#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ ♡24th: เรื่องดีๆในวันจันทร์ของผม(จบ) (29/10/18)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ ♡24th: เรื่องดีๆในวันจันทร์ของผม(จบ) (29/10/18)  (อ่าน 90387 ครั้ง)

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
11th Monday
#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ 




“ปกติโปรเจคฯเลิกเร็วเหรอครับ?”
“ไม่นะ ก็เลิกเท่าออฟฟิศปกติ”
“งั้นทำไมคุณพี่เมฆออกมาได้ล่ะ นี่ยังไม่ 5 โมงเลยนะ?”


ผมถามตามที่ผมสงสัย ในขณะที่พยายามจะแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง นี่ยังไม่ใช่เวลาเลิกงาน แล้วคุณพี่เมฆมาตรงนี้ได้ไงอะ?


ตามปกติบริษัทเราเข้า 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็นครับ ซึ่งน่าเบื่อมากเพราะไม่ว่าจะแตะบัตรเข้างานหรือตอกบัตรออกงาน เป็นเวลาที่รถติดทั้งนั้น ลองผมเป็น HR นะ ผมจะเสนอให้เข้างานบ่ายสอง ออกงานบ่ายสาม นี่ไง ลดปัญหาคนมาทำงานสายได้ด้วย เพราะเราจะเข้าออฟฟิศกันบ่ายครับ


ยังไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบอะไรสักพักประตูก็เปิดออก แล้วห้องที่ยังไม่ได้เก็บกวาดของผมก็ออกสู่สายตาประชาชนชาวออฟฟิศที่ชื่อคุณพี่เมฆ มันไม่ได้รกเหมือนบ้านบอลที่ฝูงเด็กไปทำรกหรือโต๊ะทำงานซุกซน แต่มันไม่ได้เป็นระเบียบเท่าไหร่ คือมันเรียบร้อยได้มากกว่านี้น่ะครับ


“โห นี่ซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย”


ถุงที่เขาอุตส่าห์โทรมาบอกว่าจะฝากนิติอาคารเอาไว้ปรากฏสู่สายตาของผม คือของมันเยอะมากๆเลยครับ สามถุงใหญ่ได้มั้ง เยอะในเลเวลที่ผมว่าผมไม่ได้แค่เป็นไข้หวัดธรรมดาแล้ว ผมน่าจะผ่าตัดดูดไขมันที่แก้มออกนอนพักฟื้นที่ห้องสองเดือนก็ยังกินของเยี่ยมคุณพี่เมฆไม่หมดน่ะครับ


ว่าแต่แค่ดูดไขมันแก้มมันพักฟื้นนานขนาดนั้นมั้ย? มีแบบดูดเย็นวันศุกร์เช้าวันจันทร์ทำงานต่อได้เลยหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นผมแอบสนใจครับ อยากทำแต่ป้ากๆคิมๆทั้งหลายไม่ยอมให้ผมดองอีเมลนานๆแน่นอน


“อ๋อ พี่ซื้อมากินเองอะ”


อ่าว แล้วเขาจะแบกมาหาผมทำไมอะ? 


ผมเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมองคุณพี่เมฆ ซึ่งตอนนั้นเองที่ได้รู้ว่าเขาแกล้ง เพราะไอ้คุณพี่เมฆกำลังยิ้มขำอยู่ ตลกอะไรอะ คนป่วยยังแกล้งได้ ใจร้ายมากๆ



“หลอกผมอะ”
“ก็เราไม่ยอมนอน ถ้าเราไปนอนพี่ให้กินหมดเลยเนี่ย”
“ผมไม่ใช่เด็กนะ”
“แต่ก็ไม่ยอมนอน”


คุณพี่เมฆเอามือจับแก้ม ซึ่งมันรู้สึกดีแปลกๆ อาจจะเพราะถ้าวัดไข้ปกติต้องใช้หลังมือแตนี่คุณพี่เมฆเอาฝ่ามือกุมแก้มผมไว้ข้างหนึ่ง วิธีนี้แปลกดี เหมือนจะทำให้แก้มผมอุ่นขึ้นอีกหน่อย แต่มันเป็นความอุ่นที่ดีจังเลย


“เนี่ยยังร้อนๆอยู่เลย ไปนอนไปแทนใจ”
 

ผู้บุกรุกห้องพูดแทรกความคิดผม แถมยังใจร้ายไล่ผมไปนอนในขณะที่ตัวเองเดินหอบถุงใบใหญ่เข้าครัวไป เจ้าของห้องผู้ยิ่งใหญ่อย่างผมที่เป็นพี่ชายน้องกายเดินตามไปด้วย เบื่อจะนอนแล้ว วันนี้นอนมาทั้งวันแล้ว อยากทำอย่างอื่นนอกจากนอนหลับกับนอนส่องเฟซบุ๊คคนอื่นบ้าง แต่จะให้ไปแสดงความยินดีที่เกาหลีรวมประเทศก็ดูจะยิ่งใหญ่เกินไป เอาเป็นแค่นั่งรอเลือกตั้งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน


“พี่ไม่แน่ใจว่าเราชอบทานผลไม้อะไร เลยซื้อมาแบบกลางๆก่อน”
“...”

ผมดูผลไม้กลางๆของเขา แล้วอะไรคือผลไม้กลางๆวะ มันมีผลไม้ข้างๆ หรือผลไม้ขอบๆด้วยเหรอ? ผมคิดในใจแล้วส่ายหัวเมื่อรู้สึกเองว่าความคิดแบบนี้มันแว๊บเข้ามาในหัวได้ไง ไร้สาระมากอะ รู้สึกเหมือนตัวเองคิดเหมือนซุกซน ซึ่งนั่นไร้สาระมากเลยนะ
 
“แอปเปิล ส้ม กีวี่ องุ่น กล้วย แล้วก็มีพวกน้ำผลไม้ พี่ไม่รู้ว่าแทนใจปกติทานน้ำอะไร—“
“ลาเต้”
“นอกจากลาเต้สิครับ เราป่วยอยู่นะ”
“ป่วยกับไม่ป่วยก็ดื่มน้ำวิธีเดียวกันนะคะ--- โอ๊ย เอ่บบบบบบบบบบบบ”  (“โอ๊ย เจ็บบบบบบบบบบบบบ”)

คุณพี่เมฆพูดต่อ แล้วเอามือยืดแก้มผม เจ็บบบบบบบบบบ ผมพยายามเอามือตีๆแขนคุณพี่เมฆเพียะๆ ซึ่งได้ผลเพราะเขาปล่อย น่าภูมิใจนะครับ ขนาดป่วยแรงยังเยอะ นี่ใคร! แทนใจพี่ชายน้องแทนกายเลยนะ!


Rrrr

ตอนที่กำลังสู้ด้วยคุณธรรมทั้งหมดที่มีเพื่อให้แก้มผมเป็นอิสระนั้น โทรศัพท์คุณพี่เมฆก็ดังขึ้นพอดี ทำให้เขาผละออกจากแก้มผมแล้วไปวุ่นวายกับโทรศัพท์บริษัทแทน ทำไมถึงรู้ว่านีเครื่องบริษัทน่ะเหรอ? ผมจำได้ครับ คุณพี่เมฆพกโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องสีขาวเป็นของส่วนตัวส่วนอีกเครื่องไม่ใช่


“สวัสดีครับคุณจักรเกษตร… ครับ …คุยได้ครับ ผมอยู่ออฟฟิศครับ”


โกหก! คุณพี่เมฆขี้โกหก!

แต่ผมเข้าใจนะ เพราะผมทำบ่อยมากครับเวลาที่สายแล้วในไลน์กลุ่มที่ทำงานถามว่าแทนใจอยู่ไหนแล้ว ซึ่งผมก็มักจะตอบว่าอยู่ข้างล่างออฟฟิศครับรอลิฟต์อยู่ ตอบบนมอไซต์นี่แหละครับ หนักสุดก็บอกว่าท้องเสียอยู่ห้องน้ำ แต่ไม่ได้บอกเขานะว่าห้องน้ำที่บีทีเอสสยาม ขอยามเข้าครับ


“เครื่องมันอาการเป็นยังไงบ้างครับ ที่มีปัญหาคือแค่ส่วนที่บอกมาใช่มั้ยครับ? ตรงเครื่องอื่นในไลน์ผลิตมีปัญหาอะไรมั้ยครับ?”


คุณพี่เมฆขมวดคิ้วท่าทางจริงจัง ผมเลยเงียบแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นแทน ห้องที่ผมอยู่ก็คอนโดธรรมดานี่แหละครับ แต่มีแยกโซนเป็นห้องครัว กับโซนห้องนอน ออกจากพื้นทีรับแขกด้านนอก น้องกายเป็นคนช่วยเลือก ส่วนคุณพ่อคุณแม่แล้วก็พี่รักคอยดูเรื่องทำเล สัญญา แล้วก็อื่นๆ ส่วนผมอะไรที่ทุกคนว่าดีผมว่าดีทั้งหมดเลยครับ


ตอนที่ผมเปิดปิดตู้เย็นอย่างไร้ประโยชน์เป็นรอบที่สามแล้วนั้น เลยคิดได้ว่าห้องมันออกจะเงียบไปหน่อย เพราะแขกไม่ได้ให้ความสนใจผมขนาดนั้น เรื่องในโทรศัพท์ของเขาดูท่าทางจะเครียด เพราะเขาปอกแอปเปิลไปครางตอบรับลูกค้า “ครับ ครับๆ ครับๆพูดต่อเลยครับ” เสียงจริงจังไปด้วย


“คุณจักรเกษตรลองปรับการตั้งค่าของเครื่องดูนะครับ”
“...”


คุณพี่เมฆพูดพร้อมกับล้างกีวี่ อะไรวะเมื่อกี้ยังเห็นปอกแอปเปิลอยู่เลย ทำไมมันเสร็จไวจัง ? นี่เชฟเมฆเหรอ? ไปแข่งทำอาหารมั้ยหรือยังไง ไม่ต้องเป็นแล้วโปรเจคฯ ไม่ต้องดูแลเครื่องจักร ไปดูแลกระทะกะละมังหม้อไหดีกว่า ไปเป็นคุณพี่เมฆกระทะเหล็ก!

 
“ครับ โอเค ตรงหน้าจอมันขึ้น alarm อะไรบ้างครับ?”
“...”


ผมมองอีกคนอย่างทึ่งๆ เขาคุยเรื่องงานเครียดๆไปพร้อมกับปอกกีวี่ได้ไงวะ? ลองเป็นผมนะมีดบาดนิ้วตั้งแต่เริ่มคิดที่จะคุยโทรศัพท์แล้วครับ แถมถ้าเป็นเรื่องงานนี่อย่าว่าแต่คุยพร้อมกับปอกผลไม้ แค่นั่งคุยเฉยๆผมก็ขอบายแล้วครับ คิดแล้วจะร้องไห้ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีกแล้ว
 

“มันยังสรุปยากครับว่าปัญหามันจะมาจากตัวเครื่องหรือว่าตัวซอฟต์แวร์ เพราะต้องลองเช็กลงไปอีกครับว่าที่มันเกิด alarm ขึ้นนี่เพราะตัวซอฟต์แวร์มันมีปัญหา หรือตัว part บางส่วนเกิดพังหรือชำรุด เครื่องมันเลยโชว์ alarm ขึ้นมาน่ะครับ”


ตอนนี้คุณพี่เมฆแกถลกแขนเสื้อจัดผลไม้ใส่จานแล้วครับ พอผมจะไปช่วยก็โดนดีดเหม่ง ไรอะ! นี่ห้องผมนะ ครัวก็ครัวผม ผลไม้ที่คุณซื้อมาก็มาเยี่ยมผมไม่ใช่เหรอ?! แล้วมาถือวิสาสะดีดเหม่งผมได้ไงเนี่ย


“นอกจากที่เป็นอยู่นี่ เครื่องเคยมี alarm แบบนี้เกิดขึ้นมั้ยครับ?”


เขายังมีสติอยู่ตรงนี้มั้ย?


ผมคิดแล้วก็ลองไปโบกมือหน้าคุณพี่เมฆที่เหมือนกับจะขมวดคิ้วเครียดอยู่ เพราะถึงกับวางผลไม้มาใช้สมาธิคุยโทรศัพท์อย่างเดียว ผลคือเขาก็ตอบคนในโทรศัพท์ไปด้วย แล้วเอามือยืดแก้มผมไปด้วย บ้าเอ๊ย! คุณครูสมัยอนุบาลไม่บอกเหรอว่าอย่ารังแกคนป่วยน่ะ ห้ามเลยนะ!


ผมก็สู้สุดใจด้วยแรงชายชาตรีครับ ตีคุณพี่เมฆเพียะๆอย่างไม่ย่อท้อ! ปล่อยสิวะ ปล่อยนะ ปล่อยผม!


“โอเคครับ”


เขาเลิกดึงแก้ม แล้วเปลี่ยนมาเป็นลูบหัวผมแทน ฮือ ดีจัง ชอบมากเลยครับเวลาที่คุณพี่เมฆลูบหัวผมเนี่ย


“ยังไงคุณจักรเกษตรลองส่งรูปมาทางอีเมลผมนะครับ เดี๋ยวผมจะไปถามกับทางทีมเซอร์วิสให้ แล้วผมจะใส่คุณเอาไว้ใน cc ด้วยนะครับ เผื่อว่าทางนั้นตอบอะไรกลับมาแล้วผมไม่เห็น ทางคุณจะได้เห็นเลย ผมอาจจะต้องขออนุญาตเอาเบอร์ของคนที่อยู่หน้างานให้เขาไป เผื่อจะติดต่อนะครับ ...”


ผมฟังถึงแค่นั้นแล้วเดินออกมาเมื่อถูกคุณพี่เมฆไล่ออกไปจากห้องครัว เลยหนีไปนั่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม คือนี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันเป็นห้องผมจริงๆ หรือเปล่า แต่เพราะผมขี้เกียจหาคำตอบของปริศนาธรรมนี้ (และคิดว่าไม่น่าจะสู้คุณพี่เมฆชนะ) เลยยอมถอยไปนั่งกอดผ้านุ่มบนเตียงแล้วไถมือถือไปด้วย


เอาจริง ตั้งแต่คุณพี่เมฆมาที่ห้องนี่ผมยังไม่ได้แตะมือถือเลยนะเนี่ย


16.30 น.


sky: พี่แทนใจครับ
sky: ผมสอบเสร็จแล้ว
sky: พี่แทนใจไปโรงพยาบาลหรือยังครับ?



น้องกายตรงเวลามากครับ เลิกสอบปุ๊บทักผมมาปั๊บเลย แต่ผมเข้าใจน้องนะ เราสองคนห่วงกันแบบนี้มากๆตั้งแต่เด็กแล้ว มีพี่แทนรักอีกคนหนึ่งด้วย เมื่อก่อนนี้ใครป่วยอีกสองคนแทบจะไม่อยากไปโรงเรียนเลย เฮ้อ พูดแล้วก็คิดถึงน้องกาย อยากกอดน้องกาย อยากกินเต้าฮวยด้วย อยากกินแซลมอนด้วย อยากเลือกตั้งด้วย

Tanjai: พี่หายแล้วครับน้องกาย
Tanjai: พี่ชายของน้องกายแข็งแรงจะตาย
Tanjai: *สติกเกอร์หมีชูนิ้วโป้ง*

sky: ผมไม่เชื่อพี่แทนใจได้มั้ยครับเนี่ย
Tanjai: ไม่เอาไม่คุยเรื่องป่วยแล้ว
Tanjai: สอบวันนี้เป็นไงมั่งครับ? น้องกายของพี่ทำได้หรือเปล่า?



หลังจากนั้นบทสนทนาของผมกับน้องก็เป็นเรื่องของการสอบวันนี้ครับ น้องบอกว่าน้องทำได้หมดยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งปกติผมจะคอยสอนน้องครับ แต่น้องผมหัวไวมากๆ พูดอะไรแป๊บเดียวรู้เรื่องเลยครับ ผมนี่คิดถึงสมัยเด็กเลย ถ้าผมหัวไวแบบนี้ตอนแอดมิชชั่นนี่ผมคงจะติดมหาลัยได้ง่ายๆแน่นอนครับ


ซึ่งปกติผมจะสอนน้องเอง แต่ตั้งแต่ผมทำงานเต็มตัวนี่เวลาสอนผมน้อยลงเยอะครับ ผมเลยให้น้องเรียนพิเศษกับติวเตอร์แทน


‘ก๊อกๆ’


“เข้ามาได้เลยครับ”


คุณพี่เมฆที่วางโทรศัพท์แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับจานผลไม้ แล้วก็ข้าวต้มในถาดเดียว ผมนี่ตาโตเลยครับ กลิ่นมันหอมมากๆ ผมมัวแต่ป่วยจนผมลืมไปเลยว่าวันนี้ยังไม่ได้กินอะไรนอกจากโจ๊กกระป๋องใส่น้ำร้อนโง่ๆ พอมีอาหารกลิ่นยั่วยวนผมก็อดน้ำลายสอไม่ได้


“เรายังไม่ได้ทานอะไรนอกจากโจ๊กเลยใช่มั้ยเนี่ย?”
“คุณพี่เมฆรู้ได้ไงอะ!?”
“คุณพี่เมฆ?” อีกฝ่ายทวนสรรพนามพร้อมเลิกคิ้ว แล้วพูดเรื่องที่ค้างไว้ต่อ “ก็ไม่เห็นมีจานวางในซิงก์ แถมไม่ได้มีอะไรในถังขยะนอกจากโจ๊กคัพไง พี่เลยเดาเอาว่าเรายังไม่ได้ทานอะไรน่ะสิ น่าตีจริงๆ”


เลิกทำงานออฟฟิศ ไปเป็นนักสืบกระทะเหล็กมั้ย แบบสืบไปด้วยทำอาหารไปด้วยอะไรแบบนี้น่ะครับ   


“หอมจังเลย”


ผมพูดเมื่อมองถาดอาหารทีคุณพี่เมฆวางไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่น ดีมากที่มันไม่ใช่โจ๊ก คนที่ป่วยแต่เริ่มจะหายแล้วไม่อยากกินโจ๊กหรอกครับ ผมอยากกินโจ๊กแค่ตอนเมาแล้วต้องการอะไรมาทำให้สร่างเท่านั้นแหละครับ


“เห็นเราชอบทานแซลมอน พี่เลยซื้อข้าวต้มแซลมอนมาให้”
“คุณพี่เมฆไม่ต้องก็ได้นะ ผมเกรงใจง่ะ”

“พี่จีบเราอยู่นะ ให้พี่ทำคะแนนหน่อยสิครับ”


แค่พูดอย่างเดียวไม่ต้องมองตาก็ได้มั้ย พอมองตาแล้วอมยิ้มนิดหน่อย แค่ทำแบบนี้แล้วทำไมหัวใจผมมันต้องกะยึกกะยักขนาดนี้ก็ไม่รู้


ไอ้คุณพี่เมฆ! ผมป่วยอยู่นะ ห้ามทำคนป่วยให้รู้สึกกะยึกกะยักสิ ห้ามเลยนะ!



------- 50% -------




สามารถคอมเมนต์ที่นี่ หรือที่ #เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ ในทวิตเตอร์ เหมือนเดิมนะคะ หรือยังไงทักเรามาได้ที่ @babybapho นะคะ ขอบคุณมากค่า XD
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2018 22:39:55 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
11th Monday - 100%
#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ 


“เราอยู่คนเดียวเหรอ?”

“ใช่ครับ”

“ไม่เหงาเหรอ?”

“ม่ายยย”



ผมกำลังนั่งจัดการข้าวต้มแซลมอนของคุณพี่เมฆอยู่บนพื้นอย่างเชื่องช้า เพราะต้องคอยตอบคำถามโปรเจคฯขี้สงสัยที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเตียง เขาไม่ได้มองผมกินเหมือนพระเอกหนัง แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยคุยกับผมไปด้วยครับ



ผมเข้าใจนะ เพราะผมเองก็เป็นเหมือนกัน สมัยนี้คนติดมือถือครับ บางคนติดโซเชียล บางคนติดแฟน บางคนเล่นมุกมากๆก็เสี่ยงติดคุกได้ครับ อันตรายมากจริงๆเทคโนโลยีสมัยนี้



“เวลาว่างทำไรเนี่ย?”

“ผมเหรอ? ส่วนใหญ่ผมก็ไปหาน้องอะ”



ผมพูดแล้วตัดเนื้อแซลมอนขึ้นมากิน ถ้าไม่มีคุณพี่เมฆวันนี้โปรตีนเดียวที่ผมได้กินคือวิญญาณไก่ที่คนอร์เจียดเอาไว้ในคัพโจ๊ก หายใจแรงหน่อยก็ปลิวแล้วครับจากใจ แค่เขียนข้างๆให้รู้ว่ามีผงโปรตีนรสอะไรอยู่ในโจ๊กถ้วยนี้



“น้องชายที่ชื่อแทนกายน่ะเหรอครับ?”

“ช่ายยยยยย”



ผมหันไปมองหน้าเขาที่เงยหน้าจากโทรศัพท์บริษัท เราสองคนจ้องตากันสักพักแล้วผมรู้สึกเหมือนไข้กลับ หรือความจริงไข้อาจจะยังอยู่ที่เดิม แต่มันเหมือนกับจะหายไปแล้วแค่เหงื่อออกนิดหน่อยกับหน้าร้อนๆเล็กน้อย แต่ตอนนี้น่าจะร้อนมากๆแล้วครับ เพราะคุณพี่เมฆจะจ้องทำไมก็ไม่รู้อะ



ฮือ ร้อนไปหมดเลย ร้อนไปทั้งแก้มเลย



“ละ… แล้วคุณพี่เมฆอยู่กับใครบ้างครับ?”



ผมเปลี่ยนเรื่องเมื่อในหัวมีแต่คำว่า ‘ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี’ วนไปวนมาแบบไม่สะดุดเหมือนบีทีเอสประเทศไทยที่ชอบเสียตอนเช้าวันรีบๆ อันนั้นสะดุดบ่อยมากพอๆกับแอร์พอร์ตลิ้ง ช่างรถไฟไทยก่อน ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกแล้ว หน้าก็ร้อนอยู่นั่นแหละ มันร้อนจนผมรู้สึกว่าถ้าเอาไข่มาตอกบนแก้มผมคงเป็นไข่ดาวไหม้เลยครับ เลยจุดไข่สุกไปแล้ว เพราะความร้อนมากเกินไป เกรียมเรียบร้อย




“ที่บ้านพี่มีพี่ ติ๊กต่อก … ถ้าเราจะนับเป็นคนน่ะนะ”



คุณพี่เมฆนับนิ้ว ตอนนี้ผมขึ้นมานั่งบนเตียงกับเขาเพราะหลังจากผมทานเสร็จ เขาก็ตบข้างเตียงปุๆ พร้อมกับสายตาแบบนั้น แบบที่ทำให้ผมยอมทำตามที่เขาต้องการ (ถ้าผมเข้าใจถูกต้องว่านั่นคือสิ่งที่เขา ต้องการ) โดยไม่สามารถประท้วงอะไร



“งั้นคุณพี่เมฆไม่เหงาเหรอครับ? ติ๊กต่อกก็พูดไม่ได้นี่นา?”

“พี่ชินแล้วน่ะ อยู่มาตั้งแต่เด็กๆแล้วบ้านนี้”

“โหย งั้นพี่ก็อยู่กับพ่อแม่พี่น้องใช่มั้ยครับ แบบครอบครัวใหญ่ใช่เปล่า?”



ผมนึกถึงตอนที่อยู่บ้านคุณพ่อด้วยกันทั้งห้าคนครับ ที่มีพ่อแม่แล้วก็พวกเราสามพี่น้อง คิดถึงจังเลย ตอนนั้นบ้านไม่เงียบเลยครับ เพราะคนเยอะมากๆ แถมตอนนั้นเรามีสวนในบริเวณบ้านด้วยครับ เล่นกันสนุกเลย ใช้พื้นที่คุ้มครับ ยิ่งพื้นที่เยอะ ยิ่งเลอะประสบการณ์



“พี่… เป็นลูกคนเดียวน่ะครับ”



ชั่วขณะหนึ่งผมเหมือนรู้สึกว่าคุณพี่เมฆนิ่งไป เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกแบบนั้น ทั้งที่รอยยิ้มยังอยู่ที่เดิม แต่เหมือนเขา…กำลังคิดอะไร



ถึงจะรู้สึกไม่ชิน แต่คุณพี่เมฆหล่อมากเลยอะ โคตรน่าอิจฉา ตอนที่ผมกำลังประมวลผลจะดูเท่แบบนี้บ้างมั้ย ทดไว้ในใจก่อนเดี๋ยวไปถามน้องกายทีหลัง



ไลน์!



ซุกซน ใจทราม: …

ซุกซน ใจทราม: เวนเอ๊ย

ซุกซน ใจทราม: สาบานเลยว่าจะไม่ให้เฮียแม่งจับมือถืออีก ไอ้สัด ใช้รูปคนหล่อขนาดนี้พิมพ์อะไรอย่างงี้ออกมาได้ไง

ซุกซน ใจทราม:  แทนใจ มึงลบแชท กูทนไม่ได้! กูทนเห็นสิ่งที่มันค้างอยู่ในแชทกูไม่ได้

ซุกซน ใจทราม: ตอนกูจีบแฟนกูก็ใช้โทรศัพท์ตัวเองนะ

ซุกซน ใจทราม: ใช้รูปกูพูดครับ? กับไอ้อ๊อง? ไม่โอเคเว๊ยยยยยยย

ซุกซน ใจทราม: ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก



ผมมองไลน์เพื่อนร่วมงานอย่างไม่เข้าใจ ซุกซนพูดอะไรวะ ทำงานจนเป็นบ้าก็ลองไปทำอย่างอื่นดูบ้างก็ได้ อย่างเช่นทำตัวมีสาระบ้าง หรือทำงานอย่างอื่นจะได้ไม่ต้องมาขโมยกินกาแฟของชาวบ้านเขา ใช่! กาแฟ!!



ผมยังเซ็งอยู่เลยนะที่ซุกซนถ่ายรูปกาแฟมาอวดง่ะ ฮึ่ย ขี้แย่ง!



“แทนใจเป็นอะไรทำไมอยู่ดีๆทำหน้างอ?”



ผมมองคุณพี่เมฆที่ทำหน้าหล่ออยู่ข้างๆ นี่ก็อีกคน เลี้ยงอะไรไม่ดูเลย นั่นไม่ใช่ผมนะ ไหนบอกชอบผมไง ชอบผมก็ห้ามเอากาแฟผมไปให้ซุกซนกินสิ! ห้ามนะ!



“ผม… ฮื่อ มันแค่แบบ” ถ้าพูดไปแล้วมันจะดูเห็นแก่กินมั้ยอะ แต่มันของผมอะ กาแฟแก้วนั้นคุณพี่เมฆสัญญาแล้วว่าจะให้ผมกินนี่



“แบบ?”



ผมก้มหน้าลงมองมือสองข้างทั้งที่ไม่ได้เกิดประโยชน์แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมองมันทำไม แค่รู้สึกว่าถ้าบอกเหตุผลที่คิดไว้กับคุณพี่เมฆไปมันจะดูขี้งกมั้ยอะ ดูตะกละด้วย แต่ไม่ชอบจริงๆนะ มันควรจะเป็นกาแฟของผมสิ ไม่ใช่ของคนอื่น ถึงแม้คนนั้นจะเป็นซุกซนก็เถอะ



“พี่รอฟังอยู่นะครับแทนใจ”



คุณพี่เมฆขี้โกง เล่นมาใช้เสียงนุ่มๆพูดแบบนี้แล้วผมจะอมความลับนี่เก็บไว้คนเดียวได้ไงกันเล่า!



“ก็คุณพี่เมฆอะ เลี้ยงกาแฟซุกซนทำไมเล่า”

“หืม?”

“วันนี้้ไงที่คุณพี่เมฆเลี้ยงซุกซนอะ มันถ่ายรูปมาอวด”

“ครับ?”

“ทำไมถึงไม่รู้เรื่องเลยเล่า เป็นโปรเจคได้ยังไงกันเนี่ย?”



ผมพูดอย่างหงุดหงิดเมื่อคุณพี่เมฆทำหน้าสงสัย คือเขาไม่ได้ทำหน้างงเหมือนซุกซนตอนที่คุณกฤติเรียกถามในห้องประชุมนะครับ แต่มันเป็นหน้าแบบเหมือนรอให้ผมพูดต่อ ได้! ผมพูดต่อก็ได้



“ก็บอกไว้ตอนเอาท์ติ้งว่าจะเลี้ยงกาแฟผมไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เลี้ยงผมล่ะ ไปเลี้ยงซุกซนทำไม”

“...”

“กาแฟของคุณพี่เมฆเป็นของผมนะ ห้ามเลี้ยงคนอื่นนะ ซุกซนก็ห้าม”



   ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อผมพูดจบ คุณพี่เมฆนิ่งไปเลยครับเหมือนกับโทรศัพท์ที่ชาร์ตไว้แต่ไม่ได้เสียบปลั๊ก มันถูกหรือเปล่าวะที่พูดออกไปแบบนั้น ดูขี้งกเกินไปหรือเปล่า เขาจะเลิกเลี้ยงกาแฟผมมั้ย แล้วผมจะต้องจ่ายค่าผลไม้ที่เขาซื้อมาคืนหรือเปล่า ผมจ่ายได้นะแต่ต้องขอต่อรองเป็นสิ้นเดือน เงินเดือนของเดือนนี้หมดไปนานแล้วอะ



   “แทนใจ”

   “ครับ?”



   ผมมองหน้าคุณพี่เมฆที่ตอนนี้มองหน้าผมนิ่งๆ เขายังนิ่งอยู่เลย หรือคุณพี่เมฆแบตหมดไปแล้วจริงๆผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก่อนที่จะผมจะได้พูดอะไร คุณพี่เมฆก็เอื้อมมือมาบีบแก้มผม แบบยืดด้วย นี่แก้มคนป่วยนะ ไม่ใช่โมจิ! ห้ามยืด!!



“ทำไมแก้มเรานุ่มจังเลย”

“อะไรอะ--- อ่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” (ปล่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย)

“แต่แก้มยังอุ่นๆอยู่เลย แดงด้วยเนี่ย แสดงว่ายังไม่หายสินะ”

“อ่อยอิ่อุนอี้เอ้ก อ่อยอ๋มมมมมมมมมม” (“ปล่อยสิคุณพี่เมฆ ปล่อยผมมมมมมมมมม”)



อย่าให้ต้องใช้กำลังนะ! เตือนในใจแล้วด้วยนะ! ไม่ฟังกันใช่มั้ย!



ผมต่อสู้อีกครั้งด้วยพละกำลังที่มีด้วยการตีคุณพี่เมฆเพียะๆ ทำไมไม่ปล่อยสักที ปล่อยนะ ปล่อยแก้มผมสิ อย่าทำผมนะผมมีน้องต้องเลี้ยง ห้ามรังแกคนป่วย ปล่อยสิวะ!



“มาบีบแก้มผมทำไมเนี่ย!”



ผมลูบแก้มตัวเองพลางมองคุณพี่เมฆที่ยิ้มกว้างกว่าเดิมนิดหน่อย เขาไม่ตอบคำถามผม แต่กลับพูดเรื่องอื่นแทน

 

“แทนใจไม่ต้องอิจฉานะ กาแฟแก้วนั้นมันเป็นสิทธิ์ 1 แถม 1”

“ไม่ได้อิจฉานะ!! ผม…ผมแค่ไม่ชอบนิดหน่อยเอง”



เนี่ย! เพราะเขาชอบมองเหมือนกับเอ็นดูผมมากๆ เลยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กตลอดเวลาที่อยู่กับเขา ทั้งที่ความจริงผมโตแล้วนะ เลี้ยงน้องได้แล้วด้วย เลือกตั้งได้อีกต่างหาก เก่งใช่มั้ยล่ะ



“ซุกซนได้แค่กาแฟ แต่เราได้คนเลี้ยงกาแฟเลยนะ”




ผมว่าผมเริ่มอยากไปหาหมอแล้วครับ ไข้กลับแน่ๆ ทั้งหน้าร้อน ทั้งหัวใจกะยึกกะยัก ทุกอย่างดูเมาไปหมดทั้งที่ผมกินแค่ข้าวต้มปลาแซลมอน หรือมันเป็นข้าวต้มปลาแซลมอนที่ต้มกับเหล้าขาว ต้องใช่แน่ๆ บ้าไปแล้ว บ้าไปหมดแล้ว ไอ้คุณพี่เมฆ ไอ้บ้า ฮือ



“เงยหน้าสิ เลือดตกหัวหมด ดูสิแก้มแดงกว่าเดิมแล้วน่ะ”

“ก็คุณพี่เมฆอะ! ดูพูดเข้าดิ!”



ในที่สุดผมก็ยอมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาอีกครั้ง แล้วก็ค้นพบว่ามันเป็นความคิดที่ผิด ผิดมากๆ ผิดกว่าที่คิดว่าตัวเองอาจจะเรียนเลขได้เลยเลือกเข้าศิลป์คำนวณอีก อยากจะแก้ตัวด้วยการก้มหน้ากลับไปอีกครั้ง แต่สายตาคุณพี่เมฆทำให้ผมไม่กล้าที่จะก้มเลยครับ ได้แต่มองหน้าเขาอยู่แบบนั้น



หล่อจัง คนอะไรวะโคตรเท่เลย ถ้ามีภาษีคนหล่อนะ ผมว่าคุณพี่เมฆหมดตัวแน่ๆ



“อยากหายไข้ป่าว?”

“ครับ?”



ผมหลุดออกจากภวังค์การมองหน้าเขาเพราะคำถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของผู้บุกรุกห้อง



“ผมว่าผมไม่ได้ป่วยมากแล้วนะครับ”

“แต่แก้มก็ยังแดงอยู่” เขาเอามือมาจับแก้มผมอีกแล้ว รอบนี้ประคองแก้มผมด้วยสองมือเลย ชักเริ่มสงสัยแล้วนะว่าแก้มผมมันนุ่มขนาดนั้นเลยเหรอ

“เนี่ยยังอุ่นๆอยู่เลยด้วย”

“คุณพี่เมฆเล่นพูดมาแบบนี้ แล้วผมจะปฏิเสธยังไงล่ะครับ”



อีกคนหัวเราะนิดหน่อย เหมือนกับว่าผมเล่นตลกหกฉาก หรือผมหน้าเหมือนโก๊ะตี๋วะ อาจจะโน้ตอุดมก็ได้ ผู้ชายที่ถือไมค์พูดคนเดียวเป็นชั่วโมง แต่ผมว่าผมไม่ได้พูดมากขนาดนั้นนะ ไม่มีไมค์ด้วย ไม่มีเงินด้วย ไม่สบายด้วย ชีวิตเศร้ามากๆ



“ถ้าอยากหาย เราก็ส่งต่อหวัดของเรามาให้พี่สิ”



“ผมไม่ได้โง่นะ คุณพี่เมฆจะหลอกจูบผมเหรอ?”

“...”

“ผมก็อยากจูบคุณนะ แต่ถ้าคุณติดหวัดขึ้นมาแล้วจะทำไงอะ? งานผมนั่งในออฟฟิศแต่ของคุณต้องไปหน้าไซต์งานลูกค้าไม่ใช่เหรอ? ถ้าไปเป็นลมเป็นแล้งใส่ลูกค้าขึ้นมา---”



ผมพูดได้แค่นั้นคุณพี่เมฆก็เชยคางผมขึ้นไปประกบปากด้วยเฉยเลย มันดีมากเลยอะ ทั้งที่เราจูบกันใช้แค่ปากแต่ผมกลับรู้สึกตึกตัก มันหนักกว่ากะยึกกะยักอีกนะ มันตึกตักตึกตัก แล้วก็ร้อนไปหมด ตั้งแต่ปลายผมสิบห้าเซ็นจรดปลายนิ้วที่แตะอยู่บนหน้าอกคุณพี่เมฆเลย



เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าตอนนี้มือผมวางอยู่บนหน้าอกเขา ในขณะที่มือคุณพี่เมฆมาอยู่ที่หลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ผมกับเขาจูบกันอยู่แบบนี้สักพัก จนผมเริ่มจะเมาคุณพี่เมฆนั่นแหละ เขาถึงได้ยอมละออกมา



“ฮื่อ ถ้าติดหวัดขึ้นมาจะทำยังไง”

“ไม่ติดหรอก”

“รู้ได้ไงอะ? ชาติที่แล้วเกิดเป็นไวรัสเหรอครับ”

“กวนนะเรา” เขากระซิบชิดริมฝีปากผม เราอยู่ใกล้กันมากจนผมนึกดีใจที่แค่เป็นไข้ ไม่ได้มีอาการจามร่วมด้วย ไม่งั้นระหว่างเราคงจบไม่สวยแน่ๆ

“พี่แข็งแรง”

“ไม่เชื่อ”

“งั้นก็คงต้องมาลองจูบไปเรื่อยๆแล้วแบบนี้”




เป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือ ที่น่ารักที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาเลยล่ะ




.
.
.




   “ปากเปื่อยแล้วคุณ”

“เรียกคุณได้ไง บอกให้เรียกพี่ มาทำโทษอีกที”

“ฮือ พอก่อน”




ตั้งแต่เมื่อกี้ ผมกับคุณพี่เมฆก็ยังจูบกันอยู่เลยครับ แต่เมื่อนั่งอยู่อย่างงั้นมันเริ่มเมื่อเขาเลยยกตัวผมขึ้นไปไว้ข้างบนตักแล้วเราก็จูบกัน จูบกันอยู่แบบนั้น ถ้ามีใครสักคนผละออกไปก่อนอีกคนก็จะเว้นจังหวะหายใจให้สักครู่แล้วก็ก้มลงไปจูบใหม่ นี่ถ้าคุณพี่เมฆเป็นผูคุมเวิญญาณนะ ผมคงจะตายไปนานมากแล้วแน่ๆเลย



“เราไม่ชอบจูบกับพี่แล้วเหรอครับ?”

“ไม่ใช่สักหน่อย มั่วแล้ว”



ผมเอียงคอเมื่อเขายึดเอวผมไว้แล้วก้มลงไปกัดคอผมแทนที่จะเป็นจูบเหมือนเมื่อครู่ มันเจ็บๆนิดหน่อยจนผมตีเพียะๆแบบนั้นเขาถึงได้เหลือแค่การจุ๊บเบาๆแทนการดูดการกัดเหมือนเมื่อครู่ นี่คุณพี่เมฆหิวหรือไงดูดเอาดูดเอา บ้าไปแล้ว



“งั้นแปลว่าเราชอบจูบกับพี่เหรอครับ?”

“จั๊กจี้อะ ไม่พูดตรงนั้นสิ”

“อย่างงี้เหรอครับ?”

“ไม่แกล้งงง”



ผมหัวเราะเมื่อคุณพี่เมฆเอาแต่แกล้งพูดกระซิบตรงไหปลาร้าผม มันทำให้ผมจั๊กจี้อะ แต่ถามว่าดีมันดีมั้ย มันดีสุดๆไปเลยล่ะ ดีจังแต่พอคิดว่าเขาแกล้งผมแล้วอาจจะติดหวัดมันก็ดีน้อยลงมานิดหน่อย แต่ก็ยังดีมากๆอยู่ดี



‘ตุ๊บ!’



เฮือก!



เราสองคนผละออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงเหมือนของตกอยู่ข้างนอก ทั้งผมทั้งคุณพี่เมฆต่างเงียบกันหมด คนที่อายุมากกว่ามีรอยขมวดคิ้วบนใบหน้า พลางจ้องมองไปที่ประตู ส่วนผมก็ยังนั่งอยู่บนตักเขาอยู่ แต่มองหน้าคุณพี่เมฆแทนประตู



“นั่นเสียงอะไร?” 

“มาถามผมแล้วผมจะไปถามใครเนี่ย”

“ก็เราเป็นเจ้าของห้อง พี่ก็ต้องถามเราสิ” คุณพี่เมฆพูดกับผม เขานิ่งไปพักนึงแล้วก็พูกเรื่องต้องห้ามขึ้นมา “เราอยู่คนเดียวใช่มั้ย?”



“...คนเดียวครับ”




ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ฉิบหาย ใครอะ?! อะไรวะ? ผมเริ่มตัวสั่นเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ล้านแปดแสนเก้าที่อาจจะเกิดขึ้นจากเสียงนั่น มันใกล้เกินกว่าที่จะเป็นเสียงของอาคารหรือแม้กระทั่งห้องข้างๆ เฮ้ย… แล้วห้องข้างๆผมมีคนอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้



ไม่เอาอะไรผีๆแล้วนะ แค่ตอนเอ้าท์ติ้งนี่ก็ไข้ขึ้นยังไม่ลงเลยเนี่ย



มือที่ตอนแรกวางบนอกเขาหลวมๆตอนนี้กำเสื้อคุณพี่เมฆแน่นเลยครับ กลัวอะ ไม่อยากรู้เลย แถมนี่คือห้องของผมไง ห้องผมเอง ห้องที่ผมอยู่ทั้งวันและจะอยู่ต่อไปอีกหลายปี แต่ความกลัวลดลงไปครึ่งหนึ่งเมื่ออยู่บนตักของคุณพี่เมฆ …



ฉิบหาย คุณพี่เมฆจะลุก!!!



“คุณพี่เมฆ! จะไปไหน?!”



ผมจะยึดพื้นที่คืนเมื่อคุณพี่เมฆทำการกวาดผมลงไปจากตักไปกองอยู่บนเตียง เฮ้ย ไม่เอาอะ ไม่ไป กลับมาก่อนดิเฮ้ย ห้ามเทกันสิ บอกจะจีบกันก็ห้ามทิ้งผมสิวะ!



“ไปดูข้างนอกไง เผื่อมีอะไร”

“ไม่ต้องไปหรอก อยู่กับผมเถอะนะ”

“แป๊บเดียวครับ ไม่ต้องกลัวนะ”

“ไม่ได้กลัว… แค่ไข้ผมยังไม่หมดเลย มาเอาไข้ผมไปอีกสิ นะครับนะ”

“...”

“อยู่กับแทนใจนะครับคุณพี่เมฆ อย่าออกไปนะ อย่าทิ้งแทนใจไว้คนเดียวเลยนะ”



“เรานี่ จริงๆเลย”



คุณพี่เมฆพูดแค่นั้นแล้วยอมนั่งลงบนปลายเตียงข้างผมที่ถูกเขากองเอาไว้ แล้วดึงเข้าไปกอด ซึ่งผมเองก็กอดกลับ เราอยู่กันแบบนั้นโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรทั้งนั้น




ถ้าป่วยแล้วได้คุณพี่เมฆมาอยู่ด้วยแบบนี้ ป่วยบ่อยๆก็ดีเหมือนกันแฮะ



------- TBC -------


สามารถคอมเมนต์ที่นี่ หรือที่ #เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ ในทวิตเตอร์ เหมือนเดิมนะคะ หรือยังไงทักเรามาได้ที่ @babybapho นะคะ ขอบคุณมากค่า XD
[/color]

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ nittanid33333

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แทนใจอ้อนน่ารักน่าชังจริงๆ
แทนกายต้องมาเห็นแน่ๆ เป็นเรื่องชัวร์เลยพี่เขย

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
แหมมมมมม แทนใจ ไม่อ้อนเท่าไรเลยเนอะ

ว่าแต่นั่นน้องแทนกายหรือเปล่านะ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:

จ้าาาาาาาาราาาาาาราาาาา

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
คุณพี่เมฆ กะยึกะยัก ตึกตักตึกตัก อะเน้ออออออออ
หมั่นไส้แทนใจขึ้นมา +1 เลยที่เดียว 555555
แต่ว่าคนข้างนอกคือแทนกายรึเปล่านะ??

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
12th Monday - 50%
#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ 



วันจันทร์อีกแล้ว

วันนี้ชีวิตผมก็แบบเดิมครับ ตื่นเช้าอย่างขี้เกียจ พยายามจะรอรถเมล์ที่ไม่มาสักทีจนสาย เลยต้องนั่งแกร็บไบค์ ที่ขับเร็วจนหน้าชา แต่นั่นยังไม่เท่าที่คนขับแกร็บไบค์พยายามเล่าชีวิตของตัวเองให้ผมฟังตอนแปดโมงเช้าวันจันทร์
“น้องรู้มั้ย พี่ผ่านอะไร---บยหาเบหยาเบยหาเบยหา”
“ครับ?”
“ชีวิตพี่อะ มัน---หบเ่ฟบย่เฟยบาเบฟาบเฟ”

ผมไม่ได้ยินอะไรเลย แต่พี่เขาดูตั้งใจพูดมากครับ ขนาดว่าแทบจะหันมาทางผมทั้งหัว ผมนี่ต้องคอยดูทางให้เขาแทน เพราะพี่แกร็บไบค์มัวแต่คอยจะหันมาคุยกับผมครับ ก็พอเข้าใจว่าพี่เขาอาจจะเหงา เพราะเขาบอกผมว่าเขาขับแกร็บไบค์ทั้งวันเลย แต่เชื่อเถอะว่าการหันมาคุยกับผู้โดยสารที่มีลมตีอัดหน้านี่ไม่วิธีที่ดีเลยจริงๆนะ

ถ้าลมจะตีหน้าขนาดนี้ พี่เขียนเป็นรายงานแล้วเอามาให้ผมอ่านทีหลังก็ได้นะครับ

“เมื่อก่อนนะ พี่อะ ฟาเ่ฟยนเ่ยฟ่เนยฟ่เยนฟ่เยนฟ่เยนฟ่เนยฟ่ยนเ่ฟ”
“อ่า…”
“พี่ก็เลยมาขับแกร๊บ เมียเก่าพี่อะ ฟยฟ่เนยฟาเบยฟ่เยาฟบเาฟบเาฟเบฟสเบฟเฟ”
“ครับ”
“ถึงพี่จะเจอมาขนาดนั้น” รถมันติดไฟแดงพอดี ผมเลยยิ้มแหยๆให้พี่แกร๊บที่หันมามองหน้า “แต่ชีวิตพี่ก็ไม่ย่อท้อ! เพราะท้อมีไว้ให้ลิงกินแค่นั้น ไม่ใช่ให้เราเก็บ! ฮ่าๆ!!”
“...โอเคครับ”
“น้องอะยังเด็ก ชีวิตยังต้อง ยหบาเบยหาเบยฟหาเบยฟาเบยฟายบฟาบเฟย”
“...”
“ทุกอย่างที่น้องจำเป็นต้องมีในชีวิตคือ หเ่ฟสเ่ฟส่เฟยน่เยฟาเยฟาบฟาเยาบฟาเ”
“ครับ”

หลังจากนั้นคุณคนขับแกร็บไบค์เขาก็พูดแข่งกับลมมาตลอดทาง ส่วนผมก็พยายามสวดมนตร์อยู่ในใจขอให้เขามองทางบ้าง ไม่ใช่มองแค่หน้าผม คือผมเข้าใจว่าการสบตาคู่สนทนาเป็นมารยาทที่ดี แต่การมองหน้าผมพร้อมคำพูดขณะที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปด้วยนี่ อย่างน่ากลัวครับ



8:40 น.

ผมเดินหน้าบึ้งมายืนรอลิฟต์ร่วมกับประชากรตึกอีกหลายสิบคน วันนี้แถวยาวอีกแล้ว ผมเบะปากหนักขึ้นเมื่อเห็นถึงความวุ่นวายที่เกิดในวันจันทร์ ไม่เข้าใจทำไมคนต้องเยอะอยู่วันเดียว ทำเหมือนว่าทั้งเดือนทำงานกันแค่วันจันทร์ พออังคารลาออก พุธสมัครใหม่ พฤหัสฯสัมภาษณ์ ศุกร์เซ็นสัญญา วันจันทร์หน้าก็มาทำงานใหม่วนลูปงี้เหรอ บ้าไปแล้ว



8:45 น.

ผมเริ่มมองซ้ายมองขวาเมื่อแถวรอลิฟต์มันดูเหมือนจะไม่ขยับเลย เกิดไรขึ้นอะ? นี่ผมมีประชุม 9 โมงเช้านะ ผมสามารถเรียกทนายได้มั้ย แล้วถ้าทนายผมเป็นผู้หญิงเรียกทะนางสาวได้หรือเปล่า อ่าว ออกนอกทะเลอีกแล้ว ตกลงวันนี้ผมจะได้ขึ้นไปประชุมมั้ยเนี่ย

“เมื่อกี้ฉันไปถามยามมา ลิฟต์เสียว่ะแก”

ในตอนที่ผมกำลังจะไลน์ไปฟ้องซุกซน ผู้หญิงข้างหน้าผมเดินมาคุยกับอีกคน ขอบคุณมากที่รายงานสถานการณ์บ้านเมืองให้ฟัง ไม่งั้นผมคงได้แต่มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วยอยู่แบบนี้ หรือไม่อีกทีผมอาจจะลาป่วยแล้วกลับห้องนอนเลยครับ เฮ้ย ไม่ได้ เพิ่งจะลาป่วยจริงไปนี่นา ลาป่วยการเมืองตอนนี้ไม่ได้

“อีกแล้วเหรอ? เช้าวันจันทร์เนี่ยนะ?!”
“ใช่ ตอนนี้ลิฟต์ใช้ได้อยู่แค่ตัวเดียว”
“โอโหแล้วดูแถวลิฟต์ตัวเดียวกับคนไปทำงานหลายสิบในเวลาพร้อมกัน สายแน่ๆฉันวันนี้”

ครับ ผู้หญิงข้างหน้าพูดแทนใจผมไปหมดแล้ว

ไม่ต้องดูไพ่ยิปซีผมคนนี้ก็รู้ถึงลางร้าย สายแน่ๆครับแบบนี้ ขนาดปกติที่ลิฟต์ใช้งานได้ครบผมยังแทบเอาตัวไม่รอด นี่ดันเหลือใช้ได้แค่ตัวเดียว จบแล้วชีวิตผม คุณกฤติเด็ดหัวผมแน่ๆ เราเสียค่าแกร็บไบค์ทำไม ถ้าจะมาสายอยู่ใต้ตึกเนี่ย!
น่าเบื่ออะ วันจันทร์นี่ทุกอย่างน่าเบื่อไปหมดเลย

8:50 น.

Sale Co Team (18)
คุณกฤติ: ลิฟต์เสียใช่มั้ยครับ?
คุณกฤติ: วันนี้ผมให้สายได้
คุณโน้ต มาเลเซีย: *รูปภาพสวัสดีวันจันทร์*


น้ำตาแทบไหล ในที่สุดวันหนึ่งหัวหน้าก็รักเราบ้าง

Sale Co Team (18)
คุณกฤติ: สายได้มากสุด 5 นาทีนะครับ



ผมเกลียดวันจันทร์จริงๆเลย


------- Monday In Love -------


เมื่อกี้กว่าลิฟต์จะมาผมนี่ลุ้นจนแทบจะร้องไห้ ถ้าไม่ติดว่าทำงานอยู่ชั้นเกือบจะ 30 นี่คงเดินขึ้นมาเองแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ทัน คิดว่าทันนะ ทันสิวะ ฮือ

9:02 น.

ทันเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมกู่ร้องกับตัวเองแล้วรีบสไลด์ตัวเข้าห้องประชุมทันทีด้วยสภาพหน้าม้ากระจาย ผงกหัวขอโทษคุณกฤติที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะรอเปิดประชุม ถึงแม้คุณกฤติจะเป็นหัวหน้าที่ดี (ผมคิดว่านะ เขาเป็นหัวหน้าคนแรกของผมอะ ไม่มีตัวเปรียบเทียบ แต่ก็คงดีแหละเพราะคุณกฤติเท่มากๆเลย เก่งด้วย) แต่กับเรื่องงานนี่เขาเป๊ะมากครับ 

“สวัสดีครับคุณโน้ต”
“ครับ”

ผมสวัสดีคนที่นั่งเก้าอี้ข้างๆเบาๆ คือตอนแรกผมไม่เห็นหรอกว่าเป็นใคร แต่พอหันไปก็เห็นหน้าคุณโน้ตมาเลเซียอยู่ข้างๆพอดี ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อเช็กสมาชิก นอกจากผมแล้วก็มีหมิวผู้ช่วยเลขาที่ตามมา แล้วก็คุณเชนประเทศไทยที่เพิ่งจะวางโทรศัพท์แล้วเดินตามเข้ามา

“โอเค 9 โมง 5 นาทีพอดี ผมขอเริ่มเลยละกัน”

การประชุมในเช้าวันจันทร์เป็นไปอย่างน่าเบื่อเหมือนเคย แต่ดีหน่อยที่เงินเดือนออกแล้วครับ อย่างน้อยจะได้ใช้อย่างไม่ต้องมานั่งกลัวว่าบุฟเฟ่ต์มื้อนื้จะเป็นข้าวมื้อสุดท้ายของเดือนหรือเปล่า แต่เอาจริงหลังจากที่หักค่าห้องค่าน้ำไฟโทรศัพท์บัตรเครดิตประกันชีวิตต่างๆแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีเงินเหลือเลยครับ ท้อแล้ว

ยังไม่ทันเลี้ยงน้องกายเลยนะ ผมจะซื้อของอร่อยๆให้น้องกายกิน ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าให้น้องกายนานแล้วด้วย น้องไม่ค่อยขอหรอกครับเพราะเอาจริงก็มีเงินจากพ่อแม่แล้วก็พี่รักให้น้องอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากให้นะ! ผมเป็นพี่ชายก็ต้องเลี้ยงน้องสิ ใช่มั้ยล่ะ!

“ครับ ทั้งหมดก็มีเท่านี้”

ผมกะพริบตาปริบๆเมื่อเพิ่งประมวลผลได้ว่าประชุมเลิกแล้ว มัวแต่คิดเรื่องน้องจนไม่ได้ตามอะไรกับเขาเลย สมุด (ที่ผมเอาขึ้นมาวางคู่กับปากกาจะได้ดูมีอะไร) ของผมว่างเปล่าเลย โบ๋เบ๋ ขาวสะอาดกว่าจิตใจซุกซน ในขณะที่คุณโน้ตมาเลเซียข้างๆมีอะไรจดอยู่เต็มไปหมดเลย

“โอ๊ย ไม่อยากจะเจอเมลของมิสเตอร์ป้ากเลย”

ผมบ่นกับซุกซนที่กำลังเปิดคอมอยู่ข้างกัน ซึ่งมันก็พยักหน้าเคี้ยวเยลลี่เต็มปาก ไม่รู้ว่าทำไมต้องรีบกินขนาดนั้น เหมือนเป็นพญาปลาหมึกที่เคี้ยวหนวดตัวเองดุ๊บๆน่ะครับ ดูตะกละตะกลามใช้ได้ พูดแล้วก็หิวปลาหมึกเลยครับ แถวหอเก่าของผมสมัยมหาลัยมีร้านปลาหมึกย่างที่อร่อยมาก อยากกินจัง แต่กุ้งกับปลาจะน้อยใจมั้ย งั้นเที่ยงนี้กินข้าวผัดซีฟู้ดดีกว่า

คิดเรื่องกินได้แค่แป๊บเดียว เพราะผ่านไปสิบนาทีสภาพออฟฟิศก็กลับสู่แบบเดิมครับ

“สวัสดีค่ะพี่ดา ของลูกค้าที่ออเดอร์ไว้เมื่อวันศุกร์อะค่ะ … ใช่ๆ เคสที่เรานั่งรอคอนเฟิร์มจนถึงสองทุ่มกว่าจะเรียบร้อย … ฮ่าๆ ใช่เลยค่ะพี่ ลูกค้าขอแคนเซิลค่ะ ใช่เลยค่ะเมื่อกี้เลยค่ะ ...ค่ะ… ฝนรบกวนพี่ดาอีกแล้ว ขอบคุณมากนะคะ”

คุณฝนอินเดีย คุยโทรศัพท์หน้ายิ้มเหมือนกับคนที่รอซื้อเค้กฝอยทองเจ้าดัง แล้วค้นพบว่ามันหมด เหลือเพียงฝอยทองสองเส้นให้ดูต่างหน้า

“ครับ… ใช่ครับ คือของมันอยู่ที่ Free Zone ตอนนี้ครับ … ให้ไม่ได้จริงๆครับ อันนี้เป็นพาร์ทด่วนครับ … เครื่องลูกค้าของคุณพัง ของผมก็พังครับ … ไม่ได้จริงๆครับ ให้ยืมไม่ได้ครับ แค่ยืมแป๊บเดียวก็ไม่ได้ครับ …. ผมว่าคุณลองไปดูกับสต๊อกของทางจีนดู….”

อันนี้เป็นคุณโน้ตมาเลเซียที่โดนยืมพาร์ทอีกแล้ว ผมก็ยืมเขาบ่อยครับ เพราะเขาไม่ค่อยมีปัญหาอะไรกับผมเท่าไหร่ ปกติผมก็โดนยืมบ้างเหมือนกัน

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่บางทีเราจะต้องทำอะไรให้งานมันจบโดยที่ทั้งลูกค้าและเราไม่มีฝ่ายไหนรู้สึกว่าเสียผลประโยชน์ครับ ถึงแม้ผมจะเสียอารมณ์อยู่บ่อยๆ ประมาณวันละแปดชั่วโมง สัปดาห์ละห้าวัน ตลอดเวลาที่ทำงานมาก็ตามครับ

“Yes… ไม่ๆ I mean … no. We cannot send you… เอ่อ …. the product ใน เฮ้ย! on Sunday. Because DHL doesn’t work… ยูโน๊ว?... I don’t work too. OK?--”

อันนี้ซุกซนเพื่อนผม ที่ตอนนี้คุยกับลูกค้าญี่ปุ่นที่ไม่เข้าใจว่าทำไมสั่งของวันอาทิตย์แล้วเราส่งวันอาทิตย์ไม่ได้ ผมก็เคยเจอถามครับว่าเราจะมีวันหยุดประจำชาติทำไมเยอะแยะ ก็ได้แต่ตอบไปว่ามันมีไว้ให้เราได้มาตอบคำถามแบบนี้ที่ไม่ได้เบียดเบียนเวลาการทำงานค้างหลังวันหยุดเลยสักนิดครับ

RRrr

ผมกุมขมับ แซวซุกซนมากตอนนี้สายโทรศัพท์เข้าโต๊ะของผมเองเลยครับ เบอร์โทรขึ้นต้นด้วยรหัสประเทศเกาหลีนี่แน่นอนว่าลูกค้าสักคนตามใบเสนอราคาแน่ๆ ไอ้มิสเตอร์ป้ากแน่ๆ โอ๊ย อยากร้องไห้

“Hello. Yes. แทนใจ speaking ครับ”

อ่าว ไม่ใช่มิสเตอร์ปาร์คแฮะ แต่เป็นมิสเตอร์คิมโทรมาบอกว่าของยังไม่ถึง ซึ่งกว่าผมจะฟังรู้เรื่องคือนานมาก หนึ่งในปัญหาที่ผมมักจะเจอของการคุยโทรศัพท์กับชาวต่างชาตินอกจากสำเนียงคือ… หูผมไม่ดีครับ ชอบฟังเพี้ยน ยากกว่าสอบเข้ามหาลัยคือการพยายามฟังว่าลูกค้าพูดอะไรนี่แหละ

“%^$#^#%$&^**(W”

“เอ่อ... “ ฉิบหายแล้วไง ไม่มีปากให้อ่านอีก แถมวันนี้วันจันทร์เช้าอีก สมองผมไม่เปิดรับอะไรใดๆครับ “OK- But--”


เหมือนเขาเข้าใจว่า But ของผมไม่ได้แปลว่าแต่ มันแปลว่า ‘เชิญแร็ปต่อได้ รอให้กำลังใจอยู่ตรงนี้’ ผมพยายามดึงสติทั้งหมดมาจับใจความสิ่งที่เขาพูด จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจพูดออกไป


“The connection is not good. So, can you send an email instead?”


(ซึ่งหมายความง่ายๆว่า: ผมก็อยากคุยงุ้งงิ้งกับคุณต่อนะครับ แต่สัญญาณไม่ดีเลยเช้าวันนี้ ฝนตกรถติดขี้หมาไหลไกลปืนเที่ยงมากๆ ยังไงรบกวนส่งอีเมลมาจะสะดวกมั้ยครับ? ไม่สะดวกก็ต้องทำครับ เพราะผมฟังไม่รู้เรื่อง)


“เฮ้อ”


ดีที่มิสเตอร์คิมยอมยกทัพออกไป ผมถึงได้หายใจหายคอบ้าง หลังจากค้างอยู่ท่าเดิมรอฟื้นพลังงาน โทรศัพท์ก็เข้ามาอีกครั้ง

Rrrr


“Hello. แทนใจ Speaking”
“พึ่งเคยได้ยินเราพูดภาษาอังกฤษ สำเนียงใช้ได้นะเนี่ย”


เสียงคนเฝ้าไข้สัปดาห์ก่อนลอยมาให้ได้ยิน ยิ่งเมื่อมองไปที่โทรศัพท์เห็นว่าชื่อคนที่โทรเข้าคือ Sitthikorn จริงๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าทันที มันคงดูโง่มากเพราะซุกซนหันมาเบะปากใส่ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องคุณกฤติ เพราะผมเป็นเพื่อนที่ดี ตอนออกมาผมสัญญาว่าจะ ‘ว้ายยยยยยย หัวหน้าเรียก’ ใส่หน้ามันครับ


“ฮ่าๆ” ผมไม่รู้จะพูดอะไร เลยพูดสิ่งแรกที่คิดขึ้นมาในหัว “คุณพี่เมฆวันนี้งานยุ่งมั้ยครับ งานผมยุ่งมากเลย”
“งั้นก็ไปกินกาแฟกับพี่ไม่ได้แล้วสิเนี่ย”


“ไปได้นะ! ยุ่งแต่เคลียร์ได้ คุณพี่เมฆติดเลี้ยงผมนะ ผมต้องไปใช้สิทธิ์กินฟรีสิ”


“ครับๆ” อีกคนหนึ่งพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ผมนึกหน้าเขาออกเลยว่าเขาต้องยิ้มไปพูดไปแน่นอน ก็ไม่แปลก ผมเองก็ยังไม่หุบยิ้มเหมือนกัน เมืองไทยสไลม์คลับครับ ยิ้มรับกาแฟฟรี


“เก็บของรอเลยครับ อีกห้านาทีเจอกันที่หน้าลิฟต์ เดี๋ยวพี่ไปรอที่ชั้นของเรานะ”


ถึงเขาไม่พูด ผมก็กดพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผมไปแล้วล่ะ


.
.
.
.
.



“ซุกซนไม่มาด้วยเหรอ?”
“ไม่มาครับ คุณกฤติเรียกไปคุย”
“ดีแล้ว จะได้ไม่มีใครแย่งพี่ดึงแก้มเรา”
“บ้าเหรอคุณ!”


ผมยืนอ้าปากในขณะที่คุณเมฆก็หันไปสั่งกาแฟกับน้องพนักงานผู้ชายคนเดิม ที่ยิ้มรับเหมือนวันแรกที่ผมเจอคุณพี่เมฆ พอมานั่งคิดๆดูแล้วผมกับเขารู้จักกันด้วยเรื่องแปลกๆ แล้วระยะเวลามันก็แค่แป๊บเดียว แต่กลับรู้สึกว่าน๊านนาน อาจจะเพราะมีการชูวับชูวับเข้ามาเกี่ยวด้วย


ฮือ พูดแล้วก็กะยึกกะยักอีกแล้ว


หลังจากสั่งกาแฟเสร็จพวกผมก็เดินไปนั่ง คราวนี้เป็นเก้าอี้ด้านนอกร้านเหมือนเดิมแบบไม่กลัวว่าคุณกฤติจะลงมาเห็นว่าลูกน้องโดดงาน แต่คิดอีกทีถ้าคุณกฤติลงมาคุณโน้ตมาเลเซียก็น่าจะลงมาด้วยเพราะเขาดูเหมือนจะสนิทกัน และซุกซนก็น่าจะลงมาด้วยเพราะไม่เหลือใครให้คุยด้วยแล้ว พอซุกซนลงมาทุกคนก็จะลงมาหมดเลยเพราะเหงา แล้วแผนกผมก็จะไม่มีใครนั่งทำงานอยู่เลย ซึ่งไม่ดี ผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้แผนกไม่มีงาน เพราะอย่างนั้นคุณกฤติไม่ควรลงมาเจอผมตอนนี้ครับ


“ลาเต้กับคาปูชิโน่ที่สั่งได้แล้วครับ”


ผมสะดุ้งเมื่อพนักงานเสิร์ฟมาเรียกสติพร้อมกาแฟของผมและคุณพี่เมฆ ผมยิ้มรับพร้อมกับขอบคุณอีกฝ่ายไป ลาเต้ตอนเช้านี่ดีกับใจจริงๆครับ ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยให้งานน้อยลงแต่กินแล้วก็สามารถมึนๆทำงานต่อไปได้ จนกว่าจะได้เบรกอีกครั้งนั่นแหละครับ


“เหม่ออีกแล้วเรา”
“ขอโทษครับคุณพี่เมฆ”


ผมก้มหน้าดูดกาแฟดึ๊บๆ เงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าเป็นเชิงว่าอนุญาติเมื่ออีกคนหยิบบุหรี่ขึ้นมาแล้วเลิกคิ้วถามเป็นเชิงว่าเขาดูดมันได้หรือไม่ บอกแล้วว่าผมไม่มีปัญหาอะไรกับบุหรี่ … แต่ครั้งนี้อาจจะมีปัญหากับคนสูบบุหรี่


ทำไมคุณพี่เมฆดูดบุหรี่ถึงได้ดูดีขนาดนี้เนี่ย

“ว่าจะถามตั้งนานแล้ว ทำไมเราถึงได้เรียกพี่แบบนี้ล่ะ?”


เขาถามพร้อมคีบบุหรี่แล้วพ่นควันไปอีกทาง ขอบคุณที่ไม่พ่นมาทางนี้ ถึงจะพ่นมาผมอาจจะโกรธไม่ลงก็ได้ถ้าเขายิ้มขอโทษน่ะ เกินไปมากๆ ถ้าผมทำท่าเดียวกับเขาคงออกมาเหมือนหมูสำลักควันหม้อชาบูอะ


“เรียกอะไรครับ?”
“เราเรียกพี่ว่าไงล่ะ?”
“คุณพี่เมฆ?”
“นั่นแหละ”
“ก็… เอ่อ … คุณไม่ชอบให้เรียกแค่คุณเมฆ ผมก็เลยเติมพี่เข้ามาแล้วไงครับ ไม่ดีเหรอ?”
“เปล่าหรอก มันไม่ได้ไม่ดี”
“แล้ว?”


ผมสบตาคนพูด มันเป็นความคิดที่ผิดมากๆ คุณเมฆยิ้มใจดีอีกครั้ง แล้วมันทำให้ผมรู้สึกแก้มร้อนๆ หัวใจก็ยังไม่หยุดกะยึกกะยักจนน่ารำคาญ แต่ก็ละสายตาจากคุณเมฆไม่ได้เลย ให้ตาย นี่มันแย่แล้ว มันแย่มากๆ ผมจะต้องแก้มร้อนจนระเบิดได้ในสักวันแน่นอน


“เหมือนเราเป็นภรรยาที่เรียกสามีเลยเนอะ”


เนี่ย! ชอบพูดอะไรแบบนี้อะ แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าหัวใจจะไม่กะยึกกะยักหนักไปจนต้องแอ็ดมิทเข้าโรงพยาบาลในสักวันน่ะ!


“พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย เราทานอะไรยัง?”


คุณพี่เมฆ (เฮ้ย! ต่อไปนี้จะเป็นแค่พี่เมฆ ผมจะต้องท่องพี่เมฆให้ขึ้นใจ พี่เมฆ พี่เมฆ!!) ถามขึ้นมาพลางกดบุหรี่ที่หมดแล้วลงที่เขี่ย ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ สิ่งเดียวที่ได้ทานมาเมื่อเช้าคือลมครับ ลมพร้อมมลพิษในกรุงเทพฯพร้อมกับคุณแกร็บไบค์ที่เปิดหน้าม้าผมเมื่อเช้า


“งั้นเดี๋ยวพี่ไปดูขนมปังให้ เราเอาอะไร แซนด์วิชมั้ย เอาแฮมชีส ปูอัด หรือทูน่า?”
“แซนด์วิชทูน่าก็ได้ครับ”


คุณเมฆเดินไป แต่ความกะยึกกะยักในใจผมยังอยู่ ผมสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเพราะมันสั่นเรียกร้องความสนใจอยู่ในกระเป๋ากางเกงมาสักพัก


ไลน์!

ซุกซน ใจทราม: อ๊อง
ซุกซน ใจทราม: คนอื่นเขารู้กันหมดแล้วแหละ แต่กูเห็นหน้าอ๊องๆของมึงแล้วพูดไม่ลงว่ะ
ซุกซน ใจทราม: คือ…
ซุกซน ใจทราม: กูลาออกแล้วนะ




------- 50% -------



มาอัพเพราะพรุ่งนี้ก็วันจันทร์ที่เรารักอีกแล้ว T_______T

น้องกายค่าตัวแพงค่ะ ต้องใจเย็นๆนะคะ 555

สามารถคอมเมนต์ที่นี่ หรือที่ #เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ ในทวิตเตอร์ เหมือนเดิมนะคะ หรือยังไงทักเรามาได้ที่ @babybapho นะคะ ขอบคุณมากค่า XD

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 14:23:19 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
ทำไมซุกซนลาออก  แทนใจเหงาแย่ละทีนี้

พี่เมฆน่ารัก  :mew1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อ้าวววว ทำไมอะซุกซนนนนนนน :hao5:

ออฟไลน์ SiHong

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 484
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ซุกซนนนนน แล้วอ๊องจะอยู่ยังไง

ออฟไลน์ Mayana

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
ทำไมทิ้งกันซุกซนนนนนนนนนนนนนนนนน  :hao5: :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
12th Monday - 70%
#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ 



ซุกซนไปแล้ว ...

ไปพร้อมกับทิ้งผมไว้กับงานที่มากมายก่ายกองของมันนี่แหละ!



“ครับ... อ่า ใช่ครับ ลงที่นาริตะ... อ๋อนี่แทนใจครับ วันนี้ซุกซนลาน่ะครับ—-“ ผมรีบกระซิบบอกว่าจะส่งอีเมลกลับไปเมื่อเห็นอีกสายเข้ามาที่โทรศัพท์ผมพอดี


Rrrr


“Hello. แทนใจ speaking”


ผมวางสายเก่าของซุกซน แล้วรับโทรศัพท์ของตัวเองครับ คือก่อนสายนี้ผมก็คุยโทรศัพท์ในขณะที่ตอบอีเมลไปด้วย ล้านแปดพันเก้ามากครับ


ตอนนี้สภาพผมเหมือนซอมบี้ที่ถูกปลุกขึ้นมาจากความตาย ตอนเพื่อนไปก็เศร้าอยู่หรอก คือซุกซนมันเอาใบลาออกไปยื่นให้คุณกฤติวันนี้แล้วกะจะออกจากบริษัทเท่ๆไปเลยครับ แต่มันไม่รู้ว่าชาวโลกเขาต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนลาออกอย่างน้อยหนึ่งเดือน เจ้าตัวเลยเปลี่ยนเป็นขอลาครึ่งวันบ่ายแล้วก็ลาทั้งสัปดาห์แทน ส่วนที่เหลือก็คงจะเข้ามาทำงานจนกว่าจะครบเดือนพอดีก่อนแล้วค่อยออก


ซึ่งสาเหตุการลาออกของเจ้าตัวก็คือจะแต่งงานครับ เพราะเจ้าตัวมีแฟนสาวคนหนึ่งที่รักมากแล้วก็ไม่อยากรออะไรไปมากกว่านี้แล้ว


เพื่อนผมจะแต่งงาน


แต่งงานแบบไม่ลาออกจากงานไม่ได้หรือไง?!!! 


ซุกซน ใจทราม:  บ้านแฟนกูอยู่เชียงใหม่ กูจะเปิดร้านกาแฟให้แฟนกูแล้วกูจะมีลูกสาวน่ารักๆด้วยกัน
ซุกซน ใจทราม: ถ้าลูกกูอยากเป็นดารากูก็จะให้เป็น อยากเข้า bnk กูก็จะช่วยซื้อบั้มให้ แต่ถ้าลูกกูน่ารักมากๆตอนเด็กแล้วมีคนมาชวนเข้าวงการขึ้นมากูคงไม่ยอมแน่ กูจะไม่ยอมให้มดไรอะไรมาหยิกลูกกูแน่นอน


Tanjai: …


ซุกซน ใจทราม: นี่ที่รีบออกเพราะกูจองตั๋วไว้ตอนบ่ายสาม นี่จะตกเครื่องแล้ว ตอนแรกจะกินยาโยอิ เหลือแค่แลคตาซอยสองกล่อง ไม่อิ่มเลยแม่ง
ซุกซน ใจทราม: ตอนแรกกะจะไปแบบเท่ๆสักหน่อย แบบพูดปุ๊บไปปั๊บไรงี้ หล่อๆ
ซุกซน ใจทราม: แต่ดันอ่านสัญญาไม่ละเอียด ไม่รู้ว่ามันต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนเดือนนึง
ซุกซน ใจทราม: เอาความจริงก็คือกูดูแค่ชื่อ ตำแหน่ง เงินเดือน แล้วเซ็นเลย
ซุกซน ใจทราม: ช่างเรื่องนั้นก่อน เดี๋ยวกูจะเข้าออฟฟิศอีกทีช่วงอาทิตย์หน้า อย่าพึ่งร้องนะมึง



จะร้องเพราะซุกซนทิ้งผมไว้กับกองงานนี่แหละ!


“แทนใจ กลับบ้านกันมั้ยครับ?”


ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียกที่ดังมาจากบนหัว เป็นคุณพี่เมฆที่ยืนอยู่ข้างๆพาร์ติชั่นของผมครับ ซึ่งผมทำได้แค่ส่งยิ้มเหนื่อยๆให้เขา ตั้งแต่บ่ายวันนี้ผมนั่งเคลียร์งานจนคนในแผนกกลับไปหมดแล้วครับ ไม่เหลือสักทีม ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มเป็นสีทึมๆแล้วด้วย


“คุณพี่เมฆ?”
“เห็นไม่ตอบแชท พี่เลยลงมาดู”
“อ้าว คุณพี่เมฆทักมาเหรอครับ?”


ผมหยิบมือถือขึ้นมาดู แหงะแจ้งเตือนบานเบอะจริงด้วย


ตั้งแต่ที่ผมทั้งเศร้าทั้งนอยซุกซนเมื่อเช้าผมก็ไม่ได้แตะมือถือเลยครับ แถมวันนี้ก็ยุ่งมากๆจนไม่ได้ลงไปกินข้าวเลยครับ อาศัยฝากคุณโน้ตมาเลเซียซื้อขนมปังมาให้กิน แล้วก็นั่งทำงาน เข้าห้องน้ำ ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน  เข้าห้องน้ำ ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน เข้าห้องน้ำ ทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน จนถึงตอนนี้นี่แหละครับ


“ไว้คราวหน้าพี่จะส่งเป็นอีเมลมาละกัน เราน่าจะอ่านก่อนไลน์เนอะ”
“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อยครับ”


ผมละสายตาจากคอมแล้วเอาสองมือขยี้ตา ก่อนที่จะมีมืออีกคนมาจับออกจากตาให้ ผมเบะปากใส่อีกคนทั้งที่ยังคงไม่ลืมตา สิ่งที่ตามมาคือเสียงหัวเราะในลำคอที่ผมเริ่มจะคุ้นเคยแล้วครับ


“บอกแล้วไงว่าอย่าขยี้ตา”
“ก็ผมปวดตาง่ะ”
“ปวดตาแล้วก็พอ พรุ่งนี้ค่อยมาทำใหม่”
“ไม่ได้ๆ มี PO รอเปิดเยอะเลย”


ตอนนี้ทุ่มกว่าๆเกือบจะสองทุ่มแล้ว ไม่น่าละออฟฟิศเงียบเลยครับ เฉพาะชั้นผมนะ พวกการตลาดน่าจะยังอยู่ หรือไม่อยู่แล้ว ผมไม่รู้หรอก  แต่คิดว่าบัญชี การตลาดอะไรพวกนี้น่าจะอยู่กันดึกๆหรือเปล่า เดาล้วนไม่มีความรู้จริงผสมมาเลยครับตรงนี้


“งั้นเดี๋ยวพี่นั่งรอเป็นเพื่อน”
“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องเลยครับ”


ผมร้องห้ามอีกคน เมื่อเขาทำท่าจะมานั่งที่ซุกซนข้างๆผม แล้วหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิด ได้ไงอะ! ไม่ได้เลยนะแบบนี้ ทำไมชอบทำตัวแบบคุณพี่เมฆอะ ตอนดันทุรังจูบผมแบบไม่กลัวติดไข้นั่นก็ทีนึงนะ นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ ถ้าเป็นน้องชายผมนะผมจะตีๆ


“พี่ก็มีเมลลูกค้าที่ยังไม่ได้ตอบนะ”
“แล้วทำไมไม่ไปตอบที่โต๊ะพี่เล่า”
“ก็อยากนั่งตอบตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ? พี่ว่าน่าจะได้นะครับ”

“มันก็…” ผมมองซ้ายมองขวา กองกระดาษเต็มโต๊ะผมกับของรกๆของซุกซนที่แอบหนีกลับไปก่อน ตรงหน้าผมจอคอมฯดันมีอะไรเด้งขึ้นมาพอดี ผมเลยละสายตาจากคุณพี่เมฆไปดูคอม เขาเลยรวบรัดตัดตอนให้ผมเสร็จสรรพ

“นี่ไง เรานั่งทำงานของเราไป พี่ก็นั่งทำงานของพี่ไป ป้ะๆๆ ทำงานๆๆๆ”


ในขณะที่ผมกำลังประมวลผลอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร คุณพี่เมฆแกก็เปิด outlook ดูอีเมลแล้วครับ ผมก็ต้องกดตัวเองลงบนเก้าอี้แล้วนั่งทำงานบ้าง เวลาผ่านไปโดยมีเสียงพิมพ์กับบ่นของผม กับเสียงฮัมเพลงของคุณพี่เมฆที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆเท่านั้น


ข้อเสียที่ดีที่สุดของผมคือเวลาที่ผมจดจ่อกับอะไรแล้วจะอยู่แต่ในความคิดตัวเองเท่านั้น ผมคิดแล้วก็คิด อยู่แต่กับงานตรงหน้า จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นมานี่แหละ!


Rrrr

น้องกายโทรมานั่นเอง


“น้องกาย ว่าไงครับ”
“พี่แทนใจ อยู่ไหนเหรอครับ?” น้องเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกับกำลังเรียบเรียงคำพูด “ผมไปหาได้มั้ยครับ?”
“วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์นะ พรุ่งนี้น้องกายมีเรียนนะครับ จะมาหาพี่ได้ไง”
“ผมคิดถึงพี่แทนใจ”


น้องผมมมมมมมมมมมมมมมมมม น้องแทนกายของพี่แทนใจ น้องชายผมเองงงงงงงงงงงง ทุกคนนนนนน น้องผมน่ารักมากเลย เวลาน้องพูดแบบนี้ผมอยากจะอุ้มน้องขึ้นมากอด ถึงแม้ความจริงน้องจะสูงกว่าผมเยอะอยู่ก็ตาม น้องชายผมเอง น้องรักของผม


“พี่ก็คิดถึงน้องกาย แต่ตอนนี้พี่ยังอยู่ที่ออฟฟิศอยู่เลยน่ะสิเนี่ย”
“ผมไปหาได้มั้ยครับ?”


น้องย้ำคำเดิมอีกครั้งด้วยเสียงที่แข็งขึ้นกว่าเดิม ผมเริ่มขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสความไม่พอใจในน้ำเสียงของน้องชาย


“หืม? อย่าเลย ไกลนะครับ”


แค่จากหอน้องกายมาหอผมโดยแกร็บก็เกิน 250 ไม่รวมค่าทางด่วนแล้วครับ ที่ทำงานผมไกลกว่าหอผมอีกนะ ถ้าน้องต้องมาหาผมนี่มันไกลมากเลย เรียนเหนื่อยๆก็ไม่ควรจะต้องนั่งรถไกลๆนะผมว่า อีกอย่างคือวันนี้ผมค่อนข้างเหนื่อยแล้วครับ การเจอน้องมันก็ดีแต่ผมไม่อยากต้องมากังวลว่าน้องจะปลอดภัยมั้ย จะมาถึงหอผมกี่โมงแล้วจะกลับถึงห้องกี่โมง


“แต่ผมไปได้นะ ผมนั่งแท็กซี่ไปได้ ผมอยากเจอพี่แทนใจ”
“แทนกาย นี่มันดึกแล้วนะ แทนกายไม่ควรออกจากบ้านดึกๆนะ--”
“แต่ผมอยากไปหาพี่!”


ผมถอนหายใจ น้องกายเอาแต่ใจเวลาอื่นผมอาจจะยังตามใจไหว แต่วันนี้ผมจ้องหน้าจอคอมฯมาร่วมสิบชั่วโมงแล้ว ไม่มีอารมณ์อยากจะง้อน้องอย่างที่ปกติเป็น แต่ด้วยความที่อีกคนคือน้องชาย ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามพูดเหตุผลให้น้องฟัง


“น้องแทนกายครับ มันดึกแล้ว น้องเรียนมาเหนื่อยๆ พี่ชายเองก็ยังทำงานไม่เสร็จ--”
“ทำไมพี่ไม่ให้ผมไป พี่ไม่รักผมแล้วเหรอ?!”
“พี่รัก--”
“ทำไมพอเป็นผมพี่ถึงไม่ให้ไปหา เมื่อตอนพี่ป่วยผมก็ไม่ได้ไปหา วันนี้ผมก็ไปหาไม่ได้!”


น้องแทนกายที่ปกติมีเหตุผลเสมอไม่รู้ทำไมกลับกลายเป็นเด็กทารกตัวเล็กๆที่จะร้องเปลี่ยนผ้าอ้อมตอนตีสาม ผมไม่เข้าใจ และไม่พร้อมจะเข้าใจในตอนนี้ด้วยเช่นกัน


แต่เพราะอีกคนเป็นน้องชาย และผมเป็นพี่ชาย สิ่งเดียวที่ทำได้คือสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามคุยกับน้องเหมือนกับที่ทำมาเมื่อสักครู่


“ไม่ใช่แบบ--”
“ผมกำลังจะขึ้นแท็กซี่แล้ว วันนี้ผมต้อง--”

“แทนกาย!!!! หยุดเอาแต่ใจได้แล้ว!!!!!”









ติ๊ด!









ผม … ตวาดน้อง


โทรศัพท์ที่อยู่ในมือสายตัดไปแล้วแต่ผมยังถืออยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าสายตัดเพราะน้องวางหรือเพราะผมเป็นคนทำ ผมไม่รู้อะไรเลย ในหัวมีเสียงอื้ออึงดังไปหมด ตอนนี้ผมควรจะทำอะไร ผมตวาดน้อง น้องชายของผมที่ผมแทบจะไม่เคยดุเลยสักนิด


น้องจะเสียใจมากมั้ยนะ?
น้องจะร้องไห้หรือเปล่า?


“แทนใจ กลับบ้านกัน”


เสียงกุกกักเหมือนกับกำลังเก็บของไม่ได้ทำให้ผมสนใจเท่าไหร่นัก  มากเท่ากับสัมผัสที่แตะที่ไหล่ข้างๆ พอหันไปถึงได้เห็นว่าคุณพี่เมฆอยู่ในสภาพเก็บของหมดเหมือนลบอีเมลลูกค้าทิ้งไปหมดเลย ไม่ต้องทำงานกลับบ้านได้แล้ว เขาพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมพยักหน้าแล้วเก็บของเนือยๆ ซึ่งคงจะไม่ทันใจคนอายุมากกว่า เพราะเขามาช่วยผมปิดคอมฯเก็บของอีกแรง


“... ใจ”
“ครับ?”
“พี่ถามว่าเราหิวมั้ย?”
“อ่า…” ผมเม้มปาก ความจริงก็ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ แต่ยังไม่ได้กินอะไรหลังจากเที่ยงเลยเนี่ยสิ ผมควรจะหิวใช่ไหมนะ น่าจะต้องเป็นแบบนั้น
“ผมยังไงก็ได้ คุณพี่เมฆละครับ?”
“เราเลือกที่จะหิวได้ด้วยหรือไง?”
“ครับ?” ผมถามซ้ำเมื่อไม่แน่ใจว่าอีกคนพูดอะไร แต่เอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ เพราะคุณพี่เมฆแค่โบกมือไปมาย้ำความเข้าใจเดิมของผม


“ปะๆ เราหาอะไรกินกันเถอะ”








ผมเดินมึนๆตามเขาที่จูงมือออกจากออฟฟิศมายืนรอลิฟต์ ระหว่างเราไม่ได้มีคำพูดอะไรเพิ่มขึ้นกว่าเดิม คุณพี่เมฆไม่ได้ถามถึงโทรศัพท์สายเมื่อครู่ เขาเพียงแค่เคาะนิ้วกับขาเป็นจังหวะ ส่วนตัวผมนั้นทำเพียงแค่ยืนจ้องเงาสะท้อนของตัวเองจากตัวลิฟต์


มีเพียงความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศรอบตัวของผมกับคุณพี่เมฆเอาไว้


“วันนี้ลิฟต์ช้าจังแฮะ”


คุณพี่เมฆบ่นขึ้นมาเมื่อกดลิฟต์สองครั้งแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมได้ยินเขาบ่นเบาๆถึงบริษัทที่รับเหมาลิฟต์ให้กับตึกนี้ (เอาจริงคือเขาด่าเลยแหละครับ) ซึ่งผมก็ยืนรออยู่ข้างๆเขาต่อไป


พรึบ!


ไฟดับ


ไฟตรงทางเดินดับพรึบพร้อมกันหมดครับ เหลือแค่พวกไฟฉุกเฉินเล็กๆที่ยังพอให้มองเห็นทางและใบหน้าของกันและกัน ผมกับคุณพี่เมฆสบตากันนิ่งๆ ก่อนที่เขาจะเดินไปดูตรงบันไดหนีไฟ ซึ่งผมยืนอยู่ที่เดิม โดยที่สายตาโฟกัสอยู่ตรงเท้า ในขณะที่จิตใจอยู่ที่เตียงนอนกับผ้านุ่มแล้ว



ทำไมวันจันทร์นี้ มันถึงไม่จบสิ้นสักทีนะ?



“เฮ้ย! แทนใจ! ร้องไห้ทำไม?”


ผมเอานิ้วแตะตรงแก้มที่มันเปียกๆแล้วรีบปาดออกจากหน้าอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนยิ่งเช็ดมันยิ่งไหล ยิ่งปาดมันก็ยิ่งไม่หมด ผมแค่เหนื่อยนะ แค่เหนื่อยเอง น้ำตาไม่ควรไหลสิ หยุดไหลนะ ผมไม่อยากร้องไห้ที่ออฟฟิศนะ มันดูไม่เท่เลย ผมเป็นพี่ชายคนโตนะ ผมต้องหยุดร้อง


“... ฮะ...ฮึก”

“ไม่เอาๆ ไม่ร้องๆ”


เป็นอีกครั้งที่ผมถูกคุณพี่เมฆเอามือออกจากตา ได้ยินเขาบ่นทำนองว่าทำไมผมถึงได้ชอบเอามือมาขยี้ตาแบบนี้ ผมไม่ได้ขยี้นะ มันคือการเช็ด! แค่เช็ดแบบเร็วมากๆเอง


“จะนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนมั้ย? รอจนไฟมาแล้วเราค่อยกลับบ้านกัน”
“มะ… ไม่เอา” ผมพยายามพูด แต่มันไม่ง่ายเลยที่ต้องพูดตอนที่พยายามจะหยุดสะอึกสะอื้นแบบนี้ไปด้วย “อยาก… กะ… กลับแล้ว”
“ครับๆ กลับกันนะ”


ผมเดินตามคุณพี่เมฆที่ตอนนี้เขาจูงมือไปที่บันไดหนีไฟ ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเขาจะทำอะไร คือผมทำงานอยู่ชั้น 27 นะครับ ย้ำอีกทีว่า 27! แค่เดิน 7 ชั้นผมยังเหนื่อยเลย แล้วนี่เกือบจะสามสิบชั้น บ้าไปแล้วแน่นอน


แค่คิดว่าจะต้องเดินลงไปข้างล่างน้ำตามันก็ไหลออกมาอีกแล้วครับ ผมกระตุกมือคุณพี่เมฆอีกครั้ง เขาหันมายิ้มอบอุ่นให้พร้อมกับลูบหัว แล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ด้วย ผมเลยหยุดร้องลงมาหน่อย ซึ่งเหมือนคุณพี่เมฆเขาจะตีความหมายผิดว่าผมอยากรีบๆลง คนมีกล้ามเลยผลักประตูบันไดหนีไฟแล้วเดินดุ่มๆลงไปเลยครับ ซึ่งผมที่โดนเขาจูงมืออยู่ก็ต้องลงมาด้วยไง


เทียบกับคุณพี่เมฆผมเป็นไอ้ขี้ก้างขี้เกียจออกกำลังกายเลยครับ เพราะเดินไปห้าหกชั้นผมก็หอบแฮกแล้ว


“คุณพี่เมฆ … ผะ.. ฮึก”
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ถึงแล้วนะครับ”


พูดไม่พอยังหันมายิ้มหล่อให้อีก ผมที่กำลังจะแย้งว่าเราเดินไม่ไหวหรอกก็เลยยอมเม้มปากกลั้นสะอื้นแล้วเดินตามเขาลงไปเรื่อยๆ คนชอบออกกำลังกายอย่างคุณพี่เมฆอาจจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่ผมที่ผ่านวันเหนื่อยๆมาตั้งแต่เช้า แถมเดินเท้าลงบันไดด้วยกลั้นสะอื้นไปด้วยมันเหนื่อยมากเลยครับ


เหนื่อยจัง

อยากกลับบ้านแล้ว

ไม่อยากเดิน ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไปแล้ว


ผมอยากกลับบ้านไปซุกผ้านุ่มของผมแล้ว


“ฮึก...ฮือ “
“เฮ้ย ทำไมร้องอีก เมื่อกี้เหมือนจะหยุดแล้วไม่ใช่เหรอเรา?”
“… เหนื่อย”


ตอนนี้เราอยู่กันที่ชั้น 9 ครับ แล้วผมไม่ไหวแล้วเลยร้องไห้ออกมาพร้อมนั่งลงตรงขั้นบันได ซึ่งคุณพี่เมฆหัวเราะออกมาครับ เออ! ผมมันไม่ได้เข้ายิมตีห้าออกมาห้าโมงเย็นแบบเขานี่ จะไปมีแรงแบบนี้ที่เดินตั้งหลายชั้นแล้วไม่เหนื่อยได้ไงเล่า!


“ฮ่าๆ ครับๆ”
“อย่า… ฮึก … หัวเราะสิ”
“ครับๆ”


เขายังหัวเราะอยู่ แต่เดินมาลูบหัวผมเหมือนที่เคยทำเป็นปกติ ซึ่งตอนแรกผมก็พยายามเบี่ยงหัวหนีครับ แต่เหนื่อยเลยหันหนีได้แค่ทีสองทีก็จอดให้เขาเอามือลูบได้สบายๆ


“เหนื่อยก็พักก่อน เดี๋ยวค่อยไปต่อก็ได้”
“...”
“พี่เดินไปกับเราอยู่แล้วแหละ ไม่ทิ้งเอาไว้ตรงนี้หรอก”
“จริง… นะ”
“จริงสิครับ”
“....ไม่เชื่อ”
“งั้นทิ้งเอาไว้เลยละกัน พี่ไปแล้ว”
“เฮ้ย!”


ผมร้องออกมาเมื่อคุณพี่เมฆที่ปลอบอยู่เมื่อกี้เดินหนีผมลงไปจริงๆ ทำเอาผมกระวีกระวาดลุกขึ้นแทบไม่ทัน แต่เพราะรีบลุกมากไปหน่อยเลยสะดุดล้มแปะพื้น


ปั่ก!


 แทนที่จะลุกขึ้นมาเดินต่อผมกลับเหนื่อยจนไม่อยากจะลุกแล้ว เลยแปะอยู่แบบนั้น เพราะแค่คิดว่าแม้แต่คุณพี่เมฆก็ยังทิ้งผมตอนนี้ มันก็…


“ฮึก … ฮือออออออ”
“แทนใจ ...เราจะร้องทำไมเนี่ย พี่แค่แกล้งเฉยๆ”


คุณพี่เมฆที่ไม่ได้ไปไหนจริงๆเข้ามาช่วยพยุงผมขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ผมเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวแล้วครับ มันเหนื่อยไปหมด ทุกอย่างในวันนี้แย่ไปหมด ไม่เอาแล้ว อยากกลับบ้านแล้ว


“ไม่คิดว่าจะร้องออกมาอีก พี่ขอโทษนะครับ”


ผมสะอื้นใส่ให้เขานั่งเช็ดน้ำตาอีกครั้ง สองมือกำเสื้ออีกคนไว้แน่น ถ้าเกิดคุณพี่เมฆคิดจะหนีผมไปอีกยังไงผมก็จะเกาะเขาไปด้วยแน่นอน ผมจะไม่ปล่อย จะกำไว้แบบนี้



ปัง!


“มานั่งทำอะไรกันตรงนี้”


ผมกับคุณพี่เมฆหันไปมองตามที่มาของเสียง เป็นคุณลุงยามที่ผมจำได้ว่าเขาอยู่ที่ประตูหน้าของตึกนี้ ก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วเอามือข้างหนึ่งปาดน้ำตาลวกๆ ฟังคุณพี่เมฆเล่าให้คุณยามฟังว่าพวกผมเดินลงมาจากชั้น 27 เพราะไฟดับ ซึ่งคุณลุงเขาก็ทำเสียงเหมือนกับจะเข้าใจ


“ตอนแรกนึกว่ามีใครแกล้งกันเลยมาดู ไม่นึกว่าจะเจอคนเดินลงมา มาจากไหนนะ ชั้น27ใช่ไหม? เก่งกันนะเนี่ยเดินลงมา10กว่าชั้น”


“ขอบคุณครับ” คุณพี่เมฆเป็นคนตอบไป ตอนนี้ผมหยุดสะอื้นแล้วครับ แต่ยังไม่อยากปล่อยเสื้อคุณพี่เมฆ ถ้าปล่อยแล้วอีกคนทิ้งผมจริงๆนี่จะโกรธมากๆเลยนะ จะฟ้อง… ฟ้องใครดีอะ ซุกซนก็จะไม่อยู่แล้ว น้องกายก็โกรธผมแล้วแน่ๆเลย


“ไม่มีอะไรงั้นเดินกันดีๆล่ะ” คุณลุงยามที่บอกว่าได้ยินเสียงคนคุยกันเลยเข้ามาดูพูดต่อ “แต่ถ้าเหนื่อยก็ลงลิฟต์กันนะ ไฟมาแล้ว ลิฟต์ใช้ได้แล้ว”


“...”

 “ลุงไปล่ะ แข็งแรงกันจังเด็กสมัยนี้” 

“...”




ผมละเกลียดวันจันทร์จริงๆ เลย ให้ตาย





------- 70% -------



น้องกายมาแล้วนะคะ XD
ตอนนี้มาอัพช้าเพราะยาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ

สามารถคอมเมนต์ที่นี่ หรือที่ #เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ ในทวิตเตอร์ เหมือนเดิมนะคะ หรือยังไงทักเรามาได้ที่ @babybapho นะคะ ขอบคุณมากค่า XD


ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ตายแล้วววว น้องแทนใจเลยยิ่งไมีขอบวันจันทร์เข้าไปใหญ่เลยเนี่ย

ออฟไลน์ Mayana

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-2
มีความสงสารน้องงงง 555

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ Chanik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ babybaphomet

  • Baby Baphomet
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-1
    • Twitter
12th Monday - 100%
#เรื่องของคนที่เกลียดวันจันทร์ 



ทั้งที่คิดว่าอยากจะกลับบ้าน แต่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่อยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับบ้านเลยครับ





หลังจากที่พวกเราออกมาจากตึกที่ทำงานแล้ว คุณพี่เมฆบอกว่ามันดึกแล้วเดี๋ยวเขาจะไปส่งผมที่ห้องเอง ตอนที่ผมคาดเข็มขัดเรียบร้อยนั้น เขาดันบอกว่าก่อนจะกลับบ้านเขาจะพาไปแวะทานข้าวก่อน เพราะเห็นผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อกี้ แถมมาบอกว่าเพราะผมเพิ่งร้องไห้ เขาจะไม่ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวตอนนี้



มาด้วยเหตุผลแบบนี้แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน



“อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”



ผมมองเมนูอย่างงงๆ หันไปมองหน้าคนที่พามาอย่างงงๆยิ่งกว่า



“นี่มันที่ที่เขาจะพาคนเศร้ามาเลี้ยงปลอบใจกันเหรอครับ?” ผมกะพริบตามองหน้าคุณพี่เมฆ สลับกับมองป้ายร้านอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มองผิดไป



“เบอร์เกอร์คิงเนี่ยนะครับ?”



ผมมองหน้าน้องพนักงานผู้หญิงที่มองมาหน้าทางผมแบบเริ่มหงุดหงิดที่ไม่สั่งสักที แล้วมองไปที่คุณพี่เมฆที่ยังยิ้มๆแบบเดิมอีกครั้ง นี่ก็ยิ้มตลอดเวลาอะไรขนาดนี้ ทำไมอารมณ์ดีเหลือเกิน นี่วันจันทร์นะทำไมถึงอารมณ์ดีล่ะ



“หรืออยากกินอย่างอื่น แม็ค? เคเอฟซี? หรือเอาพิซซะ---”

“ไม่ต้องครับคุณพี่เมฆ”



ผมรีบห้ามเมื่ออีกคนทำท่าจะดึงผมออกจากร้านจริงๆ โชคดีที่ร้านเบอร์เกอร์คิงที่เราอยู่ตอนนี้เป็นสาขาในปั๊มน้ำมัน (หนึ่งในปั๊มระหว่างทางกลับไปห้องผมจากที่ทำงานน่ะครับ) คนไม่ค่อยมีครับ พวกผมเป็นคิวเดียวที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เลยมีเวลามายืนเถียงกันแบบนี้



“ผมทานที่นี่ได้ แค่ไม่แน่ใจเฉยๆ”



“คุณลูกค้าสามารถดูโปรโมชั่นก่อนได้ค่ะ”



พนักงานหน้าหงิกพูดขึ้นมาแล้วเอาใบโปรโมชั่นมาวาง ผมเลยจิ้มๆอะไรสักอย่างแล้วฝากคุณพี่เมฆดูก่อนเพราะผมจะไปเข้าห้องน้ำ มานึกๆดูแล้วความจริงผมแทบไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยครับวันนี้ น้ำก็กินน้อยมาก นอกจากลาเต้เมื่อเช้าผมกินน้ำไม่ถึงสามแก้วเลยด้วยซ้ำ ห้องน้ำนี่ไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ได้เข้าเลยครับ



ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆร่างกายต้องแย่แน่เลยแฮะ



ถ้าเป็นนิ่วขึ้นมาทำยังไง เป็นนิ่วแล้วจะเลือกตั้งได้มั้ย? ถ้าเป็นนิ่วแล้วคุณพี่เมฆจะเลิกชอบผมหรือเปล่า?  ไม่ได้นะ! ผมจะต้องใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองมากกว่านี้แล้ว



“คุณพี่เมฆสั่งเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ?”

“ใช่ครับ” เขายื่นแบงก์พันที่ผมยัดไว้ในมือเขาตอนที่สั่งอาหารเสร็จคืนมาให้ “อันนี้เงินเรา เก็บไปๆ”

“เฮ้ย ไม่เอา มื้อนี้ผมจะเลี้ยงคุณบ้าง”



ผมสั่นหัวหงึกหงักไม่รับเงินคืน



มันเป็นความตั้งใจของผมครับที่คิดว่ามื้อนี้จะเลี้ยงคุณพี่เมฆเขาคืนบ้าง ตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงขั้นชูวับชูวับไปแล้ว ผมไม่เคยจ่ายเงินเลี้ยงอะไรเขาเลย ทั้งที่ตัวเองก็ทำงานมีเงินเดือนเหมือนกัน มันรู้สึกไม่ค่อยแฟร์อย่างไรแปลกๆ อย่างเวลาผมไปไหนกับซุกซนเราหารกันตลอด



เฮ้อ ต่อไปนี้คงไม่มีคนให้หารค่าข้าวด้วยแล้ว



“เป็นอะไรครับแทนใจ ทำไมหางลู่หูตกอีกแล้วล่ะ”



ผมเหลือบตามองคุณพี่เมฆที่เท้าคางมองผมเหมือนกับวันที่ไปนั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกันแล้วเขาเอาข้าวกะเพราแซลม่อนให้ผมทาน พอมาย้อนคิดแล้วก็กะยึกกะยักเล็กๆ วันนั้นผมเกือบตายเพราะข้าวกะปิของซุกซนแล้ว … พูดถึงซุกซน



“สมมุตินะครับ คุณพี่เมฆ”

“ครับ”



คุณพี่เมฆที่ทำท่าตั้งใจฟังประหนึ่งผมเป็นประธานผู้แทนการประชุมกลุ่มผู้นำด้านการต่อต้านวันจันทร์เพื่อสันติภาพ ท่าทางจริงจังของเขาทำให้ผมนั่งตัวตรง แล้วพยายามจริงจังไปด้วย



“สมมุติว่าคุณพี่เมฆเพิ่งเรียนจบ แล้วมาทำงาน แล้วคุณพี่เมฆมีเพื่อนในที่ทำงานที่สนิทกันมากๆ แบบมากๆเลยอะครับ มากกว่าค่าครองชีพขั้นต่ำอีก”

“...” คุณพี่เมฆพยักหน้าเหมือนกับว่ากำลังตั้งใจฟัง ให้ผมพูดต่อ

“ทีนี้อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนที่สนิทมากๆคนนั้นของคุณพี่เมฆเขาก็ลาออกน่ะครับ ออกแบบไม่บอกเลย ในขณะที่คนทั้งแผนกรู้กันหมดแล้วแต่คุณพี่เมฆกลับกลายเป็นคนที่รู้คนสุดท้าย เพื่อนจะไปไม่พอเพื่อนยังไม่บอกคุณพี่เมฆอีกต่างหาก มันแย่มากๆเลยเนอะ”

“...”

“ผมไม่อยากให้เขาออกเลย ผมเป็นคนไม่ค่อยสนิทกับใครเท่าไหร่ พอมีเพื่อนคนนี้มาผมก็รู้สึกดีมากๆที่จะมีคนหารค่าข้าวกลางวันด้วย มีคนเอาไว้บ่นลูกค้าด้วยกัน มีคนขี้เกียจเข้าประชุมเหมือนกัน”



“ตกลงว่าเรื่องสมมุตินี่จะเป็นของพี่หรือของแทนใจเนี่ย?”



ผมกะพริบตามองคุณพี่เมฆงงๆ ถึงได้เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อกี้ผมเผลอพูดเป็นเรื่องของตัวเอง แต่ยังไม่ทันทีผมจะแก้ตัวอะไร คุณพี่เมฆก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน



“แทนใจเสียใจที่ซุกซน--”

“คุณพี่เมฆรู้ได้ไงว่านี่คือเรื่องของผมกับซุกซน?”

“ก็ซุกซนมันลาออกแล้วนี่”

“แม้แต่คุณพี่เมฆก็ยังรู้อะ”



ผมไถลตัวลงไปบนโต๊ะอย่างเซ็งๆ ซึ่งคุณพี่เมฆเองยังคงทำหน้านิ่ง หรือตอนนี้ทำหน้าหล่อก็ไม่รู้เพราะผมหันหน้าไปทางกระจกข้างๆครับ ทำไมซุกซนถึงไม่บอกผมแต่บอกคนอื่นหมดเลยล่ะ



“แทนใจครับ ฟังพี่เมฆนะครับ”



คุณเมฆเรียกผมเลยหันหน้ากลับไปหาเขา ยิ่งมองหน้าเขาผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาหน้าตาดี อะไรวะเนี่ย 



“ในช่วงชีวิตของคนเราน่ะ เราจะต้องเจอคนเยอะแยะ บางคนเข้ามาแป๊บเดียวมาแค่ชื่อ บางคนมาอยู่นานๆ ทิ้งไว้ให้เราคิดถึง แต่สุดท้ายแล้วก็จากไป เดี๋ยวคนนั้นเข้ามาเดี๋ยวคนนี้ออกไปเป็นเรื่องปกติ”

“...”

“อยางเพื่อนสมัยอนุบาล หรือมัธยมน่ะ ยังอยู่ในชีวิตเราครบทั้งห้องหรือเปล่า?”



ผมส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ คุณพี่เมฆเขายิ้ม ลูบหัวผมพร้อมกับพูดต่อ



“เห็นมั้ยล่ะ”



เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับพูดกับเด็ก มันดูต่างจากเวลาที่เขาคุยกับลูกค้า หรือเวลาที่คุยกับเคุณกฤติ คุณโน้ต หรือแม้กระทั่งซุกซนก็ตาม อยู่ดีๆก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าคุณพี่เมฆมีลูกเขาต้องเป็นพ่อที่เท่ แบบที่พ่อผมทำให้รู้สึกเหมือนเป็นฮีโร่ของผมตอนเด็กแน่นอน



“เดี๋ยวคนเข้ามาก็ออกไป คนที่อยู่เดี๋ยวก็หายแล้วก็จะมีคนใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆแบบนี้แหละ”

“...”

“อย่าไปยึดติดกับความสัมพันธ์มากเกินไป”

“...”

“เข้าใจมั้ยครับ?”



เป็นช่วงเวลาพอดีกับที่อาหารมาเสิร์ฟ ผมเลยต้องแงะตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะเพราะว่าไม่อย่างงั้นจะไม่มีที่วางถาดอาหารครับ ตอนนี้โต๊ะเลยเต็มไปด้วยอาหารเพิ่มแก้มครับ ทั้งเฟรนช์ฟรายส์ เบอร์เกอร์ โค้ก ต่างๆมาหมด ผมหยิบนักเก็ตชิ้นหนึ่งขึ้นมาทานในขณะที่คุณพี่เมฆเริ่มจัดการกับแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นยักษ์ตรงหน้า



ผมทานนักเก็ตอย่างใจลอย คุณพี่เมฆนี่สามารถจัดการกับปัญหาได้ทุกอย่างเลยหรือเปล่านะ?



“คิดอะไรอยู่เนี่ยเรา ทำไมทำแก้มยืดอีกแล้ว คิดถึงเรื่องพี่อยู่เหรอครับ?”



รู้ได้ไงอะ!



คุณพี่เมฆที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นทำเอาผมตกใจ ความคิดแรกที่พุ่งเข้ามาคือ เขารู้ได้ไงวะว่าผมกำลังคิดถึงเขา!!! คุณพี่เมฆมีตาทิพย์เหรอ



“อ้าว คิดถึงพี่อยู่จริงๆเหรอเนี่ย”



คนฝั่งตรงข้ามหัวเราะ แล้วก้มลงดูดน้ำ พลางส่งสายตาเป็นเชิงล้อเลียนมาทางผม ที่ตกใจจนเผลอทำนักเก็ตตกซอสกระจายเลย แล้วตัวต้นเหตุที่ทำก็นั่งขำครับ ผมทำได้แค่เอาทิชชูมาเช็ดๆส่วนที่เลอะ แล้วก็บ่นคุณพี่เมฆในใจเท่านั้น คอยดูนะ ถ้ามีชื่อคุณพี่เมฆในการเลือกตั้งบริษัท ผมจะไม่เลือกเลย!



ตอนนี้ยังเลือกตั้งนายกไม่ได้ ก็เลือกตั้งตัวแทนพนักงานไปก่อนครับ คล้ายๆกัน





“พี่แทนใจ?”





ทั้งโต๊ะหันไปมองตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเรียกผมก็ยิ้มกว้างเลยครับ ตัวเล็กๆหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาแบบนี้มีคนเดียว



“น้องล้งเล้ง”



ผมเช็ดมือแล้วลุกขึ้นไปกอดตอบน้องที่พุ่งเข้ามาหาครับ ล้งเล้งเป็นน้องคณะผมครับ ความจริงแล้วตัวผมไม่ใช่คนที่ชอบทำกิจกรรมเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยรู้จักรุ่นน้องมากนัก (ความจริงรุ่นเดียวกันก็ไม่ค่อยรู้จักครับ รุ่นพี่ก็ไม่รู้จัก เป็นมนุษย์หลืบ) แต่ตอนที่ผมขายสัญญาหอเพราะจะเรียนจบ น้องเป็นคนที่มาซื้อต่อพอดี



น้องเป็นคนคุยเก่งครับ พอรู้ว่าผมอยู่คณะเดียวกับน้องเขาเลยคุยกันเยอะมากๆ จนสนิทกันแบบงงๆนี่แหละ



“พี่แทนใจเป็นไงมั่งครับ คิดถึงจังเลย พี่บอกจะไปหาผมที่มอฯก็ไม่ไป”

“คิดถึงเหมือนกัน”



ผมก็อยากเจอน้องนะ แต่พอเรียนจบมันนัดยากมากเลย ยิ่งน้องสอนพิเศษอีก เลยไม่ได้นัดสักที ก็ประหลาดดีเหมือนกันแค่กับคนที่คุยกันนิดหน่อยแต่ผมดันรู้สึกเอ็นดูน้องมากเลยครับ



“ผมได้เอกอังกฤษแล้วนะพี่แทนใจ”



น้องพูดพร้อมยิ่งแฉ่งมาให้ คณะผมเรียนภาษา แต่ตอนที่แอดฯเข้าไปจะยังไม่เลือกวิชาเอกครับ เราจะไปเลือกกันทีหลัง ซึ่งตอนนั้นน้องล้งเล้งอยากเรียนเอกอังกฤษแล้วก็กลัวเข้าไม่ได้ เลยถามผมค่อนข้างเยอะหน่อย ซึ่งผมก็ตอบไปเท่าที่ทำได้ครับ พอปีสี่มันก็ลืมๆไปแล้วว่าทำไมมอหกถึงได้อยากเรียนมหาลัยขนาดนี้ เข้ามาตายชัดๆ



“เก่งมากเลย พี่รู้แล้วว่าเราทำได้”

“ใช่มั้ยล่ะ! เพราะพี่แทนใจเลยนะเนี่ย”

“ก็เวอร์ไป” ผมหัวเราะ “ถ้าเราเข้าเอกอังกฤษไม่ได้อะนะ คนทั้งโลกก็เข้าไม่ได้แล้ว!”

“โหย นี่ก็เวอร์ไปเหมือนกันอะ ฮ่าๆ”



ผมกับน้องคุยงุ้งงิ้งกันอยู่สักพักจนมีเสียทักจากคนที่ขับรถพาผมมากินข้าวครับ



“แทนใจ เดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ”

“เออใช่ ลืมแนะนำเลย” ผมพูดสิ่งที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ เนี่ยอะนิสัยเสียของผม เวลาทำอะไรแล้วลืมอีกอย่างไปเลย ครั้งนี้ลืมคุณเมฆครับ

“คุณพี่เมฆครับ นี่น้องล้งเล้ง น้องคณะผม” ผมผายมือไปที่น้องที่กำลังยกมือไหว้อีกคนที่รับไหว้แบบเท่ๆ คือผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแค่รับไหว้ต้องดูดีและดูใจดีขนาดนี้ด้วย

“ล้งเล้ง นี่คุณพะ… เอ่อ คุณเมฆ” ผมพยายามไม่สนใจสายตาที่มองมาตอนที่ผมเรียกเขาว่าคุณเมฆ โอ๊ย มองทำไมเล่า อย่ามองสิ “เป็นเพื่อนที่ทำงานของพี่เอง”



ทั้งสองคนทักทายกันพอเป็นพิธีก่อนที่คุณพี่เมฆจะเดินหายเข้าไปที่ห้องน้ำทางด้านหลังร้าน ทิ้งผมไว้กับน้องล้งเล้งที่ยังมองตามคุณพี่เมฆอย่างสนอกสนใจ



“โหยพี่แทนใจ พี่เมฆโคตรเท่เลยอะ”



น้องหันมาพูดกับผมครับ เหมือนน้องจะชอบคุณพี่เมฆมากเลย อาจจะเพราะคณะเราไม่ค่อยมีเพศชายเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเพศชายที่หล่อด้วยนี่หายากกว่าลูกค้าที่ไม่เรื่องมากอีกครับ



“อิจฉาว่ะ ผมนะอยากสูงๆ ดูดีแบบนั้นบ้างจัง ทุกวันนี้เพื่อนแม่งทำเหมือนผมเป็นหมากระเป๋า ไม่คูลเลย”

“ล้งเล้งเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนะ”



ผมพูดชมอีกคน ไม่ได้พูดไปเรื่อยนะครับ ผมชอบน้องที่เป็นแบบนี้ ดูสดใสดี สดใสจนผมอยากจะแบ่งความอารมณ์ดีของน้องมาใช้ตอนเช้าๆวันจันทร์บ้างเลยครับ



“ว่าแต่มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย ไม่ได้ใกล้มหาลัยฯเลยนะ ไม่มีเรียนหรือไง”

“ผมมาหาน้องที่สอนพิเศษน่ะ”

“สอนพิเศษ?” ผมทวนคำ “สอนไกลไปป่าว คุ้มค่ารถเหรอเนี่ยถามจริง?”



ผมไม่ได้เวอร์นะ มหาลัยน้องผมอยู่แทบชานเมืองครับ แถวทุ่งรังสิต ส่วนตรงนี้คือเขตบางนา คนละซีกโลกเลยนะ บ้าไปแล้ว แค่คิดผมก็เหนื่อยแล้วครับ ถ้านั่งแกร็บนี่น่าจะ 500-600 บาทขึ้นแน่ๆ บ้าไปแล้วน้องผม



“ไม่ๆ คือผมสอนสยามพี่ แต่ตอนกำลังขึ้นรถตู้กลับเพิ่งรู้ว่ากุญแจหอติดมากับมัน โคตรซวย นี่ต้องขอเขาลงแล้วรีบขึ้นรถมาหามันที่นี่เนี่ย ยืนรอก็โคตรนานกว่าจะได้ขึ้นรถตู้ แถมแม่งต้องมาไกลถึงนี่”



น้องผมบ่นยาวเป็นปืนกลเลยครับ ซึ่งผมเข้าใจนะ ถ้าเป็นผมๆก็บ่น



“นี่เจอน้องยัง?”

“ยังเลยพี่ เนี่ยผมมารอมันทำงานบ้านเพื่อนอะไรก็ไม่รู้” น้องบ่นด้วยท่าทางหงุดหงิด มีเสียงฮึดฮัดให้รู้ด้วยครับว่ากำลังเหม็นเบื่อคนที่พูดถึงอยู่จริงๆ  “ไม่รู้มันจะทำงานถึงชาติหน้าหรือเปล่าเนี่ยพี่ เอาเถอะ ช่างแม่ง ผมยังไงก็ได้ขอให้ได้ของละกัน เพราะถ้าน้องมันทำกุญแจหายนะ ผมจะเอาดิกฯอังกฤษไทยฟาดหน้ามันไปมาจนกว่าปกจะหลุด คอยดู”



ผมหัวเราะกับท่าทางจริงจังของน้องครับ ล้งเล้งเป็นเด็กอารมณ์ดี เพราะแบบนี้ผมเลยสนิทกับน้องได้ทั้งที่ไม่ได้เรียนหรือทำกิจกรรมอะไรด้วยกันเหมือนกับคู่ซุกซนกับพี่กุ๊กกิ๊กด้วยซ้ำ



“พี่แทนใจ”

“ว่าไง?”

“ว่าแต่ พี่เมฆนี่แฟนพี่เหรอ?”

“เฮ้ย!!!”



ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆน้องถามอะไรแบบนี้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่อีกคนเดินถือถาดที่มีน้ำอัดลมวางอยู่มาทางนี้พอดี

ไอ้คุณพี่เมฆนี่ก็นะ ทีตอนที่พวกผมคุยเรื่องไร้สาระดันไปซื้อของกินเพิ่ม ทีอย่างงี้ล่ะดันเดินมาพอดี บ้าไปแล้วบ้าไปแล้ว ทำไงอะ ผมควรตอบยังไงดี



“ไม่ใช่ๆ พี่เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน”

“ใช่ครับ เป็นเพื่อนร่วมงาน”



ขาเดินมาวางถาดเอาไว้บนโต๊ะ โชคดีที่โต๊ะของพวกผมเป็นแบบสองโต๊ะต่อกันครับ เพราะงั้นเลยมีที่พอวางของบนโต๊ะทั้งหมด



“ตอนนี้ยังเป็นเพื่อนร่วมงานอยู่ ไว้อีกสองเดือนค่อยมาถามใหม่นะ”



“ไอ้คุณพี่เมฆ!!!!”

“ฮ่าๆๆๆ”



ผมเหวออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น ส่วนน้องล้งเล้งก็น่ารักมากครับ มีการหัวเราะแล้วพูดทำนองว่า ‘โหย พี่เมฆแม่งโคตรได้ว่ะ’ ซึ่งสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือพยายามทำให้แก้มหายร้อนด้วยการถูๆครับ ฮือ บ้าไปหมดแล้ว เมื่อไม่มีใครเข้าข้างผมก็เปลี่ยนเรื่องมันเลยแล้วกัน



“นี่คุณพี่เมฆยังไม่อิ่มเหรอครับ? ซื้ออะไรมาเพิ่มอีกเนี่ย”

“ไม่ใช่ๆ พี่ซื้อให้น้องเราน่ะ”



ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยในขณะที่น้องผมพยายามปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ต้องรับของ นี่ก็เลี้ยงคนอื่นเขาไปทั่วเลยนะ ไหนว่าจะพาผมมาเลี้ยงไง!



“พี่ล้งเล้ง”



เสียงเรียกของเด็กหนุ่มที่ท่าทางจะอยู่มัธยมปลายยืนโบกมือมาจากหน้าร้าน ล้งเล้งน้องผมเลยลาจากตรงนี้ไป พอดีกับที่คุณเพี่เมฆเหมือนจะมีโทรศัพท์เข้า ผมที่ไม่อยากฟังอะไรเกี่ยวข้องกับงานอีกแล้วถึงแม้จะไม่ใช่งานตัวเองก็ตาม เลยอาสาเดินไปส่งน้องเขาครับ



“พี่”



น้องเรียกให้ผมหยุดก่อนที่จะถึงประตูร้าน ผมหันมามองหน้าเขาพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ล้งเล้งทำหน้าคิดนิดหน่อย ท่าทางน้องเหมือนไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีมั้ย แต่สุดท้ายแล้วยอมเปิดปาก



“พี่ได้คุยกับน้องกายบ้างมั้ย?”



แทนกาย



ชื่อน้องชายทำให้ผมนิ่งไปชั่วครู่  สีหน้าผมคงเปลี่ยนชัดเจนเพราะน้องล้งเล้งถอนหายใจเหมือนกับว่าตัวเองก็ลำบากใจเช่นกันที่ต้องพูดเรื่องนี้



น้องกายเป็นเด็กเก่ง น้องไม่มีปัญหาวิชาไหนเลยนอกจากอังกฤษ เพราะน้องมักจะมาให้ผมสอนเพิ่มเสมอ ซึ่งตั้งแต่ทำงานผมไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ เลยฝากฝังน้องกับครูพี่ล้งเล้งแทน



“คุยสิ เมื่อเย็นยังคุยกันอยู่เลย”



ผมตอบน้องไปพลางส่งยิ้มให้อีกคน ซึ่งมันคงเป็นยิ้มเหนื่อยๆเพราะวันนี้ผมแทบจะหมดแรงแล้วครับ เรื่องนั้นเรื่องนี้เยอะเกินไป ตั้งแต่คนขับแกร็บไบค์ ลิฟต์เสีย เพื่อนลาออก ทะเลาะกับน้อง ไฟดับ และล่าสุดผมยังต้องมาคิดเมนูเบอร์เกอร์คิงเนี่ย วันบ้าอะไร



“พี่แทนใจดูแปลกๆนะ ปกติพี่ต้องพูดถึงน้องกายเยอะกว่านี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ล้งเล้งพูดพร้อมกับมองอย่างเป็นห่วง เซนส์ดีชะมัด ทำไมถึงได้ฉลาดกว่าพี่ร่วมคณะอย่างผมเนี่ย



“พี่เผลอดุน้องไปน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” 



ผมตัดสินใจตัดบทแค่นั้น เพราะว่ายังรู้สึกแย่ที่ตวาดน้องอยู่



“เดี๋ยววันพุธนี้ผมมีสอนน้อง ให้ผมช่วยพูดกับน้องมั้ย?”

“ไม่เป็นไรหรอกๆ พี่แค่… กลัวน้องจะโกรธน่ะ”



“น้องไม่โกรธพี่หรอกครับ น้องกายรักพี่จะตาย รักมากกว่าที่พี่สาวรักผมอีกมั้ง”



ผมหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อล้งเล้งทำหน้าตาจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา บ้านน้องมีพี่สาวครับ จบมหาลัยเดียวกับพวกผมเนี่ยแหละแต่ว่าคนละคณะกัน



“ช่วงนี้น้องแทนกายค่อนข้างเครียดน่ะพี่...”



ล้งเล้งทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เพราะเด็กที่น้องเขามาเอาของด้วยเดินมาทางนี้ (คงเพราะเห็นพวกผมไม่เดินไปสักที)  เลยเหลือแค่พูดทิ้งท้าย



“พี่ไปหาน้องมันบ่อยๆหน่อย น้องไม่โกรธพี่หรอกจริงๆ เชื่อผม”



พวกเราคุยกันอีกนิดหน่อยก็แยกกันครับ พร้อมกับที่ผมสัญญาว่าจะหาเวลาเข้าไปเลี้ยงข้าว(และเหล้า)น้องที่มหาลัยเร็วๆนี้ ผมเดินกลับไปหาคุณพี่เมฆที่ตอนนี้เลิกคุยกับลูกค้าเปลี่ยนมาจิ้มมือถือแทนแล้วครับ



“ขอโทษทีนะครับ แค่เดินไปส่งน้องดันคุยซะนาน”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เข้าใจ”



ผมส่งยิ้มขอบคุณให้คนที่เลิกเล่นมือถือแล้วหันมาส่งยิ้มให้ผม ตอนนี้อาหารตรงหน้าพร่องลงไปมากเลยครับ เหลือแค่นักเก็ตของผมกับเฟรนช์ฟรายส์ครึ่งหนึ่งจากตอนแรก น้ำสองแก้ว และถาดที่เมื่อสักครู่พนักงานถืออาหารมาเสิร์ฟ



“คุณพี่เมฆครับ” อีกคนเลิกคิ้วส่งยิ้มมาให้เมื่อผมเรียก “สมมุตินะครับ ถ้า--”

“เรื่องสมมุติอีกแล้วเหรอครับ?”

“อื้อ ไม่ใช่เรื่องจริงนะ”

“เรื่องสมมุติเราเยอะนะเนี่ย”

“นี่คุณพี่เมฆจะฟังมั้ยครับ?” ผมขมวดคิ้วเมื่ออีกคนกวนประสาทเหลือเกิน นี่เรื่องสมมุติไง เชื่อกันบ้าง! ผมไม่น่าเชื่อถือตรงไหนกัน!



“ถ้าสมมุติคุณพี่เมฆมีน้องชายที่รักกันมากๆ สนิทกันมากๆ อยู่มาวันหนึ่งพี่เผลอตวาดน้องไป แบบไม่ได้ตั้งใจเลยนะพี่ แค่เผลอหลุดปากเพราะว่าเหนื่อยง่ะ…”



ผมถอนหายใจ ตอนนี้คุณพี่เมฆกลับมาเท้าคางมองผมเหมือนกับเมื่อตอนที่คุยกันเรื่องซุกซนแล้วครับ เขาเงียบแต่ส่งยิ้มบางๆเป็นสัญญาณให้พูดต่อไปครับ



“ผมรู้สึกผิดมากเลย… คุณว่าน้องจะโกรธผมมั้ย?”

“อันนี้ยังเรื่องสมมุติเหมือนเดิมเนอะ”

“คุณพี่เมฆ ทำไมวันนี้กวนประสาทจังเลย”

“เห็นเราทำหน้าบึ้งไงเลยอยากให้อารมณ์ดี ดูสิแก้มเบี้ยวแล้วเนี่ย”



ผมตกใจมาก รีบเอามือจับแก้มตัวเองทันที เอ๊ะ แต่แก้มคนเราเบี้ยวเพราะหน้าบึ้งได้ด้วยเหรอวะ? … โดนหลอกอีกแล้วแน่ๆ ยิ่งเห็นว่าอีกคนกำลังส่งยิ้มน้อยๆมาให้ผม ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากบ่นเขาเหมือนเคย เสียงนุ่มๆของอีกคนก็ขัดขึ้นมาก่อน



“แทนใจ”

“ครับ?”

“เราตวาดน้องเพราะอะไร?”

“...ผมรู้สึกว่าน้องเอาแต่ใจ”

“แล้วน้องเอาแต่ใจจริงมั้ยครับ?”

“นิดนึงครับ” ผมตอบคำถาม “แต่วันนี้ผมเหนื่อยมากๆแล้วอะ น้องยังตื๊อจะมาหาอีก ทั้งที่มาดึกๆมันอันตรายจะตายไป น้องชายทั้งคนนะ น้องกายของผม ถ้าโดนแท็กซี่จับไปจะทำยังไง?”

“เราเป็นห่วงน้องใช่มั้ยล่ะ พี่ว่าถ้าพูดดีๆน้องก็น่าจะเข้าใจนะ”

“...”

“เรารักน้องอย่างไรน้องก็รักเราแบบนั้นแหละ รอใจเย็นๆก่อนแล้วก็โทรไปหาน้องซะ ดีไม่ดีน้องชายเราอาจจะรอสายจากเราอยู่ก็ได้นะ”



ผมปล่อยให้คำพูดสุดท้ายของคุณเมฆลอยวนอยู่รอบตัวโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะมัวแต่พยายามห้ามไม่ให้หัวใจเต้นตึกตังตึกตัก แต่มันยากมากๆ ยากกว่าตื่นเช้าไปทำงานแบบไม่ให้สายอีก



ทั้งสายตา ทั้งคำพูด ทุกอย่างของคุณเมฆที่อยู่กับผมมาตั้งแต่เช้ายันเย็นมันดีมากจริง



“ขอบคุณนะครับ”



ผมพูดออกไปอย่างที่ใจคิด อีกฝ่ายยิ้มรับพร้อมกับเอามือมาลูบหัวผมอย่างที่ชอบทำ แย่มากๆ ตอนนี้มันร้อนหน้าไปหมดเลย แต่ถึงแม้หน้าจะร้อนแต่ผมก็ดีใจนะที่มีเขาอยู่ช้างๆในวันที่แย่มากแบบนี้ ถ้าหากเขาอยู่กับผมไปเรื่อยๆ ทุกๆวันจันทร์ได้ก็คงดี …



และวินาทีนั้น คำพูดเมื่อสักครู่ของผู้ชายฝั่งตรงข้ามก็ลอยเข้ามาในหัว




‘คนที่อยู่ในชีวิตเราเข้ามาแล้วก็ออกไป คนที่อยู่เดี๋ยวก็หาย อย่าไปยึดติดกับความสัมพันธ์มาก’




แล้วคุณพี่เมฆล่ะ ผมยึดติดกับเขาได้มั้ย?  เดี๋ยวเขาก็จะหายไปด้วยหรือเปล่า?







------- TBC -------





เราขอสัญญา จะขอเวลาอีกไม่นาน

แต่ตอนนี้งานทำร้ายมากค่ะ

แงงแงแงงแงแงแงแงแงแงงแงแงแงแงแงแง้



Babybaphomet
[/color]

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2018 20:32:14 โดย babybaphomet »

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โถแทนใจ

ว่าแต่น้องกายมีเรื่องเครียดอะไรอยู่หรือเปล่าเนี่ย?

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
วันนรกแตกสำหรับแทนใจเลยนะเนี่ยะ ดีนะมีพี่เมฆอยู่ด้วย
แต่เสียใจอ่ะซุกซนไม่น่าลาออกเลย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด