Episode 6
ผมจึงกอดคุณ
ด้วยความรักทั้งหมดที่ผมมี สองอาทิตย์สำหรับการถูกพักการเรียนคล้ายเป็นปิดเทอมระยะสั้นสำหรับผม ไม่มีอะไรต้องทำผมจึงว่างจนรู้สึกเบื่อ นาวีต้องไปสอบเข้ามหาลัยจึงเอาเวลาว่างไปเตรียมตัว ผมไม่รบกวนเขามากนัก เพียงแต่หาเวลามาเจอกันบางวันในตอนเย็น
"ติ๊ง!"
ผมเลื่อนสายตามองหน้าจอคอมฯ ที่ปรากฏหน้าต่างแชทของเฟสบุ๊ก ผมใช้เวลาว่างไปกับการเรียนรู้ที่จะใช้งานมันเพราะเพื่อนพากันบอกให้ใช้ เพื่อจะได้เป็นช่องทางการติดต่อที่ง่ายขึ้น แล้วการพูดคุยผ่านแชทก็เริ่มขึ้นมาตั้งแต่สองวันก่อน จนถึงตอนนี้ด้วยเรื่องสัพเพเหระ มาเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังบ้าง บอกต่องานที่ผมต้องทำส่งบ้าง ขณะกำลังคุยกับเพื่อนผ่านทางแชท เสียงเรียกเข้าของมือถือก็ดังขึ้น ผมหันมองแล้วเห็นว่าเป็นนุ่น จึงหยิบมากดรับ
(สะ...สวัสดีค่ะ ภูผา)
ผมหลุดหัวเราะออกมากับการทักทายของปลายสาย
"ว่าไงนุ่น"
(คือ เราจะโทรมาบอกว่ามีรายงานวิชาชีวะ อาจารย์ให้จับคู่กัน ไม่สิ อาจารย์จับคู่ให้ แล้วคือ...เราได้คู่กับภูผาน่ะ)
ผมเงียบฟังนุ่นก่อนตอบรับไปสั้นๆ
"อ๋อ"
(รายงานต้องส่งอาทิตย์หน้า ก่อนที่ภูผาจะกลับมาเรียน ภูผาพอจะหาเวลามาทำงานด้วยกันได้ไหม)
ผมเงียบไปอีกครั้งหลังฟังนุ่นพูดจบ คงเห็นว่าผมไม่ตอบอีกฝ่ายจึงพูดต่อ
(แต่...แต่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราทำเองก็ได้ เราแค่โทรมาบอกเฉยๆ เดี๋ยวเรา...)
"ได้ดิ" ผมสวนกลับไปแทรกประโยคของนุ่น
(ได้เหรอ)
"เราว่างทุกวันแหละ นุ่นนัดมาเลย"
(ถ้างั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นมาเจอกันนะ มีร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้ๆ ที่เรียนพิเศษเรา ไปเจอกันที่นั่นได้ไหม)
"ได้"
(เราจะรอนะ)
ผมลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงมามองหน้าจอกระทั่งนุ่นวางสายไป ความคิดติดอยู่กับคำพูดของนุ่น ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่เห็นจากหน้าต่างแชทของเพื่อนที่ยังคุยค้างกันอยู่
Biw Phatorn: งานชีวะกูได้คู่กับมึง แต่นุ่นมาขอแลกว่ะ กูเลยให้แลกไป ไม่ว่ากูนะ ...
วันถัดมา ผมมาหานุ่นตามเวลาที่นัดเอาไว้ ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่คนไม่เยอะจึงมองเห็นนุ่นก่อนใคร ผมเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับนุ่น คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่จึงไม่ทันรู้ตัว เงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจนิดหนึ่งก่อนยิ้มกว้างให้
"มาแล้วเหรอ"
"รอนานป่ะ"
"ไม่นานเลย ภูผาอยากกินอะไรไหม ชาเขียวปั่นที่นี่อร่อยมากเลยนะ"
"กินไม่เป็นอะ"
"อ้าวเหรอ...งั้น...งั้นลองชิมก่อนไหม" นุ่นว่าแล้วยื่นแก้วชาเขียวของตัวให้อย่างเก้ๆ กังๆ ผมจึงยกมือปัดเป็นเชิงปฏิเสธ
"ทำงานเลยป่ะ"
"อ๋อ โอเค" นุ่นก้มลงหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ แล้วขยับเก้าอี้เข้ามาหาผมนิดหนึ่ง อธิบายเรื่องรายงานให้ผมฟัง แล้วแบ่งงานให้ส่วนของผมให้จัดการ ผมกับนุ่นใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆ รายงานก็คืบหน้าไปจนเกือบจะเสร็จ ระหว่างนั้นผมเหลือบตาขึ้นมองนุ่นเพราะรู้สึกตัวว่าถูกมอง อีกฝ่ายรีบก้มหน้าลงตอนผมเงยหน้าขึ้นมอง ผมก้มลงพิมพ์งานต่อแล้วเอ่ยปากถาม
"มีอะไรเปล่า"
"คือ...ภูผาเป็นไงบ้างอะ หน้ายังช้ำอยู่เลย เจ็บหรือเปล่า"
"ไม่เจ็บหรอก"
"อ๋อ...เราเป็นห่วงนะ"
"ฮึ?"
"หมายถึงเรากับเพื่อนในห้องเป็นห่วงนะ มีคนถามหาภูผาเยอะเลย"
"ไม่เป็นไรแล้ว"
"อ๋อ...โอเค"
นุ่นพยักหน้ารับ ขยับแว่นนิดหนึ่งแล้วก้มลงไปทำงานต่อ
"เออใช่ ภูผามีเฟซบุ๊กแล้วใช่ไหม"
"อืม"
"รับเราเป็นเพื่อนด้วยสิ เราแอดเฟรนด์ไปนะ"
"ใช้ไม่ค่อยเป็นอะ สอนหน่อยสิ" ผมขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้นุ่นอีกจนแทบติดกัน อีกคนหันมองแขนผมที่เผลอไปชนกับแขนตัวเอง ก่อนพยักหน้ารับ ปิดหน้าต่างเวิร์ด แล้วเปลี่ยนเป็นเว็บเฟสบุ๊กแทน ผมเองก็ด้วย นุ่นอธิบายถึงปุ่มแจ้งเตือนที่เป็นสีแดง แสดงบัญชีของนุ่นที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมา ผมรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็พยักหน้าฟังนุ่นพูดไป น้ำเสียงเบาๆ ของคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกพูดต่อไปเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นตรงนี้ของเว็บไซต์ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนักเพราะเผลอมองหน้าคนข้างๆ ด้วยความคิดบางอย่างในหัว นุ่นเป็นคนเรียนเก่ง พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อน ผมไม่คิดว่าตัวเองเคยสร้างปัญหาอะไรให้นุ่น หรือเคยทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า คิดทบทวนแล้วก็ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
"นุ่น"
"หืม?"
"ถ้าอยากโพสท์รูปต้องทำยังไงอะ"
"ก็เหมือนโพสท์สเตตัสเลย แค่เปลี่ยนเป็นรูปตรงนี้"
"ถ้าอยากโพสท์ลงกลุ่มล่ะ"
"ก็เข้าไปที่กลุ่มก่อน แล้วก็โพสท์เหมือนปกติเลย"
"อ๋อ"
"..."
"เหมือนที่นุ่นโพสท์รูปเรากับนาวีใช่ไหม"
นุ่นหันขวับมองผม เบิกตาขึ้นนิดหนึ่งด้วยใบหน้าอึกอัก ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วหันมองนุ่น เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามซ้ำ
"ภูผา พูดอะไร"
"นุ่นเป็นคนโพสท์รูปนั้น"
"เรา...ไม่ใช่นะ!"
"นุ่นอยู่ที่โรงยิมในวันกีฬาสี แล้วที่ห้องน้ำ เราไม่เคยพูดกับใครเลยว่าวันนั้นเราทำอะไรกับนาวีในห้องน้ำ แต่นุ่นพูดออกมาว่าเรากับนาวีเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเฉยๆ นุ่นรู้ได้ไงอะ"
"..."
"นุ่นจงใจเปิดรูปนั้นในห้องเรียนให้คนอื่นเห็น"
"..."
"นุ่นทำแบบนั้นทำไม"
นุ่นก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา สองมือกุมชายเสื้อตัวเอง ยิ่งผมมองอย่างคาดคั้น นุ่มยิ่งก้มหน้าหนีกัดริมฝีปากแน่น
"กริ๊ง!"
เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังท่ามกลางความเงียบ ผมหันไปมองคนที่เดินเข้ามาก่อนนั่งลงโต๊ะเดียวกับเรา ผมไม่ได้ตกใจที่นาวีโผล่มาที่นี่เพราะเป็นคนนัดมาเอง แต่คนข้างๆ นิ่งไปครู่หนึ่งตอนหันไปเห็นนาวี
"หวัดดีนุ่น" คำทักทายของนาวีทำให้นุ่นยิ่งกดหน้าตัวเองลงไปอีกไม่ยอมเงยขึ้นมา นาวีเลิกคิ้วอย่างสงสัยตอนหันมามองหน้าผม ผมบอกกับนาวีไปแล้วเรื่องนุ่นหลังจากมั่นใจ ผมไม่ได้โกรธอะไรนุ่นเพียงแค่อยากรู้ว่านุ่นว่าทำไปเพื่ออะไร ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความเงียบที่นุ่นแสดงออกมา ผมทิ้งให้ความเงียบทำงานอยู่ครู่หนึ่งอย่างน่าอึดอัด
"นุ่น บอกเราดิว่าทำแบบนั้นทำไม"
"..."
"นุ่น!"
"เราชอบภูผา!"
"ฮะ?" นาวีลั่นออกมาดูตกใจ ส่วนผมทำได้แค่เงียบตอนได้ยินเหตุผลของนุ่น คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแล้วหันมองหน้านุ่น
"เราชอบภูผา"
"พี่ไม่อนุญาต!" นาวีว่าเสียงดัง จนนุ่นก้มหน้าหนีลงไปอีกครั้ง แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม
"เราชอบภูผามาตั้งนานแล้ว เรารู้ว่าภูผาไม่ได้ชอบเราหรอก แต่เราแค่อยากให้ภูผาเลิกกับพี่เขาอะ!"
"พี่ไม่เลิกเว้ย!"
"นาวี..." ผมหันไปเรียกคนที่กำลังทำท่าโมโห
"เราก็แค่คิดว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าภูผากับพี่นาวีเป็น...เป็นเกย์...คนอื่นคงรับไม่ได้ แล้วภูผาก็ต้องเลิกกับพี่นาวี"
"คิดได้ไงวะ" นาวีพูดอย่างโมโห ผมได้แต่ยกมือกุมขมับหมดคำจะพูด คิดไม่ถึงกับความคิดและการกระทำของนุ่น
"แล้วภูผามาทำให้เราชอบทำไมล่ะ..."
ผมไม่ได้ทำอะไร
ผมคิดอย่างนั้นแต่ไม่ได้พูด เพราะผมอาจไม่รู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองส่งผลต่อความรู้สึกนุ่นยังไง ผมอาจไม่รู้... เพราะหาคำตอบให้นุ่นไม่ได้จึงได้แต่เงียบ นาวีถอนหายใจยาวแล้วหันมองนุ่น
"นุ่น คือนุ่นจะชอบใครมันไม่ผิดหรอกนะ แต่สิ่งที่นุ่นทำมันสร้างปัญหาให้พี่กับภูผานะ นุ่นจะทำกับคนที่ตัวเองรักแบบนี้จริงๆ เหรอ"
"..."
"แล้วถ้านุ่นคิดว่าพี่กับภูผาจะเลิกกันเพราะสิ่งที่นุ่นทำอะ นุ่นคิดผิดแล้วเว้ย"
"..."
"มันทำให้เรารักกันมากกว่าเดิมอีก"
นาวีย้ำประโยคนั้นให้ชัดด้วยการยื่นมือมาจับมือผมแน่น นุ่นเลื่อนสายตามองสองมือของเราที่กุมกันอยู่ ก่อนเงยหน้ามองผม
"เราขอโทษนะ" นุ่นพูดแค่นั้นแล้วเก็บของวิ่งออกไปจากร้าน ทั้งผมและนาวีถอนหายใจออกมาพร้อมกันเบาๆ ก่อนนาวีหันขวับมามองผมตาขวาง
"อะไร"
"ยังไงล่ะเนี่ย มีผู้หญิงมาบอกรักด้วย"
"หวั่นไหวเลยนะ ใจสั่นเลยเมื่อกี้" ผมแกล้งพูดล้อเล่นขณะเก็บของใส่กระเป๋า แต่นาวีตรงเข้ามาหยิกแก้มผมแรงๆ ทีหนึ่ง
"เจ็บนะเนี่ย"
"เนื้อหอมมากไหมล่ะ!" นาวีพูดพลางเชิดปากใส่เคืองๆ ผมจึงโน้มหน้าลงไปหาแล้วสวนกลับไป
"ก็เคยดมแล้วนี่"
คนข้างๆ หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วยกศอกขึ้นกระแทกผม
"มีคนมาชอบแบบนี้ หวงแล้วอะ ทำไงดี"
"กับกูอะแค่นุ่นคนเดียว ของมึงอะครึ่งโรงเรียน กูยังไม่ว่าเลยนะ"
"เออ เอาไงดี ท้าตบหลังโรงเรียนเลยดีป่ะ"
"ไม่อะ"
"..."
"กูชนะแล้วตั้งแต่ได้มึงเป็นแฟน"
"หูย! เอาเรื่องว่ะ! เขินขาอ่อนเลยนะเนี่ย"
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเก็บของออกมาจากร้าน นาวีตามออกมาด้วย ผมหันไปมอง เห็นว่าเขาอยู่ห่างจากผมไปสองสามก้าวเลยหยุดเดินแล้วยื่นมือไปหา อีกคนก็ยกมือขึ้นมาจับมือผมในจังหวะเดียวกัน ผมดึงนาวีมาข้างๆ แล้วเดินไปพร้อมกัน ผมไม่รู้ว่าจะมีคนอยากให้เราเลิกกันอีกสักกี่คน ผมจึงจะจับมือนาวีไว้ให้แน่นแล้วเดินต่อไปด้วยกันให้นาน นั่นคือความต้องการเดียวของผมในตอนนี้
...
ผมมาอยู่ที่บ้านนาวีอีกครั้ง ทีแรกตั้งใจจะมาส่งแค่หน้าบ้านแต่พ่อกับแม่ของเขาอยู่พอดีเลยชวนเข้ามากินข้าวด้วยกัน พ่อกับแม่ของนาวีรู้แล้วเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป การยอมรับเกิดขึ้นอย่างไม่มีเงื่อนไข บรรยากาศที่บ้านนาวีกับบ้านผมต่างกันจนไม่อยากเปรียบเทียบ พ่อแม่ไม่ได้ต่อว่าเรื่องที่ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้นาวีถูกพักการเรียน แต่ก็ไม่ได้ละเลย วันแรกเราโดนอบรมกันอยู่พักใหญ่ๆ ผมรับฟัง ไม่เถียง คิดตาม และจดจำทุกคำสั่งสอน สัญญาจะไม่ทำมันอีก
หลังจากจบมื้ออาหาร ผมมานั่งอยู่กับนาวีที่ห้องนั่งเล่น อีกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการทดลองใช้สีน้ำกล่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ผมเพิ่งได้เห็นนาวีวาดรูปเป็นครั้งแรก แล้วก็ชื่นชมไปกับฝีมือของเขา ไม่คิดว่าจะวาดรูปได้สวยขนาดนี้ นาวีเป็นคนเก่ง มีความสามารถรอบด้าน บางครั้งดูแข็งแกร่ง บางครั้งอ่อนโยน ทุกส่วนประกอบในความเป็นนาวีไม่มากไม่น้อยไป ในสายตาผมนาวีสมบูรณ์แบบโดยไร้ข้อติติง แม้ดีเกินกว่าจะมีจริงแต่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาเป็นคนที่ใครอยู่ด้วยก็ต้องชอบ ไม่แปลกที่จะมีคนชื่นชมเขาเยอะ แต่ยิ่งคิดแบบนั้นใจผมก็แกว่งจนเซ
หวงแล้ว...ทำยังไงดี ผมละความสนใจจากนาวีแล้วหันมองไปด้านนอก ฝนที่กระหน่ำตกลงมาพักใหญ่เป็นเหตุให้อากาศเย็นกำลังสบาย เสียงฝนกระทบหลังคาคล้ายเป็นเสียงดนตรีดังคลอไปกับเสียงกีตาร์ของพ่อนาวีที่นั่งเล่นอยู่อย่างอารมณ์ดี ผมขยับตัวนิดหนึ่งแล้วทิ้งหัวฟุบลงบนโต๊ะ นาวีเหลือบตาขึ้นมอง
"ง่วงแล้วเหรอ"
"อือ"
"คืนนี้จะนอนที่นี่ใช่ไหม"
"อือ"
"บอกแม่แล้วใช่ป่ะ"
ผมไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แล้วโกหกด้วยการพยักหน้ารับ ผมยังไม่ได้บอกแม่ พูดให้ถูกคือผมยังไม่ได้พูดกับแม่เลย ตั้งแต่วันที่ผมบอกแม่เรื่องของผมกับนาวี จนถึงวันนี้แม่ไม่คุยกับผมเลย ไม่มีอาหารเช้าสำหรับผม ไม่มีการพูดคุยแม้เพียงทักทาย แม่โกรธมากกว่าทุกครั้ง แล้วผมก็ดื้อด้านเกินกว่าจะทำตามที่แม่ขอ เพราะผมเลิกกับนาวีเพียงเพราะแม่บอกว่าไม่ชอบไม่ได้
"สองทุ่มเองมึงจะง่วงแล้วเหรอ"
"อือ" ผมรับคำอยู่ในลำคอ แล้วขยับหัวไปซุกแขนอีกคนอย่างคลอเคลีย เพื่อเรียกร้องความสนใจ
"อะไรของมึง อ้อนกูเหรอ"
"อือ"
"เป็นอะไรอะ ง่วงก็นอนไป"
"นอนด้วยกัน"
"เสร็จนี่ก่อน มึงนอนก่อนเลย"
ผมส่ายหัวเบาๆ ชนเข้ากับแขนของเขา นาวีหัวเราะแล้วยกมือบีบแก้มผมค้างเอาไว้
"งอแง เดี๋ยวเตะกลิ้ง"
ผมเหลือบมองตาขวาง ก่อนกดหน้าตัวเองลงบนโต๊ะ ปล่อยให้นาวีวาดรูปต่อ คนที่กำลังตั้งใจกับภาพวาดนั่นไม่ทันได้สนใจผมที่ไล่สายตามองเขาตั้งแต่ใบหน้า ผ่านลำคอขาว มองไหล่กว้างไล่ลงสู่ท่อนแขน ไปจนถึงนิ้วมือเรียวสวยนั่นที่กำลังจับพู่กันบรรจงแต้มสีลงภาพวาดบนกระดาษร้อยปอนด์ ผมมองอีกมือของนาวีที่วางอยู่เฉยๆ ก่อนเลื่อนมือตัวเองไปหยิบปากกาเมจิกสีดำขึ้นมา แล้วขีดเขียนลายลงไปบนข้อมือเขา
"อะไร แกล้งทำไม"
"เฉยๆ" ผมบอกแค่นั้นแล้วค่อยๆ วาดรูปนั้น หมึกสีดำตัดกับผิวขาวของเขาคล้ายรอยสัก นาวียกข้อมือตัวเองขึ้นดูรูปที่ผมวาด
"คืออะไรอะ กราฟชีพจรเหรอ"
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ มองเส้นหยักขึ้นๆ ลงๆ ที่วาดลงบนข้อมือของเขา ดูไปก็คล้ายกับเส้นชีพจรอย่างที่เขาว่า แต่ผมจงใจวาดให้มันเป็นอย่างอื่น
"มันคือภูเขา" ผมใช้ปลายปากกาที่ปิดฝาแล้วลากเส้นไปที่รอยหยักด้านบน
"แล้วข้างล่างนี่ล่ะ" นาวีชี้รอยหยักด้านล่าง
"แม่น้ำไง"
นาวีพิจารณามองลายเส้นนั้นก่อนจะพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม
"ภูผา กับ นาวี"
ผมพยักหน้ารับ
"สวยอะ สักจริงเลยดีป่ะ"
"ไม่เอา ไม่อยากให้ตัวมึงเป็นรอย เกลี้ยงๆ ดีแล้ว"
นาวีได้แต่ยิ้มหน่อยๆ ขณะตายังมองอยู่กับรูปที่ข้อมือตัวเอง เราไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนแม่นาวีจะเดินออกมาเรียกผมจากในครัว
"ภูผา"
"ครับ"
"มาช่วยแม่หน่อยลูก"
ผมลุกไปหาแม่นาวีในครัวที่กำลังจัดขนมหวานใส่จาน ประมาณสามสี่อย่าง ก่อนถูกใช้ให้ยกไปที่หน้าทีวี แม่ถือแก้วน้ำผลไม้ตามมานั่งที่โซฟาแล้วหันไปเรียกพ่อให้มานั่งตรงนี้ด้วยกัน เสียงพูดคุยของคนในครอบครัวก็เริ่มต้นอีกครั้ง วันนี้ที่นี่ก็อบอุ่นหัวใจเช่นเคย
"ภูผาจะไปกรุงเทพฯ กับนาวีไหม"
"นาวีไม่ให้ไปอะครับ" ผมหันไปตอบพ่อ เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะตามนาวีไปสอบตรงที่กรุงเทพฯ เป็นเพื่อน แต่อีกคนไม่ยอม
"ก็กูไปวันเดียวก็กลับแล้ว มึงจะไปทำให้เหนื่อย ต้องไปรอกูอีก อยู่นี่แหละไม่ต้องร้องตาม"
"เออ ก็ได้"
"กลับมาค่อยไปเที่ยวกัน"
"กลับมาแล้วไปทะเลกันไหม" ผมชวน นาวีรีบพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย แล้วหันไปหาพ่อ
"ไปนอนที่รีสอร์ทอากานต์ได้ใช่ไหมพ่อ"
"ได้สิ เดี๋ยวพ่อโทรบอกอาให้"
"เดี๋ยวพี่รีบกลับมาแล้วพาไปเที่ยวทะเลน้า" นาวีว่าแล้วยกมือบีบแก้มผมแล้วเขย่าเบาๆ แก้มผมกลายเป็นของเล่นของนาวีไปแล้ว ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม คิดไปถึงทะเล ขนาดว่าบ้านอยู่ใกล้ก็ยังไม่ได้ไปซะนาน จึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งถ้าได้ไปกับนาวี ก็คงจะเป็นโอกาสที่ดี
"ไปทะเลกับภูผา เสียตัวแน่เลยอะแม่"
"แค่ก!" น้ำผลไม้ในปากผมพุ่งออกมาอย่างเหนือการควบคุม แม่นาวียกมือตบหลังผมที่ไอไม่หยุดพร้อมเสียงหัวเราะของคนทั้งบ้าน ผมหันมองนาวีด้วยตาขวางๆ นาวียังคงพูดล้อเล่นต่อ
"ทำไมอ่า ที่ทะเลบรรยากาศดีนะ"
"ตลกแล้ว"
"วางแผนปล้ำมึงดีกว่า"
"พี่นาวี!" ผมจะเรียกเขาแบบนี้ในเวลาที่จริงจัง ดุเขานิดหน่อยเพราะพ่อกับแม่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่นาวีไม่ได้สนใจ ขณะที่พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังหันไปพูดล้อเล่นกับลูกตัวเอง
"อย่าลืมป้องกันนะลูก"
"แม่ครับ!"
"โอ๊ย! พอๆ ภูผาเขินตายแล้ว" พ่อหันมาปรามขณะที่ตัวเองก็หยุดหัวเราะไม่ได้ ผมเขินจริงอย่างที่เห็น ใบหน้าร้อนผ่าวไปถึงใบหู มองจากที่ไกลๆ ยังรู้ว่าผมหน้าแดง นาวีหัวเราะหน่อยๆ ยกมือบิดแก้มผมอีกที แล้วโน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผม
"อยากไปไวๆ แล้วเนอะ"
ผมเหลือบตามองขวาง แต่ในใจก็คิดไม่ต่าง...อยากให้วันนั้นมาถึงไวๆ เหมือนกัน
...
การรอคอยยาวนานนับเป็นวินาที หลายวันที่ผ่านมาผมเอาแต่เฝ้ามองเข็มวินาทีที่หมุนไปเพื่อตั้งหน้าตาตั้งตารอวันนั้น กระทั่งมันมาถึง ในที่สุดผมกับนาวีก็ได้มาทะเลอย่างที่คิด นาวีพาผมมาพักที่รีสอร์ทติดชายหาดของญาติเขา เรามาถึงที่นี่ในตอนเย็นๆ จึงทันเห็นพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดินลงไปกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสี ริมชายหาดเริ่มมืดมีเพียงแสงไฟจากริมทางไกลๆ กับแสงดวงจันทร์จางๆ ที่ส่องสว่างถึงตรงนี้ ผมนั่งมองน้ำทะเลที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาโดนเท้า ก่อนย้อนกลับลงทะเลไป เป็นเช่นนั้นอยู่นาน กระทั่งเสียงของคนข้างๆ ดังขึ้นแทรกเสียงคลื่น
"ชอบไหม"
"ทะเลหรือมึง"
นาวีเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มก่อนสวนกลับมา
"ทะเลดิ"
"ชอบ"
"แล้วกูอะ"
"ชอบมากกว่าทะเลนิดหนึ่ง"
"ตั้งนิดหนึ่ง?"
ผมยักคิ้วให้หน่อยๆ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงมือถือของนาวีดังขึ้น เจ้าของมือถือจึงหยิบออกมากดรับ ผมได้ยินว่าเป็นแม่ นาวีลุกออกไปรับโทรศัพท์ คุยกับแม่พลางเดินออกไปไกลจากผม หันมองผมแล้วชี้เข้าไปในรีสอร์ทเป็นเชิงบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในนั้น ผมจึงพยักหน้ารับแล้วนั่งรออยู่ตรงนี้ นาวีหายเข้าไปในนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินกลับออกมาพร้อมเบียร์สองกระป๋องในมือ นั่งลงข้างๆ ผม เปิดกระป๋องเบียร์แล้วส่งให้ ผมรับมาทั้งที่ดื่มไม่เป็น นาวีเปิดอีกกระป๋องแล้วกระดกเข้าปากในทันที แล้วหันมองผมที่ยังไม่ยอมดื่มด้วย
"ทำไมอะ"
"กินไม่เป็น"
"ไม่เคยเหรอ"
"ไม่อะ"
"ลองดิ"
ผมพยักหน้ารับแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม รสชาติแปลกใหม่ของมันไม่ถูกปากจนแสดงออกได้ชัดผ่านใบหน้าเหยเก เป็นเหตุให้นาวีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขยำแก้มผมทีหนึ่ง
"เด็กน้อยเอ๊ย"
"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวแม่ดุ" ผมพูดขำๆ แล้ววางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างๆ ตัว
"แล้วนี่มึงบอกแม่แล้วใช่ไหมว่ามาเที่ยวกับกูอะ"
ผมพยักหน้ารับ แน่นอนผมโกหก ผมไม่ได้บอกแม่ และขณะเดียวกันก็ยังไม่มีเหตุผลดีๆ เอาไปแก้ตัวกับแม่ในวันที่ผมกลับไป
"ภูผา"
"ฮึ?"
"แม่มึงไม่ชอบกูใช่ปะ"
ผมหันมองนาวี ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นาวีคงเข้าใจคำตอบผ่านใบหน้าเรียบเฉยของผม ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของเขา ก่อนอีกฝ่ายจะเขยิบเข้ามาหา ให้ระยะกายเราได้ใกล้กันกว่าเดิม ผมเลื่อนมือตัวเองไปกุมมือนาวีเอาไว้ ขณะที่เขาก็ทิ้งหัวตัวเองลงบนไหล่ของผม ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง แล้วพูดออกมาเบาๆ
"ภูผา ถ้าสมมติ..."
"..."
"สมมติว่าเราต้องเลิกกันล่ะ"
คำถามผ่านน้ำเสียงลำบากใจของนาวีกระตุกหัวใจผมไปครู่หนึ่ง ความคิดในหัวกระทบกับความรู้สึกจนนิ่งไป ผมกุมมือนาวีแน่นกว่าเดิม แล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างทุกครั้ง
"ให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ"
แม้เป็นคำพูดปลอบใจนาวี แต่กลับทำร้ายจิตใจตัวเอง ผมเองก็โตพอจนถึงจุดที่เข้าใจ ว่าบนโลกใบนี้มีหลายสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริงแต่มักจะหลอกหลอนเรา อย่างเช่น ความมั่นคง ความแน่นอน และคำว่าตลอดไป ราวกับทุกเรื่องเป็นเพียงสิ่งสมมติ แม้กระทั่งตอนนี้ เวลานี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน...
ผมหันมองนาวีที่กระดกเบียร์หมดกระป๋อง แล้วหยิบอีกกระป๋องของผมขึ้นดื่มอีก
"พอแล้ว เดี๋ยวก็เมาหรอก"
"ทำไม กลัวกูเมาแล้วจะจับปล้ำมึงเหรอ"
"ตลกละ" ผมพูดกับนาวี แต่สายตาหันไปเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเดินผ่านเท้าผมไป จึงหันไปให้ความสนใจมัน ลุกพรวดจนนาวีที่พิงไหล่ผมอยู่ทรุดไปกับพื้นทราย
"อะไรอะ"
"ปู" ผมบอกขณะวางมือกับพื้นให้ปูตัวนั้นไต่ขึ้นมาบนฝ่ามือแล้วยกมันให้นาวีดู
"เห็นปูแล้วทิ้งกูเลย?"
"น่ารัก" ผมยิ้มออกมานิดหนึ่งขณะมองดูปูตัวเล็กกว่าปลายนิ้วไต่ไปตามนิ้วผม นาวีขยับเข้ามาดูด้วย มองดูปูสลับกับจ้องหน้าผมแล้วยิ้มออกมาเช่นกัน
"เออ น่ารักดี"
"ปูหรือกู?"
"มึงอยู่แล้ว!"
"อื้อ!" ผมร้องออกมาตอนที่นาวียกมือขึ้นขยำแก้ม แรงไปจนต้องหันหน้าหนี แต่นาวีไม่หยุดแกล้งผม ผมจึงปล่อยปูในมือลงน้ำแล้วลุกวิ่งหนีเขา อีกฝ่ายก็ลุกวิ่งตาม วิ่งไล่กันอยู่บนพื้นทราย ก่อนผมถูกนาวีจับโยนลงน้ำทะเลด้วยแรงที่ขัดขืนไม่ได้ รู้ตัวอีกทีผมก็หัวทิ่มลงทะเลไปอย่างง่ายดาย
"นาวี!"
"อ่อนอะ!"
"เปียกหมดเลย"
"อะ มาๆ ลุก" นาวียื่นมือทำท่าจะช่วยผม แต่พอผมจับมือนาวีได้ก็ดึงลงน้ำด้วยกัน นาวีรู้อยู่แล้วว่าผมจะทำแบบนั้นเลยไม่ได้ฝืน แล้วกลิ้งลงน้ำมาด้วยกัน เล่นกันจนพอจึงสงบศึกด้วยการนอนจับมืออยู่เฉยๆ ขณะยังแช่อยู่ในน้ำ แม้เย็นเฉียบที่ผิวกาย แต่อบอุ่นที่หัวใจ
...ไม่ว่ามันจะจริงหรือสมมติ นาวีก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตผม ผมเองไม่ได้เพิกเฉยต่อความเป็นจริง เพียงแค่ยังเพ้ออยู่กับความฝัน ผู้คนไร้ตัวตน บนโลกกว้างเหลือเพียงผมกับเขา หลงใหลและดำดิ่งอยู่ในสิ่งสมมติราวกับจมลงใต้ทะเลลึก ผมจมลงเรื่อยๆ แต่มีนาวีเป็นดั่งอากาศหายใจ นาวีจับมือผมไว้ แม้จะถูกคลื่นลมแรงซัด หรือจมลงไปลึกแค่ไหน นาวีจะจับมือผมไว้ หากการจมลงใต้ทะเลลึกจะพาให้ผมหลีกหนีผู้คนและความเป็นจริงได้ ผมก็ยินดีจะจมอยู่ใต้ผืนน้ำนั้น แค่มีนาวีจับมือผมไว้ ผมต้องการแค่นั้น
…
เที่ยงคืนกว่าๆ หลังจากเล่นสนุกกันอยู่ที่ริมหาดจนพอใจก็พากันกลับมาที่รีสอร์ท นาวีเข้าไปอาบน้ำไม่นานก็ออกมา หยิบเสื้อตัวหนึ่งออกจากเป้แต่ยังไม่ยอมใส่ ผมเห็นนาวียกมือจับไหล่ด้านหลังของตัวเองอยู่สองสามครั้งแล้วพยายามจะมองมัน
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
"ไม่รู้โดนอะไรมา"
"ไหนมาดูดิ"
นาวีเดินเข้ามานั่งตรงหน้าผม ก่อนผมจะเห็นเข้ากับรอยแดงยาวๆ เหมือนโดนอะไรบาดที่ไหล่ด้านหลังของเขา ผมลูบรอยแดงนั่นเบาๆ
"เจ็บเปล่า"
"ไม่อะ แค่แสบๆ ช่างมัน เดี๋ยวก็หาย"
"กลัวเป็นแผลเป็น ไม่อยากให้มึงเป็นรอย"
นาวีหันหน้ามาหาผม แล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง
"เป็นอะไรกับร่างกายกูมากป่ะ จะเป็นรอยนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยเหรอ"
"เออ เสียของ"
"ไอ้บ้า!"
ผมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งตอนนาวียกมือเขกหัวผมเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาวีที่สบตากับผมอยู่
"ถ้าเป็นรอยก็แปลว่าเป็นแผล เป็นแผลก็แปลว่ามึงเจ็บ"
"แล้วไง"
"กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บ"
นาวีเม้มปากเข้าหากัน ก่อนขยับเป็นรอยยิ้ม
"มึงหยอดหน้านิ่งๆ อะ กูไม่รู้จะเขินดีหรือเปล่า"
"กูก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่ก็อยากให้มึงเขิน"
ทั้งผมและเขาหลุดยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนนาวีจะยกสองมือขึ้นจับแก้มผมให้มุมปากคลี่ออก
"กูชอบเวลามึงยิ้ม"
"กูก็ชอบยิ้มเวลาอยู่กับมึง"
ผมพูดแค่นั้น ก่อนรอยยิ้มมันก็เผยขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ รอยยิ้มของผมก็เกิดขึ้นได้เพราะรอยยิ้มของเขาอยู่เสมอ เพราะหน้าที่ของริมฝีปากไม่ได้มีไว้เพื่อยิ้มอย่างเดียว ผมจึงใช้ริมฝีปากนั้นทำหน้าที่ของมันอีกอย่างด้วยการก้มลงประกบริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา นาวีขยับริมฝีปากตัวเองรับรอยจูบของผมในวินาทีเดียวกัน ระยะกายที่ใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอีกคน ทำไมนาวีหอมกว่าทุกวัน ทำไมผมไม่อยากหยุดแค่จูบนั้น ผมถอยออกมาก่อน แล้วเงยมองหน้านาวี ผมไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงในหัวใจที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ผมอยากรู้นาวีจะเป็นเหมือนกันไหม จึงยกมือทาบหน้าอกข้างซ้ายของเขา สัมผัสเสียงหัวใจนั้น ผมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนลดมือลงแล้วก้มลงจูบอกข้างนั้นของเขาแทน เพื่อ ขอบคุณหัวใจดวงนั้นที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
นาวีประคองหน้าผมขึ้นจูบริมฝีปากอีกที ก่อนผมละจากริมฝีปาก ไล่ลงต่ำสู่ลำคอขาว กลิ่นหอมของเขาล่อลวงผมจนยากจะห้ามใจ นาวีขยับคอให้ผมฝังรอยจูบลงตรงนั้นได้ถนัด
"ภูผา"
เสียงเรียกของนาวีหยุดการกระทำของผม
"เดี๋ยวเป็นรอย"
"ไม่ได้เหรอ"
"ไหนบอกไม่อยากให้เป็นรอยไง"
ทุกสิ่งใดในโลกล้วนมีข้อยกเว้น...
ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่ตัวเองพูด แล้วทำสิ่งที่กำลังทำต่ออย่างห้ามไม่ได้ นาวีไม่ได้ขัดขืน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความตั้งใจ ผมฝากรอยจูบลึกฝังไว้ที่ลำคอ แล้วขยับริมฝีปากตัวเองขึ้นกระซิบบอกเขาเบาๆ
.
.
.
"รอยนี้เป็นข้อยกเว้น" ...
To be continued.