❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ สาปดอกแก้ว ❀ จบแล้ว >> แจ้งข่าวเปิด Pre-Order 3 มิ.ย. ถึง 3 ก.ค 61 หน้า 9 <<  (อ่าน 38520 ครั้ง)

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 10 ผู้คาดหวังในรัก

ภูวรินทร์อยู่ในห้องพักของอินทนิลอยู่นาน จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามา ประตูห้องเปิดออกเบาๆ ปรากฏเป็นร่างของอินทนิลเดินมาในห้อง ด้วยสีหน้าง่วงงุน พร้อมกับป้าษอรที่เดินตามเข้ามาทีหลัง

“อินน์มีไข้ค่ะ”ป้าษอรบอกเขา ชายหนุ่มปิดแฟ้มลงก่อนจะเก็บมันเข้าที่ อินทนิลเดินเข้ามาในห้อง 
“งั้นผมดูแลอินน์เองครับ”เขาบอก เธอมองเขาอีกครั้ง มีความกังขาแสดงอยู่บนใบหน้าของเธอ “ป้าให้อินน์ทานยาแล้วค่ะ เหลือแค่เช็ดตัวเท่านั้นค่ะ...”เธอบอกเขาด้วยท่าทีนิ่งๆ จากนั้นเดินจากห้องออกไปพร้อมปิดประตูให้ เขามองทิศทางที่เธอเดินออกไปอยู่นาน ก่อนจะหันกลับมามองอินทนิลเดินไปนอนบนเตียงอย่างเงียบเชียบ
“เกิดอะไรขึ้น”เขาถาม
“อืม เมื่อวานเย็นอินน์ไปที่สุสานมา”อินทนิลตอบน้ำเสียงราบเรียบ ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างตัวเองจนถึงหน้าอก เขานั่งลงบนเตียงมองอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด
“...ทำไมล่ะ”ภูวรินทร์ถามอย่างไม่เข้าใจนัก เด็กหนุ่มมักทำเรื่องที่เขาไม่คาดไม่ถึงมาก่อน ส่วนมากมาจากความอ่อนไหวของตัวเองทั้งนั้น
“ไม่รู้สิครับ...มณีเป็นคนทำร้ายท่าน อินน์เลยเกลียด”เจ้าตัวทำหน้ายับย่น แววตาเย็นชาฉายออกมาทุกครั้งเวลาที่เอ่ยถึงมณี
“เรื่องมันนานมาแล้ว เธอเองเป็นคนนอกนะอินน์”เขาบอก เรื่องมณีกับคุณแก้ว ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายนั้นไปเถอะ อินทนิลมองเขาแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก อินน์เชื่อมโยงกับท่าน ไม่ยุ่งไม่ได้”เจ้าตัวแย้ง
“แต่เธอป่วยอยู่”ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง มองร่างของอินทนิลที่ดูซูบผอมลงไปบ้าง ใบหน้าซีดเซียวฉายแววอ่อนล้าออกมาให้เห็น อินทนิลยิ้มบางๆออกมา
“คุณห่วงอินน์เหรอ”เจ้าตัวถาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เขามองทุกอากัปกิริยาของอินทนิล ก่อนจะพยักหน้าตอบไปสั้นๆ
“ใช่สิ”คำตอบของเขา ทำให้อินทนิลยิ้มกว้าง เจ้าตัวขยับร่างนอนตะแคงมาทางเขา “...แล้วห่วงท่านไหม”ภูวรินทร์นิ่งไป เขาไม่ตอบ ไม่คิดว่าอินทนิลจะยึดติดกับคุณแก้วมากถึงขนาดนี้ ทุกครั้งเจ้าตัวจะต้องพูดถึงคุณแก้วอยู่เสมอ ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของสำนึก เด็กหนุ่มนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าแนบหมอนกำลังจับจ้องเขา
“...ไม่หรอก ท่านไม่ใช่คนนี่นะ ไม่มีร่างด้วยซ้ำ เขาใช้ร่างของเธอ...”เขาพูดนิ่งๆ พูดถึงคุณแก้วแล้วพาลไปนึกถึงใบหน้าเศร้าโศกเต็มไปด้วยย้ำตาของฝ่ายนั้นตลอด
“ใช่ครับ...แต่อินน์ไม่ได้ต่อต้าน”อินทนิลพูดยืนยันเสียงแข็ง ท่าทางเหมือนไม่ได้ถูกบังคับให้ยินยอม ชายหนุ่มจ้องเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตา มองเข้าในนัยน์ตากลมใสทั้งสองคู่นี้อย่างค้นหา มีเพียงความจริงใจของอีกฝ่ายปรากฏให้เห็น เขาถอนหายใจอย่างอดทน
“ทำไมกันล่ะ...ยิ่งเรื่องในวันนั้น...เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอ คุณแก้วควบคุมเธอ”ภูวรินทร์ด้วยความอึดอัด เขาจำไม่ได้ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เหมือนความทรงจำโดนปิดผนึก ชายหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกพวกนี้ และเขาก็ไม่เข้าใจอินทนิลด้วย เด็กหนุ่มมองเขา 
“มันบอกไม่ถูกครับ...ที่บอกว่าไม่โกรธ ไม่ต่อต้าน เป็นความจริง อินน์แค่ยอมรับมันก็เท่านั้นเอง เพราะใจของอินน์ ไม่ใช่อินน์เพียงอย่างเดียว ...ถึงแม้ว่าอินน์อยากให้คุณมองเห็นแค่อินทนิล”เด็กหนุ่มพูดช้าๆ เสียงแผ่วเบาไม่ต่างจากกระซิบ ราวกับกลัวใครจะได้ยิน
“อืม เธอเป็นอินทนิลสำหรับฉันนะ”แม้ว่าเขาจะฉุกคิดไปถึงคุณแก้วอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นึกถึง ใบหน้าคล้ายคลึงกันขนาดนั้น
“คุณแก้วท่านน่าสงสารออก คุณไม่เห็นใจท่านเหรอ ไปไหนไม่ได้เพราะมณีแช่งไว้ ต้นเหตุมาจากที่ท่านอาไม่ซื่อสัตย์”อินทนิลเอ่ยออกมา เขาผ่อนลมหายใจเบาๆอย่างอดทน แม้แต่อินทนิลก็คิดแบบนี้งั้นหรือ
“เอาเถอะ ตอนนี้เธอพักผ่อนก่อนดีกว่า”ภูวรินทร์ถาม อินทนิลผงกศีรษะเบาๆ “...คุณภู”อินทนิลเอ่ยเรียกอย่างไม่มั่นใจ เขามอง ท่าทางของอินทนิลดูกล้าๆกลัวๆที่เปิดปากพูดออกมา เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญ ชายหนุ่มยิ้มใจดีให้อีกฝ่ายเบาใจ
“ว่าไงล่ะ”เขาถามเบาๆ อินทนิลเม้มปาก นัยน์ตาสีนิลขยับไหวไปมา ก่อนจะฉายแววแน่วแน่ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
“อินน์ว่า...อินน์ชอบคุณครับ”เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา ใบหน้านั้นไม่มีความเขินอาย มีเพียงความขลาดกลัวต่อเขามากกว่า ภูวรินทร์ได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง เขาไม่ตกใจกับคำสารภาพนี้ แต่เขาประหลาดใจมากกว่าที่อีกฝ่ายกล้าพูดมันออกมาตรงๆ และเขาไม่ทันได้ตั้งสติ ชายหนุ่มกลับมาสงบเสงี่ยมก่อนจะค่อยๆพูด
“...เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า อาจเพราะคุณแก้วทำให้เธอรู้สึกแบบนี้”ชายหนุ่มบอก หากว่าอินทนิลเป็นเด็กชายธรรมดา ก็คงไม่คิดมาพิศวาสเขาแน่ๆ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่เคยแสดงท่าทีที่ให้อีกฝ่ายรู้สึกลึกซึ้งด้วยเลย
“มันก็มีส่วนครับ แต่แล้วยังไงล่ะ มันก็ปฏิเสธไม่ได้ อินน์รู้ว่าคุณจะมาที่นี่ ในตอนที่ใกล้ตาย ท่านมาช่วยอินน์ไว้ เวลานี้อินน์ยังไม่ตายแต่วิญญาณของเราผูกกันไว้แทน”อินทนิลพูดไม่ละสายตาไปจากเขา ใบหน้านั้นสะท้อนความจริงไม่ปกปิดอีกต่อไป อาจเป็นแววตาที่คาดหวังคำตอบที่ชโลมใจ
“ทำไมเธอถึงยอมรับง่ายๆล่ะ”เขาถามต่อ
“อินน์อาจอยู่ได้ไม่นาน”เด็กหนุ่มห่อไหล่ท่าทางเหมือนหนาวเหน็บขึ้นมา ชายหนุ่มหายใจติดขัด ข้อเท็จจริงนี้เขาเองก็เคยเก็บเอามาคิดเช่นกัน
“พูดอะไรแบบนั้น มันเป็นลางไม่ดี”ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าตัวมองเขา แววตาสีนิลหม่นลง จากนั้นก็พูดพึมพำออกมา
 “อินน์แค่อยากใช้ชีวิตบ้างก็เท่านั้นเอง”เจ้าตัวมองไปทางบานหน้าต่างที่ติดกับเตียงนอน แววตานั้นเหมือนโหยหาอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มเงียบ เขาคิดตามที่เด็กหนุ่มพูด อยากใช้ชีวิตงั้นเหรอ หมายถึงแบบไหนกันล่ะ ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องในอดีตน่ะเหรอ
“ใช้ชีวิต...”เขามองคนพูดอย่างตั้งใจ อินทนิลนัยน์ตาสั่นไหว “ครับ อินน์ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เพียงแค่เป็นร่างให้ท่านยืมใช้ ไม่ได้ต้องการให้คุณภูมองเห็นเป็นแค่เด็กน้อยที่น่าสงสาร อยากให้มองอินน์เป็นคนธรรมดาเท่านั้น ต่อให้จะมีท่านหรือไม่ก็ตาม”อินทนิลพูดออกมาจนหมดเปลือก เขามองเด็กหนุ่มด้วยใจลังเล เข้าใจในสิ่งที่อินน์ต้องการเช่นกัน บางคราวหากว่าหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้จริงๆ เขาก็อยากไป‘ใช้ชีวิต’อย่างที่ใจปรารถนา
“ไม่ใช่ว่าฉันมองเธอเป็นอย่างอื่น เธอก็ยังเป็นอินทนิล”เขาตอบ
“ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ... ต่อให้เราจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงไม่ใช่เหรอ ถึงคุณจะไม่ชอบอินน์ก็เถอะ”เด็กหนุ่มพูดช้าๆ มองเขาอย่างผิดหวัง ภูวรินทร์ถึงกับส่ายหน้า เขายิ้มให้กับความคิดของเด็กหนุ่ม
“...ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เธอยังเด็กนะ”เขาพูด มันคงแปลกที่เขามาชอบเด็กอายุสิบห้าปี อายุห่างจากเขาตั้งเท่าไหร่ เรื่องศีลธรรมมันกำลังกัดกินใจของตนอยู่ ไม่นับที่อีกฝ่ายเป็นญาติพี่น้องของตนอีก
“นั่นสิ คุณภูอายุใกล้สามสิบแล้ว อินน์คงต้องเรียกคุณว่าคุณอาแทน”อินทนิลพูด ใบหน้าของเจ้าตัวเรียบเฉยขึ้นมา ชายหนุ่มนิ่งไป เขาแสลงใจกับคำว่าอา มันทำให้คิดวกกลับไปที่ท่านอา.....อดีตชาติของเขา ...ชะตาไม่แปรเปลี่ยน ภูวรินทร์ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้ม

“อย่าเลย เรียกชื่อฉันเหมือนเดิมเถอะ”เขาบอก อินทนิลเผยยิ้ม “ก็ได้ครับ”ขยับตัวนอนอย่างสบายใจขึ้น ร่างกายไม่เกร็งต่อเขา
“แล้วจะอาบน้ำหรือว่าจะเช็ดตัว”เขาถาม เพราะป้าษอรทิ้งท้ายไว้แบบนั้น เขามองเด็กหนุ่มนิ่งๆ
“...เช็ดตัวดีกว่าครับ”อินทนิลตอบ แววตากระวนกระวาย จากนั้นก็มีท่าทีอึกอักขึ้นมา “เรียกษอรมาก็ได้ครับ”เจ้าตัวรีบพูด เขายิ้มออกจางๆ ไม่คิดมากกับเรื่องดูแลคนป่วย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วย”ภูวรินทร์บอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินออกไปบอกลุงชมให้เอาน้ำอุ่นมาให้ ลุงชมมองเขาก่อนจะรับคำ อินทนิลแววตาเป็นประกายขึ้นมา  “...ขอบคุณครับ”

ภูวรินทร์มองเด็กหนุ่มเงียบๆ เขาบอกไม่ถูกว่าชอบอินทนิลในแบบไหน แต่ถ้าเกิดอันตรายกับอินน์ เขาคงยอมไม่ได้เหมือนกัน หลังจากที่ภูวรินทร์เช็ดตัวให้อินทนิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อินทนิลเริ่มจะเคลิ้มหลับไปเต็มแก่ ชายหนุ่มหยิบขวดแก้วใบเล็กออกมายื่นให้อีกฝ่ายดู

“เธอจำได้ไหมว่าไปเอามันมาจากไหน”เขาถาม อินทนิลเพ่งสายตามองขวดแก้วใบเล็กก่อนจะเอื้อมมาจับขวดแก้วไปมองอย่างชัดๆ คิ้วขมวดมุ่นอย่างพิจารณา
“อืม... มันอยู่กับอินน์มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว...”เจ้าตัวพูด แล้วยื่นมันให้เขาตามเดิม
“คุณแก้วรู้ด้วยไหม”ชายหนุ่มถาม เขามองอินทนิลส่ายศีรษะ แววตามึนงง “ไม่รู้นะครับ เพราะพวกขวดแก้วเก่าๆพวกนี้ก็อยู่รวมกับพวกของใช้ในห้องอินน์มานานแล้ว...มีอะไรเหรอครับ”อินทนิลถาม
“ไม่มีอะไรหรอก เธอนอนได้แล้ว”ชายหนุ่มยิ้มตอบ อินทนิลหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะรั้งตัวเขาไว้ด้วยถ้อยคำนี้ “คุณจะไม่ไปไหนใช่ไหมครับ”อินทนิลมองเขา เอื้อมมาจับมือเขาไว้ สัมผัสนั้นอุ่น ชายหนุ่มยิ้ม
“ไม่หรอก ฉันอยู่ที่นี่แหละ”เขาบอก ยอมจับมือผอมนั้นไว้ อินทนิลคลี่ยิ้ม แววตามีชีวิตชีวาขึ้น มือนั้นกระชับแน่นไม่ปล่อย ...เขายอมรับในชะตาของตัวเองแล้ว แต่เขากลับจุกในอกมากกว่า... การติดอยู่ที่บ้านหลังนี้ อาจจะเป็นหนทางที่ดีแล้ว
หลังจากที่อินทนิลหลับไปได้สักพัก ภูวรินทร์ถึงค่อยเดินออกจากห้อง พอเปิดประตูก็เจอเข้ากับลุงชมกับป้าษอรที่ยืนรออยู่ด้านนอก ชายหนุ่มทำหน้านิ่งเฉย ไม่กระโตกกระตากอะไร จะว่าไปเท่าที่สังเกตมา ในระยะหลัง ป้าษอรดูไม่ไว้ใจเขาเท่าไหร่ คงเพราะเป็นห่วงอินทนิล ไม่ก็...อาจรู้เรื่องที่คุณแก้วทำก็ได้ 
“อินน์นอนแล้วล่ะครับ”เขาบอกอีกฝ่าย ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องครัว แต่เสียงพูดจากป้าษอรทำให้เขาหยุดเดินจนได้
 “อินน์จะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”เธอพูด ภูวรินทร์เครียดขึ้นมาทันที เขาหันกลับไปมองสองคนนั้นอย่างลังเลใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่นี่ครับ”
“คุณก็น่าจะรู้ว่าป้าหมายถึงอะไร ถึงป้าจะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่ก็เลี้ยงมากับมือไม่ว่าจะตอนมีหรือไม่มีคุณแก้ว”ป้าษอรเอ่ย สองมือกุมกันแน่นอย่างกังวลใจ ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะยิ้มออกมาให้พวกเขาสบายใจ
“ครับ ผมเข้าใจ”
“ป้าอยากขอร้องคุณ อยากให้ช่วยอินน์ อย่างน้อยก็ขอให้คุณดูแลอินน์ให้ปลอดภัย”เธอพูดต่อ เป็นคำขอที่หนักหน่วง เขายืนนิ่ง ความปลอดภัยงั้นเหรอ...ดูเป็นเรื่องยาก ถ้าทำได้เขาก็อยากทำ
“ครับ...ผมจะทำ”ชายหนุ่มบอก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปทางประตูห้องครัว รู้สึกอัดอึดเหมือนจะระเบิดออกมา เมื่อเดินมายังห้องอาหาร บนโต๊ะอาหารมีสำรับอาหารของเขาตั้งรอไว้เช่นเคย



ภูวรินทร์ฝัน คราวนี้เป็นฝันในอดีต เขามองเห็นสวนหน้าบ้าน ทุกอย่างล้วนคงเดิมแต่ทว่าบ้านยังใหม่เอี่ยม เหมือนเขามองเห็นความเป็นไปของบ้านนี้
‘ตอบมาสิคะ!’เสียงของผู้หญิงดังขึ้นจากทางเรือนปั้นหยา ทำให้เขาเดินเข้าไป ไม่สิ เขาไม่มีร่าง คล้ายกับเป็นมุมมองจากคนนอก มณี เธอเป็นผู้หญิงสวย มองปราดแรกก็ต้องอุทานว่างดงามอย่างไทย ใบหน้าเรียว เรือนผมสีเข้มเป็นลอนถึงบ่า เธอกำลังทุ่มเถียงกับท่านหมื่นนรินทร์ที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะเดียวกันในบริเวณเฉลียงบ้าน มีแก้วนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าเฉลียงเรือน อายุอานามคงยี่สิบปีหรือมากกว่านั้นไม่มาก ข้างกายมีแม่บัวคนรับใช้ที่กำลังจ้องมองสองสามีภรรยาราวกับรอชมละคร
‘...มณี ฟังฉันก่อน เรื่องนี้มีคำอธิบาย’ท่านหมื่นเอ่ยอย่างประนีประนอม คงกลัวว่าภรรยาจะสติแตกไปซะก่อน
‘ท่านหมื่นจะแก้ตัวเรื่องแก้วว่าอย่างไร ที่เขาพูดมันจริงหรือไม่คะ’มณีถามเสียงดัง ท่าทางเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ หมื่นนรินทร์ขยับเดินเข้าหามณีช้าๆ
‘...มณี’หมื่นนรินทร์พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ภรรยาตนคลายอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดทุกสิ่ง
‘ไม่อย่างนั้น อิฉันจะบอกคุณพ่อ และเด็กคนนี้จะไม่ใช่ลูกของท่านอีกต่อไป’เธอขู่ ใบหน้ามีน้ำตาวาววับ ท่านหมื่นดูตกใจกับคำพูดของมณี ถึงกับหยุดนิ่งไป
‘หมายความว่ายังไง เรื่องนี้จะถึงหูผู้อื่นไม่ได้นะ’
‘คิดว่าอิฉันจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ งั้นเหรอ ท่านมีอิฉันไปเพื่ออะไรคะ... หรือต้องการเพียงทายาทเท่านั้น’มณีเค้นเสียงถาม มือของเธอกุมท้องที่กลมโป่งออกมาจากชุดกระโปรงลูกไม้สีฟ้าอ่อนอย่างโกรธเคือง ไม่ทันที่ท่านหมื่นจะอ้าปากตอบ เสียงหนึ่งก็แทรกออกมาแทน
‘ถูกต้อง ท่านนรินทร์ต้องการเพียงลูกสืบสกุลเท่านั้น แม่มณีไม่เห็นหรือว่าลูกของพี่หญิงชายของเราล้วนอยู่ที่อื่นหมดแล้ว ไม่อุปการะเลี้ยงดูไว้ในบ้าน’แก้วเป็นฝ่ายพูดออกมา น้ำเสียงที่ใช้ฟังแล้วเหมือนกำลังเยาะเย้ยมณีอยู่
‘แก้ว หยุดพูดเดี๋ยวนี้!’ท่านหมื่นทำอะไรไม่ถูก
‘คุณพี่!’มณีกรีดร้อง ก่อนจะมองไปที่หนามตำใจของเธออย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้คนรับใช้ในบ้านจะมองเธอแปลกๆ แต่ก็ไม่เก็บมาคิดมาก ได้ยินคำพูดติฉินนินทาท่านหมื่นมาโดยตลอดแต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องน่าอับอายถึงเพียงนี้ เธอกุมท้อง ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน สามีที่เธอร่วมเตียงเคียงหมอนมาเกือบปี ไม่ใช่อย่างที่เธอคาดฝัน....
‘แม่มณี เห็นแล้วนี่ว่าเราถูกกักขัง เราผู้เป็นหลานแม้จะชังหน้าท่านอา แต่เรากลับไม่ไปไหน เท่านี้ก็น่าจะบอกอะไรคุณได้บ้าง ...อีกอย่าง ลูกของท่าน หากเติบโตมา รู้ว่าบิดามีหลานชายเอาไว้คลายกำหนัดจะรับได้หรือ’แก้วพูดจายุแยงอีกฝ่ายอย่างสบายใจ
‘คุณพี่คะ...’
‘ฟังนะมณี ฉันแต่งกับเธอเพราะผูกรักสมัครใจ ไม่ใช่เพราะเรื่องไร้สาระที่แก้วพูด เชื่อฉันนะ’ท่านหมื่นพูดอย่างใจเย็น น้ำเสียงปลอบประโลม
‘...ท่านยังมีสัมพันธ์กับแก้วอีกเหรอคะ’เธอเอ่ยถามผู้เป็นสามีด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อถือนัก สีหน้าคล้ายคนร่ำไห้
‘....ใจเย็นก่อนสิมณี’หมื่นนรินทร์รีบเอ่ย แม้ใจจะอยากปลอบภรรยาทว่าไม่อาจหาคำพูดอื่นใดออกมาได้ เพราะความเป็นจริงนั้นกำลังทำลายตนทีละนิด
‘แม้จะมีอิฉันแล้วหรือ’มณีแทบยืนไม่อยู่ เรื่องอัปยศเพียงนี้เธอรับไม่ได้จริงๆ มองไปที่ท่านหมื่น สามีที่กินนอนด้วยกันมาหลายปีแล้วก็ยิ่งช้ำใจ
‘ย่อมใช่ เธอท้องไม่ใช่หรือ ท่านหมื่นจะไปหาหญิงนอกบ้านอีกทำไม ในเมื่อมีของเก่าอยู่ใกล้ๆ’แก้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน แม่บัวคนรับใช้ข้างกายไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ก้มหน้าต่ำๆไม่อยากมองเห็นสายตาของผู้เป็นนาย อย่างหมื่นนรินทร์
‘ขอร้องนะแก้ว หยุดพดเถอะ อย่าทำลายครอบครัวฉัน’ท่านหมื่นพูด ยังคงทำอะไรไม่ถูก ควรเข้าไปกอดปลอบภรรยา หรือควรเข้าไปห้ามแก้วดี ทางไหนก็มีแต่ไม่ช่วยให้ดีขึ้น
‘พูดมาได้นะ ครอบครัวหรือ ท่านทำลายคำว่าครอบครัวมานานแล้ว เราเองก็ไม่ใช่ครอบครัวท่านหรือ’แก้วพูดอย่างไม่พอใจ
‘คุณพี่ยังอยากให้อิฉันอยู่ด้วยหรือไม่คะ’มณีถามขึ้นมา ทำเอาหมื่นนรินทร์ถึงกับพูดไม่ออก
‘มณี เธอเป็นภรรยาของฉันนะ’
‘แล้วคุณพี่ทำแบบนี้ได้เช่นไร ตอบมาสิคะ ว่าที่แก้วพูดไม่จริง’เมื่อมณีเห็นปฏิกิริยาของท่านหมื่นแล้ว มณีแทบไม่ต้องการคำยืนยันอะไรอีกต่อไป เธอมองไปทางแก้วอย่างรังเกียจ
‘นั่นหลานของคุณนะคะ ซ้ำยัง...’ เธอส่ายศีรษะ ‘หากอิฉันไม่รู้เข้า คุณพี่จะหลอกลวงกันไปจนตายเลยหรือ แล้วลูกของเราละคะ ท่านทำผิด ท่านทำเรื่องผิดธรรมเนียมต่ออิฉัน’มณีตะโกนใส่ท่านหมื่นก่อนจะวิ่งกลับไปทางประตูรั้วบ้านไป ท่านหมื่นรีบตามภรรยาไป
 ‘แก้ว...นี่เธอ!’ก่อนหันกลับมามองหลานชายด้วยความโกรธเคือง เหมือนในอกสุมไฟไว้ จากนั้นก็วิ่งตามมณีไป ส่วนแก้วกับแม่บัวเพียงแค่นั่งนิ่ง ไร้ความรู้สึกใด
‘ไม่เกรงว่าท่านหมื่นจะกลับมาทำร้ายคุณหรือคะ’บัวถามอย่างกังวลใจ
‘ไม่หรอก ถึงเขาจะเลว แต่ไม่มีทางทำร้ายเราหรอก’
‘มั่นใจรึคะ ยามโมโหคราวก่อน ท่านหมื่นก็ไม่ยอมปล่อยให้คุณออกจากห้อง มัดไว้อย่างกับไม่ใช่คน’บัวเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก
‘ใช่สิ เกรงว่าสำหรับท่านอา เราคงไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว...คงเป็นเพียง...’แก้วเงียบไปพร้อมกับก้อนสะอื้น ร่างนั้นแค่สั่นไหว ไม่มีเสียงร่ำไห้ออกมา


ฉับพลันเรือนปั้นหยาก็มืดลงคล้ายกับเวลากลางคืน ฝันนี้คงไม่ใช่ฝันที่ต่อเนื่องนัก ภายในเรือน แก้วนั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่เบื้องหลังมีร่างสูงของหมื่นนรินทร์ยืนจ้องอย่างไม่พอใจ ส่วนแม่บัวนั่งอยู่ที่ริมห้องไม่กล้าขยับไปไหน
‘ต้องการเช่นนี้หรือ แก้ว’
‘ท่านทำลายเรา เราก็จะทำลายท่าน’แก้วเอ่ยอย่างไม่หยี่ระต่อความโทสะของท่านอา เพียงแค่มองสบตาผ่านกระจกเงาเบื้องหน้าแทน
‘แก้ว...เพราะเหตุใดกัน’หมื่นนรินทร์อดกลั้นความโกรธ เอ่ยถามออกไป แก้วแค่ยิ้ม
‘ยังกล้าถามคำถามนี้กับเราหรือ ท่านทำผิดต่อเรา... ใยถึงได้ทำเป็นไม่รู้’
‘ขอโทษ แต่...ฉันกำลังสร้างครอบครัว อย่าให้ฉันต้องโหดร้ายกับเธอ’ท่านหมื่นพูดช้าๆ มองหลานชายผ่านกระจก
‘ทำไมหรือ จะฆ่าเรา หรือจะไล่เราไป’
‘ไม่หรอก ฉันไม่ไล่ หากฉันย่อยยับ เธอก็ต้องไปพร้อมกับฉันแก้ว เพราะเธอเป็นต้นเหตุ’ชายผู้เป็นอาเดินไปยังด้านข้างของคุณแก้ว จับไหล่ผอมบางนั้นเอาไว้ราวกับบีบให้แตกสลายไปกับมือ คุณแก้วจ้องตากลับอย่างไม่ยอมลดละ
‘คำขู่ของท่าน เราจะรับไว้เป็นคำบอกรักก็แล้วกัน’แก้วยิ้มกว้าง ใบหน้าไม่น่ามองเท่าไหร่ ท่านหมื่นกระซิบลอดไรฟันอย่างขุ่นเคือง
‘แก้ว...’
‘ท่านหมดรักเราไปแล้วจริงๆ ...ในตอนนี้เราคงเป็นกระโถนของท่านสินะ โยนสิ่งเน่าเหม็นมาให้เรา ในตอนนี้ก็คงถูกเมียท่านชังน้ำหน้าไปซะแล้ว คำพูดรื่นหูคงใช้กับนางได้สินะ’แก้วหัวเราะเบาๆ หมื่นนรินทร์ส่ายศีรษะ มองหลานชายอย่างผิดหวัง
‘ถึงฉันหมดรัก แต่ใช่จะไม่มีเยื่อใย’ไม่อย่างนั้นตนคงเอาแก้วไปตีให้ตายไปตั้งแต่ตอนที่อาละวาดในบ้านคราวนั้นหรอก
‘อ้อ ท่านกำลังบอกว่าหวังดีกับเราแล้วหรือ แม้จะนอนเรือนเดียวกับท่านยังทำไม่ได้’แก้วเอ่ยด้วยใจที่สงบนิ่ง แม้จะเสียใจอยู่ ทว่าในตอนนี้ตนนั้นชาชินไปเสียแล้ว
‘เพราะเธอดื้อรั้นไม่ใช่เหรอ’
‘เพราะผิดต่อเราต่างหาก ท่านคิดว่าจะอยู่เป็นสุขหรือ’
‘จะแช่งชักฉันงั้นเหรอ’หมื่นนรินทร์เอ่ยถาม มองตาคุณแก้วอย่างไม่หลบหนี
‘หึ ไม่ต้องแช่งหรอก คำสาบัตย์สาบานที่เราเคยกล่าว มันจะย้อนมาทำลายท่านเอง เราก็แค่จะรอดูท่านพินาศอยู่ตรงนี้ มองครอบครัวของท่านล่มจมด้วยน้ำมือท่านเอง’แก้วลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปนั่งที่เตียงอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านหมื่นเดินตาม แม้ใจอยากจะตะโกนใส่อีกฝ่ายให้คลายโทสะ
‘ถ้าเธอทำร้ายครอบครัวฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ปล่อยเธอไว้ จำเอาไว้ให้ดี’ผู้เป็นอาเอ่ยอย่างเย็นชา
‘เราจะจำไว้ให้ขึ้นใจ’แก้วรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนว่าในใจช้ำเลือดช้ำหนอง หมื่นนรินทร์มองหน้าหลานชายอยู่นาน เขาไม่คิดจะทำร้ายแก้ว หลังจากได้บ้านมา เขาอยากทำดีไถ่โทษ แต่แก้วทำตัวไม่น่ารัก หากเขาไม่ระงับไว้ทันท่วงที ป่านนี้ชีวิตของตนก็คงแหลกเหลว แก้วคิดจะทำลายเขานับแต่วันทีประกาศแต่งงานกับมณี
‘ฉันให้เธอไม่พอหรือ’ผู้เป็นเอ่ยถามด้วยใจที่เจ็บแปลบทีละน้อย การเอ่ยเช่นนี้เท่ากับเขาทำร้ายความรู้สึกของหลานรัก
‘นั่นควรเป็นเราที่ถามมากกว่านะท่านอา...’แต่ก่อนที่เคยคิดว่าขอเพียงได้อยู่เคียงข้างไปตลอดก็เป็นสุข แต่มาบัดนี้ มันแหลกสลาย เหมือนเป็นภาพฝันเลือนราง อดีตที่ดีต่อกัน แก้วถวิลหายิ่งนัก แต่ภาพจริงเบื้องหน้าคือท่านอามีภรรยาและไมต้องการตนอีกต่อไปแล้ว
‘...เพียงขอให้เธออยู่เงียบๆ ฉันก็ยังเอ็นดูเธอเหมือนเดิมนะแก้ว’
‘อยู่เงียบๆรึ ต่อจากนี้คิดว่าเราจะอยู่อย่างสงบสุขหรือ ท่านอา’แก้วขมวดคิ้ว จ้องมองผู้เป็นอาอย่างไม่พอใจอยู่ลึกๆ หลังจากนี้ตนไม่มีทางอยู่อย่างสงบสุขได้
‘...ฉันขอโทษ’หมื่นนรินทร์พึมพำ ไม่ใช่ว่าเขาจิตใจต่ำช้าจนไม่รู้ถูกผิด
‘เรื่องทายาท ท่านนำลูกของท่านพี่เรามาอุปการะไม่ได้หรือ’แก้วถามอย่างอดทน
หมื่นนิรนทร์เงียบเสียงไป แก้วมองผู้เป็นอาด้วยแววตาเสียใจ แม่บัวแต่ก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองผู้เป็นนาย ‘ดูแลนายของเธอให้ดี อย่าให้ออกมาอาละวาดอีก’ท่านหมื่นหันมาพูดกับคนรับใช้

‘ค่ะ ท่านหมื่น’
‘ส่วนเรื่องเรือนเพาะ ฉันไม่ได้ห้ามหรอก แต่ก็ระวังไว้บ้าง อย่าให้มีพืชประหลาดโผล่ออกมาอีก’หมื่นนรินทร์ทิ้งท้ายกำชับกับแม่บัว หล่อนผงกศีรษะรับ หมื่นนรินทร์เหลียวมองหลายชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากเรือนไปเงียบๆ เหลือเพียงใบหน้าว่างเปล่าของแก้ว ที่นั่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
‘คุณแก้วคะ อิฉันว่าส่งจดหมายหาคุณกิ่งดีหรือไม่ อย่าทนอยู่ที่นี่เลยค่ะ’แม่บัวเอ่ยน้ำตานองหน้า เดินเข้าไปหาคุณแก้วที่เตียงก่อนจะจับมือของคุณชายเอาไว้ แก้วคนนี้ เธอเลี้ยงมากับมือ เป็นทั้งแม่นม เป็นทั้งคนรับใช้ ตลอดชั่วชีวิตของเธอนั้นปรารถนาให้ผู้เป็นนายมีความสุข เธอไม่เคยขัดยามที่คุณแก้วปลูกต้นรักกับอาของตน เพียงมีความสุข เธอก็สนับสนุน
แต่หลังจากท่านอาได้บ้านไป จวบจนมีภรรยา ชีวิตของคุณกลับทุกข์ทน หล่อนก็เจ็บปวดไปด้วย

‘คิดว่าเราไปแล้วจะเป็นสุขหรือ เรายังห่วงที่นี่ สมบัติของเจ้าคุณพ่อ’แก้วพูดน้ำเสียงเจือความเศร้า
‘ช่างมันเถอะค่ะ ของนอกกายพวกนี้ มีแล้วทำให้ทุกข์ก็ปล่อยไปเถอะ’แม่บัวพูด
‘เจ้าคุณพ่อฝากฝังบ้านหลังนี้ไว้กับเรา แต่เรายกมันให้ผู้อื่น เพราะความโง่เขลา ตามืดบอด เหลือเพียงเรือนเล็กหลังนี้ แม้จะไม่ใหญ่โตโออ่า แต่ยังมีมุมสวยงาม... เราอยากเขียนพินัยกรรม’
‘ต้องเรียกทนายมา... หมื่นนรินทร์คงทราบแน่ๆ’
‘เราจะเขียนเอง...บัวไปหาคนที่ไว้ใจได้มาให้เราอีกคนหนึงก็พอ...’แก้วบอก
‘ได้ค่ะ อิฉันจะเรียกใช้นางษุมาเป็นพยานให้ค่ะ’แม่บัวรับปาก สองตาจ้องมองผู้เป็นนายด้วยสายตาเห็นใจ ก่อนจะหวนนึกถึงคนที่ทำให้คนตรงหน้าเจ็บช้ำน้ำใจ พลางคิดอย่างโกรธเคือง
หมื่นนรินทร์ท่านต้องไม่ตายดีแน่



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 01:57:34 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
เงื่อนงำเต็มไปหมด

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารคุณแก้วอ่ะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
(ต่อ)


  ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอีกครั้ง อากาศหนาวเย็นขึ้นมา คาดว่าคงลืมปิดหน้าต่างอีกตามเคย เขาเหลียวมองข้างกาย แล้วเจอกับอินทนิลกำลังนั่งมองเขาอยู่ ชายหนุ่มใจหายวาบ เจ้าตัวยังคงมีลักษณะเช่นเดิมไม่ต่างจากวันแรก ในมือถือพวงมาลัยมาด้วย เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้สดชื่น

“มานานแล้วเหรอ”เขาถาม นึกแปลกใจที่เห็นอินทนิลมาที่ห้องของเขา เพราะคิดว่ายังไม่หายป่วย

“สักพักแล้วครับ เห็นคุณดูกระสับกระส่าย”อินทนิลนั่งอยู่บนพื้นข้างเตียงมองเขาอย่างเป็นห่วง ภูวรินทร์ลุกขึ้นนั่งพิงกับพนักเตียง ก่อนจะตบที่นอนข้างตัวที่ยังว่างอยู่

“มานั่งบนเตียงสิ”ชายหนุ่มบอก อินทนิลค่อยๆขยับตัวขึ้นมานั่งบนเตียง แล้วเอื้อมเอาพวงมาลัยมาวางไว้บนพานเหนือหัวเตียง เขามองอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ

“คุณเป็นยังไงครับ”อินทนิลหันมาถาม ขยับมานั่งใกล้ๆมองเขาอย่างสนใจอีกครั้ง ภูวรินทร์ไหวไหล่ ก่อนจะยกแขกขึ้นมากอดอกเพราะหวิวที่ลำตัวขึ้นมา

“ก็แค่ฝันเรื่องอดีต”เขาบอก ไม่ใช่ฝันร้ายด้วย ถือว่าเป็นเรื่องดี เขาเบื่อที่จะต้องเผชิญกับผีสางในฝันนั้นอีก อินทนิลพยักหน้า

“คุณจำได้เหรอครับ”

“อืม ไม่เชิงหรอก ฉันมีความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นด้วย”ชายหนุ่มบอกอย่างแปลกใจ ดูเหมือนว่าในฝันนั้นคือจุดแตกหักของท่านอากับมณี ส่วนคุณแก้ว ท่านอายังคงไม่ตัดรอนน้ำใจขนาดนั้น...มณียังไม่แท้งลูกเลย แท้งเพราะใครกัน...

“ว่าแต่หายไข้แล้วสิ”ชายหนุ่มมองเด็กหนุ่มที่ดูแจ่มใสขึ้น ต่างจากเมื่อตอนเช้าที่ดูหม่นหมอง ไม่กระฉับกระเฉง อินทนิลยิ้มกว้าง แววตาสดใส

“อินน์แข็งแรง นอนพักสักเดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คุณภูเองควรจะผ่อนคลายบ้าง ไม่อย่างนั้นคงเครียดแย่”เด็กหนุ่มพูดอย่างห่วงใย เขายิ้ม ไม่คิดว่ามันจะแย่ไปกว่านี้หรอก

“ฉันยังคงนอนฝันร้าย จะไม่ให้เครียดได้ยังไง”ภูวรินทร์ตอบ เขาอยากหาวิธีที่จะเอาชนะฝันร้ายให้ได้ อินทนิลเงียบไป ท่าทางดูสงสัยใคร่รู้ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม

“ฝันร้ายมากเหรอครับ”

“อืม ฝันถึงเธอกับคุณแก้ว...เธอสองคนมีใบหน้าคล้ายกันมากเลยนะ”เขาพึมพำ ไม่ได้มองอินทนิล ภายในห้องนอนยังคงสว่าง ชายหนุ่มไม่ได้ปิดไฟในห้อง ปกติเขาล็อกประตูห้องนอนอยู่แล้ว แต่อินทนิลก็เข้าออกห้องเขาได้อย่างสบายใจทุกครั้งไป

“อินน์เป็นเชื้อสายของท่านนี่ครับ...อีกอย่าง คุณกลัวอินน์ด้วยเหรอ”เด็กหนุ่มถาม หากพดถึงในฝันก็คงใช่ เขากลัวทั้งคุณแก้วและอินน์ ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนข้างกาย

“มันก็แปลกนะ ตอนนี้ฉันไม่กลัวหรอก แต่ในฝันนั้น ฉันกลัว”เขาบอกไปตรงๆ อินทนิลเหลียวมองพานพวงมาลัยที่วางอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ขยับปากพูดเบาๆ

“ท่านว่าความฝันมาจากสิ่งปลุกแต่งจากจิตใจของคุณภูเอง...คุณแก้วถึงได้ถวายพวงมาลัยให้”

“ฉันไม่คิดว่ามันจะช่วยหรอกนะ”ภูวรินทร์ส่ายหน้า

“อินน์เชื่อนะครับ...”อินทนิลย้ำเสียงหนักแน่น ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “จริงๆนะครับ อินน์ว่ามันช่วยได้จริงๆ ถ้าหากอินน์ช่วยกล่อมคุณไปด้วย”

“จริงเหรอ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าวิธีของอินน์จะช่วย แต่มองแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่คิดว่าจะโกหก เด็กหนุ่มทำหน้านึกไปด้วยระหว่างที่พูดกับเขา

“ครับ ษอรก็ทำแบบนี้ให้อินน์ ตอนที่นอนฝันร้าย”อินทนิลพูดจบแล้วจ้องเขา ชายหนุ่มเงียบ ไม่คิดว่าวิธีกล่อมนอนของเด็กจะช่วยให้นอนหลับฝันดีได้ อีกอย่าง....กับอินทนิลเนี่ยนะ ชายหนุ่มคิดว่าเป็นวิธีของอินน์ที่จะใกล้ชิดกับเขามากกว่า เขาหวนนึกถึงคำของคุณแก้วอยู่บ่อยๆ ว่าอินน์ไม่ได้ไร้เดียงสา และคำพูดที่บอกว่าเขาควรยอมรับโชคชะตานี้ ...หมายถึงการอยู่กับอินทนิล รวมทั้งคุณแก้วด้วยงั้นสิ

“...ตามใจ”ภูวรินทร์เอ่ยอย่างไม่แน่ใจนักแต่ก็ยอมขยับเอนตัวลงนอนบนเตียงช้าๆ เขามองเด็กหนุ่มไม่วางตา ขณะที่ศีรษะถึงหมอนแล้ว อินทนิลดูขำขันกับท่าทางของเขา

“คุณกลัวอินน์ด้วยเหรอเนี่ย”เจ้าตัวหัวเราะเหย้าหยอก ‘กลัว’ของอินน์ ไม่ใช่เรื่องทำนองผีสางหรอก หมายถึงความระวังตัวของเขาต่อท่าทีของอินทนิลน่ะ

“เปล่าซะหน่อย ฉันแค่ไม่ชิน”ชายหนุ่มตอบ พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านอะไร อีกอย่างสงสัยว่าอินทนิลกำลังจะทำอะไรมากกว่า เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ เอนตัวลงข้างกายเขาเหมือนกึ่งนอนกึ่งนั่งมากกว่า ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมจางๆมาจากตัวของอีกฝ่าย เขาเคยได้ยินว่ากลิ่นหอมช่วยทำให้คนนอนหลับได้ กลิ่นหอมจากดอกไม้ ไม่ใช่จากกลิ่นกายคนซะหน่อย... ชายหนุ่มเหม่อมองเพดาน


“คุณนอนหันมาทางอินน์ดีกว่า จะได้ถนัด ตอนษอรกล่อมอินน์นอนก็ทำแบบนี้”อินทนิลพูด เขามองเจ้าตัวอีกครั้ง ค้นหาความจริงในดวงหน้านั้น

“เห็นฉันเป็นเด็กสินะ”ชายหนุ่มพูดไปแบบนั้นเพื่อประวิงเวลา เขาพลิกตัวนอนหันไปทางอินทนิล อยู่ๆในใจกลับเต้นรัวซะได้ อินทนิลเอื้อมมือมาลูบหลังให้เขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแบบนี้มันเหมือนแม่กล่อมลูกนอนเลยนี่ ใจเขานึกไปหาแม่จริงๆด้วย

“แม่ของคุณภูเป็นคนแบบไหนเหรอครับ”อินทนิลถาม เขานิ่งไป นึกถึงภาพของผู้เป็นแม่ที่นานวันกลับห่างเหิน เขาจำช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็กได้ แม่เลี้ยงเขามาอย่างใกล้ชิด แต่พอเขาอายุยี่สิบ แม่ไม่ค่อยพูดคุยกับเขานัก ในทีแรกคงเป็นเพราะความห่างเหินระหว่างแม่กับลูกชาย แต่พอตอนนี้ชายหนุ่มรู้ความจริง บางที แม่อาจไม่ได้รักใคร่เขาอย่างที่ตนคิดก็ได้...

“อืม...ท่านก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่รู้สิ ก็อ่อนโยน ใจดี”ภูวรินทร์ตอบ

“เหรอครับ...ดีจังนะ”อินทนิลพูดเบาๆ เขาเหลือบตามองอีกฝ่าย จะว่าไปคุณธิชา แม่ของอินน์ก็ไม่กลับมาอีกเลย

“คิดถึงแม่เหรอ”เขาถาม

“...ก็นิดนึงครับ...แต่อินน์มีษอร ตาชมแล้วนี่...ตอนนี้ก็มีท่านและคุณภูแล้ว คงไม่คิดถึงเท่าไหร่”อินทนิลตอบกลับมาเหมือนเด็กเล็กๆ ชายหนุ่มหลับตาลง พยายามไม่คิดอะไร ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่สองหูเขายังคงได้ยินเสียงรอบกาย อินทนิลถอนหายใจ

“อินน์ก็ฝันร้ายเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าน่ากลัวเท่าของคุณภูไหม”

“ลองเล่าสิ”ภูวรินทร์พูดออกมา อินทนิลเงียบไป หายใจขาดห้วง คงคิดว่าเขาใกล้หลับไปแล้ว เขาลืมตามองเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนท่า มานอนข้างๆเขาแทน

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวคุณกลัวไปเปล่าๆ”อินทนิลบอก เขาเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าฝันร้ายของอินน์จะน่ากลัวกว่า “...เกี่ยวกับฉันหรือเปล่า”

“อืม ก็นิดนึง”เด็กหนุ่มพึมพำ

“...เล่ามาเถอะ”เขาย้ำ อินทนิลถอนหายใจเสียงดัง ก่อนจะหันมองเขาอยู่ไม่ห่างตา “ในฝันนั้น คุณภูเหมือนเดิมทุกอย่าง อยู่ที่บ้านหลังนี้ แล้วก็มี...ท่านด้วย”

“แล้วเธอล่ะ”ชายหนุ่มถาม อินทนิลหัวเราะออกมา

“อ้อ อินน์น่ะ...กำลังจะตาย”

“...มันเป็นแค่ความฝันไม่ใช่เหรอ”เขาใจหายไปบ้างก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น เหมือนยืนยันเรื่องเดิมๆ ด้วยใจเต้นรัว

“อืม เหมือนจริงมากเลย คุณคงรู้ดีว่าเวลาที่จะตายมันเป็นยังไง”

“มันก็แค่ฝัน”ภูวรินทร์พูดเหมือนเดิม อินทนิลยิ้ม

“เพราะว่าอินน์จะตายเพราะขาดออกซิเจน ท่านก็ตายเพราะหัวใจเต้นไม่ปกติ”เด็กหนุ่มเล่าต่อ คำพูดของอีกฝ่ายเหมือนปลดคลายความสงสัยของเขาไปได้บ้าง

“ดอกดองดึงน่ะเหรอ”ชายหนุ่มถามกลับ อินทนิลพยักหน้าก่อนจะตอบสั้น ๆ “ใช่...”

“เธอรู้การตายของคุณแก้วนานหรือยัง”เขาถาม

“เพิ่งรู้ครับ”เด็กหนุ่มตอบ มองแล้วไม่เหมือนคนโกหกปิดบัง เขาผ่อนลมหายใจเบาๆ “จะว่าไป เป็นความตายที่คล้ายๆกันเลยนะ”ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกตขึ้นมา

“นั่นสิครับ คงเป็นชะตาลิขิตจริงๆ”อินทนิลบอก

“...แต่ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่”ภูวรินทร์ย้ำความจริงข้อนี้อีกครั้ง ไม่ว่าจะตายในฝันหรือในอดีตมันก็ไม่สำคัญหรอก ตราบใดที่ปัจจุบัน ทั้งเขาและอินน์ยังมีชีวิตอยู่

“ครับ...”อินทนิลทำหน้าเหมือนอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่ยังคงอ้ำอึ้ง

“มีอะไรหรือเปล่า”

“อินน์รู้สึกว่า อินน์มีชีวิตอยู่เพื่อคุณ”คำพูดของอินทนิลทำให้เขาหนักใจขึ้นมากกว่าเดิม เหมือนว่าเด็กหนุ่มจะยึดติดต่อเขาไม่ต่างจากคุณแก้วเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มเม้มปากแน่น

“...ทำไมล่ะ”อีกครั้งที่เขาตั้งคำถามต่ออินทนิล

“หมายถึง เรื่องคำแช่ง ไม่ใช่เพื่อท่าน...แต่มันเพื่อช่วยคุณด้วย อินน์เลยคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เสียใจหรอก”เด็กหนุ่มพูดด้วยความหนักแน่น นัยน์ตาสีนิลฉายแววเชื่ออย่างสนิทใจ เขามองอินทนิล

“อย่าพูดอะไรที่มันน่ากลัวนักสิ”เขาบอก

“อินน์แค่อยากบอกให้คุณรู้”

“อืม ฉันรู้แล้วน่า...เธอก็นอนเถอะ”เขาบอก เพราะเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว อินทนิลส่ายหน้าก่อนจะมองเขาอยู่ มือข้างถนัดเอื้อมมาตบลงที่หน้าอกของเขาเบาๆเหมือนจะกล่อม

“คุณนอนก่อนสิ... เดี๋ยวอินน์จะเฝ้าคุณเอง”เด็กหนุ่มพูด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า”เขาบอก

“อินน์ตั้งใจแล้วครับ”อินทนิลย้ำชัดเจน จนเขายอมถอย ยังไงก็ขัดความตั้งใจของอินทนิลไม่ได้ ชายหนุ่มนอนหลับตาลง ทั้งๆที่ไม่ง่วงนอนแม้แต่น้อย เขาไม่มีทางนอนหลับลงไปแบบนี้แน่ๆ ขณะเดียวกันอินทนิลขยับกายมาใกล้ เอามือจับเส้นผมของเขาไว้ เหมือนกล้าๆกลัวๆ

“ไม่โกรธกันนะ”เหมือนอีกฝ่ายกำลังเล่นหัวเขามากกว่า

“หึ อยากให้ฉันนอนหรือขำกันแน่”ภูวรินทร์พึมพำออกมา อินทนิลถึงกับหัวเราะแผ่วๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มผืนบางมาห่มให้เขา

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”อินทนิลกระซิบบอกใกล้ๆใบหน้าเขา ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา เห็นว่าอินทนิลขยับมานั่งข้างๆตัว ใบหน้ายิ้มอ่อนโยน เหมือนกำลังมองสัตว์เลี้ยงที่แสนรักใคร่


ภูวรินทร์หลับตา ฉุกคิดขึ้นมาว่า อินทนิลก็น่ากลัวไม่ต่างจากคุณแก้วเลย คนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในรัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:01:09 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:02:12 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
       ลุ้นมากค่ะรออ่านต่อนะรีบๆมาต่อนะค่ะ  :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
คิดว่าน่าจะเป็นคนสนิทของคุณแก้วเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด...ยิ่งนางรักคุณแก้วดั่งลูกด้วย หากคุณแก้วตายนางก็คงร้ายได้อีก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
หรือจะเป็นบัวที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนั้น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เมื่อไหร่จะเฉลยทุกอย่างน้อ
ปมเยอะจนน่าเบื่ออะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ลึกขึ้นเรื่อยๆหลุมนี้

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
อินขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกๆที่อ่าน พูด้ลยง่สและหลอนมากกกก
พอมาตอนหลังๆ ร้องไห้ จ้า :hao5:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 11 อดีตของหมื่นนรินทร์



คำอธิษฐานของอินทนิลเป็นจริง เพราะคืนนี้ภูวรินทร์ไม่ได้เผชิญกับฝันร้าย และเหมือนเช่นทุกทั้ง อินทนิลมานอนกับชายหนุ่ม ก่อนนอนก็นำพวงมาลัยมาวางที่พานเหนือเตียงนอน เด็กหนุ่มไม่ยอมนอนหลับ ถ้าหากเขาไม่หลับไปก่อน แม้ว่าตัวเขาไม่ต้องการ ภูวรินทร์ไม่แน่ใจว่า อินทนิลในเวลานี้คือ อินน์ หรือว่าคุณแก้ว เพราะสนทนากันน้อยลงไปทุกที 

ค่ำคืนนี้ต่างจากคืนอื่นๆ ท้องฟ้าไม่กระจ่างใส ดวงจันทร์มืดมิด ได้ยินอินทนิลเปรยว่าเป็นคืนเดือนดับ หรือวันที่จันทร์ดับ ฟ้าฝนไม่เป็นใจนัก ทั้งลมแรง และฝนตกลงมาไม่ขาดสาย

ความหนาวเย็นทำให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่ทันขยับตัวเขา พบว่าร่างอุ่นของอินทนิลกำลังนอนซบช่วงอกของเขาอยู่มือข้างถนัดวางอยู่ที่อกซ้ายคล้ายกับกำลังกล่อมเขานอน เหมือนคืนก่อน ภูวรินทร์ตกใจ แล้วดันไหล่ของอินทนิลออก แต่เสียงของเจ้าตัวดังขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มหยุดการกระทำ แล้วมองคุณแก้วอยู่เงียบๆ

“แปลกนัก ท่านไม่เคยจำเรื่องราวของเราได้เลย”คนที่นอนพิงอกของเขาพึมพำอย่างนึกน้อยใจ เขาชายก้มมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง อีกฝ่ายเงยหน้ามองขึ้นมาพอดี เขาสบตาสีนิลคู่นั้น

“คุณแก้ว”เขาล้มตัวนอนลงกับหมอน รู้สึกว่าคงไม่สามารถเอาชนะคุณแก้วได้ เขาเหลือบไปมองหน้าต่างที่ปิดสนิท ถึงจะมีร่างกายอุ่นจากอินทนิล แต่เขาหนาวขึ้นมา ไม่ทันจะดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาห่ม คุณแก้วเอื้อมแขนไปจับชายผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เขาทั้งแบบนั้น

“ถือว่าให้เวลาเราก็แล้วกัน”คุณแก้วเหลือบมองเขา ก่อนจะกลับมานอนวางศีรษะลงที่ไหล่ของเขาแทน ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว นึกหาคำพูดไม่ออก

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เขาถามอย่างนึกห่วงขึ้นมา พักหลัง อีกฝ่ายไม่ค่อยพูดจาท้าทายเขานัก ถ้าหากคุณแก้วต้องจากไปจริงๆ มันจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกัน คุณแก้วส่ายหน้า

 “ก็แค่นึกถึงวันวาน ตอนที่ท่านบอก—ท่านอาบอกว่าปลูกต้นแก้วไว้รับขวัญเรา”เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความอาลัยอาวรณ์ ร่างนั้นขยับนอนลง เขามองไม่เห็นแววตาของคุณแก้ว 

“จริงเหรอ”ชายหนุ่มพึมพำ ท่านอาเป็นคนปลูกต้นแก้วไว้นี่เอง เพื่อรับขวัญหลานชายที่กำลังกำเนิดงั้นเหรอ ฟังแล้วก็เหมือนว่าท่านอาคนนั้นคงจะเอ็นดูคุณแก้วในฐานะหลานชาย

“อือ พอจำความได้ เรามีแต่เจ้าคุณพ่อที่คอยห่วงใย พี่น้องต่างก็รังแกเราบ่อย ๆ พี่กิ่งและไกรน่ะ คงเห็นว่าเราเด็กกว่า และร่างกายไม่แข็งแรงนัก แต่พอท่านอามาที่นี่ทีไร ในตอนนั้นเหมือนว่าดอกแก้วกำลังบาน ตั้งแต่ตอนนั้นท่านอาก็ดีต่อเรา...”คุณแก้วเอ่ย ฟังจากน้ำเสียงแล้วอีกฝ่ายคงเล่าด้วยใจเป็นสุข จนเขารู้สึกถึงอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง ชายหนุ่มมองฝ้าเพดานอย่างใจลอย

“แล้วคุณแม่ของคุณล่ะ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม ร่างของเด็กหนุ่มหายใจติดขัด เขารู้สึกถึงความอึดอัดจากอีกฝ่าย เจ้าตัวเงียบไปนาน

“แม่จากเราไปนานเเล้ว...”อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบา เขานิ่งคิด คล้ายกับอินน์เช่นกัน เหมือนว่าคุณแก้วกับอินทนิลจะมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ไม่แปลกเลยที่วิญญาณของคุณแก้วสามารถเข้ามาผูกจิตเอาไว้กับของอินทนิล

“เพราะแบบนี้ คุณถึงรักท่านอามากงั้นเหรอ”เขาถามด้วยความแคลงใจ คุณแก้วถอนหายใจเบาๆ

“ใช่ รักมาก แต่ก็โดนทำลายย่อยยับ เราเสียใจเพียงใด ท่านอาไม่อาจรู้ ทั้งที่เราต้องการเพียงรักก็เท่านั้นเอง”อีกฝ่ายพูดอย่างอัดอั้น เขานิ่งเงียบปล่อยให้คุณแก้วเล่าอดีตต่อไป

“พอได้ตำแหน่งที่นี่ ท่านอาย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยกัน ...ในตอนนั้นเราเพิ่งสิบขวบ ...สิบกว่าปีที่ท่านอาดีต่อเรา ไม่ใช่แค่อาหลาน..ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีสำนึก แต่พวกขุนนางเก่าๆยังคว้าญาติพี่น้องแต่งเข้าบ้านเพื่อสืบสกุล เราก็คงไม่ผิด”คุณแก้วเล่า เหมือนว่าทั้งชีวิตของเจ้าตัวจะมีแค่ท่านอาที่รักและห่วงใยเท่านั้น

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาเหรอครับ ทำไมเขาถึง...ไม่เหมือนเดิม”ภูวรินทร์ถาม อยากรู้ว่าจริงๆแล้วท่านอารักคุณแก้วบ้างไหม จากในฝัน เขาเห็นแต่ชายที่หมดรักคุณแก้วไปหมดแล้ว

ร่างของเด็กหนุ่มคลายแรงกอด อีกฝ่ายเงยหน้ามองเขา ดวงตาสีนิลจับจ้องอย่างตั้งใจ แววตานั้นมีความเศร้าหมอง ความคนึงหาไม่แปรเปลี่ยน

“หลังจากเจ้าคุณพ่อเสีย ...ท่านอาค่อยๆเปลี่ยนไป ไม่ได้ปุบปับ วันหนึ่งท่านอาเอ่ยถึงบ้าน บอกว่าเจ้าคุณพ่ออยากให้บ้านอยู่ในสกุลภิรมย์สุข เรายังเด็กไม่สนใจเรื่องบ้านมาตั้งแต่แรก พี่กิ่งและไกรออกเรือนกันไปหมด ...ตอนนั้นเลยเขียนพินัยกรรมขึ้นใหม่ มอบแก่หมื่นนรินทร์... ท่านอามักเปรยเรื่องทายาทอยู่บ่อยๆ ไม่คิดว่าตอนไปราชการที่บางกอก ไปหลงชมชอบดอกไม้งามที่นั่น แม่มณีนั่นไง”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ จุกในอก ทำไมกันล่ะ เพราะอะไรกัน ท่านถึงมีใจที่แปรเปลี่ยน

“ท่านอาได้อธิบายให้คุณฟังบ้างไหม”

“...บอกแค่ว่า ไม่ได้รักใคร่มณีด้วยใจจริง ท่านอาอยากได้แค่ทายาท แม้เราจะไม่เข้าใจ เรื่องทายาทนำลูกของกิ่งมาก็ไม่เสียหาย...ไม่คิดว่าเขาจะโลภ คิดอยากได้บ้านหลังนี้เท่านั้น”คุณแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายหนุ่มก้มมองอีกฝ่าย

“แล้วไม่แค้นท่านอาเหรอครับ”เขาเอ่ยถาม การกระทำของหมื่นนรินทร์ไม่ต่างจากการหักหลังคุณแก้ว

“ก็แค้น แต่ทำอะไรไม่ได้ เลือกที่จะอยู่เงียบๆ หวังว่าท่านอาจะทำดีต่อเราบ้าง คงเป็นเพราะเราที่รักท่านมากเกินไป”คุณเอ่ย กอดรัดเขามากกว่าเดิม ชายหนุ่มลังเลใจ เลิกไม่สนทนาเรื่องความรักความชังของเจ้าตัวมากนัก เขาเลยเลือกพูดถึงพืชพิษแทน 

“เรื่องดอกดองดึง คุณทราบหรือเปล่า”นึกถึงรูปร่างของดอกไม้ชนิดนี้แล้วก็อดกลัวไม่ได้ สีสันแดงสด ทุกส่วนของต้นมีพิษ

“อ้อ รู้แล้วล่ะ มันทรมานมาก เหมือนว่าร่างกายร้อนเป็นไฟ พิษของมันไม่ได้ฆ่าเรารวดเร็วนัก มันค่อยๆ ทำลายอวัยวะภายใน ทำให้อ่อนแรง ตอนนั้น ไม่มีใครมาช่วยเราได้”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”เขาถาม

“เท่าที่จำได้ คืนนั้นเราตื่นมากลางดึก...แอบบัวออกมา เพื่อหาร่องรอยของพืชพิษในสวน แต่ฝนกลับตกหนัก เราเข้าไปหลบด้านในเรือนกระจกก่อน แต่พิษดันออกฤทธิ์ขึ้นมาตอนนั้น”เจ้าตัวเล่า

“คุณจำได้หรือเปล่า ว่าใครวางยาคุณ”ภูวรินทร์ถามทันที

“...อาจเป็นมณี”คุณแก้วตอบ

“คุณดูไม่มั่นใจ”

“อืม มีแต่นางที่แค้นเรา เพราะคิดว่าเราเป็นต้นเหตุให้หล่อนแท้ง”คุณแก้วตอบน้ำเสียงเรียบเฉย

“คุณไม่ได้ทำงั้นเหรอ”ชายหนุ่มเผลอพูดออกมา

“เปล่า”คุณแก้วตอบเสียงห้วน ร่างกายเหมือนเกร็งขึ้นมา ภูวรินทร์มองมือที่กำแน่นของอีกฝ่ายแล้วเกิดลังเลที่จะเอ่ยออกไป “คุณคิดว่าใครเป็นคนทำล่ะ”

“เรื่องนั้น...คืนที่เราออกไปดูพืช คิดว่าคงแคลงใจสงสัยใครสักคน เป็นคืนที่เราเก็บผลดองดึงใส่ไว้ในขวดแก้ว...จำได้ว่ายังกำมันไว้ในมือแท้ๆ...”เจ้าตัวเงียบ ก่อนจะขยับศีรษะ เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสั่นไหว เขารอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“บัว”คุณแก้วเอ่ยชื่อหญิงรับใช้ออกมา ภูวรินทร์คิ้วขมวด ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ

“อะไรนะ”

“เราว่าบัวทำ... เพราะเธอดูแลเรามาตั้งแต่ยังเล็ก คงคิดว่าเราเป็นลูกในไส้”พูดจบเจ้าตัวก็หลบตาเขา สีหน้าดูผิดหวัง ชายหนุ่มอึ้งไป

“...แน่ใจเหรอ”

“ใช่...บัวไม่ชอบมณี พูดให้ถูก เกลียดท่านอามากกว่า ที่ปฏิบัติไม่ดีกับเรา...”ภูวรินทร์นิ่งเงียบ เขาพยายามนึกถึงใบหน้าของบัวขึ้นมา แต่นึกไม่ออกนัก พอได้ประติดประต่อเรื่องเข้าด้วยกันแล้ว เขาก็เข้าใจได้ทันที เพราะบัวเป็นคนรับใช้ที่เลี้ยงดูคุณแก้วมาตั้งแต่เล็ก คงรักผูกพันกันไม่น้อย แต่ไม่คิดว่าจะลงมือทำร้ายลูกของมณีเลย

“ตอนมณีแท้ง ท่านอาโกรธเรามาก”ร่างที่เป็นของอินทนิลขยับออกมานอนเท้าแขนหันหน้าเข้าหาเขา ตอนที่เอ่ยถึงท่านอานรินทร์ คุณแก้วเต็มไปด้วยความทุกข์

 “...มณีเองก็ตายเหมือนคุณ โดนยาพิษเหมือนกัน”ชายหนุ่มบอกให้ฟัง เขาคลางแคลงใจกับสาเหตุการตายของสองคนนี้

“อืม...”คุณแก้วมองเขา สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ คิ้วขมวดมุ่น

“มีอะไรเหรอ”เขามอง

“ต้นดองดึงหน้าตาน่ากลัว ไม่ง่ายที่จะเอาไปให้ผู้อื่นดื่มโดยที่ไม่แปรสภาพมันก่อน อย่างน้อยต้องดื่มมันเข้าไป เหมือนตอนที่เราโดนพิษ ไม่รู้ว่ากินพิษไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็อาการกำเริบออกมาแล้ว”

“...จะบอกว่าคุณโดนวางยามานานแล้วเหรอ”

“อืม คงเป็นเช่นนั้น... เพราะ ช่วงหลังเราป่วยบ่อย เคยดื่มยาที่ถูกควบคุมโดยแม่บัว เป็นยาสมุนไพรคงง่ายสำหรับการสับเปลี่ยนเป็นยาพิษ ไม่รู้ว่าใช้วิธีใด... แต่ดอกดองดึงแม้ดื่มในปริมานเล็กน้อยมันจะสะสมในร่างกาย”คุณแก้วพึมพำ

ภูวรินทร์เงียบ ปล่อยให้เจ้าตัวทบทวนเรื่องในอดีต

“ถึงว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เราแสบร้อนไปทั้งลำคอและปาก ซ้ำยังคลื่นไส้อาเจียนอยู่บ่อยๆ ทีแรกบัวยังอำเราเล่นว่าท้องหรือเปล่า”คุณแก้วเล่าเจือเสียงหัวเราะในตอนท้าย ก่อนที่แววตาพลันเศร้าลง ใบหน้าค่อยๆไร้รอยยิ้ม อีกฝ่ายสบตาเขาระหว่างที่เอ่ยถ้อยคำ

“เราเสียใจที่ไม่อาจเคียงข้างท่านได้ คิดว่าต่อให้ถูกเกลียดชังเพียงใดก็ไม่สนใจ ขอแค่มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น”สุ้มเสียงของคุณแก้วสั่นเครืออยู่บ้าง ใบหน้าของเจ้าตัวเหมือนพยายามกลั้นน้ำตา ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่นึกอยากมองใบหน้าเศร้าหมองของอีกฝ่าย

“มณี เกลียดเรา แช่งเราไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ตายไปก็ไม่เผาผี แต่มันก็จริง แม้แต่เถ้ากระดูก เราก็ไม่มี”คุณแก้วเอ่ยอยากเจ็บช้ำ สีหน้าคล้ายไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น... นั่นสิ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ทำตามพิธีศาสนา

 ภูวรินทร์พูดไม่ออก เขาเข้าใจคุณแก้ว ที่ผ่านมาคงเจ็บปวดมามาก เขายอมรับว่าไม่อาจทำเป็นลืมเรื่องในอดีต อดีตชาติของตนเอง

“ผมเคยฝันถึงท่านอา...ตอนที่คุณเสีย ท่านดูตกใจนะไม่เชื่อว่าคุณจะฆ่าตัวตาย”ชายหนุ่มเอ่ยช้าๆ นึกถึงภาพในฝัน หมื่นนรินทร์ก็ดูจะเสียใจอยู่บ้างที่เห็นหลานรักสิ้นใจไป คุณแก้วมองเขาอยู่นาน ก่อนจะพึมพำเสียงเบา

“...แต่ท่านอาไม่เผาเรา กลับฝังลงดิน”คุณแก้วเอ่ยอย่างคับข้องใจ แววตาหม่นหมองจับจ้องใบหน้าของเขา ชายหนุ่มส่ายศีรษะ

“ผมไม่รู้เหตุผลหรอก”เขาตอบเรียบๆ ไม่มีทางรู้จนกว่าจะฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้น คุณแก้วเงียบ ก่อนจะยิ้มกับตัวเอง แจ่ทว่ามองแล้วเห็นถึงความอาลัยอาวรณ์

“นั่นสิ คิดอยู่เรื่อยว่าท่านคือท่านอา ...”

อีกฝ่ายมองเขา ดวงตาวาบวับ ใบหน้าใกล้ซะจนเขามองเห็นขนตาและหยาดน้ำใสที่เปื้อนติดอยู่ด้วย

“แต่เรารักท่านไม่เปลี่ยน” คุณแก้วบอก ชายหนุ่มจ้องอีกฝ่าย ขณะนั้นคุณแก้วยื่นหน้ามาหาค่อยๆแตะริมฝีปากลงบนแก้มของชายหนุ่ม ก่อนที่ใบหน้าของอินทนิลเลื่อนลงมาจูบประทับที่ริมฝีปากของตน ภูวรินทร์หายใจไม่ปกติ คิดอะไรไม่ออก ราวกับว่าการผลักไสอีกฝ่ายไปเป็นเรื่องยาก ศีลธรรมในใจที่สั่นคลอนมานานวันเริ่มพังทลายจากการปลุกปั่นจากร่างกายอุ่น กลิ่นกายหอม จนร่างกายของเด็กหนุ่มเข้ามาแนบชิดมากยิ่งขึ้น โลมเร้าให้ใจเต้นระส่ำ

ถ้าหากเปรียบคุณแก้วเป็นวิญญาณแสนยึดติดในรัก จิตวิญญาณของภูวรินทร์ คงยึดติดกับกิเลส ที่ไม่อาจดับได้อย่างใจหวัง แท้จริงแล้วคืนเดือนมืดนี้ อาจเป็นฝันร้ายของเขาก็เป็นได้


      ภูวรินทร์ไม่สามารถข่มตานอนได้อีก นับแต่ล่วงเกินเด็กหนุ่มไปอย่างที่มีสติแจ่มแจ้ง ทำเช่นนี้ เป็นการทำผิดต่ออินน์หรือไม่นะ ร่างกายของเด็กหนุ่มที่ถูกเขาย่ำยีไปโดยไม่รู้ความ คงมีบทลงโทษสำหรับความบิดเบี้ยวในใจ ไม่ต่างจากท่านหมื่นในอดีต เมื่อได้กระทำสิ่งใดไปแล้วย่อมมีผลกระทบตอบกลับมา เหมือนโยนหินลงในแม่น้ำ

“เธอโอเคนะ”ภูวรินทร์เอ่ยถามอินทนิลที่ยังคงนอนไม่ขยับไปไหนมาตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้วก็ยังคงไม่ลุกไปไหน ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาอีกระลอก ส่วนป้าษอรไม่ได้ขึ้นมาตาม ผิดกับทุกที

“..มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรหรอกครับ”อินทนิลเอ่ยเสียงแหบแห้ง หันมองเขา ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่ เขาคลายความกังวลใจลง

“....แล้วจำได้ไหม” เขาถามด้วยความละอาย อินทนิลส่ายหน้า ก่อนจะทำหน้าอึกอีกกวักมือเรียกเขาไปใกล้ๆ

 “ตอนนั้นคุณภูคิดถึงใครอยู่” อีกฝ่ายกระซิบถาม ทำเอาเขาอึ้ง แน่นอน ณ เวลานั้น...เป็นคุณแก้ว...

ชายหนุ่มกลับมาตระหนักว่าแท้จริงเเล้วรักคืออะไร ความชิดใกล้ผันเปลี่ยนเป็นความผูกพันที่มากยิ่งขึ้น ความสงสารอาทรอีกฝ่ายกลายเป็นความทะนุถนอม มันจะเลยเถิดไปถึงความรักไหมนะ

“ถามทำไมกัน ฉันแยกได้นะ”ชายหนุ่มเอ่ย เข้าไปสัมผัสศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา แววตาของเจ้าตัวสั่นไหว

“...แต่อินน์รู้สึกแปลกๆ”อินทนิลพึมพำ คิ้วขมวดแน่นนอนงอตัวราวกับหนาวเหน็บ ภูวรินทร์หนักอึ้งในใจ เขาจับไหล่ของอินทนิลไว้เบาๆ

“ฉันขอโทษนะ”

“อืม”อินทนิลส่งเสียงกลับมา ก่อนจะหลับตาลง เขามองอินทนิลอยู่อย่างนั้นจนเจ้าตัวหลับไปอีกครั้ง ภูวรินทร์ลงไปชั้นล่าง เข้าไปในครัวก็เจอกับป้าษอร เธอกำลังเตรียมอาหารมื้อเที่ยงให้เขา ท่าทางเหมือนไม่สนใจตนนัก

“...ขึ้นไปดูอินน์หน่อยสิครับ ป่านนี้ยังไม่ยอมลุก”เขาบอก ตอนนี้ต้องให้ป้าษอรช่วย เธอเงยหน้ามองเขาช้าๆ หยุดมือจากการทำครัว

“ได้ค่ะ...”เธอตอบ ไม่ยิ้มแย้ม แต่ก็ยอมถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความอึดอัด นี่เขาจะโดนเกลียดหรือไม่นะ

ภูวรินทร์เดินไปที่เรือนกระจกอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปด้านใน หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาผู้เป็นมารดา เขารอสายไม่นาน อีกฝ่ายก็รับสายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“สวัสดีจ้ะ”ปลายสายเอ่ย

“แม่ครับ...รู้ใช่ไหมว่า ผมต้องการถามอะไร”เขาไม่รอช้า เอ่ยขึ้นมาทันที ในตอนนี้ความโกรธลดลงไปมากเหลือเพียงความข้องใจเท่านั้น

“...เรื่องนั้น แม่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกความจริง แม่ไม่อยากให้ลูกรู้”แม่พูดด้วยความรู้สึกผิด ชายหนุ่มถอนหายใจ หากเขารู้ความจริงซะก่อน เรื่องคงออกมาต่างจากนี้

“ทำไมล่ะครับ ถ้าผมรู้ ผมคงไม่มาที่นี่”ผมพูด

“คิดแบบนั้นเหรอ แม่อุตส่าห์ให้แกไปทำงานที่เมืองนอก กลับทำตัวไม่เอาถ่านจนต้องมาอยู่บ้าน...”แม่เปลี่ยนมาฉุนเฉียวใส่เขาขึ้นมา.

“งั้นแม่รู้สถานการณ์ของผมหรือเปล่า เรื่องคำแช่งนี่ด้วย”เขาบอกต่อ

“ใช่ แม่รู้ แต่แม่พยายามแก้มาหลายสิบปีนี้ ทั้งเขาและแม่”คู่สนทนาพูดอย่างทดท้อใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้

“...แม่ยังคุยกับเขาอยู่ไหม”ภูวรินทร์ถาม หวังว่าแม่จะไม่ทำให้เขาผิดหวังมากไปกว่านี้

“ภู แกคิดแบบนี้ได้ยังไง”แม่ตอบกลับมาอย่างมีโทสะ ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยไปตามที่ใจคิด

“ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้วก็ดีครับ ไม่อยากให้บ้านเราแปดเปื้อน”มากไปกว่านี้ แม่ทำเสียงอึกอัก ก่อนจะพูดขึ้นมาเรียบๆ

“ตอนนี้แม่อยู่ที่วัด มาทำบุญ”

“ผมต้องทำอย่างไง”เขาพึมพำออกมา ดูเหมือนว่าแม่ไม่ห่วงใยเขามากนัก จนเขาพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย

“โทรหานิรุทเถอะ เขาคงช่วยได้”แม่บอก

“แม่”เขาโอดครวญ ผู้ชายที่เขาไม่รู้จัก และหนีหายไปแบบนั้น สมควรแก่การพูดคุยด้วยหรือ

“ลูกเชื่อเรื่องกงกรรมกงเกวียนไหม”อยู่ๆแม่ก็เอ่ยออกมา เขาถอนหายใจ

“ตอนนี้ก็ต้องเชื่อแล้วครับ ถ้าหาก...”ชายหนุ่มพูดไม่เต็มเสียง เขากังวลว่าถ้าหากมีใครต้องตายล่ะ เขาจะทำอย่างไร

“อย่ากลัวไปเลยภู ไม่มีใครหนีผลแห่งกรรมได้หรอก”แม่เอ่ยเสียงเศร้า เขาไม่ตอบอะไร แค่รู้สึกหดหู่ขึ้นมาแทน

“....เรื่องนี้อย่าคุยกับพ่อเลยนะ เขาไม่รู้”แม่พูด ชายหนุ่มชะงักงัน

“ไม่รู้เรื่องของผมเหรอ”เขาถามช้าๆ อยากปฏิเสธความจริงของผู้เป็นแม่

“ใช่จ้ะ...แม่ขอโทษนะลูก”

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“...ตอนนั้นแม่มีคุณพ่อแล้วแต่….”เขาแทบไม่ต้องฟังผู้เป็นแม่เล่าจนจบ ก็เดาเรื่องได้ ชายหนุ่มกดวางสายทันที เขารู้สึกอยากอาเจียน นึกถึงคำพูดของคุณแก้ว...ที่บอกเขามีสายเลือดของท่านหมื่น คุณนิรุทไม่ต่างไปจากรุ่นทวด ส่วนแม่ของเขา…ก็ไม่ได้ดีกว่านัก

ทำผิดซ้ำซากเสียจริง ไม่ผิดที่สกุลนี้โดนสาปแช่ง แม้แต่ตัวเขาก็ด้วย….


 ภูวรินทร์ปล่อยแขนลงข้างตัว ก่อนจะตั้งสติ พยายามสงบจิตใจ จากนั้นก็เดินกลับออกมาจากเรือนเพาะชำ เจอเข้ากับลุงชมเดินมาหาเขา

 “เจอคุณภูพอดี ผมให้คนเอาศพทารกไปประกอบพิธี และฝังลงที่โกฏิของคุณมณีแล้ว คุณภูจะไปตรวจดูไหมครับ”ลุงชม

“...ไม่ล่ะ”เขาตอบ ไม่อยากไปเจอเรื่องให้หดหู่อีก ลุงชมพยักหน้ารับ มองเขาเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย

 “มีอะไรเหรอครับ”เขาถามด้วยความสงสัย

“จำที่ผมเคยบอกไปได้ไหมครับ มีอาศรมตรงเชิงเขา ถ้าคุณอยากไปกราบไหว้ ผมพาไปได้”ลุงชมบอก ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ ชายหนุ่มพิจารณาถ้อยคำของอีกฝ่าย

“แล้วมันจะช่วยผมได้เหรอครับ”เขาพูด ตอนนี้ชายหนุ่มยอมรับกับชะตาของตัวเองไปแล้ว คงไม่มีทางออกสำหรับคำแช่งอายุ
เกือบเจ็ดสิบปี ลุงชมจับจ้องเขาด้วยสายตาไม่พอใจนัก

“คุณไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอครับ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ...แต่เรื่องคำสาปแช่ง มันไม่ใช่คุณไสยไม่ใช่เหรอ...เท่าที่ผมทราบ ตัวคนแช่งต้องอโหสิกรรมต่อผม และผมต้องไม่ถืออกุศลจิต”ชายหนุ่มบอก จำได้ขึ้นใจว่าอ่านจากหนังสือธรรมในห้องหนังสือในบ้าน ลุงชมเงียบไป

“คนแช่งเป็นมณี...”

“ถ้าหากไม่ใช่มณีล่ะครับ...ถ้าหากว่ามณีแช่งคุณแก้วที่คิดว่าท่านเป็นคนทำให้ตนเองแท้งลูก”ภูวรินทร์เอ่ยออกมา ตอนนี้เรื่องในอดีตที่ผ่านปากของผู้อื่นล้วนถูกแต่งเติม เขายึดความจริงที่เห็นในความฝันคงช่วยได้มากกว่าคำเล่าลือ ลุงชมเลิกคิ้วสูงอย่างไม่ปักใจเชื่อ

“งั้นเหรอครับ”

“ลุงเคยได้ยินชื่อคนรับใช้ของคุณแก้วไหม ที่ชื่อบัว...”เขาเอ่ยถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ทบทวนความทรงจำ ไม่นานก็เอ่ยบอกเขา

“อ้อ ครับ เคยได้ยินมาจาก ปู่ย่าของแม่อร...”

“พอจะรู้จักลูกหลานของบัวบ้างไหมครับ”

“...ไม่น่าจะอยู่แถวนี้กันแล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับ”ลุงชมถาม ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าควรบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่

“ไม่หรอก ผมแค่สงสัยเธอน่ะครับ”ภูวรินทร์ตอบ จากนั้นก็เดินไปดูปุ๋ยกับดอกไม้ประดับที่ถูกมัดกองกันไว้อย่างไร้ประโยชน์ นึกเสียดาย ไม่อยากเอาไปทิ้ง เพราะมันยังเติบโตได้ดี

“พวกนี้ยังมีประโยชน์อยู่…ไม่อยากเอาไปทิ้งขว้าง”เขาพูดออกมา ลุงชมเงียบ

“ในสวนก็จัดจนเต็มไปหมดแล้วครับ ผมเอาไปให้คนในหมู่บ้านเป็นบางส่วน”

“พวกเขาไม่ชอบคนบ้านนี้เหรอครับ”

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ คนรุ่นก่อนรู้เรื่องของหมื่นนรินทร์กันทั้งนั้น คนเขาคิดว่าคนสกุลนี้เป็นกาลกิณี”คำพูดของอีกฝ่ายระคายหูไม่เบา เขายิ้มไม่ถือสา ลุงชมเหลือบมองเขาแล้วเหลียวไปมองทางประตูหลังบ้านที่เปิดไว้ อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเกรงกลัว

“ดูเหมือนว่าคุณภูจะทำให้แม่อรโกรธนะครับ”จบคำพูด ลุงชมหลบตาเขา คงเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของตน

“โกรธเหรอ”เขาไม่แปลกใจนัก ไม่คิดว่าลุงชมจะมาบอกเขาแบบนี้

“ใช่ครับ เรื่องอินน์ คุณน่าจะไปขอโทษนะครับ”

“ทำไมผมต้องขอโทษด้วยล่ะ”ภูวรินทร์ถาม อาจจะฟังดูถือดีก็เถอะ แต่เขาต้องไปขอโทษแม่บ้านน่ะเหรอ ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ษอรก็เหมือนแม่อินน์นั่นแหละครับ เป็นห่วงเป็นธรรมดา”ลุงชมบอก ทำให้เขากลับเอามาคิด

“คงรักเหมือนลูกนะ”เขาพึมพำ ก่อนจะปล่อยให้รอยยิ้มเลือนหายไป... รักดั่งลูก เขานึกไปถึงบัว

 ลุงชมเหลือบมองเขาเงียบๆ ก่อนจะเดินกลับไปทำงานในสวนต่อ ชายหนุ่มรู้สึกมืดแปดด้าน จะว่าไปป้าษอรก็อยู่ดูแลบ้านมาตลอด คงจะทราบความเป็นไปของคนในบ้านเป็นอย่างดี ชายหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดไร้สาระออกไป

ภูวรินทร์ได้ยินเสียงคนงานดังมาจากทางเรือนปั้นหยา เขาเดินตรงไปทิศทางนั้น เดินลัดเลาะไปตามรั้วบ้านใหญ่ ก่อนจะเดินข้ามประตูขนาดเล็กที่เปิดอ้าไว้ ที่สวนของเรือนปั้นหยา มีคนงานสองคนที่พอคุ้นหน้าคุ้นตากำลังตัดแต่งต้นแก้วอยู่ ทั้งสองคนยกมือไหว้เขาตามมารยาท

“ทำโกฏิเสร็จแล้วเหรอ”เขาถาม เหลือบมองไปทางชายป่าใกล้กับเรือน มีเสียงนกร้องดังเซ็งแซ่ออกมา

“เสร็จแล้วครับคุณ ให้ผมพาไปไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก ว่าแต่ สวนของที่นี่ ลุงชมดูแลด้วยเหรอ”ชายหนุ่มถาม เพราะบ้านหลังนี้ไม่ได้รับการดูแล มันเก่าโทรมต่างจากบ้านใหญ่ มันแปลกที่ลุงชมเลือกดูแลแค่สวนต้นแก้วเท่านั้น หรือเพราะอินทนิลกันนะ

“ครับ เพราะไม่อยากปล่อยให้รกไปเปล่าๆ สวนที่นี่ยังพอดูแลรักษาได้ครับ”อีกคนที่อายุน้อยกว่าตอบ

“งั้นเหรอ...ว่าแต่เคยเห็นอะไรแปลกๆที่บ้านนี้ไหม”เขาลองเอ่ยออกไปดู หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงหัวเราะเรื่องพวกนี้แน่นอน คนงานทั้งสองคนเก็บกรรไกรตัดหญ้า ก่อนจะเหลียวมองกันไปมา

“จะว่าแปลก ผมว่ามันคงแปลกตั้งแต่คุณมาอยู่ที่นี่แล้วนั่นแหละ...”เขาชะงักค้าง ไม่คิดว่าคนงานจะพูดต่อหน้าเขาเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มไม่ถือสา “ทำไมล่ะ”

“บ้านนี้มันเก่า ไม่มีคนอยู่มาจะสิบปีแล้วครับ เจ้าของคนก่อนยังไม่มาชายตาแล จะมีก็แค่ตาชมกับป้าษอรที่คอยมาอยู่ที่นี่”สองคนนั้นจ้องไปทางรั้วบ้านก่อนจะส่ายหน้า

เขาไม่เอ่ยอะไร สองคนนั้นเลยพูดต่อ

“เขาว่ามีผีเด็กด้วยนะ”อีกคนเล่า

“ผีเด็ก...”ภูวรินทร์หน้าเปลี่ยนสี

“ไม่ใช่ผีทารกในโหลนั่นนะคุณ....เป็นผีเด็กในบ้าน เมื่อก่อนป้าษอรมีหลานอยู่คน แต่ก็หมดบุญไปซะก่อน”

“ก็ยังอยู่ไม่ใช่เหรอ...”ภูวรินทร์บอก นึกถึงอินน์ขึ้นมา เขาแน่ใจว่าเจ้าตัวไม่ใช่ผีสาง คนงานทำหน้ามึนงง ก่อนจะมองหน้ากันแล้วเอ่ยช้าๆ

“หืม หมายถึงอะไรเหรอครับ”

“หมายถึงหลานป้าษอรน่ะ”อินทนิล สองคนนั้นมองหน้าเขาเขม็ง

“เอ่อ ไม่น่านะครับ ตอนนั้นป้ามันยังตามหมอมาดูเลย แต่ก็ไม่รอด”

“อ้อ....เข้าใจล่ะ”ภูวรินทร์พึมพำ รีบเดินออกห่างจากคนงานสองคนนี้ ด้วยความสับสน ทำไมไม่มีใครรู้ว่าอินทนิลยังอยู่ล่ะ วันที่เจอโครงกระดูกคุณแก้ว อินทนิลยังอยู่กับป้าษอรเลยไม่ใช่เหรอ “สงสัยคุณจะโดนผีหลอกแล้วล่ะ”สองคนนั้นเอ่ยพึมพำ ภูวรินทร์ไม่เข้าใจคนบ้านนี้เลยสักคนเดียว เป็นบ้าอะไรกันหมด ป้าษอรเหมือนจะเป็นตัวต้นเหตุ เพราะอินน์เกือบเอาชีวิตไม่รอด เลยไม่ป่าวประกาศว่าหลานยังไม่ตายงั้นหรือ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในครัว แต่ไม่เจอเธอ เขาเดินกลับไปยังห้องนอน พบว่าป้าษอรกำลังป้อนยาให้อินทนิล เด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ใบหน้าสดชื่นกว่าตอนที่เขาเห็นครั้งล่าสุด อินทนิลมองภูวรินทร์ที่เดินเข้ามาหาที่เตียงก่อนจะหลบสายตาเขาไปมองทางหน้าต่างแทน

ชายหนุ่มมองไปที่หัวเตียงมีช่อดอกแก้ววางไว้แทนพวงมาลัยเมื่อเช้า. ป้าษอรเก็บยาและถ้วยข้าวต้มใส่ถาด

“ผมมีเรื่องจะคุยกับป้าครับ ขอคุยด้วยหน่อยสิ”เขาบอก อินทนิลหันมองเขา

“ได้ค่ะ ไปรอป้าที่ห้องหนังสือก่อน ป้าขอเก็บของสักครู่ค่ะ”เธอบอกจากนั้นก็ยกถาดออกไปด้านนอกห้อง ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับอึ้งไป ใครเป็นเจ้าของบ้านกันแน่…อย่างกับว่าเขาเป็นแขก และเธอเป็นเจ้าบ้านยังไงยังงั้น เขาส่ายหน้า นึกถึงคำพูดของคนงาน ที่ว่าป้าษอรอยู่ดูแลบ้านมานาน บางทีเธออาจจะเผลอตัวคิดส่าบ้านหลังนี้ไม่ต่างอะไรจากบ้านของเธอ…
‘ไม่เจียมตัว'เสียงเล็กๆจากก้นบึ้งเอ่ยกระซิบ ชายหนุ่มรีบสะหลัดความคิดก้าวร้าวถือดีออกจากศีรษะไป บ้าจริงๆ
ต่อให้บ้านหลังนี้เป็นของเขา แต่ก็ได้มันมาอย่างไม่ถูกต้องจากคนรุ่นก่อน

“อย่าคิดมากเลยครับ…ษอรแค่เคืองคุณภูนิดหน่อย ไม่ได้คิดถือดีกับคุณหรอก”อินทนิลเอ่ยขึ้นมา ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าตัวอีกครั้ง เด็กหนุ่มยิ้ม เขาเดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปแตะหน้าผาก สัมผัสอุณหภูมิของร่างกายของอีกฝ่าย อินทนิลหน้าแดงขึ้นมา

“หากไม่ดีขึ้น คงต้องพาไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ”เขาบอก

“ไม่ครับ อินน์ไปไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะ”เขาถาม

“…คนที่ตายไปแล้ว จะไปหาหมอได้ยังไงกัน”อินทนิลมองเขาด้วยความเศร้า นัยน์ตาสีนิลหม่นลง

“งั้นก็หายไวๆนะ ฉันเป็นห่วง”ภูวรินทร์กล่าว ยิ้มให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะเอนตัวลงนอนกับเตียง ชายหนุ่มเห็นว่าอินทนิลกำลังจะงีบหลับเลยเดินออกมาจากห้อง เขามองไปยังโถงชั้นล่าง ไม่เห็นเงาของป้าษอร เขาจึงเดินไปตามทางเดิน ผ่านห้องเดิมที่เป็นของคุณแก้วมาก่อนที่จะถึงห้องหนังสือ เขาเปิดประตูเข้าไป เปิดอ้ากว้างไว้แบบนั้นก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างไว้ ได้ยินเสียงสาดซ่าของน้ำพุที่สวน

จากนั้นจึงนั่งที่โซฟารอคอยเวลาอยู่เงียบๆ นึกถึงคำพูดของอินน์แล้วใจสั่นคลอน คนที่ตายไปแล้วงงั้นเหรอ... อินทนิลมีตัวตนแค่ภายในบ้านหลังนี้ เจ้าตัวเคยออกไปไหนหรือเปล่า แต่อินทนิลยังไปเรียนหนังสือในเมืองเลยไม่ใช่หรือ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:12:26 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
(ต่อ ตอนที่ 11 อดีตของหมื่นนรินทร์)

รอไม่นาน ป้าษอรเดินเข้ามาที่ห้องหนังสือ เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมากนัก ชายหนุ่มมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน “นั่งก่อนสิครับ”เขาบอก เพราะป้าษอรยังไม่ยอมนั่งลง เธอยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเขา เธอยิ้มใจดี

“ไม่ดีกว่าค่ะ...”เธอบอก ภูวรินทร์ยิ้มออกมาอย่างอดทน ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องทันที “ผมเจอคนงานที่สวน บอกว่าที่นี่มีผีเด็ก”เขาเอ่ย มองไปที่ป้าษอร

“เป็นธรรมดาค่ะ พวกคนงานบางคนไม่ค่อยได้เห็นอินน์บ่อย อินน์ก็เพิ่งออกมาด้านนอกบ่อยๆ ก็ตอนที่คุณมา อีกอย่างถ้ามาเจออินน์ช่วงมืดค่ำ วิ่งเล่นอยู่ในบ้าน ก็คงตกใจกันไปเอง พอดีกับที่บ้านหลังนี้มีเรื่องเล่าลือก็ยิ่งกลัวกันไปใหญ่…”

 เขาถอนหายใจ “อินน์ป่วย แต่ป้าไม่ยอมพาไปโรงพยาบาล...เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”ป้าษอรยิ้มเจื่อนลง เธอดูเสียใจ “แค่เฉพาะกับที่นี่ค่ะ …”

“คนที่นี่รับรู้ว่า อินทนิลตายไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วค่ะ ตอนที่อินน์ป่วยหนัก หมอก็ยังมาดูอาการอยู่ที่บ้าน…คนในหมู่บ้านก็รู้ว่าอินน์มันคงไม่รอด รู้แบบนี้ ป้าคงไปตั้งแต่แรกว่าอินน์มันฟื้นปาฏิหาริย์ก็ดีนะคะ อินน์จะได้กลับมาอยู่ที่นี่แบบไม่ต้องหลบซ่อน”เธอเอ่ย มองมาที่เขานานจนอึดอัด

“งั้นในทางกฎหมายอินน์ก็ไม่มีตัวตนน่ะสิ แล้วเข้าเรียนได้ยังไงกัน”เขาถาม มองป้าษอรนิ่งๆ เธอมีท่าทีกังวลใจ

“...มันคงไม่ยากอะไรนี่คะ...มีคุณนิรุทช่วย แต่ก็ต้องใช้ชื่อของคนอื่น”ป้าษอรเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด ชายหนุ่มเงียบ หมายความว่าสวมบัตรคนอื่นงั้นเหรอ

“คุณช่วยลืมเรื่องนี้ไปได้ไหมคะ ป้าแค่หวังให้อินน์ปลอดภัย ถึงได้ขอให้คุณช่วยดูแลอินน์มัน”ป้าษอรเอ่ยกับเขา ชายหนุ่มอึดอัดกับสายตาที่จ้องมาจากเธอ แน่ล่ะ เรื่องนี้เขาไม่สนใจนักหรอก

“ช่างเถอะครับ...ว่าแต่ทำไมถึงยังดูแลสวนที่เรือนหลังนั้นล่ะครับ”

“อินน์อยากให้ดูแลค่ะ คงน่าเสียดายถ้าปล่อยให้ตายไป ในเมื่อบ้านไม่มีใครต้องการแล้ว อินน์มันเลยอยากเก็บสวนไว้ค่ะ”

“ป้าคิดว่าคำแช่งของคนสกุลภิรมย์สุขมาจากใครเหรอครับ”ภูวรินทร์เอ่ยช้าๆ เขามองป้าษอรอยู่ตลอด เธอดูแปลกใจที่เขาถามขึ้นมาแบบนี้ เธอเหลือบมองไปที่หน้าต่างทางด้านหลังของเขา

“...ไม่ได้มาจากคุณแก้วเหรอคะ”ป้าษอรพูด แววตาเหมือนสั่นไหว ชายหนุ่มถอนหายใจ พิจารณาหญิงท้วมคนนี้ไปด้วย จำครั้งแรกที่ติดต่อเธอเรื่องการซื้อบ้าน เธอดูสุภาพ ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องประวัติของเจ้าของคนเก่า โดยเฉพาะเขาที่หน้าตาถอดแบบมาจากท่านอา หากเขาไม่ถาม ป้าษอรไม่เคยแง้มเอ่ยความจริงออกมา

“ผมว่าไม่ใช่หรอก คุณแก้วน่าสงสาร ไม่ได้มีความโกรธแค้นคนสกุลนี้ จะเป็นบัวได้ไหมครับ พอรู้มาบ้างว่าเธอรักเอ็นดูคุณแก้วเหมือนลูก คุณแก้วก็มั่นใจว่าบัวเป็นคนทำมณีแท้ง... ซ้ำยังเกลียดท่านอาไม่ต่างกัน”ชายหนุ่มพูด ป้าษอรนิ่งเงียบ เธอยืนมองเขาอยู่แบบนั้น

“บัวน่ะเหรอคะ... คนรับใช้ของคุณแก้ว คุณทราบได้ยังไงกัน”

“ป้าก็น่าจะรู้ว่าบ้านหลังนี้มีอดีต อีกอย่างวิญญาณของคุณแก้วก็ยังคงอยู่ ถึงไม่เคยออกมาปรากฏในรูปของผีสาง”เขาเอ่ย แต่มาปรากฏในร่างของอินทนิลแทน ทำให้อินทนิลที่เหมือนตายไปแล้ว ได้ต่อชีวิต ที่ครึ่งๆกลางๆ ป้าษอรกุมมือเข้าหากัน

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คุณภูจะแก้ไขอย่างไรเหรอคะ”

“...ไม่รู้เหมือนกัน... คำสาปแช่งไม่ใช่สิ่งดี ทั้งต่อผู้แช่งและผู้ถูกแช่ง คงต้องให้อีกฝ่ายยอมอโหสิกรรมแก่กันล่ะมั้งครับ แต่ผลของมันทำลายครอบครัวนี้ไปเยอะ...”ภูวรินทร์มองป้าษอรอยู่เงียบๆ เขาไม่มีหลักฐาน ไม่สามารถกล่าวอ้างออกมาได้ ว่าป้าษอรอาจเป็นคนในอดีตชาติมาเกิด ...เช่นเดียวกับเขาหรือไม่

“นั่นสิคะ จิตใจคนแช่งจะต้องโหดร้าย ไม่อย่างนั้นคงแช่งไม่ขึ้นหรอกค่ะ”เธอบอก ชายหนุ่มผงะไป ...โหดร้ายงั้นเหรอ... บัวเอง ก็โหดร้ายพอจะฆ่าชีวิตของทารกที่ยังไม่ลืมตามองโลกเช่นกัน... เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหาป้าษอร

“ไม่ต้องห่วงว่าผมจะไม่ดูแลอินน์ ผมไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น”เขาบอก ก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือด้วยใจที่หนักอึ้ง ต่อให้อินทนิลจะมีชีวิตหรือไม่มี เขาก็ต้องอยู่ดูแล ไม่ใช่เหรอ ถ้าหากสิ่งที่เขาคาดเดาเป็นจริง บัวคือคนที่แช่งคนสกุลภิรมย์สุข ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม เธอคงต้องเจอกับความทุกข์ไม่ต่างจากเขาหรอก

ภูวรินทร์เดินกลับไปที่ห้องนอน เห็นอินทนิลยังคงนอนอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาก่อนจะนั่งลงบนเตียง มองใบหน้ายามหลับของเด็กหนุ่ม ผิวพรรณของเจ้าตัวเริ่มดีขึ้นเพราะได้ยา และนอนพักผ่อน เหมือนว่าตั้งแต่เจอโครงกระดูกของคุณแก้วไป อินน์ก็ดูไม่แข็งแรงเหมือนเก่า ลึกในใจภูวรินทร์กลัว เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ต้องทุกข์ทรมาน เหมือนเช่นในความฝันของเขา

ชายหนุ่มเอื้อมไปสัมผัสแก้มของอินทนิล แต่แล้วก็ชะงักมือไป เพราะเขาไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้อินน์เป็นแบบนี้ เขาละอายใจ พลันนึกถึงคุณแก้ว อีกฝ่ายจะมีความละอายใจบ้างหรือเปล่า

ขณะเดียวกันภูวรินทร์รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นร้อนที่เข้ามาจับมือเขาไว้

“...ตื่นแล้วเหรอ”ชายหนุ่มถาม มองอินทนิลที่ลืมตา มองเขาอยู่เช่นกัน

“คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก อินน์แค่ป่วยนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ”อินทนิลบอก น้ำเสียงใสกว่าเมื่อครั้งก่อน เขายิ้ม เมื่ออีกฝ่ายขยับร่าง เอนศีรษะลงนอนกับต้นขาของเขา อินทนิลนอนหันหลังให้ เหมือนว่าช่วงบ่าของเจ้าตัวจะดูเล็กไปถนัดตาเพราะผอมลงไปเยอะ

“เธอเป็นเด็กดีนะ ฉันคงเสียใจแย่ ถ้าเธอต้องหายไป”เขาพูดออกมาตรงๆ อินทนิลหายใจสะดุด แต่ยังคงนอนซบกับต้นขาของเขา

“อินน์ไม่ไปไหนหรอก เชื่อสิ ว่าท่านจะต้องช่วยอินน์ได้”อินทนิลเอ่ย ทำเอาเขาขมวดคิ้ว เจ้าตัวเอ่ยถึงคุณแก้วอีกแล้ว แล้วก้มมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับตา ยังคงจับมือเขาไม่ปล่อย จนเขาเลิกกังวลใจ

“เธอเข้าวัดได้หรือเปล่า”สิ้นคำพูดของเขา อินทนิลปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วลืมตาขึ้น พลิกตัวนอนหงายเพื่อคุยกับเขาให้สะดวก

“วัดหรือ... ที่นี่มีแค่อาศรมของพระรูปหนึ่ง คงเข้าได้ครับ”อินทนิลตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เขาเลิกคิ้วแปลกใจ

“ยังไม่เคยเข้าวัดงั้นเหรอ”เขาถาม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น เด็กหนุ่มย่นคิ้ว ดวงตาใสจ้องมองเขา

“อืม ไม่เคยนะครับ แต่อินน์ไม่ใช่ภูตผีปีศาจที่ไม่สามารถเข้าใกล้พระพุทธองค์ไม่ได้”เจ้าตัวตอบ ทำให้เขาผ่อนคลายจิตใจลงได้บ้าง “ทำไมเหรอครับ”

“บางครั้งคนเราก็ต้องมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไว้บ้าง... อย่างน้อยใจของฉันจะได้ไม่มีอกุศลจิตมากนัก”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ จ้องมองลงไปในนัยน์ตาสีนิลที่ดูเจิดจ้าสำหรับเขา อินทนิลคลี่ยิ้ม “ถ้าคุณภูอยากไป อินน์ก็ไปด้วย”เด็กหนุ่มพูดก่อนจะหลับตาลง ชายหนุ่มนั่งนิ่ง เขาคิด อย่างน้อย กิเลสมารของตนเองจะได้ไม่กัดกินจิตใจมากไปกว่านี้

มันชัดเจนเมื่อเขารู้สึกละโมบต่อบ้านหลังนี้ บ้านเก่าที่ไม่มีใครต้องการ นี่คงไม่ใช่ผลจากคำสาปแช่งสินะ


ค่ำคืนที่คล้ายกับมีลางร้ายกำลังก่อตัว หมื่นนรินทร์ยังคงกระสับกระส่ายอยู่เตียงหลังใหญ่ ฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด เสียงกัมปนาทของฟ้าร้องผสานให้ค่ำคืนนี้ดูน่ากลัวมากขึ้น ภายในห้องกว้างมีเพียงตน ภรรยาย้ายหนีหน้าเขาไปนับแต่รู้เรื่องของตนและแก้ว แม้แต่การสัมผัสท้องของหล่อนกไม่อาจทำได้ ยามนี้คงท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว

ระหว่างนั้นเองมีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกห้อง หมื่นนรินทร์ขยับตัวลุกลงจากเตียงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมแล้วรีบเดินออกจากห้อง เมื่อเปิดประตูออก ภายในบ้านสว่าง เสียงฟ้าร้องคำรามดังเป็นระยะ ขับให้บ้านหลังนี้เหมือนตกอยู่ในหายนะ เขาเดินไปทางระเบียงหน้าห้อง มองไปทางฝั่งขวามือ เดิมทีห้องนี้ เป็นห้องของแก้วมาก่อน ในตอนนี้เป็นของมณีไปแล้ว คนรับใช้วิ่งกันให้วุ่น

‘เกิดอะไรขึ้น’หมื่นนรินทร์ถามอย่างร้อนใจ สาวใช้หน้าซีดตัวสั่น

‘คุณผู้หญิงอาเจียนไม่หยุดเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะคลื่นไส้แพ้ท้อง แต่อาเจียนรุนแรงมากค่ะ เป็นแบบนี้มา...’หมื่นนรินทร์ไม่ฟังคำของสาวใช้จนจบ รีบเข้าไปหามณีโดยเร็ว เข้าไปภายในห้อง บนเตียงร่างของหญิงสาวในชุดคลุมท้องกำลังร้องไห้โอดอวย ใบหน้าเปื้อนน้ำตา รอบเตียงมีคนรับใช้คนสนิทกำลังป้อนยาให้

‘ไปบอกให้หวั่นเตรียมรถ เร็วเข้า’หมื่นนรินทร์ออกคำสั่งอย่างร้อนรน ก่อนก้มมองมณีที่ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนขาดน้ำ คนรับใช้รับคำ วิ่งออกไปนอกห้อง หมื่นนรินทร์ก้าวไปหาภรรยา เข้าไปดูอาการของเธอ ก่อนจะเอื้อมไปจับท้องของมณี แต่แล้วเธอก็ปัดป่ายมือของเขาออก ดิ้นรนไปมา จนสาวใช้ต้องมาประคอง มณีน้ำตาไหลพราก

‘เธออดทนหน่อยนะ’หมื่นนรินทร์เอ่ยอย่างปลอบประโลม ใบหน้าซีดเผือก สายตาจ้องมองท้องกลมโตที่ดูแปลกพิกล
มณีหวีดร้อง สองมือกุมท้องกลมโตไว้แน่น ใบหน้าวาววับด้วยน้ำตา เธอร้องไห้สะอื้นไม่ขาดสาย ท่านหมื่นถอยหลัง เลือดกองโตไหลซึมผ่านชุดคลุมท้องจนแผ่กระจายไปทั่งเตียงนอน

‘เร็วเข้าสิ ช่วยลูกฉันสิ’ท่านหมื่นกระวีกระวาดใส่คนรับใช้ เขาไม่อาจรีรอให้คนไปตามหมอมา ในเวลานี้พามณีไปส่งโรงหมอน่าจะรวดเร็วกว่า คนรับใช้ชายรูปร่างสูงใหญ่หอบร่างของมณีลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง แม้ว่าฟ้าฝนกำลังตกลงมาอย่างหนัก
เพียงไม่นานนายหวั่นก็เอารถออกมาจอดรอที่หน้าชานบ้าน ในใจของหมื่นนรินทร์ร้อนรน มองเลือดที่ซึมผ่านชุดคลุมท้องอย่างพูดไม่ออก ลึกในใจตนนั้นรู้ดีว่า เด็กในท้องอาจไม่รอด..

 ‘อย่าให้ลูกฉันตายนะท่านหมื่น’มณีร้องบอก ระหว่างถูกนำตัวเข้าไปด้านในรถ สายตาที่มองมองมาเหมือนเกลียดชังเขาเหลือล้น นายหวั่นเข้าไปประจำที่คนขับรถ หมื่นนรินทร์ตามเข้าไปนั่งข้างภรรยาอย่างเป็นห่วง พยายามปลอบเธอให้สงบลง แม้ว่าตลอดทางมณีเอาแต่สะอื้น เมื่อส่งตัวมณีถึงโรงหมอ ตนก็เบาใจ ได้แต่รอฟังอาการอยู่ด้านนอก เดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง นายหวั่นยืนนิ่ง ไม่ได้พูด

‘ตอนเกิดเรื่อง แก้วอยู่ไหน’หมื่นนรินทร์หันไปถามนายหวั่น

‘อยู่ที่เรือนครับท่าน’อีกฝ่ายตอบ หมื่นนรินทร์ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หากลูกของเขาไม่รอดล่ะก็... เขาไม่ปล่อยคนที่ทำเรื่องบัดซบไว้อย่างแน่นอน แก้ว....อย่าบอกนะว่าเธอทำสิ่งเลวร้ายลงไป เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เชื่ออย่างหนักแน่นว่าแก้วไม่น่าใจคอโหดร้าย

“หมอช่วยแม่เด็กได้...ส่วนเด็กไม่รอดครับ เหมือนว่าภรรยาของคุณจะถูกพิษ”หมอเดินมาบอกผลรักษา ราวกับว่าท่องหนังสือให้เขาฟัง ท่านหมื่นกำมือแน่น ก่อนจะปิดปากคล้ายอยากอาเจียน ทรุดลงนั่ง ภรรยาเกลียดชังเขาไม่เหลือดี เขาเสียลูก....เสียไปแล้ว...นึกถึงคำพูดของเจ้าหมื่น ผู้เป็นพี่ชายแล้วต้องก้มหน้าลง ปิดซ่อนความอัปยศไว้

‘เรื่องแก้ว ฉันไม่โกรธเกลียดแกเลย แค่แกดูแลลูกฉันให้ดีๆก็พอ...’เจ้าหมื่นประดิษฐ์เอ่ยอย่างอ่อนแรง ใบหน้าซีดเซียว ร่างที่เคยสมบูรณ์บัดนี้ผ่ายผอม มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าป่วยหนัก ผู้เป็นน้องชายเช่นหมื่นนรินทร์พูดไม่ออก อย่างน้อยผู้เป็นพี่ยังเข้าใจเขา

'เกิดอะไรขึ้นรึ'

'...แกก็รู้ว่ากิ่งกับไกรรังแกแก้วบ่อยๆ’เจ้าหมื่นส่ายหน้า แววตาเศร้าลง

'อย่าห่วงเลย ยังมีฉันอยู่'หมื่นนรินทร์บอก อย่างน้อยกิ่งกับไกรไม่ได้มารังแกแก้วอีก เมื่อมีตนอยู่

'ดีๆ ฉันอยู่ได้ไม่นาน... มีเรื่องสำคัญที่ฉันอยากบอก...แค่แกห้ามบอกใครนะนรินทร์'เจ้าหมื่นประดิษฐ์เรียกให้ผู้เป็นน้องขยับเข้ามาใกล้ หมื่นนรินทร์รับคำ 'ได้สิ'

'บ้านหลังนี้กว่าจะสมบูรณ์ได้ ฉันต้องต่อเติมเปลี่ยนอะไรไปตั้งมาก ยังดีที่คหบดีคนก่อนไม่ได้ทำลายส่วนเก่าแก่งดงามไปซะก่อน สมัยนี้น้อยคนนักที่จะมีบ้านร่วมสมัยเช่นนี้ ฉันจึงอยากให้บ้านเป็นสมบัติของตระกูล’

'อืม ได้สิ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น’หมื่นนรินทร์พูด แม้ใจจะอยากได้บ้านหลังนี้มาครอบครอง แต่ถ้าเป็นของแก้วก็คงไม่ต่างกัน

'แต่....แกจำเมียฉันได้ไหม'อีกฝ่ายเอ่ยก่อนจะไปออกมาหลายครั้งจนตัวโยน หมื่นนรินทร์มองอย่างกังวลใจ

'กว่าฉันจะมาที่นี่ เมียพี่ก็เสียไปก่อน มีอะไรหรือ'

'ตอนที่เมียฉันคลอดลูกคนสุดท้าย...เด็กคนนั้นหมดบุญไปซะก่อน'เจ้าหมื่นเอ่ยอย่างหมดแรง

'...อย่าอำน่า'หมื่นนรินทร์รีบพูด คนสุดท้องหมายถึงแก้วน่ะเหรอ...

'แก้ว เป็นลูกหญิงอื่น'เจ้าหมื่นเอ่ยช้าๆ หมื่นนรินทร์นิ่งงัน มองไปที่พี่ชายอย่างไม่นึกเชื่อ พูดอะไรไม่ออก ...แก้ว เป็นลูกของใครกัน...

'แต่ก็ยังเป็นลูกที่เกิดจากฉัน แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้...'

‘จะบอกว่าท่านมีหญิงอื่นหรือ หล่อนท้องลูกของท่านพอดีงั้นสินะ ถึงได้นำลูกของนางมาให้เมียท่านเลี้ยง’หมื่นนรินทร์เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ เจ้าหมื่นนิ่งเงียบ พยายามอธิบายสิ่งที่อยากร้องขอแก่น้องชาย

'แก้วเป็นลูกของใคร...'หมื่นนรินทร์ถาม เจ้าหมื่นไม่ตอบ เพียงแค่ยื่นมือผอมบางไปจับมือหนุ่มแน่นของอีกฝ่าย

‘ฉันถึงได้บอกว่า ฝากแกดูแก้วด้วย เด็กคนนั้นจิตใจดี และฉันยกบ้านให้แก้ว อย่างน้อยยังมีแกที่คอยดูแลลูกฉันอีกที’

‘ไม่ลำเอียงไปหรือ’

‘ไม่หรอก...กิ่งและไกรไม่เหมาะสม’

‘ท่านไม่รักลูกของเมียเอกงั้นเหรอ ...ท่านคงจะรักแม่ของแก้วมากสินะ’หมื่นนรินทร์เอ่ย รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก พี่ชายของตนทำไม่ถูก ยกบ้านให้ลูกคนเล็ก ซ้ำยังเป็นลูกของ..ชู้รัก

‘แค่รับปากฉัน’

‘...ได้สิ’หมื่นนรินทร์ยอมรับปาก แม้ใจจะปฏิเสธ เขาหวนนึกถึงแก้ว ทั้งๆที่เด็กคนนี้ไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลไว้แท้ๆ เหตุใดพี่ชายตนถึงยังคิดมอบบ้านให้สืบทอด ไม่ยุติธรรมต่อลูกอีกสองคนที่เกิดกับหญิงตามกฎหมาย แล้วแม่ของแก้ว เป็นผู้หญิงบ้านไหนกัน

หมื่นนรินทร์เคร่งคิด พิจารณาว่าหญิงคนนั้นเป็นรักของเจ้าหมื่น ไม่อย่างนั้นจะยกบ้านให้ลูกชายเธอไปทำไม ใครกันนะ...ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถามเจ้าหมื่นก็คงไม่ตอบ

หรือว่าจะเป็น...บัว?

หญิงรับใช้ที่คอยดูแลแก้วมาตั้งแต่เล็กๆ หลังจากที่เมียเจ้าหมื่นเสียไปหลังจากที่เอาแก้วมาเลี้ยงได้สองปี หญิงรับใช้คนนี้ก็โผล่มาที่บ้าน มิน่าเล่า หล่อนถึงไม่ชอบหน้าตนนัก คงรู้ว่าตนคิดละโมบอยากครอบครองบ้านหลังนี้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:13:24 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
อ้าว ปมใหม่

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2

ออฟไลน์ สาว801

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
เหมือนจะคลี่คลายแต่กลายเป็นการเพิ่มปมขึ้นมาซะงั้น รอต่อปรั๊ย ยิ่งอ่านยิ่งอิน  :katai4:

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยิ่งอ่านยิ่งซับซ้อน 

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
เมื่ออ่านเรื่องนี้ถึงประมาณตีสาม สนุกมาก อยากรู้ทุกเฉลยแล้ว

แอบหลอนนิดๆ หรือไม่นิดนะ55

ปล.พอเช้าวันรุ่งขึ้นตื่นไปทำงานแทบไม่ไหว

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บัวเป็นแม่แก้ว?  :ruready

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 12 เจ้าของคำแช่งที่แท้จริง

ฝนยังคงตกหนัก ทำให้แก้วไม่สามารถออกไปจากเรือนกระจกได้ ระหว่างนั้นเกิดอาการกลัวขึ้นมา ร่างผอมขยับลงไปนั่งอยู่หลังโต๊ะเพาะดอกพวงแก้วมณี มือข้างถนัดล้วงขวดแก้วขนาดเล็กออกมากำแน่นในมือ ในนั้นบรรจุผลของดอกดองดึง ในใจพลันหดรัด นึกไม่ถึงว่าพืชชนิดนี้จะอยู่บ้านของตน

  ...บัวหรือเปล่านะ... ภาพซ้อนทับระหว่างบัวที่แสนใจดีกับบัวที่ใจร้าย ตนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบมณี และโกรธเคืองท่านหมื่น
เพราะเหตุใดกัน เป็นเพราะเราเองงั้นหรือ คิดเช่นนั้นแล้วก็อดเสียใจไม่ได้ เสียงฟ้าร้องดังสนั่น ทำเอาสะดุ้งไปทั้งตัว หนาวสั่นเพราะตากฝน คิดในใจว่าคงป่วยอีกเป็นแน่ แม้ว่าตนจะอายุอานามไม่น้อยแล้ว ยี่สิบหกปีเต็มแล้ว ทว่าช่วงห้าหกปีที่ผ่านมา ร่างกายของตนไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน 

‘แปลก ใยถึงแสบร้อยเช่นนี้’ แก้วอดไม่ได้ที่จะบ้วนน้ำลายทิ้ง เพราะอาการร้อนชาด้านในปาก และลำคอทำให้ต้องรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ท้องไส้บิดมวนจนตัวงอ ไม่สามารถขยับร่างไปไหนได้สักพัก แก้วร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด สายตาพร่ามัวมองพยายามมองหาทางออก รีบผุดลุกขึ้นยืนพยายามวิ่งออกจากเรือนเพาะชำ อย่างน้อยต้องออกไปหาบัว

‘โอ้ย’ทั้งร่างทรุดลงกับพื้น ใจเต้นระส่ำ จนหายใจติดขัด ความรวดร้าวตีขึ้นมากลางอกจนน้ำตาซึม
...ดอกดองดึงจริงๆด้วย เป็นไปได้อย่างไร แก้วฝืนตัวให้ลุกขึ้นแต่กลับทรุดลงไปอีก ประกอบกับร่างกายไม่แข็งแรงเจอพิษร้ายของดอกดองดึงจึงยิ่งส่งผลร้ายหนักเข้า ร่างกายเริ่มอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเรื่อยๆ

‘ช...ช่วยด้วย บัว! ท่านอา!’แก้วร้องเรียกสุดแรง จนเหนื่อยหอบ ยิ่งออกแรงมากก็ยิ่งสิ้นเปลืองแรง ร่างกายคล้ายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เรี่ยวแรงที่มีหายไปปลิดทิ้ง โก่งตัวอาเจียนออกมาอีกระลอก แต่ไร้ซึ่งเศษอาหารมีเพียงน้ำเปรี้ยวขมตีขึ้นมาแทน น้ำตาเอ่อคลอไปทั้งสองตา

แก้วไม่คิดว่าจะต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ด้วยซ้ำ ต้องไม่ใช่เช่นนี้

ลำคอแสบชาไปหมดจนกลืนน้ำลายแทบไม่ได้ ขณะนั้นทั้งร่างคล้ายโดนไฟเผา เคยอ่านถึงพิษร้ายของเทียนหยด แต่ยังไม่เท่ากับดองดึงที่มันมีพิษไปทุกส่วน 

ผ่านนานเท่าใดไม่อาจรู้ จนกระทั่งประตูเรือนเพาะชำเปิดออกกว้างพร้อมกับร่างของหญิงคนหนึ่งวิ่งถลาเข้ามาหา สองตาพร่ามัวอย่างหนัก ภาพที่เห็นเบลอจนมองไม่ออก แต่ตนจำเสียงที่ร้องเรียกได้

บัว...

‘คุณแก้ว! เกิดอะไรขึ้น ลืมตาขึ้นมาสิ บัวจะไปตามคนมาช่วย ทำใจดีๆไว้ค่ะ’เธอร้องเรียกปนเสียงร้องไห้จนฟังออกยาก ภาพตรงหน้าคือคนรับใช้คนสนิทกำลังผุดลุกออกวิ่ง แต่แก้วออกแรงยื่นมือไปจับขาของอีกฝ่ายไว้ ไม่แรงที่จะฉุดรั้งได้ แต่ทำให้เจ้าตัวหันกลับมามองด้วยอารามตกใจ โถมตัวมาโอบทั้งร่างไว้แน่น

‘คุณแก้ว...’เสียงเรียกชื่อนั้นช่างเสียดแทงใจตน เหมือนว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้งั้นหรือ ถึงได้มีหยดน้ำหล่นลงมาบนแก้มของตนได้ ช่างรักเราเสียจริง

‘...ตอบเรามาสิ เป็นบัวหรือไม่ ที่ทำ...’แก้วพยายามเอ่ยออกมา แม้ทั่วทั้งลำคอจะถูกเผาไหม้จากพิษร้าย ปากแห้งแตกจนเจ็บไปหมด แต่ตนต้องเอ่ยออกไป ไม่อย่างนั้น คงไม่อาจตายอย่างสงบ

‘อย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ พยายามอีกนิดนะคะ’บัวร้องไห้ วางร่างของแก้วลงช้าๆ พยายามไม่ให้ร่างกายเจ็บปวด แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว

‘เราอยู่ไม่ไหวหรอก....โอ้ย...’แก้วไม่ทันพูดจบ ดิ้นพราด เมื่อแรงบิดจากด้านในกระเพราะทำให้เจ็บปวด ทำท่าอาเจียนออกมา แต่เช่นเดิมไม่มีสิ่งใดออกมา ได้ยินเสียงคนรับใช้ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ บัวลุกขึ้น ไม่วายคว้าขวดแก้วในมือของแก้วมาด้วย สองขาวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด ปากร้องเรียกนายหวั่นให้ตามหมอมา 

ประตูเรือนเพาะชำปิดลง มองไม่เห็นบัวแล้ว เสียงก็ไม่ได้ยิน แก้วร้องไห้ เพราะเช่นนี้ตนจึงถูกท่านอาเกลียด ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิด เพราะเหตุใดกัน …หรือว่าที่ตนต้องมาตกอยู่ในห้วงความเป็นความตายเช่นนี้เพราะมณี…ใช่สิ…มณีแท้ง เพราะพิษของดองดึง ในคราวนั้นจับมือใครดมไม่ได้ แต่มณีกล่าวโทษตน ทีแรกคิดว่าท่านอาจะเชื่อคำของตนแท้ๆ แต่ไม่เป็นผล เขากลับจองจำเราแทน

เหมือนว่าทุกอย่างเนิ่นนาน แก้วกึ่งหลับกึ่งตื่น สติสัมปชัญญะเลอะเลือน ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนร้องโวยวาย มีเสียงบัวเอ่ยแทรกออกมา อาจเป็นนายหวั่น

‘นายเอ็งไม่น่ารอดแล้ว โดนพิษไปเสียเยอะเพียงนี้’

‘ไม่จริง แกเอายามารักษาท่านสิ’เสียงบัวร้องอย่างหมดหนทาง แก้วพยายามลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้า เหมือนทุกอย่างมันหนักอึ้งไปหมด แม้กระทั่งจะขยับตัวยังทำไม่ได้ดั่งใจ

‘ที่ลูกมณีต้องตายเป็นเพราะเธอหรือ’แก้วเอ่ยช้าๆ บัวเข้ามาประคองร่างไว้ 

‘...อย่าบอกว่าทำเพื่อเรา เราไม่เคยร้องขอ’

‘หมื่นนรินทร์ไม่ใช่คนดีค่ะ ทำไมคุณถึงไม่เลิกหวังในตัวของท่านล่ะคะ’บัวเอ่ยทั้งน้ำตา มองดูแก้วแล้วคงไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้

‘...เรียกท่านอามา’แก้วบอก อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่มองหน้าของบัว และของท่านอาด้วย แม้ใจจะดิ้นรนเพียงใดแต่ก็ไม่อาจฝืนร่างกายได้ไปมากกว่านี้ น้ำตาไหลออกมาจนสิ้น ตอนที่ท่านอาตัดขาดกับเรายังไม่เสียใจเท่านี้

     ‘แก้ว!’เสียงเรียกสุดท้ายเหมือนกลั่นออกมาจากใจ ฟังแล้วดูเศร้ากว่ายามที่ตนเรียกท่านอาซะอีก บัวหายไป พร้อมๆกับจิตวิญญาณของแก้ว





       เหมือนฝันร้ายที่สุดในชีวิตของบัว แม้จะกล้ำกลืนความช้ำจากการต้องตกเป็นเพียงคนใช้ต่ำต้อย มอบลูกให้แก่ผู้อื่น มองดูคนอื่นอุ้มชูลูกในไส้ของตนเอง นางเบ่งลูกคนนี้ออกมาเองแท้ๆ แต่เหตุใดท่านประดิษฐ์กลับห่วงน้ำใจภรรยามากกว่าน้ำใจของตน นางมิใช่แม่คนเช่นกันหรือ

แต่ฝันร้ายของนางจบลงเมื่อภรรยาท่านประดิษฐ์ตายไป นางได้โอกาสเลี้ยงดูลูกชายผู้บอบบางจนเติบใหญ่ ไม่คิดว่าร่างกายจะอ่อนแอ มีโรคภัยบ่อยยิ่งกว่าคนรับใช้ชั้นแรงงาน พี่น้องในบ้านไม่รักใคร่ นอกจากพ่อแล้วใครจะดีต่อลูกชายของนาง... จนหมื่นนรินทร์ย่างกายเข้ามาในบ้านหลังนี้ คอยอุ้มชูแก้วตาดวงใจ ซ้ำยังลงทุนปลูกต้นแก้วไว้รอหลานชายเติบโต ไม่คิดว่าอาหลานจะรักใคร่กันกว่าที่ควร

นางคิดว่าดีแล้ว หมื่นนรินทร์ไม่ใช่ใครอื่น ซ้ำยังรักแก้ว ดูแลแก้วดีเพียงนี้ นางก็เบาใจ แต่ไฉนเลย พอสิ้นบุญของเจ้าหมื่นไป หมื่นนรินทร์กลับเปลี่ยนไป... ไม่รู้ว่าเจ้าหมื่นไปพูดเรื่องใดกับหมื่นนรินทร์ เขาถึงเปลี่ยนใจจากแก้วไป หัวอกแม่มีหรือจะทนได้
นางไปถามไถ่หมื่นนรินทร์อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงสายตาระแวงระวังจากอีกฝ่าย

...หรือว่าท่านประดิษฐ์จะเอ่ยความจริงกับหมื่นนรินทร์เข้า... รู้ว่านางเป็นแม่ของแก้วงั้นหรือ

‘เหตุใดท่านถึงทำร้ายคุณแก้ว’วันหนึ่งนางหมดความอดกลั้น เพียงไม่กี่ปีหลังท่านประดิษฐ์เสีย หมิ่นรินทร์เริ่มตีตัวออกห่างจากแก้ว ไปมาหาสู่น้อยลง สายตาไม่รักใคร่เช่นเดิม ยิ่งนานวันยิ่งห่างเหิน ไปราชการมณฑลอื่นบ่อยๆ

‘...แล้วเหตุใดเธอถึงเป็นเดือดเป็นร้อนนัก เป็นเพียงคนรับใช้ กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับฉันได้อย่างไร’หมื่นนรินทร์ในวัยสามสิบห้าปีเอ่ยอย่างถือดี

‘...เลิกแสร้งเป็นไม่รู้เรื่องเสียที อิฉันรู้ว่าเจ้าหมื่นบอกความจริงท่าน’

‘...เป็นเธอเอง...ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายฉันจะตาต่ำนัก เอาคนรับใช้เป็นเมีย ร้ายยิ่งกว่ายกบ้านให้ลูกของชู้ รู้ไปถึงไหนอับอายกันทั้งสกุล’หมื่นนรินทร์ตอกกลับอย่างมีโทสะ แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ให้กำเนิดแก้ว แต่ก็เป็นแค่หญิงรับใช้ หาใช่ผู้ดีมาจากไหน ให้ตนมาทำนอบน้อมด้วยเพียงเพราะเป็นแม่ของแก้วงั้นหรือ….ไม่มีทาง

‘หึ บ้านหลังนี้เจ้าหมื่นสร้างมันมาด้วยน้ำพักน้ำแรง จะยกให้ใครเป็นสิทธิของเจ้าหมื่น ท่านไม่มีสิทธ์ออกความเห็นใด นอกซะจาก...ท่านริอาจครอบครองบ้านไปจากแก้ว’นางเอ่ยอย่างไม่นึกชอบ รู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากครอบครองบ้าน และยังมีใจมักใหญ่ใฝ่สูง

‘แก้วไม่มีทางดูแลบ้านได้อยู่แล้ว’หมื่นนรินทร์เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา นางคิดไม่ผิดเสียจริง ชายคนนี้ไม่ควรอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ เว้นแต่แก้วรักหมื่นนรินทร์เกินไป เห็นแก่ความสัมพันธ์แต่เล็กแต่น้อย ในตอนนี้กิ่งกับไกรแต่งออกไปแล้ว ทั้งบ้านก็เหลือแก้วเพียงผู้เดียว

‘เช่นนั้นแล้ว ท่านจะเอาไปเป็นของตนงั้นเหรอ’

‘เรื่องนี้แก้วเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่เธอ’หมื่นนรินทร์เอ่ยเรียบๆ มองหญิงรับใช้นางนี้ด้วยความไม่ชอบ

‘..อิฉันแค่อยากบอกว่าไม่ต้องการได้บ้าน ...เพียงแค่ท่านดีต่อแก้วก็พอ’นางพูดช้า ๆของนอกกายนางไม่สนใจอีก ขอแค่ให้แก้วมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

‘แค่นั้นเองหรือ’

‘ใช่ค่ะ กลับไปดูแลเช่นเดิม แล้วฉันจะลืมเรื่องนี้ไปให้สิ้น ไม่เอ่ยถึงอีก’

‘...เธอพูดเองนะ ตกลงฉันจะดูแลแก้วให้ดี’

แต่หมื่นนรินทร์กลับไม่รักษาคำพูด ชายเช่นนี้สมควรได้รับการเชิดชูงั้นหรือ ไม่มีทาง นางยอมไม่ได้ ยิ่งแก้วเสียน้ำตาไปมากเท่าใด ใจบัวมีหรือจะไม่เจ็บยิ่งกว่า แม้อยากจะโอบกอดยังทำไม่ได้ ได้แต่เป็นห่วงเป็นใยในฐานะบ่าวรับใช้
ความลับนี้บอกแก่ใครไม่ได้ หากกิ่งกับไกรรู้มีหวัง แก้วคงอยู่ไม่ได้ พวกนั้นคงไม่ยินยอมให้บ้านสมบัติต่างๆตกมาถึงมือแก้วแน่ๆ บัวจึงเลือกเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

…มาจนวันนี้ นางเสียใจสุดซึ้งคิดอยากย้อนเวลา บอกความจริงแก่ลูกบ้างก็คงดี …แก้วตายแล้ว ลูกชายของเธอจากไปแล้ว หมอมาช่วยไว้ไม่ทัน ต่อให้ทันแก้วคงไม่อาจสู้ได้ถึงสองชั่วโมง บัวคิดชิงชังคนใจบาป… ใช่สิ เป็นตนที่ทำบาปก่อน ผู้อื่นเลยมาทวงคืนความแค้นแก่ลูกชายของนาง นางมณี ต้องเป็นหล่อนอยู่แล้ว แม้ตัวจะย้ายไปอยู่กับบิดาเมื่อสองวันก่อน…

บัวเช็ดคราบสกปรกออกจากใบหน้าของแก้วช้าๆ …มองดูดวงหน้าขาวซีดไร้ลมหายใจบนพื้นดินแล้วนางถึงกับกลั้นสะอื้นไม่อยู่ เอื้อมไปจับมือที่เริ่มเย็นลงมากุมไว้แน่น

แก้ว…เจ้าช่างอาภัพนัก

จนหมื่นนรินทร์เข้ามาไล่นางออกไป บัวมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจนัก หมื่นนรินทร์คือความทุกข์ของนาง ทั้งของแก้วด้วย  กว่าที่ค่ำคืนอัปยศจะเงียบสงบจากพายุฝน ก็เกือบเช้า นางพยายามห้ามใจไม่ให้เข้าไปกอดร่างของแก้ว เหมือนว่าหมื่นนรินทร์จะเอาร่างของแก้วไปตรวจแบบเงียบเชียบ ไม่มีข่าวการตายของแก้วแพร่งพรายออกไป

ผ่านไปหลายสัปดาห์ บัวทนไม่ไหวเข้าไปหาหมื่นนรินทร์ที่ห้องหนังสือ เพราะอีกฝ่ายไม่ทำพิธีศพให้แก้ว เมื่อครู่ก่อนบัวบุกเข้าไปในเรือนเพราะชำที่ถูกปิดตาย มีคนเฝ้าไว้ไม่ยอมให้เข้าไป นางตั้งใจจะไปขุดดินนำร่างของแก้วออกไปทำพิธีทางศาสนา

 บัวโกรธแค้นหมื่นนรินทร์ พยายามจะเข้าพบอีกฝ่าย แต่ไอ้หวั่นมันห้ามไว้ “แกมันร้ายพอๆกับนายของแก แกดูสิ เหตุใดถึงไม่เอาคุณแก้วไปสู่ภพที่ดีกว่านี้”

‘เอาน่า แกอย่าตีโพยตีพายไปเอง ท่านทำเช่นนี้มีเหตุผล เป็นแค่คนรับใช้แกจะเผยอกับท่านรึ’

‘เหตุผลกลใดกัน ฟังขึ้นงั้นหรือ แกก็เห็นว่ามันทำไม่ดีกับคุณแก้วเพียงใด’

‘...ท่านเศร้าใจที่คุณแก้วเสียไปแบบนี้’นายหวั่นพยายามห้ามปรามบัวแต่ไม่เป็นผล นางผลักไอ้หวั่นออกไปเต็มแรงก่อนจะเปิดประตูห้องหนังสือออก

  ‘ท่านต้องตามหาคนที่ทำร้ายคุณแก้ว’นางเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ

‘อย่ามาสั่งฉัน”หมื่นนรินทร์ตอบกลับน้ำเสียงห้วนไม่ต่างกัน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองนาง ปีนี้หมื่นนรินทร์อายุสามสิบเก้าปีเต็ม เป็นหนุ่มใหญ่

‘อิฉันไม่ยอมหรอก แก้วตายไปแบบนี้ คนที่ทำไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบแน่’นางร่ำร้องเสียงดัง หมื่นนรินทร์เงยหน้ามอง คิ้วขมวดอย่างไม่ชอบใจ

‘บัว’

‘คิดว่าอิฉันไม่รู้หรือว่าใจท่านต้องการอะไร บ้านงั้นเหรอ หึ ก็ได้ไปครอบครองแล้วไม่ใช่รึ ต้องการอะไรอีก’

‘เธอเกลียดฉันถึงเพียงนี้เลยหรือ’หมื่นนรินทร์เอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

‘ใช่ เกลียดสิ เพราะท่านละโมบ ไม่ต้องห่วงหรอกบ้านหลังนี้ ฉันไม่ต้องการหรอก ฉันต้องการแค่ฆาตกรที่ฆ่าแก้ว’นางบอก หมื่นนรินทร์ปิดหนังสือ แล้วลุกเดินอ้อมโต๊ะทำงานออกมา

‘...พิษแบบเดียวกับที่ฆ่าลูกของมณี น่าสงสัยไม่ใช่เหรอ’นางแค่นเสียงไม่หวั่นเกรงต่อหมื่นนรินทร์

‘ดอกดองดึงปลูกอยู่ในบ้าน แสดงว่ามีคนหยิบมันไป’

‘อ้อ ขนาดฉันยังไม่รู้ แต่เธอรู้’

‘อิฉันย่อมรู้ เป็นเพียงขี้ข้า แต่ท่านเป็นถึงเจ้าของบ้าน”นางเหน็บแนม หมื่นนรินทร์เดินเข้ามาหาใกล้ๆ สีหน้าจงเกลียดจงชังไม่ต่างกัน

‘บัว เลิกบ้าได้แล้ว ฉันจะจัดการเรื่องแก้วเอง’

‘หึ จัดการ ท่านจะเอาคนร้ายมาลงโทษจริงงั้นเหรอ...คิดว่าท่านคงรู้อยู่แก่ใจว่าฝีมือของใคร’บัวอดกลั้นพยายามไม่ผลผลีผลามเข้าไปทำร้ายอีกฝ่าย

‘... ฉันจะสืบเอง’หมื่นนิรนทร์เอ่ยทิ้งท้าย ปล่อยให้นางทรุดลงนั่ง น้ำตาเอ่อคลอเมื่อนึกถึงแก้ว หากหมื่นนรินทร์ไม่ลงโทษคนผิดจริง นางไม่ยินยอม หมื่นนรินทร์จะต้องเจ็บปวดให้เท่าที่แก้วเคยเจอ

‘จำคำของฉันไว้ ไม่มีวันที่แกจะอยู่อย่างสงบ แกทำร้ายแก้วของฉัน ไม่มีวันที่แกจะจะเจริญก้าวหน้าหรอก หมื่นนรินทร์!’บัวสาปส่ง หมื่นนรินทร์ชะงักไป

‘ฉันยอมรับว่าตัวเองเลว แต่แกชั่วช้ากว่า แม้แก้วจะรักแกมาก แต่ไม่ใช่กับฉัน แกจะต้องทุกข์ใจไปจนตาย ลูกหลานไม่เหลียวแล ไม่ว่าลูกเมียน้อยของแกจะทันโตรึไม่ แกจะไม่มีวันสมหวังอีกในชั่วชีวิตนี้และต่อๆไป’

‘คิดว่าฉันมีความสุขรึไง อย่ามาแช่งชักครอบครัวของฉันนะ’

‘ไม่เผาลูกฉัน ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติแก่ภิรมย์สุข อย่าหวังว่าแกจะได้สมใจ’บัวเอ่ยอย่างเครียดแค้น ความชังต่อหมื่นนรินทร์มีมากนัก ทำร้ายลูกชายของนางไม่พอ การฝังร่างของแก้วลงดินแบบไร้เกียรตินางยอมไม่ได้

หมื่นนรินทร์ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นด้วยใจไม่มั่นคงนัก ถ้อยคำนั้นฝังลึกลงไปก้นบึ้งหัวใจ …แก้ว…ไม่ใช่ว่าตนไม่รู้สึกอะไรเมื่อเด็กคนนั้นจากไป เขาเสียใจที่ไม่อาจกล่าวขอโทษแก้วได้…เรื่องการแท้งของมณี วันนี้ตนมั่นใจว่าบัวเป็นผู้กระทำ
ส่วนมณี…..เธอวางแผนฆ่าแก้วมานาน หมอบอกว่าในร่างของแก้วมีพิษดองดึงเจือปนมาเป็นเวลานาน ยิ่งร่างกายป่วยมาหลายปียิ่งทำให้อาการไม่ดีขึ้น พอพิษออกฤทธิ์จึงยิ่งทำให้ร่างกายเสียสมดุล ใจหมื่นนรินทร์ไม่ได้หมดรักแก้วไปซะหมด ยังเยื่อใยอยู่ เพียงแต่…สายไปเสียเเล้ว

บางครั้งตนก็หวนนึกถึงคำพูดของแก้วบ่อยๆ ไม่ใช่คำโกรธที่เอ่ยออกมาไม่ยั้งคิด ‘ว่าความตายเท่านั้นจะพรากเราไปจากท่านอาได้' แต่เป็นประโยคตัดพ้อ ‘ว่าไม่มีใครดีต่อท่านมากไปกว่าเรา’ ก็คงจะจริงนั่นแหละ ในโลกนี้มีใครรักตนได้มากเท่าแก้วหรือไม่…ไม่มี…มณีเกลียดชังเขาหนักขึ้นเมื่อ ตนไปหาหญิงอื่นเพื่อมีทายาท ในเมื่อมณีไม่เต็มใจมีให้ เขาก็ไม่สน และคล้ายกับแก้วกำลังลงทัณฑ์เขาไปทีละนิด


        ภูวรินทร์ลืมตาตื่นจากฝัน เป็นฝันที่เคยเกิดในอดีต เขาสูดจมูก รู้สึกว่าหายใจยากลำบาก ก่อนจะยกมือมาลูบใบหน้า มีรอยน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ข้างแก้ม ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย นึกถึงเรื่องในฝันแล้วสะท้อนในใจ  โหดร้ายจริงๆ คุณแก้วต้องมาตายเพราะการกระทำไม่ยั้งคิดของบัว…. แม่ของตัวเอง…

คุณแก้ว…รู้หรือไม่

ชายหนุ่มหันมองข้างกาย บนเตียงมีแค่เขา…หายไปไหน เขาคิดพลางเหลียวมองไปที่นาฬิกา เข็มชี้ไปที่เลขสอง คืนนี้ไม่ได้ฝันร้าย

เขาสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากนอกห้อง บทเรียนที่ผ่านมาทำให้เขาไม่ลุกออกจากเตียง ภูวรินทร์หยิบผ้าห่มมาคลุมตัว รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งร่าง เกิดอะไรขึ้น คุณแก้วเหรอ…เสียงกระดิ่งดังเบาๆให้ได้ยิน ทำเอาเขาหนาวไปทั้งใจเสียงรั้วไม้ลั่นมาจากแถวเรือนปั้นหยา เขาใจเต้นระส่ำ

ตึก ตึก ตึก

เสียงวิ่งดังไปทั่วระเบียงหน้าห้อง น้ำหนักเท้าเหมือนเป็นของเด็ก…อินทนิล นี่ฝันหรือเรื่องจริงกัน ภูวรินทร์ไม่มีทางออกไปดูเด็ดขาด ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมกับกลิ่นดอกแก้วจางๆเข้าจมูก

เสียงกระดิ่งดังมาใกล้กับห้องนอน เขาแทบหยุดหายใจ เมื่อเสียงฝีเท้าหนักๆหยุดอยู่หน้าห้อง เขากำมือแน่น คิดอย่างหวาดระแวง อย่าเข้ามา…

กึก

ภูวรินทร์หยุดหายใจเมื่อประตูค่อยๆเปิดออกช้าๆเหมือนถูกแตะเบาๆ น่ากลัวกว่าคือเขาล็อกห้องไปแล้ว…แก้ว…ได้โปรด เขาคิดในใจ ไม่ว่าจะเป็นผีสางหรือเป็นจิตจากอะไรก็ตาม ขอเถอะ อย่ายุ่งกับเขาเลย

ชายหนุ่มตกใจนั่งนิ่งไม่ขยับ หากว่ามีอะไรปรากฏอยู่หน้าประตู…เขาจะไม่มองไปเด็ดขาด มีเสียงขยับเท้า เสียงกระดิ่งดังออกมา

ตึก ตึก ตึก

เขาหลับตาแน่น เมื่อเสียงเริ่มมันดังเข้ามาใกล้ๆ

ได้โปรด…

เสียงลากเท้าเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง ก่อนจะเงียบหายไป  ชายหนุ่มกลั้นหายใจนาน ยังคงไม่กล้าลืมตา จนเวลาผ่านไปนานไม่มีเสียงแปลกประหลาดให้ได้ยิน ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น แต่บนเตียงไม่ได้มีแค่เขา แต่กับเป็นร่างซีดเขียวไม่น่ามองของทารกวัยแปดเดือนยังไม่สมบูรณ์ดี ร่างนั้นจมกองเลือดเจิ่งนองบนผ้าปูสีขาว

“อ….”ภูวรินทร์พูดไม่ออกตัวแข็งทื่อ เมื่อร่างของแก้วขยับเข้ามาใกล้ เดินมานั่งปลายเตียงเสื้อสีขาวเลอะเทอะ รอยอาเจียน….ใช่แล้ว คราบสกปรกที่ติดตามแขนและเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอยู่ทุกครั้งคือสภาพหลังเสียชีวิตของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มรีบถอยตัวออกห่างจากภาพสยดสยองนี้จนตกเตียงลงไป เขารีบตะเกียกตะกายลุกหนี สองหูได้ยินคุณแก้วพึมพำ ‘บอกแล้วว่าเราไม่ได้ฆ่าลูกท่านเสียหน่อย…’

เขารีบวิ่งสะเปะสะปะออกจากห้อง ภาพเมื่อครู่ชวนอาเจียนออกมา เขาวิ่งลงบันไดบ้าน ในสมองไม่กลัวความมืดใด นอกจากคุณแก้ว เสียงกรุ๊งกริ๊งยังคงตามมาไม่ห่าง

ไปให้พ้นเถอะคุณแก้ว เพราะอะไรต้องมาหลอกหลอนเขาในฝันด้วย

“อินน์อยู่ไหนกัน อินทนิล”เขาร้องเรียก รู้ตัวอีกทีก็ออกมาหยุดที่หน้าเรือนปั้นหยา ชายหนุ่มสั่นสะท้านทรุดตัวนั่งลงที่สวนหน้าบ้านอย่างหมดแรง

พอแล้ว….ฉันขอโทษ

ภูวรินทร์ยอมรับโทษทัณฑ์นี้เอง รู้ดีว่าหากเขาไม่ยอมรับในเรื่องนี้ก็คงไม่มีวันหลุดพ้น

“ได้ยินไหมแก้วฉันขอโทษ!”เขาตะโกน

    “บอกแล้วไงว่านอกจากเรา ไม่มีใครดีกับท่านเท่าเราแน่”เสียงของคุณแก้วดังมาจากด้านหลัง กลิ่นดอกแก้วรุนแรงขึ้น

“จำได้ไหมเล่า ดอกแก้วในสวนนี่ท่านปลูกไว้ให้เรา มอบให้แก่เรา นี่คงเป็นชะตานี่ท่านก่อ…เราชอบดอกแก้วมากเพราะท่านมอบให้ ดูแลอย่างดี”

“เพียงแค่สิบปี…ท่านก็แปรเปลี่ยนไปทีละนิด”

“เวลาของเราน้อยนัก ภาวนาว่าภพหน้าขอให้เจอท่านอีก…และเราก็ได้พบกัน เราทั้งรักทั้งแค้นเคืองท่าน…ไม่ใช่เพราะหลอกเอาบ้านไป เราเต็มใจให้ แต่เพราะท่านไม่เคยเชื่อใจเราสักครั้ง หากวันนั้นท่านเอ่ยว่าเชื่อเราสักนิด เราคงไม่เจ็บปวดมากนัก แก้วที่ดีต่อท่านจะทำร้ายท่านได้อย่างไร เท่านี้ยังคิดไม่ออก! ฝังเราลงดินไปเพื่อเหตุใด…”คุณแก้วเอ่ยยืดยาว ท่อนแขนเย็นเยียบเข้ามากอดรัดจากทางด้านหลังโอบเอวเขาไว้แน่นจนหายใจลำยาก ก้มมองแล้วเห็นแขนซีดสกปรกเช่นเคย…

เขาเลิกหนี

เพราะคุณแก้วไม่ได้ทำร้ายเขา

“…ไม่รู้ ผม…ในอดีตผมไม่รู้”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอับจนถ้อยคำ เพราะอะไรถึงต้องฝังลงดิน เขาไม่รู้ มีแต่ท่านอาเท่านั้น ที่ล่วงรู้ มา
ถามเขาเอาป่านนี้ก็ไม่ได้อะไร

“ยกโทษให้ฉันไม่ได้เหรอ”เขาเอ่ยออกมา

“ยกโทษหรือ...เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา”

“ฉันขอโทษนะ”เขาเอ่ย เอ่ยแทนท่านอา แรงกอดคลายลง ท่อนแขนนั้นหดกลับไป ภูวรินทร์ไม่กล้ามองไปทางอื่นอีก นอกจากผืนหญ้าเบื้องหน้าตนเอง

“ถ้าเช่นนั้น…อยู่กับเราสิ”ประโยคนั้นกระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจเย็นเป่ารดข้างแก้ม เขากำมือแน่น

“…ไม่ได้…”เขาพึมพำ ส่ายศีรษะไปมา

“ท่านอา!”เสียงนั้นตวาดลั่น มือเย็นเข้ามารั้งใบหน้าให้เงยขึ้น

“กว่าเราจะเป็นจิตที่มีรูปร่างได้ ก็จนท่านตายไป รู้หรือไม่ท่านตายอย่างไร… ท่านนอนตายอยู่ในห้อง มณีไม่อยู่ดูใจท่าน ลูกชู้ของท่านก็ไม่ได้เห็นหน้า”

ภูวรินทร์ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้ออกจากปากคุณแก้ว เขาลืมตามอง หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อ พบว่าใบหน้าของคุณแก้วอยู่ตรงหน้าในระยะประชิด …ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดซิบ

แก้ว…

“จำเรื่องวันนั้นให้ได้…ก่อนท่านตาย มีคนท่านตาย มีคนมาพบท่าน”อีกฝ่ายพูด เขาอึ้ง จ้องมองแววตาสีนิลไร้แววของคุณแก้ว

ปึก!

ภูวรินทร์สะดุ้งและเจ็บที่ศีรษะเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่กลางสุสานของตระกูล เขาผวาลุกขึ้นนั่ง ศีรษะเกิดไปกระแทกโกฏิเข้าให้ ชายหนุ่มผงะ ขยับมองโกฏิสีขาวที่มีร่องรอยแห่งกาลเวลาเด่นชัด มีชื่อเจ้าหมื่นประดิษฐ์ แต่สายตาเขาไปสะดุดกับโกฏิเก็บอัฐิอันเล็กวางอยู่ใกล้กับของเจ้าหมื่น… ของบัวงั้นหรือ

เขาได้ยินเสียงนกร้องแตกรังในยามเช้า จากนั้นมีเสียงเดินอย่างรีบเร่งเข้ามาหา

“คุณภู”เป็นอินทนิลที่วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีแตกตื่น ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มเข้ามาประคองร่างของเขาไว้ ชายหนุ่มเซเพราะลุกกะทันหัน ภาพในฝันปรากฏชัดเจน… ทั้งคุณแก้ว…ทั้งทารกนั่น…

“อินน์ ฉันฝันน่ากลัวมากเลยล่ะ”เขาบอกก่อนจะพยายามก้าวเดิน อินทนิลจับแขนของเขาไว้แน่น พยายามประคองให้เดินตรงทาง เขาเหมือนแน่นหน้าอก อยากอาเจียนตลอดเวลา อยู่ๆภาพทารกก็ปรากฏขึ้นอีก

“ลืมไปเถอะครับ ตอนนี้คุณอยู่กับอินน์แล้ว…ผมตกใจแทบแย่ตอนไม่เห็นคุณอยู่ที่เตียง”อินทนิลบอก หันมองเขาอย่างห่วงใย ภูวรินทร์ฝืนยิ้ม

ก่อนจะค่อยๆเดินออกจากสุสาน จนพ้นป่ามาเจอกับเรือนปั้นหยา เขาชะงักไปแต่ก็เดินต่อ ความรู้สึกอึดอัดจากบ้านหลังนี้ยังคงอยู่ ต้นดอกแก้วดูสั่นไหวจนไม่น่ามอง อินทนิลจับแขนเขาไว้ ก่อนจะสอดแขนเข้ามาจับเอวเขาไว้เพื่อพยุงเดิน

“เธอตัวแค่นี้ เดี๋ยวได้ล้มหรอก”

“อย่าห่วงอินน์เลย คุณภูน่าห่วงกว่า สีหน้าดูไม่ดีเลย”อินทนิลบอกก่อนจะพยุงร่างเขาออกไปให้พ้นรั้วบ้านจนสำเร็จ ลุงชมที่อยู่ในสวนเห็นท่าทางทุลักทุเลของเขาสองคนก็ปรี่เข้ามาช่วย ดึงแขนของชายหนุ่มมาพาดไหล่แล้วพาเดินเข้าบ้านไป เขาชะงักนึกถึงในฝันแล้วยังกลัวไม่หาย

“ผมยังไม่อยากเข้าห้องนอน”ภูวรินทร์เอ่ยห้วนๆ ในฝันนั้นยังฝังหัวเขาอยู่

“ไปห้องอินน์ก็ได้”อินทนิลเอ่ยขึ้นมา ลุงชมพยุงชายหนุ่มมาจนถึงห้องของอินทนิลจนได้ เขารู้สึกหนาวไปทั้งตัว รีบลงนอนบนเตียงของอินทนิลทันที ร่างกายเหมือนได้พักผ่อน เขาเหนื่อยล้า และง่วงนอน

“คุณคงป่วย”ลุงชมเอ่ย อินทนิลเข้ามาจับมือของเขาไว้ก่อนจะใช้มืออีกข้างแตะหน้าผาก

“คุณตัวร้อนนี่”อีกฝ่ายพูดอย่างกังวลใจ

“ตาไปบอกษอรให้เอายากับข้าวต้มมาให้คุณภูหน่อยครับ”อินทนิลหันไปบอกกับคนที่แก่กว่า เขาได้ยินลุงชมรับคำก่อนจะเดินออกไป ภูวรินทร์นอนนิ่ง อินทนิลห่มผ้าให้เขา

“น่าอายจริงๆ ให้เธอเห็นสภาพนี้”เขาพึมพำ ยังคงไม่ลืมตาขึ้นมอง

“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวอินน์ดูแลคุณเอง อยากนอนพักสักเดี๋ยวหรือว่าจะอาบน้ำ เช็ดตัว”เด็กหนุ่มเอ่ย เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมองเจ้าตัว แววตาสีนิลของอินทนิลจับจ้องไม่วางตา แววตาเป็นห่วงน่าดู เขายิ้ม

“ขอฉันนอนสักพักก่อนนะ”ภูวรินทร์เอ่ยเบาๆ ไม่คิดว่าร่างกายจะอ่อนล้าแบบนี้ ราวกับว่าเขาใช้กำลังไปพร้อมๆกับในฝัน…. เขานอนละเมองั้นเหรอ

อินทนิลก้มมองเขา ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ เจ้าตัวยังจับมือเขาไม่ปล่อย “งั้นคุณพักผ่อนเพียงพอเมื่อไหร่ค่อยทานข้าวเเล้วกันครับ”

“อืม ขอบใจมาก”ภูวรินทร์เอ่ย มองเด็กหนุ่มอีกครั้ง รู้สึกดีกับอีกฝ่ายขึ้นมาเยอะ อินทนิลมองเขา รอจนให้ชายหนุ่มผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

“เห็นที ต้องพาคุณไปหาหลวงตาที่อาศรมซะแล้ว”อินทนิลพึมพำออกมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจช่วยคุณภูได้ อีกอย่างเจ้าตัวก็ตั้งใจจะชวนอินทนิลไปด้วยอยู่แล้ว ไปหาเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรนะ…หลวงตา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2018 02:19:41 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
คุณแก้วยังรักอยู่เหรอ รักไปก็เท่านั้น อ่านแล้วพระเอกในอดีตก็ไม่ได้มีใจให้แล้ว คนปัจจุบันก็ไม่ได้รัก

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
สงสารคุณแก้ว

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :sad4:
แก้วน่าสงสารสุด

ออฟไลน์ Pui5264

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตกลงภูวรินทร์รักใครกันหนอ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เวรกรรมแท้ๆ

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
   คนที่เป็นต้นตอของเรื่องร้ายๆทั้งหมดคือท่านอานี่แหละ เพราะความมากรักความไม่มั่นคง ไม่จริงใจ จึงนำมาซึ่งความเสียใจของใคหรลายๆคน

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เริ่มคลีคลาย รอๆนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด