Episode 16
ผมยังคงยิ้ม
แม้ว่าคุณจะเดินหันหลังไปแล้ว "ภูผา หยิบหนังสือให้หน่อย"
"..."
"ภูผา"
"โอ๊ย!" ผมร้องออกมาเพราะแก้มข้างหนึ่งถูกธงทัพบีบเข้ามาเต็มๆ
"เหม่ออะไร"
"จะเอาอะไร"
มันพยักหน้าไปยังหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงซึ่งตั้งอยู่ที่ฝั่งผม ธงทัพยื่นมือมารับหนังสือ แต่สายตายังจ้องมองอยู่ที่ผม ความผิดปกติของอารมณ์มักแสดงออกผ่านสีหน้าให้อีกคนรับรู้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องพยายาม ธงทัพรู้จักผมดีกว่าใคร
"เป็นอะไร"
"เปล่า"
"เห็นทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่กูกลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
"มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกกู"
"แค่รู้ว่ากูกำลังไม่สบายใจก็พอแล้ว"
"ไม่พอ" ธงทัพพูดเสียงแข็ง ซ้ำยังใช้มือข้างหนึ่งบีบคางผมให้เงยหน้าขึ้นมองมัน ผมไม่กล้าหลบสายตา ไม่ได้รู้สึกกลัว ธงทัพไม่ได้น่ากลัว แต่ทุกครั้งที่ถูกมองมาด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่อาจกักเก็บความรู้สึกอะไรเอาไว้ได้เลย ธงทัพทำให้ผมเคยตัวกับการบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้มันฟัง แม้เป็นเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจคนเดียวก็ได้ ผมก็จะพูดเพียงเพราะคนฟังคือธงทัพ
"ทำไมไม่บอกว่านาวีทำงานที่เดียวกับมึง"
หัวคิ้วของอีกฝ่ายขยับเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนคลายออก ธงทัพยันตัวเองขึ้นนั่งแล้วมองหน้าผมด้วยแววตาที่ดูจริงจัง
"นาวี?"
"อืม ทำไมไม่บอกว่านาวีทำงานที่เดียวกัน"
"ไม่คิดว่ามึงจะอยากรู้"
"กูก็ไม่ได้อยากรู้แต่..." ไม่มีคำอธิบาย ผมเถียงธงทัพไม่ได้เลย มีเรื่องราวผุดขึ้นในหัวผมเป็นร้อยเป็นพัน คำพูดนับล้านก็อัดแน่นวนเวียนอยู่ในนั้นแต่สุดท้ายกลืนหาย กลายเป็นเสียงถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง ผมอยากจบบทสนทนานี้แล้ว
"ทำไมมึงต้องอยากรู้เรื่องของมันด้วย"
แต่ธงทัพต่อบทนั้นด้วยคำถามที่ทำให้ผมต้องเงียบไปอีกครั้ง ผมทบทวนอยู่ในใจอีกที จริงอย่างธงทัพว่า มันไม่ได้ผิดอะไรที่ไม่ได้บอกผมเรื่องนาวี ไม่มีเหตุผลที่อยู่ดีๆ จะต้องบอกให้ผมรู้ ธงทัพรู้เรื่องของผมกับนาวีมากน้อยแค่ไหน ผมก็ยังไม่แน่ใจเลย
"มึงรู้หรือเปล่าว่ากูกับนาวีเคยเป็นอะไรกัน"
"ก็พอรู้ มึงเคยใส่ร้ายกู เรื่องรูปในเฟสบุ๊กตอนม.ปลายไง"
"กูแค่เข้าใจผิด ไม่ได้ใส่ร้าย"
"เหมือนกันแหละ เรื่องห่าเหวอะไรมึงก็โทษกูไว้ก่อน เกลียดกูมากเลยนี่" ใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงจิกกัดคล้ายทำให้ผมจนมุมกับความผิดที่เคยก่อ ธงทัพแม่ง...น่าเตะ
"เอาจริงๆ กูก็รู้ว่ามึงกับมันเคยเป็นแฟนกัน ถ้าเป็นเรื่องของมึงกูรู้หมดแหละ กูแค่ไม่พูด"
"ใส่ใจ?"
"กูเสือก"
"กูว่าแล้ว"
ธงทัพหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนขยับตัวลงไปนอนบนเตียง แล้วเปิดหนังสือในมือผ่านๆ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คิดว่าบทสนทนาเรื่องนั้นจะจบลงตรงนี้ แต่เสียงของคนข้างๆ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"ยังคิดถึงมันอยู่หรือไง"
"อะไรนะ"
"นาวีอะ"
"..."
"ยังคิดถึงมันอยู่ไหม"
"ไม่"
ตอบไม่ได้เต็มปากนักและความรู้สึกก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น
คำว่าคิดถึงหมายความว่าอย่างไร... ในบางครั้งผมก็พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ขึ้นมาบ้างหากมีสิ่งใดไปสะกิดถึงความคิดในส่วนนั้น ส่วนของความทรงจำที่มีนาวีอยู่ด้วย อาจไม่บ่อยนัก แต่ถ้ามันคือความคิดถึง ก็คงต้องยอมรับ...ก็มีคิดถึงอยู่บ้าง
"ยังรักมันอยู่เหรอ"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ผมรู้คำว่ารักค่อยๆ เลือนรางตั้งแต่วันที่นาวีสูญหายไปจากชีวิต และผมไม่ควรคิดถึงคำๆ นั้นอีก
"กูไม่ให้มึงไปที่ทำงานกูแล้ว มึงจะได้ไม่ต้องเจอมันอีก"
"เออ ไม่ไปแล้ว"
"ไม่ต้องคิดถึงมันแล้ว คิดถึงกูคนเดียวก็พอ"
"คิดถึงมึงเนี่ยนะ"
"ชอบกูเถอะ อย่าชอบมันเลย"
"อะไรของมึง อยู่ดีๆ ก็..."
"กูดีกว่ามันตั้งเยอะ"
ผมเงียบตอนถูกธงทัพพูดแทรกขึ้นมา ผมก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องอย่างจริงจัง เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งธงทัพก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ผมจึงได้แต่ถามกลับไปเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบ
"ดีกว่ายังไง"
ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างเคย ยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มผมเบาๆ แล้วพูดเหตุผลนั้นออกมา เหตุผลที่ว่ามันดีกว่านาวียังไง...
"กูไม่เคยทำให้มึงร้องไห้เลย" ...ก็จริงของมัน
...
ราวกับใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว วันหยุดยาวของผมก็หมดไปทั้งที่แขนยังไม่หายดี วันนี้ผมต้องกลับไปทำงาน แต่ก็คงดีกว่าอยู่เฉยๆ เพราะมันน่าเบื่อ วันนี้เลยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ธงทัพยังคงตามติดชีวิตอย่างกับผมเป็นผู้พิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช้านี้ก็มาส่งผมถึงที่ทำงานโดยไม่ได้ร้องขอ
"อย่าหักโหม อย่าไปยกของอะไรหนักๆ ใครใช้ให้ทำอะไรก็ไม่ต้องรับปากไปทุกเรื่อง เลี่ยงๆ บ้างก็ได้ เข้าใจไหม?"
"เข้าใจ"
"ถ้าเจ็บหรือทำงานไม่ไหว ก็โทรหากูทันทีเลย เข้าใจป่ะ?"
"เข้าใจๆ"
"มีอะไรรีบบอกกูนะ"
"เออ! เข้าใจแล้ว!"
ธงทัพหันขวับมองหน้าตอนที่ผมเสียงดังใส่ ทำตาโตพลางยกมือขึ้นทาบอก
"กูตกใจหมด นี่มึงเสียงดังใส่กูเหรอ"
"ก็ย้ำคำเดิมแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากห้องแล้ว เข้าใจจนไม่รู้จะเข้าใจยังไงแล้ว ภูโตแล้วนะครับพี่ทัพ ภูโตแล้ว"
"หึ! ปล่อยท่าไม้ตายใส่กูอีก"
ผมหลุดยิ้มนิดหนึ่งก่อนรีบเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม แล้วใช้มือข้างหนึ่งหมุนตัวธงทัพให้หันหลังกลับไป
"ไปทำงานได้แล้ว"
"เจอกันตอนเย็นนะ"
"จะนอนห้องกูเหรอ"
"อือ วันนี้กูไม่มีงานค้างคงได้เลิกเร็ว เดี๋ยวซื้อข้าวเย็นไปเอง"
"ก็ดี ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก"
"เออ ไปแล้ว ไม่ต้องออกไปส่งหรอก"
"ไม่ได้คิดจะไปส่งอยู่แล้ว"
"เหอะ!" ธงทัพกระแทกเสียงใส่ทีหนึ่ง ก่อนก้าวเท้าออกไป ผมเองก็หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าตึก ได้เพียงสองสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักเพราะคนที่เพิ่งแยกกันไปวิ่งกลับเข้ามาหา ส่งเสียงกระซิบจากด้านหลังโดยไม่ได้มองหน้า
"พี่เป็นห่วงนะ เข้าใจป่ะ"
เมื่อผมหันหลังกลับไปมอง อีกคนก็สับขาวิ่งออกไปไวกว่าแสง ทิ้งให้ผมยืนงงกับการกระทำของมัน ก่อนความงุนงงนั้น จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในตอนที่ธงทัพเดินหันหลังไปไกลแล้ว
ธงทัพ...ไอ้หมาบ้า ...
"น้องภู! น้องภูกลับมาแล้ว"
"น้องภูของพี่!"
"น้องภูลูกแม่!"
ผมยิ้มให้พนักงานในบริษัทที่สามัคคีกันหันมาทักทายตอนที่หันมาเห็นผม เพราะผมอายุน้อยที่สุดในบริษัท ผมเลยกลายเป็นเด็กน้อยของพวกเขา
"แล้วแขนเป็นยังไงบ้างภู หายดีแล้วหรือยัง"
"ดีขึ้นแล้วครับ"
"คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ จะได้ไม่เจ็บตัวอีก"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนเท้าจะหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงไป พี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงหันมาบอกกับผม
"เขาจะรีโนเวทออฟฟิศใหม่น่ะ เราจะมีห้องทำงานใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม แต่ว่าตอนนี้ต้องย้ายไปทำงานที่ชั้นสิบก่อน พวกพี่เก็บของจากโต๊ะทำงานภูขึ้นไปให้แล้วล่ะ"
"อ๋อ ครับ ขอบคุณครับ"
ผมเดินตามพวกพี่ขึ้นมายังห้องทำงานชั่วคราวที่ชั้นสิบของตึก เดินผ่านโต๊ะของตัวเองไปหยุดอยู่ที่บานกระจกฝั่งหนึ่งของตึกซึ่งมองเห็นภาพด้านนอกได้ไกลออกไป ความสูงของชั้นไม่ได้มากพอที่จะมองเห็นวิวอะไรที่สวยงามมากมาย แต่ผมกลับชอบที่ผนังกระจกใสทำให้ห้องดูโปร่งและโล่ง ด้วยความชื่นชอบนั้นจึงเกิดเป็นรอยยิ้มขึ้นมาจนพี่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เอ่ยปากแซว
"ชอบเหรอภู ยิ้มกว้างเชียว"
"ชอบครับ"
"เช้าๆ ก็สวยดีนะ แต่บ่ายๆ นี่ร้อนชิบหายเลยล่ะ รูดม่านปิดแทบไม่ทัน กลับไปอยู่ชั้นสามอะดีแล้ว"
ผมยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ข้าวของที่พี่เขาเก็บมาให้ยังอยู่ในลัง ผมจึงค่อยๆ เอาออกมาวางบนโต๊ะ ชิ้นแรกที่หยิบออกมา คือต้นตะบองเพชรที่ธงทัพซื้อให้ ซึ่งถูกใส่รวมอยู่ในลัง ดินในกระถางหกหายไปครึ่งกระถาง ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่อยู่จึงไม่มีใครดูแลมัน ดูเหี่ยวเฉา แต่ยังไม่ตาย ผมจึงหยิบดินกลับใส่คืนในกระถาง กดเบาๆ ประกอบกลับให้มันกลายเป็นตะบองเพชรต้นเดิม แต่ยังไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมเพราะมีอย่างหนึ่งที่หายไป ผมหยิบของในลังออกมาวางเพื่อหาส่วนประกอบชิ้นนั้น ก่อนมันจะหล่นลงมาตอนที่ผมคว่ำลังใบนั้นลง ผมก้มลงหยิบตุ๊กตาปูนปั้นรูปเป็ดสีเหลือง แล้วปักมันลงข้างๆ ต้นตะบองเพชร ก่อนขยับมันไปวางข้างผนังกระจกเพื่อรับแสงแดดในตอนเช้า
"กูไม่ชอบต้นไม้"
"แต่นี่คือตะบองเพชร"
"ก็คือต้นไม้"
"คือตะบองเพชร"
"เออ นั่นแหละ ไม่ชอบ"
"เอาไปวางบนโต๊ะทำงาน น่ารักดี มีเป็ดด้วยดูสิ"
"ไม่เอาได้ไหม ถ้ามันตายล่ะ"
"มันไม่ตายง่ายๆ หรอก"
"ถ้ากูทำมันตายล่ะ"
"ตายก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูซื้อต้นใหม่ให้"
"ก็ได้...แล้วทำไมต้องมีเป็ดด้วย"
"เพราะภูผาหน้าเหมือนเป็ด"
"น่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ"
"ไม่ดิ เป็ดน่ารักเหอะ"
"..."
"โคตรน่ารัก"
"ภูผา"
"ครับ"
"หนูมาดูนี่ให้พี่หน่อยสิ"
"ได้ครับ"
ผมละความสนใจจากต้นตะบองเพชรไปที่หน้าจอคอมพ์ ก่อนจะเริ่มทำงานหลังจากที่พักไปอาทิตย์หนึ่ง ในตำแหน่งพนักงานด้านไอที แต่หน้าที่ครอบคลุมแทบทุกอย่างและผมไม่เคยปฏิเสธการถูกใช้งาน ผมจึงกลายเป็นลูกรักของพี่ๆ ในบริษัทไป แม้ผมจะพูดน้อย ใช้รอยยิ้มแทนคำพูดมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรในการทำงาน ผมมีความสุขดีกับงานที่นี่ ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่เคยเป็นมา จืดจาง เรียบง่าย ธรรมดา และมีชีวิตชีวาในบางครั้ง
เย็นนั้นผมเลิกงานช้ากว่าปกติจึงเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากออฟฟิศ ในตอนที่กำลังจะปิดไฟในออฟฟิศ ฝนก็พลันตกลงมาพอดีในตอนนั้น ผมละมือออกจากสวิทซ์ไฟ แล้วก้าวเท้าช้าๆ ไปที่ผนังกระจก มองดูเม็ดฝนที่กระทบเข้ามา ท่าทางจะไม่หยุดตกง่ายๆ ลังเลอยู่ในใจว่าจะรออยู่ที่นี่ให้ฝนซา หรือว่าจะกลับไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้ ผมตัดสินใจไม่นานก่อนจะเลือกกลับห้อง อาจเป็นเพราะนึกไปถึงคนที่รออยู่...ธงทัพน่าจะรออยู่
ผมเดินออกจากลิฟต์ แล้วตรงไปยังประตูทางออก แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักราวภาพสะดุดเมื่อหันไปเห็นคนที่กำลังเดินสวนมา สองขาพาผมถอยหลังกลับมาหลบหลังกำแพงอีกฝั่งโดยอัตโนมัติ อาจจะตาฝาดไป อาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่ว่า...ผมเห็นนาวี
ผมคลายหัวคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วชะโงกหน้าออกไปมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ แต่คราวนี้ต้องชะงักจนลั่นเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะชะโงกไปเจอกับอีกคนที่ก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าพอดี
"เฮ้ย!"
ผงะถอยหลังจนเกือบล้ม คนที่ทำให้ผมตกใจก็เป็นคนเดียวกับที่ยื่นสองมือมาจับแขนผมเอาไว้ไม่ให้หงายหลัง
"ตกใจเหรอ"
ผมไม่ได้ตอบอะไร นอกจากดึงแขนตัวเองกลับมา
"ทำงานที่นี่เหรอ"
"..."
"ทำไมกลับบ้านช้าจัง"
"..."
"ข้างนอกฝนตกหนักนะ มีร่มไหม"
ผมได้ยินทุกคำถามที่ออกมาจากปากนาวี แต่ไม่มีสักคำตอบที่ออกจากปากผมไป กระทั่งนาวีหยุดพยายามที่จะพูดอะไร กลายเป็นความเงียบระหว่างเราสองคน ผมอยากก้าวเท้าหนี แต่ขามันไม่ยอมทำตามที่ใจคิด...ไม่เข้าใจเลย
"คุณนาวี"
ทั้งผมและนาวีหันไปมองเสียงของคนที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นหัวหน้าผมจึงฝืนยิ้มทักทาย
"สองคนรู้จักกันด้วยเหรอ"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่นาวีกลับพยักหน้ารับ เมื่อผมหันมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาจึงแสร้งหันหน้าหนีไปอีกทาง
"นี่คุณนาวี สถาปนิกรีโนเวทออฟฟิศเรา"
ได้ทำงานอย่างที่อยากทำเลยสินะ...ชีวิตเป็นไปอย่างที่คิดเลยสินะ...ชั่วครู่เดียวในความคิด ถ้อยคำเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ก็พลันหายไป
"ผมกลับก่อนนะครับ" ผมหันบอกหัวหน้า ไม่ได้มองนาวีเลยแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น อยากไปให้เร็วกว่านี้ ให้ไกลกว่านี้ แต่เพราะฝนที่กระหน่ำลงเม็ดมา ทำให้ผมต้องหยุดอยู่กับที่เพราะไปไหนไม่ได้ แม้จะยืนอยู่ใต้หลังคาแต่ว่าน้ำฝนยังคงใจร้ายด้วยการสาดเข้ามาจนตัวเปียก ผมถอนหายใจเบาๆ ตัดสินใจที่เดินวิ่งลุยฝนข้ามไปขึ้นรถอีกฝั่ง แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวออกมา สองขาก็ต้องหยุดกึกเพราะมือหนึ่งดึงแขนผมเอาไว้ แน่นอนว่าเป็นเขา ...นาวี
"เอาร่มไปดิ"
"..."
"ยังโกรธกูอยู่เหรอ"
"..."
"มีแพลนจะหายโกรธบ้างไหม"
"..."
"ภูผา"
"..."
"ช่วยพูดอะไรกับกูสักคำได้ไหม"
"บอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอมึงอีก ไม่อยากเจอมึงเลย กลับมาทำไม"
"ภูผา..."
ผมไม่ได้รอฟังต่อว่านาวีจะพูดอะไร ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ร่างกายก็เปียกชุ่มในทันทีเพราะเม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาไม่หยุด แต่ทุกอย่างอยู่เหนือความสนใจเมื่อสมองของผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ผมพาร่างกายที่เปียกปอนของตัวเอง เดินฝ่าพายุฝนไปเรื่อยๆ ผมอยากเดินให้เร็วกว่านี้ หัวใจผมเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ร่างกายยังอยู่ที่เดิม
ผมไม่รู้ว่าควรคิดถึงอะไรในตอนนี้ เพราะทั้งหมดที่มีในหัวมันว่างเปล่า หรือไม่ใช่...จะเรียกว่าว่างเปล่าก็ไม่เต็มปากเท่าไร เพราะผมยังคงคิดถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อครู่ นาวีกลับมา...และอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลานานขนาดไหนจึงเดินกลับมาถึงห้องได้ หยดน้ำจากเสื้อผ้าไหลเป็นทางระหว่างที่เดินมาหยุดที่หน้าห้อง ผมหลับตาถอนหายใจช้าๆ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ในนาทีนี้ ธงทัพรอผมอยู่...รอนานกว่าที่เคยรอ
ผมปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ แล้วเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของคนที่รออยู่ ซึ่งดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ผมแสดงละครไม่เก่งนัก แต่ก็รีบสร้างเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่กำลังโกรธจนหน้าตึง
"เปียกหมดเลย ฝนตกอะไรนักหนาก็ไม่รู้ นี่มันยังไม่หมดฤดูฝนอีกหรือไง กระเป๋าก็เปียก โทรศัพท์ก็เปียกหมดเลยแม่ง! กู...เปียก...หมดเลย..." ผมแกล้งใส่อารมณ์เล่นใหญ่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง เพราะธงทัพยังคงมองด้วยแววตาเรียบเฉยแบบนั้น
"คิดว่าโมโหกลบเกลื่อนแล้วจะรอด ไม่เนียนเนอะ"
"ไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ"
"เพิ่งเลิกงาน งานเยอะมาก"
ผมโกหก และธงทัพก็จับได้ง่ายว่าโกหก แค่มันลุกขึ้นยืนสุดความสูงพร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมก็ตัวหดเล็กลง แล้วถอยหลังหนี คราวนี้ยอมรับว่ากลัว
"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ"
ผมเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ คิดว่าจะโดนดุมากกว่านั้น แต่กลับพลิกล็อกไล่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงอาศัยจังหวะนั้นรีบเดินเข้าห้อง รีบร้อนถอดเสื้อเชิ้ตออกจนลืมแกะกระดุมที่แขนเสื้อ ในตอนที่กำลังจะดึงเสื้อออก ก็ดันไปติดอยู่กับเฝือกที่แขน แลดูทุลักทุเล ไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ ธงทัพก็เดินเข้ามาพอดี คงนั่งมองผมอยู่นานแล้ว
"อะไรของมึง"
"ลืมแกะกระดุม"
มันส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอดเสื้อผมออกข้างหนึ่งก่อน
"มึงโกรธกูเหรอ"
"เปล่า"
"กูขอโทษได้ไหม กูไม่ได้ตั้งใจจะกลับช้า แต่ว่า..."
"เออ ไม่ต้องอธิบายแล้ว กูไม่ได้โกรธอะไรนักหนา แค่รอนานแล้วติดต่อมึงไม่ได้ กูก็เป็นห่วงไปงั้นแหละ"
ผมหลุดยิ้มออกมา ก่อนธงทัพจะปลดเสื้อผมออกจากแขนได้ข้างหนึ่ง
"ก็นึกว่ามึงโกรธ"
"ไม่ได้โกรธ"
"ใครจะไปรู้ ปกติชอบโกรธเป็นหมาบ้า"
"หมาบ้าอะไรมึง! รีบๆ ถอดเลย กูหิวข้าวแล้ว เร็วๆ"
"เบาๆ ดิ! โอ๊ย! โอ๊ยเจ็บนะ ธงทัพ! พี่ทัพ! ภูเจ็บ!"
ผมตะโกนลั่นเพราะแรงกระชากนั่นทำให้ผมเจ็บจริงๆ เจ็บแบบไม่ได้แกล้งเลย ผมถอยหลังแล้วนั่งลงกับพื้น ยกมืออีกข้างขึ้นกุมแขน ไม่มีคำพูดใดนอกจากใบหน้าบ่งบอกความทรมาน
"เจ็บจริงเหรอ"
เหมือนว่าจะลืมหายใจไปชั่วขณะเพราะความเจ็บที่ร้าวรานไปทั่วทั้งแขน ผมพ่นลมหายใจยาวๆ แล้วเงยขึ้นไปพยักหน้ารับ
"เฮ้ย ขอโทษ"
"..."
"ภูผา กูขอโทษ"
ธงทัพคุกเข่าลงตรงหน้า สองมือประคองใบหน้าผมให้เงยหน้าขึ้นมองมัน เมื่อความเจ็บค่อยๆ หาย ผมจึงได้สติกลับมารับฟังคำขอโทษที่ย้ำอยู่อย่างนั้นไม่หยุด
"ขอโทษ เจ็บมากเปล่า กูขอโทษ"
"ไม่เป็นไร"
"เจ็บมากไหม บอกกู"
"ไม่เป็นอะไรแล้ว"
"ขอโทษ"
"ไม่ต้องขอโทษแล้ว"
ธงทัพแสดงสีหน้ารู้สึกผิดมากที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะสำนึกผิดได้ ต่างกับผมที่กำลังเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม กระทั่งหลุดยิ้มออกมาจนได้
"ขอโทษนะ"
"หายแล้ว ไม่เป็นไร"
ธงทัพพยักหน้ารับ ก่อนฝ่ามืออุ่นของมันจะแตะเข้าที่ข้างแก้มผมเบาๆ ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาแต่ไม่ทันไหล เหมือนเราต่างคนต่างยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เราใกล้กันเกินไป ใกล้จนคล้ายกับว่า ผมได้ยินความปรารถนาในใจของธงทัพที่ร่ำร้องบางอย่างอยู่ ก่อนความต้องการนั้นจะเปิดเผยออกมา ด้วยการกระทำ
ธงทัพที่ตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมา เพื่อสัมผัสริมฝีปากเข้าด้วยกันกับริมฝีปากของผม แม้ประหลาดใจแต่ไม่ได้ถอยหนี ที่ผ่านมาธงทัพเว้นระยะห่างระหว่างกายเราเอาไว้เสมอ ไม่เตะต้อง ไม่สัมผัส ไม่เกินเลย แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าภายในใจมันคิดอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่ช่องว่างตรงนั้นระหว่างเรามันหายไป...ธงทัพก้าวข้ามมันเข้ามาแล้ว แม้ด้วยความไม่ตั้งใจก็ตามที
ผมกำลังขยับริมฝีปากที่ปิดสนิทเพื่อให้สัมผัสนั้นได้แนบแน่นขึ้น หากแต่มันเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวคล้ายกับสติที่พลันหายไปชั่วครู่ปรากฏขึ้นมาชัดเจน ธงทัพถอนริมฝีปากออกไป ด้วยใบหน้าที่ดูตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่สบตา ไม่มองหน้า แล้วเอ่ยคำๆ หนึ่งออกมาเบาๆ
"ขอโทษ"
"..."
"พี่ขอโทษ"
ผมยกสองมือเย็นเฉียบของตัวเองขึ้นประคองใบหน้าเรียบเฉยนั่นให้หันกลับมามองตากัน
"ไม่เป็นไร"
"..."
"พี่ทัพ"
"..."
"ทำต่อสิ"
ธงทัพจูบแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง...ด้วยความตั้งใจ อีกครั้ง และอีกครั้ง กระทั่งถอนริมฝีปากตัวเองออกไป ผมไม่รู้ว่าธงทัพกำลังคิดอะไรหรือลังเลอะไร แต่รับรู้ได้ถึงความอึดอัดผ่านจูบที่ดูสับสน จนริมฝีปากนั้นถูกถอนออกไป แล้วเกิดเป็นคำถามขึ้นมาแทน
"ถามอะไรหน่อย"
"อะไร"
"มึงรู้ใช่ไหมว่ากูเป็นใคร"
ผมขมวดคิ้วมอง ไม่เข้าใจในคำถามนั้นจึงไม่ได้ตอบ อีกฝ่ายก็ถามซ้ำออกมา
"รู้ไหมว่ากูเป็นใคร"
"ธงทัพ"
"รู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังจูบอยู่กับใคร"
"ธงทัพ"
ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างเคย แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำถามแบบนั้นหมายความว่าอะไร สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจคงชัดเจน จนธงทัพอธิบายเหตุผลของมันออกมาเอง
"ย้ำให้มึงรู้ตัว"
"..."
"เพราะกูไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อแทนที่ใคร"
จบประโยคนั้นริมฝีปากเดิมก็โน้มลงสัมผัสเข้ามาอีกครั้ง ผมขยับริมฝีปากรับปลายลิ้นที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา รอยจูบที่เชื่องช้า เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราต่างคนต่างรู้ตัวดีว่ามันมีมากกว่านี้...ความต้องการของเราสองคน
ธงทัพอยู่ข้างๆ ผมมาตลอด ทำให้ผมสบายใจ ในวันที่ชีวิตเกือบแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ธงทัพประกอบรวมให้มันกลับกลายเป็นชีวิต ทีละชิ้น ทีละส่วน...อย่างใจเย็น โดยไม่บีบบังคับกัน คงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะหวั่นไหวไปกับคนๆ นี้...ไม่ใช่ความผิดผมใช่ไหม...มันถูกต้องหรือเปล่า...มันควรจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า คราวนี้เป็นผมที่สับสน ราวกับว่า
...ปรารถนา แต่ว่าหวาดกลัว "ธงทัพ"
"..."
"กอดกูหน่อยได้ไหม"
ทำตามที่บอกโดยทันที ผมหลับตาลง ปล่อยตัวเองจมอยู่ในอ้อมกอดของธงทัพ
"บอกกูทีว่ามันจะไม่เป็นไร"
"ไม่เป็นไร"
"..."
"ไม่เป็นไร กูอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร"
"..."
"ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร"
ริมฝีปากเราสัมผัสกันอีกครั้ง หมดเหตุผลและสิ่งใดกั้นขวางระหว่างเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเดินทางต่อไปด้วยความปรารถนา เมื่อปล่อยวาง...จึงไร้กังวล
ผมยอมแล้ว ทุกอย่างเลย
เมื่อไร้เสื้อผ้าบดบังร่างกาย ผมมองเห็นรอยสักรูปสามเหลี่ยมที่อกข้างซ้ายของธงทัพ ผมเคยถามถึงความหมาย ธงทัพตอบผมแต่ไม่ชัดเจนนัก รู้เพียงว่า มันไม่ใช่สามเหลี่ยม...
แต่เป็นภูเขา ผมรู้จักธงทัพมาแปดปี รู้ใจกันดีพอ แต่ไม่รู้จักร่างกายของอีกฝ่ายเลย คล้ายกับกำลังทำความรู้จักกันใหม่ในโอกาสนี้ ทุกผิวสัมผัส ทุกส่วนของร่างกาย ทุกพื้นที่ของธงทัพ ทุกพื้นที่ของผม เราเรียนรู้กันและกัน
จะอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำให้ได้... ธงทัพบอกกับผมแบบนั้น ด้วยแววตาพร่าเบลอและประสาทการรับรู้ที่ได้ยินไม่ชัดนัก ธงทัพจูบผม ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมพลันคิดเล่นๆ อยู่ในใจ อีกกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ ให้เพียงพอสำหรับคนๆ หนึ่งคนที่รออย่างใจเย็นมาแปดปี
วันนี้ผมยกตัวเองให้ธงทัพ ยอมเจ็บเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง เพื่อให้เราได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยความเชื่องช้าและแผ่วเบา ธงทัพบอกคำว่ารักผ่านเสียงกระซิบ ผมตอบกลับอย่างจริงใจด้วยคำว่ารักเช่นเดียวกัน
ผมลืมตาขึ้นตอนที่ธงทัพใช้ฝ่ามือแตะเข้ามาที่ใบหน้า ขยับนิ้วปาดน้ำตาของผมออก ก่อนน้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน อ่อนโยนในแบบที่ธงทัพเป็นมาตลอด...
"แล้วกูก็เป็นคนทำให้มึงร้องไห้จนได้"
To be continued.