เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์
{36}
“เย็นนี้จะกินอะไร”
เพราะโดนพ่อแม่อย่างคุณนายปลื้มจิตและเสี่ยใหญ่ทิ้งให้อยู่บ้านกันสองคน
กับแมวอย่างพี่มณีอีกหนึ่งตัว ส่วนป้าแม่บ้านที่เคยเป็นลูกมือช่วยคุณนายปลื้มจิตดูแล
ทุกอย่างในบ้านนั้นก็มาขอลาหยุดไปอีกคน หน้าที่จัดสรรอาหารการกินก็ตกมาอยู่ในมือ
ของพอร์ชไปโดยปริยาย
“ไม่กิน จะไปวิ่ง” กลืนน้ำลายพูดบอกในขณะที่เหลียวหลังมองร้านน้ำปั่นเจ้าโปรด
ที่กินประจำหลังเลิกเรียนด้วยความเสียดายจนสุดสายตา
ไม่ได้*…ตั้งใจไว้แล้ว อดทนหน่อยโซ่…ฮึบไว้…ฮึบ!*
“นึกไงจะไปวิ่ง” เอ่ยถามออกมาเพราะไม่รู้มาก่อนว่าคนรักเคยมีกิจวัตรประจำวันคือ
การออกกำลังกายทุกเช้าเย็น ต่างจากตอนที่ย้ายมาอยู่กับพอร์ชที่เจ้าตัวมักจะพาโซ่ออกไป
ขี่รถเล่นกินลมชมวิวดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นแทน ส่วนตอนเช้านั้นไม่ต้องไปพูดถึง เพราะ
ทุกวันนี้โซ่ตื่นสายแทบจะทุกวันด้วยสาเหตุที่ว่าเจ้าตัวนั้นมักจะโดนพอร์ชก่อกวนยามดึกจนหมดแรง
“ไม่เสือกสิ” พูดจบก็กระโดดลงรถและหันหลังเดินหนีเข้าร้านทันทีไม่ทัน เพราะถึง
ที่หมายปลายทางซึ่งก็คือบ้านหรือร้านขายรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวพอร์ชพอดี
“อะไรของมันวะ” สุดท้ายแล้วก็ได้แต่บ่นพึมพำคนเดียว เพราะโซ่หายขึ้นชั้นบนไปแล้ว
“น้องพอร์ชคะ”
“ครับ?”
“มีแขกมารอพบค่ะ”
ยังไม่ทันที่จะทำอะไร เพียงแค่ก้าวขาเข้าร้าน พนักงานขายในร้านก็เดินมาตามให้ไป
ห้องรับรองลูกค้าเสียแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะมีหลายครั้งหลายคราที่เขาจำ
ต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีต้อนรับลูกค้าในยามที่พ่อแม่ไม่อยู่เช่นนี้
“ถ้าไอ้โซ่ลงมาบอกให้มันรอผมก่อนนะ” ฝากกระเป๋าสะพายกับหมวกกันน็อคที่หยิบ
ติดมือมาส่งให้พนักงานสาวรุ่นพี่ไปวางเก็บไว้บนโต๊ะทำงานของตนเองที่อยู่ในห้องทำงานชั้น
สองของพ่อแม่ที่ตอนนี้มีโต๊ะทำงานของโซ่เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชุด ทำเอาห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่
ดูโล่งกว้างดูอบอุ่นและน่าอยู่ขึ้นทันตาเห็น
แอ๊ด*…*
“พอร์ช!”
“อ้าว...กูนึกว่าใคร ไง…มาไงวะ” เอ่ยทักออกไปด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่คิด
ว่าคนที่มาหาตนจะเป็นเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาเรียนด้วยกันเป็นวันแรก
“เราจะซื้อรถอ่ะ เลยมาดูๆ ไว้ เห็นว่าเป็นร้านของพอร์ชด้วยก็เลยว่าจะรอทักทาย
สักหน่อย แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องรอนานขนาดนี้” หัวเราะแหะๆ พูดบอกไปตามความจริง เพราะ
เป็นเวลากว่าชั่วโมงที่มานั่งรอพอร์ชหลังจากฟังการแนะนำรถรุ่นต่างๆจากพนักงานขายในร้านเสร็จ
“โทษทีวะ วันนี้เมียกูเลิกช้าเลยต้องไปรอมันก่อน ว่าแต่มึงเถอะ สนใจรุ่นไหน
บอกกูได้นะ เดี๋ยวกูจัดพิเศษให้เลย”
“เราสนใจรุ่น…”
“พี่หญิงเห็นไอ้พอร์ชไหมครับ” โซ่ที่เพิ่งลงมาจากห้องหลังจากอาบน้ำเปลี่ยน
เสื้อผ้าเสร็จเอ่ยถามถึงคนรักทันที เพราะปกติแล้วพอร์ชจะต้องตามตนเองขึ้นห้องไปติดๆ
แต่วันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านมากว่าสี่สิบนาทีแล้วก็ตาม
“เห็นว่าจะออกไปส่งเพื่อนนะคะ อีกเดี๋ยวคงกลับมา” เธอพูดบอกออกไปตามที่รู้
“อ่า…แล้วมีใครเห็นพี่มณีไหมครับ ตั้งแต่มาโซ่ยังไม่เห็นเลย” ก็ออกจะแปลก
ไปนิดสำหรับโซ่ที่กลับบ้านมาแล้วจะไม่เห็นลูกรักอย่างพี่มณีวิ่งหน้าเริ่ดร้องหม๊าวๆ มา
ต้อนรับกลับบ้านประหนึ่งว่าเป็นหมาน้อยขนฟูรอรับเจ้านายกลับบ้าน
“เสี่ยกับเจ้กลับมารับไปแล้วค่ะ เห็นบ่นๆ ว่าไม่มีใครดูแลพี่มณีให้เลยกลัวว่า
จะวิ่งออกไปเล่นนอกถนนแล้วโดนรถชนเอา”
เหอะ…เชื่อเขาเลย ใครจะคิดละว่าพ่อกับแม่ของพอร์ชะจะตีรถกลับมารับแมว
แค่ตัวเดียวทั้งที่พากันขับรถออกไปตั้งแต่เช้า เพราะคุณนายปลื้มจิตต้องกลับไปเยี่ยมแม่
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือคุณยายของพอร์ชไกลถึงเชียงใหม่
“มณีมันกล้าออกจากบ้านที่ไหนพี่ก็รู้” ก็นั้นแหละ…ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครที่
ทำงานอยู่ในร้านแห่งนี้ต่างก็รู้ดีว่าพี่มณีเป็นแมวรักสะอาดแค่ไหน อย่าว่าแต่ก้าวขาออก
ไปนอกร้านที่พื้นเต็มไปด้วยฝุ่นเลย ขนาดแค่โซนอู่เอาไว้ตรวจเช็คและซ่อมรถให้ลูกค้า
มันยังไม่กล้าย่างกายเข้าไปให้อุ้งมันเปื้อนคราบน้ำมันเครื่องเลย ถ้าคุณนายปลื้มจิตไม่
เอาถุงเท้ามาใส่ให้
“คุณนายเขารักของเขาค่ะ” นินทาเจ้านายพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะขอตัว
กลับไปทำงานต่อ เพราะทั้งร้านถ้าไม่นับโซ่กับพอร์ชที่เป็นเจ้าของร้านก็เหลือแค่เธอ
คนเดียวที่ยังทำงานไม่เสร็จ เพราะเป็นผู้จัดการร้านเลยต้องอยู่เขียนรายงานสรุปใน
แต่ละวันส่งให้เจ้านาย
Tru Tru Tru
“ครับแม่” เอ่ยปากทักทายปลายสายที่นานๆ จะได้คุยกันผ่านโทรศัพท์สักที
เพราะแม่หรือแม้ที่จริงแล้วคือยายของโซ่นี้มีโทรศัพท์แค่รับสายเพราะโทรออกไม่เป็น
นี่ก็คงไม่พ้นจะไหว้วานให้เด็กในค่ายกดให้
//มาดูไอ้จุกมันหน่อยสิโซ่ มันไม่ยอมไปโรงเรียนมาหลายวันแล้ว พ่อกับแม่
บ่นแล้วบ่นอีกมันก็เอาแต่บอกจะว่าชกมวย…ไม่รู้มันคิดอะไรของมันอยู่// คำบอกเล่า
จากปลายสายทำเอาโซ่รู้สึกไม่ดี เพราะการที่เด็กรักเรียนอย่างจุกบอกว่าจะเลิกเรียน
นั่นเป็นอะไรที่ถึงที่สุดแล้ว
“เดี๋ยวผมเข้าไปครับ พ่อกับแม่จะเอาอะไรรึเปล่า มีกับข้าวแล้วรึยัง ของใช้
ในบ้านละขาดเหลืออะไรไหม ผมจะได้ซื้อเข้าไปทีเดียวเลย”
//มาแต่ตัวก็พอแล้วโซ่เอ้ย เอ็งก็เก็บเงินเก็บทองไว้ใช้เองบ้างเถอะ ที่เลี้ยง
ก็เพราะรักจริงๆ อย่าคิดว่าเป็นคนอื่นที่ต้องทดแทนบุญคุณอะไรเลย แต่ถ้าอยากตอบ
แทนพ่อกับแม่จริงๆ ก็ตั้งใจเรียน แล้วเอาใบปริญญามาอวดก็พอ//
“แม่”
//เรียกแล้วไม่พูดวะไอ้ลูกคนนี้//
“แม่รู้รึเปล่าว่าตอนที่อยู่กับแม่กับแม่ ชีวิตตอนนั้นโซ่ลำบากที่สุดแล้ว”
//รู้// ก็เพราะรู้นี่แหละ เธอถึงไม่กล้าเรียกร้องอะไรจากโซ่นัก เพราะที่ผ่านมา
แม้ว่าจะไม่ได้รังแก แต่เธอก็ไม่เคยจะปกป้องโซ่จากลูกสาวหรือแม่แท้ๆ ของโซ่ได้เลย
เพราะยิ่งเธอกับสามีทำทีว่าจะช่วยช่วยโซ่ ลูกสาวของเธอก็จะลงมือหนักขึ้น เพื่อประ
ชดประชัน ท้ายที่สุดแล้ว เธอกับสามีก็ทได้เพียงนั่งทำแผลให้หลานชายด้วยน้ำตา
“แล้วแม่รู้รึเปล่าว่าโซ่รักพ่อกับแม่มากที่สุดแล้ว อะไรที่ทำให้พ่อแม่สบายได้
โซ่ก็จะทำ” พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที ไม่รอให้ปลายสายได้โต้เถียงอะไรอีก เพราะนี่ไม่ใช่
ครั้งแรกที่พวกเขาพูดคุยกันเรื่องนี้ แต่มันเป็นครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่พันแล้วโซ่ก็จำไม่ได้
เพราะทุกครั้งมันจะจบลงด้วยถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง
แต่โซ่ไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเขารู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างในบ้านไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
เมื่อก่อนบ้านเขาไม่ได้มีกินมีใช้อย่างทุกวันนี้ เพราะค่ายมวยก็เป็นเพียงที่พักพิง
ของนักมวยล่าฝันที่มีอนาคตลิบหรี่ และพ่อแม่ก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง ไม่มีสมบัติเก่า
ครอบครัวไม่ได้มีกิจการร้านค้าให้ต้องสืบทอดเหมือนอย่างบ้านอาม่า แต่เขาก็ยังได้เรียน
โรงเรียนเอกชนที่ขึ้นชื่อว่าค่าเทอมแพงที่สุดในจังหวัด ด้วยการที่พ่อต้องออกไปรับจ้าง
แบกข้าวสาร ส่วนแม่ก็ทำงานหนักไม่แพ้กัน ช่วงที่แย่ที่สุดคือ แม่ต้องออกจากบ้านตอน
ตีสองเพื่อไปทำน้ำเต้าหู้ และขายข้าวเหนียวหมูปิ้งในตอนตีห้า กว่าจะเก็บร้านก็แปดโมง
ถึงเวลาไปส่งเขาที่โรงเรียนพอดี เสร็จแล้วก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกมา
เข็นรถขายน้ำแข็งใสจนถึงเย็นย่ำ แต่ใช่ว่าถึงบ้านแล้วก็จะนอนพักผ่อนได้หรอกนะ เพราะ
แม่ยังต้องทำกับข้าว และเตรียมเครื่องน้ำแข็งใส จำพวกมันเชื่อม รากบัวเชื่อม รวมถึงต้มน้ำชา
กาแฟเย็นไว้ขายต่อในวันรุ่งขึ้นอีก ยิ่งถ้าช่วงพีคๆ ตอนปิดเทอมก็ต้องทำลอดช่องรวมมิตรเพิ่มอีก
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย วันๆ หนึ่งนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงเหนื่อยแค่ไหนโซ่รู้ดี เพราะเขาเอง
ก็ติดสอยห้อยตามไปกับแม่ทุกที ช่วยทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพราะทั้งหมดที่พ่อกับ
แม่ทำก็เพื่ออนาคตของเขาทั้งนั้น
หมับ
“แล้วมึงรู้รึเปล่าว่ากูก็รักมึงไม่น้อยไปกว่าใครเลยนะ” เพราะมัวแต่หวนคิดถึง
เรื่องความลำบากในอดีตที่สอนให้รู้จักความมานะอดทนจนได้ผลตอบแทนเป็นประสบการณ์
ชีวิตที่มีค่าเลยไม่ทันได้รู้ว่าพอร์ชกลับมาแล้ว และมาทันได้ยินทุกคำพูดของโซ่พอดี
“ไม่รู้ เพราะพี่หญิงบอกว่ามึงออกไปส่งชู้”
“ชู้บ้านป้ามึงสิ นั่นเพื่อนใหม่ในห้องกู เพิ่งย้ายมาเมื่อเช้านี้ แล้วมันก็จะมาซื้อรถ
ที่ร้านเราด้วย แต่แม่มันยังหาหมอไม่เสร็จกูก็เลยอาสาไปส่งมันก็เท่านั้น”
แม้จะพอเดาได้จากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนรักว่าเจ้าตัวแค่ต้องการจะแหย่เล่น
แต่พอร์ชก็ยินดีที่จะอธิบายให้เข้าใจถึงความเป็นมาเป็นไป
“ไม่ต้องรีบแก้ตัวขนาดนั้นก็ได้ กูรู้ว่ามึงยังไม่รีบตาย…ไม่กล้านอกใจกูหรอกเนอะ!”
“จ้า…” ตอบรับพร้อมทั้งยื่นมือเข้าไปบีบปากเล็กๆ ของคนรักด้วยความหมั่นเขี้ยว
ก่อนที่จะก้มหน้าตามลงไปมอบจูบแสนหวานเป็นการทิ้งท้ายได้อย่างสวยงาม
“ยังไม่พออีกหรอเนี่ย” พอร์ชบ่นอุบเมื่อโซ่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดช็อปปิ้งเลยแม้แต่น้อย
หลังจากต้องเดินตามเจ้าตัวเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ตั้งเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว
“ยัง”
เพราะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของยายตนเองพอดี โซ่ก็เลยคิดว่าจะ
กลับไปจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่บ้าน เพราะที่บ้านหลังนั้นไม่มีการจัดงานรื่นเริงมาสักพักแล้ว
ตั้งแต่สองแม่ลูกนั่นหวนกลับมา แต่ก็ใช่ว่าที่ผ่านมาจะมีการจัดเลี้ยงอะไรมากมายหรอกนะ
อย่างมากก็ลุกขึ้นมาจัดบ้านติดสายรุ้งในวันปีใหม่เท่านั้น เพราะแม่ชอบของสวยงาม
แต่ก็ลืมวันสำคัญวันอื่นๆ หมด แม้แต่งานวันเกิดครั้งแรกของชีวิตโซ่ก็เพิ่งจะมามีตอน
ที่ได้คบกับพอร์ชนี่แหละ
“เหลืออะไรอีกละ” ที่ต้องถามแบบนี้ก็เพราะว่าทั้งสองแขนของตัวเองมันเต็ม
ไปด้วยขนมและของฝากมากมายที่โซ่ขนซื้อกลับไปให้คนที่บ้านด้วยเงินของเจ้าตัวเอง
แม้ว่าเขาพยายามที่จะจ่ายให้เพราะอยากมีส่วนร่วมด้วยก็ตาม
ทุกวันนี้พอร์ชยังงงอยู่เลยว่าโซ่จะเก็บเงินที่ป๋าของเขาให้เป็นรายสัปดาห์ไปทำ
อะไร เพราะตั้งแต่ได้มาเจ้าตัวก็จะเอาส่วนที่เป็นของตนเองยัดใส่กระปุกหมูที่ตั้งคู่กันกับ
กระปุกหมาของพอร์ชทั้งหมด ส่วนเงินที่ใช้ๆ อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเงินที่ได้มากจากเงินปันผล
โรงสีของอาม่าที่ยังใช้ระบบการบริหารงานแบบกงสีตามปณิธานดั้งเดิมของอากงที่แบ่งจ่าย
กำไรรายเดือนและปันผลรายปีให้ลูกหลานในครอบครัวเท่าๆ กันทุกคน ซึ่งตรงนี้โซ่เองก็ได้
หุ้นในส่วนของพ่อและตนเองมาถือไว้ในมือ อีกทั้งยังมีทรัพย์สินที่ได้จากการขายเทธุรกิจ
ส่วนตัวบวกเงินประกันชีวิตก้อนใหญ่ที่พ่อผู้ให้กำเนิดระบุพินัยกรรมทิ้งไว้ให้อีก จะจัดกลุ่ม
อยู่ในพวกอายุน้อยร้อยล้านก็ว่าได้ แต่พอร์ชก็ไม่เห็นว่าคนรักจะทำตัวร่ำรวยอู้ฟู่เหมือน
อย่างใครเลย ใช้ชีวิตปกติเสียจนไอ้พวกขาเผือกชอบเสือกรู้ไม่จริงทั้งหลายเอาไปนินทา
หาว่ามาเกาะเขามั่งขายตัวให้เขาเพราะอยากยกระดับตัวเองมั่ง ซึ่งเป็นอะไรที่พอร์ชอยาก
จะยกตีนขึ้นเตะปากมาก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเมียห้ามไว้พร้อมทั้งยังกำชับด้วยว่า
‘เล่นกับหมา…หมาเลียปาก ถ้าทนไม่ได้เดี๋ยวกูกระทืบเอง’
“รองเท้า”
“ของใครอีกละ”
“แฟน” พูดตอบโดยที่ไม่หันกลับมามอง แล้วเดินนำเข้าร้านรองเท้าแบรนด์
โปรดของพอร์ชทันที ทำเอาพอร์ชที่หน้ามุ่ยในตอนแรกยิ้มกว้างขึ้นมาทันที แต่ก็ใช่ว่า
จะดีใจที่ได้รองเท้าใหม่อย่างเดียวหรอกนะ เหนือสิ่งอื่นใดคือความสุขที่ได้รับรู้ว่าคนรัก
ไม่หลงลืมและให้ความสำคัญกับตนเองอยู่เสมอต่างหากละ
ในสายตาคนนอกที่มองมาอาจจะเห็นว่าพอร์ชเอาอกเอาใจโซ่อยู่ฝ่ายเดียว
แต่สำหรับพอร์ชแล้วความเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลายที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
อย่างที่โซ่ทำต่างหากละที่เรียกว่าของจริงและเป็นสิ่งที่เขาต้องการตลอดไป
..
..
..
“พี่โซ่”
“ไง…ยายบอกกับพี่ว่าเราไม่ยอมไปเรียน” ปล่อยให้พอร์ชเข้าไปช่วยพ่อแม่
ทำอาหาร ส่วนตนเองก็แยกออกมาคุยกับจุก…เด็กชายตัวน้อยรุ่นราวคราวเดียวกันกับ
หลานชายอย่างจอมซน คนที่ตนรักและเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก…ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก
“จุกอยากชกมวย” ก้มหน้าพูดบอกไม่ยอมสบตา
“แล้วเรื่องเรียนล่ะ อยากเป็นหมอไม่ใช่หรอ ถ้าไม่เรียนแล้วจะเป็นหมอได้ยังไง”
โซ่ยังคงเอ่ยถามไปเรื่อยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่กดดันอะไร ต่างจากเด็กน้อยที่พอถูกถาม
แทงใจดำเข้าก็สะอึกทันที
“จุก…”
“ไปฟังอะไรใครเขามาอีกละ”
ไอ้อาการหลบหน้าหลบตาไม่พูดไม่จามีหรอที่โซ่จะมองไม่ออก สำหรับโซ่แล้ว
ความรู้สึกที่มีให้จุกกับจอมซนมันต่างกัน กับจอมซนคือหลานชายที่ตนเองพร้อมจะช่วย
เหลือในยามเดือดร้อนหรือคับขัน เพราะจอมซนมีพ่อมีแม่มีครอบครัวที่พร้อมจะซับพอร์ต
ต่างจากจุกที่ไม่มีใคร มีแค่ตากับยายและตัวโซ่เองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
ถ้าจะให้พูดตรงๆ จุกก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ยายบังเอิญไปเจอตอนแม่มันกำลังจะวางทิ้งไว้
ข้างกองขยะ เพราะรักสนุกแต่ไม่มีปัญญารับผิดชอบดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง
ยายเลยเอากลับมาเลี้ยงทั้งที่ตัวเองก็ใช่ว่าจะร่ำรวย ออกจะขัดสนเสียด้วยซ้ำ เพราะ
คิดแค่ว่าเลี้ยงไว้เอาบุญ ให้มาอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเขาที่หมอบอกว่ามีภาวะซึมเศร้าในตอนนั้น
“จุกไม่อยากทำให้พ่อแม่เดือดร้อน” พอโดนจี้ถามมากเข้าเด็กน้อยก็ยอมปริปากในที่สุด
“แล้วพ่อแม่จะเดือดร้อนเรื่องอะไรล่ะ” โซ่ถามต่อ
“ป้าส้มบอกว่าโรงเรียนจุกค่าเทอมแพง ค่าเรียนพิเศษก็แพง ค่ากิจกรรมก็แพง
ไหนจะค่าขนมรายวันของจุกอีกละ…จุกไม่ใช่ลูกหลานยายแต่จุกทำให้ยายเดือนร้อน”
พอได้พูดเข้าก็เหมือนว่าจะลืมตัวเผลอระบายความในใจออกมาทั้งหมดพร้อมหยดน้ำตา
ต่างจากโซ่ที่แค่นหัวเราะออกมาด้วยความสมเพสเมื่อได้ยินชื่อมารดาผู้ให้กำเนิดจาก
หลุดออกจากปากน้องชาย
ตลกดีแท้…คนอะไรอิจฉาได้แม้กระทั่งเด็กไร้ที่พึ่ง ลำพังแค่โดนเพื่อนล้อเรื่อง
ชาติกำเนิดก็แย่แล้ว ทำไมเด็กอย่างจุกยังต้องมาตกเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ให้คน
ขี้อิจฉาพรรค์นั้นด้วย ในเมื่อคนที่รับผิดชอบทุกอย่างในชีวิตจุกอย่างเต็มใจมันคือเขา
ผิดด้วยหรือที่เขาอยากจะแบ่งปัน ให้เด็กที่เกิดมาเพื่อบำบัดจิตใจของเขาจากดำเป็นขาว
ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดอย่างที่ยายเคยทำเพื่อเขา อยากให้
เด็กที่ช่วยสร้างสีสันในชีวิตของเขาได้มีอนาคตที่ดี ได้ทำตามความฝันอย่างที่ตั้งใจ
เพราะเขามั่นใจว่าจุกเป็นเด็กดี กตัญญู รู้หน้าที่ รักและเคารพตายายไม่แพ้หลานแท้ๆ อย่างเขา
“เลยหยุดเรียน แล้วจะมาชกมวยเพื่อตอบแทนตายายเนี่ยนะ?”
“จุกไม่อยากเรียนแล้ว” ปากบอกว่าไม่อยากเรียน แต่หยดน้ำใสที่ไหลออกมา
จากดวงตากลมที่ทอแสงหม่น แสดงความเสียใจออกมาชัดเจนแบบนี้นี่คืออะไร?
“ถ้าอย่างนั้นก็ลุก…ลุกขึ้นมา” พูดบอกในขณะที่ออกแรงลากร่างของเด็กชาย
ที่มีขนาดตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างหลานชายแบบจอมซนขึ้นเวทีซ้อมมวยด้วยกัน
“พี่โซ่…” เอ่ยเรียกชื่อพี่ชายเสี่ยงสั่นเมื่ออีกฝ่ายขว้างนวมสีแดงใส่หน้าเต็มแรง
“มึงทำบ้าอะไรเนี่ยโซ่!” เพราะได้ยินเสียงเด็กในค่ายโวยวายเสียงดังแว่วชื่อคนรัก
พอร์ชที่ช่วยยายของโซ่ทำอาหารอยู่ในครัวหลังบ้านก็รีบวิ่งออกมาดูทันที เพราะเกรงว่าคนรัก
จะได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไป
“ใส่นวม…ต่อยพี่ได้เมื่อไหร่ค่อยคิดจะชกมวย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปเรียนซะ!”
โซ่ที่ใส่นวมเตรียมพร้อมพูดบอกจุกที่นั่งกอดนวมอยู่บนพื้นเวที แบบที่ไม่สนใจเสียงห้าม
ปรามของใครทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นคนรักอย่างพอร์ชหรือคนที่เคารพมากที่สุดอย่างยายก็ตาม
“มึงจะบ้ารึไงโซ่! น้องมันตัวแค่นั้นจะสู้มึงได้ยังไง…มึงจะฆ่ามันรึไง!” แม้ว่าจะ
ไม่เคยได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของคนรัก แต่พอร์ชก็มั่นใจว่าเด็กตัวผอมแห้งแรงน้อยบนเวที
ไม่สามารถสู้ชนะโซ่ได้อย่างแน่นอนในเมื่อเจ้าตัวคว่ำนักเทควันโดสายดำอย่างปกป้อง
ได้ภายในหมัดเดียว
“ปล่อยมันไปเถอะพอร์ช ไอ้โซ่มันก็แค่จะช่วยเตือนสติน้อง” ตาของโซ่ช่วยพูด
หยุดพอร์ชไว้เสียก่อนที่พอร์ชจะปีนขึ้นไปลากตัวคนรักลงมา
“รีบใส่นวมแล้วลุกขึ้นมาจุก! ถ้าเอาชนะพี่ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะไปชนะใครใน
สนามจริง เพราะทุกคนเขาสู้ด้วยความฝัน สู้เพราะอยากได้รับโอกาส สู้เพราะอยากมีอนาคต
สู้เพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่”
ในเมื่อน้องไม่ลุกไม่ยอมใส่นวม โซ่ก็ล็อคคอขึ้นมาต่อยทั้งอย่างนั้นไม่มีการออมแรง
ทำเอาคนข้างเวทีถึงกลับหันหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นน้องน้อยที่น่ารักประจำค่ายเจ็บตัวแบบนี้
“…..”
“แต่เชื่อเถอะ ถ้าพวกเขามีหนทางที่ดีกว่านั้น เขาจะไม่ทำ เพราะไม่มีใครอยาก
เจ็บตัว ทุกๆ ครั้งในการชกมันมีแต่ความเสี่ยง…เสี่ยงเจ็บตัว ตับแตก ม้ามฉีก สมองพิการ
แต่เขาต้องทำ…ทำเพื่อครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง และลูกเมียของเขา”
ลากคอขึ้นมาชกจนน้องหงายหลังเซไปติดมุม แต่โซ่ไม่หยุดเพียงแค่นั้น
เขาก้าวตามเข้าไปแทงเข่าใส่ท้องจนน้องทรุดลงไปนอนกองกับพื้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปห้าม
“กลับไปตั้งใจเรียนเหมือนเดิมนะจุก พ่อกับแม่เขาไม่เดือดร้อนหรอก
เพราะค่าใช้จ่ายทุกอย่างของจุกพี่เป็นคนออกเอง ตอนนี้พี่เงินพอที่จะละลายเล่น
ไปยันตาย ถ้าพี่ไม่เอาออกมาทำประโยชน์บ้างได้โดนธนาคารสาปแช่งเพราะดอกเบี้ยบานแน่”
“แต่…”
“ไม่มีแต่หรอก จุกเป็นน้องพี่ เป็นครอบครัวของพี่ ถ้าอยากตอบแทนก็เรียนให้จบ
ขาดเหลือก็บอก พี่พร้อมจะเปย์ให้คุณหมอจุกคนเก่งอยู่แล้ว ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขาเถอะ…
มุ่งมั่น ตั้งใจ เอาใบปริญญากับใบประกอบโรคศิลป์มาอวดตายายกับพี่ก็พอ”
หยิบยกเอาคำพูดของยายมาบอกต่อกับน้องชาย เพราะสุดท้ายแล้วความคาดหวัง
ในตัวจุกสำหรับเขาก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าการที่ได้เห็นเจ้าตัวมีชีวิตที่ดีประสบความสำเร็จ
เหมือนดั่งที่ตายายเองก็คาดหวังให้สิ่งเหล่านี้เกิดกับเขาในอนาคต
“จุกรักพี่โซ่ที่สุดเลยฮะ” ฝืนความเจ็บหอบเอาร่างสะบักสะบอมของตัวเองคลาน
เข้าไปกอดพี่ชายสุดที่รัก พี่ที่มีความหมายต่อชีวิตและความรู้สึกมากกว่าคำพูด
“เออ…รักเหมือนกัน แต่ถ้าจุกมองดีๆ จุกก็จะรู้ว่ามีอีกหลายคนที่รักจุก ที่ตรงนี้มี
ทั้งตามีทั้งยาย มีพี่ๆ น้องๆ ในค่ายทุกคนต่างก็รักจุกทั้งนั้น อย่าลืมสิว่าเราจับมือกันผ่าน
อะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย” รับร่างของน้องเข้ามาซบอก ส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีไป
ในอ้อมกอด เพื่อปลอบประโลมและย้ำเตือนให้รู้ว่าเจ้าตัวสำคัญกับชีวิตเขาและครอบครัวมากขนาดไหน
“จุกขอโทษฮะ ต่อไปนี้จุกสัญญาว่าจุกจะตั้งใจเรียน จะไม่ทำให้พี่โซ่กับตายายผิดหวัง”
“เออจะทำอะไรก็ทำ ขอแค่อย่าทำร้ายตัวเองแบบวันนี้ก็พอ เพราะสำหรับพี่แล้ว…
คำว่า ‘ครอบครัว’ บางทีมันก็มีความหมายมากกว่าสายเลือดที่ติดตัวมา”
TBC.