิ้วโป้งก็รีบกดเข้าไปอ่านข้อความโดยไม่รอช้า

   U Arun : สเต็กพรุ่งนี้เย็น
   U Arun : ห้ามลืม


   เจออย่างนี้เข้าไปแล้วความหน่วงตรงอกยิ่งมากขึ้นไปอีก ปรัญตั้งใจเก็บเรื่องอาหารเย็นของวันพรุ่งนี้เอาไว้ก่อน ขอสนใจเรื่องสำคัญกว่านั้นก่อน

   Parun P :  ขอโทษนะ

   คล้ายกับการสลับบทบาท รู้อยู่แก่ใจดีจึงไม่ได้เลียนแบบประโยคหลังว่าถึงจะไม่รู้ว่าขอโทษเรื่องอะไร

   มันขึ้นเครื่องหมายถูกและเขียนกำกับว่ามีการกดเข้ามาอ่านแล้ว จังหวะบีบตัวของหัวใจเร็วขึ้นเป็นลำดับตามความคิดฟุ้งซ่านที่เพิ่มขึ้นไปทุกวินาที สัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่าเอื้อมรู้ความหมายของคำขอโทษนั้น

   U Arun : ไม่เป็นไร ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็เข้าใจ

   ทุกคำยิ่งตอกย้ำ เมื่อมันรวมกับสายตาที่เคยตั้งใจว่าไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกทุกอย่างก็ดูแย่กว่าเดิม

   U Arun : ถ้าไม่ไหวแล้วก็บอกตรงๆ นะ อย่าโกหกเลย
   U Arun : ปันโกหกไม่เก่งเท่าเราหรอก



***
   ในบางครั้งเราก็ไม่รู้เลยนะคะว่ารอยยิ้มหรือน้ำตามันเป็นตัวแทนของความเศร้ามากกว่ากัน
   เจ้าแต่งเรื่องนี้จบแล้วนะคะ อยู่ระหว่างแก้ช่วงท้ายที่ยังไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ จะทยอยลงให้ครบในเดือนนี้หรืออาจยาวไปถึงกลางเดือนหน้า เพื่อให้เคลียร์ก่อนที่เจ้าจะไปเรียนต่อค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสาม [1.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 07-07-2018 18:50:51
อึนๆ หน่วงๆ สงสารปัน :mew2:
..
...
....
รออ่านนะคะ :ling3:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสาม [1.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 07-07-2018 22:48:10
แงๆสงสารปันทำไมรู้สึกเหมือนทั้งสองคนยังไม่เปิดใจก็ไม่รู้การไม่พูดความจริงทั้งหมดเพื่อทำให้อีกคนสบายใจคงไม่ใช่การโกหกสงสารปัน
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสาม [1.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 07-07-2018 23:33:53
สุดหน่วง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสี่ [8.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 08-07-2018 20:38:09
สิบสี่


   เขาเตรียมคำพูดมามากกว่าสิบประโยค

   แต่พอเจอหน้าเอื้อมมันเหลือเพียงความว่างเปล่า

   "เอื้อมรอหน่อยนะ พอดีคนสุดท้ายยังไม่ออกมาเลยอะ"

   "อือ..."

   ตอบรับไม่มีอิดออด เอื้อมอารัญและแก้วชาเขียวปั่นคู่ชีพเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามไม่ต่างจากทุกครั้ง

   แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด

   อึดอัด หายใจลำบาก ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากไหนแต่เขารู้สึกไม่สบายใจกับการเห็นเอื้อมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่พูดอะไรออกมาเพิ่มเติม เขาชินกับการได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องที่พบในรอบวันนี่นา

   ปล่อยให้อีกฝ่ายหยิบแฟ้มบันทึกรายชื่อไปเปิดสำรวจ วันนี้มีแค่รายเดียวและไม่ใช่คณะแพทย์ พระเจ้าคงไม่แกล้งซ้ำรอยเก่าให้ต้องเผชิญกับความน่าระทึกใจในระยะเวลาห่างกันไม่นานหรอก

   "...ไม่ได้เข้าไปคุยนานแล้วแฮะ"

   ระดับเสียงเบาจนเกือบเป็นการคุยกับตัวเอง หากความเงียบรอบข้างมันไม่มีสิ่งใดกลบได้ลง

   ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ในฐานะที่ควรให้คำแนะนำเรื่องการเข้ารับการรักษาหรือไม่ เอื้อมไม่ได้เดินเข้ามาในห้องนี้เพื่อรับคำปรึกษานานแล้ว เจาะจงคือตั้งแต่วันที่อาจารย์ขอกลับกะทันหันแล้วเหลือแต่เขาเฝ้าห้องคนเดียว หลังจากนั้นไม่ว่าในช่วงเวรตัวเองหรือการตรวจสอบในใบรายชื่อไม่เคยมีชื่อของเอื้อมอารัญอีก

   การหายใจที่บอกก่อนหน้าว่าลำบากเพิ่มระดับขึ้นเมื่อเปลี่ยนเป็นการนั่งข้างกันบนรถห้าประตูคันเดิม เมื่อไม่ได้มีการตกลงแตกต่างหน้าที่ขับจึงเป็นของคนมีกุญแจติดตัว เสียงเพลงคลาสสิกคลอไปกับการฮัมขึ้นมาบางจังหวะ นั่นน่ะยิ่งทำให้เขาเกร็งและไม่เป็นตัวเองมากขึ้น

   เบนความสนใจไปยังลิงก์หน้าเว็บแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังจะไป พอได้อ่านแบบตัวเต็มแล้วไม่ค่อยอยากจะเรียกมันว่าร้านสเต็กเท่าไหร่ คือไม่เคยเห็นหน้าตาร้านไหนที่ทำอย่างนี้มาก่อน

   เอาเป็นว่าไปเสพบรรยากาศในสมัยก่อนที่ไม่เหมือนกับเทรนด์วินเทจตะวันตกในช่วงนี้ ดูจากภาพแล้วให้ฟีลของร้านอาหารมีอายุ จำพวกตกแต่งด้วยกระเบื้องอันเล็กลายเดียวต่อกันไป โต๊ะสี่เหลี่ยมงานเก่า เก้าอี้ไม้ที่ให้ความรู้สึกของประจำบ้านคุณปู่คุณย่าทำนองนั้น

   เป็นการเดินทางที่ไกลยิ่งกว่าครั้งไหน เรียกได้ว่าเกือบเป็นการอ้อมโลกเลยก็ได้ โชคดีที่ตอนเราไปถึงมีรถคันหนึ่งเพิ่งขยับออกจากแถวจอดริมบาทวิถี ถึงได้จังหวะเสียบเข้าไปแทนโดยไม่ต้องไปตามหาสถานที่จอดให้ปวดหัว

   จากที่เห็นแค่ในรูปพอมาเจอของจริงแล้วมันไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ปันมองลูกค้าที่ยืนรอคิวอยู่สองสามกลุ่มไม่ได้เรียงกันเป็นแถวชัดเจนแล้วก็หมดไอเดียว่าควรจะทำอย่างไรต่อ หรือว่าต้องไปบอกพนักงานคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นนะ

   "กี่คน"

   ยังทำตัวเป็นคนแปลกถิ่นที่ไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรม ปรัญยกนิ้วขึ้นเป็นรูปตัววีพร้อมกับบอกจำนวนให้กับคนถาม "สองครับ"

   "เข้าไปข้างในเลย"

   เหมือนจะเป็นเจ้าของร้านมั้ง ผู้ชายบุคลิกโผงผางเสียงดังดูวุ่นวายกับทุกสิ่งรอบกาย เขาชี้เร็วๆ เข้าไปข้างในโดยปล่อยให้ลูกค้าหน้าใหม่เผชิญกับโลกใหม่ตามลำพัง

   ต้องบอกจำนวนให้พนักงานด้านในทราบอีกครั้ง ก่อนจบลงตรงเก้าอี้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่ได้ออกแบบมาให้นั่งได้สองฝั่ง แต่ต้องต่อกันไปฝั่งเดียวแทน

   แค่การจัดที่นั่งยังแปลกเลย

   ป้ายจองถูกหยิบออกไปทันทีเมื่อเราประจำที่ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะวางเอาไว้ทำไมในเมื่อพวกเขาก็ไม่ได้จองล่วงหน้าสักหน่อย คนนั่งด้านในอย่างเอื้อมส่งเมนูอาหารมาให้ เขาเลยต้องเปลี่ยนไปสนใจกับรายการที่อยู่ในใบแทน

   เลือกเอาไว้ในใจแล้วว่าอยากจะลองเมนูไหนบ้าง อาหารจานเดียวไม่น่าจะเอามาแบ่งกันได้เลยไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น "สั่งเลยนะ?"

   ขอความคิดเห็นก่อนเช่นเดียวกับทุกครั้ง วิธีการตอบกลับคือพยักหน้าแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แถมยังทำท่าเหมือนว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของมือถืออีกแล้ว

   เรียกพนักงานมาสั่งรายการอาหารในปริมาณที่ไม่เหมือนกับมากันแค่สองคน เราเลือกเมนูค่อนข้างหลากหลายโดยไม่ได้นัดหมาย หากเป็นในสถานการณ์ปกติคงบอกได้ว่าเป็นการสั่งเพื่อแบ่งกันกิน สำหรับส่วนที่ไม่ปกติคงจบตรงที่ต่างตนต่างทาน นี่มันต่างอะไรกับการมาคนเดียวแล้วโดนพนักงานจับนั่งคู่กัน

   แก้วเปล่าแช่เย็นวางลงพร้อมกับถังน้ำแข็ง คนนั่งด้านนอกอย่างเขาเลยรับหน้าที่เป็นฝ่ายเสิร์ฟน้ำไป อาการหายใจไม่ค่อยคล่องและพูดอะไรไม่ออกลดลงไปเล็กน้อยเมื่อน้ำเย็นไหลลงคอ

   ชั่งใจอยู่นาน ในท้ายที่สุดก็ยอมเปิดปากก่อน "ขอโทษนะ"

   ไม่รู้เหมือนกันว่าการพูดคำเดิมซ้ำมันจะดูไม่จริงใจหรือเปล่า

   "...ไม่ต้องขอโทษหรอก" แค่นั้นปรัญก็สัญญากับตัวเองว่าเขาพร้อมเป็นฝ่ายขอโทษก่อนเสมอหากมันทำให้เอื้อมอารัญกลับมาเป็นเช่นเดิม "ปันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่"

   "เราทำผิด"

   เขาไม่อายที่จะยอมรับมัน

   "เรื่อง? เอาจริงคือเราก็ยังไม่เข้าใจว่าปันเป็นอะไรหรอก"

   "งี่เง่าน่ะ คิดอะไรไม่เข้าท่า" เล่าตามอย่างที่คิด ส่วนรายละเอียดอยากจะเก็บมันไว้ก่อน "แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราไม่ไหว เราโอเคกับที่เป็นอยู่...มากๆ"

   มันเป็นสิ่งที่ค้างอยู่ในใจตั้งแต่เห็นประโยคตอบกลับจากเอื้อม รวมกับหลายๆ ครั้งที่หลุดปากออกมาว่าสิ่งที่อยู่ในความคิดเสมอคือการที่มองว่าปรัญเป็นคนใจดีที่ยอมอยู่ด้วยความสงสาร

   "จริงนะ?"

   เอื้อมอารัญมักจะถามย้ำเพื่อความแน่ใจเสมอ "อือ ไม่โกหกหรอก"

   เพิ่งเห็นว่าข้อดีของการนั่งอยู่ฝั่งเดียวกันคือสามารถกักอีกคนเอาไว้ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เอื้อมคว้าเอาถังน้ำแข็งไปไว้ข้างตัวเอง ตักก้อนน้ำใส่ลงไปเพิ่มเติมในแก้วตัวเอง นี่ยังมีเครื่องดื่มแบบปั่นอีกสองแก้วนะนั่น

   "เราก็ชอบที่มีปันอยู่ด้วยอย่างนี้นะ"

   "..."

   "แต่เริ่มคิดแล้วว่าอาหารที่สั่งจะจัดการกันได้หมดไหม"

   หัวเราะเบาๆ ให้กับความกังวลชุดเดียวกัน "ไหวแหละ ดูไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่"

   ถ้ารู้ว่าการพูดความจริงมันจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้เร็วอย่างนี้คงไม่ยอมเก็บเอาไว้กับตัวตั้งแต่แรก ความรู้สึกหน่วงในอกหายไปพลันยามได้ยินคำที่บอกว่าชอบที่เราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ...ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม

   อาหารชุดแรกวางลงบนโต๊ะ เป็นสเต็กที่เขาไม่เคยเห็นร้านไหนใช้วิธีการทอดอย่างนี้ มาพร้อมกับข้าวเกรียบ ผักต้ม และขนมปัง แปลกแต่ก็น่าอร่อยดี

   ส่งชุดรวมมิตรเข้าไปข้างใน ตามด้วยมีดและส้อม เขายังตามหาเหตุผลของการเฉือนขโมยเอาเนื้อไก่ในจานตรงหน้าออกไปรวมกับบรรดาอาหารทั้งหมดที่มีปริมาณมากกว่าของเอื้อมไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าทำให้มีความสุขได้เรื่องอื่นเก็บเอาไว้ก่อนแล้วกัน

   ตามมาด้วยข้าวหน้าไก่และเกาเหลา ส่วนตัวเคยทานร้านที่ถูกปากกว่านี้เลยไม่ออกความเห็นเรื่องรสชาติ ต่างจากคนอยากมาทานที่ชมไม่หยุด จนถ้ามีคำถามว่าเอื้อมชอบทานอะไรที่สุดเขาคงตอบว่ากินได้เกือบทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าไม่ชอบ

   "เหมือนเรามาดูเอื้อมกินมากกว่าเลยอะ" อดหยอกไม่ได้ ก็ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็ต้องตอดเอาไปลองชิมเกือบหมด "อิ่มไหม ของหวานเป็นอะไรดี"

   ยกแก้วน้ำเซเว่นอัปผสมนมสดปั่นขึ้นมาดูดจนได้ยินเสียงลม เป็นเครื่องดื่มที่แปลกแต่ก็หยุดกินไม่ได้

   "เอาไอติมซันเดย์ วานิลลานะ"

   พยักหน้ารับทราบ ยกมือขึ้นส่งสัญญาณขอสั่งอาหารเพิ่ม เขาทวนคำสั่งของเอื้อมอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าเรียกเก็บเงินได้เลย และวิธีการคำนวณแบบคณิตคิดในใจนั่นก็แอบทำให้ทึ่งอยู่มากพอสมควร

   "ไหนปันเอาเมนูมา เราจะลองบวกใหม่"

   ทำตัวเป็นเจ้าหนูทำไมที่ต้องการการพิสูจน์จริงจัง แอบมองคนเรียนสายสังคมกดเครื่องคิดเลขพลางพึมพำทวนรายการอาหารที่สั่งไปทั้งหมดโดยที่ต้องซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ให้ได้ ปรัญไม่ค่อยมีปัญหากับเรื่องการคิดราคาที่ไม่ค่อยมีความโปร่งใสนี้เท่าไหร่ ก็ราคารวมในท้ายที่สุดมันยังไม่ได้ครึ่งของบางมื้อที่เอื้อมอารัญพาไปกินเลย

   ขนาดของหวานเสิร์ฟตรงหน้าแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้ มือข้างหนึ่งถือเมนูส่วนอีกฝั่งถือช้อนเอาไว้ แล้วแต่งตั้งให้เขาเป็นมือที่สามคอยช่วยกดตัวเลขตามคำบอก

   "ก็ตรงอยู่นะ" ตัวเลขบนหน้าจอกับตอนจ่ายเงินเป็นจำนวนเท่ากัน

   "เจ๋งอะ ทำได้ไง"

   "คิดทุกวันมันก็ต้องชินบ้างแหละ"

   "เราก็ซ้อมไวโอลินเกือบทุกวันไม่เห็นชินเลย ...ขอซื้อนี่หน่อยนะ" เหมือนว่าจะติดใจข้าวเกรียบสีส้มนี้จริง พอออกมาหน้าร้านก็ยังซื้อไปอีกสามห่อ กินทั้งหมดนั่นคอพังกันพอดี "อยากทำได้บ้างอะ แบบ จับปุ๊บมือเล่นเองปั๊บ"

   "ลองเปลี่ยนไปซ้อมทุกวันไหมล่ะ"

   พอเสนอก็ทำหน้าบูด "ไม่เอา"

   "ไม่ก็ไม่"

   "อิ่มแล้วแต่ยังไม่อยากกลับเลย แถวนี้มีที่ไหนให้เดินเที่ยวต่อได้บ้าง"

   "ถามอย่างกับเราเป็นเจ้าถิ่นเลยนะ"

   บ่นไม่จริงจังเท่าไหร่ เปลี่ยนฝั่งมาเป็นคนขับแทนเผื่อว่ามันจะสะดวกสำหรับการตามหาเป้าหมายถัดไป เรื่องการตามหาสถานที่ตามรีวิวนี่ขอให้เป็นหน้าที่ของเอื้อมเถอะ

   "ก็เผื่อว่าจะรู้ไง"

   "ถ้าถามว่าโรงแบบไหนเหมาะกับหนังแนวอะไรเราถึงจะตอบได้"

   "เราไม่ดูหนังน่ะสิ" หันมาทันเห็นหน้าไม่รับแขกที่สะท้อนจากแสงไฟหน้าจอโทรศัพท์พอดี "โอ๊ะ เขาบอกว่าแถวนี้มีร้านโกโก้ที่ขายเฉพาะกลางคืนด้วยแหละ แต่เหมือนจะเป็นแบบเย็นนะ"

   "ขอผ่าน น้ำเต็มท้องแล้วเนี่ย" ทั้งจากมิลก์เชกและน้ำเซเว่นอัปนมสด

   "มีน้ำเต้าหู้ไข่ลวก...แต่เปิดตีหนึ่ง"

   "นอนรอในรถได้ยาวๆ"

   "ไม่ค่อยมีอะไรเปิดตอนดึกเลย ...หรือกลับดี?"

   "ก็ได้นะ"

   คำนวณเวลาเดินทางแล้วก็เกือบสองชั่วโมง ไม่ดึกจนเกินไป

   "เปิดแมปให้หน่อย ไม่คุ้นทางเลย"

   "เดี๋ยวบอกให้ มันต้องไปขึ้นทางด่วนแถวบ้านเรา"

   "คุ้นทางแต่เก็บเงียบเลยนะ" ทำอย่างกับเป็นคนต่างพื้นที่ทั้งสองคนไปได้ "กลับไปนอนบ้านเลยดีกว่าไหมเนี่ย"

   "ได้นะ คืนนี้นอนบ้านก็ได้"

   "..."

   "ตรงตามทางไปเลย เดี๋ยวเราโทรบอกบ้านก่อน"

   มันควรเป็นการพูดเล่น

   ไหงกลายเป็นเรื่องจริงจังไปได้
 


   บ้านของเอื้อมอารัญอยู่ในหมู่บ้านขนาดใหญ่ลึกเข้ามาในถนนตัดใหม่เกือบสุดทาง คือถ้าตรงไปอีกหน่อยก็จะเจอกับเชิงสะพานทางด่วนสักแห่ง เป็นส่วนตัวจนเรียกได้อีกแง่ว่าเปลี่ยวเหลือทน

   สติกเกอร์ชื่อหมู่บ้านหน้ารถช่วยให้ไม่ต้องแลกบัตร เลี้ยวซ้ายเหมือนที่จีพีเอสมีชีวิตส่งสัญญาณบอก ตามด้วยอีกหนึ่งซ้ายในซอยที่สอง กว่าจะได้เหยียบเบรกก็ผ่านมาหลายหลัง เอื้อมลงจากรถไปจัดการเปิดรั้วบ้านให้เสร็จสรรพ ยังมีการโบกแขนไหวๆ กำกับการจอดอีกแหนะ

   มันก็แค่การเลี้ยวเข้าจอดโดยไม่ต้องใช้ฝีมืออะไร โรงรถด้านในมีรถยุโรปยี่ห้อเดียวกันจอดชิดริมขวาเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว หน้าที่ของเขาคือการเทียบรถไปอยู่ด้านข้างเท่านั้น

   เอาจากความรู้สึกส่วนตัวมันก็เป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยกำลังดี ไม่รู้ว่านอกจากผู้ปกครองของเอื้อมแล้วยังมีคนอื่นหรือไม่ เดินตามเจ้าของบ้านออกจากสถานที่จอดไปยังสนามหญ้าก่อนเข้าประตูกลาง จัดการถอดรองเท้าให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมเข้าไปเจออีกมิติหนึ่งในชีวิตของเอื้อมอารัญ

   หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนดูหนังแอกชันอีก

   แสงสีส้มนวลกระจายตัวอยู่ทุกที่ ปีกด้านขวาคือโซฟาตัวใหญ่และเก้าอี้นวดไฟฟ้าพร้อมกับโทรทัศน์จอโค้งความละเอียดสูง ส่วนด้านซ้ายมีเก้าอี้ทานข้าวตัวกลมขนาดหลายคนนั่งตั้งเอาไว้ เขาไม่ทันได้มองส่วนอื่นเพิ่มเพราะต้องเดินตามเจ้าของบ้านขึ้นไปยังชั้นสองเสียก่อน

   "ฝั่งนั้นห้องแม่ ส่วนเราห้องนี้"

   จำง่ายๆ แค่ว่า ห้องติดบันไดคือห้องของเอื้อมก็พอ ที่เหลือช่างมันเถอะ

   "แม่น่าจะนอนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยทักเนอะ"

   "อ่าฮะ"

   "เราอาบน้ำก่อนแล้วกัน การ์ตูนในตู้ข้างนอกหยิบได้เลยนะ"

   "โอเค"

   ทำมือประกอบคำรับ พอเอื้อมหายลับเข้าไปในส่วนห้องน้ำก็ไม่ลังเลที่จะดิ่งออกมาส่วนกลางของชั้นสองทันที ตรงทางเชื่อมระหว่างห้องถูกปรับเป็นพื้นที่สำหรับอ่านหนังสือ มีตู้กระจกสำหรับเก็บของสะสมติดกับชั้นวางการ์ตูน มีหนังสืออย่างอื่นที่ดูแล้วไม่น่าจะเป็นสไตล์การอ่านของเอื้อมแทรกอยู่นิดหน่อยตามมุม

   ยกมือขึ้นนวดขมับให้พอมีเวลาปลอบใจตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจริงไม่ใช่เรื่องที่เขากำลังฝันไปเอง คือจากการกินสเต็กมาโผล่ตรงบ้านเอื้อมได้ยังไงปรัญก็ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ค่อยได้

   ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วและเป็นธรรมชาติจนไม่มีเวลาประหม่า เขาเคยผ่านการนอนค้างบ้านเพื่อนมาก็หลายครั้งแต่ไม่เคยมีคราวไหนให้ความรู้สึกสบายใจอย่างนี้มาก่อน นี่มันเรียกว่าการบุกบ้านในยามวิกาลก็ยังได้เลยนะ จะบอกว่าเพราะยังไม่เจอผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ

   ไล่มองไปทีละตู้ตามประสาคนไม่มีอะไรทำ น่ารักดีที่เห็นชุดแฮปปี้มีลเวอร์ชันคิตตี้วางเรียงกันเป็นแผงต่อกันตามการดีไซน์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสนูปปี้ด้วย นี่บ้านนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้แมกโดนัลด์หรือยังไงกันนะ

   ต่อมาเป็นรูปถ่ายเอื้อมอารัญในชุดนักเรียนมัธยมกับไวโอลิน น่าจะเป็นงานโรงเรียนล่ะมั้ง ทำไมหัวเกรียนแล้วยังดูดีต่างจากเขาได้เท่านี้ ด้านหน้าของรูปมีป้ายชื่อติดอกวางเอาไว้ ตอนแรกก็นึกว่าเป็นของเอื้อมแต่พอดูชื่อแล้วมันไม่ใช่ หรือว่าจะเป็นของคุณพ่อ

   จะมีอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ฮิวเคยเล่าไหมนะ

   ...คิดมากไปก็เหนื่อยเปล่า อ่านการ์ตูนรอดีกว่า

   ไม่สนเรื่องเครื่องตกแต่งหรือมูลค่าของอุปกรณ์แต่งบ้านแต่ละชิ้น สิ่งที่อยู่ในความคิดตอนนี้คือล่าสุดเขาอ่านโคนันถึงเล่มไหนแล้ว จะได้หยิบเอาเล่มถัดไปติดมือเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง

   ลองแรนดอมออกมาสองสามเล่มจนเจอกับเลขที่น่าจะตรงกับความทรงจำ ขยับออกไปอีกหนึ่งตู้ดูว่ามีเรื่องอื่นที่น่าสนใจอีกหรือไม่ ประเภทของมันแปรผันไปตามชื่อสำนักพิมพ์ ที่น่าแปลกใจคือแม้แต่เรื่องที่ดูแค่ชื่อก็ไม่ค่อยน่าหยิบแล้วแต่มันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของชั้นวาง

   ยังสำรวจอีกสักพักจนคิดว่ากำลังดีแล้วจึงยืนตัวขึ้นมายืนตรง ขยับคอไล่ความเมื่อยล้า กลับเข้าไปรับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศข้างในห้องนอนแทน

   จะห้องนอนที่บ้านหรือว่าที่หอก็ไม่ค่อยต่าง ใช้โทนสีอ่อน มีระเบียบ ทุกอย่างจัดเรียงเอาไว้เรียบร้อย ที่วางไว้โดยไม่ค่อยใส่ใจก็น่าจะเป็นหนังสือโน้ตเพลงบนกล่องข้างโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วก็เหล่าตุ๊กตาหลายสีสันบนเตียงนอน จะว่าไปแล้วถ้ามีของบนเตียงเยอะอย่างนี้จะนอนกันยังไงเนี่ย

   "เข้าไปอาบต่อได้เลย กะละมังก็อยู่ในห้องน้ำนะ"

   "อะ...อือ"

   วางมือจากคดีฆาตกรรมที่ยังสงสัยอยู่ว่าตัวละครใหม่โผล่มาตั้งแต่ตอนไหน แล้วไม่ได้มีแค่หนึ่งแต่เป็นสาม ต้องย้อนกลับไปอ่านก่อนหน้านี้อีกกี่เล่มกัน

   รับเอาของจำเป็นต่อการทำความสะอาดร่างกายมาถือเอาไว้ ใช้เวลาเคลียร์ตัวเองในห้องน้ำไม่นานเท่าไหร่ อยู่ดีๆ ก็ระแวงว่าถ้าสมมุติไฟในห้องดับแล้วพอกลับมามีแสงสว่างเขาอาจจะได้เจอกับคดีฆาตกรรมในห้องน้ำปิดตายจะเป็นยังไง นี่ก็อินกับการ์ตูนเกินไปหน่อย

   ออกมาเพื่อพบกับคุณเอื้อมในชุดนอนทรงเดียวกับที่เคยเห็นมาก่อนหน้านั่งเหยียดขาเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผมก็ยังเปียกลู่ไม่ยอมเช็ดให้แห้งเหมือเดิม ส่วนตัวเขาก็อยู่ในชุดเตรียมหลับที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่

   "ปันอ่านถึงเล่มไหนแล้ว"

   "เล่มบนสุด จำเลขไม่ได้"

   ยกเอากองกระดาษมีกลิ่นหมึกขึ้นไปไว้บนเตียงอีกฝั่ง เลียนแบบท่าการนั่งเหมือนแกล้งทำเป็นกระจกสะท้อน

   "อีกตั้งเยอะกว่าจะถึงเล่มล่าสุด"

   "ไม่ได้อ่านเลย เอาจริงคือเรายังงงว่าผู้หญิงผมสั้นคนนี้มาจากไหน"

   "คนที่ดูห้าวๆ ปะ นั่นน่ะ..."

   "หยุด" ทำมือปางห้ามญาติแทบไม่ทัน นี่เขานอกจากจะต้องหนีคนเล่าหนังแล้วยังต้องมาเจอคนเล่าการ์ตูนอีกเหรอ "จะไม่มีการสปอลย์อะไรทั้งนั้น"

   "แค่จะเล่าให้ฟังว่ามาจากไหน จะได้ไม่ต้องย้อนอ่าน" เกลียดนักคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ต่อให้เอื้อมจะงัดเอาใบหน้าจริงใจและน้ำเสียงเป็นมิตรแค่ไหนขึ้นมาใช้เขาก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ "นิดเดียวก็ได้"

   "เราขอจับใจความเองแล้วกัน"

   "เป็นพวกเข้าใจอะไรง่ายเหรอ เราทำไม่ค่อยได้เลยอะ"

   "เพื่อนชอบบอกอย่างนั้น แล้วเอื้อมคิดว่าเราเก่งเรื่องอะไรอีก"

   "ใจดีเก่ง"

   "..."

   "ปันเป็นคนใจดีที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาเลย"

   "งั้นสนใจไปเชียงใหม่กับคนใจดีไหม"

   ปล่อยเรื่องนั้นไว้ก่อน มันยังมีอีกเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ เอื้อมบอกว่าอยากไปเที่ยวภาคเหนือ และยังเหลือเวลามากพอสำหรับการท่องเที่ยวก่อนสอบปลายภาค

   "ไป!" ไม่มีการบอกว่าขอเวลาคิดก่อนอะไรทั้งนั้น ระบบประมวลผลนี่ใช้ไอเจ็ดหรือไง

   "งั้นไปดูวันมา แต่เรื่องทริปต้องให้เราเช็กซ้ำอีกทีนะ"

   เข็ดกับทริปน้ำตกมากๆ บอกเลย

   "โธ่ ไม่ไว้ใจกันขนาดนั้นเลยเหรอ"

   "ก็เปล่า...แต่สองหัวดีกว่าหัวเดียวไง"

   "...เราไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยสินะ"

   เพราะคำเอ่ยติดน้อยใจนั่นภาพอธิบายวิธีการฆาตกรรมจึงไม่ได้เข้าสู่ส่วนของการคิดวิเคราะห์ในหัวเลย ปรัญเปิดผ่านเป็นการอ่านเพียงเพื่อให้ถึงหน้าสุดท้ายและไม่ได้หยิบเล่มถัดไปขึ้นมาเพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา เปลี่ยนไปหยิบเอาสมาร์ตโฟนมาเปิดดูตารางงานในวันพรุ่งนี้แทน

   เริ่มเรียนสิบเอ็ดโมงเท่ากับเอื้อม ภาคบ่ายไปทำงานในห้องที่ปรึกษา ส่วนตอนเย็นก็มีไปดูหนัง

   ทำไมดูวุ่นวายจังนะชีวิต

   "พรุ่งนี้เราไปดูหนังนะ"

   "รับทราบ"

   "อยากได้อะไรก็สั่งมา เดี๋ยวไปซื้อให้"

   "เดี๋ยวฝันถึงอะไรจะบอกตอนเช้า"

   อารมณ์ดีเมื่อไหร่ก็จะได้เจอโหมดเด็กตัวน้อยอย่างนี้แหละ บนหน้าจอของเขากำลังแสดงหน้าแรกบนเฟซบุ๊กและรูปที่เพิ่งอัปเดตเมื่อประมาณสี่สิบนาทีที่แล้วของเอื้อม ตุ๊กตากองโตที่ปัจจุบันก็ยังแทรกอยู่ระหว่างข้างของพวกเขา คำอธิบายรูปคือตัวเลขที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นสมการอะไรหรือเปล่า

   U Arun - is feeling Happy.
   +1

   “อะไรคือบวกหนึ่งอะ”

   “หือ?”

   กดไลก์รูปพลางตอบ “ที่ลงรูปตุ๊กตาแล้วเขียนแคปชันว่าบวกหนึ่ง”

   “อ๋อ...”

   “อ๋อคือ?”

   “ไม่บอก” มีการแลบลิ้นให้อีกต่างหาก “นอนดีกว่า พรุ่งนี้ปันตื่นก่อนนะ”

   ตื่นเช้าเป็นปกติอยู่แล้วเลยไม่ขัดใจคนอยากนอนต่ออีกหน่อย ปรัญโคลงหัวเอ็นดูท่าการมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มแล้วปิดจนเกือบมิดหัวของเจ้าของห้อง กลับมาสนใจจอสี่เหลี่ยมเพราะว่าต้องตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้

   “...บวกหนึ่งคือวันนี้มีเรามีปันอยู่ด้วยไง”

   คนเราจะยิ้มกับโทรศัพท์นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมนะ


***
   ตอนหน้าจะไปเชียงใหม่กันแล้ว นี่เจ้าคิดอยู่ว่าเพื่อข้อมูลที่อัปเดตก็ควรจะขึ้นไปหน่อยไหมนะคะ (หัวเราะ) ชอบความเป็นมนุษย์ธรรมดาและเรื่อยๆ ของพวกเขามากจริงๆ
   ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ถ้าไม่มีเจ้าคงเหงามากเลยค่ะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสี่ [8.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 08-07-2018 23:11:17
ปรัญใจดีมากเลย
แต่เอาแต่ใจกับเอื้อมบ้างก็ดีนะ จะได้รู้สึกว่าเท่าเทียม คนที่รับฝ่ายเดียวหรือให้ฝ่ายเดียว
จะอึดอัดเปล่าๆ
รอการไปเที่ยวของทั้งคู่นะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบสี่ [8.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 08-07-2018 23:16:37
 :L2: ปันก็คือปันจริงๆ ... ใจดีเสมอ :mew2:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบห้า [11.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 11-07-2018 20:44:04
สิบห้า


   จากการดูดวงรายสัปดาห์บอกว่าหากลงมือทำอะไรสักอย่างต้องใช้ความระมัดระวังสูง

   "เอื้อม ถ้าเราไม่รีบมันอาจจะไม่ทันไฟนอลคอลนะ"

   เขาล่ะอยากจะบอกว่าโคตรแม่น

   "อือ เราเอาช็อกโกแลตอันนี้ด้วยดีไหม สองแถมหนึ่ง"

   "มีคนกินก็ซื้อ"

   "เดี๋ยวก็มีแหละเนอะ"

   พอเห็นสายตาที่มองมาแล้วก็ได้แต่ระแวงไปก่อนว่ามันหมายถึงตัวเอง "ไม่ใช่เรานะเอื้อม"

   "เราก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นปันเลยนะ"

   มองผู้ชายในชุดเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อนอกลายฮาวาย กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะเตรียมเที่ยวเต็มอัตราศึกหอบเอาของหวานทั้งแบบห่อกระดาษและถุงเดินไปทางเคาน์เตอร์จ่ายเงิน ความร่าเริงเต็มร้อยที่มีมาตั้งแต่เมื่อคืนไม่ได้น้อยลงเลยแม้เวลานี้จะเป็นช่วงหกโมงเช้าก็ตาม

   ระหว่างรอก็เล่าให้ฟังว่าเอื้อมอารัญตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มากแค่ไหน หลังจากที่ชวนไปเที่ยวเช้าวันต่อมาเขาก็ได้ตารางเทียบราคาของตั๋วเครื่องบินเป็นสิ่งทักทายรับอรุณ ต่อด้วยเว็บรีวิวที่พักตั้งแต่โฮสเทลนอนรวมยันโรงแรมหลายดาว เท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้เขามีไดรฟ์ออนไลน์ที่แชร์กับเอื้อมในชื่อ 'ทริปเชียงใหม่ 2018' เป็นหน้าจอที่เข้าค้นหามากที่สุดแล้ว

   ป้องปากปิดหาว เลื่อนขึ้นไปปาดหยดน้ำตรงหางตา เมื่อคืนเขาไปดูภาพยนตร์ไทยที่อยู่นอกกระแส ประทับใจจนเขียนรีวิวไปในทางบวกมากกว่าหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา พอดูเสร็จก็มีคนมารอรับถึงหน้าโรง ไม่สิ คือเราสองคนอยู่ที่ห้างนี้ตั้งแต่บ่ายสาม ด้วยสาเหตุว่าเอื้อมอยากจะมาซื้อของจำเป็นบางรายการ แล้วก็รอกลับพร้อมกันเลย

   กลับถึงห้องก็ต้องถ่างตาเก็บเสื้อผ้าและของใช้สำหรับสามวันสองคืน ไม่สามารถอู้ได้สักวินาทีเพราะต้องเฟซไทม์รายงานความประพฤติจนถึงตอนปิดไฟ เท่านั้นยังไม่พอ เช้ามาก็ยังโทรมาปลุกทั้งที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้หลังจากนั้นเกือบยี่สิบนาที

   ตอนนี้ก็เลยอยู่ในสภาพไม่ค่อยเต็มร้อยเท่าไหร่ คือถ้ามีไฟลท์ใกล้ๆ กันแล้วเขาไปโผล่บนเครื่องลงสุราษฎร์แทนก็อย่าแปลกใจเลยนะ

   "เนี่ย ไม่เห็นต้องรีบเลย ทันถมเถ"

   "เผื่อไว้ดีกว่าขาดน่า"

   เอื้อมอารัญไม่ได้เอาของที่ซื้อทั้งหมดขึ้นเครื่องไปด้วย แต่เป็นการมารับตอนขากลับ ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย หนักไปทางส่วนที่น่าห่วงว่าเราสองคนจะลืมหรือเปล่าว่าเคยซื้ออะไรเอาไว้

   เสียงเจื้อยแจ้วไม่มีหยุดพัก คนที่ยังสติมาไม่เต็มร้อยจนไม่แน่ใจว่าหยิบแปรงสีฟันมาด้วยหรือไม่อย่างเขาก็ได้แต่อือออกลับไปบ้างบางประโยคที่ลงท้ายด้วยคำที่เหมือนกับการขอความเห็น ส่วนนอกจากนั้นบอกตามตรงเลยว่าจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

   ที่นั่งแบบติดหน้าต่างกับตัวถัดมาคือราคาที่เสียเพิ่มสำหรับการเลือกที่นั่ง ไม่มีส่วนของอาหารบนเครื่องอันเป็นผลมาจากความตั้งใจอันแรงกล้าว่ามื้อแรกต้องเป็นอาหารเหนือเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ก็เลยต้องหิ้วท้องกันไปก่อน

   "เดี๋ยวเราไปถึงนะ ก็เอารถที่เช่าก่อน..."

   "อืมอืม" เหมือนว่าจะมีคำหลังจากนั้นแหละ แต่มันก็เป็นข้อมูลชุดเดิมที่ฟังมาหลายรอบแล้ว "เอื้อมจัดการเองเลยนะ"

   กอดอกเอียงคอพิงกับช่วงลาดไหล่คนด้านข้าง ขยับองศาให้มันพอดีกับการพักผ่อนโดยไม่สนใจเสียงบ่นจั๊กจี้ ตอนนี้เขาต้องการการพักผ่อนสำหรับทริปตลอดทั้งวันที่จะถึง เดี๋ยวชาร์จพลังงานเสร็จแล้วค่อยว่ากันใหม่

   “อยากย้ายมาพิงหน้าต่างไหม น่าจะสบายกว่านะ”

   “ไม่อะ ตรงนี้พอดีแล้ว”

   “ฮึ...” แม้ปากของเอื้อมอารัญทำเป็นบอกว่าไม่ชอบที่เขาใช้ตัวเองเป็นหมอนหนุน แต่ก็ยังยกมือขึ้นมาลูบศีรษะกล่อมให้หลับอยู่ดี “หลับไปเดี๋ยวถึงแล้วปลุก”

   ระยะเวลาการเดินทางเร็วยิ่งกว่าการเรียนหนึ่งคาบเสียอีก เขาขยับตัวไล่อาการเมื่อยล้าบนเก้าอี้ขนาดเล็กพอดีตัวเท่าที่จะเอื้ออำนวย ลงจากเครื่องเพื่อพบว่าไม่น่าคาดหวังกับอากาศเท่าไหร่ นี่มันก็ไม่ต่างจากในเมืองเลยนะ

   "ปันรอกระเป๋านะ เราไปเอารถก่อน"

   "ครับผม"

   ดูจากความตั้งใจจริงในการจัดทริปแล้วคราวนี้ค่อนข้างไว้วางใจให้ทุกอย่างอยู่ในมือของเอื้อมอารัญ มีบ้างที่แอบไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองแต่ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงถึงขั้นวิกฤติ

   ที่วางแพลนกันเอาไว้คือวันแรกช่วงเช้าจะเที่ยวตามเส้นทางก่อนขึ้นไปอยู่บนที่สูงสักวัน จากนั้นค่อยลงมาอยู่ตัวเมือง คอนเซปต์คือชดเชยการท่องเที่ยวตามธรรมชาติรอบที่แล้วก่อน ให้รู้สึกปลดล็อกเควสต์ค่อยเริ่มต้นใหม่

   การขับรถในพื้นที่ไม่คุ้นจำเป็นต้องได้รับความอนุเคราะห์จากแอปแผนที่และจีพีเอส เรียนรู้นิสัยการขับของกันและกันมาพักใหญ่จนแบ่งหน้าที่กันได้ทันที อย่างที่บอกว่าสิ่งแรกที่จะทำเมื่อเหยียบเชียงใหม่คือการหาร้านอาหารเหนือทาน ตอนนี้เราเลยกำลังมุ่งหน้าไปยังที่ฝากท้องแรกของทริป

   มันเป็นร้านอาหารจานเดียวที่ดูจากภายนอกแล้วให้กลิ่นไอของความเป็นท้องถิ่นเต็มที่ ข้าวซอยและแกงกะหรี่ไก่เป็นตัวเลือกที่ดูคลาสสิกดี รสชาติค่อนข้างจัดของมันทำให้อดห่วงไม่ได้ว่ากระเพาะของคนที่ไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่

   ต่อจากนั้นก็เป็นการตะลุยสวนพฤกษศาสตร์ ทำอย่างกับไม่รู้ว่าเป้าหมายเดียวของเอื้อมอารัญคือบริเวณโลเคชันยอดฮิตของการถ่ายรูป เขาเลยแปลงร่างจากคนดูแผนที่เป็นช่างกล้องคอยกำกับท่าทางและองศาที่ดูแล้ว 'แมส' อย่างที่ใครคนอื่นเขาทำ

   "ประมาณนี้โอเคไหม"

   รัวชัตเตอร์ไปไม่รู้กี่ภาพ แต่คิดว่ามันก็น่าจะมีส่วนที่ถูกใจอยู่บ้างแหละ

   กล้องดีเอสแอลอาร์ขนาดใหญ่กลับไปอยู่ในมือของเจ้าของ ใบหน้าที่จับจ้องอยู่แต่จอสี่เหลี่ยมดูจริงจังจนไม่อยากจะเข้าไปขัดความสุข ปรัญถอยหลังออกมานิดหน่อย หมุนตัวก้าวเดินไปอีกมุมหนึ่งของโรงเรือน อยากรู้จังเลยว่าถ้าลองซื้อกระบองเพชรต้นเล็กแบบที่ขายทั่วไปมาต้องใช้เวลากี่ปีในการเจริญเติบโตได้เท่านี้

   ไม่มีเสียงร้องเรียกหรือการเดินตามหาตัว เขาเลยอนุมานไปเองว่ายังเดินเตร็ดเตร่ไปคนเดียวได้ เอื้อมน่าจะกำลังโหลดภาพเข้าโทรศัพท์ไม่ก็งัดขาตั้งกล้องออกมาเช็ตเองเพราะรูปถ่ายของเขามันแย่สิ้นดี

   "นึกว่าโดนต้นไม้กินคนเขมือบไปแล้ว"

   บางทีคนไม่ชอบดูหนังกลับมีจินตนาการบรรเจิดกว่าอีก ปรัญหันมายิ้มรับคำยามพบคนร่วมเดินทางอีกครั้ง "อันนั้นอยู่ในโรงเรือนอื่นต่างหาก"

   "ปันถ่ายรูปสวยอะ เลือกไม่ถูกเลย"

   "มันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานน่ะ" ตั้งกล้องให้ตรง ถ่ายตามทฤษฎีจุดตัด ที่ขาดไปไม่ได้เลยคือโปรแกรมแต่งภาพ "ที่จริงแล้วเราไม่ชอบถ่ายรูปคน"

   เดินไปคุยไป หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพรอบข้างบ้างถ้าเจอมุมถูกใจ ถ้าอยู่ในนี้นานอีกหน่อยรับรองเลยว่าเขาต้องกลับไปซื้อต้นไม้เข้าห้องสักต้นแน่

   "ทำไมอะ?"

   "อืม..." เรียบเรียงทัศนคติที่ดูแล้วแปลกประหลาดนิดหน่อยว่าควรจะเริ่มตรงไหน "เราไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเราแบบไม่บอกกันก่อน ก็เลยคิดว่าคนอื่นก็อาจคิดอย่างนี้เหมือนกัน"

   มีข้อยกเว้นนิดหน่อยคือถ้าเป็นการถ่ายจากด้านหลังแบบไม่เห็นหน้าหรือกลางฝูงชนที่ไม่เห็นใครชัดเจนก็ยังรับได้ แต่ประเภทที่เห็นหน้าหรานี่บอกเลยว่าไม่ชอบ งานศิลปะมันไม่ควรซ่อนวิญญาณของความมักง่ายเอาไว้ สมัยนี้ทุกอย่างมันสะดวกจนบางครั้งเราลืมนึกถึงเรื่องพื้นฐาน

   เกลียดที่สุดคือพวกแอบถ่าย ถ้าเอาลงโซเชียลเมื่อไหร่ก็เตรียมรับพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้เลย เมื่อไหร่คนเราจะหยุดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานของมนุษย์ร่วมโลกได้เสียที

   "แย่ล่ะ เมื่อกี้เราถ่ายปันไปตั้งเยอะ" มีการเปิดจออวดให้ดูอีกด้วยนะ มีทั้งเห็นแต่แผ่นหลังแล้วก็ครึ่งหน้าที่กำลังก้มลงอ่านชื่อชนิดของต้นไม้จนตาหยี "ขออนุญาตตอนนี้ทันไหม"

   "...ทันก็ได้"

   ทำหน้าหงอยอย่างนั้นใส่ใครจะใจร้ายได้ลง
 


   หมดครึ่งเช้าไปกับสวนขนาดใหญ่ที่ถ้าไม่ลากเอื้อมออกมาก่อนคงได้อยู่อีกยาว เขาก็อยากให้มันเป็นการเที่ยวที่ไม่ต้องมีพิธีรีตรองหรอก ติดว่าต่อจากนี้ยังมีสถานที่อีกสองแห่งรอให้ไปเยี่ยมในภาคบ่าย ขืนเลทตั้งแต่ตอนนี้เชื่อเลยว่าจะต้องมีคนงอแงตอนเย็น

   "เราควรจะไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนขับขึ้นเขาไหมอะปัน"

   "สบายใจก็ทำ แต่เราเห็นคนรีวิวบอกว่าไม่ได้ขึ้นยากอะไร"

   "งั้นมาขับให้เราเลย"

   "ได้นะ" ไม่มีปัญหากับหน้าที่คนขับอยู่แล้ว ยังไงตลอดทริปนี้ก็ต้องสลับกันบ้าง "ตรงไหนที่จะจอดเทียบได้บ้าง"

   "ไม่ต้องหรอก เจอไฟแดงหน้าแล้วปันก็รีบวิ่งวนมาเลย เดี๋ยวเราข้ามอ้อมไปให้"

   "โหย เอางั้นจริงเหรอ"
   
   ลองนึกภาพตัวเองรีบวิ่งสี่คูณร้อยไปฝั่งตรงข้ามแล้วตลกพิกล แล้วเสียงที่ใช้เล่าก็ดูจริงจังจนเขากลัวใจ

   "คิก ไม่ทำงั้นหรอกน่า"

   เสียงเพลงสากลจากอัลบัมยอดฮิตในสมาร์ตโฟนไม่ขาดสายระหว่างที่เราเล่าเรื่องอื่นกันไปพลาง ก็มีทั้งแผนการเที่ยว อาหาร แล้วก็ที่พัก ที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องความเฟลของทริปก่อน มันยังเป็นเรื่องเอากลับมาเล่าซ้ำได้ไม่จบสิ้น หลังออกจากหาดที่บอกว่าไปแวะร้านของฝากนั่นก็ไม่โอเค ร้านมีอยู่นิดเดียวของที่ขายก็ไม่น่าสนใจ

   ความจริงแล้ววันศุกร์อย่างนี้มันยังมีการเรียนตามปกติ ของเขาครึ่งบ่ายส่วนเอื้อมทั้งวัน เราสองคนก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นที่อยากออกนอกกฎเกณฑ์ดูบ้าง คาบเรียนไม่ได้เช็กชื่อไม่ต้องกังวลอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำเมื่อกลับไปคือเอาของฝากไปเซ่นไหว้เพื่อนเพื่อแลกกับเลคเชอร์เท่านั้น

   เปิดดูฟีตแบกในทวิตเตอร์เผื่อเอาไว้ว่าสัญญาณด้านบนอาจไม่ดี กลับมาอ่านตัวรีวิวอีกทีก็ชักไม่ชอบข้อความและประโยคที่เขียนลงไปเอง เขาต้องแข่งกับเวลาในการกลับมาเก็บของนี่นา แล้วพอไม่ได้โดยสารรถประจำทางมันก็ย่นระยะเวลาในการเดินทางไปไม่น้อยเลย

   ทำหน้าที่เจ้าของแอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่ดีด้วยการตอบบางคำถามที่สำคัญและไม่ดูเป็นการอ่านที่น้อยกว่าแปดบรรทัดจนเกินไป ไม่มีความรู้สึกอยากนอนหลับเลยสักนิด มากันแค่สองคนก็ควรจะเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่อยู่ด้วยกันไปตั้งแต่ต้นจนจบสิ

   ฟังเสียงฮัมเพลงคลอตามไปเมื่อถึงท่อนที่สามารถร้องตามได้ ถ้าปรัญเป็นคนที่ฟังแต่เพลงสากลอีกฝ่ายนี่ก็สามารถสร้างเพลย์ลิสต์ที่ผสมตั้งแต่เพลงพื้นบ้านไปจนถึงโอเปร่า คือแค่มีแค่บีตท์ก็ยังฟังได้คิดดู

   ได้ลงมายืดเส้นสายอีกครั้งเมื่อถึงม่อนแจ่ม เราเลือกที่พักห่างจากที่นี่ประมาณสองกิโลเมตรไว้แล้ว เพราะงั้นนี่จะเป็นเพียงจุดแวะเที่ยวแต่ไม่ใช่ที่นิทราของค่ำคืนนี้ เรื่องที่นอนเขาได้แต่เปิดเช็กความน่าเชื่อถือหลังจากที่เอื้อมจองไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการขอความเห็นด้วยเหตุผลว่ายังไงปันก็นอนได้อยู่ดี

   "ไปตรงไหนก่อน"

   "เค้กเลม่อน!"

   เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเอื้อมอารัญเสมอ

   เดินตามป้ายที่บอกทางเอาไว้ คิดถูกที่มาในวันธรรมดาเพราะบรรยากาศเงียบสงบไม่ค่อยมีเสียงรบกวน เอื้อมสั่งเค้กเลม่อนตามที่มีรีวิวแนะนำมา ส่วนเขาขอเป็นช็อกโกแลตร้อนสักแก้วก็พอแล้ว

   ผ่อนคลายไปกับสายลมและภาพทิวทัศน์ตรงหน้า ถือว่าให้รางวัลตัวเองหลังจากที่เจอกับความหนักของการทำค่ายที่สูบเอาพลังชีวิตไปมากกว่าที่คิด แล้วเขามีเรียนคาบแปดโมงเช้าวันจันทร์ ต้องแบกร่างที่ยังเบลอจากอาการนอนไม่เต็มตื่นไปเรียน จากนั้นถึงได้กลับมานอนตายอีกรอบ

   ถ้ามันไม่เช็กชื่ออย่าหวังเลยว่าจะเป็นเด็กรักเรียนขนาดนี้

   "ไม่ลองเหรอ อร่อยนะ" เอื้อมทักทั้งๆ ที่ยังมีของหวานเต็มปากอยู่นั่นแหละ

   ก็เลยต้องยอมยื่นหน้าไปหาก้อนแป้งบนส้อมที่แทบจะจ่อเข้าปากอยู่แล้ว สัมผัสที่ได้รับเข้าไปผสมกับเครื่องดื่มก่อนหน้าจนกลายเป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูก เปรี้ยวไปเจอหวาน เอาเป็นว่าก็กินได้อยู่

   "ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยชอบเลย"

   "เพิ่งกินช็อกโกแลตเข้าไปไง"

   "ไม่เกี่ยวกันเลยเถอะ" ส่วนเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าที่ป้อนมาให้อีกคำนี่หมายถึงอะไร "ลองอีก เผื่อว่าจะช่วยให้รสชาติชัดขึ้น"

   ทำหน้าเพลียโลกใส่ แต่ก็ยังยอมทานอยู่ดี "หาเรื่องให้เราช่วยกินมากกว่า"

   น่าเสียดายที่มันไม่ได้ทำให้จับรสชาติได้มากขึ้นอย่างที่บอก มันก็ยังเป็นการฟิวชันของความไม่เข้ากันอยู่ดี

   พอเอื้อมเห็นว่าเขาคงไม่เอนจอยกับเค้กอย่างที่ตัวเองเป็นก็เลยจัดการที่เหลือทั้งหมดเอง ปรัญเปลี่ยนไปมองบรรยากาศรอบตัวสลับไปกับการหันมาเช็กว่าเพื่อนร่วมเดินทางเลือกรูปในกล้องได้หรือยัง นี่เปิดเฟซเข้าไปอีกทีต้องเจอการอัปรูปรัวๆ แน่เลย

   ดอกไม้สีม่วง ต้นไม้สีเขียว ส่วนที่ถัดออกไปคือหมอกที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากความเย็นหรือว่าเป็นชั้นเมฆ ใจจริงก็หวังว่าจะได้เจออากาศที่เย็นกว่านี้อีกหน่อย คิดใจแง่ดีคือมันก็ยังโอเคกว่าการอยู่ในเมือง ถึงเรื่องฝุ่นจะดูไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยก็ตาม

   ท้องอิ่มก็ได้ย้ายที่ เราเดินขึ้นลงตามเส้นทางที่กำหนดเอาไว้แล้ว หยุดบ้างบางจังหวะเพื่อถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำรวมถึงอวดคนอื่นได้อีกเยอะ ความเงียบรอบกายสั่งให้ต้องลดระดับเสียในการพูดคุยไปโดยปริยาย มันเลยเป็นการใช้ภาษามือแล้วทายความหมายกันไปเลย

   อย่างตอนนี้ที่เอื้อมกำลังชี้นิ้วเข้าไปในสวนดอกไม้ขนาดย่อม นั่นก็หมายความว่ากล้องที่อยู่ในมือของเขาจะต้องทำหน้าที่ของมันแล้ว

   "ปันถ่ายรูปให้หน่อย"

   ไม่มีอิดออดกับคำขอที่ให้ความรู้สึกเป็นคำสั่งมากกว่า "อยากได้ประมาณไหน?"

   ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่ชอบถ่ายรูปคน มันยากกว่าการถ่ายสิ่งไม่มีชีวิตอย่างพวกตึกรามบ้านช่องตั้งเยอะ

   "ได้หมดเลย เชื่อมั่นในตัวปัน" คนบอกว่าเชื่อมั่นยิ้มกว้างแบบที่เห็นไม่บ่อยนัก ถ้าเอาตามความคิดส่วนตัวแล้วเอื้อมถ่ายรูปขึ้นกว่าเวลาไม่ยิ้มหรือว่ายิ้มเล็กน้อย ถ้าฉีกมุมปากออกไปมากเมื่อไหร่มันจะให้ความรู้สึกเสแสร้งไม่จริงใจ

   มีทั้งถ่ายแบบจงใจแล้วก็ตอนเผลอที่ยังจัดท่าไม่เสร็จ อาจเป็นความชอบส่วนตัวของปันที่อยากได้โพสิชันอื่นที่ไม่ใช่แค่การยืนตรงฉีกยิ้มให้ ไม่รู้สิ เอื้อมมีอีกหลายมุมที่ไม่เหมือนอย่างที่คนอื่นพูดกัน

   "มายืนบ้างเลย เราจะถ่ายให้"

   "ไม่เป็นไร"

   "ไม่ได้ มาถึงแล้วต้องมีหลักฐานสิ"

   ปรัญไม่เคยขัดขืนความประสงค์ของอีกฝ่ายได้สักที ยอมถอดสายคล้องออกจากคอแล้วก็ส่งต่อหน้าที่ เดินไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ลองนึกเอาเองว่าการยิ้มแบบไหนที่น่าจะทำให้รูปออกมาดูไม่ประหลาด แต่พอขยับมุมปากตามคิดกลับเห็นหน้าบูดจากตากล้องซะงั้น

   "ยิ้มเฟกมาก"

   "เราว่ามันก็ไม่แย่นะ"

   ทำเป็นคนมีตาทิพย์ที่สามารถวิจารณ์ได้ทั้งที่ยังไม่เห็นรูป แล้วก็ตัดสินใจว่ากลับมาเป็นช่างกล้องดีกว่าตำแหน่งนายแบบ
พอได้มาสัมผัสของจริงครบทุกส่วนแล้วก็ได้เวลาขับย้อนกลับมาหาที่พัก เป็นบ้านพักบนม่อนที่ห่างออกมาไม่ไกล ภาพที่ได้เห็นบนอินเทอร์เน็ตสวยจนอยากจะเจอของจริงอยู่เหมือนกัน

   ห้องพักหลังเกือบในสุดทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ รายล้อมไปด้วยพืชสีเขียวนานาพันธุ์แซมกับดอกไม้หลายสี ตัวเรือนยกสูงดัดแปลงด้านล่างให้เป็นพื้นที่พักผ่อนโดยการเสริมเบาะตัวยาวกับหมอนเกือบสิบใบ เดินขึ้นบันไดไปประมาณสิบก้าวก็เจอกับระเบียงหน้าห้องพักที่มีความกว้างพอสมควร ทิวทัศน์ที่เห็นจากตาตัวเองสวยกว่ารูปถ่ายในอินเทอร์เน็ตหลายเท่าตัว

   เข้าไปในห้องพักก็จะเจอเตียงคิงไซซ์ปูผ้าสีขาว พร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างครบครัน เอื้อมเป็นโรคแพ้แมลงหลายชนิดเลยไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงกับความสะอาดของห้อง ต่อให้อยากนอนเกสต์เฮาส์หรือโฮสเทลก็ได้แต่อ่านรีวิวแล้วตัดออกไปเลย

   แต่ความจริงแล้วบ้านบนเขานี่ก็น่าจะมีแมลงเยอะไม่แพ้กันนะ

   "ตอนกลางคืนจะเห็นดาวไหมนะ"

   "ถ้าเมฆไม่เยอะก็น่าจะเห็น ยังไงนี่เป็นข้างแรมอยู่แล้ว" ไม่อย่างนั้นแล้วคงเห็นแต่พระจันทร์ส่องสว่างโดดเด่นเดียวดาย "ชอบดาวเหรอ ไม่เคยบอกเลย"

   "เราเคยมีความคิดว่าอยากจะลองนอนดูดาวโง่ๆ อะ ตอนที่รู้ว่าคอนโดเปิดให้ใช้ดาดฟ้าเป็นที่ตากผ้าได้ก็เคยขึ้นไปลองดูเหมือนกัน แต่มันก็ไม่มืดพอให้เห็น รอบข้างมีแต่หลอดไฟ"

   "เหรอ..." นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีสถานที่ที่ไม่เคยเล่าให้อีกฝ่ายฟังเหมือนกัน "งั้นกลับไปจะพาไปสวนลับ น่าจะเห็นดาวชัวร์"

   "ได้! เราจะทวงเช้าเย็นเลย ...เออ เล่าเรื่องเพื่อนต่อก่อน"

   เอื้อมอารมณ์ดีแบบที่เอาวันปกติมารวมกันสิบวันก็ยังดีดไม่เท่า นี่ก็เพิ่งเคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าเรื่องสมัยเรียนให้ฟังว่าเป็นตัวแสบแค่ไหน มันเป็นเรื่องเล่าขนาดยาวที่เริ่มตอนขึ้นรถ ขนาดเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแล้วก็ยังวกกลับมาอีกจนได้

   "ห้องเรามันจะมีเด็กเนิร์ดมากๆ อะ แล้วคนอื่นก็ชอบขอลอกเวลาสอบ เรากับไนน์เลยไปบอกอาจารย์ให้ตลบหลังเปลี่ยนชุดข้อสอบให้เรียงข้อไม่เหมือนกัน สรุปคือมีผ่านไม่ถึงครึ่งห้อง ตอนนั้นต้องโกหกแทบแย่ว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง"

   แต่พอได้ยินชื่อผู้ชายคนนั้นก็ชักอารมณ์ไม่ดีแล้วแฮะ "เหรอ"

   "...ที่โกหกเพราะจำเป็นนะ"

   "อ้อ ไม่ได้พูดถึงตรงนั้น"

   แทบจะตบปากตัวอีกอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอทำเสียงแข็งกลับไป วางกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กของทั้งสองคนเอาไว้ข้างเตียงคนละฝั่ง จะว่าไปแล้วนี่เขาเอาแปรงสีฟันมาใช่ไหม

   "แล้วทำไมหน้าบึ้ง"

   "ก็..."

   ตั้งใจว่าจะบอกออกไปตามตรงเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เสียงเรียกเข้าพื้นฐานที่ติดมากับตัวเครื่องก็ดังขึ้นเสียก่อน ปรัญควานหาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋า ชื่อที่บันทึกเอาไว้น่าแปลกใจจนเสียงตอนรับสายติดฉงน

   "ว่า?"

   (เรียกคุณเอื้อมมาคุย)

   "อ่า..." ยังคิดไม่ออกว่าสิ่งแรกที่ควรทำคืออะไร นี่ก็ว่ายังไม่ได้ทำให้รู้ว่าอยู่ด้วยกันเลยนะ ยิ่งพอมองเอื้อมที่มีเครื่องหมายสงสัยอยู่เต็มหน้าก็น่าสงสัยเข้าไปใหญ่

   (เปิดลำโพงเลย ให้มึงได้ยินด้วย)

   ตามนั้นไปแล้วกัน

   กดปุ่มคำสั่งตามบอก เดินตรงไปหาบุคคลที่ฮิวอยากจะคุยด้วย "ฮิวโทรมา"

   (คุณเอื้อม มึงโกหกอีกแล้วนะ)

   มันเป็นการโพล่งออกมาทันทีที่จบคำอธิบาย เจ้าของโทรศัพท์ไม่ใช่บุคคลที่ปลายสายอยากจะสนทนาด้วย เขาจึงปิดปากสนิทรอให้เจ้าของชื่อได้ตอบกลับไป

   "เรายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย"

   (แล้วใครบอกแม่ตัวเองว่าไปเที่ยวกับไนน์)

   เขาต้องใช้ความระมัดระวังสูงกับเอื้อมอารัญจริงด้วย
 


   "ปันจะเงียบอย่างนี้จริงเหรอ..."

   ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น

   "ก็ปกติเราไม่ได้ออกไปเที่ยวกับคนอื่นอะ แล้วแม่ก็ชอบห่วงเกิดเหตุ"

   มันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ต้องโกหกนี่นา

   "ถ้าบอกว่าไปกับไนน์แม่จะให้ตลอดเลย"

   และที่สำคัญที่สุด คือปรัญไม่อยากได้ยินชื่อ 'เพื่อนสนิท' คนนั้นเลย

   ความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะบรรยายออกมาบอกให้เขาปิดปากเงียบไว้ก่อน มันเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยดีในภาพรวมอยู่หรอก นิสัยใจดีจนเกินไปของปรัญมีข้อเสียอย่างหนึ่งคือเขาจะยอมเป็นคนเก็บความไม่พอใจเอาไว้ดีกว่าระเบิดมันออกไป

   หงุดหงิด

   หัวเสีย

   ที่ตัวเองถูกลดความสำคัญลง

   อาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับความไม่คงที่ของอารมณ์อันมีผลเกี่ยวเนื่องมาจากคนหนึ่ง...สองคน คราวนี้ปันมั่นใจแล้วว่าความว้าวุ่นทั้งหมดมันมีจุดกำเนิดมาจากใคร แต่ที่แย่คือเขาไม่รู้เลยว่าทางไหนที่จะทำให้ปัญหานี้จบลง

   หลังจากที่สัญญาณตัดไปแล้วเสียงที่เคยเล่าเรื่องสมัยมัธยมไม่มีหยุดก็พลันหายไป ปรัญโยนโทรศัพท์ขึ้นไปไว้บนเตียงแล้วเดินออกมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนอกไม่สนใจว่าจะมีคนเดินตามติดมาด้วย

   "ถ่ายรูปส่งไปให้แม่ดูเลยก็ได้ว่าอยู่กับปัน"

   เคยพบและได้พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วในตอนเช้าหลังจากวันที่ไปนอนค้าง โครงหน้าก็ดูมีความคล้ายกันหลายส่วน ก็ดูน่ารักใจดีไม่แปลกที่เอื้อมจะมีบางมุมเป็นคนเอาแต่ใจ

   ธรรมชาติเบื้องหน้าไม่ทำให้ความขุ่นข้างในใจคลายลงไป ซ้ำร้ายมันยิ่งทวีความรุนแรงของอารมณ์ขึ้นไปอีกยามความสงบพาเสียงเล่าเรื่องกลับมาอีกครั้ง เอื้อมโกหกว่าไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท แล้วพอแม่โทรไปถามว่าทริปการเดินทางไปอย่างไรบ้างแน่นอนว่าคนถูกเอาชื่อไปอ้างเกือบจะเล่นตามน้ำไม่ทัน

   ก็เลยมีการโทรมาเช็กความเป็นไป สืบไปสืบมาก็จบตรงนี้นี่แหละ

   "ขอโทษ...เราไม่คิดว่าแม่จะโทรไปถาม"

   อยากจะมีคาถาเสกให้ประสาทรับเสียงไม่ทำงาน เขานั่งกอดอกมองตรงไม่ยอมหันกลับมาทางเจ้าของเสียงที่ยังคงอธิบายเรื่องเดิมซ้ำไปมา

   เด็กชายตัวน้อยยังคงร้องไห้อยู่เสมอ

   "ไม่ไหวแล้วใช่ไหม"

   "..."

   เอื้อมอารัญรู้ดีว่าต้องใช้วิธีไหนให้คนอย่างเขายอมอ่อนลง

   ต่อให้อยากจะทำตัวงี่เง่ามากกว่านี้อีกแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายต่อบทสนทนาในหัวข้อเดิมเอง

   "...เปล่า"

   "ปันโกหกไม่เก่งเลย"

   ถอนหายใจด้วยความหวังว่ามันอาจจะช่วยระบายความรู้สึกยุ่งเหยิงได้ "เราไม่พอใจเรื่องไนน์"

   "หมายถึง...?"

   "ไม่ชอบ"

   "เราไม่เข้าใจอะ"

   "ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน" ถึงจะไม่ได้คิดว่าต้องมาคุยกันในสถานการณ์อย่างนี้ แต่ถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรใช้ "เหมือนเอื้อมมีความสุขเวลาอยู่กับไนน์...มากกว่าเรา"

   "ฮื่อ ทำไมคิดอย่างนั้น"

   "ไม่รู้สิ ดูพิเศษกว่าคนอื่น"

   ทั้งสายตา ท่าทาง และน้ำเสียง ทุกอย่างหากเป็นเรื่องของเพื่อนสนิทคนนั้นแล้วมันมักจะเต็มไปด้วยประกายความสุขที่น่าประหลาดจนเขาอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าตนเองเคยทำให้เอื้อมอารัญมีความสุขเช่นนั้นบ้างหรือไม่

   "เหรอ ...เพราะเราชอบไนน์มาก่อนล่ะมั้ง"


***
   ไม่ได้ทิ้งระเบิดอะไรนะคะ (หัวเราะ) ถ้าไม่หงุดหงิดตัวเองจนรื้อช่วงท้ายอีก (หลังจากที่รื้อมาหลายครั้ง) คิดว่าคงลงได้ครบก่อนปลายเดือนค่ะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบห้า [11.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 11-07-2018 21:13:25
 :mew1:เราเข้าใจเอื้อมนะบางทีบอกความจริงไปแล้วก็ถูกห้ามบ้างไม่ได้นะนู่นนี่นั่นแต่พอลองบอกไม่หมดบอกไม่ตรงเออ//ทำได้แฮะอนุญาตให้ทำมีความวางใจคนอื่นม่กกว่าเราคนที่บอกงั้นก็ทำไปเรื่อยแล้วกันแต่เราสงสารปัน
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบห้า [11.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 14-07-2018 19:59:19
ปันนนนนนจ๋า มาให้กอดปลอบที
 :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบหก [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 15-07-2018 18:53:46
สิบหก


   "...เพราะเราชอบไนน์มาก่อนล่ะมั้ง"

   ปรัญรู้สึกเหมือนมีอะไรมาตีแสกหน้า ไม่ต่างจากฉากเฉลยของภาพยนตร์ลึกลับสักเรื่อง

   มันอยู่นอกเหนือจากสิ่งที่คาดคิดเอาไว้เกินไป

   "แล้ว..."

   "แล้วทำไมกลายเป็นว่าสองคนนั้นคบกันใช่ไหมล่ะ"

   ความเป็นมนุษย์คงมีจุดร่วมกันในเรื่องของการสร้างชุดความคิดกลาง เอื้อมทำท่าเหมือนจะยันตัวขึ้นไปนั่งตรงขอบระเบียงแล้วก็เปลี่ยนไปพิงพักขาแทนเมื่อเห็นว่าเขาส่งสายตาดุไปให้

   "เราเป็นเพื่อนกับไนน์มาตั้งแต่ประถมแล้ว แต่คิดว่ามารู้ตัวเรื่องชอบตอนม.ต้นนะ โรงเรียนชายล้วนก็งี้" เป็นการเริ่มต้นที่พอเข้าใจได้ เพื่อนของเขาหลายคนก็เคยเล่าว่ามันเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป "อยากเป็นเพื่อนไปเรื่อยๆ เลยไม่เคยบอก จนไปเจอกับผู้หญิงคนนั้นช่วงก่อนเข้ามหาลัยนี่แหละ"

   ปิดปากเงียบตั้งใจฟังเรื่องเล่า พลางกล่อมบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งนำสิ่งที่เคยรู้มาก่อนเข้าไปผสม

   "ไนน์ก็ชอบเขาแหละ เราเลยเข้าไปตีสนิทให้ แต่ก็นะ...กลายเป็นบอกชอบเราเฉย"

   เสียงหัวเราะแห้งตอนท้ายสุดบอกว่าเอื้อมอารัญกำลังแสร้งทำเป็นเรื่องขำขัน คนโกหกเก่งเก็บสีหน้าเอาไว้ได้แค่บางส่วนเลยกลายเป็นตัวปรัญที่สามารถจับความผิดปกติทั้งหมดเอาไว้ได้

   "คือมันก็ไม่มีทางไหนดีอะ แล้วไนน์ก็เชียร์ให้เราคบไป ก็เลยช่างแม่ง คบก็ได้"

   ยิ่งเล่ารายละเอียดภาพที่เล่นในหัวก็ชัดเจนยิ่งขึ้น เกลียดตรงที่จินตนาการตามได้ทุกอย่างตามเล่า

   "แต่มันไม่ได้ชอบไง ยังไงเราก็เป็นครายวูลฟ์ของคนอื่นมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว ก็เลยหาเรื่องโกหกเวลาเขาชวนไปไหนมาไหน อ้างไปเรื่อยอะ"

   ไม่พอใจกับการโกหกสักนิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องในอดีตทั้งหมด "สุดท้ายก็เลิก เขาก็พูดกับคนอื่นแหละว่าเลิกเพราะทนนิสัยของเราไม่ได้ จะให้แก้ตัวก็ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องจริงนี่นา"
   
   นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำเล่าที่เธอเคยบอกว่าเอื้อมชอบโกหกสินะ

   “...”

   ปรัญเลือกเก็บหนึ่งสิ่งที่อยากถามเอาไว้ในใจ

   ว่าเอื้อมใช้ชีวิตอยู่กับความแหลกสลายเช่นนั้นได้อย่างไร

   "ที่นี้ปันก็จะไม่เงียบกับเราแล้วใช่ไหม"

   "ไม่"

   "..."

   "หึ มานี่เลย"

   ขยับตัวออกไปจูงมือให้หลุดจากการพิงระเบียง เขาระแวงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันจะตายไป เอื้อมที่ยังหน้าเสียจากคำปฎิเสธยอมเดินตามมาไม่มีอิดออด การจัดการสลับตำแหน่งให้อีกฝ่ายไปนั่งแล้วเขาเปลี่ยนมายืนด้านนอกแทนจึงเสร็จสิ้นในพริบตาเดียว

   "คราวนี้ฟังเราบ้าง" ส่งสัญญาณว่ามันเป็นเรื่องที่จริงจังในระดับหนึ่งด้วยการประสานมือพักเอาไว้ตรงช่วงหน้าขา จับจุดโฟกัสแค่บริเวณใบหน้าเพียงอย่างเดียว "ห้ามแทรกนะ"

   ท่าพยักหน้าไวๆ ตามด้วยการยกมือขึ้นสามนิ้วเหมือนการสาบานตนในชั้นเรียนลูกเสือน่ารักจนเกือบหลุดยิ้มออกมา ยังเตือนสติตัวเองเอาไว้ได้ทันเลยตีหน้าขรึมต่อให้อีกฝ่ายกังวลไปเองก่อน เขาไม่ใช่คนขี้แกล้ง แต่มันก็ต้องมีข้อยกเว้นบ้างเพื่อความบันเทิง

   สูดลมหายใจเข้าลึก ท่องเอาไว้ว่าต้องไม่หลุดบทบาท "วันก่อนเราไม่พอใจเรื่องที่ไม่ได้มีดอกไม้ไปให้วันงาน"

   "อ๋า...เรื่องนั้น..."

   "บอกว่าห้ามแทรกไง" แล้วเมื่อกี้จะทำท่าสัญญาไปทำไม ผ่านมายังไม่ถึงนาทีดีด้วยซ้ำ "นั่นแหละ แล้วพอเห็นของไนน์ก็ยิ่งแย่ใหญ่"

   จากที่ตั้งใจฟังพอได้ยินมากเข้ามันก็เริ่มจะกลายเป็นทำหน้านิ่ว ริมฝีปากของเอื้อมอารัญขยับออกแล้วหุบเข้าไปใหม่หลายครั้งยามระลึกได้ว่าตัวเองทำได้แค่เป็นฝ่ายรับฟัง

   ถ้าเอื้อมกล้าเล่าเรื่องในอดีต เขาก็ควรจะทำได้เช่นกัน มันเป็นเรื่องที่น่าอายผสมไปกับความคิดว่าคนเราไม่ควรจะหัวเสียกับเรื่องงี่เง่าพรรณนั้น และเพื่อไม่ให้มันเป็นเรื่องค้างคาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ควรจะเปิดใจเสีย

   "ก็รู้นะว่าเป็นเพื่อนกันมานาน แต่ไม่รู้สิ..." หลับตาลงเพื่อลบภาพทั้งหมดในอดีต ท่าโน้มตัวลงไปลองชิมเครื่องดื่ม มือที่สัมผัสเรือนผม...และความคิดที่ว่าเขาเป็นคนมาทีหลัง

   "…"

   "เราอยากเป็นคนเดียวที่ทำให้เอื้อมมีความสุข"

   "…"

   "แล้วเราเป็นพวกที่ถ้าอยากได้อะไร จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ด้วย"

   เปลี่ยนไปสื่อสารกันผ่านสายตา มองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาที่เขาเคยให้นิยามว่ามันมีแต่รอยร้าวอยู่ข้างใน ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าถ้าไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นอีกควรทำอย่างไร เป็นไปได้หรือเปล่าที่ทุกความสุขข้างในนั้นมันจะเกิดขึ้นจากผู้ชายที่ชื่อปรัญ

   ปล่อยให้มันกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่มีเพียงเราสองคนครอบครองเอาไว้ สายลมยามโพล้เพล้พัดพาเอาความเย็นมาราวกับต้องการช่วยผ่อนคลายบรรยากาศ

   เราอาจกำลังคิดเรื่องเดียวกัน หรือว่าสิ่งที่อยู่ในระบบการวิเคราะห์อาจจะต่างกันคนละโยชน์ หากช่วงเวลาแห่งความเงียบที่ไม่น่าอึดอัดใจนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อให้ได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

   "...ตอนนี้เราพูดได้แล้วไหม"

   คราวนี้จากที่เก๊กหน้าจริงจังมาได้ตั้งนานก็ต้องยอมหลุด ก็เล่นเอียงคอทำหน้าสงสัยอย่างกับเจ้าแมวตัวเล็กเวลาเจอเรื่องประหลาดที่สมองยังประมวลสถานการณ์ไม่เสร็จ

   และก็นั่นแหละ แมวมักจะจู่โจมไม่ให้ทันได้ตั้งตัว

   สิ่งที่เอ่ยออกมาต่อจากนั้นไม่เป็นภาษาเพราะถูกบี้แก้มจนปากจู๋ แล้วไม่รู้มันเขี้ยวอะไรมาถึงดึงให้มันยืดออกเหมือนขนมปังก้อนนุ่มหรือไม่ก็พวกยางยืดหดได้ ปากก็ขมุบขมิบไม่รู้ท่องมนตร์คาถาอะไรใส่เขาอยู่หรือเปล่า

   “ทำให้เราคิดมากแทบแย่ สรุปคือเรื่องนี้เองเหรอ”

   “อือ”

   "ไม่ต้องห่วงเรื่องไนน์หรอกน่า มันก็เป็นแค่เจ้าทาสที่ติดหนี้บุญคุณของเราเท่านั้นแหละ" การลำเลิกพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นดูเย่อหยิ่งเต็มประดา "เรามีพระคุณกับมันเยอะ ทำอะไรเราไม่ได้หรอก"

   สมกับเป็นคุณเอื้อมเสียเหลือเกิน เพื่อไม่ให้แก้มช้ำไปมากกว่านี้เขาเลยยกมือขึ้นไปพร้อมความลังเลนิดหน่อยว่าควรจะสัมผัสส่วนไหนที่ดูไม่รุกล้ำจนเกินพอดี

   ก็เลยเลือกบริเวณหลังมือข้างซ้ายเช่นเดียวกับที่เคยทำ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยมันเบาๆ เอาให้สมกับที่ครั้งก่อนไม่สามารถจะทำได้ ที่จับมาหลายครั้งมือของเอื้อมไม่ได้นุ่มอย่างที่บุคลิกให้ ที่สัมผัสได้ชัดสุดคือปลายนิ้วที่เป็นไตจากการเล่นดนตรีเป็นสิบปี

   หลับตาลงด้วยความโล่งใจ พิงแก้มลงกับฝ่ามือของอีกฝ่ายจนแนบสนิท หวังว่าความอบอุ่นจากเขาจะส่งไปถึง

   “ทุกวันนี้ปันคือความสุขของเราอยู่แล้ว รู้หรือเปล่า"
 


   วันที่สองของการเที่ยวเชียงใหม่คือการขึ้นดอยอินทนนท์ในช่วงเช้า ก่อนตะลุยหาร้านคาเฟ่ไว้นั่งถ่ายรูปสักสองที่เพื่อรอเวลาบ่ายสี่สำหรับการไปอ่างแก้ว หาอะไรทานหลังม. จากนั้นก็เป็นเวลาของถนนคนเดินท่าแพ เช่นดียวกับเมื่อวาน ทั้งหมดได้รับการวางแผนโดยเอื้อมอารัญคนเดิม

   "ปันว่าตลกไหมที่เที่ยวมาแล้วหนึ่งวันค่อยมาขอพรให้การเดินทางเรียบร้อย"

   "ไม่นะ อย่างน้อยก็ทันก่อนกลับ"

   เราสองคนกำลังนั่งเบียดกันอยู่บนรถแดงสองแถวสำหรับลงจากดอย ปรัญเคยมาแล้วครั้งหนึ่งก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นหรือว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตอนไหว้ขอพรก็ทำแบบเอาแค่เมนไอเดีย ไม่เหมือนกับอีกรายที่แทบจะเปิดเครื่องจับเวลาขึ้นมาแล้วว่าใช้เวลาในการไหว้พระขอพรไปเท่าไหร่

   "เนอะ คิดแง่ดี"

   เอื้อมเป็นฝ่ายเล่ามากกว่าส่วนเขาก็รับฟัง มีเล่ากลับไปบ้างบางเรื่องว่าตอนมารอบที่แล้วทำอะไรบ้าง

   "เราไปดูแพนด้าด้วย แต่มันนอนอย่างเดียวเลย"

   "นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราไม่ใส่ลงในลิสต์เที่ยว"

   "ตัวเองแทบจะลอกมาตามรีวิวเลยไม่ใช่เหรอ" แหย่กลับไปตามอย่างที่คิด ตอนที่เอื้อมลงข้อมูลมาให้เขาก็ทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบที่ดี เข้าเว็บแรกไปเท่านั้นแหละก็อยากจะบอกว่าทีหลังส่งมาทั้งเว็บไม่ต้องก็อปลงเวิร์ดให้เหนื่อย "เราบอกได้เลยอะว่าตารางวันนี้มาจากเพจไหน"

   "ก็มันจัดมาดีอยู่แล้ว"

   ควรเปลี่ยนเรื่องก่อนต้องง้อคนงอแง "งั้นอาหารมื้อสิบโมงของเราจะเป็นข้าวยำอย่างที่บอกใช่ไหม"

   ลงจากรถและเดินไปตามทางเป็นอย่างแรก เปิดโทรศัพท์เป็นอย่างที่สองหลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความสะดวกของยุคดิจิทัลมันก็อย่างนี้แหละ ไม่จำเป็นต้องอ่านแผนที่เป็นเลยด้วยซ้ำ แค่พิมพ์ก๊อกแก๊กแป๊บเดียวก็ได้สิ่งที่ต้องการ

   "เดี๋ยวขอไปดูเมนูของจริงก่อน เราว่าข้าวซอยกับผัดไทยก็น่าสนอะ"

   คิดตามแล้วก็เลือกเมนูให้ตัวเองได้เรียบร้อย มาเมืองเหนือทั้งทีมันก็ควรจะทานอาหารท้องถิ่นสิ

   ถนนในเมืองเชียงใหม่ไม่ค่อยแตกต่างจากที่เจอตอนอยู่เมืองหลวง ติดกว่าบางจังหวะด้วยซ้ำไป เขาแอบเร่งเครื่องด้วยความเร็วมากกว่าที่ใช้ประจำเพราะอยากจะได้อะไรใส่ท้องเป็นพลังงานสำหรับวันนี้ ได้นอนไม่เต็มที่อย่างน้อยก็ขอให้ได้กินอิ่มหน่อยแล้วกัน

   ร้านที่เห็นแค่ข้างหน้าก็เข้าใจเลยว่าทำไมเอื้อมเลือกที่นี่ คิดว่าเป็นช่วงที่เลยเวลาอาหารเช้าไปแล้วแต่ยังไม่ถึงกลางวันเลยไม่ต้องห่วงเรื่องที่จอดอย่างที่มีเขียนเตือนเอาไว้ในรีวิว นี่ก็เป็นหนึ่งในข้อดีของการมีคนเจอของจริงก่อนแล้วเอามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ล่ะนะ

   ต้นไม้จริงเสกให้มันกลายเป็นป่าขนาดย่อม สูดเอาความสดชื่นเข้าไปเฮือกหนึ่งเพื่อให้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงฝุ่นทั่วเมือง ก็รู้ว่าการถอนหายใจออกมามันไม่ได้หมายความว่าจะเอามลพิษเหล่านั้นออกมาด้วย แต่ก็อยากจะทำให้สบายใจไปงั้นเอง

   ต้นไม้ปริมาณหนาแน่นและการตกแต่งแบบวินเทจรั้งเขาเอาไว้ด้านนอกอีกพักใหญ่ การเดินตามเข้าไปทีหลังพบว่าเอื้อมก็ยังคงทำหน้าเครียดอยู่กับเมนูในกระดาษสีน้ำตาล เหมือนว่าโควตาข้าวซอยในวันนี้จะหมดไปแล้วเลยต้องเปลี่ยนไปเป็นผัดไทยแทน เสียดายนิดหน่อยแฮะ

   "เขาบอกต้องมาเช้าหน่อย พรุ่งนี้มาแก้มือไหมล่ะ"

   อาการโมโหหิวนี่มันเห็นชัดเลยสินะ "ไม่เป็นไร"

   วิธีการจัดแบ่งโซนของร้านสวยตามท้องเรื่อง และพนักงานก็น่ารักจนไม่แปลกใจที่ตามเว็บจะพูดถึงการให้บริการด้วยเสมอ เขาปล่อยให้เจ้าของข้าวยำได้เดินออกไปสำรวจรอบชั้นล่างตามสะดวก ตัวเองนั่งเป็นฝ่ายเฝ้าโต๊รวมถึงเข้าไปตรวจสอบความเป็นไปบนโลกออนไลน์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

   แน่นอนว่าต้องเจอรูปถ่ายจำนวนหนึ่งพร้อมกับโลเคชันเช็กอินรอบเมืองเชียงใหม่ของเอื้อมอารัญ หลายรูปเป็นฝีมือของเขาแต่ไม่เห็นมีการให้เครดิต ไว้ต้องทวงหน่อย

   กดไลก์จนแน่ใจว่าไม่มีโพสต์ไหนหลุดรอดออกไป ปรัญตั้งใจว่าจะลงคราวเดียวตอนที่กลับไปแล้ว เป็นความโรคจิตส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้าใจ

   เราเลือกทานอาหารกับน้ำเปล่า เป็นการเผื่อท้องเอาไว้สำหรับสถานที่ถัดไป อาหารทั้งสองจานถูกปากเขาแต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยโอเคกับเอื้อมเท่าไหร่ บ่นเรื่องความหวานเหมือนอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ

   "ล่ะไปที่ไหนต่อ" เขาจำได้แค่ชื่อสถานที่ลางๆ แต่ว่าไม่รู้สถานที่ตั้ง

   "เดี๋ยวเราเปิดแมปให้"

   "ถ้าผิดทางนี่โทษเอื้อมคนเดียวเลยนะ"

   "ทำเป็นบ่น ยังไงก็ต้องไปด้วยกันไหม"

   เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ปรัญตั้งสมาธิกับการขับรถตามเส้นทางการนำของเอื้อม มีเลี้ยวผิดซอยไปบ้างนิดหน่อยแต่โดยภาพรวมถือว่าเครื่องนำทางรุ่นนี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่

   ชอบการดีไซน์ร้านค้าข้างในไม่ต่างจากหลายแห่งที่ผ่านมา ยังไงเรื่องสภาพแวดล้อมก็ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมให้การแวะพักมันน่าสนใจมากขึ้น หัวคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเมล็ดกาแฟที่อวลทั่วร้าน มันไม่ใช่เครื่องดื่มที่เราสองคนชอบเสียหน่อย

   "ปันเอาโกโก้ร้อนเนอะ"

   นั่นยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ "อือ"

   จ่ายเงินตามราคาสินค้าของตน ไล่เอื้อมให้ไปหาที่นั่งส่วนเขาจะรอสินค้าตรงนี้เอง มองบาริสตาประดิษฐ์งานศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ในทุกแก้วจนกระทั่งได้ของตัวเอง เสียงเครื่องทำกาแฟยังดังขึ้นเป็นระยะแม้ว่าเขาจะเดินเอาเครื่องดื่มทั้งสองแก้วกลับมาที่นั่งแล้ว

   ส่วนมากลูกค้าจะเป็นชาวต่างชาติ ประเภทที่เห็นหน้าและการแต่งกายแล้วให้ความรู้สึกชาติเดียวกันนี่เกือบมีแค่พวกเขาด้วยซ้ำ ปรัญหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปงานอาร์ตที่มีความละเอียดสูงเก็บเอาไว้ด้วยความประทับใจ มันไม่ได้เป็นแค่รูปใบไม้อย่างที่เห็นประจำแต่แต่งเติมเพิ่มขึ้นอีกมากพอสมควร

   "นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เราเห็นปันหยิบมือถือขึ้นมาก่อนเรา" สำหรับเมนูในมือของเอื้อมไม่พ้นของโปรด มันก็เลยไม่มีอะไรให้ถ่ายเก็บเอาไว้เหมือนอย่างเขา "ปกติมีแต่เราที่บอกว่าอย่าเพิ่งกิน ขอถ่ายก่อน"

   "สวย ไม่เคยเห็น"

   "ได้ยินอย่างนั้นแล้วรู้สึกว่าคิดถูกที่เลือกที่นี่" ยิ้มสว่างไสวที่ส่งกลับมาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ "พอเราเห็นว่ามีคนรีวิวโกโก้ร้อนแล้วก็ตั้งใจว่ายังไงก็ต้องมาให้ได้เลย"

   นั่นเลยทำให้เราสองคนมานั่งอยู่ที่นี่สินะ

   ทำไมน่ารัก

   "ขอบคุณครับ"

   "รูปสวยก็พอแล้วเนอะ รสชาติช่างมัน"

   "...ไม่น่าใช่นะ"

   ก็ไม่เข้าใจหลักการคิดของเอื้อมเท่าไหร่ แต่ไอ้เรื่องที่บอกว่ารสชาติช่างมันไม่น่าจะใช่ จากที่มององค์ประกอบเรื่องร้านและลูกค้าที่เข้ามาไม่ขาดแล้วเขาคาดหวังกับรสสัมผัสที่จะได้รับไม่น้อยเลยล่ะ อีกอย่างนี่เป็นโกโก้ไม่ใช่ช็อกโกแลตด้วย นานครั้งมากถึงจะเจอ

   ยกให้เป็นช่วงเวลาการท่องโซเชียลไประหว่างรอให้เครื่องดื่มเย็นตัวลง ถ้าสั่งแบบทานในร้านมันก็จะเข้าอีหรอบนี้ตลอด แก้วของเอื้อมหมดไปมากกว่าครึ่งแล้วส่วนเขาน่ะแค่จะลองจิบยังคิดแล้วคิดอีก น้ำร้อนลวกปากนี่ไม่ใช่เรื่องตลก

   "ปันว่าเราลงรูปไหนดี" เอื้อมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะไม้ เลื่อนมันมาทางเขาโดยที่หน้าจอยังแสดงภาพสวนต้นไม้ขนาดย่อมของคาเฟ่ที่เพิ่งผ่านมา "มีอันนี้กับอันนี้ด้วย"

   ภาพที่สองเป็นรูปปั้นจำลองที่เห็นเพียงครึ่งขวา จบลงด้วยภาพที่ถ่ายจากท้ายรถตอนขึ้นดอย

   คำแรกที่นึกออกคือเอื้อมก็ลงมาตั้งเยอะแล้วจะเพิ่มทั้งหมดนั่นไปก็ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนที่ออกจากปากไปจริงๆ ก็คือการเรียงให้คำพูดมันดูสวยขึ้นเท่านั้นเอง

   "สวยหมดอะ ลงไปเถอะ เดี๋ยวกดไลก์ให้เอง"

   "อย่ามากดรัวๆ อีกนะ เปิดมาตกใจโนติหมด"

   "งั้นเดี๋ยวเรากดแค่ภาพที่เราถ่ายแต่เอื้อมแย่งลงก่อนก็ได้"

   จับหูแก้วเซรามิกสีขาวให้มั่น ความร้อนที่ยังกระจายตัวอยู่ทั่วไปบอกให้เขาเป่าลมเพื่อความแน่ใจอีกครั้งก่อนการเริ่มชิมคำแรก กลิ่นหอมและรสชาติที่กลมกล่อมกำลังดีเป็นตัวการันตีถึงความหนาแน่นของลูกค้า เพื่อเป็นการย้ำรสชาติเข้าไปเขาจึงถือมันค้างเอาไว้ก่อนเพื่อความสะดวกในการดื่ม

   "ก็ก่อนจะลงเราต้องเอามาปรับสีภาพแล้ว มันก็ต้องเป็นของเราด้วยสิ"

   เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ผู้สร้างทฤษฎีใหม่ยักคิ้วที่ดูแล้วไม่เห็นว่ามันจะดูกวนบาทาตรงไหน ยังไม่พอมีการสั่งให้เขารีบวางแก้วในมือลงเพราะเพิ่งนึกออกว่าอยากให้ถ่ายรูปตัวเองกับแก้วชาเขียวปั่นแรกของทริป

   กล้องตัวใหญ่เริ่มกลายเป็นของคุ้นมือไปแล้ว จัดการปรับการตั้งค่าให้เหมาะสำหรับการถ่ายในร่มพร้อมสำหรับการเป็นช่างกล้องฝึกถ่ายภาพบุคคล ตอนนี้เขาชักจะมั่นใจแล้วว่าตัวเองเหมาะที่จะเป็นพวกถ่ายทิวทัศน์มากกว่าดีลกับมนุษย์ นี่ยังดีที่เอื้อมเป็นคนรู้มุมตัวเอง ไม่อย่างนั้นให้เขากำกับคงได้ภาพถ่ายแบบบัตรประชาชน

   "แต่ชาเขียวเฉยๆ นี่ยังไม่เจอร้านไหนถูกใจเลย"

   ดูได้จากการการกัดหลอดจนช่วงบนยับยู่ยี่ ถ้ารสชาติไม่เป็นอย่างที่หวังเขาก็จะระบายกับหลอดพลาสติกพวกนั้น แล้วปริมาณน้ำปั่นก็ยังเหลือค่อนแก้ว

   "ก็ยังมีอีกตั้งหลายร้านนี่" อย่างของวันนี้หมดแล้ว พรุ่งนี้ถ้าจำไม่ผิดมีอีกสองร้าน "หรือเอาอย่างนี้ไหม?"

   "หืม?"

   ความคิดที่แล่นเข้ามากะทันหันดูไม่เข้าท่า แต่ว่าก็น่าลองเสี่ยงดูเหมือนกัน

   "เดินไปเรื่อยๆ เจอร้านไหนน่าสนใจก็เข้าไปเลย"

   เพราะร้านตั้งอยู่ในแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว คาเฟ่สำหรับนั่งชิลล์จึงเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป เท่าที่เห็นผ่านตามทางมานี่ก็สามสี่ร้านแล้ว คิดว่าต้องมีสักร้านแหละที่ถูกใจเอื้อมอารัญผู้เป็นชาเขียวเลิฟเวอร์บ้าง

   ก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เครียดถึงขั้นต้องนั่งกอดอกตาหลุบมองมุมต่ำ ปากก็พึมพำให้ตนเองเข้าใจคนเดียว เกือบจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายวีดีโอเก็บไว้ให้ดูแล้วว่ากับที่เล่นไวโอลินไม่ได้ตามอย่างที่ต้องการก็ยังไม่เคยหน้านิ่วคิ้วขมวดได้เท่านี้

   "เดี๋ยวเราเลี้ยงด้วยเลย"

   "ตามนั้น"

   ถ้ารู้ว่าหลอกล่อได้ง่ายอย่างนี้งัดมาใช้ตั้งแต่แรกแล้ว
 


   "แล้วเราจำเป็นต้องเดินหาด้วยเหรอปัน นี่เท่ากับว่าต้องเดินย้อนกลับไปเอารถอีกนะ"

   บนทางเท้าที่มีนักท่องเที่ยวจากในและต่างประเทศเดินสวนไปมาตลอดเวลาไม่ค่อยสะดวกต่อการเดิน เขาก็เลยลงมาอยู่บนถนนแล้วให้เอื้อมได้เดินชิดริมขอบ อากาศตอนนี้ไม่ถึงกับร้อนจนทรมานหรอก แต่ก็เข้าใจอากาศเมืองไทยใช่ไหมล่ะ นี่หน้าเริ่มชื้นเหงื่อแล้ว

   "ให้ร่างกายได้ขยับบ้าง ไม่อย่างนั้นเราก็เอาแต่กินกับนั่งนะ"

   "ก็ไม่ได้กินเยอะแยะ"

   "ตั้งแต่เช้ามานี่ซัดไปกี่อย่างแล้ว มีรูปถ่ายเป็นหลักฐานเพียบเลย"

   ยังไม่รวมที่บอกว่าเย็นนี้จะไปกินบุฟเฟ่ต์อีกนะ เอาเข้าไป

   "ไม่เถียงก็ได้ แต่ขึ้นมายืนข้างบนก่อน อันตราย" แรงดึงเบาๆ ตรงเสื้อลากให้เขาขึ้นไปตามได้อย่างง่ายดาย ระยะที่ประเมินด้วยสายตามีคนสวนทางกันประปราย น่าจะไม่ต้องลงไปเสี่ยงอันตรายอีกในเร็ววัน "นี่ถ้าเราขี้เกียจแล้วเลือกเข้าร้านแรกที่เจอเลยได้ไหมอะ"

   "ไม่เอา ต้องเป็นร้านที่ถูกชะตาสิ"

   ยืนกรานว่ามันควรจะเป็นไปตามข้อเสนอทั้งหมด จะว่านี่เป็นการล่อลวงก็ใช่แหละ

   เขาแค่อยากให้เอื้อมได้ลองเลือกด้วยตัวเองสักครั้ง

   มีแวะเก๊กท่าถ่ายกับสิ่งที่เจอข้างทางบ้าง ทีเผลอบ้าง เราปล่อยเวลาให้เดินต่อไปโดยไม่มีข้อกังวลเรื่องการจัดวางให้ตรงตามแผนที่วางเอาไว้ ก็คอนเซปต์หลังจากไปเจอธรรมชาติเป็นการแก้มือแล้วคือการทิ้งชีวิตไปกับความไม่เร่งรีบ อยากจะนั่งตรงไหนนานๆ ก็ทำ ถ้าไม่อยากทำตามแพลนแล้วก็แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาสถานที่ใหม่

   แกล้งให้โพสต์ท่าแต่ก็ไม่ถ่าย หรือบอกว่าไม่ถ่ายแต่ก็จัดไปหลายรูป เราหัวเราะให้กับการเล่นเป็นเด็กของตัวเองโดยไม่ต้องกังวลสายตาของคนอื่นเหมือนอย่างที่ต้องระวังยามใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

   "เราว่าร้านนี้"

   เดินมาได้ไกลพอสมควรจนเจอร้านที่ได้รับการยืนยันว่านี่แหละที่ตามหา จะบอกว่าแปลกใจกับตัวเลือกก็ใช่ ก็ที่ผ่านมาสไตล์การคัดของเอื้อมต้องเริ่มจากร้านสวย จากนั้นค่อยไปดูเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม แต่ร้านที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เรียกได้ว่าธรรมดาและเป็นแนวทั่วไปสุดๆ

   ร้านชั้นเดียวที่เหมือนว่าจะเป็นการแบ่งพื้นที่บ้านพักส่วนหนึ่งมาทำเป็นห้องขายเครื่องดื่ม ด้านข้างยังเป็นรั้วบ้านพร้อมกับรถโฟร์วีลล์จอดอยู่เลย หน้าร้านปลูกไม้พุ่มเตี้ยชนิดเดียวเรียงกัน นอกจากสติกเกอร์ชื่อร้านที่ติดเอาไว้ตรงกระจกประตูทางเข้าแล้วมันไม่มีสัญลักษณ์อื่นประกอบ ถ้าขับผ่านก็คงนึกว่าเป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยล่ะ

   อยากจะยืนมององค์ประกอบโดยรวมให้นานกว่านี้ ลืมไปว่าตัวเองเอ่ยปากรับคำเอาไว้เรื่องหนึ่งก่อนแล้ว พอเห็นใบหน้าของเอื้อมชะโงกออกมาพร้อมกับกวักมือเรียกก็เลยต้องเข้าไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้เสร็จ

   ราคาถือว่าไม่แรงเมื่อเทียบกับร้านก่อนหน้า คงหักลบไปกับค่าตกแต่งและของสวยงามโดยรอบ

   "อร่อยอะ"

   "อย่าเล่นมุกว่าเพราะไม่ต้องจ่ายนะ"

   "อร่อยจริง ไม่หวานอย่างที่บอกด้วย"

   และมันกลายเป็นความคุ้มค่าเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเอื้อมอารัญ


***
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเจ็ด [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 15-07-2018 21:18:04
สิบเจ็ด


   ถ้าให้ย้อนกลับไปช่วงเป็นเด็กมัธยมปลายปีสุดท้าย ชีวิตของปรัญเรียกได้ว่าเรียบง่ายกว่าเพื่อนหลายคน

   "เราเคยคิดอยากมาเรียนที่นี่เพราะอ่างแก้วด้วยแหละ"

   "จริงจัง?"

   "ใช่ จะมานั่งเหม่อทุกวัน น่าจะมีความสุขดี"

   "น่าจะสุกมากกว่านะตอนนี้"

   อีกฝ่ายก็คงเห็นด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่หัวเราะแห้งออกมายามมองไปรอบข้างแล้วพบว่ามันค่อนข้างจะร้างผู้คนพอสมควร "สุกพร้อมเสิร์ฟ"

   "ก็แน่ล่ะ นี่บ่ายสี่เอง"

   แดดเชียงใหม่แรงยิ่งกว่ากรุงเทพในบางความรู้สึก ความสวิงของอากาศในหนึ่งวันน่าจะสามารถนำไข้มาทักทายได้ไม่ยาก ถ้าเป็นช่วงอยู่หออย่างมากมันก็ผสมแค่สองฤดูในหนึ่งวันคือร้อนกับฝน นี่เล่นเช้าหนาว กลางวันร้อน ส่วนตอนนี้ก็ร้อนมากมาก ไม่อยากจะคิดถึงช่วงดึกเลย

   "แต่ที่นี่ไม่มีตัวที่เราอยากเรียน แม่ก็ไม่อยากให้ไปไกลด้วย"

   ต่างจากเขาเลยแฮะ "เรานี่ไม่มีใครห้ามเลย อยากไปสอบที่ไหนก็ตามใจ"

   ไม่พอมีการไล่ให้ไปหาที่สอบด้วยนะ จะขึ้นเหนือลงใต้ก็ได้เดี๋ยวออกเงินค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ยังไม่แน่ใจทุกวันนี้ว่ากลัวลูกไม่มีที่เรียนหรือแค่หาเรื่องให้ออกนอกบ้านบ้าง

   ก้าวขาไปตามเส้นทางการเดินเท้าที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก อดเทียบความแตกต่างกับมหาลัยตัวเองไม่ได้ ด้วยนิสัยรักธรรมชาติแล้วเขาเทใจให้ที่นี่มากกว่า ทำไมตอนนั้นถึงไม่ยอมขึ้นมาสอบเก็บเอาไว้บ้างนะ อาจจะเข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตด้วย

   มองแผ่นหลังของเอื้อมที่เดินนำไปแล้วหลายก้าว กล้องที่คล้องคอถูกยกขึ้นมาเทียบผ่านช่องตาแมวยามพบมุมถูกใจ สำหรับตัวปรัญเองก็ยังทำหน้าที่เป็นช่างกล้องอยู่เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เป็นสมาร์ตโฟนเท่านั้นเอง

   ตั้งแต่เมื่อวานได้รูปแอบถ่ายเอื้อมอารัญมาพอสมควร จะบอกว่าทำในสิ่งที่ไม่ชอบก็ไม่เต็มปากเพราะแจ้งเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าถ้าเจอมุมที่ถูกใจจะถ่ายเก็บเอาไว้ก่อนแล้วค่อยโชว์ผลงานทีเดียว

   อีกฝ่ายไม่ค่อยรู้ตัวว่าตกเป็นเป้านิ่ง ก็เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจเมื่อไหร่เอื้อมก็จะเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้าไปรบกวนได้ จะกลับมาอีกทีก็ตอนที่พอใจอยากจะออก ไปเร่งเมื่อไหร่เดี๋ยวก็จะโดนงอแงใส่ เขาเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งเรียนรู้ได้ไวและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้ดีน่ะ

   ต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ใช่การเอาลงดินภายหลังแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเป็นระยะติดต่อกัน ต่อจากนั้นอีกไม่นานเราก็มาถึงยังจุดหมายปลายทาง ไม่แปลกใจที่นอกจากเราสองคนแล้วแทบไม่มีใครอื่นเหมือนทางเดินที่ผ่านมา พื้นที่ของอ่างแก้วไม่ได้กว้างอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ถึงจะเป็นเช่นนั้นความสวยงามของธรรมชาติกึ่งคนสร้างที่ปรากฎต่อสายตาในเวลานี้ก็เป็นส่วนหักลบกันได้

   "เอาจริงเราอยากถ่ายรูปตรงนี้นะ แต่ตอนนี้ลืมตายังไม่ค่อยได้เลยอะ"

   หันมามองคนทางซ้าย ขำพรืดกับดวงตาที่หรี่ลงจนเกือบเป็นมองไม่เห็น เคยเตือนเรื่องช่วงเวลาที่แดดยังจัดและปรามเรื่องนิสัยไม่ชอบใส่หมวกหรือแว่นเอาไว้แล้วเลยไม่สงสารเลยสักนิด ทีตอนนั้นล่ะทำหน้ามั่นใจว่าโอเคไม่มีปัญหา นี่นึกว่าเปลี่ยนเชื้อสายบรรพบุรุษเสียแล้ว

   ยกมือขึ้นไปบังช่วงครึ่งหน้าผากให้ "งั้นเดินให้รอบก่อนไหม ตอนกลับมาน่าจะแดดร่มพอดี"

   สบกับนัยน์ตาที่เขาไม่เคยสังเกตว่าเป็นสีอะไร จะว่าไปแล้วมันก็มีความแตกต่างจากแรกเจออยู่เหมือนกันนะ เหมือนตอนนั้นจะดูแล้งชีวิตกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าบอกว่าตอนนี้มันดีขึ้นแล้วเพราะอีกฝ่ายเป็นคนยอมรับเองว่าเก่งในเรื่อง 'โกหก' กว่าใคร

   "ก็ได้"

   การเดินกลางแดดโดยไม่ทาครีมป้องกันเลยยังดำเนินต่อจากนั้น นักสำรวจมือสมัครเล่นสองคนเลาะตามริมขอบไปจนสุดทางอีกฝั่งหนึ่ง มุมที่มีต้นไม้บดบังทัศนียภาพบางส่วนเอาไว้แต่ก็ยังร่มรื่นและดูเป็นส่วนตัวดี

   ผู้ชายลุกคุณหนูทรุดนั่งลงกับขอบพื้นยางมะตอยลงเสียตรงนั้น เรียกให้เขาต้องเลียนแบบราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ได้รับคำสั่งให้คัดลอกทุกการเคลื่อนไหว ต้องอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์แน่นอนถึงได้ยินเสียงฮัมบทเพลงสากลสุดท้ายก่อนลงจากรถมา

   ร่มรื่น เงียบแต่ไม่ถึงกับสงบ และไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆ ถึงจะเป็นเช่นนั้นพื้นที่สีเขียวตรงหน้าก็ยังมีอะไรบางอย่างที่คอยดึงดูดความสนใจเอาไว้ได้ ปรัญสูดเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด พักสายตาด้วยการเหม่อออกไปจนภาพที่เห็นกลายเป็นรูปเบลอไปเสียหมด

   "ปันว่าเราซิ่วมาเรียนที่นี่ดีปะ"

   เขาไม่ต้องเผื่อเวลาคิดอะไรเลยล่ะ "ไม่"

   "เราชอบอ่างแก้วมากเลย ที่ม.มันไม่มีอะไรอย่างนี้อะ"

   "แต่ที่นี่ไม่มีเรานะ"

   เอื้อมอารัญแทบจะตวัดหน้าจนหัวหันมามอง ตาเบิกกว้างมาพร้อมกับริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อย การแสดงออกแบบคนประมวลผลไม่ทันน่ารักจนเขาหยุดแกล้งต่อจากนั้นไม่ได้

   ก็เลยตั้งศอกพิงแก้มเอาไว้ตรงฝ่ามือ ขยับมุมปากออกด้านข้างช้าๆ พลางเอ่ยปากถามซ้ำในประเด็นเดิม "ถ้าอยากมาอยู่ที่นี่เอื้อมต้องเลือกแล้วล่ะ"

   ใครบอกว่าคุณเอื้อมเป็นคนหยิ่งเขาล่ะอยากจะปารูปตอนนี้ใส่ การได้เห็นใบหน้าขึ้นสีเลือดจางกับเสียงตะกุกตะกักจับเนื้อหาไม่ได้นี่แทบลบทุกภาพความทรงจำที่เคยมีไปได้ทั้งหมด ยิ่งพอเขายักคิ้วให้แล้วอีกฝ่ายก็ยกไม้ยกมือขึ้นมาทำท่าจะฟาดด้วยแล้ว

   ขอเปลี่ยนเป็นบันทึกวีดีโอเอาไว้ดีกว่า

   "ใจร้ายมาก!"

   "ไหนใครบอกว่าเราเป็นคนใจดี" ทวนคำที่ตนเองเคยบอก "เนี่ย ถ้ามาอ่างแก้วทุกวันก็ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีคนกินข้าวเย็นด้วยเหมือนอยู่กับเราที่ม.นะ"

   "โหย ลำเลิกบุญคุณใหญ่"

   "ก็ต้องมีบ้าง"

   แถมด้วยกระตุกยิ้มร้ายแบบผู้เหนือกว่า

   "เรามาที่นี่อาจมีเพื่อนเยอะแยะเลยก็ได้นะ"

   "แต่ก็ไม่ใช่เราอยู่ดี"

   จะว่าไร้สาระก็ใช่ เรางัดเอาเรื่องร้อยแปดที่บางอย่างก็ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมาเถียงกัน จนมีระฆังจบยกเป็นแสงแดดอมส้มยามเย็นคล้อยลงเตรียมจรดพื้นดิน เพราะนั่นเป็นตัวบอกว่าพวกเขาสามารถย้อนกลับไปยังด้านหน้าของอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ได้แล้ว

   จากที่ดูร้างผู้คนกลับกลายเป็นความครึกครื้น มีทั้งเหล่าคนรักสุขภาพ นักศึกษามานั่งเล่นเป็นกลุ่มหรือเดี่ยว รวมทั้งเจ้าหมาขนสั้นสีน้ำตาลที่มาพร้อมปลอกคออันใหญ่ ต่างคนก็ประกอบกิจกรรมของตัวเองไปไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน

   ภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอประกอบไปด้วยพื้นที่สีดำเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเป็นการถ่ายย้อนแสงเต็มที่ จากความตั้งใจว่าจะถ่ายธรรมชาติเลยเบนไปทางผู้ร่วมเดินทางแทน กล้องตัวใหญ่คงมีระบบรองรับเอาไว้พร้อมถึงไม่เจอปัญหาเดียวกัน ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่หันมากำชับว่าห้ามถ่ายแบบที่ดูเด๋อเด็ดขาด

   ผู้ชายผมสั้นกับชุดลายดอกสีดำแซมขาวทรงฮิตกำลังก้มหน้าตรวจสอบภาพในเครื่องมือช่วยบันทึกโดยมีพื้นหลังเป็นครึ่งธรรมชาติทางขวาและมนุษย์สร้างทางซ้ายลงตัวดี แสงค่อนไปทางธรรมดาตามความสามารถของระบบประมวลผลการถ่าย

   เขาจัดการเก็บภาพนั้นเอาไว้ก่อนเรียกชื่อออกไป "เอื้อม..."

   "ว่า ...นี่นึกว่าจะโดนปันแอบถ่ายตอนเหวอแล้วนะเนี่ย"

   "นี่มองเราเป็นคนยังไง"

   "ไม่น่าไว้ใจ" แค่คำตอบก็น่าหมั่นไส้แล้วทำไมต้องทำหน้าจริงจังเสริมด้วย อย่างกับโดนเอาคืนเลยแฮะ "แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันมีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า"
 


   ขอนิยามว่านี่คือการออกจากการเป็นคุณเอื้อมแบบที่ไม่ต้องอาศัยป้ายชื่อ

   "ปัน เราซื้ออันนี้ไปติดที่ห้องดีไหม"

   "ถ้าคิดว่าได้ใช้ก็ซื้อ" ประเมินถุงพลาสติกบรรจุไฟกะพริบดวงเล็กครอบด้วยเส้นด้ายทรงกลมที่ถูกชูให้อยู่ระดับสายตา อันนี้เขาว่าเดินตลาดในกรุงเทพฯ ก็มีนะ "แต่มันมีไม่กี่ลูกเอง จะติดอะไร"

   นับด้วยการกวาดสายตาน่าจะมีแค่สิบสองลูก แค่เรียงบนหัวเตียงก็น่าจะหมดแล้ว แล้วพื้นที่อื่นในห้องของเอื้อมไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือว่าหอก็ไม่ได้เหมาะกับการตกแต่ง ที่คิดออกตอนนี้คือเอาไปพันรอบเคสไวโอลิน น่าจะสวยดีอยู่เหมือนกัน

   ส่วนจะติดไฟไหมเป็นอีกเรื่อง

   "แต่มันสวยดีอะ" นั่นหมายถึงว่าที่เขาออกความเห็นไปเมื่อกี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสินะ "เดี๋ยวก็หาเรื่องใช้ได้เองแหละเนอะ"

   พ่นลมหายใจเบาๆ ให้ดูไม่มีพิรุธ พยักหน้าอนุญาตให้คนออกเงินได้ทำตามใจ ระหว่ารอจ่ายปรัญก็ใช้โอกาสนั้นมองไปโดยรอบจุดเริ่มต้นของถนนคนเดินแห่งนี้ แน่นอนว่าปริมาณนักท่องเที่ยวมหาศาลสมกับเป็นสถานที่ที่อยู่เกือบทุกรีวิวการเที่ยวเชียงใหม่ นี่แค่ต้นทางเขาก็ชักท้อแท้กับความเบียดเสียดที่กำลังจะมาถึง

   เราออกไปทานข้าวเย็นกันบริเวณด้านหลังของมหาวิทยาลัยอย่างที่วางแผนเอาไว้ การเดินหลงทางอยู่ข้างในเกือบครึ่งชั่วโมงเป็นวิธีการเรียกน้ำย่อยที่ไม่คาดคิด เพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไปเราเลยลดสโคปร้านให้เหลือแค่พวกบุฟเฟ่ต์ โดยใช้ทฤษฎีร้านไหนคนเข้าเยอะแสดงว่าอร่อยเป็นตัวตัดสิน

   ประทับใจราคาที่ย่อมเยากว่าร้านรอบมหาลัยตัวเองหลายอยู่ ถ้าเรียนที่นี่คงมีหวังน้ำหนักขึ้นเพราะว่าเอนจอยกับการกินทั้งวันแน่

   นี่กว่าจะหาสถานที่จอดรถได้ก็นานอยู่ ไม่รู้ว่ากลับไปจะถูกกรีดหรือว่ามีรอยจากการเฉี่ยวชนหรือไม่ เราแทบไม่ต้องมองหาป้ายบอกทางหรือว่าเปิดแผนที่เลย เห็นฝูงชนเดินไปทางไหนเยอะๆ ก็ตามไป สุดท้ายก็มาถึงกำแพงอิฐสีส้มติดป้ายชื่อสามภาษาเอาไว้

   ต่อจากกินแล้วก็ชอปปิง นี่แหละคือกิจกรรมสุดท้ายของวันนี้ เขาไม่คิดว่าจะได้ของติดไม้ติดมือเท่าไหร่อย่างคนรู้นิสัยตัวเองดี อย่างมากก็น่าจะซื้อของชิ้นเล็กกลับไปเป็นของฝากให้คนที่บ้าน

   "คนเยอะจังเนอะ..."

   รูปประโยคเหมือนจะคุยกับเขาใช่ไหม ส่วนในความเป็นจริงคือพูดจบปุ๊บก็พุ่งเข้าไปยืนหน้าร้านขายถ้วยชามเซรามิกห่างจากที่ยืนอยู่ประมาณห้าก้าว ชั้นวางของทำจากไม้แบบโปร่งมีเครื่องเรือนหลายชนิดวางเรียงกันจนเต็มทุกชั้น ตั้งแต่แจกันทรงสูง ชุดกาน้ำชา ชามสีเขียวไข่กามีลายเส้นดอกไม้สีครีมประดับ เป็นต้น

   เหมือนกันถนนคนเดินทั่วไปที่เรียงแผงขายต่อกันไปเรื่อยๆ จนถึงสุดถนน คนเดินสวนไปมาขวักไขว่จนเขาเองต้องขยับเข้ามาข้างในเขตร้านให้มากขึ้น เอื้อมย่อตัวลงมองชั้นวางเกือบล่างสุดด้านหน้าตัวเอง สายตามองตรงจริงจังกับการเหล่มองทั้งซ้ายและขวาจนได้แก้วทรงสูงสีมุกมาไว้ในมือ

   "สวยไหม"

   "ก็ดี"

   "งั้นเอาใบนี้ครับ"

   ไม่มีการถามราคาก่อนตกลงซื้อด้วยซ้ำ อดีตดินเหนียวที่ได้รับการขึ้นรูปถูกส่งไปอยู่ในมือของคนขายสำหรับการห่อป้องกันเอาไว้ด้วยหนังสือพิมพ์ จะว่าไม่ชินก็ใช่อยู่ เวลาอยู่กับเอื้อมเรามักจะเสียเงินกับของกินแทบทั้งหมด พอได้เห็นจิตวิญญาณนักชอปที่มีอยู่มากไม่แพ้กันแล้วก็อดตกใจไม่ได้

   "คิดว่าเราซื้อไปทำไมอยู่ล่ะสิ" ใบหน้ารู้ทันกับท่าการชี้มือมาทางเขาอย่างกับว่าอ่านใจคนได้ "จะเอาไปไว้ในห้องที่ปรึกษา จะได้ไม่ต้องแย่งคนอื่นใช้"

   "เห็นมาทีไรก็เอาชาเขียวปั่นของตัวเองมาตลอด"

   "นี่เราวางแผนไว้แล้วว่าเดี๋ยวจะไปซื้อเครื่องปั่นมาทำกินเอง"

   เรื่องอนาคตเอาไว้ก่อน ตอนนี้ถึงเวลาของการเดินชมสินค้าตามเส้นทางแล้ว ความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวอยู่ในระดับการจราจรติดขัดเป็นระยะ มันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาสองคนเพราะพร้อมจะแวะพักทุกร้านที่ผ่าน

   ของขายมีทั้งแบบพื้นเมืองแล้วก็อย่างที่วัยรุ่นชอบ เสื้อปักลายแบบชาวดอยคือร้านล่าสุดที่เข้าไป ถึงตอนนี้เงินของปันก็ยังไม่ได้ปลิวออกจากกระเป๋าเลยสักบาท ต่างจากเอื้อมอารัญนี่หมดไปกี่พันแล้วก็ไม่อยากนับ อะไรจะขยันซื้อได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า

   คนถูกนินทายังคงไม่รู้ตัวหรอก เขายังจ้องแผงผ้าขาวม้าที่วางเรียงเอาไว้เป็นระเบียบไม่ยอมวางตา ถ้าจะซื้ออันนี้บอกเลยว่าต้องมีการดีเบตความจำเป็นในการใช้งานก่อนอนุมัติการซื้อแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วน้ำหนักกระเป๋าขากลับที่คิดว่าเหลือเฟือน่าจะหมดก็เพราะอย่างนี้

   "ปัน"

   ไม่เว้นช่องให้ถามหรอก จังหวะนี้ต้องรีบขัด "บอกก่อนว่าซื้อไปทำไม"

   "ง่ะ..."

   ทำหน้าจ๋อยนี่เป็นวิธีการใหม่เพื่อให้ใจอ่อนหรือไง เขาเลื่อนมือไปโอบไหล่อีกฝ่ายเอาไว้สำหรับการดึงให้ออกมาจากตรงนั้น เป็นการตัดบทที่เข้าท่าและไม่ต้องโต้เถียงกันให้เหนื่อยใจ

   พ้นจากส่วนแออัดมาได้สักที แม้ทางข้างหน้าจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนแต่มันก็ยังมีความหนาแน่นในปริมาณที่น้อยกว่า หายใจได้คล่องหน่อย

   "จับอย่างนี้นี่คือกลัวเราหายหรือยังไง"

   ช่วงมือที่พักเอาไว้ตรงไหล่ขยับขึ้นเล็กน้อย เสียงเย้าติดตลกไม่มีความหงุดหงิดผสมอยู่ ปรัญหันศีรษะไปทางขวาเพื่อสบตาคู่เดียวกับที่เห็นมานับร้อยครั้ง เวลากลางคืนแปรมันให้กลายเป็นนัยน์ตาสีดำรัตติกาลที่ซ่อนทุกรอยแผลเอาไว้มิดชิด ไร้ทางเสาะหาความจริงข้างใน

   แล้วปรัญตอนนี้กำลังซ่อนอะไรเอาไว้อยู่หรือเปล่านะ

   "มั้ง"

   "ปันโคตรแย่เลย"

   อยากจะหัวเราะออกมาให้เต็มเสียงแต่คนอื่นคงได้ตัดสินว่าเพี้ยน ก็เลยทำได้แค่เฉไฉไปคุยเรื่องอื่นต่อระหว่างหยุดดูการแสดงเปิดหมวก "เราแย่ตรงไหน"

   "ทั้งหมด"

   "งั้นถ้าเราอนุญาตให้เดินกลับไปซื้อผ้าขาวม้าจะกลายเป็นคนดีไหม"

   เอาเรื่องที่น่าจะเป็นตัวจุดชนวนความบาดหมางขึ้นมาเจรจาใหม่ ปากที่เบะออกภายหลังจากได้รับข้อเสนอบอกชัดว่าเป็นการเลือกที่ผิดพลาด "ไม่ย้อนไปแล้ว"

   "งั้นทำยังไงดี"

  "ห้ามปล่อยเราไป"


***
 ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเจ็ด [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 15-07-2018 21:23:07
เฮ้อ !!! ไม่ค้างคาใจกันแล้วใช่มั้ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเจ็ด [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 15-07-2018 21:29:09
   "…"

   "หมายถึงมือของปันตรงไหล่เราเนี่ย"

   "ก็ได้..."

   "ปัน! ไปร้านนั้นกัน!"

   ข้อตกลงยังไม่ทันได้รับการสนองจากคู่สัญญาอย่างเขาเลยด้วยซ้ำไป ปลายนิ้วของเอื้อมชี้ไปยังร้านขายกางเกงผ้าลายช้างอันเห็นได้ทั่วไปในตลาดทุกพื้นที่ เป็นสินค้าขายดีแบบที่กินบริเวณสองถึงสามล็อก รวมถึงมีลูกค้าจำนวนหนึ่งยืนเลือกซื้อกันจริงจังอีกด้วย

   เอื้อมหยิบเอากางเกงขายาวหลายแบบมาเทียบกันคร่าวๆ เพื่อคัดออกไปทีละชิ้นจนเหลือเพียงสองแบบเท่านั้น เพื่อนหลายคนการันตีถึงความเบาสบายของมันแต่นั่นก็หมายถึงการดูแลรักษาก็ต้องมากขึ้นตามลำดับ ประเภทที่ใส่ได้ไม่เท่าไหร่ตรงรอยเย็บก็ขาดออกจากกันนี่ธรรมดามาก

   ไม่เคยเห็นเอื้อมใส่สไตล์นี้มาก่อน เขาชอบอยู่กับความเรียบง่ายที่ดูดีเป็นส่วนใหญ่ เชิ้ตไม่มีลายกับกางเกงสีพื้นฐานทำนองนั้น ลองจินตนาการว่ากำลังเล่นเกมตุ๊กตากระดาษที่มีหุ่นคือเอื้อมแล้วจัดการเอากางเกงช้างไปทับก็ไม่ได้แปลกอะไร

   "ชอบแบบไหน"

   ทั้งสองแบบมีลายสัตว์ประจำชาติเป็นองค์ประกอบหลัก ต่างกันตรงที่ตัวซ้ายเป็นสีดำแล้วอีกตัวเป็นสีแดงเลือดหมูคาดด้วยเส้นสีเหลืองเข้ม เรื่องของความสวยมันอยู่ที่ปัจเจกบุคคลจะเอาไปเทียบกันมันไม่ได้หรอกนะ

   "ส่วนตัวเราชอบซ้ายมากกว่า" ด้วยเหตุผลเดียวคือมันเป็นสีดำ ใส่ง่าย

   "งั้นเอาทั้งสองแบบไปเนอะ"

   แล้วจะถามเขาทำไม

   มองภาพการจ่ายเงินเล่นซ้ำอีกครั้งแต่เปลี่ยนตัวคนขาย เขาเห็นจนเริ่มจำวิธีการจัดเรียงบัตรในกระเป๋าเงินใบเล็กของเอื้อมได้แล้ว หน้าสุดเป็นบัตรประชาชน ต่อด้วยบัตรนักศึกษา ส่วนด้านบนเป็นใบขับขี่ ช่องสำหรับธนบัตรแบ่งเป็นข้างหน้ากับข้างหลัง ส่วนหน้ามีแค่ใบสีเทาใบเดียวไว้สำหรับเสริมมงคล ที่ใช้จริงคือช่องหลัง

   ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีรูปประดับคือไวโอลินตัวเก่งวางเอาไว้บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ไม่มีรูปถ่ายครอบครัวหรือว่าเพื่อนสนิทอย่างที่คนอื่นมักจะทำกัน อย่างเขาเองถึงไม่ได้เอามาไว้ช่องหน้าแต่ก็มีรวมถ่ายรวมรุ่นวันปัจฉิมเก็บเอาไว้

   "ไว้พรุ่งนี้ใส่เป็นคู่กัน ดีไหม"

   "หืม?"

   "กางเกงไง"

   "กางเกง...?" มองงานศิลปะบนผ้าใบเพลินเสียจนไม่ได้ตั้งใจฟังว่าตอนต้นพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ กางเกงมันมีอะไร

   "ที่ซื้อมานี่ไง"

   เห็นถุงพลาสติกใบใหญ่ใส่ทุกอย่างรวมเอาไว้เพื่อลดโลกร้อนแล้วถึงนึกออก "เอื้อมก็ใส่สิ ซื้อมาแล้วนี่"

   ถึงจะไม่ได้ซักก็ไม่น่าเป็นอะไรมั้ง ที่ห้องพักก็ไม่ได้มีพื้นที่สำหรับการซักมือแล้วตากด้วย ที่นี่คนใส่กางเกงช้างเยอะแยะจะตายไป ไม่เป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน

   สุดทางแล้วก็ได้เวลาเลี้ยวกลับไป คราวนี้ชนิดของสินค้าเริ่มซ้ำกับที่ผ่านมาแล้วจนใช้เวลากับการแวะเข้าออกน้อยกว่าเดิม อากาศในเวลากลางคืนมีลมพัดพอให้เย็นสบายจนเผลอแป๊บเดียวก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น เราตบท้ายด้วยการซื้อน้ำเปล่ามาดับกระหาย พักขายืนพิงกับเวทีกลางแจ้งที่ไม่รู้ว่าเตรียมเอาไว้สำหรับงานอะไร

   ลานกว้างมีหลายกิจกรรมเกิดขึ้น ทั้งเด็กตัวเล็กวิ่งเล่นไล่จับ นักท่องเที่ยวที่รวมทีมถ่ายรูป แล้วก็กลุ่มคนวัยไล่เลี่ยกับเขาที่เปิดเพลงเต้นโคฟเวอร์แดนซ์กันโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง

   "เชี่ย มึงจะเต้นกันต่อจริงดิ"

   "เออ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเราหรอกมึง"

   จุดที่ยืนใกล้กันพอสมควรจนได้ยินชัดว่าพวกเขาพูดอะไรกันบ้าง สำเนียงคนภาคกลางและสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังบนกระเป๋าผ้าของหนึ่งในนั้นแทนการบอกช่วงอายุที่ไม่ต่างจากการประเมิน หญิงสาวในชุดเสื้อครอปพร้อมหมวกปิดครึ่งหน้ากับผู้ชายอีกคนผลัดกันเต้นตามท่อนที่ตนเองถนัด โดยที่เหลือแบ่งหน้าที่กันเป็นฝ่ายเปิดเพลงในระดับความดังพอให้ได้ยินแค่ในกลุ่ม ถ่ายคลิป และส่งเสียงเชียร์ตามลำดับ

   พวกเขาดูมีความสุขดีจังนะ

   เพราะเป็นอิสระจากการ 'ไม่รู้จัก' อย่างนั้นหรือเปล่า

   "สนใจมาเล่นไวโอลินบ้างไหมเอื้อม" กระทุ้งศอกใส่ คว้าเอาขวดน้ำเปล่าที่ยังเหลือเกือบครึ่งมาดื่มอีกครั้ง

   "ไม่มีทางอะ ไม่กล้าพอ" ตอนที่เดินข้างในก็เจอคนเปิดหมวกด้วยการบรรเลงเพลงจากเครื่องสี่สายเหมือนกัน ยืนดูได้แป๊บเดียวเอื้อมก็บอกว่าอยากจะไปดูอย่างอื่นต่อแล้ว "อิจฉาจัง ทำไมคนเราถึงต้องมีความกล้าไม่เท่ากันด้วยนะ"

   "มันก็อยู่ที่ปัจจัยอื่นด้วยแหละ ได้ยินที่เขาบอกว่าเพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักไหม"

   จะว่าเป็นตลกร้ายก็ใช่ เราทุกคนต่างถูกบังคับให้อยู่ในกรอบของสังคมที่ไม่มีความยืดหยุ่นและไร้มาตรฐานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราอายต่อการเป็นตัวเองเพราะถูกฝังหัวมาว่า 'ต้องเป็นตามแบบ' การแสดงความมั่นใจกลายเป็นคนเสนอหน้า และจินตนาการกลายเป็นการท่องจำ

   "ก็จริง"

   "โลกมันก็โหดร้ายอย่างนี้แหละ" ตบบ่าให้กำลังใจไปอีกสักที มองนาฬิกาแล้วพบว่าควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว "กลับกันเลยไหม"

   "เดี๋ยวก่อน"

   รอฟังว่าคำใดจะเอ่ยตามมา ความเงียบจากนั้นบอกให้เขามองช่วงนัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยสับสนไล่ลงมาถึงริมฝีปากที่เม้มเอาไว้แน่น และเมื่อหนังตาหลุบลงต่ำจะเห็นชัดว่าฝ่ามือกำลังขยุ้มปลายเสื้อโอเวอร์ไซซ์เสียจนยับย่น

   อาการกังวลชัดเสียจนปรัญผู้ไม่ได้เรียนทางจิตวิทยาโดยตรงก็ยังพอเข้าใจสถานการณ์ได้ ปล่อยให้เวลาได้เป็นเครื่องมือสำหรับการผ่อนคลายโดยไม่เข้าไปแทรก เสียงเพลงเกาหลียังดังสลับกับเสียงร้องให้กำลังใจจากคนกลุ่มเดิม

   กระทั่งเราได้สบสายตากันอีกครั้ง

   "ถ้าที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรา ...เราจูบปันได้ไหม"

   ปรัญคลี่ยิ้มจาง ขยับตัวเข้าใกล้เป็นฝ่ายประทับปิดริมฝีปากเองโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว

   เรื่องแบบนี้ใครเขาถามกันก่อนล่ะ
 


   เอาเข้าจริงแล้วใครเป็นคนเริ่มวัฒนธรรมการจูบนะ

   ปรัญตั้งหนึ่งคำถามขึ้นมาระหว่างดูหนังฝรั่งแนว Coming of age อยู่คนเดียวในห้องพัก เสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้องจากอีกฟากของกำแพงคอยรบกวนใจไม่หยุด

   เอื้อมเองก็ไม่ได้ดูแปลกไปหลังจากเหตุการณ์นั้น ก็ยังเล่าแผนการเที่ยวในวันสุดท้ายระหว่างขับรถกลับที่พักได้ไม่มีสะดุด พอถึงห้องเขาก็แยกไปอาบน้ำก่อน ให้อีกคนได้เคลียร์ของทั้งหมดว่าจะยัดใส่กระเป๋าเดินทางกลับอย่างไร แต่เหมือนว่ามันไม่น่าจะราบรื่นดูจากปริมาณของที่ยังวางเอาไว้ระเกะระกะเต็มพื้น

   ก็แปลกใจแหละที่มันไม่ค่อยเหมือนอย่างนิยายหรือว่าหนังรักโรแมนติกยามตัวเอกได้รู้จักการสัมผัสด้วยริมฝีปาก ถ้าไม่นับว่าเคยมีเพื่อนเมาแล้วเที่ยวไล่จูบมันก็เป็นครั้งแรกของคนไม่เคยมีความรักอย่างเขา ส่วนเอื้อมคิดเอาเองว่าคงไม่เหมือนกัน ก็มีแฟนมาตั้งกี่คนแล้วล่ะ

   จำสัมผัสหยุ่นตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้วด้วยซ้ำ ประมาณว่านิ่มแล้วก็แฉะนิดหน่อยจากน้ำเปล่าที่เพิ่งดื่มเข้าไป เขากดมันค้างอยู่อย่างนั้นไม่กี่วินาทีก่อนผละออก ความที่ 'ไม่มีใครรู้จัก' ทำให้เราไม่สนใจว่ารอบข้างจะคิดเห็นอย่างไร

   และตอนนี้เขากำลังติดอยู่กับความทรงจำของสองชั่วโมงที่ผ่านมามากเลยล่ะ

   "เราเอากางเกงไว้ตรงนี้นะ"

   มองไปยังเก้าอี้ไม้ที่กลายเป็นราวตากผ้าชั่วคราวไปแล้ว จุดชี้เป้าคือกางเกงขายาวลายช้างสองตัวพาดเอาไว้ข้างกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังเลือกไม่ได้เลยเหรอ

   "ปันเอาเสื้อสีอะไรมาอะ ถ้าใส่กับตัวดำกลัวมันจะประหลาด"

   พอเอาช่วงต้นกับช่วงท้ายมาบวกเข้าด้วยกันทำไมเขาว่ามันแปลกๆ ถึงจะเอาเสื้อตัวไหนมามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกางเกงของเอื้อมเลยไม่ใช่เหรอ

   "เอาสีดำมา" เสื้อค่ายอาสาสมัยมัธยม สมัยยังไม่เป็นรุ่นมินิมอลเลยเป็นลายมาสคอตสกรีนหราเต็มด้านหลัง "สรุปแล้วจะใส่สีดำเหรอ"

   เห็นว่าตอนเลือกดูลังเลตั้งนาน หรือว่ามันเข้ากับเสื้อที่เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้นะ

   เส้นผมเปียกชื้นถูกเสยขึ้นไปด้านบนเผยช่วงคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย "สีดำของปันไง"

   "ของเรา?"

   "ก็เลือกตัวนี้เองอะ" ลองท่องกาลเวลากลับไปตอนซื้อว่าได้แสดงออกว่าจะเป็นเจ้าของตอนไหน มีแต่เอื้อมที่ยื่นมาให้เลือกแล้วสุดท้ายก็ซื้อทั้งสองตัวอยู่ดี "อันนี้ของปัน ที่เราบอกว่าใส่ด้วยกันไง"

   ระบบประมวลผลน่าจะค้างจนต้องอธิบายใหม่ให้ฟังตั้งแต่ต้น ที่พูดเรื่องกางเกงตอนนั้นหมายถึงอย่างนี้เหรอ "อ่า...โอเค"

   ไม่หืออือหรือคัดค้าน ปรัญก็ยังเป็นคนที่ไม่ชอบขัดใจใครอยู่เหมือนเดิม

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ชายชื่อเอื้อมอารัญ

   "จะถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย แบบที่เขาชอบทำคอนเซปต์เสื้อผ้าไง"

   เคยเห็นใครสักคนหรืออาจจะเป็นเอื้อมนี่แหละแชร์มา พวกเที่ยวทั้งแก๊งค์ใหญ่โดยมีกิมมิกเป็นสีเสื้อผ้าตามธีม ก็น่ารักดีถ้าเป็นพวกสนุกกับการให้ความร่วมมือ ถ้าเป็นเขาแล้วอาจจะขอบายไม่ไปทริปนั้นถ้าต้องไปตามหาซื้อใหม่แถมยังไม่รู้ว่าจะได้ใส่อีกครั้งเมื่อไหร่

   "แต่ก่อนจะคิดเรื่องถ่ายรูป เก็บของทั้งหมดนั่นก่อนไหม" คิดถึงตอนวีดีโอคอลเก็บของแล้วการันตีว่ากระเป๋าใบนี้เหลือเฟือสำหรับสามวันสองคืนเลย ขอถอนความมั่นใจทั้งหมดนั่นก่อนนะ

   "อย่าพูดสิ เครียดอยู่เนี่ย"

   "เก็บให้อยู่ในถุงเดียวกันแล้วแบกขึ้นเครื่องเอาแล้วกัน"

   "ปันจะถือให้เนอะ"

   ก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ล่วงหน้า "ครับผม"

   "นี่ดูเรื่องอะไรอะ"

   "ไม่รู้เหมือนกัน เปิดเจอก็เลยดู"

   ตอนนี้เข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ของเรื่องแล้ว หลังจากที่หญิงสาวได้พบความจริงว่าสิ่งที่เคยเป็นฝันหวานความรักในฤดูร้อนสุดท้ายเป็นเพียงการเล่นสนุกของชายหนุ่มที่ไม่เคยคิดอะไรกับเธอเลยสักนิด ความเจ็บปวดที่แสดงออกผ่านสีหน้าและน้ำเสียงสะเทือนจนเขารู้สึกตาม

   "หนังเศร้าเหรอ เราไม่ชอบเลย"

   ปากเล่าส่วนตัวก็นั่งตุ๊บอีกฝั่งของเตียง กล้องในมือถูกเปิดขึ้นมาตรวจสอบภาพถ่ายในรอบวัน ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจดูมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเขาก็เลยเปลี่ยนช่องไปหาอย่างอื่นดู ข่าวรอบดึกกำลังรายงานความคืบหน้าของคดีในเชิงชู้สาวระหว่างผู้อำนวยการศูนย์งานกับนักศึกษาฝึกงาน

   "อันนี้ก็ไม่เอา" การสั่งเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วม ความผันผวนยิ่งกว่าตัวเลขในตลาดหุ้นบอกให้เขารีบทำตามคำบัญชา

   เปิดไปอีกสองสามช่องก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ กดปุ่มปิดหน้าจอลงเสียแล้วเหลือบไปมองคนข้างตัวว่าทำอะไรอยู่ ผู้ชายในชุดนอนสีกรมไม่มีลวดลายเอาแต่กดปุ่มเลื่อนดูภาพไปมา ไม่ได้สนใจความชื้นบนศีรษะเลยสักนิด

   ขัดตาจนลุกไปเอาผ้าผืนเล็กภายในห้องพักมาไว้ในมือ ถือวิสาสะเปลี่ยนตำแหน่งและท่านั่งของเอื้อมให้เหมาะสมเหมือนกำลังเล่นกับตุ๊กตา ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการซับน้ำของผ้าล่ะนะ

   "ไม่ค่อยมีรูปปันเลยอะ"

   ส่วนอัลบัมในโทรศัพท์ของเขาในช่วงสองวันนี้มีแผ่นหลังของเอื้อมอารัญไปมากกว่าหนึ่งส่วนสาม "ไม่เห็นแปลกเลย"

   "ชอบรูปที่ถ่ายเมื่อวานมากกว่า" มีหลายรูปจนไม่กล้าฟันธงว่ากำลังสื่อถึงภาพไหน "วันนี้มีแต่ของกิน"

   ต่อจากการเลือกภาพถูกใจก็คือการส่งเข้าเครื่องสมาร์ตโฟนสำหรับการปรับแต่งโทนสี เราต่างอยู่ในโลกของตัวเองไปอีกพักใหญ่จนเขานึกออกว่ามีบางเรื่องที่ยังสงสัยอยู่

   "ทำไมถึงไม่ดูข่าวเมื่อกี้เหรอ" นอกจากความไม่พอใจแล้วความรังเกียจคือสิ่งที่ส่งผ่านสีหน้าและน้ำเสียง

   "เราเกลียดข่าว"

   "ขอคำขยาย"

   "ย้อนแย้ง สักแต่ขายความน่าสนใจ ไม่เคยให้เกียรติคนที่คุณสร้างเงินจากเรื่องเดือดร้อนของเขา" กล้องดีเอสแอลอาร์เมื่อหมดประโยชน์ก็กลายเป็นของที่ทิ้งไว้บนพื้น "ข่าวเมื่อกี้ก็เหมือนกัน เปิดหน้าผู้หญิงที่เป็นผู้เสียหายหราแต่ไม่ยอมบอกว่าผู้ชายเป็นใคร ตลก"

   เห็นด้วยในประเด็นนี้ ในเนื้อหาของข่าวมักจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายที่ควรได้รับการปกป้องมากเกินควร ทั้งที่ความเป็นส่วนตัวเป็นเรื่องพื้นฐานที่ไม่ว่าใครก็สมควรจะได้รับ

   สิทธิขั้นพื้นฐาน

   ช่วยเข้าใจกันหน่อยเถอะ

   "จะว่าก็ไม่ได้ เพราะคนเสพสื่อมันต้องการอย่างนี้"

   "ใช่ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกที่บอกว่า 'ทำตามหน้าที่' มันทำให้บางคนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น" เค้นหัวเราะขมขื่น ภาพที่ปรับไม่เสร็จครบทุกกกระบวนการลับหายไปพร้อมกับการกดปุ่มพักหน้าจอ "จนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วเลยล่ะ"

   เหมือนกับตัวตนของเอื้อมที่เขารู้จัก มักจะมีสีสันอยู่เสมอยามเปิดการใช้งาน หากเมื่อทุกอย่างดับลงเขาไม่อาจเข้าถึงได้เลยว่าในอดีตมันเคยแสดงสิ่งใดเอาไว้ นอกจากนั้นถ้าอยากเข้าถึงข้อมูลให้ได้อีกครั้งก็ต้องหาพาสเวิร์ดที่ถูกต้องให้ได้เสียก่อน

   "ผมเริ่มแห้งแล้ว นอนเลยไหม" เท่าที่สังเกตถ้าสระผมก่อนนอนเอื้อมจะปล่อยให้หมาดไม่ถึงกับแห้งทั้งหมด

   "ไม่ เรามีอีกเรื่องต้องเคลียร์"

   "หือ ไม่ไปกินข้าวซอยนะ"

   โยนผ้าผืนเล็กให้พาดไว้ตรงราวไม้ปลายเตียง ตรวจดูให้แน่ใจว่าได้ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และหน้าที่สุดท้ายของวันนี้คือการบังคับให้คนข้างตัวเข้านอนเสียที

   "ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ"

   เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น นึกไม่ออกว่าสิ่งใดอยู่ในความสนใจของเอื้อม "แล้วเรื่องไหน"

   "เรื่องก่อนกลับที่พัก"

   บทจะโพล่งออกมาก็ไม่มีการเกริ่นนำเลยแฮะ ปันเคลื่อนตัวลงนอนทิ้งศีรษะลงบนหมอนใบนุ่ม ดึงผ้าห่มให้คลุมถึงช่วงอก "อ่าฮะ?"

   "ทำไมจูบเรา"

   "ก็เอื้อมบอก"

   "เราบอกว่าเราจะจูบปันต่างหาก"

   สรุปแล้วนี่เขาก็ผิดเพราะว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างนั้นเหรอ เพื่อไม่ให้เป็นการหมางเมินจนเก็บเอาไปคิดมากเองเลยต้องนอนตะแคงแหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่ยังนั่งพิงเตียงเอาไว้อยู่

   "สุดท้ายแล้วเราก็จูบกันอยู่ดีไหมอะ"

   ทำอย่างกับว่าถ้าเปลี่ยนคนเริ่มจะมีอะไรเปลี่ยนไป

   หนึ่งบวกหนึ่งยังไงก็เป็นสองอยู่ดี

   "ฮื่อ มันไม่เหมือนกัน"

   ถ้าฮิวได้ยินว่าเรากำลังดีเบตกันเรื่องอะไรอยู่ต้องอกแตกตายแน่ ปรัญเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเราสองคนถึงเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันอย่างกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ สำหรับเขาเองมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เอามาคุยกันได้โดยไม่มีข้อห้ามไปแล้ว

   "ไม่เหมือนตรงไหน"

   เปิดคลาสเรียนปรัชญาเบื้องต้นหนึ่งศูนย์หนึ่งว่าด้วยการวิพากษ์ ทำตัวเป็นอริสโตเติลผู้ซึ่งพร้อมจะตั้งคำถามไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดจะตกผลึกและกลายเป็นชุดความรู้ใหม่ขึ้นมา

   "มันไม่ใช่อะ"

   "งั้นแบบไหนถึงใช่" ชักสนุกกับการจี้ถาม จะได้นอนไหมเนี่ย

   "แบบที่เราเป็นคนจูบเอง"
   
   หลุดยิ้มยอมแพ้ ดันตัวขึ้นมาค้ำไว้ด้วยศอก ยื่นหน้าเข้าไปใกล้นิดหน่อยเพื่อให้เอื้อมอารัญได้ทำอย่างต้องการ "อะ พร้อมแล้ว"

   เราสบสายตากันเงียบๆ ประกายที่สะท้อนจากไฟข้างเตียงขับให้นัยน์ตาของเอื้อมสวยงามยิ่งกว่าครั้งไหน ช่วงหน้าที่เคยเห็นชัดครบทุกส่วนเริ่มกลายเป็นภาพขยายเมื่อโน้มตัวเข้ามาใกล้เป็นระยะ ยามช่วงจมูกของเราสัมผัสกันเขาหลับตาลงเตรียมพร้อมรับความรู้สึกเดิมอีกครั้ง

   ยังเป็นความนุ่มที่น่าประหลาด ระหว่างกำลังเรียนรู้และจดจำริมฝีปากของอีกฝ่ายก็เริ่มมีการขยับออกเล็กน้อย ปรัญรู้โดยทันทีว่ามันหมายถึงสิ่งใด องศาของใบหน้าถึงปรับเพื่อให้เหมาะกับการแลกสัมผัส

   จูบของเราดำเนินต่อจากนั้นอีกครู่ใหญ่ มีเสียงเล็ดลอดออกมาบ้างแต่ไม่ถึงอย่างที่ได้ยินในหนังหรือละคร ก่อนที่ระดับความซุกซนจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเขารับรู้ถึงการรุกล้ำด้วยปลายลิ้น

   ความไม่ประสีประสาทำให้ทุกอย่างดูติดขัดในช่วงแรก พอเริ่มชินกับสิ่งแปลกปลอมจนกล้าทักทายกลับมันกระตุ้นระดับความต้องการบางอย่างให้พุ่งขึ้นสูง เขาขยับขึ้นคร่อมในขณะที่เอื้อมร่นตัวลงนอนราบกับเตียง มือทั้งสองข้างโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้อย่างรู้งาน

   สิ่งหนึ่งที่ได้รู้คือจูบไม่มีรสชาติ

   และสองคือเอื้อมอารัญไม่ได้จูบเก่งกว่าเขาเท่าไหร่


 ***
   เป็นตอนที่เจ้าชอบที่สุดของเรื่องนี้แล้วค่ะ (ยิ้ม) เหลืออีกสองตอน อยากให้อยู่ด้วยกันจนจบนะคะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเจ็ด [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 15-07-2018 22:15:43
กรี๊ดดดดดดด  :katai1: ฮือออออออ  :ling1:
เค้าจูบกันแล้ว !!!   o18 เราอ่านไปเขิลไป  :o8: :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเจ็ด [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-07-2018 12:03:48
ความสัมพันธ์ดูเป็นไปได้ด้วยดี
อย่าได้มีอะไรเลย กี๊ดดด TT
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเจ็ด [15.7.18] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 16-07-2018 23:14:38
ชอบปรัญ
ขอเป็นแฟนได้มั้ย คงเป็นพื้นที่ปลอดภัยและใช้ง่ายอยู่ได้ด้วยความสบายใจ เอื้อมคงคิดเหมือนกัน อ้ะ! ยินดีด้วยที่เคลียร์เรื่องไนน์ได้
เรื่องอดีตก็เอาไว้ข้างหลังเนอะ
แอบเขินที่ปรัญอ่อยเอื้อม
Kiss...
See you soon.
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบแปด [18.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 18-07-2018 20:12:30
สิบแปด


   ปรัญคิดว่าความผิดปกติบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้น

   (วันนี้ปันไปดูหนังใช่ไหม)

   “อือ หนังยาวด้วย ต้องรอหน่อยนะ”

   (งั้นเดี๋ยวเราหากินเองก็ได้ ปันจะได้ไม่ต้องรีบ)

   “เห...”

   นี่เป็นตัวอย่างแรก เพราะถ้าจำกันได้แม้แต่ตอนซ้อมใหญ่ก่อนแสดงจริงเรายังกินมื้อเที่ยงคืนกันได้สบายมาก เอื้อมไม่ชอบการกินข้าวคนเดียวจะตายไป

   (อย่างนั้นดีกว่าเนอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน)

   ไม่คิดขัดใจแม้ว่ามีข้อสงสัยมากมายก็ตาม “ได้ครับ เอื้อมอยากกินอะไรก็คิดไว้เลยนะ”

   (ปันไม่มีอะไรอยากกินบ้างเหรอ ให้เราตัดสินใจตลอดเลย)

   ตัวอย่างที่สอง คือจู่ๆ ก็บอกให้เขาเป็นฝ่ายออกความเห็นบ้าง ทั้งที่ผ่านมาหน้าที่การเลือกตกอยู่ที่เอื้อมอารัญเกือบทั้งหมด
“เรากินอะไรก็ได้อะ เอาที่เอื้อมชอบแหละ”

   (เหรอ...)

   “มีอะไรหรือเปล่าเอื้อม มาหาเราไหม” เสียงที่แผ่วลงไปเป็นสัญญาณที่น่ากังวลไม่น้อย ทำไมทำเสียงเป็นแมวป่วยได้ขนาดนั้น “ตอนนี้ว่าง ไม่มีคน”

   (...ไม่เป็นไร)

   และตัวอย่างที่สาม เอื้อมอารัญเลือกวิธีการคุยผ่านคลื่นเสียงหรือไม่ก็ตัวอักษรมากกว่าการมาเจอกันตัวต่อตัว นี่ก็เกือบสัปดาห์แล้วที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาหาเขาที่นี่พร้อมกับกระเป๋าแฟ้มหนังและแก้วชาเขียวปั่น จะเจอกันช่วงเย็นไปเลย

   “เอื้อม อย่าโก...” กลืนคำต้องห้ามลงไปพลัน เขาไม่อยากจะใช้คำนี้เพื่อสร้างชุดความคิดอ่อนไหวที่กระทบต่อจิตใจของอีกคน “ถ้าอยากมาก็มานะ เราอยู่ถึงห้าโมงเลย”

   (อือ ...นี่ปัน)

   “ครับ?”

   (ไม่มีอะไร ไปทำงานเถอะ)

   “อ่า โอเค”

   กดปุ่มพักหน้าจอเมื่อปลายสายไม่มีการเชื่อมต่อแล้ว เหม่อมองออกไปข้างนอกห้องที่ดูแล้วไม่มีวี่แววของคนเข้าใช้บริการเลยสักคนระหว่างที่ในสมองกำลังคิดวิเคราะห์อะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

   ด้วยความที่ไม่ใช่คนเซ้นส์ดีตั้งแต่ไหนแต่ไรก็เลยยังไม่อยากฟันธงไปก่อนว่ามันเป็นเช่นนั้นแน่นอนหรือไม่ แต่ถ้าสัญชาตญาณทำงานไม่ผิดพลาดมันมีจุดเริ่มต้นมาจากรูปถ่ายล่าสุดที่เอื้อมโพสต์ ภาพเราสองคนที่เห็นเพียงแค่ช่วงลำตัวลงไปถึงกางเกงลายช้างพร้อมกับแคปชันว่า ‘RUNaway’ อันเป็นที่เข้าใจได้เฉพาะตัวว่ามันมีอะไรแฝงเอาไว้

   ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรที่ดูแปลกประหลาด เอื้อมเองก็ลงรูปบ่อยอยู่แล้ว เขาเองก็ยังเข้าไปกดไลก์ให้สมกับความลำบากในการตั้งกล้องก่อนจะใช้รีโมตบลูทูธในการกดชัตเตอร์ จนมีคนกลางที่เรารู้จักกันดีเข้ามาคอมเมนต์ในเชิงที่ว่าเลิกหลอกคนอื่นสักทีนั่นแหละ

   ฮิวไม่พอใจตั้งแต่เรื่องของไนน์ และเขาก็ออกตัวตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน เจ้าของภาพไม่ได้เข้าไปตอบกลับแต่ใช้วิธีการลบรูปทิ้งไปเสียให้หมดเรื่องหมดราว

   ปันทันเห็นข้อความ เอื้อมเองก็บอกแค่ว่าถ้ามันลำบากคนอื่นมากเดี๋ยวจะลบทั้งอัลบัมก็ได้ ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่ดูเหมือนว่าจะเก็บเอามาคิดอยู่ไม่น้อย ก็ไอ้การที่เรียกชื่อปันขึ้นมาลอยๆ พอมีปฏิกิริยาตอบรับกลับบอกว่าไม่มีอะไรนั่นมันมีพิรุธสุดๆ

   "เข้าไปข้างในได้เลยครับ"

   ว่างได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องทำงานแล้ว เขาคว้าเอาแฟ้มเซ็นต์ชื่อมาไว้ฝั่งตัวเองหลังจากที่คนเข้าใช้บริการกรอกข้อมูลเสร็จ เปิดโปรแกรมบันทึกข้อมูลพลางไล่อ่านรายละเอียดตรงบรรทัดสุดท้ายว่าต้องเริ่มจากตรงไหนบ้าง พอเป็นนักศึกษาจากคณะแพทย์ก็สร้างความระแวงไปก่อนแล้วหลายช่วงตัว ได้แต่ปลอบใจว่าประวัติศาสตร์ไม่น่าจะซ้ำรอยเร็วมากนัก

   พรมนิ้วไปบนแป้นคล่องแคล่ว ตรวจสอบความถูกต้องครั้งสุดท้ายก่อนกดส่งข้อมูล ก้มลงมองรายชื่อและเลขลำดับการใช้บริการในแต่ละวันแล้วก็คิดว่าช่วงเวลาแห่งความสงบสุขใกล้จะหมดแล้วแน่นอน

   ว่าแต่ว่าทำไมเมื่อสองวันก่อนถึงมีชื่อของเอื้อมอารัญล่ะ?

   ชื่อ นามสกุล รวมถึงลายมือเป็นเอกลักษณ์ไม่มีทางหลงเข้าใจผิด เอื้อมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังแม้ว่าเมื่อวานจะทานข้าวเย็นด้วยกัน สิ่งที่อยู่ในบทสนทนาของเรามีแต่เรื่องทั่วไปเท่านั้น

   ปรัญเก็บความไม่เข้าใจนี้เอาไว้พลางคิดว่าเขาจะเจอเอื้อมเร็วที่สุดเมื่อไหร่ เย็นนี้ต้องไปดูหนังเสียด้วยสิ

   อยากจะถามต่อหน้ามากกว่าส่งข้อความ การสื่อสารผ่านตัวอักษรสร้างความผิดพลาดในการส่งข้อมูลเสมอ ถ้าเขากลับมาจากดูหนังแล้วไปหาเอื้อมจะดูเป็นการบุกรุกในยามวิกาลมากเกินไปหรือเปล่า แน่ล่ะว่าการขึ้นหอเอื้อมไม่ใช่เรื่องแปลก พนักงานรักษาความปลอดภัยจำหน้าเขาได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ก็นะ...

   ทางที่ดูเมกเซ้นส์และควรจะเป็นคือเขาทักไปก่อน แล้วก็จัดการให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่นัดหมาย บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากให้เอื้อมได้เตรียมตัวก่อน

   หรือส่วนลึกของปรัญก็ยังมองเอื้อมอารัญเป็นครายวูลฟ์เหมือนคนอื่น

   การได้ยินเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมายังไม่มากพอสำหรับเขาที่จะเข้าใจ 'นิสัยเสีย' เกี่ยวกับการโกหก มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่มันคืออะไรนี่สิ

   แม้จะถือไพ่เหนือกว่าเรื่องข้อตกลงว่าจะไม่มีคำโกหกจากเอื้อม มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่สามารถเดินดุ่มเข้าไปแล้วบอกว่า 'เล่ามาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมถึงชอบโกหก' ปรัญเคยพลาดมาแล้ว คราวนี้มันควรจะเป็นแบบแผนและตั้งอยู่บนความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย

   คิดอะไรไม่ออกจนต้องระบายด้วยการทิ้งตัวลงกับพนักพิงอย่างแรง ยกมือขึ้นปิดช่วงหน้าเอาไว้ด้วยความคิดไร้สาระว่าถ้าปิดไม่ให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามามากจนเกินไปมันจะพาเขาไปยังปลายอุโมงค์ที่มีทางออกได้ หรือว่าเป็นเขาเองที่ควรจะเข้าไปปรึกษาบ้าง

   ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ต้องไม่ใช่วันนี้ เราไม่ควรเอาเวลาทำงานมาปนกับเรื่องส่วนตัว

   "...เอาเป็นว่าไปหาหลังจากกลับมาแล้วกัน"

   ความว่างเปล่าของส่วนการจดบันทึกว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนคือตัวพิสูจน์ว่าเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ยังไม่เกิดมากแค่ไหน ระหว่างช่วงเวลาที่แสนยาวนานของการชมภาพยนตร์สิ่งที่ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในห้วงความคิดคือเรื่องของเอื้อมอารัญไม่ใช่การแสดงที่ผู้เข้าชมต่างออกปากเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าประทับใจ

   เขาจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมจากที่มีประปัญหาช่วงกลางนางเอกถึงกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบจากฝ่ายร้ายก็ยังปะติดปะต่อไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฉากและเสียงประกอบ ทุกอย่างเป็นภาพเลือนรางจนไม่แน่ใจแล้ววว่ามันเพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมงดี

   บนรถประจำทางเกือบจะเป็นเที่ยววีไอพีของเขากับสาววัยทำงานอีกสองคน ทั้งที่รอบข้างเป็นใจให้จดจ่อสมาธิอยู่กับการเขียนได้เต็มที่สิ่งที่ปรากฎกลับไม่มีอะไรทั้งนั้น ตลกที่สุดคือสิ่งที่ควรจะเป็นคือเครียดกับความไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ใช่สบายใจที่จะได้กลับไปสะสางสิ่งที่ค้างคา

   ตัดสินใจกดปิดหน้าจอลง อยากจะดับทุกความรู้สึกให้ตามไปด้วยเหมือนกัน เรื่องเศร้าของความจริงคือยังมีอีกเรื่องหนึ่งตกค้างและล่อลวงให้เขาติดกับ

   สิ่งที่อาจทำให้เขาเข้าใจเอื้อมอารัญมากขึ้น

   หรือกลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

   จุดหมายของการปั่นจักรยานเสือภูเขาคันเดิมในค่ำคืนนี้ไม่ใช่หอพักของตนเช่นเคย มันกำลังพิงกำแพงตึกไม่ต่างจากร่างกายเขาเอง ทั้งที่สามารถขึ้นไปเดินขึ้นไปเคาะประตูห้องได้ในทันทีมันกลับกลายเป็นความสับสนระคนไปกับกังวลใจว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลอย่างไร

   รถยนต์ยุโรปห้าประตูคันเล็กจอดอยู่ตรงที่ประจำบอกว่าเจ้าของมันน่าจะอยู่ในห้อง ปันที่ตัดสินใจได้แล้วว่าการอยู่ตรงนี้ต่อไปมันจะไม่ช่วยอะไรจึงดึงตัวกลับมายืนตรง กระโดดเบาๆ วอร์มร่างกายให้พร้อมกับอะไรก็ไม่รู้

   เป่าลมออกจากปากเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่เขาต้องการคือคำบอกเล่าความเป็นมาของการเข้ารับคำปรึกษาครั้งล่าสุด ทั้งที่มันไม่มีชื่อโผล่ตั้งนานแล้วทำไมหลังจากการไปเที่ยวของเรามันถึงจบลงแบบนี้ เป็นเพราะเขาหรือเปล่าที่ทำให้เอื้อมอารัญกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง

   มันเป็นการคิดที่เข้าข้างตัวเองเสมอ

   ว่าตนเองคือที่พักพิงแห่งเดียวของผู้ชายคนนั้น

   ไม่ใช่คนใจดี และค่อนไปทางเห็นแก่ตัว อย่างที่บอกกับเอื้อมไปตามตรงแล้วว่าเขาอยากจะเป็น 'คนเดียว' ที่ทำให้มีความสุข

   "..."

   ทุกความตั้งใจเดิมถูกปัดตกไปยามสังเกตเห็นบางคนที่คุ้นเคยเดินออกมาจากล็อบบี้ตึก เขาเดินตรงไปยังรถห้าประตูคันที่มองก่อนหน้าด้วยจังหวะปกติไม่ได้รีบร้อน แสงไฟประดับข้างทางให้แสงอ่อนแรงจนมองได้ไม่ถนัดว่ามีสิ่งแปลกปลอมฉายอยู่บนนั้นหรือไม่

   ทำได้แค่มองมันเคลื่อนตัวออกจากซองจอดออกไปลิบตา แผนในหัวถูกเปลี่ยนกะทันหันจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ด้านบนสุด เสียงสัญญาณกำลังเชื่อมต่อกันดังขึ้นเพียงสามครั้งก็กลายเป็นการทักทายของเอื้อม

   (หนังสนุกหรือเปล่า)

   "อยู่ห้องไหม" ถามทั้งที่รู้คำตอบนั่นแหละ

   (อ่า...ไม่อะ เราเพิ่งออกมาข้างนอก)

   โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง ไม่ได้เท่ากับทั้งหมด "ไปไหน ดึกแล้ว"

   (ไปขับรถเล่นเหมือนที่ปันเคยปั่นจักรยานไง)

   ชักสีหน้ายามได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจ อีกฝ่ายเก่งเรื่องการเลี่ยงคำที่ให้ความหมายคลุมเครือชวนให้ตีความไปเองอยู่แล้ว ที่เคยได้ยินว่าขับรถเล่นนั่นก็นานมาแล้ว ถ้าเป็นตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องควรบอกเขาก่อนสิ

   "ทำไมไม่ชวนเราล่ะ"

   กินเวลานานพอสมควรกว่าจะได้ยินเสียงปลายสายอีกครั้ง (...เดี๋ยวเราโทรกลับไปนะ)

   ณ เวลานั้นเขาตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างมันควรจะชัดเจนสียที
 


   เมื่อพูดถึงเพจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแล้วแน่นอนว่าสิ่งแรกที่คิดไม่ใช่สมาคมศิษย์เก่า สโมสรนักศึกษา หรือว่าของกินรอบม. แต่เป็นเพจที่รวมคนหน้าตาดีจากคณะต่างๆ เอาไว้ต่างหาก

   ปรัญเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาหลายครั้ง จะเห็นผ่านตาเวลามีคนแชร์เป็นบางคราว โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ชอบหาความสุนทรีย์กับหน้าตาก็เลยไม่สนใจ จะรู้ก็ต่อเมื่อเป็นคนในคณะหรือไม่ก็ใกล้ตัว ในพวกเด็กทุนก็มีรุ่นพี่ที่ได้ลงบ่อยๆ เหมือนกัน

   ที่ต้องเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็มาจากโพสต์ล่าสุดเมื่อสิบสี่ชั่วโมงที่แล้ว รูปของเอื้อมอารัญสามรูปอันประกอบด้วยภาพโปรไฟล์ที่เขาถ่ายให้ตอนอยู่เชียงใหม่ ภาพเดี่ยวที่ยังมีแก้วชาเขียวปั่นในมือ และภาพจากชมรมออร์เคสตราในวันงานถูกอัปโหลดขึ้นอีกครั้งโดยฝีมือของผู้ดูแลแฟนเพจ พร้อมด้วยข้อมูลเบื้องต้นอย่างชื่อ คณะ และชั้นปี รวมถึงอินสตราแกรมด้วย

   เห็นแวบแรกก็คิ้วขมวดแล้ว เป็นที่รู้กันว่าถึงเอื้อมจะเหมือนเป็นคนเพื่อนเยอะแต่คนที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนบนโลกออนไลน์ต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้ว ประเภทที่ว่าเพื่อนของเพื่อนที่เจอกันแค่ครั้งสองครั้งอย่าหวังว่าจะกดรับ เอาเข้าจริงแล้วจำนวนเพื่อนของปันยังเยอะกว่าอีก

   ตรงคอมเมนต์ยิ่งแล้วใหญ่ ข้อความแรกที่ได้รับจำนวนไลก์มากที่สุดคือทางลัดไปหน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กของเอื้อม ส่วนถัดมาคือคำกึ่งเปรยกึ่งจิกกัดเรื่องนิสัยเสียประจำตัว

   หน้าตาดีแต่ขี้โกหกนะคะ เตือนเอาไว้

   แย่ที่สุดคือในรีพลายที่มีการตอบโต้กันของเจ้าของคอมเมนต์กับคนที่น่าจะเป็นเพื่อน

   ขาดซ้อมไปเป็นสัปดาห์บอกว่ามือเจ็บ แต่ไปยกกล่องลังในค่ายได้สบายๆ นาจา
   แนบรูป


   ภาพนั้นเคยเห็นมาก่อนแล้ว เป็นตอนที่เหล่าสวัสดิการถูกเรียกให้ไปช่วยยกของแจกก่อนกลับสำหรับเด็ก ข้างในมันเป็นกระเป๋าดินสอตรามหาวิทยาลัยที่ขอสปอนเซอร์มาจากร้านสวัสดิการ มันเบาจนผู้หญิงที่ไปด้วยกันก็ยังถือได้เองสบายๆ ไม่ต้องใช้แรงสองคน

   จะแก้ความเข้าใจผิดก็เหมือนว่าสายไป ในกระดานที่เราบอกกันว่าสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยเสรีตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวร้อยแปดอันเกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวของคนในภาพ บอกไม่ได้ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริงหรือเท็จเพราะตัวตนที่แท้จริงของเอื้อมอารัญเป็นอย่างไรเขาก็ยังไม่กล้าฟันธง

   เห็นว่าเคยโกหกเพื่อนเรื่องข้อสอบด้วย โดนให้ตกทั้งห้อง
   เคยเจอแบบ ต่อหน้าดีมาก แต่ลับหลังคือเมาท์แหลก
   เพื่อนเล่าว่ามีปมทางบ้าน แต่นี่ว่าเรียกร้องความสนใจอะ


   ไล่อ่านทุกข้อความไปช้าๆ ราวกับคนรักความเจ็บปวดที่ต้องการซึมซับถ้อยคำที่คมยิ่งกว่าใบมีดพวกนั้น มีหลายส่วนที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว แต่ก็ต้องยอมรับด้วยดุษฎีว่าอีกไม่น้อยเป็นเรื่องที่เขาทำได้แค่ปล่อยให้มันผ่านตา

   ยังเหลืออีกหลายข้อความและการตอบรับที่ยังไม่กล้าเข้าไปดู จากการขุดคุ้ยเรื่องอดีตมันเริ่มกลายเป็นการอ้างอิงชีวิตโดยนำความคิดส่วนตัวมาใช้ ประโยคที่ดูป่วยพวกนั้นพาลพาให้เขาประสาทเสียขึ้นไปอีก

   นามสกุลเดียวกับคนนี้ เกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า

   กดเข้าไปตามลิงก์โดยไม่ลังเล มันพาเขาเข้าไปยังหน้าเว็บเพจข่าวชื่อดังเจ้าหนึ่งของเมืองไทย พาดหัวข่าวเน้นการใช้คำที่รุนแรงเพื่อดึงความสนใจของผู้เสพสื่อ

   เรื่องปริศนาการเสียชีวิตของชายหญิงคู่หนึ่งในรถยนต์ส่วนตัว โดยที่ชื่อของฝ่ายชายเขาเคยเห็นมาแล้วบนป้ายชื่อตรงหน้ารูปถ่ายในบ้านของเอื้อม สิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของเขาและเธอไว้ด้วยกันคือคำให้การของญาติฝ่ายหญิงว่ามีการติดต่อกันในเชิงสนิทชิดเชื้อมากกว่าปกติ บวกกับข้อมูลที่บอกว่าพวกเขาเรียนปริญญาโทภาคค่ำในชั้นเรียนเดียวกันยิ่งเพิ่มความน่าจะเป็นได้มากขึ้น

   สมกับคำว่ารายละเอียด มีทั้งชื่อ นามสกุล ตำแหน่งหน้าที่การงาน เอาเป็นว่าเปิดอ่านแค่นี้ยังรู้จักพ่อของเอื้อมมากกว่าที่เคยไปบ้านมาหนึ่งครั้งอีก

   อยู่ดีๆ ก็ขยะแขยงกับตัวอักษรพวกนั้นทั้งหมดพอคิดว่าเบื้องหลังของมันแลกมาด้วยความเจ็บปวดของใคร เสียงที่แสดงออกชัดว่ารังเกียจเสียเต็มประดาย้อนกลับมาเล่นโดยไม่ได้ร้องขอ ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกถึงขั้นยัดโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าเสีย

   แต่สุดท้ายความอยากรู้มันก็ยังไม่เข้าใครออกใคร เขาหยิบมันออกมาเปิดโปรแกรมค้นหาข้อมูลบนพื้นที่ออนไลน์เพิ่มเติม พิมพ์ชื่อและนามสกุลของพ่อเอื้อมอารัญตามลงไป ความเร็วของอินเทอร์เน็ตมากพอที่จะเสนอสิ่งที่เขาต้องการในเสี้ยววินาที หน้าแรกเกือบทั้งหมดคือเว็บไซต์ข่าวที่มีการพาดหัวคล้ายคลึงกัน

   พนันวางเงินเลยว่าเอื้อมอารัญต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้วแน่นอน มันอาจเป็นความกลัดกลุ้มที่ฟุ้งซ่านไปเองก่อนล่วงหน้า เขาหยุดคิดไม่ได้เลยว่าตอนนี้เจ้าของรูปพวกนั้นกำลังกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ต้องให้ผู้ชายคนนั้นเจ็บปวดแค่ไหนถึงจะพอใจกันนะ

   วันนี้เรามีนัดกินข้าวเย็นด้วยกัน นาฬิกาที่บอกเวลาว่ามันเพิ่งสิบเอ็ดโมงยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านกับทุกสิ่งอย่างมากกว่าเดิม วันนี้ปรัญมีเรียนตอนบ่ายโมงครึ่งถึงสี่โมงครึ่งด้วย ตัวบังคับของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการรู้ทันโลกไร้สาระที่เป็นการทิ้งเวลาให้เปล่าประโยชน์มากที่สุดที่เคยเจอ

   ส่วนเอื้อมเหมือนจะมีเรียนเช่นกันแต่รายวิชาเฉพาะคณะ เรียนในตึกแยกสร้างใหม่เป็นสัดส่วนต่างหากนั่นแหละ

   ไม่ลังเลที่จะกระซิบบอกเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันข้างตัวว่าถ้ามีงานอะไรก็ฝากเก็บไว้ให้ด้วย ต่อจากนั้นก็เป็นการทักเจ้าของบัญชี  U Arun ตามไปว่าวันนี้เขาอยากจะไปทานข้าวกลางวันด้วย

   ก็เผื่อว่าถ้าโดนปฎิเสธก็จะหน้าด้านเข้าไปนั่งเรียนด้วยเลย

   ไม่ชัวร์ว่าใจร้อนไปเองหรือเปล่า การตอบกลับข้อความที่มักจะรวดเร็วทันใจวันนี้มันนานกว่าปกติจนต้องยั้งมือไม่ทักซ้ำหรือว่าโทรไปรบกวนเวลาเรียน

   U Arun : ได้นะ
   U Arun : โรงเล็กแล้วกัน
   U Arun : ที่จริงปันไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราโอเค


   สาบานเลยว่าถ้าอยู่ต่อหน้าเขาจะต้องพ่นไฟใส่คนที่ยังสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองเอาไว้ ก็บอกแล้วว่าไม่มีทางที่คนติดโซเชียลอย่างเอื้อมจะไม่รู้เรื่อง ชื่อเฟซบุ๊กหราอย่างนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามีการแอดเข้าไปมากแค่ไหน เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาเกือบครึ่งค่อนวันไม่ใช่แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ยังพอตัดไฟเสียแต่ต้นลมได้

   Parun P : เรียนที่ตึกใหม่ใช่ไหม
   Parun P : เดี๋ยวเราไปรอที่นั่นเลย


   ช่างหัววิชาที่หลายคนบอกว่าสุ่มเกรดนี่ไปเถอะ ปรัญก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางไว้ใต้ที่นั่งขึ้นมา เดินดุ่มออกนอกห้องเรียนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

   มองนาฬิกาในมือถือเพื่อพบว่าใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการเดินทางจากตึกเรียนรวมมายังอาคารสำหรับคณะของเอื้อม บริเวณโถงร้างผู้คนสมกับเป็นเวลาเรียน ปันเลือกนั่งตรงบริเวณเดิมเหมือนที่ผ่านมาเสมอยามรอ เปิดเช็กห้องแชตอีกครั้งว่ามีการตอบรับอะไรบ้างไหม

   U Arun :  จริงจัง?
   U Arun : ไม่ตอบนี่คือ?
   Parun P : คือมาถึงตึกแล้ว


   เผื่อไม่เชื่อเลยส่งรูปเซลฟี่ตัวเองแบบติดพื้นที่รอบข้างพอให้รู้ว่าไม่ได้โกหกแนบไปด้วย

   Parun P : ว่างอะ ขึ้นไปเรียนด้วยได้ไหม

   คำร้องขอที่ตั้งใจให้มันเป็นการแซวเสียมากกว่า ก็เอื้อมเคยถามอย่างนี้เมื่อวันที่เอาโกโก้ร้อนมาให้ จะว่าไปแล้วสถานการณ์มันก็ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่นี่นา อย่างน้อยก็ไม่ได้โดดเรียนอย่างที่เขาทำ

   U Arun : ไม่ได้ คลาสเล็ก
   U Arun : นั่งเหม่อไปเลย


   ประกาศิตลงมาแล้วก็เลยต้องทำตาม ปันหยิบเอาชีตสรุปของตัวบังคับที่เพิ่งหนีขึ้นมาวางเตรียมไว้ คงไม่ได้เหม่อจนหมดเวลาอย่างที่ได้รับคำแนะนำมา เขารู้ข้อจำกัดในการเรียนและทบทวนดีเลยชอบเริ่มอ่านล่วงหน้าก่อน แล้วก็กลายเป็นพวกรักเรียนในสายตาของบางคนไปเฉย

   หนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริงด้วยการใส่หูฟังเปิดเพลงในอัลบัมที่ตั้งค่าเอาไว้ เนื้อหาในส่วนที่อ่านทวนตั้งแต่ครั้งก่อนแต่ยังไม่เช้าใจถูกหยิบขึ้นมาท่องซ้ำจนพอเข้าใจความเชื่อมโยงทั้งหมดของมัน

   ความสงบถูกทำลายลงยามนักศึกษาในคลาสเรียนที่เพิ่งเลิกทยอยออกมาลงหลักปักฐานตรงส่วนกลาง มองเวลาเพื่อพบว่าอีกไม่เกินห้านาทีคนที่รอก็คงจะมาถึง

   "ทำไมเกเร โดดเรียน" ที่จริงคือไม่เกินหนึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำไป

   "ตัวนี้เอื้อมก็เคยโดด เราจำได้"

   ความกังวลทั้งหมดคลายตัวลงไปยามเห็นว่าเอื้อมอารัญน่าจะยังโอเคตามพูดจริง ปันเป็นมนุษย์ที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างอยู่แล้วเลยไม่สามารถบอกได้ว่ารอบข้างมีใครกำลังจับจ้องมาที่เราสองคนหรือไม่ อย่างที่ฮิวบอกว่าเอื้อมเป็นคนดังในคณะ ความเล็กของมันคงทำให้ยากแก่การหนีออกจากการเป็นจุดสนใจ

   "ของเราเจ้าหน้าที่ประกาศผิดวันต่างหาก"

   "เดี๋ยวเราจะไปถามฮิว"

   "ได้เลย เรื่องนี้รับประกันว่าข้อมูลตรงกันหมด"

   ตั้งใจว่าจะเดินไปหารถห้าประตูเพื่อนยากคันเดิม ตึกใหม่มีการสร้างทางเชื่อมจากโถงกลางตึกเรียนไปยังจุดจอดรถโดยไม่ต้องผ่านออกไปเจอความร้อนด้านนอก

   "แล้วอยากไปซื้อชาเขียวก่อนไหม" ไม่ลืมถามในเรื่องที่เป็นความเคยชิน "อ้อมไปอีกนิดก็ถึงแล้ว"

   "ตั้งใจว่าเดี๋ยวกินเสร็จ ส่งปันไปเรียนแล้วค่อยซื้ออะ"

   ไม่เข้าใจการจัดลำดับความสำคัญ ทำไมต้องรอให้เขาไปเรียนต่อก่อน "ทำไมไม่ไปเลย"

   "เวลามีแค่ชั่วโมงเดียวเอง แค่ต่อคิวซื้อข้าวก็ปาไปเท่าไหร่แล้ว เดี๋ยวไม่ทันเรียนบ่ายนะ"

   ในระหว่างที่ปรัญกลุ้มใจกับเรื่องของคนตรงหน้า อีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยี่หระกับสิ่งใด เพราะอะไรเอื้อมถึงยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้

   จะว่าชินก็ไม่ใช่ มันไม่ควรจะชินเลยเสียด้วยซ้ำ

   "งั้นก่อนกินข้าว เรามีเรื่องจะคุยด้วย" ไม่อยากจะเสียเวลาไปคุยบนรถก็เลยเลือกตรงมุมหนึ่งในตึกนี่แหละ "เพิ่งเห็นที่เพจลง นี่ได้ติดต่อขอลบรูปอะไรไปแล้วหรือยัง"

   "ไม่ได้ทำ คิดว่าไม่มีประโยชน์อะ"

   "แล้วจะปล่อยให้คอมเมนต์พวกนั้นมันอยู่ต่อไปเหรอ"

   "มันเป็นเรื่องจริงที่เราต้องยอมรับ"

   ปรัญเม้มปากเอาไว้ก่อนเผลอหลุดโพล่งบางคำที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรองออกไป ยังคงต้องย้ำเตือนเอาไว้เสมอว่าในสายตาของคนอื่นมันไม่เหมือนกับที่ตนมอง เหรียญที่มีสองด้านแม้จะบอกราคาเท่ากับแต่ภาพนูนต่ำบนนั้นก็แตกต่างกันอยู่ดี

   "แล้วอันไหนที่ไม่ใช่เรื่องจริงล่ะ"

   "ใครเขาสนใจกัน"

   “...”

   "เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก สักพักเดี๋ยวก็หายไปแล้ว ข่าวใหม่มันมีทุกวัน" ถ้าเป็นก่อนหน้าการรับรู้เรื่องราวทางบ้านเขาก็คงไม่สะกิดใจ เมื่อทุกอย่างมันพลิกไปแล้วเขาควรทำอย่างไรต่อ "ทนเบื่อตรงกล่องข้อความแล้วก็คนที่แอดมานิดหน่อย ส่วนอื่นไม่น่าจะมีปัญหา"

   "เราไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจเอื้อมผิด"

   พูดอีกนัยคือไม่ต้องการให้กลายเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยไม่มีการตอบโต้ อย่างน้อยที่สุดเรื่องที่ใส่ความเกี่ยวกับการเรียนก็ควรหมดไป

   "แล้วปันเข้าใจเราจริงเหรอ?"

   เพียงคำถามเดียวเปลี่ยนให้ความเย็นสบายกลายเป็นยะเยือก ทั้งที่ไร้ความกระด้างในน้ำเสียงและไม่มีการใส่อารมณ์เข้าไปเติม ความเรื่อยเฉื่อยของมันช่างน่าหวาดหวั่นสะพรั่นพรึง

   "เรา..."

   "บอกมาสิว่ารู้เรื่องพ่อเราแล้วเป็นไงบ้าง" ในบางครั้งมันก็เหมือนกับว่าเอื้อมมีพลังพิเศษในการอ่านใจเขา "ที่จริงอาจจะรู้ตั้งแต่วันที่ไปบ้านเราแล้วล่ะมั้ง"

   "เอื้อม..."

   "ถ้าอยากรู้เราก็จะบอกเลยว่าใช่ เรื่องจริง พ่อเราเป็นชู้กับผู้หญิงคนนั้นจริง"

   มันเป็นสิ่งที่เขาจำได้ว่ามันไม่มีการยืนยันจากทางใดทั้งนั้น ต่างจากสิ่งที่คนใกล้ตัวยอมรับออกมาได้โดยง่ายและไม่มีการแก้ข่าวแต่อย่างใด

   "เคยเจอพวกเขาควงกันในห้าง แต่เราไม่เคยบอกแม่เพราะไม่อยากทำให้เขาเสียใจ" และสิ่งที่แย่ที่สุดก็กลับมาหาปรัญจนได้ยามสบเข้ากับนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยรอยร้าวคู่นั้น "ต้องเป็นฝ่ายเก็บความลับเอาไว้นี่มันไม่ง่ายเลยนะ ทุกวันนี้แม่เราก็ยังไม่รู้เลยว่าสามีตัวเองนอกใจจริง เพราะไม่มีใครยืนยันเรื่องของพวกเขาได้"

   พื้นฐานครอบครัวของปรัญอยู่ในระดับธรรมดา คือพ่อแม่ก็รักกันดีแหละ มีบ้างที่ทะเลาะกันตามประสามนุษย์ ส่วนรอบข้างก็ไม่เคยมีคนใกล้ตัวที่เผชิญกับเหตุการณ์ประมาณนี้กับตัว มันจึงกลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวที่เขาไม่เข้าใจความรู้สึกเอาเสียเลย

   "ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมพ่อถึงทำอย่างนั้น" ระยะของกำแพงสองฝั่งห่างเพียงสามก้าว หากในยามนี้มันดูไกลเสียเหลือเกิน "ตลกไหม ความจริงที่แม่กับเรารู้มันยังเป็นคนละเรื่องกันเลย"

   เพราะในความจริงมันอาจไม่มีความจริงอยู่เลย

   เอื้อมอารัญเคยย้ำเกี่ยวกับประโยคสุดท้ายมาก่อนแล้ว

   บอกไม่ได้เลยว่าทำไมการเปล่งเสียงออกไปถึงเป็นเรื่องยากได้เท่านี้ ตั้งแต่ช่วงต้นของเรื่องเล่าเขามีอะไรหลายอย่างที่อยากจะเสริม หากสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือการเม้มปากปิดเอาไว้สนิทราวกับว่ามันถูกผนึกเอาไว้แน่น

   “ตั้งแต่ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าการโกหกมันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ...ดีกว่าการพูดความจริงด้วยซ้ำ”

   “...”

   “อันนี้ไม่ได้ร้องขอความเห็นใจอะไรนะ จริงๆ คืออยากรู้ด้วยแหละว่าคนอื่นจะรับได้เหรอ เพราะเหตุผลหลักที่เราชอบโกหกมันมีแค่นี้ ถ้ายังตายไม่ได้ เราก็อยากให้ตัวเองมีจุดสบายใจในโลกเฮงซวยบ้าๆ นี่”

   ปรัญได้แต่ยอมรับว่าเขาไม่รู้จักคนตรงหน้าเลย

   ผู้ชายที่กำลังประสานสายตากับเขาตอนนี้คือใครกันนะ

   ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ผ่านมาคล้ายว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง กระทั่งว่าจุมพิตที่เรามอบให้กันมันอาจเกิดขึ้นเพียงในความฝัน สิ่งที่ควรจะชัดเจนกลับกลายเป็นเลือนรางจนไม่อาจยืนยันได้ว่ามันมีความหมายเหมือนอย่างที่คิดหรือไม่

   "สุดท้ายแล้วก็ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ"

   "…"

   "เพราะปันก็ยังรับไม่ได้เหมือนกัน"

   "ไม่ใช่นะเอื้อม..." ขอแค่เรื่องนี้ก็ยังดี เขาเชื่อเสมอว่าเอื้อมอารัญจะไม่วิ่งหน้าตาตื่นมาเพื่อตะโกนป่าวร้องว่าตนเจอหมาป่าอยู่นอกหมู่บ้านเพื่อแกล้งปั่นหัว

   "นี่ เราสองคนกลับไปเป็นแบบเดิมดีไหม"

   "…"

   "ไม่รู้สิ ปันไม่ควรมาอยู่กับคนอย่างเราเหมือนอย่างที่คนอื่นบอกจริงนั่นแหละ" รวบรัดตัดตอนจนเขาทำได้เพียงเป็นฝ่ายรับคำสั่งไม่มีการโต้เถียง "จอมโกหกอย่างเราควรอยู่คนเดียว นั่นแหละถูกต้องแล้ว"

   นัยน์ตาว่างเปล่าเป็นสิ่งชัดเจนที่สุด

   เอื้อมอารัญแตกสลายไปอีกครั้งด้วยมือของเขาเอง


***
   ที่บอกว่าแก้ช่วงท้ายบ่อยๆ ก็ตอนนี้แหละค่ะ จะสื่อยังไงให้เห็นถึงตัวตนของเอื้อมที่อาจจะดูแตกต่างในมาตรวัดกลางได้นะ
   ตอนหน้าก็จบแล้ว เร็วจังเลยค่ะ ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาเสมอนะคะ (ยิ้ม)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบแปด [18.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 19-07-2018 00:43:37
ตัวตนของเอื้อมเปราะบางมากอ่ะ
แล้วไม่รู้เลยว่าตัวตนตอนแรกที่เห็นเป็นตัวตนจริงๆของเอื้อมหรือเปล่า
พอเอื้อมถามมาแบบนั้นเลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เห็น ที่สัมผัสได้มันใช่หรือเปล่า
เอื้อมอาจจะเจ็บปวด แต่ตอนนี้ปรัญเจ็บกว่า
ตรงที่ความรู้สึกที่ไม่สามารถประคองเอื้อมที่แตกสลายไว้ได้
รอตอนจบไม่ไหวแล้วววว
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบแปด [18.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-07-2018 04:33:31
เอื้อมดูพร้อมพังได้ทุกเมื่อ
เจออะไรแบบนี้มาเยอะและนานเกินไปอ่ะ TT
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบแปด [18.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-07-2018 15:00:53
เรารู้สึกสงสารปันนะ
ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเอื้อมเลย(เอื้อมไม่เล่าอะไรให้ฟัง เหมือนให้รู้เรื่องเอง)
และเอื้อมเดินเข้ามาหาปันก่อนด้วยซ้ำพอมาถึงจุดนี้ เอื้อมกลับพูดออกมาให้ไปอยู่จุดเดิม  :sad11: :sad11: :sad11:
ปันก็เจ็บเป็นนะเอื้อม :ling3: :ling3: :ling3:
..
...
....
งืออออ (((((กอดปัน))))) :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 21-07-2018 15:05:21
สิบเก้า


   สี่วัน

   เก้าสิบหกชั่วโมง

   จะกี่นาทีก็ช่างมันเถอะ

   นั่นคือเวลาทั้งหมดที่เอื้อมอารัญหายไปจากวงโคจรชีวิตโดยสมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อความส่งมาชวนทานข้าวเย็น ไม่มีการแชร์รีวิวเต็มไทม์ไลน์ ไม่มีสักรูปที่อัปโหลดเพื่อให้เขาสบายใจว่ายังโอเคดี

   จะว่ากลุ้มใจก็ใช่ ปรัญไม่รู้ว่าวิธีจัดการอารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร คือตัวเขาเองน่ะอยากจะไปบุกถึงบ้านเสียด้วยซ้ำ แต่บางทีเอื้อมอาจอยากอยู่คนเดียวไปอีกสักพักจนว่าเรื่องงี่เง่าทั้งหมดนี้จะซาลง เขาไม่อยากเป็น 'คนใจดีที่ทำเพราะสงสาร' เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายเคยนิยาม

   ให้มองจากมุมตัวเองเรื่องมันไม่ได้ลุกลามเหมือนอย่างที่กลัวไปก่อน ตรงกับที่หลายคนบอกว่าข่าวมันมีใหม่ทุกวัน พอไม่มีรีแอกอะไรจากฝั่งของครายวูลฟ์มันก็เลยไม่มีวัตถุดิบให้ปรุงแต่งต่อ มีแค่การขุดเอาเรื่องเดิมขึ้นมาพูดซ้ำ ยังดีที่พอมีเพื่อนในค่ายช่วยกันแก้บางเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นจริง

   ไม่มีความคิดตามว่าใครเป็นคนเริ่ม ในโลกเสมือนจริงที่ชื่อว่าอินเทอร์เน็ตสามารถแอบซ่อนตัวตนเอาไว้ได้มิดชิด และเพราะเราคิดว่ากำลังสวมผ้าคลุมล่องหนนั่นแหละมันเลยกลายเป็นความกล้าผิดๆ ที่คอยสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น

   การทำงานในห้องที่ปรึกษาในวันนี้ยังคงเงียบเหงา แก้วเซรามิกใบเดิมกับแฟ้มบันทึกข้อมูลยังวางเอาไว้ไม่ห่างกัน เหมือนคนจิตตกที่ต้องเปิดดูเสมอว่ามีชื่อของคนที่คิดถึงอยู่หรือไม่ ซึ่งพอไม่มีแล้วก็บอกไม่ได้ว่ารู้สึกดีหรือแย่ยิ่งกว่าเดิม

   หมดเวลาทำงานแล้วก็ว่าจะหาซื้อข้าวกล่องกลับขึ้นไปกินบนห้องเลย ตั้งใจทิ้งตอนดึกในวันนี้ไปกับการเปิดหาหนังในเน็ตฟลิกซ์ดู เขาควรหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ถ้าหนังยังฮิลลิ่งไม่ไหวคงต้องเลือกวิธีสุดท้ายอย่างเปิดหนังสือเรียนอ่านแล้วล่ะ

   "เอาข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ดาวด้วยครับ"

   ไม่อยากจะออกไปไหนไกลก็เลยจบลงตรงโรงอาหารที่ใกล้กับหอพักมากที่สุด เมนูก็เอาจากที่เขียนแนะนำ ทำตัวเหมือนกับคนไม่ชอบเลือกเองบางคนเลยแฮะ

   ยังมีคิวรอก่อนหน้าพอควร เพิ่งรู้ว่ามีมนุษย์จำพวกห่อกลับไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นมากี้เหมือนกัน ปันขยับออกมายืนรอตรงริมสุดของร้านไม่ให้ขวางทางเดินใคร มองตรงออกไปยังพื้นที่รับประทานอาหารที่กำลังรับรองประชากรจำนวนมากอยู่เป็นการรอเวลา

   ...

   พลันภาพสีที่ปรากฎต่อสายตาก็กลายเป็นขาวดำยามความคิดบางอย่างสะกิดใจ

   จะมีสักที่คนในนี้ที่เคยเห็นภาพของเอื้อมในเพจนั้น แล้วมีใครบ้างที่เข้าไปอ่านแล้วผสมโรงไปด้วย บางคนอาจจะเอาออกมาเล่าให้เพื่อนฟังปากต่อปากจนมันกลายเป็นเรื่องแต่งขึ้นใหม่ เอื้อมอารัญจะกลายเป็น 'คนขี้โกหก' ของคนกี่คนไปแล้วกัน

   ข้างนอกมันใจร้ายจนบอกตัวเองว่าอย่าก้าวออกไปอีกเลยต่างหาก

   ขยะแขยงทุกสิ่งรอบตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ปรัญแทบจะกระชากถุงสินค้าจากคนขายเพื่อรุดกลับห้อง ความคิดเดียวในตอนนี้คืออยากจะกลับไปหลบอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เขามั่นใจได้ว่าเป็นส่วนตัว ไม่มีใครสามารถแทรกแซงเข้ามายุ่งวุ่นวายได้

   "อ้าว วันนี้ไม่ไปกินกับคุณเอื้อมเหรอมึง"

   บังเอิญเจอฮิวตรงข้างล่างตึกเสียอย่างนั้น เขาฝืนใจส่งยิ้มเล็กๆ ที่คงดูแล้วน่าห่วงมากกว่าเดิมไปให้ก่อนตอบ "เปล่า วันนี้อยู่คนเดียว"

   "ห่างกันบ้างเป็นแล้วสินะ"

   เอาจริงแล้วก็ไม่ได้อยากห่างไหมล่ะ "เอื้อมเป็นไงบ้าง"

   "ก็ดูปกตินะ แค่โพสต์นั้นไม่ทำให้เป็นอะไรหรอก" ไม่มีความกังวลเจืออยู่แม้แต่น้อย ไม่ต่างจากตอนเล่าเรื่องที่บอกว่าเอื้อมเคยบอกอะไรเอาไว้ "สบายใจได้"

   "เหรอ..."

   "ห่วงอะไรมากมาย เอื้อมไม่เป็นไรหรอกน่า"

   เหมือนเป็นคนคิดมากคนเดียวท่ามกลางความ 'ปกติ' ทั้งหลาย ไม่มีใครกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ไม่มีสัญญาณเตือนบ้างเหรอ ทุกคนกลายเป็นคนในหมู่บ้านที่ไม่หวาดหวั่นยามเด็กชายตะโกนร้องขึ้นมาว่าพบเจอหมาป่าอย่างนั้นใช่หรือไม่

   ไม่เคยมีใครตั้งคำถามเลยเหรอว่าเพราะอะไรเด็กชายจึงเลือกการโกหก

   "กูไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกมึงถึงไม่ห่วงมากกว่า"

   "ทีมคุณเอื้อมแนะนำให้ไปอยู่กับไนน์นะ กูทีมแอนตี้จ้า" เป็นความสัมพันธ์ที่รักไปพร้อมกับเกลียดอย่างแท้จริง เขาชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเอื้อมถึงไม่พูดให้เหนื่อยเปล่า ก็มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักอย่างนี่นา “บอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับเอื้อม เป็นอย่างที่กูบอกใช่ไหมล่ะ”

   "ฮิว กูถามได้ไหมว่าเรื่องพวกนั้นจริงหรือเปล่า"

   อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นก่อนถาม "หมายถึงเรื่องไหน เจาะจงหน่อย"

   "เรื่องพ่อ"

   เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปิดปากสนิท พอเห็นว่าเขายังคงรอคอยคำตอบอยู่จึงถอนหายใจออกมาก่อนเริ่มเล่า "ตัวเนื้อข่าวจริงไม่จริงไม่รู้ แต่มีนักข่าวพยายามหาข้อมูลด้วยจริง กูเคยได้ยินแค่เพื่อนเล่าว่ามีหลายคนกล้าเข้าไปถามว่าพ่อเป็นชู้จริงไหมด้วย ส่วนเอื้อมมาเรียนตามปกติแต่ไม่เข้าซ้อม"

   “...เหรอ”

   "ดูไม่ค่อยตกใจนะ"

   ลำคอแห้งผากจากการเอ่ยเพียงคำเดียว ปรัญแหงนหน้ารับแสงจากหลอดไฟที่จ้าจนแสบตา "เริ่มชิน...แล้วมั้ง"

   ยิ่งได้รู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากการกระทบเพียงแค่ครั้งเดียว หากเป็นการสะสมจนแรงยึดทั้งหมดนั้นมันพังทลายลง ปรัญจึงหมดความสงสัยแล้วว่าเพราะอะไรเด็กชายคนนั้นถึงไม่หยุดร้องไห้เสียที

   "ล่ะนี่ทำไมถึงห่างกันได้ เกิดอะไรขึ้น"

   "ก็ใครล่ะบอกว่าใจดีเกินไป" มันเจือความหัวเสียเอาไว้จนเต็มประโยค ภาพสายตาว่างเปล่าในวันนั้นยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำ "นี่ก็เลยเป็นคนใจร้ายแล้วไง"
 


   พอผ่านมาอีกสัปดาห์หนึ่งก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งเหมือนอยากที่ปากเคยบอก

   เจ็ดวันคือหนึ่งร้อยหกสิบแปดชั่วโมง บวกกับของเดิมไปอีกนี่เกินสองร้อยชั่วโมงเข้าไปแล้วนะ เอื้อมจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้จริงๆ เหรอ

   การสอบก็ใกล้ถึง งานในห้องที่ปรึกษาก็ยังต้องทำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องดูหนังเลย นี่เขามองตารางการเดินทางแล้วก็อยากให้มีเครื่องวาร์ปจากโรงหนังกลับมาหอ มันจะช่วยเพิ่มชั่วโมงการอ่านหนังสือของเขาได้เยอะ

   นี่วันนี้ไม่ใช่เวรปกติก็ต้องมาทำเพราะว่าพี่ปีสองที่ดูแลประจำขอแลก ส่วนพรุ่งนี้ที่เป็นเวรตัวเองก็ยังต้องมาตามเดิม ปรัญเข้าใจว่าช่วงสอบมันก็ทำให้สติแตกอย่างนี้ล่ะนะ นี่ดูในแฟ้มมีคนเข้ารับบริการสี่คนแล้วตั้งแต่เช้า คิดว่าครึ่งบ่ายนี่ต้องมีหนึ่งไม่ก็สองคนแน่

   มีชื่อของเอื้อมอารัญปรากฎเมื่อสามวันที่แล้ว ระดับความถี่เริ่มกลับมาคล้ายช่วงแรกที่เราได้คุยกัน แม้จะยังกลุ้มใจเรื่องที่ได้ยินมาในวันนั้นแต่เขาก็ยอมรับเลยว่าการที่ยังเห็นลายมือนี้มันก็ยังช่วยคลายห่วงได้หน่อย

   เขาไม่กล้าถามว่าเอื้อมเข้ามาคุยด้วยสาเหตุใด ตอนแรกก็คิดไปเองว่าอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนิสัยชอบโกหก พอได้รู้จักมากขึ้นก็มีเรื่องพ่อเข้ามาอีก เอาเป็นว่าเขาไม่แปลกใจแล้วที่เข้ามาใช้บริการที่นี่บ่อยจนเหมือนว่าจะสนิทกับอาจารย์

   ไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าไปดูว่าในเฟซบุ๊กมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง แอปเมจเซนเจอร์ก็ลบทิ้งชั่วคราว ทำได้แค่หมกตัวอยู่ในทวิตเตอร์ทั้งวันเพื่อไม่ให้บังเอิญไปเจออะไรที่ทรมานจิตใจ เขาไม่อยากจะต้องรับรู้ว่าการห่างของเรามันเป็นผลดีกับเอื้อมมากกว่าหรือเปล่านี่นา

   ก็บอกไม่ได้ว่าคิดถูกหรือผิดที่ยอมทำอย่างที่อีกฝ่ายขอ เขาก็ยังเป็นคนใจดีที่ยอมถอยเพื่อให้ความสบายใจกับคนอื่น แม้ว่ามันจะกลับกลายมาเป็นการทำร้ายตัวเองก็ตาม

   เหยียดตัวบนเก้าอี้ตามท่าที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะนั่งไม่นานก็ไม่ควรปล่อยให้มันสะสมเรื้อรังจนกลายเป็นโรคติดตัว เขาไม่อยากจะมีอาการปวดติดตัวทั้งที่อายุเพิ่งขึ้นเลขสองหรอกนะ

   สายตาเหลือบไปเห็นว่ามีแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างติดอยู่ตรงซอกข้างซีพียูของคอมพิวเตอร์ประจำห้อง ก็เลยก้มตัวยื่นแขนออกไปหยิบแบบที่คนขี้เกียจเขามักจะทำกัน เสียงประตูกระจกเปิดออกที่แว่วเข้ามาแทนการบอกว่างานในวันนี้ก็ยังไม่มีทางเสร็จได้ง่ายๆ ถ้าเป็นพวกที่เคยเข้ามาแล้วก็น่าจะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อล่ะ

   "ลงชื่อ..."

   ดึงตัวกลับมานั่งหลังตรงได้ภายหลังจากที่จัดการกับกระดาษเจ้าปัญหาเรียบร้อย ไม่อาจเอ่ยออกมาได้เต็มทั้งประโยคเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาใหม่ชัด

   เอื้อมอารัญ

   คล้ายว่าเป็นการเล่าซ้ำในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ต่างคนต่างนิ่งไปไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มต้นฉากการเล่นองก์ถัดไป ปรัญรู้ตัวว่ามันดูไม่ดีที่เขามองช่วงนัยน์ตาเป็นอย่างแรกว่าวันไหนมันดูแย่ยิ่งกว่า แล้วก็สรุปได้ว่ามันแย่พอกัน

   "วันนี้อาจารย์อยู่นะ" มันคือการหลุดประชดที่ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ ปรัญไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายเอาแต่คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นสิ่งผิด เอื้อมไม่เคยหลอกหรือโกหกให้เขาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะครั้งไหนก็เป็นเขาที่เต็มใจทำให้เสมอโดยไม่มีข้อแม้

   "ส่วนเราก็อยู่ตรงนี้เหมือนกัน"

   เป็นการเดิมพันที่สูงจนน่ากลัว คงลืมไปว่านี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ไม่ว่าตอนจบจะออกมาเป็นเช่นไรมันก็ไม่มีผลกระทบต่อความเป็นจริง

   ริมฝีปากของเอื้อมเม้มเข้าหากันจนเห็นชัด คนที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตูนิ่งไม่ไหวติงจนเขาเป็นฝ่ายขยับลุกขึ้นเอง การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นการคุกคามสร้างความระแวงให้หนึ่งระดับเห็นได้จากการถอยหลังออกไปยืนนอกห้อง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงจนเขาไม่กล้าทำอะไรอีก

   วิธีการสร้างความคุ้นเคยให้กับแมวที่กำลังสับสนคือไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปจับตัว ระยะห่างที่ดูเป็นการเข้ามาอย่างเป็นมิตรคือสิ่งจำเป็นที่สุด

   ภาวนาให้อย่าเพิ่งมีนักศึกษาเดินเข้ามาทำให้เสียเรื่อง รวมถึงขอให้เอื้อมอย่าเพิ่งตัดสินใจหนีหายไปอีกครั้ง

   ปรัญไม่ชอบความน่าอึดอัดนี้เอาเลยเสีย เขาชอบให้มันเป็นพื้นที่ที่ได้เห็นเอื้อมเดินเข้ามาพร้อมกับชาเขียวปั่นในมือ เล่าบ่นเรื่องที่เจอมาให้ฟังเจื้อยแจ้ว จากนั้นก็รอให้หมดเวลาทำงานเพื่อที่ว่าจะได้ไปทานอาหารเย็นด้วยกัน

   ไม่ใช่ความห่างเหินอย่างนี้

   จับความรู้สึกได้เลยว่าผิดหวังเพียงใดตอนที่เอื้อมปิดประตูลง เขากลายเป็นผู้ชมที่มองการแสดงจากหน้าจอการฉาย จับจ้องทุกอากัปกิริยาตั้งแต่บานประตูเคลื่อนตัวปิดสนิท กระจกใสบอกได้ว่าคนตรงนั้นมองไปที่อื่นไม่เหลียวกลับมาสักนิด

   "เมื่อกี้เอื้อมมาเหรอปัน?"

   สะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงแทรกระหว่างที่ความคิดยังตีกันไม่จบ ปรัญหมุนตัวกลับมาแสร้งยิ้มกลบรอยเศร้าเอาไว้พลางตอบ "รู้ได้ยังไงครับว่าเป็นเอื้อม"

   "ก็มีคนเดียวที่มาหาปันนี่" นั่นหมายความว่าระดับความถี่อยู่ในขั้นจับสังเกตได้เลยสินะ "แค่แวะมาทักเหรอ"

   มองซ้ายขวาแล้วก็เห็นแค่เขาคนเดียวยืนอยู่นี่นา "อ่า...ครับ"

   "ทะเลาะกันหรือเปล่า"

   "...คิดว่าไม่นะครับ"

   "มีอะไรก็คุยให้เคลียร์ รีบหน่อยก็ดี"

   "ผมก็ไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรอกครับ" จะว่าไปแล้วคนที่รู้เรื่องเกือบทั้งหมดคงไม่พ้นอาจารย์นี่แหละ ถึงจะถามออกไปตรงๆ ไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ระบายหน่อยเถอะ "อีกคนต่างหาก"

   “เอื้อมน่ะต่อกลับมาติดให้สนิทเหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ รู้ใช่ไหม”

   “...รู้ครับ”

   “อืม ดีแล้ว”

   อาจารย์พยักหน้าขึ้นลงสองสามครั้ง ท่าขยับตัวหมุนกลับไปเตรียมเข้าห้องส่วนตัวเรียกให้ปรัญต้องรีบเอ่ยปากเรียกออกไปก่อน

   “แล้วมันไม่แปลกใช่ไหมครับถ้าผมไม่คิดจะต่อกลับ แค่ขอเก็บชิ้นส่วนพวกนั้นเอาไว้ก็พอ”

   อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองทำหน้าประหลาดเหรออาจารย์ถึงอมยิ้มคืนมาให้อย่างนี้ “ไม่นะ”

   “ขอบคุณครับ”

   รอจนบริเวณนั้นเหลือเพียงเขาคนเดียวถึงถอนหายใจออกมาได้สะดวก ปากก็รับคำไปเหมือนว่าจะจริงจัง เอาเข้าจริงแล้วให้เริ่มต้นตรงไหนเขายังไม่รู้เลย

   ให้ไปขอข้อมูลจากฮิวก็ไม่น่าจะช่วยอะไร ดีไม่ดีอาจโดนด่ากลับมาเจ็ดชั่วโคตรก็เป็นได้ 

   ปรัญตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องเป็นครั้งสุดท้าย ปลงแล้วว่าวันนี้อาหารเย็นก็คงเป็นร้านข้าวใกล้หอเช่นเดิม ช่วงนี้เหมือนว่าไม่เจริญอาหารเท่าที่ควรด้วย

   เดินไปยังมุมเก็บจักรยานเสือภูเขาคันเดิมที่รู้สึกขอบคุณทุกครั้งยามเห็นมันจอดอยู่ที่เดิมไม่โดนใครขโมยไป นี่เพื่อนก็เพิ่งเล่าว่าโดนขโมยจักรยานที่เพิ่งซื้อมาได้แค่สองวัน น่าสงสารไม่น้อยเลยล่ะ แล้วมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรที่น่าพึงพอใจสำหรับเรื่องนี้เลย

   สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณกระเป๋าหน้า เขารีบควานหาเครื่องมือสื่อสารสารพัดประโยชน์พลางนึกไปว่ามีใครที่อยากจะติดต่อเขาในเวลานี้บ้าง

   ชื่อที่ปรากฎคำว่าเอื้อมอารัญทำให้ลืมทุกอย่างที่คิดค้างเอาไว้ก่อหน้า รีบกดรับสายแล้วเอาแนบหูทันที

   (ปันบอกว่าจะอยู่กับเราใช่ไหม...?)

   "…"

   (งั้นช่วยมาหาเราตอนนี้เลยได้หรือเปล่า)
 


   ไม่เคยเกลียดคอนโดของเอื้อมเท่าวันนี้มาก่อน

   เพราะกว่าจะหาทางขึ้นมาถึงชั้นดาดฟ้าได้นี่ต้องงัดสารพัดเรื่องขึ้นมาอ้าง ยังดีที่เจอเจ้าหน้าที่ใจดีที่เคยเอาขนมมาฝากตอนกลับจากเชียงใหม่ก็เลยคุยกันง่ายหน่อย ถึงอีกใจหนึ่งจะคิดว่าเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพเลยก็เถอะ ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องหลักที่ต้องสนใจ

   ตัวเลขดิจิทัลบอกเลขชั้นขยับขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ไม่ต่างจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่รัวเร็ว เขาแทบจะปั่นจักรยานแบบสี่คูณร้อยออกมานอกรั้ว บ้าดีเดือดพอที่จะปั่นสวนเลนออกไปยังเส้นทางที่นำไปสู่ห้องพักขอเอื้อมอารัญ จอดมันเอาไว้ส่งๆ ไม่กลัวหายเหมือนอย่างทุกทีเพื่อให้สามารถกระโจนพุ่งเข้ามาได้เร็วที่สุด

   เอื้อมบอกว่าตัวเองกำลังอยู่บนดาดฟ้าของตึกคนเดียว

   เช่นเดิมเหมือนที่เป็นมาเสมอ

   ขนาดไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้ายยังรู้เลยว่ามันมีข้อความใดแฝงอยู่ อันตรายที่หลายคนเคยบอกว่ามันเป็นแค่คำโกหกไม่มีความน่าเชื่อตอนนี้พาเอาความตึงเครียดทั้งหมดมากองเอาไว้อยู่ภายในความคิดเขาที่เดียว

   กลัว

   กลัวว่าตนเองจะมาไม่ทันการณ์

   ประตูดาดฟ้าเปิดเอาไว้อยู่แล้ว เขาพุ่งออกไปข้างนอกด้วยความรวดเร็ว หันซ้ายขวามองหาร่างของใครอีกคนด้วยความกระวนกระวายเต็มหัวใจ ราวผ้าที่มีตั้งแต่แบบเอาเชือกมาแขวนไว้ลวกๆ และราวเหล็กวางระเกะระกะบอกว่ามันเป็นสถานที่สำหรับตากผ้าของนักศึกษาอย่างที่เคยได้ยินมา

   ลัดเลาะไปตามบริเวณต่างๆ เพื่อตามหาคนที่โทรมาก่อนหน้า จากมุมแรกไปสู่มุมที่สองของตึก จนกระทั่งพบใครบางคนนั่งห้อยขาออกไปด้านนอกอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว ท้องฟ้ายามตะวันคล้อยตัวลงเป็นพื้นหลังเสริมให้บรรยากาศหม่นหมองจนไม่กล้าขยับ

   ปรัญตั้งคำถามที่ไม่มีใครตอบได้

   หากว่าเขาไปอยู่เคียงข้างตรงนั้นมันจะเป็นอย่างไรนะ

   ไม่มีทางรู้คำตอบนอกจากลงมือทำ ปันก้าวขยับเข้าไปจนเกือบชิด สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเรียกชื่ออีกฝ่าย

   "เอื้อม..."

   เจ้าของชื่อหันกลับมาเชื่องช้า นัยน์ตาเปี่ยมหวังกับริมฝีปากที่กำลังขยับข้างจนปรากฎรอยยิ้มจางสวยงามกว่าครั้งไหน

   เขาคงไม่มีทางลืมใบหน้าของเอื้อมอารัญตอนนั้นได้ตลอดกาล

   "ปันมาจริงด้วย..."

   "ทำไมถึงพูดอย่างนั้น"

   "ก็ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มานี่นา"

   นอกจากจะเอ่ยออกมาสบายๆ แล้วยังตบขอบปูนข้างตัวชวนให้นั่งด้วยกันอีกต่างหาก ปันทิ้งกระเป๋าเป้ของตัวเองไว้ด้านในระหว่างชะโงกมองออกไปสำรวจความปลอดภัยด้านนอก ยังดีที่ตึกออกแบบมาให้มีขอบปูนยื่นออกไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะต้องเครียดมากกว่านี้หลายเท่าแน่

   “พูดเหมือนเลือกได้เลยเนอะ ทั้งที่จริงคือนอกจากปันเราก็ไม่มีใครแล้ว”

   “...”

   มันเป็นการตอกย้ำลงไปซ้ำๆ ว่าสิ่งที่เรียกว่าสังคมมนุษย์น่ากลัวแค่ไหนสำหรับเอื้อมอารัญ

   "ถามจริงนะ ไม่เคยสงสัยเหรอว่าทำไมเราถึงติดแจอย่างนี้"

   จากคนที่รู้จักกันแค่ชื่อจริงนามสกุล และไม่มีการทักทายที่มาไปกว่าการส่งยิ้มให้ กลับกลายเป็นความคุ้นชินที่จะต้องมีอีกฝ่ายอยู่ด้วยเสมอ

   “ไม่นะ”

   "วันนั้นเราตั้งใจจะฆ่าตัวตายแหละ"

   ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ออกมาได้ทั้งที่มุมปากยังขยับองศาขึ้นอยู่ ในขณะที่มั่นใจเลยว่าตัวเองต้องทำหน้าตึงใส่เรื่องเล่านี้ไปแล้วอย่างแน่นอน

   "…"

   "เราไม่ใช่โรคซึมเศร้า ตั้งแต่มัธยมแล้วที่เรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่ทำให้อยากหายใจอยู่แล้วก็เท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าทำสักทีเพราะว่ากลัวมันจะไปเดือดร้อนคนอื่น ก็ถ้าตายในหอคนทั้งตึกคงสยองขวัญ จะให้กลายเป็นศพไร้ญาติก็เหนื่อยแม่ต้องตามไปพิสูจน์อีก จนเราว่าทางที่ดีที่สุดก็คือขับรถชนเสาไฟนี่แหละ ก็เลยว่าจะไปหากับอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายหน่อย ยังไงอาจารย์ก็ช่วยคุยกับเราตั้งเยอะ"

   "...แต่ไปเจอเราแทนใช่ไหม" วันที่เดินเข้ามาพร้อมกับ 'รอยร้าว' ที่บอกตัวเองเสมอว่าไม่อยากเห็นอีกแล้ว

   "อือ รู้ไหมว่าตอนนั้นปันเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เราตัดสินใจอยู่ต่อ"

   "…"

   "ปันทำให้เราคิดว่าคนที่ใจดีกับคนอย่างเรานี่ต้องประหลาดแค่ไหนนะ" ความเย็นจากสายลมชั้นดาดฟ้าเทียบไม่ได้กับเรื่องเล่า ปรัญขยับตัวเข้าไปใกล้ในระยะที่มั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที "เราเห็นแก่ตัวเนอะ"

   "ไม่เลยนะเอื้อม"

   "เนี่ย จนถึงตอนนี้ปันก็ยังใจดีเหมือนเดิมเลย"

   ไม่มีความสั่นผสมอยู่ในการเล่า เอื้อมอารัญยังยืนหยัดอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ยอมร้องขอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที

   "เราอยากให้ปันใจร้ายกับเราสักเรื่องได้ไหม"

   "ไม่"

   "นี่ยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเรื่องอะไร"

   "ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็จะเป็นคนใจดีของเอื้อมต่อไป" ยืนกรานว่าจะไม่มีทางทำสิ่งที่เป็นคำร้องขอต่อจากนั้นเด็ดขาด เคลื่อนไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้จนแน่นจนมั่นใจว่ามันจะส่งผ่านความจริงใจไปถึง "เราไม่ปล่อยเอื้อมไปหรอกนะ"

   เอื้อมอาจจำไม่ได้หรอกว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ มันคงจะเป็นอีกหนึ่งคำยืนยันว่าปรัญไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดเป็นเรื่องความสงสาร

   “แต่...”

   ไม่อยากจะได้ยินคำท้วงอะไรอีกแล้วเลยโน้มตัวเข้าไปปิดด้วยริมฝีปากของตัวเองเสีย ปรัญเป็นฝ่ายเริ่มที่ดูแล้วจะเต็มไปด้วยความเคอะเขินมากกว่าสองครั้งที่ฝ่ายมา เขาไม่เร่งร้อนในการเชื้อเชิญ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามจังหวะและขั้นตอนตามที่ควรจะเป็น

   ตอนแรกก็ยังเม้มปากเอาไว้อยู่แหละ ถือเอาเองว่าการที่อีกฝ่ายยอมขยับองศาของศีรษะให้พอดีเป็นการยอมรับ มือข้างหนึ่งยกขึ้นประคองส่วนท้ายทอยของเอื้อมอารัญเอาไว้ เราแลกสัมผัสที่มีความหมายแฝงเอาไว้พักใหญ่ และในช่วงเวลาที่เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเราตรงกันจึงผละออกช้าๆ

   “คราวนี้ยังจะถามอีกไหมว่าทำไมเราถึงจูบเอื้อม”

   “...ถาม” เสียงแผ่วเบาดูไม่มั่นใจนั่นมันน่ารักยิ่งกว่าอะไรดี

   “เราชอบเอื้อม”

   “...”

   "เพราะงั้นจะให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้างก็เถอะ มันเป็นเรื่องในอดีตที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าไม่มีใครเข้าใจก็ช่างเขา มีแค่เราที่เชื่อเอื้อมคนเดียวก็ได้ เพราะอย่างนั้นอยากจะดึงเราเอาไว้เท่าไหร่ก็ทำเลย"

   ต่อให้ใครจะไม่เชื่อคำที่ตะโกนร้องบอกว่าหมาป่ากำลังขย้ำฝูงแกะ เขาก็ยังยืนยันที่จะเป็นคนเดียวที่คอยซับน้ำตาของเด็กชายจนกว่าเขาจะหยุดร่ำไห้

   “เอื้อมยังไม่ต้องบอกก็ได้ว่าคิดกับเราแบบไหน เอาจริงเราก็ไม่ค่อยถนัดบทโรแมนติกอะ” เกาแก้มแก้เขิน รู้สึกว่าการกระทำเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าคำพูด และเชื่อว่าที่ผ่านมาตนเองก็แสดงออกชัดเจนพอ “หน้าเราแดงปะ”

   “แดงมาก หัวก็ยุ่ง”

   ผงกหัวขึ้นลงเป็นสิ่งประกอบ เอื้อมยื่นมือออกมาฃ่วยจัดแต่งให้มันเข้าทางอยู่ครู่ใหญ่โดยมีสายตาของเขาคอยจับจ้องทุกอากัปกิริยา ไม่รู้ว่าผอมลงไปหน่อยหรือเปล่าถึงดูแก้มหายไป ถ้ากินแต่ชาเขียวปั่นล่ะเขาจะตีให้

   “...”

   และยามที่นัยน์ตาของอีกคนเปลี่ยนมาจ้องมองที่เขา ช่วงเวลาแห่งความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

   ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความลังเลใจบางอย่าง เอื้อมอารัญเคลื่อนฝ่ามือมาแตะตรงไหล่ หลุบตาลงไม่ยอมสบสายตากับเขาจนใจหายวูบว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หากทั้งร่างที่โถมเข้ามามันกลบทุกอย่างให้หายไปทันตา

   ได้แต่รีบสวมกอดเอาไว้ให้แน่นไม่แพ้กัน สูดเอากลิ่นหอมบางอย่างจากเสื้อผ้าเข้าไปลึกสร้างความมั่นใจว่าในเวลานี้เขามีเอื้อมอารัญอยู่ในความครอบครองจริง

   “ขอบคุณที่มานะ” คำนั้นอู้อี้อยู่ข้างหู “ชอบปันเหมือนกันด้วย”

   ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ คลี่ยิ้มเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกแล้วพอผละออกจากกันก็เห็นได้ชัดว่าคุณเอื้อมตาแดงแค่ไหน

   “จะร้องไห้ทำไม ต้องยิ้มสิ”

   “ไม่ได้ร้อง!”

   “ไม่ร้องก็ได้ ...งั้นไปกินข้าวเย็นกันเนอะ" ตบเข่าเตรียมตัวลุกขึ้น แม้จะรู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในพื้นที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ก็ยังเป็นฝ่ายยืนด้านนอกเพื่อป้องกันอันตรายเอาไว้ “ให้เอื้อมเลือกร้านเลย”

   รอจนกว่ามั่นใจว่าเอื้อมอารัญจะข้ามไปอยู่ในโซนปลอดภัยแน่นอนจึงก้าวตามไป หยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาระหว่างได้ยินเสียงเรียกชื่อตนอีกครั้ง

   "นี่ปัน"

   "ครับ?"

   "...ไว้ไปดูหนังด้วยกันนะ"

   “หือ...”

   “คราวนี้เราจะพิสูจน์ให้ดูว่ามันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”

   "ได้เลย"
 


   "มึงทำตัวเหมือนเรียนคณะนี้เข้าไปทุกวัน"

   "เหรอ ก็ไม่นะ"

   ปรัญลอยหน้าลอยตาใส่คำประชดของอดีตเพื่อนในกลุ่มทำงาน ชะโงกหน้าไปทางมุมตึกที่ไม่มีใครเดินตามมาสักที

   "คุณเอื้อมยังไม่ออก มันไม่ใช่คนค้นพบสัจธรรมอย่างกู" เลิกคิ้วให้รู้ว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ไหนเอื้อมบอกว่าสอบวิชาวิทยาการการแปรรูปอะไรสักอย่าง ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาสักหน่อย "หมายถึงกูตรัสรู้ว่าถ้าทำไม่ได้ก็ออกมาเถอะ อย่าฝืนต่อไปเลย"

   "อ๋อ..."

   "ล่ะนี่เลิกไวเหรอ ปกติไม่ได้มาเวลานี้"

   "พอดีมีพรีเซนต์เลยเสร็จเร็ว"

   "เออดี เลยรีบมาเฝ้าเจ้าของ"

   ชินไปแล้วล่ะเวลาได้ยินคำพูดทำนองนี้ออกจากฮิว นี่ยังถือว่าเบานะเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เอื้อมเปิดตัวทางเฟซ เขาโดนทั้งตัวอักษรแล้วก็เสียง เหมือนว่าวันไหนที่อารมณ์ไม่ดีก็เดินดุ่มมาเคาะห้องเพื่อสบถคำผรุสวาทใส่ให้สบายใจ พอระบายหมดแล้วก็ไป

   ทิ้งให้เขาเป็นฝ่ายต้องสรุปจับใจความเอาเองว่ามันมีเนื้อหาอะไรบ้าง

   "ภาคบ่ายก็มีเรียนตัวบังคับใช่ไหม จะได้ไปกินแค่โรงใกล้ๆ"

   "ถ้าไม่ได้ชวนกูไปกินด้วยจะไม่ตอบ"

   ก็เลยแกล้งทำเป็นเศร้าเสียเต็มประดา ปันชอบการยืนหยัดว่าเป็นทีมแอนตี้ของเพื่อนคนนี้เหมือนกัน คือเข้าใจเลยที่เคยบอกว่าเป็นเพื่อนกันมานานจนไม่รู้ว่าจะเกลียดกันไปเพื่ออะไร ฮิวน่ะทำเป็นบ่นนั่นนี่แต่เอาเข้าจริงแล้วก็โทรมาว่าทำรายงานส่วนของตัวเองเสร็จแล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก

   ด้วยรักและเกลียดตลอดไป

   "ไว้วันหลังถ้าเจอรีวิวอันไหนน่าสนจะชวน"

   ส่วนนิสัยที่ชอบตะลอนหาของตามรีวิวนี่ยังเลิกไม่ได้ ที่ดูมีพัฒนาการขึ้นหน่อยก็เรื่องกล้าลองอะไรแปลกใหม่อย่างที่ไม่มีเขียนในรายการแนะนำ ถ้าชอบอะไรก็จะสั่งเลยแล้วเอามาลุ้นกันเอง

   นี่เดือนหน้าว่าจะไปเขาแหลมหญ้า เอื้อมส่งลิงก์มาให้รอบที่สามแล้วเท่ากับว่าอยากไปจริง

   "เป็นพระคุณมาก"

   "ไม่ต้องเกรงใจ เพื่อนกัน"

   สงสัยทำตัวกวนบาทาเกินไปหน่อยก็เลยเกือบได้วางมวยกันตรงนี้ ฮิวยืนพิงกับเสาที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายฝั่งตรงข้ามไม่ได้ลงมานั่ง ก็จับเจ่าอยู่บนเก้าอี้ในห้องตั้งนานสองนานคงอยากจะยืดเส้นยืดสายเสียบ้าง

   เพื่อนคนกลางเงียบไปสักพักใหญ่จึงเปิดปากอีกครั้ง "นี่...ไม่คิดเหรอว่าความจริงแล้วเอื้อมมันโกหกเพื่อให้มึงติดกับอะ"

   สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้นคือการลุกขึ้นพร้อมสะพายกระเป๋าให้เรียบร้อยเมื่อเหลือบเห็นร่างที่ถูกดูดวิญญาณของอีกคน ที่เห็นแต่ไกลคือเอื้อมทำหน้าบูดจนมั่นใจว่าต้องฟังเรื่องข้อสอบไปอีกสักพักแน่

   ปรัญขยับยิ้มมุมปากไม่มีความหมาย

   "บางทีความจริงอาจเป็นกูที่สร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเพื่อเก็บเอื้อมเอาไว้คนเดียวก็ได้นะ"
 


แด่คุณผู้แหลกสลาย
...
..
.
ไม่มีความจริงในความจริง



***
Talk ด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 21-07-2018 15:59:09
***
   ใจก็อยากทอร์กให้จบในรีพลายก่อนหน้านะคะ แต่ทำไม่ได้ (หัวเราะ) ในที่สุดก็มาถึงบทสุดท้ายแล้ว เร็วมากจริงๆ ค่ะสำหรับคนพิมพ์เรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไปอย่างเจ้า ซึ่งก็มีเรื่องที่อยากเล่าเยอะแยะเลยล่ะ

   ไม่มีความจริงในความจริง เป็นเรื่องที่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าลัดคิวแต่งค่ะ คือไม่เคยมีพล็อตเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเจ้าเจอเรื่องที่ทำให้ตัวเองมีเรื่องติดค้างในใจเอาไว้เยอะพอสมควร เรื่องของเรื่องคือเคยเขียนไปแล้วว่าเจ้าโดนเอารูปไปปล่อยในแอคทวิตเตอร์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลงรูปพร้อมข้อความหมิ่นประมาทค่ะ เจ้าจะไม่แคปมาให้ดูเพราะมันเป็นคำที่เจ้าไม่อยากจะจำ เนื้อความก็ประมาณว่าเจ้าบ้าผู้ชาย มั่ว ทำนองนี้ค่ะ

   ซึ่ง...ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าโดนคุกคามบนโลกออนไลน์ค่ะ ช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เคยโดนไปแล้วรอบหนึ่ง โดนเอาเบอร์ รูป และเฟซบุ๊กไปปล่อยในเกม ช่วงนั้นคือมีคนแปลกหน้าแอดมาทุกวัน ข้อความน่าเกลียดก็เยอะ โทรมาหืดหาดใส่ก็มี มันทำให้เจ้ากลายเป็นคนระแวงไม่น้อยเลย คือ จะไม่รับเบอร์แปลกที่ไม่ได้เมม เฟซบุ๊กไม่อัปเดตอะไร แล้วก็ปิดช่องทางติดต่อเกือบทั้งหมดค่ะ

   รอบนั้นคือประสาทเสียพอสมควร ไม่เข้าใจว่าทำไปเพราะอะไร เจ้าก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเท่าไหร่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่รับสาย ทำไมแอดไลน์ผ่านไอดีไม่ได้ บางคนก็มองว่าเจ้าเรื่องมากแหละค่ะ แต่ก็นะ มันทำให้เราสบายใจ

   จนมารอบนี้ คือเจ้าก็ว่าตัวเองเป็นคนที่เซฟในระดับหนึ่งแล้วนะคะ แต่รูปที่เขาเอาไปลงทวิตเตอร์นี่คือบางรูปเจ้าไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ บางรูปคือการแคปภาพตัวแทนในไลน์มา และที่พีกสำหรับเจ้าคือบางรูปเจ้าอัปแค่สี่ชั่วโมงก่อนลบเขาก็ยังมีค่ะ

   คราวนี้คือจับมือใครดมไม่ได้เลย แล้วข้อความที่เขาใช้เจ้าก็เถียงกลับได้หมด ว่ามันไม่มีความจริงอยู่เลย แต่ที่รีพลายกันก็มีบางคนมาคอนเฟิร์มว่าเจ้าเป็นอย่างนั้น คือ... เจ้าคิดคำด่าไม่ออกเลยค่ะ บวกกับหลังจากนั้นเจ้ากลับไปรื้ออ่านหนังสือที่ดองเอาไว้ แล้วได้คอนเซปต์ของเรื่องนี้เป็นการสื่อถึงความจริงที่เหมือนจะหายากเหลือเกินในสังคมปัจจุบัน อะไรคือความจริง? ในความจริงมีอะไร?

   ในความจริงไม่มีความจริงอยู่เลยได้หรือเปล่า

   ถ้าถามว่าแสดงว่าตั้งใจเขียนสะท้อนสังคมเหรอ ขอใช้คำว่าสะท้อนความในใจมากกว่าค่ะ มันคือมุมที่เจ้ามองต่อการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ ว่ามันล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวกันมากเกินไปแล้ว คือเจ้าจะไม่ชอบคำที่เขาบอกกันว่า ถ้าไม่อยากให้เอาไปใช้ทำอะไรก็อย่าอัปสิ เหมือนเวลาที่โทษคนโดนข่มขืนว่าแต่งตัวโป๊แหละค่ะ

   มันกลายเป็นความผิดของเจ้าที่อัปรูปเหรอคะ? กลายเป็นเจ้าต้องป้องกันตัวเองเหรอคะ? แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำล่ะ ทั้งหมดคือที่อยู่ในใจเจ้าเสมอค่ะ

   เพราะอย่างนั้นเจ้าเลยสร้างตัวละครที่ถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นคนโกหกขึ้นมาค่ะ  แต่ในอีกมุมหนึ่งเอื้อมก็ไม่ใช่สัญลักษณ์ในความบริสุทธิ์สำหรับเจ้าอยู่แล้ว คือการเริ่มต้นของเขามันเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้แหละ แต่เจ้าว่าหลังจากนั้นเขาสามารถเลือกได้ว่าอยากให้มันดำเนินต่อไปในทางไหนค่ะ เราเลือกได้ที่จะเป็นครายวูลฟ์หรือยอมรับตัวตน

   เจ้าเถียงกับเพื่อนเยอะมากเกี่ยวกับการโกหก ว่าการโกหกมันไม่ดีในตัวเอง หรือว่ามันไม่มีเพราะผลลัพท์ที่เกิดขึ้นค่ะ ซึ่งก็ได้คำตอบมาไม่ค่อยหลากหลายและไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ คือเจ้าตั้งตัวละครที่ชื่อเอื้อมอารัญให้เป็นคนที่มองการโกหกเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ไม่ได้ไม่ดีอะไร ตราบใดที่ทำให้ตัวเองสบายใจและมีความสุขค่ะ

   และนั่นทำให้เรื่องนี้ยาก ว่าจะสื่อความเป็นเอื้อมออกมายังไง เพราะอะไรเขาถึงแสดงออกอย่างนั้น ซึ่งก็คิดว่าได้ทำอย่างที่ต้องการเกือบหมดค่ะ ส่วนปันนี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีเลยค่ะ (หัวเราะ) ปันคือตัวแทนของความไม่เชื่อในตัวของเจ้า เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องมาเจ้าจะต้องมีจุดเล็กๆ ที่สะกิดใจทุกครั้งว่าถ้าฉันอัปลงไป จะมีใครเอาไปปล่อยอีกไหมนะ ทั้งที่เป็นคนที่เราเชื่อในระดับหนึ่งแล้วแท้ๆ แต่ว่าก็ยังมีเรื่องแบบนี้อีกจนได้

   ไม่มีใครที่ไว้ใจได้ทั้งนั้น อะไรทำนองนี้ค่ะ

   แต่ถามว่าที่ใจดีใจดีจริงไหม เขาใจดีจริงๆ นะคะ และเขาก็รู้สึกกับเอื้อมจริงๆ เพียงแต่ว่านั่นแหละค่ะ เราเป็นมนุษย์ที่ต้องมีทั้งดีและร้ายผสมกันไป (ยิ้ม)

   ตั้งใจว่าไม่อยากให้ยาว แต่นี่ก็ยาวกว่าที่วางเอาไว้หลายตอนอยู่ค่ะ คือทุกเรื่องที่ผ่านมาก็อย่างนี้แหละ วางเอาไว้เท่านี้ แต่มันก็เกินทุกทีเลย มีตอนพิเศษแน่ๆ แต่ยังเขียนไม่จบค่ะ เอาจริงๆ คือเรื่องนี้แก้ไขเยอะที่สุดเท่าที่แต่งมาเลยนะ เอะอะแก้ เอะอะแก้ จนจะโพสต์อยู่แล้วก็ยังขอกลับไปแก้อีกหน่อยก็ยังดี

   ...และคิดว่านี่ก็ไม่หนักอย่างที่บอกนะคะ (หัวเราะ)


   ขอบคุณทุกความรักที่ให้กันมาเสมอนะคะ
   ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
   23August

   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 21-07-2018 17:06:07
เข้าใจเป็นอย่างดีเลยค่ะคุณเจ้าไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนยุคนี้เป็นอะไรกันไม่เคยมีความเกรงใจหรือเคารพสิทธิของผู้อื่นเลยเรื่องเหยียบย่าซ้ำเติมเป็นเรื่องสนุกสนานของผู้คนไปแล้วใช่มนุษย์จริงหรือบางครั้งก็เลือกที่จะโหกเพื่อให้ตัวเองสบายใจเหมือนเอื้อมอารัญเช่นกันยางครั้งก็เป็นปันด้วยคนเรามีหลายมิติที่ยากเข้าถึงจริงๆขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่น่าติดตามเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-07-2018 21:54:47
งือออออ จบแล้ว ในที่สุดก็ลงเอยด้วยรัก :mew1:

(((((กอดเอื้อม กอดปัน))))) ((((กอดเจ้า :กอด1: ))))

รอตอนพิเศษนะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-07-2018 01:15:25
ร้องไห้อย่างหนักหน่วง คิดว่าคุณเจ้าจะใจร้ายเรื่องดาดฟ้าซะแล้ว สนุกและประทับใจมากค่ะ ขอบคุณคุณเจ้าที่สร้างตัวละครคุณเอื้อมและปันมาให้เราได้รู้จักอีกมุมมอง เบื้องหลังของเด็กเลี้ยงแกะอาจไม่ใช่แบบที่เราเคยรู้มาก็ได้ ส่วนเรื่องคุณเจ้านี่ยังคงโมโหแทนค่ะ มีหลายคนเลยที่โดนเอารูปไปทำอะไรแบบนี้ สังคมสมัยนี้มันน่ากลัวจริงๆค่ะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆและดีมากๆอีกเรื่องนะคะ คุณเอื้อมจะเป็นตัวละครอีกตัวที่จะอยู่ในใจเราตลอดไป กอดคุณเอื้อมแรงๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 24-07-2018 00:54:07
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ เขียนดีมากๆ ทั้งสนุก แล้วก็ได้ตกตะกอนอะไรบางอย่างด้วย

ปล.อยากได้ตอนพิเศษมุมของเอื้อมจังเลยค่ะ รอคอยอย่างมีความหวังนะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 24-07-2018 12:25:53
คุณเอื้อมมมมม จบลงด้วยความละมุนมากเลยค่ะ ตอนอ่านนี่ระแวงมากก เป็นความเรื่อยๆที่กลัวจะจบเศร้า ฮืออ ดีใจที่วันนั้นคุณเอื้อมตัดสินใจอยู่ต่อนะ ชอบนิสัยปันมากเลยด้วยย ที่เรียกคุณเอื้อมเพราะเรารู้สึกว่ามันน่ารักมากเลยย เหมือนเรียกคุณเหมียวว ชอบตอนพี่เอื้อมปัน พี่ปันเอื้อมด้วยอ่ะ น้องง วิธีแก้คือเรียรวมไปเลย 555555
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: yunghanna ที่ 25-07-2018 19:46:48
 อ่านแล้วอยากกอดคุณเอื้อมมมมมมมม      :katai2-1:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 26-07-2018 11:02:06
สนุกค่ะ
ความจริงในความจริง บางครั้งอาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากจะยอมรับ เลยเลือกเชื่อ เห็น ในสิ่งที่เรารับได้ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน มันจริงหรือไม่จริง
แต่มันเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจว่าจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ
ยอมรับ หรือไม่ยอมรับ

ขอบคุณกับมุมมองชีวิตใหม่ๆ
การโกหก อาจเป็นแค่เกราะของคนคนนั้นก็ได้ ว่าป่ะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-07-2018 10:32:21
ฉากดาดฟ้าคือแบบ บีบหัวใจ TT
ไม่ควรมีใครต้องมาเจออะไรแบบนี้ ฮือออ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 08-08-2018 21:01:33
พิเศษ
 
[Big Trouble]


   เอาเข้าจริงแล้วเอื้อมไม่มีปัญหาให้รบกวนใจเท่าไหร่

   ถึงจะดูเป็นคนเรื่องมาก เอาแต่ใจ และไม่น่าคบหาในสายตาของเพื่อนหลายคน แต่เอาแค่ที่เจอมากับตัวบอกได้เลยว่ามันราบรื่นไม่ต้องเจอเรื่องปวดหัว

   จนกระทั่งตอนนี้ปรัญก็รู้แล้วว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคืออะไร

   “ปัน...มันบวมมากเลยใช่ไหม”

   เอื้อมอารัญกับการผ่าตัดฟันคุดนี่แหละ

   มองหน้าผู้ชายข้างกายพร้อมพินิจพิเคราะห์ว่ามันบวมอย่างที่บอกหรือไม่ และเอาจากที่เห็นเลยคือ...

   “บวม”

   “…”

   ปากเบะเกือบร้องไห้อยู่ร่อมรอน่ารักดี “แต่มันก็ต้องบวมเป็นปกติอยู่แล้ว เราก็เป็น”

   อาจเรียกได้ว่าเป็นโชคดีของเขาที่มีฟันคุดอยู่แค่ซี่เดียว เพราะงั้นสมัยที่ดัดฟันหมอก็เลยเอาออกไปแล้วเรียบร้อย ตอนนั้นก็บวมอยู่หน่อยแต่ก็ไม่ได้แย่จนน่ากลัว แล้วผ่าออกมาก็ชัดข้าวกลางวันได้อย่างปกติสุขมากเลยล่ะ

   “น่าเกลียดมากไหม”

   “ไม่นะ เหมือนเห็นเอื้อมเวอร์ชันแก้มยุ้ย” ซึ่งเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ไม่ใช่คนผอมเพราะว่าเอาแต่ตะลอนกินแล้วก็ไม่ยอมออกกำลังกายจริงจัง มันก็เลยมีแก้มเล็กๆ พอให้หยิกได้เวลามันเขี้ยว “เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องเครียดหรอก”

   “ปวดร้าวๆ ไปหมดเลยอะ ตอนปันเจ็บอย่างนี้ไหม...”

   “เราก็จำไม่ได้แฮะ”

   ย้อนความให้ก่อนว่าเพราะอะไรถึงมาจบที่นี่ได้ อยู่ดีๆ เอื้อมก็เปิดประเด็นขึ้นมาว่าเหมือนมีฟันซี่ใหม่โผล่ขึ้นมา ลองอธิบายลักษณะแล้วเข้าข่ายเป็นฟันคุด ก็เลยตกลงว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อมาใช้สิทธิทันตกรรมของนักศึกษา แล้วพอเอ็กซ์เรย์วินิจฉัยอะไรเสร็จ พยาบาลบอกว่าจะผ่าเลยไหมเพราะว่าหมอมีคิวว่างก็เลยจัดการไปซะ

   รวดเร็วทันใจ

   “นี่เรายังรู้สึกตึงๆ อยู่เลยอะ”

   เอื้อมงอแงมาตั้งแต่ตอนที่เขาตัดสินใจโดยพละการให้ผ่าเลยแล้ว ก็มาทั้งทีถ้าได้ทำก็ทำไปเลย จะมาหลายๆ รอบทำไม ตื่นเช้านี่มันไม่ใช่เรื่องสนุกสักหน่อย

   “งั้นเย็นนี้คงต้องกินโจ๊กแล้วล่ะ”

   หยิบเอาซองน้ำแข็งที่กลายเป็นของเหลวหมดแล้วกองเอาไว้รวมกับขยะชิ้นอื่นภายในห้อง ส่องดูในถุงยาว่ามันมีอันไหนที่ต้องทานก่อนและหลังอาหารบ้าง นี่ต้องห้ามไม่ให้เอื้อมกินยาแก้ปวดเกินอัตราด้วย ตั้งแต่ออกจากห้องผ่ามานี่ร้องหามาหลายรอบแล้ว

   “ไม่อยากกินโจ๊ก”

   “แล้วกินอย่างอื่นได้เหรอ”

   “...”

   “ไว้หายแล้วค่อยไปกินย้อนหลังกัน”

   บทเกลี้ยกล่อมนี่ถนัดมากที่สุดเลยล่ะ ถ้าอยากจะล่อเอื้อมให้ทำตามแค่หารีวิวภาพสวยๆ สักโพสต์มาก็เพียงพอแล้ว

   “แต่ว่าตอนนี้ก็หิวแล้ว”

   “งั้นทำข้าวต้มให้ก่อน เอาไข่เจียวด้วยเนอะ”

   “...อยากกินเนื้อ เราเป็นสัตว์กินเนื้อ”

   มองใบหน้าของคนที่พยายามเก็กขรึมแต่ยังยกมือกุมหน้าแล้วก็ต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ ถ้าเป็นตอนปกติก็คงกังวลอยู่หรอก แต่พอเห็นแก้มบวมๆ นั่นแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ดูน่ากลัวสักอย่าง

   “จะทำหมูสับให้ด้วย แต่ไม่เค็มนะ” กลัวว่ามันจะทำให้อักเสบ “ห้ามกินอาหารรสจัด เดี๋ยวต้องไปผ่าหนองแบบเพื่อนเราไม่รู้ด้วย”

   อันนี้ก็เอามาขู่ให้เลิกซ่าได้อีกอย่าง เพื่อนของปรัญเคยผ่าตัดแล้วไม่เชื่อคำเตือนของทันตแพทย์ที่บอกว่าห้ามทานของรสจัดแล้วยังรักษาความสะอาดไม่ดี สุดท้ายก็เป็นหนองต้องไปหมอเจาะอีกครั้งแถมยังเลื่อนวันตัดไหมอีกต่างหาก

   จะว่าไปกว่าเอื้อมจะตัดไหมอีกตั้งสัปดาห์หนึ่ง

   สงสัยกว่าจะถึงวันนั้นคนที่ต้องอัดยาแก้ปวดน่าจะเป็นปันมากกว่า

   “แต่ถ้าข้าวต้มจืดแล้วหมูยังจืดอีกมันจะไปอร่อยอะไรล่ะ”

   “ตอนนี้ต้องกินเพื่ออยู่ เก็บเรื่องความอร่อยไว้ก่อน”

   ถ้ายังเถียงต่อไปวันนี้สงสัยไม่ได้ทานแน่ เขาลุกจากเตียงเดินออกไปส่วนกั้นห้องครัว นึกว่ายังพอมีเนื้อหมูเหลือจากปาร์ตี้ปิ้งย่างเมื่อวันก่อนหรือไม่ ถ้าไม่มีนี่งานเข้ารัวๆ เลยล่ะ

   ไม่มีร่างของคนแก้มบวมตามมากวนจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย วางทุกอย่างเอาไว้บนโต๊ะสารพัดประโยชน์แล้วตะโกนเรียกให้เจ้าของห้องออกมาทานได้

   แต่จนแล้วจนรอด ไปหยิบน้ำเปล่าออกมาวางเอาไว้สองแก้วแล้วก็ยังไม่มีวี่แววจะออกมา ช่วงคิ้วขมวดเข้าหากันพลางเดินไปตามด้วยตัวเอง คิดเอาไว้แล้วว่าถ้าไม่ยอมออกมาดีๆ จะต้องมีการดุเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กับบางเรื่องเอื้อมก็เอาแต่ใจเหมือนเด็กสมกับที่เพื่อนเรียกกันว่าคุณเอื้อมจริงๆ แหละ

   เรียกว่าไม่ค่อยต่างจากที่คิดเท่าไหร่ตอนที่เห็นคนเหมือนจะป่วยนอนตะแคงอยู่บนเตียง สายตามองตรงบนหน้าจอที่ยังสว่างจ้าตัดกับความมืดของห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟ เขาคลำหาสวิทช์ไฟในความมืดเป็นการเตือนขั้นแรก พอคนตรงนั้นยังไม่ยอมขยับก็ต้องใช้ไม้แข็งขั้นต่อมา

   “กินข้าวครับ”

   “...”

   “เอื้อม เดี๋ยวก็หิวหรอก”

   “มีแต่หมูสับกับไข่จริงเหรอ”

   พยักหน้าจริงจัง บอกว่าไม่ได้ล้อเล่น

   “ลงไปซื้ออกไก่ในเซเว่นมากินเพิ่มได้ไหมอะ”

   “โซเดียมเยอะ”

   “...”

   “ฝืนหน่อยเนอะ” เดินไปจับข้อมือของคนบนเตียง ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ ”ตอนนั้นเรากินไม่ได้แค่วันสองวันเอง แป๊บเดียว”

   ตะล่อมเข้าไปเดี๋ยวก็ยอมเอง เอื้อมทำหน้ายุ่งอยู่สักพักแต่ก็ไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไรเพิ่ม เขาเลยเพิ่มระดับการบริการโดยกลับหลังหัน ย่อตัวให้ขี่หลังได้โดยสะดวก ด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ก็เลยแอบทุลักทุเลเล็กน้อย เสียงบ่นงึมงำว่ามันยังได้รสเลือดค้างในปากอยู่เลย

   ส่งผู้โดยสารลงตรงเก้าอี้สำหรับทานอาหาร มีการมองมื้อเย็นบนโต๊ะแล้วถอนหายใจออกมาอีกน่ะ

   “ถ้าไม่ใช่ปันเราไม่ยอมขนาดนี้หรอกนะ”
 


   อีกสิบนาทีจะได้เวลาเข้าเรียนในภาคเช้า

   แต่ตอนนี้เอื้อมอารัญยังไม่หยุดส่องกระจกเลย

   “...เราไม่ไปเรียนได้ไหม”

   “ไม่ได้ครับ” ไม่มีเวลาแล้วเลยต้องจับไหล่เจ้าของห้องเอาไว้ ออกแรงบังคับให้เดินออกไปทางประตูห้องสักที “มันเป็นเรื่องปกติที่คนผ่าฝันคุดเจอทั้งนั้นแหละ”

   เอื้อมอารัญไม่พอใจกับความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าตัวเองเลยสักนิด เขาส่องกระจกบ่อยครั้งเพื่อเทียบว่าอาการบอบช้ำของกล้ามเนื้อมันทุเลาลงบ้างหรือไม่ พอไม่ดีขึ้นก็หันมาโทษเขาว่าทำไมถึงไม่บวมเป็นเพื่อนบ้าง

   คงเป็นผลมาจากหลายปัจจัยทำให้ผลลัพท์แตกต่าง ทั้งลักษณะของฟันแล้วก็หมอที่เจอ จำได้ว่าตอนนั้นแก้มเขาบวมได้ไม่ถึงครึ่งของที่เอื้อมกำลังเจอเลยด้วยซ้ำไป จากวันแรกจนถึงวันที่สามมันคงถึงช่วงพีกพอดีด้วย

   “ฮิวจะต้องล้อแน่เลย”

   “มันก็ปากหมาไปเรื่อย”

   “หิว วันนี้เอาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ข้าวต้มได้ไหม”

   “แต่เอื้อมก็กินอย่างอื่นไม่ได้นี่นา ให้เราไปซื้อพวกเจลลีไหมล่ะ” วันนี้ปันไม่มีเรียนภาคเช้า แค่ขับรถไปส่งแล้วรอเรียนตอนสิบเอ็ดโมง มีหน้าที่เพิ่มหน่อยก็ตรงต้องเป็นไลน์แมนส่งข้าวเช้าดิลิเวอรี่ให้คนเข้าเรียนเกือบไม่ทัน “ไว้ค่อยไปกินมื้อกลางวันเป็นเรื่องเป็นราว”

   “อยากกินเนื้อ...”

   โคลงหัวให้กับประโยคที่ได้ยินบ่อยสุดในช่วงนี้ “ก็บอกแล้วว่าให้หายเจ็บก่อน”

   “แต่มันไม่อิ่มอะ ไม่อร่อยด้วย”

   คนผ่าฝันคุดนี่งอแงยิ่งกว่าคนไข้ในโรงพยาบาลอีกนะ

   ทำเวลาได้ดีในการขับจากคอนโดมาถึงหน้าคณะ หันมาตรวจสอบความเรียบร้อยของคนกำลังจะเข้าเรียนสายว่าลืมอะไรหรือไม่ เอื้อมกำลังสวมหน้ากากอนามัยสีขาวเพื่อปกปิดแก้ม ช่วงนัยน์ตาเขม่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ เห็นบ่นว่าใส่แล้วอึดอัดแต่ก็ถอดไม่ได้ น่าสงสาร

   “เข้าเรียนไป ข้าวเช้าเดี๋ยวตามมา”

   “อือ หน้าเราแปลกปะ”

   ขนาดจะลงรถแล้วยังไม่วายห่วง “ไม่นะ”

   “กลางวันกินข้าวมันไก่ได้ไหม”

   อย่างน้อยก็ต้องมีเนื้อผสมให้ได้สินะ ที่บอกว่าเป็นสัตว์กินเนื้อนี้ไม่ได้ล้อเล่นเลย

   “ได้ครับ”

   “ขอกำลังใจก่อนไปเรียนหน่อย”

   “แค่สามชั่วโมงเอง” ทำเป็นพูดงั้นแต่ก็ยกมือขึ้นไปยีหัวให้มันไม่เป็นทรงอยู่ดี ”เดี๋ยวซื้อชาเขียวปั่นมาฝาก วันนี้เพิ่มวิปให้ด้วยเลย”
 


   การแจ้งเตือนจำนวนมากในเฟซบุ๊กเป็นสิ่งที่ปรัญเห็นไม่บ่อยมากนัก

   ก็เขาไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กตัวนี้นี่นา วันหนึ่งจะเข้ามาสักครั้งเพื่อตรวจดูว่าเอื้อมอารัญโพสต์อะไรลงไปบ้าง แวะตอบให้รู้ว่าตามอ่านอยู่ แค่นั้นก็จบแล้ว

   ด้วยความสงสัยจึงกดเข้าไปดูรายละเอียด เพื่อพบว่าเป็นการแจ้งว่ามีการแท็กชื่อในคอมเมนต์จากยูสเซอร์เนม U Arun ทั้งสิ้น ปันสุ่มเช็กจากข้อความทั้งหมด มันพาเขาเข้าไปยังหน้าเพจรีวิวอาหารชื่อดังที่มีคอนเทนต์เกี่ยวกับร้านชาบูลดราคาสำหรับมื้อกลางวัน

   ส่วนแท็กอื่นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เป็นร้านอาหารจำพวกเน้นเนื้อสัตว์เป็นหลักทั้งหมด นี่กำลังประท้วงเงียบหรือยังไงกันนะ

   Parun P : ส่งมานี่กินได้แล้วเหรอ

   ไม่มีเพื่อนที่เรียนทันตแพทย์เลยบอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแก้มของเอื้อมถึงยังบวมไม่มีทีท่าว่าจะลดลงทั้งที่ผ่านมาเข้าวันที่ห้าแล้ว นอกจากนั้นก็ยังบ่นเสมอว่าสัมผัสได้ถึงรสเลือดในปาก

   U Arun : ได้!

   ตอนนี้เขากำลังรอเอกสารเกี่ยวกับใบเสร็จค่าจัดกิจกรรมของเด็กทุนจากเจ้าหน้าที่อยู่ ส่วนเอื้อมมีเรียนตัวบ่าย แต่ตอบเร็วอย่างนี้ไม่ตั้งใจเรียนอยู่แหง

   Parun P : แน่ใจ?
   Parun P : นี่เด็กแก้มบวมที่ไหนกันนะ


   เข้าไปตรงอัลบัมรูปแล้วกดส่งภาพสุดท้ายให้ เขาเพิ่งถ่ายเมื่อเช้าตอนรอชาเขียวปั่นอยู่ข้างร้านขายเครื่องดื่ม เป็นรูปเอื้อมกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ มีผ้าสีขาวปิดไปครึ่งหน้า สถานะตอนนี้คือลืมอะไรก็ได้แม้แต่แฟ้มหนังใส่หนังสือแต่ห้ามลืมที่ปิดปาก

   U Arun : ...
   U Arun : บวมแต่ก็กินได้


   เนี่ย ไม่เถียงว่าไม่บวมแต่ก็ยังยืนกรานว่าทานได้ ดื้อได้อีก

   Parun P : งั้นเย็นนี้ไปกินกัน เลือกร้านไว้เลยนะ
   U Arun : เย้ะ


   ยิ้มให้กับหน้าจอที่มีข้อความสุดท้ายเป็นสติกเกอร์กระต่ายไฮเปอร์กำลังถูหน้ากับกระต่ายอีกตัว ช่วงนี้เอื้อมชอบมันมาก บอกว่าดูน่ารักและกวนบาทาไปในคราวเดียวกัน จะว่าไปแล้วส่งไปเตือนว่าห้ามลืมหยิบเอายาฆ่าเชื้อไปด้วยดีกว่า เดี๋ยวทานไม่ครบแล้วจะยุ่ง

   “เอื้อมเอาไอติมไหม จะได้สั่งเลย”

   “…”

   ฝั่งตรงข้ามทำหน้ามุ่ย พยายามตัดเนื้อหมูสามชั้นในจานให้เป็นชิ้นเล็กเพื่อให้สะดวกต่อการรับประทาน ปรัญแสร้งทำเป็นตักไอศกรีมรสช็อกโกแลตเข้าปากเพื่อกลบรอยยิ้มเอ็นดูไว้ ขืนแสดงออกชัดเดี๋ยวเอื้อมก็คิดว่าเขากำลังแกล้งเยาะเย้ยอยู่อีก

   น่าจะเป็นมื้อที่ไม่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยกินมาแล้วมั้ง คนแก้มบวมยิ้มได้แค่ตอนที่เข้ามาในร้าน แต่พอเนื้อสุกชิ้นแรกเข้าปากไปก็เหมือนอย่างที่เขาเตือนเอาไว้ตั้งแต่แรก กว่าจะหมดทีละชิ้นได้นี่ยากลำบากเหลือเกิน

   “...”

   “เคี้ยวไม่ไหวก็พอแล้ว ไว้มากินใหม่ตอนหายก็ได้”

   ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีก่อนหมดเวลาที่กำหนด เขาน่ะสั่งเนื้อจนไม่รู้จะเพิ่มอะไรแล้วก็เลยเปลี่ยนมาทานของหวานดีกว่า ทั้งขำทั้งสงสารเวลามองเอื้อมทานแต่ละคำ บอกว่าให้สั่งแบบติดมันไม่เยอะก็ไม่เชื่อ

   แต่คนเอาแต่ใจก็ยังถือทิฐิเหมือนเดิม เขาเอาแต่ก้มหน้าทานไม่ยอมหยุด จากมุมนี้เห็นชัดเลยว่าแก้มข้างหนึ่งมันพองกว่ามากพอสมควร จะว่าไปถ้ามีแก้มเยอะๆ ก็น่ารักดี

   ยังดีที่เหลืออีกแค่ไม่กี่ชิ้นเลยไม่น่าจะโดนค่าปรับ เขาก็ถือวิสาสะสั่งน้ำแข็งไสราดน้ำแดงมาให้เลย อย่างน้อยก็น่าจะเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้มากขึ้นจะได้อารมณ์ดี พอเป็นอาหารที่ไม่ต้องเคี้ยวมากก็หายหน้าบูดไปหน่อย แต่ก็ยังไม่วายบ่นนั่นนี่ไปด้วย

   “เมื่อตอนกลางวันดีขึ้นแล้วนะ แต่นี่ทำไมอยู่ดีๆ ถึงขยับแล้วตึงอีกก็ไม่รู้”

   “อ่าฮะ”

   “ไม่เชื่อล่ะสิ”

   “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่มานั่งในร้านนี้หรอก”

   เอื้อมทำปากคว่ำใส่ “ปันใจดีอย่างนี้อีกแล้วอะ”

   “อ้าว ไม่ดีเหรอ”

   พอเอื้อมวางช้อนของหวานก็ได้เวลาเดินลุกออกจากที่นั่งไปเคาน์์เตอร์จ่ายเงิน เดี๋ยวโดนค่าปรับแล้วจะยุ่ง

   “ก็ทั้งที่รู้ว่าเราดื้อไม่เข้าเรื่อง ปันก็ยังไม่ห้ามเลย”

   “มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย” หยิบแบงก์เทาขึ้นมาส่งให้พนักงาน คว้าเอาลูกอมรสมินต์ที่เป็นของแจกกลับมาดับกลิ่นปากด้วย ”เอื้อมก็กินได้หลายชิ้นอยู่”

   เดินออกจากร้านในเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว เสียงเพลงดังลอยแว่วตามลมมาสมกับเป็นแหล่งรวมร้านค้ายามค่ำคืนของมหาวิทยาลัย เราต้องเดินกลับไปเอารถที่จอดห่างออกไปอีกสองช่วงถนนเพราะแถวนี้มันไม่ได้มีพื้นที่รับรองเพียงพอ ซึ่งก็เป็นการย่อยที่ดีเหมือนกัน

   “กลายเป็นเรารู้สึกผิดเลยเนี่ย”

   “ไม่เอาไม่คิดอย่างนั้นสิ” โอบคนข้างตัวให้เข้ามาชิด หรี่ตาลงเมื่อเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไป “นี่บวมน้อยลงแล้วนะ”

   “จริงเหรอ”

   “อืม แต่เหมือนจะช้ำแทน”

   “...”
 


   ปรัญยืนเป็นผู้เข้าร่วมพิธีกรรมบางอย่างที่จะเรียกว่าสาปส่งก็ไม่ใช่ สั่งลาก็ไม่เชิง

   “ลาขาด!”

   เป็นการโยนถุงยาที่มีไว้ติดตัวตลอดเวลาของคนไข้ผ่าฟันคุด และซองเปล่าที่อดีตเคยมีแมสก์หน้าบรรจุเอาไว้ลงถังขยะให้หมด
ตอนแรกนี่แค้นขนาดว่าจะค่อยๆ แกะยาที่เหลือในแผงทีละเม็ดจนกว่าจะหมด หรือถ้าเผาทิ้งแล้วมันไม่ทำลายโลกก็คงทำไปแล้ว ดีที่เขาปรามเอาไว้ทัน

   ตั้งแต่ผ่าตัดจนตอนนี้เกือบเข้าปลายสัปดาห์ที่สองทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางทั้งหมด ไม่มียาฆ่าเชื้อที่ต้องกินประจำทุกมื้ออาหารอีกแล้ว รวมถึงไม่มีการเรียกร้องขอยาแก้ปวดอีกเช่นกัน ส่วนใบหน้าของเอื้อมอารัญนั้นกลับมาเป็นปกติดีไม่มีทั้งรอยช้ำหรือว่าบวมอีก

   เมื่อวานก็เลยฉลองด้วยการทำตัวเป็นสัตว์กินเนื้ออีกครั้ง คราวนี้จัดหนักจัดเต็มจนคิดว่าสามารถเอาไปทดแทนกับคราวที่แล้วได้
แล้วมีการแกล้งบอกตอนกลับถึงห้องว่าเหมือนได้รสเลือดในปากด้วยนะ

   พอสบายใจแล้วก็กลับไปนั่งจุ้มปุ้กบนโซฟาต่อ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์อะไรไม่รู้ยิกๆ ปล่อยให้เขายืนไว้อาลัยให้ผู้เคราะห์ร้ายไปคนเดียว พอกล่าวทำสดุดีและไว้อาลัยในใจเสร็จจึงเดินมานั่งด้านข้าง หยิบรีโมตขึ้นมาเปิดดูซีรีส์ที่ยังค้างเอาไว้ตั้งแต่สี่วันที่แล้วในเน็ตฟลิกซ์ต่อ

   “สัปดาห์หน้าไปดูหนังกี่วันอะ”

   “สอง จันทร์กับพฤหัส”

   “งั้นพฤหัสเราไปด้วยนะ”

   “โอเค แต่ไม่ดูใช่ไหม”

   กระเถิบร่นขึ้นชิดกับพนักอีกหน่อยให้อีกฝ่ายสามารถนอนหนุนตักได้สะดวก เอื้อมช้อนตาขึ้นมามองเขาไม่ปริปาก นั่นหมายความว่ากำลังตัดสินใจอยู่แหละ

   “ไม่ดีกว่า ว่าจะหาที่อ่านหนังสือเตรียมควิซ”

   สงสัยกลายเป็นคนหวาดระแวงไปแล้ว หลังจากที่เอื้อมเป็นคนเอ่ยปากชวนไปดูหนังเราประเดิมกันด้วยประเภทสยองขวัญแบบที่ออกมาแล้วสามวันแรกต้องย้ายข้าวของมาอยู่ด้วยชั่วคราว ถ้าถามว่าแล้วทำไมไม่เลือกแบบอื่นก็จะตอบว่าเพราะปันไม่ใช่คนเลือกเองยังไงล่ะ

   ไม่ได้รู้สึกแย่กับการแบ่งโลกส่วนตัวออกจากกันชัดเจน เรายังมีกิจกรรมอื่นอีกหลายอย่างที่สามารถทำร่วมกันได้ ไม่จำเป็นว่าถ้าเราชอบอะไรแล้วจะต้องบังคับให้เป็นส่วนหนึ่งหมดทุกอย่างเสียหน่อย

   “ขยันจังเลย” หมั่นไส้คนตั้งใจเรียนเลยแกล้งเกาคางไปที แล้วก็โดนคุณแมวตัวใหญ่ตะปบกลับดังเพี๊ยะ “ตีเราทำไมเนี่ย ...โอ๊ย!”

   คราวนี้ไม่ใช่แค่ตีแล้วแต่เล่นจับท่อนแขนเอาไว้แล้วงับเสียเต็มที่ ที่เห็นรอยฟันจางๆ นี่แสดงว่าไม่ได้ออมแรงเลย

   “นี่เป็นวิธีการฉลองหรือไง”

   “ใช่ ตามวิถีสัตว์กินเนื้อ” ตอบหน้าตาเฉยไม่พอยังกัดลงไปอีกรอยข้างๆ อีกนะ

   ส่ายหัวเบาๆ ปล่อยให้คนเพิ่งได้ลับเขี้ยวตามใจ เอื้อมอารัญขยับริมฝีปากไล่ขึ้นมาเรื่อยจนถึงช่วงลาดไหล่ พอไม่ถนัดก็มีการพยายามขึ้นคร่อมให้สะดวกมากกว่าเดิม เขานั่งนิ่งเป็นตุ๊กตายัดนุ่นรับสัมผัสที่ยังต่อเนื่องไม่หยุด และคงเลยตามเลยหากไม่นึกบางอย่างออก

   “เอื้อม เรามีอะไรจะบอก”

   เสียงตอบรับแผ่วอยู่ข้างหู “ว่า”

   “ศุกร์หน้าหมอนัดผ่าที่เหลืออีกซี่นะ”

   “...”


***
   แทบจะไม่เคยเขียนเรื่องประมาณนี้เลยเนอะคะ เป็นตอนพิเศษอ่านเอาเรื่อยๆ ไม่ต้องเครียดอะไร สงสารก็แต่คุณเอื้อมที่ต้องเสียสละเจ็บตัวหน่อย (ฮา)
   ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-08-2018 21:15:29
ขอบคุณค่ะคุณเจ้าาา ได้เห็นมุมน่ารักคุณเอื้อมเพิ่ม ดีใจ และคาดว่ามุมนี้จะมีแค่ปันที่ได้เห็นคนเดียววว  :hao5:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-08-2018 21:39:19
ขำมากตอนท้าย ยังจะมีนัดผ่าอีกซี่เหรอ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 09-08-2018 01:15:29
แฮ่ม !!! สัตว์กินเนื้อที่น่ารัก  :mew1:
อยากจับคุณเอื้อมฟัดจริงๆ เล้ยยยยยย o18 o18
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 09-08-2018 21:16:44
เอื้อมก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ
ปรัญต้องกลั้นขำจนปวดแก้มแน่เลยตอนอยู่ในร้าน เอื้อมเจ็บทีก็อ้อนปรัญได้แบบจัดเต็มเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-08-2018 21:45:49
คุณหนูเอื้อมงอแงน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × สิบเก้า (จบ) [21.7.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-08-2018 00:31:57
บอกตัวเองตั้งแต่เริ่มอ่านเลยค่ะ ว่าอย่าอินเกินนะแก (ฮา)

ไม่ใช่อะไรค่ะ กลัวกลับมานอยด์มาคิดมาก จิตตกไปคนเดียวงี้

กลัวคิดจนปวดหัวหรืออินจัดร้องไห้จนปวดหัวงี้ 555

พออ่านๆมาน้ำตาคลอนิดหน่อย จนมาเจอคำที่คุณเอื้อมบอกว่า

วันนั้นเป็นวันที่จะฆ่าตัวตายงี้ น้ำตามาเป็นเขื่อนเลยค่ะ

มันอัดอั้น แบบเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของคุณเอื้อม

ที่พูดอะไรไม่ได้ พอพูดไปก็จะหาว่าโกหกอีกแล้ว แก้ตัวอะไรงี้

พอเราไม่ตอบโต้หรือพูดอะไรไปก็บอกว่าที่ไม่เถียงไม่ว่า

คือเรื่องจริงสินะงี้ สงสารคุณเอื้อมมาก แตกร้าวไปมากมายเลย

แต่คุณเอื้อมก็คือดีมากๆเลยนะคะ ถ้าคนอื่นงี้ หรือโลกความจริง

คนๆนั้นอาจทำตามความคิดไปตั้งนานแล้ว คงหนีจากโลกนี้ไป

นานแล้วอ่ะ โลกนี้มันโหดร้ายมากๆ แต่ก็ไม่สิจะบอกว่าโลก

คงไม่ได้ ต้องบอกว่าคนเราหลายๆ คนก็โหดร้ายเกินไป

เราอาจพิมพ์งงๆ ไปมากๆ แบบมันอัดอั้นอ่ะ พิมพ์ไปไม่ถูก

แต่สงสารคุณเอื้อมมาก กอดๆ น้า ดีใจมากที่คุณเอื้อมได้มาเจอ

กับคนแบบปัน มันดีมากๆ ที่มีคนเข้าใจเราหรือคิดกับเราได้แบบนี้

เวิ่นเว้อมาเยอะ สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เรื่องนี้นะคะ

อ่านแล้วได้มุมมองความคิดอะไรมากมายเลยค่ะ ได้แนวทาง

ปล่อยวางในการคิด การเก็บมาคิด มาเครียด ขอบคุณนะคะ

อ้อ แล้วก็เป็นกำลังใจให้คุณเจ้าด้วยนะคะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ [8.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-08-2018 00:41:19
 :laugh: ถถถถ คุณเอื้อมมมม 5555 เอ็นดู ยังเหลืออีกซี่ 5555

คุณเอื้อมเวอร์อ่านแล้วก็อยากบีบแก้มละเกิน น่ารัก
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 13-08-2018 21:19:13
พิเศษ สอง

[Violin Class]
 

   “พอสีแบบสายเปล่าเสร็จก็กดนิ้วชี้ลงไปที่สายเส้นที่สาม”

   “อย่างนี้เหรอ”

   “นั่นมันเส้นที่สอง”

   “อ้าว”

   “เรามาเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่การอ่านโน้ตดีไหมปัน?”

   นั่นเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับปรัญ เขาถอนหายใจออกมายาวยามลดเครื่องสีสี่สายในมือของตัวเองลง หมุนข้อมือที่เริ่มล้าจากการจับคอร์ดเป็นเวลานานพอสมควร

   “ก็ดี ไวโอลินนี่เล่นยากจัง”

   “ไม่ยาก อ่านโน้ตเป็นก็สีได้แล้ว”

   “แค่อ่านโน้ตก็ยากแล้วเถอะ”

   ได้ทีก็ขอบ่นหน่อย นี่เอื้อมเกิดอารมณ์ดีอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ถึงย้อนความหลังเรื่องที่เคยคุยกันเล่นๆ ว่าจะสอนไวโอลินให้ ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่มีใครกลับบ้านทั้งคู่ก็เลยว่างงาน สุดท้ายก็เลยได้เปิดคอร์สสอนไวโอลินหนึ่งศูนย์หนึ่งซะงั้น

   เห็นเป็นเครื่องดนตรีที่มีแค่สี่สายก็ใช่ว่าจะชิล ตอนเห็นเอื้อมเล่นก็แค่ว่ากดๆ ปล่อยๆ แล้วก็ขยับโบวขึ้นลงเท่านั้น พอได้มาจับเองถึงรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย

   คุณเอื้อมที่กลายเป็นครูเอื้อมก็ไม่คิดจะปราณีลูกศิษย์เลยสักนิด เขาเข้มตั้งแต่ขัดยางสน จับโบวให้ถูกต้อง แล้วยังต้องถือไวโอลินให้เป็นมุมเก้าสิบองศาถูกต้องอีกต่างหาก อ้อ ที่ตีมือแล้วบอกว่าไม่ให้ค้ำมือรองแผงกดนิ้วอีกด้วย

   ไม่รวมกับที่สอนอ่านโน้ตอีก

   แค่ต้องจำว่าตำแหน่งไหนเรียกว่าตัวโดถึงทีก็ลำบากแล้ว พอเอาดินสอมาเขียนกำกับกลายเป็นตัวอักษรเอถึงเอฟให้ปวดหัวอีก เขาที่ยังจำได้แค่ตัวโดคืออันกลมด้านล่างที่มีเส้นขีดคร่อมกลางก็เลยสมองเออเร่อไปชั่วคราว ก็เลยได้ข้อเสนอว่าลองเล่นเลยก็ได้เผื่อจะดีกว่า

   “หรือว่าจะจำแค่ว่าตัวนี้ต้องกดตรงไหนล่ะ อย่างนั้นน่าจะง่ายกว่าไหม”

   “ถึงจะจำแบบนั้นได้ถ้าเอื้อมบอกเป็นโน้ตมาเราก็งงอยู่ดี”

   “งั้นก็ต้องพยายามหน่อยนะครับนักเรียน อันนี้ตัวเร เส้นที่สาม”

   ปรัญล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงไม่เริ่มต้นที่โดให้จำง่ายๆ มาเริ่มที่เรทำไมให้ปวดหัว “อ่าฮะ”

   “แล้วก็ไล่ขึ้นไปตามปกติ ส่วนมากก็จนตรงทีคือนิ้วก้อยสายที่หนึ่ง”

   เจ้าของเครื่องดนตรีหยิบมันกลับไปพักที่ไหล่เตรียมพร้อม ไล่เสียงตั้งแต่สายเปล่าเส้นหนาสุดไปยังตัวสุดท้ายของอีกฝั่ง เนี่ย สายเปล่าเส้นแรกเริ่มที่ตัวซอล แค่นี้ก็เริ่มสับสนแล้ว

   “ที่จริงตัวโน้ตที่เราใช้นิ้วก้อยปกติจะมีค่าเท่ากับสายเปล่าของเส้นถัดไปด้วยนะ แต่ช่วงแรกเอาเบสิคก่อนแล้วกัน”

   โชว์ความแตกต่างให้ดูอีกครั้งประกอบคำอธิบาย บอกตามมตรงเลยว่าปันฟังแค่เสียงแล้วยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมถึงแยกออกว่าเป็นเสียใดบ้าง

   “เอื้อมไม่ปวดคอหรือว่าเมื่อยแขนบ้างเหรอ”

   ตอนถือเองก็เกร็งไปหมด มีสารพัดความกังวลตั้งแต่ว่าจะเผลอทำหลุดออกจากมือไหมไปจนถึงถ้าสายขาดกลางคันจะเป็นอย่างไร

   “ไม่นะ แต่อาจารย์เคยบอกว่าถ้าถือถูกท่าจะไม่ปวด”

   “แสดงว่าเราถือผิดท่างั้นสิ”

   ก็ว่าก็อปปี้ท่ามาถูกต้องแล้วนะ ไม่เหมือนตรงรายละเอียดไหนเนี่ย

   “ก็ยังผิดนิดหน่อย คนเพิ่งเริ่มเล่นก็งี้แหละ”

   มีการหันข้างให้เห็นด้วยว่ามือทางซ้ายควรตั้งฉากประมาณไหน เอื้อมบรรเลงเพลงคลาสสิกจังหวะคุ้นสองสามท่อนในท่ายืน เรื่องที่ตลกดีคือต่อให้เขากำลังใส่ชุดอยู่บ้านเต็มยศก็ยัง ‘ดูดี’ ไม่มีตรงไหนขัดตา หรือว่านี่เป็นอานุภาพของเครื่องดนตรีคลาสสิกกันนะ

   พอเป็นวันหยุดที่นักศึกษากลับบ้านกันก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องเสียง ตัวเก็บเสียงที่ทำจากยางก็เลยไม่ถูกนำออกมาใช้งาน ตามความรู้สึกแรกเลยคือไม่คิดว่าเครื่องไม้ที่เบาอย่างนี้จะเป็นแหล่งกำเนิดเสียงได้กังวาลได้ขนาดนี้

   “นี่ จำตามนี้นะ สายเปล่าเส้นสี่คือซอล แล้วก็เริ่มกดนิ้วชี้เป็นลา” นิ้วแรกกดลงไปตรงตำแหน่งบนแต่ไม่สุดของแผงกดนิ้ว “เว้นระยะหน่อยวางนิ้วกลางตามลงไปเป็นที นิ้วนางเป็นโด”

   และสายเปล่าเส้นต่อจากนั้นถึงจะเป็นเร เริ่มเข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงบอกว่ามันน่าปวดหัว

   ยกมือขึ้นเท้าคางระหว่างมองคุณครูสอนเบสิกซ้ำอีกครั้ง สายตามองตรงไปยังนิ้วมือเรียวสวยที่มีการยกและกดตามจังหวะ จะว่าไปแล้วมือของเอื้อมที่สวยจังเลยนะ

   “หมดเวลาพักแล้ว เอาไปลองซ้อมใหม่เร็ว”

   รับอุปกรณ์ดนตรีกลับมาไม่มีอิดออด หนีบมันเอาไว้ระหว่างไหล่กับคาง ลากโบวลงเป็นครั้งแรกที่ตัวซอล แล้วหลังจากนั้นก็เป็นลาสินะ

   “นั่นไม่ใช่ลา กระเถิบนิ้วลงมาอีกหน่อย”

   “...”

   เก็บความคิดว่าอยากร้องไห้เอาไว้คนเดียว สภาพตอนนี้เหมือนปันกลับไปเรียนวิชาประวัติศาสตร์สมัยมัธยมปลายกับคุณครูผู้หญิงเฮี้ยบๆ ที่ต้องเป๊ะทุกอย่างตั้งแต่ชุดนักเรียนยันสมุดส่งการบ้าน แค่หายใจเข้าตามปกตินี่ยังรู้สึกว่ามันยากลำบากเลย

   “นี่ กดตรงนี้” ปลายนิ้วอีกฝ่ายจัดตำแหน่งให้ถูกต้อง “ที่เราเคยเห็นบางคนสมัยเริ่มเรียนจะเอาเทปสีมาติดเอาไว้จะได้รู้ว่าต้องกดตรงไหน แต่เราไม่ทำเพราะคิดว่ามันไม่เท่”

   ความคิดนี่สมกับเป็นเอื้อมอารัญ

   “อะ ตรงนี้ใช่ไหม” คราวนี้เขาลองขยับตำแหน่งนิ้วชี้ลงมานิดหน่อยตามคำแนะนำ และพอทดลองเล่นอีกครั้งเขาก็พอฟังแล้วเห็นความแตกต่าง

   “ใช่แล้ว จับความรู้สึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็คุ้นเองแหละ”

   “ล่ะก็เว้นระยะหน่อยก่อนกดนิ้วกลาง”

   “ถูกต้อง ก็เรียนรู้ไวนี่นา”

   ที่อยู่ในใจคือถ้าขืนทำไม่ได้ก็จะโดนลงโทษไงล่ะ “เราเรียนรู้ช้าจะตายไป โดยเฉพาะกับดนตรี”

   “ไม่หรอก ไหนลองเล่นบรรทัดแรกเร็ว สี่ห้องเอง”

   อย่าคิดว่าเขาจะเข้าใจศัพท์ทางดนตรีทั้งหมดนั่นเลยนะ บางคำเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำไป

   สูดหายใจเข้าไปลึกเรียกสติให้พร้อม เขาเริ่มอ่านตัวโน้ตตัวแรกไปพร้อมกับขยับโบวลง พยายามเล่นตามจังหวะที่มีคนกำกับอยู่ข้างตัวเพื่อพบว่านอกจากจะรู้ว่าโน้ตตัวนี้แทนตำแหน่งไหนแล้วเขายังต้องรู้ด้วยว่าโน้ตตัวขาวกับตัวดำมันให้จังหวะที่แตกต่างกัน

   “ถ้าเป็นตัวขาวจะสองจังหวะ ส่วนตัวดำจังหวะเดียว”

   “...เราขอเวลานอก”

   เสียงหัวเราะของเอื้อมอารัญดูสะใจเสียเหลือเกิน “งั้นพักสิบห้านาทีเดี๋ยวมาต่อ วันนี้ต้องให้จบเพลง”

   “เอื้อมมม” เรียกชื่อเสียงอ่อนแรง นี่ยังไม่พ้นห้องที่สองเลยด้วยซ้ำ “แค่ครึ่งเพลงไม่ได้เหรอ”

   “ไม่ต้องมางอแง นี่อย่าลืมค่าสอนเรานะ”

   “เปลี่ยนจากค่าสอนเป็นเงินสินบนขอผ่อนผันหรือไม่ก็ยกเลิกได้ไหม”

   “ไม่ได้”

   ทีอย่างนี้ล่ะเด็ดขาดเชียว เขาแกล้งทำปากคว่ำใส่คนที่ยืนค้ำอยู่ตรงหน้า เอื้อมอารัญก็คงหมั่นไส้เลยบี้แก้มเขาเสียเยินไปหมด

   “ทำไมถึงเล่นไวโอลินอะ”

   ไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาเรื่องคุยออกนอกทะเล นี่เริ่มรู้สึกว่าปลายนิ้วชี้เริ่มเจ็บหน่อยๆ แล้วล่ะ

   “ที่จริงตอนแรกเราเล่นเปียโนอะ แต่พอประถมสามมั้ง เห็นคนเล่นไวโอลินในทีวีแล้วคิดว่ามันดูสนุกกว่าเปียโนก็เลยบอกแม่ว่าขอเปลี่ยน”

   “แสดงว่านี่ก็เล่นเปียโนได้ด้วย?”

   “ตอนนี้เหมือนจะเหลือแต่เพลงชาตินะที่เล่นได้” หัวเราะคิกคักท้ายประโยคบอกเล่าจนตาปิด “แล้วก็เล่นช่วงท่อนฮิตของฟัวร์ เอลิสได้”

   ทำหน้าเข้าไม่ถึงชื่อเพลงที่บอก แต่พอลองร้องท่องนั้นออกมาก็ร้องอ๋อ กลายเป็นว่าตัวจริงของเอื้อมไม่ได้คุณหนูแค่รูปลักษณ์แต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ด้วยสินะ ส่วนตัวเขาเองนี่เคยแตะเปียโนแค่ครั้งเดียวตอนไปเดินแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้ากับบ้านแล้วมันมีเครื่องดนตรีชนิดนี้ตั้งอยู่

   “แต่ก็ดีนะ ดูมีความสามารถติดตัว”

   “นี่ก็แปลกใจที่ตัวเองยังเล่นไวโอลินมาได้นานขนาดนี้เหมือนกัน ...เจ็บนิ้วเหรอ?”

   คุณครูเปลี่ยนไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังเกยคางลงตรงไหล่ด้านซ้าย ลอดมือมาแตะบริเวณที่ได้น่าจะอักเสบเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมดา

   ปรัญส่ายหัววืดแทนการบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร “เปล่า แค่ไม่ชินแหละ มือใหม่ก็งี้”

   “แน่ใจนะ?”

   “อือ”

   “ชัวร์?”

   ประสานมือตัวเองกับเอื้อมอารัญไว้ด้วยกัน “ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลยครับ”

   “ดีมาก”

   สัมผัสหยุ่นจากริมฝีปากของเอื้อมที่ประทับตรงหลังคอทำเอาสะดุ้งโหยง คนไม่ทันได้ตั้งตัวเอี้ยวหน้าไปมองเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยเพื่อพบยิ้มเล็กๆ ไม่น่าไว้วางใจเป็นสิ่งทักทาย

   “ตกใจเหรอ”

   “ใครจะไม่ตกใจล่ะ”

   “งั้นเดี๋ยวลองอีกทีจะได้คุ้น”

   “...”

   ปลงตกแล้วเรียบร้อยว่าคงห้ามอะไรไม่ได้แน่นอน ในมุมหนึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเคยแลกเปลี่ยนสัมผัสกันหรอกนะ ส่วนอีกใจหนึ่งก็ยังคงมีความหัวโบราณที่ย้อนแย้งกันเองอยู่

   คราวนี้พอมีเวลาให้เตรียมตัวมันก็เลยไม่เผลอแสดงอะไรประหลาดออกไป ริมฝีปากของเอื้อมอารัญแช่ค้างอยู่ตรงผิวเนื้อหลังคอของเขานานกว่าคราวที่แล้ว ส่วนตัวแล้วปรัญค่อนข้างชอบสัมผัสที่ได้รับนะ มันก็อุ่นๆ หวิวๆ แบบที่เป็นเหตุเป็นผลกับระบบการทำงานของร่างกาย

   พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็อารมณ์ดี คราวนี้นอกจากจะเกยคางไว้ตำแหน่งเดิมก็ยังสวมกอดเขาเอาไว้อีกด้วย

   “สบายใจแล้วล่ะสิ” พิงหัวชนกันเอาไว้ “เนี่ย แลกกับขอลดท่อนเล่นเหลือแค่บรรทัดครึ่งพอ”

   “มันไม่ควรจะต่อรองอย่างนี้ไหม”

   “เผื่อฟลุ๊กไง”

   “อืม...งั้นวันนี้พอก่อนก็ได้” ยังไม่ทันได้ร้องไชโยเลยก็โดนสกัดดาวรุ่งแล้ว “แต่ทำอย่างอื่นแทนได้ไหม”

   “อะไรล่ะ”

   คราวนี้เพื่อความสะดวกในการคุยเลยหมุนทั้งตัวไปประจันหน้า เอื้อมอารัญสบตากับเขาแป๊บเดียวก็เปลี่ยนไปก้มหน้าหลุบตามองต่ำ และพอเงยขึ้นมาอีกครั้งมันก็มาพร้อมกับคำเสนอที่ไร้ทางปฏิเสธ

   “ปัน เราอยากลองทำคิสมาร์กอะ”
 


   โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ยังเข้าใจว่าจากการเรียนไวโอลินเบื้องต้นมันมาจบที่นี่ได้ยังไง

   “เราเคยอ่านเจอว่าแค่ดูดแรงๆ มันก็เป็นรอยแล้ว”

   “อ่าฮะ”

   “แต่มันจะเจ็บหรือเปล่านี่ไม่รู้แฮะ”

   “งั้นลองกับตัวเองไปก่อนนะ เดี๋ยวเรารอ”

   “ปัน!”

   ช่วงตาดุจนเขาต้องยิ้มแห้งแก้เก้อ ปรัญนั่งขัดสมาธิหลวมๆ เอาไว้โดยมีเจ้าของห้องนั่งเอาหลังพิงพนักเตียงเหยียดขาอยู่ถัดไปทางด้านขวา แท่นวางโน้ตที่มีหนังสือสำหรับผู้เริ่มต้นวางเอาไว้เด่นอยู่สุดของขอบเตียงตั้งเอาไว้เด่นหราไม่มีใครสนใจอีกแล้ว

   “งั้นจะให้เราทำยังไงล่ะ”

   “นั่งเฉยๆ ให้เราทดลองก็พอ”

   กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ช่างสงสัยไปเสียได้ เขาพยักหน้าให้ความยินยอมพลางยื่นส่วนแขนไปให้จัดการตามสะดวก เอาคนไม่เคยมีประสบการณ์สองคนมาเจอกันนี่มันพิลึกสิ้นดี

   “ให้ทดสอบกับแขนปันก่อนเหรอ”

   “อ้าว ไม่งั้นจะเป็นตรงไหนอะ”

   “คอเลยได้ไหม”

   “...ลองกับแขนก่อนแล้วกัน”

   บทจะตรงก็เล่นเอาไปต่อไม่ถูกเลยล่ะ เพื่อความสะดวกเราเลยขยับท่านั่งให้ชิดกันมากกว่าเดิม จั๊กจี้เล็กน้อยยามริมฝีปากแตะลงมาครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากเรื่องของระบบประสาทสัมผัสหรือเปล่าเขาถึงไม่รู้สึกแปลกๆ เหมือนตอนที่จูบหลังคอ

   เพราะอีกฝ่ายก้มอยู่ก็เลยเห็นเพียงบางส่วน จำความรู้สึกที่ได้รับไม่ได้เลยด้วยซ้ำเพราะเอาแต่มองหน้าไม่สนใจช่วงแขนเลย ก็เอื้อมโหมดตั้งใจมันดึงดูดจะตายไป

   เส้นแบ่งระหว่างความเป็นธรรมชาติกับเรื่องน่าอายของกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทางเพศเป็นเรื่องที่ยากต่อการอธิบาย สำหรับปันเองเขาค่อนไปทางมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรให้มันมากความ ถ้าอยากจะลองก็ลอง ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย

   เหมือนอย่างตอนจูบเขายังเริ่มก่อนเลย

   “นี่เรียกว่าขึ้นแล้วไหมอะ”

   มองรอยแดงจางๆ แทบมองไม่เห็นตรงแขนตัวเองแล้วตอบไปตามตรง “ไม่น่านะ”

   “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”

   อาการผิดหวังแสดงออกชัดผ่านสีหน้าและน้ำเสียง ปากยู่ไม่พอใจในผลลัพท์ที่เกิดขึ้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพาร์ตของเอื้อมที่เขาจะไม่ยอมให้คนอื่นได้เห็นเป็นอันขาด

   “ผิวตรงนี้อาจจะหนากว่ามั้ง ลองที่อื่นไหม” ลองนึกๆ ดูว่าบริเวณไหนที่เหมาะกับการทำรอยอีก “คิดว่าแถวไหล่ไม่ก็อกน่าจะได้อยู่นะ”

   “งั้นปันถอดเสื้อเร็ว”

   “...”

   แค่วันนี้วันเดียวนี่โดนไปกี่ดอกแล้วนะ ความที่เป็นวันหยุดธรรมดาไม่ต้องออกไปไหนก็เลยใส่ชุดแบบอยู่บ้านเต็มที่ นั่นก็คือเสื้อยืดพอดีตัวจากค่ายเด็กทุน เขาว่าจะเล่นตัวอิดออดแต่พองามในทีแรก หากความจริงจังที่ส่งมามันแน่วแน่เสียจนทำได้แค่ยอมทำตามเหมือนอย่างทุกที

   เป็นคนใจดีของเอื้อมก็อย่างนี้แหละ

   ขอบคุณที่ห้องนี้อยู่บนชั้นสูงสุดและหันออกไปยังพื้นที่รกร้างด้านนอก ไม่อย่างนั้นอีกฟากของตึกคงสงสัยว่าเราสองคนกำลังทำอะไรตอนกลางวันแสกๆ

   ปกติแล้วไม่ได้โชว์เนื้อหนังให้ใครเห็นเท่าไหร่ ประหม่าก็ไม่น้อยเพราะรู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ฟิตหุ่นเหมือนใครเขา เพิ่งมามีช่วงหลังที่เริ่มดูแลสุขภาพเหมือนอย่างที่หลายคนทำเพราะการกินแบบที่เกินลิมิตไปมาก

   คราวนี้ก็เลยต้องเคลื่อนตัวขึ้นคร่อมอีกคนเอาไว้ให้ถนัดต่อการทดลอง เขยิบซ้ายขวาวางตำแหน่งที่นั่งได้สบายทั้งสองคน ปลายนิ้วด้านของคนเล่นดนตรีมานานแตะไล่ขึ้นลงระหว่างลำคอถึงช่วงอก ดูซีเรียสมากกว่าช่วงการสอนทั้งหมดรวมกันเสียอีก

   อากาศครึ้มฝนช่วยให้บรรยากาศในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี มันช่วยให้ร่างกายของเราไม่ชื้นเหงื่อจากความใกล้จนแนบชิดกัน คิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่แฟร์เลยที่ต้องเป็นฝ่ายถอดอยู่คนเดียว

   แต่ไม่เป็นไร รอให้ถึงตาเขาบ้างแล้วกัน

   “เราทำตรงนี้นะ”

   ได้คำตอบสุดท้ายเป็นช่วงไหปลาร้าเยื้องทางซ้ายหน่อย มีการแตะลงย้ำลงไปสองสามครั้งเพื่อยืนยันอีกด้วย ปรัญพยักหน้ารับทราบ คราวนี้ทำได้แค่มองตรงไปยังกำแพงห้องสีครีมไม่สามารถเห็นขั้นตอนทั้งหมดได้เพราะระดับความสูงที่ไม่สะดวกต่อการขยับองศาการมอง

   หลับตาลงไล่ความฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งไปแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกยามแรกรับสัมผัส น่าประหลาดใจที่มันร้อนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เสียงดูดดึงผิวเนื้อค่อนไปข้างน่าอายกว่าที่เคยได้ยินในหนัง ทั้งที่ร่างกายไม่ได้ขยับอะไรเขากลับรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องเริ่มอบอ้าวจนหายใจไม่สะดวก

   ในความมืดที่สร้างขึ้นมาเองเขารับรู้ได้ทั้งหมดว่ามันมีสิ่งใดดำเนินอยู่ มันสลับจังหวะดึงและปล่อยไปมาสองสามครั้งก่อนผละออก ตอนแรกก็นึกว่าเสร็จแล้วแต่ไหงมีการเลียซ้ำอีกครั้งจนเขาเผลอหลุดร้อง

   “แดงกว่าที่คิดอีกแฮะ”

   “ไหนดูผลงานหน่อย”

   ยันตัวออกมาพอให้มีพื้นที่ตรงกลาง ก้มลงมองไม่เห็นเลยหันไปคว้าโทรศัพท์ตรงข้างหัวเตียงมาเปิดกล้องหน้าแทน

   “...”

   จะว่ายังไงดีล่ะ ก็ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ว่ามันต้องเป็นรอยแดงกินพื้นที่เล็กน้อยไม่ได้สวยงาม ตอนนี้ยังคงเป็นสีสดแบบแผลใหม่ พอลองขยับดูก็ไม่เจ็บหรือว่าแสบอะไร

   “ต้องทำแถวคอจริงด้วย”

   ก่อนที่จะติดลมบนต้องรีบปรามเอาไว้ก่อน “มีคนที่เสียชีวิตเพราะทำคิสมาร์กที่คอแล้วเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ได้ด้วยนะ”

   “จริงจัง”

   “เปิดดูในกูเกิลได้เลย”

   ลองทำท่าจริงจังหน่อยเอื้อมก็ยอมอ่อนตามแล้ว แต่เรื่องนี้เขาไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมานะ เคยเห็นคนในทวิตเตอร์สักคนรีเข้ามาผ่านตา จริงไม่จริงยังไม่ได้หาข้อมูลเพิ่มแต่ขอโมเมเอาไว้ก่อน

   “งั้นตรงอื่นก็ได้”

   “ไม่ คราวนี้ตาเราบ้างแล้ว”

   จะไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรอกนะ
 


   คำสั่งในหน้าลบประวัติการเข้าชมโชว์ว่าได้ทำการลบตามที่ตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว ปันวางโทรศัพท์ลงข้างตัวพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หอพักที่เงียบสงบไม่มีเสียงรบกวนทำให้เสียงที่ออกมาดูดังกว่าทุกครั้ง

   เขาลองหาข้อมูลเกี่ยวกับช่วงระยะเวลาการคงอยู่ของรอยช้ำที่คอ ส่วนมากจะตอบเหมือนกันว่าขึ้นอยู่กับระดับความแรงในการดูด นี่ว่าจะรอดูอยู่ว่าผลงานในวันนี้จะกลายเป็นเช่นไรในวันรุ่งขึ้นตามระบบการทำงานของร่างกาย พนันว่ามันต้องกลายเป็นสีม่วงแหง

   ใครบอกว่าเป็นสีกุหลาบกัน

   ขอเถียงขาดใจเลย

   เอื้อมอารัญเวอร์ชันจริงจังกับอะไรบางอย่างเป็นเรื่องดี แต่กับการพยายามสร้างร่องรอยศิลปะบนร่างกายเขานี่มันก็ทุ่มเทเกินไปหน่อย นี่กลายเป็นว่าเราสลับกันสร้างรอยให้กันตั้งหลายจุดเพราะเขาไม่ยอมเสียเปรียบแน่ จะว่าก็ไม่ได้เพราะวัยรุ่นก็งี้ล่ะนะ

   เปิดกล้องหน้าขึ้นมาตรวจดูรอยที่ไล่ตั้งแต่ใต้สันกรามจนถึงส่วนล่างของกระดูกไหปลาร้าเพื่อเช็กความเป็นไปอีกครั้ง คิดไม่ออกเลยว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้สามารถไปเรียนได้โดยไม่มีใครทักเรื่องรอย ว่าจะเอาพวกพลาสเตอร์แผ่นใหญ่หรือไม่ก็แผ่นแปะแก้ปวดมาใช้ขัดตาทัพ

   บอกแล้วก็ไม่ฟังว่าอย่าทำตรงที่มันเห็นชัด จอมซนน่ะยังหัวเราะอารมณ์ดีตอนที่ทำรอยสุดท้ายตรงใต้สันกรามของเขาอยู่เลย คิดแล้วก็เสียดายที่ไม่ยอมทำคืนในตำแหน่งอื่นที่ปกปิดยากบ้าง

   หน้าต่างพอปอัปแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่จาก U Arun ส่งมาถึง เขากดเข้าไปดูว่านอกจากการทักมาว่าภาพสวยไหมแล้วมันมีอะไรอีกบ้าง

   “...”

   พูดอะไรไม่ออกก็คราวนี้แหละ ปรัญยกมือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้เกือบครึ่งตอนกดเข้าไปดูภาพเต็ม รู้เลยว่าหัวใจเต้นแรงแค่ไหนระหว่างรอโหลด

   ภาพถ่ายเห็นแค่ช่วงไหล่ข้างหนึ่งเสยขึ้นไปจนเกือบถึงใบหน้า ปรับแต่งให้สีหม่นลงไปนิดหน่อยพอยังให้เห็นเค้าเดิม สีของเสื้อและลักษณะของร่องรอยทั้งหมดนั้นมันคุ้นตาไปหมดเพราะเพิ่งส่องไปเมื่อสักครู่

   นี่เอื้อมแอบถ่ายตอนไหนกัน

   ค่อยๆ เลื่อนสไลด์ไปทางซ้ายเพราะจำได้ว่าไม่ได้ส่งมาแค่รูปเดียว แม้จะเขินอายกับความเป็นธรรมชาติของมันแต่ก็ยังอยากจะเข้าไปเสพงานศิลปะอยู่ดี

   ...

   ถ้ารูปก่อนเป็นเผาหลอกรูปนี้ก็คือเผาจริง

   เพราะคราวนี้มันไม่ใช่เสื้อที่เขากำลังใส่อยู่ และร่องรอยบนนั้นก็ลดระดับลงมาหลายช่วง นิ้วมือที่เกี่ยวคอเสื้อให้ต่ำลงไปเผยผลงานของตนเองทั้งหมด โทนสีของรูปถูกปรับให้คล้ายคลึงกับภาพก่อนหน้าสมกับเป็นเซ็ตเดียวกัน

   เข้าใจหรือยังว่าทำไมเขาถึงอยากเก็บเอื้อมอารัญเอาไว้คนเดียว


***
   ไม่อยากให้คาดหวังกับเจ้านะคะ (หัวเราะ) อ่านข้อความของตอนพิเศษที่แล้วก็ยิ้มคนเดียวค่ะ รู้สึกดีใจที่นานๆ ทีจะทำให้คนอ่านไม่หวาดระแวงและแฮปปี้เต็มที่ได้บ้าง (ฮา)
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 13-08-2018 21:42:34
2คนเล่นอะไรกันค้าว่าแต่ทำไมเราอ่านแล้วเราขำอ่ะ555
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-08-2018 22:11:40
นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้
ลุ้นใจจะขาด 5555555  :jul1:

น่ารักจริงๆ เล้ยยยยยย  :mew3:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 14-08-2018 22:25:29
เอื้อมอารัญเป็นคนร้ายกาจ
แต่ที่ร้ายกว่าปันปันนี่แหละ
หูย คิดถึงตอนที่ผลัดกันทำแล้วโอ้ยยยยย
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-08-2018 19:53:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 22-08-2018 21:42:48
น้องเอื้อมไม่ธรรมดานาจาาา มีความขี้ยั่วนะเราอ่ะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-08-2018 11:28:19
เคยทำพรีเซ้นต์ประเด็นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พอเข้าใจเลยว่าทำไมตัวเอกไม่อธิบาย เพราะถึงอธิบายไปก็ไม่จบ เดี๋ยวก็เอาไปโยงเรื่องอื่นเพื่อเอาไปพูดต่อจนได้  :เฮ้อ:  / กอดน้อง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 31-08-2018 12:41:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สอง [13.8.18] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 04-11-2018 14:35:46
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 23August ที่ 14-02-2019 19:28:38
[DATE]

   คนที่ต้องทำงานแม้กระทั่งในวันแห่งความรักนี่น่าสงสารหรือเปล่านะ

   ปรัญตั้งคำถามนั้นให้กับตัวเองระหว่างเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กระเป๋าสะพายข้างใบเก่งวางเอาไว้ข้างตัวยังไม่มีแผนที่จะหยิบอะไรข้างในออกมาวาง วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งวันที่เขาต้องมาทำหน้าที่เป็นนักศึกษาที่ดีก่อนที่จะโดนรายงานความประพฤติแล้วยึดทุนเสีย

   เปิดแฟ้มบันทึกข้อมูลตรวจดูว่าสถิติว่าในภาคเช้ามีคนเข้ามาใช้บริการมากแค่ไหน ตัวเลขที่เป็นศูนย์ไม่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาเพราะมันอาจจะมาตูมเดียวในภาคบ่ายนี้ก็เป็นได้

   เพิ่งรู้ตัวว่ามันเป็นวันวาเลนไทน์ก็ตอนที่เดินเข้าห้องเรียนไปแล้วเจอกับช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ของเพื่อนร่วมเซคคนหนึ่งวางหราอยู่ตรงเก้าอี้เล็กเชอร์บริเวณกลางห้อง แล้วพอเปิดทวิตเตอร์ขึ้นมาก็เจอแฮชแท็กเกี่ยวกับวันพิเศษนี้กำลังเทรนดิ้งอยู่

   ตอนที่บอกเพื่อนไปว่าวันนี้ก็ยังต้องมาประจำอยู่ในห้องที่ปรึกษาเหมือนอย่างเคยบางคนถึงกับตบบ่าปุให้กำลังใจ ซึ่งก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างนั้นเลยเหรอ

   “ทำไมเหม่อ?”

   สะดุ้งเล็กน้อยตอนที่มีหนึ่งสัมผัสตรงไหล่ทักทาย กะพริบตาถี่หันไปมองหน้าอาจารย์ประจำวันที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เจอ

   “พอดี...คิดอะไรนิดหน่อยครับ”

   จะให้บอกว่ากำลังคิดถึงสมมติฐานที่ว่าการทำงานในวันนี้มันเป็นเรื่องที่ดูประหลาดมากก็ไม่ใช่ แต่อย่างน้อยแล้วเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องมาติดแหง็กอยู่อย่างนี้ล่ะน่า

   “งั้นเอานี่ไป” กล่องกระดาษพับเป็นทรงถุงสีแดงพิมพ์ชื่อยี่ห้อคุ้นถูกยกขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา “กินของหวานหน่อยจะเผื่อจะคิดออก”

   “ขอบคุณครับ”

   “แล้ววันนี้มีแผนจะไปไหนกับเอื้อมบ้างเนี่ย”

   “ครับ?”

   “วาเลนไทน์ไง”

   “อ้อ ...ยังไม่มีนะครับ”

   ตอบไปตามความจริง นิสัยตรงนี้ของเขากับเอื้อมเหมือนกันตรงที่ว่าจะไม่มีการมาตื่นเต้นวางแผนสำหรับงานเทศกาลหรอก ปีใหม่ก็ยังแยกย้ายกลับบ้านแล้วอวยพรออนไลน์กันอยู่เลย ไม่ต้องถามเรื่องวันเกิดที่มีแค่คำอวยพรสั้นๆ พอเป็นประเพณีเท่านั้น

   ต้องถึงวันจริงนั่นแหละจึงตัดสินใจได้ว่าอยากจะทำอะไร ถ้าปัจจัยเอื้อก็ทำ ไม่เอื้อก็ช่างมัน

   ยังไงก็มีกันทุกวันอยู่แล้ว

   รับมันมาไว้ด้วยความรู้สึกผิดลึกๆ ว่าตัวเองก็ควรจะมีอะไรแลกกลับไปเหมือนกัน อาจารย์น่ะชอบบอกว่าไม่ต้องคิดมาก แค่ปันยอมอยู่ต่อจนเข้าปลายปีที่สองนี่ก็ดีมากแล้ว

   จากเด็กเฟรชแมนที่ถูกวางให้รับหน้าที่เป็นคนดูแลในส่วนนี้ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะจบปีสองแล้ว เขาไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนไปทำงานส่วนอื่นจนเป็นการล้างอาถรรพ์ว่าไม่เคยมีใครทำงานที่นี่ได้เกินหนึ่งปี ที่คิดเอาไว้ปีหน้าถ้ายังต้องใช้แรงงานแลกเงินอยู่ก็ยังจองที่นี่แหละ

   วางมันเอาไว้บนโต๊ะในมุมที่เห็นได้ชัด ไม่มีทางลืมหยิบติดมือกลับไปแน่ วันนี้แบกเอาโน้ตบุ๊กส่วนตัวมาด้วยเพราะต้องเร่งมือทำในส่วนของรายงานก่อนกลางภาค ในเมื่อยังไม่มีผู้ขอเข้ารับบริการรายแรกก็เลยใช้ช่วงเวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

   ตรงหน้าแรกของเฟซบุ๊กแจ้งเตือนว่ามีการแชร์ร้านขนมหวานกลางสยามเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วจากเอื้อมอารัญ นี่ก็อีกหนึ่งอย่างที่เขาคิดว่าตัวเว็บไซต์นี้พยายามทำตัวฉลาดมากไปหน่อย ก็ไม่ว่ากี่โพสต์ต่อกี่โพสต์ที่มีเจ้าของบัญชีชื่อ U Arun น่ะจะต้องแวะมาทักทายทุกครั้ง

   ที่คุยกันเมื่อเช้าล่าสุดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าตารางเรียนประจำวัน วันนี้ไม่ต้องไปดูหนัง แล้วก็นัดเวลาสำหรับมื้อเย็นเอาไว้เท่านั้น

   “ลงชื่อตรงนี้เลยครับ”

   นั่งมาเกือบชั่วโมงก็ได้เริ่มงานอย่างเป็นทางการสักที เมื่อประตูกระจกเปิดออกก็ปรากฎนักศึกษาคนแรกของวันมาในชุดเรียบร้อยที่เห็นจากภายนอกแล้วสุดแสนจะปกติ มีประสบการณ์มาเยอะจนรู้ว่าไม่ควรจะตัดสินไปเองก่อน

   เดี๋ยวรู้เลย บอกแค่นี้

   คนมาใหม่ยังยืนจังก้าอยู่ที่เดิมไม่ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม ลองชะเง้อออกไปดูก็ไม่เห็นว่าจะมีใครตามมาด้วย นี่ต้องเตรียมตัวพร้อมรับมือหรือเปล่านะ

   “ต้องลงชื่อนะครับ เป็นนโยบายของที่นี่” อันนี้ก็เคยถามอาจารย์เหมือนกันว่าถ้านักศึกษาไม่สะดวกใจที่จะให้ข้อมูลจะทำอย่างไร คำตอบก็คือกว่าจะรู้ว่าเป็นข้อมูลปลอมก็คุยกันเสร็จไปแล้ว

   ปฏิกิริยาตอบกลับเป็นศูนย์จนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง “แต่ใส่ชื่อมั่วก็ได้ ไม่ว่า”

   “ผมชอบพี่”

   “...”

   คำเอ่ยต่อจากนั้นเล่นเอาปรัญนิ่งไปเลย

   “วันนี้ไปเดทกันไหม”
 

   คำทำนายดวงรายวันของแอปแชตสีเขียวบอกเขาว่าวันนี้จะเป็นวันที่ทำอะไรก็ราบรื่น ไม่ต้องกลัวเรื่องความบาดหมางอะไรทั้งสิ้น รวมถึงมีเกณฑ์ที่จะได้ของขวัญชิ้นใหญ่อีกต่างหาก

   โกหกทั้งเพ

   “ผมบอกว่าจะเดทกับพี่ ทำไมถึงมีคนอื่นอีกอะ”

   ปรัญปล่อยให้คำถามจากคนนั่งเบาะหลังไม่มีคำตอบ ยกมือขึ้นนวดขมับที่เริ่มประท้วงเป็นระยะ

   หลังจากที่ได้ยินคำเชิญแล้วเขาได้ทวนกลับไปอีกครั้งว่ามีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นหรือเปล่า ผู้ชายที่เขายังไม่รู้จักชื่อ (แต่ถ้าเรียกเขาว่าพี่ก็เแสดงว่าอายุน้อยกว่า) ยังคงยืนยันว่ามันไม่มีการส่งสารที่ผิดพลาดอะไรทั้งนั้น นอกจากนั้นก็ไม่ยอมไปไหนจนถึงตอนเลิกงานนั่นแหละ

   สถานการณ์ดูตึงเครียดขึ้นไปอีกหลายระดับตอนที่เอื้อมอารัญมารับเหมือนทุกวัน ไม่มีโวยวายหรือทำหน้าไม่พอใจอะไรทั้งสิ้นหลังจากที่เขาอธิบายความเป็นมาแสนพิลึก พูดสั้นๆ แค่ว่าถ้างั้นก็ไปหาอะไรกินด้วยกันทั้งหมดนี่เลย

   ถึงอยู่กันมานานพอสมควรก็ยังบอกได้ไม่เต็มปากว่าคุณเอื้อมของทุกคนตอนนี้อยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหน ตอนนี้น่ะแค่หันไปมองคนที่กำลังขับรถอยู่ทางขวายังไม่อยากจะทำเลย

   “ปันว่าวันนี้ร้านอาหารคนจะเยอะไหม”

   “เยอะแน่นอน”

   สองคนแท็กทีมเหมือนไม่ได้มีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ด้วย “แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาคนกินข้าว น่าจะยังได้อยู่”

   เพิ่งห้าโมงกว่าเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นร้านยอดฮิตขนาดไหนก็น่าจะยังมีที่แหละ

   การทานมื้อเย็นพร้อมกันในวันที่ไม่ต้องเข้าเมืองไปดูหนังเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว เราใช้เวลาในช่วงกลางวันกับเพื่อนกลุ่มในคณะส่วนตอนเย็นก็เป็นของคนสองคน ยังคงมีความสุขกับการตะลอนหาของอร่อยทานเท่าที่จังหวะเวลาและเงินในกระเป๋าเอื้ออำนวย

   “ร้านไหนดีอะ หรือเข้าห้าง?”

   “เราไม่ค่อยอยากเข้าห้างเท่าไหร่เลย” บอกตามอย่างที่คิด ประเมินดูแล้วเวลานี้จะต้องมีเด็กมัธยมเดินเต็มไปหมด แล้วพอทานเสร็จก็จะมีเหล่านักศึกษาและคนทำงานมาเสริมอีก “คนเยอะแหง”

   “อยากกินบอนชอน”

   การแทรกเข้ามาในบทสนทนาของคนที่สามไม่น่ารักเท่าไหร่สำหรับปรัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ

   “ก็ได้นะ ปันลองจองในแอปเลย”

   จากที่ปวดหัวกับหนึ่งคน ตอนนี้คงต้องเพิ่มเป็นสองแล้ว เจ้าของรถยุโรปห้าประตูผงกหัวรับรู้พลางตบรถออกไปยังเลนขวาสำหรับเร่งความเร็ว ส่วนเขาเองก็สไลด์ปลดล็อกหน้าจอเตรียมสำหรับการจองคิวร้านอาหารอย่างที่ตกลงไปกันเมื่อสักครู่

   ไม่รู้ว่าคิดมากไปเองก่อนแล้วจะได้อะไรก็เลยช่างมัน ปล่อยเลยตามเลยเอาที่ทุกคนสบายใจ

   “พี่ชื่อเอื้อมนะ น้องชื่ออะไรเหรอ”

   “วา”

   “หืม”

   “ชื่อวิมวา”

   ยังไม่อยู่ในรัศมีการจองคิวได้เลยต้องรอไปก่อน แต่ก็ไม่อยากจะกลับไปมีส่วนร่วมในวงการพูดคุยนั้นเลยเปลี่ยนไปเช็กดูอัปเดตในทวิตเตอร์ดีกว่า

   “กำลังจะแซวเลยว่าชื่อวาเลนไทน์หรือเปล่า”

   “ใครจะตั้งชื่อลูกอย่างนั้น”

   “อย่าประมาทผู้ปกครองสมัยนี้”

   ข้อนี้เห็นด้วย ไม่ได้เจอมากับตัวแต่ว่าหลายคนเคยการันตีมาแล้วว่าชื่อเล่นของเด็กน้อยในยุคนี้มันล้ำหน้าจนตามไม่ทัน พอเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจออีกครั้งก็เกือบถึงที่หมายแล้ว คนยังมีหน้าที่อยู่จึงเข้าไปเตรียมกดรับคิวอีกครั้งตามคำสั่ง

   “บอนชอนคิวเยอะมาก เปลี่ยนไหม”

   ที่เห็นนี่ก็สิบกว่าคิว กว่าจะได้ทานจริงเอื้อมคงโมโหหิวแล้วกินน้องไปก่อน ชื่อร้านอาหารที่เสนอมาหลังจากนั้นสองสามชื่อก็มีจำนวนคิวมากไม่ต่างกัน สุดท้ายก็เลยจบที่ว่าเดินขึ้นไปเช็กหน้าร้านแล้วอันไหนคิวน้อยสุดก็เข้าไปเลย

   หนึ่งในชาบูร้านโปรดของเอื้อมอารัญคือปลายทางที่เราทั้งสามคนได้เข้ามานั่ง โต๊ะที่จัดไว้สำหรับสี่คนนั่งแบ่งเป็นสองคนคือเขากับเอื้อม ส่วนน้องวาครองอีกฝั่งคนเดียว

   แอบลอบมองเด็กที่ยังไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย วิมวาดูไม่ยี่หระหรือประหม่ากับการนั่งร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่น้องทำก็แค่ขอเป็นคนเลือกน้ำซุปเองแล้วก็เดินดุ่มไปกดน้ำดื่มให้ตัวเองหน้าตาเฉย สงสัยแต่ไม่กล้าถามว่าน้องกำลังคิดอะไรอยู่

   เกิดมาจนจะอายุยี่สิบก็เพิ่งเคยเจอเรื่องไม่คาดฝันได้เท่านี้ ไอ้การที่เดินมาบอกชอบในวันวาเลนไทน์เป็นหนึ่งในเหตุการณ์น่ารักสำหรับเด็กมัธยมไม่ต้องสืบ ต้องยอมรับว่าพอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วมันก็กลายเป็นความหวานแหวไร้สาระที่ไม่น่าสนใจไป

   “แล้วเห็นบอกว่าชอบปันเหรอ”

   “อือ”

   ถามง่ายตอบง่ายไม่มีความเกรงใจเขาเลยสักนิด ดีที่กลืนเนื้อหมูสไลซ์ลงไปได้ก่อนแล้ว

   “พี่ก็ชอบปันเหมือนกัน”

   ก็คิดนะว่าพวกเขาสองคนลืมว่าปรัญยังอยู่ตรงนี้หรือเปล่า

   มันไม่ใช่สงครามประสาทแต่อย่างใด ต่างคนต่างจริงจังอยู่กับผักและเนื้อในหม้อจนถ้ามองจากมุมคนนอกแล้วก็เป็นกลุ่มคนรู้จักที่มาทานอาหารด้วยกัน เขาเก็บความเหนื่อยใจเอาไว้ข้างในแล้วก็จดจ่อกับการทานด้วยการปลอบใจว่าอย่างน้อยท้องก็อิ่ม

   มาหลายครั้งจนรู้นิสัยการกินแบบ ‘แค่พอใจ’ ของเอื้อม ก็ถ้าเป็นอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์แล้วการทานจะไม่ใช่ยัดจนกว่าจะรู้สึกว่าคุ้มค่า เอาแค่เท่าที่รู้สึกว่าพออิ่มจากนั้นก็วางตะเกียบแล้ว

   “แล้วทำไมถึงชอบอะ” กลายเป็นการซักถามเสียอย่างนั้น เสกให้ตัวเองหูหนวกชั่วคราวจะได้ไหม “เล่าได้ปะ พี่อยากรู้”

   จะปรามก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ของหวานที่เพิ่งวางลงตรงหน้าของทุกคนดูไม่น่าสนใจเท่าหัวข้อที่กำลังออนแอร์ ปันใช้ไม้จิ้มพลาสติกหยิบเอาขนมโมจิสอดไส้คัสตาร์ตที่ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเอาไว้แล้วเข้าปาก ก่นด่าคำทำนายในใจว่ามันไม่มีตรงไหนที่เข้ากันเลย

   เนี่ย เรื่องบาดหมางมาไม่มีหยุดเลย

   หลอกลวงผู้บริโภค

   “พี่ปันช่วยแบกของขึ้นตึกกิจกรรมให้”

   นึกตามในเรื่องที่น้องเล่าไม่ออก ไม่กล้าออกตัวแรงว่าไม่เคยช่วยเพราะคนนิสัยอย่างปรัญน่ะเดี๋ยวก็แวะไปช่วยนู่นนี่ตามคำขอประจำ

   ยิ่งกับพื้นที่ที่เขาอยู่อาศัยบ่อยครั้งอย่างห้องเด็กทุนแล้วด้วย แค่เข้าไปตรวจความถูกต้องของเอกสารเฉยๆ ก็ยังเคยถูกลากให้ไปช่วยเคลียร์ห้องสำหรับชุมนุมปักษ์ใต้เลย ว่างอยู่แล้วเลยไม่ปฏิเสธ ได้คำขอบคุณมาพร้อมกับสัญญาว่าถ้าจัดงานรวมกลุ่มเมื่อไหร่จะให้บัตรเข้างานฟรีสองใบ

   “อ่าฮะ?”

   “ก็แค่นั้น”

   “ปันน่ารักเนอะ”

   “อื้อ”

   ไม่มีการแสดงความเป็นเจ้าของที่ออกหน้าออกตาจนน่าเกลียด รวมถึงไม่มีการใช้คำพูดยกตนข่มท่าน จนบางเสี้ยวความคิดก็รู้สึกว่ามันเหมือนการปรึกษาของคนหัวอกเดียวกัน ด้วยความที่เป็นครั้งแรกที่ต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้เขาเลยไม่รู้ว่าอีกคนมีวิธีการรับมือกับมันอย่างไร เท่าที่ดูมันก็ไม่ได้แย่อะไรเลยล่ะ

   “วาเอาอย่างอื่นเพิ่มไหม พี่ว่าจะสั่งไอสกรีมเพิ่ม”

   “ไม่เอาแล้ว”

   “เราอิ่มเรียบร้อย” โบกมือยอมแพ้ ถือว่าตัวเองจบมื้ออาหารนี้อย่างสมบูรณ์ “เอื้อมสั่งแค่ของตัวเองเลย”

   “โอเค”

   ถึงจะบอกอย่างนั้นไปในคราวแรก ในท้ายที่สุดของหวานเนื้อครีมรสชาเขียวก็ตกเป็นภาระของปรัญอยู่ดี คนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันยังคุยกันในเรื่องสัพเพเหระปนไปกับการวนกลับมาคุยเรื่องของเขาเป็นบางประเด็น อย่างกับเห็นคู่พี่น้องคุยกันเลย

   เอื้อมอารัญไม่มีพี่น้อง นั่นอาจจะเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่ทำให้ความไม่เข้ากันของเรื่องราวทั้งหมดไม่ลุกลาม คนมองโลกในแง่อย่างเขาก็ยังคงมีความหวังลึกๆ ว่ามันคงจะราบรื่นเหมือนอย่างที่คำทำนายบอก

   “แล้วรู้ได้ยังไงว่าปันทำงานให้ห้องที่ปรึกษา”

   “คนเราก็ต้องหาข้อมูลของคนที่ชอบไหมอะ”

   “ก็จริงนะ”

   จะสะกิดเอื้อมว่าเลิกถามได้แล้วก็ไม่กล้า ถ้าขอตัวลุกออกไปเข้าห้องน้ำตอนนี้มันจะทันหรือเปล่านะ?
 

   “เดี๋ยวเราขอแวะข้างล่างหน่อยสิ”

   นึกว่าจะกลับเลยหลังจากจบมื้ออาหารที่ใช้แต้มในบัตรจนได้ราคาสามจ่ายสอง รวมถึงบอกว่าเราสองคนเป็นคนเลี้ยงน้องวาเอง ไม่รู้เอื้อมจะลงไปซื้ออะไรเพิ่มอีก

   “ได้ จะซื้ออะไรเหรอ”

   “ไม่บอก ปันจะพาน้องเดทที่อื่นก่อนก็ได้”

   บทจะไล่ก็ง่ายดายเหลือเกิน เขาปั้นหน้าไม่ถูกนักตอนที่คนมาด้วยกันโบกมือลาแล้วก็เดินลิ่วไปยังบันไดเลื่อน ปล่อยให้เขายืนไร้จุดหมายอยู่กับน้องที่เพิ่งเจอกันวันแรกซะงั้น

   “อ่า...”

   “ผมไม่คิดว่าเดทแรกจะต้องมาจบที่ห้างอย่างนี้เลยอะ”

   มองใบหน้าติดตึงนั่นแล้วไปต่อไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม “แล้วอยากไปที่ไหนล่ะ”

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   “อ้าว”

   “แค่อยากไปกับพี่อะ ที่ไหนก็ได้”

   หัวเราะเอ็นดูให้กับคำบอกเล่าที่ดูไร้เดียงสา เสนอว่าถ้าไม่มีอะไรทำจริงก็จะชวนไปเดินเล่นตรงชั้นของเล่นสำหรับเด็กเสียหน่อย ถึงจะไม่มีดอกไม้แต่อย่างน้อยก็หาอะไรที่มันดูแล้วเข้ากับเอื้อมหน่อย

   ชั้นจำหน่ายของเล่นเด็กก็ยังคงเสียงดังเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ได้ดี เดินลัดเลาะจากหน้าประตูผ่านเข้าไปเจอกับสินค้าสีชมพูละลานตาจากแบรนด์ที่คุ้นเคย จากนั้นก็เข้าสู่ดินแดนลับแลที่หาทางออกไม่เจอจนกลายเป็นเรื่องของแล้วแต่บุญแต่กรรม ถ้าเจอก็ถือว่ายังมีชะตาผูกกัน

   “ม้าพวกนี้ดังมากเลยเหรอ”

   เห็นว่ามันมีไลน์สินค้าหลากหลายจนรู้ได้ว่าต้องได้รับความนิยมสูง เหมือนว่าเขาจะเคยไปดูภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องของพวกนี้โดยเฉพาะด้วยเมื่อหลายปีก่อน แต่จำเนื้อหาไม่ได้แล้วล่ะเอาจริง

   “ไม่ใช่ม้า ทไวไลท์สปาร์คเคิลเป็นอัลติคอร์น”

   เถียงกลับได้ขนาดนี้ก็น่าจะดังอยู่ “อะไรคืออัลติคอร์น”

   “ตามเนื้อเรื่องมันมีแยกย่อยอะ แอปเปิ้ลแจ็คเป็นเอิร์ธโพนี่” สิ่งที่ปรัญเรียกว่าม้าสีเหลืองใส่หมวกคาวบอยคือตำแหน่งแรกที่มือของวิมวาชี้ไป “ส่วนแรริตีเป็นยูนิคอร์น แล้วเรนโบว์แดชเป็นเพกาซัส”

   สีขาวหัวม่วง และสีฟ้าหัวสายรุ้งคือตำแหน่งการชี้หลังจากนั้น 

   “ส่วนตัวนี้ที่เป็นตัวเอกอะ คือสามเผ่าแรกผสมกัน”

   “โอเค เหมือนจะเก็ต”

   “พี่อย่าไปเรียกว่าม้าเชียวนะ เห่ยมาก” ปากเบะอย่างนั้นคือกำลังมองเหยียดเขาอยู่หรือไง “ชื่อก็บอกว่าอยู่ว่ามายลิตเติลโพนี่”

   พยักหน้าตามแบบไม่หือไม่อือไม่เถียงอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะเอากลับไปเล่าให้เอื้อมฟังว่ารู้หรือเปล่าว่ามันไม่ใช่ม้านะ

   หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กก็ไม่เห็นว่าจะมีการแจ้งเตือนใด เก็บความสงสัยเอาไว้พร้อมกับคำปลอบใจว่าเดี๋ยวเจอกันอีกครั้งก็รู้เอง ตอนนี้เหมือนจะเจอหัวข้อที่คุยกันรู้เรื่องก็ไม่อยากจะเข้าไปขัดให้บรรยากาศมันเสีย

   “แล้วเราชอบตัวไหนที่สุด”

   “ฟลัตเตอร์ชาย” กล่องกระดาษขนาดเกือบสองผ่ามือที่มีตุ๊กตาสีเหลืองหัวชมพูอ่อนตั้งอยู่คือสิ่งที่ถูกยกยขึ้นมาให้เห็นชัดเจน “น่ารักใช่ไหมล่ะ”

   “น่ารักดี”

   สารภาพโดยไม่อายเลยว่าจำชื่อทั้งหมดนั่นไม่ได้หรอก แล้วแต่ละตัวก็ไม่ได้มีแค่พยางค์สองพยางค์ เด็กน้อยพวกนั้นจำยังไงให้ได้ทั้งหมดนะ

   ก็ว่าไปนั่น ดิจิมอนมีกี่ร่างก็เคยท่องได้หมดเหมือนกันนั่นแหละ

   “พี่ถามแบบซีเรียสนะ ชอบพี่จริงอะ”

   “จริง”

   “แบบ...มันไม่ง่ายไปเหรอ”

   “คนเราไม่ควรดูถูกความชอบของคนอื่นนะ” เป็นประโยคเดียวที่โดนสองต่อ “ชอบก็คือชอบ จะเก็บไว้ทำไม”

   เริ่มเข้าใจความเอ็นดูของเอื้อม ปิ๊งไอเดียแปลกๆ ขึ้นมาได้ หยิบเอาสิ่งที่อยู่ในมือของวิมวามาถือไว้เองแล้วก้าวเท้ายาวไปทางจุดชำระราคาสินค้า เสียงน้องเรียกชื่อไล่หลังไม่ทำให้เขาผ่อนจังหวะการเดินได้ ซ้ำแล้วมันน่าแกล้งจนอยากจะเร่งฝีเท้าอีกต่างหาก

   ก็ตกใจนิดหน่อยตอนที่พนักงานแจ้งราคาสุทธิ ประเมินด้วยตาแล้วมันก็ไม่น่าจะใช้วัสดุอะไรที่มีราคาสูงเท่านี้ เงินสดเท่าราคาถูกยื่นไปให้พร้อมกับแจ้งความต้องการในส่วนของบริการห่อ น้องที่เป็นคู่เดทชั่วคราวหยุดรัวคำถามแล้วพอเห็นว่ายังไงเขาก็คงไม่ปริปากตอบ

   ได้รับถุงสกรีนลายโลโก้ของห้างในช่วงเวลาเดียวกับที่โทรศัพท์สั่นครืด การแจ้งว่าซื้อของเสร็จเรียบร้อยบวกกันนัดหมายสถานที่คือใจความจากปลายสาย โคลงหัวไล่ความเสียดายนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้ของตามที่วางแผนไว้ทีแรก อย่างน้อยก็ถือว่าไม่เสียเที่ยว

   “ช็อกโกแลต?”

   ถามเป็นมารยาทไปอย่างนั้นเมื่อสองถุงหิ้วในมือของเอื้อมอารัญนั่นมันเป็นของร้านของหวานที่ขึ้นชื่อเรื่องช็อกโกแลต

   “ใช่ ตอนแรกเราว่าจะซื้อเค้กอะ แต่ว่าวาเลนไทน์ก็ต้องช็อกโกแลตสิ”

   ก็บอกแล้วว่าชินกับนิสัยเหมือนจะไม่อินกับเทศกาลแต่ก็มีอะไรให้แปลกใจตลอด

   “แล้วทำไมสองถุงอะ” หรือว่าจะเอากลับไปให้คนที่บ้าน

   “นี่ของน้องวา”

   “ผม?”

   “มาเดทกับพวกพี่จะกลับไปมือเปล่าได้ไง” ทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าตอนที่บอกว่าจะไม่ยอมผ่าฟันคุดอีกสองซี่อีกน่ะ “รับไปเลยนะ”
คนอายุน้อยสุดในวงนั้นรับถุงจากมือของเอื้อมอารัญแบบงงๆ พอเขาเห็นอย่างนั้นก็ชิงส่งของตัวเองให้เลยด้วย

   วิมวาก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองทั้งสองข้างสลับไปมาสักพัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นมาหาเขาทั้งสองคน

   “ไหนบอกว่าพี่ปันใจดี”

   “อ้าว”

   “พี่โคตรใจร้ายเลย ทำอย่างนี้แล้วผมจะตัดใจจากพี่ได้ยังไง”
 

   การ์ตูนมายลิตเติลโพนี่ในเน็ตฟลิกซ์ที่เชื่อมต่อเข้าไปโทรศัพท์จอใหญ่ในห้องของเอื้อมอารัญคือฉันทามติที่เราสองคนใช้ฉลองเวลาที่เหลือในวันนี้

   ความสดใสของภาพกับเนื้อหาแสนน่ารัก เมื่อประกอบเข้ากับกล่องช็อกโกแลตที่หายไปเกือบครึ่งวางอยู่บนหน้าตักของเขาดูแล้วไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก แต่ก็อย่างว่านะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินหรือดูอะไรแต่ว่าอยู่กับใครต่างหาก

   “เราถามหน่อยว่าเอื้อมคิดยังไงกับน้องวา?”

   ยังมีสิ่งติดค้างอยู่และไม่อยากให้มันข้ามวันไป เสียงฮึมฮัมในลำคออย่างนั้นคือกำลังครุ่นคิดประมวลผลอยู่

   “น้องน่ารัก”

   “ไม่คิดมากเรื่องที่น้องบอกเหรอ”

   “ที่บอกว่าชอบปันอะนะ”

   “อือ”

   มือข้างหนึ่งของเอื้อมอารัญหยิบเอาชิ้นของหวานสีน้ำตาลเข้มเข้าปาก ที่ใช้เวลาตั้งนานก็เพราะว่าเอาแต่เลือกแล้วเลือกอีกอยากจะลองให้ครบทุกรสในกล่องเดียว

   “ไม่อะ”

   “จริงจัง?”

   “จริง คือตอนแรกที่ได้ยินปันเล่าก็ตกใจนิดหน่อยอะ แต่คิดไปมาแล้วใครไม่ชอบปันบ้างล่ะ”

   ศีรษะที่ซบลงตรงไหล่พาเอาความกังวลทั้งหมดหายวับไปกับตา เอียงคอเล็กน้อยกลับไปเหมือนกำลังสื่อสารกันผ่านทางโทรจิต

   “คือเอาตามตรงเลยนะ เราไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเจอเรื่องอะไรอย่างนี้”

   น้องวาไม่ได้รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขาทั้งสองคนจนน่าเกลียด ก็แค่ขอไลน์ไปโดยอ้างว่าตอนวันไวท์เดย์จะได้ให้ของตอบแทน ทำเป็นบ่นงอแงเรื่องของขวัญวาเลนไทน์แต่ก็เอาขึ้นเป็นรูปโปรไฟล์อยู่ดี

   “เราก็ไม่คิด” เสียงหัวเราะคิกคักถูกใจกับเรื่องที่เจอมา “แปลกดีเหมือนกัน”

   เอื้อมน่ะดูจะถูกชะตากับน้องเขาไม่น้อยเลย ไม่อย่างนั้นแล้วเราคงไม่ได้กลับมานั่งดูการ์ตูนเรื่องโปรดของวิมวาอย่างนี้หรอก รู้สึกเท่มากตอนที่อธิบายให้เอื้อมฟังได้ว่าไม่ใช่ม้าแต่เป็นอัลติคอร์นอะไรนั่น พอเห็นเจ้าตัวเหลืองที่น้องชอบปรากฎมาก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรถึงชอบ

   “แล้วถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอกชอบเราอย่างนี้อีก เอื้อมจะทำไง”

   ถามทีเล่นทีจริงไป ก็คนเราไม่รู้อนาคตนี่นะ

   “ไม่ทำอะไรทั้งนั้นอะ”

   “ไหงงั้น” ใจหล่นตุ้บเลยล่ะที่คำปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องเว้นเวลาทบทวน

   แรงกดทับตรงไหล่หายไปแล้ว การสะกิดทำให้เขาต้องหันหน้าไปหาคนข้างตัวที่งับของหวานไว้ตรงริมฝีปาก

   คลี่ยิ้มพลางโน้มตัวเข้าไปรับมันมาผ่านการจุมพิต ก็อย่างว่าล่ะนะเราไม่ได้เสพติดการสัมผัสร่างกายของกันและกันขนาดถึงกับว่าขาดกันไม่ได้ แค่มีบางครั้งแอบเล่นซนกันเช่นจูบระหว่างการชมภาพยนตร์รอบดึกที่ดูกันอยู่แค่สองชีวิตจากทั้งโรงหนังขนาดใหญ่

   รสสัมผัสขมของมันลงตัวกับกลิ่นของชาเขียวญี่ปุ่นดี

   “ก็คนที่ปันชอบคือเรานี่นา”

   และรอยยิ้มของเอื้อมอารัญน่ะคือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว


***
   เป็นครั้งแรกตั้งแต่แต่งมาเลยมั้งคะที่ได้เขียนตอนพิเศษเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์จริงจัง (หัวเราะ) 
   #ไม่มีความจริง
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 14-02-2019 23:28:42
อ๋อยยยยย เจอคุณเอื้อมแอคเทค
นึกว่าคุณเอื้อมจะงอแงซะอีก
มีความเอ็นดูน้อง...
Happy Valentine's Day นะคะ
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 12:21:12
น้องวิมวามาดี จากใจคนไม่ดูการ์ตูนคือเราก็พึ่งรู้ว่ามายลิตเติ่ลโพนี่ไม่ใช่ม้าอะปรัญ  :ruready
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: little_def ที่ 10-08-2019 13:42:03
ทีแรกอ่านไปก็ระแวงไป 5555
พออ่านจบแล้วก็คือดีมากเลยค่ะ คุณเอื้อมนี่มีทั้งความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นเด็กอยู่ในตัวเลย
หัวข้อ: Re: × ไม่มีความจริงในความจริง × พิเศษ_สาม [14.2.19] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 12:09:58
 :pig4: