Episode 3
ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจผมเต้นแรง
เพียงเพราะมองหน้าคุณ "ภูผา วันนี้ให้แม่ไปส่งไหม"
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากบ้านตอนที่แม่พูดขึ้นมา ที่ทำงานของแม่กับโรงเรียนผมไปคนละทาง ผมเลยไม่ค่อยให้แม่ไปส่ง แต่วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวัน เดินไปคงไม่ทันเข้าโรงเรียนแน่ๆ เลยหันไปพยักหน้าตอบ แล้วเดินไปรอแม่ที่รถ ผมทะเลาะกับแม่บ่อยด้วยเรื่องเดิมๆ วันต่อมาเราก็มักจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ดีตรงที่เราต่างคนต่างใช้ชีวิตปกติ แต่ปัญหามันไม่เคยถูกแก้ไข มันก็ยังคงเป็นปัญหา รอวันที่จะพูดขึ้นมาเพื่อให้ทะเลาะกันอีก
"ทำไมวันนี้ตื่นสาย เมื่อคืนมัวทำอะไร"
"ทำรายงาน"
แม่พยักหน้ารับ ไม่ได้ถามอะไรต่อ ผมเปิดประตูรถเข้าไปเห็นกองเอกสารวางอยู่เบาะข้างคนขับ มากเกินจะเก็บ แม่เลยบอกให้ผมไปนั่งข้างหลังแทน
"รถรก ไม่มีเวลาเก็บเลย ไปนั่งข้างหลังไป"
ผมเดินไปนั่งเบาะหลัง ที่สภาพไม่ได้ต่างจากเบาะหน้าเท่าไร ระหว่างทางที่แม่ขับรถออกไป เลยจับเอกสารพวกนั้นรวบใส่แฟ้ม ผมเห็นแม่ทำงานตลอดเวลา จำไม่ได้ว่าวันหยุดของแม่คือวันไหน หรือมันไม่มี เราจึงไม่เคยได้ใช้เวลาในวันหยุดไปไหน หรือทำอะไรด้วยกัน น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่สนิทกัน แม้ว่าแม่จะเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ผมมีอยู่ก็ตาม
"นี่ใกล้จะสอบแล้วใช่ไหมภู"
ผมหันมองแม่เพราะเสียงนั่น แต่ไม่ทันได้ฟังว่าแม่พูดอะไร เลยถามซ้ำ
"แม่ว่าไงนะ"
"เหม่ออะไรอยู่ แม่ถามว่าใกล้จะสอบแล้วใช่ไหม"
"อ๋อ ใช่"
"อืม รู้สึกว่าอาทิตย์หน้าทัพจะไปสอบตรงเข้ามหาลัยนะ"
"เรื่องของมันสิ"
ผมมักจะพูดอะไรออกไปตรงๆ เพราะความไม่ไตร่ตรองแล้วพูดในสิ่งที่คิดออกไปเลย จึงทำให้แม่หันมามองด้วยสายตาดุๆ แต่เรื่องนี้ ต่อให้คิดอีกที ผมก็จะพูดแบบเดิม
"ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับภู"
"พูดให้ฟัง เราจะได้ขยันเหมือนพี่เขา จะสอบเข้าคณะอะไรก็คิดเอาไว้บ้าง ม.ห้าแล้ว"
ผมไม่อยากเถียง เลยปล่อยให้แม่พูดไปคนเดียว บ่นเรื่องแย่ๆ ของผม แล้วพูดถึงเรื่องดีๆ ของไอ้ธงทัพให้ฟัง ผมได้ยินจนเบื่อแม้จะไม่อยากฟัง ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมแม่ต้องชื่นชมมันขนาดนั้นทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำตัวดีกับแม่เลย ผมคิดว่าแม่คงยอมในสิ่งที่ตัวเองเอาชนะไม่ได้ แม่จึงต้องยอมมัน
ระหว่างที่กำลังจอดติดไฟแดง ผมหันไปเห็นผู้ชายที่เดินอยู่บนฟุตบาท ไม่ทันได้เห็นหน้า แต่ผิวขาวกับร่างสูงที่คุ้นตาก็บ่งบอกได้ทันทีว่าเป็นใคร
"แม่ ภูลงตรงนี้นะ"
"ทำไมล่ะ"
"เจอเพื่อนอะ เดี๋ยวเดินไปพร้อมมัน"
"ก็เรียกเพื่อนไปด้วยกันสิ เดี๋ยวก็สายทั้งคู่หรอก"
ผมพยักหน้ารับ แล้วเปิดกระจกรถไปเรียกคนบนฟุตบาท
"นาวี!"
คนถูกเรียกหันมามอง คิ้วขมวดเข้าหากันตอนถูกเรียก พอหันมาเห็นผมจึงคลายออก แล้วยกมุมปากเป็นรอยยิ้มก่อนวิ่งเข้ามาหา
"ขึ้นมาสิ" แม่หันมาบอก ผมเปิดประตูรถให้ นาวีพยักหน้าหน่อยๆ แล้วก้าวขึ้นมาบนรถ ยกมือไหว้แม่ผม
"สวัสดีครับ"
ทันทีที่นาวีเข้ามานั่งข้างๆ สายตาผมเลื่อนจากใบหน้าไปมองเข่าของอีกฝ่ายก่อน เพื่อมองดูว่าแผลตรงนั้นดีขึ้นแล้วหรือยัง ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะแม่พูดขึ้นมาก่อน
"บ้านอยู่แถวนี้เหรอลูก"
"ครับ"
ผมมีเพื่อนไม่มาก ไม่กี่คนที่เคยเจอกับแม่ ไม่รู้ว่าเป็นกันทุกบ้านไหม แต่แม่จะใจดีเป็นพิเศษเวลาอยู่กับเพื่อน
"แล้วเราอยู่ห้องอะไรล่ะ"
"ห้องห้าครับ"
ผมหันขวับไปมองตอนนาวีตอบคำถามนั้น
"อ้าว ก็ห้องเดียวกับภูเลยสิ"
จะเป็นห้องเดียวกันได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งรู้จักกับเขา ไม่ใช่ว่าจะรู้จักคนในห้องไม่ครบซะหน่อย คำถามของผมปรากฏผ่านใบหน้าที่ขมวดคิ้วแน่น นาวีเลยบอกให้กระจ่าง
"ผมอยู่ม.หกครับ"
คิ้วยิ่งขมวดแน่นเข้าไปอีก
"ไม่บอก" ผมพูดแบบไม่มีเสียง คนข้างๆ ยักไหล่ขึ้นแล้วตอบกลับมาแบบไม่มีเสียงเช่นกัน
"ไม่ถาม" ก็จริงที่ผมไม่เคยถาม เราพูดคุยกันหลายเรื่องแต่ลืมเรื่องนี้ไป
"อยู่ม.หก แล้วรู้จักธงทัพไหม"
ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนที่แม่เอ่ยชื่อคนที่ไม่อยากได้ยินออกมาอีกแล้ว ทำไมชื่อมันต้องมาโผล่ในทุกบทสนทนาของเราด้วย
"ธงทัพห้องหนึ่งเหรอครับ"
"ใช่ค่ะ รู้จักกันไหม"
"ไม่รู้จักครับ แต่เคยได้ยินชื่อ"
โชคดีที่แม่ขับรถมาถึงหน้าโรงเรียนก่อน เลยไม่ได้พูดอะไรต่อเรื่องไอ้ธงทัพ แต่ความสงสัยของคนข้างๆ ยังคงค้างอยู่ เลยเข้ามาถามผมตอนที่ลงมาจากรถ
"ธงทัพมันทำไมเหรอ"
"ไม่ทำไมหรอก แล้วมึงรู้จักมันได้ไง"
"ก็รู้จักแต่ชื่อ ไม่เคยคุยกัน แล้วแม่มึงรู้จักมันได้ไง"
"แม่เป็นแฟนคลับมัน"
"ฮึ?"
"ช่างมันเหอะ แล้วมึงอ่ะ ไม่เห็นบอกว่าอยู่ม.หก"
"เออ กูรุ่นพี่นะ เรียกกูพี่เลย"
"ไม่เอา"
"กูม.หกนะเว้ย"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ คนข้างๆ หน้าบูดแล้วกระแทกหมัดเข้ามาที่แขนผมแรงๆ ทีหนึ่ง
"เจ็บ"
"เรียกกูพี่ดิ"
"ไม่"
"เรียกพี่หน่อย พี่นาวี"
"แก่กว่าปีเดียวเอง"
"ปีเดียวก็เป็นพี่ได้ มึงไม่เคารพกูหน่อยหรือไง"
ผมสั่นหน้าหนี แต่อีกคนไม่ยอมง่ายๆ บังคับไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นอ้อนแทน
"ครั้งเดียว ลองเรียกหน่อยนะ พี่นาวี เรียกสิ พี่นาวี"
"เออๆ"
"..."
"พี่นาวี"
ผมพูดชื่อเรียกแบบนั้นออกไปอย่างลำบากใจ แต่ทำให้คนถูกเรียกยิ้มออกมาอย่างพอใจ
"ชอบใจมาก?"
"ชอบดิ มึงไม่ชอบเหรอ"
"ไม่อะ"
"ทำไมวะ"
"มึงอยากเป็นพี่เหรอ"
"อือ"
"แต่กูไม่อยากเป็นน้องไง"
"ฮึ?"
"แล้วนี่เข่าหายยัง" ผมเปลี่ยนเรื่อง คนข้างๆ ดูจะยังติดใจกับคำพูดเมื่อครู่อยู่ แต่ก็คล้อยเปลี่ยนเรื่องตาม
"วุ่นวายไม่เลิกนะมึงเนี่ย"
ผมก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วนั่งลงขวางทางเอาไว้ เพื่อมองดูแผลที่เข่า แผลแห้งแล้ว รอยช้ำก็หายไป เจ้าของแผลไม่ได้ขยับหนีตอนผมยกมือขึ้นจับเข่า ได้แต่พูดเบาๆ ตอนผมเงยหน้าขึ้นไปมอง
"หายแล้วเหอะ"
"ก็ไม่อยากให้เป็นรอยไง"
"ไม่เป็นหรอก ทายาแล้วไง"
"อย่าให้เห็นว่าเป็นรอย กูชอบเนียนๆ"
"ชอบเข่ากูอะนะ"
"อือ หัวเข่ามึงน่ารักดี"
"จิตป่ะมึงเนี่ย!" นาวีตะโกนด่าก่อนหลุดหัวเราะออกมา ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น
"คนเขาเป็นห่วง ก็แค่รับๆ ไป"
"เป็นแบบนี้กับทุกคนไหมวะ"
"เป็นอะไร"
"เป็นห่วงเขาไปทั่วอะ"
"กับทุกคนแหละ"
"อ๋อ"
"กับทุกคนที่ชอบนะ"
"แล้วตอนนี้ชอบอยู่กี่คน"
"ก็คนเดียวนี่แหละ"
นาวีกระพริบตาสองสามที เลื่อนสายตาหนีผมที่มองอยู่ เม้มริมฝีปากแน่นก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ผมเองก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ตอนเห็นท่าทางของคนข้างๆ นาวีปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนหันมาต่อว่าผมเคืองๆ
"มึงแย่งซีนกูอะ"
"อะไร"
"กูว่าจะจีบมึงก่อน"
"ช้า"
"โห เห็นมึงนิ่งๆ กูไม่คิดว่ามึงจะจีบใครเป็น"
"เจอคนแบบมึง ใครจะไปมัวนิ่งอยู่ล่ะ"
นาวีหลุดยิ้มออกมา แล้วยกมือตบบ่าสองสามที
"จีบให้ติดนะน้อง อย่าให้พี่ผิดหวัง" พูดแค่นั้นแล้วเดินหนีออกไปอีกทาง ผมยังมองตามอยู่ คนที่เดินออกไปหันหลังกลับมามอง เมื่อเห็นว่าผมยังยืนมองอยู่ก็รีบหันขวับแล้วก้าวเท้าเร็วๆ หนีไป เรียกอาการแบบนั้นว่าเขินได้หรือเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่เขาหรอก ผมเองที่ยืนนิ่งอยู่นี่ก็เพราะทำตัวไม่ถูกต่างหาก เขินไม่ต่างกันเลย
...
ในหนึ่งอาทิตย์จะมีหนึ่งคาบที่ต้องเข้ามาเรียนในห้องสมุด ตามหลักสูตรมันเรียกว่าวิชาส่งเสริมการอ่าน แต่ในความรู้สึกของผมมันคือคาบว่าง เราแทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากหาหนังสือมาอ่านตามอัธยาศัย หนังสือในห้องสมุดไม่มีการ์ตูนที่ผมชอบอ่าน ผมเลยเลือกบางเล่มจากหมวดศิลปะมานั่งเปิดผ่านๆ ผมชอบวาดรูป ศิลปะเคยอยู่ในตัวเลือกของการเรียนต่อที่ผมคิดไว้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว มันเป็นเพราะอคติส่วนตัวที่มีต่อไอ้ธงทัพ พอรู้ว่ามันเดินทางสายนั้น ผมจะเลือกเดินอีกทาง ผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ใกล้มันเพื่อให้พ่อมันหรือแม่ผมเปรียบเทียบผมกับมันอีก
"ภูผา"
"ฮึ?" ผมหันไปมอง ยุ้ย เพื่อนผู้หญิงข้างๆ ที่สะกิดเรียก
"เกิดวันอะไร"
ผมเหลือบตามองยุ้ยที่กำลังกางหนังสือพิมพ์อ่านคำทำนายดวงชะตาตามวันเกิด
"เกิดวันอะไร จันทร์ อังคาร พุธ"
"วันศุกร์" เพราะถูกถามซ้ำ พลางสายตาเค้นเอาคำตอบนั่นผมเลยบอกวันเกิดตัวเองไป แม้ไม่ได้สนใจคำทำนายอะไรนั่นแต่ก็เงียบฟังคนข้างๆ อ่านให้ฟัง
"คนเกิดวันศุกร์ การงานข้ามไป ยังเรียนอยู่ การเงินช่วงนี้ราบรื่นดีไม่มีปัญหา ความรักคนมีคู่ความรักยังมั่นคงเสมอมา คนโสดกำลังจะสมหวังในความรัก"
มุมปากผมขยับขึ้นนิดหนึ่งหลังจบประโยคนั่น
"โห ภูผายิ้ม"
"อะไร"
"ไม่ค่อยเห็นยิ้มเลย ทำไม ดวงแม่นเหรอ"
ผมพยักหน้ารับส่งๆ
"แม่นเรื่องอะไร เรื่องความรักเหรอ"
"เปล่า เรื่องงาน"
"งานอะไรล่ะ นี่ไม่ได้อ่านเรื่องงานเลย"
"อ้าวเหรอ..."
"มีความรักชัวร์!"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธแต่รอยยิ้มมันดันหุบไม่ลง เป็นความพิรุธที่แสดงออกมาชัดเพราะปกติผมยิ้มไม่บ่อยหรอก หนึ่งในความสามารถของผมคือการเปลี่ยนเรื่อง เลยชี้ไปมั่วๆ ที่หน้าแรกของหนังสือพิมพ์
"อ่านข่าวไปเลยไป"
ยุ้ยยักไหล่หน่อยๆ ก่อนพับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างๆ ผม ตอนนั้นเลยหันไปเห็นหัวข้อข่าวตัวใหญ่ที่หน้าแรก คนที่สนใจข่าวนั้นกลับเป็นผม เลยหยิบหนังสือพิมพ์นั่นมาอ่าน
"คืนวันที่ 7 นี้ ชวนดูฝนดาวตก คาด 100 ดวงต่อชั่วโมง" จำไม่ได้เลยว่าเห็นดาวตกครั้งสุดท้ายเมื่อไร ผมจำวันที่บนหัวข้อข่าวเข้าไปในหัว เมื่อถึงวันนั้นหวังว่าตัวเองจะไม่ลืมออกไปยืนมองฟ้าเพื่อดูมัน
"หมดเวลาแล้ว ไปกินข้าวกัน"
ผมพยักหน้ารับ เดินเอาหนังสือศิลปะไปเก็บที่ชั้น แล้วเดินตามเพื่อนออกมาข้างนอก จากตึกห้องสมุดไปโรงอาหารต้องผ่านสนามบาส สายตามันเลยกวาดหาคนบางคนอย่างห้ามไม่ได้ ไม่ทันจะมองครบสนาม เพื่อนข้างๆ ก็เข้ามาเรียก
"ไปฉี่แป๊บ ไปไหมมึงอะ"
ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินตามมันไปเข้าห้องน้ำ เท้ากลับชะงักตั้งแต่หน้าประตูเมื่อเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ในนั้น นักเรียนชายประมาณสี่ห้าคนยืนสูบบุรี่ควันลอยฟุ้งเต็มห้องน้ำ เพื่อนผมเดินเข้าไปก่อนแต่ผมลังเล จริงๆ ผมเองก็เห็นอยู่บ่อยกับกลุ่มนักเรียนที่มาแอบสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำหลังตึก แต่ที่ไม่ก้าวตามเพื่อนไปเพราะหนึ่งในนั้นมันดันเป็นไอ้ธงทัพ มันเองก็หันมาเห็นผมพอดี ยกมือดึงบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออก หันหลังไปพ่นควันบุหรี่ แล้วเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหาผมก่อน
"อย่าเสือกไปบอกพ่อกูล่ะ"
ผมอยากให้แม่เห็นจริงๆ ว่าเด็กดีของแม่เวลาอยู่ลับหลังพ่อแม่มันเป็นยังไง แต่ไม่อยากยุ่งเรื่องของมันเลยสวนกลับไป
"ไม่เคยสนเรื่องของมึงอยู่แล้ว"
ผมพูดแค่นั้นแล้วถอยออกมารอเพื่อนที่หน้าประตู ก่อนได้ยินเสียงพูดคุยจากข้างในแต่ไม่ได้จับใจความ ไม่นานเพื่อนผมก็เดินออกมา เพื่อนผมรู้ดีอยู่แล้วเรื่องผมกับไอ้ธงทัพ พวกมันรู้ว่าผมไม่ชอบเลยไม่เคยพูดถึงหรือถามอะไรเกี่ยวกับไอ้นั่นอีกเลย
ผมเดินตามเพื่อนไปโรงอาหาร เพราะมัวคิดในใจเรื่องไอ้ธงทัพอยู่ก็เลยไม่ได้หันมองไปที่สนามบาส กระทั่งคนที่อยู่ในสนามเป็นฝ่ายตะโกนเรียกผม
"ภูผา!"
"เฮ้ย!"
ลูกบาสในมือนาวีถูกเหวี่ยงเต็มแรงเข้ามาหา ผมจึงยกมือรับโดยอัตโนมัติ ลูกบาสกระทบมือเสียงดังลั่นเล่นเอาเจ็บ ผมหันไปบอกให้เพื่อนเดินไปก่อน ตอนที่นาวีเดินเข้ามาหา เลื่อนสายตามองคนที่เดินเข้ามาหัวจรดเท้า เวลาอยู่ในสนามบาสจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืด แต่กางเกงนักเรียนตัวเดิม วันนี้ตัวก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่ออีกแล้ว
"โยนกลับไปดิ" นาวีว่าแล้วชี้มาที่ลูกบาสในมือผม ผมที่ยืนอยู่ขอบสนาม หันมองแป้นบาสที่อยู่ไกลออกไป เล็งตรงนั้นแล้วกระโดดขึ้นสูง ออกแรงโยนบาสในมือก่อนมันจะลอยเข้าห่วงไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมก็งงกับการกระทำของตัวเองถึงกับชะงักไปนิดหนึ่ง หันมองนาวีที่เบิกตาขึ้นหน่อยๆ แล้วเขยิบเข้ามากระตุกแขนผม
"มึงมาเข้าทีมบาสเหอะ!"
"ไม่เอา"
"มันไม่ฟลุคแล้วแบบนี้อะ นี่มันมืออาชีพ"
"เวอร์"
"กีฬาสีมึงอยู่สีไหนเนี่ย สีเดียวกับกูป่ะ"
"ไม่รู้ว่ะ มันไม่ซ้ำกันสักปีอะ"
"อย่าให้รู้นะว่าไปเข้าทีมตรงข้ามมาแข่งกับกูอะ กูจะปาลูกบาสใส่หน้ามึงเลยจริงๆ"
"กลัว"
"กูพูดจริงนะเว้ย!"
"เออ ไม่แข่งหรอก ขี้เกียจวิ่ง แล้วนี่กินข้าวยัง" ผมถนัดเปลี่ยนเรื่อง เลยถามถึงข้าวกลางวันแทนเรื่องบาส
"ยัง"
"ไปกินข้าวดิ รออะไร"
"เดี๋ยวเล่นเสร็จก็ไปไง"
"ทำไมไม่กินก่อน"
"กินข้าวแล้วมาวิ่งก็อ้วกแตกดิวะ"
"ไม่กินเดี๋ยวก็ปวดท้องอีกอะ ไม่เข็ดเหรอ เจ็บไม่จำ"
"มึงมาบ่นอะไรกูเนี่ย"
"มึงบอกว่าอยากได้คนดูแลไม่ใช่เหรอ"
"มึงจะเป็น?"
"ถ้ามึงไม่ว่า"
นาวีเหลือบตามองไปทางซ้าย กลอกกลับมาทางขวา แล้วหันมองตรงเพื่อสบกันกับตาผม ก่อนพูดบางประโยคออกมาไม่เต็มเสียง
"จะไปว่าอะไรได้"
นาวียิ้มอย่างไม่กลั้น ผมก็เขินแต่เนียนทำหน้าตายแล้วไล่ไปกินข้าวอีกที
"ไปกินข้าวดิ"
"เออ ไปแล้ว"
นาวีพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินกลับไป สองสามก้าวก็หันกลับมาเรียกผมไว้อีกที
"ภูผา"
"ฮึ?"
"พรุ่งนี้มาเตือนอีกนะ"
ผมพยักหน้าหน่อยๆ แล้วตอบรับอย่างล้อเล่น
"ครับพี่นาวี"
"หูย น่ารักสัด!"
นาวีชี้นิ้วใส่หน้าขยิบตาข้างหนึ่งแล้ววิ่งกลับเข้าไปในสนาม ผมอยากจะสวนคำเดียวกันกลับไป แต่เก็บเอาไว้ในใจแล้วเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มแทน ผมว่าคำนั้นมันเหมาะกับเขามากกว่า
น่ารัก... ...
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ผมรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว ตลอดอาทิตย์ที่ชีวิตในโรงเรียนของผมมันเปลี่ยนไป ไม่ได้เฉื่อยชารอเวลาเรียนให้หมดไปเหมือนที่ผ่านมา พักกลางวันก็ยังคงเป็นชั่วโมงโปรดที่ชอบที่สุด ผมหาเรื่องเดินผ่านสนามบาสทุกๆ วันเพื่อให้มั่นใจว่านาวีไปกินข้าวแล้ว ผมยังไม่เคยได้นั่งกินข้าวกลางวันกับนาวีสักมื้อเลย แต่เราเจอกันทุกวันตอนเย็น ผมไม่ได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปอยู่ที่ร้านเกม แต่มานั่งรอนาวีที่สนามบาสแทน ก่อนเดินกลับบ้านพร้อมกัน ช่วงนี้ใกล้กีฬาสีแล้วนักกีฬาอย่างเขาก็ต้องซ้อมหนักกว่าปกติ ตอนวิ่งอยู่ในสนามไม่เห็นรู้จักเหนื่อย แต่พอเลิกซ้อมที่ไรแทบจะให้ผมลากกลับบ้านทุกทีเพราะหมดแรงจะเดิน
"ขี้เกียจเดิน ขอขี่คอได้ป่ะ"
"คอหักดิ"
"มึงก็เวอร์!"
"ทำไมไม่เกิดมาตัวเล็กๆ ล่ะ"
"แล้วทำไมมึงไม่เกิดมาตัวใหญ่กว่านี้ล่ะ กูสูงกว่ามึงอีกมั้งเนี่ย" นาวีพูดแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ ยกมือทาบความสูงของผมกับเขาที่พอๆ กัน แต่ถ้าวัดกันตามเซนติเมตรจริงๆ เขาคงสูงกว่าผม
"กูยังโตไม่เต็มวัยไง"
"อ๋อเหรอ งั้นโตเร็วๆ น้า" นาวีแกล้งพูดหยอก ยกมือเคาะหัวผมเล่น ก่อนเสียงมือถือในกระเป๋าของเขาจะดังขึ้น จึงหยิบออกมารับ
"ครับแม่ ภูผาเหรอ อยู่ด้วยกันเนี่ย"
ผมหันมองเมื่อได้ยินชื่อตัวเองจากปากเขา
"ภูผา แม่ชวนกินข้าวเย็น ตกลงครับแม่"
"ฮึ?" ผมร้องออกมาหลังจากนาวีตอบตกลงแม่ไป โดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เขาพูดกับแม่อีกสองสามประโยคแล้วกดวางสายไป
"ไปตกลงตอนไหนเนี่ย"
"ไปเหอะ แม่กูซื้อกุ้งมาครึ่งอ่าว กินมาสองวันแล้ว มึงไปช่วยกินหน่อย จะได้หมดๆ ไปสักที"
ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้อยากขัดใจนาวี แล้วกับข้าวบ้านเขาก็ดันอร่อยจนไม่อยากปฏิเสธด้วย จึงเดินตามเขาไป ก่อนถึงบ้าน นาวีชวนแวะร้านค้าหน้าปากซอย เขาเดินเข้าไปเลือกซื้อขนม ผมกำลังจะเดินตามแต่ได้ยินเสียงทีวีที่เจ้าของร้านเปิดเลยหันไปให้ความสนใจกับมันก่อน
"ทางด้านนักดาราศาสตร์ออกมาชี้ว่าปรากฏการณ์ฝนดาวตกคืนนี้ เฉลี่ยหนึ่งร้อยดวงต่อชั่วโมงเลยทีเดียว..." ผมเลื่อนสายตามองปฏิทินที่ผนังร้าน วันที่จากหัวข้อข่าวที่คิดว่าจะไม่ลืม สุดท้ายไม่ได้นึกถึงมันเลย นาวีเลือกซื้อขนมเสร็จแล้วเดินมาหาผมที่ยืนดูข่าวอยู่
"มีดาวตกเหรอ เมื่อไรอะ"
"คืนนี้"
"จริงดิ น่าดูว่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นเลย"
"ไม่เคยเลยเหรอ"
"มันชอบตกดึกๆ ไง กูนอนก่อนทุกทีอะ"
"คืนนี้อยู่ดูกันไหม พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องตื่นเช้า"
"เอาดิ บ้านกูมีดาดฟ้า เดี๋ยวขึ้นไปดูบนนั้นกัน"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนนาวีจะจ่ายเงินค่าขนมแล้วเดินตรงไปบ้าน ไม่ทันจะก้าวเข้าประตูบ้านผมก็ได้กลิ่นอาหารหอมมาไปถึงหน้าบ้าน เข้ามาก็เห็นอาหารหลายอย่างที่ใช้กุ้งเป็นวัตถุดิบหลัก มากจนข้างๆ หันมาแซวแม่ตัวเองให้ผมฟัง
"แม่กูจัดโต๊ะจีนมั้งนั่น"
"อ้าว มากันแล้วเหรอ เข้ามาเลย" ผมยกมือไหว้ทั้งพ่อและแม่ของนาวี ในหนึ่งอาทิตย์นี้ผมแวะมาที่นี่เป็นครั้งที่สาม บางทีแวะมาส่งนาวีที่หน้าบ้านก็โดนลากเข้ามากินข้าว ตอนที่พ่อแม่นาวีรู้ว่าผมต้องหาข้าวเย็นกินเองเพราะแม่กลับบ้านช้า ท่านก็ชวนผมมากินข้าวด้วย แต่ผมเกรงใจเลยไม่ได้อยู่กินทุกวัน
"นาวี ไปหยิบจานมา"
"โห่ มาถึงก็โดนใช้เลย"
"มีลูกคนเดียว ไม่ให้ใช้ลูกจะใช้ใคร"
"ใช้ภูผาดิ"
"อย่ามาโยนให้เพื่อน ไปหยิบมา"
นาวีหันมามองตาขวางใส่ผมก่อนเดินไปหยิบจานให้แม่ ผมยืนมองอาหารบนโต๊ะที่มากมาย แทบจะมากเกินไปสำหรับกินกันแค่สี่คน ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ห่างจากทะเลไม่กี่กิโลฯ แต่ผมกลับไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล แม่ไม่เคยทำให้กินด้วยซ้ำ
"ภูผา ไปล้างมือก่อนลูก"
"ครับ"
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปล้างมือ นาวีที่ล้างเสร็จก่อนสะบัดน้ำใส่หน้าผม
"แกล้งว่ะ"
"หมั่นไส้ แม่หลงมึง"
"กูน่ารักไง"
"อันนี้ไม่เถียง"
"เอ้า"
"อึ้ย! น่ารัก!" นาวีว่าแล้วยกมือหยิกคางผมเบาๆ ผมดึงหน้าหนีแต่กลั้นยิ้มไม่อยู่ ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็ก ทั้งที่อายุห่างกันแค่ปีเดียว สงสัยอยากแก่มากมั้ง
"นาวี ไปหยิบน้ำมา"
"โห่แม่ ภูผามันยืนอยู่ใกล้ตู้เย็นกว่าอีก ทำไมไม่ใช้มัน!"
"เรานั่นแหละ ไปหยิบมา"
นาวีถอนหายใจยาวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำกับแก้วหลังตู้เย็น มาวางบนโต๊ะอาหาร นั่งลงข้างๆ ผมแล้วสะกิดเรียกพ่อ
"พ่อ ผมอยากมีน้อง"
"มีน้อง?"
"อือ แม่จะได้ใช้งานมันแทนไง ขอน้องให้ผมคนหนึ่งดิ"
"อันนี้ต้องไปขอแม่"
"ไม่เอาแล้ว! คนเดียวก็จะแย่ละ"
"โห่ ก็อยากมีน้องอะ"
"ไม่ต้องเลย กินได้แล้ว ภูผากินเยอะๆ นะลูก"
แม่นาวีดูแลผมดีกระทั่งแกะเปลือกกุ้งให้ แม้ผมบอกจะทำเอง ขณะที่นาวีก็มีพ่อที่คอยทำให้เหมือนกัน ในระหว่างการพูดคุยของคนในครอบครัวนาวี ผมไม่ค่อยมีบทพูดใดเหนือไปจากการนั่งฟังเฉยๆ แต่ในทุกๆ บทสนทนาของพวกเขา ก็ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วยได้ตลอด
"ใกล้จะกีฬาสีแล้วใช่ไหมเนี่ย"
"เดือนหน้าแล้ว ตอนนี้ซ้อมหนักโคตร รองเท้าพังหมดแล้วอะ พ่อซื้อรองเท้าใหม่ให้หน่อยดิ"
"เพิ่งซื้อไปนี่"
"ก็มันพังแล้วไง ซื้อให้ใหม่หน่อยนะ นะๆ"
"เทอมนี้สอบได้ที่หนึ่งสิ เดี๋ยวพ่อซื้อให้"
"โห่ ไม่อยากซื้อก็บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า"
"นี่ เราน่ะมัวเล่นแต่บาส อย่าลืมเรื่องสอบเข้ามหาลัยด้วยล่ะ"
"ไม่เรียนต่อได้ป่ะ"
"ไม่เรียนแล้วจะทำอะไรกิน"
"เกาะพ่อกินไง พ่อตายมรดกก็เป็นของผมคนเดียวอยู่ดี"
"ลูกชั่ว!"
เราทั้งหมดหัวเราะออกมาพร้อมกันกับการหยอกล้อรุนแรงไปหน่อยของนาวี
"แล้วภูผาล่ะ จะเรียนต่อคณะอะไร"
"ยังไม่ได้คิดเลยครับ"
"มันเพิ่งม.ห้าเองแม่ มีเวลาคิดอีกเป็นปี"
"อ้าว นึกว่าอายุเท่ากันซะอีก"
"เป็นรุ่นน้องครับ" ผมพูดออกไป เรียกว่าไม่เต็มปากนัก คนเป็นพี่ก็ได้ทียื่นมือมาเคาะหัวอย่างล้อเล่น
"ไหน เรียกพี่สิลูก"
"พี่นาวี เอามือออกไปจากหัวกู" ผมกัดฟันพูด อีกฝ่ายเลยใช้มือที่ลูบหัวอยู่ตบเข้ามาเบาๆ
"นี่ไง ภูผาอ่อนกว่านาวีปีใช่ไหม ก็เป็นน้องให้วีมันหน่อย อยากมีน้องมากนักนี่"
ผมพยักหน้ารับ นาวีหลุดหัวเราะออกมาแล้วหรี่ตามองผม ก่อนยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง
"ให้มันเป็นน้อง มันไม่ยอมหรอก"
"..."
"มันจะเอามากกว่านั้น"
ผมตอบกลับด้วยการยักคิ้ว ในความชัดเจนของผมนาวีรู้ดีอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แค่เห็นก็ชอบเลยคงจะเป็นคำพูดที่ดูมากเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ผมไม่ลังเลที่จะเดินหน้าเข้าหาเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมั่นใจมากขึ้นตอนที่เขาเองก็เดินสวนกลับมาเพื่อให้เราใกล้กันมากกว่าเดิม
ผมใช้เวลาอยู่ที่บ้านนาวีจนถึงดึก หอบผ้าห่มกับหมอนขึ้นมานอนอยู่บนดาดฟ้า ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นดาวได้ชัดถนัดตา อากาศชื้นในช่วงปลายฤดูฝนเย็นกำลังดี แต่คงหนาวไปสำหรับคนข้างๆ ถึงได้ม้วนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา หน้าตาดูออกได้ไม่ยากว่าเริ่มง่วงนอนแล้ว
"ง่วงแล้วเหรอ"
"อือ จะตกไหมดาวเนี่ย จะหลับก่อนแล้ว"
"นอนไปก่อนดิ เดี๋ยวตกแล้วเรียก"
"ไม่เอาอ่ะ ชวนคุยหน่อยดิ จะได้ไม่หลับ"
"กูคุยไม่เก่ง มึงก็รู้"
นาวีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วหันนอนตะแคงมองหน้าผม เพราะถูกมองโดยไม่พูด ผมก็เลยทำตัวไม่ถูก ขยับตัวไปนอนท่าเดียวกับเขาเพื่อมองหน้าคนข้างๆ กลับ
"ภูผา มึงไปอยู่ไหนมาวะ"
"ฮึ?"
"สงสัยคนในโรงเรียนมันเยอะเกินไป กูเลยไม่เคยเจอมึง ไม่งั้นคงได้รู้จักกันเร็วกว่านี้"
"ก็รู้จักแล้วนี่ไง"
นาวียิ้มให้ผมทีหนึ่งแล้วยกมือบีบแก้มผม
"น่ารักจังเลยมึงเนี่ย"
ผมไม่ตอบได้แต่ยิ้มกลับไป แม้จะอยากแย้งว่าเขาไม่ควรชมผมแบบนั้น ผมไม่เคยมองหน้าตัวเองแล้วเจอคำว่าน่ารัก แต่ถ้าในสายตาเขามันจะเป็นแบบนั้นก็ปล่อยเขาไป
"โอ๊ะ! ดาวตก!"
ผมหันขวับไปมองตามนิ้วนาวีที่ชี้ขึ้นฟ้า พลาดเห็นดาวดวงที่นาวีบอก แต่อีกดวงก็ตกตามมาในแทบจะทันที ดวงตาของคนข้างๆ ประกายกว่าดาวบนฟ้า ดูตื่นตากับสิ่งที่ไม่เคยเห็น
"เขาบอกว่าต้องอธิษฐานด้วยใช่ไหม"
"อือ"
นาวีกวาดตามองไปบนท้องฟ้าอีกที เมื่อดาวอีกดวงหล่นลงจากฟ้า เขาก็หลับตาลงขอพรในใจ มุมปากยกขึ้นยิ้มตอนหันมามองผม
"มันตกตั้งหลายดวง ขอหลายๆ ทีได้ไหมอะ"
"จะขออะไรเยอะแยะล่ะ"
"มึงได้ขอไหม"
"ไม่อะ"
"ไม่มีอะไรอยากขอเหรอ"
"ไม่มี"
"ไม่ขอให้จีบกูติดเหรอ"
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ
"เรื่องแบบนั้นไม่ต้องขอพรหรอก เดี๋ยวทำเอง"
"มั่นใจเนอะ เซียนเหรอ"
"เซียนอะไรล่ะ"
"จีบคนมาเยอะเหรอ"
"ไม่เคย"
"..."
"มึงคนแรกเลย"
นาวีฟุบหน้าลงบนหมอนแล้วเงยขึ้นมายิ้มให้
"เขินเหรอ"
"เขินดิ กูไม่ใช่หินอย่างมึงจะได้ทำเป็นนิ่งอยู่ได้"
"เห็นหน้านิ่งนี่ใจสั่นนะ"
"จริงป่ะ" นาวีเลิกคิ้วถามแล้วเขยิบเข้ามาวางมือลงบนอกผม เขาคงรับรู้ได้ว่าใจมันเต้นตึกตักจนผิดจังหวะ เพียงแต่ผมห่วยเรื่องการแสดงออก เลยทำได้แค่ยิ้มอย่างเดียว
"แล้วเมื่อกี้มึงขออะไร"
"กูเหรอ"
นาวียิ้มออกมาอีกที ก่อนหันกลับไปนอนหงายแหงนหน้ามองฟ้า พูดความปรารถนาของตัวเองออกมาพร้อมกับดวงดาวที่ตกลงมาอีกครั้งในจังหวะเดียวกัน
.
.
.
"ขอเรียกมึงว่าแฟนเลยได้ป่ะ" ...
To be continued.
ตกลงใครจีบใครกันแน่เนี่ยยย งงไปหม้ดดด