Chapter 6การเผชิญหน้าที่ปวดใจปัถย์มาถึงออฟฟิศตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ผู้ช่วยหนุ่มจัดการเก็บของใช้ส่วนตัวไว้ในลิ้นชักส่วนตัว ใช้เวลานั่งลงนิ่งๆ สีหน้าครุ่นคิดก่อนถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปที่ห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายด้วยความรู้สึกย่ำแย่ที่สลัดออกจากหัวไม่ได้ ความรู้สึกที่ว่านั่นเล่นงานเขาตลอดคืน
ประตูบานใหญ่เปิดออก บัดนี้ห้องทำงานที่เคยเป็นระเบียบทุกตารางนิ้วดูยุ่งเหยิงกว่าเคย ข้าวของหลายอย่างอยู่ผิดที่ผิดทาง หลายสิ่งบนโต๊ะถูกกวาดรวมไปกองฝากหนึ่ง และเมื่อมองไปที่พื้นที่ทับกระดาษอันโตก็นอนแอ่งแม้งอยู่ที่พื้นราวกับถูกเหวี่ยงลงมา เจ้าตัวฝืนเดินไปเก็บสิ่งของต่างๆ เข้าที่ แม้ความรู้สึกของเขามันจะช่างย่ำแย่เพียงใดก็ตาม
“สงครามขนาดย่อยเลยนะนี่ คนจะมันหยดกันเลยสิท่า”
ปัถย์พึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ดวงตาที่เคยสดใสหม่นแสงลงเล็กน้อย ในระหว่างที่มือก็บรรจงหยิบข้าวของต่างๆ วางไว้คืนที่ทางของมันของมันทีละชิ้น ไม่นานประตูห้องของเอรีสก็เปิดออก ฝีเท้าที่เดินเป็นจังหวะบอกได้ดีว่าคือใคร
“สวัสดีครับบอส”
ผู้ช่วยหนุ่มทักทายตามมารยาท ร่างโปร่งขยับห่างจากโต๊ะเพื่อเปิดทางให้ผู้เป็นเจ้านาย
“เก็บโต๊ะเสร็จแล้วนี่”
“บอสหาของเจอหรือยังครับ”
“เจอแล้ว ขอบใจที่ยังนึกได้”
น้ำเสียงของเอรีสดูประชดประชันอยู่หน่อยๆ แต่ปัถย์ก็เลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อความอะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะมาทะเลาะกันตั้งแต่เช้า
“ครับ ว่าแต่... บอสจะรับกาแฟเลยหรือเปล่า” ปัถย์ถามอย่างเฉยชา
“อืม” เอรีสแค่นยิ้ม สองมือลวงไปที่กระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ
ปัถย์เดินเลี่ยงออกจากห้อง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาพร้อมกาแฟกับขนมปังปิ้งสองชิ้น แยมส้มและเนยสดอย่างที่ผู้เป็นเจ้านายโปรดปราน มือเรียววางอาหารเช้าลงและออกไปเงียบกริบเหมือนตอนที่เข้ามา ใช้เวลาในช่วงเช้าเคลียงานเก่า และบอกตารางนัดหมายต่างๆ ให้กับผู้เป็นนายอย่างละเอียดยิบ บรรยากาศของทั้งคู่เต็มไปด้วยความมึนตึง เย็นชา ไม่มีคำพูดหยอกล้อ หรือถามสารทุกข์สุกดิบอย่างที่ทำมาตลอดหลายปี มีเพียงท่าทางเป็นการเป็นงานในแบบเจ้านายกับลูกน้องเพียงเท่านั้น
ก็ดีแล้วนี่! แค่เจ้านายกับลูกน้อง “ปัถย์… คุณทำให้พวกเราเกือบไหม้ไปทั้งตัว อีรีสแทบจะเผาพวกเราทั้งเป็น”
เอมเดินมาที่โต๊ะ และกระซิบกระซาบในขณะที่กำลังตอบอีเมลภายใน ชายหนุ่มฟังอย่างเห็นใจ เดาได้เลยว่าเอรีสคงทำให้พนักงานทุกคนขนลุกขนพองเพราะเสียงที่ก้องกังวานดุดัน อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาขนาดไหน
“ขอโทษนะครับ” ปัถย์แสดงสีหน้ารู้สึกผิด
“ช่างเถอะ บอสก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ แต่คุณปัถย์นี่เก่งมากเลยนะที่รับมือกับบอสได้ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน” เอมมีสีหน้านับถือ แล้วยังเม้าท์มอยต่อเหมือนต้องการระบายให้ใครสักคนฟัง “พอโทรศัพท์โต๊ะคุณดัง ฉันเลยรับให้ เท่านั้นล่ะเอรีสก็โวยวาย พอบอกว่าคุณลาออกไปข้างนอกเขาก็ปึงปังออกมาทำเอาทั้งชั้นหัวหดไปหมด”
ปัถย์ยิ้มบางๆ พอนึกภาพออกว่าเอรีสแสดงสีหน้าหรือท่าทางอย่างไร เอรีสเป็นเสือยิ้มยาก ยิ่งเวลาไม่พอใจใครเขาจะตีหน้ายักษ์ไว้ก่อน ยังไม่รวมเสียงที่ทุ้มติดห้วนที่ฟังที่ไรก็ทำให้เสียวสันหลังมานักต่อนัก
ตอนนั้นเองที่เห็นเอมเริ่มทำหน้าแหย ความผิดปกติกับบรรยากาศเย็นยะเยือกปกคลุมรอบบริเวณ และเมื่อหันมองจึงได้รู้ว่าเอรีสกำลังเดินตรงเข้ามาใกล้วงสนทนาของทั้งคู่
เอมเงียบสงบปากที่นินทาผู้เป็นเจ้านายลงลงจนเหลือเพียงเสียงลมหายใจที่ตื่นตระหนก รีบกุลีกุจอหันไปทักทายบอสใหญ่แบบเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะปลีกตัวไปทันทีที่เห็นสายตาคมกริบของเจ้านายสุดโหดไปในที่สุด
“ปัถย์นายโทร. หาพิชิตเรื่องสัญญาของบริษัทแกรนด์ซีซันที ฉันส่งรายละเอียดต่างๆ เข้าในเมลให้แล้ว ส่วนนัดช่วงบ่ายช่วยยกเลิกไปก่อน ฉันต้องไปคุยเรื่องสัญญาที่แทรกเข้ามา เพราะอีกสองวันฉันต้องไปญี่ปุ่น”
“ได้ครับ”
ปัถย์ออกจากออฟฟิศพร้อมกับเอรีสตอนบ่ายโมง ยังคงรักษาระยะห่างกับผู้เป็นเจ้านายไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ด้วยว่าต้องทำงานร่วมกันมันเป็นไปได้น้อยมากที่จะไม่สื่อสารพูดคุยกัน แต่ทุกประโยคที่เอื่อนเอ่ยมันดูแปลกประหลาดเหมือนกับว่าทั้งคู่เพิ่งได้ทำงานด้วยกันเพราะมันช่างเป็นทางการและห่างเหินจนน่าตกใจ
“บอสไม่ไปรถบริษัทหรือครับ”
ปัถย์ถามอย่างสงสัย เพราะเจ้านายไม่ได้เดินไปที่รถยนต์อัลพาร์ดสีดำมันปราบอย่างที่เคย แต่เจ้าตัวกลับเดินตรงไปที่รถสปอร์ตBMWi8 สีดำคันเก่งของตัวเองแทน
“ไม่”
น้ำเสียงของเอรีสตอบกลับมาสั้นๆ เขาเดินลิ่วไปที่ประตูฝั่งคนขับ
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมขับรถตามไปนะครับ”
ถามไปก็ทำท่าจะผละไปที่รถของตัวเองที่จอดไม่ห่างกัน ชั้นนี้เป็นที่จอดรถผู้บริหาร ซึ่งเขาเองก็ได้อภิสิทธิ์เล็กน้อยจากตำแหน่งผู้ช่วยบองบิ๊กบอส ทำให้เขามีที่จอดรถยนต์ส่วนตัว แทบทั้งชั้นล้วนมีแต่รถยนต์หรูๆ ราคาเกินสามล้านขึ้นทั้งนั้น คงมีเพียงรถเขานี่ล่ะที่ราคาแค่ไม่กี่แสน ด้วยเป็นรถญี่ปุ่นระดับกลางที่พบเห็นได้กันบนท้องถนน
“ทำไมต้องไปหลายคัน ขึ้นรถ”
ปัถย์ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เขาเปิดประตูรถสุดหรูแล้ววางกระเป๋าเอกสารไว้บนตักก่อนคาดเข็มขัดนิรภัยเงียบๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้นั่งรถคันนี้ ปกติแล้วเอรีสจะใช้รถของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ เจ้าตัวจะขับรถเองก็ต่อเมื่อไปบรรดากิ๊กทั้งหลายเท่านั้นที่เหลือถ้าไม่ใช่เขาขับให้ก็จะมีคนขับรถของบริษัทเพียงเท่านั้น
“อเจนด้าการประชุมมีอะไรบ้าง” เอรีสเปิดฉากการสนทนาก่อน ทั้งที่ปกติแล้วจะเป็นผู้ช่วยหนุ่มต่างหากที่เป็นฝ่ายรายงานทุกอย่างให้ผู้เป็นเจ้านายรู้
“หลักๆ ประเด็นการชี้แจงแบบเพิ่มเติมมาจากแบบ For Bidding แล้วก็เรื่องต่อรองราคาครับ”
“อืม”
ภายในห้องโดยสารเงียบกว่าเคย เพราะชายหนุ่มทั้งคู่ต่างก็เลือกที่จะสงวนท่าทีระหว่างกัน
“วันนี้นายเงียบผิดปกติ มีอะไรไม่พอใจก็พูดออกมาเลย ฉันไม่ชอบทำสงครามประสาทเท่าไร”
“ผมควรไม่พอใจอะไรเหรอครับ”
“เรื่องเมื่อวานไง”
“ถ้าคุณรู้ว่าผมจะไม่พอใจ คุณก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรก จริงไหมครับ”
“ก็จริง แต่ฉันก็ไม่พอใจนายเหมือนกันนั่น นายล่ะ ใส่ใจความรู้สึกของฉันบ้างหรือเปล่า”
“ผมทำอะไร”
ปัถย์ร้องถาม สีหน้าดูสับสนแบบสุดๆ ในเมื่อตัวเขาไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลย นอกจากเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าเขาจะไม่พอใจนั่นไม่แปลกเลย แต่ดูแล้วอีกฝ่ายกำลังสับสนอะไรอยู่แน่ๆ ถึงได้ย้อนเขากลับมาแบบนี้
“นายก็รู้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย แต่ก็ทำเป็นเมินหนีเหมือนไม่รับรู้อะไร ทำไมกันปัถย์ ฉันสู้ธีรนัยไม่ได้ตรงไหน”
“ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกแบบไหนกับผมกันแน่ เห็นกันอยู่ว่าคุณมีใครอีกหลายคน สถานะอย่างผมเป็นแค่ผู้ช่วยของคุณก็น่าจะพอแล้วครับ”
“ที่พูดแบบนี้เพราะอยากให้ฉันเลิกยุ่งกับคนอื่นหรือเปล่า ถ้าใช่ก็แค่บอกมาตรงๆ”
“ผมไม่ได้อยากให้คุณเลิกกับใคร ผมแค่ไม่สบายใจที่คุณมองว่าผมเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น คนที่คุณนึกพอใจอยากสนุกด้วยแบบฉาบฉวย”
“มันก็แค่เซ็กซ์น่าปัถย์ อายุขนาดเราแค่ทำตามความพอใจ ไม่ได้ไปแย่งของใครมา อย่าเอามาเป็นสาระเลย”
“กับผมไม่ใช่ครับ ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย ผมจริงจังกับคนที่คบหาด้วย เซ็กซ์ของผมไม่ได้เกิดขึ้นกับใครต่อใครก็ได้หรอกนะครับ ผมไม่ได้ง่ายกับทุกคน”
ถึงปัถย์จะไม่ได้คบใครมากนัก แต่ในทุกๆ ความสัมพันธ์เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นสนุก เขาจริงจังและจริงใจในทุกครั้ง ซึ่งผิดกับเอรีส รายนี้อาจมองเพียงเป็นเรื่องของการปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ เป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนการกินดื่ม จะกับใครล้วนเท่าเทียมเสมอกัน
“ถ้าฉันเลิกกับทุกคน นายจะคบกับฉันไหม”
คำถามของเอรีสดังขึ้น แต่ปัถย์กลับนึกขัน เขาอยากหัวเราะดังๆ ให้ฟังร่วง เขาอยู่กับเอรีสมากี่ปีทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเอรีสขี้เบื่อ และมองเรื่องการหลับนอนกับใครสักคนผิวเผินเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรัก ความใกล้ชิดทำให้เขาเห็นเอรีสในทุกแง่มุม หากตัดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไป เอรีสคือชายในฝันของใครหลายคน
“คุณไม่มีทางเลิกกับทุกคนได้หรอกครับ”
“แล้วถ้าฉันทำได้ล่ะ นายกล้าคบกับฉันไหม”
“…”
ปัถย์ไม่ได้ตอบ ทำได้เพียงครุ่นคิดกับตัวเองเงียบๆ ปล่อยให้เอรีสมองเสี้ยวใบหน้าของตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่นที่ปัถย์เองอาจไม่มีวันล่วงรู้
การสนทนายุติลงแล้วความเงียบงันกลืนกินห้องโดยสารที่กำลังเคลื่อนที่อีกครั้ง จนเมื่อข้อความเข้ามาดึงความสนใจของปัถย์ไปที่มือถือของตัวเอง
Chon-natee
วันนี้กูว่าง เย็นนี้แดกชาบูกัน
ปัถย์อ่านข้อความสายตาชำเลืองคนข้างกายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสนใจกับท้องถนนอันคราคร่ำอยู่จึงละสายตาก่อนตอบตกลงกับผู้เป็นเพื่อนแม้จะยังไม่แน่ใจเท่าไรว่าบอสของเขาจะมีอะไรด่วนๆ งอกออกมาหลังจากจบการประชุมหรือเปล่า
PATT เอาดิ กูมีประชุมแถวสาทร
มึงมาแถวนี้เถอะ มีหลายร้านที่มันเจ๋ง ดูรีวิวมา
ขากลับขอติดรถไปด้วย
Chon-natee
ประชุมตึกไหน เลิกกี่โมง
PATTคิวคอร์ต เลิกห้าโมง มึงเลี้ยง?
Chon-natee
ตีน!
PATTคนชวนก็ต้องเลี้ยง
Chon-natee
เงินเดือนเกินครึ่งแสน
ริอ่านมารีดเลือดกับปู
ถามด้วยว่ากูจะมีไหม
PATT555 กูเลี้ยงมึงก็ได้
ไอ้ขี้งกเอ้ย!
ตลอดการพิมพ์แชตไม่ได้รอดพ้นสายตาของเอรีสแม้แต่น้อย ใบหน้าเฉยเมยเก็บอาการของปัถย์เบิกบานกว่าเก่า มิหนำซ้ำริมฝีปากบางได้รูปกลับยกยิ้มน้อยๆ พาลให้บอสหน้าเคร่งขมวดคิ้ว
“ปีนี้งานเลี้ยงบริษัท ฉันอยากให้บรรยากาศดูรีแรคกว่าปีที่แล้วหน่อย นายว่าไง”
“ครับ ปีที่แล้วเลี้ยงที่โรงแรมหลายคนดูเกร็งๆ ไม่กล้าสนุกกันเต็มที่เท่าไร”
“นายลองดูหน่อยว่าปีนี้ควรเป็นแบบไหน”
“เลี้ยงที่ผับเลยดีไหมครับ หลายคนคงชอบ”
“เอาจริงดิ”
“บริษัทเราคนแก่ไม่เยอะนะครับ เด็กๆ เขาชอบผัวกัน ดูอย่างที่เลี้ยงโรงแรมเมื่อปีก่อน ผมเห็นนั่งเกร็งกัน สุดท้ายก็ไปต่อที่ผับอยู่ดี”
“ทำไมรู้”
“ผมก็ไป จำได้ว่าเมาหนักมา”
“แล้วไม่ชวนฉันบ้างล่ะ”
“ก็เห็นบอสติดนัด”
“งั้นปีนี้นายก็ลองหาที่หมาะแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมาบ่นลับหลังว่างานคนแก่”
เมื่อเสร็จสิ้นจาการประชุม เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบห้าโมงเย็น ปัถย์เดินตามผู้เป็นเจ้านายออกมาจากห้องประชุม แล้วลงลิฟต์มาด้วยกัน
อาคารสำนักงานนี้ที่ด้านล่างเปิดให้เป็นร้านค้าเช่า และมีร้านอาหารหลายสัญชาติเข้ามาเปิดกิจการ จึงไม่แปลกที่คนจะค่อนข้างพลุกพล่านเป็นพิเศษในยามเลิกงานตอนเย็นแบบนี้
“พี่ตรินครับ”
เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง คนร่างสูงตรงหน้าชะงักเท้าซึ่งก็ไม่ต่างกับปัถย์ที่หยุดฝีเท้าตามเช่นกัน
‘ตริน’ ชื่อของเอรีส แต่ชื่อนี้ไม่ได้ถูกอนุญาตให้ใช้ นอกจากว่าจะเป็นคนที่พิเศษจริงๆ
ปัถย์หลุบสายตาลงต่ำ ความรู้สึกประหลาดๆ ที่ตกค้างจากเมื่อวานกลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง ไหนจะคำพูดหยั่งเชิงของเอรีสเมื่อตอนอยู่บนรถนั่นอีก
อย่างนี้น่ะเหรอที่บอกว่าจะเลิกคบกับคนอื่น...
พระอาทิตย์ขึ้นตอนเที่ยงคืนก่อนเถอะค่อยมาพูด “คิม มาทำอะไรแถวนี้”
“คิมมาหาถ่ายแบบที่สตูดิโอข้างบนครับ เพิ่งเสร็จงานนี่ล่ะ เห็นหลังพี่ตรินไวๆ เลยเข้ามาทัก สวัสดีครับคุณปัถย์” ผู้มาใหม่เอ่ยทักเสียงรื่นหู ใบหน้าหล่อเหลาแบบฉบับนายแบบดูน่ามองเป็นพิเศษเพราะเครื่องสำอางบางๆ ที่แต่งแต้มไว้
“สวัสดีครับคุณคิม” ปัถย์เอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“พี่ตรินมาทำอะไรครับ”
“พี่มีประชุม นี่เราจะกลับแล้วเหรอ”
“ตอนแรกว่าจะหาอะไรกินกับเพื่อนก่อน แต่เพิ่งโดนเพื่อนเทมา พี่ตรินไปกินข้าวกับคิมหน่อยสิครับ”
“เอาสิ คิมอยากกินอะไรล่ะ เลือกเลย”
ปัถย์ที่ยืนคว้างกลางวงสนทนาขยับตัวออกห่างไปอีกหลายก้าว เขาหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แล้วอ่านข้อความเข้าที่บอกว่าเพื่อนของเขาใกล้มาถึงแล้ว เมื่อรู้ดังนั้นเจ้าตัวก็โล่งอก มองนาฬิกาที่ข้อมือเห็นว่ากำลังจะห้าโมงเย็น ถ้าวันนี้เขาขอกลับก่อนสักครึ่งชัวโมงคงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง ในเมื่อเจ้านายเขาเจอ
‘เพื่อน’ คนสนิทเข้าแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่ปัถย์จะเอ่ยอะไร คิมหันต์ที่ยืนหล่อออร่าจับอยู่ก็เปรยขึ้น
“ทานข้าวด้วยกันนะครับคุณปัถย์”
ปัถย์เหลือบมองไปที่คิมหันแวบหนึ่ง เห็นรอยยิ้มมีเสน่ห์ส่งมาให้แล้วยิ้มรับบางๆ จากหางตาเห็นผู้เป็นเจ้านายยืนหน้านิ่ง เลยเดาเอาว่าไม่อยากให้เขาเป็นก้างขวางคอ
“คงต้องขอตัวครับ ตอนเย็นมีนัดกับเพื่อนพอดี ไว้โอกาสหน้านะครับ” เขาปฏิเสธ แล้วตอนที่กำลังจะขอลากลับเสียงของเอรีสก็ขัดขึ้นก่อนเสียได้
“อยู่กินด้วยกันก่อน ฉันอยากคุยงานต่อด้วย” เสียงทรงอำนาจโพล่งขึ้นมา
“เออ คือ...”
“นัดกันไว้แถวนี้เหรอครับ” คิมหันต์ถาม
“ใช่ครับ เพื่อนผ่านมาแถวนี้เลยนัดเจอกันนิดหน่อย” เจ้าตัวมองผู้เป็นเจ้านายตรงๆ เป็นครั้งแรกในรอบวัน จึงได้เห็นสีหน้าบึ้งแกมไม่สบอารมณ์ส่งมาให้จนเสียวสันหลัง
สายตาแบบนี้ ภาษากายแบบนี้บอกได้ว่าเอรีสกำลังไม่พอใจ อยู่ด้วยกันมาเกือบสามปีทำไมเขาจะไม่รู้
“ชวนเพื่อนมากินด้วยสิ”
“ถ้าบอสอยากคุยเรื่องงานก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมให้เพื่อนรอก่อน ไว้เราคุยกันเสร็จก็ได้”
“เรื่องงานเดี๋ยวค่อยคุยวันหลังสิครับพี่ตริน นี่กินข้าวก็จะคุยเรื่องงานอีก เครียดจนกินข้าวไม่ลงพอดี คิมอยากกินข้าวสบายๆ มากกว่า”
เอรีสไม่ตอบอะไร เจ้าตัวเพียงแต่พยักหน้า บอกกรายๆ ว่ายอมตามใจอีกฝ่ายแบบไม่โต้แย้ง
น้ำเสียงกับท่าทางสนิทสนมของคิมหันต์กับเอรีสทำให้ปัถย์เสมองไปทางอื่น ดูก็รู้ว่าทั้งคู่ให้ความสำคัญต่อกันมากขนาดไหน ปกติแล้วไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเจ้านายของเขา แต่นี่คิมหันต์แสดงให้เห็นแล้วว่าบทบาทที่มีต่อเอรีสนั่น ไม่ธรรมดาจริงๆ
โทรศัพท์ในโหมดตั้งสั่นของผมเตือนให้รู้ว่ามีสายเข้า
ชื่อชลนทีปรากฏขึ้น แต่ผมเลือกที่จะกดตั้ดสายไปก่อน จากนั้นก็ส่งข้อความไปบอกว่ารอก่อนไม่นานจะโทรกลับ
“เพื่อนนายจะมากี่โมง” เสียงที่ถามมาค่อนข้างเย็นยะเยือกเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“ก็... ไม่น่าเกินสิบห้านาทีครับ”
“ชวนมากินด้วยกัน”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ รอที่ร้านอาหารญี่ปุ่นตรงนั้น รีบตามมาก็แล้วกัน” พูดจบเอรีสก็เดินจากไป โดยมีร่างของนายแบบหนุ่มเดินเคียงข้างไปด้วย ทิ้งผมให้ยืนอึ้งอยู่คนเดียว
“ปัถย์ มึงพากูมาทำไมวะ”
ชลนทีกระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน สีหน้านั้นดูงงงันและวางตัวลำบาก เมื่อตรงหน้าของทั้งคู่คือเอรีส เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทั้งงานโครงการก่อสร้างมูลค่าหมื่นล้านอยู่ในมือ
“เออน่า อย่าถามเยอะ กูก็งงไม่น้อยไปกว่ามึง”
“คุณทีจะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ วันนี้เจ้ามือใหญ่เราเลี้ยง สั่งได้เต็มที่เลยครับ” คิมหันต์ชวนคุยเมื่อเห็นว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ชวนอภิรมย์สักเท่าไร
“พอแล้วครับ นี่ก็ทานไม่หมดแล้วครับ”
“คุณทีทำงานอะไรอยู่เหรอครับ”
“ผมอยู่บริษัทคอนเซาท์ เป็นวิศวกรภาคสนามน่ะครับ”
“สนุกไหมครับงานภาคสนาม”
“ก็สนุกนะครับ แต่ก็ต้องไปโน่นมานี่ ไม่ได้อยู่ประจำที่ไหนนานๆ เท่าไร แถมหน้างานก็มีเรื่องตื่นเต้นให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอด วุ่นวายเอาการเลยครับ”
“ตอนนี้คุณทีประจำไซด์ที่ไหนเหรอครับ”
“ผมอยู่ที่กระบี่ครับ ดูเรื่องานรีสอร์ตอยู่”
“ที่ผมเองจบสถาปัตย์มานะ แต่ก็ไม่เคยไปทำงานในสายที่เรียนมาสักที”
“จริงเหรอครับ” ชลนทีถามอย่างสนใจ ไม่คิดว่าคนหล่อตรงหน้าจะเป็นอคิเตค
“ครับ ผมจบที่เดียวกับพี่ตริน เป็นรุ่นน้อง”
“เออ ครับ”
ทั้งปัถย์และชลนทีใหัไปมองหน้าของเอรีสแทบจะพร้อมกัน ทีนี้เลยได้คลายข้อสงสัยแล้วว่าทำไมทั้งคู่ถึงเจอกันได้
“ตอนนั้นพี่ตรินใกล้กำลังจะจบ แต่ผมเพิ่งเข้าปีหนึ่ง อาศัยข้าวห้องพี่ตรินกินตลอดล่ะครับ”
“แล้วคุณปัถย์กับคุณทีรู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียนเลยเหรอครับ”
“เรียนที่เดียวกัน อยู่หอเดียวกันด้วย เรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงทุกอย่าง”
ปัถย์กระทุ้งสีข้างเพื่อนเบาๆ เชิงว่าปรามเพื่อนไม่ให้พูดมากบนโต๊ะอาหาร
“อย่าพูดมากน่า กินข้าวไป” ขยิบตาห้ามปรามอีกฝ่ายที่ดูจะไม่ร่วมมือเท่าไร ก่อนจะคืบปลาซาบะเข้าปากเพื่อนสนิทเร็วๆ
“จริงๆ ทำงานภาคสนามนี่ก็เหนื่อยนะครับ ถ้ามีแฟนนี่ต้องคิดหนักๆ” คิมหันต์ชวนคุยอย่างต่อเนื่อง หลังจากอาหารมาเสริฟครบทุกจาน
“ใช่เลยครับ”
“นี่เลยครับ แบบพี่ตรินออกไซด์ไม่มากแต่กว่าจะเจอกันสักครั้งหาคิวแทบไม่ได้”
“งานพี่เยอะนี่ ไม่เหมือนคิมหรอกนะ หนีเที่ยวได้ตลอด โทษพี่ไม่ได้นะ”
ปัถย์ฟังทั้งคู่สนทนากันเงียบๆ ภายในโต๊ะอาหารคนที่พูดน้อยที่สุดคงหนีไม่พ้นเขา ก็ในเมื่อฝั่งตรงข้ามคือเอรีสกับคนพิเศษของเขาด้วยแล้วมันกระอักกระอ่วนแปลกๆ
“เดี๋ยวคิมบอกคุณปัถย์ให้เคลียคิวให้ นะครับคุณปัถย์ จะได้มีเวลาว่างให้คิมแทรกสักหน่อย”
แต่ปัถย์ทำแค่เพียงยิ้มอ่อนๆ และสงวนคำพูดไว้เช่นเดิม
“ไอ้ปัถย์ เจ้านายมึงนี่... เหรอวะ” ชลนทีไม่รอเวลาเมื่อปลีกตัวจากคนทั้งคู่จึงรีบถามเพื่อนสนิทในทันที ผู้เป็นเพื่อนไม่กล้าพูดคำว่า เกย์ ออกมาเพราะรู้สึกกระดากปากไม่น้อย
“อืม เขาคบๆ กัน”
“อ้าว เคยเห็นควงผู้หญิง แล้วไหงเป็นคนนี้วะ”
“ผู้หญิงก็ใช่ ผู้ชายก็ใช่”
“จริงดิ ป๊าดดดดด! เปิดโลกกูมาก หล่อแมนแบบนี้ ได้หมดเลยเหรอวะ”
“บอสกูเขาพอใจใครก็คบ ไม่แปลกหรอกมึง”
“ว่าแต่ มึงดูแปลกไปนะวันนี้ มีอะไรหรือเปล่า เรื่องงาน?”
“หลายเรื่อง งานก็ด้วย เรื่องส่วนตัวก็ด้วย”
“เล่าให้กูฟังดิ กูโคตรพร้อม”
“พร้อมอยากเสือก?”
“พร้อมให้คำปรึกษา นี่มองเพื่อนในทางลบมากเลย เออ อย่าลีลามีปัญหาเรื่องงานอะไรวะ ใช่เรื่องที่บอกว่าอยากหางานใหม่อยู่หรือเปล่า”
“ไอ้ที ที่กูเคยบอกมึงว่าลองคุยกับบางคนอยู่น่ะ”
“เออ ฟังอยู่”
เราทั้งคู่ถึงลานจอด ชลนทีเปิดล๊อคประตู และขานรับ
“ผู้ชายนะ”
“ว่าไงนะ” จังหวะนั้นประตูรถข้างปัถย์ปิดดังปัง ชลนทีที่นึกว่าตัวเองหูฟาดร้องเสียงหลง รีบเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้วมองไปที่เพื่อนรักก่อนร้องถามอีกครั้ง “ไม่ถนัดหู มึงว่าไงนะ”
“กูจะบอกมึงว่า คนที่กูคุยๆ อยู่เป็นผู้ชาย”
“เชี่ยยยยยย” “ตกใจ?”
“ตกใจสิ โอ๊ย! มันวันอะไรเนี่ย”
“รังเกียจ?” ปัถย์หันไปถามสีหน้าอมยิ้ม เห็นหน้าเพื่ออึ้งรับประทายก็ยิ่งขำ ที่จริงเขาไม่ได้ถือสาท่าทีของเพื่อนแม้แต่น้อย ด้วยคบหากันมานานชลนทีคือหนึ่งในคนที่เขาสนืทใจจะคุยด้วยในทุกๆ เรื่องมากที่สุด
“กูเปล่ารังเกียจ กูแค่อึ้ง เชี่ย!”
“แค่ลองคุยเอง ไม่ได้ลึกซึ่งอะไร ความรู้สึกบอกว่าไม่เวิร์ค”
“เมื่อก่อนตอนพี่คิวจีบมึง ไหงมึงไม่เล่นด้วยวะ”
“ก็กูไม่ได้ชอบเขา อีกอย่างกูก็มีแฟนอยู่แล้ว จะให้ไปชอบพี่เขาได้ยังไงล่ะ”
“แล้วยังไง ทีนี้เสือกคบผู้ชาย แล้วแม่งเป็นใครวะ อย่าเสือกบอกนะมึงว่าไอ้ที่บอกคุยๆ นี่ มันเจ้านายสุดหล่อแต่งี่เง่าของมึงนะ แค่นี้ก็เซอร์ไพรส์พอล่ะ”
“ไม่ใช่เอรีส” ปัถย์ตอบ แต่สีหน้าดูไม่ดีขึ้นมาในทันตาจนคนเป็นเพื่อนจับสังเกตได้
ชลนทีสตาร์ทรถ ก่อนจะหันไปมองเพื่อนตรงๆ อึดใจใหญ่ กดดันทางสายตาให้คนเป็นต้องเล่าต่อเพราะมาขนาดนี้แล้ว ขืนไม่ได้ความจริงออกมาคงนอนไม่หลับทั้งคืนแน่
“กูคุยกับญาติของเอรีส แต่สองคนนั้นไม่ค่อยถูกกัน”
“มึงเลยวางตัวลำบาก?” ชลนทีถอยรถออกจากซอง ขณะถามไปด้วย
“นั่นก็ใช่ แต่มันมีปัญหาที่ใหญ่กว่า”
“งั้นมึงรีบพูดเลย กูอยากรู้ตัวสั่นแล้วเนี่ย”
“กูแอบชอบเจ้านายตัวเอง”
“เชี่ย!”
ชลนทีร้องเสียงหลง แทบจะเหยียบเบรคจนหัวทิ่ม
“เออ เชี่ยสุดๆ แม่งไม่น่าเลยว่ะ มีคนเป็นร้อยเป็นพันเสือกทะลึ่งมาชอบเจ้านายตัวเอง หายนะชัดๆ”
“โอ๊ย กูงง มึงชอบเจ้านายตัวเอง แต่คุยกับญาติของเจ้านาย อะไรเนี่ยซับซ้อนโคตร”
“ที่จริงกูก็ชอบเอรีสมาสักพักใหญ่ๆ แต่ก็มานึกได้ว่าเอรีสคงไม่ได้มองกูแบบนั้น แถมเจ้านายกูก็นอนกับคนโน้นคนนี้ไปทั่วเด็กเป็นร้อย กิ๊กเป็นแสน ไม่อยากเจ็บว่ะ เลยคิดว่าต้องตัดใจ ญาติของเอรีสเข้ามาจีบ แล้วกูก็อยากรู้ว่ากับผู้ชายหล่อๆ คนอื่น กูจะชอบเขาได้ไหม”
“แล้วชอบไหม”
“ก็ไม่ เขาก็ดีนะแต่ไม่ใช่”
“มึงยังชอบบอสมึงอยู่หรือเปล่า”
ปัถย์เงียบไป ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“แสดงว่ามึงยังชอบอยู่ แล้วทำไมมึงถึงอยากลาออก มึงอยากตัดใจหรือไงวะ ที่จริงงานของมึงก็ดีนะ เงินเดือนก็สูงถ้ามึงตัดใจได้อนาคตมึงไปได้อีกไกล มึงต้องชั่งใจดู”
“กูเกือบพลาดสองครั้ง หวิดจะได้กับเจ้านายตัวเอง โคตรพลาด” เสียงอ่อยพูดขึ้น ทำเอาผู้เป็นเพื่อนหันมามองอ้าปากหวอ
“มึงล้อเล่นใช่มั้ย”
“หน้ากูเหมือนล้อเล่นเหรอ” เห็นสีหน้ากับรอยยิ้มเศร้าๆ ตรงมุมปากบอกให้รู้ว่าเพื่อนกำลังไม่สบายใจ
“นรกแตกเลยมึง แบบนี้... แล้วคุณคิมหันต์นั่นล่ะ”
“ก็คนพิเศษของเขาไง”
“มึงต้องถอยออกมา แบบนี้แสดงว่าไอ้เจ้านายสังกะบ๊วยของมึงแม่งเลว ถ้าจ้องจะแดกมึงก็ไม่ควรเอาคนอื่นมาประจันหน้ากันแบบนี้กูพูดเลยว่าเกินไป”
“กูก็ว่างั้นล่ะ”
“ก็ว่าแล้วทำไมมึงดูสีหน้าแย่ๆ แบบนี้นี่เอง กูเห็นด้วยที่มึงต้องลาออก ถ้าอยู่ไปแล้วมึงไม่สบายใจก็อย่าอยู่”
ชลนทีคือเพื่อนที่สนิทที่สุดที่ผ่านมามีอะไรก็ปรึกษาหาหรือไม่ก็ระบายให้กันฟังตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกันปัถย์รู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อได้ระบายเรื่องที่คับข้องใจออกมา อย่างน้อยการได้ปรับทุกข์ก็ทำให้เขามีแรงพอที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
+++++++
ตอนนี้เนิ่บๆ หน่อยนะคะ
ฝากติดตามด้วย
ชอบอ่านเม้นท์มากๆ ค่ะ
อ่านแล้วมีแรงฮึดขึ้นมาทุกครั้ง