“เลิกคลาสได้ครับ”
หลังจากสั่งรายงานกลุ่ม อาจารย์ประจำวิชาก็ปล่อยนักศึกษาให้เป็นอิสระ มีนาแทบจะพุ่งตัวออกมาจากบรรยากาศอึดอัดในห้องสี่เหลี่ยมนั้น ในหัวไม่มีแม้แต่ความกังวลว่าตนจะทำอย่างไรกับการจับกลุ่มทำรายงานที่ได้รับมอบหมายเมื่อครู่
เขาแค่อยากไปให้พ้นจากคนพวกนี้ อยากออกไปจากตรงนี้ เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
"มีน รอก่อน"
เจ้าของชื่อสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่เขาไม่รู้จักเรียกตัวเองไว้ มีนากอดกระเป๋าของตัวเองแน่น หันซ้ายขวามองหาต้นเสียงอย่างงุนงง
ในที่สุดเขาก็เห็นเพื่อนร่วมคณะสองคนที่เดินตรงมาหาเขา หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งผมสีบลอนด์ทรายที่ร่างเล็กจำได้ว่าเป็นเดือนของคณะแพทยศาสตร์ที่เขาเห็นบ่อยๆเวลาติดสอยห้อยตามพายุไปหลังเวที ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กที่สูงกว่ามีนาเพียงไม่กี่เซนติเมตร สวมแว่นหนาเตอะและไว้ผมทรงกะลาครอบดูแปลกตา
"เอ่อ...มีน รายงานมีกลุ่มรึยัง” คนตัวเล็กที่เขาจำได้อย่างเลือนรางว่าชื่อแว่นถาม มีนามองคนทั้งสองด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ กอดกระเป๋าเรียนของตนไว้แน่น แต่ก็ยังคงส่ายหน้าช้าๆ
"งั้นอยู่กลุ่มเดียวกันป่ะ พวกเราขาดคนนึงพอดี”
เดือนคณะที่มีนาเพิ่งนึกออกว่าชื่อแทนไทยถามแทรกเสียงดัง แม้จะรู้ว่าเป็นบุคลิกของอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่มีนาก็อดสะดุ้งอย่างตกใจอีกครั้งไม่ได้
"...ว่าไง สนใจมั้ย?" แว่นถามด้วยน้ำเสียงที่มีนารู้สึกว่าคนปกติใช้พูดกับลูกนกที่บาดเจ็บ แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย
เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ
"ดีเลย งั้นเดี๋ยวไปกินข้าวกันจะได้รีบแบ่งงาน"
ไม่พูดพร่ำทำเพลง แทนไทยกอดไหล่เพื่อนร่วมกลุ่มคนใหม่พร้อมรอยยิ้ม มีนาสะดุ้งเฮือกอีกครั้งอย่างตกใจ นอกจากเพื่อนสนิทต่างคณะทั้งสองแล้วแล้ว ไม่มีใครเคยแตะต้องเขาด้วยท่าทีสนิทสนมแบบนี้มาก่อน แต่ร่างเล็กก็ยังคงยอมปล่อยใหอีกฝ่ายกอดคอพาไปทางโรงอาหารแต่โดยดีด้วยไม่อยากให้เพื่อนร่วมกลุ่มรู้สึกว่าตนเป็นคนประหลาด
"มีนเป็นคนที่ไหนเหรอ?" แทนไทยพยายามชวนคนที่นั่งทานข้าวเงียบๆอยู่คุย เจ้าของชื่อตอบเสียงแผ่ว
“เราเป็นคนที่นี่..”
เขาเกิดที่นี่ โตที่นี่ ถึงแม้ว่าสภาพความเป็นอยู่จะอัตคัดขัดสนแค่ไหน แต่ครอบครัวของเขาก็ไม่มีที่ใดให้หนีไปตายเอาดาหน้าแล้ว
"เหรอ เหมือนกันเลย นี่ เคยไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่คลองข้างวัด..."
มีนาพยักหน้ารับฟังคำพูดของแทนไทยตามมารยาท ท่าทีเป็นมิตรของอีกฝ่ายทำให้เขาคิดถึงทินกร ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าเพื่อนใหม่ของเขาดูร่าเริงกว่าพอสมควรก็ตาม
"แว่น ทำไรวะ?" แทนไทยหันมาถามเพื่อนที่ฟังบทสนทนาไปตัดกระดาษไปบ้างอย่างสงสัย มีนาหันกลับไปมองที่มือของแว่น...
…และค้นพบบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขาเบิกตากว้าง
"ตัดคูปองแลกน้ำยาปรับผ้านุ่ม" แว่นตอบ "จะหมดเขตอยู่แล้วเหลืออีกตั้งใบนึง เสียดายว่ะ"
"ไอ้นี่ ทำตัวเป็นแม่บ้านดีเด่นอะไรเบอร์นั้น" ร่างสูงหัวเราะ
มีนาก้มลงมองกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนตักของตนอย่างชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจหยิบยื่นมิตรภาพของตนให้กับคนทั้งสองที่ยอมเดินเข้ามาชวนเขาทำงานก่อนทั้งที่ไม่จำเป็น
"เอ่อ..." เสียงหวานเรียกเพื่อนร่วมคณะทั้งคู่เบาๆ "เรามีเกินใบนึง..."
เสียงหัวเราะของแทนไทยหยุดลงกลางอากาศ เช่นเดียวกับแว่นที่เงยหน้าขึ้นจากใบเสร็จที่ตัดอยู่
"คะ...คือเราสะสมครบแล้วมันเกินมาใบนึงพอดี จะเอาไปก็ได้นะ" ร่างเล็กเปิดกระเป๋าเป้กลางเก่ากลางใหม่ของตนแล้วหยิบซองพลาสติกใสที่ใส่คูปองซึ่งตัดไว้อย่างเป็นระเบียบ แถมยังเขียนติดซองไว้ว่าเป็นคูปองของร้านใดบ้างออกมา
ดูจากสีหน้าของแว่นตอนที่รับคูปองของเขาไป มีนาคงได้รับมิตรภาพของอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"มีอะไรเหรอ อารมณ์ดีจัง"
ร่างสูงของชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มปรากฏตัวด้านหลังเพื่อนใหม่ของเขา โอบแขนรอบคอแว่นอย่างถือวิสาสะพร้อมเกยคางบนไหล่โดยไม่สนว่าจะมีคนนอกอย่างมีนาอยู่ และจากสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจของแว่น นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายทำแบบนี้
จะว่าไป...ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นหน้ารุ่นพี่คนนี้แบบนี้นะ
"พี่กล้าสวัสดีครับ" แทนไทยยกมือไหว้คนอายุมากกว่า มีนายกมือไหว้ตามเพื่อนตัวสูง ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อได้ยินชื่อของคนตรงหน้า
พี่กล้า..พี่กวินภพ พี่รหัสปีสามของทินกรที่เขาเคยเห็นผ่านตาสองสามครั้งแต่ไม่เคยพูดคุยกัน
"กินข้าวเสร็จแล้วเหรอ?" ร่างสูงถามคนที่ตนกำลังคลอเคลียอยู่
"ครับ หลังจากนี้ก็ว่าจะไปทำรายงานกันที่ห้องสมุด" แว่นตอบเสียงเรียบ ดูไม่ยินดียินร้ายกับรุ่นพี่ต่างคณะจนมีนาอดนึกสงสัยกับภาพตรงหน้าไม่ได้
สองคนนี้เป็นอะไรกันรึเปล่านะ?
เด็กทั้งสามมานั่งทำรายงานในชั้นของห้องสมุดที่มีไว้เพื่อการทำงานกลุ่ม เป็นโต๊ะญี่ปุ่นกระจัดกระจายไว้ให้นักศึกษาได้ใช้งาน ซึ่งเด็กส่วนใหญ่กำลังจับจองที่นั่งอยู่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เสียงพูดคุยปรึกษากันดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณ
ยกเว้นเด็กปีสามคณะบริหารธุรกิจที่นอนตากแอร์โดยมีตักของแว่นเป็นหมอนในตอนนี้
"พี่กล้า ถ้าง่วงก็ไปนอนคอนโดสิครับ" เด็กหนุ่มบ่น แต่มีนาสังเกตว่ากวินภพไม่คิดจะขยับไปจากตักของคนตัวเล็ก สักพัก เด็กหนุ่มแว่นกลมก็สะดุ้งเล็กน้อย แม้จะไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นใต้โต๊ะ แต่มีนาก็พอจะเดาออกว่าท่าทีของอีกฝ่ายเมื่อครู่ต้องเกี่ยวกับคนที่นอนหนุนตักเด็กหนุ่มอยู่
"แว่น เป็นไรป่าววะ?”แทนไทยทักอย่างเห็นห่วง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้า คนขี้ห่วงจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
"จะถึงเวลาเข้าห้องเชียร์แล้ว ไปกันเลยมั้ย" แทนไทยชวน แว่นพยักหน้าแล้วเริ่มเก็บของ ผิดกับมีนาที่นั่งนิ่ง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างลำบากใจ
เขาไม่เคยเข้าห้องเชียร์ นั่นเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ธีรเชษฐ์จัดอยู่ในหมวดหมู่ของคำว่า’ไร้สาระ’ ซึ่งวันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
"เราต้องกลับ..."
"เฮ้ย แต่วันนี้วันให้รุ่นนะ พี่เขาเช็คชื่อ"
แทนไทยเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แม้จะไม่ใช่การรับน้องระบบโซตัส แต่คณะแพทยศาสตร์ก็ถือเป็นคณะที่มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้องเข้มข้นที่สุดคณะหนึ่ง เพราะอาจารย์ของพวกเขาไม่ได้มีแค่อาจารย์และคนไข้ แต่ยังมีรุ่นพี่ที่ช่วยสั่งสอนประสบการณ์ให้ หากโดนรุ่นพี่เกลียด เท่ากับปิดประตูให้อนาคตของตัวเองไปแล้วเกือบครึ่ง
“เอ่อ...” มีนาลังเล แม้จะกลัว แต่การที่เขาจะได้เข้าร่วมกิจกรรมหรือไม่นั้นไม่ใช่การตัดสิยใจของเขา
"น่า ไปเถอะ แค่ไปเช็คชื่อก็ยังดี" แทนไทยทำตาวิ้งๆใส่เขา ด้วยดีกรีเดือนคณะและนิสัยขี้อ้อนอย่างเป็นธรรมชาติ การจะปฏิเสธคนตรงหน้ายิ่งเป็นเรื่องที่มีนาลำบากใจ
"เอ่อ..เรา...ขอโทรศัพท์ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวตามไป”
มีนาตัดสินใจลุกออกไปจากตรงนั้น เด็กหนุ่มหาซอกมุมมืดที่ไม่มีใครเดินผ่าน หยิบโทรศัพท์ของตนออกมาอย่างลำบากใจ นิ้วเรียวแตะที่ปุ่มไอคอนรายชื่ออยู่หลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจกดโทรออกในที่สุด
“ว่าไง?”
มีนารู้สึกถึงลมหายใจที่ขาดห้วงของตนเมื่อได้ยินเสียงทุ้มจากปลายสาย ความกล้าที่สามารถรวบรวมได้เพียงเล็กน้อยเพียงเล็กน้อยแตกสลายหายไปในพริบตา เด็กหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะวางสายดีหรือไม่เมื่อธีรเชษฐ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“มีนา เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ปะ…เปล่าครับ” อาจเป็นเพราะความเป็นห่วงที่เจืออยู่ในน้ำเสียงของธีรเชษฐ์ ที่ทำให้มีนากล้าที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วันนี้...ผมขออยู่ร่วมกิจกรรมคณะได้มั้ยครับ?”
ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปลายสาย มีนากัดริมฝีปากอย่างกังวลใจด้วยกลัวว่าคำขอของเขาจะได้กระตุ้นต่อมโมโหของธีรเชษฐ์ แต่หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งนาที ร่างสูงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“เสร็จแล้วโทรมาแล้วกัน”
มีนากระพริบตาปริบๆอย่างประหลาดใจ แม้หลังจากธีรเชษฐ์วางสายไปแล้ว เขาก็ยังยืนนิ่งอึ้งอย่างไม่รู้ว่าตัวเองหูฝาดไปหรือไม่
“มึงว่าพี่เขาจะมีเซอร์ไพร์สอะไรป่ะวะ”
มีนานั่งลงข้างเพื่อนใหม่ในคณะทั้งสองทันได้ยินคำพูดของแทนไทยที่กระซิบกับเพื่อนสนิทในห้องประชุม แว่นส่ายหน้า ส่วนมีนามองไปรอบๆอย่างไม่มั่นใจว่าตนควรจะเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไม่คาดฝันอะไรหรือไม่
ไม่ทันขาดคำ ทันทีที่เด็กคนสุดท้ายนั่งประจำที่ แสงไฟในห้องก็ดับลง
"เปลวเทียนน้อยๆ ในค่ำคืนไม่มีแสง..."
เสียงร้องเพลงของรุ่นพี่ดังขึ้นก้องหอประชุม รุ่นพี่ในคณะของพวกเขาค่อยๆเดินเรียงแถวเข้ามาพร้อมกับเทียนส่องแสงสว่างริบหรี่ในมือ
ไม่ใช่แค่พี่ปีสอง พี่ปีสาม ปีสี่ ปีห้า หรือแม้แต่พี่เอ็กเทิร์นบางคนก็มาร่วมร้องเพลงด้วย ภาพแสงนวลตาที่หลวมรวมเป็นดวงไฟตรงหน้าของเด็กปีหนึ่งทำให้มีนารู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ถึงแม้ว่าตนจะไม่เคยเข้าร่วมห้องเชียร์เลยก็ตาม
"ลำดับต่อไปขอเชิญพี่ๆผูกสายสิญจ์ให้น้องด้วยนะครับ"
พิธีกรพูดออกไมค์หลังจากเสร็จสิ้นการร้องเพลง เหล่าพี่ๆปีสูงเดินตามหาน้องในสายของตัวเองกันให้ควั่ก ส่วนมีนานั้นไม่ได้หวังอะไรนักด้วยรู้ว่าพี่รหัสก็ไม่ได้สนิทอะไรกับตนเช่นกัน
แต่ในตอนนั้นเอง คนคนหนึ่งที่เขาควรจะรู้ว่าจะต้องได้เจอแต่พยายามไม่ใส่ใจกำลังเดินตรงมาทางเขาด้วยรอยยิ้มมุมปากเป็นเอกลักษณ์ที่แต่งแต้มใบหน้าสวยหวานราวอิสตรีให้ดูเหมือนนางฟ้ามาจุติ แต่กลับทำให้ขนอ่อนที่หลังคอของมีนาลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่
"มา แว่น พี่ผูกข้อมือให้" ธารธาราหยิบสายสิญจ์เส้นหนึ่งออกมาแล้วเริ่มถูมันไปมาเบาๆบนข้อมือเด็กหนุ่มร่างเล็กที่ยืนห่างจากมีนาไปไม่ไกล มีนาอาศัยจังหวะนั้นขยับหลบด้านหลังแทนไทย มองซ้ายแลขวาหาทางหนีที่ไล่ที่ไม่มีอยู่จริง "ขอให้เก็ทเอทุกตัวนะ มีอะไรปรึกษาพี่ๆได้นะ"
"ขอบคุณครับ" แว่นยกมือไหว้เมื่ออีกฝ่ายผูกข้อมือเสร็จ มีนาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเพื่อนร่วมคณะอีกกลุ่มเข้ามาขอให้ร่างโปร่งที่เปรียบเสมือนนางฟ้าของปีสี่ผูกข้อมือให้ ดูจากสีหน้าของคนทั้งกลุ่มสิ่งที่อยากได้จากรุ่นพี่คนสวยคงไม่ใช่แค่ศีลพร
"พี่อุ่น ผมอ่ะ" มีนาสะดุ้งเมื่อคนตัวโตที่เป็นเกราะกำบังให้เขาเริ่มงอแง ร่างเล็กไม่รู้มาก่อนว่าเพื่อนใหม่ของเขารู้จักกับธารธาราด้วยซ้ำ
"ใจเย็นดิวะไอ้แทน ของแบบนี้มันต้องตามคิว" อาร์ม รองเดือนคณะยักคิ้วให้เด็กหนุ่มอย่างอ้อนบาทา
“น้องอาร์มพูดถูกนะ" ธารธารายิ้มหวานให้เด็กหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษ "อีกอย่าง ถ้าอยากได้อะไรผูกข้อมือ เดี๋ยวคืนนี้พี่หาอะไรดีๆผูกให้แทนสายสิญจ์ ดีมั้ย?"
มีนารู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบเมื่อได้ยินประโยคนั้น
แทน...กับคุณธาร...
"เอ่อ..จริงสิ พี่อุ่นผูกให้มีนหน่อยสิครับ" ร่างสูงที่แดงไปทั้งหน้าทั้งคอคว้าตัวเพื่อนที่ยืนหลบอยู่หลังตัวเองอย่างแนบเนียนมานานสองนานให้คนรักผูกข้อมือให้แก้เขิน แต่ทว่าเมื่อเห็นร่างเล็ก รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของร่างโปร่งตรงหน้า
กลับอันตรธานหายไป เหลือเพียงแววตาเกลียดชัง และสีหน้าที่มองเขาเหมือนมดปลวกเหลือบไรที่ตนอยากขยี้ให้ตายคามือ
มีนาหน้าซีดเผือด ตัวสั่นระริกไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้ ในหัวมีเพียงความคิดที่ว่าธารธาราจะบอกความลับของเขาให้ทุก
คนในที่นี้รู้ และนี่จะเป็นจุดจบของเขาในคณะนี้
มือเรียวของธารธาราแบออก ปล่อยสายสิญจ์ให้ร่วงกระจัดกระจายอยู่บนพื้นแทบเท้าของตน ท่าทีที่หากเป็นคนอื่นคงดูออกไม่ยากว่าจงใจ แต่กับนางฟ้าคนนี้ คนรอบข้างพร้อมจะปิดตาทำเป็นไม่เห็นได้ทุกเมื่อ
"ขอโทษนะครับ ผมนี่ซุ่มซ่ามจัง" ร่างโปร่งก้มลงเก็บสายสิญจ์ รอยยิ้มหวานกลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง เอียงคอถามด้วยเสียงเนิบนาบแต่กลับน่าขนลุกในความรู้สึกของมีนา "ยังอยากได้อยู่มั้ย?"
มีนก้มหน้านิ่ง
"เอ่อ...พี่อุ่นรีบผูกเถอะครับ จะได้ผูกคนอื่นต่อ" แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แทนไทยก็พยายามแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดอย่างสุดความสามารถ
ธารธาราถูสายสิญจ์กับข้อมือเล็กเบาๆ ก้มลงมาใกล้คนที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นจากพื้น ก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่ทำให้ใบหน้าขาวชาวาบ
“จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด...อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย”
ธารธาราผละออกมาพร้อมรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีนายกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อมแม้เสียงหวานจะสั่นเครือจากบทสวดแผ่เมตตาเมื่อครู่
"ขอบ...ขอบคุณครับพี่..."
"อะไรนะครับ?" น้ำอุ่นถามด้วยน้ำเสียงสงสัย แต่แววตากลับเย็นเยียบจนคนมองสะดุ้ง มีนากัดริมฝีปากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว
"ขะ...ขอบคุณครับคุณธาร"
"ยินดีเสมอครับ" รุ่นพี่ปีสี่ยิ้มบางอย่างพึงพอใจแล้วเดินไปหาคนอื่นเพื่อผูกสายสิญจ์ต่อโดยไม่สนใจมีนาอีก
"อะไรของพี่อุ่นน่ะ" แทนไทยมีสีหน้างุนงงปนโมโห "ไม่ต้องห่วงนะมีน เราจะไปคุยกับพี่อุ่นให้รู้เรื่อง"
"อย่านะแทน" มีนารีบเอ่ยห้าม เขาไม่อยากให้ธารธาราต้องทะเลาะกับคนรักเพราะเขา “เรา...เราแค่ตกใจน่ะ"
“เรื่องอะไรเหรอ?” แว่นอดถามขึ้นมาไม่ได้
“คือ…พี่เขาชวนเราสวดมนต์น่ะ เราไม่ทันตั้งตัวเลยหลอนๆ ไม่มีอะไรหรอก แหะๆ” มีนายิ้มเจื่อน ไม่ได้โกหกเพื่อนใหม่ของตนเสียทีเดียว “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ”
คนฟังมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเป้ของมีนาดังขึ้น เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมารับอย่างรีบร้อนด้วยรู้หนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเบอร์นี้เป็นเบอร์ของเขาคือใคร ผงกหัวให้เพื่อนๆเป็นเชิงลาแล้วเดินออกจากห้องประชุมไปทันทีด้วยกลัวว่าจะสายจากเวลานัดที่ตนโทรไปบอกอีกฝ่ายไว้
“ขอโทษครับที่มาสาย”
นั่นเป็นประโยคแรกที่หลุดออกมาหลังจากมีนาก้าวขึ้นมาในรถคันหรูที่จอดรออยู่
“อืม…สนุกมั้ย?”
คำถามแปลกๆนั้นทำให้มีนาชะงักไปอีกครั้ง
จะให้พูดว่ายังไงดีล่ะ...
“ใครผูกให้?” ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามแรก ดวงตาสีควันบุหรี่ก็เหลือบไปเห็นเชือกสีขาวเส้นเล็กรอบข้อมมือคนอายุน้อยกว่า ดูจากดวงตาคมที่่หรี่ลงก็รู้ว่าไม่พอใจ
“คุณ…ธารครับ”
มีนากลั้นใจตอบ เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่กำลังจะแย่ลงในเวลาอันใกล้ ทว่าธีรเชษฐ์กลับมีสีหน้าผ่อนคลายลง ร่างสูงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก
“คุณเชษฐ์กับคุณธาร...มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ?”
มีนาอยากจะกัดลิ้นตัวเองทันทีที่พูดออกไป ให้ตายเถอะ ทำไมเขาถึงได้ถามอะไรแบบนั้นออกไปนะ
ธีรเชษฐ์นิ่งไปราวกับไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากร่างเล็ก มีนากำลังจะเอ่ยปากขอโทษที่ละลาบละล้วง เมื่อชายหนุ่มข้างๆเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฉันเป็็นคนทำลายครอบครัวของเขา”
------------
คิดถึงคนอ่านนนน