เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว) รีไรท์ 100%
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว) รีไรท์ 100%  (อ่าน 10846 ครั้ง)

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง ตอนจบSomeone
«ตอบ #30 เมื่อ02-12-2018 07:57:37 »

ตอนจบ

Someone



หลังจากความอดทนสุดท้ายหมดลง ปีต่อมาผมก็ได้งานใหม่ เป็นฝ่ายไอทีของบริษัทโฆษณาอันดับต้นๆ ของประเทศ ซึ่งในวันแรกที่เข้าไปทำงาน ผมก็ได้เจอทั้ง แฟนเก่าอย่างเบย์ อดีตเพื่อนรักอย่างโม และ คนที่เคยคิดว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วพี่กาศของผม

คนที่เคยจากกลับมาวนเวียนอีกครั้ง เช่นทินกรที่เคยอ่อนแสงไปนาน แต่เมื่อถึงเวลาของวันใหม่แสงทองก็จัดจ้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เบย์คนเดิมที่เคยทำร้ายผม วันนี้ก็บังเอิญเดินสวนกันหน้าบริษัทอีกรอบ

“เจ็บดีนะกลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปซะแล้ว” เขาทักผมก่อน ตามมารยาทก็ต้องทักเขากลับ “ตอนเรารู้จักกัน เราก็ไม่เคยรู้จักกัน ไม่ต่างจากตอนนี้หรอก”

ตอนเราคบกัน ผมไม่เคยรู้ว่าเขารักผมแค่ไหน เหมือนที่เขาก็ไม่รู้ว่าผมเจ็บปวดกับเขาเพียงใด ตอนเลิกกันผมกลับคิดว่ารักผู้ชายคนนี้ลงไปได้ยังไง เหมือนที่เขาไม่เคยนึกว่า ผมจะตัดขาดเขาจนไม่เหลือเยื่อใยได้ขนาดนี้

ผมกับเบย์...เราก็แค่ไม่เคยรู้จักกันดีพอ

“ยังอยากรู้จักคุณนะ ผมชื่อเบย์ครับ” มือเขายื่นมาตรงหน้าผม ยังจะขอโอกาสงั้นเหรอ เพลงเดิมถึงจะเปลี่ยนคนร้องเปลี่ยนแนวดนตรี เนื้อหามันก็ไม่มีทางเปลี่ยนหรอกนะ

“ขอตัวนะครับ ผมมีงานเร่งค้างอยู่” สำหรับเบย์ไม่มีโอกาสจะให้อีกแล้วไม่อยากยกใจวางบนมือเขาอีกแล้ว เข็ดแล้วโดยเฉพาะคนที่เคยบีบมันจนผมเกือบตายคามือ ไม่ได้ถามถึงโปรด ไม่คิดจะถามเพราะไม่อยากรู้ ทั้งเบย์ทั้งโปรดได้ตายจากชีวิตของผมไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ผมเดินหันหลังออกจากห้องของเบย์ แม้กระทั่งในความทรงจำ ก็ไม่มีที่ว่างให้เรื่องของเขา

“เดี๋ยวสิ” มือของคนเดิมรั้งผมไว้

“ปล่อยเถอะ เรื่องที่มันเคยไม่มีค่าก็ไม่ควรมาเสียเวลารื้อฟื้น”

สี่ปีที่คบกัน เกือบปีที่เขาคบซ้อน สามปีที่เราต่างไม่มีความสุข และอีกสามปีที่เราไม่เจอกัน มันมากเกินพอที่ผมจะเสียให้เขา ผู้ชายคนนี้ได้เวลาในชีวิตของผมไปมากเกินความจำเป็นแล้ว ผมคืนชีวิตให้เขา และผมก็อยากได้ชีวิตของผมคืนเช่นกัน

“ปล่อยมือจากกันจริงๆ ซะทีได้ไหม”

เสียงผมอ้อนวอน สายตาผมร้องขอ ท่าทีผมสงบและมั่นใจในสิ่งที่ต้องการ เขาดึงมือกลับไป

“เวลาของเราหมดแล้วจริงๆ สินะ ลาก่อนหัวใจของผม ถ้าเราเจอกันอีกยิ้มให้กันบ้างได้ไหม อย่างน้อยก็ให้เบย์มั่นใจว่าบี๋ไม่ได้เกลียดกัน”

เสียงเขาอ้อนวอนไม่ต่างกัน สายตาเขาเศร้าแต่ดูเข้าใจ ท่าทีเขาประหม่าและกังวล

ครั้งหนึ่งผมเคยฝืนยิ้มให้เขาคลายกังวล ครั้งนั้นผมเคยซ่อนน้ำตาด้วยรอยยิ้ม เพียงกลัวว่าจะเสียเขาไป ตอนนี้กลับเป็นเขาซะเอง ที่เอ่ยขอให้ผมยิ้มให้ เพราะกลัวผมเกลียด ผมไม่ได้เกลียดเขา เคยพยายามแล้วแต่ทำไม่ได้....ทำได้แค่นี้เอง...แค่ไม่รัก

ผมมองเขาแล้วยิ้มให้

ตาเขาแดงเหมือนเรี่ยวแรงเขากำลังจะหมดลง เขาฝืนยิ้มตอบผม ราวกับกลัวว่าผมจะเลิกยิ้มให้เขา เบย์กลบน้ำตาด้วยรอยยิ้ม คงกังวลว่าผมจะไม่พอใจแล้วเดินจากไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปและเราสองคนกำลังรู้สึกเหมือนที่อีกคนเคยรู้สึก

ผมบอกเขาให้มั่นใจก่อนเราจะแยกกันไปคนละทาง

“ถ้าผมยิ้มให้คุณ นั่นแปลว่าผมไม่ได้เกลียดคุณ ไม่ใช่เพราะคุณขอร้อง”

ผมให้เขาได้แค่นี้ รอยยิ้มที่มาจากใจ ส่วนคำว่าตลอดไป...ผมขอคืน หันหลังเดินจากมา ผมไม่สนใจแล้วว่าทิ้งอะไรไว้อะไรที่ทิ้งไปแล้ว ย่อมแปลว่าไม่มีความหมาย

เดินมาจนถึงห้องทำงานใหม่ ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว มันก็ยังใหม่อยู่ไม่ชินสักที ยังไม่มีใครมาโมกับพี่จิ๋วมาตรงเวลา ไม่ขาดไม่เกินแบบนี้ทุกวัน วางถุงมันปิ้งไว้หน้าคอมเพื่อนร่วมงานที่เคยเป็นเพื่อนรัก หวังเพียงให้เขากลับมาเป็นไอ่โมเพื่อนรักของผมเหมือนเดิม ก็แค่หวัง...ทำได้เท่านี้

ผมเริ่มทำงานก่อนเวลา เลิกงานหลังเวลาผมเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เพราะใครบางคนสอนให้ผมเป็นอย่างนี้

‘พี่นั่งเขียนทั้งคืนเลยเหรอ พักบ้างเถอะ ไม่เหนื่อยบ้างเลยรึไง’

‘กูไม่เคยฝืนใจทำเรื่องไหน ถ้ากูทำนั่นแปลว่ากูเต็มใจ’

‘เพื่ออะไรกัน เขียนลงเว็ปให้คนอื่นอ่านฟรีไม่เห็นจะได้อะไร’

‘มึงไม่เข้าใจอะไรที่กูเต็มใจทำ มันคือความสุขของกู ทั้งงานเขียน ทั้งเรื่องของ..มึง..’

เขาสอนให้ผมรู้จักคำว่า ‘ทุ่มเท’ ผมรักภาษาซี ผมรักสิ่งที่ผมทำ หลายคนคิดว่าไอทีทำงานสบายแค่นั่งพิมพ์ต็อกแต๊กทั้งวัน หลายคนก็คิดว่ามันน่าปวดหัวใส่รหัส ตัวเลข ตัวหนังสือ โค๊ดในภาษาคอมพิวเตอร์ที่ดูเข้าใจยาก

แต่สำหรับผม..มันคือ..ความสุข



“ไง..” ประโยคทักทายให้คนที่เพิ่งเข้ามา โมแค่ยิ้มให้ผมตามมารยาท ก้มหน้าก้มตาเดินไปที่โต๊ะตัวเอง สำหรับมันคงพยายามทำให้ผมได้เท่านี้เช่นกัน

“นี่อะไร” มันชูถุงมันปิ้งแล้วถามผม

“ไข่ไก่มั้งเอาไปทอดแดกซะสิ” ผมอดกวนใส่มันไม่ได้

“เห๊อะ” มันมองบนยิ้มขำ แต่ก็จิ้มมันชิ้นพอดีคำเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ

“กูไม่ได้กินนานมากแล้ว” โมพูดเหมือนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา

“ไม่ชอบแล้วเหรอ” ผมหมายถึงมันปิ้งนะ

“เคยคิดว่าเลิกชอบแล้ว แต่ก็นะ..” แต่มันหมายความเหมือนกันรึเปล่า ผมไม่ค่อยแน่ใจ

พี่จิ๋วเข้ามาพอดี เราเลยต่างคนต่างทำงานของตัวเอง จนหัวหน้าแกเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“ไอ่โม ไอ่บี๋ เดือนหน้าบริษัทมีจัดมิตติ้งนะพวกมึงรู้ยัง ปีนี้ทะเลใต้เลยนะเว้ยยย บี๋มึงนี่โชคดีฉิบ ปีก่อนๆ ไม่เคยได้ไปไกลเกินชะอำหรอก แล้วก็เตรียมการแสดงน้องใหม่ด้วย”

“การแสดงอะไรวะพี่ ไม่ทำไม่ได้เหรอ”

“ทำๆ ไปเห๊อะ เป็นหน้าเป็นตาให้แผนก แล้วก็เป็นการแนะนำตัวให้แผนกอื่นรู้จักด้วย เดี๋ยวเขาคิดว่ามึงเป็นนายแบบอีก”

พี่จิ๋วบอกว่า ผมกับเขาสนิทกันแล้ว สรรพนามที่ใช้กับผมก็เลยเปลี่ยน

“โมตอนมึงแสดงไรวะ” มันดูตกใจที่ผมถาม ตอบแบบไม่อยากจะตอบเท่าไหร่ “เต้นแอโรบิก”

“ฮ่าๆ” ผมกลั้นไม่อยู่ พี่จิ๋วหันมาช่วยผมขำดังลั่นห้อง

“ไอ่โมมันมาพร้อมน้องอีกหลายคน เขาให้เต้นมันก็เต้น กูนี่ขำกรามค้าง เห็นมันอย่างนี้กวนตีนใช่ย่อย” โมมันส่ายหัวให้พี่จิ๋ว แล้วหันมายิ้มนิดหน่อยให้ผม

เราสองคนยังใช้สรรพนามเดิม แต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้สนิทกันแล้ว



ช่วงเที่ยงพนักงานใหม่สองคน ชื่อดิวอยู่แผนกบัญชี อีกคนชื่อหาญอยู่การตลาดแวะมาเรียกผมไปกินข้าวด้วย จะคุยเรื่องการแสดง ผมเลยไม่ต้องไปนั่งอึดอัดกินข้าวกับโมและพี่จิ๋ว

“บี๋เล่นดนตรีเป็นไหม” สาวสวยบัญชีเปิดการประชุม

“ไม่อ่ะ”

“งั้นร้องเพลงเพี้ยนไหม” หาญถามต่อ

“ก็น่าจะพอได้มั้ง” ผมแบ่งรับแบ่งสู้

“งั้นตามนี้ หาญตีกลอง เรากีต้าร์ บี๋ร้องนำ เริ่มซ้อมพรุ่งนี้หลังเลิกงานนะ”

ผู้หญิงคนเดียวของกลุ่มสรุปให้ ผมกับหาญพยักหน้า แล้วจัดการอาหารของใครของมัน อย่างน้อยก็ดีกว่าเต้นแอโรบิก

หลังเลิกงานก็เหมือนเดิม สองคนนั้นตรงเวลาเหมือนกลัวขาดทุนถ้าอยู่เกินเวลางาน ส่วนผมปิดคอมแล้วรีบออกไปเหมือนกันวันนี้มีนัดกับคนสำคัญ



ที่สวนสาธารณะใจกลางเมืองหลวงคนจับจองพื้นที่ออกกำลังกาย เลี้ยงลูก เล่นกับสัตว์เลี้ยง และหลายคู่เหมือนพวกเรา พูดคุยกับใครสักคนที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว

“มองอะไร” ผมถามคนที่เอาแต่มองผมไม่พูดไม่จา

“อย่าหลบดิยังไม่หายเลย” เสียงทุ้มสั่งการ

“หายอะไรเล่า”

“หาย..คิดถึง”

พี่กาศหล่อเหมือนเดิม แต่ที่มากกว่าเดิมคือคำหวานไปฝึกมาจากไหนไม่รู้

“รู้แล้วครับพี่บอกผมมากกว่าสิบครั้งแล้วตั้งแต่เมื่อวาน” ผมหมายถึงในไลน์

“ไม่เจอตั้งสี่ปีบอกทั้งวันก็ไม่เท่าที่รู้สึกจริง”

รอยยิ้มของเขาดูมั่นใจกว่าเมื่อก่อน ทำให้ผมรู้สึกตัวรุมๆ คล้ายจะมีไข้ แต่หัวใจกลับเต้นแรง หน้าร้อน เหงื่อออกทั้งที่นั่งเฉยๆ ขัดแย้งกันไปหมด

“พี่ยังอยู่บ้านเดิมรึเปล่าครับ” เปลี่ยนเรื่องให้ไวก่อนที่จะโดนพี่เขารุกไปมากกว่านี้

“ย้ายสองปีแล้ว ตอนนี้กูอยู่ห้องเช่าพ่อกับแม่กูเสียแล้ว เลยขายบ้าน”

ใจหาย ผมจำได้ว่าท่านใจดีกับผมมากแค่ไหน

“บ้านมันหลังใหญ่กูอยู่คนเดียวแล้วเหงา” พี่กาศบอกเหตุผลพร้อมจ้องไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเล่นกับหมาอยู่ไม่ห่างจากเราสองคนนัก ผมไม่รู้พี่เขาคิดอะไรอยู่

“ผมเสียใจด้วยนะครับ” จับมือเขาเบาๆ น้ำตาคลอผมน่าจะกลับไปกราบพวกท่านบ้างก่อนหน้านี้

“กูโอเค มึงมากกว่าที่ไม่โอเค ท่านไปสบายแล้วล่ะ” เขาใช้มืออีกข้างลูบหลังมือผมเบาๆ สัมผัสของพี่ยังอบอุ่นเหมือนเดิม

“มึงละยังอยู่ที่เดิมไหม”

“ผมย้ายแล้ว ห้องนั้นมันกว้างเกินไป แล้วก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วย” ห้องนั้นนอกจากจะกว้างเกินไปแล้ว ยังมีแต่ความทรงจำที่ผมอยากลืม

“แล้วได้...เริ่มต้นใหม่รึยัง”

“อยากรู้ว่าผมโสดรึเปล่า ก็กล้าๆ หน่อยสิครับ” พี่กาศยิ้มขำ หูแดงหน้าก็เริ่มแดงขึ้น เพิ่งเคยเห็นเขาเขิน

“กูรู้ว่ามึงไม่ได้โง่”

คนบางคนเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ทุกอย่างก็ไม่เคยเปลี่ยนเคยทำให้เรารู้สึกดียังไง ก็ยังทำได้อย่างเดิม

“ผมไม่อยากเริ่มต้นใหม่แล้ว” คำตอบของผมทำให้รอยยิ้มของเขาจางลง ผมเว้นจังหวะให้เขาคิดไปเองสักพัก เพื่อจะได้เห็นท่าทางของเขาชัดขึ้น

“ผม..อยากสานต่อมากกว่า”

คิดไว้ไม่ผิดตอนนี้อาการเขาชัดเจนยิ่งกว่าอะไร รอยยิ้ม แววตา มันบอกว่าเราต้องการอะไรที่ตรงกัน

“จะบอกว่ารอกูจีบต่อก็กล้าๆ หน่อย”

“ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้โง่เหมือนกัน”



เราหัวเราะให้กัน สายตาเราจ้องกัน ใจเราตรงกัน



ตอนนี้ผมเป็นโนบอดี้ ที่มีซัมวันเป็นของผมเอง

และก็เป็นซัมวันของเขาคนนั้นแค่คนเดียว








The End

นิยายโดย Symbol A

ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ ติชมได้เลยคนเขียนยินดีรับฟัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:12:31 โดย antivirus »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #31 เมื่อ03-12-2018 09:42:31 »

จบแล้ววววว
ขอบคุณสำหรับนิยายประทับใจ

ขอบคุณที่ตอบข้อสงสัย ขอโทษด้วย ก่อนหน้าอันนั้นอ่านแล้วเข้าใจผิดพลาดไปเอง ยังอุตส่าห์ใส่ใจอธิบาย ปลื้มๆๆๆ
+1 เป็นกำลังใจ
 :mew3:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #32 เมื่อ03-12-2018 18:56:21 »

เง้ออออ! ยิ้มแก้มปริเลยกู ^____________^ ขอเถอะ กรี๊ดดดดด รักพี่กาศชอบบี๋ ดีใจกับทั้งคู่จริงจัง กลับมาสักทีนะ รอหลายปีเลย //ว้อยยยยจากรัก5เศร้า ช่วงแรกถึงกลางเรื่อง อึดอัดชิบหาย จะทนถึงเมื่อไหร่วะ หัวร้อนสุด ได้แต่ฮึ่มๆในใจ 555 ทนไว้ๆเมื่อไหร่จะหันมามองคนนี้สักทีหรือว่าจะไม่มีวัน จะเทละแม่ง แต่พอปลายเรื่องเริ่มพลิก อ่านต่อ เออเริ่มคิดได้เว้ยยย เข้าท่าๆ ยิ่งตอนที่บี๋บอกเลิกครั้งสุดท้ายท้ายสุดก่อนโปรดไปญี่ปุ่นพร้อมเตือนสติโปรดด้วย แม่งงงงงเอาใจกูไปเล้ยยยยยย บี๋พูดได้ดีมากกกกจร้า เบย์แม่งลำพังเจ้าชู้ก็ไม่โอแล้วนะ ยิ่งดูถูกคนอีก ไปไกลๆเลยไป๊ มันก็จริงพอเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่เข้าใจที่บี๋บอกเลยว่าทำไมตอนนั้นถึงรักมันลง 555555 โตขึ้นอะไรๆก็ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ผ่านมาได้มากขึ้น ผิดพลาดก็ไม่ทำอีก แล้วมันก็จริงอีกนะที่ว่าพี่กาศก็ต้องการความภาคภูมิใจของเขา มันก็ไม่ได้มีแค่รักอย่างเดียว ดีที่ต่างคนเข้าใจให้ใครอีกคนค้นหาเส้นทางของตัวเอง ถ้าว่ารักกันเป็นคู่กันก็คงจะรอได้ แล้วววันนี้มันก็มาถึงจริงๆ โคตรปลื้มมมมปลิ่มเลย เป็นนิยายที่ดี ขอเพียงอดทนต่อความอึดอัดผ่านมาได้ ก็คุ้มนะ โอเคเลย สนุกกกเว้ย ชอบอะ วางไม่ลงจนไม่ทำงานเพราะอยากรู้จัดมันจะลงเอยยังไง อิน 5555555 //เห้เอ้ยยย ก่อนหน้าไม่เขินเลยเพราะรักสองคนนี้มันมีความอึมครืมอยู่ปานกลาง พึ่งจะมาเขินก็ตอนนี้ละ "ไม่อยากเริ่มใหม่ ..... แต่อยากสานต่อ รอให้จีบต่ออยู่" โอ้ยยยยยยยยแม่ม >.< เขินว้อยเขิน เขินพี่กาศเขิน 555  *แอบดูอยู่พุ่มไม้ ได้ยินชัดแล้วมันฟินนนนนน* 5555555555 // ขอบคุณไรท์ที่เอามาลงที่นี้ให้อ่านนะคะ ดีจริงๆ มีผลงานอีกไหมจะตามไป FC ผลงานต่อไปสู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #33 เมื่อ03-12-2018 22:37:14 »

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ที่ยาวสะใจและดีต่อใจคนเขียนมาก ผลงานของไรท์ลงใน ธัญวลัย เด็กดี รีดอะไรท์ และเล้า ขึ้นอยู่กับความติดเรทและเหตุผลนาๆ ประการ ส่วนเรื่องนี้ มีภาคแยกของน้องโปรดแล้วนะคะ เรื่อง
ดุจจันทราที่อ่อนแรง

ภาคแยกคิวต่อไปของโม และ ของเบย์ตามลำดับค่ะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #34 เมื่อ10-12-2018 19:59:49 »

เป็นเรื่องที่อ่าน แต่ไม่สามารถอ่านรวดเดียวจนจบได้ ต้องเว้นระยะไว้
เรื่องนี้เหมือนอาทิตย์ยามบ่ายที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าแต่กลับทิ้งความร้อนระอุ อบอ้าว หดหู่ไว้
ถึงแสงจะหมดลง แต่ความร้อน ความเศร้า ยังคงคละคลุ้ง ต้องคอยเวลาและการเติบโตมันดูเนิ่นนาน แต่การอ่านอย่างต่อเนื่องเลยไม่อึดอัด
ทุกชีวิตกำลังรอคอยแสงแห่งวันใหม่ เพื่อขับไล่ความมืดมิดให้หมดไป ทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอเพียงแต่ใครจะเจอก่อนหรือหลัง

ส่วนเรื่องภาษาที่ใช้เป็นการเปรียบเปรย ร้อยเรียง ต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ละเลียด เนื้อเรื่องคงไม่ซับซ้อนเท่าจิตใจของตัวละคร
เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ Crablerp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #35 เมื่อ14-12-2018 22:02:28 »

นิยายเรื่องนี้เนื้อหาดีมากแต่ทำไมคนอ่านน้อยจังเลย เป็นเรื่องแรกที่ทำให้เรารู้สึกอยากให้กำลังใจไรท์ถึงกับยอมสมัครเป็นสมาชิกเพื่อมาเม้นให้ สู้ๆน้า

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #36 เมื่อ15-12-2018 06:24:06 »

 :katai2-1:
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
หลายๆย่อหน้า หลายๆประโยค อ่านแล้วอ่านอีก มันโดนใจมากเลย
สงสารน้องโปรดสุดๆ
และชอบบี๋มากเลยค่ะ อยากให้บี๋มาอ้อนเราบ้าง

 :pig4:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #37 เมื่อ15-12-2018 11:44:53 »

 o13 ว้าวๆๆ สนุกค่ะ เรื่องนี้น่าสงสารสุดคือโปรด เพราะน้องดูเทาน้อยสุด พี่กาศไม่เทาแต่ก็ไม่ได้ดูน่าสงสารมาก เค้าแค่ต้องการกำลังใจในการสู้   :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #38 เมื่อ17-12-2018 10:37:30 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ Geawgard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #39 เมื่อ03-01-2019 21:28:37 »

อ่านรวดเดียวจบเป็นนิยายที่อึดอัดมากในช่วงเเรกเข้าใจเเต่ก็ขัดใจสงสารทุกคนเลยย ทุกคนดูมีเหตุผลของการกระทำของตัวเองอยู่ แล้วก็ต้องขอบคุณคนเขียนนะคะที่เขียนเรื่องนี้จนจบ เป็นกำลังใจให้นะคะ :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
« ตอบ #39 เมื่อ: 03-01-2019 21:28:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Panza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #40 เมื่อ08-01-2019 15:02:57 »


Chapter 8

ฟองเบียร์ที่หวั่นไหว กับหัวใจที่อ่อนแอ



..ชันกาศ...



ผมหันไปมองบี๋ที่นอนอยู่เบาะหลังเป็นพักๆ

“ไม่ต้องห่วงมันหรอกพี่ เห็นอย่างนี้มันก็ผ่านมาเยอะแล้ว” โมบอก



 ผมติดใจคำว่า...ผ่านมาเยอะ...อยู่ไม่น้อย



“ผมหมายถึงมันเจ็บกับไอ่เบย์มาเยอะ แต่ปรกติมันไม่เมาเป็นหมาแบบนี้หรอก จะแค่แอบไปร้องไห้คนเดียวที่ห้องอ่ะ”



“ท่าทางจะรักฝังใจ”

“รักแรกของมันหนะพี่ แถมไอ่บ้านั่นก็ไม่เคยเหี้ยใส่มันนอกจากเจ้าชู้ ให้ความหวังแล้วก็ทิ้งให้เจ็บ เป็นอย่างนี้มาตลอดแหละ”

“เพื่อนมึงก็ทนเหรอ”

“เอ่อบี๋มันก็ควายดีๆนี่เอง”



ผมเข้าใจโมนะ มันคงเจ็บแค้นแทนเพื่อนแต่ทำอะไรไม่ได้ แถมบี๋ก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้มันทำ

แม้แต่ระบายให้ฟังบี๋ ยังไม่ค่อยทำกับมันเลย



“แล้วจะเอาไงกับมัน”

“ทิ้งไว้ที่ห้องก็สงสารมัน เอาไปบ้านผมเดี๋ยวแม่จะด่า ฝากมันไว้ที่พี่ละกัน”

“เอามันกลับห้องแล้วมึงก็ไปนอนกับมันสิวะ”  ผมพยายามหาทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

“พรุ่งนี้ผมมีนัดไปต่างจังหวัดกับพ่อดิ นะพี่กาศน้า”  แต่ไม่เป็นผล

“เออๆ”



ทุกอย่างมาลงตัวที่ ผมกับโมหิ้วบี๋คนละข้างขึ้นบันไดไปห้องผม บี๋ไม่ได้ตัวหนักมากมาย แต่ก็ไม่ได้เบาหวิวก็มันเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เด็กผู้ชายวัยยี่สิบปีที่กำลังโตเต็มวัย เมาและไม่มีสติจะก้าวกว่าจะถึงห้อง เล่นเอาคนแบกเหงื่อแตกเหมือนกัน



“รบกวนพี่ด้วยนะครับ” คนฝากยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีกครั้ง

“ไม่ต้องเลยมึงอ่ะ คราวหน้าอย่าหวังว่ากูจะหลวมตัวไปด้วย” ตะโกนไล่หลังโมที่เดินออกจากห้องผมไป

ไม่ใยดีไม่เป็นห่วงเพื่อนที่เมามายของตัวเองเลยสักนิด ใจคอจะทิ้งเนื้อเกรดเอไว้กับเสือผู้หิวโหยอย่างผมจริงเหรอ



หันมามองเด็กที่ตอนนี้หมดสติอยู่บนเตียงผมดูไม่มีพิษไม่มีภัย เหมือนคนละคนกับที่เพิ่งปล้นจูบผมไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้



“อื้ออ” บี๋ครางขัดใจเมื่อถูกผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า

เสียงครางกับปากอมชมพูที่อ้าออกเล็กน้อย ทำให้ความยังยั้งช่างใจของผมที่มีอยู่น้อยนิด พร้อมขาดได้ทุกเมื่อ

พ่อกับแม่ผมไม่อยู่ ไปงานศพเพื่อนพ่อที่ต่างจังหวัด อีกเป็นอาทิตย์จะกลับตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจเลย



“ม่ายอาวจานอน” เสียงยานคางบอกความต้องการตัวเองไป มุดหน้าหนีผ้าในมือผม

"เช็ดหน้าก่อนจะได้นอนสบายๆ" ผมก็ห่วงเด็กนี่จังเลย



"เบย์บอกว่าเป็นเพื่อนกันเถอะ เพื่อนบ้าอาราย ไอ่เหี้ยยยย" คนเพ้อขึ้นมาน้ำตามันไหลทั้งที่ไม่มีสติ



อยากเห็นหน้าไอ่คนชื่อเบย์นี่ขึ้นมาแล้วสิ มันทิ้งคนที่น่ารักน่าดูแลแบบนี้ได้ลงคอได้ยังไง

ขนาดผมเพิ่งรู้จัก ผมที่ไม่ชอบดูแลใครยังอดใจดูแลมันไม่ได้เลย



จากเพ้อด่าพอน้ำตามาบี๋ก็เปลี่ยนเสียงเป็นโหยหา



“เบย์” มือขาวจับแขนผมแน่น ปากพร่ำเรียกชื่อคนที่ไม่ดูดำดูดีตัวเองต่อไปไม่ขาดปาก

ไม่ใช่ว่าที่จูบผมไปเพราะคิดว่าผมเป็นไอ่บ้านั่นหรอกนะ  ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยวะ

ชีวิตของผมมันไร้ค่าไม่พออีกหรือไง แค่ไร้อนาคต ไม่มีเงิน มันไม่เพียงพออีกเหรอ



บางครั้งชีวิตที่เราว่าแย่ มันก็ยังมีเรื่องเลวร้ายกว่ารอเราอยู่เสมอ

เช่นบางคราวที่เราเดินไปเจอทางตัน ทว่าเมื่อหันกลับมากลับเจอเหวลึก



บี๋ดึงผมไปกอด ซุกหน้ากับอกผมนิ่งไม่มีน้ำตาแล้วมีแต่ลมหายใจอุ่นกับกลิ่นเบียร์ราคาแพง



“ปล่อยก่อนบี๋”  ผมเรียกสติเขาให้รู้ตัวว่าผมไม่ใช่คนที่เขาอยากกอด

เขาชะงักไปแขนเล็กคลายออกคล้ายจะเพิ่งมีสติ บี๋ทิ้งตัวนอนหงายตามองเพดาน ปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก

“ผมร้อน” หรือผมคิดผิดเขาดูไม่มีสติกว่าเดิมอีก



ซอกคอขาวกับผิวที่ไม่ได้จับก็รู้ว่านุ่มนิ่ม ปลุกอารมณ์ผมได้ดียิ่งกว่าหน้าอกตูมของผู้หญิงซะอีก

ผมเคยชอบผู้ชายแต่นานมาแล้ว แต่ชอบมองแต่ไม่ได้คบกัน แต่กับบี๋ไม่ใช่แบบนั้น มันคือความอยากครอบครอง

อยากสัมผัส อยากขยี้ให้พอใจ



“อย่าเพิ่งไปนะครับ ผมขอร้อง”  บี๋จับชายเสื้อผมไว้ รั้งตัวผมด้วยเสียงแผ่วเบา



“มึงมีสติไหมกูไม่ใช่คนนั้น”   ผมหันไปถามคนที่นอนเปิดอกขาวล่อตาอยู่



“พี่กาศ ผมไม่ดีตรงไหนเหรอ” ผมถอนหายใจอย่างน้อยมันก็รู้ตัวว่าเป็นผมสักที แม้อาการจะหนักอยู่ก็เถอะ

“ผมสู้เด็กมัธยมคนนั้นไม่ได้ตรงไหน”

“ผมไม่อยากเป็นเพื่อนมัน”

“ถ้ามันอยากเป็นเพื่อน แล้วมาเอาผมทำไม”

“ผมไม่อยากรักมันแล้ว แต่ผมทำไม่ได้”



เสียงของบี๋ราบเรียบ ทุกประโยคที่เหมือนเป็นคำถามแต่ดูไม่ต้องการคำตอบ

ผมคงสำคัญแค่เป็นคนรับฟัง ไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็น



คนเราอ่อนแอได้เท่าที่ใจอยาก แต่กลับเข้มแข็งได้ยากเย็น

แม้จะทุกข์จนแทบจะรับไม่ไหว ก็ไม่อาจสั่งตัวเองให้ลุกมาเข้มแข็งได้ในข้ามคืน



“มันบอกว่าผมสำคัญที่สุด ดีที่สุด แคร์ผมที่สุด ไม่อยากทำร้ายผมอีกเลยปล่อยผมไป พี่ว่ามันปล่อยผมไปไหน

นรกหรือเปล่า ทำไมผมเจ็บเจียนตายแบบนี้”



“บี๋อย่าทำร้ายตัวเอง”  ผมจับมือเล็กที่เอาแต่ทุบอกตัวเองไว้



“ฟังกู..บี๋มองหน้ากูสิ” สั่งต่อเสียงดัง ตากลมโตมีน้ำตารื้นที่ขอบตาอีกแล้ว

น้ำตาไม่ใช่ผลของความอ่อนแอเสมอไปก็จริง แต่ผมว่าตอนนี้บี๋อ่อนแออย่างถึงที่สุดแล้ว



“มึงอย่าร่วมมือกับคนอื่นทำร้ายหัวใจตัวเองสิวะ”



ถ้าคนอื่นทำให้เราเจ็บ ทำไมเราต้องเห็นดีเห็นงามตอกย้ำตัวเองให้เจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า  ปากร่ำว่าเจ็บ ว่าทนแทบไม่ไหว

แต่ความคิดกลับกระทืบหัวใจตัวเองอยู่ไม่หยุด  ร่อแร่ขนาดไหนก็ยังมีเรี่ยวแรงมาบีบหัวใจหัวเองไม่ยอมปล่อย 



“ใครก็เคยอกหัก กูก็เคย เพื่อนมึงก็เคย คนที่เคยรักเคยเจ็บกับความรักทั้งนั้น มึงไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะเจ็บปวดแค่เพราะคนที่มึงรัก เขาไม่รักมึงตอบ ร้องได้ เศร้าได้ เสียใจได้ แต่กูว่ามึงเหมาะกับรอยยิ้มมากว่าว่ะ”



ตอนพูดผมยังรู้ตัว แต่ตอนก้มลงจูบนั้นขาดสติโดยสิ้นเชิง พร่ำบอกเขาว่าความผิดหวังเป็นแค่เรื่องธรรมดา

แต่พอจูบเขาแล้วมานึกได้ว่า เขารักคนอื่นหัวปักหัวปำก็เจ็บขึ้นมาซะอย่างนั้น



ใครไม่รักก็คงไม่รู้



“พี่กาศ”  เสียงประท้วงของบี๋ทำให้ผมได้สติผละออก



เราจ้องหน้ากันนิ่ง นัยน์ตากลมโตว่างเปล่าเดาได้ยากว่าบี๋มองผมด้วยความรู้สึกแบบไหน

คงยากที่ความรู้สึกหนึ่งก็ยังตัดใครบางคนไม่ได้ แต่ต้องมารับจูบจากอีกคนที่เพิ่งรู้จักกัน

ตอนนี้บี๋อ่อนแอ แล้วเขาก็อ่อนไหวด้วย แถมเมาอีก



ฉวยโอกาส....ผมจะไม่ทำแบบนั้น



“กูขอโทษ” ผมเอ่ยออกไปกับคนตรงหน้า

“ไม่เป็นไรผมก็จูบพี่ที่ผับ ถือว่าเจ๊ากันไป”



“ผมถอดเสื้อนะ ร้อนนอนไม่ได้” ถอดแล้วมายังมีหน้ามาขออีก

“ยั่วกูรึไง”



“เนี่ยก็เป็นอย่างนี่”  รอยยิ้มขี้เล่นของบี๋ทำเอาผมอดยิ้มตามไม่ได้



“ขอโทษนะบ้านกูไม่มีแอร์มีแค่พัดผมที่เร่งให้ได้แค่เบอร์สาม”

“เชื่อเถอะว่าผมไม่ต้องการแอร์หรอก”



ผมเลิกคิ้วสงสัยความหมายของแอร์ที่เราคุยกัน คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำความเย็นใช่ไหม



“จะบอกว่าต้องการใครสักคนงั้นสิ” ผมเลยถามเด็กมันซ้ำ

“โหพี่ รู้ทันแบบนี้ผมจะเล่นอะไรล่ะ”



เกิดมาสามสิบกว่าปี เพิ่งโดยเด็กเต๊าะ หน้าร้อนวางท่าไม่ถูกเลยทีเดียว



“หายมึนยัง”

“พี่คิดว่าไงล่ะ”  จากสายตาหวานเยิ้มที่ส่งมา

“หึ..นอนไปเลยมึงอ่ะ พูดมากกูจับปล้ำซะนี่”

“พี่กาศ”

ผมจ้องคนที่เรียกไม่วางตา

“ช่วยถอดกางเกงให้ผมหน่อยสิ”

“................”



ไม่มีคำตอบรับแต่ผมก็เอื้อมมือไปช่วยน้องตามที่มันขอ มือผมสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

กางเกงยีนต์พอดีตัวถูกโยนลงข้างเตียงเหมือนไม่ใช่แบรนด์ดังราคาแพง เรียวขาขาวของบี๋อยู่ห่างผมแค่คืบ



หักห้ามใจ



อดทนอดกลั้น



ข่มตัวข่มอารมณ์



สารพัดคำที่ผมพยายามคิดให้ออกในตอนนี้ เพื่อป้องกันความยุ่งยากในอนาคตที่อาจจะเกิดได้

หลับตาซ่อนความต้องการเดินออกมาจากห้อง ลงบันไดไปชั้นล่างเสียบน้ำร้อน

ผมต้องอดทน อายุสามสิบกว่าแล้วไม่ใช่เด็กแล้ว และข้างบนนั่นน้องมันเพิ่งอกหักมาได้สองวัน ถ้าเกิดมีอะไรเกินเลยไป

แล้วมันกลับไปดีกับแฟน ผมก็เจ็บ แล้วถ้ามีอะไรกันขึ้นมาน้องอยากสานต่อ บอกตามตรง



ผมไม่มีปัญญาดูแลลูกคุณหนูแบบนั้นหรอก



รถแพงๆใครก็อยากขี่  เบียร์แพงๆใครก็อยากดื่ม



แต่ผมไม่มีจ่าย....คงอดทั้งขี่ทั้งดื่ม...



นั่งดื่มน้ำอุ่นอยู่นาน สร่างเต็มตาตอนเกือบตีสอง เดินเข้าห้องไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนในห้องที่ไม่ได้มืดนัก

แต่ก็ไม่ได้สว่างโล่ เลือกไม่มองไปที่เตียง เดินผ่านไปถึงห้องน้ำโดยสวัสดิภาพ



ใช้เวลาครู่ใหญ่จัดการความต้องการของตัวเอง ทำความสะอาดร่างกายให้ไร้ราคะ

แน่ใจแล้วว่าตัวเองปรกติจึงเดินออกมา ตัวปัญหานอนไม่รู้ร้อนรู้หนาวยึดเตียงผมไปดูสบายใจ

ไม่รู้หรือไงว่าทิ้งความยากเย็นให้คนอื่นแสนเข็ญแค่ไหน



ผมเปิดผ้าห่มขึ้น



ให้ตายเถอะ!!



หันไปมองข้างเตียงฝั่งบี๋ เสื้อผ้าทุกชิ้นของน้องกองอยู่ครบ นั่นแปลว่าเขานอนเปลือยอยู่บนเตียงผมตอนนี้

ความพยายามที่ผ่านมากลายเป็นศูนย์ ที่ว่าปลดปล่อยออกไปก็เริ่มคับแน่นขึ้นมาอีกครั้ง มากกว่าปรารถนา เกินกว่าจะอดทน



สติดับวูบตอนร่างงดงามนั้นพลิกคว่ำหน้า โชว์สะโพกงอนให้ผมเต็มตาราวกับเขาตั้งใจ

ผมจู่โจมอย่างคนเสียการควบคุม สัมผัสทุกส่วนของคนตรงหน้าตามที่ใจอยาก



“หื้มม”  เขาครางรับกับสัมผัสของผมยิ่งทำให้ผมย่ามใจ

ผมชอบTap5  เพราะรสชาติมันเข้มข้น ชัดเจน เวลาได้กลิ่นและกลืนลงคอทำให้ผมลืมเบียร์อื่นที่ผมเคยดื่มไปหมด

มีแค่Tap5 ที่อบอวนในลำคอเท่านั้น



มันดีที่สุดและไม่เคยมีเบียร์ขวดไหนมาแทนที่ได้ เหมือนบี๋ตอนนี้ที่ทำให้ผมคิดถึงแค่เขา

ร่างของบี๋บิดเร่าเร้าไปมา  เสียงของบี๋ครางแหบแทบขาดใจ



ตากลมโตของบี๋ล่อใจ ปากของเราร้อน ในตัวเขาอุ่น แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเราทั้งคู่เต้นแรง





“บี๋เจ็บไหม” ผมเริ่มรุกเข้าไป

“บี๋ไหวหรือเปล่า”  เขาตอบรับตัวผม

“บี๋พร้อมนะ” ผมเริ่มขยับนำ

“บี๋เร่งสวนหน่อยสิ” เขาก็เริ่มขยับตาม

“บี๋ช้าหน่อย”

“บี๋แน่นไป”

“บี๋........”



“บี๋........”



“บี๋........”



“บี๋........”



“บี๋........”



จำไม่ได้ว่าเรียกชื่อนี้ไปกี่ครั้ง  สัมผัสร่างของอีกคนไปกี่หน

ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรู้แค่ว่า ....อิ่ม..เอม..ถึง..ใจ..

จะเพราะเมาหรือเพราะเราต่างใจง่าย ผมก็ไม่สนใจแล้ว



เรือนร่างงดงามนี้ของผม



ปากอิ่มนี้ของผม



แก้มนุ่มนี้ของผม



เสียงหวานนี้ของผม



กลิ่นหอมนี้ของผม



คิดแค่นี้มันก็มีความสุขดี แต่ผมคงลืมไปว่า....













อย่างเดียวที่ผมไม่มีทางได้มาเป็นของผม



"กลับมาได้ไหม..เบย์”









........หัวใจของบี๋.....













.............................................................

ฮัลโล่ววว อ่านเงียบเกินไปแล้วน้าา
บืบหัวใจแบบนี้ชอบมากกก เขียนดีมาก ไม่มีคำผิดด้วยชอบมากกค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Panza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: เช่นทินกรอ่อนแสง (จบแล้ว)
«ตอบ #41 เมื่อ08-01-2019 15:58:25 »



Chapter 11

เกินจะกลั้น จึงสั่นไหว



​..บี๋...



สุดท้ายพี่กาศก็ยืนยันว่าจะกลับบ้าน เลยไม่อยากรั้งเขาไว้อีก ยอมให้เขาทิ้งผมให้อยู่ลำพัง

มันไม่แย่เท่าไหร่ ตอนเบย์ทิ้งไปแย่กว่านี้เยอะ ราวสองชั่วโมงต่อมาผมรับสายเพื่อนและทำอะไรไม่ถูก



“พี่กาศรถชน”  โมมันว่าเสียงตื่นตกใจ

"ระ รถชนเหรอ" แต่ผมคงตกใจกว่ามันหลายเท่า

 “อยู่โรงบาลตอนนี้หมอแค่ให้ดูอาการ พรุ่งนี้ก็ค่อยไปเยี่ยมวันนี้ดึกแล้วให้พี่เขาพักก่อน”

ห่วงเขามาก แขนขาหักไหม เลือดคั่งในสมองรึป่าว ตับปอดฉีดไหม สารพัดที่ผมอดคิดไม่ได้ ผมอยากไปหาเขาตอนนี้

แต่เป็นไปไม่ได้อยู่ดีต้องรอ.... คืนนั้นผมแทบไม่ได้นอน เอาแต่รอให้ถึงเช้า

ผมเป็นห่วงพี่เขามากกว่าที่เคยคิดไว้ซะอีก ลืมตาตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รีบไปรับโม ปลุกมันถึงเตียงนอน



“สัดบี๋มึงมาเช้าไปนะ เป็นห่วงพี่กูขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อย่าพูดมากไปอาบน้ำเลยมึง”



โมมันหงุดหงิดผมรู้ แต่ก็ยอมเดินไปอาบน้ำตามที่ผมสั่ง แล้วผมสองคนก็อยู่หน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ

คู่กรณีที่ชนพี่กาศเป็นฝ่ายผิด เลยออกค่ารักษาให้หมด



ผมผลักประตูเข้าไปเห็นพี่เขากึ่งนั่งกึ่งนอน ตามเนื้อตัวไม่มีแผลอะไรอย่างที่ผมคิด



“เป็นยังไงบ้างพี่”

“พังยับ กูว่าซ่อมไม่ได้อ่ะ”  เขาตอบผมด้วยสีหน้าเซ็งจัด

“โง่ใช่ไหมเนี่ย ผมถามถึงพี่ไม่สนใจรถเลยสักนิด” น่าโมโหมากที่เวลานี้เขายังเอาแต่ห่วงของนอกกายอยู่ได้



“ฮ่าๆ ก็ไม่เป็นไรนอนรอให้หมอสบายใจ พรุ่งนี้ก็กลับไปเป็นคนไม่มีแม้แต่มอไซค์ใช้”

พี่กาศยังคงใช้ประโยค ที่บ่งบอกว่าเขาสนใจข้าวของมากกว่าตัวเองไม่หยุด



“อ้าวบี๋มึงจะไปไหนวะ”  เสียงโมตะโกนไล่หลังมาตอนผมปิดประตู



ลงไปซื้ออะไรกินดับอารมณ์ตัวเองสักหน่อย ห่วงเขาแทบบ้าแต่ว่าได้กลับมาแต่ไฟในหัว

คนเรามีเหตุผลในการไม่รักตัวเองอยู่ไม่กี่ข้อ



สำหรับพี่กาศผมไม่รู้หรอกว่าเขารักตัวเองบ้างไหม แต่ทุกคำที่เขาพูด ดูเหมือนสิ่งที่เขาห่วงคือสมบัตินอกกาย

ไม่เงินก็ของ ไม่ของก็เงิน ไม่เคยมีหรอกว่ากลัวตัวเองป่วย กลัวตัวเองเจ็บ



“มานั่งหน้างอคอหักอยู่ตรงนี้เอง กูหาแทบแย่”  ผมเงยหน้ามองเพื่อนตัวดี ที่ไม่บอกให้หมดว่าพี่กาศไม่เป็นอะไรเลย

เนี่ยแล้วก็หลุดออกไปหมดว่าผมห่วงพี่เขาแค่ไหน



“อย่ามาจ้องกูแบบนั้น กูไม่ผิดมึงโวยวายตื่นตูมไปเอง ห่วงเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”

“เอ่อ กูห่วงเขา ห่วงโคตรแล้วก็นะกูไม่เข้าใจทำไมเขาต้องสนใจแต่ของนอกกายวะ ไม่เคยจะห่วงตัวเองบ้าง” 

“มึงรักพี่กาศรึยัง” ผมไม่เข้าใจทำไม โมชอบถามความรู้สึกของผมกับพี่กาศ

ทั้งที่มันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมมันต้องรู้สิว่าผมรักเบย์มากแค่ไหน จะให้เปลี่ยนใจเลยมันก็ไม่ใช่ผมแล้ว



“โมกูไม่เข้าใจ ทำไมมึงชอบถามอะไรที่รู้อยู่แล้ววะ”

มันยักไหล่ แล้วดึงขนมในมือผมไปกินหน้าตาเฉย



“กูไม่รู้ถึงถามไง เมื่อก่อนมั่นใจว่าไม่ชอบแค่เอาเขามาประชดไอ้เบย์ แต่มึงห่วงเขาขนาดนี้แน่ใจเหรอว่ามึงไม่คิดอะไร”

“ธรรมดาไหม คนที่อยู่ด้วยกันมากๆก็ต้องห่วงกันสิ ถ้ามีคนบอกมึงอยู่โรงบาลรถชนกูก็ตกใจ”



แล้วเราสองคนก็ตกใจที่อยู่ๆคนที่พูดถึงก็เดินเข้ามา



“พี่กาศ” 



ความจริงก็....

ไม่ได้รักเขา...แต่แคร์ความรู้สึกเขาอยู่ไม่น้อย

ไม่ได้รักเขา...แต่ไม่อยากให้เขารู้ว่าเอาเขามาประชดใคร

ไม่ได้รักเขา...แต่ก็ยังอยากมีเขาอยู่ในชีวิต



คนเรามีเหตุผลในการเหนี่ยวรั้งใครบางคนให้อยู่กับตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้รักมากมาย

สำหรับผมเหตุผลนั้นคือ....เห็นแก่ตัว....



ลากพี่กาศเข้ามาตอบโต้เบย์  โดยไม่คิดสักนิดว่า ระหว่างเบย์กับพี่กาศใครจะเจ็บกว่ากัน

“กูจะกลับแล้ว เดี๋ยวให้ที่บ้านมารับ มึงจะอยู่ต่อก็ได้นะ”



โมไปแล้ว พี่กาศเดินมานั่งแทนโม บางทีผมก็อยากให้เขาเดินหันหลังไปซะยังจะดีกว่า

การที่เขาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว อาจจะเพื่อให้ผมสบายใจ แต่มันยิ่งทำให้ผมอยากถอยออกห่างเขาออกมา



อา...ความรู้สึกแบบนี้สิ ที่เบย์รู้สึกกับผม



ผมกับเบย์เราต่างก็ไม่ใช่คนดี และเราต่างก็รำคาญคนดี



แปลว่าไง....แปลว่าน้องโปรดคนนั้นไม่ได้เป็นแบบที่ผมเป็น เบย์ถึงเลือกอยู่กับคนนั้น



ตอนที่รถชนทำไมเบย์โทรหาผม?

ตอนอยู่บนรถกันสองคนทำไมโปรดถามผมแบบนั้น?

ตอนเจอกันทำไมโปรดเลือกจะชวนผมกับพี่กาศไปกินข้าวด้วยกัน?



............มันเป็นวิธีแสดงความเป็นเจ้าของ......



ในที่สุดผมก็เข้าใจเด็กคนนั้น



“คิดอะไรอยู่ บอกแล้วไงอย่าคิดมากเรื่องพี่”

เปล่าหรอกผมไม่ได้คิดถึงพี่



“เดินลงมาขนาดนี้กลัวผมงอนเหรอ” ผมหันไปใช้น้ำเสียงร่าเริงกับพี่กาศให้เขารู้สึกดี

แต่ก็รู้สึกกลัวว่าเขาจะหาว่าผมไม่จริงใจหรือเปล่า



“มึงมันกวนตีน ไหนมีอะไรให้กินบ้าง” หรือเขาไม่ได้ยินที่ผมพูดกับโม

“ขนมจีบกุ้งพี่ชอบกินนี่เอาไปเลยครับ”  ปากเขาชนแก้มผมเบาๆ แล้วรับของชอบไปกิน

ตาผมกำลังยิ้มแม้ปากจะยังเป็นปรกติ เราไม่รักเขาแต่เราต้องการเขา มันดีรึป่าวนะอาจดีเพราะผมไม่ต้องกลัวเจ็บ



“อร่อยดี อาหารโรงบาลจืดมากแดกเกือบไม่ลง” เขาระบาย อย่างพี่กาศจะมีอะไร ไม่เรื่องของกิน ก็เรื่องเงินเรื่องทอง

“จะตายแล้วยังห่วงกินนะครับพี่”

“นั่นปากหรือเปล่า เดี๋ยวกูจับจูบลืมซะเลย”

“จูบไม่กลัว กลัวไม่...จูบ..”   คำว่าจูบคำสุดท้ายแทบไม่มีเสียง เพราะคนที่นั่งอยู่ลุกยืนแล้วเดินห่างไปโดยไร้สาเหตุ



ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า



“พี่กาศรอด้วยเซ่ พี่เป็นอะไรเนี่ย”  พยายามตื้อถามจนถึงห้องผู้ป่วย

แต่ก็ไม่มีคำไหนหลุดจากปากเขา ให้ผมเอามาใช้เป็นคำตอบได้เลย ผู้ชายตัวสูงล้มตัวนอนและหลับไป

ไม่สนใจผมที่ยืนกระวนกระวายอยู่ข้างเตียง ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงเขา มองแผ่นหลังของเขา

แล้วก็คิดหาคำตอบให้ตัวเองว่าเขาโกรธอะไรผม ผมพูดอะไรผิด



“ก๊อกๆ”  ประตูเปิดออกพร้อมคนมาใหม่คือพ่อกับแม่พี่กาศ  ชายหญิงสูงวัยผมสีดอกเลา สีหน้ากังวลทั้งคู่

แม้จะเอาแต่จ้องลูกชายแต่พวกท่านก็รับไหว้ผม



“พี่เขาหลับเหรอลูก”

“ครับแม่”

“พ่อกับแม่รีบมาเลย แม่เค้าลมแทบจับ ดีว่าโมมันบอกก่อนว่าไม่เป็นไรมาก เฮ้ออ ว่าไปก็เสียดายรถเพิ่งจะผ่อนหมด” 

“พ่อนี้ยังไงลูกไม่เป็นไรก็ดีเท่าไหร่แล้ว”



พ่อลูกช่างเหมือนกัน   



“พ่อ แม่ไหนบอกกลับพรุ่งนี้” คนที่นอนหันหลังใส่ผมพลิกตัวมาคุยกับพ่อแม่



“งั้นผมขอตัวไปหาอะไรกินนะครับ”

พ่อกับแม่บอกขอบคุณผมที่ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนพี่เขา แล้วผมก็หมุนตัวออกมา ให้เขาอยู่กับครอบครัวเขาไป

ตอนออกมาพี่กาศไม่ได้พูดอะไร หน้าผมยังไม่มองเลย มันยังติดแหง็กอยู่กับคำถามเดิมๆ เขาโกรธอะไรผม



ทันทีที่เดินออกมาจากห้องมือถือผมก็ดังขึ้น



Rrrrr



ชื่อคนที่โทรมามีผลให้ผมใจเต้นแรง ลืมเรื่องพี่กาศไปสนิท



เบย์!!



“ว่าไง”  ผมทักทายเป็นคำถาม

“บี๋มีเรื่องรบกวนหน่อย”  สำหรับเขาผมคงเป็นได้แค่ที่พึ่ง เวลามีปัญหา

“อะหะ”

“มารับหน้าคณะหน่อยดิ ว่างรึป่าวครับ”  เมื่อไม่รักก็ไม่ต้องพูดเพราะเหมือนตอนรักกันก็ได้นะ

“สักพักได้ไหม ไม่ได้อยู่แถวนั้น”

“ได้ๆ ขอบคุณครับ เอ่อบี๋”

“ว่า”

“ไม่ต้องรีบมานะ ขับรถดีๆ”



เหมือนทุกครั้งที่ผมเองมักจะแบบมือขอมีดจากเขา เพื่อมาแทงแผลในใจตัวเองอีกครั้ง ไม่เบื่อบ้างเลย



แต่ก็ยังคิดได้ว่า ไม่ต้องรีบไปรับเขาเหมือนทุกครั้ง ผมไม่ใช่แท็กซี่ ผมแค่คนที่มีหนี้กับเขาตั้งแต่ชาติปางก่อน

ถึงต้องตามมาใช้ให้เขาในชาตินี้  รอก่อนนะเจ้ากรรมนายเวร วันนี้ผมจะสอนให้เขารู้ว่าการรอคอย

อะไรจากผมมันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด ส่งข้อความหาพี่กาศว่า เจอเพื่อนขอนั่งคุยกันสักพักเย็นๆจะขึ้นไปหา 

ไม่มีคำว่าอ่านแล้วใต้ข้อความ แต่ผมรู้ว่าเขาเห็นมันจากแจ้งเตือนแล้ว พ่อกับแม่คงยังอยู่



ผมขับรถไม่รีบร้อนเปิดเพลงฟังไปด้วย จนในที่สุดก็ถึงมหาวิทยาลัย เบย์นั่งรอหน้าคณะ

ตอนเดินเข้าไปหาเขา ก็อดมองไปรอบๆไม่ได้ ครั้งนี้ไม่มีเด็กคนนั้นอยู่ด้วย ทะเลาะกันหรือเปล่า?



“ไง รถไปไหน”  ถามทันทีที่เบย์หันมามองผม

“โดนโปรดยึด”  ผมพาตัวเองมาเจ็บทำไม

“ยึด”

“เมื่อวานเมาแล้วเผลอหิ้วเด็กนิเทศกลับด้วย ไม่คิดว่าโปรดจะมาเจอ เลยโดนยึดรถไปใช้สองอาทิตย์ หง่อยแดกโดยสมบูรณ์”

“สมน้ำหน้า”

“บี๋ไม่เคยทำแบบนี้เลย” พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง



“คนดีไม่มีใครชอบหรอก” เหมือนผมจะยิงมุขแต่มันไม่ได้ตลกเลยสักนิด

“ไม่รู้จริงอย่ามาพูด”  เบย์ยืนขึ้นแล้วเดินนำ



ไม่รู้จริงเรื่องไหน เรื่องที่ว่าเขาไม่ชอบคนดี หรือเรื่องที่ผมว่าตัวเองเป็นคนดี



 “จอดรถไม่ตรงอีกแล้ว ขับมาจะปีแล้ว ทำไมจอดไม่ตรงสักที”  โดนบ่นเรื่องเดิมๆ

มันทำให้ความรู้สึกเดิมๆกลับมา

“หลังๆมาพี่กาศขับอ่ะ ไม่ค่อยได้ขับเอง”  ผมโกหกเพื่อปกป้องตัวเอง เบย์ชะงักไปก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม

“ดีใจนะที่บี๋มีคนดีๆดูแล” เขาคงดีใจจะได้รู้สึกผิดน้อยลง



“กลับคอนโดหรือจะให้ไปส่งที่ไหนละ”

“ถ้าแค่จะกลับหรือไปที่ไหน เรียกแท็กซี่ไปแล้ว จำไม่ได้จริงเหรอวันนี้วันอะไร”



16 มีนาคม  วันเกิดเบย์



“จำไม่ได้จริงอะ น้อยใจได้มะ” ประโยคความหมายไม่เหมาะสมกับสถานะหลุดออกมาจากเบย์เรื่อยๆ

“แล้ว..” ผมถามกลับหน้านิ่งให้เขารู้ตัวว่าไม่ควรพูด แต่เขาคงไม่สนใจผมหรอก

“วันสำคัญเบย์อยากอยู่กับคนสำคัญไม่ได้เหรอ”

“คนสำคัญงั้นเหรอ ละเมอป่ะ” ยอมรับนะว่าเริ่มใจเต้นไม่รู้ว่าโกรธหรือเพราะอะไร



“บี๋สำคัญกับเบย์นะ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร สำคัญที่สุดตลอดมาและตลอดไปนั่นแหละ”

ภายใต้รอยยิ้ม ผมกลับร้าวราน แต่ในความร้าวรานผมกลับยินดี



“อยากไปทำสังฆทานวัดที่เราเคยไปตอนมอห้า”

“อยากไปไหนก็ขับเอง”  ผมยื่นกุญแจรถให้อีกคน เขายิ้มเหมือนได้ของขวัญชิ้นโต



วินาทีนั้นผมเหมือนกำลังเจอข้อสอบที่ยากที่สุดในชีวิต ควรตอบกลับเบย์ด้วยสีหน้าแบบไหน



ถ้าผมเป็นคนพิเศษจริงแล้วที่ผ่านมาทำไมต้องทิ้งผมไป

ถ้าผมสำคัญที่สุดแล้วทำไมต้องทำร้ายกัน



แต่ถ้าเขาโกหกทำไมเขายังต้องการผม เพลงในรถถูกเลือกโดยคนขับ



หากท่าทางบ่งบอกอารมณ์ที่เขามีต่อผม..... นั่นแปลว่า..เขายังรู้สึกดีกับผมเหมือนเดิม..

หากสายตาเป็นหน้าต่างของใจเขา....นั่นแปลว่า..เขายังซ่อนผมไว้ไม่เคยคิดจะทิ้ง..

หากเนื้อเพลงคือคำตอบ...นั่นแปลว่า..ผมคือคำว่าตลอดไปของเขา



ห่วงใย..ตลอดไป

คิดถึง...ตลอดไป

สำคัญ...ตลอดไป



แต่..ไม่ใช่..รัก..เขาไม่ได้รักผมในแบบคนรักอีกแล้ว แค่ผูกพัน แค่ห่วงใย แค่คนเคยรัก

 

แต่ก็ไม่ใช่ในแบบเพื่อนอย่างสนิทใจ คงยากถ้าเราจะฆ่าใครโดยไม่มีความเกลียดชังแฝงอยู่

เหมือนเขาที่ตอกย้ำคำว่าเพื่อนให้ผม โดยที่ตัวเขาเองก็รู้แก่ใจว่าผมรู้สึกกับเขามากว่าคำนั้น



ถึงวัดในเวลาต่อมา ผมแตะศอกเขาตอนกรวดน้ำรับพร สัมผัสที่ไม่เคยได้รู้สึกมานาน



แปรปรวนทั้งที่รอบตัวเงียบสงัด

สั่นไหวทั้งที่แสดงว่าเฉยชา

เรียกหาทั้งที่อยากผลักไส



ครู่ต่อมาในมือของเราสองคนมีขนมปัง เพื่อโยนให้อาหารปลาเบื้องล่าง

ปากของเราถาม และตอบในเรื่องที่ตัวเองสงสัยใคร่รู้จากกันและกัน



"บี๋กับพี่กาศเป็นไงบ้าง"

“เรื่อยๆ ไม่หวือหวา ไม่รีบเร่ง แต่ก็ดี กับน้องโปรดล่ะ ดูเบย์เกรงใจน้องมาก”

“อือ..ก็เกรงใจ”  เขาเงียบไป สายตาจับจ้องปลาที่แข่งกันงับเศษขนมปัง

“โปรดยังเด็ก บางครั้งก็ไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ ขี้หึงมากจนเบย์อึดอัด”



เบย์ก็ยังคงเป็นเบย์ เห็นแก่ตัว..คำว่าเห็นแก่ตัว ผมคงไม่กล้าเอาไปว่าเขาหรอก เพราะมันจะเข้าตัวเปล่าๆ

อยู่ๆก็คิดถึงพี่กาศขึ้นมา ใกล้เย็นแล้วพ่อกับแม่กลับรึยังไม่รู้



“ที่ผ่านมาบี๋ทนได้ยังไง บี๋เคยรักเบย์ไหม โปรดบอกว่าคนไม่รักเท่านั้นที่ไม่รู้สึกอะไร” เบย์ดึงผมกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“มาอยากรู้อะไรตอนนี้ เรื่องมันผ่านมาแล้วอย่าไปคิดมากให้เสียเวลาน่า”

“แปลว่าไง บี๋ไม่ได้รักเบย์เลยจริงเหรอ”

 

เขาเอาอะไรมาคิดว่าไม่รัก



“เบย์จะกลับเลยมะ” ผมตัดบทไม่อยากคุยต่อ

“ตอบมาก่อนอยากรู้มากขอร้องละ บี๋ตอบมาก่อน”

“สำคัญขนาดนั้น”   



“มากๆ ที่ผ่านมาตอนเราคบกัน เบย์รู้แค่บี๋ให้อิสระเพราะเราต่างต้องการแบบนั้น บี๋ไม่เคยเรียกร้องอะไร

ไม่เคยงอแงเลยสักเรื่อง เวลานอกลู่นอกทางบี๋ก็ทำเหมือนรู้แต่ไม่ใส่ใจ มันทำให้เบย์ไม่รู้จริงๆว่าบี๋รู้สึกยังไง

บี๋เจ็บไหม บี๋จะแอบร้องไห้บ้างหรือเปล่า”



มือผมจับราวสะพานแน่น ก้มหน้าฟังโดยไม่คิดจะเงยหน้าไปมองเขา ปล่อยให้เขาพูด



“พอโปรดตอกกลับมาว่า ไม่รักเท่านั้นถึงจะไม่รู้สึก เลยอดคิดไม่ได้ว่าที่ผ่านมา บี๋เเข้าใจหรือบี๋ไม่รักเบย์เลยกันแน่”

“อยากรู้เพราะแคร์กัน หรือเพราะอยากใช้มันเป็นเหตุผลเพื่อมองโปรดว่าทำตัวงี่เง่าล่ะ”



เบย์ทำตาเศร้าแล้วตอบผม



“ความจริงแล้ว คนที่เบย์แคร์มีแค่บี๋นะ โปรดแค่ชอบไม่ได้แคร์มากมาย ที่เกรงใจเพราะยังไงก็ยังเป็นแฟน

แต่กับบี๋มันไม่เหมือนกันเลย ต้องให้บอกกี่ครั้งว่าบี๋หนะสำคัญที่สุด...สำคัญกว่าใคร...”



พอ!! พอเถอะ ตะโกนบอกเขาในใจ



ผมอยากให้เขาหยุดพูด แต่ก็อยากฟังต่อ รู้ทั้งรู้ว่าความเงียบไม่สามารถหยุดยั้งคำพูดเขาได้ ยิ่งผมเงียบเขายิ่งพูด

พูดถ้อยคำมากมายที่ยืนยันว่าเขาแคร์ จนผมเองที่ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป



“เบย์พอเถอะ ถ้าอยากรู้นักจะตอบให้ก็ได้ ที่บี๋แสดงออกมันไม่จริง บี๋แค่อยากรักษาความรักไว้โดยการไม่เรียกร้อง

เจียมตัวในฐานะแฟนที่เบย์มอบให้ ร้องไห้ลับหลังจะเสียงดังแค่ไหนก็ได้ขอแค่ ไม่ให้เบย์ได้ยิน อดทนเจ็บเพื่อจะอยู่ต่อไป

และเกือบตายในวันที่โดนทิ้ง ถึงวันนี้ตอนนี้ก็ยังไม่อยากยอมรับหรอกคำว่าเพื่อน แต่ที่ไม่อยากปฎิเสธ...........

เพราะยังไม่พร้อมจะเสียเบย์ไป”



สารภาพหมดแล้วทุกอย่าง



“รู้ไหมว่าการเป็นคนสำคัญของเบย์มันเหนื่อยแค่ไหน เจ็บปวดแค่ไหน ถ้ารู้ก็ควรจะรู้ได้แล้วว่า...รัก....มากแค่ไหน”

ผมฟิวส์ขาด บอกไปหมดที่รู้สึกกับเขา



“บี๋”  เสียงเรียกของเขาฟังดูอู้อี้



ตามมาด้วยเสียงกลั้นสะอื้น ของเราทั้งคู่



“ถ้าบอกกันสักคำ ถ้าบี๋บอกสักคำว่าไม่โอเค เบย์จะไม่ทำ เบย์จะไม่ทำ”















..........................................................................

เรื่องนี้แต่งแล้วเหนื่อย ทุกคนมีซีนอารมณ์กันหมด

ไม่มีใครใสๆในทุ่งลาเวนเดอร์เลย

#เช่นทินกรอ่อนแสง



  :hao4: :hao4:
ร้องงงงงงงงง ความรักคือการพูดคุยกัน คือการสื่อสารกัน อย่าเงียบเพราะความเงียบจะทำให้เราเสียใจ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
special part : close friend




“ต่อไปเป็นการแสดงของน้องใหม่ทั้งสามคนของเรา น้องดิวบัญชี น้องหาญการตลาด และแฟนพี่เองน้องบี๋ไอทีค่า”

เสียงปรบมือต้อนรับการแสดงน้องใหม่ ปนเปกับเสียงโห่ฮาให้พิธีกร ทำให้นักแสดงทั้งสามคนที่ประจำตำแหน่งกันแล้ว หายตื่นเต้นไปได้นิดหน่อย โมที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าเวทีเนื่องจากพี่จิ๋วลากมา กำลังทำหน้าไม่ถูก

“สวัสดีครับ พวกเราฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคนด้วยนะครับ” บี๋ทักทายก่อนเริ่มเพลง

“ฝากใจก็ได้ครับน้องบี๋”

“ฮึ้วววววว”

“ส่งมาทั้งตัวเลยพี่รับเองจร้า”

เสียงแซวดังตามอีกรอบ บี๋มองไปทางโมแล้วยิ้มให้หวังว่าวันนี้โมจะยิ้มให้กันเหมือนวันก่อน

โมเบ้ปากมองบน ถึงไม่ยิ้ม แต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีนะ

“เที่ยงคืนฉันออกมาคอยเธอ ก็ ลั่น ลัน ลา โอ้เธอเจ้าซินเดอเรลล่า เจอเธอไม่ทันร่ำลา โอ้เธอเจ้าซินเดอเรลล่า เธอเอาแต่ ลั่น ลัน ลา”

เพลงจังหวะสนุกสนานกับเสียงร้องยียวนของบี๋ ทำทุกคนอดโยกตัวตามไม่ได้ ท่ามกลางบรรยากาศชวนอมยิ้มกลับมีสองคนที่รู้สึกอึดอัด บี๋เลือกเพลงนี้เพราะเป็นเพลงประจำตัวของโม ในขณะที่โมนั่งฟังด้วยอารมณ์ที่จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ แต่จะว่าไม่ชอบใจก็ไม่เชิง บี๋เป็นเพื่อนสนิทมากที่สุดของเขา ที่ต้องห่างกันก็ไม่ใช่ความผิดของบี๋เลย

‘ทำไมมึงต้องรักกูเกินเพื่อนด้วยวะ’

‘แล้วทำไมมึงไม่รักกูให้เกินเพื่อนละวะ’

“อาจมีฝนที่หล่นมาชั่วคราว และเมฆขาวที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน เจอะกับลมก็ปลิวไป ไม่มีใครรื้อฟื้น ไม่ได้เป็นความยั่งยืนเสมอไป”

เพลงสนุกจบไปแล้ว เพลงต่อมาเลยซึ้งหน่อย เสียงบี๋ยังเพราะเหมือนเคย ท่าทางของบี๋ยังเหมือนผีเสื้อโบยบินเรียกความสนใจจากคนรอบข้างไม่เปลี่ยน โมลุกขึ้นเดินออกมา บอกพี่จิ๋วว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เสียงเพลงของบี๋เบาลงไปทุกที เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังขึ้นแทน

ทิ้งตัวลงบนพื้นทรายเหมือนหมดแรงจะเดินต่อ คงมาได้สุดทางแค่นี้ ทอดอารมณ์ไปสักพักร่างทั้งร่างก็ราบกับพื้น ปิดเปลือกตาพยายามคิดถึงใครบางคนที่ไม่ใช่บี๋แม้จะยากแต่ก็ต้องพยายาม

“กูร้องเพลงห่วยขนาดนั้นเลยเหรอ มึงถึงหนีมา” บี๋นั่งลงข้างคนที่กำลังนอน

“กูหนีมึงไม่พ้นจริงๆ” คนหลับตาพูด

“กูหาเพื่อนแบบมึงไม่เจอเลยว่ะ โม..กูอยากได้เพื่อนรักกูคืน มันหนีกูไปหกปีแล้ว มึงช่วยพามันกลับมาทีได้ไหม”

โมเปิดตาจ้องท้องฟ้าสีดำไร้ดาวไร้พระจันทร์ แต่กลับไม่รู้สึกเหงา อาจเพราะลึกๆ เขาก็คิดถึงเพื่อนรักของเขาเช่นกัน ถ้าตัดความรู้สึกคิดไม่ซื่อที่เขามีให้บี๋ออกไป ตลอดหกปีเขาก็ไม่เคยมีเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อนรักแบบบี๋ได้เลยสักคน

“โม..มึงอึดอัดเหรอ ขอโทษนะ กูคงเห็นแก่ตัวมากไป” บี๋เหยียดขาล้มตัวนอนข้างๆ

“............................” กูก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน

“ถ้ามึงไม่ไหวบอกกูนะโม กูจะเป็นคนไปเอง”

บี๋ทำท่าจะลุกขึ้นเขาไม่แน่ใจว่าจะไปของบี๋คือ ไปจากตรงนี้ หรือลาออกจากงาน แต่เขาก็ไม่ต้องการทั้งสองอย่าง แขนบี๋ถูกรั้งไว้

“อยู่กับกูก่อนดิ” ประโยคแรกที่ฟังแล้วไม่เหมือนคนแปลกหน้าคุยกัน

“ตอนกูไม่อยู่มึงเป็นไงบ้างบี๋”

“เรื่องมันยาว” บี๋ตอบกลับท้องฟ้าสีดำ ตอนนี้สองคนนอนหงายมองท้องฟ้าอยู่ข้างกัน ต่างคนต่างมองท้องฟ้าแค่ตรงหน้าของตน ไม่ก้าวก่ายท้องฟ้าของอีกฝ่าย

“ย่อดิวะ ปีละนาทีว่ามา”

“ห่า..” บี๋หันไปชกต้นแขนโมเบาๆ โมหัวเราะ รอยยิ้มแรกที่ไม่เหมือนคนแปลกหน้ายิ้มให้กัน

“ปีแรกชีวิตอึมครึม พี่กาศก็ไม่ชัดเจน เบย์ก็ตื๊อหนักโปรดก็อีกคน กูก็เลยคิดถึงมึงจนต้องแอบร้องไห้” เสียงคนเล่าแผ่วลงตอนปลายประโยค

“ปีที่สอง ก็ลองสนิทกับพวกไอ่แว่นไอ่กบ แต่...แม่งก็ไม่เหมือนมึง...กูก็เลยอยู่กับพี่กาศไม่ก็อยู่คนเดียว เริ่มชินแล้วด้วยที่จะไม่มี...เพื่อน”

หยดน้ำสีใสร่วงลงมาจากหางตาของคนเล่า หล่นซึมหายไปบนพื้นทรายอย่างรวดเร็ว บี๋หลับตาเล่าต่อด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ปีที่สาม กูเลิกกับพี่กาศ ตัดขาดไม่ติดต่อกันต่างคนต่างใช้ชีวิต กูอยู่คนเดียวได้ สบายดีด้วยนะ แล้วก็ลืมเบย์ได้สนิทเลย ยังสงสัยว่ากูแม่งรักคนอย่างมันไปได้ไง”

สองคนขำไปพร้อมกันอีกครั้ง

“กูภูมิใจในตัวมึงมาก ในที่สุดมึงก็เลิกเป็นควายสักที”

“สัด!! เออออ กูรู้อยู่แล้ว..ว่ามึงต้องภูมิใจในตัวกู” บี๋หันไปยักคิ้วให้

“ปีที่สี่กูอยากรู้มาก ว่ามึงเรียนจบรึยัง จะทำงานที่โน้นหรือกลับไทย ส่วนกูทำงานกับอาก็ดีนะ แต่เบย์ดิยังตื๊อกูอยู่เลย”

“เชี่..ยยยยย หน้าด้านหน้าทนหน้าคนหรือถนนลาดยาง”

“เอ่อกูก็สงสัยเหมือนกัน แต่ปลายปีนั้นมันก็ไปแล้วล่ะ กูหมดกรรมสักทีเหมือนราหูย้ายตำแหน่งเลยแหละ”

“อือ..อมไว้นานดูดิดำด้านไปหมด”

“เวร...ไอ่โม ปากมึงนี่หมาไม่เปลี่ยน” เหมือนวันเดิมๆ กลับมาอีกครั้ง ด่ากันไปว่ากันมา แต่พวกเขาก็รู้สึกอุ่นใจ

“ปีที่ห้า กูย้ายที่ทำงาน ติสแตกอยากใช้ชีวิตไร้เปลือกแบบที่พี่กาศท้าทายไว้ ขายคอนโด คืนรถคืนบัตรให้อา เพื่อเป็นชนชั้นกลาง กินเงินเดือนตัวเองทำงานเอง ไม่พึ่งพาอา”

“มึงเนี่ยนะ ถึงว่ากูเจอมึงที่นี่ แล้วก่อนหน้านี้ทำงานที่ไหนมาวะ”

“นรก!!”

“หา!! มึงไปช่วยท่านยมจัดแถววิญญาณให้ลงกะทะทองแดงมาหรา ว๊ากกกกก ฮ่าๆ ”

“เออ..ตลก มึงมาเจอแบบกูจะขำไม่ออก แม่งทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งหัวหน้า ชาติก่อนกูเป็นนายทุนหน้าเลือดไปเผาไล่ที่พวกนั้นไว้แน่ๆ”

“กูเห็นภาพ สงสารว่ะ..โอ๊ยย” บี๋หันไปตบหัวโทษฐานมันแสดงความเห็นใจด้วยรอยยิ้มเกินเบอร์

“กูเล่าแล้วถึงตามึงมั้ง” บี๋ลุกนั่ง กดดันให้โมเล่า

“พอได้ทีก็ข่มขู่กูเลยนะ ใช่เซ่กูอ่ะต้องยอมมึงทุกทีนี้นา”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเล่ามา” โมทำเหมือนจะไม่เล่า แต่ก็ยอมในที่สุด

“กูก็เรียนภาษาปีแรกยากสัดๆ เกือบร้องไห้กลับบ้านแล้ว แต่พอคิดถึงมึงก็มีแรงสู้ต่อ”

“นี่กูเป็นกำลังใจของมึงเหรอ”

“ฮึ..กูไม่อยากกลับไทย เพราะไม่อยากเจอมึงอ่ะ”

“............” เหมือนจะเป็นมุกแต่พวกเขาก็ยิ้มไม่ออก เพราะมันเป็นอดีตที่ต่างคนก็อยากจะลืม

“พอปีที่สองถึงปีที่ห้ากูก็ได้เรียนไอทีต่อ มอที่โน้นสบายนะมึง ถ้าไม่นับข้อสอบยากกับเนื้อหาที่กูอ่านไม่ออกบ้าง แต่รวมแล้วสบายกว่าไทยเยอะ”

“มึงอยู่ที่โน่นกับใคร”

“กับญาติเขามีร้านอาหาร ก็ช่วยงานที่ร้านแลกข้าวฟรี ที่นอนฟรีไป รวมๆ ก็ได้ประสบการณ์และก็หายฟุ้งซ่านไปบ้าง”

“อยู่ที่โน่นมึงไม่สนใจใครบ้างเหรอ” โมส่ายหัวกับคำถามนั้น

“แล้วมึงกับพี่กูล่ะ เป็นไงบ้าง”

“เจอ...วันเดียวกับเจอมึงเลยแหละ นี่กูก็เพิ่งไปเที่ยวเชียงใหม่กับเขามา”

“เฮ้ออ จะกี่ปีกี่ชาติก็ไม่ถึงเวลาของกูเลยสินะ”

“........”

“อ้าวเงียบเลย กูล้อเล่นหกปีกูก็ทำใจได้แล้วไหมมึง”

“ไอ่โม!!! พอกูไม่เล่าล่ะ”

“อ่ะ เอ๋ๆ ห้ามงอนเล่ามาดิ กูไม่ขัดแล้ว”

“กูเจอโปรดที่เชียงใหม่ด้วยนะ”

“อือ..น้องชู้ไอ่เบย์เหรอ”

“มึงนี่ก็ เขาเลิกกันแล้ว โปรดมีคนใหม่แล้วดีกว่าเบย์เยอะอ่ะ”

“ใครก็ดีกว่าแฟนเก่ามึงหมดอ่ะบี๋”

“อืม กูมันควายพอใจยัง”

“พอใจมากแล้วแฟนใหม่น้องเขาหล่อเท่าไอ่เบย์ป่ะ”

“หล่อเข้มๆ คนละแนวกับเบย์ แต่หล่อน้อยกว่าพี่กาศนะ”

“จร้า...แล้วมึงกับพี่กาศคือตกลงคบกันใหม่ หรือยังคลุมเครือเหมือนเดิม”



“..กู..ว่าจะเริ่มต้นใหม่กับเขานะ พี่เขาทำให้กูรู้ แค่คำว่ารักมันไม่พอที่จะรักหรอก ความจริงที่ไม่มีความรักของใครที่ไม่ต้องพยายาม กว่าเขาจะสู้เพื่อมาอยู่ในจุดที่เขากล้ารักกูมันก็ไม่ง่าย ส่วนกูการใช้ชีวิตด้วยตัวเองก็ไม่ใช่จะง่ายเหมือนกัน แต่กูก็ยอมอดทนเพราะเขา กูว่าจะไม่ปล่อยเขาไปไหนแล้ว”

“กูเคยคิดนะบี๋ว่า ถ้ากลับมาแล้ว มึงได้กับคนอื่นกูจะยังเจ็บไหม”

บี๋ตั้งใจฟัง แต่โมก็ไม่พูด เขาเลยตัดสินใจถามซะเอง

“มึงจะกลับมาเป็นเพื่อนรักของกู เหมือนเดิมได้รึเปล่าโม”

นานหลายนาทีที่ทั้งสองคนได้ยินเพียงเสียงคลื่น

ในที่สุดคำตอบที่รอคอยมาตลอดหกปีก็ดังขึ้น...

“ได้ดิ...ขอโทษนะที่ให้มึงรอนาน”

“โม....กูคิดถึงมึงมากนะ”

ไม่มีคำว่ากลัวเสียหน้าถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึก สำหรับบี๋โมเพื่อนที่หาไม่ได้แล้ว คือความคิดถึง คือส่วนหนึ่งในความทรงจำที่มีค่าซึ่งหล่นหายไปนานแสนนาน ตอนนี้โมค่อยๆ ยกมือขึ้นมากอดตอบบี๋เช่นกัน

“บี๋..กูยังรู้สึกกับมึงเหมือนเดิมนะ” อ้อมกอดของบี๋คลายออก แต่โมยังกอดบี๋แน่นไม่ยอมปล่อย

“แต่กูเสียเพื่อนรักอย่างมึงไปไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้กูรักมึงแบบเพื่อนมากกว่าที่รักแบบอื่น สักวันกูจะรู้สึกกับมึงแค่เพื่อนกูสัญญา”

“กูจะรอ...”

มิตรภาพเป็นสิ่งที่ยากจะตัดขาด เพื่อนรักไม่ใช่ใครก็เป็นได้ เพื่อนสนิทไม่ใช่จะเป็นให้ใครได้ง่ายๆ เช่นกัน โมพอใจแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่บี๋อยากสัมผัสแบบลึกซึ้ง แต่เขาจะเป็นคนเดียวที่ได้ยืนข้างบี๋ตลอดชีวิตอย่างแน่นอน ถ้าพวกเขาไม่มีกันชีวิตก็เหมือนขาดอะไรไป

ทักทายกันใหม่อีกครั้ง ด้วยประโยคเดิม กับเพื่อนคนเก่า



“มึงชื่ออะไรวะ กูดลลธี ชื่อเล่นบี๋แผนกไอที”

“ทนาย ชื่อเล่นโม ไอทีนั่งโต๊ะข้างมึงอ่ะ”

“ยินดีที่รู้จักนะเพื่อน” บี๋ยื่นมือไปหา

“เช่นกันเพื่อน..รัก..” โมจับมือบี๋ สองมือของสองคนกระชับกันแน่น



เช่นในวันวานที่เหมือนเพิ่งสนิท

‘มึงชื่อไรวะกูชื่อจริงทนาย ชื่อเล่นโม รหัส....’

‘ดลลธี ชื่อเล่นบี๋ รหัส...’

“บี๋ไปกินข้าวโรงอาหารกลางกันเถอะ วันนี้ร่างกายกูต้องการมันปิ้ง”

“รีบมากมั้ง จานยังไม่ปล่อยเลย”



“โมมึงอยู่กับกูทั้งคืนเหรอ”

“อือ..กูกลัวมึงตื่นมาไม่เห็นใครแล้วโทรมาร้องไห้งอแงใส่อีก รำคาญ”



“โมมึงเป็นเพื่อนรักคนเดียวของกูนะ”

“เหมือนกัน สัดบี๋เลิกร้องได้แล้วววว”



ความทรงจำของเพื่อนรัก เรามักจะยกให้เป็นความทรงจำที่ล้ำค่าเสมอ

รักของเพื่อนจึงไม่อาจจากลา แค่กาลเวลาที่ทำให้ห่างกัน



นิยายโดย Symbol A

16/1/2019

12.57am.






ฝากเรื่อง โมเนส  ดั่งดวงดาวที่อ่อนล้า



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 12:56:10 โดย antivirus »

ออฟไลน์ antivirus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
สวัสดีค่ะ คนอ่านที่รักทุกท่าน

เรื่องทินกรอ่อนแสง คนเขียนทำการรีไรท์แก้ไขแล้วสมบูรณ์

ใครยังคิดถึงน้องบี๋กับพี่กาศเข้ามาอ่านอีกรอบได้นะคะ

เนื้อหาจะอ่านง่ายขึ้น รักทุกความคิดเห็น



ปล.ตอนพิเศษอีกตอน น้องบี๋งอนพี่กาศ ต้องไปตามง้อที่บ้านคุณอา

ที่ติดค้างไว้จะปั่นมาลงในเร็ววัน



  Symbol A
[/color]


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
ประทัยใจเสมอ

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ FuseSirapat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดว่าตัวเองเลเวลสูงพอสมควรกับการอ่านดราม่า แต่ตอนนี้รู้แล้วว่ามันยังสูงไม่พอที่จะห้ามไม่ให้เสียน้ำกับเช่นทินกรอ่อนแสง อ่านกี่รอบก็ยังคงอยู่ทีมเบย์เหมือนเดิม รู้สึกเบย์คืนคนที่รักบี๋มากๆ แค่เรียกร้องความรักจากบี๋ผิดวิธีแค่นั้นเอง อยากบอกว่าเคยหยุดอ่านตอนตามทวิตว่ากาศคู่กับบี๋นะ แต่สิ่งที่ทำให้อยากกลับมาอ่านต่อให้จบคือภาษาขอบเรื่องมันดีมาก ที่อยากบอกคือไรท์ยังเก่งเหมือนเดิมเลยครับ ชอบการใช้ภาษาที่ไรท์แสดงออกมามากๆ

ออฟไลน์ Areya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งได้อ่านรวดเดียวจนจบ ไม่เสียดายเวลาเลยสักนาทีที่อดรอนอ่าน เพราะจนถึงเวลานี้ยังเหมือนได้เดินทางไปในไทม์ไลน์ของทุกตัวละครที่บรรยาย ใช้ภาษาและพลอทเรื่องที่อ่านเพลินอ่านสนุกอย่างลื่นไหล ไม่สะดุดด้วยคำผิดหรือเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นเลย ชอบมากค่ะ ขอชื่นชมและติดตามอ่านงานเรื่องอื่นๆของคนเขียนต่อไปนะคะ  บี๋และพี่กาศ จะเป็นคู่ที่เราคิดถึงไปอีกนานด้วยทั้งสองผ่านอะไรที่มีมากกว่าแค่นิยายเรื่องหนึ่งที่เราเคยอ่าน แต่เหมือนเรื่องราวของเพื่อน พี่ น้อง ที่เราได้พบเจอรผุ้จัก รวมถึง โม เบย์ ที่อดจะคิดตามไปไม่ได้ว่าจะเดินทางไปในทิศทางไหต่อ ในขณะที่ บี๋และพี่กาศ รวมถึงโปรด ที่ลงเอบกับคนที่รอคอยแล้ว
ขอชื่นชมสำนวน การใช้ภาษา ที่ถูกต้อง ชัดเจน และกินใจในการบรรยายและร้อยเรียงเรื่องราวได้อย่างววยงาม เป็นการเดินทางของใจสองดวงและคนสองคนได้มาพบเจอและลงเอยกันได้อย่างสมเหตุสมผลจนอดดีใจไม่ได้ที่ได้อ่านเรื่องนี้จริงๆ ขอบคุณมากค่ะที่แบ่งปันเรื่องนี้ให้ได้อ่าน ชอบมากๆค่ะ  :pig4: :L2:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด