พิมพ์หน้านี้ - [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 31-10-2017 21:44:26

หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 31-10-2017 21:44:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

__________________________________________________________________________________________

(http://i67.tinypic.com/33abblw.jpg)


Episode 1 Season 2

ธงทัพ ภูผา นาวี


 

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นกำหนดว่าในหนังสือหนึ่งเล่ม ต้องมีกี่บท

ในเพลงหนึ่งเพลง ต้องมีกี่นาที

ในละครหนึ่งเรื่อง ต้องมีกี่ตอน

แล้วคุณกับผม...จะอยู่ด้วยกันได้ยาวนานเท่าไร


สารบัญ
Intro. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3728763#msg3728763)
Episode1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3730588#msg3730588)
Episode2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3735241#msg3735241)
Episode3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3739294#msg3739294)
Episode4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3743205#msg3743205)
Episode5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3750518#msg3750518)
Episode6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3755923#msg3755923)
Episode7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3759779#msg3759779)
Episode8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3764659#msg3764659)
Episode9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3767501#msg3767501)
Episode 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3769506#msg3769506)
Episode11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3777540#msg3777540)
Episode 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3784666#msg3784666)
Episode 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3792280#msg3792280)
Episode14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3797343#msg3797343)
Episode15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3858664#msg3858664)
Episode16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3888434#msg3888434)
Episode17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3890069#msg3890069)
Episode18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3892117#msg3892117)
Episode19.1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3892947#msg3892947)
Episode19.2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3893734#msg3893734)
Episode20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3896674#msg3896674)
Episode 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3897581#msg3897581)
Episode22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3898732#msg3898732)
Episode23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3901274#msg3901274)
Episode24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3902766#msg3902766)
Episode25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3903507#msg3903507)
Episode26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3903971#msg3903971)
Episode 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3904867#msg3904867)
Epilogue (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.msg3905261#msg3905261)

(http://i66.tinypic.com/312z6tx.jpg)
.........................................................................................


**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติที่แต่งขึ้น เรื่องราว บุคคลใดๆ ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฏในเรื่องไม่มีอยู่จริง หากบังเอิญซ้ำกับชื่อหรือนามสกุลจริงของท่านใดขออภัยมา ณ ที่นี้**


**ฝากเรื่องที่ผ่านมาด้วยค่า**
East meets North - บูรพากับองศาเหนือ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56758.msg3525318#msg3525318)
Let me kiss you - จูบของเรา [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59523.msg3619207#msg3619207)
รักอิสระ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57458.msg3563360#msg3563360)
Fight for my BAE [เรื่องสั้นมาก] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61955.msg3705181#msg3705181)
หัวข้อ: Re: Episode 1 season 2 - ธงทัพxภูผาxนาวี [บทนำ] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 31-10-2017 21:51:03
Episode 1 Season 2
ธงทัพ ภูผา นาวี

 


ผมกำลังจะตกหน้าผา

คุณดึงมือผมเอาไว้

 

 

ผมกระซิบบอก

หากไม่อยากตกไปด้วยกัน

ปล่อยมือผม

 

 

อีกใจของผม

ก็หวังว่าคุณจะไม่ได้ยิน

หวังว่าคุณจะไม่ปล่อยมือ

 

 

สุดท้ายคุณได้ยิน

คุณปล่อยมือผม

 

 

ผมร่วงลงสู่พื้นดิน

มองไม่เห็นคุณที่อยู่บนยอดเขาสูง

 

 

ผมอยู่ตรงนี้

ผมคิดถึงคุณ

 

 

ผมจะคิดถึงคุณ

 

....




Intro.


ไม่ชัดเจน

แต่ก็ไม่ขุ่นมัว

ในความสัมพันธ์ของเรา


 

ภูผา :

           

กรุงเทพฯ ในเย็นวันศุกร์กับรถติดเป็นเรื่องธรรมดา ผมกลับจากที่ทำงานทันทีหลังหมดเวลางาน แต่กว่าจะถึงห้องพัก ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ ถึงจะชินชาเกินกว่าจะมานั่งหงุดหงิดกับรถติด แต่ก็อดบ่นอยู่ในใจไม่ได้ เพราะยิ่งเสียเวลาในการเดินทางเท่าไร กลับถึงห้องก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากทำอะไรต่อ นอกจากทิ้งตัวลงนอนไปเฉยๆ ตื่นมาอีกทีก็ได้เวลาลุกไปทำงานอีก แต่เอาจริงๆ ชีวิตผมมันก็วนอยู่แบบนั้น ไม่ได้มีอะไรที่ต้องทำเป็นพิเศษอยู่แล้ว

ผมไขประตูเข้าห้องก็เห็นไอ้ทัพนอนอยู่บนโซฟา มันยกมือขึ้นทักขณะปากยังเคี้ยวของกินเต็มปาก ผมเลื่อนสายตามองโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ที่เต็มไปด้วยอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม มันไม่ได้เป็นรูมเมทผม ปกติไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ทุกๆ ศุกร์เสาร์อาทิตย์มันจะมาค้างที่นี่ วันจันทร์ก็กลับไปทำงาน หน้าที่หลักของมันคือการมาทำให้ห้องโล่งๆ ของผม สกปรกทุกๆ สุดสัปดาห์แล้วก็จากไป

"กลับช้าจังวะ"

"รถติด" ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งกับมัน มันจองพื้นที่บนโซฟาด้วยการนอนตัวยาวอยู่บนนั้น ผมเลยทรุดนั่งลงกับพื้นแทน มองดูของกินที่มันซื้อมารอ ก่อนเลือกหยิบเกี๊ยวทอดใส่ปาก

"งานเยอะเหรอ" ผมถามขณะหันมองกระดาษและอุปกรณ์เกี่ยวกับงานภูมิสถาปนิกของมันที่หอบติดมือมาด้วยแทบทุกที แต่จะทำไม่ทำนั่นก็อีกเรื่อง

"เออดิ กูจะตายละ"

"ก็ชอบดอง"

"ดองห่าอะไร นี่กูทำไม่ได้พักเลยนะ บางทีลูกค้าแม่งก็เรื่องมากเกิน งบหลักร้อยจะเอางานหลักล้าน กูล่ะเครียดแล้วงานล่าสุดกูนะ แก้แล้วแก้อีกไม่พอใจสักทีอะ กูนี่อยากจะเอากระดาษม้วนแน่นๆ แล้วฟาดหน้าสักเปรี้ยง เอาไปทำเองไปไอ้สัด"

"บ่นมาก"

"เออ เบื่อก็ต้องบ่นป่ะวะ"

"บ่นแล้วงานมึงจะเสร็จเร็วขึ้นไหม"

"ก็กูจะบ่นอ่ะ! มึงก็ฟังกูหน่อยไม่ได้หรือไงล่ะ แหม่!"

"อือ บ่นไป" ผมพูดแค่นั้นแล้วหยิบช้อนขึ้นตักอาหารกิน

"ไอ้ภู สนใจกู" มันลุกพรวดขึ้นมา แล้วใช้ขาสองข้างเกี่ยวผมที่นั่งอยู่กับพื้นให้เข้าไปหามัน ดูสันดานมัน 

"ก็บ่นไปดิวะ กูก็นั่งฟังอยู่นี่ไง"

"กูเหนื่อยอ่ะ กูเบื่อด้วย กูเครียด กูงอแง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเลยนะ"

"ง่วงไหม"

"ง่วงดิ นี่เลือดกำเดาไหลด้วยนะ"

"อือ"

"มึงดูไม่ตื่นเต้นกับกูอ่ะ เลือดกำเดาเลยนะเว้ย ไหลออกมาจากจมูกพรวดๆ เลย"

"เออ แล้วงานเสร็จไหม"

"ไม่เสร็จ โดนด่าแต่เช้าละ กูยังเครียดอยู่เลยเนี่ย" มันถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนเอื้อมมือไปควักซองบุหรี่กับไฟแช็กในกระเป๋ากางเกงที่พาดอยู่บนโซฟา แล้วจุดสูบ

"ไปสูบข้างนอก เหม็น" ผมหันไปบอก แต่คนอย่างมันไม่เคยมีครั้งไหนที่จะทำตามคำที่ผมบอก กลับดึงบุหรี่ออกมาอีกตัวแล้วยัดใส่ปากผม

"สูบด้วยกัน จะได้ไม่เหม็น" ผมทำได้แค่มองแรงใส่พร้อมเสียงถอนหายใจ มันจับหน้าผมให้เงยขึ้น ส่วนตัวมันก้มลงมาเพื่อให้ปลายของมวนบุหรี่ชนกัน ก่อนจุดไฟในครั้งเดียว ควันบุหรี่ลอยฟุ้งอยู่กลางห้องก่อนจางหาย แต่กลิ่นยังคงอยู่

ธงทัพเป็นเพื่อนผม หรือบางทีอาจเป็นมากกว่านั้น แก่กว่าผมหนึ่งปีแต่ไม่เคยเรียกมันว่าพี่แม้สักครั้ง อาจเพราะไม่มีอะไรน่าเคารพ แต่ผมก็ชินแล้วกับนิสัยแบบนี้ของมันเพราะอยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว

 

นานจนลืมนับ ว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เมื่อไร

ไกลจนเกินคิด ว่าจะเลิกเป็นเพื่อนกันตอนไหน

.

.

.

กระทั่งเรื่องคราวนั้น เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเราสองคนไป...

 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [บทนำ] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 31-10-2017 22:09:12
มาเจิมต้อนรับเรื่องใหม่ของคุณรชา เป็นชื่อเรื่องที่แปลกมากเดาไม่ถูกเลยว่าจะเป็นแนวไหนแต่เห็นเกริ่นชื่อนำไว้สามชื่อ จะยังพยายามไม่คิดว่าสามพีนะคะ คาดว่าไม่น่าจะใช่แนวคุณรชา..รึเปล่า ฮ่าๆๆ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [บทนำ] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-10-2017 22:22:52
สามชื่อ สามคน สามพี อั๊ยยะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [บทนำ] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-10-2017 22:24:08
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [บทนำ] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 31-10-2017 23:06:57
มาเจิมค่าาา จะม่า จะฮา จะอะไรก็ได้แต่อย่าสามพีก็พอกราบบบบบ55555555 เชื่อในคุณรชาค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [บทนำ] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 01-11-2017 06:50:39
เข้ามาติดตามและให้กำลังใจคนเขียนครับ :กอด1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [ep.1] 4/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 04-11-2017 01:05:19
Episode 1

 

หากย้อนเวลากลับไปได้

ผมก็ยังอยากรู้จักคุณอยู่ดี


 



ภูผา :

           

8 ปีที่แล้ว

จังหวัดชลบุรี   


           

มึงกับไอ้ภูผาเป็นพี่น้องกันเหรอวะ

เปล่า มันเป็นลูกของเมียน้อยพ่อกู

.

มันเป็นลูกของเมียน้อย

.

เป็นลูกของเมียน้อย

.

ลูกของเมียน้อย

 

 

"ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ"

 

 

เปลือกตาผมลืมขึ้นในแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ไม่รอให้มันดังอีกครั้งแล้วหยิบมาปิด ผมเกลียดเสียงนาฬิกาปลุก หรือเอาจริงๆ ก็เกลียดการตื่นในตอนเช้า แต่ผมไม่อยากไปโรงเรียนสายเลยเอาชนะความขี้เกียจด้วยการลุกไปอาบแต่งตัว ผมใช้เวลาตรงนั้นไม่นาน ก่อนเดินออกจากห้อง เห็นแม่ที่เตรียมตัวเสร็จแล้วนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเรียบร้อย ผมเข้าไปนั่งตรงข้ามแม่ ข้าวหนึ่งจาน ผัดผักหน้าตาจืดชืดไม่มีเนื้อสัตว์ และนมกล่องรสจืดวางอยู่เพื่อเป็นอาหารเช้าของผม

แม่มีเอกสารเกี่ยวกับงานถืออยู่ที่มือในทุกเช้า สายตาจดจ่ออยู่บนหน้ากระดาษนั่น พลางยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม แล้ววางลง ก่อนยกขึ้นอีก แล้วก็วางลง แบบนั้นไปจนกาแฟหมดแก้ว ในตอนเช้าเราใช้เวลาแค่หนึ่งถ้วยกาแฟของแม่และอาหารเช้าของผมเพื่ออยู่ด้วยกัน แต่แทบไม่มีบทสนทนาใดระหว่างเรา  ผมหันมองนาฬิกาที่ผนัง เห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนจะสาย จึงรีบจัดการอาหารเช้าของตัวเอง เสร็จแล้วก็หยิบจานข้าวที่กินไม่หมดวางลงที่อ่างล้างจาน และเก็บนมกล่องกลับใส่ตู้เย็น 

"วันนี้จะให้แม่ไปส่งไหม"

"ไปเอง"

ผมตอบสั้นๆ แล้วออกไปที่หน้าบ้าน ขณะเดียวกันแม่ก็เดินตามออกมาด้วย

"ภูผา เย็นพรุ่งนี้ลุงวุธชวนไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน จะไปไหม"

"แล้วไม่ไปได้ไหม"

ผมถามกลับ แม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่คล้ายว่าผมจะได้ยินเสียงที่แม่พูดในใจ คำตอบของคำถามก็ชัดเจนอยู่บนใบหน้าเรียบเฉยของแม่แล้ว ผมทำได้แค่พยักหน้ารับ

"พรุ่งนี้เตือนอีกที เดี๋ยวลืม"

"อืม แล้ววันนี้แม่กลับดึกหน่อยนะ"

"แม่ก็ไม่เคยกลับเร็วอยู่แล้ว" ผมสวนกลับอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่คำพูดคงไม่ถูกใจแม่นักจึงถูกสายตาเคืองๆ มองมา ผมไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนเดินออกมานอกบ้านแล้วตรงไปโรงเรียน

 ผมใช้ชีวิตอยู่กับแม่แค่สองคน ไม่เคยรู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน แม่บอกแค่เขายังมีชีวิตอยู่แต่ไม่ต้องรู้จักกันดีแล้ว ไม่จำเป็นนัก ผมเองไม่เคยถามถึง เคยชินกับการใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อ

ผมไม่เคยอยากมีพ่อใหม่ แต่แม่คงอยากมีสามีใหม่ ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าแม่คงเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของความรักเท่าไรนัก แม่มีคนที่คบอยู่ด้วยนานหลายปี แต่ก็เป็นการคบที่ต้องหลบซ่อน ผมเดาไม่ได้ว่าแม่มีความสุขกับมันจริงๆ หรือเปล่า ผมบอกแม่เสมอว่าแม่ไม่ควรไปยุ่งกับคนที่มีครอบครัวแล้ว ฐานะของแม่ถูกปิดบังอยู่พักหนึ่งก่อนถูกจับได้ คนอื่นเรียกแม่ผมว่า เมียน้อย แต่แม่ว่าแม่ไม่แคร์ แม่ยอมรับได้และคงความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้นเรื่อยมา ขณะที่ผมไม่เคยเห็นด้วยเพราะสิ่งที่แม่ทำส่งผลกระทบถึงผมเสมอ เวลาที่ได้ยินคนอื่นพูดถึงแม่ในทางที่ไม่ดีนัก 

 

แม่มึงเป็นเมียน้อยเขา...

 

แม่มึงเป็นเมียน้อย... 


 

ทุกครั้งผมรู้สึกโกรธ และในบางครั้งก็เจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน

 

 

 

 

...

 

 

ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ตั้งแต่ม.หนึ่งไม่เคยเปลี่ยนโรงเรียนเลย ตอนนี้อยู่ม.ห้าแล้ว ยิ่งใกล้จบมัธยมปลาย ความคิดในหัวผมก็ยิ่งเคว้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ยังไม่รู้ว่าอยากเป็น หรืออยากทำอะไร ไม่เคยคิดถึงวันพรุ่งนี้ หรือกระทั่งนาทีต่อไปว่าผมควรทำอะไร ผมใช้ชีวิตอย่างที่แม่บอกว่าดี ผมทำตามที่แม่บอกให้ทำ แม้ว่าผมจะไม่อยากเป็นแบบแม่เลย แต่ผมก็ไม่เคยพาตัวเองออกมาจากทางที่แม่บอกให้เดิน ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

"ไอ้ภู ไปกินข้าวกัน"

ผมพยักหน้ารับเพื่อน ก่อนเก็บสมุดใส่ใต้โต๊ะเรียน แล้วลุกตามเพื่อนไป ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง ในห้องเรียนไม่ได้มีบทบาทมากมายนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเพื่อน เข้ากับทุกคนได้อย่างไม่มีปัญหา ที่คบกันจริงๆ จังๆ ชนิดที่ว่าไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ตลอดก็สี่ห้าคนในกลุ่ม เป็นกลุ่มเด็กเกือบหลังห้อง ผลการเรียนผมพอใช้ได้ไปจนถึงดีในบางวิชาเพราะแม่เข้มงวดเรื่องนี้กับผมเสมอ ผมก็เรียนได้เท่าที่พยายาม แต่ในบางวิชาที่ไม่ถนัด ก็จำเป็นต้องฟังแม่บ่นทุกครั้งหลังเกรดออกแต่ละเทอม

"ภูผา"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียก เห็นว่าเป็น นุ่น ผู้หญิงตัวเล็กสวมแว่นหนาที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าห้อง เลิกคิ้วแทนคำถาม ก่อนนุ่นจะพูดถึงเหตุผลที่เดินเข้ามาเรียก

"ช่วยยกรายงานไปส่งที่ห้องพักครูหน่อยได้ไหมอ่ะ เรายกไปไม่หมด"

ผมพยักหน้ารับ หันไปบอกเพื่อนให้ไปโรงอาหารกันก่อน แล้วลุกไปยกรายงานมากกว่าสี่สิบเล่มตามจำนวนเพื่อนให้ห้องขึ้นถือ รายงานเล่มหนาซ้อนกันสูงเกือบถึงคาง หนักกว่าที่คิด

"แบ่งมาให้เราบ้าง" นุ่นยื่นมือเข้ามาช่วย กำลังจะหยิบรายงานจากผมไปมากกว่าครึ่ง ผมเลยขยับมือหนี

"เอาไปสิบเล่มพอ"

นุ่นพยักหน้ายิ้มๆ แล้วหยิบรายงานไปจำนวนหนึ่ง กะเอาจากสายตาก็ไม่น่าเกินสิบเล่ม แล้วเดินนำผมไปห้องพักครูที่อยู่อีกตึก ซึ่งไกลจากห้องเรียนผมพอสมควร

ส่งงานเสร็จนุ่นยังอยู่คุยกับอาจารย์ต่อ ส่วนผมแยกไปโรงอาหาร เดินผ่านสนามบาสที่มีคนเล่นกันอยู่ตรงนั้น ผมเผลอหยุดมอง เพราะกำลังนึกสงสัยว่าท่ามกลางแสงแดดแบบนี้ ยังมีคนอยากเสียเหงื่อหรือนึกสนุกอะไร ขณะกำลังก้าวเท้าเดินต่อ ลูกบาสที่ถูกพวกนั้นแย่งกันไปมาก็หลุดมือจากหนึ่งในนั้นแล้วกลิ้งมาทางผม ลูกหมุนช้าๆ ก่อนหยุดตรงหน้าผมพอดี

"ส่งมาให้หน่อยดิ"

เพราะทุกสายตาในสนามมองมาทางผมคนเดียว เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะหยิบลูกบาสนั้นขึ้นมา

"โยนมาเลย"

คนในสนามตะโกนบอก ผมจึงออกแรงโยนลูกบาสกลับไป คงแรงและสูงไปหน่อย บาสลูกนั้นลอยกระแทกแป้นแล้วหมุนลงห่วงไป ท่ามกลางเสียงฮือจากคนในสนาม แม้แต่ผมเองยังประหลาดใจ

"เฮ้ย เจ๋งว่ะ!"

หนึ่งในสนามตะโกนบอก พลางชูนิ้วโป้งให้สองข้าง ผมทำได้แค่ยิ้มนิดๆ แล้วเดินออกมาจากตรงนั้น

"เดี๋ยวก่อน!"

ผมหันกลับไปมอง คนที่ยกนิ้วให้ผมวิ่งออกจากสนามเข้ามาหาผม เผลอเลื่อนตามองผู้ชายตัวสูงพอกันกับผม สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนักเรียน ทั้งๆ ที่ตากแดดอยู่อย่างนั้นแต่ผิวขาวจัด

 

ขาวเหมือน...นมรสจืด

 

"มีอะไรเหรอ"  ผมถาม

"มาเล่นด้วยกันป่ะ"

"จะไปกินข้าวอ่ะ"

"หมายถึงมาเข้าทีมบาสด้วยกันไหม"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบอย่างไม่ต้องคิด ผมไม่ชอบกีฬา

"ทำไมอ่ะ เมื่อกี้อย่างเจ๋งเลยนะ"

"ฟลุคต่างหาก"

"เฮ้ย ไม่ลองจะรู้ได้ไง" เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ มือหนึ่งตบเข้าที่บ่าผมเบาๆ ใกล้จนเห็นเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่ที่หน้า

"ลองมาคัดตัวดิ"

"ไม่ดีกว่า ไม่ชอบเล่นกีฬา"

"ไรวะ ไม่เอาจริงดิ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง ก่อนขอตัวออกมา เสียงตะโกนดังไล่หลังมาจนต้องหันกลับไปมองอีกที 

"ถ้าเปลี่ยนใจก็มาที่ชมรมบาสนะ!"

ผมไม่มีทางเปลี่ยนใจอยู่แล้ว แต่ก็พยักหน้ารับส่งๆ ไปอย่างนั้น ก่อนเดินตรงไปโรงอาหาร ผมไม่ชอบวิชาพละ เกลียดการวิ่งและเสียเหงื่อ ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสุขภาพไม่ดีหรืออะไร ผมสบายดีเพียงแต่ขี้เกียจ แค่อยากนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ ผมเป็นคนประเภทนั้น

 

ผมจัดการซื้อข้าว แล้วตามไปนั่งกับเพื่อนที่รออยู่แล้ว โต๊ะกินข้าวนอกโรงอาหารที่ไม่ค่อยมีใครมานั่งที่นี่ ในตอนเที่ยงๆ ค่อนข้างจะร้อนแต่เป็นที่นั่งประจำของพวกเรา เพราะหลีกเลี่ยงความแออัดในโรงอาหาร อาหารที่มีให้เลือกไม่มากในโรงอาหารก็ผลัดกินวนไปซ้ำๆ กินเสร็จก็กลับขึ้นตึกเรียน บางคนใช้เวลาที่เหลือจากพักเที่ยงทำกิจกรรมอื่นๆ ส่วนผม ส่วนมากก็นั่งเงียบๆ อ่านการ์ตูน ทำการบ้านที่ยังไม่เสร็จ วาดรูปเล่น หรือบางครั้งก็หลับไปจนถึงเวลาเรียน บรรยากาศในโรงเรียนก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน แต่ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อ

 

ให้พูดตรงๆ คงบอกได้ว่าผมชอบที่นี่มากกว่าบ้าน

 

...

 

 

หลังเลิกเรียน ผมไม่ใช่หนึ่งในนักเรียนที่ต้องรีบกลับบ้านเพราะกลัวว่าพ่อแม่จะรออยู่ ผมจึงใช้เวลาหลังเลิกเรียนเที่ยวเตร็ดเตร่ไปกับเพื่อน ไปหาอะไรกิน ไปร้านเกมอย่างที่คนอื่นทำ ในกลุ่มเพื่อน ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกจากร้านเกม เพราะพยายามที่จะใช้เวลาแต่ละวันอยู่นอกบ้านให้ได้นานที่สุด

เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ได้เวลาที่ผมจะกลับบ้าน บ้านผมตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดย่อมในตัวเมือง ยังมีรถโดยสารประจำทางที่ผ่านหน้าบ้าน แต่ผมเลือกที่จะเดินไปเพราะมันไม่ได้ไกลมาก ระหว่างทางกลับบ้าน ปกติจะเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเอง แต่วันนี้ผมกลับได้ยินเสียงบางอย่างกระทบพื้นถนนดังเป็นจังหวะเดิมซ้ำๆ

"ตุ้บ...ตุ้บ...ตุ้บ..."

เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอกับต้นเหตุของเสียงนั้น เห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดนักเรียนเหมือนผม เดินอยู่ข้างหน้า ลูกบาสในมือถูกโยนลงพื้นให้เด้งกลับมาที่มือ ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ ไปทุกจังหวะที่เดิน นานครั้งก็จับลูกบาสขึ้นมาหมุนอยู่บนนิ้ว ประคองลูกบาสอยู่ได้นานจนมันร่วงกับพื้น ตอนที่เขาก้มลงเก็บลูกบาสผมได้เห็นหน้าชัดๆ จึงจำได้ว่าเป็นคนที่เข้ามาทักผมเมื่อตอนกลางวัน เหมือนว่าคนข้างหน้าจะหันมาเห็นผมพอดีเหมือนกัน

"อ้าว"

ผมพยักหน้านิดๆ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่

"เพิ่งกลับบ้านเหรอ"

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ คนที่ไม่รู้จักชื่อก็ยังถามต่อ   

"ไปไหนมาอ่ะ"

"ร้านเกม"

"กลับบ้านดึกแม่ไม่ว่าเหรอ"

"ทุ่มหนึ่งเอง แล้วมึงอ่ะ ทำไมเพิ่งกลับ"

"ซ้อมบาสอ่ะ "

ผมพยักหน้ารับ มันเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากมองหน้ากันไปกันมา อีกฝ่ายเลยเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวขึ้นมาตามหลักของคนเพิ่งรู้จักกัน

"กูชื่อนาวีนะ"

"อ๋อ อือ"

"เรียกสั้นๆ ว่าวีก็ได้ ไม่เอานา กูว่ามันตลก แต่ในห้องก็มีคนเรียกกูแบบนั้นด้วยนะ นานางี้ นาบ้าอะไรล่ะ จริงๆ นาวีก็ไม่ยาวนะ เรียกเต็มๆ ก็ได้ป่ะวะ" ประโยคหลังเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าแนะนำตัว ผมพยักหน้ารับ ก่อนบอกชื่อตัวเองกลับไป เพราะอีกฝ่ายเลิกคิ้วมองเป็นเชิงว่ารอให้ผมพูดชื่อตัวเองอยู่

"ภูผา"

"ให้เรียกภู หรือว่า ผา"

"อันนี้แล้วแต่มึงเลย"

อีกฝ่ายพยักหน้ารับยิ้มๆ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนเหลือบตาลงไปเห็นรอยเลือดที่ขาซึ่งไม่ได้สังเกตแต่แรก คนข้างๆ ก้าวเท้าเดินต่อไปไม่ได้สนใจผมที่กำลังก้มมองหาแผล

"มึงไม่มาเล่นบาสด้วยกันจริงดิ"

"ฮะ?"

"ทีมบาสอ่ะ ไม่สนใจเหรอ"

"ไม่อ่ะ"

"ทำไมวะ ไม่ชอบเหรอ"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของนาวี เพราะกำลังสนใจอยู่กับเลือดที่ไหลออกมานั่น เพิกเฉยต่อมันไม่ได้เลยต้องทักออกไป

"เลือดไหลอ่ะ"

"เอ้า! ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย"

"ไปโดนอะไรมา"

"มอไซค์ล้มอ่ะ" นาวีดึงขากางเกงขึ้นจึงเห็นรอยแผลขนาดใหญ่ที่หัวเข่า เลือดสีแดงข้นไหลเป็นเส้นตรงหยดลงถึงหน้าแข้ง เจ้าของแผลทำหน้ายุ่งๆ ส่งเสียงพูดพึมพำตอนก้มมองแผลนั่น

"เลือดไหลได้ไงวะ แผลตั้งแต่เมื่อวานแล้วเนี่ย อย่าไหลนะ อย่าๆ"

"เจ็บเหรอ"

"เปล่า กูกลัวถุงเท้าเลอะ เดี๋ยวซักไม่ออก"

ผมไม่มีทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้าจะเช็ดเลือดนั่นให้ อีกคนที่เป็นห่วงถุงเท้ามากกว่าความเจ็บปวดก็ทำได้แค่ส่งเสียงโวยวาย ทะเลาะกับเลือดตัวเอง

"อย่าไหลนะโว้ย หยุด!"

"ยกขาขึ้นดิ"

"เออ ทำไมคิดไม่ได้" ว่าแล้วก็ยกขาขึ้นสูง เลือดที่ไหลนองก็เปลี่ยนทิศทางไม่โดนถุงเท้า ได้ดั่งใจอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ 

"ไปทำแผลไหม ข้างหน้ามีคลินิก"

"ไม่เป็นไรอ่ะ จะถึงบ้านละ งั้นไปก่อนนะ"

"อ๋อ เออ เดินดีๆ แล้วไปทำแผลด้วยนะ"

"โอเค"

นาวีเดินอุ้มลูกบาสเลี้ยวเข้าไปอีกซอย ผมไม่เคยเจอเขามาก่อนแม้จะเดินผ่านตรงนี้แทบทุกวัน ไม่รู้ว่าเพราะความสนใจหรืออะไร ผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้มองดูเขาจนลับตาไป ถึงจะตรงกลับบ้านตัวเอง

"ภูผา!"

ผมหันไปมองเสียงเรียก จึงเห็นว่าเป็น พี่โอ๋ ผมรู้จักพี่โอ๋มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน ตอนนี้พี่โอ๋เป็นพยาบาลประจำห้องพยาบาลของโรงเรียนผม

"ทำไมเพิ่งกลับ" ผมถามตอนที่พี่โอ๋ก้าวเท้ามาเดินข้างๆ ผม

"พี่ออกไปหาเพื่อนมา แล้วนี่ทำไมกลับบ้านมืดเชียว"

"ไปร้านเกมมา"

"ร้านเกมอีกแล้ว"

"อีกแล้วอะไร ไม่ได้ไปบ่อย"

"เห็นไปอาทิตย์ละหกวันได้มั้ง"

"พูดไป"

ผมกับพี่โอ๋เดินคุยกันไประหว่างทาง ก่อนเราทั้งคู่ชะงักเท้ากึกเพราะเม็ดฝนที่อยู่ๆ ก็ลงเม็ดลงมา

"ฝนตกได้ไง" ผมบ่นพลางยกเป้ขึ้นบังฝนให้พี่โอ๋

"ก็นี่มันหน้าฝนนี่ ไม่เป็นไรพี่มีร่ม" พี่โอ๋ว่าแล้วหยิบร่มออกมาจากกระเป๋าแล้วกางออก ขยับมายืนข้างผมให้ร่มบังฝนให้เราทั้งคู่ ผมเป็นเด็กม.ปลายที่ตัวสูงกว่าพี่พยาบาลคนนี้ เลยคว้าร่มมาถือเอาไว้เอง ก่อนจะเดินมาถึงหน้าบ้านพี่โอ๋ ส่วนบ้านผมต้องไปต่ออีกหน่อย

"ภูเอาร่มไปเถอะ"

"ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้เอง"

"เอาไปเถอะน่า เดี๋ยวไม่สบาย"

"ก็ได้"

"แล้วเอามาคืนด้วยนะ"

ไม่อยากเถียงพยาบาลประจำโรงเรียน เลยยอมรับร่มมาจากเขาแล้วเดินต่อไปที่บ้านตัวเอง บ้านยังคงมืดสนิท แม่ยังไม่กลับ แต่ผมชินแล้ว 

 

...

 

 

เช้าวันนี้อาหารเช้าของผมเป็นขนมปังไส้กรอกกับนมรสจืดกล่องเมื่อวานที่ไม่ได้กิน ส่วนแม่ก็มีเพียงแค่กาแฟและเอกสารเกี่ยวกับงานเสิร์ฟเป็นมื้อเช้าให้ตัวเอง บรรยากาศเป็นเฉกเช่นทุกวัน ไม่มีบทสนทนาใดกระทั่งผมก้าวเท้าออกจากบ้านมาพร้อมแม่ สายตาแม่กวาดมองเครื่องแต่งกายของผมตั้งแต่หัวไปจรดอยู่ที่รองเท้า ประโยคของแรกของวันจึงถูกพูดออกมา

"ภูผา อย่าใส่รองเท้าทับส้น"

"มันคับ" ผมตอบพลางยกเท้าให้แม่ดู

"อะไร คู่นี้เพิ่งซื้อตอนต้นเทอมไม่ใช่หรือไง"

"ไม่รู้ดิ ใส่ไม่ได้แล้ว"

"เดี๋ยวแม่ซื้อมาให้ใหม่ก็แล้วกัน"

ผมพยักหน้ารับ กำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านแม่ก็เอ่ยเตือนบางประโยค ที่ผมหวังอยู่ในใจว่าแม่จะลืม

"ตอนเย็นแม่ไปรับที่โรงเรียน แล้วไปกินข้าวกับลุงวุธกัน"

"ครับ"

ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากตอบรับไปแค่นั้น แม่จะนัดเจอกับลุงอาวุธอาทิตย์ละสองสามครั้ง นานๆ ครั้งแม่จะชวนผมไปด้วย แม่ทำเหมือนเราเป็นครอบครัว ทั้งๆ ที่มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย

 

 

วันนี้ที่โรงเรียนก็ยังเป็นเหมือนทุกวัน ชั่วโมงแสนสุขของการพักเที่ยงยังคงเป็นชั่วโมงที่สนุกที่สุดของพวกเราทุกคน กลุ่มด้านหน้าลุกออกจากห้องไปเป็นกลุ่มแรก กลุ่มข้างหลังกำลังตกลงกันว่าจะกินอะไรดี นุ่นหัวหน้าห้องกำลังเดินเก็บสมุดการบ้านวิชาเลขไปส่ง วันนี้ไม่ได้ขอให้ผมช่วยเพราะสมุดเลขเล่มบางๆ สี่สิบกว่าเล่มนั้นไม่เกินกำลัง ผมเปิดกระเป๋าหยิบสมุดการบ้านส่งให้นุ่น แล้วเห็นร่มของพี่โอ๋ในกระเป๋าพอดี

"ไอ้ภู ไปยัง"

"ไปกันก่อนเลย เดี๋ยวกูแวะไปห้องพยาบาลแป๊บ"

"มึงเป็นอะไรวะ"

"เปล่า เอาของไปคืนพี่โอ๋"

ผมบอกกับเพื่อนแล้วหยิบร่มคันนั้นเดินออกมาจากห้อง ตรงไปห้องพยาบาล ผมไม่ค่อยได้แวะมาห้องพยาบาลเพราะไม่เคยเจ็บป่วยอะไรตอนอยู่ที่โรงเรียน เปิดประตูเข้าไปก็เห็นพี่โอ๋นั่งอ่านหนังสืออยู่พอดี 

"อ้าวภูผา เป็นอะไรเปล่า อย่าบอกนะว่าเป็นหวัด นี่เมื่อวานโดนฝนใช่ไหม"

ไม่ทิ้งช่วงให้ผมพูดอะไรก็ใส่มาเป็นชุด ผมชูร่มขึ้นมาเบรกคำพูดของอีกฝ่ายเอาไว้

"อ๋อ เอาร่มมาคืน"

"ใช่ดิ พี่เคยเห็นผมไม่สบายด้วยเหรอ"

"จ้า พ่อภูผาคนแกร่ง" พี่โอ๋พูดแซวพลางเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆ ให้ผมนั่ง มีเวลาพักเที่ยงอีกเยอะผมเลยไม่รีบ แล้วนั่งลงพูดคุยกับพี่โอ๋ก่อน 

"กินข้าวยัง" ผมถาม

"ยังเลย ไม่รู้จะกินอะไรดี เบื่อร้านในโรงอาหารจะแย่"

"อยู่มาปีเดียวทำมาเบื่อ นี่กินมาห้าปีแล้วยังไม่บ่นเลย"

"ก็เบื่ออ่ะ อยากกินก๋วยเตี๋ยวป้าแว่น...เออ!"

ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่อยู่ๆ ก็เสียงดังขึ้นมา   

"ภูเฝ้าห้องให้แป๊บหนึ่งดิ จะออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว"

"เอ้า!"

"แป๊บเดียว สิบห้านาที ไม่ๆ สิบนาที นะ เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก" รวบรัดตัดสรุปเองแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจมอเตอร์ไซค์วิ่งออกไปนอกห้อง ทิ้งผมให้นั่งอยู่ตรงนี้งงๆ แต่ร้านที่พี่โอ๋ว่าอยู่แค่หน้าโรงเรียนคงไปไม่นานเท่าไร ผมเลยไม่ได้ขยับตัวเองออกมาจากตรงนั้นแล้วนั่งเฝ้าห้องให้ ห้องพยาบาลคงเป็นห้องที่เงียบที่สุดในโรงเรียน เตียงพยาบาลฝั่งซ้ายเป็นของผู้ชาย อีกฝั่งเป็นของผู้หญิง แต่วันนี้ทั้งสิบเตียงยังว่าง ผมไม่ได้คิดว่าใครจะเข้ามานอนในตอนนี้ กระทั่งได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามา โวยวายซะดังลั่นเหมือนอาการจะหนัก   

"โอ๊ย ตายแน่ๆ ไม่รอดแน่ๆ!"

"พี่โอ๋คร้าบ!"

ผมลุกพรวดขึ้นเพราะเสียงนั่น ก่อนนักเรียนชายสามคนที่เป็นเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามา ผมมองผ่านสองคนที่เป็นคนพยุงอีกคนเข้ามา แล้วเพ่งมองไปที่คนป่วย

"นาวี?"

"อ้าว ภูผา"

คนที่ถูกหิ้วปีกเข้ามาคล้ายจะลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่ตอนหันมาเห็นผม

"เป็นอะไรอ่ะ" ผมถาม

"อ๋อ! ปวดท้อง!"

"เออๆ มันปวดท้องมากเลย เมื่อกี้ทำท่าเหมือนจะตาย"

"อือ จะตายๆ" นาวีพยักหน้าหงึกๆ ยกมือกุมท้องตัวงอ เพื่อนเลยพาไปนั่งที่เตียงพยาบาล ผมเองก็เดินตามไปด้วย

"พี่โอ๋ล่ะ"

"พี่โอ๋ออกไปข้างนอกอ่ะ"

"โอ๊ย! ตายก่อนแน่ๆ โอ๊ย! ไส้ขาดไปแล้วแน่ๆ ฮือ!"

ผมเกือบหลุดขำกับท่าทางของคนเจ็บ หรือจะพูดว่าแกล้งทำเป็นเจ็บดี มองดูก็รู้ว่าเป็นการแสดง แต่เพื่อนที่มาด้วยดูกระวนกระวายจนผมแปลกใจว่าทำไมถึงเชื่อ

"ต้องกินยาอะไรวะ"

"เมื่อไรพี่โอ๋จะกลับอ่ะ!"

"เดี๋ยวก็มา" ผมบอก แต่ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนใจเย็นขึ้น 

"เอาไงดีวะ หรือจะโทรเรียกรถพยาบาลดี"

"เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ นอนพักก็หาย"

"แน่ใจนะ"

"เออๆ ไปกินข้าวกันเถอะ"

"เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนนี่แหละ"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูอยู่กับภูผา"

ผมหันขวับไปหาตอนถูกเรียกชื่อ ลูกตากระพริบถี่ๆ เหมือนส่งสัญญาณให้กัน ผมก็เลยพยักหน้ารับ เออออไปด้วย

"เออๆ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน"

"งั้นพวกกูไปกินข้าวนะ"

"ไปเถอะๆ"

สองคนนั้นเดินออกไป ขณะที่นาวียังไม่เลิกทำท่าทางเจ็บปวด ยิ่งดูทรมานมากตอนสองคนนั้นหันกลับมามอง

"โอ๊ย! โอ๊ยๆ..."

เสียงร้องเบาลงเหมือนหรี่เสียงเครื่องเล่นเพลง นาวีชะเง้อมองสองคนนั้นให้แน่ใจว่าไปไกลแล้ว พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปตบหมอนสองสามครั้งก่อนทิ้งตัวลงนอนในท่าทางสบายๆ ไม่ลืมที่จะเหลือบตาขึ้นมองผมที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ 

"จะเรียนต่อเอกการแสดงไหม"

"แหม่! มีแซว"

"แล้วทำไมล่ะเนี่ย แกล้งป่วย?"

"ขี้เกียจเรียนพละอ่ะ"

"เอ้า เป็นนักกีฬาไม่ใช่เหรอ"

"เป็นนักบาสไง แต่ปีนี้วิชาพละเรียนปิงปอง กูไม่ชอบว่ะ"

"ก็เลยหาเรื่องโดดซะงั้น"

"ไม่ใช่นาวี ทำไม่ได้นะ" นักเรียนเอกการแสดงพูดอย่างภาคภูมิใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์พยักหน้าช้าๆ พลางยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้กางออกแล้วเตะเข้าที่คาง ประหนึ่งว่าหล่อจัด

"กูดูยังรู้ว่าแสดง ทำไมเพื่อนเชื่อ"

"เพื่อนกูไม่ค่อยฉลาด แล้วนี่มึงมาทำอะไร เป็นอะไรเปล่า"

"เปล่า เฝ้าห้องให้พี่โอ๋อ่ะ"

"อ๋อ กินข้าวแล้วเหรอ"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของนาวี เลื่อนสายตาไปมองแผลที่หัวเข่า นอกจากรอยถลอกลึกยังช้ำจนบวม

"ทายาอะไรหรือยัง"

"เนี่ยเหรอ ไม่เป็นไรอะไรหรอก เดี๋ยวก็หาย"

"ภูผา พี่กลับมาแล้ว"

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ พี่โอ๋ก็เดินเข้ามาพอดี หันมาเห็นผมกับคนที่นอนอยู่บนเตียงเลยเดินเข้ามาหา

"นึกว่าใคร ขาประจำห้องพยาบาลนี่เอง"

นาวีแลบลิ้นหัวเราะเป็นอันรู้กันว่าป่วยปลอม พี่โอ๋เลยไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากยกนิ้วเคาะหัวอีกฝ่ายเบาๆ

"แล้วนี่รู้จักกันเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ

"ไอ้ภู!"

เราทั้งหมดหันมองอีกคนที่โผล่เข้ามาในห้อง เห็นว่าเป็นเพื่อนของผม

"เห็นมึงมานานเลยมาตาม ไม่แดกข้าวเหรอวะ"

"เออ ไปแล้ว ไปนะ" ผมหันไปบอกทั้งพี่โอ๋ทั้งนาวี

"อ้าวภู พี่ซื้อขนมมาฝาก"

"ให้นาวีกินละกัน"

"เย้!" นาวีชูมือดีใจ กำลังยื่นมือรับถุงขนมจากพี่โอ๋ที่ตั้งใจส่งให้ผม แต่คนซื้อมาฝากยกถุงหนีก่อนถึงมือนาวี

"ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ นอนไปสิ"

"ปวดท้อง กินข้าวไม่ตรงเวลา กระเพาะมันร้องไห้อยู่ได้ยินไหม มันบอกว่าอย่าปล่อยให้น้องหิวตายเลย" นาวีทำหน้าเบะจะร้องไห้ กระพริบตาปริบๆ น่าสงสาร แม้เป็นการแสดงเกรดบีแต่เป็นใครเจออ้อนแบบนี้ก็คงต้องยอม พี่โอ๋หลุดหัวเราะก่อนยอมส่งถุงขนมให้

"เอาไปเลยไป"

แม้แต่ผมเองก็ยังหันหน้าหลบมาแอบยิ้มเพราะความน่ารักของมัน แล้วหันไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่

"ไปแล้วนะ"

"จ้า" พี่โอ๋ตอบรับผม คนบนเตียงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เพราะขนมเต็มปากอยู่

"เออ พี่โอ๋"

"ฮึ?"

"ทำแผลที่เข่าให้มันด้วยนะ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินตามเพื่อนออกมา เพื่อนผมถามถึงนาวีในทันที ผมบอกได้แค่เพิ่งรู้จัก นอกจากชื่อก็ยังไม่รู้จักพอที่จะบอกได้ว่าเรียนห้องไหน หรือชั้นอะไรเลยด้วยซ้ำ

"ปึก!"

ระหว่างทางไปโรงอาหารผมเผลอเดินชนกับคนๆ หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ปากบอกขอโทษไปก่อนที่จะเห็นว่าใครด้วยสัญชาตญาณ

"ขอโทษครับ"

"เฮ้ย มึง"

เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น ไม่ได้ลั่นออกมาเพราะโกรธเคืองที่ผมเดินชน แต่แค่ทักทายอย่างคนรู้จักกัน เมื่อผมหันไปเห็นว่าเป็นใครก็กลับไปพยักหน้าให้เป็นเชิงทักทาย มันก้าวเข้ามาหา เอ่ยคำพูดเข้าเรื่องโดยไม่มีการเกริ่น แต่ก็เป็นประโยคที่เรารู้กันดี 

"เย็นนี้มึงไปไหม"

"แม่ให้ไป"

"โดนบังคับอีกดิ"

"อือ แล้วมึงล่ะ"

"ไปดิ แล้วเจอกัน"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนจะเดินกลับมาหาเพื่อน คนข้างๆ ก็รีบกระซิบถามอย่างใคร่รู้

"ใครวะ รู้จักกันเหรอ"

ผมหันไปตอบคำถามของเพื่อน แต่ไม่กล้าพูดออกไปทั้งหมด ประโยคหลังจึงได้แต่ละเอาไว้ในใจ

"มันชื่อธงทัพ อยู่ม.6"

.

.

.

แม่กูเป็นเมียน้อยพ่อมัน

 

...

 

To be continued.

 

เราจะให้ภูผาเล่าย้อนไปจากบทนำ บางตอนอาจจะมีย้อนในย้อนอีกที เราจะใส่ช่วงเวลาเอาไว้ให้ก่อนเริ่มบท บางตอนแทรกไว้ในบทสนทนาแล้ว คิดว่าไม่น่าจะงงกันเนาะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะค้า ไม่ดราม่าเท่าไรหรอกกก เชื่อเรานะ 

 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.1] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 04-11-2017 03:35:44
เดาไม่ถูกเลยอ่ะ ใครพระเอกใครนายเอก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.1] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: Fujoshi ที่ 04-11-2017 09:41:27
อยากอ่านต่ออออออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.1] 31/10/17
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 04-11-2017 23:30:52
3P จริงรึนี่  :o8:
ชีวิตภูผาน่าเศร้า  บังคับลูกแล้วยังไม่ค่อยสนใจ  :ling2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.2] 11/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 12-11-2017 00:00:48
Episode2


ผมจำได้ว่า

วันนั้นผมตกหลุมรักคุณโดยไม่ลังเล   


 

 

ผมเจอกับธงทัพครั้งแรกตอนอยู่ม.สี่ การต้องกลายมาเป็นพี่น้องโดยไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดไม่ใช่เรื่องที่เราทั้งคู่ยินดี ทั้งชีวิตผมไม่เคยเกลียดใครมาก่อน ธงทัพเป็นคนแรก

 

งานประชุมผู้ปกครองตอนม.4 

 

งานประชุมผู้ปกครองจะจัดขึ้นเทอมละหนึ่งครั้ง วันนี้ห้องเรียนจึงแออัดไปถนัดตาเพราะจำนวนผู้ปกครองอีกเท่าของนักเรียนอัดแน่นกันอยู่ในนั้นเพื่อฟังครูประจำชั้นที่กำลังพูดอยู่หน้าห้อง แต่ในจำนวนผู้ปกครองที่นั่งอยู่ในนั้น ไม่มีแม่ผม

แม่ไม่มาบอกว่าไม่ว่าง ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไม่มาร่วมงานประชุมผู้ปกครอง ผมก็เลยรู้ดีว่าต้องทำตัวยังไง ก็แค่นั่งฟังไปเฉยๆ แล้วก็เดินออกไปตอนที่ครูพูดจบ และในตอนที่ครูเรียกนักเรียนกับผู้ปกครองเข้าไปคุยรายบุคคล ผมก็ออกไปหาขนมกินได้ในตอนนั้น โชคดีที่ชีวิตการเรียนผมราบเรียบ ไม่ดีเด่น ไม่ย่ำแย่ ครูประจำชั้นเลยไม่ได้อยากเจอพ่อแม่ผมเป็นพิเศษ ทุกเทอมที่บอกครูว่าแม่มาไม่ได้ ครูก็ไม่เคยว่าอะไร

"ไอ้ภู แม่มึงไม่ได้มาใช่ป่ะ"

"อือ คนต่อไปเลย" ผมหันไปบอกกับรองหัวหน้าห้องที่เดินออกมาถาม มันจึงผ่านผมไปที่นักเรียนเลขที่ต่อไป

"ภูผา"

เท้าผมชะงักเมื่อเงยหน้ามองเห็นคนที่เข้ามาเรียก ผู้ชายร่างสูงในชุดตำรวจเต็มยศ เจ้าของเสียงเรียกเมื่อกี้ก้าวเท้าเข้ามาหาผม

"ลุงวุธ..."

"แม่บอกให้ลุงมาแทนน่ะ ยังทันใช่ไหม"

ผมยังทำตัวไม่ถูกกับการปรากฏตัวของลุงวุธในฐานะผู้ปกครองของผม ไม่ได้พูดอะไรต่อ รองหัวหน้าคนเดิมก็เดินกลับมา

"ผู้ปกครองภูผาใช่ไหมครับ"

"ครับ"

"งั้นเชิญเลยครับ"

ลุงวุธแตะไหล่ผมให้เดินเข้าห้องไปพร้อมๆ กัน ผมนั่งลงข้างๆ เขาและก้มหน้าเงียบระหว่างการพูดคุยกับครูและผู้ปกครอง ผมรู้ว่าแม่พูดถึงผมให้ลุงวุธฟังเสมอ เขาถึงรู้ดีเกี่ยวกับผมแล้วสนทนากับครูประจำชั้นได้ไม่ติดขัด แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกไม่ชอบใจ   

 

ไม่ชอบที่เขาทำเหมือนรู้จักผมดี   

 

ผมเคยชอบลุงวุธมากกว่านี้ ลุงวุธเป็นตำรวจยศสูง หน้าที่การงานดี อายุมากกว่าแม่เกือบสิบปีแต่รูปร่างหน้าตายังดีอยู่ ผมชื่นชมเขาเสมอ แต่นับตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลุงวุธมีครอบครัวอยู่แล้ว ผมก็หมดศรัทธาในคนๆ นี้ไป ลุงเคยบอกให้ผมเรียกว่าพ่อได้ แต่ผมไม่เคยมีพ่อ จึงไม่เคยเรียกใครว่าพ่อและลุงวุธไม่ใช่คนนั้น ไม่มีวันเป็น

การพูดคุยระหว่างครูกับผู้ปกครองและผมจบลงแล้ว แต่ลุงวุธยังพูดเรื่องของผมไม่จบขณะที่เดินออกมานอกห้อง

"เมื่อกี้ลุงเห็นผลการเรียนที่ครูเอาให้ดู เรียนเก่งเหมือนกันนะภูผา"

"ไม่เก่งหรอกครับ"

ไม่เก่งเท่าธงทัพหรอก...ใจผมคิดแบบนั้นมากกว่า ผมไม่ได้อยากสนใจผลการเรียนของมันเท่าไร แต่แม่พูดถึงตลอดว่าธงทัพเรียนดียังไง ไม่ได้พูดเฉยๆ ด้วยประโยคบอกเล่า แต่ใช้มันเพื่อเปรียบเทียบกับผมต่างหาก

"ขอบคุณที่มานะครับ แต่จริงๆ แม่ไม่น่ารบกวนลุง"

"รบกวนอะไร ยังไงลุงก็ต้องมาอยู่แล้ว"

"ครับ"

"พ่อ!"

ทั้งผมและลุงวุธหันมองเสียงเรียกจากลูกชายตัวจริงของเขา ธงทัพและเพื่อนอีกสองสามคนเดินเข้ามา ผมรู้จักหนึ่งในเพื่อนของธงทัพ จึงหันมองเป็นเชิงทักทายแค่นั้น ก่อนธงทัพจะเข้ามาคุยกับพ่อมัน

"เสร็จแล้วเหรอ"

"เสร็จแล้ว"

"พ่อจะกลับเลยป่ะ"

"กลับเลย เดี๋ยวต้องไปทำงานต่อ แล้วนี่ต้องกลับไปเรียนต่อไหม"

"วันนี้มีเรียนที่ไหนล่ะ"

"แล้วจะกลับพร้อมกันไหม"

"ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ พ่อไปเหอะ"

"เออ ทัพ นี่ภูผา เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกใช่ไหม"

ธงทัพเหลือบตามามองผม ไล่มองหัวจรดเท้าก่อนมุมปากจะยกขึ้นนิดหน่อย ไม่เชิงว่าเป็นยิ้ม เป็นผมที่ต้องก้มหน้าหลบสายตามันกำลังจ้องอยู่

"งั้นพ่อไปแล้วนะ ลุงไปนะภู"

"ครับ" มันหันไปตอบ ส่วนผมแค่พยักหน้าเบาๆ

"ไว้ลุงแวะไปที่บ้านนะ"

ลุงวุธพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป บทสนทนายังไม่จบ เพราะผมยังไม่ได้ตอบกลับประโยคนั้นของลุง ในตอนที่เขาเดินออกไปไกลแล้ว ผมจึงพูดมันออกมาในใจ 

 

อย่ามาเลย...อย่ามาอีกเลย

 

"ไอ้ทัพ มึงกับไอ้ภูผาเป็นพี่น้องกันเหรอวะ"

"เปล่า มันเป็นลูกของเมียน้อยพ่อกู"

หากเปรียบคำพูดของมันเป็นหมัดแรงๆ ที่ชกเข้ามา ผมคงถูกกระแทกจนหงายหลัง น้ำเสียงเรียบเฉยกับคำพูดที่ดูไม่คิดอะไร เปลี่ยนทุกสายตาที่มองผมอยู่ไปจนเห็นได้ชัด ผมโกรธที่มันพูดแบบนั้น แต่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

 

เพราะความจริงมันเป็นแบบนั้น...

 

...

 

 

...และยังคงเป็นแบบนั้น

 

"ภูผา"

"ครับ?"

เสียงเรียกของลุงวุธดึงผมออกจากความคิด ในระหว่างมือเย็นของครอบครัวปลอมๆ ผมนั่งเขี่ยข้าวไปๆ มาๆ แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนลืมฟังบทสนทนาของพวกเขา

"เราอยู่ม.ห้าแล้ว คิดหรือยังว่าจะเรียนอะไรต่อ"

"ยังเลยครับ"

"ชอบอะไรล่ะ งานบัญชีแบบแม่เอาไหม"

แม่หลุดหัวเราะออกมานิดๆ แล้วหันบอกกับลุงวุธ

"ภูผาน่ะเหรอ เรื่องตัวเลขนี่หัวไม่ไปเลย"

"ครับ ไม่ชอบ"

"ภูผาชอบศิลปะ น่าจะเอาดีทางด้านนั้นได้"

"จริงเหรอ ทัพก็เหมือนกัน ดื้อจะสอบเข้าสถาปัตย์ได้"

"ก็พ่อจะให้เรียนกฎหมายอ่ะ ไม่เอาด้วยหรอก" ธงทัพที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมพูดหน้ายุ่งๆ

"ขนาดบังคับมันแล้วนะ"

"ยอมผมหน่อยเหอะพ่อ ผมยอมพ่อหลายเรื่องแล้ว" ประโยคหลังของมันหยุดบทสนทนาบนโต๊ะให้เงียบลง ผมรู้มันหมายถึงอะไรพอๆ กับที่แม่รู้ แม่จึงเงียบไป

ธงทัพและพ่อของมันยังคงทำร้ายความรู้สึกของแม่ต่อด้วยการพูดถึงเรื่องในบ้านตัวเอง บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนในครอบครัวจริงๆ ของมัน ที่ซึ่งไม่มีผมกับแม่อยู่ตรงนั้น แม่จึงไม่มีบทพูดใดอีกเลยนอกจากนั่งเงียบๆ ฟังพ่อลูกสองคนนี้คุยกัน และการพูดถึงภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา หลายครั้งผมเห็นแม่เบือนหน้าหนี

"แม่บ่นอยากไปทะเล ปิดเทอมผมว่าจะพาแม่ไป"

"เอาสิ พ่อไปด้วย ไปด้วยกันดีไหม" ลุงวุธหันไปถามแม่ ไม่ทันที่แม่จะตอบธงทัพมันก็พูดออกมา

"ผมไปกับแม่สองคนก็ได้"

"..."

"หมายถึงไปกับแม่สองคนดีกว่า"

คำพูดของมันฟังดูเรียบเฉยภายใต้น้ำเสียงธรรมดาและใบหน้าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังอย่างเราถึงกับไปไม่เป็น ผมหันมองหน้าแม่ที่ก้มลงแล้วอมยิ้มบางๆ

 

แต่ใจแม่กำลังร้องไห้ ผมรู้

 

ธงทัพเกลียดแม่หรือเกลียดผมก็ไม่ใช่เรื่องผิด ผมเคยคิดกลับกัน หากผมเป็นธงทัพผมเองก็คงไม่ต่างจากมัน ผมก็คงไม่ชอบผู้หญิงที่แย่งพ่อไปจากแม่ตัวเอง พ่อยังพยายามบังคับให้ทำดีกับผู้หญิงคนนั้น พยายามให้เป็นพี่น้องกับลูกของผู้หญิงที่พ่อเรียกว่าเมียน้อย ถ้าผมอยู่ในจุดนั้น ผมก็ไม่ยอม ผมพยายามจะเข้าใจมันแล้วก้มหน้ายอมรับสถานภาพตัวเอง แต่หลายครั้งคำพูดทิ่มแทงที่มักจะทำร้ายความรู้สึกกันก็ยากเกินจะแบกรับ ผมเกลียดมันเพราะมันเกลียดแม่ผม ผมไม่อยากเห็นหน้ามันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมอยากย้ายโรงเรียนหนี ย้ายไปให้ไกล แต่ต่อให้ย้ายไปไกลแค่ไหน ความจริงมันก็ติดตามไปทุกที่หนีไม่พ้น จึงอยู่กับมันอย่างหน้าด้านต่อไป

 

เพราะผมหยุดเรื่องนี้ไม่ได้ เว้นแต่แม่จะเลิกกับเขาไป

 

 

"แม่น่าจะเลิกกับเขา"

ผมพูดกับแม่ตอนที่เดินเข้ามาในบ้านหลังจบมื้ออาหาร แม่ก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงเก็บใส่ชั้นเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะจับรองเท้าที่ผมถอดวางเกะกะวางเข้าข้างๆ กัน

"แม่ไม่โกรธตอนไอ้ทัพมันพูดแบบนั้นหรือไง"

"ไม่มีอะไรต้องโกรธนี่"

"ใช่ดิ แม่จะเถียงได้ไง แม่ไม่สิทธิ์"

"ภูผา"

"ภูไม่ชอบที่มันว่าแม่"

"แม่ไม่เป็นไร"

"ภูรู้ว่าแม่ทนได้ แต่จะทนไปทำไมล่ะแม่ ไม่ใช่ว่าโลกนี้มันมีผู้ชายเหลืออยู่คนเดียวซะหน่อย เลิกไปไม่ได้เหรอ ภูขอแม่แค่เรื่องเดียว"

"วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า"

แม่เปลี่ยนเรื่อง แต่ผมยังโกรธเกินกว่าจะยอมเพิกเฉยต่อมันแล้วคล้อยตามแม่ไป

"ทำไมต้องคนนี้ด้วยล่ะแม่ โลกมีคนเป็นล้าน ทำไมต้องไปรักคนๆ เดียวกัน"

"แม่ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว"

"แม่!"

"ขึ้นห้องไปภู แม่มีงานต้องเคลียร์ต่อ"

"แม่เคยอายบ้างไหมตอนถูกเรียกว่าเมียน้อย"

"ภู แม่บอกให้ขึ้นห้องไป"

"แม่เลิกกับเขาได้ไหม"

"ถ้าบังคับใจตัวเองได้ คงทำไปนานแล้ว"

"ใจแม่ แม่ก็ต้องบังคับได้ดิ!"

"ภูผา!"

"แม่เลิกกับมันไม่ได้เหรอวะ!"

"ไม่ได้! ก็บอกแล้วว่าไม่ได้!"

"งั้นแม่ก็ต้องเป็นเมียน้อยไปทั้งชาติ!"

"เพียะ!"

แรงจากฝ่ามือของแม่ตบเข้าที่หน้าผม ไม่ได้แรงจนรู้สึกเจ็บ แต่ก็หยุดทุกคำพูดและการกระทำของผมให้เงียบลง ผมหันหน้ามองแม่อย่างไม่รู้สึกผิด

"แม่หวังว่าวันหนึ่งภูจะโตพอที่จะเข้าใจ"

ผมไม่ได้ตอบอะไรแม่ แล้วเดินออกมาจากบ้านโดยที่แม่ไม่ได้เรียกรั้งเอาไว้ ผมเดินออกมาถึงถนนใหญ่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งลงบนพื้นฟุตบาท

ไม่มีที่ไป...   

บางทีผมก็อยากรู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน เผื่อเวลาทะเลาะกับแม่จะได้หนีไปนอนบ้านพ่อบ้าง หรือถ้าดีกว่านั้น ก็อยากให้พ่อยังอยู่กับแม่ ถ้าเป็นแบบนั้น แม่ก็คงไม่ต้องไปเป็นเมียน้อยใคร ผมทำได้ปล่อยให้ความคิดเคลื่อนผ่านความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในจินตนาการ

"ตุ้บ...ตุ้บ...ตุ้บ..."

ผมหันไปมองเสียงของกระทบพื้น ดังเช่นกันเหมือนเมื่อวานจากคนๆ เดิม นาวีกับลูกบาสที่เด้งกระทบพื้นสองสามครั้ง ก่อนเขาจะจับมันขึ้นวางบนนิ้วแล้วเลี้ยงมันให้หมุนอยู่อย่างนั้น

"โอ๊ะ!"

ทันทีที่หันมาเห็นผม ก็เผลอทำลูกบาสหลุดมือจนมันกลิ้งมาหาผม ผมเอื้อมมือคว้าลูกบาสเอาไว้ก่อนที่มันจะกลิ้งผ่านหน้าไป นาวีก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหาผม

"เพิ่งกลับเหรอ"

"อือ แล้วมึงมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ

"โดนไล่ออกจากบ้านมาหรือไง"

"เปล่า กูหนีออกมา"

"เฮ้ย...กูพูดเล่นนะเนี่ย"

เพราะผมไม่ตอบอะไร นาวีจึงนั่งลงข้างๆ ก้มมองผมด้วยใบหน้าจริงจัง

"มองอะไร"

"ดูว่ามึงล้อกูเล่นหรือเปล่า"

"กูไม่ใช่เอกการแสดงเหมือนมึง แล้วนี่หายปวดท้องแล้วใช่ไหม"

"อย่าเปลี่ยนเรื่องดิ กูโฟกัสเรื่องมึงอยู่"

"เออ กูทะเลาะกับแม่มา"

มันพยักหน้ารับ คิ้วขมวดเข้าหากันนิดหน่อยตอนที่ยังมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น

"ทำหน้าแบบนั้นคืออะไรวะ"

"อยากถามแต่กลัวจะหาว่าเสือก"

"ไม่มีอะไรหรอก"

"แล้วคืนนี้มึงจะนอนข้างถนนเหรอ เอาหนังสือพิมพ์มาห่มไหม เดี๋ยวกูไปซื้อเซเว่นให้"

"กวนตีนเหมือนกันนะเราอ่ะ"

นาวีหลุดขำออกมาเบาๆ ผมเหลือบมองแผลที่หัวเข่าที่มีผ้าก็อชแปะเอาไว้ เดาว่าเมื่อกลางวันพี่โอ๋คงทำแผลให้แล้ว

"มึงจะกลับบ้านหรือเปล่า"

"กลับดิ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยกลับ"

"เด็กมีปัญหาจริงๆ เลยมึง เอางี้ ไปบ้านกูก่อน ไป ลุก"

"ฮะ?"

"จะนั่งตรงนี้ให้ยุงกัดตายหรือไงล่ะ ไปบ้านกูก่อน ดึกๆ ค่อยกลับบ้านมึงไง"

มีเพื่อนไม่กี่คนที่ผมเคยไปบ้าน แต่นาวีเป็นคนแรกที่ชวนเข้าบ้านทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้สองวัน แต่ก็ยอมเดินตามอีกคนที่พาตรงไปบ้านตัวเอง

"มึงอยู่แถวนี้มานานยังวะ"

"ตั้งแต่เกิดอ่ะ ทำไมเหรอ"

"กูกลับบ้านทางนี้ทุกวัน ไม่เคยเห็นมึงเดินผ่านตรงนี้เลย"

"อ๋อ ปกติกูขี่มอไซค์ไปโรงเรียน แต่เพิ่งแวนซ์จนล้มไป แม่เลยยึดอ่ะ ให้กูเดินไปเรียนแทน"

ผมพยักหน้าฟังคนข้างๆ เล่า ก่อนเราจะมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเขา ทาวเฮ้าส์สองชั้นขนาดย่อม ด้านบนเป็นดาดฟ้า หน้าบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ผมกำลังก้าวเท้าตามนาวีเข้าบ้านแต่คนข้างหน้าหยุดเดินแล้วหันมาพูดเบาๆ

"ถ้าแม่กูถามว่าชอบกินสุกี้ไหม ให้บอกว่าไม่ชอบนะ"

ผมพยักหน้ารับงงๆ ยังไม่เข้าใจที่เขาพูดแต่นาวีก็ลากผมเดินเข้าบ้าน เข้าไปถึงสิ่งแรกที่ผมมองคงไม่พ้นคนที่อยู่ในนั้น ผู้ชายตัวสูงผิวขาว กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาเกากีตาร์คลาสสิกเป็นเพลงที่ผมไม่คุ้นหู ใบหน้าเคลิบเคลิ้มพลางโยกหัวไปตามทำนอง

"นั่นพ่อกู ศิลปินสุด"

ผมพยักหน้ารับตอนนาวีหันมาบอก ก่อนเสียงเพลงจากกีตาร์ของศิลปินจะหยุดลงเพราะเสียงตะโกนของนาวี

"พ่อ! เพื่อนมาบ้าน!"

"โอ๊ย! ตกใจหมด!"

"เพื่อนมาบ้าน"

นาวีพูดซ้ำ ผมจึงยกมือขึ้นไหว้

"เข้ามาสิๆ"

"เสียงดังอะไรนาวี" ผู้หญิงอีกคนที่เดินออกมาจากอีกห้อง ผมเดาว่าเป็นแม่ของเขา เพราะใบหน้าที่คล้ายจนดูออกในครั้งแรกที่มองเลย   

"พ่อ แม่ นี่ภูผา มันมาเที่ยวบ้าน เดี๋ยวก็ไปละ"

ผมยกมือขึ้นไหว้อีกที

"กูไปอาบน้ำแป๊บหนึ่ง มึงคุยกับพ่อแม่ไปก่อนละกัน"

ผมพยักหน้ารับ แม่นาวีก็ขยับมายืนข้างผมแล้วชวนคุยก่อน

"ภูผาเหรอ ไม่เคยได้ยินชื่อเลย"

"ผมเพิ่งรู้จักกับนาวีครับ"

"อ๋อ แล้วนี่บ้านเราอยู่แถวไหนล่ะ"

"ซอยถัดไปนี่เองครับ"

"กินข้าวมาหรือยัง"

"กินแล้วครับ"

"ชอบกินสุกี้ไหม"

"ก็...กินได้ครับ"

"ไอ้ภูผา! กูสั่งให้มึงบอกว่าไม่ชอบไง!"

ผมหันขวับมองนาวีที่โผล่พรวดออกมาจากห้อง ผมลืมคำสั่งที่กำชับเอาไว้หน้าบ้านเมื่อกี้เลยตอบคำถามแม่ไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม กระทั่งแม่เขาพูดขึ้นมา

"กินสุกี้กันดีกว่า!"

"อีกแล้วเหรอแม่!"

"พ่อขอมาม่าต้มได้ไหม"

แม่ของเขาไม่รับฟังเสียงโต้แย้งของคนในบ้านแล้วตรงเข้าครัวไป นาวีหันมองผมเคืองๆ 

"ช่วงนี้แม่กูอินกับการกินสุกี้ นี่กินกันมาสามวันติดแล้ว กูเบื่อมากเลยเนี่ย"

"ขอโทษ"

"มึงไปช่วยแม่ในครัวเลยไป"

ผมเดินตามแม่เข้าไปในครัว เสนอตัวเข้าไปช่วยทั้งๆ ที่ผมไม่เคยหยิบจับอุปกรณ์อะไรในครัวเลยด้วยซ้ำ แม่นาวีช่วยบอกให้ว่าอะไรควรทำยังไง ผมจึงได้ใช้เวลาอยู่ในครัวกับแม่นาวีจนกระทั่งเตรียมอาหารเสร็จ เป็นสุกี้ที่อาจกินได้ทั้งหมู่บ้านเลย ผมไม่ควรพูดว่าชอบกินปูอัด เพราะแม่เขาหั่นปูอัดมาจานใหญ่ ผมไม่ควรบอกว่ากินผักได้ เพราะผักถูกยกมาแทบทั้งสวน 

"นาวีชอบกินเบคอนมาก กินคนเดียวได้เป็นกิโลเลย ภูผาชอบไหม"

"ไม่...ไม่ค่อยชอบครับ"

ผมโกหกเพราะคิดว่าเบคอนในจานเพียงพอแล้วสำหรับนาวี หากผมบอกว่าชอบอีกแม่เขาคงเอามันออกมาเพิ่มอีก นาวีที่อาบน้ำเสร็จพอดีเดินออกมา กลอกตาขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจ ผมเลื่อนสายตามองไปที่เข่าของอีกฝ่าย ผ้าก็อชถูกเอาออกแล้ว รอยช้ำยังไม่ยุบ แผลเริ่มตกสะเก็ด เจ้าของแผลดูไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมาก เดินมานั่งบนโต๊ะ หยิบปูอัดดิบกินก่อน แล้วหันไปหาพ่อที่ยังนั่งเกากีตาร์อยู่

"พ่อ จะกินไหม"

"พ่ออยากกินมาม่าต้ม"

"จะลุกมากินดีๆ ไหม กีตาร์น่ะเลิกเล่นได้แล้ว เดี๋ยวก็จับทุ่มให้หมดเลยนี่ ลุกมา อย่าลีลา"

ผมหลุดยิ้มตอนแม่เขาหันไปร่ายยาวใส่ ศิลปินใหญ่ทำหน้างอวางกีตาร์ลงบนโซฟา แล้วย้ายตัวเองมานั่งที่โต๊ะกินข้าว มื้อเย็นของบ้านหลังนี้ก็เริ่มขึ้นโดยมีผมเป็นแขกที่ไม่ได้เชิญ ทั้งที่กินข้าวมาแล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงอิ่มมาแล้ว เพราะตอนออกไปกินข้าวกับลุงวุธผมแทบไม่ได้ตักอะไรเข้าปากเลย มื้อนี้จึงขอมีส่วนร่วมและฝากท้องไว้ที่บ้านของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน 

"กินเยอะๆ เลยนะภูผา"

"ครับ"

"กินไม่หมดมึงโดนแม่กูโกรธแน่" คำพูดกระซิบขู่จากคนข้างๆ ทำให้ผมเหลือบตาไปมองอาหารที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ผมไม่อยากถูกแม่นาวีโกรธ แต่คิดไม่ตกจริงๆ ว่าจะกินยังไงให้หมดนี่

เสียงพูดคุยระหว่างคนในบ้านนี้ดำเนินไปพร้อมกับมื้ออาหาร แต่เขาไม่ได้ทิ้งให้ผมนั่งอยู่เฉยๆ หันมาชวนคุยด้วยแต่ผมชอบที่จะนั่งฟังพวกเขาคุยกันมากกว่า หลายครั้งที่หันมองนาวีพูดคุยกับพ่อแม่ตัวเองอย่างดูสนิทสนมกันดี หันกลับมามองตัวเองที่ไม่เคยพูดกับแม่แบบนั้นเลย ผมไม่เคยเห็นแม่ตัวเองตอนทำกับข้าว ผมไม่รู้ว่าแม่จะมีความสุขกับการทำอาหารแบบนี้ไหม พ่อของผมจะเป็นคนยังไง จะชอบกีตาร์กับดนตรีคลาสสิกหรือเปล่า หากว่าครอบครัวเราได้อยู่ด้วยกัน บนโต๊ะอาหารจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแบบนี้ไหม

"ภูผา"

"ครับ"

"ลองกินนี่สิ อ้า..."

ผมอ้าปากรับลูกชิ้นที่แม่นาวีป้อนให้ถึงปาก ก็แค่ลูกชิ้นหมูธรรมดา แต่เคี้ยวเข้าปากไปแล้วผมก็ยิ้มกว้างออกมา รู้สึกว่ามันอร่อยเป็นพิเศษ

หลังจบมื้ออาหาร ผมมานั่งคุยกับนาวีและพ่ออยู่ที่โซฟา ผมไม่มีความรู้เรื่องดนตรีเท่าไร เลยไม่ได้ออกความเห็นอะไรไปมากกว่าฟังพ่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรีให้ฟัง ดูเหมือนว่ารสนิยมทางดนตรีของพ่อลูกทั้งสองคนนี้จะไปในทิศทางเดียวกัน จึงพูดคุยกันไม่หยุด กระทั่งแม่ของเขาเป็นคนเข้ามาขัดบทสนทนานั่น สองมือถือชุดกระโปรงยาวข้างหนึ่งสีขาว อีกข้างสีชมพู ก่อนหันมาถามความคิดเห็น

"เอาตัวไหนดี"

"ขาว" พ่อเขาเลือกตัวนั้น

"ชมพู" นาวีเลือกอีกตัว

แม่เขายกชุดทั้งคู่ทาบตัวสลับกันไปมาอีกสองสามครั้ง ก่อนตัดสินใจได้

"ชมพูละกัน"

"เยส!" นาวีลั่นเสียงอย่างคนชนะ หันมองพ่อแล้วยักคิ้วให้หน่อยๆ พ่อเขาก็ทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่แล้วยกมือเขกหัวลูกชายเบาๆ

"ภูผา จะนอนที่นี่ไหม" พ่อเขาหันมาถาม ผมเพิ่งหันมองดูนาฬิกาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาที่บ้านเขา เกือบจะห้าทุ่มแล้ว

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเลยดีกว่า"

"กูไปส่ง"

"ไม่เป็นไร"

"แม่! เอามอไซค์ไปส่งเพื่อนนะ" นาวีไม่ได้ฟังคำปฏิเสธของผมแล้วหันไปตะโกนบอกแม่ ก่อนเดินไปหยิบกุญแจรถที่หน้าทีวี

"ขับดีๆ ล่ะ อย่าไปล้มอีก"

"ครับผม"

ผมบอกลาพ่อกับแม่ของนาวี ก่อนเดินออกมานอกบ้านตามนาวีไปที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ รอยถลอกข้างรถยังสดพอๆ กับแผลที่หัวเข่าของเจ้าของ

"เดี๋ยวกูขับเอง"

"ทำไม ไม่ไว้ใจกูเหรอ"

"อืม ไม่อยากซ้อนคนขาเป๋"

"แต่กูคือคนขาเป๋ที่ถีบมึงได้นะ"

"เฮ้ย!" ไม่พูดเฉยๆ ยังยกขาขึ้นมาถีบผมจริงๆ ผมที่หลบไม่ทันถึงโดนถีบจนเซ แต่นาวีก็ยอมโยนกุญแจมอเตอร์ไซค์ให้

ผมขับรถออกมาข้างนอก ระหว่างทางกลับบ้าน ยิ่งดึกจึงยิ่งเงียบ ผมหันไปมองร้านยาก่อนทางเลี้ยวเข้าบ้าน เห็นว่าเปิดอยู่เลยขับไปจอดหน้าร้าน

"แวะทำอะไรวะ"

"แล้วมึงว่าคนเราจะทำอะไรได้บ้างที่ร้านยา"

"กวนตีน"

"เออ รอนี่" ผมบอกกับนาวีแล้วเดินตรงเข้าร้านยา ได้ของที่ต้องการก็เดินออกมาหานาวีที่นั่งอยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ แล้วยื่นถุงยาในมือให้

"ให้กู?"

"เออ จะได้หายเร็วๆ"

"มึงนี่วุ่นวายกับกับหัวเข่ากูจัง เป็นอะไรอ่ะ"

ผมไม่ได้ตอบแล้วนั่งยองลงกับพื้น ในระดับสายตาอยู่ที่แผลของเขาพอดี ยกมือจับท่อนขาจนคนที่นั่งอยู่บนเบาะรถสะดุ้งนิดหนึ่ง

"กลัวขามึงจะเป็นแผลเป็น"

"นี่มันขากูไง จะเป็นไม่เป็นก็เรื่องของกูสิ"

"กูไม่ชอบให้มันเป็นรอย ไม่สวย"

"เฮ้ย สวยอะไรล่ะ! กลับบ้านได้แล้วมึงอ่ะ"

"อืม เดี๋ยวเดินไปเอง มึงกลับเหอะ"

"เออ ไม่ไกลใช่ไหม"

"ไม่ไกล ขับรถดีๆ นะ อย่าล้มให้เป็นรอยอีก"

"เออน่า ไปได้แล้ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วลุกเดินออกมา

"ภูผา"

"ฮึ?"

"คุยกับแม่ดีๆ นะ"

ผมพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเดินตรงกลับบ้าน ไม่ได้หันกลับไปมองแต่ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของนาวีขับออกไปแล้ว เดินมาไม่ไกลผมก็ถึงหน้าบ้าน ผมไม่ได้ลังเลที่จะเข้าไป แม่ก็คงรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมก็ต้องกลับมาเลยเปิดไฟหน้าบ้านทิ้งเอาไว้ ประตูรั้วก็ไม่ได้ล็อก ผมเดินเข้าไปในบ้าน ถอดรองเท้าวางเกะกะอย่างทุกครั้ง แต่พอคิดว่าแม่ต้องเป็นคนจับมันเข้าชั้นวางทุกที ผมจึงหันหลังกลับไปหยิบรองเท้าตัวเองยัดใส่ชั้นวาง ในตอนนั้นสายตาผมมองไปเห็นรองเท้าคู่ใหม่ที่วางอยู่ข้างๆ ผ้าใบคู่เก่า รองเท้าสีเดิม ยี่ห้อเดิม แต่เบอร์ใหญ่กว่าเดิม รองเท้าที่เมื่อเช้าแม่บอกว่าจะซื้อมาให้ใหม่   

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นบ้าน หยิบรองเท้าคู่ใหม่มาสวมก็พบว่ามันพอดีกับเท้า ยืดขาออกไปมองรองเท้าคู่ใหม่ที่สวมอยู่

 

ผมอยากขอบคุณแม่...จริงๆ ก็อยากขอโทษแม่ด้วย

 

 
ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.2] 11/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 12-11-2017 00:01:24
...

 

หลายวันผ่านเป็นอาทิตย์ ชีวิตที่บ้านและที่โรงเรียนของผมก็วนไปซ้ำๆ อย่างที่เคยเป็น ตั้งแต่ที่ผมเกิดมา ก็มีคนที่วนเวียนเข้ามาทำความรู้จัก ไม่ชั่วขณะหนึ่งก็เนิ่นนาน บางคนแค่รู้จักชื่อก็หมดบทบาทในชีวิต บางคนรู้จักกันแล้วก็ยังอยากรู้จักให้มากกว่านี้อีก

ก่อนหน้านี้ผมอาจเคยเดินสวนกับนาวีที่ใดสักแห่งในโรงเรียน อาจเคยต่อแถวกินข้าวร้านเดียวกัน นั่งเรียนในห้องเรียนที่ติดกัน หรือผมอาจเคยไปนั่งดูนาวีแข่งบาสตอนงานกีฬาสีก็ได้แต่ตอนนั้นผมไม่รู้จักเขา เมื่อรู้จักกันคนๆ นั้นก็มักเข้ามาปรากฏอยู่ในสายตา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความบังเอิญที่ทำงานอยู่บ่อยครั้ง หรืออาจเป็นเพราะความตั้งใจของผมที่มักหันมองหาเขาเสมอ

วันนี้ชั่วโมงสุดท้ายของผมคือวิชาพละ ผมเดินผ่านอาคารเรียนตรงไปโรงยิมระหว่างทางหันมองเห็นนาวีเดินอยู่ในตึก ผมไม่ได้เรียกเพียงแค่มองตามเขาไป คนตรงนั้นเดินไปทางห้องพยาบาล เดาไม่ได้ว่าวันนี้ป่วยจริงหรือแกล้งอีก

"ไอ้ภู มองอะไรวะ"

"ไม่มีอะไร"

ผมละความสนใจจากนาวี แล้วเดินตามเพื่อนไปโรงยิมวิชาพละกับการเล่นปิงปองเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างที่นาวีเคยบอกจริงๆ นั่นแหละ ผมยิ่งไม่เอาไหนกับเรื่องกีฬาอยู่แล้ว เล่นได้แป๊บเดียวก็ออกมานั่งข้างสนาม เลื่อนสายตาผ่านโต๊ะปิงปองมองไปที่แป้นบาส

หัดเล่นบาสไว้ไปเล่นกับนาวีดีไหมวะ...

ผมหลุดยิ้มออกมากับความคิดของตัวเอง ไม่ทันเริ่มก็ล้มความคิดนั้นไปก่อน ผมไม่ชอบออกกำลังกาย ให้เสียเหงื่อให้กีฬาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับบางคนก็คงไม่ไหว

ชั่วโมงพละหมดคาบไปแล้ว ผมยังไม่เสียเหงื่อสักเท่าไร ดีที่อาจารย์ประจำวิชาไม่ได้เข้มงวดอะไร เลิกเรียนแล้วผมกับเพื่อนก็เดินกลับตึก ย้อนกลับมาผ่านห้องพยาบาลอีกที

"พวกมึงกลับกันไปก่อนเลยนะ"

"ไปไหนวะ"

"ไปห้องพยาบาลแป๊บ"

"ไปหาพี่โอ๋อีกแล้วเหรอ"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ แล้วเดินแยกออกมา เลิกเรียนแล้วห้องพยาบาลยังคงเปิดอยู่ เดินเข้าไปก็เห็นพี่โอ๋กำลังทำความสะอาดตู้ยาอยู่

"พี่โอ๋"

"อ้าวภู มาทำอะไร ไม่สบายเหรอ"

"เปล่า"

"แล้วมาทำอะไรอ่ะ"

"นาวีกลับไปยัง"

"ยังนอนอยู่เลย วันนี้ป่วยจริง"

"มันเป็นอะไรเหรอ"

"ปวดท้องน่ะสิ เป็นโรคกระเพาะแล้วก็ชอบกินข้าวไม่ตรงเวลา ชอบเอาเวลาพักเที่ยงไปเล่นบาส ภูเข้าไปเรียกให้หน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะปิดห้องแล้ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในห้อง เตียงเดิมคงเป็นที่ประจำของเขา ผมเดินไปถึงไม่ได้ปลุกคนที่หลับอยู่ในทันที เพราะดันเผลอยืนมองใบหน้านั้นอยู่เสียนาน

ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายความงดงามบนใบหน้าของผู้ชายคนนี้ว่ายังไงดี จะสวยก็ไม่ใช่ จะน่ารักก็มากกว่านั้น รูปร่างไม่ได้ผอมบาง อาจมีกล้ามเนื้อมากกว่าผมเพราะเป็นนักกีฬา แต่ว่าผิวขาวจัดเกินกว่าจะเป็นผิวพรรณของผู้ชาย แม้วันๆ จะเอาแต่ตากแดดวิ่งอยู่ในสนามบาส และเพราะผิวกายที่เนียนละเอียดนั้น ผมจึงคิดเสียดายหากร่างกายเรียบเนียนนี้จะมีรอยแผลเป็นตรงไหนผุดขึ้นมา แม้เพียงเล็กน้อยก็เห็นได้ชัดอย่างแน่นอน 

ผมยังไม่ทันเรียกเพื่อปลุก คนบนเตียงก็ขยับเปลือกตาตื่นขึ้นเอง ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะหันหลังเดินออกไปดีไหม คงแปลกแน่ถ้านาวีตื่นมาเห็นผมยืนมองตัวเองอยู่แบบนี้ แต่ไม่ทันแล้ว คนบนเตียงลืมตาขึ้นมองหน้าผม คิ้วขมวดเข้าหากันหน่อยๆ

"กูตายยัง"

"ยัง"

"แล้วมึงมายืนทำหน้าไว้อาลัยอะไรอยู่ตรงนี้วะ"

"กูจะเข้ามาปลุก แต่มึงตื่นก่อนไง"

"อ๋อ" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจนิดหน่อย กระโดดลงจากเตียงสวมรองเท้า คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง

"ป่ะ! กลับบ้านกัน"

"หายแล้วเหรอ"

"หายแล้วดิ" นาวีเดินนำผมออกไป บอกลาพี่โอ๋แล้วเดินไปในท่าสบายๆ ผมมองไม่เห็นถึงอาการป่วยจากคนที่ร่าเริงที่เดินไป กระโดดเหยงๆ ไปด้วย

"พี่โอ๋บอกว่าวันนี้ป่วยจริง"

"อือ เมื่อกลางวันไม่ได้กินข้าว"

"ไม่กินข้าวทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นโรคกระเพาะเนี่ยนะ"

"ก็คิดว่าจะโอเค"

"เหมือนมึงไม่ค่อยดูแลตัวเองอ่ะ"

"รู้ได้ไง"

"ก็จริงอ่ะ เป็นแผลก็ไม่ทายา รู้ว่าต้องปวดท้องแน่ๆ แต่ก็ไม่กินข้าว ไม่รู้จักดูแลตัวเอง"

"ก็ดูแลแล้ว แต่ดูแลได้ไม่ดี"

"..."

"รอให้คนอื่นมาดูแลอยู่"

ผมหันมองคนข้างๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนเราจะก้าวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมาข้างๆ เธอไม่ทันสังเกตผม จริงๆ ก็ไม่สังเกตสิ่งรอบตัวเลยเพราะกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรบางอย่างในมือผ่านแว่นตาอันหนาเตอะ

"นุ่น"

"อ่ะ...อ้าว ภูผา"

"เดินดูทางหน่อย เดี๋ยวก็ตกท่อหรอก"

"เดินทุกวัน ชินแล้วน่า หลับตาเดินยังได้เลย"

ผมหัวเราะหน่อยๆ กับคำพูดของนุ่น ก่อนเธอจะหันไปมองนาวี อีกฝ่ายยิ้มให้เป็นเชิงทักทาย นุ่นก็ยิ้มกลับไปแล้วหันมาถามผม

"กลับบ้านเหรอ"

"อือ นุ่นอ่ะ"

"เดี๋ยวไปเรียนพิเศษต่อ"

"ขยันเนอะ"

"แม่บังคับแหละ งั้นเราไปก่อนนะ" โบกมือลาทั้งผมและนาวี ก่อนจะก้มหน้าดูหนังสือแล้วเดินต่อไป

"เพื่อนในห้องเหรอ"

"อือ หัวหน้าห้องกู โดนเลือกเพราะเพื่อนแกล้งมัน เห็นมันเรียนเก่งเลยหมั่นไส้"

"เชี่ย มีงี้ด้วย แล้วมึงเลือกกับเขาด้วยป่ะน่ะ"

"บ้าดิ ไม่ได้เลือก"

"โอ้ คนดี"

"เปล่า กูเลือกเพื่อนกู อยากแกล้งมันมากกว่า"

นาวีหัวเราะออกมาหน่อยๆ แล้วหันมองตามนุ่น

"แต่เพื่อนมึงน่ารักดีนะ"

"นุ่นอ่ะนะ"

"อือ ตัวเล็กๆ ขาวๆ"

"อะไร จะจีบเพื่อนกูเหรอ"

นาวีส่ายหน้ายิ้มๆ

"ไม่อ่ะ"

"..."

"กูไม่ได้ชอบผู้หญิง"

 

 

...

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.2] 11/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 12-11-2017 00:36:05
ติดตามค่ะ เดาไม่ออกเลยอ่าาา แล้ว3Pมั้ย นุสงสัยย  :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.2] 11/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 12-11-2017 08:11:14
เอ๊ะ ยังไงอะไรอ่ะ แต่ชอบภูผากับนาวีนะติดตามต่อไปค่ะ o13
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.2] 11/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 13-11-2017 00:22:30
พูดได้เลยว่า โคตรน่าติดตาม เหมือนจะเป็นความสัมพันธ์สีเทา :mew2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.2] 11/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-11-2017 18:38:09
ดูหน่วงๆหม่นๆ ชอบภูผาอยู่กับนาวี ธงทัพก็น่าสงสาร  :mew2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 18-11-2017 23:36:24
Episode 3

 

ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจผมเต้นแรง

เพียงเพราะมองหน้าคุณ


 

 

"ภูผา วันนี้ให้แม่ไปส่งไหม"

ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากบ้านตอนที่แม่พูดขึ้นมา ที่ทำงานของแม่กับโรงเรียนผมไปคนละทาง ผมเลยไม่ค่อยให้แม่ไปส่ง แต่วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวัน เดินไปคงไม่ทันเข้าโรงเรียนแน่ๆ เลยหันไปพยักหน้าตอบ แล้วเดินไปรอแม่ที่รถ ผมทะเลาะกับแม่บ่อยด้วยเรื่องเดิมๆ วันต่อมาเราก็มักจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ดีตรงที่เราต่างคนต่างใช้ชีวิตปกติ แต่ปัญหามันไม่เคยถูกแก้ไข มันก็ยังคงเป็นปัญหา รอวันที่จะพูดขึ้นมาเพื่อให้ทะเลาะกันอีก 

"ทำไมวันนี้ตื่นสาย เมื่อคืนมัวทำอะไร"

"ทำรายงาน"

แม่พยักหน้ารับ ไม่ได้ถามอะไรต่อ ผมเปิดประตูรถเข้าไปเห็นกองเอกสารวางอยู่เบาะข้างคนขับ มากเกินจะเก็บ แม่เลยบอกให้ผมไปนั่งข้างหลังแทน

"รถรก ไม่มีเวลาเก็บเลย ไปนั่งข้างหลังไป"

ผมเดินไปนั่งเบาะหลัง ที่สภาพไม่ได้ต่างจากเบาะหน้าเท่าไร ระหว่างทางที่แม่ขับรถออกไป เลยจับเอกสารพวกนั้นรวบใส่แฟ้ม ผมเห็นแม่ทำงานตลอดเวลา จำไม่ได้ว่าวันหยุดของแม่คือวันไหน หรือมันไม่มี เราจึงไม่เคยได้ใช้เวลาในวันหยุดไปไหน หรือทำอะไรด้วยกัน น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่สนิทกัน แม้ว่าแม่จะเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ผมมีอยู่ก็ตาม

"นี่ใกล้จะสอบแล้วใช่ไหมภู"

ผมหันมองแม่เพราะเสียงนั่น แต่ไม่ทันได้ฟังว่าแม่พูดอะไร เลยถามซ้ำ

"แม่ว่าไงนะ"

"เหม่ออะไรอยู่ แม่ถามว่าใกล้จะสอบแล้วใช่ไหม"

"อ๋อ ใช่"

"อืม รู้สึกว่าอาทิตย์หน้าทัพจะไปสอบตรงเข้ามหาลัยนะ"

"เรื่องของมันสิ"

ผมมักจะพูดอะไรออกไปตรงๆ เพราะความไม่ไตร่ตรองแล้วพูดในสิ่งที่คิดออกไปเลย จึงทำให้แม่หันมามองด้วยสายตาดุๆ แต่เรื่องนี้ ต่อให้คิดอีกที ผมก็จะพูดแบบเดิม

"ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับภู"

"พูดให้ฟัง เราจะได้ขยันเหมือนพี่เขา จะสอบเข้าคณะอะไรก็คิดเอาไว้บ้าง ม.ห้าแล้ว"

ผมไม่อยากเถียง เลยปล่อยให้แม่พูดไปคนเดียว บ่นเรื่องแย่ๆ ของผม แล้วพูดถึงเรื่องดีๆ ของไอ้ธงทัพให้ฟัง ผมได้ยินจนเบื่อแม้จะไม่อยากฟัง ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมแม่ต้องชื่นชมมันขนาดนั้นทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำตัวดีกับแม่เลย ผมคิดว่าแม่คงยอมในสิ่งที่ตัวเองเอาชนะไม่ได้ แม่จึงต้องยอมมัน

 

ระหว่างที่กำลังจอดติดไฟแดง ผมหันไปเห็นผู้ชายที่เดินอยู่บนฟุตบาท ไม่ทันได้เห็นหน้า แต่ผิวขาวกับร่างสูงที่คุ้นตาก็บ่งบอกได้ทันทีว่าเป็นใคร

"แม่ ภูลงตรงนี้นะ"

"ทำไมล่ะ"

"เจอเพื่อนอะ เดี๋ยวเดินไปพร้อมมัน"

"ก็เรียกเพื่อนไปด้วยกันสิ เดี๋ยวก็สายทั้งคู่หรอก"

ผมพยักหน้ารับ แล้วเปิดกระจกรถไปเรียกคนบนฟุตบาท

"นาวี!"

คนถูกเรียกหันมามอง คิ้วขมวดเข้าหากันตอนถูกเรียก พอหันมาเห็นผมจึงคลายออก แล้วยกมุมปากเป็นรอยยิ้มก่อนวิ่งเข้ามาหา

"ขึ้นมาสิ" แม่หันมาบอก ผมเปิดประตูรถให้ นาวีพยักหน้าหน่อยๆ แล้วก้าวขึ้นมาบนรถ ยกมือไหว้แม่ผม

"สวัสดีครับ"

ทันทีที่นาวีเข้ามานั่งข้างๆ สายตาผมเลื่อนจากใบหน้าไปมองเข่าของอีกฝ่ายก่อน เพื่อมองดูว่าแผลตรงนั้นดีขึ้นแล้วหรือยัง ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะแม่พูดขึ้นมาก่อน

"บ้านอยู่แถวนี้เหรอลูก"

"ครับ"

ผมมีเพื่อนไม่มาก ไม่กี่คนที่เคยเจอกับแม่ ไม่รู้ว่าเป็นกันทุกบ้านไหม แต่แม่จะใจดีเป็นพิเศษเวลาอยู่กับเพื่อน

"แล้วเราอยู่ห้องอะไรล่ะ"

"ห้องห้าครับ"

ผมหันขวับไปมองตอนนาวีตอบคำถามนั้น

"อ้าว ก็ห้องเดียวกับภูเลยสิ"

จะเป็นห้องเดียวกันได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งรู้จักกับเขา ไม่ใช่ว่าจะรู้จักคนในห้องไม่ครบซะหน่อย คำถามของผมปรากฏผ่านใบหน้าที่ขมวดคิ้วแน่น นาวีเลยบอกให้กระจ่าง

"ผมอยู่ม.หกครับ"

คิ้วยิ่งขมวดแน่นเข้าไปอีก

 

"ไม่บอก"

 

ผมพูดแบบไม่มีเสียง คนข้างๆ ยักไหล่ขึ้นแล้วตอบกลับมาแบบไม่มีเสียงเช่นกัน

 

"ไม่ถาม"

 

ก็จริงที่ผมไม่เคยถาม เราพูดคุยกันหลายเรื่องแต่ลืมเรื่องนี้ไป

"อยู่ม.หก แล้วรู้จักธงทัพไหม"

ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนที่แม่เอ่ยชื่อคนที่ไม่อยากได้ยินออกมาอีกแล้ว ทำไมชื่อมันต้องมาโผล่ในทุกบทสนทนาของเราด้วย   

"ธงทัพห้องหนึ่งเหรอครับ"

"ใช่ค่ะ รู้จักกันไหม"

"ไม่รู้จักครับ แต่เคยได้ยินชื่อ"

โชคดีที่แม่ขับรถมาถึงหน้าโรงเรียนก่อน เลยไม่ได้พูดอะไรต่อเรื่องไอ้ธงทัพ แต่ความสงสัยของคนข้างๆ ยังคงค้างอยู่ เลยเข้ามาถามผมตอนที่ลงมาจากรถ

"ธงทัพมันทำไมเหรอ"

"ไม่ทำไมหรอก แล้วมึงรู้จักมันได้ไง"

"ก็รู้จักแต่ชื่อ ไม่เคยคุยกัน แล้วแม่มึงรู้จักมันได้ไง"

"แม่เป็นแฟนคลับมัน"

"ฮึ?"

"ช่างมันเหอะ แล้วมึงอ่ะ ไม่เห็นบอกว่าอยู่ม.หก"

"เออ กูรุ่นพี่นะ เรียกกูพี่เลย"

"ไม่เอา"

"กูม.หกนะเว้ย"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ คนข้างๆ หน้าบูดแล้วกระแทกหมัดเข้ามาที่แขนผมแรงๆ ทีหนึ่ง

"เจ็บ"

"เรียกกูพี่ดิ"

"ไม่"

"เรียกพี่หน่อย พี่นาวี"

"แก่กว่าปีเดียวเอง"

"ปีเดียวก็เป็นพี่ได้ มึงไม่เคารพกูหน่อยหรือไง"

ผมสั่นหน้าหนี แต่อีกคนไม่ยอมง่ายๆ บังคับไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นอ้อนแทน

"ครั้งเดียว ลองเรียกหน่อยนะ พี่นาวี เรียกสิ พี่นาวี"

"เออๆ"

"..."

"พี่นาวี"

ผมพูดชื่อเรียกแบบนั้นออกไปอย่างลำบากใจ แต่ทำให้คนถูกเรียกยิ้มออกมาอย่างพอใจ

"ชอบใจมาก?"

"ชอบดิ มึงไม่ชอบเหรอ"

"ไม่อะ"

"ทำไมวะ"

"มึงอยากเป็นพี่เหรอ"

"อือ"

"แต่กูไม่อยากเป็นน้องไง"

"ฮึ?"

"แล้วนี่เข่าหายยัง" ผมเปลี่ยนเรื่อง คนข้างๆ ดูจะยังติดใจกับคำพูดเมื่อครู่อยู่ แต่ก็คล้อยเปลี่ยนเรื่องตาม

"วุ่นวายไม่เลิกนะมึงเนี่ย"

ผมก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วนั่งลงขวางทางเอาไว้ เพื่อมองดูแผลที่เข่า แผลแห้งแล้ว รอยช้ำก็หายไป เจ้าของแผลไม่ได้ขยับหนีตอนผมยกมือขึ้นจับเข่า ได้แต่พูดเบาๆ ตอนผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

"หายแล้วเหอะ"

"ก็ไม่อยากให้เป็นรอยไง"

"ไม่เป็นหรอก ทายาแล้วไง"

"อย่าให้เห็นว่าเป็นรอย กูชอบเนียนๆ"

"ชอบเข่ากูอะนะ"

"อือ หัวเข่ามึงน่ารักดี"

"จิตป่ะมึงเนี่ย!" นาวีตะโกนด่าก่อนหลุดหัวเราะออกมา ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น

"คนเขาเป็นห่วง ก็แค่รับๆ ไป"

"เป็นแบบนี้กับทุกคนไหมวะ"

"เป็นอะไร"

"เป็นห่วงเขาไปทั่วอะ"

"กับทุกคนแหละ"

"อ๋อ"

"กับทุกคนที่ชอบนะ"

"แล้วตอนนี้ชอบอยู่กี่คน"

"ก็คนเดียวนี่แหละ"

นาวีกระพริบตาสองสามที เลื่อนสายตาหนีผมที่มองอยู่ เม้มริมฝีปากแน่นก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ผมเองก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ตอนเห็นท่าทางของคนข้างๆ นาวีปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนหันมาต่อว่าผมเคืองๆ   

"มึงแย่งซีนกูอะ"

"อะไร"

"กูว่าจะจีบมึงก่อน"

"ช้า"

"โห เห็นมึงนิ่งๆ กูไม่คิดว่ามึงจะจีบใครเป็น"

"เจอคนแบบมึง ใครจะไปมัวนิ่งอยู่ล่ะ"

นาวีหลุดยิ้มออกมา แล้วยกมือตบบ่าสองสามที

"จีบให้ติดนะน้อง อย่าให้พี่ผิดหวัง" พูดแค่นั้นแล้วเดินหนีออกไปอีกทาง ผมยังมองตามอยู่ คนที่เดินออกไปหันหลังกลับมามอง เมื่อเห็นว่าผมยังยืนมองอยู่ก็รีบหันขวับแล้วก้าวเท้าเร็วๆ หนีไป เรียกอาการแบบนั้นว่าเขินได้หรือเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่เขาหรอก ผมเองที่ยืนนิ่งอยู่นี่ก็เพราะทำตัวไม่ถูกต่างหาก เขินไม่ต่างกันเลย

 

...

 

ในหนึ่งอาทิตย์จะมีหนึ่งคาบที่ต้องเข้ามาเรียนในห้องสมุด ตามหลักสูตรมันเรียกว่าวิชาส่งเสริมการอ่าน แต่ในความรู้สึกของผมมันคือคาบว่าง เราแทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากหาหนังสือมาอ่านตามอัธยาศัย หนังสือในห้องสมุดไม่มีการ์ตูนที่ผมชอบอ่าน ผมเลยเลือกบางเล่มจากหมวดศิลปะมานั่งเปิดผ่านๆ ผมชอบวาดรูป ศิลปะเคยอยู่ในตัวเลือกของการเรียนต่อที่ผมคิดไว้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว มันเป็นเพราะอคติส่วนตัวที่มีต่อไอ้ธงทัพ พอรู้ว่ามันเดินทางสายนั้น ผมจะเลือกเดินอีกทาง ผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ใกล้มันเพื่อให้พ่อมันหรือแม่ผมเปรียบเทียบผมกับมันอีก   

"ภูผา"

"ฮึ?"  ผมหันไปมอง ยุ้ย เพื่อนผู้หญิงข้างๆ ที่สะกิดเรียก

"เกิดวันอะไร"

ผมเหลือบตามองยุ้ยที่กำลังกางหนังสือพิมพ์อ่านคำทำนายดวงชะตาตามวันเกิด

"เกิดวันอะไร จันทร์ อังคาร พุธ"

"วันศุกร์" เพราะถูกถามซ้ำ พลางสายตาเค้นเอาคำตอบนั่นผมเลยบอกวันเกิดตัวเองไป แม้ไม่ได้สนใจคำทำนายอะไรนั่นแต่ก็เงียบฟังคนข้างๆ อ่านให้ฟัง

"คนเกิดวันศุกร์ การงานข้ามไป ยังเรียนอยู่ การเงินช่วงนี้ราบรื่นดีไม่มีปัญหา ความรักคนมีคู่ความรักยังมั่นคงเสมอมา คนโสดกำลังจะสมหวังในความรัก"

มุมปากผมขยับขึ้นนิดหนึ่งหลังจบประโยคนั่น

"โห ภูผายิ้ม"

"อะไร"

"ไม่ค่อยเห็นยิ้มเลย ทำไม ดวงแม่นเหรอ"

ผมพยักหน้ารับส่งๆ

"แม่นเรื่องอะไร เรื่องความรักเหรอ"

"เปล่า เรื่องงาน"

"งานอะไรล่ะ นี่ไม่ได้อ่านเรื่องงานเลย"

"อ้าวเหรอ..."

"มีความรักชัวร์!"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธแต่รอยยิ้มมันดันหุบไม่ลง เป็นความพิรุธที่แสดงออกมาชัดเพราะปกติผมยิ้มไม่บ่อยหรอก หนึ่งในความสามารถของผมคือการเปลี่ยนเรื่อง เลยชี้ไปมั่วๆ ที่หน้าแรกของหนังสือพิมพ์

"อ่านข่าวไปเลยไป"

ยุ้ยยักไหล่หน่อยๆ ก่อนพับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างๆ ผม ตอนนั้นเลยหันไปเห็นหัวข้อข่าวตัวใหญ่ที่หน้าแรก คนที่สนใจข่าวนั้นกลับเป็นผม เลยหยิบหนังสือพิมพ์นั่นมาอ่าน

 

"คืนวันที่ 7 นี้ ชวนดูฝนดาวตก คาด 100 ดวงต่อชั่วโมง"


 

จำไม่ได้เลยว่าเห็นดาวตกครั้งสุดท้ายเมื่อไร ผมจำวันที่บนหัวข้อข่าวเข้าไปในหัว เมื่อถึงวันนั้นหวังว่าตัวเองจะไม่ลืมออกไปยืนมองฟ้าเพื่อดูมัน   

"หมดเวลาแล้ว ไปกินข้าวกัน"

ผมพยักหน้ารับ เดินเอาหนังสือศิลปะไปเก็บที่ชั้น แล้วเดินตามเพื่อนออกมาข้างนอก จากตึกห้องสมุดไปโรงอาหารต้องผ่านสนามบาส สายตามันเลยกวาดหาคนบางคนอย่างห้ามไม่ได้ ไม่ทันจะมองครบสนาม เพื่อนข้างๆ ก็เข้ามาเรียก

"ไปฉี่แป๊บ ไปไหมมึงอะ"

ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินตามมันไปเข้าห้องน้ำ เท้ากลับชะงักตั้งแต่หน้าประตูเมื่อเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ในนั้น นักเรียนชายประมาณสี่ห้าคนยืนสูบบุรี่ควันลอยฟุ้งเต็มห้องน้ำ เพื่อนผมเดินเข้าไปก่อนแต่ผมลังเล จริงๆ ผมเองก็เห็นอยู่บ่อยกับกลุ่มนักเรียนที่มาแอบสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำหลังตึก แต่ที่ไม่ก้าวตามเพื่อนไปเพราะหนึ่งในนั้นมันดันเป็นไอ้ธงทัพ มันเองก็หันมาเห็นผมพอดี ยกมือดึงบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออก หันหลังไปพ่นควันบุหรี่ แล้วเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหาผมก่อน 

"อย่าเสือกไปบอกพ่อกูล่ะ"

ผมอยากให้แม่เห็นจริงๆ ว่าเด็กดีของแม่เวลาอยู่ลับหลังพ่อแม่มันเป็นยังไง แต่ไม่อยากยุ่งเรื่องของมันเลยสวนกลับไป

"ไม่เคยสนเรื่องของมึงอยู่แล้ว"

ผมพูดแค่นั้นแล้วถอยออกมารอเพื่อนที่หน้าประตู ก่อนได้ยินเสียงพูดคุยจากข้างในแต่ไม่ได้จับใจความ ไม่นานเพื่อนผมก็เดินออกมา เพื่อนผมรู้ดีอยู่แล้วเรื่องผมกับไอ้ธงทัพ พวกมันรู้ว่าผมไม่ชอบเลยไม่เคยพูดถึงหรือถามอะไรเกี่ยวกับไอ้นั่นอีกเลย

ผมเดินตามเพื่อนไปโรงอาหาร เพราะมัวคิดในใจเรื่องไอ้ธงทัพอยู่ก็เลยไม่ได้หันมองไปที่สนามบาส กระทั่งคนที่อยู่ในสนามเป็นฝ่ายตะโกนเรียกผม

"ภูผา!"

"เฮ้ย!"

ลูกบาสในมือนาวีถูกเหวี่ยงเต็มแรงเข้ามาหา ผมจึงยกมือรับโดยอัตโนมัติ ลูกบาสกระทบมือเสียงดังลั่นเล่นเอาเจ็บ ผมหันไปบอกให้เพื่อนเดินไปก่อน ตอนที่นาวีเดินเข้ามาหา เลื่อนสายตามองคนที่เดินเข้ามาหัวจรดเท้า เวลาอยู่ในสนามบาสจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืด แต่กางเกงนักเรียนตัวเดิม วันนี้ตัวก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่ออีกแล้ว

"โยนกลับไปดิ" นาวีว่าแล้วชี้มาที่ลูกบาสในมือผม ผมที่ยืนอยู่ขอบสนาม หันมองแป้นบาสที่อยู่ไกลออกไป เล็งตรงนั้นแล้วกระโดดขึ้นสูง ออกแรงโยนบาสในมือก่อนมันจะลอยเข้าห่วงไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมก็งงกับการกระทำของตัวเองถึงกับชะงักไปนิดหนึ่ง หันมองนาวีที่เบิกตาขึ้นหน่อยๆ  แล้วเขยิบเข้ามากระตุกแขนผม

"มึงมาเข้าทีมบาสเหอะ!"

"ไม่เอา"

"มันไม่ฟลุคแล้วแบบนี้อะ นี่มันมืออาชีพ"

"เวอร์"

"กีฬาสีมึงอยู่สีไหนเนี่ย สีเดียวกับกูป่ะ"

"ไม่รู้ว่ะ มันไม่ซ้ำกันสักปีอะ"

"อย่าให้รู้นะว่าไปเข้าทีมตรงข้ามมาแข่งกับกูอะ กูจะปาลูกบาสใส่หน้ามึงเลยจริงๆ"

"กลัว"

"กูพูดจริงนะเว้ย!"

"เออ ไม่แข่งหรอก ขี้เกียจวิ่ง แล้วนี่กินข้าวยัง" ผมถนัดเปลี่ยนเรื่อง เลยถามถึงข้าวกลางวันแทนเรื่องบาส

"ยัง"

"ไปกินข้าวดิ รออะไร"

"เดี๋ยวเล่นเสร็จก็ไปไง"

"ทำไมไม่กินก่อน"

"กินข้าวแล้วมาวิ่งก็อ้วกแตกดิวะ"

"ไม่กินเดี๋ยวก็ปวดท้องอีกอะ ไม่เข็ดเหรอ เจ็บไม่จำ"

"มึงมาบ่นอะไรกูเนี่ย"

"มึงบอกว่าอยากได้คนดูแลไม่ใช่เหรอ"

"มึงจะเป็น?"

"ถ้ามึงไม่ว่า"

นาวีเหลือบตามองไปทางซ้าย กลอกกลับมาทางขวา แล้วหันมองตรงเพื่อสบกันกับตาผม ก่อนพูดบางประโยคออกมาไม่เต็มเสียง

"จะไปว่าอะไรได้"

นาวียิ้มอย่างไม่กลั้น ผมก็เขินแต่เนียนทำหน้าตายแล้วไล่ไปกินข้าวอีกที

"ไปกินข้าวดิ"

"เออ ไปแล้ว"

นาวีพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินกลับไป สองสามก้าวก็หันกลับมาเรียกผมไว้อีกที

"ภูผา"

"ฮึ?"

"พรุ่งนี้มาเตือนอีกนะ"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ แล้วตอบรับอย่างล้อเล่น 

"ครับพี่นาวี"

"หูย น่ารักสัด!"

นาวีชี้นิ้วใส่หน้าขยิบตาข้างหนึ่งแล้ววิ่งกลับเข้าไปในสนาม ผมอยากจะสวนคำเดียวกันกลับไป แต่เก็บเอาไว้ในใจแล้วเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มแทน ผมว่าคำนั้นมันเหมาะกับเขามากกว่า

 

น่ารัก...

 

...

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ผมรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว ตลอดอาทิตย์ที่ชีวิตในโรงเรียนของผมมันเปลี่ยนไป ไม่ได้เฉื่อยชารอเวลาเรียนให้หมดไปเหมือนที่ผ่านมา พักกลางวันก็ยังคงเป็นชั่วโมงโปรดที่ชอบที่สุด ผมหาเรื่องเดินผ่านสนามบาสทุกๆ วันเพื่อให้มั่นใจว่านาวีไปกินข้าวแล้ว ผมยังไม่เคยได้นั่งกินข้าวกลางวันกับนาวีสักมื้อเลย แต่เราเจอกันทุกวันตอนเย็น ผมไม่ได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปอยู่ที่ร้านเกม แต่มานั่งรอนาวีที่สนามบาสแทน ก่อนเดินกลับบ้านพร้อมกัน ช่วงนี้ใกล้กีฬาสีแล้วนักกีฬาอย่างเขาก็ต้องซ้อมหนักกว่าปกติ ตอนวิ่งอยู่ในสนามไม่เห็นรู้จักเหนื่อย แต่พอเลิกซ้อมที่ไรแทบจะให้ผมลากกลับบ้านทุกทีเพราะหมดแรงจะเดิน

"ขี้เกียจเดิน ขอขี่คอได้ป่ะ"

"คอหักดิ"

"มึงก็เวอร์!"

"ทำไมไม่เกิดมาตัวเล็กๆ ล่ะ"

"แล้วทำไมมึงไม่เกิดมาตัวใหญ่กว่านี้ล่ะ กูสูงกว่ามึงอีกมั้งเนี่ย" นาวีพูดแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ ยกมือทาบความสูงของผมกับเขาที่พอๆ กัน แต่ถ้าวัดกันตามเซนติเมตรจริงๆ เขาคงสูงกว่าผม

"กูยังโตไม่เต็มวัยไง"

"อ๋อเหรอ งั้นโตเร็วๆ น้า" นาวีแกล้งพูดหยอก ยกมือเคาะหัวผมเล่น ก่อนเสียงมือถือในกระเป๋าของเขาจะดังขึ้น จึงหยิบออกมารับ

"ครับแม่ ภูผาเหรอ อยู่ด้วยกันเนี่ย"

ผมหันมองเมื่อได้ยินชื่อตัวเองจากปากเขา

"ภูผา แม่ชวนกินข้าวเย็น ตกลงครับแม่"

"ฮึ?" ผมร้องออกมาหลังจากนาวีตอบตกลงแม่ไป โดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เขาพูดกับแม่อีกสองสามประโยคแล้วกดวางสายไป

"ไปตกลงตอนไหนเนี่ย"

"ไปเหอะ แม่กูซื้อกุ้งมาครึ่งอ่าว กินมาสองวันแล้ว มึงไปช่วยกินหน่อย จะได้หมดๆ ไปสักที"

ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้อยากขัดใจนาวี แล้วกับข้าวบ้านเขาก็ดันอร่อยจนไม่อยากปฏิเสธด้วย จึงเดินตามเขาไป ก่อนถึงบ้าน นาวีชวนแวะร้านค้าหน้าปากซอย เขาเดินเข้าไปเลือกซื้อขนม ผมกำลังจะเดินตามแต่ได้ยินเสียงทีวีที่เจ้าของร้านเปิดเลยหันไปให้ความสนใจกับมันก่อน

 

"ทางด้านนักดาราศาสตร์ออกมาชี้ว่าปรากฏการณ์ฝนดาวตกคืนนี้ เฉลี่ยหนึ่งร้อยดวงต่อชั่วโมงเลยทีเดียว..."

 

ผมเลื่อนสายตามองปฏิทินที่ผนังร้าน วันที่จากหัวข้อข่าวที่คิดว่าจะไม่ลืม สุดท้ายไม่ได้นึกถึงมันเลย นาวีเลือกซื้อขนมเสร็จแล้วเดินมาหาผมที่ยืนดูข่าวอยู่

"มีดาวตกเหรอ เมื่อไรอะ"

"คืนนี้"

"จริงดิ น่าดูว่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นเลย"

"ไม่เคยเลยเหรอ"

"มันชอบตกดึกๆ ไง กูนอนก่อนทุกทีอะ"

"คืนนี้อยู่ดูกันไหม พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องตื่นเช้า"

"เอาดิ บ้านกูมีดาดฟ้า เดี๋ยวขึ้นไปดูบนนั้นกัน"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนนาวีจะจ่ายเงินค่าขนมแล้วเดินตรงไปบ้าน ไม่ทันจะก้าวเข้าประตูบ้านผมก็ได้กลิ่นอาหารหอมมาไปถึงหน้าบ้าน เข้ามาก็เห็นอาหารหลายอย่างที่ใช้กุ้งเป็นวัตถุดิบหลัก มากจนข้างๆ หันมาแซวแม่ตัวเองให้ผมฟัง

"แม่กูจัดโต๊ะจีนมั้งนั่น"

"อ้าว มากันแล้วเหรอ เข้ามาเลย"  ผมยกมือไหว้ทั้งพ่อและแม่ของนาวี ในหนึ่งอาทิตย์นี้ผมแวะมาที่นี่เป็นครั้งที่สาม บางทีแวะมาส่งนาวีที่หน้าบ้านก็โดนลากเข้ามากินข้าว ตอนที่พ่อแม่นาวีรู้ว่าผมต้องหาข้าวเย็นกินเองเพราะแม่กลับบ้านช้า ท่านก็ชวนผมมากินข้าวด้วย แต่ผมเกรงใจเลยไม่ได้อยู่กินทุกวัน

"นาวี ไปหยิบจานมา"

"โห่ มาถึงก็โดนใช้เลย"

"มีลูกคนเดียว ไม่ให้ใช้ลูกจะใช้ใคร"

"ใช้ภูผาดิ"

"อย่ามาโยนให้เพื่อน ไปหยิบมา"

นาวีหันมามองตาขวางใส่ผมก่อนเดินไปหยิบจานให้แม่ ผมยืนมองอาหารบนโต๊ะที่มากมาย แทบจะมากเกินไปสำหรับกินกันแค่สี่คน ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ห่างจากทะเลไม่กี่กิโลฯ แต่ผมกลับไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล แม่ไม่เคยทำให้กินด้วยซ้ำ

"ภูผา ไปล้างมือก่อนลูก"

"ครับ"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปล้างมือ นาวีที่ล้างเสร็จก่อนสะบัดน้ำใส่หน้าผม

"แกล้งว่ะ"

"หมั่นไส้ แม่หลงมึง"

"กูน่ารักไง"

"อันนี้ไม่เถียง"

"เอ้า"

"อึ้ย! น่ารัก!" นาวีว่าแล้วยกมือหยิกคางผมเบาๆ ผมดึงหน้าหนีแต่กลั้นยิ้มไม่อยู่ ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็ก ทั้งที่อายุห่างกันแค่ปีเดียว สงสัยอยากแก่มากมั้ง

"นาวี ไปหยิบน้ำมา"

"โห่แม่ ภูผามันยืนอยู่ใกล้ตู้เย็นกว่าอีก ทำไมไม่ใช้มัน!"

"เรานั่นแหละ ไปหยิบมา"

นาวีถอนหายใจยาวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำกับแก้วหลังตู้เย็น มาวางบนโต๊ะอาหาร นั่งลงข้างๆ ผมแล้วสะกิดเรียกพ่อ

"พ่อ ผมอยากมีน้อง"

"มีน้อง?"

"อือ แม่จะได้ใช้งานมันแทนไง ขอน้องให้ผมคนหนึ่งดิ"

"อันนี้ต้องไปขอแม่"

"ไม่เอาแล้ว! คนเดียวก็จะแย่ละ"

"โห่ ก็อยากมีน้องอะ"

"ไม่ต้องเลย กินได้แล้ว ภูผากินเยอะๆ นะลูก"

แม่นาวีดูแลผมดีกระทั่งแกะเปลือกกุ้งให้ แม้ผมบอกจะทำเอง ขณะที่นาวีก็มีพ่อที่คอยทำให้เหมือนกัน ในระหว่างการพูดคุยของคนในครอบครัวนาวี ผมไม่ค่อยมีบทพูดใดเหนือไปจากการนั่งฟังเฉยๆ แต่ในทุกๆ บทสนทนาของพวกเขา ก็ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วยได้ตลอด

"ใกล้จะกีฬาสีแล้วใช่ไหมเนี่ย"

"เดือนหน้าแล้ว ตอนนี้ซ้อมหนักโคตร รองเท้าพังหมดแล้วอะ พ่อซื้อรองเท้าใหม่ให้หน่อยดิ"

"เพิ่งซื้อไปนี่"

"ก็มันพังแล้วไง ซื้อให้ใหม่หน่อยนะ นะๆ"

"เทอมนี้สอบได้ที่หนึ่งสิ เดี๋ยวพ่อซื้อให้"

"โห่ ไม่อยากซื้อก็บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า"

"นี่ เราน่ะมัวเล่นแต่บาส อย่าลืมเรื่องสอบเข้ามหาลัยด้วยล่ะ"

"ไม่เรียนต่อได้ป่ะ"

"ไม่เรียนแล้วจะทำอะไรกิน"

"เกาะพ่อกินไง พ่อตายมรดกก็เป็นของผมคนเดียวอยู่ดี"

"ลูกชั่ว!"

เราทั้งหมดหัวเราะออกมาพร้อมกันกับการหยอกล้อรุนแรงไปหน่อยของนาวี 

"แล้วภูผาล่ะ จะเรียนต่อคณะอะไร"

"ยังไม่ได้คิดเลยครับ"

"มันเพิ่งม.ห้าเองแม่ มีเวลาคิดอีกเป็นปี"

"อ้าว นึกว่าอายุเท่ากันซะอีก"

"เป็นรุ่นน้องครับ" ผมพูดออกไป เรียกว่าไม่เต็มปากนัก คนเป็นพี่ก็ได้ทียื่นมือมาเคาะหัวอย่างล้อเล่น

"ไหน เรียกพี่สิลูก"

"พี่นาวี เอามือออกไปจากหัวกู" ผมกัดฟันพูด อีกฝ่ายเลยใช้มือที่ลูบหัวอยู่ตบเข้ามาเบาๆ

"นี่ไง ภูผาอ่อนกว่านาวีปีใช่ไหม ก็เป็นน้องให้วีมันหน่อย อยากมีน้องมากนักนี่"

ผมพยักหน้ารับ นาวีหลุดหัวเราะออกมาแล้วหรี่ตามองผม ก่อนยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง

"ให้มันเป็นน้อง มันไม่ยอมหรอก"

"..."

"มันจะเอามากกว่านั้น"

ผมตอบกลับด้วยการยักคิ้ว ในความชัดเจนของผมนาวีรู้ดีอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แค่เห็นก็ชอบเลยคงจะเป็นคำพูดที่ดูมากเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ผมไม่ลังเลที่จะเดินหน้าเข้าหาเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมั่นใจมากขึ้นตอนที่เขาเองก็เดินสวนกลับมาเพื่อให้เราใกล้กันมากกว่าเดิม 

 

ผมใช้เวลาอยู่ที่บ้านนาวีจนถึงดึก หอบผ้าห่มกับหมอนขึ้นมานอนอยู่บนดาดฟ้า ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นดาวได้ชัดถนัดตา อากาศชื้นในช่วงปลายฤดูฝนเย็นกำลังดี แต่คงหนาวไปสำหรับคนข้างๆ ถึงได้ม้วนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา หน้าตาดูออกได้ไม่ยากว่าเริ่มง่วงนอนแล้ว

"ง่วงแล้วเหรอ"

"อือ จะตกไหมดาวเนี่ย จะหลับก่อนแล้ว"

"นอนไปก่อนดิ เดี๋ยวตกแล้วเรียก"

"ไม่เอาอ่ะ ชวนคุยหน่อยดิ จะได้ไม่หลับ"

"กูคุยไม่เก่ง มึงก็รู้"

นาวีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วหันนอนตะแคงมองหน้าผม เพราะถูกมองโดยไม่พูด ผมก็เลยทำตัวไม่ถูก ขยับตัวไปนอนท่าเดียวกับเขาเพื่อมองหน้าคนข้างๆ กลับ

"ภูผา มึงไปอยู่ไหนมาวะ"

"ฮึ?"

"สงสัยคนในโรงเรียนมันเยอะเกินไป กูเลยไม่เคยเจอมึง ไม่งั้นคงได้รู้จักกันเร็วกว่านี้"

"ก็รู้จักแล้วนี่ไง"

นาวียิ้มให้ผมทีหนึ่งแล้วยกมือบีบแก้มผม

"น่ารักจังเลยมึงเนี่ย"

ผมไม่ตอบได้แต่ยิ้มกลับไป แม้จะอยากแย้งว่าเขาไม่ควรชมผมแบบนั้น ผมไม่เคยมองหน้าตัวเองแล้วเจอคำว่าน่ารัก แต่ถ้าในสายตาเขามันจะเป็นแบบนั้นก็ปล่อยเขาไป

"โอ๊ะ! ดาวตก!"

ผมหันขวับไปมองตามนิ้วนาวีที่ชี้ขึ้นฟ้า พลาดเห็นดาวดวงที่นาวีบอก แต่อีกดวงก็ตกตามมาในแทบจะทันที ดวงตาของคนข้างๆ ประกายกว่าดาวบนฟ้า ดูตื่นตากับสิ่งที่ไม่เคยเห็น

"เขาบอกว่าต้องอธิษฐานด้วยใช่ไหม"

"อือ"

นาวีกวาดตามองไปบนท้องฟ้าอีกที เมื่อดาวอีกดวงหล่นลงจากฟ้า เขาก็หลับตาลงขอพรในใจ มุมปากยกขึ้นยิ้มตอนหันมามองผม

"มันตกตั้งหลายดวง ขอหลายๆ ทีได้ไหมอะ"

"จะขออะไรเยอะแยะล่ะ"

"มึงได้ขอไหม"

"ไม่อะ"

"ไม่มีอะไรอยากขอเหรอ"

"ไม่มี"

"ไม่ขอให้จีบกูติดเหรอ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ

"เรื่องแบบนั้นไม่ต้องขอพรหรอก เดี๋ยวทำเอง"

"มั่นใจเนอะ เซียนเหรอ"

"เซียนอะไรล่ะ"

"จีบคนมาเยอะเหรอ"

"ไม่เคย"

"..."

"มึงคนแรกเลย"

นาวีฟุบหน้าลงบนหมอนแล้วเงยขึ้นมายิ้มให้

"เขินเหรอ"

"เขินดิ กูไม่ใช่หินอย่างมึงจะได้ทำเป็นนิ่งอยู่ได้"

"เห็นหน้านิ่งนี่ใจสั่นนะ"

"จริงป่ะ" นาวีเลิกคิ้วถามแล้วเขยิบเข้ามาวางมือลงบนอกผม เขาคงรับรู้ได้ว่าใจมันเต้นตึกตักจนผิดจังหวะ เพียงแต่ผมห่วยเรื่องการแสดงออก เลยทำได้แค่ยิ้มอย่างเดียว

"แล้วเมื่อกี้มึงขออะไร"

"กูเหรอ"

นาวียิ้มออกมาอีกที ก่อนหันกลับไปนอนหงายแหงนหน้ามองฟ้า พูดความปรารถนาของตัวเองออกมาพร้อมกับดวงดาวที่ตกลงมาอีกครั้งในจังหวะเดียวกัน

.

.

.

"ขอเรียกมึงว่าแฟนเลยได้ป่ะ"


 

...

 

To be continued.

 



ตกลงใครจีบใครกันแน่เนี่ยยย งงไปหม้ดดด
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 19-11-2017 02:12:12
เป็นเรื่องที่น่ารักมาก อยากเกาะขอบบ้าน จะได้ฟินชัดๆ
ชอบความเรื่อยๆของเรื่องราว ที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มี
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: ป้ากิ่งkingkarn ที่ 19-11-2017 05:38:48
แล้วปัจจุบันนาวีไปอยู่ไหนคะ
นี่มโนไปไกลถึงดาวอังคารแล้ว :monkeysad:
คือชอบความจีบกันน่ารักๆของทั้งสองคนมากๆ o13
แต่เหมือนตอนนี้ภูเป็นเมียเฉพาะสุดสัปดาห์ของทัพอยู่ :hao5:
แอบกลัวๆกับคำว่าไม่ดราม่าของคนแต่ง
เพราะในหัวนี่ม่าไปเป็นลังๆแล้วอ่าค่ะ
ทัพคงไม่ได้เป็นคนเข้ามาทำลายรักของทั้งคู่เพราะเพื่อแก้แค้นแม่ภูใช่ไหม
แอบหวังให้เป็นเพราะหึง แบบรักแต่ไม่รู้ตัวถ้าเป็นไปตามที่เดาไว้น่ะนะ
แต่ถ้ารักทำไมป่านนี้ก็ยังหลบๆซ่อนๆอยู่อ่า
ไม่มั่วเดาแล้วดีกว่า :mew2:
รออ่านต่ออยู่นะคะ
ขอบคุณค่า :กอด1: :pig4:

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 19-11-2017 07:25:57
ชอบเรื่องนี้มากกกกยิ้มแก้มแตกแล้วนี่
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-11-2017 23:19:06
อ่านสองสามตอนมานี้เหมือนจะแนวรักใสๆแบบบูรพาองศาเหนือนะ แต่มันติดตรงชื่อเรื่องนี่แหละตัวหลักสามคนจะดราม่าไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 23-11-2017 00:17:00
ดราม่าแน่ๆ นาวีอย่าไปรู้จักกับธงทัพนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-11-2017 14:04:21
งือออออ นาวีน่ารักโคตรรร เอ็นดูเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 24-11-2017 14:39:08
โอียยตายแล้วๆๆๆๆ   


นี่มาหลอกให้ยิ้มหน้าบานก่อน จะเชือดหนักๆเลือดพุ่งกระชูดเลยหรือเปล่าคะ


เสียวๆตั้งแต่ชื่อเรื่อง พอมาอ่านบทเปรย ก็ยิ่งกลัว


ไม่กลัว 3P แต่กลัวดาม่าคร่าาาา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 25-11-2017 23:22:09
Episode 4

 

เชื่อในตัวผม

อย่างที่ผมเชื่อในตัวคุณ


 
 

"ปรี๊ด!!"

 

เสียงนกหวีดจากกรรมการกลางสนามเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเกมกีฬา ดังตามมาด้วยเสียงร้องจากกองเชียร์ข้างสนาม งานกีฬาสีมาถึงแล้ว ปีนี้ผมอยู่สีแดง สีเดียวกับนาวี เขามีหน้าที่เป็นนักกีฬา ส่วนผมปฏิเสธที่จะลงแข่งอะไร นักเรียนม.ห้าต้องรับผิดชอบเป็นสต๊าฟในงานด้วย ผมเลยอยู่ช่วยเพื่อนทำอะไรอยู่ข้างสนามดีกว่า นุ่นที่เป็นทั้งหัวหน้าห้องและประธานสี แบ่งหน้าที่ให้ผมกับกลุ่มเพื่อนมาอยู่ประจำที่สนามบาสพอดี ผมเลยไม่พลาดที่จะได้ดูนาวีแข่งเลยสักนัด

นาวีเป็นคนขี้เล่น บางครั้งก็ค่อนเอียงไปทางติ๊งต๊อง แต่เวลาอยู่ในสนามแข่งไม่ใช่แบบนั้นเลย จริงจังสมเป็นนักกีฬาโรงเรียน ไม่รู้ว่าเพราะสูงกว่าคนอื่น ขาวกว่าคนอื่น ก็เลยดูโดดเด่นที่สุดในสนาม หรือเพราะว่าคนๆ นั้นคือนาวี สายตาผมมันก็เลยจับอยู่ที่เขาคนเดียวโดยไม่ได้สนใจคนอื่นเลย ไม่แม้แต่จะละสายตาจากเขาเพื่อหันมองแต้มคะแนนข้างสนามด้วยซ้ำ ผมไม่รู้เรื่องกีฬา เลยไม่รู้ว่าตำแหน่งของนาวีในสนามเรียกว่าอะไร เขาอาจไม่ใช่คนที่ทำคะแนนให้ทีมเป็นหลัก แต่ก็ป้องกันการชู๊ตลงห่วงของฝ่ายตรงข้ามด้วยการบล็อกบอลที่รวดเร็ว และรีบาวน์บอลให้ทีมกลับมาเป็นฝ่ายรุก และในทุกๆ โอกาสที่นาวีเป็นคนทำแต้มได้ เสียงเชียร์นอกสนามก็จะดังกว่าปกติ

"กรี๊ด! พี่นาวี!"

"พี่นาวี สู้ๆ!"

ไม่ใช่คนที่ทำคะแนนให้ทีมได้บ่อยๆ แต่คะแนนความนิยมนอกสนามนี่เยอะเชียว ผมหันมอง ยุ้ย ที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าของเสียงตะโกนเมื่อครู่ ที่ตอนนี้ยังแสดงออกความปลาบปลื้มคนในสนามด้วยการส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด

"พี่นาวีสู้ๆ! พี่นาวีสู้ตาย! พี่นาวีโคตรหล่อเลยอะ!"

ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่ม ไม่รู้จะช่วยได้ไหม แค่อยากดับไฟในใจน่ะ

"พี่นาวีผัวกู!"

"แค่ก!"

น้ำที่ยกขึ้นดื่มถูกพ่นออกมาตอนที่สำลัก ยุ้ยหันมองแล้วยกมือตบหลังให้

"เป็นอะไรภูผา โอเคไหม"

"ไม่เป็นไร" ผมตอบแล้วยกมือเช็ดน้ำที่ไหลเลอะคาง

"ค่อยๆ กินสิ"

ผมพยักหน้ารับหน่อยๆ ก่อนยุ้ยจะกลับไปเชียร์เกมในสนามต่อ ตราบใดที่ผมยังนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ผมก็ยังต้องนั่งฟังคำชื่นชมนาวีจากปากพวกเธอไปเรื่อยๆ 

"พี่นาวีขา!"

"พี่นาวีของยุ้ย!"

 

ไม่ใช่! นาวีของภูผาเว้ย!

 

"ภูผา"

ผมหันไปมองนุ่นที่เข้ามาสะกิดเรียก

"ไปช่วยยกถังน้ำแข็งหน่อยได้ไหม"

ผมพยักหน้ารับแล้วลุกตามนุ่นไป ไปใช้แรงงานดีกว่านั่งเคืองอยู่ตรงนี้แน่นอน ผมเดินตามนุ่นออกมานอกโรงยิม มีถังน้ำแข็ง แพ็คน้ำเปล่าและเครื่องดื่มของนักกีฬาวางรออยู่ แค่ผมกับนุ่นคงยกไปไม่หมดในครั้งเดียวแน่นอน กลุ่มเพื่อนของผมก็ดันหนีออกไปหาอะไรกินตอนนี้พอดีเลยไม่ได้เรียกมาช่วย

"เพื่อนคนอื่นหายไปไหนหมดอะ" ผมหันไปถาม

"ก็แยกๆ กันไปดูกีฬาอะ เราหาใครไม่เจอเลย รบกวนภูผาอีกแล้ว"

"เฮ้ย ไม่เป็นไร ถือนี่ไปดิ" ผมยกแพ็คน้ำดื่มให้นุ่นถือ สิบสองขวดดูมากไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนุ่น

"เอามาอีกแพ็คก็ได้"

"พอแล้ว เดี๋ยวก็แขนหักหรอก"

"เราแข็งแรงกว่าที่ภูคิดเหอะ เอามาเหอะน่า"

"แน่ใจนะ"

นุ่นพยักหน้ารับ ผมเลยยกน้ำอีกแพ็คซ้อนขึ้นไป คนตัวเล็กตัวเซไปนิดหนึ่งจนผมต้องรีบยกแพ็คนั้นขึ้นมาก่อน

"ไม่ไหวก็บอกไม่ไหวดิ"

"เฮ้ย เราไหว"

"เดินไปเลยไป เดี๋ยวถือเอง" ผมเอาน้ำสองแพ็ควางซ้อนบนถังน้ำแข็งแล้วยกมันขึ้น หนักกว่าที่คิดเลยรีบก้าวเท้าเดินเข้าโรงยิมให้ไวที่สุด นุ่นเดินอยู่ข้างๆ คอยมองแพ็คน้ำบนถัง คงกลัวว่ามันจะตก ผมเหลือบตามองคนข้างๆ ปกตินุ่นมีผิวขาว แต่วันนี้หน้าแดงเหมือนโดนแดดเผา เดาว่าวันทั้งวันคงวิ่งตากแดดไปทั่วโรงเรียน

"นุ่น วันนี้ได้พักบ้างยัง"

"ก็พักกินข้าวกลางวันแล้ว"

"วันหลังอย่าทำอะไรคนเดียวดิ ไม่มีเพื่อนหรือไง"

"เราดูเหมือนคนมีเพื่อนเยอะเหรอ"

"จะให้ช่วยทำอะไรก็บอก"

นุ่นพยักหน้ารับ แล้วยกไหล่เช็ดเหงื่อที่ไหลจากหน้าผาก แต่เพราะมือที่ถือแพ็คน้ำอยู่เลยทำไม่ถนัด อีกนิดเหงื่อนั่นคงจะไหลเข้าตา

"ภูผา ยืมไหล่หน่อยได้ไหม"

"ฮะ?"

"ยืมไหล่เช็ดเหงื่อหน่อย"

"อ๋อ เอาดิ"

สิ้นคำอนุญาตผมนุ่นก็ซบหน้ามาที่ไหล่ เช็ดเหงื่อนั่นออกจากหน้าผาก แล้วรีบโยกหัวตัวเองกลับไปอยู่ที่เดิม ก่อนเราจะเดินมาถึงข้างสนามบาสพอดี เป็นช่วงพักครึ่งนักกีฬาเลยมารวมกันอยู่ข้างสนาม ผมหันไปมองนาวีที่หันมามองผมเช่นกัน ผมเดินเอาถังน้ำแข็งกับเครื่องดื่มไปวางข้างสนาม หยิบน้ำเปล่าส่งให้ อีกฝ่ายรับไปแต่กลับมองตาขวางใส่

 

"อะไร"

 

ผมถามแบบไม่มีเสียง นาวีกรอกน้ำเข้าปากอึกใหญ่ มองรอบๆ ว่าไม่มีใครสนใจเราจึงก้าวเท้าเข้ามาหาผม

"เมื่อกี้ทำอะไรอะ"

"ทำอะไร"

"ทำแบบเนี้ยๆๆๆ" นาวีพูดซ้ำๆ แล้วก้มหัวดันไหล่ผม เลยนึกไปถึงที่นุ่นทำกับผมเมื่อกี้ คงจะเห็นเข้าพอดี 

"ให้เพื่อนเช็ดเหงื่อเฉยๆ"

"เช็ดเหงื่ออะไรท่านั้นอะ"

"แล้วโกรธอะไรอะ"

นาวีหันขวับมามอง แล้วโน้มหน้าเข้ามากัดฟันพูดเบาๆ ข้างหู 

"กูไม่ได้โกรธ กูหึง" 

"กูหึงกว่าอีก"

"ทำไม กูทำอะไร"

"มึงไม่ได้ยินเสียงเชียร์ข้างสนามเหรอ มีผู้หญิงอยากเป็นเมียมึงครึ่งโรงเรียนแล้วมั้ง"

นาวีเม้มปากกลั้นยิ้มแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปบนแสตน แค่เขาฉีกยิ้มกว้างทักทายกองเชียร์บนนั้น เสียงโห่ร้องก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง 

"กรี๊ด! พี่นาวี!"

คนตรงหน้าผมยิ้มนิดๆ ดูเคอะเขิน ก่อนรีบหุบยิ้มตอนหันมามองหน้าผม ที่กำลังมองเขาตาขวางในแบบที่เขาทำกับผมทีแรก

"ไม่ใช่ความผิดพี่นะ คนมันฮอตมันช่วยไม่ได้"

"เออ เชิญพี่ฮอตต่อไปเลย ไปละ!"

"หูย งอน!" นาวีว่าแล้วยกมือหยิกแก้มผมแบบที่ชอบทำ การกระทำแบบนั้นของผู้ชายของสองคนคงแปลกสำหรับคนอื่น สายตาจากเพื่อนร่วมทีมเขารวมถึงนุ่นที่มองอยู่เลยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ นาวีก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันเลยชักมือกลับไป

"ไปนะ" ผมหันไปบอก นาวีจะพยักหน้ารับ ผมที่ก้าวขาออกมาแล้วหันกลับไป เห็นเขาที่ยังมองผมอยู่ เลยพูดออกไปแบบไม่มีเสียงกับคำที่ลืมบอก 

 

"สู้ๆ นะ"

 

...

 

เพื่อนผมกลับมาจากการหาอะไรกินแล้วก็เลยมีคนช่วยนุ่นยกน้ำไปส่งทุกสนาม หลังจากว่างแล้วผมก็กลับมานั่งดูนาวีแข่งบาสต่อ สายตาผมก็ยังคงเลื่อนมองตามคนที่เคลื่อนที่อยู่ในสนามอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เกือบจะจบเกมแล้วคะแนนของทั้งสองทีมยังคงสูสีกัน เกมช่วงหลังเลยดูจะน่าตื่นเต้นขึ้นเพราะทั้งสองฝ่ายก็ต่างเร่งทำคะแนน เสียงเชียร์ข้างสนามก็ดังไม่ขาดสาย กองเชียร์สีแดงได้เปรียบตรงที่คนเยอะกว่า เสียงเลยดังกว่า เสียงรัวกลองก็พาให้ใจระทึกกับเกมไปด้วย

"สีแดงสู้ๆ! สีแดงสู้ตาย!"

ผมเลื่อนสายตาจากนาวีมองตามลูกบาสที่ถูกส่งไปที่ฝั่งตรงข้าม ส่งไป ส่งกลับด้วยความไวกระทั่งทีมสีแดงแย่งเอาไว้ไม่ทัน ในจังหวะที่อีกทีมได้จังหวะวิ่งเข้าใกล้แป้นแล้วกระโดดชู๊ต นาวีก็กระโดดปัดลูกนั้นออกได้ทัน แต่คงพลาดจังหวะที่กระโดดขึ้นไป เลยเป็นเหตุให้ร่างชนกับอีกคน แรงพอที่จะทำให้ทั้งอีกฝ่ายและนาวีล้มลงกลางสนาม

"พี่นาวี!"

นาวีลุกขึ้นในตอนนั้นทันที ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่อีกคนที่กองอยู่กับพื้นสนาม ยันตัวเองขึ้นมาพลางยกมือกุมหน้า ผมไม่ได้ยินเสียงคุยในสนาม แต่นาวีก้มลงไปช่วยพยุงอีกทีมให้ลุกขึ้นมา การปะทะกันในสนามเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เท่าที่ผมนั่งดูอยู่ก็มีหลายครั้งที่นาวีถูกวิ่งชน หรือวิ่งไปชนเขา แต่คราวนี้มันรุนแรงจนต้องหยุดการแข่งขัน อีกฝ่ายถูกพาออกไปนอกสนามเพราะเจ็บจนเลือดกำเดาไหล นาวีก็ถูกเรียกออกไปด้วย พักการแข่งเพื่อตกลงกันอยู่นอกสนามก่อนกลับมาแข่งต่อ ไม่นานก็จบเกม ทีมสีแดงชนะด้วยแต้มที่ไม่ได้ต่างกันมาก เสียงเชียร์ดังลั่นโรงยิม ผมเห็นนาวีวิ่งตามอีกทีมไป

"เดี๋ยวกูมานะ"

ผมหันบอกเพื่อนแล้วตั้งใจเดินไปหานาวี เดินมาถึงอีกฝั่งของโรงยิมแต่ไม่เจอเขา หันมองซ้ายมองขวาก็ต้องสะดุดกึกเพราะเกือบจะชนกับคนที่เดินลงบันไดมาพอดี

"หาอะไรวะ"

ไอ้ธงทัพ...

ผมตอบคำถามมันด้วยการส่ายหน้าเบาๆ แล้วก้าวเท้าไปอีกทาง แต่ถูกมันดึงไหล่เอาไว้ก่อน

"อะไร"

"มึงไปฟ้องอะไรพ่อกู"

คิ้วผมขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจคำถาม 

"กูบอกแล้วไงอย่าเสือก"

"กูไม่ได้พูดอะไร"

"เรื่องแค่นี้มึงต้องฟ้องด้วยเหรอวะ กูยังไม่เคยเสือกเรื่องของมึงเลยนะ"

"กูไม่ได้ฟ้อง กูไม่ได้เจอพ่อมึงมาตั้งนานแล้ว"

"เชื่อตายห่า"

ผมถอนหายใจแล้วปัดมือมันที่จับไหล่ออก

"มึงก็ชั่วให้มันเนียนๆ สิ พ่อมึงจะได้ไม่จับได้"

"ไอ้ภูผา"

"กูไม่คิดจะยุ่งอะไรกับมึงอยู่แล้ว กูไม่เคยสนใจมึงด้วยซ้ำ"

ไอ้ธงทัพยกมุมปากขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ มันพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินออกไปจากตรงนี้ มันเป็นทางเดียวที่ผมตั้งใจจะไปพอดี เลยเดินตามมันไปด้วย เสียงเท้าที่เดินตามทำให้มันหันกลับมามอง

"ตามมาทำไม"

"กูจะไปทางนั้น"

ผมได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจจากมัน ก่อนมันจะหันกลับไปเดินต่อ เลี้ยวมาอีกทางก็เจอกับกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ ผมไม่ได้สนใจคนอื่น เพราะสายตามองเห็นนาวีที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่เชิงว่าโดนรุมล้อมแต่ทุกสายตาของคนกลุ่มนั้นพุ่งมองไปที่นาวีคนเดียว

"มีอะไรกันวะ" ไอ้ทัพเอ่ยถาม ทุกคนเลยหันมาหามัน หนึ่งในนั้นหันมาตอบ

"ไม่มีอะไร คุยกันเฉยๆ แล้วนี่มึงหายหัวไปไหนมา"

"เรื่องของกูเหอะ แล้วนี่มึงแข่งเสร็จแล้วเหรอ"

"เออดิ"

"แพ้ชนะ?"

"แพ้"

"กาก!"

"ไอ้สัด!"

"แล้วนี่หน้ามึงไปโดนอะไรมาวะ" มันหันไปถามอีกคนที่อยู่ในชุดนักบาส ผมหันมองตามจึงเห็นว่ามันเป็นคนที่ชนกับนาวีในสนาม

"อุบัติเหตุ" ปากตอบไอ้ทัพแต่สายตาหันมองนาวี

"ตอนแข่งอะนะ"

"เออ"

"ถ้าเป็นอุบัติเหตุก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ว่าตั้งใจมึงโดนแน่" หนึ่งในนั้นเค้นเสียงขู่ ยกมือตบไหล่นาวีก่อนพากันเดินออกไป ไอ้ทัพหันมองผมอีกทีก่อนก้าวเท้าตามเพื่อนไป ผมเดินเข้าไปหานาวีที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ 

"มีอะไรเปล่า"

"พวกมันคิดว่ากูจงใจทำเพื่อนมันอะ"

"หาเรื่องเหรอ"

"ช่างมันเหอะ กูขอโทษไปแล้ว"

"มันไม่เข้าใจคำว่าอุบัติเหตุหรือไงวะ คิดว่าตัวเองเจ๋งมาจากไหน คิดว่าพวกเยอะเหรอ" ผมบ่น แต่คนข้างๆ กลับหัวเราะออกมา จึงเหลือบตาไปมอง

"ขำอะไร"

"ภูผาโกรธ"

"เออดิ!"

"หูย! ภูผาคนโหด โกรธเป็นด้วยเหรอเนี่ย" นาวีว่าแล้วยกมือบีบแก้มผมสองข้าง ใช้คำว่าบีบคงไม่ถูก อาการที่ทำอยู่เรียกว่าทั้งขยี้ทั้งขยำ จนผมต้องยกมือจับมือเขาออก

"เจ็บ"

"ไม่โกรธน้า"

ผมอาจหงุดหงิดมากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะหนึ่งในนั้นมันมีไอ้ทัพร่วมอยู่ด้วย แต่นาวีไม่ได้ติดใจอะไรซ้ำยังบอกให้ผมใจเย็น ผมก็เลยพยักหน้ารับแล้วปล่อยเลยตามเลย

"แล้วนี่เหนื่อยไหม"

"เหนื่อยดิ เดินไม่ไหวแล้วเนี่ย ขี่คอ!" นาวีพูดพลางชูสองมือขึ้นเหมือนเด็กร้องให้อุ้ม ผมส่ายหน้าปฏิเสธจึงโดนสองมือนั้นตรงเข้ามาขยำแก้มแทน

"อึ้ย! หมั่นเขี้ยว!"

"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ เหงื่อท่วมตัวเลย"

"ไม่เช็ดเหงื่อให้กูบ้างเหรอ แบบที่เช็ดให้นุ่นอ่ะ"

ผมหันมองตาขวางตอนคนข้างๆ แกล้งพูดเรื่องนุ่นขึ้นมา นาวีหัวเราะตาหยีแล้วโน้มหัวลงมาเอาหน้าซบไหล่ผม แล้วถูมันกับแขนเสื้อ

"เช็ดหน่อยๆ"

"ทำดีๆ สิ"

ผมบอกแล้วจับไหล่นาวีให้ยืนตรงมองหน้า ยกมือปาดเหงื่อบนใบหน้าของเขา คนที่มักจะเป็นฝ่ายแกล้งกลับยืนนิ่ง กลอกตาไปทางซ้าย ทางขวาไม่ยอมสบตากันตรงๆ

"เขินเหรอครับ พี่นาวี"

พูดแค่นั้นนาวีก็หลุดหัวเราะออกมา แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง เม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มอย่างที่ชอบทำแล้วก้าวเท้าเดินออกไป

"เรียกพี่แล้วใจสั่นเลยเนี่ย"

"ก็เลยไม่ค่อยอยากเรียกไง"

"ไม่ใช่เพราะมึงเป็นคนหยาบคายเหรอ"

"ผมเคารพพี่จะตาย"

"อ๋อเหรอ!"

"ผมชอบพี่มากด้วยนะ"

นาวีชะงักเท้าที่กำลังก้าวแล้วหันมองหน้าผม ยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนพูดออกมาเบาๆ เรียบเฉยที่น้ำเสียงแต่รุนแรงที่หัวใจ

 

"พี่ก็ชอบภูผามากนะครับ"

 

แค่คำพูดคำนั้น ก็กลับกลายเป็นผมที่ใจสั่นแทน...

 

 

...

 


              งานกีฬาสีจบไปแล้ว โรงเรียนกลับสู่สภาวะปกติ ผมเองก็ด้วย ชีวิตเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา เพียงแต่ว่ามีนาวีเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่เป็นสีสว่างของชีวิต ผมไม่เคยขี้เกียจมาโรงเรียนเลย เพียงแค่บอกกับตัวเองว่าถ้ามาที่นี่จะได้เจอกับเขา เราไม่เคยได้กินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่เขาก็มักจะเลือกโต๊ะที่ไม่ไกลเกินสายตาจะหันมอง หรือไม่ก็เดินผ่านผมเพื่อมาบอกว่ากินข้าวแล้ว ผมไม่เคยเบื่อตอนที่ต้องไปนั่งรอเขาเล่นบาสตอนเย็นๆ เพราะสุดท้ายเราจะได้เดินกลับบ้านพร้อมกัน คำว่าความสุข มันก็ยากเกินจะเข้าใจได้ถ่องแท้ แต่การที่มีนาวีอยู่ด้วย ผมรู้สึกได้ถึงคำนั้น   

           

            วันนี้ผมมีเรียนพละในคาบรองสุดท้าย ส่วนคาบสุดท้ายอาจารย์วิชาสังคมฯ ไม่มาสอน พวกเราจึงไม่ได้กลับจากโรงยิมไปอาคารเรียน บางคนก็ไปวิ่งเตะบอลกันต่อในสนาม บางคนจับกลุ่มนั่งคุยกันตามประสา บางคนที่ขยันเกินเวลาอย่างนุ่นก็นั่งทำการบ้านวิชาคณิต บางคนที่ขี้เกียจจะขยับตัวอย่างผมก็นั่งเฉยๆ อยู่ข้างๆ นุ่น หันมองนั่นมองนี่ ก่อนมองไปเห็นคนคุ้นตายืนอยู่หน้าห้องน้ำ ท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

 

นาวีทำอะไร

 

"เดี๋ยวมานะ" ผมหันบอกเพื่อนก่อนลุกไปหานาวี คนตรงนั้นไม่ทันได้มองเห็นผม ผลุบตัวเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนชะโงกหน้าออกมามองหาอะไรสักอย่าง

"นาวี"

"เชี่ย!" นาวีสะดุ้งเฮือกก่อนหันขวับมอง เห็นว่าเป็นผมจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

"เป็นอะไร แอบใคร"

"แอบ'จารย์"

"แอบทำไม"

"วันนี้มีเรียนพละ กูแต่งตัวผิดเห็นไหมเนี่ย กูจะโดดแต่เหมือนอาจารย์เห็นกูแล้วอะ"

"ใส่ชุดนักเรียนก็เรียนพละได้"

"มึงไม่เคยเรียนกับอาจารย์สุพลใช่ไหม กูเคยแต่งตัวผิด โดนวิ่งรอบสนามขาแทบหลุด ไม่เอาด้วยหรอก กูจะโดด" ผมรู้จักอาจารย์ที่นาวีพูดถึง กิตติศัพท์เรื่องความโหดถูกพูดถึงรุ่นสู่รุ่น ความเข้มงวดไม่เคยตกอันดับ

นาวีผลุบเข้าไปในห้องน้ำ ทำหน้าครุ่นคิดก่อนหันมองผมหัวจรดเท้า

"มึงเรียนพละไปยัง"

"คาบที่แล้ว"

"แล้วเรียนอะไรต่อ"

"ว่าง อาจารย์ไม่สอน"

"งั้น กูยืมชุดหน่อย!"

"ฮะ?"

"แลกกัน" นาวีเข้ามาเกาะแขน พยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงขอร้อง แค่หน้าตาปกติก็ทำเอาใจอ่อน แต่ดันทำหน้าอ้อน ผมจะสู้อะไรได้

"เออๆ ก็ได้"

นาวีพยักหน้ารับแล้วปลดกระดุมเสื้อออกในทันที

"เดี๋ยวดิ ไม่ปิดประตูหน่อยเหรอ" ผมว่าพลางจับมือเขาเพื่อยั้งการกระทำของเขาไว้ก่อน

"ไม่มีใครเห็นหรอก"

"ไม่ได้"

"ทำไม"

 

แค่นี้ก็หวงจะแย่...

 

ผมคิดเอาไว้ในใจ แต่ส่ายหน้าปฏิเสธนาวีออกไป ก่อนผลักประตูเพื่อปิดมันแต่ไม่ได้สนิทนัก แค่พอให้คนข้างนอกมองไม่เห็นนาวีที่กำลังยืนเปลือยท่อนบนอยู่แบบนี้ก็พอแล้ว นาวีปลดกระดุมจนถึงเม็ดสุดท้ายแล้วถอดส่งให้ผม พอหันมาเห็นว่าผมยังไม่ได้ถอดเสื้อก็โวยขึ้นมา

"เอ้า! ถอดมาดิ รออะไร"

"เออๆ"

"เขินเหรอ"

"จะไปเขินอะไร"

"ไม่เขินก็ถอดสิ" นาวีแกล้งทำน้ำเสียงหยอก พลางก้าวเท้าเข้ามาหา หน้าตาเจ้าเล่ห์จากคนขี้แกล้งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเขิน กลับมองว่ามันน่ารักดี

"เขินพี่เหรอน้อง"

"เปล่า"

"งั้นถอดเสื้อให้พี่หน่อยสิครับ"

ผมพยักหน้ารับแล้วถอดเสื้อออกส่งให้เขา

"กางเกงด้วยสิ"

"เออ" ผมรับคำแล้วก้มลงถอดกางเกงให้

"เด็กดีของพี่"

"เอากางเกงในด้วยไหมครับพี่"

"ไอ้บ้า!"

"ทำไม เขิน?"

"เปล่าเว้ย!"

กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเขาบ้าง คนตรงหน้ามองหน้าสู้ แต่หูแดงระเรื่อ ขยับปากกัดริมฝีปากล่าง ถ้าเดาไม่ผิดผมคิดว่านั่นคืออาการเขิน

"ผมถอดให้หมดแล้ว แล้วพี่จะให้อะไรผม"

"มึงจะเอาอะไร"

"จูบสักทีดีไหมเนี่ย"

"จุ๊บ!"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งตอนนาวีโยกหน้าเข้ามาแตะริมฝีปากผมแล้วดึงหน้าตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว

"พอใจแล้วนะ" นาวีคว้ากางเกงพละไปจากผม ก่อนโยนชุดตัวเองกลับมาให้ จากนั้นก็รีบยัดชุดพละของผมสวมเรียบร้อย เวลาที่ผมอยากแกล้งเขาทีไร สุดท้ายตัวเองแพ้ราบคาบทุกที ไม่เข้าใจ

"ใส่เสื้อผ้าสิ เดี๋ยวคนมาเห็นก็นึกว่ากูเป็นไอ้หื่นขืนใจเด็กหรอก"

"เออๆ" ผมตอบรับแล้วสวมกางเกงของเขา เพราะขนาดตัวเท่ากันจึงสวมมันได้พอดี

"เลิกเรียนแล้วกลับบ้านพร้อมกันนะ"

"อือ รอที่นี่แหละ"

"โอเค ไปละ" นาวีบอกพูดแค่นั้นแล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำไป ผมหยุดมือที่กำลังจะติดกระดุมเสื้อก่อนหันมองตัวเองในกระจก ก้าวเท้าเข้าไปมองใกล้ๆ จึงเห็นว่าหน้าแดงจนผิดสังเกต นาวีคงรู้ว่าผมเขินจนใจแทบพัง ผมยกสองมือตบหน้าตัวเองทีหนึ่ง แล้วรีบใส่เสื้อให้เสร็จ

"โคตรขี้เกียจเรียนเลยว่ะ"

"มึงก็บ่นตั้งแต่คาบแรกยันคาบสุดท้ายเลยนะ"

ผมหันมองกลุ่มนักเรียนเจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่เดินเข้ามาในห้องน้ำ เพราะยังแต่งตัวไม่ทันเสร็จเลยถูกมองหัวจรดเท้า ผมรีบติดกระดุมเสื้อ ยัดชายเสื้อเข้ากางเกงลวกๆ แล้วก้าวเท้าออกไปนอกห้องน้ำในจังหวะเดียวกับที่คนข้างนอกเดินสวนเข้ามา เท้าหยุดกึกเมื่อเห็นว่าเป็นไอ้ธงทัพ

มันเขยิบเท้าไปข้างๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ผมเดินออกไปก่อน ผมเหลือบมองหน้าตาที่ดูไม่สบอารมณ์ของมันครู่หนึ่งก่อนก้าวเท้าออกมาข้างนอก นุ่นไม่อยู่ที่เดิมแล้วแต่กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่เลิกเล่นบอลแล้วมาจับกลุ่มนั่งกันตรงนั้นแทน ทันทีที่หันมาเห็นผมหนึ่งในนั้นก็ร้องทักชุดที่เปลี่ยนไป

"ทำไม ชุดมึง..."

"เฮ้ย! กินขนมกัน"

ผมกำลังจะตอบ แต่ถูกยุ้ยเข้ามาขัดจังหวะด้วยการหิ้วขนมเข้ามากลางวง ความสนใจของพวกมันเลยพุ่งไปที่ของกินมากกว่าคำตอบของผม ตอนนี้ยังไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่องผมกับนาวี เราไม่ได้ปิดบังแต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องบอกให้คนอื่นรู้ นาวีเคยถามผมว่า สมมติว่าคนอื่นรับไม่ได้กับสิ่งที่เราเป็น เราจะทำยังไง ผมไม่ได้ตอบ ตอนนั้นบอกแค่ว่าให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ แม้ใจจริงจะคิดไม่ต่างกับเขา หากมีคนไม่ยอมรับเราแม้เพียงสักคน ตอนนั้นเราควรจะรู้สึกอย่างไร ผมกังวลแต่คิดมันอยู่ในใจ ให้มันเป็นเรื่องสมมติต่อไป

 

...

 

 
เย็นวันนี้ผมมาอยู่ที่บ้านนาวีอีกครั้ง แต่วันนี้พ่อกับแม่ของเขาไม่อยู่ แม่นาวีต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด พ่อเลยขับรถไปให้ ก่อนไปไม่ลืมที่จะทำกับข้าวเอาไว้ให้พวกเรามากพอที่จะกินไปได้จนถึงพรุ่งนี้ก่อนพ่อแม่กลับมา นอกจากอาหาร ก็มีงานบ้านที่ทิ้งเอาไว้ให้นาวีทำ แม่ย้ำว่าให้นาวีทำ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมนั่งเฉยๆ อยู่บนโซฟามองดูอีกคนที่กำลังถูพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย คร่ำเคร่งอยู่กับพื้นครู่หนึ่งแล้วหันขวับมามองผมสายตาแค้นเคือง

"ไม่คิดจะช่วยกันจริงๆ ใช่ไหม!"

"ก็แม่บอกว่าไม่ต้องช่วย"

"บ้านก็บ้านเขา เมื่อกี้ก็กินข้าวเขา แล้วยังจะมานั่งไร้ประโยชน์อีก! ตอนมึงเกิดพระเจ้าคงไม่ได้ให้จิตสำนึกมึงมาด้วยใช่ไหม! ฮะ!"

"โห ด่าแรงอ่ะ!"

"ด่าให้คิดไง ยังจะนั่งเกะกะอีก หลบสิ หลบ!"

ผมยกเท้าขึ้นตอนนาวีแกล้งดันไม้ถูพื้นใส่

"เออๆ เดี๋ยวกูช่วยล้างจานก็ได้"

"จริงอ่ะ"

"เออ"

"อย่าฟ้องแม่นะ"

"ไม่ใช่คนขี้ฟ้องเว้ย" ผมว่าแล้วลุกขึ้น เพราะพื้นที่เพิ่งถูเสร็จใหม่ๆ บวกกับพื้นกระเบื้องเรียบลื่น พอก้าวไปได้สองก้าวก็ผมลื่นพรืดลงมากองกับพื้น นาวีที่หันขวับมามองในจังหวะเดียวกัน แทนที่จะช่วยกลับยืนขำ แล้วลั่นบางคำออกมาอย่างสะใจ 

"สมน้ำหน้า!"

"เจ็บนะ!"

"ใครใช้ให้เดินตรงที่เพิ่งถูเล่า"

"มึงแกล้งกูป่ะเนี่ย ถูพื้นหรือเอาน้ำราดพื้นวะ เปียกโชกเลย"

"อย่ามาโทษกู"

"ดึงหน่อย" ผมว่าแล้วชูมือขึ้นให้ช่วย

คนที่ยืนอยู่ส่ายหน้าหน่อยๆ อย่างไม่สนใจ

"ช่วยหน่อยดิ"

"..."

"นาวี"

"..."

"พี่นาวีครับ"

พอเรียกแบบนั้นก็ยอมหันกลับมาสนใจผม ผมจึงอ้อนต่อด้วยลูกไม้นั้น

"พี่นาวีช่วยหน่อยครับ ผมเจ็บมากเลยอะ"

"อย่ามางอแงใส่ ใจพี่ไม่ค่อยแข็งแรง"

"พี่ อุ้ม"

"อุ้มบ้าอะไรเล่า ลุกมา เชี่ย!" นาวีเดินเข้ามาหวังจะช่วยผม แต่กลับลื่นซ้ำรอยผม หากเป็นละครคงเป็นฉากที่อีกคนลื่นแล้วล้มทับกันแบบตาจ้องตาไปแล้ว แต่นี่คือความจริง นาวีที่ลื่นล้ม ปลายเท้าพุ่งเข้าหน้าผมพอดี หากว่าหลบไม่ทันคงถูกยันเข้าเต็มๆ  ผมยันตัวเองขึ้นมานั่งมองหน้าเขาแล้วใช้ประโยคเดียวกันกับที่เขาพูดเมื่อกี้ล้อเลียนกลับไป

"สมน้ำหน้า!"

นาวีได้ยินแบบนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมองผมตาขวาง

"สะใจมากป่ะ"

ผมยักคิ้วแทนคำตอบ และในจังหวะเดียวกันนาวีก็พุ่งพรวดเข้ามา ผมตกใจจนจนหงายลงไปนอนกับพื้นอีกที นาวีใช้สองมือยันตัวเองเอาไว้กับพื้นเพื่อคร่อมร่างผม

"ลุกเลย" ผมบอก

"ทำไม กลัวเหรอ"

"มีอะไรน่ากลัว"

"ไม่กลัวโดนแกล้งแบบเมื่อเย็นเหรอ"

"เออ เมื่อเย็นมึงขโมยจูบกู"

"ทำไมอะ หวงเหรอ"

"ไม่หวงแต่แค้น รู้สึกว่าจะต้องเอาคืน"

"ฮะ?"

"เอาจูบคืน" ผมพูดแค่นั้นแล้วยกมือดันแขนนาวีที่ค้ำพื้นอยู่ หมดอะไรยึด คนข้างบนก็ล้มพรวดลงมากระแทกผม ผมขยับหน้ารองรับริมฝีปากที่ลงมาตำแหน่งที่เกือบจะพอดีกัน เอาจูบที่นาวีขโมยไปคืนกลับมา แลกสัมผัสอุ่นผ่านริมฝีปากของกันและกัน ดึงดูด ช่วงชิง หอมหวาน ยาวนานจนเราต่างพอใจ จึงละออกจากกัน ความเคอะเขินของเขาถูกแสดงออกด้วยการเม้มริมฝีปากแน่นอย่างเคยทำ ก่อนเผยมันออกมาเป็นรอยยิ้ม ส่วนผมก็ถนัดหน้านิ่งแต่หัวใจนั้นสั่นครึกโครมไม่เป็นจังหวะ

"ภูผา"

"ฮึ?"

.

.

.

"คืนนี้ค้างกับพี่ป่ะ?"


 

To be continued.

 

 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 26-11-2017 01:06:16
โอ้ยยย จะหวานอะไรขนาดนั้น เขินเด้อ  :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 26-11-2017 03:47:04
ละมุนนนนน อ่านแล้วใจบางมากกก ฮีลเหลือเกิน  :-[  :กอด1:  แต่พอนึกมาถึงธงทัพ ... ยังไงหล่ะเนี่ย??  เปิดมาตอนแรกวันทำงานธงทัพเข้าออกห้องภูผาเป็นว่าเล่นเลย แถมดูสนิทสนมภูผาก็ดูไม่บาดหมางเท่าไหร่แล้ว .... แล้วนาวีหายไปไหน????  ตามไปค่ะ ยาวไปปปป / ชอบงานคุณรชาจริงๆ ทุกเรื่องเลย เชียร์ค่ะ ตามเป็นกำลังใจตลอดนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เปลืoกส้มคลุง ที่ 26-11-2017 03:49:49
โอ๊ยยยยยยอ่านละเขินหน้าไหม้ใจพังหมดแล้ววววว
มันก๊าวใจดีจริงๆ แต่เหมือนจะได้กลิ่นมาม่ามาแต่ไกลเชียว :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 26-11-2017 04:01:17
ทำไมพี่นาวีเป็นคนอย่างนี้เราเขินตัวจะแตกอยู่แล้ว :-[
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 26-11-2017 09:51:25
ชอบนิยายเต้าหู้ใข่ พอๆกับชอบธงทัพเลยทำไมเรรเชียร์ธงทัพให้คู่กับภูผา มีหงิดๆบทนำ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-11-2017 17:20:41
น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:

ภูผา นาวี  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ธงทัพ สังเกตเห็นชุดที่ภูผาใส่แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 27-11-2017 01:18:01
โหยยยย พี่นาวี ยอมแล้วจ้าาาาา อ่อยแรงงง จะเสร็จภูผามั้ยนะ ไม่อยากจะคิ๊ดดดดด55555555555 เขินนนนนนนนน :haun4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.4] 25/11/17
เริ่มหัวข้อโดย: GN_SWAG ที่ 27-11-2017 06:38:42
นี่ก็เรือผี ธงทัพภูผานะ คือกับนาวีก็หวานอ่ะ แต่ชอบแนวคนใจร้าย55
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 09-12-2017 03:56:03
Episode 5

 

ผมยอมหันหลังให้คนทั้งโลก

เพื่อหันหน้าไปหาคุณ

 

ภายในห้องนอนที่เกือบจะมืดสนิท ผมนอนมองหน้าคนข้างๆ จากแสงด้านนอกที่ลอดผ่านผ้าม่านสีขาวที่ปิดไม่สนิทนัก เราใกล้ชิดกันที่สุดผ่านค่ำคืนฝนพรำแต่แสนอบอุ่น ผมไม่อยากให้ตอนเช้ามาถึงแต่ก็มาไวกว่าที่คิด ผมตื่นมาก่อนที่นาฬิกาจะปลุก เลยรีบกดปิดมันก่อนที่จะส่งเสียงรบกวนการนอนหลับของคนข้างๆ เพื่อให้ผมได้นอนมองใบหน้านั้นใกล้ๆ ไปอีกสักพัก ยิ่งมองอยู่เนิ่นนาน ยิ่งจมดิ่งมากยิ่งกว่าความหลงใหล คิ้วของนาวี ดวงตาของนาวี จมูกของนาวี ริมฝีปากของนาวี ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบและทั้งหมดนั้นรวมกันเป็นนาวี ผมใช้เวลาตรงนี้จ้องมองจนพอใจจึงเป็นฝ่ายปลุกเขาด้วยตัวเอง

"นาวี"

"..."

"พี่นาวี"

ดวงตาข้างหนึ่งเปิดขึ้นก่อน แล้วขยับอีกข้างขึ้นตาม ลืมตาขึ้นมาเห็นผมก็ยกมือขึ้นกอดผมเอาไว้แล้วซุกหน้าเข้ามาซบ

"รีบตื่นจัง"

"กูต้องกลับแล้ว"

นาวีเงยหน้าขึ้นมอง ขมวดคิ้วเข้าหากันใบหน้างัวเงีย จริงๆ ก็เช้าไปที่จะตื่น แต่เพราะเมื่อคืนผมไม่ได้บอกแม่ก่อนว่าจะค้างที่นี่ เช้านี้เลยตั้งใจจะรีบกลับก่อนที่แม่จะตื่น

"นอนต่อเลย"

นาวีพยักหน้ารับ แต่ตอนที่ผมลุกจากเตียงก็โดนดึงมือเอาไว้ก่อน ออกแรงเพียงนิดเพื่อดึงผมให้กลับไปที่เดิม แล้วขยับริมฝีปากของตัวเองขึ้นแตะหน้าผากผมเบาๆ แล้วล้มลงไปนอนหลับ ผมทำแบบเดียวกันกับที่นาวีทำก่อนจะลุกออกมาเพื่อกลับบ้าน

ใช้เวลาครู่เดียวก็มาถึงหน้าบ้านตัวเอง ผมไม่คิดจะเจอแม่ในเช้านี้เพราะมันยังเช้าเกินไปที่แม่จะตื่น ไขกุญแจเข้าบ้านอย่างไม่คิดอะไร แต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นแม่อยู่ที่โซฟา และในทันทีที่แม่หันมาเห็นผมก็ลุกพรวดขึ้นด้วยใบหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ ยากที่จะหลบแล้วผมเลยเดินอีกข้าวเพื่อเข้าไปหาแม่

"ภูผา! เมื่อคืนทำไมไม่กลับบ้าน"

"นอนบ้านเพื่อน"

"บ้านใคร"

"..."

"แม่ถามว่าบ้านใคร"

"นาวี"

"นาวี?" แม่ทวนชื่อนาวีซ้ำด้วยใบหน้าครุ่นคิด เดาว่าแม่คงนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเจอกับนาวีแล้วแม่จึงพยักหน้ารับเบาๆ

"แล้วทำไมไม่บอกแม่ก่อน รู้ไหมว่าแม่รอ"

ผมไม่มีคำตอบให้แม่ ปกติแล้วผมนอนตอนไหนแม่ยังไม่เคยรู้เลย พอๆ กับที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าแม่จะกลับมาตอนไหน ผมไม่คิดว่าแม่จะสนใจด้วยซ้ำว่าวันไหนผมจะกลับหรือไม่กลับบ้าน ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นวันนี้ที่แม่กลับรอผม ผมควรรู้สึกผิดแต่ใจไม่สั่งให้คิดแบบนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจเป็นเพราะสิ่งที่แม่แสดงออก ผมมองไม่เห็นความห่วงใย ผมเห็นเพียงความโกรธ ก่อนความเงียบระหว่างผมกับแม่ถูกทำลายด้วยเสียงพร่ำบ่นของแม่     

"คราวหลังก็บอกแม่ก่อน แต่แม่เคยบอกแล้วใช่ไหม แม่ไม่ชอบให้ภูไปนอนที่อื่น จะบ้านเพื่อนหรือบ้านใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น จะชวนกันไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วเพื่อนคนนี้เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่หรือไง สนิทกันขนาดไหนถึงไปนอนบ้านเขา นาวีเป็นคนยังไง เป็นคนแบบไหนรู้จักดีหรือยัง"   

"แม่"

"แล้วนาวีก็แก่กว่าไม่ใช่เหรอ ไม่ได้เรียนด้วยกันสักหน่อยแล้วเอาเวลาที่ไหนไปสนิทกัน เลือกคบเพื่อนดีๆ นะภูผา"

"แม่!" ผมเพิ่มความดังของเสียงตัวเอง เพื่อให้เสียงของแม่เงียบลง แม่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมองผม เห็นหน้าผมก็คงรู้ว่าผมไม่อยากฟังแม่บ่นต่อแล้ว 

"ไปอาบน้ำไป แล้วลงมากินข้าว"

ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวเท้าเข้าห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนพร้อมเสียงถอนหายใจของตัวเอง ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบแม่ แต่ผมแค่ไม่ชอบตัวเองที่รู้สึกแย่กับแม่เสมอ ถ้าหากว่าผมเลือกได้ว่าอยากมีแม่แบบไหน ถ้าหากว่า...

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปโรงเรียน ได้เวลาก็ลงมาจากห้อง อาหารเช้าของผมก็วางรออยู่อย่างเช่นทุกวัน ผัดผักรสชาติจำเจกับนมรสจืดอีกกล่อง

 

แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่ชอบนมรสจืด...

 

...

 

วันนี้ที่โรงเรียน ผมยังไม่ได้เจอนาวีเลยตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเที่ยง วันนี้อาจารย์คณิตฯ ปล่อยช้า ได้เวลาเพื่อนก็ลากมาที่โรงอาหารเลย มีเวลากินข้าวไม่นานก็ได้เวลาเรียนคาบต่อไปซึ่งเป็นคาบคอมฯ ระหว่างทางเดินไปห้องคอมฯ จะมองเห็นสนามบาสไกลๆ นั่น แต่ผมไม่เห็นใครอยู่ในสนามนั้นแล้ว

"ภูผา"

"ฮะ" ผมหันไปรับคำเพื่อนที่เดินเข้ามาเรียก

"มองอะไรวะ"

"เปล่า"

"หาใคร"

"เปล่าๆ" ผมปฏิเสธซ้ำ แล้วเดินตามเพื่อนไปห้องเรียน วิชาคอมพิวเตอร์เป็นอีกวิชาที่ห้องเรียนมักจะครึกครื้น ครูประจำวิชาเข้ามาสั่งงานแล้วปล่อยให้นั่งทำงานกันเอง การใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปขั้นพื้นฐานง่ายไปสำหรับนักเรียนม.ห้าแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่จึงใช้เวลาอยู่กับงานแค่พักเดียว ก่อนเปลี่ยนไปจับกลุ่มกันเล่นเกมแทน ส่วนผมก็ยังคงค่อยๆ ทำงานของตัวเองไป การใช้โปรแกรมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม ออกจะถนัดด้วยซ้ำ แต่ที่ช้าเพราะยังไม่พอใจภาพที่กำลังตกแต่ง แค่คิดว่ามันทำให้สวยกว่านี้ได้ 

"ภูผา มึงจะส่งประกวดหรือไงวะ เสร็จยัง ทีมรอมึงอยู่"

"กูไม่เล่น เล่นกันไปเลย" ผมตอบขณะตามองจอตัวเอง เพื่อนคนข้างๆ ส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนหันไปชวนอีกคนแทน ผมก็วุ่นวายอยู่กับภาพตัดต่อผ่านโปรแกรมโฟโต้ช็อปของตัวเองต่อไป เสียงพูดคุยของคนในห้องก็ดังจอแจ มากเรื่องราวปนเปกันผ่านหูไปอย่างไม่ได้ตั้งใจฟัง ผมเลื่อนเมาส์ซูมเข้าภาพบนหน้าจอ ค่อยๆ บรรจงเก็บรายละเอียดของภาพให้สมบูรณ์แบบ

"นี่มันภูผานี่!"

ผมชะงักมือที่เลื่อนเมาส์หลังได้ยินชื่อตัวเองจากเสียงของใครสักคน ปกติผมไม่ค่อยได้เป็นที่ถูกพูดถึงจึงคิดไปว่าตัวเองได้ยินผิด แต่เสียงของคนอื่นที่เข้ามาผสมด้วยในบทสนทนายิ่งย้ำให้มั่นใจว่าภูผาที่กำลังถูกพูดถึงนั่นคือผม

"ใช่ภูผาเหรอ"

"เออ จริงด้วย"

"ไหนดูซิ"

"ภูผาจริงๆ ด้วย"

ผมละมือจากเมาส์หันมองกลุ่มเพื่อนที่ตรงเข้าไปรุมดูอะไรบางอย่างจากหน้าจอคอมฯ เครื่องเดียวกัน กลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองหน้ากันเพราะต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อคลายความสงสัยผมกับเพื่อนจึงลุกไปที่หน้าจอคอมฯ ตัวนั้นด้วย

"มีอะไรกันวะ!" เพื่อนที่เดินนำไปก่อนตะโกนถาม ก่อนคนที่มุงดูอยู่จะหลบจากหน้าจอเพื่อให้ผมได้มองเห็นสิ่งที่กำลังถูกมุงดูอยู่ ภาพบนหน้าจอทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันในทันที ภาพของผมกับนาวี ภาพหนึ่งเป็นตอนที่ผมกำลังเช็ดเหงื่อให้นาวีหลังจากแข่งบาสเสร็จ อีกภาพตอนอยู่ในห้องน้ำเมื่อวาน ทั้งผมและนาวีที่ไม่ได้สวมเสื้อ ถูกแอบถ่ายจากใครสักคนแล้วโพสท์ลงในโซเชียลมีเดียที่เรียกว่าเฟซบุ๊ก

"แล้วอีกคนนี่ใครอะ"

"พี่นาวีป่ะ"

"ใช่ พี่นาวี!"

"ภูผากับพี่นาวีเป็นอะไรกันอะ" จบคำถามของใครสักคนที่ผมไม่ทันได้มองหน้า ทุกสายตาที่อยู่ตรงนี้ก็หันมองผมพร้อมกัน คาดคั้นเอาคำตอบผ่านสายตาทุกคู่ที่มองมา ขณะที่ผมลังเลที่จะพูดอะไรตอบไป นุ่นที่นั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เครื่องนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

"ไม่มีอะไรหรอก พี่นาวีกับภูผาเป็นเพื่อนกัน เรายืนยันได้!" นุ่นว่าแล้วกดปิดแท็บนั้นไป แม้สายตาของเพื่อนในห้องที่มองมาจะยังไม่คลายความสงสัยแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนกลับไปนั่งที่เดิม 

"ภูผา ตกลงมันยังไงวะ"

ผมหันมองเพื่อนข้างๆ ที่สะกิดถาม คนในกลุ่มก็มองหน้าอย่างรอคอยคำตอบอยู่ แต่ผมไม่มีอะไรจะเอ่ยปากพูด ให้โกหกแล้วบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่ได้ ให้พูดถึงสถานะของเราไปตรงๆ ก็ไม่ได้ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แต่เกิดเป็นความกลัวขึ้นมา ผมกลัวสายตาแบบเมื่อครู่ที่จ้องมองมา

"แล้วใครมันโพสท์ภาพวะ โพสท์ในกลุ่มโรงเรียนเลยนะเว้ย"

ผมหันมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ เพราะไม่มีบัญชีเฟซบุ๊ก ไม่เคยสนใจจะเล่น ผมจึงไม่รู้ว่ากลุ่มโรงเรียนที่ว่านั่นหมายถึงอะไร เพื่อนข้างๆ พิมพ์เว็บไซต์ที่ว่าเข้าไปดู ผมเองก็มองตามหน้าจอนั่นไปด้วย

"อ้าว! มันลบไปแล้วว่ะ" เพื่อนผมพูด ขณะกดปุ่มรีเฟรชหน้าจออีกกี่ที ภาพเมื่อครู่นั่นก็หายไปแล้ว แต่เรื่องไม่ได้จบแม้ภาพจะถูกลบไป ชื่อของผมกับนาวียังออกมาจากปากของเพื่อนผ่านเสียงกระซิบกระซาบ

"มึงว่าเขาเป็นอะไรกันวะ"

"ชัดขนาดนั้นมึงยังจะถามอีก"

"แล้วมันไปคบกันตอนไหนวะ"

"พี่นาวีของกู เป็นเกย์เฉยเลยอะ"

"พี่นาวีผัวกูอะมึง!"

"เสียดายพี่นาวีว่ะ ไม่น่าเลยแม่ง"

"ถ้าบอกว่าพี่นาวีไปคบดาวโรงเรียน กูยังเจ็บน้อยกว่านี้อะ ดันไปคบผู้ชายเฉยเลย"

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรแม้เสียงพูดจากบางคนนั้นจะจงใจให้ผมได้ยิน กระทั่งหมดเวลาเรียนผมจึงรีบเดินออกจากห้องก่อน แต่ถูกเพื่อนเรียกเอาไว้

"ไอ้ภู ไปไหนวะ"

"ต้องไปเรียนวิทย์นะเว้ย มึงจะโดดเหรอ"

"ไปเหอะน่า เร็ว"

พวกเพื่อนเข้ามาลากผมให้ไปทางเดียวกับมัน การพยายามทำตัวเป็นปกติกลับทำให้ผมอึดอัดอยู่ในใจ ผมเองน่าจะบอกกับเพื่อนก่อน น่าจะบอกให้พวกมันรู้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกขอบคุณที่พวกมันไม่ได้มองผมเปลี่ยนไป

ผมเข้ามาเรียนวิชาต่อไป จนถึงคาบสุดท้ายของวันโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเรียนอะไรไปบ้าง ความคิดเดียวที่วนอยู่ในหัวตอนนี้ คือผมอยากเจอนาวี อยากไปหานาวีตอนนี้เลย

"อาจารย์ปล่อยก่อนเป็นชั่วโมงเลยว่ะ"

"ไปเตะบอลกันป่ะ"

"ไปดิ"

"ไอ้ภู ไปเตะบอลกันป่ะ"

"พวกมึงไปกันเลย"

ผมบอกแค่นั้นแล้วคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย เดินออกมาจากตรงนั้น ที่โรงเรียนไม่มีห้องเรียนประจำ จะต้องเปลี่ยนห้องเรียนตอนเปลี่ยนคาบ ผมจึงไม่รู้ว่าตอนนี้นาวีอยู่ที่ไหน ระหว่างที่กำลังลังเลว่าควรจะไปทางไหนดี กำลังจะก้าวเท้าต่อก็ต้องชะงักเพราะนุ่นโผล่ออกมาจากประตูห้องเรียนพอดี

"ภูผาจะไปไหนเหรอ"

"..."

"ไปหาพี่นาวีเหรอ" นุ่นถามซ้ำก่อนที่ผมจะตอบ ผมทำได้แค่พยักหน้ารับ

"แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน"

"ไปดูตารางสอนที่ห้องทะเบียนก็ได้นะ"

ผมหันมองหน้านุ่น เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นุ่นจึงอธิบายให้ฟัง

"ที่ห้องทะเบียนจะมีตารางสอนของทุกชั้นปีเลย ภูผาไปดูตารางของพี่นาวีที่นั่นก็ได้ เอางี้ เราพาไปห้องทะเบียนก็ได้" นุ่นว่าแล้วเดินนำผมไป ก่อนหันมากวักมือเป็นเชิงให้ผมเดินตาม ในระหว่างทางผมก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งนุ่นเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

"ภูผา เราถามได้ไหม"

"อยากรู้อะไร"

"ภูผากับพี่นาวี มันไม่มีอะไรใช่ไหม"

"คิดว่าไงล่ะ"

"เราไม่รู้หรอก แต่ในภาพนั้นมันก็ไม่มีอะไรนี่นา ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย"

ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบกลับไป

"ที่นุ่นพูดกับเพื่อนในห้องเมื่อกี้ ขอบคุณนะ"

"อื้อ เรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรกัน ภูผาก็แค่เปลี่ยนชุดกับพี่นาวีเอง อะ ถึงห้องละ รอตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวไปเอามาให้" ผมมองตามนุ่นที่เดินเข้าไปในห้องทะเบียน ก่อนเดินออกมาพร้อมตารางสอนแผ่นหนึ่งแล้วส่งให้ผม ผมเลื่อนสายตามองคาบสุดท้ายของนาวีแล้วรีบตรงไปที่ห้องนั่น อาจารย์กำลังสอนอยู่ผมจึงทำได้แค่รออยู่ด้านนอก มองไม่เห็นนาวีด้วยซ้ำ

"ไอ้ภู?"

ผมหันมองเสียงที่เข้ามาเรียก จำได้ว่าคนๆ นี้เป็นเพื่อนกับนาวี เห็นหน้าผมเขาก็คงรู้จุดประสงค์เลยรีบบอกออกมาก่อนจะถาม

"ไอ้วีไม่อยู่นี่หรอก อยู่ห้องพยาบาลโน่น"

"ห้องพยาบาล?"

"เออ มันปวดท้องตั้งแต่เที่ยง..."

ผมไม่รอให้เพื่อนนาวีพูดจบ ยกมือเตะไหล่เป็นเชิงขอบคุณก่อนรีบวิ่งตรงไปห้องพยาบาล โผล่พรวดเข้าไปในห้องจนพี่โอ๋สะดุ้งนิดหนึ่งตอนหันมามอง

"ภูผา เป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"นาวี..."

พี่โอ๋รู้ในทันทีก่อนที่ผมจะพูดจบ เลยชี้เข้าไปในห้อง ผมพยักหน้ารับแล้วเดินตรงเข้าไปที่เตียงพยาบาลตัวสุดท้าย เห็นหน้าก็รู้ได้โดยไม่ต้องถามว่าวันนี้ป่วยจริง ใบหน้าซีดเซียว นอนซุกตัวงออยู่ใต้ผ้าห่ม คิ้วขมวดเข้าหากันแม้หลับตาอยู่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตื่น แต่เขาอาจจะไม่ได้หลับอยู่ เพราะทันทีขยับเท้าเข้าไปใกล้ คนบนเตียงก็ลืมตาขึ้นมอง

"ภูผา"

"อือ"

"กูกินข้าวแล้วนะ แต่มันปวดของมันเอง ไม่ได้ตั้งใจ" นาวีบอกกับผมผ่านน้ำเสียงแผ่วเบา ผมพยักหน้ารับ

"ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

นาวีแค่ยิ้มตอบกลับมา ผมคิดว่าความเจ็บปวดนั้นมันคงมากพอที่จะทำให้เขาไม่มีแรงจะเถียงอะไรผม

"โอเคไหม"

"โอเคดิ เดี๋ยวก็หาย"

ผมพยักหน้ารับ เห็นอยู่ตรงหน้าว่าเขาไม่โอเค แต่เขาก็พูดออกมาแบบนั้นน่าจะเพียงเพราะให้ผมสบายใจ นาวีขยับตัวไปชิดขอบเตียงแล้วยกมือตบอีกฝั่งของเตียงเป็นเชิงให้ผมเข้าไปหา ผมหย่อนตัวเองลงนั่งบนเตียง มองหน้าเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนนาวีจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

"ไม่เรียนเหรอ"

"อาจารย์ปล่อยแล้ว"

"รู้ได้ไงว่าอยู่นี่"

"เพื่อนมึงบอก"

"แล้วมาทำไมอะ"

"ทำไม มาไม่ได้?"

"ไม่อยากให้มึงเห็นโหมดอ่อนแอ ไม่หล่อเลย"

"ใครบอกว่าปกติหล่อ"

"กูรู้ตัว เพื่อนก็บอก"

"เพื่อนคนไหน เลิกคบเลย ไม่จริงใจ"

นาวีง้างมือทำท่าจะตี แต่ผมคว้ามือนั่นเอาไว้ได้ก่อนโดนทุบ แล้วจับมือเขาเอาไว้ ผมน่าจะเก่งเรื่องการแสดงออกมากกว่านี้ มากกว่าการจับมือแล้วมองหน้าอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไร เขาจะรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังเป็นห่วง เป็นห่วงมากกว่าทุกที

"ภูผา ทำไมทำหน้าแบบนั้น"

"แบบไหน"

"แบบเนี้ย" นาวีว่าแล้วเลียนแบบหน้าตาของผมด้วยการขมวดคิ้วแน่น

"เออ"

"..."

"คนเป็นห่วงก็หน้าตาแบบนี้แหละ"

นาวีหลุดยิ้มออกมา สวนทางกับผมที่เผลอถอนหายใจออกมา ผมอยากพูดเรื่องนั้นกับนาวี แต่ลังเล

"มีอะไรเปล่า"

"ไม่มีหรอก นอนเหอะ"

"พูดมาสิ"

"เดี๋ยวค่อยพูด ป่วยอยู่ไม่อยากกวน"

"ทำไมอะ เป็นเรื่องที่ได้ยินแล้วจะหัวใจวายตายหรือไง"

"ไม่ขนาดนั้น"

"ทำไม จะบอกเลิกเหรอ"

"บ้าดิ"

"งั้นก็พูดมาเถอะ"

ผมถอนหายใจออกมาอีกที แล้วขยับตัวเข้าไปใกล้นาวีอีกนิด

"มีรูปของเรา..."

"อ๋อ เห็นแล้ว"

ผมหยุดคำพูดแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง

"เห็นแล้วแหละ"

"มึงไม่เป็นไรใช่ไหม"

"แล้วมึงเป็นอะไรไหมล่ะ"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องของผมคนเดียว ผมไม่เป็นไรหรอก แต่ผมแค่ไม่อยากให้คนพวกนั้นพูดถึงนาวีในเรื่องที่ไม่ดี ผมไม่อยากให้คนพวกนั้นมองนาวีในแบบที่มองผม ที่นาวีเคยถามผม หากว่าคนอื่นไม่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น เราจะทำยังไง ผมเคยหวังเพียงให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติ แต่ความจริงวิ่งไล่เราไวกว่าที่คิด ผมหาคำตอบให้นาวีไม่ได้ ขณะเดียวกันก็หาทางออกของมันไม่เจอ

นาวีกระชับมือที่จับกับผมอยู่ให้แน่นกว่าเดิม ยังคงมีรอยยิ้มผ่านใบหน้าซีดเซียว ผมเคยคิดว่าตัวเองใจแข็งและเก่งพอแล้วสำหรับทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่เลย ผมอ่อนแอ ผมแพ้ กลับกลายเป็นนาวีที่เข้มแข็งกว่าแล้วเป็นฝ่ายปลอบโยนเพื่อให้ผมได้รู้สึกสบายใจ

"ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

"ช่างมัน?"

"เออ ช่างมัน"

"แต่เวลาคนอื่นมองเรา..."

"อายเหรอ"

"เปล่า" ผมรีบปฏิเสธ

"เราจะเลิกกันเพราะสายตาคนอื่นไหม"

"ไม่"

"เออ งั้นก็ช่างมัน"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ ตอนที่นาวียกมือขึ้นบีบแก้มผม

"ไม่ต้องคิดมากแล้วนะหนู!"

"หนูไรเล่า! เดี๋ยวเตะเลย"

"จะเตะพี่เลยเหรอเหรอหนู"

"เดี๋ยวจะโดน!" ผมว่าแล้วยกมือดีดหน้าผากนาวีไปทีหนึ่ง

"โอ๊ย! เจ็บ!"

"สมน้ำหน้า"

"ปวดท้องอยู่นะ โอ๊ย! ปวดท้องๆ"

"ไม่ต้องมาแกล้งเลย"

"ปวดจริงๆ นะเนี่ย"

"ไม่เล่นด้วยแล้ว นอนไปเลย แล้วเดี๋ยวกลับบ้านพร้อมกัน"

นาวีพยักหน้ารับ ก่อนที่ผมจะขยับลงมาจากเตียงเพื่อให้เขานอนดีๆ นาวีก็ดึงมือผมไว้ก่อน ทำกับผมเหมือนอย่างในตอนเช้า ผมเองก็ด้วย ก้มลงจูบหน้าผากคนบนเตียงเบาๆ แล้วมองดูนาวีอยู่อย่างนั้น

แม้ว่าจะละทิ้งความคิดเรื่องนั้นออกไปจากหัวไม่ได้ในทันที แต่ก็หวังว่าวันหนึ่งผมจะเลิกคิด แล้วใช้ชีวิตในส่วนของเรา รอคอยการยอมรับจากพวกเขาโดยไม่บีบบังคับใคร ผมจึงขอเลือกที่จะมีความสุขกับนาวี มากกว่าที่จะแคร์สายตาคนอื่น

 

...

 ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 09-12-2017 03:56:46

ผมเดินออกมาจากห้องพยาบาลพร้อมกับนาวีในตอนเย็นๆ เพื่อกลับบ้านพร้อมกัน แม้จะเลยเวลาเลิกเรียนมาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนหลายคนที่ยังไม่กลับบ้าน ตัวผมเองไม่ได้เป็นที่รู้จักมากมายนักในโรงเรียน แต่นาวีนั้นตรงกันข้าม ผมคิดว่าทุกสายตาที่มองมาจะเพ่งเล็งไปยังนาวีมากกว่า แต่คนข้างๆ ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากเดินช้าๆ แล้วชวนผมคุยสัพเพเหระมาตั้งแต่หน้าห้องพยาบาลจนถึงประตูโรงเรียน

"เออ บอกไปยัง อาทิตย์หน้าต้องไปสอบตรงเข้ามหาลัยอะ"

"ยังเลย" ผมตอบพลางส่ายหน้าปฏิเสธ ผมลืมคิดไปเลยว่าตอนนี้นักเรียนม.หกอยู่ในช่วงสอบตรงเข้ามหาลัย นั่นแปลว่าอีกไม่นานนาวีก็จะเรียนจบ

"ไม่พร้อมเลยอะ แต่คิดว่าคงไม่ได้อยู่แล้วแหละ รอแอดฯ ดีกว่า"

"จะเข้าคณะอะไรอะ"

"สถาปัตย์"

ผมหันมองแล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยอย่างสงสัย ผมคิดว่าเขาอาจจะไปทางสายวิทย์ฯ กีฬา หรือวิศวะฯ อะไรทำนองนั้น ไม่รู้ว่านาวีนาวีวาดรูปเป็นด้วย

"ดูมองหน้า สงสัยอะไร ไม่คิดว่าคนอย่างกูจะวาดรูปได้เหรอ"

"ไม่รู้ไง"

"ไม่เคยถามอะ รู้อะไรเกี่ยวกับกูบ้าง เอาจริงๆ"

"น่ารัก"

"..."

"รู้แค่นี้แหละ"

นาวีหันหน้าหนีเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วหันมายกมือเขกหัวผมเบาๆ

"ฮึ่ย! รู้จักเอาตัวรอดนะ"

"แล้วจะไปสอบเข้าที่ไหนอะ"

"ถ้าไปไกลๆ จะอนุญาตปะละ"

"ห้ามได้ไหมล่ะ"

"จะห้ามเหรอ มันคืออนาคตกูนะเว้ย"

"อนาคตของมึงกับความคิดถึงของกู มึงว่าอะไรสำคัญ"

นาวียกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง แล้วสวนกลับมาขำๆ

"อนาคตกูดิ"

"เออ ถูก ไม่ห้ามหรอก อยากไปเรียนที่ไหนก็ไป ก็แค่คิดถึงเอง"

"ไม่ร้องไห้น้า"

ผมแกล้งยกมือขึ้นปิดตาทำท่าจะร้องไห้ หันหน้าหนีนาวีที่หันตามอย่างล้อเล่น

"โอ๋ๆ เดี๋ยวพี่กลับมาหาบ่อยๆ ก็ได้นะ"

"ไม่ต้องห่วงกู ห่วงอนาคตตัวเองเถอะ"

"ภูผา มึงอ่า!"

"เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความคิดถึงมันเป็นยังไง"

"กลัวแล้ว ใจสั่นเลยเนี่ย"

ผมหลุดยิ้มออกมาตอนนาวีทำหน้าจ๋อยๆ ใจจริงผมก็ไม่อยากให้เขาไปเรียนไกลๆ หรอก ผมยังไม่เคยเข้าใจความคิดถึงว่ามันเป็นยังไง เพราะคนที่ผมผูกพันไม่เคยจากไปไหนไกลๆ แล้วถ้านาวีเป็นคนแรกคนนั้น ผมไม่คิดว่าจะรับมือกับความคิดถึงนั่นไหว

"เฮ้ย!"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งตอนนาวีร้องขึ้นมา หันไปมองแล้วถามด้วยการเลิกคิ้วขึ้น

"ลืมกระเป๋าอะ นี่ก็ไม่เตือนกันบ้างเลย"

ผมเองก็ไม่ทันสังเกตว่าตอนที่เดินออกจากห้องพยาบาลนาวีไม่ได้สะพายกระเป๋ามาด้วย

"มึงรอนี่แหละ เดี๋ยวกูไปเอาเอง" นาวีพูดแค่นั้นแล้วก้าวเท้าออกไป ผมทำท่าจะเดินตามไปด้วยแต่ถูกอีกคนหันมาชี้นิ้วสั่งเป็นเชิงให้รอ ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับแล้วรออยู่ตรงนี้ กำลังจะเดินไปนั่งที่แสตนด์ข้างสนามบอล แต่ก้าวเข้าไปถึงผมก็หันไปเห็นกลุ่มนักเรียนม.หกนั่งอยู่ตรงนั้น หนึ่งไอ้นั้นคือไอ้ธงทัพ ผมจึงเดินกลับแต่ถูกเสียงหนึ่งเรียกเอาไว้ก่อน

"ไอ้ภู!"

ไม่ใช่เสียงไอ้ธงทัพ แต่เป็นพี่ไนท์ เพื่อนของไอ้ธงทัพที่เคยรู้จักกับผม เพราะบ้านเคยอยู่ใกล้กัน แต่พอพี่ไนท์ไปเป็นเพื่อนกับไอ้ธงทัพ ผมก็ไม่เคยได้คุยอะไรกับเขาอีกเลย ด้วยความแปลกใจที่อยู่ๆ ก็มาทักกันผมจึงหันหน้ากลับไปมอง

"นั่งก่อนดิ"

"ไม่เป็นไรอะ"

"รอใครวะ"

ผมไม่ทันได้ตอบเสียงของคนอื่นที่อยู่ตรงนั้นด้วยก็พูดขึ้นมาแทน

"เขาก็รอแฟนเขาดิ เห็นวิ่งกลับขึ้นตึกไปอะ"

จบเสียงไอ้นั่นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาแทน ผมเหลือบตามองไอ้ธงทัพที่ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม พี่ไนท์ลุกจากแสตนด์แล้วก้าวเท้าเข้ามาหาผม

"เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอวะ"

"..."

"ไอ้นาวีก็หักอกผู้หญิงครึ่งโรงเรียนมาคบผู้ชาย มึงไม่สงสารแฟนคลับมันหน่อยเหรอวะ"

"..."

"แม่มึงรู้ไหมเนี่ย"

ผมกัดฟันแน่นตอนที่ต้องยืนฟังคำล้อเล่นที่ไม่ได้รู้สึกตลกด้วย อีกฝ่ายยังคงหัวเราะแล้วพูดต่อด้วยความสนุกปาก

"แม่มึงไม่ค่อยมีเวลาให้นี่ งั้นมึงให้พี่มึงสั่งสอนก็ได้" มันว่าแล้วชี้ไปที่ไอ้ธงทัพ มันขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วสวนกลับมา

"เกี่ยวอะไรกับกูวะ!"

"อ้าว ก็มึงเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ หรือไม่นับญาติ" 

ผมกำหมัดแน่นเข้าหากันตอนประเด็นที่มันพูดถึงเปลี่ยนไป ไอ้ธงทัพไม่ได้พูดอะไร เลื่อนสายตาที่มองผมอยู่หันไปทางอื่น ปล่อยให้เพื่อนมันพูดต่อเรื่องแม่ผมกับพ่อมันอย่างไม่รู้สึกอะไร

"แต่เป็นกูกูก็ไม่นับญาติกับลูกเมียน้อยพ่อหรอก"

ความอดทนของผมกลายเป็นศูนย์หลังจบประโยคนั้น หมัดที่กำแน่นพุ่งใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างห้ามไม่ได้ รู้ตัวอีกทีตอนมันกระแทกเข้ากับหน้าของอีกคนไปแล้ว 

"พลั่ก!"

"ไอ้เหี้ยภู!"

"ภูผา!" 

เสียงนาวีหยุดการกระทำของทั้งผมและพี่ไนท์ คนที่วิ่งเข้ามามองผมกับอีกฝ่ายสลับกันไปมาเหมือนกับเดาสถานการณ์ได้ พอนาวียืนอยู่ข้างผม พวกเพื่อนของมันยกเว้นไอ้ธงทัพก็ลุกขึ้นพร้อมเอาเรื่อง สายตาของเพื่อนพี่ไนท์พุ่งตรงไปที่นาวีมากกว่าผม เพราะความขุ่นเคืองใจที่ติดค้างกันมาก่อนจึงทำให้ประเด็นเปลี่ยนไปอีกที

"จะต่อยเลยไหมล่ะ กูหมั่นไส้ตั้งแต่ในสนามบาสฯ แล้ว"

"ถ้ารู้ว่ามึงสันดานแบบนี้กูจะเอาให้แรงกว่านั้นอีก"

"ไอ้เหี้ย! มึงพูดมาเลยว่าวันนั้นมึงตั้งใจ!"

"เออ! ตั้งใจโว้ย!"

"นาวี!"

จากเรื่องไม่เป็นเรื่องสู่การทะเลาะวิวาทที่อารมณ์โกรธอยู่เหนือเหตุผลและการควบคุมตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ทำมันไปแล้ว เรื่องราวบานปลายกระทั่งเราทั้งหมดมาจบลงที่ห้องปกครองในเวลาถัดมา เมื่อคนเจ็บหนักคืออีกฝ่าย คนผิดจึงกลายเป็นผมกับนาวีที่กำลังนั่งก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ พ่อของนาวี กับแม่ของผมก็อยู่ด้วย เสียงบ่นของอาจารย์ห้องปกครองไม่น่ากลัวเท่าใบหน้าเรียบเฉยของแม่ ผมไม่กล้าคิดว่ากลับถึงบ้านจะเจอกับอะไรบ้าง

พี่ไนท์อยู่ในสภาพสะบักสะบอมกว่าที่คิด ในตอนที่มันล้มไปกระแทกแสตนด์จนคางแตก ผมพยายามอธิบายว่ามันคืออุบัติเหตุแต่ฟังไม่ขึ้นเพราะยังไงสาเหตุมันก็มากการทะเลาะกันอยู่แล้ว ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยพยานทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียว ความผิดจึงมากกว่าใคร ซึ่งผมก็ยอมรับโดยไม่ปฏิเสธ ผมไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเพราะเห็นว่าสมควรแล้ว

แต่ความรู้สึกผิดมันเกิดขึ้นมาตอนเห็นนาวีเจ็บตัว และตอนที่แม่กำลังยกมือไหว้แม่ของพี่ไนท์ ขอโทษแล้ว ขอโทษอีกเพื่อให้แม่พี่ไนท์ยอมให้อาจารย์ลดโทษให้ผม เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่ก้มหัวให้คนอื่นและออกรับความผิดแทนผมความละอายใจก่อตัวขึ้นเงียบๆ ในความรู้สึกของผม แม้คำขอโทษเป็นร้อยครั้งจะออกจากปากแม่ไปแล้ว สุดท้ายการลงโทษสูงสุดของผมกับนาวีก็คือการพักการเรียน ในระยะเวลาสั้นๆ สองอาทิตย์เพื่อให้ทบทวนในสิ่งที่ทำลงไป

ผมเดินออกมาจากห้องปกครองพร้อมกับแม่ เสียงโทรศัพท์ของแม่ดังขึ้นในจังหวะเดียวกัน แม่จึงแยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์อีกทาง ผมหันมองนาวีกับพ่อที่เดินตามออกมา ปกติพ่อนาวีใจดีเสมอ แต่ความผิดครั้งนี้คงทำให้พ่อรู้สึกโมโหอยู่บ้าง ผมกับนาวีก็ได้แต่ก้มหน้ามองต่ำจนถูกเรียก

"เงยขึ้นมามองหน้าพ่อ"

"..."

"ทั้งคู่เลย"

ทั้งผมและนาวีเงยหน้าขึ้นมองตามคำสั่ง คิ้วของพ่อที่ขมวดกันแน่นอยู่นานคลายออกพร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ เลื่อนสายตามองเราสลับกันไปมา

"ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม"

เราทั้งคู่ส่ายหน้าพร้อมกัน พ่อนาวีจึงพยักหน้ารับ เราไม่โดนดุอะไรนอกจากความห่วงใยนั้น ก่อนนาวีกับพ่อจะแยกไปอีกทางเพื่อกลับบ้าน ผมยังยืนรอแม่ที่คุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ ระหว่างนั้นไอ้ธงทัพก็เดินเข้ามาหา ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นเพราะไม่อยากมองหน้ามัน แต่ดูเหมือนมันจงใจเดินเข้ามาหาผม เลยมาหยุดอยู่ตรงหน้า ไอ้ธงทัพไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรในการทะเลาะวิวาท มันไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเลยนอกจากยืนมองเฉยๆ

"มีอะไร"

"งานนี้กูไม่เกี่ยวนะเว้ย มึงจะมาโกรธกูไม่ได้นะ"

"ไอ้เหี้ยนั่นมันเพื่อนมึงไม่ใช่หรือไง"

"อ้าว! แล้วมันใช่ความผิดกูไหมอะ มึงเสือกไปเลือดร้อนต่อยมันก่อนเอง"

ผมไม่ได้เถียงอะไรต่อ หันหน้าหนีไปอีกทาง แต่มันยังพูดไม่จบ

"มึงก็ทำอะไรไม่ระวัง เล่นกันในห้องน้ำโรงเรียนมันใช่เรื่องป่ะวะ"

เท้าผมหยุดชะงักตอนมันพูดแบบนั้น

"คราวหลังก็ทำให้มันเนียนๆ ดิ จะได้ไม่โดนจับได้"

คำพูดของไอ้ธงทัพสะกิดความคิดบางอย่างในหัวผม ผมจึงหันกลับไปคว้าคอเสื้อมันผลักเข้ากับผนังตึก แล้วเอ่ยถามในสิ่งที่กำลังคิด

"ฝีมือมึงใช่ไหม"

"มึงพูดอะไร!"

"รูปนั้น มึงเป็นคนถ่ายใช่ไหม"

"ทำไมมาโทษกูวะ!"

"วันนั้นที่โรงยิมมึงก็อยู่ด้วย ในห้องน้ำมึงก็อยู่ด้วย"

"..."

"มึงยังคิดว่ากูฟ้องพ่อมึง มึงอยากเอาคืนเลยมาเสือกเรื่องของกูเหรอ"

"ไม่ใช่เว้ย!"

"ไม่ใช่มึงแล้วจะใคร!"

"กูจะไปรู้ไหมเล่า! กูไม่เกี่ยวเว้ย!"

"ภูผา!"

เสียงของแม่ที่เดินเข้ามาเรียกทำให้ทั้งผมและไอ้ธงทัพหันไปมอง ก่อนมันจะสะบัดตัวออกไป มันไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินออกไปอย่างหัวเสีย พอๆ กับแม่ที่ใบหน้าบึ้งตึงตรงเข้ามาดึงแขนผมให้เดินตามไปที่รถ

"ภูผา! ทำไมทำแบบนี้!"

"..."

"ตอบแม่"

"พูดไปแม่ก็ไม่ฟัง"

"ภูผาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ"

"..."

"เดี๋ยวนี้ทำตัวแย่มาก ตั้งแต่ไปรู้จักกับนาวีอะไรนั่น!"

"นาวีไม่เกี่ยวนะแม่"

"จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ก็ตั้งแต่ไปคบกับเพื่อนกับคนนั้นก็มีแต่ปัญหา ไปนอนค้างกับเพื่อนก็ไม่บอกแม่ แล้วยังมาสร้างเรื่องทะเลาะอะไรนี่อีก จะให้แม่คิดยังไง"

"มันไม่เกี่ยวกับนาวี"

"แม่ไม่ชอบนาวี!"

"แม่"

"เลิกคบกับเพื่อนคนนั้นไปเลย"

"แม่!"

"แม่ไม่สบายใจถ้าปล่อยให้ภูผาไปเป็นเพื่อนกับคนแบบนั้น!"

"ไม่อยากให้ภูกับนาวีเป็นเพื่อนกันเหรอ"

"ใช่!"

"งั้นแม่สบายใจได้เลย เพราะภูกับนาวีไม่ได้เป็นเพื่อนกัน"

.

.

.

"เราเป็นแฟนกัน"

 

 
To be continued.

 

กลายเป็นนิยายรายเดือนไปแล้วค่ะ เอาไว้อัพจบค่อยมาอ่านกันก็ได้เนอะ เกรงใจคนรอจัง ฮืออ แต่ยังไงอย่าลืมแวะมาหาเราบ้างนะ ขอโทษนะคะทุกคน รักนะ 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 09-12-2017 04:21:01
เรารอได้ค่ะ และเรายังติดตามนิยายของไรท์อยู่เสมอขอบคุณนะคะที่มาอัพให้เราชอบเรื่องนี้มากแต่ตอนนี้เราเครียดแล้วอ่ะกลัวแม่จับภูพาแยกกับนาวี
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 09-12-2017 07:44:31
คิดถึงนะเรารอเธอได้ เราชอบนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-12-2017 09:11:21
จากไม่มีอะไร แค่ถอดเสื้อพละ เสื้อนักเรียนเปลี่ยนกันใส่
กลายมาเป็นประเด็น

บางทีก็คิดถึงกฎโรงเรียน นร.ลืมก็หักคะแนนถูกทำโทษ
ยังไงเขาก็ใส่เสื้อนนร.มาเรียน
ไม่ได้ถอดเสือ หรือใส่เสื้อเที่ยวมาเรียนสักหน่อย
บางคนโทรให้ผป.เอาเสื้อมาให่้เปลี่ยน
ผป.บางคนก็เจออุบัติเหตุถึงเสียชีวิตก็มี
ไม่นับเสียเวลา เสียการงาน

แม่ภูผา ไม่ชอบนาวีว่าทำให้ลูกเปลี่ยนอยากให้ลูกเลิกคบ
เพราะภูผาทำตัวไม่ดี เหลวไหล
แต่การที่แม่อยากให้ภูผาเลิกคบกับนาวี
ก็เหมือนที่ภูผาอยากให้แม่เลิกเป็นเมียน้อย
แม่ทำได้ไหม
ถ้าทำได้ภูผาคงทำได้เหมือนกัน

ไนท์กับเพื่อนๆ ก็ปากดี คนแบบไนท์มีทุกที่ แจ๋น เสือกจริงๆ หุบปากแล้วจะตายมั้ง
พูดมากปากมีสีจริงด้วย
จะใช่ธงทัพเอาคืนภูผาหรือเปล่า แต่ธงทัพน่าจะรู้เห็นเรื่องนี้แม้ตัวเองไม่ได้ทำ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 09-12-2017 09:28:33
ช้าก็จะรอค่ะ รักนิยายรชาทุกเรื่องเลย  :กอด1:

ยังไม่แล้วใจ ช่วงวัยทำงานแล้วพี่นาวีหายไปไหน? เห็นแต่ธงทัพมาสนิทกับภูผามากขึ้น งืออออ อย่าให้ sad มากนะ เขาใจบางงงง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 09-12-2017 14:04:25
นานแค่ไหนเราก็รอ เพราสิงอยุ่ในเล้าอยู่แล้ว ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 09-12-2017 19:44:23
รอได้เสมอจ้า  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: ZYRUS ที่ 11-12-2017 15:07:03
เพิ่งเห็นว่าคุณเต้าหู้ไข่มีเรื่องใหม่ เราก็รีบกดเข้ามาอย่างเร็วเลยค่ะ
เจอเข้ากับโทนเรื่องที่ดูจะเทาๆกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา พร้อมกับชื่อสามคนตรงชื่อเรื่อง ขั้นแรกที่คิดก็เหมือนกับหลายคนว่า 3P รึเปล่า ฮาาา แต่เราก็ยังไม่อยากเดาอะไร รอดูไปเรื่อยๆดีกว่า ถ้าถามว่าตอนนี้อยู่ข้างใคร เราตอบนาวี /เขิน ตอบความสดใสที่ำให้น้องภูมีความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็แอบๆเหล่พี่ทัพ ที่ถึงดูไม่ค่อยจะถูกกัน แต่พี่ก็ไม่เข้ามาอะไร เหมือนคอยดูอยู่ห่างๆ...รึเปล่า ไม่อยากออกตัวเดาไรแบบมั่นใจมาก เดี๋ยวหน้าแตก 55555

ติดใจสุดๆคือตรงที่ทัพกับภูดูญาติดีกันตรงบทนำ และไม่ได้กล่าวถึงนาวี ไปอยู่ไหนคะ หรือที่ปวดท้องบ่อยๆจะทำให้เกิดอะไรน้ำตาตกภายหลังรึเปล่า เดามั่วไปหมด 5555 แต่คุณเต้าหู้ไข่บอกว่าไม่ดราม่า...เราจะเชื่อนะคะ  :hao5: อย่าทำร้ายเราเลย...จิตใจเราอ่อนแอมาก---

ตอนนี้น้องภูประกาศกับคุณแม่แล้ว รอชมตอนต่อไปค่ะว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาใจช่วยทุกคน คุณคนเขียนด้วยนะคะ~

ปล.ที่ลุ้นพอๆกับเรื่องรักๆของเหล่าพระนาย คือความสัมพันธ์ของน้องภูกับคุณแม่ ว่าจะไปทิศทางไหน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.5] 9/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-12-2017 19:44:16
อยากให้สามพีค่ะ เลือกไม่ถูกสงสารทั้งคู่ ทั้งนาวีกับจอมทัพ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 18-12-2017 03:23:46
Episode 6

 

ผมจึงกอดคุณ

ด้วยความรักทั้งหมดที่ผมมี


 

 

สองอาทิตย์สำหรับการถูกพักการเรียนคล้ายเป็นปิดเทอมระยะสั้นสำหรับผม ไม่มีอะไรต้องทำผมจึงว่างจนรู้สึกเบื่อ นาวีต้องไปสอบเข้ามหาลัยจึงเอาเวลาว่างไปเตรียมตัว ผมไม่รบกวนเขามากนัก เพียงแต่หาเวลามาเจอกันบางวันในตอนเย็น

 

"ติ๊ง!"

 

ผมเลื่อนสายตามองหน้าจอคอมฯ ที่ปรากฏหน้าต่างแชทของเฟสบุ๊ก ผมใช้เวลาว่างไปกับการเรียนรู้ที่จะใช้งานมันเพราะเพื่อนพากันบอกให้ใช้ เพื่อจะได้เป็นช่องทางการติดต่อที่ง่ายขึ้น แล้วการพูดคุยผ่านแชทก็เริ่มขึ้นมาตั้งแต่สองวันก่อน จนถึงตอนนี้ด้วยเรื่องสัพเพเหระ มาเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังบ้าง บอกต่องานที่ผมต้องทำส่งบ้าง ขณะกำลังคุยกับเพื่อนผ่านทางแชท เสียงเรียกเข้าของมือถือก็ดังขึ้น ผมหันมองแล้วเห็นว่าเป็นนุ่น จึงหยิบมากดรับ

(สะ...สวัสดีค่ะ ภูผา)

ผมหลุดหัวเราะออกมากับการทักทายของปลายสาย

"ว่าไงนุ่น"

(คือ เราจะโทรมาบอกว่ามีรายงานวิชาชีวะ อาจารย์ให้จับคู่กัน ไม่สิ อาจารย์จับคู่ให้ แล้วคือ...เราได้คู่กับภูผาน่ะ)

ผมเงียบฟังนุ่นก่อนตอบรับไปสั้นๆ

"อ๋อ"

(รายงานต้องส่งอาทิตย์หน้า ก่อนที่ภูผาจะกลับมาเรียน ภูผาพอจะหาเวลามาทำงานด้วยกันได้ไหม)

ผมเงียบไปอีกครั้งหลังฟังนุ่นพูดจบ คงเห็นว่าผมไม่ตอบอีกฝ่ายจึงพูดต่อ

(แต่...แต่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราทำเองก็ได้ เราแค่โทรมาบอกเฉยๆ เดี๋ยวเรา...)

"ได้ดิ" ผมสวนกลับไปแทรกประโยคของนุ่น

(ได้เหรอ)

"เราว่างทุกวันแหละ นุ่นนัดมาเลย"

(ถ้างั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นมาเจอกันนะ มีร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้ๆ ที่เรียนพิเศษเรา ไปเจอกันที่นั่นได้ไหม)

"ได้"

(เราจะรอนะ)

ผมลดมือที่ถือโทรศัพท์ลงมามองหน้าจอกระทั่งนุ่นวางสายไป ความคิดติดอยู่กับคำพูดของนุ่น ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่เห็นจากหน้าต่างแชทของเพื่อนที่ยังคุยค้างกันอยู่

 

Biw Phatorn: งานชีวะกูได้คู่กับมึง แต่นุ่นมาขอแลกว่ะ กูเลยให้แลกไป ไม่ว่ากูนะ

 

 

...

 

วันถัดมา ผมมาหานุ่นตามเวลาที่นัดเอาไว้ ในร้านกาแฟเล็กๆ ที่คนไม่เยอะจึงมองเห็นนุ่นก่อนใคร ผมเดินเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับนุ่น คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่จึงไม่ทันรู้ตัว เงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจนิดหนึ่งก่อนยิ้มกว้างให้

"มาแล้วเหรอ"

"รอนานป่ะ"

"ไม่นานเลย ภูผาอยากกินอะไรไหม ชาเขียวปั่นที่นี่อร่อยมากเลยนะ"

"กินไม่เป็นอะ"

"อ้าวเหรอ...งั้น...งั้นลองชิมก่อนไหม" นุ่นว่าแล้วยื่นแก้วชาเขียวของตัวให้อย่างเก้ๆ กังๆ ผมจึงยกมือปัดเป็นเชิงปฏิเสธ

"ทำงานเลยป่ะ"

"อ๋อ โอเค" นุ่นก้มลงหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาจากกระเป๋าเป้ แล้วขยับเก้าอี้เข้ามาหาผมนิดหนึ่ง อธิบายเรื่องรายงานให้ผมฟัง แล้วแบ่งงานให้ส่วนของผมให้จัดการ ผมกับนุ่นใช้เวลาอยู่พักใหญ่ๆ รายงานก็คืบหน้าไปจนเกือบจะเสร็จ ระหว่างนั้นผมเหลือบตาขึ้นมองนุ่นเพราะรู้สึกตัวว่าถูกมอง อีกฝ่ายรีบก้มหน้าลงตอนผมเงยหน้าขึ้นมอง ผมก้มลงพิมพ์งานต่อแล้วเอ่ยปากถาม

"มีอะไรเปล่า"

"คือ...ภูผาเป็นไงบ้างอะ หน้ายังช้ำอยู่เลย เจ็บหรือเปล่า"

"ไม่เจ็บหรอก"

"อ๋อ...เราเป็นห่วงนะ"

"ฮึ?"

"หมายถึงเรากับเพื่อนในห้องเป็นห่วงนะ มีคนถามหาภูผาเยอะเลย"

"ไม่เป็นไรแล้ว"

"อ๋อ...โอเค"

นุ่นพยักหน้ารับ ขยับแว่นนิดหนึ่งแล้วก้มลงไปทำงานต่อ

"เออใช่ ภูผามีเฟซบุ๊กแล้วใช่ไหม"

"อืม"

"รับเราเป็นเพื่อนด้วยสิ เราแอดเฟรนด์ไปนะ"

"ใช้ไม่ค่อยเป็นอะ สอนหน่อยสิ" ผมขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้นุ่นอีกจนแทบติดกัน อีกคนหันมองแขนผมที่เผลอไปชนกับแขนตัวเอง ก่อนพยักหน้ารับ ปิดหน้าต่างเวิร์ด แล้วเปลี่ยนเป็นเว็บเฟสบุ๊กแทน ผมเองก็ด้วย นุ่นอธิบายถึงปุ่มแจ้งเตือนที่เป็นสีแดง แสดงบัญชีของนุ่นที่ส่งคำขอเป็นเพื่อนมา ผมรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็พยักหน้าฟังนุ่นพูดไป น้ำเสียงเบาๆ ของคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกพูดต่อไปเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นตรงนี้ของเว็บไซต์ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังนักเพราะเผลอมองหน้าคนข้างๆ ด้วยความคิดบางอย่างในหัว นุ่นเป็นคนเรียนเก่ง พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อน ผมไม่คิดว่าตัวเองเคยสร้างปัญหาอะไรให้นุ่น หรือเคยทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า คิดทบทวนแล้วก็ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น

"นุ่น"

"หืม?"

"ถ้าอยากโพสท์รูปต้องทำยังไงอะ"

"ก็เหมือนโพสท์สเตตัสเลย แค่เปลี่ยนเป็นรูปตรงนี้"

"ถ้าอยากโพสท์ลงกลุ่มล่ะ"

"ก็เข้าไปที่กลุ่มก่อน แล้วก็โพสท์เหมือนปกติเลย"

"อ๋อ"

"..."

"เหมือนที่นุ่นโพสท์รูปเรากับนาวีใช่ไหม"

นุ่นหันขวับมองผม เบิกตาขึ้นนิดหนึ่งด้วยใบหน้าอึกอัก ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วหันมองนุ่น เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามซ้ำ 

"ภูผา พูดอะไร"

"นุ่นเป็นคนโพสท์รูปนั้น"

"เรา...ไม่ใช่นะ!"

"นุ่นอยู่ที่โรงยิมในวันกีฬาสี แล้วที่ห้องน้ำ เราไม่เคยพูดกับใครเลยว่าวันนั้นเราทำอะไรกับนาวีในห้องน้ำ แต่นุ่นพูดออกมาว่าเรากับนาวีเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเฉยๆ นุ่นรู้ได้ไงอะ"

"..."

"นุ่นจงใจเปิดรูปนั้นในห้องเรียนให้คนอื่นเห็น"

"..."

"นุ่นทำแบบนั้นทำไม"

นุ่นก้มหน้าลงไม่ยอมสบตา สองมือกุมชายเสื้อตัวเอง ยิ่งผมมองอย่างคาดคั้น นุ่มยิ่งก้มหน้าหนีกัดริมฝีปากแน่น

 

"กริ๊ง!"

 

เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังท่ามกลางความเงียบ ผมหันไปมองคนที่เดินเข้ามาก่อนนั่งลงโต๊ะเดียวกับเรา ผมไม่ได้ตกใจที่นาวีโผล่มาที่นี่เพราะเป็นคนนัดมาเอง แต่คนข้างๆ นิ่งไปครู่หนึ่งตอนหันไปเห็นนาวี

"หวัดดีนุ่น" คำทักทายของนาวีทำให้นุ่นยิ่งกดหน้าตัวเองลงไปอีกไม่ยอมเงยขึ้นมา นาวีเลิกคิ้วอย่างสงสัยตอนหันมามองหน้าผม ผมบอกกับนาวีไปแล้วเรื่องนุ่นหลังจากมั่นใจ ผมไม่ได้โกรธอะไรนุ่นเพียงแค่อยากรู้ว่านุ่นว่าทำไปเพื่ออะไร ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงความเงียบที่นุ่นแสดงออกมา ผมทิ้งให้ความเงียบทำงานอยู่ครู่หนึ่งอย่างน่าอึดอัด

"นุ่น บอกเราดิว่าทำแบบนั้นทำไม"

"..."

"นุ่น!"

"เราชอบภูผา!"

"ฮะ?" นาวีลั่นออกมาดูตกใจ ส่วนผมทำได้แค่เงียบตอนได้ยินเหตุผลของนุ่น คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแล้วหันมองหน้านุ่น

"เราชอบภูผา"

"พี่ไม่อนุญาต!" นาวีว่าเสียงดัง จนนุ่นก้มหน้าหนีลงไปอีกครั้ง แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม

"เราชอบภูผามาตั้งนานแล้ว เรารู้ว่าภูผาไม่ได้ชอบเราหรอก แต่เราแค่อยากให้ภูผาเลิกกับพี่เขาอะ!"

"พี่ไม่เลิกเว้ย!"

"นาวี..." ผมหันไปเรียกคนที่กำลังทำท่าโมโห

"เราก็แค่คิดว่าถ้าคนอื่นรู้ว่าภูผากับพี่นาวีเป็น...เป็นเกย์...คนอื่นคงรับไม่ได้ แล้วภูผาก็ต้องเลิกกับพี่นาวี"

"คิดได้ไงวะ" นาวีพูดอย่างโมโห ผมได้แต่ยกมือกุมขมับหมดคำจะพูด คิดไม่ถึงกับความคิดและการกระทำของนุ่น

"แล้วภูผามาทำให้เราชอบทำไมล่ะ..."

ผมไม่ได้ทำอะไร

ผมคิดอย่างนั้นแต่ไม่ได้พูด เพราะผมอาจไม่รู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองส่งผลต่อความรู้สึกนุ่นยังไง ผมอาจไม่รู้... เพราะหาคำตอบให้นุ่นไม่ได้จึงได้แต่เงียบ นาวีถอนหายใจยาวแล้วหันมองนุ่น

"นุ่น คือนุ่นจะชอบใครมันไม่ผิดหรอกนะ แต่สิ่งที่นุ่นทำมันสร้างปัญหาให้พี่กับภูผานะ นุ่นจะทำกับคนที่ตัวเองรักแบบนี้จริงๆ เหรอ"

"..."

"แล้วถ้านุ่นคิดว่าพี่กับภูผาจะเลิกกันเพราะสิ่งที่นุ่นทำอะ นุ่นคิดผิดแล้วเว้ย"

"..."

"มันทำให้เรารักกันมากกว่าเดิมอีก"

นาวีย้ำประโยคนั้นให้ชัดด้วยการยื่นมือมาจับมือผมแน่น นุ่นเลื่อนสายตามองสองมือของเราที่กุมกันอยู่ ก่อนเงยหน้ามองผม

"เราขอโทษนะ" นุ่นพูดแค่นั้นแล้วเก็บของวิ่งออกไปจากร้าน ทั้งผมและนาวีถอนหายใจออกมาพร้อมกันเบาๆ ก่อนนาวีหันขวับมามองผมตาขวาง

"อะไร"

"ยังไงล่ะเนี่ย มีผู้หญิงมาบอกรักด้วย"

"หวั่นไหวเลยนะ ใจสั่นเลยเมื่อกี้" ผมแกล้งพูดล้อเล่นขณะเก็บของใส่กระเป๋า แต่นาวีตรงเข้ามาหยิกแก้มผมแรงๆ ทีหนึ่ง

"เจ็บนะเนี่ย"

"เนื้อหอมมากไหมล่ะ!" นาวีพูดพลางเชิดปากใส่เคืองๆ ผมจึงโน้มหน้าลงไปหาแล้วสวนกลับไป

"ก็เคยดมแล้วนี่"

คนข้างๆ หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วยกศอกขึ้นกระแทกผม

"มีคนมาชอบแบบนี้ หวงแล้วอะ ทำไงดี"

"กับกูอะแค่นุ่นคนเดียว ของมึงอะครึ่งโรงเรียน กูยังไม่ว่าเลยนะ"

"เออ เอาไงดี ท้าตบหลังโรงเรียนเลยดีป่ะ"

"ไม่อะ"

"..."

"กูชนะแล้วตั้งแต่ได้มึงเป็นแฟน"

"หูย! เอาเรื่องว่ะ! เขินขาอ่อนเลยนะเนี่ย" 

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเก็บของออกมาจากร้าน นาวีตามออกมาด้วย ผมหันไปมอง เห็นว่าเขาอยู่ห่างจากผมไปสองสามก้าวเลยหยุดเดินแล้วยื่นมือไปหา อีกคนก็ยกมือขึ้นมาจับมือผมในจังหวะเดียวกัน ผมดึงนาวีมาข้างๆ แล้วเดินไปพร้อมกัน ผมไม่รู้ว่าจะมีคนอยากให้เราเลิกกันอีกสักกี่คน ผมจึงจะจับมือนาวีไว้ให้แน่นแล้วเดินต่อไปด้วยกันให้นาน นั่นคือความต้องการเดียวของผมในตอนนี้   

 

...

 

ผมมาอยู่ที่บ้านนาวีอีกครั้ง ทีแรกตั้งใจจะมาส่งแค่หน้าบ้านแต่พ่อกับแม่ของเขาอยู่พอดีเลยชวนเข้ามากินข้าวด้วยกัน พ่อกับแม่ของนาวีรู้แล้วเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป การยอมรับเกิดขึ้นอย่างไม่มีเงื่อนไข บรรยากาศที่บ้านนาวีกับบ้านผมต่างกันจนไม่อยากเปรียบเทียบ พ่อแม่ไม่ได้ต่อว่าเรื่องที่ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้นาวีถูกพักการเรียน แต่ก็ไม่ได้ละเลย วันแรกเราโดนอบรมกันอยู่พักใหญ่ๆ ผมรับฟัง ไม่เถียง คิดตาม และจดจำทุกคำสั่งสอน สัญญาจะไม่ทำมันอีก 

หลังจากจบมื้ออาหาร ผมมานั่งอยู่กับนาวีที่ห้องนั่งเล่น อีกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการทดลองใช้สีน้ำกล่องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ผมเพิ่งได้เห็นนาวีวาดรูปเป็นครั้งแรก แล้วก็ชื่นชมไปกับฝีมือของเขา ไม่คิดว่าจะวาดรูปได้สวยขนาดนี้ นาวีเป็นคนเก่ง มีความสามารถรอบด้าน บางครั้งดูแข็งแกร่ง บางครั้งอ่อนโยน ทุกส่วนประกอบในความเป็นนาวีไม่มากไม่น้อยไป ในสายตาผมนาวีสมบูรณ์แบบโดยไร้ข้อติติง แม้ดีเกินกว่าจะมีจริงแต่ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาเป็นคนที่ใครอยู่ด้วยก็ต้องชอบ ไม่แปลกที่จะมีคนชื่นชมเขาเยอะ แต่ยิ่งคิดแบบนั้นใจผมก็แกว่งจนเซ 

 

หวงแล้ว...ทำยังไงดี

 

ผมละความสนใจจากนาวีแล้วหันมองไปด้านนอก ฝนที่กระหน่ำตกลงมาพักใหญ่เป็นเหตุให้อากาศเย็นกำลังสบาย เสียงฝนกระทบหลังคาคล้ายเป็นเสียงดนตรีดังคลอไปกับเสียงกีตาร์ของพ่อนาวีที่นั่งเล่นอยู่อย่างอารมณ์ดี ผมขยับตัวนิดหนึ่งแล้วทิ้งหัวฟุบลงบนโต๊ะ นาวีเหลือบตาขึ้นมอง

"ง่วงแล้วเหรอ"

"อือ"

"คืนนี้จะนอนที่นี่ใช่ไหม"

"อือ"

"บอกแม่แล้วใช่ป่ะ"

ผมไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แล้วโกหกด้วยการพยักหน้ารับ ผมยังไม่ได้บอกแม่ พูดให้ถูกคือผมยังไม่ได้พูดกับแม่เลย ตั้งแต่วันที่ผมบอกแม่เรื่องของผมกับนาวี จนถึงวันนี้แม่ไม่คุยกับผมเลย ไม่มีอาหารเช้าสำหรับผม ไม่มีการพูดคุยแม้เพียงทักทาย แม่โกรธมากกว่าทุกครั้ง แล้วผมก็ดื้อด้านเกินกว่าจะทำตามที่แม่ขอ เพราะผมเลิกกับนาวีเพียงเพราะแม่บอกว่าไม่ชอบไม่ได้

"สองทุ่มเองมึงจะง่วงแล้วเหรอ"

"อือ" ผมรับคำอยู่ในลำคอ แล้วขยับหัวไปซุกแขนอีกคนอย่างคลอเคลีย เพื่อเรียกร้องความสนใจ

"อะไรของมึง อ้อนกูเหรอ"

"อือ"

"เป็นอะไรอะ ง่วงก็นอนไป"

"นอนด้วยกัน"

"เสร็จนี่ก่อน มึงนอนก่อนเลย"

ผมส่ายหัวเบาๆ ชนเข้ากับแขนของเขา นาวีหัวเราะแล้วยกมือบีบแก้มผมค้างเอาไว้ 

"งอแง เดี๋ยวเตะกลิ้ง"

ผมเหลือบมองตาขวาง ก่อนกดหน้าตัวเองลงบนโต๊ะ ปล่อยให้นาวีวาดรูปต่อ คนที่กำลังตั้งใจกับภาพวาดนั่นไม่ทันได้สนใจผมที่ไล่สายตามองเขาตั้งแต่ใบหน้า ผ่านลำคอขาว มองไหล่กว้างไล่ลงสู่ท่อนแขน ไปจนถึงนิ้วมือเรียวสวยนั่นที่กำลังจับพู่กันบรรจงแต้มสีลงภาพวาดบนกระดาษร้อยปอนด์ ผมมองอีกมือของนาวีที่วางอยู่เฉยๆ ก่อนเลื่อนมือตัวเองไปหยิบปากกาเมจิกสีดำขึ้นมา แล้วขีดเขียนลายลงไปบนข้อมือเขา

"อะไร แกล้งทำไม"

"เฉยๆ" ผมบอกแค่นั้นแล้วค่อยๆ วาดรูปนั้น หมึกสีดำตัดกับผิวขาวของเขาคล้ายรอยสัก นาวียกข้อมือตัวเองขึ้นดูรูปที่ผมวาด 

"คืออะไรอะ กราฟชีพจรเหรอ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ มองเส้นหยักขึ้นๆ ลงๆ ที่วาดลงบนข้อมือของเขา ดูไปก็คล้ายกับเส้นชีพจรอย่างที่เขาว่า แต่ผมจงใจวาดให้มันเป็นอย่างอื่น

"มันคือภูเขา" ผมใช้ปลายปากกาที่ปิดฝาแล้วลากเส้นไปที่รอยหยักด้านบน

"แล้วข้างล่างนี่ล่ะ" นาวีชี้รอยหยักด้านล่าง 

"แม่น้ำไง"

นาวีพิจารณามองลายเส้นนั้นก่อนจะพยักหน้าออกมาพร้อมรอยยิ้ม 

"ภูผา กับ นาวี"

ผมพยักหน้ารับ 

"สวยอะ สักจริงเลยดีป่ะ"

"ไม่เอา ไม่อยากให้ตัวมึงเป็นรอย เกลี้ยงๆ ดีแล้ว"

นาวีได้แต่ยิ้มหน่อยๆ ขณะตายังมองอยู่กับรูปที่ข้อมือตัวเอง เราไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนแม่นาวีจะเดินออกมาเรียกผมจากในครัว

"ภูผา"

"ครับ"

"มาช่วยแม่หน่อยลูก"

ผมลุกไปหาแม่นาวีในครัวที่กำลังจัดขนมหวานใส่จาน ประมาณสามสี่อย่าง ก่อนถูกใช้ให้ยกไปที่หน้าทีวี แม่ถือแก้วน้ำผลไม้ตามมานั่งที่โซฟาแล้วหันไปเรียกพ่อให้มานั่งตรงนี้ด้วยกัน เสียงพูดคุยของคนในครอบครัวก็เริ่มต้นอีกครั้ง วันนี้ที่นี่ก็อบอุ่นหัวใจเช่นเคย   

"ภูผาจะไปกรุงเทพฯ กับนาวีไหม"

"นาวีไม่ให้ไปอะครับ" ผมหันไปตอบพ่อ เพราะก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะตามนาวีไปสอบตรงที่กรุงเทพฯ เป็นเพื่อน แต่อีกคนไม่ยอม

"ก็กูไปวันเดียวก็กลับแล้ว มึงจะไปทำให้เหนื่อย ต้องไปรอกูอีก อยู่นี่แหละไม่ต้องร้องตาม"

"เออ ก็ได้"

"กลับมาค่อยไปเที่ยวกัน"

"กลับมาแล้วไปทะเลกันไหม" ผมชวน นาวีรีบพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย แล้วหันไปหาพ่อ 

"ไปนอนที่รีสอร์ทอากานต์ได้ใช่ไหมพ่อ"

"ได้สิ เดี๋ยวพ่อโทรบอกอาให้"

"เดี๋ยวพี่รีบกลับมาแล้วพาไปเที่ยวทะเลน้า" นาวีว่าแล้วยกมือบีบแก้มผมแล้วเขย่าเบาๆ แก้มผมกลายเป็นของเล่นของนาวีไปแล้ว ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม คิดไปถึงทะเล ขนาดว่าบ้านอยู่ใกล้ก็ยังไม่ได้ไปซะนาน จึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งถ้าได้ไปกับนาวี ก็คงจะเป็นโอกาสที่ดี   

"ไปทะเลกับภูผา เสียตัวแน่เลยอะแม่"

"แค่ก!" น้ำผลไม้ในปากผมพุ่งออกมาอย่างเหนือการควบคุม แม่นาวียกมือตบหลังผมที่ไอไม่หยุดพร้อมเสียงหัวเราะของคนทั้งบ้าน ผมหันมองนาวีด้วยตาขวางๆ  นาวียังคงพูดล้อเล่นต่อ

"ทำไมอ่า ที่ทะเลบรรยากาศดีนะ"

"ตลกแล้ว"

"วางแผนปล้ำมึงดีกว่า"

"พี่นาวี!" ผมจะเรียกเขาแบบนี้ในเวลาที่จริงจัง ดุเขานิดหน่อยเพราะพ่อกับแม่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย แต่นาวีไม่ได้สนใจ ขณะที่พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังหันไปพูดล้อเล่นกับลูกตัวเอง 

"อย่าลืมป้องกันนะลูก" 

"แม่ครับ!" 

"โอ๊ย! พอๆ ภูผาเขินตายแล้ว" พ่อหันมาปรามขณะที่ตัวเองก็หยุดหัวเราะไม่ได้ ผมเขินจริงอย่างที่เห็น ใบหน้าร้อนผ่าวไปถึงใบหู มองจากที่ไกลๆ ยังรู้ว่าผมหน้าแดง นาวีหัวเราะหน่อยๆ ยกมือบิดแก้มผมอีกที แล้วโน้มหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผม

"อยากไปไวๆ แล้วเนอะ"

ผมเหลือบตามองขวาง แต่ในใจก็คิดไม่ต่าง...อยากให้วันนั้นมาถึงไวๆ เหมือนกัน

 

...

 

 

การรอคอยยาวนานนับเป็นวินาที หลายวันที่ผ่านมาผมเอาแต่เฝ้ามองเข็มวินาทีที่หมุนไปเพื่อตั้งหน้าตาตั้งตารอวันนั้น กระทั่งมันมาถึง ในที่สุดผมกับนาวีก็ได้มาทะเลอย่างที่คิด นาวีพาผมมาพักที่รีสอร์ทติดชายหาดของญาติเขา เรามาถึงที่นี่ในตอนเย็นๆ จึงทันเห็นพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ตกดินลงไปกระทั่งฟ้าเปลี่ยนสี ริมชายหาดเริ่มมืดมีเพียงแสงไฟจากริมทางไกลๆ กับแสงดวงจันทร์จางๆ ที่ส่องสว่างถึงตรงนี้ ผมนั่งมองน้ำทะเลที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาโดนเท้า ก่อนย้อนกลับลงทะเลไป เป็นเช่นนั้นอยู่นาน กระทั่งเสียงของคนข้างๆ ดังขึ้นแทรกเสียงคลื่น

"ชอบไหม"

"ทะเลหรือมึง"

นาวีเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มก่อนสวนกลับมา

"ทะเลดิ"

"ชอบ"

"แล้วกูอะ"

"ชอบมากกว่าทะเลนิดหนึ่ง"

"ตั้งนิดหนึ่ง?"

ผมยักคิ้วให้หน่อยๆ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงมือถือของนาวีดังขึ้น เจ้าของมือถือจึงหยิบออกมากดรับ ผมได้ยินว่าเป็นแม่ นาวีลุกออกไปรับโทรศัพท์ คุยกับแม่พลางเดินออกไปไกลจากผม  หันมองผมแล้วชี้เข้าไปในรีสอร์ทเป็นเชิงบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในนั้น ผมจึงพยักหน้ารับแล้วนั่งรออยู่ตรงนี้ นาวีหายเข้าไปในนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินกลับออกมาพร้อมเบียร์สองกระป๋องในมือ นั่งลงข้างๆ ผม เปิดกระป๋องเบียร์แล้วส่งให้ ผมรับมาทั้งที่ดื่มไม่เป็น นาวีเปิดอีกกระป๋องแล้วกระดกเข้าปากในทันที แล้วหันมองผมที่ยังไม่ยอมดื่มด้วย

"ทำไมอะ"

"กินไม่เป็น"

"ไม่เคยเหรอ"

"ไม่อะ"

"ลองดิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม รสชาติแปลกใหม่ของมันไม่ถูกปากจนแสดงออกได้ชัดผ่านใบหน้าเหยเก เป็นเหตุให้นาวีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขยำแก้มผมทีหนึ่ง 

"เด็กน้อยเอ๊ย"

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวแม่ดุ" ผมพูดขำๆ แล้ววางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างๆ ตัว 

"แล้วนี่มึงบอกแม่แล้วใช่ไหมว่ามาเที่ยวกับกูอะ"

ผมพยักหน้ารับ แน่นอนผมโกหก ผมไม่ได้บอกแม่ และขณะเดียวกันก็ยังไม่มีเหตุผลดีๆ เอาไปแก้ตัวกับแม่ในวันที่ผมกลับไป 

"ภูผา"

"ฮึ?"

"แม่มึงไม่ชอบกูใช่ปะ"

ผมหันมองนาวี ไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นาวีคงเข้าใจคำตอบผ่านใบหน้าเรียบเฉยของผม  ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของเขา ก่อนอีกฝ่ายจะเขยิบเข้ามาหา ให้ระยะกายเราได้ใกล้กันกว่าเดิม ผมเลื่อนมือตัวเองไปกุมมือนาวีเอาไว้ ขณะที่เขาก็ทิ้งหัวตัวเองลงบนไหล่ของผม ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง แล้วพูดออกมาเบาๆ

"ภูผา ถ้าสมมติ..."

"..."

"สมมติว่าเราต้องเลิกกันล่ะ"

คำถามผ่านน้ำเสียงลำบากใจของนาวีกระตุกหัวใจผมไปครู่หนึ่ง ความคิดในหัวกระทบกับความรู้สึกจนนิ่งไป ผมกุมมือนาวีแน่นกว่าเดิม แล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างทุกครั้ง

"ให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ"

แม้เป็นคำพูดปลอบใจนาวี แต่กลับทำร้ายจิตใจตัวเอง ผมเองก็โตพอจนถึงจุดที่เข้าใจ ว่าบนโลกใบนี้มีหลายสิ่งซึ่งไม่มีอยู่จริงแต่มักจะหลอกหลอนเรา อย่างเช่น ความมั่นคง ความแน่นอน และคำว่าตลอดไป ราวกับทุกเรื่องเป็นเพียงสิ่งสมมติ แม้กระทั่งตอนนี้ เวลานี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน...

ผมหันมองนาวีที่กระดกเบียร์หมดกระป๋อง แล้วหยิบอีกกระป๋องของผมขึ้นดื่มอีก

"พอแล้ว เดี๋ยวก็เมาหรอก"

"ทำไม กลัวกูเมาแล้วจะจับปล้ำมึงเหรอ"

"ตลกละ" ผมพูดกับนาวี แต่สายตาหันไปเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเดินผ่านเท้าผมไป จึงหันไปให้ความสนใจมัน ลุกพรวดจนนาวีที่พิงไหล่ผมอยู่ทรุดไปกับพื้นทราย

"อะไรอะ"

"ปู" ผมบอกขณะวางมือกับพื้นให้ปูตัวนั้นไต่ขึ้นมาบนฝ่ามือแล้วยกมันให้นาวีดู 

"เห็นปูแล้วทิ้งกูเลย?"

"น่ารัก" ผมยิ้มออกมานิดหนึ่งขณะมองดูปูตัวเล็กกว่าปลายนิ้วไต่ไปตามนิ้วผม นาวีขยับเข้ามาดูด้วย มองดูปูสลับกับจ้องหน้าผมแล้วยิ้มออกมาเช่นกัน

"เออ น่ารักดี"

"ปูหรือกู?" 

"มึงอยู่แล้ว!" 

"อื้อ!" ผมร้องออกมาตอนที่นาวียกมือขึ้นขยำแก้ม แรงไปจนต้องหันหน้าหนี แต่นาวีไม่หยุดแกล้งผม ผมจึงปล่อยปูในมือลงน้ำแล้วลุกวิ่งหนีเขา อีกฝ่ายก็ลุกวิ่งตาม วิ่งไล่กันอยู่บนพื้นทราย ก่อนผมถูกนาวีจับโยนลงน้ำทะเลด้วยแรงที่ขัดขืนไม่ได้ รู้ตัวอีกทีผมก็หัวทิ่มลงทะเลไปอย่างง่ายดาย

"นาวี!"

"อ่อนอะ!"

"เปียกหมดเลย"

"อะ มาๆ ลุก" นาวียื่นมือทำท่าจะช่วยผม แต่พอผมจับมือนาวีได้ก็ดึงลงน้ำด้วยกัน นาวีรู้อยู่แล้วว่าผมจะทำแบบนั้นเลยไม่ได้ฝืน แล้วกลิ้งลงน้ำมาด้วยกัน เล่นกันจนพอจึงสงบศึกด้วยการนอนจับมืออยู่เฉยๆ ขณะยังแช่อยู่ในน้ำ แม้เย็นเฉียบที่ผิวกาย แต่อบอุ่นที่หัวใจ

 

...ไม่ว่ามันจะจริงหรือสมมติ นาวีก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตผม ผมเองไม่ได้เพิกเฉยต่อความเป็นจริง เพียงแค่ยังเพ้ออยู่กับความฝัน ผู้คนไร้ตัวตน บนโลกกว้างเหลือเพียงผมกับเขา หลงใหลและดำดิ่งอยู่ในสิ่งสมมติราวกับจมลงใต้ทะเลลึก ผมจมลงเรื่อยๆ แต่มีนาวีเป็นดั่งอากาศหายใจ นาวีจับมือผมไว้ แม้จะถูกคลื่นลมแรงซัด หรือจมลงไปลึกแค่ไหน นาวีจะจับมือผมไว้ หากการจมลงใต้ทะเลลึกจะพาให้ผมหลีกหนีผู้คนและความเป็นจริงได้ ผมก็ยินดีจะจมอยู่ใต้ผืนน้ำนั้น แค่มีนาวีจับมือผมไว้ ผมต้องการแค่นั้น

 

            …

 

            เที่ยงคืนกว่าๆ หลังจากเล่นสนุกกันอยู่ที่ริมหาดจนพอใจก็พากันกลับมาที่รีสอร์ท นาวีเข้าไปอาบน้ำไม่นานก็ออกมา หยิบเสื้อตัวหนึ่งออกจากเป้แต่ยังไม่ยอมใส่ ผมเห็นนาวียกมือจับไหล่ด้านหลังของตัวเองอยู่สองสามครั้งแล้วพยายามจะมองมัน

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่รู้โดนอะไรมา"

"ไหนมาดูดิ"

นาวีเดินเข้ามานั่งตรงหน้าผม ก่อนผมจะเห็นเข้ากับรอยแดงยาวๆ เหมือนโดนอะไรบาดที่ไหล่ด้านหลังของเขา ผมลูบรอยแดงนั่นเบาๆ

"เจ็บเปล่า"

"ไม่อะ แค่แสบๆ ช่างมัน เดี๋ยวก็หาย"

"กลัวเป็นแผลเป็น ไม่อยากให้มึงเป็นรอย"

นาวีหันหน้ามาหาผม แล้วเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง 

"เป็นอะไรกับร่างกายกูมากป่ะ จะเป็นรอยนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยเหรอ"

"เออ เสียของ"

"ไอ้บ้า!"

ผมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่งตอนนาวียกมือเขกหัวผมเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาวีที่สบตากับผมอยู่

"ถ้าเป็นรอยก็แปลว่าเป็นแผล เป็นแผลก็แปลว่ามึงเจ็บ"

"แล้วไง"

"กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บ"

นาวีเม้มปากเข้าหากัน ก่อนขยับเป็นรอยยิ้ม 

"มึงหยอดหน้านิ่งๆ อะ กูไม่รู้จะเขินดีหรือเปล่า"

"กูก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่ก็อยากให้มึงเขิน"

ทั้งผมและเขาหลุดยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนนาวีจะยกสองมือขึ้นจับแก้มผมให้มุมปากคลี่ออก 

"กูชอบเวลามึงยิ้ม"

"กูก็ชอบยิ้มเวลาอยู่กับมึง"

ผมพูดแค่นั้น ก่อนรอยยิ้มมันก็เผยขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ รอยยิ้มของผมก็เกิดขึ้นได้เพราะรอยยิ้มของเขาอยู่เสมอ เพราะหน้าที่ของริมฝีปากไม่ได้มีไว้เพื่อยิ้มอย่างเดียว ผมจึงใช้ริมฝีปากนั้นทำหน้าที่ของมันอีกอย่างด้วยการก้มลงประกบริมฝีปากของอีกคนอย่างแผ่วเบา นาวีขยับริมฝีปากตัวเองรับรอยจูบของผมในวินาทีเดียวกัน ระยะกายที่ใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอีกคน ทำไมนาวีหอมกว่าทุกวัน ทำไมผมไม่อยากหยุดแค่จูบนั้น ผมถอยออกมาก่อน แล้วเงยมองหน้านาวี ผมไม่มีคำพูดใดนอกจากเสียงในหัวใจที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ผมอยากรู้นาวีจะเป็นเหมือนกันไหม จึงยกมือทาบหน้าอกข้างซ้ายของเขา สัมผัสเสียงหัวใจนั้น ผมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนลดมือลงแล้วก้มลงจูบอกข้างนั้นของเขาแทน เพื่อ ขอบคุณหัวใจดวงนั้นที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

นาวีประคองหน้าผมขึ้นจูบริมฝีปากอีกที ก่อนผมละจากริมฝีปาก ไล่ลงต่ำสู่ลำคอขาว กลิ่นหอมของเขาล่อลวงผมจนยากจะห้ามใจ นาวีขยับคอให้ผมฝังรอยจูบลงตรงนั้นได้ถนัด

"ภูผา"

เสียงเรียกของนาวีหยุดการกระทำของผม 

"เดี๋ยวเป็นรอย"

"ไม่ได้เหรอ"

"ไหนบอกไม่อยากให้เป็นรอยไง"

 

ทุกสิ่งใดในโลกล้วนมีข้อยกเว้น...

 

ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แกล้งทำเป็นลืมเรื่องที่ตัวเองพูด แล้วทำสิ่งที่กำลังทำต่ออย่างห้ามไม่ได้ นาวีไม่ได้ขัดขืน ทุกอย่างเป็นไปด้วยความตั้งใจ ผมฝากรอยจูบลึกฝังไว้ที่ลำคอ แล้วขยับริมฝีปากตัวเองขึ้นกระซิบบอกเขาเบาๆ

.

.

.

"รอยนี้เป็นข้อยกเว้น"

 


...


To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 18-12-2017 06:19:07
เรารักนิยายเรื่องนี้มากไปไม่ อ่่านแล้วมันอิ่มเอมในหัวใจแบบอธิบายไม่ถูกชอบบรรยากาศที่อบอวลรอบๆตัวของทั้งสองคนยิ่งเวลาที่ภูผาอยู่กับครอบครัวของนาวีมันอบอุ่นมากนาวีโชคดีที่มีครอบครัวอบอุ่นพ่อแม่เข้าใจทำให้ภูผาของเรารู้สึกสบายใจและอบอุ่น ขอบคุณที่อัพนะคะไรท์ :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 18-12-2017 08:56:25
เป็นนิยายที่ให้บรรยากาศชมพูอมเทาอ่ะ
ไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไง แต่ทำปัจจุบันให้มีความสุขที่สุดก็พอ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 18-12-2017 13:37:51
อ๋อยย เราขอโทษนะคะเราลืมไปเลยว่าตามเรื่องนี้อยู่กลับมาเจออีกทีก็อัพบทที่หกแล้ว แต่อ่านมาถึงนี่แล้วเรายังเดาไม่ออกเลยค่ะว่าเรื่องจะลงเอยที่ตรงไหน ธงทัพกับภูผานี่จะไม่ญาติดีกันจริงๆใช่ไหมแล้วภูผากับนาวีละจะรักกันตลอดไปมั้ยหรือจะมีอุปสรรคเข้ามาให้เลิกกัน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-12-2017 20:06:40
แม่ไม่รู้อะไร นาวีเป็นเหมือนโอเอซิสให้ภูผาได้พักพิง อยากให้คู่นี้รักกัน อยู่ด้วยกันนาน ๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 18-12-2017 21:51:00
จะ 3p มั๊ยนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.6] 18/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 20-12-2017 00:05:31
ณ ปัจจุบันก็ยอมรับว่ามีความสุขมากกกกกับการเป็นอยู่ของผูผากับนาวี แต่ในใจก็มีเผื่อใจไว้บ้างว่าอาจจะไม่ใช่คู่นี้เพราะนี่ยังมัธยมกันอยู่เลยเดาทางเรื่องไม่ออก ฮืออออ อ่านไปเผื่อใจไป55555555//
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 25-12-2017 01:46:16
Episode 7   



 แล้วคุณก็หายไป
ในวันที่คุณกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม


 

 

ผ่านไปเกือบปีแล้วที่ผมยังคงความสัมพันธ์กับนาวีในฐานะเดิม ความดื้อดึงของตัวเอง พาผมมาได้ไกลกว่าที่คิด ตอนนี้นาวีไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กลายเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ส่วนผมเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย เราเจอกันน้อยลงเพราะนาวีกลับบ้านแค่เดือนละครั้ง หรือบางเดือนก็ไม่กลับ แต่ทุกครั้งที่กลับมา เราจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ทำเรื่องที่อยากทำ คุยเรื่องที่อยากคุย ผมรู้ว่าเขามีงานเยอะจนแทบไม่ได้นอน กลับมาบ้านผมก็ไม่ค่อยอยากชวนไปไหน ส่วนใหญ่เขาก็จะหอบเอางานจากมหาลัยกลับมาทำที่บ้านอีก อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ตอนที่นาวีวุ่นวายอยู่กับงาน ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกจากนั่งมองเฉยๆ โดยไม่รบกวน   

ขณะที่นาวีกำลังจริงจังกับงานศิลปะในมือ ผมก็จริงจังกับการมองหน้าเขาอย่างไม่ละสายตา เพราะเขาเป็นนักศึกษามหาลัยแล้ว ตอนนี้เลยดูโตกว่าผม แค่ผมยาวขึ้นก็เปลี่ยนบุคลิกของนาวีไปอย่างเห็นได้ชัด  ยิ่งเวลาใส่ชุดนักศึกษายิ่งเสริมให้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมไปเยอะ มีหลายครั้งที่ความคิดเดิมๆ จะพุ่งเข้ามาในหัวตอนมองหน้าเขา นาวีไม่ควรเกิดเร็ว และผมก็ไม่ควรเกิดช้า

"ภูผา"

ผมเลิกคิ้วขึ้นตอนนาวีเงยหน้าขึ้นมาเรียก 

"จ้องขนาดนี้ กินกูเข้าไปเลยดีไหม"

"ก็ไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเดือนแล้วอะ"

"มองกันแบบนี้ก็เกินไป มองแล้วก็ทำหน้าแบบนี้คืออะไร" นาวีว่าแล้วชี้นิ้วเข้ามาระหว่างคิ้ว ผมมักมีใบหน้าที่เรียบเฉย แต่เผลอขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อยครั้ง ผมคลายหัวคิ้วออกแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มหน่อยๆ

"คนคิดถึงก็หน้าตาแบบนี้แหละ"

นาวีเม้มปากกลั้นรอยยิ้มก่อนก้มลงไปวาดภาพต่อ ขณะที่ผมก็ไม่ได้ลดสายตาจากเขาไปทางอื่น เป็นเช่นนั้นอยู่เนิ่นนานกระทั่งแม่นาวีเดินเข้ามาเรียกให้ไปกินข้าว แต่นาวียังไม่ยอมขยับเพราะไม่อยากละงานในมือ ผมจึงเร่งเขาอีกที 

"นาวี ไปกินข้าวก่อนดิ"

"ไม่หิวได้ไหมอะ"

"ไม่ได้ เดี๋ยวปวดท้อง ไปเร็ว"

"โห่ ทำงานอยู่อะ"

"เดี๋ยวค่อยกลับมาทำต่อก็ได้"

"แต่งานมัน..."

ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากขมวดคิ้วแน่นมองหน้าเขา

"ดูทำหน้า"

"นี่หน้าตาของคนโมโหแล้ว"

"โมโหอะไรอะ"

"มึงดื้อ"

"กูเปล่า"

"เปล่าก็ไปกินข้าวดิ อย่าให้ต้องโมโห"

"เออๆ ยอม" นาวีละงานในมือแล้วลุกมาจากตรงนั้น ปากก็พูดพึมพำบางคำออกมาคงจงใจให้ผมได้ยิน แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ฟัง เดินนำเขาเข้าไปที่ห้องครัว แล้วลอบยิ้มออกมาหลังประโยคนั้นจากปากเขาจบลง   

 

"หน้าตาตอนโมโหนี่น่ารักจริงๆ นะ"   

 

หลังจากมื้ออาหารจบลง นาวีกลับไปทำงานต่อจนเสร็จ ก่อนใช้เวลาหลังจากนั้นพูดคุยอยู่กับผม ผมกลายเป็นฝ่ายฟังมากกว่าเพราะนาวีมีเรื่องมากมายที่มหาลัยมาเล่าให้ฟัง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกคณะที่อยากเรียนต่อ เคยได้ยินว่าการทำตามความฝันเป็นเรื่องยาก แต่ผมกลับเจอเรื่องที่ยากกว่า คือการค้นหาความฝันที่มันยังไม่เจอ

 

ตอนนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรเลย นอกจากนาวี...

 

"เฮ้ย นี่ๆ หนังเรื่องนี้อะอยากดู" นาวีใช้มือข้างหนึ่งสะกิดผม อีกข้างชี้ไปที่โฆษณาภาพยนตร์ในทีวี ผมหันมองตามไปด้วยเพื่อดูโฆษณาหนังที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

"พรุ่งนี้ไปดูกันป่ะ"

ผมพยักหน้ารับ แม้ไม่มีความสนใจอะไรในหนังเรื่องนั้นเลย แต่ถ้านาวีชวนผมก็ตกลงในทันทีอย่างทุกครั้ง

"ไม่ได้ไปดูหนังด้วยกันนานแล้วเนอะ"   

"ก็กลับบ้านบ่อยๆ สิ บ้านไกลมากหรือไง"

"บ้านมันไม่ได้ไกลหรอก แต่งานมันเยอะไง นอนไม่พอสักวันอะ" นาวีพูดเสียงอ่อนพลางทำหน้ายุ่ง แล้วล้มตัวลงนอนลงบนตักผม คำว่านอนไม่พอของเขาฟ้องอยู่บนใบหน้าโทรมๆ นั่นตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นแล้ว เพราะความจำเป็นจากเรื่องเรียนที่ทำให้ต้องอดหลับอดนอนทำงานส่งอาจารย์ ผมจะไปบังคับให้นอนเร็ว หรือห้ามไม่ให้ทำงานก็ไม่ได้ บางทีตีสองตีสามนาวียังโทรมาบ่นกับผมอยู่เลย   

"โกรธป่ะ"

ผมก้มลงมองนาวีที่อยู่บนตัก อยู่ๆ ก็ถามแบบนั้นขึ้นมา ความไม่เข้าใจทำให้คิ้วขมวดเข้าหากัน นาวีจึงขยายความคำถามนั้นต่อ 

"กูไม่มีเวลาให้เลย"

ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ในใจก็โกรธ...โกรธตัวเองที่เอาแต่คิดถึงนาวีตลอดเวลาเลย บางวันไม่เป็นอันทำอะไรด้วยซ้ำ ยังไม่ชินกับการห่างไกลแม้จะผ่านไปนานเท่าไร นาวีทำให้ผมเข้าใจความคิดถึงอย่างลึกซึ้ง ความคิดถึงจริงๆ มันก็ทรมานอยู่ไม่น้อยเลย   

"แล้วทำหน้าแบบนี้คืออะไรอะ หน้าตาของคนโกรธหรือเปล่า"

"คืนนี้นอนด้วยกันนะ" ผมไม่ได้ตอบคำถามนาวีแล้วพูดอีกอย่างออกไปแทน ได้ยินแบบนั้นอีกคนก็เลยพยักหน้ารับแบบเลยตามเลย 

"บอกแม่แล้วใช่เปล่าว่าจะนอนนี่อะ"

ผมโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่องแม่เพื่อให้นาวีสบายใจ ทั้งที่ความจริงสวนทางกัน แม่ก็ยังคงพร่ำบ่นเรื่องเดิมๆ ความดื้อดึงของผมก็ขัดแย้งกับแม่ตลอดมา แม่ทำหน้าที่ของแม่เหมือนเดิม แม่ทำข้าวเช้าให้ แม่ให้เงิน แม่ไปงานประชุมผู้ปกครอง แต่สิ่งเดียวที่แม่ยังไม่ทำ คือการยอมรับผมกับนาวี

นาวีไม่ได้พูดอะไรต่อ หยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ ก่อนมาหยุดอยู่ที่ช่องสารคดี ผมไม่ได้สนใจทีวีเลย เพราะเอาแต่มองหน้าคนบนตักอยู่อย่างนั้น

 

ตอนนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรเลย นอกจากนาวี...

 

ผมเปรียบเป็นขุนเขาที่แห้งแล้ง นาวีคือผืนน้ำที่โอบกอดผม นาวีต่อชีวิตให้ผมจนคิดไม่ถึงเลยว่า หากมีวันหนึ่งที่นาวีปล่อยมือผม ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร

"เด็กๆ"

ทั้งผมและนาวีหันมองเสียงของพ่อที่ตะโกนเรียกขณะที่เดินเข้ามาในบ้าน แล้วชูถุงในมือขึ้นสูงโชว์ให้พวกเราดู 

"มีใครอยากกินเค้กไอติมบ้าง"

"เค้กไอติม!"

"อะ กินเลยเดี๋ยวละลาย"

คนบนตักผมลุกพรวดตอนได้ยินชื่อของกินนั่นแล้วลุกไปรับกล่องเค้กมาจากพ่อ

"ภูผาชอบ"   

ผมไม่ปฏิเสธว่าเค้กไอติมเป็นของกินอย่างหนึ่งที่ผมชื่นชอบ แต่คนข้างๆ ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่าตอนที่เปิดกล่องออกแล้วทำตาลุกวาวตอนเห็นเค้กไอติมรสช็อกโกแลต ประดับหน้าด้วยสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตสลับกับคุ้กกี้แอนด์ครีม แม่นาวีจัดการตัดแบ่งให้ แม่นาวีก็รู้ว่าผมชอบกินเลยตัดชิ้นของผมใหญ่เป็นสองเท่าของนาวี แต่สตรอว์เบอร์รี่หน้าเค้กถูกคนข้างๆ ฉวยตัดหน้าไปก่อน นาวีหันมาหัวเราะใส่ผมตอนที่แย่งสตรอว์เบอร์รี่ไปได้ ผมใช้จังหวะที่นาวีมองหน้าผมอยู่ เลื่อนมือไปแย่งสตรอร์เบอร์รี่ที่ชิ้นของเขาบ้าง เจ้าของรู้ตัวก็โวยลั่นบ้านทันที

"เฮ้ย! แย่งอะ!"

"ก็แย่งก่อนอะ"

"คายออกมาเลย!"

"คายให้แล้วจะกินต่อป่ะ"

ผมถามพลางใช้ลิ้นดันสตรอว์เบอร์รี่ในปากออกมาใช้ฟันกัดไว้เบาๆ รอให้นาวีมาเอาคืน อีกคนเหลือบตามองพ่อกับแม่ที่ไม่ทันได้สนใจเรา แล้วยื่นหน้ามาชิงเอาของในปากผมไปด้วยริมฝีปากของเขา ครู่เดียวที่ริมฝีปากแตะกันก็ทำให้ทั้งผมและเขาหลุดยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน

"ไปเอาน้ำดีกว่า" นาวีพูดแค่นั้นแล้วลุกออกไป ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะแลบลิ้นเลียความหวานจากครีมที่ติดอยู่ที่มุมปาก ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในกระเป๋าของนาวีจึงหันไปเรียก

"นาวี โทรศัพท์"

"ใครอะ ดูให้หน่อย"

ผมหยิบกระเป๋าเขาที่วางอยู่กับพื้นมาเปิดหาโทรศัพท์ ขณะล้วงลงไปหยิบแต่มือผมคว้าบางอย่างขึ้นมาแทนโทรศัพท์ สายตาผมมองซองบุหรี่ที่อยู่ในมือ ก่อนหันมองหน้านาวีที่เดินเข้ามาพอดี ผมจึงทิ้งซองบุหรี่ไว้ที่เดิมแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ ไม่ทันได้พูดชื่อที่มองเห็น นาวีก็เดินเข้ามาถึงพอดีแล้วหยิบไปกดรับ  ผมหันมองทางอื่นขณะที่นาวีนั่งลงข้างๆ เพื่อคุยโทรศัพท์ ผมจึงได้ยินบทสนทนานั่นไปด้วย

"ว่าไงมึง กูอยู่บ้านดิ ไรนะ!"

เสียงดังของนาวีดึงความสนใจทั้งผมและพ่อแม่ให้หันไปมอง เจ้าของเสียงที่แสดงสีหน้าตื่นตกใจก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วคุยโทรศัพท์ต่อ 

"เออ เดี๋ยวกูกลับไปเลยก็ได้ เชี่ยเอ๊ย ซวยชิบหาย!" นาวีสบถคำหยาบแล้วกดวางสาย 

"มีอะไรลูก"

"งานที่ส่งไปมีปัญหาอะพ่อ ต้องส่งวันนี้วันสุดท้ายด้วย ไม่รู้ว่าไฟล์ยังอยู่เปล่าเดี๋ยวต้องรีบกลับไปดู ถ้าไฟล์ไม่อยู่แล้วนี่คือซวยสุดๆ"

"นี่จะกลับเลยเหรอ"

"ครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าถ้าไม่ติดงานอะไรจะกลับมาละกัน" นาวีว่าขณะเก็บงานใส่กระเป๋า ผมเสียใจนิดหน่อย เพราะรอนาวีกลับบ้านมาเป็นเดือน เพื่อได้อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ด้วยความจำเป็นทั้งหมดผมจึงเรียกร้องอะไรไม่ได้ นอกจากช่วยเขาเก็บของใส่กระเป๋าแล้วเป็นคนมาส่งที่ท่ารถตู้ 

"โทษทีนะภูผา พรุ่งนี้อดไปดูหนังด้วยเลยอะ"

"ไม่เป็นไร รีบกลับไปทำงานเหอะ"

"อาทิตย์หน้าอาจกลับนะ"

"อือ รอนะ"

"โอเค ตั้งใจเรียนด้วยนะ"

"มึงก็เหมือนกัน กินข้าวให้ตรงเวลา นอนให้พอ"

"ครับผม งั้นไปนะ" นาวีโบกมือให้ผมทีหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปที่จุดซื้อตั๋ว ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือดึงกระเป๋าเป้เขาเอาไว้ก่อน อีกคนจึงหันขวับมามอง

"มีอะไรภูผา"

ผมไม่ได้พูดอะไร นอกจากเปิดกระเป๋านาวีแล้วหยิบซองบุหรี่ที่อยู่ในนั้นออกมา ทันทีที่นาวีหันมาเห็นก็ดูตกใจเพียงครู่หนึ่ง ก่อนแสร้งหันมองไปทางอื่น

"อันนี้ขอนะ"

"ไม่ได้ติดนะเว้ย แค่..."

"ขอเรื่องหนึ่ง"

"..."

"อย่าเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ไม่ดี อย่าทำอะไรให้เป็นห่วง"

"โอเค ขอโทษ ไม่ทำแล้ว" นาวีรับคำแล้วปลดเป้ออก ล้วงเข้าไปในกระเป๋า แล้วส่งไฟแช็กที่หยิบมาจากในนั้นส่งให้ พอผมยื่นมือไปรับนาวีก็กำมือพร้อมไฟแช็กนั่นแล้วยื่นนิ้วก้อยออกมาแทนพร้อมคำหนึ่งคำ   

"สัญญา"

ผมพยักหน้ารับแล้วยกนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวนิ้วนาวีไว้ แล้วรับเอาไฟแช็กนั่นมา ก่อนนาวีเดินออกไป ผมยืนอยู่ตรงนั้นกระทั่งรถตู้คันที่เขาขึ้นจะขับออกไป พอนาวีออกไปจากตรงนี้ความคิดถึงก็เข้ามาแทนที่ทันที มากมายจนไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง

 

คิดถึงอีกแล้ว ทำยังไงดี...

 

 

...

 

 

ผมกลับมาที่บ้านหลังจากส่งนาวีขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว คิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่เดินมาถึงหน้าบ้านแล้วเห็นรถของลุงวุธจอดอยู่พอดี ผมยืนอยู่ห่างๆ มองลุงวุธกับแม่ที่เดินเข้าบ้านไปพร้อมกัน ใจอยากเดินหนีออกไป แต่ผมก็หนีมามากพอจนเข้าใจว่าการหันหลังให้สิ่งที่ไม่อยากเจอ มันไม่ใช่ทางออก วันหนึ่งก็ต้องวนมาเจอกันอีก ผมไม่มีทางหนีพ้น จึงเดินเข้าบ้านไปด้วย ตอนที่ลุงวุธหันมามอง ผมทำได้เพียงยกมือไหว้แล้วตั้งใจจะเดินขึ้นห้อง แต่แม่เรียกผมเอาไว้ก่อน

"ภูผา"

ผมไม่ได้ขานรับ แต่หันมอง

"มากินข้าวด้วยกันสิ"

"กินมาแล้วครับ" ผมตอบแค่นั้นแล้วเดินขึ้นห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์กับซองบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาวางไว้บนโต๊ะ จิตใจคิดถึงแต่เรื่องอื่นจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าแม่เดินตามขึ้นมาด้วย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่มาเรียกอยู่หน้าประตูแล้ว

"ภูผา"

ผมหันมองแม่ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเสียนิสัย รู้ตัวจึงรีบคลายหัวคิ้วออกแล้วหันไปตอบรับ

"แม่มีอะไร"

"แม่กับลุงวุธมีเรื่องอยากจะคุยด้วย..." แม่เว้นประโยคแล้วเงียบไปตอนที่สายตาหันไปมองของที่อยู่บนโต๊ะ ซองบุหรี่ที่แม่เห็นทำให้สีหน้าของแม่เปลี่ยนไป

"นี่มันอะไร"

"ไม่ใช่ของภู"

"แล้วของใคร"

"ไม่ใช่ของภูก็แล้วกัน"

ผมพูดแค่นั้นแล้วดึงซองบุหรี่กลับมา

"ของนาวีใช่ไหม"

"แม่ก็เอานาวีมาเกี่ยวทุกทีอะ"

"ก็มีแต่นาวี ที่ทำให้ภูผาเปลี่ยนไปแบบนี้ นี่โตแล้วนะควรจะรู้ว่าอะไรดีไม่ดี นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะ จะทำตัวแบบนี้ใช่ไหม"

"แล้วแม่สนใจด้วยเหรอ"

"ว่าไงนะ"

"แม่สนใจภูด้วยเหรอ เคยสนใจด้วยเหรอ"

แม่แสร้งมองไปทางอื่นพร้อมเสียงถอนหายใจ ครู่หนึ่งจึงหันกลับมา 

"ที่แม่ไม่สนใจเพราะพูดอะไรไปก็ไม่เคยฟังไง"

"..."

"ภูเลือกนาวี ไม่เลือกแม่"

"แม่ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่นาวีหรอก แต่แม่ไม่ยอมรับในสิ่งที่ภูเป็นต่างหาก"

"แต่นาวีทำให้ภูเปลี่ยนไป ตั้งแต่รู้จักกับเขาก็ดื้อกับแม่ตลอด เมื่อไรจะเลิกๆ กันไปสักที"

"แม่ไม่มีสิทธิ์มาบอกให้ภูเลิกกับนาวี"

"ภูผา!"

"แล้วตอนที่ภูขอให้แม่เลิกกับลุงวุธ แม่ทำได้ไหมล่ะ"

"..."

"แม่คิดว่าการที่ภูชอบผู้ชาย มันน่าอายกว่าสิ่งที่แม่กำลังเป็นเหรอ เรื่องของแม่มันทุเรศกว่าอีก" 

"เพี๊ยะ!"

มือของแม่ฟาดใส่หน้าผมด้วยความโกรธ ผมรู้ดีว่าพูดออกไปก็จะทำให้แม่โกรธมากกว่าเดิม แต่ผมหยุดไม่ได้แล้ว ความในใจของผมมันปะทุออกไปไม่สนแม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นแม่ของผม

"ภูผา อย่าทำตัวมีปัญหาได้ไหม!"

"ภูก็เป็นปัญหาของแม่มาตั้งแต่เกิดแล้วนี่"

"ภูผา!"

"มีอะไรกันหรือเปล่า"

ทั้งผมและแม่หันมองลุงวุธที่เดินขึ้นมาเรียก แม่ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันกลับไปยิ้มให้ลุงวุธก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ

"ไม่มีอะไรค่ะ ลงไปกินข้าวกันเถอะ"

"ภูผาล่ะ ไม่ลงไปด้วยกันเหรอ"

"ไม่ครับ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วดึงประตูห้องปิดและล็อก ก่อนเดินกลับไปทิ้งตัวเองลงบนเตียง เกิดคำถามในหัวมากมายจนยุ่งเหยิง แต่คำตอบกลับว่างเปล่า ผมไม่รู้ว่าทำไมในบรรดาคนที่ไม่ยอมรับผม ทำไมหนึ่งคนนั้นต้องเป็นแม่ด้วย ลุงวุธคือความสุขของแม่ นาวีก็คือความสุขของผม แม่น่าจะเข้าใจ แม่ควรจะเข้าใจ

 

ผมอ่อนแออีกครั้ง และอยากให้นาวีอยู่ใกล้ๆ ผมชั่งใจอยู่นานก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทรหานาวี เสียงรอสายดังอยู่นานก่อนจบลงด้วยการที่เขาไม่รับสาย สายที่สอง สายที่สามจนผมยอมแพ้ โลกของนาวีอาจมีผู้คนมากมายอยู่ในนั้น มีแสงสว่าง มีแต่เรื่องดีๆ แต่โลกของผมมีแค่นาวีคนเดียว...ผมควรจะทำยังไง

 

ผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผมยังคงนอนไม่หลับเพราะเรื่องกังวลใจที่ค้างคาอยู่ในใจ นั่งมองมือถือกระทั่งแสงสว่างและเสียงจะดังขึ้นบ่งบอกว่านาวีโทรกลับมา ในแทบจะทันทีที่ผมหยิบมันมารับสาย

(มีอะไรเปล่าภูผา กูยุ่งๆ ไม่ได้จับมือถือเลย)

"ถึงแล้วใช่เปล่า"

(ถึงนานแล้ว)

"แล้วทำอะไรอยู่อะ จะนอนยัง"

(ยังทำงานอยู่เลย เฮ้ยมึง หยิบอันนั้นให้กูหน่อย...)

ผมเงียบเพราะประโยคที่นาวีคุยกับเพื่อนไม่ใช่กับผม ก่อนเสียงเพื่อนเขาจะตอบโต้กลับมา อีกคนก็โต้ตอบกลับไปต่อบทสนทนานั้นอยู่ครู่หนึ่ง จึงกลับมาคุยกับผม

(แล้วมีอะไรเปล่าอะ เห็นโทรมาตั้งหลายสาย)

"ไม่มีอะไรแล้วแหละ"

(คิดถึงกูอะดิ)

"อือ คิดถึง"

(อ้าว กะจะล้อเล่น)

"คิดถึงจริงๆ ว่ะ"

(เป็นอะไรเปล่าภูผา... ไอ้วี! มึงจะเอาอันไหนเนี่ย มาหยิบไปดิ!)

ผมจำเป็นต้องเงียบไปอีกทีเพราะนาวีไปคุยกับเพื่อน คราวนี้นานเสียจนผมคิดว่าเขาลืมว่าคุยอยู่กับผม จึงเอ่ยเรียกเบาๆ

"นาวี"

(...)

"นาวี!"

(เออ ฟังอยู่ๆ พูดต่อดิ)

"ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"

(อ้าว...)

"มึงทำงานเหอะ ไม่กวนแล้ว"

(โทษทีนะ งานเยอะโคตร)

ผมตอบรับแล้วกดวางสายไป แม้อยากเล่าบางเรื่องให้เขาฟัง แม้อยากได้เพียงคำปลอบใจ แต่ไม่เป็นไร นาวีเหนื่อยอยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากทำให้เขาเหนื่อยเพิ่ม ปัญหามีเยอะอยู่แล้ว ผมจึงไม่อยากทำตัวมีปัญหาอีก

 

...

 

เข็มวินาทีของผมเชื่องช้าอีกครั้งหลังจากต้องรอคอยใครสักคน ผมพยายามอย่างมากเพื่อจัดการตัวเองให้อยู่ในจุดที่พอดี ที่ผ่านมาความสุขกับความกังวลใจมันสมดุลกัน ในตอนที่มีความสุขก็มักมีเรื่องให้กังวลใจ ในตอนที่กังวลใจความสุขก็ฉุดรั้งให้ความรู้สึกมันเสมอกัน แต่ในวันนี้ใจผมเอนเอียงไปทางความกังวลใจมากกว่า

 

ผมไม่ใช่คนงี่เง่า

 

ผมบอกตัวเองให้เชื่อแบบนั้นเสมอว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งผมกลับต้องมานั่งทบทวนตัวเองเพราะความไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจตัวเอง ผมไม่เข้าใจนาวี ผมไม่เข้าใจความห่างไกล ผมมักประนีประนอมความรู้สึกของตัวเองด้วยคำว่า ไม่เป็นไร แต่ความจริงมันสวนทางกัน ผมเป็น และเป็นมากขึ้นทุกที เพียงเพราะนาวีไม่มีเวลาให้ผม นาวีไม่กลับบ้านเลย นาวีโทรหาผมน้อยลง ขณะเดียวกันก็มักไม่รับสายผม นาวีไม่เคยอยู่ด้วยเลยในวันที่ผมต้องการ  นาวีปล่อยให้ผมคิดถึง...และทำได้แค่คิดถึง

 

เสียงมือถือผมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ใจคิดว่าเป็นนาวีเลยรีบหยิบมันมา แต่ปรากฏว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนแทน ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์มากนัก แต่คราวนี้น้ำเสียงผิดหวังของผมมันคงแสดงออกไปชัดเจนจนปลายสายถึงกับฟังออก 

"ว่าไงมึง..."

(ทำไมทำเสียงแบบนั้นวะ ผิดหวังเหรอที่เป็นกูโทรมา)

"เปล่า แล้วมีอะไร"

(วันนี้วันเกิดไอ้นัทไง มึงลืมเปล่า ไหนบอกจะมา)

"เออว่ะ"

(เชี่ย! ลืมเพื่อนเลยนะมึงอะ รีบมาเลย นี่มากันครบแล้ว)

"ที่บ้านมันใช่ไหม"

(เออ เอาเสื้อผ้ามานอนนี่เลยก็ได้นะมึง)

"เออๆ เดี๋ยวไป" ผมบอกกับมันแล้วลุกจากที่นอน มองชุดนักเรียนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนหลังจากกลับจากโรงเรียนซึ่งตอนนี้ยับยู่ยี่ แต่ก็ขี้เกียจเกินจะเปลี่ยนชุดเลยตั้งใจจะออกไปทั้งอย่างนั้น หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งใส่เป้ ขณะเดินออกไปนอกบ้าน แม่ก็เดินสวนเข้ามาพอดี

"จะไปไหน"

"บ้านเพื่อน"

"บ้านใคร นาวีเหรอ"

"ไม่ใช่" 

"อย่ามาโกหกแม่นะภู"

"นาวีมันไปเรียน ภูจะไปบ้านมันทำไม บอกว่าไปบ้านเพื่อนก็บ้านเพื่อนดิ"

"แล้วจะกลับกี่โมง" 

"ไม่กลับ" 

"ภูผา! นี่จะเอาใหญ่แล้วนะ!"

ผมถอนหายใจทีหนึ่งแล้วหันกลับไปหาแม่

"ทำไมดื้อแบบนี้นะภูผา"

"ก็ตบเลยดิ"

"ภูผา!"

"แม่ถนัดอยู่แล้วนี่"

"จะไปไหนก็ไป!" แม่พูดปัดๆ แล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป ผมเองก็เดินออกมาจากบ้าน ผมไม่อยากทะเลาะกับแม่แล้วแต่ก็เป็นแบบนี้ทุกที ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแม่แย่ลงเรื่อยๆ ผมนึกโกรธตัวเองทุกครั้งที่ความคิดผิดบาปเกิดขึ้นในหัวผมอยู่หลายครั้ง 

 

หากว่าไม่มีแม่...

 

...

 

ผมมาอยู่ที่บ้านไอ้นัท เพื่อนกว่าครึ่งห้องก็มารวมกันอยู่ที่นี่ในงานวันเกิดของมัน เสียงเพลงที่เปิดเบาๆ ดังคลอกับเสียงพูดคุยของเพื่อนๆ ผมก็ยังเป็นคนฟังมากกว่าคนพูด เรื่องราวของเพื่อนผ่านหูไปอย่างไม่ได้สนใจอะไรนัก ยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดกเข้าปากสองสามครั้งก็หมดแก้ว ผมคุ้นชินกับแอลกอฮอล์รสชาติประหลาดในวันนั้น แต่ไม่กล้าบอกว่ามันอร่อยหรือดียังไง เพราะผมก็แค่เด็กม.ปลายที่เพียงอยากรู้อยากลองรสชาติของมัน เมามายไปกับมัน แล้วท้ายที่สุดก็ทรมานเพราะมัน

"ไอ้ภู มือถือมึงร้องอะ"

ผมวางแก้วเบียร์แล้วรับกระเป๋าจากเพื่อนที่โยนมาให้ทั้งใบ ล้วงหาโทรศัพท์ในนั้น เห็นว่าเป็นนาวีเลยรีบเดินออกมากดรับ 

"ว่าไงนาวี"

(อยู่ไหนอะ เสียงดังจัง)

"บ้านเพื่อนอะ"

(อ๋อ เออ กูจะโทรมาบอกว่า...)

"มึงกลับบ้านเหรอ ถึงไหนแล้ว ให้ไปรับเปล่า"

(เปล่าๆ ใจเย็นๆ กูไม่ได้กลับ)

"อ้าว...เหรอ"

(จะโทรมาบอกว่าไม่ได้กลับนี่แหละ)

"งานเยอะ?"

(อือ โทษทีว่ะ งานเยอะจริงๆ ไม่มีเวลาเลย)

"อือ"

(มึงโกรธกูปะเนี่ย)

"กูโกรธได้ป่ะล่ะ"

(ภูผา...)

"กูทำอะไรได้ป่ะล่ะ"

(ไม่เอางี้ดิวะ ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวัน กูไม่ได้โทรมาเพื่อชวนทะเลาะนะเว้ย)

"กูก็ไม่ได้ชวนทะเลาะ กูแค่อยากรู้ว่ากูจะทำอะไรบ้าง นอกจากทนคิดถึงมึงอยู่ที่นี่ กูจะทำอะไรได้บ้าง"

(ภูผา)

"แล้วมึงคิดถึงกูบ้างไหม"

(มึงอยากให้กูตอบว่าไงวะ)

"มึงก็แค่ตอบมาว่าคิดถึงไง โกหกกูก็ได้"

(ภูผา มึงก็รู้ว่ากูงานเยอะ กูไม่ได้หายไปเพราะอย่างอื่นเลยนะ มึงน่าจะเข้าใจ มึงอย่ามางี่เง่าว่ะ)

"..."

(เฮ้ย...ขอโทษ...กูไม่ได้ตั้งใจ)

ผมไม่มีอะไรจะพูดหลังจากคำว่างี่เง่ามันออกมาจากปากเขา แต่ผมไม่เถียง เพราะผมกำลังเป็นแบบนั้น กำลังวุ่นวายกับเขามากไป กำลังทำตัวติดเขาจนไม่ยอมเข้าใจเขา รักกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมจนมองข้ามสิ่งอื่นไป มีหลายอย่างพุ่งชนเข้ามาจนความหนักแน่นของผมสั่นคลอน ความห่างไกลของเรา การไม่ยอมรับของแม่ และความงี่เง่าของตัวเอง ผมรับมือกับหลายสิ่งเหล่านี้ไม่ไหว  เพราะผมกลัวผมจึงกลายเป็นคนอ่อนแอ

 

เพราะตอนนี้ชีวิตผมไม่มีอะไรเลย นอกจากนาวี...

 

(ภูผา เอาไว้คุยกันทีหลังนะ) 

"เมื่อไร"

(ก็วันหลังไง เดี๋ยวว่างๆ ค่อยคุยกัน)

"แล้วมันเมื่อไรล่ะ"

(ก็ตอนที่กูว่างไง!)

"ก็แค่บอกมาว่าเมื่อไร บอกมาว่ากูต้องรอไปถึงเมื่อไร"

(ภูผา รอหน่อยได้ไหม แค่รอมันจะตายหรือไง!)

 

นาวีกดวางสายไปก่อนที่จะฟังคำตอบจากผม นาวีไม่ใช่ฝ่ายที่ต้องรอ นาวีคงไม่รู้  การรอคอยมันไม่ทำให้ตายหรอก…

 

 

แต่มันทรมาน

 

To be continued.


หมดความหวานแล้วค่ะสังคม  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 25-12-2017 10:30:00
ภูผาไม่มีที่พึ่งทางใจเลย เหมือนทั้งชีวิตมีแค่นาวี
ฮือ สู้ๆนะภูผา จะต้องผ่านมันไปให้ได้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 25-12-2017 12:24:57
อยากจะร้อง :m15: สู้นะภูผา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 25-12-2017 13:52:23
สุดท้ายแล้วอย่าเอาใจตัวเองไปผูกไว้ที่เท้าใคร

เราหวังว่าภูผาจะทำใจแล้วยืนคนเดียวให้ได้นะคะ :katai1:


มา edit ถามค่ะว่า season 2 นี่ season 1 คือเรื่องไหนคะ แฮ่
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-12-2017 14:00:43
นี่แหละ ความห่างไกล มักเป็นปัญหาของความรัก

นาวี น่าจะมีงานจริง
แต่ในความจริงงานจะมากมาย
จนลืมคิดถึงคนรัก จนลืมโทรหาคนรัก ก็น่าคิด
แล้วแม้บ้านไม่ค่อยกลับ โทรไปไม่รับ
เวลาโทรหาภูผา มีความรำคาญใส่ให้ภูผารับรู้ด้วย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ความห่างไกล สังคมใหม่
จะนำพาคนใหม่ๆมาหานาวีเช่นกัน
เป็นห่วงความรักของทั้งคู่
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 25-12-2017 19:27:19
ทรมานแทนอ่ะ เหนื่อย เข้าใจความรู้สึกของภูผาเลย มันทรมานจริงๆนะ รอทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน กลัวใจนาวีด้วย อยากอ่านทางมุมของนาวี :z10:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 26-12-2017 10:02:56
กลัวอ่ะ นาวีอย่าทิ้งภูผานะภูผารักนาวีมากจริงๆน้องอาจจะอ่อนแอไปบ้างเพราะทั้งโลกของภูผามีแค่นาวีประคับประคองกันไปนะเราขอร้อง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 27-12-2017 23:22:05
เชียร์ธงทัพ×ภูผาค่ะ  :mew3:

รอธงทัพมาดามใจภูผา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.7] 25/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 28-12-2017 01:38:41
เศร้าอะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 02-01-2018 23:18:18
Episode 8


คุณยังจับมือผมอยู่

แต่ไม่แน่นเหมือนก่อน


 
 

"ภู"

"..."

"ไอ้ภู"

"..."

"ไอ้ภูผา!"

เสียงดังของเพื่อนดึงสติที่หลุดลอยของผมกลับเข้ามา ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่ดับไปแล้วหันมองหน้าเพื่อนข้างๆ

"เป็นอะไรวะ เห็นยืนอยู่ตรงนี้มานานละ"

"กูออกมาคุยโทรศัพท์อะ"

"คุยเสร็จแล้วก็เข้าไปข้างในดิ ไปเร็ว"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่ความคิดบางอย่างก็แทรกเข้ามาในหัว ผมจึงหันไปดึงแขนเพื่อนที่กำลังจะเดินออกไปเอาไว้ก่อน

"มึงไปส่งกูหน่อยดิ"

"มึงจะกลับบ้านเหรอ"

"เปล่า จะไปกรุงเทพฯ"

ผมไม่อยากให้บทสนทนาของผมกับนาวีมันจบไปแบบนั้น ผมกลัวเกินกว่าจะอยู่เฉยๆ จึงตั้งใจจะไปหาเขา ไปคุยกันต่อหน้า อย่างน้อยถ้าเขาอยู่ตรงหน้า ผมจะจับมือเขาเอาไว้ได้ ผมจะกอดเขาและผมอาจคุกเข่าลงตรงหน้าเขา หรืออะไรก็ตามที่ต้องทำ เพื่อให้เราไม่โกรธกัน

 

ผมเคยมาหอพักของนาวีครั้งหนึ่งเมื่อปีก่อน จำทางได้ไม่แม่นแต่ก็พาตัวเองมาถึงที่นี่ตอนห้าทุ่มกว่าๆ ผมโทรหานาวีหลายครั้งจนเขายอมรับสายในครั้งที่หกหรือเจ็ด ผมจำไม่ได้ ยืนรออยู่หน้าหอครู่เดียว เขาก็เดินลงมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง 

"ภูผา!"

"..."

"มาได้ยังไง แล้วมาทำไม!"

"..."

"แล้วนี่แม่รู้หรือเปล่า มึงได้บอกแม่หรือเปล่าว่าจะมา ภูผา!"

ผมไม่ตอบแม้สักคำถาม แล้วดึงนาวีเข้ามากอดเอาไว้   

"ไม่ทะเลาะกันนะ"

"..."

"วันนี้เหนื่อยแล้ว"

สิ้นเสียงของผม นาวีจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกมือกอดผมกลับ แต่เพียงวินาทีเดียวนาวีก็ผละตัวออกไปจากผม หันมองคนที่เดินเข้ามาเรียกซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้นาวีปล่อยมือออกไปจากผม เดาว่าเป็นเพื่อนเขา   

"ไอ้วี..."

 ผู้ชายคนที่เดินเข้ามาเรียกเว้นวรรคประโยคแล้วหันมองผม

"ใครอะ น้องมึงเหรอ"

 ผมคิดว่าเขาคงเดาเอาจากชุดนักเรียนของผมเลยสรุปสถานะนั้นมาให้ แต่นาวีไม่ได้ตอบ ขณะที่เพื่อนเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปก่อน

"งานมึงเสร็จยังเนี่ย"

"ยังเลย ของมึงอะ"

"เทแล้วไอ้สัด ปั่นไม่ทัน พรุ่งนี้คณะก็นัดไปทำกิจกรรมห่าอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ ไม่มีเวลาหายใจแล้วกูอะ งั้นเดี๋ยวกูขึ้นห้องก่อน ไปนอนละ" 

"เทจริงเหรอวะ"

"เออดิ ไปละ เจอกัน" เพื่อนเขายกมือตบไหล่นาวีสองสามทีแล้วหันมายิ้มให้ผม ก่อนเดินขึ้นตึกข้างๆ ไป นาวีก็พาผมขึ้นมาบนห้องของตัวเอง ผมกวาดสายตามองสภาพห้องรกๆ ของเขาแล้วก็เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาหลายอย่าง คำว่าไม่มีเวลาของนาวีถูกย้ำชัดขึ้นมาในตอนนี้   

"กูยังทำงานค้างอยู่เลย มึงรอ..."

"..."

"รอแป๊บหนึ่งได้ไหม"

ผมพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงที่ปลายเตียง มองดูนาวีที่นั่งลงไปกับพื้นกับกองกระดาษและงานที่ทำค้างอยู่ ผมเพียงนั่งมองเฉยๆ มีคำพูดมากมายอยู่ในหัวแต่ไม่ได้พูดออกไปเพื่อรบกวนเขา ผมไม่ได้ละสายตาจากอีกคนที่กำลังจริงจังกับงานอยู่ตรงนั้น วันนี้นาวีอยู่ในเสื้อบาสตัวเก่าที่คุ้นตา เขาบ่นกับผมหลายครั้งว่าอยากกลับไปเล่นบาสแต่ไม่มีเวลา

 นาวีไม่มีเวลา...   

ผมกลายเป็นคนงี่เง่าเพราะเขาไม่มีเวลาให้ผม ทั้งที่ความจริงนาวีไม่มีเวลาสำหรับอะไรเลย ไม่มีเวลากระทั่งดูแลตัวเอง ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ นาวีกำลังมีชีวิตใหม่ นาวีกำลังเหนื่อยกับการปรับตัว และนาวีอาจกำลัง...เหนื่อยกับการมีผมอยู่

"ภูผา"

เสียงของนาวีเรียกผมให้เงยหน้าไปมอง

"แม่มึงรู้ไหมว่ามาที่นี่"

"ไม่รู้"

"โทรไปบอกเขาดีไหม"

"ไม่เป็นไร บอกเขาไว้ว่าจะนอนบ้านเพื่อน"

"วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ"

"ไม่อยากเจอกูเหรอ"

"เปล่า แต่แม่มึงจะเป็นห่วงเอา"

"ไม่พูดถึงแม่ได้ไหม"

"เออ ก็ได้ มึงไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ เสื้อผ้าในตู้อะหยิบเอาเลย"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ผมเห็นว่าเสื้อผ้าของนาวีถูกทิ้งกระจัดกระจายจึงจัดการเก็บมันให้เป็นระเบียบ รวมถึงโต๊ะหนังสือ เตียงนอน กระทั่งกองขยะที่มุมห้อง อาจช่วยไม่ได้มากเพราะนาวีไม่ให้ยุ่งกับกองงานของเขาแต่ก็สะอาดขึ้น เสร็จจากตรงนั้นผมจึงไปอาบน้ำ ออกมานาวีก็เสร็จงานพอดี คนที่นอนอยู่บนเตียงดึงมือผมให้ลงไปนอนด้วย

"เหนื่อย"

ผมยกมือปัดผมหน้าของนาวีที่ยาวลงมาปิดตาออก มองดูใบหน้าโทรมๆ ของอีกคนแล้วก็เข้าใจคำว่าเหนื่อยของเขา มีไม่กี่คำที่ผมอยากถาม กินข้าวตรงเวลาไหม ได้นอนพอหรือเปล่า แต่คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ดูแลตัวเองขนาดนั้น

"ตกลงว่ามึงมาหากูทำไมเนี่ย"

"คิดถึง"

นาวียิ้มรับแล้วสวนอีกคำกลับมา

"ขอโทษนะ"

"ขอโทษทำไม"

"ที่กูว่ามึงงี่เง่า กูหงุดหงิดอยู่อะ ขอโทษนะ"

"กูไม่อยากให้เราทะเลาะกัน"

"อือ ไม่ทะเลาะแล้ว"

ผมพยักหน้ารับ

"แต่วันหลังมึงโทรกลับมาก็ได้นะ ไม่เห็นต้องมาหาถึงนี่เลย"

"มันกอดไม่ได้"

"ไรนะ"

"คุยกันผ่านโทรศัพท์ มันกอดกันไม่ได้"

ผมพูดอย่างนั้นแล้วยกมือขึ้นกอด นาวีก็ขยับตัวเข้ามาให้ผมกอดได้พอดี ตัวผมเองต้องการเท่านี้...เพียงเท่านี้

 

...

 

ครั้งนี้นาวีรู้ว่าผมไม่ได้บอกแม่ก่อนที่จะมาหาเขา แล้วผมก็ไม่ได้บอกแม่ว่ามาไกลถึงที่นี่ ปล่อยให้แม่เข้าใจว่านอนบ้านเพื่อนไปก่อน ผมกลายเป็นคนโกหกเก่ง เพราะไม่อยากให้ความจริงมันทำร้ายตัวเอง แม้จะอยากใช้เวลาอยู่กับนาวีอีกสักพัก แต่เขาก็ไม่ว่างพอที่จะทำอย่างนั้น นาวีจึงมาส่งผมกลับบ้านก่อนที่เขาจะต้องกลับไปทำกิจกรรมกับคณะ นาวีพาผมเดินผ่านพื้นที่กว้างๆ ของมหาลัยไปขึ้นรถ ระหว่างทางก็พูดคุยเรื่องมหาลัยให้ผมฟังไปด้วย

"คณะกูอยู่ตรงนั้น เห็นป่ะ"

"อือ"

"อยากมาเรียนต่อด้วยกันเปล่า"

"ถ้าคณะเดียวกับมึง ไม่เอา"

"ทำไมอะ"

"ไม่มีเวลา"

"โห่! ลำบากวันนี้ สบายวันหน้านะเว้ย!"

"กูอยากสบายตั้งแต่วันนี้เลย ไม่อยากเรียนคณะที่ต้องลำบาก"

"ไอ้ขี้เกียจเอ๊ย!" นาวีกัดฟันพูดแล้วยกมือขยำแก้มผมอย่างทุกที ผมยกมือตัวเองจับมือเขาเอาไว้ นาวีหยุดการกระทำแล้วแต่ผมไม่ยอมปล่อยมือเขา อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนที่ผมจับมือเขาเดินไปอย่างนั้น  จนมาหยุดที่ริมฟุตบาทเพื่อรอข้ามถนน

"มึงก็ไปคิดเรื่องเรียนบ้างนะ ม.หกแล้ว"

"อือ"

"ถ้ามึงมาเรียนที่นี่ แม่มึงจะยอมไหมวะ"

"ทำไมถามอย่างนั้น"

"เขารู้ว่ากูเรียนที่นี่ไม่ใช่เหรอ ถ้ารู้ว่ามึงจะมาเรียนที่เดียวกับกูคงจะยอมหรอก ก็แม่มึงไม่ชอบกู"

"..."

"และเขาไม่มีวันชอบกู..."

ผมไม่ทันได้ตอบอะไร นาวีก็เปลี่ยนเรื่องตอนที่หาจังหวะข้ามถนนได้พอดี

"ปะ! ข้ามได้ละ"

มือของเราหลุดออกจากกันตอนที่นาวีวิ่งข้ามถนนไปแต่ผมยังอยู่ที่เดิม ผมมองนาวีที่อยู่อีกฝั่งแล้ว แต่ผมตามไปไม่ได้เพราะรถหลายคันที่แล่นผ่านหน้าผมไป ได้แต่ยืนมองนาวีที่อยู่ตรงนั้น แค่คนละฟากถนนเท่านั้น แต่เหมือนว่ามัน...ไกลเกินไป

"ภูผา ข้ามได้ไหม" 

ข้ามไม่ได้...ผมตอบในใจ 

"ภูผา" 

หลายสิ่งหลายอย่างขวางกั้นระหว่างเราจนผมข้ามไปไม่ได้ 

"ภูผา ข้ามมา!"

ผมอยากตะโกนให้นาวีช่วยพาผม...ข้ามไปที 

"น้อง มานี่"

ผมหันมองผู้ชายคนข้างๆ ที่ดึงแขนผมให้เดินตามเขาไปหานาวี สติผมกลับมาแล้วจึงรีบหันไปขอบคุณเขา คนนั้นดูไม่ได้สนใจอะไรนอกจากพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป เสียงของนาวีเรียกผมให้หันไปมอง   

"เป็นอะไร กลัวเหรอ"

"อือ"

"โตป่านนี้แล้ว ยังข้ามถนนไม่เป็นอีก" นาวีพูดติดตลกแล้วยกมือบีบแก้มผมเบา ผมรีบคว้ามือเขามาจับเอาไว้ จับเอาไว้แน่น จับเอาไว้อย่างนั้น

"ภูผา"

นาวีหยุดเดินแล้วหันกลับมามองผม

"เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม"

ผมไม่รู้ตัวว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน ไหลออกมาเพราะอะไร ผมไม่รู้จะทำยังไงเพื่อปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง และยิ่งมองหน้านาวีอีก ผมก็ยิ่งอยากร้องไห้อีก 

"เป็นอะไร"

"..."

"ภูผา เป็นอะไร"

"กูไม่อยากเสียมึงไป"

ผมพูดได้แค่นั้นก่อนความรู้สึกในใจยากเกินจะฝืน น้ำตาผมก็ไหลออกมาอีก นาวีดึงมือที่จับกันอยู่พาเดินไปหลบในที่ที่ไม่มีคน แล้วยกมืออีกข้างดึงใบหน้าเลอะน้ำตาของผมเข้าไปซบลงที่ไหล่ของเขา

"ไม่ต้องร้อง"

"..."

"พอแล้ว ไม่ต้องร้องนะ"

ผมพยายามแล้วพยายามอีกเพื่อกลั้นน้ำตา แล้วมองหน้าเขา นาวียังคงยิ้มให้ผมแม้มองไม่เห็นความสุขใดในแววตานั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมก็ไม่เคยเข้มแข็งสู้เขาได้ นาวียังคงเป็นฝ่ายปลอบใจผมอยู่เสมอ ผ่านรอยยิ้มฝืนๆ ผ่านอ้อมกอดหลวมๆ ผมยังคงหลอกตัวเองว่านาวีจะไม่ไปไหน

"นาวี กูจับมือมึงแน่นขนาดนี้แล้ว..."

"..."

"มึงจะไม่ปล่อยมือกูใช่ไหม"

 

...

 

 

หลังกลับจากกรุงเทพฯ ผมคุยกับนาวีน้อยจนนับครั้งได้ มากที่สุดคืออาทิตย์ละสองครั้ง ไม่พอสำหรับความคิดถึงของผม นาวีใช้เหตุผลเดียวในการเลี่ยงที่จะคุยกับผมว่าไม่มีเวลา ผมเข้าใจ แต่ทำได้เพียงเข้าใจ ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ สุดท้ายก็งี่เง่าเหมือนเดิม เราไม่ได้ทะเลาะกันอีกเลยตั้งแต่คราวนั้น แต่มันมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ของเรา เหมือนกับว่านาวีกำลังถอยห่างผมไปช้าๆ ทีละเล็กละน้อยแต่รู้สึกได้

นาวีก็ยังคงจับมือผมเอาไว้ แต่ไม่แน่นเหมือนก่อน...

(ภูผา ฟังอยู่ป่ะ)

"ฟัง..."

เกือบสิบนาทีที่เขาหันไปคุยกับเพื่อนขณะถือสายที่คุยกับผมอยู่ แม้นาวีจะไม่ได้พูดกับผมเลยสักคำก็ยังคงฟัง กระทั่งเขากลับมาคุยกับผม เสียงคุยของคนอื่นเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งเงียบไป ผมเดาเอาว่าเขาคงเดินออกมาจากเพื่อนเขาแล้ว

(เมื่อกี้คุยถึงไหนแล้วนะ)

ผมยังไม่ทันตอบเรื่องที่คุยค้างกันอยู่ นาวีก็พูดอีกเรื่องแทรกขึ้นมาก่อน ผมก็เลยตามเลย เปลี่ยนเรื่องไปด้วย

(เออ วันเสาร์นี้วันเกิดมึงใช่ป่ะ)

"อือ"

(กูไม่รู้จะได้กลับไปหาไหม)

"ไม่เป็นไร"

(ถ้ากลับได้จะบอกละกัน เออ กูบอกไปยังว่าอาทิตย์หน้าจะไปค่ายกับชมรมอะ)

"ยัง"

(ไปขึ้นดอยอาทิตย์หนึ่งนะ เห็นพี่เขาบอกว่าบนนั้นไม่มีสัญญาณด้วย คงติดต่อกันไม่ได้เลย)

"ไม่เป็นไร" ...เคยรอนานกว่านั้นอีก

(ไว้กลับไปกินเค้กไอติมกันเนอะ)

"อือ รอ..."

ผมพูดไม่ทันจบ อีกเสียงก็แทรกเข้ามาด้วยประโยคที่ทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันในทันที   

(ไอ้วี กูก็นึกว่าหายหัวไปไหน มาแอบสูบบุหรี่อยู่นี่เอง)

(ไอ้เชี่ย!)

(ทำไมวะ)

หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงปลายสายไม่ชัดแต่นาวีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาคุยกับผม

(ภูผา)

"สูบบุหรี่?"

(ขอโทษ...)

แม้กระทั่งสัญญาที่เคยให้เอาไว้กับผม นาวียังลืมมันเลย 

(ขอโทษ จะไม่ทำแล้ว)

"ไม่เป็นไร มึงอยากทำอะไรก็ทำเหอะ"

(เหมือนมึงประชดกูอะ)

(เปล่า กูแค่ตามใจมึง กูไม่ห้ามมึงแล้ว ตามใจมึงเลย)

(ภูผา กูแค่มีเรื่องเครียด)

"..."

(กูแค่เหนื่อย)

ผมตอบรับ แต่ไม่อยากคุยต่อแล้ว การผิดสัญญาที่ดูเล็กน้อยกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ของผม ถ้าคุยกันต่อก็คงไม่พ้นชวนเขาทะเลาะอีก

"งั้นแค่นี้ก็ได้ กลับหอไปนอนเหอะ"

(อือ มึงก็ไปนอนได้แล้ว)

"นาวี" 

แม้อยากจะวางสายแต่ผมก็กลับเป็นฝ่ายเรียกเพื่อรั้งเขาเอาไว้ก่อน 

(ฮึ?)

"กูไม่รู้จะได้คุยกับมึงอีกเมื่อไร"

(เดี๋ยวว่างแล้วโทรหาไง)

"กูถามอะไรหน่อยสิ"

(ว่า?)

"นาวี มึง..."

(...) 

"ยังรักกูอยู่เปล่าวะ" 

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับมา แม้เป็นเรื่องจริงหรืออาจโกหกกัน ผมก็ดีใจที่ได้ยินคำนั้น

(รักสิ...) 

แต่อย่างกับนาวีกลั่นแกล้งผมเพราะประโยคที่พูดต่อจากนั้น ประโยคเดียวสั้นๆ แต่ทำให้ความรู้สึกผมมันว่างเปล่า

 

(แต่แค่รักมันไม่พอ)

 

 

...

 

 

            วันนี้เป็นวันเกิดผม ทุกปีผมไม่เคยให้ความสนใจกับมันเท่าไร ถ้ามีเพื่อนบางคนจำได้ก็จะได้คำอวยพรเล็กๆ น้อยๆ เป็นของขวัญ แต่ปีนี้เพื่อนผมมันชวนมาที่บ้านผมเลยมีงานวันเกิดเล็กๆ ที่เพื่อนจัดให้ แต่เอาจริงๆ ก็แค่ใช้วันเกิดผมเป็นข้ออ้างแล้วหาเรื่องกินเหล้ากันมากกว่า เพราะตรงกับวันเสาร์ด้วยเพื่อนเลยได้โอกาสนั้นมารวมตัวกันที่นี่เกือบครึ่งห้อง บ้านของไอ้เต้ยใหญ่พอที่จะบรรจุคนทั้งหมดเอาไว้ได้ พ่อกับแม่มันก็ใจดีซื้อเค้กมาให้ผม กับอาหารที่มากจนกินกันแทบไม่หมด

"ไอ้ภู แก้วนี้ของมึง"

"กูไม่เอาแล้ว" ก่อนหน้านี้ก็ถูกบังคับให้กินไปเยอะจนแทบจะยืนไม่ติดพื้นอยู่แล้ว ผมไม่เคยเมาหนักมาก่อน แล้ววันนี้ก็ต้องกลับบ้านด้วย กลับไปสภาพนี้ก็เสี่ยงโดนแม่ด่ายับแล้ว ถ้าเมากว่านี้คงถูกตีไม่เลี้ยงแน่ๆ

"เฮ้ย มึงเป็นเจ้าของวันเกิดนะเว้ย"

"เออๆ อย่ามาป๊อดว่ะ"

"จับมันกรอกปากเลย"

"เฮ้ย!"

ผมกำลังจะถอยหนีแต่ถูกเพื่อนสองคนล็อกแขนล็อกขาเอาไว้ คนหนึ่งก็คว้าหน้าผมให้อยู่กับที่เพื่อไม่ให้หนีอีกคนที่กำลังเอาเหล้าแบบไม่ผสมอะไรเลยกรอกใส่ปากผม ผมกลืนลงคอไม่ทันบวกกับรสชาติเพียวๆ ของมันจึงทำให้สำลักออกมา 

"แค่ก! เชี่ย!" ผมหันไปด่า ก่อนส่ายหน้ารัวๆ เพราะความแรงของเหล้าที่ไหลลงคอไป ยกมือเช็ดปากที่เลอะไปจนถึงเสื้อผ้า แม้ผมจะด่าแต่พวกมันก็พากันหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ ผมจึงทำได้แค่หันมองเคืองๆ แล้วลุกไปล้างตัวที่ห้องน้ำ ตอนเดินกลับมาก็มองออกไปเห็นนุ่นยืนอยู่ที่หน้าเตาปิ้งบาร์บีคิว ผมไม่รู้ว่านุ่นอยู่ที่นี่ด้วยตั้งแต่แรก จึงเดินเข้าไปทัก

"นุ่น"

"ภูผา"

ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อปีก่อน นุ่นแทบจะไม่คุยกับผมเลย ทั้งที่ผมก็ไม่ได้โกรธนุ่น แต่นุ่นไม่คุยกับผมเอง เอาแต่วิ่งหนีหรือหลบหน้ากันไปตลอด ครั้งนี้นุ่นคงไม่มีที่ให้หลบเลยยอมหันมาคุยกับผม

"ภูผา จะ...จะเอาอะไรหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วสวนกลับไป 

"มาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่เข้าไปข้างใน"

"ก็...ย่างนี่ให้อยู่ไง เอาไหม สักไม้...ไหม" นุ่นหยิบบาร์บิคิวในเตาส่งให้ผม มุมปากผมยกขึ้นตอนเห็นท่าทางเงอะๆ งะๆ ของอีกคน นุ่นก็ยังเป็นนุ่น

"ไม่เอา อิ่มแล้ว" ผมว่าแล้วนั่งลงที่ขอบประตู พยักหน้าเป็นเชิงให้นุ่นเข้ามานั่งด้วย แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าตาเด๋อด๋า ตาโตๆ ภายใต้แว่นหนากระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ผมจึงต้องพูดให้รู้ 

"มานั่งนี่"

"อ๋อ ค่ะ!" น้ำเสียงผมคงเหมือนคำสั่ง นุ่นจึงตอบรับกลัวๆ วางบาร์บีคิวในมือแล้วก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาหาผม ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ พอผมหันไปมองก็รีบก้มหน้าลงไป

"เป็นอะไร มองหน้าเราไม่ได้เลยเหรอ"

"ไม่กล้า" นุ่นตอบเบาๆ ยกมือขึ้นดันแว่นทีหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงไปอีก 

"เราไม่ได้โกรธนุ่นแล้วนะเว้ย"

"เรารู้สึกผิด..."

"..."

"ยังคงรู้สึกผิดจนถึงตอนนี้เลย"

"ช่างมันเหอะน่า ลืมไปได้แล้ว"

"เราไม่ลืมหรอกภูผา ความผิดของเรา..."

"ลืมไปเหอะ เราสั่ง"

"สั่ง?"

"อือ ชอบทำตามคำสั่งนักไม่ใช่เหรอ"

"เราเปล่า..."

"ที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะเพื่อนสั่งให้ทำไม่ใช่หรือไง"

"เปล่าๆ เราอาสาทำเอง เพื่อนๆ จะได้สนุกกันข้างในไง เราอยู่ข้างในก็ไม่ได้คุยด้วยอยู่ดี เลยอยู่ข้างนอกดีกว่า..."

"อย่ายอมคนอื่นง่ายๆ สินุ่น แบบนี้ก็โดนเอาเปรียบแย่"

นุ่นพยักหน้ารับหน่อยๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็เอาแต่เงียบ ตรงนี้เลยน่าอึดอัด ผมก็คิดว่านุ่นอึดอัดที่จะอยู่กับผมเลยจะลุกเข้าไปข้างใน แต่นุ่นเรียกเอาไว้ก่อน 

"ภูผา"

"ฮึ?"

"เรื่องคราวนั้นเราขอโทษจริงๆ นะ"

"ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง ไม่ต้องคิดมากแล้ว"

"เรากลับไปเป็นเพื่อนกันนะ"

"อือ นุ่นไม่คุยกับเรา ไม่มีใครให้ลอกการบ้านเลย" ผมพูดติดตลกจนได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ของคนข้างๆ 

"เออ...แล้วภูผากับพี่นาวี เป็นยังไงกันบ้าง"

"หมายถึงยังไงอะ"

"ก็...ยังรักกันดีใช่ไหม"

ผมไม่กล้าตอบอย่างเต็มปากเลยพยักหน้าแทน ยังไม่ได้คุยกับนาวีเลยตั้งแต่วันที่เขาทิ้งบางคำเอาไว้ให้วนอยู่ในหัวของผม ถึงผมจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเกิดตัวเองมากนัก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่านาวีจะลืมมันไปหรือเปล่า ถึงไม่มีโทรมาหา ไม่มีแม้สักข้อความ

"ภูผา" 

"ฮึ?" 

"เราถามอะไรหน่อยดิ อย่าโกรธนะ"

"ว่า?"

"ภูผา...คิดว่าจะกลับมา...กลับมาชอบผู้หญิงได้ไหม"

ผมนิ่งเพื่อคิด แต่ไม่มีคำตอบให้นุ่น เพราะผมก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างผมกับนาวีมันเกิดขึ้นได้ยังไง ผมก็ไม่เคยคบกับใครมาก่อน ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่พอมันเป็นนาวีใจมันก็บอกเลยว่าคนนี้ ขอแค่เป็นนาวีเท่านั้น 

"ไม่รู้เหมือนกันอะ แต่ถ้ารู้สึกดีกับใคร ก็คงได้มั้ง"

"งั้นถ้าเลิกกับพี่นาวี เรารออยู่นะ"

"ตลกละ" ผมว่าแล้วยกมือเขกหัวนุ่นเบาๆ ทีหนึ่ง อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมา ก่อนเสียงหัวเราะถูกกลืนหายกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ มองผ่านเลนส์แว่น ผมเห็นน้ำตาใสๆ ของนุ่นคลออยู่ จนต้องหันไปให้ความสนใจ

"เป็นอะไรเปล่า"

"เรารู้สึกอกหัก"

"..."

"ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้รักกัน"

"..."

"แปลกจัง" นุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ แต่เสียงหัวเราะนั่นขัดกับใบหน้าที่ดูสลดลงไป อาจเป็นผมต่างหากที่ต้องขอโทษนุ่น ที่รู้สึกกับนุ่นไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ก็เผลอคิด แล้วถ้าผมชอบนุ่น เรื่องมันจะเป็นยังไง คงไม่ถูกคนอื่นมองว่าประหลาด คงไม่โดนเหยียด คงไม่มีปัญหากับแม่ คงไม่...

ผมส่ายหน้าไล่ความคิดนั่นออกไป หันมองนุ่นที่พูดออกมาเบาๆ

"เราชอบภูผาจริงๆ นะ"

"..."

"ถ้าภูผาชอบเราบ้างก็คงจะดี"

สิ้นคำนั้นใบหน้าเล็กๆ ของนุ่นเลื่อนเข้ามาหาผม แนบริมฝีปากเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเองไม่ได้ถอยหนี ไม่รู้ว่าเมาหรือเป็นบ้า เผลอไผลหรือตั้งใจ ผมกลับจูบตอบนุ่นไปกระทั่งความรู้สึกผิดต่อนาวีมันพุ่งเข้ามาจึงผละตัวออกมา

 

"ขอโทษ"

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 02-01-2018 23:39:31
อ่านเรื่องนี้ทีไร น้ำตาไหลทุกที :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 02-01-2018 23:52:34
ฮืออออออออออ ความสัมพันธ์ของภูผากับนาวีจะเป็นไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 03-01-2018 00:11:06
หน่วง..
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 03-01-2018 00:26:33
ตอนนี้ไม่รู้จะสงสารใครดีหน่วงเหลือเกินเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-01-2018 00:35:52
ปัญหาของแต่ละคนก็คนละอย่าง ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ก็คงรับมือยากไปซะทุกเรื่อง
นาวีจะเปลี่ยนก็ไม่แปลก ภูผาจะไม่เข้าใจหรือรับไม่ได้ก็ไม่แปลก
โลกมันหมุนและนำความเปลี่ยนแปลงมาให้เราทุกวัน
ถึงจะหน่วงแต่ก็เข้าใจได้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 03-01-2018 01:02:15
ตอนแรกเชียร์นาวี ทีมนาวีโค่ดๆ แต่พอนาวีใจร้ายไม่น่ารัก ก็คิดว่าจะแปรพักต์ไปทีมทัพแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 03-01-2018 08:21:51
เมื่อไหร่ธงทัพจะกลับมาคิดถึงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 03-01-2018 13:48:47
คิดว่าถ้าปล่อยมือกันอาจดีกว่า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-01-2018 14:24:50
Happy New Year 2018
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑  ขอให้ไรท์สุขสันต์ มีความสุขมากๆ

ทุกคนเปลี่ยนไป
ย้ายที่เรียน ย้ายที่อยู่ การเรียนแบบใหม่ สังคมใหม่ เพื่อนใหม่
ห่างไกลคนรักเดิม ความรักก็เลยจืดจาง รักอย่างเดียวไม่พอจริงๆ
เข้าใจนาวี เข้าใจภูผา
แต่ภูผาเหมือนทำใจ เข้าใจได้ระดับหนึ่ง
ถ้าจะห่างกัน เลิกกันจริงๆ
ภูผา เจ็บแน่ แต่กู็คงทำใจได้ โตขึ้น เอาใจช่วยภูผา  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 03-01-2018 15:22:27
รักยังไม่พอจริงๆค่ะ
บางครั้งการจับมือถ้ามันไม่แน่นพอ มันก็มีแต่เจ็บ

เชียร์ภูผาเลิกค่ะ ตอนนี้เราไม่เชียร์นาวี  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 07-01-2018 19:31:57
Episode 9

 

ในวันที่เสียคุณไป

ผมเสียใจเป็นพันๆ ครั้ง


 

 

"ขอโทษ"

ผมพูดกับนุ่นแค่นั้นแล้วลุกออกมาจากตรงนั้น เดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อน ทันทีที่มันส่งแก้วเหล้ามาให้ ผมก็กรอกใส่ปากตัวเองไปทีเดียวหมด

"ไอ้ภู!"

"เอาอีก"

"เมาตายแล้วมึงอะ"

"เอามาเหอะ"

"เออๆ เอาไป แล้วเมื่อกี้พี่นาวีมา...เฮ้ย! ไอ้ภู ค่อยๆ กิน!"

ผมไม่ฟังเสียงใครแล้วนอกจากกระดกเหล้าเข้าปากไปเรื่อยๆ แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าผสมมัวเมากับความรู้สึกในใจ พักเดียวผมก็สติหลุดลอย เมาหนักอย่างคุมตัวเองไม่ได้ ผมมีสติอยู่ไม่ครบนักแต่ได้ยินเสียงเพื่อนเดินเข้ามาเรียกจึงยกหน้าตัวเองที่ฟุบอยู่บนโซฟาขึ้นไปมอง

"ไอ้ภู แม่มึงมารับแล้ว"

"ใครนะ"

"แม่มึง"

"เชี่ย! มึงโทรหาแม่กูเหรอ"

"เออดิ แม่มึงมาแล้ว"

ผมส่ายหน้ารัว แล้วพยายามจะลุกหนีไปจากตรงนี้แต่ถูกมือหนึ่งดึงแขนเอาไว้ก่อน

"ไอ้ภู กลับบ้าน"

"ไม่เอา มึงโทรหาแม่กูทำไมวะ เดี๋ยวเขาก็ด่ากูอีก"

"..."

"เดี๋ยวเขาก็ตบกูอีก..."

"ภูผา"

"ไม่เอา ไม่กลับ!"

"ภูผา นี่แม่นะ"

ผมเบิกตาขึ้นนิดหนึ่ง ตั้งสติมองหน้าแม่ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกมือสองข้างทาบแก้มตัวเองเอาไว้ 

"แม่อย่าตบภูนะ"

"แม่ไม่ทำ แม่ไม่ว่า แม่มารับกลับบ้าน"

"ไม่ตบแน่นะ"

"ไม่ตบสิ"

"กลับบ้านก็ไม่ตบใช่ไหม"

"อืม ไป กลับบ้าน"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ ตอนถูกแม่ดึงแขนให้ลุกขึ้น แต่ความเมาเล่นเอาหนักจนยากจะทรงตัวผมจึงทรุดลงมาอีกครั้ง จนเพื่อนต้องมาช่วยพาไปส่งที่รถของแม่ ผมไม่ได้ยินว่าแม่พูดอะไรกระทั่งมาถึงบ้าน แต่สติยังกลับมาไม่ครบ รู้ตัวตอนแม่ประคองผมมาทิ้งที่โซฟา 

"เมาขนาดนี้ กินไปเยอะแค่ไหนเนี่ย"

ไม่ว่าแม่จะพูดอะไร สิ่งเดียวที่ผมทำคือการยกมือทาบหน้าเอาไว้เป็นการป้องกันตัวเอง  ผมรู้ว่าชอบทำให้แม่โกรธประจำ แต่แม่ไม่ควรตบหน้าผม แม่ตบหน้าผมแต่ผมกลับไปเจ็บที่หัวใจ สะสมความเจ็บทีละเล็กทีละน้อยจนตอนนี้เป็นแผลเรื้อรัง ผมไม่อยากให้แม่ทำแบบนั้นกับผมอีกแล้ว ผมอยากรักษาแผลในใจให้หาย แม่จึงไม่ควรซ้ำเติมมันอีก

"ภูผา กลัวแม่ขนาดนั้นเลยเหรอ แม่ไม่ทำหรอก"

"แม่"

"อือ ว่าไง"

"อยากอ้วก"

"เดี๋ยวๆ ภูผา!"

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นแบบนั้นจึงห้ามไม่ได้ เหลวจะพุ่งออกมาจากปากด้วยอาการพะอืดพะอม ภาพของแม่ก็พร่าเบลอ เสียงพูดของแม่เบาลงจนไม่ได้ยิน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกเลย

 

...

 

ผมลืมตาเพราะเสียงแม่เรียกในเช้าวันต่อมา หรือไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าเช้าเพราะผมได้ยินแว่วอยู่ในหูว่าแม่พูดถึงข้าวกลางวัน สติกลับมาแน่ชัดตอนแม่พูดย้ำอีกที

"เที่ยงแล้วภูผา ลุกมากินข้าวกลางวันได้แล้ว"

ผมยกมือขยี้ตาก่อนหันมองรอบๆ เมื่อคืนผมนอนที่โซฟา คงเพราะแม่พาผมขึ้นห้องไม่ได้ แต่เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนใหม่ ผมตั้งสติอีกทีแล้วลุกจากโซฟา ขาที่ไม่มีเรี่ยวแรงพาผมเซไปอีกทางจนแม่ที่เดินเข้ามาพอดีรับร่างผมไว้   

"ไหวไหมเนี่ย"

ผมพยักหน้ารับ

"ปวดหัวไหม"

"ไม่ครับ"

"งั้นไปแปรงฟัน แล้วลงมากินข้าว"

ผมพยักหน้าอีกทีแล้วขึ้นไปจัดการตัวเองบนห้อง พักหนึ่งก็ลงมาหาแม่ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ผมแปลกใจนิดหน่อยที่แม่ไม่ว่าอะไรเลยเรื่องที่ผมเมาเละเทะ ซ้ำยังไปรับผมกลับมาด้วยตัวเองอีก เหมือนแม่เดาสีหน้าของผมได้ไปจนถึงความคิด จึงพูดบางคำออกมา

"เมื่อคืนวันเกิดนี่ แม่ยกให้วันหนึ่ง"

ผมหลุดยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำ ตอนนั้นสายตาผมก็มองไปเห็นบางอย่างที่อยู่ในตู้เย็น สิ่งที่ทำให้รอยยิ้มผมกว้างกว่าเดิมคือเค้กไอติมก้อนโต หน้าเค้กมีคำว่าสุขสันต์วันเกิด และชื่อของผม

"แบบหน้าสตรอว์เบอร์รี่มันหมด เลยเอาช็อกโกแลตมา"

ผมหันไปมองแม่ แล้วหันกลับมามองเค้กอีกที

"อันนี้ก็อร่อย"

"ข้างๆ นั่นของขวัญนะ"

ผมหันมองนมรสจืดสองแพ็คที่วางอยู่ข้างๆ เค้ก ส่ายหัวหน่อยๆ กับของขวัญที่แม่ให้ แล้วหยิบน้ำเปล่าออกมาขวดหนึ่ง

"ทำไม ไม่ชอบ?"

"คราวหน้าขอรสช็อกโกแลตได้ไหม"

"แต่แม่ว่านมรสจืดมันมีประโยชน์กว่า...โอเค สัญญาว่าคราวหน้าจะซื้อรสช็อกโกแลตให้" เพราะถูกผมมองเคืองๆ ใส่แม่ที่กำลังบ่นเลยเปลี่ยนมารับปากแทนว่าคราวหน้าจะให้อย่างที่ขอ ผมจึงพยักหน้ารับหน่อยๆ

"เออ ภูผา"

"ครับ?"

"เมื่อคืนนาวีโทรมา"

"..."

"อย่าลืมโทรกลับไปนะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วลงมือกินอาหารกลางวันฝีมือแม่ แม้เป็นผัดผักจืดชืดไม่มีเนื้อสัตว์กับยำไข่ดาวรสชาติแปลกๆ ทว่าวันนี้อาหารของแม่ที่ได้กินกับแม่...อร่อยดี

 

...

 

ผมออกมาเดินเล่นอยู่แถวๆ บ้านอย่างเบื่อๆ พยายามโทรกลับหานาวีเป็นรอบที่สามหรือสี่ แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย ผมไม่อยากโทรไปอีกเพราะกลัวจะเป็นการจุกจิกเขามากเกินไป เขาคงไม่ว่างรับเลยรอให้โทรกลับมาดีกว่า ผมนั่งเลื่อนดูประวัติการโทร เลื่อนแล้วก็เลื่อนอีกอยู่อย่างนั้น เมื่อคืนไม่น่าพลาดรับสายนาวีเลย หรือถ้ารับผมก็คงคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอกมั้ง ผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ กำลังจะกดออกจากหน้าจอนั้น แต่กลับไปสะดุดกับสายโทรเข้า มีประวัติการรับสายจากนาวีเมื่อคืน ที่แม่บอกว่านาวีโทรมาผมไม่คิดว่าแม่จะกดรับ แล้วระยะเวลาที่คุยกันนั่นก็นาน นานเสียจนผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าแม่คุยอะไรกับนาวี แม่คงไม่ได้...

"ภูผา!"

ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วเงยหน้ามองเสียงที่เข้ามาเรียก ก่อนเห็นว่าเป็นพี่โอ๋จึงลุกไปหา

"มานั่งทำอะไรตรงนี้"

"นั่งเล่นอะ" ผมพูดปัดๆ

"ไม่ไปหานาวีเหรอ"

"จะให้ไปหาที่กรุงเทพฯ อะเหรอ"

"อ้าว นาวีอยู่โรงพยาบาลนะ"

"ฮะ?"

"ก็เมื่อเช้าพี่แวะไปหาเพื่อนที่โรงบาลมา เห็นว่านาวีปวดท้อง เมื่อคืนนอนโรงบาลมั้ง"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดพี่โอ๋ คิดแล้วอยากจะด่าตัวเองแรงๆ สักที นาวีเข้าโรงพยาบาลแต่ผมมัวไปเมาเละเทะ ตั้งสติได้เลยตั้งใจจะไปโรงพยาบาลที่พี่โอ๋บอก แต่ออกมาถึงปากซอยผมก็เห็นรถของพ่อนาวีเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านเขาพอดี นาวีอยู่บนนั้นด้วยแต่มองไม่เห็นผม ผมจึงรีบวิ่งตามไปที่บ้าน     

"นาวี!"

นาวีที่ลงมาจากรถพอดีหันมองผมที่หยุดยืนหายใจถี่อยู่ตรงนี้เพราะความเหนื่อย ผมเห็นเขาหันบอกอะไรกับพ่อแม่ ก่อนทั้งสองคนจะเดินเข้าบ้านไปก่อน

"นาวี"

นาวีพยักหน้ารับผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปหา รีบถามอาการของเขาก่อนแต่มีเพียงความเงียบตอบกลับมา

"เป็นอะไรมากหรือเปล่า"

"..."

"เป็นอะไรไหม"

"..."

"เป็นอะไรอย่าเงียบสิ"

"มึงคิดว่ากูควรเป็นอะไรล่ะ"

"นาวี..."

"ไปจูบกับนุ่นทำไม"

ผมนิ่งไปตอนนาวีพูดแบบนั้น นาวียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยจนผมใจคอไม่ดี ผมจะแก้ตัวยังไง หรือไม่ควรแก้ตัว หรือว่าควรทำยังไง...

"จูบทำไม"

"มึงรู้ได้ยังไง"

"เห็นกับตา"

"..."

"กูรีบกลับมาหามึง รีบตามไปหามึงเพื่อไปเห็นมึงจูบกับคนที่ชอบมึง แบบนี้กูควรจะเป็นอะไร"

"นาวี มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อกู"

"ได้ กูเชื่อมึง"

แม้ปากจะบอกว่าเชื่อ แต่สีหน้าเรียบเฉยนั่นเดาความรู้สึกจริงๆ ของเขาไม่ได้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผม

"เมื่อคืนกูคุยกับแม่มึง"

"แม่ว่าไง แม่พูดอะไรกับมึง"

ผมร้อนรนที่จะถามหาคำตอบ แต่นาวีกลับยิ้มออกมา รอยยิ้มจางๆ ที่ดูฝืน มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นตอนที่มองหน้าเขา สายตาของนาวีที่ผมรัก ไม่เหมือนวันก่อนที่เคยมองตากัน ผมรู้นาวีเป็นคนเข้มแข็ง แต่ใบหน้านิ่งนั้นดูเฉยชากว่าที่เคยเป็น ความเงียบทำงานอยู่นานจนนาวีพูดบางคำออกมาบางคำที่ทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่ากว่าเดิม

"เราอาจต้องทำใจ"

ผมเข้าใจความหมายของมันดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงออกมาจากปากของเขา นาวีที่เคยเคียงข้างผม นาวีที่เคยปลอบใจผม นาวีที่ทำให้ผมยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อให้เราได้รักกัน นาวีคนเดิมคนนั้น เป็นคนเดียวกันกับคนตรงหน้าผมไหม 

"นาวี มึงกำลังโกรธกูใช่ไหม มึงแค่โกรธกู มึงโกรธกูเรื่องนุ่น กูขอโทษ แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ นาวี ได้โปรดเชื่อกู...มันไม่มีอะไร"

"กูไม่ได้โกรธ"

"หรือไม่มึงก็แค่เหนื่อย"

"เหนื่อยเพราะรักมึงนี่แหละ"

"นาวี"

"มันไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่มึงมาคุยกับกู"

ผมนิ่งไปหลังจากได้ยินแบบนั้น คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจจนนาวีขยายความให้ฟัง 

"ทุกครั้งที่มึงหายออกไปจากบ้าน แม่มึงโทรหากูแทบทุกครั้ง"

"..."

"แล้วมึงก็โกหกกูมาตลอดเรื่องแม่มึง ตอนที่มึงมานอนกับกู ตอนที่มึงมาหากู แม่มึงไม่เคยรู้เลย วันที่เราไปทะเลด้วยกัน แม่มึงมาตามหามึงถึงที่บ้านกู มึงโกหกกู"

"กูแค่อยากอยู่กับมึง"

"แม่มึงบอกให้กูเลิกกับมึง"

"แล้วมึงจะทำอย่างที่เขาบอกไหม"

"ทำ"

"นาวี!"

"กูถึงบอกให้มึงทำใจ"

"นาวี ทำไมเป็นแบบนี้วะ มึงไม่รักกูแล้วเหรอ"

"กูเคยบอกแล้วไงว่ารักมันไม่พอ"

"ทำไมมึงทิ้งกูง่ายๆ แบบนี้วะ ทำไมมึงต้องไปทำตามที่เขาบอก ทำไมมึงต้องเชื่อเขา!"

"ก็เขาเป็นแม่มึง!"

เสียงดังของนาวีทำให้ผมเงียบลง หมัดที่กำแน่นของนาวีทุบเข้าที่อกผมจนเจ็บแปลบ 

"เขาเป็นแม่มึง! มึงควรเลือกเขา!" 

"..."

"มึงไม่เคยรู้เลยว่ากูอึดอัดขนาดไหนที่ต้องทนอยู่แบบนี้ มึงไม่เคยถามสักคำว่ากูรู้สึกยังไง"

"..."

"กูขอโทษ กูสู้ไปกับมึงไม่ไหวแล้วภูผา"

"..."

"เลิกกันนะ"

ผมดึงนาวีเข้ามากอดแทนคำพูดแต่อีกคนก็ผลักผมออกมา ซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ถูกผลักออกมา แม้ผมอ้อนวอน แม้ผมอยากจะกอดเขาเอาไว้ คุกเข่ารั้งเขาเอาไว้แต่เอาไม่อยู่แล้ว นาวีไม่เหลือใจแล้ว   

"นาวี อย่าทำแบบนี้กับกู เดี๋ยวกูคุยกับแม่เอง นะ แม่ต้องเข้าใจ"

"ถึงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ วันหนึ่งเราก็ต้องทะเลาะกันอีกอยู่ดี"

"นาวี กูขอโทษ อย่าทิ้งกูนะ กูจะไม่ทำผิดกับมึงอีก กูจะไม่โกหกมึงแล้ว กูจะไม่งี่เง่ากับมึง กูจะไม่ละเลยความรู้สึกของมึง มึงไม่ต้องมีเวลาให้กูก็ได้แค่อย่าปล่อยมือกูแบบนี้ นาวี ชีวิตกูมีแค่มึง อย่าทำแบบนี้กับกู อย่าทำแบบนี้นะ"

"กลับไป"

"นาวี"

"กูบอกให้กลับไป!"

"นาวี!"

ผมดึงมือนาวีเอาไว้ไม่ทันตอนที่เขาหันหลังเดินเข้าบ้านไป ประตูถูกล็อกทันทีก่อนที่ผมจะตามเข้าไป

"นาวี! ออกมาก่อน นาวี!"

ผมเคาะเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมือที่ไร้เรี่ยวแรวจะค่อยๆ หยุดลงไปเอง เหมือนหัวใจผมพังลงตรงนั้น ทั้งร่างกายผมก็แหลกลงตรงนั้นไปพร้อมๆ กัน ชีวิตผมมีแค่นาวี แล้วแบบนี้ ชีวิตผมจะเหลืออะไร

 

...

 

ผมเดินกลับเข้ามาที่บ้านตัวเองตอนที่เริ่มค่ำ แม่ที่นั่งอยู่ในบ้านหันมามองแล้วร้องทักเมื่อเห็นหน้าผม 

"ภูผา เป็นอะไร"

"..."

"ร้องไห้เหรอ"

ผมร้องไห้ ยิ่งมองหน้าแม่ ก็ยิ่งร้องไห้ออกมาอีก ผมเผลอเข้าใจผิด คิดไปเองว่าแม่กำลังจะยอมรับ คิดว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมไม่เกลียดแม่ แต่เกลียดตัวเองที่ต้องเกิดมาเป็นลูกของแม่ เกลียดตัวเองที่มีแม่แบบนี้

เกลียด...

"ภูผา เป็นอะไร บอกแม่..."

"ไม่ต้องยุ่ง!" 

"ภูผา!"

ผมก้าวเท้าไปที่บันได หยุดมองกรอบรูปในตู้โชว์หน้าบันได ผมมีรูปคู่กับแม่ไม่เยอะ ภาพสุดท้ายที่ถ่ายคู่กันก็ตอนเจ็ดขวบที่งานโรงเรียน ความก้าวร้าวของผมสั่งให้หยิบรูปนั้นออกมา แล้วฟาดมันลงพื้นด้วยความโกรธจัด 

"เพล้ง!"

"ภูผา!"

ผมหันหน้ามองแม่ที่เดินเข้ามาหา

"ทำอะไร!"

"..."

"แม่ถามว่าทำอะไร!"

"แม่นั่นแหละทำอะไร!"

แม่ขมวดคิ้วมองหน้าผม ผมกำหมัดแน่นแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาแม่ เหยียบย่ำเศษกระจกที่พื้นจนมันทิ่มเข้ามา

"ภูผา กระจก..."

แม่หยุดคำพูดตอนที่ผมก้าวเท้าถึงหน้าแม่ แล้วเงยหน้ามองผม   

"แม่ไปพูดอะไรกับนาวี"

"..."

"แม่ทำแบบนี้ทำไม!"

"แม่ก็แค่...ทำให้มันถูกต้อง"

"แล้วมันผิดยังไง ที่ผ่านมามันผิดยังไง!"

"แม่ไม่ชอบนาวี แม่ไม่ชอบที่ภูโกหกแม่เพื่อไปหาเขา แม่ไม่ชอบที่ภูทำตัวแย่ๆ เพราะเขา ภูผาฟังแม่นะ ความรักของภูกับนาวี ความรักแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก ยังไงวันหนึ่งภูก็ต้องเลิกกับเขา"

"แต่ภูรักนาวี!"

"..."

"ถ้าแม่ให้ความสุขภูไม่ได้ ก็อย่ามาเอาความสุขของภูไป!"

"ภูผา..."

"นาวีเป็นทุกอย่างของภู แล้วแม่ทำแบบนี้ได้ยังไง แม่ทำได้ยังไง ชีวิตภูไม่เหลือใครแล้วแม่"

"ภูยังมีแม่นะ!" 

"ภูต้องการนาวี ไม่ต้องการแม่!" 

"ภูผา!"

ผมไม่ฟังแม่พูดต่อ วิ่งขึ้นห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู เลือดที่เท้าไหลออกมาเป็นทาง แต่ความเจ็บไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในใจ

ผมก็ยังคงจมอยู่ใต้ทะเลลึก แต่ขาดอากาศหายใจ ความสุขถูกคลื่นซัดจมหาย น้ำทะเลหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจ ผมจมลงช้าๆ รอวันขาดใจตาย

 

นาวีปล่อยมือผมแล้ว...

 

...

 

 

ชีวิตผมกลับคืนสู่สีเทา โลกห่วยๆ ของผมกลับมาอีกครั้งพร้อมว่างเปล่า เพราะผมไม่รู้มาก่อน ว่าความรักมันจะโหดร้ายกับผมแบบนี้ ผมจึงไม่ได้เผื่อใจตอนรักใครสักคน ผมยังคงรักนาวี ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังคงรักเขาอยู่ดี ผมยังคงเป็นห่วง แต่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง 

"ตุ้บ!"

ผมหันมองลูกบาสจากเด็กที่เล่นอยู่ในสนามลอยมาทางผม ก่อนตกลงพื้นแล้วกลิ้งมาตรงหน้า 

"พี่ครับ โยนบาสให้หน่อยครับ!"

ผมคงเพ้อ เห็นคนตรงนั้นเป็นนาวี ภาพวันแรกที่เราเจอกันก็พุ่งเข้ามาในหัว ผมคิดถึงนาวี

"พี่ครับ!"

 เสียงในสนามดังเรียกผมอีกทีจึงหลุดจากความคิดแล้วก้มลงเก็บลูกบาสโยนกลับไปในสนาม ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากมาย ลูกบาสลอยอยู่กลางอากาศครู่เดียวก่อนกลิ้งตกลงพื้น ไปไม่ถึงเด็กในสนาม เขาจึงต้องวิ่งย้อนกลับมาเก็บมันไป

"ภูผา"

เสียงเรียกหนึ่งดึงความสนใจผมให้หันไปมอง ทันทีที่เห็นว่าเป็นพ่อของนาวีก็เผลอตกใจจนถอยหลังหนี แต่รอยยิ้มของพ่อทำให้ผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วยกมือไหว้ ก่อนพ่อจะชวนผมคุยอย่างคนคุ้นเคย   

"มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย"

"แค่ยืน...เฉยๆ ครับ"

"กินไอติมไหม" พ่อยกถุงในมือที่บรรจุไอติมโคนสองอันเอาไว้ในนั้น  หยิบอันหนึ่งขึ้นแกะแล้วยื่นให้ผม ส่วนอีกอันแกะกินเอง ผมหันมองพ่อที่ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากมองเข้าไปในสนามบาส พอพ่อหันมาก็กลับเป็นผมที่ต้องหลบตาลง เหมือนพ่อจะรู้ทันความคิดจึงหันมาถามผม

"อยากถามถึงนาวีใช่ไหม"

"นาวี...เป็นยังไงบ้างครับ"

"ตอนนี้ไปค่ายอาสากับมหาลัย ติดต่อไม่ได้มาหลายวันแล้วเนี่ย" พ่อพูดขำๆ แล้วชี้เข้ามาที่ไอติมในมือผมที่เริ่มละลาย 

"กินเร็ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วกัดไอติมนั่นเข้าปาก ปกติผมชอบกินไอติม แต่แปลกที่ตอนนี้ความหวานของมันไม่มีผลต่อความรู้สึกผมเลย   

"นาวีก็เสียใจนะภูผา วันนั้นก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย"

"..."

"พ่อรู้ว่ามันเจ็บ แต่หายเร็วๆ นะ"

พ่อทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินออกไปก่อน ผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้ มองดูไอติมที่หยดละลายไหลจนเลอะมือ ผมไม่รู้จะทำได้ไหม ความเจ็บปวดในใจมีมากมายจนไม่รู้ว่าจะมีทางหายได้ยังไง

 

...

 

ผมกลายเป็นคนติดเพื่อนทั้งที่ปกติค่อนข้างจะเก็บตัว แต่ช่วงนี้ไม่ว่าเพื่อนจะชวนไปไหนก็ไปหมด ทุกครั้งที่เพื่อนรวมตัวกันไปกินเหล้าก็ไปเขาด้วยไม่เคยปฏิเสธ ผมรู้เหล้าไม่ใช่ทางออกแต่ตอนนี้มันไม่มีทางอื่น ผมจึงต้องพึ่งพามันให้เยียวยาความรู้สึกแม้เพียงชั่วครู่ก็พอ ผมดื่มเหล้า และเมามายอยู่กับความเสียใจ แล้วก็กลายเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าที่คิด

"ไอ้ภู แม่มึงโทรมาหลายสายแล้วนะ"

"ไม่ต้องรับนะเว้ย"

"มึงก็รับๆ หน่อยเหอะ บอกเขาว่านอนกับกูก็ได้"

"ไม่เอาอะ ช่างเหอะ"

ผมพูดปัดๆ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงมือถือผมก็ดังขึ้นมาอีก ผมไม่ได้สนใจแต่เพื่อนเป็นคนหยิบมันไป 

"ลุงวุธคือใครวะ"

ผมหันไปขมวดคิ้วมองชื่อที่เพื่อนอ่าน แล้วส่ายหน้าหน่อยๆ   

"ผัวแม่กู แต่ไม่ใช่พ่อกูนะ"  ผมพูดพลางเค้นหัวเราะในลำคอ 

"เขาโทรมาหลายสายแล้วเนี่ย รับดิ"

"กูไม่ชอบเขา ไม่รับโว้ย มานี่!" ผมดึงมือถือกลับมาแล้วกดปิดเครื่องไปเลยหมดเรื่อง เพื่อนก็คงเหนื่อยกับการรบเร้าให้ผมรับโทรศัพท์แล้วก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยไป 

"เด็กๆ พ่อกับแม่ไปนอนแล้วนะ กินเสร็จแล้วอย่าลืมปิดบ้านให้เรียบร้อยล่ะ"

"คร้าบ!" เราทั้งหมดตอบรับแม่ไอ้เต้ยที่เดินเข้ามาบอก นอกจากไม่เคยว่าอะไรที่พวกเรามานั่งกินเหล้าที่นี่กันบ่อยๆ แล้วยังใจดีกับพวกเรามากด้วย ทุกครั้งที่ผมมองพ่อแม่ไอ้เต้ย ผมอิจฉา อิจฉาจนอยากร้องไห้เลย   

"ไอ้ภู เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้"

"เปล่า"

"แล้วมึงจ้องแม่กูอะไรขนาดนั้น จะเอาอะไร"

"แม่มึงใจดีว่ะ เอาแม่มึงมาแลกกับแม่กูป่ะ"

"ไอ้บ้า เมามากแล้วมึงอะ ไปหาที่นอนไหม"

"ไม่เอา ไม่นอน" ผมพูดปัดแล้วยกเหล้าในแก้วขึ้นกรอกปากอีกที ก่อนหันไปเห็นนุ่นที่เดินเก็บของที่เรากินกันเละเทะ ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านนุ่นอยู่ใกล้กับบ้านไอ้เต้ย แล้วทุกครั้งที่เรามากินเหล้าที่นี่นุ่นก็ถูกชวนมาด้วยทุกครั้ง ถึงไม่เคยกินเหล้าสักหยดแต่ก็ตามมาด้วยทุกที 

"นุ่น!" ผมร้องเรียกพลางดึงนุ่นเข้ามาหา คนตัวเล็กถูกดึงด้วยแรงนิดหน่อยก็ตัวลอยมานั่งข้างๆ ผม   

"จะ...เอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า"

"เป็นคนรับใช้หรือไง"

"เปล่า..."

"เลิกทำงานได้แล้ว พวกมึงก็เลิกใช้นุ่นได้แล้ว นี่เพื่อนนะเว้ย! ตัวยิ่งเล็กๆ อยู่ด้วย น่าเอ็นดูจะตาย" ผมว่าแล้วยกมือเคาะหัวเล็กๆ ของนุ่น หน้าที่อยู่ใกล้ๆ นั่นแทบจะเล็กกว่าฝ่ามือของผมเลยด้วยซ้ำ 

"มึงก็เลิกแดกได้แล้วไอ้ภู เมาชิบหายเลยมึงอะ นุ่นพามันไปนอนไป ห้องเราอะ"

"ไม่ไปเว้ย ยังไม่นอน"

"ไปเหอะภูผา เมามากแล้ว"

"ถ้าเราไปนอนแล้วนุ่นจะเลิกทำงานป่ะ"

"อืม" 

"ได้! โอเค!" ผมตอบรับแล้วลุกพาร่างเมาๆ ของตัวเองโซซัดโซเซมาถึงห้องนอนไอ้เต้ย ขณะที่นุ่นก็เดินตามเข้ามาด้วย   

"ไหวไหมเนี่ย"

นุ่นดึงผ้าห่มที่ผมนอนทับออกไป แล้วกำลังจะห่มเข้ามาให้แต่ผมยั้งมือนั่นเอาไว้ก่อน 

"ร้อน"

"ร้อนเหรอ เดี๋ยวปรับแอร์ให้นะ" นุ่นว่าแล้วหยิบรีโมทแอร์มาปรับอุณหภูมิแอร์ให้ต่ำลง ก่อนขยับมานั่งข้างๆ ผม ยกมือจับเท้าผมที่เป็นแผลเพราะเศษกระจกบาดทั้งสองข้าง

"ยังเจ็บเท้าอยู่หรือเปล่า เราทำแผลให้เอาไหม"

"ไม่เป็นไร ช่างมัน"

"งั้นก็นอนเถอะ เมามากแล้ว จริงๆ เราไม่เข้าใจเลยว่ากินเหล้าแล้วมันดียังไง"

"ทำไมไม่ลองอะ"

"ไม่ดีกว่า...ไม่เอาหรอก"

"แล้วนุ่นมาที่นี่ทำไมอะ มาก็ไม่เห็นกิน"

"ก็เห็นว่าภูผามา ก็เลยมาด้วย"

"นุ่นยังชอบเราอยู่อีกเหรอ คนแบบเราอะนะ"

"อือ ถ้าบังคับใจได้ ก็คงเลิกชอบไปนานแล้วแหละ แต่ทำไม่ได้ไง..."

คำพูดนุ่นถูกตัดขาดไปเพราะผมขยับริมฝีปากตัวเองไปประกบเข้ากับริมฝีปากของนุ่น อีกคนไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ไม่ตอบรับรอยจูบนั่น ผมดึงหน้าตัวเองออกมาแล้วก็กดซ้ำลงไปอีกที นุ่นก็ยังคงเฉย

"ภูผา ไม่เอา"

"นุ่นชอบเราไม่ใช่เหรอ"

"เราชอบภูผา แต่ไม่ชอบที่ภูผาทำตัวแบบนี้เลย"

"คราวก่อนยังจูบเราก่อนเลย"

"คราวนั้นก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้าทำแบบนี้พี่นาวีจะเสียใจนะ"

"เราเลิกกันแล้ว"

"..."

"เรากับนาวีเลิกกันแล้ว"

คำพูดนั้นมันตอกย้ำตัวเอง กระแทกเข้าที่ความรู้สึกจนน้ำตาของคนอ่อนแอมันไหลออกมาอีก ผมฟูมฟายออกมาตรงนั้นโดยมีนุ่นคอบปลอบใจ 

"ไม่เป็นไรนะภูผา ไม่เป็นไร"

 

            ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนแต่ตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ ของอีกวัน สะบัดหัวที่หนักอึ้งของตัวเองเพื่อเรียกสติ ก่อนหันมองนุ่นที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อคืนผมนอนกับนุ่นที่นี่ คำสุดท้ายที่จำได้คือเสียงปลอบใจของนุ่นกระทั่งหลับไป แต่ไม่มีอะไรเกินเลย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

            ผมเดินออกจากห้องนอน เห็นเพื่อนยังหลับเป็นตายกันอยู่ที่โซฟา ละความสนใจจากมันแล้วมองหาโทรศัพท์ของตัวเองก่อนพบมันตกอยู่ใกล้ๆ ชั้นวางทีวีจึงหยิบขึ้นมาเปิดเครื่อง ข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับมีมากจนผมแปลกใจ ไม่ทันได้โทรกลับหาเบอร์ไหน มือถือในมือก็ดังขึ้นด้วยการโทรเข้ามาของลุงวุธ ผมกดรับสายเพราะสงสัยว่าคนที่ไม่ค่อยโทรหาผมจะมีธุระอะไรจึงต้องโทรเข้ามาหลายสายขนาดนั้น แต่ในทันทีที่รับสายก็ต้องแปลกใจเมื่อปลายสายกลับเป็นเสียงของไอ้ธงทัพ

(ไอ้ภูผา! มึงอยู่ที่ไหนวะ!)

"มึงมีอะไร"

(ไอ้ภู ฟังกู ใจเย็นๆ แล้วรีบมาหากู)

"..."

(เมื่อคืนแม่มึงรถคว่ำ)

ผมอาจกำลังฝันไป...

สิ่งที่ได้ยินจากปลายสายเป็นเหตุให้โลกของผมหยุดอยู่กับที่ ผมหวังให้มันเป็นความฝัน ผมยังไม่สร่างเมาหรือหูไม่ดีจนได้ยินผิดเพี้ยนไป แต่สิ่งที่ไอ้ธงทัพพูดซ้ำย้ำเตือนว่านั่นคือเรื่องจริง ผมเสียสติไปครู่หนึ่งก่อนถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเรียกของไอ้ธงทัพ จึงรีบตรงไปโรงพยาบาลที่มันบอก ใช้สติที่หลงเหลืออยู่พาตัวเองไปถึงที่ ตอนที่กำลังยืนเคว้งอยู่หน้าโรงพยาบาล ธงทัพก็ออกมาเรียกผมพอดี

"ไอ้ภูผา!" 

"แม่ล่ะ"   

"มึงหายไปไหนมา" 

"แม่อยู่ไหน" 

"มึงไปอยู่ที่ไหนมา" 

"แม่กูอยู่ที่ไหน!"

 

ในตอนที่ถามถึงแม่ คำตอบก็มีเพียงความว่างเปล่า

 

 

แม่จากไปแล้ว...

 

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 07-01-2018 19:54:12
ฮืออออ เศร้าจัง ภูผาสู้ๆ :mew3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 07-01-2018 20:15:11
คิดถึงธงทัพออกมาสักที แต่ตอนนี้โคตรเข้าใจความรู้สึกภูผาเลยเราแม่งเป็นแบบภูผาและเข้าใจภูผามากๆพูดแล้วคิดถึงแม่5555555
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 07-01-2018 20:53:54
น้ำตาไหล
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 07-01-2018 23:11:44
เศร้าเลย ภูผาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เปลืoกส้มคลุง ที่ 07-01-2018 23:35:12
ภูผาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 08-01-2018 00:04:28
เราเข้าใจว่านาวีกดดันนะแต่การเลือกที่จะปล่อยมือทั้งๆที่เคยสัญญากันไว้ซะดิบดีนี่ไม่โหดร้ายกันไปหน่อยเหรอ นาวีเสียใจก็จริงแต่ก็คงไม่เท่าภูผาที่ถูกทิ้งไว้กลางทางหรอก คนปล่อยมือย่อมเจ็บน้อยกว่าคนถูกปล่อยอยู่แล้ว สงสารภูผาอะยังเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องจะเป็นไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 08-01-2018 00:22:03
เด็กคนนึงจะแบกรับอะไรได้มากมายแค่ไหนกัน?
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 08-01-2018 00:55:43
โอ๊ย ภูผา ฮืออออออออออออ  :m15:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 08-01-2018 04:24:13
ขอรับบริจาคทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้าก็ได้ค่ะตอนนี้จะตายอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2018 06:02:55
ผู้ใหญ่ชอบคิดว่าเขาต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง
ทั้งเขาก็ไม่ได้ทำทุกอย่างถูกทั้งหมด
สิ่งที่เขาทำมันก็ไม่ได้สร้างความสุข ถูกต้องอย่างที่เขาคิด
กลายเป็นสร้างความทุกข์ ความร้าวฉานให้ทั้งเด็กและตัวเอง

ภูผา หมดสิ้นแล้วทั้งแม่ ทั้งนาวี  :mew2: :mew2: :mew2:
นี่คงเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ของภูผา
อยากให้ภูผาทำใจ ตั้งสติได้เพื่อตัวเองได้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-01-2018 09:33:48
โอวววว... ช่วงเวลาแบบนี้ ภูผาจะเดินผ่านมันไปได้ยังไงกัน??? ธงทัพมาแล้ว มาถูกที่ถูกเวลา ....

จากนี้ไป ถึงแม้ภูผาสูญเสียแม่ไปแล้ว ก็คิดว่านาวีคงจะไม่กลับมา ไม่มีใครผิดทั้งภูผา ทั้งนาวี แต่เพราะความรักที่มีขีดจำกัดเรื่องระยะทาง >> ความมั่นคงมักจะถูกวัดด้วยความ "ไว้ใจ"

รักมากค่ะเรื่องนี้ เดินไปเรื่อยๆ พร้อมกันนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-01-2018 11:11:04
เราว่าหลังจากนี้ภูต้องเสียศูนย์มากๆแน่เลยค่ะ
สุดท้ายก็ไม่เหลือใครจริงๆ
ยิ่งถ้าแม่เสียชีวิตจากการตามหาภูผาแล้ว
ภูผาจะต้องโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุแน่ๆ แล้วภูผาจะรับมือกับเรื่องนี้ไหวแค่ไหน ถ้าธงทัพเข้ามาตอนนี้เราว่าภูผาต้งหวั่นไหวแน่ๆ หรือกับนุ่นก็ไม่แน่ เห้อออ

เราไม่อินกับนาวีค่ะ แต่เราเข้าใจเหตุผล ความรักสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน การดันทุรังรักไปสุดท้ายก็ไม่มีอะไรดี
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Lalaleega ที่ 08-01-2018 15:29:33
พึ่งมาตามอ่านอ่ะค่ะ อยากให้อัพเร็ว หนูรออยู่นะคะ  :hao7: รู้สึกเรื่องนี้มีความ real ชอบความเทาของเรื่องนี้มากเลยค่ะ อยากให้มาต่อไวๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 11-01-2018 01:25:21
Episode 10


ผมปล่อยวางความเข้มแข็งของตัวเอง

แล้วอ่อนแอตรงหน้าคุณ


 

 

ท่ามกลางงานศพของแม่ที่ถูกจัดไปตามพิธี ผมยังคงมึนงงคล้ายลอยลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ผมไม่รู้เข็มของนาฬิกาขยับไปทางไหน ผมไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร หรือจะต้องทำอะไร เลื่อนลอยไม่มีสติ รู้แค่เสียงของใครบางคนกำลังเรียกซ้ำๆ และดังขึ้นทุกที

"ภูผา"

"..."

"ไอ้ภูผา!"

ผมหันมองเสียงเรียกจากธงทัพที่ดึงสติผมกลับมาจากอาการเหม่อลอย แม้ว่าผมจะเกลียดมันจนไม่คิดอยากมองหน้า แต่ตอนนี้ผมยอมให้มันออกปากสั่งให้ทำนั่นทำนี่ ไม่ว่ามันจะบอกให้ทำอะไร เดินไปตรงไหน นั่งอยู่ตรงไหนก็ทำตามไปทุกอย่างโดยที่แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

"เพื่อนมึงมาอะ" มันพูดพลางพยักหน้าไปที่กลุ่มเพื่อนของผมที่ยืนกันอยู่เป็นกลุ่ม ผมหันมองพวกมันแล้วหันกลับมามองไอ้ธงทัพ เพื่อถามผ่านสีหน้าเรียบๆ ของตัวเองว่าผมต้องทำยังไง 

"ไปหาเพื่อนดิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วหันเดินไปหาเพื่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของเพื่อนทุกคนตรงนั้นเป็นเหตุให้ผมขยับมุมปากยกขึ้นยิ้มไปด้วย 

"เสียใจด้วยนะภูผา"

ผมพยักหน้ารับตอนที่เพื่อนยกมือตบไหล่เบาๆ ก่อนเสียงของใครก็ไม่รู้บอกให้เพื่อนผมเข้าไปนั่งก่อนเพราะใกล้ถึงเวลาพระสวด ผมยืนมองเพื่อนที่เดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้แต่ไม่ได้ตามเข้าไปด้วย กระทั่งพระจะเดินเข้ามาในศาลาวัด ไอ้ธงทัพก็เดินมาข้างๆ จับมือผมแล้วพาเดินไปนั่งที่เก้าอี้แถวหน้า ใกล้ๆ กับลุงวุธและป้าอร แม่ของมัน ส่วนตัวมันเดินออกไปกับใครอีกคนที่เดินเข้ามาเรียก

ผมคิดว่าแม่คงมีคนรู้จักไม่มากนัก คนที่มาร่วมงานศพจึงไม่มากมายเท่าไร มีญาติของแม่ที่ผมก็ไม่คุ้นเคยเพราะเจอกันไม่บ่อย มีเพื่อนที่ทำงานของแม่ มีเพื่อนของผม และคนรู้จักของลุงวุธ ผมไม่รู้พิธีการอะไรในงานมากนัก ลุงวุธและป้าอรจึงเป็นคนจัดการทุกอย่างให้ ไอ้ธงทัพที่รู้ว่าควรทำอะไรก็จะคอยบอกให้ผมทำตาม

            พวกเขาดีกับผม จนผมรู้ตัวว่าที่ผ่านมาผมผิด แต่คิดว่าตัวเองทำถูก ผมก็แค่คนโง่เขลา เอาแต่ใจ ผมไม่เปิดใจให้พวกเขา ไม่ยอมรับและไม่ฟังใคร ผมควรเชื่อที่แม่บอก แม่บอกพวกเขาเป็นคนดี ผมโกรธตัวเองที่เพิ่งมาเชื่อในวันที่แม่จากไปแล้ว

หลังจากพระสวดเสร็จแล้ว คนในงานทยอยกันกลับไป แต่กลุ่มเพื่อนของผมยังอยู่ พลางหาเรื่องมาชวนคุยให้ผมได้หัวเราะไปกับพวกมันด้วย

"ภูผา มึงจะหยุดเรียนถึงวันอาทิตย์เลยใช่ไหม"

"อืม"

"การบ้านกองเท่าหัวแน่มึง"

"กูเนียนไม่ส่งได้ไหมเนี่ย"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวลอกเราก็ได้ เราก็อปปี้ไว้ให้"

"รู้หน้าที่" ผมว่าแล้วยกมือเคาะหัวนุ่นเบาๆ

"แล้วนี่มึงกินข้าวยัง"

ผมจำไม่ได้ว่ากินข้าวมื้อสุดท้ายเมื่อไร เลยส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ 

"กินข้าวบ้าง หน้ามึงซีดเป็นศพแล้ว"

"เออ เดี๋ยวกิน แล้วนี่มึงมากันยังไงเนี่ย"

"ไอ้เต้ยมันเอารถพ่อมันพาพวกกูมา"

"มึงขับรถเป็นแล้วเหรอวะ"

"เป็นได้สองอาทิตย์แล้ว"

"เฮ้ย อันตรายป่ะวะ พวกมึงก็ยอมมากับมันได้ไงเนี่ย"

"อันตรายห่าอะไรล่ะ ขับไม่เกินสี่สิบ ก็เลยมาช้าไง ชิบหาย!"

"แหม่! ก็ปลอดภัยไว้ก่อนโว้ย"

"ไอ้เหี้ยกูลงไปวิ่งไวกว่าอีก"

"เออ งั้นมึงเดินกลับไปเลยไป"

ผมลืมความเศร้าในใจไปชั่วครู่ ก่อนความเงียบกลับเข้ามาในตอนที่เพื่อนบอกลาเพื่อกลับก่อน ผมมองเพื่อนที่เดินออกไปแล้วก็ทำได้แค่ยิ้มส่งไปให้ นุ่นที่เดินไปเป็นคนสุดท้ายหันหลังกลับมามอง ก่อนจะเดินกลับมาแล้วพูดบางคำกับผม

"รู้ว่าไม่โอเค...แต่ต้องเข้มแข็งนะ" นุ่นพูดแค่นั้นแล้วขยับเข้ามากอดผมครู่หนึ่ง แล้วเดินตามเพื่อนออกไป พอเพื่อนกลับไปกันหมดแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ 

ผมเดินกลับเข้ามาบนศาลาที่เงียบสงบ ไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนเลยเดินเข้าไปหาญาติของแม่ที่กำลังเก็บของกันอยู่ 

"มีอะไรให้ภูช่วยไหมครับ" 

"ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวทางนี้พวกน้าจัดการเอง"

"ครับ"

"เอาน้ำไหม"

ผมไม่ได้ตอบก่อนน้าจะส่งโค้กกระป๋องมาให้จึงรับไว้ แล้วเดินมาหย่อนตัวนั่งอยู่ไกลๆ ในตอนนั้นมือถือหล่นออกจากกะเป๋ากางเกง ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู เบอร์สุดท้ายที่ผมไม่ได้รับสายนั้นเป็นเบอร์ของแม่ และผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นสายสุดท้ายจากแม่ ผมควรกดรับและรีบกลับบ้านไปหาแม่ ไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงจนต้องขับรถออกมาตามหา ทั้งหมดเป็นเพราะผม ทั้งหมดเป็นความผิดผม 

ผมหันมองรูปภาพหน้าโลงศพของแม่ ในรูปแม่ยิ้ม ตัวผมเองก็ไม่ได้ร้องไห้ แต่ในใจเจ็บปวดอธิบายไม่ได้ ยิ่งคิดถึงเรื่องราวสุดท้ายระหว่างผมกับแม่ใจก็ยิ่งเจ็บ ผมควรทำตัวกับแม่ให้ดีกว่านั้น ชีวิตแม่จบไปแล้ว แต่ความรู้สึกผิดจะตามติดอยู่ในความทรงจำผมไปตลอดชีวิต ผมหันมองรูปแม่ตรงนั้นอีกทีแล้วพูดบางคำที่แม่ไม่มีวันได้ยินออกไป

 

"แม่...ภูขอโทษ..."

 

ผมละสายตาจากรูปของแม่ เพราะรู้ว่ามองนานกว่านั้นไม่ไหว จึงเลื่อนสายตาไปทางอื่น เก็บมือถือใส่กระเป๋าที่เดิมแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางความเงียบ ผมได้ยินเสียงใครบางคนคุยกันดังผ่านหู แม้ไม่ได้ตั้งใจฟังแต่ก็ได้ยินชัดเจนดี   

"นี่พี่ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ พี่วุธนั่นใครเหรอ"

"ก็เมียหลวงเขาไง"   

"จริงดิ หนูเห็นเขาช่วยงานทุกอย่างเลย คิดว่าญาติพี่พิมซะอีก"

"เมียน้อยตาย เมียหลวงก็มาจัดงานศพให้ ครอบครัวสุขสันต์จริงๆ" 

"โครม!"

ผมหันมองเสียงดังก่อนหันไปเห็นว่าเก้าอี้สี่ห้าตัวถูกโยนลงพื้นโดยไอ้ธงทัพ ตัวมันยืนมองหน้าผู้หญิงสองคนเจ้าของเสียงคุยเมื่อครู่

"ยังไม่กลับกันอีกเหรอครับ"

"จะกลับแล้วค่ะ"

"ก็ไปสิครับ เกะกะครับ"

ผู้หญิงสองคนนั้นรีบเดินออกไปตอนที่มันมองตามตาขวางๆ พูดอะไรพึมพำคนเดียวแล้วหันมามองผม ก่อนจะเดินเข้ามาหา

"มานั่งทำอะไรตรงนี้อะ ทำไมไม่ไปนอน"

ผมไม่ได้ตอบแค่ส่ายหน้าเบาๆ

"แล้วกินอะไรยัง"

ผมยกกระป๋องโค้กในมือขึ้นให้มันดู กำลังจะเปิดฝากระป๋องแต่โดนมันแย่งไปก่อน 

"มึงไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว กินนี่แทน" มันว่าแล้วหยิบนมกล่องในกระเป๋ากางเกงส่งมาให้ผมแทนโค้ก ผมรับนมกล่องนั้นมา เห็นว่ามันเป็นนมรสช็อกโกแลตแล้วก็ขยับมุมปากขึ้นยิ้มนิดหนึ่ง

แม่เคยสัญญาว่าคราวหน้าจะซื้อนมรสช็อกโกแลตมาให้ แต่แม่ยังไม่ได้ซื้อ และผมจะไม่มีวันได้กินนมช็อกโกแลตที่แม่ซื้อให้อีกแล้ว 

ผมหันมองธงทัพที่ยังยืนมองผมอยู่ จึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามันจะให้ผมทำอะไรอีกหรือเปล่า

"กินดิ รอมึงกินก่อนกูถึงจะไป"

ผมพยักหน้ารับแล้วกินนมนั่นตามที่มันบอก ระหว่างนั้นมันก็นั่งลงข้างๆ ผม ไม่ได้พูดอะไรกระทั่งผมกินนมนั่นหมดกล่อง มันหยิบกล่องไปดูว่าหมดแล้วจริงๆ จึงพอใจ 

"พอไหม เอาอีกเปล่า"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ มันเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วแหงนหน้ามองฟ้ามืดๆ นั่น ผมเองไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด และผมก็ไม่อยากให้มันลุกออกไปจากตรงนี้เหมือนกัน

"มึงง่วงไหม"

"ไม่ง่วง"

"อยากกินอะไรไหม"

"ไม่หิว"

"อยากให้กูกอดไหม"

"ไม่..."

ผมปฏิเสธแต่มันทำตรงกันข้ามด้วยการขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงผมเข้าไปกอด น่าแปลกที่ผมยอมทิ้งหัวตัวเองลงบนไหล่ของมันโดยไม่ขัดขืน อาจเพราะผมกำลังต้องการ ใครบางคน ใครก็ได้ ใครสักคนที่อยู่เป็นเพื่อนกัน แม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นไอ้ธงทัพที่เคยเกลียดมันอย่างกับอะไรดี

"มึงจะร้องไห้ก็ได้นะ"

"..."

"ไม่เป็นไรหรอก กูไม่บอกใครเลย รู้กันสองคนก็ได้"

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงไม่ร้องไห้เลย และที่ผมไม่ร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าผมไม่เสียใจ อาจเพราะน้ำตาแห้งหายกลายเป็นความเจ็บปวดที่แน่นอยู่ในความรู้สึกจนคล้ายว่าจะขาดใจตาย ผมยังคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันไป แล้วในตอนที่ผมตื่น ผมอยากขอแม่ผมคืนกลับมา

 

...

 

 

            สามวันสำหรับงานศพของแม่ผ่านไปแล้ว มันเป็นสามวันที่ทรมานจนเกือบทนไม่ไหว กลางวันเชื่องช้า กลางคืนยาวนาน ผมไม่รู้ว่าผ่านมันมาได้อย่างไร จนถึงวันเผาศพ ผมจึงรู้ตัวว่ามันเป็นวันสุดท้ายแล้วจริงๆ

            ผมอาบน้ำและแต่งตัวในชุดสีดำที่ป้าอรซื้อมาให้ ผมนั่งลงเพื่อสวมถุงเท้าแต่ต้องหยุดการกระทำนั่นเพราะเลือดข้นไหลออกมาจากแผลกระจกบาดซึ่งยังไม่หายดี ถุงเท้าสีขาวเลอะเลือดไปแล้วจึงเลิกคิดที่จะใส่มัน กำลังคิดว่าจะหาอะไรมาเช็ดเลือด หรือผมควรทำแผลก่อนไหม ไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่างเสียงมือถือก็ดังขึ้นก่อน ผมหันไปมองเห็นว่าเป็นลุงวุธเลยกดรับก่อน   

(ภูผา อยู่ที่ไหน)

"อยู่บ้านครับ กำลังจะออกไป"

(ให้ลุงไปรับไหม)

"ไม่เป็นไร ผมไปเองได้"

(โอเค งั้นรีบมานะ)

"ครับ"

ผมกดวางสายจากลุงวุธไปแล้วจ้องมองหน้าจอมือถือนั้น ผมยังหวังว่านาวีจะโทรมา ผมไม่รู้ว่านาวีอยู่ที่ไหน แต่นาวีน่าจะโทรมา นาวีน่าจะอยู่ตรงนี้กับผม แต่ก็เป็นอย่างทุกครั้ง นาวีไม่เคยอยู่ด้วยเลยในวันที่ผมต้องการ แม้ในวันนี้ที่ต้องการเขาที่สุด นาวีก็ไม่อยู่ตรงนี้

ผมหลงผิดคิดว่าความรักสำคัญกว่าสิ่งไหน ความรักหลอกให้ผมเชื่อว่าตลอดไปมันมีอยู่จริง ความรักโกหกผม แล้วคนรักก็เดินไปจากผม ผมจมอยู่กับความหลงใหลของคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตชั่วคราวนั่น จนละเลยความรู้สึกของคนที่อยู่กับผมมาทั้งชีวิตอย่างแม่ ผมรู้สึกผิด ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นทุกที

ผมลากเท้าเลอะเลือดของตัวเองเข้ามาในห้องนอนของแม่ เพราะจำได้ว่าแม่เคยมียาและอุปกรณ์ทำแผลอยู่ที่โต๊ะทำงาน  ผมเดินเข้าไปตรงนั้นและเห็นกล่องยาวางอยู่ที่เดิม แต่สายตาผมมองผ่านกล่องยานั้นไปมองกองงานของแม่ที่แม่มักจะใช้เวลาอยู่กับมันเสมอ

ผมเคยโกรธว่าทำไมแม่ถึงเอาแต่ทำงาน แต่เพราะแม่ต้องเลี้ยงผมคนเดียวแม่จึงต้องทำงานหนัก

ผมเคยบอกว่าอาหารของแม่นั้นจืดชืด แต่เพราะแม่รู้ว่าผมกินเผ็ดไม่ได้

แม่ซื้อเสื้อผ้าให้ผม ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ผม แต่ผมไม่เคยเห็นแม่ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ตัวเองเลยนอกจากชุดทำงาน 

วันที่ผมทำผิดที่โรงเรียน แม่ยอมก้มหัวให้คนอื่นเพื่อขอโทษแทนผม ทั้งๆ ที่แม่ไม่ใช่คนแบบนั้น แม่ยอมทำสิ่งที่น่าอายไร้ศักดิ์ศรี ก็เพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญกว่าตัวเอง นั่นคือผม

แม่ไม่ตามใจผม แม่ดุผม ทั้งหมดเพื่อให้ผมไม่หลงผิดจนออกนอกลู่นอกทาง ผมดื้อและมักจะรำคาญแม่ขณะที่แม่เป็นห่วงแต่ผม เราใช้เวลามื้อเช้าด้วยกันแต่ผมไม่เคยพูดอะไรกับแม่ ผมน่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้แม่ฟัง ผมน่าจะถามแม่บ้างว่าทำงานเหนื่อยบ้างไหม ผมน่าจะออกไปกินข้าวกับแม่และลุงวุธคนที่แม่รัก แม่เป็นแม่ที่ทำหน้าที่ของแม่อย่างดีแล้ว แต่ผมเป็นลูกที่ยังไม่เคยทำอะไรให้แม่เลย ครั้งเดียวก็ไม่เคยเลย

ผมรู้ตัวแล้ว แต่ช้าเกินไปเพราะตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว ไม่มีแม่ให้ผมได้แก้ตัวในสิ่งที่เคยทำผิดไปแล้ว ผมต้องอ้อนวอนกับใคร เพื่อให้ผมได้แม่คืนมา ผมยังคงภาวนาแม้รู้ว่าไม่มีหวัง แต่ผมขอแม่ผมคืนได้หรือเปล่า ผมอยากให้แม่กลับมา ผมขอแค่นาทีเดียว ให้ผมได้บอกรักแม่สักครั้ง

 

และผมน่าจะพูดมันออกมาให้เร็วกว่านี้ เผื่อว่าแม่จะได้ยิน

 

"ภูผา"

ผมนั่งอยู่ในห้องแม่เนิ่นนานกระทั่งเสียงของธงทัพที่เข้ามาเรียกดึงความสนใจของผมไป มันขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเดินเข้ามา

"มึงทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปวัด"

"ไม่อยากไป"

"อะไรนะ"

"กูไม่อยากไป"

"มึงเป็นอะไรเนี่ย งานศพแม่มึงนะเว้ย"

"เพราะเป็นงานศพแม่กูไง เลยไม่อยากไป"

"ไม่ไปได้ไงวะ ไปเลย ลุก" ธงทัพเข้ามาดึงมือผมให้ลุกขึ้นแต่ผมไม่ยอมทำตาม ดึงมือตัวเองกลับมาแล้วเงยหน้ามองมันที่ยืนอยู่ข้างหน้า 

"กูไม่ไปได้ไหม"   

"..."

"ธงทัพ กูทำใจไม่ได้..."

สิ้นคำพูดของผมธงทัพก็นั่งลงข้างๆ มันไม่ได้พูดอะไรนอกจากกอดผมอย่างที่มันทำมาตลอดสามวัน ทุกครั้งผมยอมให้มันกอดแม้ไม่ต้องพูดอะไร แต่วันนี้ผมร้องไห้ ความรู้สึกอัดอั้นในใจระบายผ่านน้ำตาและความฟูมฟายโดยไม่ได้พยายามกลั้นเอาไว้ เสียงปลอบใจของธงทัพเอ่ยแทรกเสียงสะอึกสะอื้นของผม

"ไม่เป็นไร กูอยู่นี่"

"..."

"ไม่เป็นไร"

 

ผมร้องไห้จนหยุดไปเองโดยไม่ได้พยายาม ธงทัพขยับไปหยิบกล่องยาบนโต๊ะทำงานของแม่ แล้วนั่งลงเพื่อทำแผลที่เท้าให้ ผมชักเท้าตัวเองหนีเพราะไม่อยากให้มันทำแบบนั้น แต่มันหันมองตาขวางแล้วดึงเท้าผมกลับไป

"เฉยๆ ดิ"

"เจ็บ"

"กูมือเบาเหอะ"

มันพูดอย่างดูมั่นใจแล้วก้มลงทำแผลที่เท้าให้ เบามืออย่างที่มันว่าจนผมไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไร ลมจากริมฝีปากมันเป่าเบาๆ ลงที่ฝ่าเท้าของผม แล้วแปะผ้าก็อชให้ในตอนสุดท้าย 

"ไปยัง"

"กูไม่อยากไปเลย"

"ไปเหอะ แม่มึงรออยู่นะ"

"..."

"ไปส่งแม่"

"..."

"ไปนะ"

ผมมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะยอมยื่นมือไปจับมือมันที่ยื่นมารับ แล้วลุกออกไปจากตรงนี้ ผมเคยเกลียดธงทัพ ผมเคยเกลียดมันแต่วันนี้รู้สึกขอบคุณมันมากกว่าใคร ขอบคุณจากใจจริง 

 

งานศพของแม่เป็นไปตามพิธีอย่างเรียบง่าย ในตอนสุดท้าย ผมที่ยืนมองอยู่ไกลๆ เห็นร่างไร้วิญญาณถูกส่งเข้าเตาเผา ร่างของแม่คงมอดไหม้กลายเป็นควันลอยขึ้นไปบนฟ้า แม่จากไปแล้วจริงๆ และผมจึงเข้าใจ การสูญเสียครั้งนี้ทรมานกว่าเรื่องใดในชีวิตที่เคยเจอมา   

ผมหันมองรอบๆ ตัว ผู้คนเดินสวนผมออกไปจากตรงนี้ ผมทำได้แต่ยิ้มแทนทุกคำพูด กระทั่งคนพวกนั้นเดินออกไปกันหมดเหลือแค่ผม ความว่างเปล่าเป็นสิ่งเดียวที่ผมกำลังเผชิญ แม้แต่จะเดินไปทางไหนในตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลย ผมเงยหน้ามองควันจางๆ จากปลายเมรุนั่นอีกครั้ง แล้วหันหลังให้ ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินกลับต้องชะงัก เพราะธงทัพมันยืนอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร

ผมก้าวเท้าเข้าไปหามันในจังหวะเดียวกับที่มันยกมือขึ้นกอดผม สองมือของตัวเองก็ยกขึ้นกอดมันกลับอย่างคนไร้ที่พึ่งพา และมันเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมในตอนนี้

"ธงทัพ"

"อือ"

"กูไม่เหลือใครแล้วว่ะ"

"..."

"ชีวิตกู...ไม่มีใครเลย"

มันถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วกระชับกอดผมแน่นขึ้น ก่อนคำพูดแผ่วเบาจะเอ่ยออกมาจากคนที่กำลังกอดผมอยู่

"ที่บอกว่าไม่เหลือใคร"

"..."

"มึงนับกูหรือยัง"

 

 

...

 

ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 11-01-2018 01:25:58
ผมกลับไปเรียนหลังงานศพแม่เรียบร้อยแล้ว ลุงวุธบอกให้ผมหยุดต่อแต่ผมคิดว่าออกไปเจอเพื่อนที่โรงเรียนคงดีกว่าต้องอยู่คนเดียว ผมมีเพื่อนที่คอยชวนคุยให้ลืมเรื่องอื่น ผมมีลุงวุธที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ ผมมีป้าอรที่โทรหาผมทุกวัน ทุกวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่ผ่านไปได้ ผมใช้ชีวิตได้แต่ยังไม่ชิน มันอาจจะลำบากหน่อยและผมก็คงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ใจผมกลับมาพร้อมสำหรับทุกเรื่อง

 

ผมกลับมาที่บ้านหลังจากโรงเรียนเลิก ในตอนที่กำลังจะเดินเข้าบ้านก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถยนต์จอดอยู่ในนั้น ความสงสัยทำงานไม่นานก่อนกระจ่างตอนที่ธงทัพมันเดินออกมาจากตัวบ้าน มันหันมาเห็นผมเข้าพอดีจึงยกมุมปากขึ้นยิ้มข้างหนึ่งแล้วพยักหน้าทัก

"มึงเข้ามาบ้านกูได้ไง"

"ก็มึงไม่ล็อกบ้านอะ"

ผมเงียบเพื่อคิด ไม่รู้ตัวว่าเมื่อเช้าผมลืมล็อกประตูบ้าน 

"สติมึงยังกลับมาไม่ครบอีกหรือไง โจรปล้นบ้านไม่รู้ตัวเลยนะมึง"

"แล้วมาทำไม" ผมยังไม่ทันได้คำตอบจากธงทัพก็ต้องชะงักไปอีกรอบเมื่อเห็นลุงวุธกับป้าอรที่อยู่ในบ้าน เลื่อนสายตามองโต๊ะกินข้าวที่เต็มไปด้วยอาหาร

ความห่วงใยของพวกเขาส่งผ่านสิ่งต่างๆ ที่ทำเพื่อผม ผมรู้และรับไว้โดยไม่ได้บีบบังคับความรู้สึกของตัวเอง ผมอยากขอโทษพวกเขามากกว่าพันครั้ง และอยากขอบคุณให้มากกว่านั้น

"ภู"

"..."

"ภูผา!"

"ครับ"

ผมเงยหน้าจากจานข้าวหลังจมอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่ได้ฟังที่ลุงวุธกำลังพูด 

"ลุงรู้ว่ามันอาจจะแปลกสักหน่อยที่จะถามแบบนี้ แต่ภูอยากไปอยู่กับลุงไหม"

"..."

"หรือไปอยู่ที่บ้านป้าก็ได้"

ผมหันมองลุงวุธกับป้าอรสลับกัน ผมเพิ่งรู้ว่าลุงวุธกับป้าอรแยกกันอยู่นานแล้ว นานก่อนที่ลุงวุธจะมีแม่ของผม แต่ทั้งสองก็ไม่ได้เลิกติดต่อกัน คงเพราะมีธงทัพเป็นตัวกลางที่ยังทำให้ลุงวุธกับป้าอรหาโอกาสมาเจอกันบ้าง ป้าอรใจกว้างพอที่จะยอมให้ลุงวุธมีแม่โดยไม่มีปัญหาใด แต่ผมรู้สถานะตัวเอง ผมไม่ได้เป็นอะไรกับใครในครอบครัวนั้น ผมคงไม่รบกวนเขาไปมากกว่านี้จึงเอ่ยคำตอบของตัวเองออกไป

"ไม่ครับ"

"อะไรวะ"

เราทั้งหมดหันมองธงทัพที่พูดออกมาแบบนั้น

"จะอยู่ยังไงคนเดียววะ"

"กูอยู่ได้"

"เก่งจัดเลยเนอะมึงเนี่ย"

"ธงทัพ" ป้าอรหันไปดุมันนิดหนึ่ง แต่มันไม่ได้สน เป็นแต่ก่อนผมก็คงโกรธและเถียงกับมันไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่คิดจะทำแบบนั้น แล้วก่อนที่ผมจะพูดอะไร มันก็หันมาพูดต่อ

"มึงอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ไปอยู่ด้วยกัน"

"..."

"ไปอยู่กับกู"

ผมยังคงส่ายหน้าปฏิเสธเลยถูกฝ่ามือของมันตบเข้ามาที่ท้ายทอยแรงๆ ผมเจ็บและไม่ทันตั้งตัวเลยร้องออกมา เป็นเหตุให้มันโดนทั้งพ่อและแม่ตะโกนดุพร้อมกัน

"ธงทัพ!"

"ก็มันดื้อ ต้องโดน"

ผมไม่ได้เถียง ได้แต่หันมองแล้วลูบหัวตัวเองเบาๆ ผมคนเดิมหายไปจนธงทัพเองก็คงจะแปลกใจเลยสะกิดถาม 

"มึงไม่ด่ากูกลับวะ"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

"เฮ้ย มึงเป็นแบบนี้กูทำตัวไม่ถูกนะเนี่ย กลับมาด่ากู มาเถียงกูเหมือนเดิมดีกว่า นิ่งแบบนี้กูไม่ชิน" 

ผมทำได้แต่ยิ้มนิดๆ กลับไป ก่อนมื้ออาหารจะดำเนินต่อไป โดยที่ผมไม่ได้พูดอะไรในระหว่างบทสนทนาของพวกเขา มีแค่พยักหน้ารับกับส่ายหน้าเพื่อแสดงออกว่าผมยังคงฟังอยู่ กระทั่งกินข้าวเสร็จ ลุงวุธกับป้าอรอยู่คุยกับผมอีกพักหนึ่งก่อนขอตัวกลับก่อน ผมยืนอยู่หน้าบ้านมองดูรถของลุงวุธที่กลับออกไป แล้วหันมองไอ้ธงทัพที่ยังยืนอยู่ข้างๆ มันเองก็หันมองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง

"มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเหรอ"

"ทำไมมึงไม่กลับไป"

"กูจะนอนนี่ไง"

"นอนที่นี่? นอนตรงไหน?"

"ในครัวมั้งไอ้บ้า มึงนอนตรงไหนกูก็นอนตรงนั้นแหละ"

ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ มันก็ได้แต่ยกมือผลักหัวผมหน่อยๆ แล้วเดินไปดูต้นไม้หน้าบ้าน บ่นพึมพำคนเดียวก่อนลากสายยางมารดน้ำต้นไม้ของแม่ที่เหี่ยวแห้งคล้ายจะตาย ผมหย่อนตัวเองนั่งลงที่พื้นหน้าบ้าน มองดูมันรดน้ำต้นไม้ คนถูกมองคงรู้ตัวจึงหันกลับมาด่า

"ไม่คิดจะช่วยแล้วจะมานั่งมองหาห่าอะไร"

"ปากหมา"

"ยอมรับ"

มันพูดพลางยักไหล่แล้วหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ธงทัพเป็นคนพูดจาไม่เข้าหู หน้าตาของมันก็กวนตีนเกินจะเป็นมิตรกับใคร แต่ใจมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ใจของมัน ดีกว่านั้น

"ว่างๆ มึงก็รดน้ำให้มันบ้าง เดี๋ยวก็ตายหมดพอดี"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่มันไล่รดน้ำต้นไม้มาจนถึงตรงหน้าผม   

"ธงทัพ"

"อือ"

"มึงกลับบ้านไปเหอะ กูอยู่ได้"

"แล้วอยู่กับกูมันไม่ดีตรงไหนอะ"

"ไม่ใช่ไม่ดี แต่พรุ่งนี้มึงต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอ"

"พรุ่งนี้วันเสาร์ไอ้เป็ด"

ผมขมวดคิ้วมองหน้าอย่างไม่เข้าใจที่มันเรียกผมแบบนั้น ไม่แน่ใจเป็นคำด่าหรือว่าอะไร

"มึงหน้าเหมือนเป็ดไม่รู้ตัวเหรอ"

"เป็ดแม่มึงสิ"

"โอ้โห! นี่แหละที่กูรอ กลับมาด่ากูได้นี่อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม"

ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แต่หลุดยิ้มออกมาเพราะมัน 

"เออ ยิ้มได้แล้ว" มันพูดแค่นั้นแล้วหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อจนเสร็จ ม้วนสายยางเก็บแล้วนั่งลงข้างๆ ผม ในตอนนั้นซองบุหรี่ก็ร่วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันจึงหยิบซองนั่นขึ้นกระแทกเบาๆ แล้วดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งก่อนจับใส่ปากตัวเอง

"เอาไหม"

"ไม่เอา"

ผมชินกับกลิ่นบุหรี่เพราะเพื่อนก็สูบ ไม่ได้รังเกียจมันแต่ก็ไม่ได้ชอบ ในตอนที่หันมองควันบุหรี่จากคนข้างๆ แล้วคิดถึงเรื่องเมื่อปีก่อนจึงพูดมันขึ้นมา

"ตอนนั้นกูไม่ได้ฟ้องพ่อมึง เรื่องที่มึงสูบบุหรี่ที่โรงเรียนนะ"

"เออ กูรู้ละ"

"แล้วตอนนั้นมึงมาโทษกูทำไม"

"กูก็เดาเอาว่าเป็นมึง"

"มั่ว"

"ขอโทษได้ไหมล่ะ แหม่!"

ผมส่ายหน้านิดๆ ตอนที่ถูกมันยกมือขึ้นผลักหัวเบาๆ 

"เออ กูก็ไม่ได้เป็นคนโพสท์รูปมึงลงเฟสบุ๊กนะเว้ย"

"อืม รู้แล้วเหมือนกัน"

"มึงก็มาโทษกูเฉย กูยังใช้เฟสบุ๊กห่าอะไรนั่นไม่เป็นเลยมึงรู้เปล่า เออ แล้วมึงรู้ไหมว่าใครทำ"

"รู้"

"จริงดิ ใครวะ"

"ช่างมันเหอะ ไม่อยากพูดถึงแล้ว"

"แล้วมันทำแบบนั้นกับมึงทำไมวะ ให้กูไปเตะมันเลยไหม ยกพวกไปตีมันเลยยังได้"

"กร่างมาจากไหนวะ"

"กูหัวหน้าแก๊งข้าวโพดหวานนะเว้ย"

ผมหลุดหัวเราะตอนได้ยินชื่อแก๊งมัน มันเองก็ยิ้มออกมาแล้วหยิบบุหรี่ในปากดีดเถ้าบุหรี่ที่ปลายมวนลงกับพื้น

"ทัพ"

"อือ ว่า?"

"ทำไมมึงมาทำดีกับกูวะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนกูก็เหี้ยใส่มึงไว้ตั้งเยอะ"

"แล้วทำไมต้องเหี้ยใส่กูด้วยอะ กูไปทำให้อะไรให้มึงเหรอ"

"กูไม่ชอบหน้ามึง"

"กูหล่อกว่าก็มาอิจฉากูอะ"

"ไม่ใช่เว้ย!"

"อ้าว แล้วทำไมไม่ชอบหน้ากู"

"ไม่รู้ดิ กูคิดว่ามึงก็ไม่ชอบกูเหมือนกัน"

"ไม่ชอบตรงมึงดื้อนี่แหละ เอาจริงๆ ตอนเจอหน้ากัน กูยิ้มให้มึงก่อนตลอดเลยนะ"

"ยิ้มมุมปากเนี่ยนะ รู้ไหมหน้ามึงกวนตีน"

"อ้าว! ก็กูขี้เก๊กอะ ยิ้มอย่างนี้โคตรหล่อ" ว่าแล้วก็ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ เรื่องหล่อคงปฏิเสธไม่ได้เพราะมันมีใบหน้าที่จัดอยู่ในคำนั้นจริงๆ แต่มากกว่าความหล่อก็คือความกวนตีนนี่แหละ   

"กูรู้ว่าหน้าตากูไม่เป็นมิตร แล้วกูก็ปากไม่ดีด้วย กูคงเคยพูดอะไรให้มึงรู้สึกแย่โดยที่ไม่รู้ตัวมาเยอะเลยดิ"

"อืม"

"แต่ใจกูไม่เคยคิดอะไรเลยนะเว้ย กูก็อยากคุยดีๆ กับมึงแต่เริ่มไม่เป็น แล้วมึงก็ไม่เป็นมิตรกับกูเลย กูก็เลยเลยตามเลยอะ ลืมเรื่องเก่าๆ ไปได้ไหมล่ะ กูขอโทษ"

"กูต่างหากที่ต้องขอโทษ"

"ช่างมันเหอะ กูเป็นพวกไม่ติดอดีตว่ะ"

ผมพยักหน้ารับขณะที่มันก็ยกมือตบบ่าผมเบาๆ 

"ต่อไปนี้กูจะมาอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ"

"เฮ้ย ไม่ต้อง"

"ก็มึงไม่ยอมไปอยู่กับพ่อหรือแม่กูอะ จันทร์ถึงศุกร์กูมีเรียน แต่เสาร์อาทิตย์กูมาได้"

"กูอยู่ได้ มึงไม่ต้องลำบาก"

"เออน่า เดี๋ยวกูมาอยู่เป็นเพื่อน แต่จริงๆ กูก็อายุมากกว่ามึงปีหนึ่งอะ"

ผมหันหน้ามอง ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่ามันต้องการพูดถึงอะไร

"ก็พูดให้มึงคิด จริงๆ มึงควรจะเรียกกูว่าพี่หรือเปล่า"

"ไม่"

"ไม่เหรอ"

"ไม่"

"เรียกพี่ทัพ น่ารักนะ"

"ไม่"

"เออ ไม่ก็ไม่"

มันว่าแค่นั้นแล้วกดบุหรี่ที่หมดมวนแล้วลงในกระถางต้นไม้ใกล้มือ ก่อนหันมาหาผม 

"แล้วต่อไปนี้มึงอย่าพูดว่าตัวเองไม่มีใคร มึงยังมีกู พ่อก็อยู่มึงจะกลัวอะไร"

"อือ"

"เข้าใจป่ะเป็ด"

"ไม่ใช่เป็ดโว้ย"

กอดไหม"

"ไม่..."

ไม่ให้ผมปฏิเสธจบมันก็ดึงผมเข้าไปกอดตามใจตัวเอง ผมเองไม่ได้ขัดขืน ท่ามกลางความเงียบนั้น ใจผมกำลังพูดว่า ขอบคุณ   

 

...

 

คืนนั้นคนที่บอกว่าจะนอนด้วยก็ทำอย่างที่บอก แถมทำตัวเป็นเจ้าของเตียง ขึ้นไปนอนก่อนหน้าตาเฉย ผมออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จ มันไม่ได้สนใจผมเพราะกำลังจริงจังกับอ่านหนังสือในมือ ไม่ใช่หนังสือเรียนแต่เป็นนิยายเล่มหนาซ้ำยังเป็นภาษาอังกฤษ ตอนที่ผมเดินไปนั่งลงที่ข้างๆ จึงเลื่อนสายตาขึ้นมองแต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยักคิ้วให้ทีหนึ่งแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ยังไม่ง่วงเลยนั่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งหันไปเป็นแสงสว่างจากหน้าจอมือถือของผมบ่งบอกว่ามีสายโทรเข้ามา หยิบมามองแล้วใจผมก็เผลอเต้นแรงไร้สาเหตุ

 

นาวี 


 

ผมนั่งจ้องมือถือนั่นอยู่นานจนหน้าจอมันดับไป แล้วก็ถูกโทรเข้ามาอีกทีจึงคว้ามือถือแล้วเดินออกไปนอกระเบียง ไม่ทันที่จะกดรับ แต่สายตาเลื่อนมองจากชั้นสองไปที่หน้าบ้านก็เห็นว่านาวียืนอยู่ตรงนั้น ผมลดมือถือในมือลงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ธงทัพมองหน้าผมอยู่พอดี 

"มีอะไรเปล่า"

"เดี๋ยวกูมา"

"ไปไหน"

"ไปหาเพื่อน"

"ที่ไหน กูไปด้วย" มันว่าแล้วคว่ำหน้าหนังสือที่มันอ่านค้างอยู่ลงบนโต๊ะ กำลังจะลุกตามมาด้วยแต่ผมห้ามมันเอาไว้ก่อน

"ไม่ต้อง กูไปได้"

"งั้นก็อย่าไปนาน"

"อืม แป๊บเดียว"

ผมพยักหน้ารับก่อนเดินออกมาจากห้อง ผมคิดในทุกเก้าที่เดินว่าผมจะพูดอะไรกับนาวี ว่านาวีจะพูดอะไรกับผม แต่ในหัวยังคงไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด กระทั่งผมพาตัวเองมายืนอยู่ตรงข้ามกับนาวี เราทำได้เพียงยืนมองหน้ากันเฉยๆ โดยไร้คำพูดใด

แม้ผมอยากจะถามว่านาวีไปอยู่ที่ไหนมา กลับมาจากค่ายตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมหน้าตาไม่สดใสซ้ำยังซีดเซียวเหมือนไม่สบาย กินข้าวไม่ตรงเวลา ปวดท้อง หรือว่าเจ็บปวดตรงไหน แต่คำถามพวกนั้นกลืนหายไปหมด ผมสูดลมหายใจเรียกสติครั้งหนึ่งแล้วเดินนำนาวีออกมาให้ห่างจากหน้าบ้าน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนริมทาง นาวีนั่งลงข้างๆ แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร อากาศช่วงต้นฤดูหนาวเย็นขึ้นกว่าเมื่อวาน ผมกลัวความเงียบจึงต้องทำลายความเงียบนั่นด้วยเสียงของตัวเอง

"มีอะไรหรือเปล่า"

"เป็นยังไงบ้าง"

คำถามง่ายๆ ของนาวีทำให้ผมเงียบไปเพราะหาคำตอบให้มันไม่ได้ ผมเป็นยังไงบ้าง ผมควรเป็นยังไงบ้าง ความรักทั้งหมดที่ผมมี กลายเป็นความว่างเปล่าเจือปนความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย ผมรู้ตัวเองแย่ ผมรู้เรื่องมันแย่ แต่ก็กลับพูดบางคำออกไปทำลายบรรยากาศให้แย่ลงกว่าเดิม 

"มึงบอกเลิกกู แล้วแม่กูก็เพิ่งตาย"

"..."

"คิดว่ากูจะสบายดีไหมล่ะ"

"ขอโทษ"

"มึงหายไปไหนมา"

"กูไม่กล้ามา ไม่กล้ามาเจอหน้ามึง"

"มึงควรมา"

"..."

"มึงควรอยู่"

"..."

"รู้ไหมกูต้องการมึงขนาดไหน กูอยากให้มึงมา กูอยากให้มึงรีบมา"

"ขอโทษ"

"..."

"ขอโทษจริงๆ"

ประโยคนั้นเอ่ยซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงสั่น ผมไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าใครแล้วแต่เพียงกระพริบตาเบาๆ น้ำตาที่เอ่ออยู่แล้วก็ร่วงลงมาในทันที นาวีขยับตัวจากที่นั่งอยู่ข้างๆ ลงไปคุกเข่ากับพื้นตรงหน้า ยกสองมือขึ้นจับมือผม   

"ขอโทษ"

"..."

"ภูผา กูขอโทษ"

"ถ้ารู้สึกผิด แล้วทิ้งกูไปทำไม"

"กูคิดว่าที่ทำมันถูกแล้ว กูไม่อยากให้มึงทะเลาะกับแม่ กูไม่อยากให้มึงมีปัญหากับเขา กูคิดว่าถ้าไม่มีกูมันคงดีกว่า"

"..."

"กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้"

"..."

"กูไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้"

"มึงพูดถูก กูควรเลือกแม่"

"..."

"และกูน่าจะเลือกเขา ให้เร็วกว่านี้"

นาวีเงียบไปอีกและผมเห็นน้ำตาของเขาในตอนที่มันหยดลงที่หลังมือของผม ผมดึงมือตัวเองออกมาจากมือนาวี ยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง 

"เราทำอะไรไม่ได้แล้วนาวี"

"..."

"มันจบแล้ว ทุกอย่างเลย"

นาวีพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้าลงปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่อาจกลั้น ผมยกมือลูบใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นเบาๆ ปลายนิ้วมือเป็นสัมผัสสุดท้ายระหว่างผมกับเขา และผมพร้อมที่จะบอกลา 

"กูไปนะ"

"ภูผา"

"..."

"แล้วเจอกันนะ"

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนคำตอบของผมจะสวนกลับไปอย่างแผ่วเบา

"ไม่ล่ะ"

"..."

"ไม่อยากเจอแล้ว"

 

ผมเองหมดเรี่ยวแรงจะจับมือใครไว้ แม้มันเป็นจุดจบที่เจ็บปวด และไม่รู้จะต้องทรมานไปอีกยาวนานเท่าไร ก็ต้องยอมรับความเป็นไปของมัน หันหลังให้คนที่ผมเคยรักแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ความรักของเราเริ่มต้นเมื่อปีก่อนตอนปลายฤดูฝน และจบลงในต้นฤดูหนาวของปีนี้

 

แสนสั้นในช่วงเวลา แต่ยาวนานในความทรงจำ... 

 

 

            ...

 

To be continued.

 จบพาร์ทอดีตแล้วนะคะ ตอนหน้าเป็นเรื่องราวในปัจจุบันแล้ว เอือกกกก
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 11-01-2018 04:31:17
ภูผาอย่าโกรธนาวีเลยนาวีก็เจ็บปวดไม่แพ้กันเราเชื่อว่าเพราะนาวีรักภูผามากจนยอตัดใจไม่อยากให้ทะเลาะกับแม่จนต้องยอมเจ็บเอง....ไรท์ทำเราเสียน้ำตาขอบคุณที่มาอัพนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 11-01-2018 06:30:58
สงสารทุกตัวละครเลย ฮืออออ
ร้องไห้จนคอนแทคเลนส์หลุด
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 11-01-2018 09:47:22
#ปาดน้ำตา ฮีกๆๆๆๆ  ฟืดดดดดด สงสารน้องภูผา / ในความเจ็บปวดนั้น ยังโชคดีที่ยังมีครอบครัวธงทัพอยู่คอยประคอง / เริ่มเข้าใจแล้ว ว่าธงทัพมาได้ไง? นาวีหายไปไหน?

เดินหน้ากันต่อไปในพาร์ทปัจจุบัน ... เดาว่านาวีจะยังตามมาวอแวภูผา  (นี่ก็ชอบเดาจัง ถามว่าเคยเดาถูกไหม? หึหึ) คราวนี้ละ ภูผาเราก็จะถือไพ่เหนือ นาวีต้องเป็นฝ่ายเดินตามภูผาบ้าง :hao3:  #เพ้อ #ยังอินและยังเดาต่อไป

ขอบคุณค่ะ ไม่ผิดหวังจริงๆ กับนิยายของรชา  :กอด1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-01-2018 10:54:03
ไม่แฟร์กับนาวีเลย
กลายเป็นว่าธงทัพชุบมือเปิบไปหมด
อยู่ถูกที่ถูกเวลาก็เลยได้ทุกอย่างไป
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-01-2018 13:53:46
เลือกไม่ได้ค่ะ สามะเลยได้ไหม ยอม  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-01-2018 20:42:09
เข้าใจนาวีแล้ว ว่าที่นาวีบอกเลิกภูผา
ส่วนหนึ่งคงมาจากแม่ภูผาติดต่อนาวี ให้เลิกกับภูผา

ในใจนาวี ก็น่าจะยังรักภูผา
แต่ที่นาวีมาพบภูผา ก็ทำให้ภูผาตัดใจเลิกกับนาวีจริงๆ

ธงทัพ มาอยู่เคียงข้างภูผา
ตอนที่ภูผาไม่มีใครจริงๆ
นี่ทำให้ภูผาประทับใจจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 11-01-2018 22:01:12
พี่ทัพดูอบอุ่น ดูแลภูผาดีดีนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-01-2018 10:43:15
ภูผาต้องเข้มแข็งนะ ฝากธงทัพดูแลภูผาด้วย
ส่วนเรื่องของนาวีเก็บเอาไว้ในความทรงจำนะ จำแต่เรื่องดีๆก็พอ

ตอนต่อๆไปจะดราม่าอีกมั้ยคะเนี่ย เรายิ่งใจบ๊างงงงบางอยู่
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-01-2018 13:15:45
เอือกกก ด้วยคนค่ะ เป็นอดีตที่ยาวนานมาก ตอนหน้ากลับสู่ปัจจุบันแล้วเราคงต้องไปอ่านตอนต้นใหม่แล้วสิ เพราะเริ่มจะลืมจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 16-01-2018 20:02:20
เราอ่ะทีม ธงทัพภูผา แต่ตอนนี้สงสารนาวี สู้ๆเก้อทุกคนเลยเดาว่าธงทัพชอบภูผามานานแล้ว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.10] 11/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 16-01-2018 23:14:19
 :sad11:  สงสารทุกคน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 25-01-2018 04:27:45
Episode 11

แม้เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อน
แต่ยังคงไม่มีชื่อเรียก


 

 

ธงทัพ :

 

"ไอ้ภู เห็นหนังสือเล่มใหม่ที่กูซื้อมาเปล่า เสาร์ก่อนกูทิ้งไว้ที่นี่อะ"

"บนโต๊ะไม่มีเหรอ"

"ถ้ามีแล้วกูจะถามป่ะวะ"

"มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ" 

"กูหาไม่เจอ"

"หาดีๆ สิ" 

"มันไม่มีไง"   

"ถ้ากูหาเจอ กูจะเอาสันหนังสือฟาดหน้ามึงนะ" ภูผาว่าแล้วละมือจากการรีดผ้า แล้วลุกมาที่โต๊ะหนังสือของมัน ที่รกไปด้วยเอกสารและแฟ้มงาน มันตรงเข้ามาแล้วใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีในยกแฟ้มที่วางทับอยู่ออกก็เจอหนังสือที่ผมกำลังหาอยู่

"อ้าว! ไม่เห็น" 

"ไม่ได้หาเลย แล้วก็บอกว่าไม่มี" 

"กูหาแล้ว!"   

"ควาย" มันด่าเบาๆ ด้วยใบหน้านิ่งๆ ก่อนใช้สันหนังสือเล่มนั้นฟาดใส่กลางหน้าผากผมจริงๆ อย่างที่บอก แต่ดีที่หนังสือมันไม่หนามากก็เลยไม่เจ็บ ผมได้แต่มองตาขวางใส่แล้วดึงหนังสือเล่มนั้นมา ก่อนขยับไปนั่งอ่านหนังสือบนเตียง ส่วนมันก็กลับไปรีดผ้าต่อ

ผมจะใช้เวลาวันเสาร์อาทิตย์มาอยู่กับภูผาที่นี่ จริงๆ ก็อยากย้ายมาอยู่ด้วยเลย แต่ที่พักของมันไกลจากที่ทำงานผมมาก เดินทางไม่ไหว ก็เลยมาได้แค่วันหยุด แต่ไม่อยู่ด้วยกันตลอดเวลานั่นแหละดีแล้ว ไม่งั้นทะเลาะกันตาย มีเรื่องให้เถียงกันวันละร้อยเรื่องได้มั้ง

ผมยอมรับว่าไม่ได้ชอบหน้ามันตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน หน้าตามันก็ไม่ได้ดูมีพิษภัยหรอก เหมือนลูกเป็ดที่ชอบทำหน้าบูดๆ ทุกทีที่เจอหน้าผม ทำตัวไม่น่ารักทุกทีที่เจอพ่อกับผม โทษมันฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะผมหน้าร้ายแถมปากเสียอีก เลยดูไม่เป็นมิตร จึงไม่เคยได้คุยกันดีๆ แต่นับตั้งแต่วันที่แม่ภูผาตาย หลายอย่างมันก็เปลี่ยนไป อาจเป็นเพราะผมได้อยู่ด้วยในวันที่มันไม่มีใคร มันเลยยอมรับและไว้ใจผมมากขึ้น เรากลายเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน มันกลายมาเป็นลูกคนเล็กของพ่อกับแม่ผม แต่ไม่เคยทำตัวเป็นน้องผมเลย เถียงได้เถียงดี กับผมนี่ดื้อหัวรั้นไม่เคยฟังอะไร ไม่เรียกผมว่าพี่ด้วยซ้ำ

แต่ถึงยังไง ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยอยู่ห่างจากมันเลย  ทั้งๆ ที่มันก็โตขึ้น ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ มันไม่ใช่ภาระหรือความรับผิดชอบอะไรของผมเลย แต่ผมไม่สบายใจกับการต้องทิ้งให้มันอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่ามันไม่มีใครแล้วติดผม แต่เสือกกลายเป็นผมที่ติดมัน เคยชินกับการอยู่ข้างๆ กัน ในความสัมพันธ์เรื่อยเปื่อยที่ไม่ได้นิยามสถานะระหว่างกัน

 

ผมหันมองภูผาที่รีดเสื้อเสร็จแล้วก็แขวนเอาไว้ที่หน้าประตูตู้ เสร็จจากตรงนั้นก็มาขยับมานั่งข้างๆ บนเตียงหยิบมือถือมานั่งเล่น สักพักก็ไหลลงไปนอน ผมคิดว่ามันจะนอนแล้วก็เลยคว่ำหน้าหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ แล้วปิดไฟเพราะกลัวมันจะนอนไม่หลับ แต่ที่ไหนได้ไอ้คนข้างๆ ยังนอนเล่นเกมในมือถือไม่เลิก แถมยังมองจอใกล้จนแทบจะมุดเข้าไปในโทรศัพท์อยู่แล้ว ผมหันมองแล้วหันไปพูดเตือนมัน

"จ้องใกล้ขนาดนั้นเดี๋ยวก็มาบ่นปวดตาอีก จะเล่นอะไรนักหนามือถือเนี่ย มีอะไรให้ดูเยอะนักเหรอ"

อีกคนเหมือนไม่ได้ฟังผมพูดเลย พอผมเงียบแล้วจ้องหน้ามันอยู่อย่างนั้นถึงรู้ตัว เลิกคิ้วขึ้นมองแล้วถามหน้านิ่งๆ 

"พูดกับกูเหรอ"

"กูคุยกับเพดานมั้ง"

"ว่าอะไรนะ"

"กูบอกว่าจะเล่นมือถืออะไรนักหนา มันเสียสายตา ไม่ต้องเล่นแล้ว!"

"แล้วทำไมต้องมาดุกูด้วยเนี่ย"

"กูพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง พอกูเสียงดังก็หาว่ากูดุอีก"

มันไม่เถียงกลับ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังด่าผมอยู่ในใจภายใต้หน้าตานิ่งๆ นั่น ปากไม่ค่อยพูดอะไรแต่ดื้อตาใสอย่าให้พูด   

"ด่าอะไรกูในใจ"

"กูเปล่า!"

"เลิกเล่นแล้วก็นอนได้แล้ว"

มันกดปิดหน้าจอมือถือแล้ววางลงบนโต๊ะหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองแล้วพูดพึมพำ

"บ่นอะไรนักหนา เป็นแม่กูหรือไง"

"กูได้ยินนะเนี่ย!"

"ก็พูดให้มึงได้ยินไง ชอบดุกูอะ"

"ก็ทำตัวน่าบ่นป่ะวะ พูดกี่ทีไม่เคยฟังอะ"

"แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบ่นกูอะ"

"กูพี่มึงนะ"

"พี่เหี้ย"

"ไอ้ภูผา!"

"ไม่คุยกับมึงแล้ว รำคาญ"

"เออ ไปไกลๆ เลย!"

มันส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนรวบผ้าห่มแล้วขยับไปจากผมนิดหนึ่ง หันมามองแล้วเห็นว่ายังใกล้กันอยู่ผมเลยไล่มันไปอีก

"ไกลอีก"   

"..."

"อีก"

มันจ้องตาขวางแล้วขยับไปอีก 

"ไกลพอไหม"

ผมแกล้งไม่ตอบแล้วดึงหน้าตึงทำเป็นโกรธ มันจึงขยับไปอีกจนสุดเตียง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง

"ไกลพอยัง"

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดหนึ่งแล้วดึงทั้งผ้าห่มทั้งตัวมันกลับมาใกล้จนตัวติดกัน

"ไกลไปแล้ว"

"..."

"เดี๋ยวกอดไม่ถึง"

 

 

...

 

วันนี้วันเสาร์ ถึงจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องทำงาน เพราะผมหอบเอางานจากสัปดาห์ก่อนมาทำด้วย เคยคิดว่าถ้าได้ทำงานที่ชอบจริงๆ มันจะเลี้ยงชีพเราได้ เลี้ยงจิตวิญญาณเราไปด้วย แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนละ งานก็รักแหละ แต่จิตวิญญาณกูหลุดจากร่างไปนานแล้ว กูอยู่ตรงได้เพราะเงินเท่านั้นคือคำตอบ บางวันน้ำตาไหลพรากๆ  บางทีเลือดกำเดาไหลพรวดๆ กว่าจะจบงานแต่ละชิ้นก็อยากผูกคอตายด้วยกระดาษเขียนแบบหลายรอบอยู่เหมือนกัน

"งานนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้วป่ะวะ" ภูผาเดินเข้ามาถาม พลางเลื่อนสายตามองกระดาษร่างแบบที่ผมกางอยู่หน้าทีวี ก่อนส่งแก้วกาแฟที่ชงมาให้ 

"อือ ส่งประเมินราคาแล้วมันเกินงบลูกค้าก็เลยต้องมาแก้แบบนิดหนึ่งอะ" ผมยกมือรับแก้วกาแฟแล้ววางเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่อยากละงานในมือ ภูผามันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากหยิบมือถือมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ ระหว่างเราจะสงบที่สุดในเวลาที่ผมทำงาน แล้วมันนั่งเล่นเกมมือถือ ไอ้เรื่องติดเกมนี่บ่นจนขี้เกียจบ่น บ่นจนรำคาญตัวเองที่ขี้บ่น แต่ก็ยังอยากบ่นมันอยู่ดี มันเงยหน้ามองผมที่มองมันอยู่พอดี แล้วรีบลดเสียงเกมจนเงียบลง

"กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

"เดี๋ยวเสียงดังก็มาดุกูอีก"

"จะเล่นก็เล่นไป"

มันพยักหน้ารับแล้วก้มลงเล่นเกม ปรับเสียงให้ดังขึ้นนิดหนึ่งแต่ไม่ได้น่ารำคาญ ผมเข้าใจว่าเล่นเกมต้องมีเสียงไม่งั้นไม่สนุก เลยปล่อยให้มันเล่นไป แต่ที่อยากจะดุก็ตอนที่มันคอยจะมุดหน้าตัวเองเข้าหน้าจอนี่แหละ เตือนแล้วไม่ฟังก็ช่างแม่งแล้วแหละ เก็บน้ำลายไว้ถุยใส่หน้าตอนที่มันมาบ่นว่าปวดตาทีเดียวเลยดีกว่า


ผมยังคงนั่งทำงานที่ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จวันนี้ แต่เมื่อยเลยพักก่อน เอนหัวไปพิงกับโซฟาแล้วหันมองภูผาที่นอนอยู่บนนั้น ตาที่เอาแต่จ้องมือถือไม่ได้สนใจผมเลย ครู่หนึ่งที่ผมมองมันอยู่ ก่อนมันจะลดมือถือลงแล้วหลับตา ยกปลายนิ้วขึ้นกดหัวตาเบาๆ แล้วลืมตามาเห็นผม

"เป็นอะไร"

"ปวดตา"

"กูบอกแล้วไงว่า...อื้อ!"  คำพูดผมขาดไปเพราะมันยื่นมือมาปิดปาก

"ไม่ต้องบ่น"

ยิ่งผมพยายามดึงมือมันออก มันก็ยิ่งปิดปากผมแน่น แล้วแรงมันก็เยอะกว่าที่ผมจะขัดขืน เลยอ้าปากกัดมือไปแรงๆ ทีหนึ่ง ภูผาสะดุ้งแล้วปล่อยมือออกจากปากผมก่อนหันมาโวย

"ไอ้หมาบ้า! กัดกูทำไมเนี่ย!"

"ก็มึงไม่ปล่อย"

"ปล่อยให้มึงมาบ่นกูอีกหรือไง"

"ภูผา กูถามจริงๆ ว่าที่กูบ่นเนี่ยกูได้อะไร"

"ก็ไม่ได้อะไรแล้วจะบ่นทำไม"

"ไม่ใช่เพราะกูเป็นห่วงมึงหรือไง ฮะ?"

ภูผาไม่ได้พูดอะไรภายใต้หน้าตานิ่งๆ ของมัน ก่อนจะกดปิดหน้าจอมือถือ แล้วเลื่อนเอาไปวางบนโต๊ะช้าๆ แล้วลุกขึ้นมานั่งนิ่ง กลอกตาไปทางซ้ายที ทางขวาที แล้วก็เลื่อนกลับมามองผมที่ยังมองมันอยู่ 

"เออ"

"..."

"ไม่เล่นแล้ว"

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือดีดหน้าผากมันไปทีหนึ่ง ภูผาเป็นคนเงียบๆ หน้านิ่งๆ เดาอะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามันด่าผมในใจอันนี้รู้เพราะคิ้วมันชอบขมวดเข้าหากันตอนไม่พอใจอะไรสักอย่าง อาจเป็นเพราะบาดแผลในใจที่ทำให้มันกลายเป็นคนที่เฉยชาไปบ้าง มันอาจจะดื้อด้านไปบ้าง หรือบางทีก็ใจร้ายกับผมไปบ้าง แต่มันไม่เคยรู้ตัว แล้วก็ไม่รู้ว่าเคยมีใครบอกมันไหม ว่าจริงๆ แล้วไอ้ภูผาแม่งโคตรน่ารักเลย

"จะเที่ยงแล้วอะ กูออกไปซื้อข้าวดีกว่า"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนมันจะลุกขึ้น 

"เดินดีๆ อย่าเหยียบงานกู"

"รู้"

มันกระแทกเสียงใส่แล้วหันหลังเดิน แต่ไม่ทันถึงสามก้าวก็สะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนร้องลั่นห้อง

"โอ๊ย!"

"เฮ้ย!"

ผมเผลอตกใจไปด้วยเพราะเท้ามันที่ไม่รู้โดนเข้ากับอะไรจนสะดุ้งแล้วไปเตะเข้ากับแก้วกาแฟที่วางกับพื้น จนหกพรวดใส่กระดาษเขียนแบบของผมที่วางอยู่ เกิดเป็นความโกลาหลอยู่ครู่หนึ่งก่อนภูผาหันไปเบิกตาขึ้นมองกองกระดาษที่เลอะกาแฟแล้วเงยหน้ามองผม 

"ขอโทษ"

"..."

"กูขอโทษ"

ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่มันเอ่ยปากขอโทษก่อน เผลอมองใบหน้าสำนึกผิดของมันแล้วต้องรีบกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ไม่ให้ยิ้ม มือก็เก็บกระดาษที่เปียกจนขาด ปากก็พร่ำคำว่าขอโทษ น้ำตาก็คลอคงเพราะรู้สึกผิดจริง และคนบ้าอะไรวะน่ารักตอนจะร้องไห้  โคตรอยากลองขยำแก้มมันดูแต่ไม่กล้าแตะต้องกลัวมันกระโดดเตะ แปดปีที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ขยี้แก้มมันด้วยสายตา แต่ก็ก็รู้ว่าต้องนิ่มแน่นอนอะ 

"ขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ"

"หยุดขอโทษก่อน กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"

"แต่งานมึงเปียกหมดเลย"

"นั่นมันอันเก่า อันใหม่อยู่นี่ไง" ผมว่าแล้วชี้ไปที่กระดาษอีกแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา เห็นอย่างนั้นภูผามันเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก 

"กูตกใจหมดเลย นึกว่าจะโดนมึงดุ"

"คิดว่ากูดุเหมือนหมาบ้าหรือไง"

มันพยักหน้ารับจนผมเกือบจะยกมือฟาดแบ็คแฮนด์ใส่สักที แต่หน้าตาน่าเอ็นดูของมันทำให้เปลี่ยนใจ เลื่อนมือไปจิ้มเข้าที่แก้มมัน ความห้ามใจไม่ได้ของคนมันเป็นกันแบบนี้นี่เอง

มันนิ่งไปนิดหนึ่งตอนถูกผมจิ้มแก้มแล้วค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ 

"ทำอะไรวะ"

"กูชอบแก้มมึง"

"..."

"ขอขยำทีได้ป่ะ"

มันไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมยกอีกมือขึ้นไปจับแก้มอีกข้าง แล้วบีบเข้าเบาๆ ก่อนหลุดหัวเราะออกมา มันเองก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งแล้วปัดมือผมออก

"พอ ไม่ใช่ของเล่น"

ผมยิ้มออกมานิดๆ กับความคิดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าแตะต้องได้ไม่หวงแบบนี้ ก็จับขยี้ไปนานแล้ว

"กูออกไปซื้อข้าวนะ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนภูผาจะเดินออกนอกห้องไป ส่วนตัวเองกลับมาเช็ดพื้นที่เลอะกาแฟ ยังไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากบนโต๊ะ จึงเอื้อมมือไปหยิบมา โทรศัพท์เป็นของภูผาแต่คนที่โทรเข้ามาเป็นแม่ของผม 

"ลูกตัวเองไม่ค่อยโทรหา แต่ไอ้ภูผานี่โทรทุกวันเลยนะ" ผมรับสายด้วยประโยคน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ปลายสายไม่มีความสงสารส่งมาให้ ซ้ำยังหัวเราะใส่อีก   

"ตลกเหรอแม่ ผมน้อยใจอยู่นะ"

(ก็รู้ว่าลูกสบายดีอยู่แล้ว แล้วนี่ภูผาไปไหน)

"ออกไปซื้อข้าว แม่มีอะไรเปล่า"

(ไม่มีอะไรหรอก แค่นึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้วันเกิดภูผา แม่เลยโทรมาเตือน กลัวว่าจะลืม) ผมหันมองปฏิทินหลังจากแม่พูดแบบนั้น ถ้าแม่ไม่บอกผมเองก็คงลืม เพราะภูผามันไม่เคยพูดถึงเลย 

(ปีนี้ภูผาอายุยี่สิบห้าแล้ว ปีเบญจเพส ไปทำบุญหน่อยก็น่าจะดี)

"ภูมันไม่เชื่อเรื่องแบบนี้หรอก"

(ทัพก็พาน้องไปสิ พรุ่งนี้วันหยุดด้วย)

"ไม่รู้มันจะไปหรือเปล่านะ ไม่รับปาก"

(ก็ลองชวนน้องดู บอกว่าแม่ขอละกัน)

"ครับ"

ผมตอบรับก่อนแม่วางสายไป แล้วมองหน้าจอมือถือของภูผากระทั่งมันดับไป ก่อนเลื่อนสายตามองปฏิทินอีกที ภูผามันยี่สิบห้าแล้วเหรอ ทำไมยังเหมือนลูกเป็ดอยู่เลยวะ

ผมหลุดขำกับความคิดตัวเอง แล้ววางมือถือลงที่เดิมก่อนก้มลงไปเช็ดพื้นต่อ หยิบกระดาษเปียกาแฟที่วางทับกองอุปกรณ์เขียนแบบออก จึงเห็นคัตเตอร์ที่ใบมีดเลื่อนลงไม่สุดวางอยู่ตรงนั้นจึงหยิบขึ้นมาดู พลันนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่ภูผามันจะเตะแก้วกาแฟ คงสะดุดเข้ากับไอ้นี่ ก็มัวแต่ห่วงงานไม่ได้ห่วงมันว่าเจ็บหรือเปล่า เลือดออกหรือเปล่า ผมรูดใบมีดคัตเตอร์ลงจนสุดแล้วเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟารอภูผา รออยู่พักใหญ่ๆ มันก็กลับมา   

"ไอ้ภู มานี่ดิ" 

"ทำไม"

"มานั่งนี่" คนถูกเรียกทำหน้างงๆ ก่อนเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ แล้ววางถุงกล่องข้าวไว้บนโต๊ะ ผมก้มลงมองที่เท้ามันก็เห็นรอยเลือดจากปลายนิ้ว มันเองก็น่าจะรู้ตัวแล้ว ผมจะคว้าเท้ามันขึ้นมาวางบนตัก มันรีบชักเท้าหนี แต่ผมกำข้อเท้าดึงเอาไว้ก่อน 

"เฉยๆ" 

"กูเช็ดเองได้"

ผมไม่สนใจคำพูดของมันแล้วดึงทิชชูมาเช็ดเลือดที่ปลายเท้านั่นให้ แผลน่าจะลึกอยู่พอควรเลือดเลยซึมออกมาอีก ผมออกแรงกดแผลนั่นเพื่อห้ามเลือด แต่เจ้าของแผลสะดุ้งจนร้องออกเสียง 

"เจ็บเหรอ" 

"เจ็บตอนมึงกดนี่แหละ"

"เลือดมันไหลไม่หยุดเห็นไหมเนี่ย แล้วโดนคัตเตอร์ทำไมไม่บอกกู" 

"ก็เพิ่งเห็น"

"มึงโตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าความเจ็บมันเป็นยังไง ถึงได้ไม่รู้ตัว มึงต้องรู้จักห่วงตัวเองบ้างนะภูผา ถ้ามันเป็นอะไรมากกว่านี้จะทำยังไง"

"กูไม่เป็นอะไรหรอกน่า มึงก็เกินไป"

"ใครให้เถียง"

ภูผาจ้องหน้าผมพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ นี่ด่าอะไรในใจอยู่แน่นอน   

"ว่าแล้วยังจะมาจ้องหน้าไม่สลด ก้มหน้าลงไป!"

ผมกัดปากกลั้นยิ้มตอนภูผามันก้มหน้าลงไปตามคำสั่ง แล้วยอมให้ผมทำแผลที่เท้าให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรเลย ผมอาจดูเหมือนหมาบ้าที่เอาแต่เสียงดังใส่ แต่ก็อยากให้มันรู้ ว่าหมาบ้าตัวนี้แหละที่รักและห่วงยิ่งกว่าอะไร

"ภูผา อย่ารำคาญที่กูต้องดุมึงเลย"

"..."

"กูก็แค่ไม่อยากให้มึงเป็นอะไรไป"

"..."

"ขี้เกียจมาโทษตัวเองว่าดูแลมึงไม่ดีพอ"

 

...

 

วันนี้วันเกิดภูผา มันยอมออกมาใส่บาตรทำบุญกับผมเพราะเอาแม่มาอ้าง ภูผามันค่อนข้างจะเชื่อฟังพ่อแม่ผม พ่อกับแม่เองก็ทั้งรักทั้งเอ็นดูมันเหมือนลูกแท้ๆ ที่ผ่านมาเราต่างคนต่างใช้เวลายอมรับกันและกันจนกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ ภูผาเปิดใจให้ครอบครัวเราแต่ไม่ทั้งหมด ผมรู้มันมีกำแพงของความรู้สึกบางอย่างตั้งไว้ตรงกลางระหว่างเรา แต่สำหรับผมไม่มีแม้สิ่งใดมาขวางตรงนั้นเลย ผมไม่คิดเอาคมมีดในอดีตมากรีดปัจจุบันให้เป็นรอยแผล ไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องเก่าๆ จนหลังๆ ก็เริ่มลืมโดยใช้เวลาเป็นตัวช่วย และความผูกพันตลอดแปดปีที่อยู่ด้วยกันมา มันก็มีมากกว่าพันเหตุผลที่ทำให้ผมทิ้งภูผาไปไหนไม่ได้

เสร็จจากทำบุญที่วัด ภูผามันไม่อยากไปไหนต่อก็เลยชวนผมกลับ แต่ช่วงนี้มีงานสัปดาห์หนังสือพอดี ผมเลยตั้งใจจะไป รู้ว่าภูผามันไม่ชอบที่คนเยอะๆ เลยหันไปบอกให้มันกลับก่อน

"ภูผา มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ กูอยากไปงานหนังสืออะ"

"อ้าว ทิ้ง"

อ้าวเหี้ย รู้สึกผิดเลย 

"กูไม่ได้ทิ้ง แต่รู้ว่ามึงไม่ชอบก็เลยไม่ชวนไง"

มันนิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนใช้ความคิดก่อนตอบกลับมา

"กูไปด้วยดีกว่า"

"เอางั้นเหรอ คนเยอะมาบ่นกูไม่ได้นะ"

"อย่าคิดว่าคนทั้งโลกจะขี้บ่นเหมือนมึงดิ"

"ไอ้ภู นี่มึงว่า..."

ภูผาส่ายหน้ารัวตอนผมกำลังจะออกปากด่า แล้วตบไหล่ผมให้เดินไปจากตรงนี้ ก่อนเราทั้งคู่จะไปงานหนังสือด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นวันหยุดคนก็เยอะอย่างที่คิด แต่ภูผามันก็ไม่ได้บ่นอะไร เดินตามต้อยๆ ตอนที่ผมแวะเข้าบูธนั้นบูธนี้ ผมชอบอ่านหนังสือ และเมื่อได้เข้ามาอยู่กับอะไรที่ชอบก็มักจะจมอยู่กับมันนานๆ เมื่อรู้ตัวว่าใช้เวลานานเกินไปกับการเลือกหนังสือจึงหันไปมองคนข้างๆ ที่ยืนนิ่งๆ อยู่ใกล้ๆ

"เบื่อเปล่า"

ภูผาส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ

"สงสารเลย ต้องมารอ"

"ไม่เป็นไร รอได้"

"งั้นตามมานะ อย่าหลง"

"เออน่า"

เมื่อภูผาเปิดโอกาสให้ผมแบบนั้น ผมก็เลยกลับไปสนใจหนังสือมากกว่า ถึงช่วงนี้จะยุ่งจนไม่มีเวลาอ่านแต่ซื้อไปก่อนเพื่อความสบายใจ ผมใช้เวลาอยู่นานกับบูธสำนักพิมพ์ที่ชอบ ก่อนได้มาสี่ห้าเล่ม ในตอนที่จ่ายเงินเสร็จก็หันมองคนที่มาด้วย แต่ไม่เจอ ผมกวาดสายตามองภูผาไปรอบๆ แต่ไม่เห็น ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน 

ผมเดินออกมานอกบูธ มองผู้คนในงานที่เยอะจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใช้ความสูงของตัวเองเขย่งมองหาภูผารอบๆ นั้น ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาแต่มันไม่รับ จึงตัดสินใจเดินสวนทางกับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดนั่นเพื่อไปหามัน  ผมเดินย้อนกลับไปทุกที่ที่ผ่านมาแต่ไม่เจอมัน โทรหาหลายรอบมันก็ไม่ยอมรับ จึงก้าวเท้าเร็วๆ ออกตามหามันไปทั่ว

"ธงทัพ"

ผมหันขวับมองคนที่เข้ามาเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้ภูผาก็รีบคว้าคอมันเข้ามาหา 

"ก็บอกให้ตามมาไง แล้วไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ"

"ไปห้องน้ำ"

"แล้วทำไมไม่บอก"

"กูกะว่าจะรีบไปรีบกลับ"

"ตกใจหมด นึกว่ามึงหายไปไหน"

"คิดว่ากูหลงเหรอ"

"เออดิ"

"ไอ้ทัพ กูยี่สิบห้าแล้ว ไม่ใช่เด็ก"

"เออเนอะ" ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยตอนมันพูดแบบนั้น

"ไปดูหนังสือต่อไหม"

"พอแล้วแหละ กลับเหอะ"

มันพยักหน้ารับก่อนเดินตามผมมาอย่างช้าๆ เมื่อผมหันไปมองมันก็ก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาเดินข้างๆ

"จับมือกันไหม จะได้ไม่หลง"

"ปัญญาอ่อน"

ผมหันขวับมองหน้าตอนมันสวนกลับมาแบบนั้น 

"มึงด่ากูปัญญาอ่อนเหรอ"

"ใช่"

"แรง"

"อ้าว ก็มึง..."

"เออ ผิดเองแหละที่ห่วงมึงมากไป ผิดเอง"

"ไอ้ทัพ"

"ไม่ต้องมาเรียก"

"ธงทัพ"

"ไม่ต้องมาแตะ"

ผมสะบัดแขนออกจากมือมันที่เข้ามาแตะ ก่อนก้าวเท้าหนีมัน ภูผาไม่ได้พูดอะไรนอกจากยื่นมือมาจับชายเสื้อผมแล้วเดินตามมาด้วย ผมหันหน้าหนีเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่เห็นแล้วหลุดยิ้มกว้างออกมา ไม่น่ามีอะไรสนุกไปกว่าการได้แกล้งคนอย่างมันแล้ว   

 

หลังจากกลับจากงานหนังสือ ผมมาแวะซื้อเค้กไอติมของโปรดภูผาสำหรับวันเกิดมัน ปากมันบอกว่าไม่ต้องซื้อ กลัวกินไม่หมดแต่ตอนส่งให้นี่กอดไม่ปล่อยเลย แถมกลับมาถึงห้องก็กินก่อนไม่พูดไม่จาอะไรเลย แบ่งสักคำยังไม่มีเลย แต่ผมไม่ชอบของหวานอยู่แล้วก็เลยปล่อยให้มันกินไปคนเดียว ส่วนตัวเองก็มาวุ่นวายกับกองหนังสือที่เพิ่งซื้อมา ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดผ่านๆ แล้วหันมองภูผาที่นั่งกินไอติมอยู่ที่พื้น ก่อนเรียกมันเบาๆ

"ภู"

คนที่กำลังกินเค้กไอติม อีกมือจิ้มมือถือนั่นไม่ทันสนใจเสียงเรียกของผม เรียกซ้ำก็ยังไม่ได้ยินเลยต้องใช้ขาเกี่ยวตัวมันให้เข้ามาชิดโซฟา ภูผาเคยชินกับกิริยาต่ำๆ ของผมแล้วแหละ ทำแบบนี้บ่อยๆ มันไม่ด่าอะไรนอกจากมองตาขวางๆ ด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามสไตล์

"มีอะไร"

"ของขวัญวันเกิด" ผมส่งหนังสือในมือให้ อีกคนวางช้อนในมือแล้วมารับมันไป หน้าตาไม่ได้ดีใจอะไรสักนิด แต่ก็พูดคำว่าขอบคุณออกมาเบาๆ 

"ขอบคุณนะ"

"มึงลองเปิดอ่านดู อาจจะชอบก็ได้"

"เล่มที่มึงให้กูเมื่อปีที่แล้วยังอ่านไม่จบเลย"

"ก็ค่อยๆ อ่านไป"

ผมพูดแค่นั้นก่อนทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ผมรู้ว่าภูผามันไม่ชอบอ่านหนังสือ  แต่ก็ยังอยากให้อยู่ดี แล้วก็ตั้งใจจะให้ไปเรื่อยๆ ทุกปี จนกว่ามันจะยอมเปิดอ่านในสักวัน 

ผมเอื้อมมือหยิบหนังสือในกองมาเล่มหนึ่ง แล้วตั้งใจจะเริ่มอ่าน แต่ถูกคนข้างๆ สะกิดแล้วส่งมือถือของผมมาให้ หน้าจอโชว์ชื่อแม่ที่กำลังโทรเข้ามา 

"จำเบอร์ลูกได้ด้วยเหรอ"

แม่หัวเราะกลับมาตอนผมรับสายแบบนั้น ทำไมแม่เส้นตื้น พูดอะไรก็หัวเราะใส่ตลอด

(เป็นไง วันนี้ได้พาภูผาไปทำบุญหรือเปล่า)

"ไปครับ"

(ดีมาก แล้วทัพให้ของขวัญน้องหรือยัง)

"ให้แล้ว แต่มันไม่ชอบ"

(อ้าว)

"ช่างมันเหอะ ถึงไม่ชอบก็ต้องเอา"

(ซื้อเค้กหรือยัง ภูผาชอบกินเค้กไอติมหน้าสตอเบอร์รี่นะ)

"ซื้อแล้ว กินคนเดียวหมดแล้วด้วย"

ผมเคยถามว่าทำไมแม่ต้องรักภูผาขนาดนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วภูผากับแม่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยไม่ว่าทางใด แม่ยอมรับว่ามันเริ่มจากความสงสาร ในวันที่ภูผาเสียแม่มันไปแล้วไม่เหลือใคร แต่ตอนหลังๆ ผมว่าแม่หลงมันว่ะ คำก็ภูผา สองคำก็ภูผา มันถีบผมกระเด็นออกจากตำแหน่งลูกรักอันดับหนึ่งไปแล้วเรียบร้อย ทั้งพ่อและแม่ย้ำกับผมอยู่ทุกครั้งว่าให้ดูแลภูผาดีๆ ภูผาไม่มีใคร ผมไม่ชอบเลยที่พวกเขาเอาแต่พูดแบบนั้น

 

ภูผามันจะไม่มีใครได้ยังไง ก็ยังมีผมอยู่ทั้งคน 

 

(แล้วคืนนี้ทัพจะนอนกับน้องหรือเปล่า)

"เดี๋ยวเย็นๆ ก็กลับแล้ว พรุ่งนี้ทำงานเช้า"

(ค่อยกลับตอนเช้าสิ)

"โห ที่ทำงานโคตรไกลนะแม่ วันจันทร์ด้วย"

(ก็ตื่นเร็วๆ สิ)

"ซื้อรถให้หน่อยสิแม่"

(ซื้อเองสิ เงินเดือนก็มี)

"ไม่พอใช้สักเดือน แม่ซื้อให้หน่อยไม่ได้เหรอ"

(กรุงเทพฯ รถติดจะตาย)

"นี่ถ้ามีรถจะได้กลับชลบุรีบ่อยๆ ด้วย นะแม่นะ"

(อย่ามาอ้อนกันนะทัพ)

"แม่ครับ แม่จ๋า"

(ทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวพิจารณาอีกที)

"รักแม่นะครับ แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง"

(แค่นี้ก่อนเลย ไม่คุยด้วยแล้ว ช่วงนี้ทำงานหนัก ก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ)

"ครับ"

(ดูแลภูผาดีๆ ด้วย น้องไม่มีใคร)

"ครับผม"

ผมกดวางสายจากแม่แล้วหลุดหัวเราะออกมาหน่อยๆ ก่อนต้องรีบหุบยิ้มเพราะไอ้ภูมันมองอยู่   

"มองไร"

"อายุเท่าไรแล้วยังจะอ้อนแม่อีก"

"กูมีแม่ก็ต้องอ้อนแม่ดิ ไม่มีแม่ก็มาอิจฉากู"

ภูผาเงียบไปตอนผมพูดแบบนั้น ผมก็ตบปากตัวเองอยู่ในใจ คนเหี้ยอะไรมันจะปากหมาได้ขนาดนี้วะ ภูผายังคงนิ่ง แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

"ไอ้ภู กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ"

"..."

"ไม่โกรธดิ มึงก็รู้ว่ากูปากหมา กูพูดไม่คิด ตบปากกูเลย"

"..."

"ภูผา"

ผมขยับตัวเองลงจากโซฟาลงไปนั่งข้างๆ มัน หน้ามันนิ่งอยู่แล้วไงไม่รู้โกรธจริงไม่จริง แต่ถ้าผมเป็นมันแล้วได้ยินแบบนั้นผมก็คงโกรธแหละ ผมยกมือสะกิดแก้มมันเบาๆ อีกคนก็ยังเฉย

"กูขอโทษ"

"กูคิดถึงแม่เลย"

"เฮ้ย ขอโทษ"

มันส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วก้มหน้าลงไป   

"คิดถึงแม่จริงๆ นะเนี่ย"

"เฮ้ย..."

ผมยิ่งรู้สึกผิดที่พูดไม่คิดออกไปแบบนั้น แล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ มันกว่าเดิม 

"กอดไหม"

.

.

.

"อืม กอด"

 



To be continued.

 



กลายเป็นนิยายรายเดือนที่แท้ทรู ต้องขอโทษที่หายไปนานมาก รู้สึกผิดที่ทำให้รอนานจริงๆ ค่ะ กราบขอความเห็นใจ เราไม่มีเวลาจริงๆ ช่วงนี้ บางวันต้องเข้าออฟฟิศวันละ16ชม.เลย บวกกับเอ็นข้อมืออักเสบดูท่าจะเป็นเรื้อรัง เราเลยไม่อยากเสี่ยงใช้งานมันหนัก มันเป็นความทรมานบทใหม่ของชีวิตจริงๆ มีน้ำตาหน้าคอมพ์ทุกทีเลย ไม่ใช่นิยายเศร้านะ เจ็บมือ 55555 อีกเรื่องคือต้องขอโทษที่ต้องอัพตีสี่ตีห้าแบบนี้ ชีวิตว่างสุดตอนนี้แล้วจริงๆ ค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ ยังไงเดี๋ยวรีบกลับมาค่า - ด้วยรักและขอบคุณ 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 25-01-2018 04:52:45
ขอบคุณมากนะคะไรท์ที่มาอัพแต่อยากให้ห่วงสุขภาพตัวเองด้วยเราเชื่อว่าทุกคนรอได้อยู่แล้วค่ะขอแค่ไม่ทิ้งกันก็พอเป็นห่วงตัวเองให้มากๆนะคะเพราะคนที่เจ็บป่วยคือตัวเราเอง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 25-01-2018 09:03:03
น่าร้ากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 25-01-2018 09:17:59
ฮือออออ ละมุน
ขอธงทัพกับภูผา ได้ไหมคะ
เรามรีลางสังเห่าเอ้ยหรณ์ว่านาวีจะกกลับมา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-01-2018 12:40:00
แปดปีที่ดูแลกันมาเรื่อย ๆ ถ้าจะเปลี่ยนสถานะก็คงเปลี่ยนไปนานแล้วมั้ง


รักษาตัวด้วยนะคะ เป็นห่วงค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 25-01-2018 14:33:15
ไม่ทิ้งกันแน่นวลลลล ขอแค่มาอัพนะ นานแค่ไหนก็ยังรอ ยังติดตามค่าาาาาา 

ชอบความเป็นธงทัพ ปากหมาใจดีนิสัยถ่อยชอบดุ ชอบแกล้งให้น้องหน้างอ บ้าบอจริง นี่มันไม่ใช่เอ็นดูแบบพี่น้องแล้วนะ  :-[
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 25-01-2018 14:35:34
สองคนก็อบอุ่น สบายใจกันดีอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 25-01-2018 15:01:46
กอดด้วยยยย โอ๋ๆ นะภูผา
ชอบโมเม้นท์ธงทัพภูผา มีความละมุน ดูแลกัน ผ่านเรื่องราวมาด้วยกัน กอดทั้งคู่เลยยยย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-01-2018 15:14:16
ธงทัพ ภูผา    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ดูแลกันดีแล้ว
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 25-01-2018 17:07:46
ทีมธงทัพภูผา อยากรู้ว่าความสัมพันธ์จะมากกว่าพี่น้องตอนไหน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-01-2018 17:54:13
เราอ่านแล้วนั่งร้องไห้น้ำตาใหลพราก สงสารไปหมดทุกคน ยังมีความหวังนะคะว่าภูผาจะกลับมารักกันกับนาวี
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 25-01-2018 21:03:55
ไรท์สู้ๆนะ พักผ่อนๆรักษาร่างกายให้หายดี นิยายดีๆนานแค่ไหนเราก็รอได้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
เริ่มหัวข้อโดย: Lalaleega ที่ 27-01-2018 21:31:01
พี่เต้สหู้ไข่สู้สู้นะคะ ติดตามทุกเรื่องของพี่เลย ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ขอบคุณที่อัพนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 06-02-2018 06:32:07
Episode 12

 

แม้จะพยายามคิดเรื่องอื่นแค่ไหน
ก็หยุดคิดเรื่องคุณไม่ได้อยู่ดี

 

 

"ภูผา มึงควรเรียกกูว่าพี่นะ"

"ไม่"

"ทำไมวะ"

"ไม่อยาก"

"ทำไมเรียกคนอื่นได้ แต่เรียกกูไม่ได้"

"ก็มึงไม่ใช่พี่กู"

"แล้วคนอื่นมันเป็นลูกแม่มึงเหรอ"

"กวนตีน"

"ไหนลองเรียกหน่อย"

"ไม่"

"ครั้งเดียว"

"ไม่"

"ขอครั้งเดียว เดี๋ยวเลิกวอแวเลย"

"รำคาญ"

"มึงรำคาญใคร มึงพูดดีๆ"

"..."

"จะเรียกดีๆ หรือจะต้องให้มีน้ำตา"

"ไอ้เหี้ยทัพ"

"ภูผา!"

"เออ! พี่ทัพ!"

"..."

"พี่ทัพ..."

.

.

.

"พี่ทัพ"

"..."

"พี่ทัพ!"

 

เชี่ย...

 

หลังเสียงปลุกข้างๆ หู ผมลืมตาขึ้นก่อนมองเห็นภูผาอยู่ตรงหน้า สมองประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสะลืมสะลือไม่รู้จริงหรือฝัน ก่อนเสียงของภูผาจะพูดซ้ำเพื่อเรียกให้ผมตื่น 

"ไอ้ทัพ"

"อือ"

"ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปสายหรอก"

"เออ"

ผมหันมองนาฬิกาหัวเตียงบ่งบอกเวลาตีห้าครึ่ง เร็วไปที่จะตื่นสติเลยมาไม่ครบ ยันตัวเองขึ้นมางงๆ แล้วขยับไปนั่งที่ปลายเตียง หันมองภูผาที่มุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม สำหรับมันยังมีเวลานอนอีกเหลือเฟือ มันคงเห็นว่าผมไม่ยอมลุกไปหลังจากตื่นแล้วก็เลยผงกหัวขึ้นมามอง

"ไปดิ"

"เดี๋ยวดิ"

"รออะไร"

"กูขอตั้งสติแป๊บได้ป่ะล่ะ"   

"เดี๋ยวก็สายหรอก วันจันทร์รถติด..."

"เมื่อกี้เรียกกูว่าพี่เหรอ"

"ฮะ?"

"ตอนปลุกอะ"

"เปล่า"

"กูได้ยินนะ"

"มึงฝันเหรอ"

"เหรอวะ"

"เออ ไปได้แล้ว ใครจะไปเรียกคนอย่างมึงว่าพี่ เพ้อเจ้อ"

ผมคว้าหมอนโยนใส่หน้ามันไปทีหนึ่ง ก่อนลุกไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็เตรียมตัวเสร็จทั้งที่ฟ้ายังไม่สว่าง เก็บของใส่กระเป๋าแล้วหันมองภูผาที่หลับไปอีกรอบเลยไม่ได้ปลุก เดินเข้าไปมองหน้าที่จมไปกับหมอนแล้วแก้มมันแบบกองรวมกันเป็นก้อนๆ อธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นยังไง แต่มันโคตรเหมาะกับการจับบีบ แต่ก็เสี่ยงโดนถีบเลยไม่เอาดีกว่า ผมได้แต่ก้มหน้าลงไปกระซิบบอกลาเบาๆ   

"ภูผา กู..."

ผมหยุดคำพุดเพราะอยากลองเปลี่ยนสรรพนามการแทนตัวเองดูบ้าง ผมอยากให้มันเรียกผมว่าพี่ แต่ไม่เคยเรียกแทนตัวเองว่าพี่เลย แค่คิดจะลองดูก็เขินอยู่ในใจแล้ว ผมลังเลอยู่ในใจก่อนลองเอ่ยออกไป

"พี่"

"..."

"พี่ไปทำงานแล้วนะ"   

"..."

"แม่งเขินเนอะ"

"อือ"

อ้าวเหี้ย!

 

...

 

 

จากที่พักของภูผามาถึงที่ทำงานผมใช้เวลานานเหมือนเดินทางไกล นั่งรถกลับชลบุรียังเร็วกว่าเลยมั้ง เช้าวันนี้ก็รถติดนรกแตก เหมือนติดเผื่อประเทศอื่นไปแล้วอะ ออกมาเช้าแค่ไหนก็สายอยู่ดีว่ะ แต่จะพูดว่าเกลียดวันจันทร์ก็ไม่เต็มปากนัก วันจันทร์มันก็อยู่ของมันเฉยๆ นี่แหละ แต่เกลียดการทำงานมากกว่า แค่คิดถึงงานเฉยๆ ก็หมดแรงแล้ว ในแต่ละวันของการทำงาน ไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้ขยับตัวออกไปกินข้าวตอนไหน เพราะงั้นอาหารเช้าเลยสำคัญ ผมหยุดอยู่หน้าตึกเพื่อคิดว่าจะกินอะไรดี แล้วทำไมกูต้องอยากกินเป็ดเอ็มเคกับชาบูชิตอนแปดโมงเช้าด้วยวะ

"น้องกองทัพ" 

ผมเหลือบตามองพี่นก เจ้าของร้านหมูปิ้งหน้าตึกที่ฝากตัวเป็นลูกค้าประจำ แต่การเป็นลูกค้าวีไอพีเมมเบอร์ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าๆ ไม่ได้ช่วยให้พี่มันจำชื่อผมได้เลย กองทัพส้นตีนอะไร

"หมูปิ้งไหมจ้ะ"

"เบื่อแล้ว" 

"เรื่องมากน่า ซื้อเหอะ จะหมดแล้วช่วยหน่อย"

"เป็นคนแบบไหนถึงมาบังคับให้คนอื่นซื้อของเนี่ย ฮะ?"

"ก็ช่วยหน่อย ไม่งั้นต้องทิ้งให้หมากินนะ"

"เออๆ เอามา"

"น้องจอมทัพใจดีที่สุด"

บังคับกูซื้อแล้วยังตั้งชื่อให้กูใหม่ด้วย จอมทัพเหี้ยอะไรอีก! ผมหันมองพี่นกที่หัวเราะคิกคักตอนที่ประสบความสำเร็จในการบังคับให้ชาวบ้านซื้อหมูปิ้งที่เหลือ จับยัดใส่ถุงให้ผมหมดแต่ก็คิดเงินไม่เท่าจำนวนไม้เพราะขยันแถมให้ตลอด ยังไม่ทันเดินออกจากหน้าร้านก็หันไปเห็น ไอ้ปอ รุ่นน้องที่ทำงาน เดินหอบม้วนกระดาษหน้าตาอดหลับอดนอนเดินมาหยุดที่หน้าร้านหมูปิ้ง หน้าง่วงๆ เมื่อมองเห็นแค่ความว่างเปล่าก็เปลี่ยนหน้าเศร้า

"หมดแล้วเหรอครับ"

"หมดแล้วลูก ทำไมวันนี้น้องปอมาสายล่ะ"

"แล้วทำไมวันนี้หมดเร็วล่ะครับ" 

"น้องทัพเหมาไปหมดแล้ว"

หน้าบูดๆ ของไอ้ปอหันมองผมและถุงหมูปิ้งในมือ เมื่อผมหยิบหมูออกมาจากถุงไม้หนึ่ง สายตามันก็มองตามเหมือนลูกหมาเห็นอาหาร ผมเลยยื่นหมูไม้นั้น...   

"อ้าม!"

เข้าปากตัวเองคำเดียวหมดเลย 

"พี่ทัพแม่ง"

"อร่อยจังโว้ย"

"ทำไมใจร้าย"

ไอ้ปอย่นหน้าบูด ก่อนหันขวับเดินเข้าตึกไป ผมจึงรีบก้าเท้าเข้าไปหาแล้วใช้มือข้างที่ถือถุงหมูปิ้งยื่นไปล็อกคอมันเอาไว้ก่อน

"เฮ้ย! พี่ทัพ!"

"เอาไป" ผมปล่อยถุงหมูปิ้งในมือให้อีกฝ่าย มันก็รีบยกมือขึ้นมารับเอาไว้ แล้วหันมองผมด้วยใบหน้างงๆ

"ทำไมให้ผม"

"หิวไม่ใช่เหรอ"

"แต่..."

"เอาไปเหอะ หน้ามึงเหมือนหิวโหยอาหารมาก ชีวิตไม่เคยได้กินอะไรดีๆ เลยหรือไง"

"หิวอะครับ ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"

"ถึงว่า ทำหน้าเหมือนหมาตอนเห็นหมูปิ้ง"

"หมาอะไรล่ะพี่! อันนี้ผมจ่ายเงินให้พี่ดีกว่า เท่าไรครับ"

"ไม่ต้องหรอก"

"ทำไมใจดี"

"กูจะคิดว่าให้อาหารหมา"

"พี่ทัพ!"

ผมหัวเราะลั่นพลางกระโดดหลบม้วนกระดาษในมือที่มันกำลังจะยกฟาด เมื่อทำร้ายผมไม่สำเร็จก็ได้แต่มองตาขวาง อีกมือก็กำถุงหมูปิ้งเอาไว้แน่น เมื่อถึงหน้าลิฟต์มันก็วิ่งเข้าไปในลิฟต์ก่อนแล้วรีบกดปิดก่อนผมจะเดินถึง มันแลบลิ้นใส่ก่อนประตูลิฟต์ปิดไป คงสะใจมันน่าดู แต่กูไม่ได้จะขึ้นลิฟต์โว้ย

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนเดินไปซื้อกาแฟที่ร้านใต้ตึก จากนั้นถึงจะเข้าออฟฟิศในตอนที่เลยเวลางานมาสิบกว่านาที ในออฟฟิศจะแบ่งห้องทำงานอย่างชัดเจน ห้องใหญ่ๆ นั่นพวกสถาปนิก เป็นพวกพระเอก งานเยอะ บุคลากรก็เยอะ ส่วนห้องซ้ายคือพวกอินทีเรีย ตกแต่งภายใน นี่ก็พวกนางเอกสวยๆ ส่วนห้องเล็กที่มีมนุษย์อยู่สองสามคนนั่นคือฝ่ายแลนด์สแคป หรือภูมิสถาปัตย์อย่างพวกเรา ซึ่งเป็นพวกตัวประกอบ เป็นลูกเมียน้อยไม่ค่อยถูกรัก โต๊ะทำงานผมติดกับโต๊ะไอ้ปอ เมื่อมันเห็นผมเดินเข้าไปก็กัดหมูปิ้งไม้สุดท้ายเข้าไปเต็มคำ 

"เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก" ผมว่าแล้ววางกาแฟแก้วหนึ่งบนโต๊ะมัน   

"ซื้อให้เหรอ" 

"อือ" 

"จริงไม่จริง?"

"แดกไม่แดก?"

"เอา!" มันส่งเสียงดังแล้วคว้าแก้วกาแฟไปก่อนที่ผมจะหยิบคืน ก่อนหันมายิ้มให้หน่อยๆ ตอนที่เคี้ยวหมูเต็มแก้ม แล้วก็ดูดกาแฟตามเข้าไปอึกใหญ่ ผมหลุดยิ้มออกมานิดหน่อยกับความหิวโหยของไอ้เด็กนี่ 

"ไอ้ทัพ!"

ประตูที่เปิดเข้ามาพร้อมเสียงของพี่แต้ม ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานผมก็ควรเคารพพี่เขาหรอก แต่เข้ามาเรียกแบบนี้ไม่พ้นหางานมาให้อีกแน่นอน เลยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก้มหน้าหนีไปก่อน

"ไม่ต้องหลบหน้ากูเลย"

"มีอะไร"

"มีงานบ้านเดี่ยว งานง่ายเลย มึงทำนะ"

"ไม่เอา"

ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด จริงอยู่ที่งานออกแบบสวนบ้านเดี่ยวหรือบ้านจัดสรรมันง่ายกว่างานอื่น แต่ละเอียดยิบ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จุกจิกจนน่ารำคาญ ผมเลยไม่ค่อยรับเพราะเป็นประเภทไม่ค่อยมีความอดทนกับความจู้จี้หรือความเรื่องมากของใคร แค่ทนกับความเรื่องมากของตัวเองก็เหนื่อยแล้วเหอะ 

"ไรวะทัพ"

"งานเก่ายังทำไม่ทันเลยพี่"

พี่แต้มถอนหายใจหน่อยๆ ก่อนหันไปหาไอ้ปอ หรือในออฟฟิศมันจะถูกเรียกว่าไอ้เป็ด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม

"ไอ้เป็ด"

"ครับ?"

"เมื่อวานมึงมีตรวจไซด์งานไม่ใช่เหรอ ทำไมมึงไม่ไป"

"ก็พี่เอกบอกว่าผมไม่ต้องไปก็ได้"

"ไอ้เอกมันหัวหน้ามึงเหรอ ถึงได้ไปเชื่อมัน"

"ก็พี่เอกบอก..."

"มึงไม่ต้องอ้างมัน มันเป็นงานที่มึงรับผิดชอบ มึงละเลยแบบนี้ไม่ได้"

"ขอโทษครับ"

"ไม่ต้องขอโทษกู ขอโทษตัวเองเหอะที่เกิดมาห่วยขนาดนี้"

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถูกด่าที่ได้แต่ก้มหน้าเงียบ แล้วไอ้หัวหน้านี่ก็เดือดอะไรมายืนด่าน้องมันต่อหน้าคนอื่น ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่สุด

"เป็ด มึงเอางานนี้ไปทำ" งานที่เอามาให้ผมถูกโยนให้ไอ้ปอ 

"แต่ว่าผมงานเยอะแล้ว งานที่พี่ให้แก้ยังไม่เสร็จเลย"

"มึงก็รีบเคลียร์สิ งานไม่เสร็จมันเป็นหน้าที่ของมึง เงินน่ะจะเอาไหม"

"แต่ว่าผม..."

"ทำได้ไหม"

"..."

"ถามว่าทำได้ไหม"

"ครับ ก็ได้..."

"พี่"

เสียงของผมเรียกทั้งพี่แต้มและไอ้ปอให้หันมอง จริงๆ ผมจะไม่ยุ่งก็ได้ แต่ความเสือกแม่งเอาชนะทุกสิ่ง ก่อนยื่นมือไปรับกระดาษในมือพี่แต้มมาแทน 

"เดี๋ยวทำเอง"

"สรุปมึงจะทำใช่ไหม"

"เออ แล้วก็เลิกด่ามันได้แล้ว กร่างมาจากไหนอะ กลับไปห้องเลยไป รำคาญ"

"ไอ้เชี่ยทัพ!"

"ไปๆ เดี๋ยวทำเอง" ผมโบกมือปัดๆ เป็นเชิงไล่ ก่อนพี่แต้มจะด่าผมทีหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไป ไอ้ปอที่ยังนิ่ง สงสัยยังช็อกที่โดนด่า ตั้งสติได้ก็หมุนเก้าอี้มาหาผม   

"พี่ทัพ"

"ไร"

"โดนด่า"

"กูได้ยินละ"

"ฟ้อง"

"ฟ้องพ่อมึงโน่น"

"ทำไมใจร้าย"

"พี่มันแม่งก็เป็นแบบนี้แหละ มึงยังไม่ชินอีกเหรอ เถียงได้ก็เถียงดิ แค่แก่กว่าไม่ได้แปลว่าถูกตลอดนะ แล้วคราวหลังถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปรับปาก เพราะถ้าทำไม่ทันขึ้นมาคนซวยก็คือมึง เข้าใจไหม"

"ครับ"

"แต่ตอนนี้คนซวยคือกูแน่นอน รับปากอย่างพระเอก ทำไม่ทันนี่เสียหมาเลยนะ วันนี้มึงไม่ต้องชวนกูคุยเลยนะเดี๋ยวงานไม่เสร็จ" ผมว่าพลางเปิดกระดาษนั่นดูผ่านๆ แล้ววางเอาไว้ก่อน ไอ้ปอก็หมุนเก้าอี้กลับไปที่หน้าโต๊ะตัวเอง ก่อนหันกลับมาเรียกอีกที

"พี่ทัพ"

"อือ"

"ขอบคุณนะครับ"

"เออ"

ผมพยักหน้ารับ แล้วเริ่มทำงานต่อ ไอ้ปอก็วุ่นอยู่กับงานตัวเองจนไม่ได้คุยกับอะไรกัน เลยเที่ยงไปแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน จริงๆ งานไม่ได้โหดขนาดนั้น แต่เรื่องเวลาไม่สำคัญเท่าอารมณ์ ถ้าผมกำลังอินกับงานแล้วก็ไม่อยากให้อะไรมาขัด ไม่งั้นเสียอารมณ์แล้วความคิดเตลิดหมด กว่าจะปั้นอารมณ์ได้มันใช้เวลานานกว่าลงมือทำงานเลยทำต่อเนื่องไม่ได้หยุด กระทั่งร่างแบบใกล้เสร็จก็ทิ้งตัวไหลลงไปบนเก้าอี้ ไอ้ปอที่ออกไปข้างนอกก็เดินกลับเข้ามาพอดีพร้อมของกินในมือ มันวางกาแฟแก้วหนึ่งกับแซนด์วิชอีกชิ้นลงบนโต๊ะผม   

"ใช้คืนเมื่อเช้าครับ"

ผมพยักหน้ารับ มือหมดแรงแม้แต่จะยกแก้วขึ้นมาเลยขยับหน้าก้มลงไปดูดแทน ไอ้ปอหัวเราะกับท่าทางของผม แล้วยื่นมือมาแกะกล่องแซนด์วิชให้

"ต้องป้อนไหมครับ"

"ไม่ต้องๆ กูยังไม่ง่อย" ผมว่าแล้วหยิบแซนด์วิชยัดใส่ปากไปคำหนึ่ง     

"เออพี่ทัพ เมื่อกี้ผมเจออินทีเรียคนใหม่ด้วย โคตรหล่อเลย"

"หล่อกว่ากูไหม" 

"ก็...หล่อคนละแบบครับ" 

"เข้าใจตอบ" 

"เห็นว่าอายุเท่าพี่ทัพ แต่หน้าเด็กกว่าพี่ทัพเยอะเลย" 

"อ้าวไอ้ห่า!"

"ก็จริงอะ พี่ทัพชอบปล่อยโทรม นี่ผมก็เริ่มยาวแล้วนะครับ"   

"เออดิ รำคาญชิบหาย" ผมว่าพลางเหลือบมองผมหน้าที่ยาวทิ่มตา หงุดหงิดกับมันมาพักหนึ่งละ ผมเลื่อนสายตาไปมองกรรไกร แล้วลังเลว่าจะจับตัดเองเลยดีไหมวะ   

"ไปตัดสิครับ"

"กูไม่ชอบเข้าร้านตัดผมคนเดียว"

"ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม"

"ไว้ก่อนก็ได้"

"มา งั้นมัดให้" ไอ้ปอว่าแล้วล้วงเข้าไปในกล่องอุปกรณ์บนโต๊ะ ก่อนหยิบหนังยางสีแดงๆ มาเส้นหนึ่ง แล้วจัดการรวบผมหน้าของผมขึ้นมัด   

"มึงต้องก้าวร้าวแค่ไหนถึงมาเล่นหัวกูเนี่ย"

"เฉยๆ สิครับ" 

มันพูดขณะขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้เพื่อให้มัดผมได้ถนัด และเพราะว่ามันเข้ามาใกล้ หน้าเล็กๆ ของมันก็เลยอยู่ตรงหน้าผมพอดี ตาโตๆ เหลือบมองสองมือที่วุ่นวายอยู่บนหัว จริงจังจนปากเชิดเป็นเป็ดเลย หรือที่คนในออฟฟิศเรียกมันว่าเป็ดจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ แต่หน้าตาจริงจังเกินเหตุของมันดูรวมๆ ก็ดันน่ารักดี

 

น่ารักเหมือนภูผาเลย

 

...

 

เย็นนั้นหลังจากเลิกงานผมก็ตรงกลับห้องทันที เพราะตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเลยโคตรง่วง ลืมเรื่องข้าวเย็นแล้วกลับไปนอนก่อน ดีว่าที่ทำงานไม่ไกลจากที่พักมากก็เลยใช้เวลาไม่นาน ผมลากเท้าเดินเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ก่อนยกมือดึงหนังยางที่ยังมัดอยู่บนหัว ไอ้ปอแม่งก็มัดหัวกูเป็นถุงแกงเลย เส้นผมหลุดติดมาด้วยครึ่งหัวแล้วเนี่ย ผมยกมือขยี้หัวเบาๆ ก่อนดึงมันลงมาดูความยาวของมันที่สมควรโดนตัดแล้ว แต่ผมไม่เคยเข้าร้านตัดผมคนเดียว ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาคนไปเป็นเพื่อนก่อน ปลายสายปล่อยให้รออยู่ครู่หนึ่งก่อนกดรับ

(ว่าไง)

"ภูผา ไปตัดผมเป็นเพื่อนหน่อย"

(กูยังทำงานอยู่เลย)

"แต่กูผมยาวแล้ว"

(ก็ไปคนเดียวสิวะ ไปไม่ถูกหรือไง)

"ไม่เอา ไม่กล้า"

(วันหลังได้ไหม)

"แต่ผมกูยาวมากเลยนะ ไปเป็นเพื่อนหน่อย นะๆ"

(...)

"นะ ภูผา นะ"

(เออ! เจอกันหน้าร้าน)

ผมหัวเราะหน่อยๆ ตอนภูผาตกลง ถึงจะเป็นการตกลงแบบอารมณ์เสียแต่ก็มันก็แพ้ผมอยู่ดี ผมรีบออกไปข้างนอก เพราะร้านตัดผมที่เราไปกับประจำมันอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานของภูผา กว่าผมจะไปถึงมันก็เลิกงานพอดี และเป็นฝ่ายยืนรอผมอยู่แล้วที่หน้าร้าน รอนานเท่ากับไอติมครึ่งโคนที่กินไปแล้วเหลืออีกครึ่ง ทันทีที่หันมาเห็นผมก็เอ่ยเสียงเรียบออกมาผ่านใบหน้านิ่งๆ 

"ทำคนอื่นลำบากตลอด น่ารำคาญ"

"รำคาญใคร"

"เปล่า" 

"พูดใหม่ดิ"

"เฮ้ย!"

ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปบีบคางมัน

"ปล่อยกู"

"กูไม่ปล่อย" ผมพูดพลางบีบแก้มนั่นเข้าไปอีก คิ้วที่ขมวดแน่นกับแก้มที่โดนบีบจนปากจู๋โคตรตลก ภูผาสบถคำด่า ก่อนยกมือขึ้นจับมือผมออกแล้วอ้าปากกัดเข้ามาเต็มๆ

"โอ๊ย! เจ็บ!"

ยิ่งผมร้องว่าเจ็บมันยิ่งกัดแน่นอย่างกับจะเอาให้จมเขี้ยว จนผมต้องยกมือดีดหน้าผากมันออกไป หน้านิ่งๆ ที่มองตาขวาง ก่อนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มดูสะใจ   

"เจ็บนะเว้ย!"

"ทีมึงยังกัดกูบ่อยๆ เลย"

"กูไม่เคยกัดแรงขนาดนี้เลยเหอะ มึงดูๆ ฟันครบซี่เลยเนี่ย" ผมชูรอยฟันที่ฝังอยู่บนมือให้มันดู เจ็บจนมือสั่นเลยแม่ง มันก็ได้แต่แสร้งหันมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ ก่อนไล่ผมเข้าร้านตัดผม   

"กูเจ็บจริงๆ นะเนี่ย"

ผมหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไป ในจังหวะที่ภูผามันเดินตามมาก็ชนเข้ากับผมพอดี เพราะความสูงที่เกือบเท่ากัน เลยทำให้หน้าของมันอยู่ตรงกับสายตาของผมพอดี

"อะไร"

"กูเจ็บ"

"..."

"แต่เจ็บไม่เท่าคำว่าน่ารำคาญของมึง"

"..."

"ถ้าไม่มีกูให้รำคาญแล้วมึงจะรู้สึก"

ผมพูดแค่นั้นแล้วหันหลังกลับเข้าร้านอีกที แต่ถูกภูผาดึงชายเสื้อจากด้านหลังเอาไว้ก่อน 

"ขอโทษ"

มันพูดเร็วจนฟังแทบไม่ทันแล้วเดินเข้าร้านไปก่อน ทิ้งให้ผมหลุดยิ้มกว้างแล้วเดินตามเข้าไป จากไอ้เด็กหน้านิ่งๆ ที่เจอหน้ากันทีไรก็ชอบทำหน้าหงิกใส่ ไม่รู้ว่าผมไปมองว่ามันน่ารักตั้งแต่เมื่อไร แล้วตั้งแต่ที่มองว่ามันน่ารัก ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง มันก็น่ารักจนมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แบบนี้เหรอวะที่เรียกว่าหน้ามืดตามัว   

หลังจากตัดผมเสร็จ ผมก็ชวนภูผามากินข้าวต่อ เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า แล้วคำว่าชาบูชิมันเป็นสิ่งแรกที่นึกถึงก็เลยชวนมันมาที่ห้างใกล้ๆ ใช้เวลาอยู่ในห้างจนเริ่มมืดภูผาเลยชวนผมกลับ ผมที่เดินตามมันอยู่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อผ่านร้านขายของเล่นและโมเดล คนเดินนำรู้ตัวว่าผมหยุดเดินตามก็หันกลับมามอง

"ไปเลย ไม่ต้องแวะ"

"แป๊บๆ"

"ไม่ต้องเข้าไปหรอก"

"แป๊บเดียว" 

มีอยู่สองร้านที่ภูผามันไม่ค่อยอยากมาพร้อมผม คือร้านหนังสือกับร้านของเล่น ถ้าเข้าร้านหนังสือผมจะใช้เวลานานจนมันขี้เกียจรอ แต่ถ้าร้านของเล่นมันจะบอกว่าไร้สาระและราคาแพงเกินเหตุ แต่บ่นได้ก็บ่นไป ผมไม่สนใจเดี๋ยวก็หยุดบ่นเอง

"มึงรู้ไหมว่าทำไมว่าเงินเดือนมึงถึงไม่เคยพอใช้ ก็หมดไปแต่กับของแบบนี้ไง"

"ของมันต้องมี"

"ไม่มีก็ไม่ตายหรือเปล่าวะ ที่มีอยู่ก็เยอะแล้วไม่ใช่หรือไง..." เสียงของภูผาหายไปจากหัวตอนที่ผมเดินเข้ามาในร้าน โมเดลจากการ์ตูนวันพีชคือสิ่งแรกที่ผมมองหา ก่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวการ์ตูนโปรดที่ชื่อโซโล จากนั้นก็โดนร่ายมนต์จนหลงอยู่ในดงโมเดล 

"ตัวนี้พี่ให้พันห้าไปเลย ลดสุดไรสุดแล้ว"

ผมมองสองตัวที่อยากได้สลับกันไปมาเพราะตัดสินใจไม่ถูก     

"อย่าลังเล เหลืออย่างละตัวแล้วนะน้อง"

"เลือกไม่ได้อะพี่"

"ก็เอาไปสองตัวดิ สองตัวพี่คิดสองพันห้า"

"..."

"เอาซันจิตัวนี้ไปด้วย พี่คิดหมดนี่สามพันอะ เอาไม่เอา"

"ภูผา ขอตังค์พันหนึ่ง!"

เพราะเงินไม่พอเลยต้องหันไปขอคนที่มาด้วย แล้วผมก็ถูกสายตาขวางๆ มองมา แต่มือก็ควักเงินในกระเป๋ากระแทกลงบนโต๊ะ ผมหยิบเงินตัวเองรวมครบสามพันแล้วยื่นให้พี่เจ้าของร้าน ก่อนยืนรอโมเดลทั้งสามตัวใส่กล่องให้

"ขอบคุณมากน้อง อาทิตย์หน้าของเข้าใหม่ แวะมาดูนะครับ"

"ครับ"

ผมยิ้มหน้าบานแล้วรับถุงมา ก่อนถือไว้อย่างถนอม แล้วหันกลับไปหาภูผาที่ยืนรออยู่อีกมุม กำลังมองโมเดลตัวคุโรโกะ ที่เป็นนักบาส

"อยากได้เหรอ"

"ไม่เอาหรอก กินข้าวได้ทั้งเดือน" ภูผาว่าแค่นั้นแล้วเดินออกจากร้านไป

"โห ขี้แซะว่ะ"

"ก็จริงป่ะวะ"

"มึงไม่อินกับอะไรสักอย่าง มึงไม่มีทางเข้าใจหรอก"

"แต่อินไปซะทุกอย่างเหมือนมึงก็ไม่ไหวป่ะวะ"

"อินทุกอย่างไร กูก็ชอบอยู่แค่ไม่กี่อย่าง"

"อะไรบ้างเหอะ" 

"หนังสือ" 

"..." 

"วันพีช"

"..." 

"เป็ด"

"..."

"แล้วก็มึง" 

ภูผาหยุดเดินแล้วหันมองผมหน้านิ่ง ผมได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ ก่อนมันจะรีบก้าวเท้าเร็วๆ หนีไป ปล่อยให้ผมยืนยิ้มไม่หุบเพราะความขี้เขินของตัวเอง

ผมกลับมากับภูผา ก่อนมาหยุดอยู่ที่หน้าตึก ไม่กะจะนอนที่นี่เพราะขี้เกียจตื่นเช้า ภูผามันเลยหันมามองงงๆ ตอนที่ผมไม่ได้เดินตามเข้าไป

"กูส่งแค่นี้ละกัน"

"คิดว่าจะนอนนี่"

"เปล่า แค่มาส่งเฉยๆ"

มันพยักหน้ารับ ก่อนเดินเข้าไป ผมรู้ว่ามันโตแล้ว ซึ่งความจริงผมก็ไม่ได้แก่ไปกว่ามันเท่าไร แต่ก็อยากดูแลเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจว่าทุกวันมันปลอดภัยดี ผมจะได้สบายใจด้วย

ภูผาเดินเข้าไปได้สามสี่ก้าวก็หันกลับมา แล้วพูดบางคำผ่านน้ำเสียงเรียบเฉยและใบหน้านิ่งเหมือนเคย หากว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง ผมก็จะสรุปว่าคำนั้นมันคือประโยคห่วงใย

 

"ถึงแล้วโทรบอกด้วยนะ"

 

...

 

 

เป็นอีกวันที่การทำงานของผมหนักหน่วงจนไม่ได้กินข้าวกลางวัน อยู่รอดได้ด้วยกาแฟและเครื่องดื่มชูกำลัง ตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่เคยเลี้ยงให้ลำบากเลย ทำไมโตมาต้องทำงานเอาตายขนาดนี้ด้วยวะ ใช้ชีวิตแบบนี้คงไม่ได้อยู่ถึงแก่แน่นอนอะ อีกไม่นานก็คงตาย 

"แหมะ"

ผมเหลือบตามองบางอย่างที่หยดลงบนหลังมือ ก่อนจะหวีดลั่นเมื่อรู้ตัวว่ามันคือเลือดกำเดา 

"เชี่ย!"

"เป็นไรพี่ เฮ้ย เลือด!" ไอ้ปอโวยดังกว่าแล้วหันซ้ายหันขวามองหาทิชชูที่มันเคยวางอยู่ตรงนี้ แต่พอจะใช้เสือกหาไม่เจอ ไอ้ปอลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปจากห้อง ครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมทิชชูที่ม้วนมาลวกๆ แล้วยัดเข้าจมูกผม 

"เป็นอะไรไหมพี่"

"เป็นตอนมึงยัดเนี่ย เบาๆ ดิวะ"

"ก็ตกใจอะ"

"เออๆ ไม่เป็นไรแล้ว" 

"ช่วงนี้พี่ทัพเลือดกำเดาไหลบ่อยจัง พี่เป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"หรือว่ากูกำลังจะตายวะ" 

ไอ้ปอทำหน้าสลดเหมือนพร้อมไว้อาลัยให้ผมแล้ว เลยยกมือผลักหัวมันไปทีหนึ่ง 

"แล้วมึงไปเอาทิชชูที่ไหนมาเนี่ย"

"ในส้วม"     

"..." 

"มันสะอาดเหอะ ยังไม่ได้ใช้ซะหน่อย แล้วนี่พี่ทัพกลับบ้านเหอะ เอาไว้มาต่อพรุ่งนี้ก็ได้ ผมก็จะกลับเหมือนกัน"

"มึงกลับไปก่อนเลย กูเอานี่ให้เสร็จก่อน"   

"งั้นผมอยู่เป็นเพื่อน"

"จะอยู่ทำไม กลับไปเหอะ" 

"เผื่อพี่ตาย ใครจะเรียกรถเก็บศพล่ะ" 

"ไอ้สัด!"

ไอ้ปอหัวเราะหน่อยๆ จัดการปิดคอมที่โต๊ะตัวเองแล้วขยับไปนั่งที่โซฟาด้านหลัง ผมดึงทิชชูออกมาดูแล้วพบว่าเลือดยังไม่หยุดไหล ก็จับยัดกลับเข้าไปที่เดิม ก่อนกลับมาทำงานต่อ ทำอารมณ์จมกับงานอยู่นานก่อนหันกลับไปมองไอ้ปอที่นอนทำหน้าง่วงๆ อยู่บนโซฟา 

"กูบอกให้กลับบ้านไปไง" 

"ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ไง"

"งั้นนอนไปเลยไอ้ห่า ดื้อด้าน" ผมว่าแล้วหยิบหมอนหนุนหลังโยนให้มัน ไอ้ปอรับไว้ได้พอดีแล้วยกหมอนรูปเป็ดของผมขึ้นดู 

"พี่ทัพชอบเป็ดเหรอ"

ผมพยักหน้ารับหน่อยๆ จริงๆ มันก็เป็นผลพวงมาจากการชอบไอ้ภูผาที่หน้าเหมือนเป็ด จากนั้นเวลาเจออะไรที่เป็นเป็ดก็อดซื้อไม่ได้เลย 

"เออ กูไม่เคยถามเลย ทำไมคนในออฟฟิศถึงเรียกมึงว่าเป็ดวะ"

"พี่แต้มเรียกคนแรกเลย ตั้งแต่ตอนที่เข้างานใหม่ๆ แล้วผมใส่เสื้อรูปเป็ดโดนัลดั๊กตัวนั้นบ่อยๆ พี่เขาจำชื่อผมไม่ได้เลยเรียกผมว่าเป็ด จากนั้นก็เป็ดทั้งออฟฟิศเลย"

"แล้วมึงก็ยอมให้เขาเรียกด้วย"

"ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เป็ดก็น่ารักดี ที่จริงก็มีแค่พี่ทัพอะที่ยังเรียกชื่อจริงผมอยู่"

"อ้าวเหรอ" 

"พี่จะเรียกผมว่าเป็ดก็ได้นะ" 

"..." 

"ถ้าพี่ชอบเป็ด ผมก็อยากเป็นเป็ดของพี่เหมือนกัน"

ผมเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากไอ้ปอพูดจบ ไม่ได้ตอบอะไรมันก่อนหันกลับมาทำงานต่อ คิดว่าคงให้ใครมาเป็นเป็ดตัวที่ผมชอบไม่ได้หรอก

 

เพราะว่าผมมีเป็ดตัวนั้นเป็นของตัวเองแล้ว   

 

ผมปลุกไอ้ปอให้กลับบ้านไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืนให้มันกลับทันรถไฟฟ้า ส่วนตัวเองทำงานต่อจนถึงตีสามกว่าๆ ชั่งใจอยู่นานว่าจะกลับบ้านหรือจะนอนนี่เลย แต่ก็เปลี่ยนใจกลับบ้านดีกว่า จัดการปิดคอมพ์และไฟในออฟฟิศทุกดวง พอมืดสนิทก็วังเวงขึ้นมาเชียว ผมเดินออกจากห้อง ก่อนมาหยุดที่หน้าห้องอินทีเรีย ไฟดวงในสุดยังเปิดอยู่แต่ไม่มีใคร คิดว่าอาจจะมีใครลืมปิดไฟเลยหวังดีเดินเข้าไปปิดให้

"เฮ้ย!"

เฮ้ย...

ผมร้องอยู่ในใจตอนที่ได้ยินเสียงร้องก่อนหน้า ในความมืดผมมองไม่เห็นใคร เลยขยับมือไปเปิดไฟอีกที

"เชี่ย!" ทั้งผมและอีกคนหวีดลั่นตอนเปิดไฟมาเจอหน้ากัน ไม่รู้คนหรือผีแต่หลับตาหนีไปก่อน ก่อนตั้งสติเลยลืมตาขึ้นมาดู อีกฝ่ายก็ถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าผมเป็นคน 

"ปิดไฟทำไมครับ ตกใจหมดเลย"

"ขอโทษ คิดว่าไม่มีคนอยู่"

อีกฝ่ายพยักหน้ารับหน่อยๆ ก่อนผมจะได้มองเห็นหน้าชัดๆ ผู้ชายที่ไม่รู้จักแต่โคตรหล่อ ผมนึกขึ้นมาได้ว่านี่คงเป็นอินทีเรียคนใหม่ที่ถูกพูดถึง ระหว่างความเงียบที่มองหน้ากันไปๆ มาๆ ก็เลยทักไปก่อน

"อินทีเรียคนใหม่ใช่ป่ะ"

"ครับ แล้วพี่อะ"

"กูแลนด์แสคป แต่ไม่ใช่พี่ เห็นเขาบอกว่ามึงกับกูอายุเท่ากัน"

มันพยักหน้ารับเบาๆ ผมไม่แปลกใจว่าทำไมไอ้ปอมันบอกว่าไอ้นี่หน้าเด็กกว่าผมเยอะ หน้าตาก็ดี ผิวก็ดี รูปร่างก็ดี แถมดูใสสะอาดแบบโคตรผู้ดี แต่พอมองหน้ามันชัดๆ แล้วก็รู้สึกคุ้นขึ้นมาซะเฉยๆ คุ้นจนต้องขยับเข้าไปมองใกล้ๆ จนอีกฝ่ายขมวดคิ้วถาม

"มีอะไรเปล่า"

"กูไม่ได้จะจีบมึงนะ แต่เราเคยเจอกันมาก่อนป่ะ หน้ามึงโคตรคุ้นเลยอะ"

มันขมวดคิ้วเข้าหากันอีก ก่อนคลายออกแล้วพยักหน้ารับเบาๆ 

"เรียนม.ปลายที่เดียวกันไง"

"เออใช่! จำได้ละ มึงที่เป็นนักบาสใช่ป่ะ"

"ใช่"

"ที่เคยทะเลาะกับเพื่อนกูอะ จำได้ป่ะ"

"อือ จำได้"

"เออ โลกโคตรกลมว่ะ"

"นั่นดิ"

"แล้วมึงชื่ออะไรนะ"   

"กู..."

.

.

.

"นาวี" 

 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2018 06:52:19
ตื่นเต้นๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 06-02-2018 08:42:10
เอาแล้ววววววววว ตายแล้วเราแอบเทใจให้ธงทัพอ่ะ
ภูผาต้องหวั่นไหวแน่เลยธงทัพเราจะอยู่อย่างงัยหละทีนี้งืออออออออออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 06-02-2018 09:44:43
ว่าแล้วอินทีเรียคนใหม่นี่นาวีแน่นอน ความสัมพันธ์อีรุงตุงนังสุดดดด :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 06-02-2018 11:13:12
เราทีมธงทัพนะ แต่ความสัมพันธ์โคตรยุ่ง แถมมีปอเข้ามาอีก ลุ้นมาก
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 06-02-2018 11:23:31
ต่อไปสนุกแน่ นาวีมาแล้ว..
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 06-02-2018 12:03:18
เชดดดดดดดดดดดด   ครือออออ จริงๆ ตอนอ่านไปต้นๆตอน ก็คิดไป เดี๋ยวจะพิมพ์คอมเม้นท์ว่า น้องปออออ นี่น้องจะแซะพี่ทัพเขาใช่ไหม? อยากเป็นเป็ดของพี่ทัพหราาาา กิ๊วๆ ไรงี้  แต่พอเจอประโยคชื่อสุดท้าย ขุ่นพระ!!!! #ตบอกรัวๆๆๆๆ มันจำเป็นต้องโลกกลมขนาดนี้ไหม? ตายๆๆๆๆๆ หน่องภูผา ใจน้องแข็งแรงพอแล้วยัง? พี่ทัพจะเอาอยู่ไหม? ลุ้นๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Slotjai ที่ 06-02-2018 12:50:32
สมที่รอจริงเราทีมทัพผานะะะะเลิ้ฟ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 06-02-2018 13:00:38
เป็นนิยานที่ลุ้นจริงๆ ค่ะ มันจะไปทางไหนต่อน้อออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: windwrite ที่ 07-02-2018 02:11:43
อย่ากลับมาเลย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 07-02-2018 02:21:25
เป็นเรื่องแรก ที่ ... ชอบทั้ง 3 ตัวละครเลย
เฮ้อ รักพี่เสียดายเพื่อน

และ อยากจะบอกว่า ชอบสำนวน ชอบคำ ชอบภาษา
อ่านแล้วละมุนมาก

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ ที่งดงามเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-02-2018 05:13:10
ขักกลัวๆและ  :katai1:
จะดราม่าไหม
กลัวธงทัพเป็นโรคร้ายๆ แบบลูคีเมีย
ธงทัพ ภูผา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ปอ ท่าทางจะชอบทัพนะ  จะยอมเป็นเป็ดของพี่
แล้วก็เจอกัน โลกกลมมาก  ธงทัพ นาวี  :hao3:
น่าลุ้นนนนนนน  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 07-02-2018 05:24:11
ภูผาทัพก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน ความสัมพันธ์ก้าวหน้าเท่าหอยทากคลาน  :katai1:

แถมนาวีกลับมาแล้วอีก ฮือออออออออออออออออออออออ
เราจะลุ้นภูผากองทัพขึ้นไหมนิ ปวดใจ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 07-02-2018 13:07:24
เจอนาวีแล้วอยากอ่านตอนต่อไปเร็วเลย ใจนึงก็ 3P ก็ได้ แต่ใจอีกก็อยากให้น้องเป็ดเป็นของพี่ทัพคนเดียวว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.12] 6/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 08-02-2018 17:36:30
ถึงจะเป็นนิยายรายเดือนแต่เราก็ตามอ่านทุกตอนน้า เป็นนิยายแนวเรื่อยๆไม่รู้ด้วยว่าปมมันอยู่ที่ตรงไหนแต่ทำไมสนุกมากๆก็ไม่รู้ ยิ่งตอนนี้นาวีโผล่มาแล้ว มหกรรมสามพีกำลังจะเริ่มต้นนาจา #โดนรชาตบ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 19-02-2018 06:33:17
Episode 13


ผมไม่ได้ทำดีกับคุณ
เพื่อบีบบังคับให้คุณรักผม

 

 

เช้าวันจันทร์วนกลับมาอีกครั้ง เพราะเมื่อคืนนอนกับภูผาที่นี่ เช้านี้เลยต้องตื่นเร็วกว่าปกติเพื่อออกไปทำงาน ทั้งๆ ที่ความจริงก็อยากจะฝังตัวอยู่ใต้ผ้าห่มสบายๆ แบบมันอยู่หรอก ผมลุกขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกนานแล้วแต่ยังไม่พร้อมลุกออกจากเตียง กระทั่งภูผาโผล่หน้าจากผ้าห่มออกมาเรียก

"ไปได้แล้ว"

"เออ"

ผมตอบรับก่อนลุกออกไปอาบน้ำ ออกจากห้องน้ำมาภูผาก็หลับไปอีกรอบตามเคย ผมจึงค่อยๆ ทำอะไรช้าๆ เงียบๆ เพราะไม่อยากส่งเสียงดังรบกวน กระทั่งเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่แขวนไว้กับประตูตู้ มือที่ตั้งใจจะยื่นไปหยิบกลับหยุดชะงัก เมื่อสายตาหันไปเห็นสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าแมลงสาบเกาะอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ ความเงียบจึงพังทลายด้วยเสียงหวีดร้องของผมเอง   

"เหี้ย! ภูผา! ภูผาๆๆ!" 

"อะไร"

"แมลงสาบ!"

"ก็ไล่มันไป"

"ไม่เอา! มึงไปจัดการดิ"

ภูผาขมวดคิ้วถอนหายใจ ก่อนลุกออกจากเตียง ขณะเดียวกันไอ้แมลงสาบตัวนั้นก็ไต่จากเสื้อที่แขวนอยู่ลงสู่พื้นห้อง ภูผาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งฟาดมันลงกับพื้นก่อนทุกอย่างนิ่งสนิท รวมถึงผมที่หันไปเห็นอาวุธสังหารของภูผาแล้วพบว่ามันคือแฮรี่พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับฉบับปกแข็งที่ตอนนี้มีซากแมลงสาบไส้แตกเกาะติดอยู่

"ตายละ"

"เชี่ย!" ผมสะดุ้งตอนภูผายกแมลงสาบที่ติดกับปกหนังสือให้ดู ไม่รู้จะขยะแขยงแมลงสาบก่อน หรืออาลัยอาวรณ์หนังสือเล่มนั้นก่อนดี ภูผาเขี่ยซากแมลงสาบลงถังขยะแล้วเอาหนังสือกลับไปวางที่เดิม จิตใจมันทำด้วยอะไรวะถึงได้ทำทุกอย่างได้อย่างหน้าตาเฉย ขณะที่ผมยังคงนิ่งๆ งงๆ หันมองหนังสือสลับกับเสื้อตัวที่จะใส่แต่โดนแมลงสาบไต่ไปแล้วเลยลังเล เห็นว่าผมยังยืนเฉยอยู่อีกคนเลยคว้าเสื้อแล้วโยนให้   

"ใส่เสื้อแล้วก็รีบไปได้แล้ว"

"กูไม่ใส่!" ผมโยนเสื้อตัวนั้นคืนกลับไปที่ภูผา

"ทำไม"

"แมลงสาบมันไต่แล้วนะเว้ย กูไม่ใส่" 

"มึงจะรังเกียจอะไรขนาดนั้น" 

"แล้วทำไมห้องมึงถึงมีแมลงสาบวะ" 

"แล้วกูจะไปห้ามไม่ให้มันเข้ามาได้ยังไง มึงจะรู้ได้ไงว่ามันไม่เคยไต่ขึ้นที่นอน หรือมันอาจจะเคยไต่แปรงสีฟันมึงก็ได้นะ" 

"เหี้ย! อย่าพูด ขนลุก" ผมแขยงจนตัวสั่นเมื่อนึกถึงมัน ไม่เคยเข้าใจว่าโลกนี้มีแมลงสาบไว้เพื่ออะไร ไอ้สิ่งมีชีวิตไร้อารยธรรมนั่นมันสำคัญหรือมีประโยชน์อะไร

"ทำไมมึงต้องกลัวสิ่งที่ตัวเล็กกว่านิ้วโป้งตีนมึงด้วยวะ" ภูผาบ่นคล้ายจะพูดคนเดียวก่อนกลับขึ้นไปนอนบนเตียง   

"กูไม่ได้กลัวเว้ย กูแค่รังเกียจ"

"แค่ทุบแมลงสาบยังไม่มีปัญญา แล้วจะไปทำอะไรกิน"

ผมได้แต่หันมองตาขวางใส่ภูผาที่บ่นไม่หยุด แล้วก็ตรรกะผิดเพี้ยนจนอยากจะด่า การประกอบสัมมาอาชีพของผมไม่ได้ขึ้นอยู่กับแมลงสาบ แล้วการที่ทุบแมลงสาบไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่ากูจะทำมาหากินไม่ได้เว้ย คนละเรื่องเลย 

"กูใส่เสื้อมึงนะ" ผมบอกแต่ไม่รอคำตอบ ก่อนเปิดตู้หยิบหาเสื้อของภูผา ไล่สายตามองก็พบว่ามีแต่เสื้อเชิ้ตแขนยาวเพราะมันต้องแต่งตัวเรียบร้อยตอนทำงาน ผมจึงเลือกมาตัวหนึ่งแล้วสวมเข้าไปลวกๆ หอบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้อง ก่อนต้องหยุดเพราะเสียงเรียกของภูผา   

"ธงทัพ"

"อะไร"

"ปิดไฟให้ด้วย"

ผมหันมองสวิตซ์ไฟสลับกับภูผา ก่อนยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วสวนกลับไป 

"แค่ลุกมาปิดไฟยังไม่มีปัญญา แล้วจะมาไปทำอะไรกิน"

"ไอ้ทัพ!"

ผมไม่ยอมปิดไฟให้แล้วเดินออกจากห้องนอนขณะที่เสียงภูผาก็ยังคงดังไล่หลังมา 

"ไอ้ทัพ"

"..."

"ธงทัพ"

"..."

"พี่ทัพ!"

ขาชะงักอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำนั้น ผมหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอยหลังกลับไปที่หน้าห้องนอน ภูผาเรียกชื่อผมซ้ำเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อกี้ไม่ได้หูแว่วไป

"พี่ทัพ"

"..."

"ปิดไฟ"

"เออ!" ผมกระแทกเสียงสวนกลับไป พร้อมกับตบสวิตซ์ไฟเพื่อปิด ก่อนหันขวับเดินออกมาจากตรงนั้น เท้าที่ก้าวเร็วๆ ช้าลงจนกระทั่งหยุดเพื่อคิดอะไรบางอย่าง คำที่อ้อนวอนให้เรียกอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยยอม เสือกออกมาจากปากง่ายๆ ตอนเรียกกูให้เดินกลับไปปิดไฟ ภูผาแม่งอยู่เหนือการเข้าใจยิ่งกว่างานศิลปะ แต่ถึงอย่างนั้นเสียงเรียกของภูผาก้องอยู่ในหูจนริมฝีปากขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่

 

พี่ทัพ 

 

น่ารักมากโว้ย!

 

ในเช้าที่กรุงเทพฯ กำลังวุ่นวาย แต่เช้านี้อารมณ์ผมสวนทาง ลืมความหงุดหงิดจากสภาวะรถติดและชั่วโมงเร่งรีบ มาถึงที่ทำงานแบบสบายๆ จะสายแล้วแต่ยังใจเย็น กำลังคิดว่าเช้านี้จะกินอะไรดี พี่นกร้านหมูปิ้งก็ร้องเรียกผมเหมือนเคย

"น้องแม่ทัพ"

"เหนื่อยไหมที่ต้องมานั่งคิดชื่อไม่ให้ซ้ำกันแต่ละวันเนี่ย"

"ขำๆ น่า"

"เรียกเยอะจนลืมชื่อจริงตัวเองแล้ว"

"หรือจะให้เรียกว่าที่รักล่ะจ้ะ"

"ไหนลองเรียกผมว่าพี่ทัพดิ"

"จ้า พี่ทัพ"

ผมหลุดหัวเราะตอนพี่นกเรียกแบบนั้น

"พี่ทัพ รับหมูปิ้งไหมจ้ะ"

"ถึงไม่ซื้อพี่ก็บังคับอยู่ดี"

"เอาน่า เช้าๆ แบบนี้หมูปิ้งคือเดอะเบสท์"

"ไปเอาความเชื่อมาจากไหน" ผมว่าอย่างนั้นแต่ก็ต้องซื้อหมูปิ้งพี่นกอยู่ดี เพราะเช้าๆ แบบนี้มันก็สะดวกที่สุดแล้ว หลังจากได้อาหารเช้าแล้วก็เดินขึ้นตึกเข้าออฟฟิศ วันนี้ไอ้ปอมาก่อนผม ทันทีที่เดินเข้าไปถึงมันก็หันมาทัก

"หวัดดีครับ พี่ทัพ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แล้วหมุนไปหามัน

"มีอะไรเปล่าพี่"

"เรียกกูว่าพี่ทัพสิ"

"พี่ทัพ"

"อีกทีดิ"

"พี่ทัพ"

"ขออีกรอบ"

"พี่ทัพ มีอะไรหรือเปล่าครับ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนหมุนเก้าอี้กลับไปหน้าโต๊ะทำงาน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นความสุขขนาดที่บังคับริมฝีปากตัวเองให้หุบยิ้มไม่ได้เลยปล่อยให้แม่งยิ้มอยู่อย่างนั้นแหละ

"พี่ทัพเป็นอะไรเปล่าเนี่ย ยิ้มไม่หุบเลย"

"กูอารมณ์ดี"

"วันนี้แต่งตัวหล่อด้วยนะครับ"

"ฮึ? กูเหรอ"

"ครับ ใส่เสื้อแบบนี้แล้วหล่อดี"

ผมก้มมองเสื้อเชิ้ตของภูผาที่หยิบมาใส่ ไม่คิดว่าตัวเองจะหล่อเพราะเสื้อหรอก ความจริงคือเบ้าหน้าดีไง ใส่อะไรมันก็หล่อ แก้ผ้าก็ยังหล่อ แต่ปอมันคงไม่เคยเห็นผมใส่เสื้อแบบนี้คงแปลกตา

"พี่ทัพแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ ก็ดีนะครับ"

"เดี๋ยวก็หล่อมาก ลำบากมาหลงรักกูอีก"

"ทำไมหลงตัวเอง"

"ก็คนมันหล่อ จะให้บอกว่าขี้เหร่เหรอวะ"

ไอ้ปอพยักหน้าพลางยิ้มเจื่อนๆ หน้าตาน่าตบจนห้ามไม่ได้ที่จะยกมือตบหัวมันไปเบาๆ แล้วชี้ให้มันกลับไปทำงานตัวเองต่อ ส่วนผมยังใจเย็น นั่งกินหมูปิ้งกับกาแฟสบายๆ กระทั่งพี่แต้มเดินเข้ามาบรรยากาศก็อึมครึมเหมือนเมฆฝนเคลื่อนบังแสงอาทิตย์ยามเช้า เหมือนผู้คุมวิญญาณลอยผ่านทุกคนให้ตัวแข็ง เมื่อพี่แต้มมุ่งหน้ามาที่โต๊ะผม โต๊ะอื่นๆ เลยยิ้มอย่างรอดตัว

"ไอ้ทัพ งานล่าสุดที่ให้ทำเสร็จยัง"

"เสร็จแล้ว อยู่ในหัวเนี่ย"

"ไอ้ห่า! จริงจัง"

"เออ ก็ร่างอยู่ในหัวแล้ว เดี๋ยววันนี้ลงกระดาษให้"

"แล้วดราฟแรกจะเสร็จเมื่อไร"

"พรุ่งนี้ละกัน"

"มึงอย่ารับปากส่งๆ ไอ้ทัพ เอาแน่นอน"

"เออ พรุ่งนี้ ถ้าไม่เสร็จให้ไล่ออกเลยอะ"

"ทำเป็นเล่นนะมึงอะ" พี่แต้มชี้หน้าเป็นเชิงคาดโทษผมทีหนึ่ง ก่อนหันไปหาไอ้ปอที่ก้มหน้างุด แต่ไม่พ้นต้องเงยหน้ามองตอนถูกเรียก

"ไอ้เป็ด"

"ครับ"

"ตามกูไปที่ห้อง"

"ที่ห้อง...ที่ห้องพี่เหรอครับ"

"เออ มีเรื่องจะด่า ด่าตรงนี้เดี๋ยวก็มีคนปกป้องมึงอีก" พี่แต้มหันมากระแทกเสียงใส่ผม ก่อนเดินกลับไปที่ห้อง ไอ้ปอถอนหายใจเบาๆ ด้วยใบหน้าบูดๆ ก่อนเดินตามพี่แต้มไป พี่หวานเพื่อนร่วมแผนกอีกคนชะโงกหน้าจากจอคอมฯ มามองผมด้วยใบหน้าใคร่รู้ คงสงสัยว่าปอมันจะโดนด่าเรื่องอะไร ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าเด็กนั่นไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้อีก หลายครั้งที่ความเด๋อด๋าสะเพร่าของมันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่องานเสมอ แต่ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ สวนทางกับหัวหน้าที่ไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องเล็ก

พักใหญ่ๆ ที่ไอ้ปอหายเข้าไปในห้องทำงานพี่แต้ม เรื่องที่โดนด่าก็หนักหนาพอที่จะทำให้มันเดินคอตกออกมาจากห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรกับผมเลย แม้แต่ตอนที่ผมทักก็ยังไม่มีตอบสนอง คงเพราะจิตวิญญาณหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว ผมปล่อยให้มันนั่งเงียบๆ ก่อนดึงสติกลับมาได้ครบ ปอจึงหมุนเก้าอี้มาหาผมพร้อมเสียงถอนหายใจ 

"พี่ทัพ"

"อือ"

"ฟ้อง"

"โดนไรมาล่ะ"

ทุกครั้งที่มันโดนด่าก็จะหันมาฟ้อง ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอก แต่ผมก็เข้าใจว่าคำว่าฟ้องของมันไม่ได้หมายความว่าจะให้ผมไปทำอะไรพี่แต้มให้ มันแค่ต้องการอยากระบายเรื่องที่ถูกด่า หลายครั้งผมฟังมัน แต่หลายครั้งก็ไล่มันไปฟ้องพ่อมัน แต่ครั้งนี้น่าสงสารกว่าครั้งอื่นตรงที่น้ำตามันร่วงลงมาในตอนที่กระพริบตาปริบๆ 

"ร้องไห้เลยเหรอวะ"

มันส่ายหน้าปฏิเสธขณะที่ปากเริ่มสั่นแล้วก็หันหน้าหนีผมไป

"เฮ้ย เอาจริงดิ"

ผมละงานในมือแล้วเป็นฝ่ายขยับเก้าอี้เข้าไปหามัน ผมห่วยเรื่องการปลอบใจคนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อยากให้กำลังใจเงียบๆ ด้วยการเตะไหล่เบาๆ แต่เสือกเกิดสภาวะวางมือบนบ่าน้ำตาไหลพรวด ไอ้ปอยิ่งร้องไห้หนักจนผมชักมือออกจากบ่ามันไม่ทัน

"อย่าร้องดิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าก็นึกว่ากูแกล้งมึงหรอก"

"..."

"หยุดร้องเถอะ ให้กูกราบก็ได้"

ไอ้ปอหลุดขำแต่น้ำตายังไหล จะขำก็จะขำ จะร้องก็จะร้อง ตอนนี้หน้าตามันเลยพิลึกอธิบายไม่ถูก มันยกมือเช็ดน้ำตาอย่างพยายามจะกลั้น ผมก็ได้แต่ตบหลังเบาๆ ให้มันหยุดสะอึกสะอื้น

"โดนด่าอะไรมา ฟ้องกูสิ"

พอผมเปิดช่องให้ไอ้ปอก็ใส่ไม่ยั้ง พูดถึงเรื่องที่โดนด่าให้ฟัง เหมือนกับว่าชั่วโมงกว่าๆ ที่โดนด่า ทำลายทั้งชีวิตของมันพังยับ สารพัดเรื่องที่ส่งต่อให้ผมฟัง ความบัดซบอย่างหนึ่งของคนเป็นหัวหน้าอย่างพี่แต้ม คือพอมันมีเรื่องหนึ่งให้ด่า มันก็จะขุดความผิดเก่าๆ เอามาผสมปนเปจนกว่ามันจะพอใจ อาจเป็นเพราะปอมันยังใหม่กับการเริ่มทำงานได้แค่ครึ่งปี เลยยังไม่ชินและรับมือกับปัญหาหรือแรงกดดันไม่ได้ จิตใจก็อ่อนไหวง่ายตามประสาเด็กเด๋อ แค่โดนล้มแบบเพราะหัวหน้าบอกว่าไม่ได้เรื่องก็กระทบกระเทือนจิตใจฟูมฟายน้ำตาแตกแล้ว

"ผมคงทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว ลาออกเลยดีไหม"

"ถ้าคิดได้แค่นั้นก็ลาออกไป"

ไอ้ปอเงยหน้าขึ้นมองผมเพื่อเอาตาโตๆ ของมันจ้องหน้าผม แล้วพูดออกมาเบาๆ

"ทำไมซ้ำเติม"

"ก็มึงบอกว่าทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้ แล้วถ้าฝีมือยังไม่พัฒนาแบบนี้ก็ออกไประบายสีอยู่บ้านเหอะ"

"เจ็บนะพี่ทัพ"

"มึงยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้พยายามเลย จะต้องให้กูด่าอีกคนไหม"

"ดุ"

"กูไม่ได้ดุโว้ย!"

ไอ้ปอสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนก้มหน้าลงไปไม่กล้าสบตา ผมถอนหายใจทีหนึ่งแล้วยกมือจับหน้ามันให้เงยขึ้นมอง

"กูไม่ได้ดุ แค่อยากให้มึงสู้หน่อย"

"..."

"ไม่มีใครคอยปกป้องมึงได้ตลอดเวลานอกจากมึงต้องปกป้องตัวมึงเอง มึงเก่งกว่านี้ได้ถ้าพยายาม แล้วกูก็ไม่อยากให้มึงยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้"

ไอ้ปอก่อนสูดน้ำมูกทีหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับด้วยแววตาจริงจังและใบหน้าฮึกเหิม

"ผมจะพยายามครับ"

"เออ ไม่สู้ก็อยู่ไม่ได้ จำไว้"

"ครับ!" มันตอบรับเสียงดัง ก่อนยกกำปั้นขึ้นมาตรงหน้า แล้วพยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงให้ผมยกหมัดขึ้นมาชนกับมัน ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไปทำไม แต่เพื่อความสบายใจของมันผมจึงยกหมัดตัวเองขึ้นมา ในตอนนั้นก็เพิ่งได้สังเกตว่าทั้งแขนทั้งมือมันเล็กนิดเดียว ถ้าผมต่อยแรงๆ แขนมันคงหักได้เลยมั้ง เลยยื่นหมัดไปกระทบมือมันเบาๆ ก่อนอีกฝ่ายจะยิ้มออกมาได้ทั้งที่น้ำตายังเลอะหน้า

"ไม่ต้องร้องแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้กูพาไปเลี้ยงข้าว"

"เลี้ยงเหล้าได้ไหม"

"ก็รู้อยู่ว่ากูไม่กินเหล้า ให้กูไปนั่งมองหรือไง"

"ทำไมพี่ทัพไม่กินเหล้าล่ะครับ"

"ไม่มีเหตุผลว่ะ"

"พี่เป็นคนดีจังครับ"

"ไม่เกี่ยว แค่กูไม่กินเหล้าไม่ได้แปลว่ากูเป็นคนดี"

"แล้วพี่เป็นคนชั่วหรือไง"

ผมไม่ตอบได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ ไม่กล้าพูดว่าตัวเองชั่วหรือดี ไม่รู้ว่ามันวัดกันที่ตรงไหน ไม่นิยามตัวเองแต่ขอเป็นคนกลางๆ ดีกว่า เพราะผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง

"แต่ผมอยากเมาอะ พี่ไปเลี้ยงเหล้าผมเหอะ"

"เออ จะกินก็ไป"

"จริงนะครับ!"

"เรียกกูว่าพี่ทัพก่อน"

"พี่ทัพ พี่ทัพครับ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ กับท่าทางออดอ้อนของไอ้ปอ ด้วยความที่มันว่าง่ายในสายตาเลยมองว่ามันน่ารัก ปอมันไม่เคยดื้อหรือเถียงอะไรผมเลยตั้งแต่รู้จักกันมา คิดไปถึงภูผา ถ้ามันว่าง่ายแบบนี้บ้าง ก็คงจะดี

 
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 19-02-2018 06:34:01
ปกติแล้วเวลาเลิกงานจริงๆ คือห้าโมงเย็น แต่เพราะงานค้างที่เกาะติดชีวิตเป็นเงาแค้นจึงไม่เคยมีใครได้กลับบ้านตรงเวลา เว้นแต่ว่าวันไหนหัวหน้าไม่เข้าออฟฟิศ สี่โมงครึ่งก็ปิดไฟหอบกระเป๋ากลับบ้านกันแล้ว แต่โอกาสแบบนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก เดือนหนึ่งจะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่วันนี้ผมกับไอ้ปอวางแผนหนีงานไปหาอะไรกินกันแล้ว วันทั้งวันเลยทำงานไม่ได้หยุด ไม่พูดคุยหรือขยับไปไหนเลย จนกระทั่งไอ้ปอเสร็จงานทุกชิ้นแต่ของผมยังค้าง แต่งานไม่เร่งเลยไม่ซีเรียส ปล่อยค้างไว้อย่างนั้นก่อน เพราะไอ้ปอมันมานั่งรอแล้วก็เริ่มวอแวเพราะความหิว เลยละงานพร้อมจะออกไปหาอะไรกิน

"พี่ทัพ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง"

"เออ กูรอนี่"

ผมตอบรับ ก่อนเดินไปนั่งรอที่หน้าห้องฟิตเนสที่เงียบกริบ ไม่รู้ว่าห้องนี้มันเคยถูกใช้งานหรือเปล่า บริษัทสนับสนุนให้พนักงานรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย แต่พวกกูจะตายเพราะไม่มีเวลานอน เอางบประมาณที่สร้างห้องฟิตเนสไปทำห้องนอนให้พวกกูค้างออฟฟิศสบายๆ ดีกว่าเหอะ

ขณะที่ผมกำลังนั่งรอปอ ก็หันไปเห็นนาวี อินทีเรียคนใหม่เดินผ่านมาทางนี้ด้วยใบหน้ายุ่งๆ หัวคิ้วแทบชนกันขณะก้มมองกระดาษในมือโดยไม่ได้สนใจว่าเดินผ่านหน้าผมไป ผมจึงขยับปลายเท้าที่มันเกือบเดินสะดุดไปขวางหน้ามันเอาไว้

"เฮ้ย"

คนถูกทักชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวแล้วหันขวับมามองผม

"ชอบทำให้คนอื่นตกใจเนอะมึงเนี่ย" มันว่าแล้วนั่งลงข้างๆ ขณะสายตายังมองอยู่บนแผ่นกระดาษในมือ

"มึงก็ขวัญอ่อนจังล่ะ"

"ไม่กลับบ้านเหรอ"

"เดี๋ยวจะไปละ แล้วนี่มึงหงุดหงิดอะไรเนี่ย เห็นเดินหน้าบูดมาเชียว"

"กูไปตรวจงานมา โคตรเซ็งเลย ผู้รับเหมามันไม่ทำงานตามแบบ มึงดูดิ ปูกระเบื้องแม่งก็ไม่สวย สีที่ผนังที่สเปคไปก็ไม่ใช่สีนี้ แล้วเสือกมาสั่งแก้แบบกูอีกนะ"

ผมพยักหน้าตามขณะที่มันร่ายยาวๆ อย่างหงุดหงิดในน้ำเสียง ก่อนถอนหายใจออกมาแรงๆ ทีหนึ่ง

"เออ มึงก็ขี้บ่นเหมือนกันนะเนี่ย"

"ก็งานแม่งไม่โอเคว่ะ"

"ไปกินเหล้าป่ะล่ะ"

"ฮะ?"

"ไอ้ปอมันชวนกูไปร้านเหล้า ไปด้วยกันดิ หาอะไรกระแทกปากจะได้ไม่เครียด"

"พวกกูไปด้วยได้ไหม" ทั้งผมและนาวีเงยหน้ามองพี่ก๊กกับณดา ฝ่ายสถาปนิกที่ผมก็รู้จักอยู่ และเมื่อนาวีตอบตกลง เราทั้งหมดจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ร้านเหล้าไม่ไกลจากออฟฟิศ เพราะทำงานในสายงานเดียวกัน เรื่องที่พูดคุยในวงเหล้าก็ไม่พ้นเรื่องงาน แลกเปลี่ยนปัญหา แอบเมาท์ลูกค้า นินทาเจ้านาย ระบายความทุกข์ ปนเปกันไปจนกระทั่งฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เริ่มทำงาน ไอ้ปอที่ร้องจะกินเหล้าก็เมาคนแรกจนเริ่มหันหน้าหนีตอนพี่ก๊กเทให้ มันหยิบแก้วเหล้าแล้วเลื่อนมาตรงหน้าผม

"พี่ทัพ..."

"ไม่ต้องมาทางกูเลย กูไม่กิน"

ไอ้ปอทำหน้าบูดแล้วเลื่อนแก้วต่อไปให้ไอ้นาวี 

"พี่นาวี..."

มันยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วหยิบแก้วจากไอ้ปอกระดกทีเดียวหมด ผมที่นั่งข้างๆ มันเห็นว่ามันดื่มไปมากพอสมควรแต่ยังพูดคุยได้ปกติเดาว่ามันคงคอแข็งในระดับหนึ่งเลย เมื่อมีคนดื่มเหล้าในแก้วแทนไปแล้วไอ้ปอจึงยิ้มกว้างพลางหันมาจิกกัดผมแล้วยกมือทุบไหล่เบาๆ

"คนจริงต้องแบบนี้ครับ"

"หุบปากไปเลยมึง"

"ทำไมไม่กินเหล้าอ่ะ" 

ผมหันมองนาวีที่ถามขึ้นมา หลายครั้งที่ผมต้องตอบคำถามนี้ด้วยคำตอบซ้ำๆ เดิมๆ

"ไม่มีเหตุผล"

"ธงทัพมันอ่อน"

"ใครมันจะไปขี้เมาเหมือนเธอล่ะ" ผมสวนกลับณดาที่กล่าวหาว่าผมอ่อน แต่ถ้าให้กินแข่งกับมันผมก็ไม่สู้ ผู้หญิงอะไรไม่รู้กินเหล้าดุชิบหาย ผมก็ไม่ได้มองว่าการดื่มเหล้าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ แต่ผมแค่ไม่ชอบ ผมรู้ในทุกคำถามมันควรมีคำตอบ ในทุกการกระทำมันควรมีเหตุผล แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเหล้า แต่ไม่ชอบเวลาเมามากกว่า ความเมามันไม่เป็นประโยชน์กับชีวิตไง

ผมดื่มเป๊บซี่หมดไปเป็นขวดที่สอง ขณะที่เหล้าก็หมดขวดพอดี เลยชวนกันกลับเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่ตื่นมาทำงาน พี่ก๊กกับณดากลับทางเดียวกันก็เลยออกไปด้วยกันก่อน ส่วนผมตั้งใจจะไปส่งไอ้ปอ ที่อ้างว่าตัวเองไม่เมาแต่สภาพสวนทางคำพูด ยืนยังไม่ติดพื้นเลยด้วยซ้ำ

"พี่ทัพผมกลับได้ ไม่ต้องไปส่งหรอก"

"มึงจำได้ใช่ไหมว่าบ้านมึงอยู่ไหน"

"จำได้ครับ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปหมอชิต แล้วก็ต่อรถตู้ถึงบ้านเลย"

"เดี๋ยวๆ มึงจะไปไหนเนี่ย"

"ไปนครสวรรค์"

"ไปทำห่าอะไร!"

"ก็บ้านผมอยู่นครสวรรค์ไง ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว จะกลับบ้าน ไปครับ!"

"พรุ่งนี้มึงต้องไปทำงานนะ"

"อ้าว ไม่ใช่ว่าผมโดนไล่ออกแล้วเหรอ"

"ยังโว้ย! มึงนั่งนี่เลย นั่งนี่" ผมกดไหล่ไอ้ปอให้นั่งลงที่หน้าห้องน้ำ ไอ้นาวีที่ยังอยู่ด้วยได้แต่หัวเราะเบาๆ แล้วยื่นอมยิ้มที่แกะแล้วให้มันอันหนึ่ง เมื่อถูกหลอกล่อด้วยอมยิ้มมันเลยยอมนั่งเงียบๆ เลียอมยิ้มเป็นเด็ก ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนก้าวเท้าแยกออกมาจากมันนิดหนึ่ง แล้วหยิบบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นจุดสูบ ก่อนหันไปหาไอ้นาวีที่อยู่ข้างๆ 

"เอาป่ะ"

เมื่อมันพยักหน้ารับผมจึงหยิบอีกมวนส่งแล้วจุดไฟให้ขณะที่มันคาบอยู่ในปาก ผมคิดว่านาวีมันจะเป็นพวกลูกคุณหนู ลุคเนี๊ยบๆ บุคลิกเรียบร้อยแต่คิดผิด เท่าที่คุยกันมามันก็เป็นคนสบายๆ คุยด้วยง่าย ยิ้มเก่ง หัวเราะง่าย ดูเหมือนจะมีพลังบวกอยู่ในตัวเยอะ แต่เรื่องที่ไม่พอใจในตัวมันคือแม่งหน้าเด็กนี่แหละ ทั้งใบหน้าและทุกส่วนประกอบตรงนั้นพอดีกันอย่างลงตัว ตัวสูงพอกับผม เพราะคราวที่แล้วมันใส่เสื้อแขนยาวเลยไม่เห็นรอยสักที่แขนข้างขวากับข้อมือข้างซ้าย ดูรวมๆ ก็เป็นคนที่น่าสนใจเลย 

"มีอะไรบนหน้ากู"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบตอนมันหันมาถามคงเพราะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่นาน

"จะจีบกูเหรอ"

"มึงมีแฟนยังล่ะ"

"ไม่มี"

"จริงดิ ทำไมไม่มีวะ"

"ก็แค่ไม่มีแฟน ผิดปกติตรงไหนอะ"

"ก็แปลกใจ หน้าตาแบบนี้ไม่มีแฟนได้ไง หรือว่าเลือดบวก"

"ไอ้เหี้ย"

ผมหลุดหัวเราะตอนถูกมันหันมาด่า ผมจำเรื่องเก่าๆ ได้ไม่มาก แต่ก็พอเลือนรางในความทรงจำว่าสมัยม.ปลายมันก็ฮอตไม่ใช่เล่น เป็นนักบาสที่ผู้หญิงค่อนโรงเรียนต้องแอบชอบ ขณะกำลังคิดถึงเรื่องในอดีตก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่ามันเคยรู้จักกับภูผา กำลังจะเอ่ยปากถามแต่ก็หยุดปากไปก่อนเพราะโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจไป ผมหยิบมือถือออกมาดูชื่อคนที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเข้าหากันหน่อยๆ เมื่อเห็นว่าเป็นภูผา ปกติไม่ค่อยโทรหาผมเท่าไร เลยรีบกดรับ

"ว่าไงภู"

(อยู่ไหนอะ)

"อยู่ร้านเหล้ากับเพื่อน มีอะไรเปล่า"

(ไม่มีอะไร กูแค่...)

คิ้วผมยิ่งขมวดเข้าหากันตอนได้ยินเสียงติดๆ ขัดๆ ของอีกฝ่ายคล้ายกำลังไม่กล้าพูดเรื่องที่อยากบอก ผมจึงถอยออกมาจากไอ้ปอและนาวี ก่อนถามซ้ำไปอีกทีด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

"มีอะไร ภูผา"

(กูอยู่โรงบาล)

"เป็นอะไร"

(กูตกบันได แต่ไม่เป็น...)

"โรงบาลไหน"

(มึงไม่ต้องมา...)

"กูถามว่าโรงบาลไหน" ผมถามซ้ำก่อนภูผาจะพูดอะไร เพราะเสียงดังของผมเลยทำให้มันยอมพูดชื่อโรงพยาบาลออกมา สิ่งแรกที่ผมคิดขึ้นมาได้คือต้องไปหามันก่อนไม่ว่ามันจะเป็นหรือไม่เป็นอะไร ผมกดวางสายแล้วหันกลับไปหาปอกับนาวี

"นาวี กูฝากไปส่งไอ้ปอหน่อยได้ไหม"

"ได้ดิ"

"มึงเมาป่ะเนี่ย"

"ไม่เมา"

"แน่นะ ขับรถได้ใช่ไหม"

"เออ ได้"

"พี่ทัพไปไหนอะ ไม่ไปส่งผมแล้วเหรอ"

"เออ ไปไม่ได้แล้ว"

"ทำไมทิ้ง"

"กูไม่ได้ทิ้ง แต่กูต้องรีบไป พรุ่งนี้มึงมาทำงานด้วยนะ เข้าใจไหม"

ไอ้ปอพยักหน้าหงึกๆ ตอนที่ผมรีบร้อนพูดกับมัน

"แล้วมึงจะรีบไปไหนวะ"

"ไปหาภูผา"

"ภูผา?"

"น้องกู" ผมพูดแค่นั้นอย่างไม่มีเวลาอธิบาย ก่อนรีบเดินออกมาจากตรงนั้น กระโดดขึ้นแท็กซี่แล้วตรงไปยังโรงพยาบาลที่ภูผาบอก ไปไม่ถึงแผนกฉุกเฉินภูผาก็เดินสวนออกมาพอดี ผมก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหา สิ่งแรกที่มองเห็นคือแขนข้างซ้ายที่ถูกใส่เฝือก ภูผาหันไปพูดกับผู้หญิงคนข้างๆ ก่อนเธอจะยิ้มให้ผมนิดหนึ่งแล้วเดินออกไปก่อน ผมจ้องหน้าภูผาสลับกับแขนข้างนั้นเป็นเชิงว่าถามถึงอาการ ภูผาจึงพูดออกมาผ่านสีหน้าเรียบๆ ทั้งบอกถึงอาการบาดเจ็บและอธิบายสาเหตุของอุบัติเหตุให้ฟังเรียบร้อยโดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม

"กูไปช่วยพี่เขายกของแล้วก้าวพลาดก็เลยตกลงมา แต่แค่กระดูกร้าว ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เฝือกอ่อนเดี๋ยวก็เอาออกได้แล้ว"

"..."

"กูบอกแล้วว่าไม่ต้องมา กูไม่ได้อยากโทรหามึงหรอก แต่กลัวว่าถ้ามึงมารู้ทีหลังก็จะหาว่ากูไม่บอก เดี๋ยวก็มาดุกูอีก"

ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วชี้ให้มันไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง

"นั่งนี่"

มันเหลือบตาขึ้นมองงงๆ แต่ก็ยอมนั่งลงตามที่ผมบอก ตาใสเงยจ้องหน้าผมที่ยืนมองมันอยู่

"ไม่ต้องมองหน้ากู ก้มหน้าลงไป"

มันก้มหน้าลงตามคำสั่ง แต่ปากยังพูดพึมพำแต่ก็ดังพอที่จะได้ยิน

"อย่าดุกู มันเป็นอุบัติเหตุ"

"กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไร"

"แต่สั่งกูก้มหน้าแล้วเนี่ยนะ"

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนยกอีกมือกดหัวมันเอาไว้ไม่ให้เงยขึ้นมามองหน้าผม ไม่ได้อยากจะดุหรือด่าอะไรมัน เพราะรู้ดีว่ามันเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะเจ็บตัว แต่แค่ไม่อยากให้มันเห็นหน้าผม หน้าตาของคนเป็นห่วงที่เกือบจะร้องไห้ตอนเห็นมันเจ็บ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ผมกลายเป็นคนอ่อนไหวไม่อยากเห็นใครเจ็บตัวหรือว่าเป็นอะไรไป โดยเฉพาะตอนที่มันเกิดขึ้นกับภูผา หัวใจผมอึดอัดคล้ายว่ามันจะขาดตรงนี้ เพียงเพราะคำว่าเป็นห่วง ใจคนเรามันเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ เหนือการควบคุมสัดๆ

 

 

ผมกับภูผากลับมาที่ห้อง ทั้งๆ ที่มันก็เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไร ให้ผมกลับไปแต่ก็ดื้อด้านที่จะอยู่กับมันก่อน บางทีพรุ่งนี้อาจจะหาเรื่องหยุดงานไปเลยก็ได้ หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็ออกมาหาภูผาที่นั่งอยู่ที่โซฟา สายตานิ่งๆ เหม่อมองทีวีที่ไม่ได้เปิด มือหนึ่งก็นั่งเขี่ยอยู่ที่เฝือกของตัวเอง ผ่านใบหน้าเลื่อนลอยที่ผมมักจะเห็นอยู่บ่อยๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าคิดอะไรอยู่

"เจ็บล่ะสิ"

มันได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดเรื่องอื่นแทน

"กูได้หยุดงานอาทิตย์หนึ่ง อิจฉากูไหม"

"กูไม่อิจฉาคนพิการ"

"ไอ้ทัพ!"

"ไม่เสียงดังสิ เดี๋ยวแผลอักเสบ"

"ไม่เกี่ยวเลย"

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นจุดสูบ สายตาเคืองๆ จากคนข้างๆ หันมองจึงดึงบุหรี่ในปากส่งให้มัน

"ไม่เอา เมื่อไรจะเลิกสูบบุหรี่สักที ขอหลายทีแล้ว"

"บอกเลิกมันแล้ว แต่มันไม่ยอมเลิก มันดื้อ ด่ามันเลย" ผมพูดติดตลกแล้วยื่นซองบุหรี่ไปตรงหน้าภูผา

"ไอ้บ้า"

"ก็ถ้าสูบด้วยกันมึงจะไม่ต้องบ่นกูเลย"

"อยากตายเร็วก็ตายไปคนเดียว ทำไมต้องชวนกูตายด้วยตลอดเลย"

"ตายพร้อมกันนี่แหละดีแล้ว"

"ดีตรงไหน"

"ถ้ากูตายก่อนก็เป็นห่วงว่ามึงจะอยู่ยังไง ถ้ามึงตายก่อนกูก็อยู่ไม่ได้ ตายพร้อมกันทางออกที่ดี"

"ไม่พูดเรื่องตายดิ" ภูผาพูดเบาๆ พลางแสร้งมองไปทางอื่น ก่อนหันขวับมามองตาโตเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ พาผมตกใจไปด้วย

"อะไรวะ"

"กูลืมโทรกลับหาป้าอรเลย ป้าอรโทรมาพอดีตอนกูอยู่ในห้องฉุกเฉิน พี่ที่ไปด้วยเลยรับให้ แม่มึงคงคิดว่ากูอยู่โรงบาล"

"มึงรีบโทรกลับเลย ป่านนี้ขับรถมาหามึงที่นี่แล้ว"

"โทรศัพท์กูอยู่ไหนวะเนี่ย"

ภูผายังหามือถือไม่เจอ ผมเลยหยิบมือถือตัวเองมาโทรหาแม่ แทบจะไม่ต้องรอสายอีกฝ่ายก็กดรับทันที

"แม่ อยู่ไหน"

(แม่ออกจากบ้านมาแล้ว ภูผาเป็นยังไงบ้าง)

"ไม่ต้องมาแล้ว มันไม่ได้เป็นอะไรมาก"

(ขอคุยกับภูผาหน่อยสิ) ผมยื่นมือถือให้ภูผา ก่อนมันรับไปคุย ความเป็นห่วงของผมที่มีต่อภูผาอาจจะน้อยกว่าแม่ก็ได้ แต่ผมไม่เคยอิจฉาที่แม่รักและเอ็นดูภูผาขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ผมอิจฉาคือการที่ภูผาพูดเพราะกับแม่แบบนั้นมากกว่า ได้ยินแล้วหมั่นไส้แรงๆ

"ภูไม่เป็นไรครับป้าอร ไม่ได้นอนโรงบาลครับ กลับมาแล้ว ป้าอรไม่ต้องมาครับมันดึกแล้ว ธงทัพก็อยู่ ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ครับ ไว้ภูโทรหานะครับ"

ภูผากดวางสายจากแม่ แล้วหันมองผมที่จ้องหน้ามันอยู่

"อะไร"

"ทำไมพูดเพราะกับแม่ แต่ไม่พูดเพราะกับกู"

"ก็ป้าอรเป็นผู้ใหญ่"

"กูก็โตกว่ามึงนะ"

"แค่ปีเดียว"

"ปีเดียวก็เรียกว่าแก่กว่า"

"งั้นมึงก็พูดเพราะกับกูก่อนสิ"

"ก็กูเขิน ลองแล้วก็ไม่รอดไง"

"งั้นกูก็เหมือนกัน"

"แต่กูก็อยากให้มึงเรียกกูว่าพี่อยู่ดี อยากให้มึงแทนตัวเองว่าภูเหมือนเวลาคุยกับแม่ด้วย"

"ภูกับกูก็ต่างกันแค่นิดเดียว"

"คิดได้ไงไอ้ห่า!"

"แล้วถ้าเรียกแบบนั้นจะทำอะไรให้กู"

"กูยอมเลิกบุหรี่เลยอะ พูดเลย"

ภูผาเหลือบตาขึ้นมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย และที่ผมกล้าพูดแบบนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีทางยอมเรียกหรือแทนตัวเองอย่างที่ขอแน่นอน

"พี่ทัพ"

ผมเงยขวับขึ้นมองภูผาที่อยู่ๆ ก็เรียกผมแบบนั้น

"พี่ทัพ เลิกบุหรี่เถอะนะ"

"เฮ้ย อย่าทำกับกูแบบนี้ดิ"

"ภูไม่อยากให้พี่สูบบุหรี่แล้ว"

"ดูมัน"

"ภูไม่อยากให้พี่ตายเร็ว"

"ใจกู"

"พี่ทัพ"

"เออ!"

"ถ้าพี่ตายก่อน ภูอยู่ไม่ได้"

"..."

"ภูเห็นใครตายไปก่อนไม่ได้อีกแล้ว"

.

.

.

"โดยเฉพาะคนที่ภูรัก"

 


To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 19-02-2018 08:39:01
ธงทัพ! ธงทัพ! / เขย่าแขน  ตายไปแล้วยัง? 555555 แค่น้องบอกรักแบบอ้อมๆ แค่น้องเรียกพี่ทัพ แค่น้องแทนตัวว่าภู ภูกับกูก็ต่างกันนิดเดียว/จริง  ทำเป็นใจบางไปได้ ไม่สตรองเลยพี่ทัพ 55555

แล้วยังไง น้องภูรักพี่ทัพแบบไหนลูก? เอาให้เคลียร์นะพี่เขาคิดเยอะ หนักไปทางมโนโมเมด้วย 5555 ทำเป็นกระดี๊กระด๊าไปธงทัพ ข้าศึกประชิดเมืองแล้วรู้ตัวบ้างไหม?
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 19-02-2018 09:07:41
วางระเบิดอ้าาา งืออออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 19-02-2018 09:39:13
อย่าว่าแต่ธงทัพเลยค่ะที่ใจละลายเราก็ละลายไม่ต่างกันน่ารักโคตรๆอ่ะภูผาแต่ลึกๆเราแอบเศร้าอ่ะคนดีๆมักได้บทพระรอง :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 19-02-2018 11:22:37
 :กอด1: :กอด1: :impress2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 19-02-2018 13:42:41
พี่ธัพของน้องภู  ฮืออออใจบางไปแล้ว :katai1:

เคมีเข้ากันไงก็ต้องธงธัพภูผาค่ะ
จะปอนาวี ปอกับใครก็ได้ต้องไม่ใช่ปอธงทัพ

อ่านด้วยความตุ้มๆต่อมๆ อ่านด้วยความลุ้นขั้นสุด
กลัวใจภูผา กลัวปอจะรุกเข้าหาพี่ทัพ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-02-2018 18:17:36
ใจบางไปกับน้องภูเลยมั้ยคะพี่ทัพขาไม่ได้เรียกแค่ประโยคเดียวด้วยนะ เจอแอทแท็ครัวๆแบบนี้ตายไปเลยจ้าาาา

ปล.แอบสงสัยนิดๆคะว่าพี่ทัพนี่ไม่รู้เหรอคะว่าภูผากับนาวีเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แต่ไม่ว่ายังไงเราเชียร์ธงทัพภูผานะคะ งือออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2018 20:02:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 19-02-2018 21:51:53
ตาย ๆ ถ้าจะพี่อย่างนั้น ภูอย่างนี้ ธงทัพชักดิ้นไปต่อหน้าแล้วมั้งนี่
คิดถึงนาวี นาวีก็มา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Maccagadz ที่ 24-02-2018 22:55:28
แอคแทคนี้ โอ้ยยยยๆๆๆ
ตายสนิทแน่อิพี่ งานนี้คนบับเห็นบุหรี่เป็นผีอ่ะ 555555
น้องขอขนาดนี้แล้วนะะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 25-02-2018 02:01:00
งืออออ แพ้อ่ะแพ้ ใจบางไปหมดดด ธงทัพคงเลิกบุหรี่ได้ทันทีเลยอ่ะ55555 :-[
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.13] 19/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 25-02-2018 20:30:36
ยอมแลกไหมล่ะ ธงทัพ
กร้าวใจไปอีกค่ะ ภูผาขอให้พี่ทัพเลิกบุหรี่นะ
แต่ใจพี่นี่จะวายให้ได้ 5555

ทำไมโลกกลมจังเลยนะ วนมาเจอกันจนได้

ภูผายังฝังใจอยู่ไหมนะ อยากรู้จัง
แต่เชื่อว่า ถึงยังมีเยื่อใย แต่ก็ไม่อยากกลับไป

ธงทัพเอ้ยย แค่น้องจริงหรอ ใจอะไปไกลมากแล้วนะ
แล้วขยันหยอดน้องเหลือเกิน
ดีที่ปักใจกับน้องมาก และซื่อตรงมาก เหล้าไม่ดื่ม เป็ดมีคนเดียว

นาวีคงไม่ลืมเหมือนกัน อย่าบอกนะว่ารอยสักเป็นภูเขา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 27/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 28-02-2018 00:55:07
Episode 14

ผมจะยืนอยู่ข้างๆ คุณ 
แม้จะแทนที่เขาไม่ได้


 

วันนี้ผมหาเรื่องโดดงานโดยการเอาภูผามาเป็นข้ออ้าง ทั้งๆ ที่ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ถ้าทิ้งให้มันอยู่คนเดียวตอนที่แขนยังเดี้ยงก็รู้สึกผิดนิดๆ เพราะความเป็นห่วงผมเลยเกเรทิ้งงานแล้วอยู่ที่นี่กับภูผาก่อน วันนี้จึงกลายเป็นวันหยุดพักผ่อนสบายๆ ของเราสองคน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทะเลาะหรือเถียงอะไรกัน ความเงียบสงบทำงานได้นานที่สุดตอนที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือ ส่วนภูผานั่งดูอนิเมะ คล้ายกำลังจมอยู่ในโลกของตัวเองจนลืมสนใจคนข้างๆ ไปพักหนึ่ง เสียงที่ดังที่สุดตอนนี้น่าจะเป็นเสียงพลิกกระดาษของผมที่เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงใกล้ตอนจบ หน้ากระดาษก็เปลี่ยนเร็วขึ้นไปตามความเข้มข้นของเนื้อหา หยุดไม่ได้กระทั่งอ่านมาถึงบทที่ต้องกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้   

"เชี่ย!"

ภูผาที่ดูเหมือนจะตกใจเสียงผมดึงหูฟังออกจากหูแล้วหันมามองตาโตๆ

"อะไร"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพลิกหน้าหนังสือที่อ่านค้างให้ภูผาดูพลางอธิบาย

"ตัวละครที่กูคิดว่าเป็นพระเอกมาทั้งเรื่องแม่งเสือกตายเฉยเลย"

"แล้วไง"

"กูช็อกเลยนะเนี่ย คนเขียนมันคิดอะไรอยู่วะ มึงสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาแล้วมึงก็ฆ่ามันเองกับมือเนี่ยนะ จิตใจทำด้วยอะไร"

"ก็แค่นิยายไหม"

"โหดร้ายเกินไป แล้วกูจะอ่านต่อได้ไงเนี่ย" ผมพลิกดูจำนวนหน้าที่ยังเหลืออยู่นั่นมากพอสมควร มากพอให้เรื่องดำเนินต่อโดยไม่มีตัวละครตัวนั้น แม้จะกำลังสนุกแค่ไหนแต่ก็ตัดสินใจไม่อ่านต่อแล้วพับหนังสือทิ้งลงข้างๆ ตัว

"มึงไม่อยากรู้เหรอว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง"

"ไม่เอา โหดร้าย ทำใจไม่ได้"

"ตอนจบมันอาจจะฟื้นคืนชีพก็ได้นะ"

"กลายเป็นไททันเหรอ"

"ใช่ เพราะโดนฉีดเซรุ่มตั้งแต่ต้นเรื่องแต่ไม่รู้ตัวไง"

กำลังพูดถึงอนิเมะเรื่องที่ภูผากำลังดูอยู่ ตัวละครหลักของเรื่องโดนสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เรียกว่าไททันกินเข้าไป จึงคิดว่าตายไปแล้ว แต่สุดท้ายฟื้นคืนชีพกลายเป็นไททันเหมือนกัน ผมพูดไปเพราะคิดว่าจะกวนตีนภูผาเล่นๆ แต่ภูผาดันสวนกลับด้วยความกวนตีนกว่า ไม่บ่อยที่ภูผาจะไร้สาระ แล้วความกวนตีนตาใสก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา คนเรามันจะเล่นมุกทั้งที่หน้านิ่งแบบนั้นได้ด้วยเหรอวะ 

"ยิ้มอะไร"

"เปล่า"

"เกลียดการยิ้มมุมปากของมึงมาตลอด"

"เกลียดที่มึงชอบทำน่ารักไม่รู้ตัวเหมือนกันแหละ"

ภูผาเชิดปากทำหน้าเป็นเป็ดตอนผมพูดแบบนั้น ก่อนผมจะผลักหัวมันเบาๆ แล้วชี้ไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊กเป็นเชิงให้หันไปดูต่อ ส่วนตัวเองก็ขยับไปนอนข้างๆ

ผมปล่อยให้ภูผานั่งดูการ์ตูนตอนแล้วตอนเล่าโดยที่ผมนอนอยู่เฉยๆ ว่าจะไม่กวนแล้วแต่เสือกหิวข้าว แล้วคนข้างๆ ก็ดูไม่มีทีท่าจะขยับสายตาออกจากหน้าจอเลย ตอนที่ผมสะกิดเรียกก็หันมามองแล้วบอกว่าเดี๋ยว เป็นแบบนั้นอยู่สองสามรอบจนผมเริ่มหงุดหงิด ฟิลลิ่งเด็กติดการ์ตูนแล้วไม่สนพ่อเรียกกินข้าว อยากโดนหวายลงหลังหรือไงลูก

"ภูผา"

"แป๊บหนึ่ง"

"งั้นไม่รอแล้วนะ"

"รอก่อน อีกตอนเดียว"

ผมส่งเสียงถอนหายใจแรงๆ ก่อนขยับเข้าไปใกล้ภูผา โอบตัวจากด้านหลังไปกดหยุดวีดีโอ คนที่อยู่ในวงแขนหันมาหาก่อนชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อพบว่าปลายจมูกชนเกือบชนเข้ากับหน้าผมที่อยู่ใกล้นิดเดียว ผมยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มแล้วดึงหูฟังข้างหนึ่งออกจากหูมัน

"ภูผา"

"..."

"พี่หิวข้าว"

ภูผาเหลือบตาขึ้นมอง นิ่งไปชั่ววินาทีก่อนชิงหูฟังกลับไปยัดใส่หูตัวเองแล้วสวนออกมาเบาๆ

"พี่ทัพ"

"..."

"ภูขออีกตอน"

เออ กูแพ้ แบบราบคาบ

ผมทิ้งตัวเองลงนอน ทำอะไรไม่ได้นอกจากโขกหัวตัวเองกับหมอน ภูผากลับไปดูการ์ตูนต่อ คงกำลังสนุกถึงขนาดก้มลงมองหน้าจอใกล้ๆ จนแทบจะมุดเข้าไป ผมเหลือบมองตาขวาง แล้วยกเท้าถีบโน้ตบุ๊กให้ถอยห่างจากหน้ามัน อีกคนก็หันขวับมามองส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ 

"หรือจะให้กูถีบหน้ามึง"

"นิสัยเสีย"

"ก็ดูไกลๆ หน่อย สายตาเสีย"

ทำหน้าบูดแล้วหันกลับไปดูการ์ตูนต่อ แต่ก็ยอมถอยหน้าออกห่างจากหน้าจอนิดหนึ่ง มีการหันหลังมองผมเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าระยะห่างเท่านั้นจะเพียงพอที่จะไม่ให้โดนดุแล้ว ผมหลุดยิ้มกับท่าทางคล้ายกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่ภูผาเองก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหน้าตาและนิสัยของคนอายุยี่สิบห้าไม่ได้ต่างจากตอนสิบแปดเลย ลูกเป็ดก็ยังคงเป็นลูกเป็ด

คำว่าตอนเดียวของภูผา น่าจะหมายถึงซีซั่นเดียวมากกว่า เพราะไม่มีแนวโน้มว่าตอนนั้นจะจบเอาง่ายๆ ผมเลยคิดว่าจะไม่รอแล้ว ไม่ได้พูดอะไรแล้วลุกออกจากเตียง ตั้งใจจะออกไปซื้อข้าวเข้ามาให้แต่อีกคนดันร้องเรียกแล้วดึงชายเสื้อผมเอาไว้

"รอก่อน"

"ไม่รอแล้ว"

ภูผานิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นหน้าตาเรียบๆ ของผมคงคิดว่ากำลังโดนโกรธ ก็เลยรีบดึงหูฟังออกจากหู กดหยุดวีดีโอแล้วกระโดดลงจากเตียงตามผมมา เมื่อเดินออกจากห้องผมก็ยังคงไม่พูดอะไร ความเงียบทำให้รู้ตัวว่าผิดปกติภูผาเลยก้าวเท้าเข้ามาเดินคู่แล้วถามออกมาโดยไม่มองหน้า

"โกรธหรือเปล่า"

"โกรธแล้ว หิวด้วย"

"ภูขอโทษ"

"อย่าคิดว่าพูดจาแบบนี้แล้วจะให้อภัยได้ทุกเรื่องนะ"

"ก็ขอโทษ"

"วันหลังไม่ต้องดูแล้ว"

"แต่มันยังไม่จบ"

"ตอนจบซีซั่นไรเนอร์มันคือไททันเกราะ เบทรูตคือไททันหกสิบเมตร แล้วตอนจบเอลวิลก็ตาย อาร์มินก็ตาย ตายห่ากันหมด"

ภูผาเบิกตาขึ้นพลางเงยหน้ามอง ดูช็อกไปนิดหนึ่งตอนที่ผมสปอยด์ความเป็นไปของการ์ตูนเรื่องนั้นแหลกลาญเพราะอ่านฉบับมังงะมาแล้ว เมื่อตั้งสติได้นิดหนึ่งก็หันมาถามถึงตัวละครที่ตัวเองชอบ

"อาร์มินก็ตายเหรอ"

"เออตาย แต่สุดท้ายกลายเป็นไททัน"

"ฮะ! อาร์มินก็เป็นไททันเหรอ!"

"ใช่"

"โกหก"

"ไม่เชื่อไปอ่านหนังสือไป ที่ห้องกูก็มีไง"

ใบหน้าหดหู่ลงไปเลยตอนที่พบว่าผมพูดความจริง คนที่ปกติเอาแต่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนมีปัญหากับกล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับแสดงออกอย่างชัดเจนตอนที่พูดถึงการ์ตูน ภูผาคงเข้าใจอารมณ์ผมตอนที่อ่านนิยายแล้วตัวละครตายตอนจบนั่นแหละ

ภูผาชวนผมมาที่ห้างเพราะจะเอามือถือมาเปลี่ยนฟิล์มด้วยหลังจากแตกไปพร้อมกับการตกบันไดเมื่อวาน การเดินทางโดยรถไฟฟ้าจึงสะดวกที่สุด บนรถไฟฟ้าที่คนไม่ได้แน่นเท่าตอนเช้าแต่ก็ไม่มีที่ให้นั่ง ภูผาใช้มือข้างที่ไม่เจ็บจับราวจับเอาไว้หลวมๆ ขณะเมื่อรถหยุดร่างกายก็เอนไหวไปจนเหมือนจะล้ม ภูผาไม่ใช่คนตัวเล็กแต่ดูไร้แรงแม้แต่จะยืนอยู่นิ่งๆ ยิ่งใบหน้าเรียบเฉยเหม่อมองไร้จุดหมายยิ่งคล้ายว่าไม่ได้เอาวิญญาณตามมาด้วย ผมขยับเข้าไปยืนใกล้ๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งโอบเอวอีกคนเอาไว้เพื่อช่วยเป็นหลักยึดให้ยืนอยู่เฉยๆ ก่อนจะล้มลงไปก่อน ภูผาก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากก้มมองมือของผม แล้วก็เหลือบตาขึ้นมองไปเบื้องหน้าอย่างเคย ผมไม่ได้สนแม้ถูกมองจากคนรอบข้างๆ แล้วจับภูผาเอาไว้อย่างนั้น การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ไม่ส่งผลให้ภูผารู้สึกรู้สาอะไร แต่ตัวผมเองกลับต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง รวบริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม ประสบความสำเร็จในการเนียนโอบเอว ถือเป็นกำไรชีวิตของวันนี้

เรามาแวะที่ร้านโทรศัพท์มือถือก่อนหาอะไรกิน ระหว่างที่รอภูผาเปลี่ยนฟิล์มโทรศัพท์ผมก็หันไปเห็นเคสโทรศัพท์สีเหลืองรูปเป็ดแบบมีปากสามมิติโผล่มาด้วย

"เอ๊ย น่ารัก!"

"ทำไมต้องทำเสียงสองด้วย"

ผมหันไปเขกหัวภูผาทีหนึ่งตอนที่มันแซว แปลกเหรอวะที่คนๆ หนึ่งจะสะดีดสะดิ้งตอนเจออะไรที่ชอบ ผมถามหาถึงรุ่นที่ผมใช้ ก่อนพนักงานจะหยิบให้แล้วเปลี่ยนเคสให้เรียบร้อย จึงรีบพลิกมันไปโชว์ภูผา

"น่ารักไหม"

"เฉยๆ"

"ปากเหมือนมึงเลย"

"ไม่เหมือน!"

"ก๊าบๆ" ผมเอาเคสโทรศัพท์ไปเทียบใกล้ๆ หน้าแต่ก็ถูกปัดออกมาอย่างไม่พอใจ ภูผาเป็นพวกไม่ยอมรับความจริง หน้าเหมือนเป็ดก็ต้องยอมรับสิว่าเหมือน ยิ่งตอนทำปากเชิดๆ เวลาโกรธหรืองอนอะไรสักอย่างก็ลูกเป็ดดีๆ นี่เอง ผมพลิกหลังเคสขึ้นมาดูแล้วยกมือบีบปากเป็ดนั่นเบาๆ

"น้อง น้องน่ารัก"

"เกลียดเสียงอะ"

"ก็น้องน่ารัก"

"ไม่ต้องคลั่งขนาดนั้น รู้แล้วว่าชอบ"

ผมหยุดอุ๋งอิ๋งกับเคสเป็ดแล้วเงยหน้ามองภูผาก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ

"รู้ใช่ไหมว่าชอบ"

"รู้"

"เออ รู้แล้วก็เหยียบไว้"

 

หลังจากเปลี่ยนฟิล์มมือถือเสร็จ ก็ได้เวลาหาอะไรกิน เอาจริงกูเกือบลืมว่าหิวอะ ไม่รู้ว่าภูผาจะมีของที่อยากกินอยู่ในใจไหมตอนที่เดินมองร้านนั้นร้านนี้ แต่ท้ายที่สุดก็หันมาถามผม

"จะกินอะไร"

"ชาบูชิ"

ภูผาถอนหายใจไหล่ตกตอนผมตอบอาหารที่อยากกิน ทั้งชีวิตก็ชอบกินอะไรอยู่ไม่มากแล้วชาบูชิมันก็เป็นสิ่งแรกที่นึกถึงทุกทีเลย ผมเหลือบตาไปมองพลางเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง

"หรือจะไม่กิน"

"แล้วขัดใจมึงได้หรือไง เดี๋ยวก็มาดุกูอีก"

"เอ้า! ถ้าเบื่อก็ไม่ต้องกินไง"

"ไม่ได้บอกว่าไม่กิน"

"กูยังไม่ได้ดุมึงเลยนะ กูไม่ได้บังคับมึงทุกเรื่องขนาดนั้น มึงจะขัดกูก็ได้นี่"

ภูผาเงียบไปตอนที่แสร้งหันมองทางอื่น

"ที่จริงมึงก็ควรขัดใจกู กูจะได้ไม่คิดไปเองว่ามึงยอมกูทุกเรื่องไง"

"ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมไม่ได้" พูดจบแค่นั้นก็เดินเข้าร้านไปก่อน ทิ้งผมให้ยืนงงๆ ไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงกับประโยคนั้นดี บางครั้งก็คล้ายว่าจะยอมกันง่ายๆ บางทีก็หัวรั้นดื้อตาใสควบคุมไม่ได้ เพราะผมไม่เคยเดาความรู้สึกจริงๆ ของภูผาผ่านใบหน้าและท่าทางเรียบเฉยนั่นได้เลย ผมเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ภูผาคิดยังไงกับผม เป็นความสัมพันธ์งุนงงแต่ไม่ได้เว้นไว้ซึ่งระยะห่างทั้งทางกายและใจ และยิ่งภูผาไม่เคยขัดใจอะไรผมเลย ผมจึงคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในฐานะคนที่ยืนอยู่เคียงข้างภูผา

"พี่ทัพ"

"ฮึ?"

"เอาให้ด้วย"

ผมพยักหน้ารับตอนที่ภูผาสั่งให้หยิบอาหารให้ พอจะใช้กูก็ทำเป็นเรียกกูว่าพี่ ภูผาครองอาวุธลับเอาไว้ในมือเพื่อใช้เป็นไม้ตายทุกทีที่จะสั่งให้ผมทำอะไรด้วยการเรียกพี่ ผมยังไม่ชินหัวใจเลยอ่อนยวบอย่างยอมแพ้ ลุกไปตักอาหารให้ภูผาก่อน ตลอดระยะเวลาหนึ่งที่อยู่ด้วยกันมาทำให้ผมรู้ดีว่าภูผาชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เลยมั่นใจว่าอาหารที่หยิบไปจะต้องถูกใจคนกินอย่างแน่นอน พอเดินเอากลับไปให้ก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงออกถึงความพอใจ เพราะอีกฝ่ายเหลือมือไว้ใช้งานแค่ข้างเดียว เลยจัดแจงจานอาหารให้อยู่ในตำแหน่งที่พอดีสำหรับความสะดวกในการใช้มือข้างเดียวกินมัน ระหว่างนั้นภูผาก็ชวนผมคุยสัพเพเหระไประหว่างมื้อ

"แล้วมึงไม่ไปทำงานแบบนี้ ไม่เป็นอะไรเหรอ"

"ไม่รู้ดิ ไม่เห็นมีใครโทรตามเลย"

"จริงเหรอ"

"เพราะกูปิดเครื่องหนี"

"เฮ้ย เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก"

"ถ้ากูตกงาน เลี้ยงกูได้ป่ะล่ะ"

ภูผาคลายหัวคิ้วที่เมื่อกี้ขมวดเข้าหากันแล้วสวนกลับออกมาเบาๆ

"มันก็ได้อยู่หรอก"

ผมหลุดยิ้มออกมาตอนมันพูดแบบนั้น เพราะผมเคยลาออกจากที่ทำงานเก่ามาแล้ว ตอนที่ว่างงานอยู่ ภูผาดูแลผมดีกว่าพ่อกับแม่อีก ตอนนั้นเป็นคนตกงานที่แฮปปี้ แต่อยู่ดีๆ ก็ไล่ผมให้ไสหัวออกมาหางานกระทั่งได้มาทำงานที่ใหม่นี่แหละ

"แต่ลุงวุธกับป้าอรรวยกว่า ให้พ่อแม่มึงเลี้ยงเถอะ"

"อ้าว ทำไมลอยแพกูแบบนี้วะ"

"รีบกลับไปทำงานเถอะ กูไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ไม่อยากให้มึงต้องมาเสียงานเพราะกู ถ้าโดนไล่ออกทำไง"

"กูไม่อยากทำงาน อยากอยู่กับมึงมากกว่า"

"แค่เสาร์อาทิตย์ก็พอแล้ว"

"ทำไม ไม่ต้องการกูแล้ว?"

"ไม่ใช่..."

ภูผาเว้นคำพูด ถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้าพูดต่อ

"...แต่กูรู้สึกเหมือนตัวเองติดมึงไปแล้ว"

"แล้วไม่ดียังไง"

"ไม่ดีกับกูแน่ๆ"

"..."

"กูไม่อยากเอาตัวเองไปติดกับใครแล้ว เกิดวันหนึ่งมึงไม่อยู่ กูก็อยู่ไม่ได้อีก ไม่ชอบอารมณ์แบบนั้นเลย เวลาที่ใครสักคนหายไปจากชีวิต มันเจ็บเหมือนจะตายเลยนะ"

"กูไม่ไปไหนหรอก จะจับมือมึงไว้แน่นๆ เลย"

"บางคนก็เคยพูดแบบนั้น" ประโยคของภูผาเบาเสียจนผมได้ยินไม่ครบทุกคำ แต่ก็ไม่ได้ติดใจจะถามซ้ำหรืออะไร และยังคงเดาอะไรไม่ได้จากใบหน้าของคนตรงข้าม

"กูจะอยู่จนกว่ามึงจะไม่ต้องการนั่นแหละ"

"ไม่พูดแล้ว กินเลย" ภูผาตัดบทก่อนยัดซูชิคำหนึ่งใส่ปากผม หลุดยิ้มเพราะมันป้อนก่อนมุมปากหุบลง นิ่งไปครู่หนึ่ง ความเจ็บแสบพุ่งจากจมูกสู่สมองทั้งสองซีก ก่อนเค้นออกมาเป็นน้ำตาที่เอ่อล้นพร้อมจะไหล 

"ธงทัพ เป็นอะไร ร้องไห้เหรอ"

ผมสูดลมหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองมันด้วยน้ำตาที่คลออยู่ ขบกรามแน่นเค้นคำพูดคำหนึ่งออกไปผ่านไรฟัน

"วาซาบิ"

สิ้นคำผมภูผาก็หัวเราะลั่นร้าน เสียงหัวเราะดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ความสะใจดังผ่านเสียงหัวเราะแบบหยุดไม่ได้แม้จะพยายามรวบริมฝีปากหุบแต่ก็หลุดหัวเราะออกมาอีกที ผมดึงทิชชูเช็ดน้ำตา ก่อนโยนทิ้งเดือดๆ

"สะใจมากไหมแกล้งพี่เนี่ย"

"พี่ทัพโง่"

"เดี๋ยวโดน"

ผมง้างมือทำท่าจะตีหัว ภูผาก็รีบยกสองมือขึ้นบังแล้วย่นคอหดหนี เห็นอย่างนั้นเลยดีดหน้าผากไปเบาๆ แทนที่จะทุบ  ผมไม่เคยฉลาดพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของภูผา หรือกระทั่งความรู้สึกของตัวเองก็ตามที ผมรู้ดีว่าเราโลภมากกับความรักไม่ได้ ยิ่งเข้าใกล้อาจยิ่งห่างออกไป ยิ่งให้มากยิ่งอาจไม่ต้องการ และแม้จะเป็นคนที่อยู่ข้างๆ เป็นคนที่ภูผาเอาชีวิตมาผูกติดกัน แต่ถ้าถามว่าภูผาได้รักผมอย่างที่ผมรักมันไหม
 

อันนี้ไม่แน่ใจจริงๆ   

 

 

...

 

วันนี้ผมออกจากห้องภูผาแต่เช้าเพื่อไปทำงาน หลังจากหายหัวไปวันหนึ่งแต่ไม่โดนด่าอะไรเพราะมีเหตุผลอันสมควร แต่งานที่หยุดชะงักเลยทำให้กำหนดการส่งช้าออกไป งานผมรับปากกับพี่แต้มว่าจะส่งดราฟท์เมื่อวานก็ไม่รู้ไปกองอยู่ตรงไหน

 "พี่ทัพ"

ผมหันหลังมองเสียงเรียกจากข้างหลังก่อนเห็นว่าเป็นไอ้ปอที่ใบหน้าชุ่มน้ำ ในมือถือแปรงสีฟันกับยาสีฟันหลอดเล็ก มันยกแขนเสื้อข้างหนึ่งเช็ดน้ำที่หน้าแล้วหันมาหาผมอีกที

"พี่ทัพมาแล้ว"

"เออ มาแล้ว นี่มึงนอนที่นี่เหรอ"

"ยังไม่ได้นอนเลย" มันว่าแล้วเสียบแปรงสีฟันลงในกล่องอุปกรณ์เขียนงาน ก่อนหยิบกระดาษที่ร่างแบบเรียบร้อยแล้วส่งให้ผมดู

"ผมทำงานต่อให้ ไม่เนี๊ยบเท่าพี่แต่ก็เสร็จแล้ว พี่ลองดูว่าโอเคไหม"

ผมรับแบบนั้นมาดู กวาดสายตาไปทั่วแผ่นแล้วหันมองหน้าไอ้ปอที่ยิ้มกว้างๆ ให้ แต่ก็ค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อเห็นว่าผมกำลังขมวดคิ้วมองหน้ามันอยู่ คงคิดว่าผมไม่พอใจ ผมไม่ได้ไม่พอใจที่มันเอางานไปทำต่อโดยไม่บอก แต่ลำพังงานมันเองก็เยอะมากพออยู่แล้ว แต่ต้องมาเก็บงานให้ผมจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนด้วยเหตุผลที่ผมโดดงานไปก็เลยไม่ทันส่ง จะเรียกว่ารู้สึกผิดก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่ชอบที่คนอื่นต้องมาเหนื่อยเพราะผม

"ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน แต่พี่แต้มบอกว่างานมันเร่ง แถมพี่ทัพบอกว่าถ้าส่งไม่ทันจะยอมให้พี่แต้มไล่ออกอีก ผมก็เลย..."

"มึงกินข้าวหรือยัง"

"ครับ?"

"ได้กินข้าวบ้างหรือยัง"

"ยังเลยครับ"

"ไปกินข้าว" ผมทิ้งกระดาษร่างแบบนั่นลงบนโต๊ะแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น หันไปมองไอ้ปอที่ยังทำหน้าเด๋อด๋า ก่อนผมพยักหน้าเรียกมันจึงรีบกุลีกุจอลุกตามมา แถวๆ ที่ทำงานไม่ค่อยมีร้านข้าวที่เปิดในตอนเช้า ผมเบื่อหมูปิ้งพี่นกแล้วก็เลยเดินนำเข้ามาในเซเว่น

"หยิบเลย กูเลี้ยง"

อีกคนพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินไปหยิบแลตตาซอยกล่องใหญ่กับขนมปังไส้กรอกอันหนึ่ง ก่อนเดินกลับมาหาผม

"ไปเอาอีก"

"ฮะ?"

"แค่นี้มันพอหรือไง ไปเอาอีก"

"แค่นี้ก็อิ่มแล้วครับ"

"ไปเอามาอีก"

"ครับๆ" ไอ้ปอรับคำตอนที่ผมพูดซ้ำชัดๆ มันก้าวเท้าเร็วๆ ไปหยุดที่ชั้นอาหาร กวาดสายตามองไปทั่วก่อนหยิบมินิคอกเทลมาถุงหนึ่ง โบโลน่าอีกถุงหนึ่ง ยังมีเบคอนรมควัน เบอร์เกอร์หมู ขนมจีบกุ้ง จนเต็มมือมันจึงหันมามองผม มีคำถามว่า พอหรือยัง ผ่านสายตาคู่นั้น ผมเลยยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้าเบาๆ ถ้ามันอ่านรอยยิ้มผมได้ มันจะได้ยินคำว่า มากเกินไปแล้วไอ้สัด

กระทั่งพนักงานอุ่นอาหารให้เสร็จและผมจ่ายเงินเรียบร้อย มันก็หอบเอาของกินที่ซื้อมานั่งกินที่โต๊ะใต้ตึก แบ่งขนมปังไส้กรอกโง่ๆ อันหนึ่งมาให้ผมกินกับกาแฟที่เพิ่งเดินไปซื้อมา ส่วนตัวมันซัดที่เหลืออย่างหิวโหยเหมือนไม่ได้กินข้าวมาสามวัน ยังเคี้ยวไม่หมดปากก็หันมาคุยกับผม

"เออพี่ทัพ แล้วพี่ภูเป็นยังไงบ้างครับ"

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

ปอพยักหน้ารับแล้วยัดโบโลน่าเข้าปากไปอีกคำ ผมมองตามเพราะดูเหมือนมันจะอร่อยเลยอะ

"พี่ทัพจะกินเหรอ"

"ขอคำดิ"

มันพยักหน้าแล้วส่งทั้งถุงให้ ขณะที่ผมอ้าปากรอให้มันป้อนแล้ว เห็นอย่างนั้นมันเลยดึงมือกลับไปแล้วจิ้มโบโลน่าป้อนให้ถึงปาก ให้ผมคำหนึ่ง ให้ตัวเองอีกคำหนึ่ง

"พี่ทัพ ผมลืมใส่ซอส"

"ไม่ทันละ" ผมพูดขณะที่เคี้ยวหมดปากไปแล้ว ส่วนมันยังยัดเต็มอยู่ที่แก้มข้างหนึ่ง ด้วยความพิเรนทร์ของเด็กบ้านี่มันจึงแกะซองซอสแล้วบีบตามเข้าไปในปาก เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วไม่คิดเชื่อว่านี่คือคนอายุยี่สิบสอง ไม่ใช่ว่าผมแก่ไป แต่คนรอบข้างชอบทำตัวเป็นเด็กในสายตาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของมันก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาซะเฉยๆ แล้วก็เผลอดุออกไปเบาๆ ตามนิสัย 

"เดี๋ยวก็เลอะ ทำดีๆ"

ปอพยักหน้ารับแต่ไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงมือถือของมันที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น มันหันมองแต่ทำเพิกเฉยจนผมต้องเอ่ยปากถาม

"ไม่รับล่ะ"

"ไม่อยากรับเลยครับ"

"ใครวะ"

"เพื่อนอะครับ จะให้ช่วยออกแบบภายในบ้านให้ ผมไม่ได้จบอินทีเรียซะหน่อย แถมช่วงนี้งานก็เยอะอยู่ด้วย"

"ก็บอกไปดิว่าไม่ทำ คนก็มีงานมีงานป่ะ แล้วให้ทำนี่คือให้ทำฟรีๆ ด้วยใช่ไหม"

"ครับ โทรมาทุกวันเลย เหมือนจะบังคับให้ทำให้ได้"

"คนเห็นแก่ตัวนี่มันยังตายไม่หมดอีกเหรอวะ"

"ยิ่งเป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เดี๋ยวก็หาว่าเรื่องแค่นี้ช่วยไม่ได้"

"มึงก็ปฏิเสธไปเลย ไม่ใช่หน้าที่มึง งานก็เยอะพอแล้วอย่าหาเรื่อง ไม่ต้องสนหรอกเพื่อนไม่เพื่อน ตอนเรียนไม่ได้มาช่วยกูจ่ายค่าเทอมซะหน่อย ทีอย่างนี้จะมาบอกให้ช่วยฟรีๆ เพ้อเจ้อ"

ผมร่ายยาวแต่ไม่ได้ใส่อารมณ์นะ แค่พูดไปตามเหตุผลแต่กลับทำให้อีกฝ่ายเงียบ กระพริบตาปริบๆ นิ่งไปจนไม่ยอมเคี้ยวอาหารที่คาอยู่ในปากด้วยซ้ำ

"ดูทำหน้า กูไม่ได้ดุมึง แค่พูดเฉยๆ"

"ไม่ได้ว่าพี่ดุ แต่ชอบที่พี่พูด อยากเอาคำพูดพี่ไปยัดใส่หน้าเพื่อนเลย"

ผมได้แต่ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ

"พี่ทัพปากหมาเนอะ"

"อ้าว!"

"แต่ว่าไอดอลเลย"

"ไอดอลห่าอะไรล่ะ อะไรดีๆ ก็จำ อะไรไม่ดีก็ไม่ต้องทำตาม"

"ครับๆ" ปอตอบรับก่อนจิ้มไส้กรอกสามสี่อันยัดใส่ปากไปทีเดียว แล้วฉีกซองซอสกรอกปากตามไป ด้วยความทะลึ่งทั้งปากทั้งมือก็เลอะจนได้

"ไงล่ะ กูบอกแล้วว่าเลอะ"

มันหัวเราะแห้งๆ กำลังจะยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากแต่ผมยั้งเอาไว้ก่อน แล้วใช้มือตัวเองเช็ดซอสที่ริมฝีปากของมันเบาๆ อีกคนโยกหัวหนีมือผมไปแล้วก้มหน้างุดก่อนพูดออกมาเบาๆ

"พี่ทัพอย่าทำแบบนี้สิครับ"

"ทำไมวะ"

 

"เดี๋ยวผมก็ลำบากไปหลงรักพี่อีก"

 

...

 

 

วันนี้ผมขอเลิกงานเร็วเพราะจะกลับไปหาภูผา แต่ก็ไม่วายต้องหอบเอางานกลับไปทำด้วยเพราะกลัวจะไม่ทันส่ง จากที่ทำงานมาถึงที่พักของภูผาก็ใช้เวลามากพอสมควรในตอนเย็นๆ ผมมีกุญแจห้องอยู่แล้วเลยไม่ได้เคาะเรียก แต่พอเปิดเข้าไปก็ต้องตกใจจนแทบสะดุดพรมเช็ดเท้าเมื่อเห็นคนที่อยู่ในนั้น

"แม่"

แม่ของผมนั่งยิ้มกว้างอยู่ที่โซฟา ข้างๆ กันคือภูผาลูกรักของเขา ผมเดินเข้าไปวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ โซฟาไม่มีที่ให้นั่งก็เลยหย่อนตัวเองลงกับพื้นข้างๆ แม่ ผมอะลูกแม่ สาบานเลย คลานออกมาจากพุงของแม่แน่ๆ แต่ตอนนี้สถานะกูประหนึ่งลูกคนใช้มากเลย พับเพียบหมอบกราบเจ้าคุณแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วเอ่ยทักทาย

"แม่มาได้ไงเนี่ย"

"เป็นห่วงภูผา เลยมาหา"

"ไม่ได้ตั้งใจมาหาธงทัพ"

"ไม่จ้ะ"

"แม่!"

"โอ๋ ล้อเล่น นี่แม่ซื้อของมาฝากด้วยนะ" ผมหันไปสนใจของฝากจากแม่ ทั้งของกินที่ขนมาจากชลบุรี ซึ่งเป็นของโปรดภูผาซะเกือบครึ่งแล้วก็ถูกจับจองไปแล้วเรียบร้อย ยังมีบรรดาอาหารเสริมและวิตามินที่ขยันซื้อมาให้เราบำรุงร่างกาย และอีกอย่างที่แม่มักจะซื้อติดมือมาตลอดก็คือเสื้อผ้า ตั้งแต่เด็กจนโตแม่จะเป็นคนซื้อเสื้อผ้าให้ผม กระทั่งมีภูผามาอยู่ด้วย งานถนัดของแม่คือการเสื้อซื้อผ้าที่คล้ายหรือเหมือนกันไปเลยเพื่อหวังจะให้เราใส่คู่กันเป็นพี่น้องฝาแฝดอะไรประมาณนั้น แต่ผมกับภูผาไม่เคยหยิบมาใส่พร้อมกันเพราะมันจะกลายเป็นเสื้อคู่รักทันที นึกภาพตามว่าใส่เสื้อคู่ออกไปเดินด้วยกันก็คงจะเคอะเขินอยู่ไม่น้อย ผมหยิบเสื้อสองตัวที่เป็นลายเดียวกันออกมาแต่ตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวสีขาว   

"สีดำของทัพ สีขาวของภูผา" แม่บอกแต่ภูผาแย้งขึ้นมาก่อน

"ภูชอบสีดำ"

"กูก็ชอบสีดำ ของมึงอะสีขาว"

"จะเอาสีดำ"

"ไม่ให้"

ภูผาเงียบไปตอนผมดึงตัวสีดำเอาไว้กับตัว ใบหน้านิ่งเริ่มเคลื่อนไหว ท่าไม้ตายกำลังจะถูกใช้และผมต้องตั้งการ์ดป้องกันก่อน

"อย่าเรียกกูว่าพี่"

"พี่ทัพ"

"..."

"ภูขอสีดำ"

"ชิ!" ผมส่งเสียงไม่พอใจก่อนโยนเสื้อสีดำในมือใส่หน้ามันอย่างยอมแพ้ อกแตกตายอนาถกลางสนามรบแค่คำว่าพี่ทัพและการเรียกตัวเองว่าภู ใจที่เคยแข็งแกร่งแตกหักง่ายยิ่งกว่าอะไรดี ความเขินยิ่งตีขึ้นมาฟ้องหน้าด้วยการแซวของแม่

"ใจอ่อนง่ายนะเรา"

"ไม่ต้องแซวเลยแม่ คราวหลังซื้อเหมือนกันสิ จะได้ไม่ต้องแย่งกัน"

"จ้าๆ"

ผมปล่อยให้ภูผาคุยกับแม่ ส่วนตัวเองนั่งทำงานที่แบกกลับมาด้วย กระทั่งเสร็จจึงเดินเข้าไปในห้องนอน กำลังจะส่งเสียงดังแต่เบรกไว้ได้ทันตอนที่แม่ยกนิ้วชี้ขึ้นทาบปากเป็นสัญลักษณ์ให้ผมเงียบเพราะภูผาหลับไปแล้ว

"แม่จะนอนที่นี่หรือเปล่า"

"ใช่ จะนอนกับภูผา"

"แล้วผมอะ"

"โซฟาหรือพื้นก็เลือกเอา"

"แม่ นี่ลูก!"

"เบาๆ" แม่ยกมือตีแขนตอนที่ผมกระโดดลงไปนอนบนเตียง คิดว่าจะทำให้ภูผาตื่นแต่อีกคนก็ยังนอนเงียบ คงเพราะยาที่ทำให้ง่วงนอน พักนี้ก็เลยนอนเร็วเป็นเวลาตลอด

ผมไถหัวตัวเองไปหนุนตักแม่ที่นั่งอยู่หัวเตียง ไม่ได้กลับบ้านหาแม่มาเป็นเดือนแล้วเหมือนกัน แม่ยกมือจิ้มเข้าที่ใต้ตาของผม

"ไม่ค่อยได้นอนใช่ไหม"

"งานเยอะอะ"

"พักผ่อนบ้าง"

"ก็เท่าที่ทำได้"

"ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ จะดูแลน้องยังไง"

ผมย่นจมูกใส่แม่เคืองๆ ก็รู้ว่าหน้าที่ที่ต้องดูแลภูผานั้นยังทำได้ไม่ดี แต่ตลอดแปดปีผมก็ไม่เคยละเลยในหน้าที่เลยด้วยซ้ำ

"ภูผามันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้"

"แต่ถ้ามีคนดูแลมันก็ดีกว่าไง"

"มีแม่คนเดียวก็พอแล้วมั้ง" ผมพูดแซวเลยถูกดีดเข้าที่หน้าผากทีหนึ่งเบาๆ   

"ไม่งอนสิ แม่ก็รักเท่ากัน"

"ก็รู้"

"ทัพไม่โกรธใช่ไหม ที่แม่เป็นห่วงภูผามากกว่า"

"จะไปโกรธเรื่องอะไร แค่อยากรู้ว่าทำไมมากกว่า แม่ยังสงสารภูผาอยู่เหรอ"

"ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่ว่าหลงน้อง"

"ว่าละ!"

            แม่หัวเราะเบาๆ ก่อนใช้มือข้างที่ดีดหน้าผากผมเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ

"แม่ว่า แม่รู้สึกผิดกับภูผามากกว่า"

"รู้สึกผิดเรื่องอะไร"

"ตอนที่รู้เรื่องพ่อกับแม่ของภูผา ก็เคยคิดว่าอยากให้ผู้หญิงคนนั้นตายไปจริงๆ"

"โอ้โห! ทำไมแม่จิตใจโหดเหี้ยมแบบนี้เนี่ย"

"แค่คิดย่ะ!"

"แค่คิดก็ผิดแล้ว"

"ก็ใช่น่ะสิ แล้วพอมันเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเลย รู้สึกผิดที่คิดแบบนั้น ยิ่งตอนที่เห็นภูผาในวันที่ไม่เหลือใคร ตอนนั้นภูผาดูเจ็บปวดจริงๆ นะ"

ผมพยักหน้าตาม จำได้ดีในวันที่โลกของภูผาพัง ในงานศพตอนนั้น ผมเห็นเด็กม.ปลายหน้าตาเรียบเฉย นิ่งสงบเหมือนไร้วิญญาณ เดินตามคำสั่งผมเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ใช้เวลานานกว่าจะดึงภูผาให้กลับมายิ้มได้อย่างคนที่มีความสุขจริงๆ แม้แต่ในตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าภูผาทำใจได้กับเรื่องนั้นแล้วหรือยัง

"แม่ก็เลยอยากให้ทัพดูแลภูผาดีๆ เพราะว่าน้องไม่มีใคร"

"..."

"อยากให้เป็นพี่เป็นน้องกันไปเรื่อยๆ แบบนี้"

ผมพยักหน้ารับ มือของแม่ที่ลูบหัวอยู่พาให้ผมง่วงนอนจนตาหลับลงโดยอัตโนมัติ ความคิดสุดท้ายเกิดขึ้นก่อนที่จะหลับ ผมร้องถามแม่อยู่ในใจ แม่จะว่าอะไรไหม

 

หากว่าใจผมคิดไกลเกินกว่าพี่น้องไปแล้ว...

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 28-02-2018 01:25:29
ชอบความที่ภูผารู้จุดอ่อนธงทัพอ่ะ55555 แค่เรียกว่าพี่ทัพแล้วแทนตัวเองว่าภู อิพี่ก็ยอมหมดทุกอย่างละอ่ะ ใจเหลวเป็นน้ำเลย5555
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 28-02-2018 01:56:04
ภูผามีอาวุธที่ร้ายกาจมาก
"พี่ทัพ" ตายสนิททุกช็อตจริง ๆ

ส่วน "นาวี" ไม่ต้องกลับมานะ
โลก "ภูทัพ" ใบนี้ ... ไม่ต้องการนาย :beat:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-02-2018 02:51:41
โอยย ขอน้องภู  :hao5: ไม่ให้ใครร
แล้วก็ชอบน้องปออ่ะ อย่าให้ใครทำร้ายน้องนะะะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-02-2018 03:49:02
คนนี้ก็อยากได้ คนนั้นก็ยังเสียดาย อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-02-2018 05:11:04
อิพี่ทัพทำไมช่างดูแลขนาดนี้ อ่อยไปทั่วเลยยย ถึงฮีแกจะไม่รู้ตัวก็เถอะ

บอกปอตรงนี้เลยนะ ธงทัพของภูผา only
ห้ามหลงหลงรัก  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 28-02-2018 08:34:59
งือออออ ชอบเรื่องนี้มากกกกกขอบคุณมากๆนะคะไรท์
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 28-02-2018 09:12:09
โอ๊ยยยยยยยยย ใจบางงงงงงง  /   ตอนนี้เป็นตอนที่เยียวยาคนอ่านให้ลืมดราม่าที่กำลังประชิิดเมืองไปเลยอ่ะ  / ของดี แค่เรียกพี่ก็หวานแล้ว แอร๊ยยยยย  :o8:

แอบคิดตาม ภูผาติดพี่ทัพเพราะเหงาหรือเพราะผูกพันหรือเปล่านะ เหมือนจะยังไม่ลืมความรู้สึกของตัวเองตอนเลิกกับนาวีอยู่เลยอ่ะ งืมมมๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-02-2018 10:40:45
หัวใจหนอหัวใจ คือจะสงสารก็ไม่ใช่ แต่เห็นใจมากกว่า
ธงทัพรักน้องมาก ใจอะไปแล้ว ไม่แปรผันด้วย
ชอบค่ะ เหมือนดูไม่มั่นคง แต่ยาวนานมากเลย
ภูผาจะมีใครมาอีก บอกพี่ก่อนนะ

ภูผาน่าบีบแก้มมาก ทำไมร้าย 5555
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 28-02-2018 16:29:12
ตอนที่อ่านเรื่องนี้แรกๆคิดมาตลอดนะว่าธงทัพต้องเป็นตัวร้าย ไม่คิดเลยว่าจริงๆแล้วธงทัพเป็นคนที่ดีมาก แถมยังใจอ่อนและมุ้งมิ้งอีก ใจบางกับธงทัพมากตอนนี้ ผู้ชายอะไรน่ารักชะมัด
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-02-2018 22:00:34
ภูผา  มีอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ  :laugh:
พี่ทัพ...... ภู........
   
เหมือนภูผา รับรู้ว่าธงทัพชอบตัวเอง
ที่บอกว่าทนไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ถ้าจะมีใครหายไป
เป็นเพราะรักหรือผูกพัน    :hao3:
หรือทั้งสองอย่าง  :mew1: :mew1: :mew1:

ปอ พูดตรงๆไปก็ดี ธงทัพไม่ระวังตัวถึงเนื้อถึงปากปอ
มันอ่อย ให้ความหวังปอนะ อ่อยเรี่ยราดนะธงทัพ   :fire: :angry2: :z6:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 01-03-2018 10:01:50
ไม่อยากกินมาม่าาาา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 06-03-2018 21:35:10
ชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ อยากขยี้แก้มน้องภูบ้างจังเลย
ปกติเราไม่ค่อยกลัวดราม่านะคะ แต่ตอนนี้เราไม่อยากให้หนูปอเข้ามาในชีวิตธงทัพมากกว่านี้ หรือว่านาวีกลับเข้ามาในชีวิตภูผาเลย

เดาว่านาวีสักรูปที่ภูผาเคยวาดให้แน่ๆเลยใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-04-2018 14:17:54
 :hao6: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 08-05-2018 09:41:10
ตอนนี้ยังสองจิตสองใจอยู่เลย ภูกินกับอะไรก็อร่อย แต่ดราม่าทีเราแทบบ้า เสียทิชชู่เป็นแพ็ค
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.14] 28/2/18
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 02-06-2018 00:54:18
อยากได้ทั้งหมด


เราสงสารนาวีกับภูอะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 10-07-2018 23:23:05
Episode 15


ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง

ผมจะกลายเป็นคนอื่นของคุณไหม 


 

ภูผา :

 

วันนี้ผมก็ยังไม่ได้ไปทำงานเพราะได้สิทธิ์หยุดยาวจากอาการบาดเจ็บ ทั้งที่จริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ไม่อยากดื้อรั้นดันทุรังไปทำงาน บริษัทไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะกลับไปทำงานก่อนกำหนด แต่คนที่จะบ่นไม่หยุดก็เห็นจะเป็นไอ้ธงทัพที่หนีงานตัวเองมาอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืน ผมแค่เจ็บแขนแต่มันทำเหมือนผมแข้งขาขาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมรับบทเป็นเจ้าชายที่มีทาสรับใช้เป็นหมาบ้า ทำงานไป บ่นไปไปหยุดมาตั้งแต่เช้า ธงทัพไม่ชอบคนขี้เถียง ผมจึงไม่โต้ตอบ แม้บางครั้งนึกอยากจะสวนกลับไปบ้าง

 

บ่นอะไรไม่มีเหตุผล น่ารำคาญ

 

แต่ทบทวนดูแล้ว เงียบปากไว้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ผมนั่งเล่นเกมเงียบๆ ขณะที่ธงทัพออกไปตากผ้าที่ริมระเบียง ครู่ใหญ่ๆ ก็กลับเข้ามา แม้อากาศในห้องจะเย็นฉ่ำเพราะอุณหภูมิแอร์ แต่คนที่เดินเข้ามากลับเหงื่อตกเต็มหน้าผาก ปากก็บ่นทันทีเรื่องสภาพอากาศข้างนอก มือข้างหนึ่งเสยผมหน้าที่ปรกหน้าผากสองสามที ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นดื่ม ในตอนนั้นประเด็นการบ่นก็เบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องตู้เย็นที่ผมรู้ดีว่ามันรกไม่เป็นระเบียบ

"ตู้เย็นโคตรรกเลยนะภูผา"

"ช่างมันเถอะ"

ผมตอบปัดๆ ธงทัพส่ายหัวบ่งบอกความเอือมระอา ก่อนย่อตัวลงนั่งหน้าตู้เย็น หยิบจับข้าวของในตู้เย็นที่อยู่ไม่เป็นระเบียบ ดึงบางอย่างออกมาวางกองด้านนอก จัดบางอย่างข้างในให้เข้าที่เข้าทาง

"นี่มันหมดอายุแล้วนี่" ธงทัพชูถุงขนมปังเปล่าที่เหลือค่อนแถวให้ผมดู ผมเองจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในนั้นมานานแค่ไหน ได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เป็นคำตอบ ธงทัพจึงโยนขนมปังห่อนั้นลงถังขยะไปพร้อมเสียงถอนหายใจยาวๆ สิ้นสุดการถอนหายใจ ก็เดินเข้ามาหาพร้อมเริ่มบรรเลงเพลงบ่นจากเรื่องหนึ่ง ไปยังอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับขนมปังห่อนั้น เหมือนนึกขึ้นมาได้ก็บ่นออกมาเฉยๆ การอยู่กับธงทัพ บางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีพ่อเป็นของตัวเองเหมือนกัน

"วันๆ ก็เล่นแต่เกมไง เลยไม่สนใจเรื่องอื่น"

"ไม่เกี่ยว"

"แล้วไปตรวจสายตามาหรือยัง ป่านนี้สั้นไปถึงไหนแล้ว"

"อืม"

"อืมอะไร? อืมน่ะแปลว่าอะไร ฮะ? จะไปหรือไม่ไป หรือจะต้องให้พาไป"

"เดี๋ยวไป"

"จะต้องให้บ่นทุกเรื่องไปดิ"

"แล้วใครใช้ให้มึงบ่น" ผมสวนกลับเบาๆ ไม่จงใจให้ได้ยิน แต่เป็นจังหวะที่ตัวมันก็เงียบพอดี เสียงของผมเลยเข้าหูมันไปเต็มๆ สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตามองขวาง กับมือข้างหนึ่งที่ง้างขึ้นทำท่าจะตบ ผมไม่ได้ตั้งท่าหลบซ้ำยังอวดดีด้วยการยื่นหน้าเข้าไปท้าทาย

"ก็จริงป่ะวะ ในปากมึงนี่หมาพันธุ์อะไรเหรอถึงได้เห่าไม่หยุดเลย โอ๊ย!" จบคำพูดผม กำปั้นใหญ่ก็เขกเข้าที่หน้าผาก ไม่เจ็บมากแต่ก็เล่นเอาหน้าหงาย ใบหน้าบูดบึ้งของผมทำให้อีกฝ่ายพอใจด้วยการลั่นหัวเราะออกมาเบาๆ

"แล้วถ้าไม่มีกูคอยบ่น มึงจะใช้ชีวิตยังไงวะภูผา"

ผมนิ่งมองหน้ามันหลังจากจบคำถามทีเล่นทีจริงนั่น พยายามคิดหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน หากว่าไม่มีธงทัพ ชีวิตผมจะเป็นยังไง อาจลอยเคว้งคว้างอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็คงไร้เยื่อใยกับการมีชีวิตอยู่จนอยากตายหลายร้อยหลายพันครั้ง เหมือนว่าชีวิตผมจะผูกติดอยู่กับคนอื่นเสมอ ผมอาจอ่อนแอเกินกว่าจะหายใจได้ด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรและเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ท้ายที่สุดธงทัพกลับกลายมาเป็นคนที่ช่วยให้ผมหายใจอยู่บนโลกนี้ได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนั้น...

 

ธงทัพจึงสำคัญเท่าชีวิต 

 

...

 

ตอนเย็นของวันนั้น ธงทัพพาผมออกมาตรวจสายตา เพราะถ้ารอให้ผมมาเอง ผมก็คงผลัดไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะผมใช้เวลาอยู่หน้าคอมพ์ตลอดทั้งวันเวลาทำงาน กลับจากทำงานก็เล่นมือถือ เล่นเกม ดูหนัง ใช้เวลาอยู่หน้าจอจนแทบจะตลอดเวลา ใช้งานสายตาหนักอย่างไม่ได้ทะนุถนอม วันนี้ผมจึงได้ค่าสายตาที่สั้นลงกว่าเดิมมาเป็นรางวัล เพิ่มเติมจากนั้นก็เสียงบ่นของคนที่พามา

"บอกแล้วเห็นป่ะว่าไม่ให้เล่นมือถือในที่มืดอะ ที่พูดอะเคยฟังป่ะล่ะ"

"มันก็ไม่ได้สั้นเยอะ"

"จะเยอะจะน้อยมันก็เรียกว่าสั้นป่ะวะ คือนี่ต้องทำยังไง ต้องจำกัดเวลาเล่นมือถือมั้ย?"

"ไม่ใช่เด็ก"

"ก็ไม่รู้จักโต" นิ้วชี้ของคนตรงข้ามจิ้มเข้าข้างขมับจนหัวโยก ผมเลิกเถียงเพราะรู้ว่าไม่มีวันชนะ เรื่องนี้ผมผิดเอง เลยยอมให้อีกคนบ่นไปตามประสา ผมยิ้มเยาะให้ความย้อนแย้งของตัวเองอยู่ภายในใจ ธงทัพน่ารำคาญ แต่ผมกลับไม่อยากให้มันหยุดบ่นเลย

 

มื้อเย็นของวันนี้ ธงทัพพาผมมาอยู่ที่ร้านบุฟเฟต์อาหารทะเล คนอยากกินตามใจตัวเองเช่นเคย แต่ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้วจึงไม่เคยโต้แย้งอะไร ระหว่างนั่งรอพนักงานเสิร์ฟ มองออกไปด้านนอกก็เห็นฝนลงเม็ดมาปรอยๆ ก่อนค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้นในเวลาอันสั้น ผมมองผ่านผนังกระจกบานใหญ่ สายฝนสาดเข้ามาก่อนไหลลงเป็นสาย เหม่อมองอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งพนักงานเดินเอาเนื้อสัตว์ที่สั่งมาเสิร์ฟจึงเรียกสติตัวเองกลับคืนมา สายตาหันไปสนใจบรรดาอาหารทะเลเกรดพรีเมี่ยมสมราคา ผมไม่วางตาจากกุ้งตัวโตที่ดูเหมือนว่ามันยังมีชีวิตอยู่เพราะความสดคล้ายว่าเพิ่งยกขึ้นมาจากทะเลใหม่ๆ เพราะแขนผมเจ็บข้างหนึ่งจึงหยิบจับอะไรไม่ถนัด ธงทัพจึงจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ ใช้มือเปล่าหยิบกุ้งตัวโตวางเรียงลงบนเตาย่าง

"ขอบคุณที่สละชีวิตเพื่อเป็นอาหารของเรา ขอบคุณจ้า"

ผมเผลอก้มหัวขอบคุณกุ้งตามคำพูดของธงทัพไปด้วยเพราะจิตใจไม่อยู่กับตัว จดจ้องอยู่กับกุ้งที่ถูกพลิกไปมาสองสามครั้งก็เริ่มเปลี่ยนสี ใบหน้าผมคงแสดงออกถึงความหิวโหยมากจนคงตรงข้ามหันมาแซว

"ภู น้ำลายหยด"

"หึ!" ผมลั่นเสียงปฏิเสธแต่ก็เผลอเม้มริมฝีปากเก็บน้ำลายที่กลัวว่ามันจะหยดลงไปจริงๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของธงทัพก่อนมันจะใช้ตะเกียบคีบกุ้งที่ดูจะสุกได้ที่แล้ว กำลังจะยื่นใส่จานผมแต่มือก็ชะงักไป

"กูแกะให้มั้ย"

"กูแกะเอง" ผมตอบกลับทันที เพื่อให้กุ้งตัวนั้นมาอยู่บนจานตัวเอง แขนเจ็บไม่ใช่อุปสรรคต่อการกิน และผมก็มีความชำนาญในการแกะกุ้งมากกว่าธงทัพ ครู่เดียวเปลือกกุ้งก็หลุดออกพร้อมที่จะเอาเนื้อกุ้งแน่นๆ นั้นยัดเข้าปากตัวเอง เพราะความร้อนที่ไม่ได้เป่าก่อนทำให้ผมอ้าปากค้าง ก่อนหุบปากแล้วเคี้ยวไปทั้งที่ยังร้อนอยู่ ผมเหลือบตามองธงทัพที่กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มมุมปากที่ผมไม่เคยชอบ แต่ตอนหลังเริ่มชินเพราะรู้ดีว่าในรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีความหมายเชิงร้ายอะไรแฝงอยู่เลย ธงทัพก็แค่ชอบยิ้มแบบนั้น เป็นยิ้มร้ายๆ จากคนที่ใจดีที่สุดในโลก แต่ยิ้มออกมาตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่าจะผิดเวลาไปหน่อย ผมจึงเอ่ยปากถาม

"ยิ้มอะไร"

"มึงโตมาน่ารักขนาดนี้ได้ยังไงวะ"

ผมชะงักไปเพราะคำพูดประหลาดที่อยู่ๆ ก็พูดออกมาโต้งๆ แบบนั้น งานถนัดคือการเปลี่ยนเรื่อง เลยยกตะเกียบชี้ไปที่กุ้งบนเตา

"ไหม้แล้ว"

ธงทัพหัวเราะในลำคอแล้วยกตะเกียบพลิกกุ้ง คีบตัวที่สุกแล้วใส่จานผมบ้าง กินเองบ้าง คนที่อยากกินกลับกินได้น้อยเพราะมัวแต่จะคอยช่วยเหลือผม ทั้งที่ย้ำหลายครั้งว่าผมทำเองได้ เถียงไปก็มีแต่จะโดนดุเลยปล่อยให้มันทำให้อย่างไม่ขัด เคี้ยวอาหารอยู่เต็มปากขณะหันมองสายฝนที่เริ่มซาลง อยู่ดีๆ ความรู้สึกบางอย่างก็โผล่เข้ามาในหัวแล้วพุ่งออกไปเป็นคำพูดเพื่อบอกเล่าให้คนที่นั่งอยู่ด้วยกันรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นด้วย

"กินอาหารทะเลแล้วคิดถึงบ้านว่ะ"

"คิดถึงบ้าน?"

ผมพยักหน้ารับ ผมไม่ค่อยได้กลับชลบุรีเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ที่นั่นยังคงมีบ้าน แต่ไม่มีใครให้กลับไปหา ไม่มีใครรอผมอยู่ที่นั่น แต่บางครั้งบางคราวความทรงจำบางอย่างที่นั่นก็หวนกลับมาให้คิดถึง ในบางวันผมก็อยากจะกลับไปที่นั่น กลับไปที่บ้าน

"กลับบ้านกันป่ะล่ะ"

ผมเงยหน้ามองเสียงธงทัพแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"กลับบ้านไง บ้านเรา"

"มึงว่างเหรอ"

"เดี๋ยวรีบเคลียร์งานให้ ถ้าอยากไปอ่ะนะ"

"ก็อยากไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไมเหมือนกัน"

"ไปทะเลกันไหม"

"ไม่ไปทะเล" ผมสวนกลับอย่างไม่ได้คิด แต่จิตใต้สำนึกมันบอกผมแบบนั้น ไม่ไปทะเล ไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด ธงทัพพยักหน้ารับโดยไม่ได้ถามหาเหตุผลที่ผมโต้แย้ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันรู้ดีว่าผมเกลียดทะเล ความทรงจำบางอย่างมันจมอยู่ในนั้น ความทรงจำที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ทะเลลึก ผมแค่รู้สึกกลัว

 

กลัวว่าจะต้องกลับไปเจอมันอีก...

 

            ...

 

            หลังจากจบมื้อเย็น ธงทัพขอให้ผมไปนอนที่ห้องมัน เพราะพรุ่งนี้มันจะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปทำงาน ผมยังคงได้หยุดงานต่อไปจนครบอาทิตย์จึงไม่มีปัญหาเลยยอมไปนอนห้องมันง่ายๆ ตอนนี้ฝนยังคงลงเม็ดมาปรอยๆ มีน้ำขังอยู่บนพื้นฟุตบาทที่ไม่ราบเรียบ ผมที่เดินนำธงทัพมา ก้าวขายาวๆ ข้ามจุดที่น้ำขัง หลบหลีกพื้นที่เปียก กระโดดไปทางนั้นที ทางนี้ที เหมือนกำลังเล่นเกมหลบกับระเบิด เพราะอย่างนั้นถึงถูกคนข้างหลังดุเสียงแข็ง

"ถ้าล้มจะตีนะ"

ผมก็เลยต้องหยุดความพยายามที่จะหลบน้ำขัง แล้วยอมรองเท้าเปียกเดินย่ำน้ำไปจนถึงป้ายรถเมล์ หย่อนตัวลงนั่งเงียบๆ ก่อนธงทัพจะนั่งลงข้างๆ ฝนตกแบบนี้พาให้รถติดเป็นทางยาว รถเมล์ไม่ยอมมา แท็กซี่ก็หายาก การนั่งรออยู่อย่างนี้ก็ดูไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลับห้องด้วยซ้ำ

"รู้หรือยังว่าทำไมเราควรซื้อรถ"

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของธงทัพ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนน้อยอย่างผม การผ่อนรถถือเป็นภาระใหญ่ ธงทัพเงินเดือนเยอะกว่าผมเกือบเท่าตัว แต่สูญเสียไปกับสิ่งไร้สาระอยู่เสมอ

"ถ้ามึงเอาเงินที่ซื้อฟิกเกอร์ไปผ่อนรถ ก็คงได้เบนซ์"

"แล้วเบนซ์มันโชว์บนหัวเตียงได้ไหม"

"แล้วฟิกเกอร์มันขับได้ไหม"

"หึ!" ธงทัพลั่นเสียงบ่งบอกความไม่พอใจในลำคอ แล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ผมกระตุกแขนเสื้อให้มันกลับหันมา แต่ถูกสะบัดออกด้วยใบหน้าบูดๆ

"ไม่คุยกับคนขี้เถียง"

ผมปล่อยมือจากแขนเสื้อมันแล้วขยับปากด่าแบบไม่มีเสียง ในตอนนั้นฝนก็เริ่มลงเม็ดหนักขึ้น กระทั่งละอองฝนสาดเข้ามาหา ขยับขาหลบเม็ดฝนนั่นแต่เห็นท่าจะหลบไม่พ้น อยู่ๆ คนข้างๆ ก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเรียบเฉยมองออกไปนอกถนนไม่ได้พูดอะไรนอกจากยกมือขึ้นกอดอกยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมรู้เจตนาของธงทัพโดยที่มันไม่ต้องพูดอะไร เพราะเมื่อธงทัพลุกมายืนตรงนี้...ตัวผมก็ไม่เปียกฝนอีกเลย

 

...

 

หลังจากใช้เวลาฝ่าฟันวิกฤติรถติดในวันฝนตกมาชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงห้องธงทัพตอนเกือบๆ สามทุ่ม ผมมาที่นี่ไม่บ่อยเพราะมันจะเป็นคนไปหาผมเองมากกว่า ธงทัพไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก็ทำให้ที่นั่นรกได้เสมอ ห้องตัวเองก็เช่นกัน ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เห็นเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ปลดออกจากไม้แขวนวางพาดอยู่บนโซฟา อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานก็วางเกะกะอยู่ตรงนั้นด้วย บนพื้นหน้าทีวีมีจิ๊กซอว์ที่ยังต่อไม่เสร็จวางแผ่อยู่เต็มพื้น เวลานอนยังจะไม่มี ยังมีอารมณ์มาต่อจิ๊กซอว์อีก ข้างๆ กันมีโมเดลบ้านจำลองที่ยังประกอบไม่สมบูรณ์ ชิ้นส่วนของโมเดลรวมกันอยู่ในโหลแก้วที่ถูกปิดฝาไว้อย่างดี คงเพราะไม่ให้ชิ้นส่วนของโมเดลชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่นหายไป หนังสือที่หน้าปกเป็นภาษาอังกฤษถูกคว่ำหน้าเอาไว้ เดาว่ายังอ่านไม่จบเช่นกัน สิ่งเดียวในห้องที่ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยเห็นจะเป็นโมเดลการ์ตูนกับหนังสือเล่มโปรดที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในตู้โชว์นั่น

เมื่อเจ้าของห้องเดินถึงเตียงก็ทิ้งตัวนอนคว่ำลงเตียงทันที เตียงที่ห้องนี้เล็กกว่าที่ห้องผม แค่ตัวโตๆ ของมันคนเดียวก็กินพื้นที่เกือบทั้งเตียงไปแล้ว

"ตัวเปียกไม่ใช่เหรอ ไปอาบน้ำดิ" ผมบอก คนบนเตียงจึงพลิกตัวขึ้นมามอง

"มึงอาบก่อนดิ"

จะอาบก่อนหรืออาบหลังยังไงก็ต้องอาบอยู่ดี ผมขี้เกียจเถียงแล้วจึงพยักหน้ารับ ก่อนเดินไปหาเสื้อผ้าของมันที่พอจะใส่ได้ แล้วเข้าไปอาบน้ำก่อน ห้องธงทัพเหมือนพิพิธภัณฑ์ของเล่น ขนาดในห้องน้ำยังมีตุ๊กตาพลาสติกรูปตัวการ์ตูนที่มันชอบวางอยู่ด้วย จริงๆ ความหลงใหลในบางอย่างของธงทัพเป็นเรื่องน่าอิจฉา เพราะผมไม่มีอะไรแบบนั้นในชีวิต หรืออาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมชื่นชอบ มันครอบครองไม่ได้... 

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน เมื่อออกมาก็ไม่เห็นธงทัพอยู่บนเตียงแล้วเพราะย้ายตัวเองไปนั่งอยู่ที่ริมระเบียง หนังสือหนึ่งเล่ม บุหรี่หนึ่งมวน นั่นคือภาพที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำ ผมเดินเอาผ้าขนหนูไปแขวนที่ราว ก่อนพูดออกไปลอยๆ แต่ก็หวังให้มันลอยไปเข้าหูใครบางคน

"ไหนใครบอกว่าจะเลิกบุหรี่วะ"

คนถูกพาดพิงละสายตาจากหนังสือ เงยหน้ามองผมแล้วสวนกลับอย่างไม่เต็มปากนัก

"มันก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปสิ"

"แต่วันนั้นรับปากแล้วไง"

"ก็ลดอยู่นี่ไง" 

ผมไม่เถียงต่อ ได้แต่ขมวดคิ้วมองด้วยความไม่พอใจ แล้วพูดออกไปเบาๆ

"อยากตายเร็วก็ตามใจนะพี่ทัพ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินมานั่งบนเตียง แกล้งทำเป็นไม่สนใจธงทัพ แต่แอบเหลือบตามอง คนที่นั่งอยู่ที่ระเบียงไม่ได้สูบบุหรี่มวนนั้นต่อ ลดมือข้างที่คีบบุหรี่นั้นลงช้าๆ แล้วนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะตัดสินใจทำอะไรต่อกับบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนนั้น และท้ายที่สุดก็ยอมดับมันลง ผมหลุดหัวเราะออกมาจนอีกฝ่ายหันมามอง พับหนังสือในมือปิดแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาในห้อง ยกนิ้วจิ้มข้างขมับผมเบาๆ ตอนที่เดินผ่าน

"แกล้งกู"

"เป็นห่วงมึงต่างหาก" ผมตอบตอนที่มันเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว มั่นใจว่ามันได้ยินแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ก็พอจะจินตนาการหน้าคนในนั้นออก คงจะหลุดยิ้มออกมา อย่างที่ผมกำลังเป็น

 

 

...

 

            วันนี้ผมยังคงอยู่ที่ห้องของธงทัพ แต่เจ้าของห้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ครึ่งวันเช้าผมเสียเวลาไปกับการเก็บกวาดห้องเพราะความรกที่ทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ส่วนครึ่งวันบ่ายใช้เวลาไปกับการนั่งต่อจิ๊กซอว์ที่ธงทัพมันทำค้างเอาไว้ จิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ห้าร้อยกว่าชิ้น แบบไม่มีตัวเลขกำกับด้านหลังจึงลำบากต่อการหยิบมันมาเรียงให้เข้าที่ ใช้เวลาอยู่นานเป็นค่อนวัน จนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แต่ว่าผมกลับขี้เกียจจนล้มเลิกแล้วทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้นเสียก่อน

            ผมไม่รู้ทำไมธงทัพถึงมีความอดทนอยู่กับอะไรแบบนี้ได้นาน ปกติแล้วมันเป็นคนใจร้อน ปากร้าย อารมณ์เสียง่ายและขี้หงุดหงิด แต่เวลาอยู่กับของพวกนี้ หรือ หนังสือสักเล่ม ก็จะเข้าสู่ความสงบในพื้นที่เงียบๆ ของมันได้เป็นวันๆ บางครั้งเวลาที่ผมเบื่อจะฟังมันบ่นอะไร หรือเผลอทำอะไรให้มันโกรธ ผมจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการแกล้งทำเป็นสนใจหนังสือที่มันอ่าน จากนั้นมันจะใจเย็นแล้วเล่าเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

           

ผมว่า...ธงทัพน่ารักที่สุดก็ตอนนั้น 

 

"ตื้ด...ตื้ด..."

 

ตอนที่กำลังนึกถึงอยู่ สายเรียกเข้าที่หน้าจอมือถือก็ปรากฏขึ้นมาพอดี

 

หมาบ้า

 

ธงทัพจะไม่มีวันได้เห็นว่าผมบันทึกชื่อมันเอาไว้ว่ายังไง ไม่อย่างนั้นมือถือผมแหลกคาตีนมันแน่ ไม่ปล่อยให้คนโทรเข้ามารอนานก็กดรับเพราะไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงโทรมาตอนนี้ทั้งๆ ที่มันควรจะทำงานอยู่

"ว่าไง"

(ภูผา มีเรื่องให้ช่วยหน่อย)

"อือ" ผมเพียงตอบรับในลำคอให้มันพูดสิ่งที่อยากให้ทำ

(เห็นซองสีน้ำตาลใหญ่ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีไหม)

"อยู่ใต้โต๊ะต่างหาก" ผมรู้เพราะเพิ่งเป็นคนหยิบมันขึ้นมาวางบนโต๊ะเองกับมือ

(เออ แถวๆ นั้นแหละ กูต้องใช้อะ เอามาให้หน่อยได้เปล่า)

"ถ้าไม่ได้?"

(กูก็จะกลับไปเอาเองไง)

"แล้วทำไมไม่มาเอาเองตั้งแต่แรกล่ะ"

(อย่ามากวนตีนนะภูผา)

ผมหลุดหัวเราะเพราะการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ นั่น

(เอาดีๆ จะเอามาให้ไหม)

"เออๆ เดี๋ยวเอาไปให้" ผมรวบรัดรับปากแล้วกดวางสายไป ลุกไปหยิบซองเอกสารที่ว่าแล้วเอาออกไปให้มันที่ทำงาน

ออฟฟิศของธงทัพอยู่ใกล้กับที่นี่ชนิดที่ว่าเดินไปก็ไม่ทันเหนื่อย แต่เพราะฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ มาพักใหญ่ๆ ผมกลัวว่าซองกระดาษและของในนั้นจะเปียกเลยเลือกขึ้นแท็กซี่ไป ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึงหน้าตึก ผมเคยมาที่นี่หลายครั้งและยังคงชอบการตกแต่งตึกที่มักจะเปลี่ยนไปเสมอ ผมไม่รู้จักศิลปะดีนัก แค่เห็นแล้วชอบผมจึงเหมารวมว่ามันคือความสวยงาม

ระหว่างที่รอลิฟต์สายตาก็กวาดมองสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อย กระทั่งเสียงลิฟต์ตรงหน้าเรียกให้หันกลับมามอง

"ติ๊ง!"

ประตูลิฟต์เปิดออก คนเดียวที่อยู่ในนั้นเดินออกมาแล้วผ่านหน้าผมไปอย่างไม่ทันสนใจ เขาเดินผ่านหน้าผมไป แต่ตัวผมหยุดอยู่กับที่ สายตาผมมองตรงเข้าไปในลิฟต์ที่ว่างเปล่า กระทั่งประตูปิดลง

คนที่เดินผ่านหน้าผมไปถอยหลังกลับมา ผมไม่ได้หันมอง แต่รู้ได้โดยเสียงเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้

ทีละก้าว...อย่างเชื่องช้า

ในตอนนั้นสายตาผมก็ไม่อาจนิ่งเฉย หันกลับไปมองคนๆ นั้นในตอนที่เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพอดี

ร่างกาย ใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก...ผมไล่มองทุกอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากใคร คล้ายว่าจะเจอกันครั้งแรก แต่ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะว่ารู้จักกันดี

 

นาวี

 

ผมเรียกชื่อเขาในใจ แต่ชื่อผมถูกเรียกผ่านเสียงของเขาออกมา

"ภูผา"

ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไร และสิ่งที่ผมทำคือการรีบหันหลังหนี ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น เร็วจนแทบเป็นวิ่ง ตรงขึ้นบันไดเพื่อไปห้องทำงานธงทัพ ก่อนเท้าสะดุดกึกเพราะเจอธงทัพอยู่ที่บันไดขั้นบนสุดพอดี

"หนีอะไรมา"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วยืนซองเอกสารในมือให้ ธงทัพจึงเปลี่ยนความสนใจไปที่ซองนั้น

"แต้งกิ้ว เดี๋ยวเย็นนี้เลี้ยงข้าว"

"ซื้อเข้าไปเลยนะ ไม่ออกมาแล้ว ขี้เกียจ"

"เออ"

"งั้นกูกลับก่อนนะ"

"เจอกันตอนเย็น"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินลงบันไดมา เดินออกมาถึงสี่ห้าขั้นสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาไปมองหน้าลิฟต์ แต่เมื่อมองไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นจึงเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรีบเดินออกไปจากตึกนี้ ขาผมเดินช้าลงเมื่อเดินออกมาได้ไกลในระยะหนึ่ง ช้าลงจนหยุดเดินแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่ป้ายรถเมล์

ผมไม่รู้ว่าทำไมนาวีถึงอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องหนี และไม่รู้ว่าทำไม...

 

"ภูผา"

 

โดยที่ไม่ต้องเรียกซ้ำ กลับได้ยินเสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงนั้น...

 

ที่ได้ยินครั้งสุดท้าย ก็ตั้งแต่ในฝัน... 

 

To be continued.

 

อัพเกรดเป็นนิยายรายปีเรียบร้อย ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: Chayra ที่ 10-07-2018 23:52:21
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณที่กลับมาค่ะ........
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-07-2018 00:03:20
ธงทัพทำงานที่เดียวกันกับนาวีแต่ไม่เคยบอกภูผา
ยังไงเราก็ยังทีมนาวีเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 11-07-2018 00:06:02
คิดถึงมากๆค่ะนานแค่ไหนก็รอได้ค่ะขอแค่อย่าเทก็พอนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-07-2018 00:10:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 11-07-2018 00:37:40
ชอบเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 11-07-2018 02:53:29
เราชอบทุกเรื่องของคุณรชา แต่ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้!!!  ความสีเทาๆปนกวนนี้ช่างดีงามมม
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-07-2018 04:38:58
ถ้านาวีกลับมาภูผาจะยังชอบฟังธงทัพบ่นอยู่ไหมนะ

 :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-07-2018 05:26:09
คิดถึงมากๆค่ะนานแค่ไหนก็รอได้ค่ะขอแค่อย่าเทก็พอนะคะ

คิดถึงมากเลยๆ   :hao5: :hao5: :hao5:
หายไปไหนมา   ป่วยหรือเปล่า  หรืองานหนักมากกกกกก   :mew2:
กลับมา ดีใจมากกกกกก นึกว่าตาฝาด   :mew6:

ภูผา  เจอนาวีแล้ว  :serius2:
สองคนไม่เวิร์ก  ได้เวลา  3p ซักที   :mew1:
ธงทัพxภูผาxนาวี   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: jay..jay ที่ 11-07-2018 10:01:35
กรี๊ดดดด ...กรีดร้องให้สมกับการรอคอยอันยาวนาน ดีใจกับทีมหมูป่าที่ปลอดภัยและดีใจที่ได้อ่านต่อนะคะ ขอบคุณค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 11-07-2018 10:32:53
พี่ทัพก็ดูแลดี นาวีก็คนที่ยังรัก โอ๊ยยยย ลำบากใจ  :ling3:

ถึงจะเป็นนิยายรายปีไปแล้ว ก็ยังมีคนเกาะตามเชียร์ ตามอ่านอยู่น้าาา รชาาา รอตอนต่อไปค่าาา ฮึบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 12-07-2018 01:46:59
คิดถึงงงงงง
ตอนนี้ระหว่างภูผากับธงทัพคือมันพอดีแล้วอ่ะ ไม่อยากให้ใครเปลี่ยนไปเลย ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 14-07-2018 09:07:53
โอ้ยย ภูผาทำไงล่ะ ยังไม่เคยลืมนาวีใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: WednesdayApril ที่ 15-07-2018 22:11:20
มาแล้วๆๆๆๆๆ
รชาไข่กลับมาพร้อมกับนาวี

บุคคลที่มาทัมมัยตอนนี้ก็ไม่รู้

อย่านะ อย่าทำน้อง
น้องเสียใจมามากพอล้าวววว :ling1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-07-2018 00:04:43
คนที่ลืมไม่ลง ก็โผล่มาตอนที่ภูผากำลังมีความสุข
แล้วยังต้องมารู้จักกับคนใกล้ตัวอีก

ธงทัพก็ยังไม่รู้ตัวค่ะ ก็รักเนาะ และเป็นห่วงมากด้วย
แต่ยังไงก็เชื่อว่าภูผาจะไม่ทำให้ธงทัพเสียใจนะ

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-07-2018 00:30:48
เราพลาดตอนใหม่ไปได้ยังไงเนี่ย คิดถึงเรื่องนี้มากกกกก มาตอนนี้เราไม่อยากให้ภูผาเจอกับนาวีเลยนะ คือธงทัพกับภูผามันดีอยู่แล้วเรารู้สึกได้ว่าคู่นี้เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน ภูผาเหมาะที่จะอยู่กับธงทัพมากกว่านาวีอะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-08-2018 22:42:01
ให้นาวีเป็นแค่ความทรงจำที่สวยงามในวัยมัธยมเถอะค่าา น้องภูอย่าเจ็บปวดอักเลยนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 11-08-2018 10:54:04
โคตรคิดถึงธงทัพกับภูผาเลยยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 28-08-2018 03:31:48
พาร์ททัพบรรยายน้องไว้สดใส จนตัดเข้าพาร์ทภูหน่วงอย่างกับเป็นหนังคนละม้วน
แต่ใจยังอยู่ทีมนาวีนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 02-09-2018 17:07:17
ยังทีมนาวีอยู่นะ คิดถึงรอยสักที่ภูผาบอกไม่อยากให้สัก แต่นาวีสักก็คงเพราะยังคิดถึงภูผา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-09-2018 23:20:21
รอนะ   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 17-09-2018 23:13:22
Episode 16


ผมยังคงยิ้ม
แม้ว่าคุณจะเดินหันหลังไปแล้ว


 

 

"ภูผา หยิบหนังสือให้หน่อย"

"..."

"ภูผา"

"โอ๊ย!" ผมร้องออกมาเพราะแก้มข้างหนึ่งถูกธงทัพบีบเข้ามาเต็มๆ 

"เหม่ออะไร"

"จะเอาอะไร"

มันพยักหน้าไปยังหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงซึ่งตั้งอยู่ที่ฝั่งผม ธงทัพยื่นมือมารับหนังสือ แต่สายตายังจ้องมองอยู่ที่ผม ความผิดปกติของอารมณ์มักแสดงออกผ่านสีหน้าให้อีกคนรับรู้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องพยายาม ธงทัพรู้จักผมดีกว่าใคร

"เป็นอะไร"

"เปล่า"

"เห็นทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่กูกลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

"มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกกู"

"แค่รู้ว่ากูกำลังไม่สบายใจก็พอแล้ว"

"ไม่พอ" ธงทัพพูดเสียงแข็ง ซ้ำยังใช้มือข้างหนึ่งบีบคางผมให้เงยหน้าขึ้นมองมัน ผมไม่กล้าหลบสายตา ไม่ได้รู้สึกกลัว ธงทัพไม่ได้น่ากลัว แต่ทุกครั้งที่ถูกมองมาด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่อาจกักเก็บความรู้สึกอะไรเอาไว้ได้เลย ธงทัพทำให้ผมเคยตัวกับการบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้มันฟัง แม้เป็นเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจคนเดียวก็ได้ ผมก็จะพูดเพียงเพราะคนฟังคือธงทัพ

"ทำไมไม่บอกว่านาวีทำงานที่เดียวกับมึง"

หัวคิ้วของอีกฝ่ายขยับเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนคลายออก ธงทัพยันตัวเองขึ้นนั่งแล้วมองหน้าผมด้วยแววตาที่ดูจริงจัง

"นาวี?"

"อืม ทำไมไม่บอกว่านาวีทำงานที่เดียวกัน"

"ไม่คิดว่ามึงจะอยากรู้"

"กูก็ไม่ได้อยากรู้แต่..." ไม่มีคำอธิบาย ผมเถียงธงทัพไม่ได้เลย มีเรื่องราวผุดขึ้นในหัวผมเป็นร้อยเป็นพัน คำพูดนับล้านก็อัดแน่นวนเวียนอยู่ในนั้นแต่สุดท้ายกลืนหาย กลายเป็นเสียงถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง ผมอยากจบบทสนทนานี้แล้ว

"ทำไมมึงต้องอยากรู้เรื่องของมันด้วย"

แต่ธงทัพต่อบทนั้นด้วยคำถามที่ทำให้ผมต้องเงียบไปอีกครั้ง ผมทบทวนอยู่ในใจอีกที จริงอย่างธงทัพว่า มันไม่ได้ผิดอะไรที่ไม่ได้บอกผมเรื่องนาวี ไม่มีเหตุผลที่อยู่ดีๆ จะต้องบอกให้ผมรู้ ธงทัพรู้เรื่องของผมกับนาวีมากน้อยแค่ไหน ผมก็ยังไม่แน่ใจเลย

"มึงรู้หรือเปล่าว่ากูกับนาวีเคยเป็นอะไรกัน"

"ก็พอรู้ มึงเคยใส่ร้ายกู เรื่องรูปในเฟสบุ๊กตอนม.ปลายไง"

"กูแค่เข้าใจผิด ไม่ได้ใส่ร้าย"

"เหมือนกันแหละ เรื่องห่าเหวอะไรมึงก็โทษกูไว้ก่อน เกลียดกูมากเลยนี่" ใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงจิกกัดคล้ายทำให้ผมจนมุมกับความผิดที่เคยก่อ ธงทัพแม่ง...น่าเตะ

"เอาจริงๆ กูก็รู้ว่ามึงกับมันเคยเป็นแฟนกัน ถ้าเป็นเรื่องของมึงกูรู้หมดแหละ กูแค่ไม่พูด"

"ใส่ใจ?"

"กูเสือก"

"กูว่าแล้ว"

ธงทัพหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนขยับตัวลงไปนอนบนเตียง แล้วเปิดหนังสือในมือผ่านๆ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คิดว่าบทสนทนาเรื่องนั้นจะจบลงตรงนี้ แต่เสียงของคนข้างๆ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

"ยังคิดถึงมันอยู่หรือไง"

"อะไรนะ"

"นาวีอะ"

"..."

"ยังคิดถึงมันอยู่ไหม"

"ไม่"

ตอบไม่ได้เต็มปากนักและความรู้สึกก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น คำว่าคิดถึงหมายความว่าอย่างไร... ในบางครั้งผมก็พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ขึ้นมาบ้างหากมีสิ่งใดไปสะกิดถึงความคิดในส่วนนั้น ส่วนของความทรงจำที่มีนาวีอยู่ด้วย อาจไม่บ่อยนัก แต่ถ้ามันคือความคิดถึง ก็คงต้องยอมรับ...ก็มีคิดถึงอยู่บ้าง   

"ยังรักมันอยู่เหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ผมรู้คำว่ารักค่อยๆ เลือนรางตั้งแต่วันที่นาวีสูญหายไปจากชีวิต และผมไม่ควรคิดถึงคำๆ นั้นอีก

"กูไม่ให้มึงไปที่ทำงานกูแล้ว มึงจะได้ไม่ต้องเจอมันอีก"

"เออ ไม่ไปแล้ว"

"ไม่ต้องคิดถึงมันแล้ว คิดถึงกูคนเดียวก็พอ"

"คิดถึงมึงเนี่ยนะ"

"ชอบกูเถอะ อย่าชอบมันเลย"

"อะไรของมึง อยู่ดีๆ ก็..."

"กูดีกว่ามันตั้งเยอะ"

ผมเงียบตอนถูกธงทัพพูดแทรกขึ้นมา ผมก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องอย่างจริงจัง เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งธงทัพก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ผมจึงได้แต่ถามกลับไปเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบ

"ดีกว่ายังไง"

ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างเคย ยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มผมเบาๆ แล้วพูดเหตุผลนั้นออกมา เหตุผลที่ว่ามันดีกว่านาวียังไง... 

 

"กูไม่เคยทำให้มึงร้องไห้เลย"

 

...ก็จริงของมัน

 

...

 

ราวกับใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว วันหยุดยาวของผมก็หมดไปทั้งที่แขนยังไม่หายดี วันนี้ผมต้องกลับไปทำงาน แต่ก็คงดีกว่าอยู่เฉยๆ เพราะมันน่าเบื่อ วันนี้เลยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ธงทัพยังคงตามติดชีวิตอย่างกับผมเป็นผู้พิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช้านี้ก็มาส่งผมถึงที่ทำงานโดยไม่ได้ร้องขอ

"อย่าหักโหม อย่าไปยกของอะไรหนักๆ ใครใช้ให้ทำอะไรก็ไม่ต้องรับปากไปทุกเรื่อง เลี่ยงๆ บ้างก็ได้ เข้าใจไหม?"

"เข้าใจ"

"ถ้าเจ็บหรือทำงานไม่ไหว ก็โทรหากูทันทีเลย เข้าใจป่ะ?"

"เข้าใจๆ"

"มีอะไรรีบบอกกูนะ"

"เออ! เข้าใจแล้ว!"

ธงทัพหันขวับมองหน้าตอนที่ผมเสียงดังใส่ ทำตาโตพลางยกมือขึ้นทาบอก

"กูตกใจหมด นี่มึงเสียงดังใส่กูเหรอ"

"ก็ย้ำคำเดิมแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากห้องแล้ว เข้าใจจนไม่รู้จะเข้าใจยังไงแล้ว ภูโตแล้วนะครับพี่ทัพ ภูโตแล้ว"

"หึ! ปล่อยท่าไม้ตายใส่กูอีก"

ผมหลุดยิ้มนิดหนึ่งก่อนรีบเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม แล้วใช้มือข้างหนึ่งหมุนตัวธงทัพให้หันหลังกลับไป

"ไปทำงานได้แล้ว"

"เจอกันตอนเย็นนะ"

"จะนอนห้องกูเหรอ"

"อือ วันนี้กูไม่มีงานค้างคงได้เลิกเร็ว เดี๋ยวซื้อข้าวเย็นไปเอง"

"ก็ดี ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก"

"เออ ไปแล้ว ไม่ต้องออกไปส่งหรอก"

"ไม่ได้คิดจะไปส่งอยู่แล้ว"

"เหอะ!" ธงทัพกระแทกเสียงใส่ทีหนึ่ง ก่อนก้าวเท้าออกไป ผมเองก็หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าตึก ได้เพียงสองสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักเพราะคนที่เพิ่งแยกกันไปวิ่งกลับเข้ามาหา ส่งเสียงกระซิบจากด้านหลังโดยไม่ได้มองหน้า

"พี่เป็นห่วงนะ เข้าใจป่ะ"

เมื่อผมหันหลังกลับไปมอง อีกคนก็สับขาวิ่งออกไปไวกว่าแสง ทิ้งให้ผมยืนงงกับการกระทำของมัน ก่อนความงุนงงนั้น จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในตอนที่ธงทัพเดินหันหลังไปไกลแล้ว 

 

ธงทัพ...ไอ้หมาบ้า 

 

...

 

"น้องภู! น้องภูกลับมาแล้ว"

"น้องภูของพี่!"

"น้องภูลูกแม่!"

ผมยิ้มให้พนักงานในบริษัทที่สามัคคีกันหันมาทักทายตอนที่หันมาเห็นผม เพราะผมอายุน้อยที่สุดในบริษัท ผมเลยกลายเป็นเด็กน้อยของพวกเขา

"แล้วแขนเป็นยังไงบ้างภู หายดีแล้วหรือยัง"

"ดีขึ้นแล้วครับ"

"คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ จะได้ไม่เจ็บตัวอีก"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนเท้าจะหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงไป พี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงหันมาบอกกับผม

"เขาจะรีโนเวทออฟฟิศใหม่น่ะ เราจะมีห้องทำงานใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม แต่ว่าตอนนี้ต้องย้ายไปทำงานที่ชั้นสิบก่อน พวกพี่เก็บของจากโต๊ะทำงานภูขึ้นไปให้แล้วล่ะ"

"อ๋อ ครับ ขอบคุณครับ"

ผมเดินตามพวกพี่ขึ้นมายังห้องทำงานชั่วคราวที่ชั้นสิบของตึก เดินผ่านโต๊ะของตัวเองไปหยุดอยู่ที่บานกระจกฝั่งหนึ่งของตึกซึ่งมองเห็นภาพด้านนอกได้ไกลออกไป ความสูงของชั้นไม่ได้มากพอที่จะมองเห็นวิวอะไรที่สวยงามมากมาย แต่ผมกลับชอบที่ผนังกระจกใสทำให้ห้องดูโปร่งและโล่ง ด้วยความชื่นชอบนั้นจึงเกิดเป็นรอยยิ้มขึ้นมาจนพี่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เอ่ยปากแซว   

"ชอบเหรอภู ยิ้มกว้างเชียว"

"ชอบครับ"

"เช้าๆ ก็สวยดีนะ แต่บ่ายๆ นี่ร้อนชิบหายเลยล่ะ รูดม่านปิดแทบไม่ทัน กลับไปอยู่ชั้นสามอะดีแล้ว"

ผมยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ข้าวของที่พี่เขาเก็บมาให้ยังอยู่ในลัง ผมจึงค่อยๆ เอาออกมาวางบนโต๊ะ ชิ้นแรกที่หยิบออกมา คือต้นตะบองเพชรที่ธงทัพซื้อให้ ซึ่งถูกใส่รวมอยู่ในลัง ดินในกระถางหกหายไปครึ่งกระถาง ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่อยู่จึงไม่มีใครดูแลมัน ดูเหี่ยวเฉา แต่ยังไม่ตาย ผมจึงหยิบดินกลับใส่คืนในกระถาง กดเบาๆ ประกอบกลับให้มันกลายเป็นตะบองเพชรต้นเดิม แต่ยังไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมเพราะมีอย่างหนึ่งที่หายไป ผมหยิบของในลังออกมาวางเพื่อหาส่วนประกอบชิ้นนั้น ก่อนมันจะหล่นลงมาตอนที่ผมคว่ำลังใบนั้นลง ผมก้มลงหยิบตุ๊กตาปูนปั้นรูปเป็ดสีเหลือง แล้วปักมันลงข้างๆ ต้นตะบองเพชร ก่อนขยับมันไปวางข้างผนังกระจกเพื่อรับแสงแดดในตอนเช้า

 

"กูไม่ชอบต้นไม้"

"แต่นี่คือตะบองเพชร"

"ก็คือต้นไม้"

"คือตะบองเพชร"

"เออ นั่นแหละ ไม่ชอบ"

"เอาไปวางบนโต๊ะทำงาน น่ารักดี มีเป็ดด้วยดูสิ"

"ไม่เอาได้ไหม ถ้ามันตายล่ะ"

"มันไม่ตายง่ายๆ หรอก"

"ถ้ากูทำมันตายล่ะ"

"ตายก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูซื้อต้นใหม่ให้"

"ก็ได้...แล้วทำไมต้องมีเป็ดด้วย"

"เพราะภูผาหน้าเหมือนเป็ด"

"น่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

"ไม่ดิ เป็ดน่ารักเหอะ"

"..."

"โคตรน่ารัก"

 

 

"ภูผา"

"ครับ"

"หนูมาดูนี่ให้พี่หน่อยสิ"

"ได้ครับ"

ผมละความสนใจจากต้นตะบองเพชรไปที่หน้าจอคอมพ์ ก่อนจะเริ่มทำงานหลังจากที่พักไปอาทิตย์หนึ่ง ในตำแหน่งพนักงานด้านไอที แต่หน้าที่ครอบคลุมแทบทุกอย่างและผมไม่เคยปฏิเสธการถูกใช้งาน ผมจึงกลายเป็นลูกรักของพี่ๆ ในบริษัทไป แม้ผมจะพูดน้อย ใช้รอยยิ้มแทนคำพูดมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรในการทำงาน ผมมีความสุขดีกับงานที่นี่ ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่เคยเป็นมา จืดจาง เรียบง่าย ธรรมดา และมีชีวิตชีวาในบางครั้ง

 

เย็นนั้นผมเลิกงานช้ากว่าปกติจึงเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากออฟฟิศ ในตอนที่กำลังจะปิดไฟในออฟฟิศ ฝนก็พลันตกลงมาพอดีในตอนนั้น ผมละมือออกจากสวิทซ์ไฟ แล้วก้าวเท้าช้าๆ ไปที่ผนังกระจก มองดูเม็ดฝนที่กระทบเข้ามา ท่าทางจะไม่หยุดตกง่ายๆ ลังเลอยู่ในใจว่าจะรออยู่ที่นี่ให้ฝนซา หรือว่าจะกลับไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้ ผมตัดสินใจไม่นานก่อนจะเลือกกลับห้อง อาจเป็นเพราะนึกไปถึงคนที่รออยู่...ธงทัพน่าจะรออยู่

ผมเดินออกจากลิฟต์ แล้วตรงไปยังประตูทางออก แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักราวภาพสะดุดเมื่อหันไปเห็นคนที่กำลังเดินสวนมา สองขาพาผมถอยหลังกลับมาหลบหลังกำแพงอีกฝั่งโดยอัตโนมัติ อาจจะตาฝาดไป อาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่ว่า...ผมเห็นนาวี

ผมคลายหัวคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วชะโงกหน้าออกไปมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ แต่คราวนี้ต้องชะงักจนลั่นเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะชะโงกไปเจอกับอีกคนที่ก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าพอดี

"เฮ้ย!"

ผงะถอยหลังจนเกือบล้ม คนที่ทำให้ผมตกใจก็เป็นคนเดียวกับที่ยื่นสองมือมาจับแขนผมเอาไว้ไม่ให้หงายหลัง

"ตกใจเหรอ"

ผมไม่ได้ตอบอะไร นอกจากดึงแขนตัวเองกลับมา

"ทำงานที่นี่เหรอ"

"..."

"ทำไมกลับบ้านช้าจัง"

"..."

"ข้างนอกฝนตกหนักนะ มีร่มไหม"

ผมได้ยินทุกคำถามที่ออกมาจากปากนาวี แต่ไม่มีสักคำตอบที่ออกจากปากผมไป กระทั่งนาวีหยุดพยายามที่จะพูดอะไร กลายเป็นความเงียบระหว่างเราสองคน ผมอยากก้าวเท้าหนี แต่ขามันไม่ยอมทำตามที่ใจคิด...ไม่เข้าใจเลย

"คุณนาวี"

ทั้งผมและนาวีหันไปมองเสียงของคนที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นหัวหน้าผมจึงฝืนยิ้มทักทาย

"สองคนรู้จักกันด้วยเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่นาวีกลับพยักหน้ารับ เมื่อผมหันมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาจึงแสร้งหันหน้าหนีไปอีกทาง

"นี่คุณนาวี สถาปนิกรีโนเวทออฟฟิศเรา"

ได้ทำงานอย่างที่อยากทำเลยสินะ...ชีวิตเป็นไปอย่างที่คิดเลยสินะ...

ชั่วครู่เดียวในความคิด ถ้อยคำเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ก็พลันหายไป

"ผมกลับก่อนนะครับ" ผมหันบอกหัวหน้า ไม่ได้มองนาวีเลยแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น อยากไปให้เร็วกว่านี้ ให้ไกลกว่านี้ แต่เพราะฝนที่กระหน่ำลงเม็ดมา ทำให้ผมต้องหยุดอยู่กับที่เพราะไปไหนไม่ได้ แม้จะยืนอยู่ใต้หลังคาแต่ว่าน้ำฝนยังคงใจร้ายด้วยการสาดเข้ามาจนตัวเปียก ผมถอนหายใจเบาๆ ตัดสินใจที่เดินวิ่งลุยฝนข้ามไปขึ้นรถอีกฝั่ง แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวออกมา สองขาก็ต้องหยุดกึกเพราะมือหนึ่งดึงแขนผมเอาไว้ แน่นอนว่าเป็นเขา ...นาวี

"เอาร่มไปดิ"

"..."

"ยังโกรธกูอยู่เหรอ"

"..."

"มีแพลนจะหายโกรธบ้างไหม"

"..."

"ภูผา"

"..."

"ช่วยพูดอะไรกับกูสักคำได้ไหม"

"บอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอมึงอีก ไม่อยากเจอมึงเลย กลับมาทำไม"

"ภูผา..."

ผมไม่ได้รอฟังต่อว่านาวีจะพูดอะไร ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ร่างกายก็เปียกชุ่มในทันทีเพราะเม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาไม่หยุด แต่ทุกอย่างอยู่เหนือความสนใจเมื่อสมองของผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ผมพาร่างกายที่เปียกปอนของตัวเอง เดินฝ่าพายุฝนไปเรื่อยๆ ผมอยากเดินให้เร็วกว่านี้ หัวใจผมเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ร่างกายยังอยู่ที่เดิม

ผมไม่รู้ว่าควรคิดถึงอะไรในตอนนี้ เพราะทั้งหมดที่มีในหัวมันว่างเปล่า หรือไม่ใช่...จะเรียกว่าว่างเปล่าก็ไม่เต็มปากเท่าไร เพราะผมยังคงคิดถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อครู่ นาวีกลับมา...และอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

 

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลานานขนาดไหนจึงเดินกลับมาถึงห้องได้ หยดน้ำจากเสื้อผ้าไหลเป็นทางระหว่างที่เดินมาหยุดที่หน้าห้อง ผมหลับตาถอนหายใจช้าๆ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ในนาทีนี้ ธงทัพรอผมอยู่...รอนานกว่าที่เคยรอ

ผมปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ แล้วเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของคนที่รออยู่ ซึ่งดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ผมแสดงละครไม่เก่งนัก แต่ก็รีบสร้างเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่กำลังโกรธจนหน้าตึง

"เปียกหมดเลย ฝนตกอะไรนักหนาก็ไม่รู้ นี่มันยังไม่หมดฤดูฝนอีกหรือไง กระเป๋าก็เปียก โทรศัพท์ก็เปียกหมดเลยแม่ง! กู...เปียก...หมดเลย..." ผมแกล้งใส่อารมณ์เล่นใหญ่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง เพราะธงทัพยังคงมองด้วยแววตาเรียบเฉยแบบนั้น

"คิดว่าโมโหกลบเกลื่อนแล้วจะรอด ไม่เนียนเนอะ"

"ไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ"

"เพิ่งเลิกงาน งานเยอะมาก"

ผมโกหก และธงทัพก็จับได้ง่ายว่าโกหก แค่มันลุกขึ้นยืนสุดความสูงพร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมก็ตัวหดเล็กลง แล้วถอยหลังหนี คราวนี้ยอมรับว่ากลัว

"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ"

ผมเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ คิดว่าจะโดนดุมากกว่านั้น แต่กลับพลิกล็อกไล่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงอาศัยจังหวะนั้นรีบเดินเข้าห้อง รีบร้อนถอดเสื้อเชิ้ตออกจนลืมแกะกระดุมที่แขนเสื้อ ในตอนที่กำลังจะดึงเสื้อออก ก็ดันไปติดอยู่กับเฝือกที่แขน แลดูทุลักทุเล ไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ ธงทัพก็เดินเข้ามาพอดี คงนั่งมองผมอยู่นานแล้ว 

"อะไรของมึง"

"ลืมแกะกระดุม"

มันส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอดเสื้อผมออกข้างหนึ่งก่อน

"มึงโกรธกูเหรอ"

"เปล่า"

"กูขอโทษได้ไหม กูไม่ได้ตั้งใจจะกลับช้า แต่ว่า..."

"เออ ไม่ต้องอธิบายแล้ว กูไม่ได้โกรธอะไรนักหนา แค่รอนานแล้วติดต่อมึงไม่ได้ กูก็เป็นห่วงไปงั้นแหละ"

ผมหลุดยิ้มออกมา ก่อนธงทัพจะปลดเสื้อผมออกจากแขนได้ข้างหนึ่ง

"ก็นึกว่ามึงโกรธ"

"ไม่ได้โกรธ"

"ใครจะไปรู้ ปกติชอบโกรธเป็นหมาบ้า"

"หมาบ้าอะไรมึง! รีบๆ ถอดเลย กูหิวข้าวแล้ว เร็วๆ"

"เบาๆ ดิ! โอ๊ย! โอ๊ยเจ็บนะ ธงทัพ! พี่ทัพ! ภูเจ็บ!"

ผมตะโกนลั่นเพราะแรงกระชากนั่นทำให้ผมเจ็บจริงๆ เจ็บแบบไม่ได้แกล้งเลย ผมถอยหลังแล้วนั่งลงกับพื้น ยกมืออีกข้างขึ้นกุมแขน ไม่มีคำพูดใดนอกจากใบหน้าบ่งบอกความทรมาน

"เจ็บจริงเหรอ"

เหมือนว่าจะลืมหายใจไปชั่วขณะเพราะความเจ็บที่ร้าวรานไปทั่วทั้งแขน ผมพ่นลมหายใจยาวๆ แล้วเงยขึ้นไปพยักหน้ารับ

"เฮ้ย ขอโทษ"

"..."

"ภูผา กูขอโทษ"

ธงทัพคุกเข่าลงตรงหน้า สองมือประคองใบหน้าผมให้เงยหน้าขึ้นมองมัน เมื่อความเจ็บค่อยๆ หาย ผมจึงได้สติกลับมารับฟังคำขอโทษที่ย้ำอยู่อย่างนั้นไม่หยุด

"ขอโทษ เจ็บมากเปล่า กูขอโทษ"

"ไม่เป็นไร"

"เจ็บมากไหม บอกกู"

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

"ขอโทษ"

"ไม่ต้องขอโทษแล้ว"

ธงทัพแสดงสีหน้ารู้สึกผิดมากที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะสำนึกผิดได้ ต่างกับผมที่กำลังเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม กระทั่งหลุดยิ้มออกมาจนได้

"ขอโทษนะ"

"หายแล้ว ไม่เป็นไร"

ธงทัพพยักหน้ารับ ก่อนฝ่ามืออุ่นของมันจะแตะเข้าที่ข้างแก้มผมเบาๆ ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาแต่ไม่ทันไหล เหมือนเราต่างคนต่างยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เราใกล้กันเกินไป ใกล้จนคล้ายกับว่า ผมได้ยินความปรารถนาในใจของธงทัพที่ร่ำร้องบางอย่างอยู่ ก่อนความต้องการนั้นจะเปิดเผยออกมา ด้วยการกระทำ   

ธงทัพที่ตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมา เพื่อสัมผัสริมฝีปากเข้าด้วยกันกับริมฝีปากของผม แม้ประหลาดใจแต่ไม่ได้ถอยหนี ที่ผ่านมาธงทัพเว้นระยะห่างระหว่างกายเราเอาไว้เสมอ ไม่เตะต้อง ไม่สัมผัส ไม่เกินเลย แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าภายในใจมันคิดอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่ช่องว่างตรงนั้นระหว่างเรามันหายไป...ธงทัพก้าวข้ามมันเข้ามาแล้ว แม้ด้วยความไม่ตั้งใจก็ตามที   

ผมกำลังขยับริมฝีปากที่ปิดสนิทเพื่อให้สัมผัสนั้นได้แนบแน่นขึ้น หากแต่มันเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวคล้ายกับสติที่พลันหายไปชั่วครู่ปรากฏขึ้นมาชัดเจน ธงทัพถอนริมฝีปากออกไป ด้วยใบหน้าที่ดูตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่สบตา ไม่มองหน้า แล้วเอ่ยคำๆ หนึ่งออกมาเบาๆ

"ขอโทษ"

"..."

"พี่ขอโทษ"

ผมยกสองมือเย็นเฉียบของตัวเองขึ้นประคองใบหน้าเรียบเฉยนั่นให้หันกลับมามองตากัน

"ไม่เป็นไร"

"..."

"พี่ทัพ"

"..."

"ทำต่อสิ"

ธงทัพจูบแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง...ด้วยความตั้งใจ อีกครั้ง และอีกครั้ง กระทั่งถอนริมฝีปากตัวเองออกไป ผมไม่รู้ว่าธงทัพกำลังคิดอะไรหรือลังเลอะไร แต่รับรู้ได้ถึงความอึดอัดผ่านจูบที่ดูสับสน จนริมฝีปากนั้นถูกถอนออกไป แล้วเกิดเป็นคำถามขึ้นมาแทน

"ถามอะไรหน่อย"

"อะไร"

"มึงรู้ใช่ไหมว่ากูเป็นใคร"

ผมขมวดคิ้วมอง ไม่เข้าใจในคำถามนั้นจึงไม่ได้ตอบ อีกฝ่ายก็ถามซ้ำออกมา

"รู้ไหมว่ากูเป็นใคร"

"ธงทัพ"

"รู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังจูบอยู่กับใคร"

"ธงทัพ"

ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างเคย แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำถามแบบนั้นหมายความว่าอะไร สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจคงชัดเจน จนธงทัพอธิบายเหตุผลของมันออกมาเอง

"ย้ำให้มึงรู้ตัว"

"..."

"เพราะกูไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อแทนที่ใคร"

จบประโยคนั้นริมฝีปากเดิมก็โน้มลงสัมผัสเข้ามาอีกครั้ง ผมขยับริมฝีปากรับปลายลิ้นที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา รอยจูบที่เชื่องช้า เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราต่างคนต่างรู้ตัวดีว่ามันมีมากกว่านี้...ความต้องการของเราสองคน

ธงทัพอยู่ข้างๆ ผมมาตลอด ทำให้ผมสบายใจ ในวันที่ชีวิตเกือบแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ธงทัพประกอบรวมให้มันกลับกลายเป็นชีวิต ทีละชิ้น ทีละส่วน...อย่างใจเย็น โดยไม่บีบบังคับกัน คงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะหวั่นไหวไปกับคนๆ นี้...ไม่ใช่ความผิดผมใช่ไหม...มันถูกต้องหรือเปล่า...มันควรจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า คราวนี้เป็นผมที่สับสน ราวกับว่า

...ปรารถนา แต่ว่าหวาดกลัว

"ธงทัพ"

"..."

"กอดกูหน่อยได้ไหม"

ทำตามที่บอกโดยทันที ผมหลับตาลง ปล่อยตัวเองจมอยู่ในอ้อมกอดของธงทัพ

"บอกกูทีว่ามันจะไม่เป็นไร"

"ไม่เป็นไร"

"..."

"ไม่เป็นไร กูอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร"

"..."

"ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร"

ริมฝีปากเราสัมผัสกันอีกครั้ง หมดเหตุผลและสิ่งใดกั้นขวางระหว่างเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเดินทางต่อไปด้วยความปรารถนา เมื่อปล่อยวาง...จึงไร้กังวล

ผมยอมแล้ว ทุกอย่างเลย

เมื่อไร้เสื้อผ้าบดบังร่างกาย ผมมองเห็นรอยสักรูปสามเหลี่ยมที่อกข้างซ้ายของธงทัพ ผมเคยถามถึงความหมาย ธงทัพตอบผมแต่ไม่ชัดเจนนัก รู้เพียงว่า มันไม่ใช่สามเหลี่ยม...แต่เป็นภูเขา 

ผมรู้จักธงทัพมาแปดปี รู้ใจกันดีพอ แต่ไม่รู้จักร่างกายของอีกฝ่ายเลย คล้ายกับกำลังทำความรู้จักกันใหม่ในโอกาสนี้ ทุกผิวสัมผัส ทุกส่วนของร่างกาย ทุกพื้นที่ของธงทัพ ทุกพื้นที่ของผม เราเรียนรู้กันและกัน

จะอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำให้ได้... ธงทัพบอกกับผมแบบนั้น ด้วยแววตาพร่าเบลอและประสาทการรับรู้ที่ได้ยินไม่ชัดนัก ธงทัพจูบผม ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมพลันคิดเล่นๆ อยู่ในใจ อีกกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ ให้เพียงพอสำหรับคนๆ หนึ่งคนที่รออย่างใจเย็นมาแปดปี

วันนี้ผมยกตัวเองให้ธงทัพ ยอมเจ็บเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง เพื่อให้เราได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยความเชื่องช้าและแผ่วเบา ธงทัพบอกคำว่ารักผ่านเสียงกระซิบ ผมตอบกลับอย่างจริงใจด้วยคำว่ารักเช่นเดียวกัน

ผมลืมตาขึ้นตอนที่ธงทัพใช้ฝ่ามือแตะเข้ามาที่ใบหน้า ขยับนิ้วปาดน้ำตาของผมออก ก่อนน้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน อ่อนโยนในแบบที่ธงทัพเป็นมาตลอด...

 

"แล้วกูก็เป็นคนทำให้มึงร้องไห้จนได้"

 

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 17-09-2018 23:48:09
แพ้ แพ้อย่างราบคาบเราขอโทษนะนาวีเราย้ายข้างแล้วธงทัพคือคนที่ใช่มากตอนนี้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 17-09-2018 23:54:01
กรี๊ดดดดด พี่ทัพน้องภู
อ่านจบคือไม่มีสติแล้วค่ะ
เห็นว่ามาอัพก็ดีใจมากๆแล้ว
เจอตอนนี้เข้าไปคือเหมือนได้รางวัลพิเศษ
โอ่ยย มันดี ดีมากๆเลยค่ะ  :m25:
ชอบคู่นี้ อยู่ด้วยกันแล้วน่าร้ากกกก
ธงทัพสักรูปสามเหลี่ยมเพราะเป็นได้ทั้ง
ภูผาทั้งธงทัพใช่ม้ายยย
โอ่ยยย มันดี มันรุนแรงต่อใจ   :give2:
 
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 18-09-2018 00:29:33
คือแบบไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยอ่ะ รุนแรงต่อใจเหลือเกินนน พี่ทัพของน้องภู :-[
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-09-2018 02:48:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 18-09-2018 07:08:46
ดีใจมาต่อแล้ว ในที่สุดความสัมพันธ์ก็คืบหน้าแล้ว แต่ภูผายังคงอ่อนไหวมากเวลาเจอนาวี หลังจากนี้คงเจอเรื่อยๆ ดราม่ามาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-09-2018 11:44:49
ถ้าสองคนเขาไปกันได้ดีก็ไม่มีที่สำหรับเราแล้วเนาะนาวี มาซบอกป้ามา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 18-09-2018 17:25:36
ฮรือออ ยอมแล้วจ้าพี่ทัพจ๋า มีความหมีอบอุ่น เข้าใจน้องภูเลย แบบมันต้องไปต่อข้างหน้าอ่ะ #ทีมธงทัพ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-09-2018 21:29:15
น้อลลลลลล น้องยอมแบบเต็มใจมาก แต่...ไม่ใช่เพราะตอบแทนใช่ไหม? ไม่ใช่เพราะรู้ว่าพี่ทัพรอมา 8 ปีแล้วใช่ไหม? แอบกังวลแทนพี่ทัพนะเนี่ย

ชอบประโยคนึงของนาวี  “มีแพลนจะหายโกรธกันบ้างไหม” คือแบบ...น่ารักอ่ะ 55555 ชีวิตต้องมีการวางแผน รวมถึงเรื่องนี้ด้วยงั้นไหม? 5555 ชอบๆๆๆ

เรายังไม่เลือกข้างนะ เราคนโลภ ไม่ว่าน้องภูจะเลือกใคร? ทั้งพี่ทัพ ทั้งนาวี ก็เปนของเรา (ในมโน) 5555
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-09-2018 22:55:49
อยากให้น้องเริ่มต้นใหม่ รักพี่ทัพให้เต็มหัวใจ ให้นาวีเป็นความทรงจำดีๆ นะลูก  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-09-2018 02:27:59
เห็นอัพตอนใหม่แล้วรีบกดเข้ามาอย่างไว แล้วก็เซอร์ไพรส์!!!! พี่ทัพน้องภูเขาหวานกันแล้ววว แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ก็พี่ทัพดีมาตลอดเลยจริงๆทั้งดูแลอยู่เคียงข้างก็ถ้าภูผาไม่เอาเราจะเอาเองนี่แหละ ฮ่าๆๆ ส่วนนาวีที่คอยตามภูผานี่เพื่ออะไรเหรอ อยสกได้รับการให้อภัยหรือคิดอยากกลับมาคบกัน ถ้าเป็นอย่างหลังเราว่านาวีเลิกคิดเถอะ อดีตก็คืออดีต
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 19-09-2018 04:25:16
ตอนใหม่มาถึงกับอุดปากกรี๊ด

ฮื้อ เขาใจตรงกันแล้ว นาวีทางนี้ลูก มาทางนี้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.16] 17/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 19-09-2018 14:44:45
โคตรคิดถึง :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 21-09-2018 17:37:01
Episode 17

 

ผมยังเป็นคนเดิม
ไม่ว่าคุณจะคิดถึง
หรือลืมทุกอย่างที่ผมเป็น

 

 

"รอยสักนั่นตั้งแต่เมื่อไร ไม่เคยเห็น"

"สวยปะ"

"ไม่เลย ชอบแบบสะอาดๆ มากกว่า"

"นี่มันสกปรกตรงไหน"

"ก็แค่ไม่อยากให้ร่างกายเป็นรอย"

"ก็นิดเดียวเอง"

"แล้วมันมีความหมายไหม"

"ลองดูดิว่ามันเหมือนอะไร"

"ก็แค่สามเหลี่ยม"

"ไม่ใช่แค่นั้น"

"รูปธงเหรอ? ธงสามเหลี่ยม หมายถึงธงทัพ?"

"ก็อาจจะใช่ แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด"

"แล้วคืออะไร?"

"ภูเขาน่ะ ภูเขา"

"ภูเขาเหรอ ไม่เห็นจะเหมือนเลย..."

 

"ภูผา"

"..."

"ภู"

เป็นประจำอย่างทุกเช้าในตอนที่ธงทัพมานอนห้องผม มันจะต้องเป็นคนตื่นก่อนเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน จัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยเรียกให้ผมตื่นในตอนที่กำลังจะออกจากห้อง

"ไปทำงานแล้วนะ"

"อือ"

"เจอกันตอนเย็นนะ"

"ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องมาก็ได้ มานอนนี่มึงก็ต้องตื่นเช้า"

มันนิ่งเหมือนใช้ความคิด ก่อนจะสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น

"ไม่มาก็คิดถึงตายห่าเลย"

"บ้า...ธงทัพ คือเมื่อคืน..."

"จะขอบคุณมากเลยถ้าจะไม่พูดเรื่องเมื่อคืน"

ผมเลิกคิ้วขึ้นมองตอนที่ถูกเบรกประโยคที่กำลังเอ่ย

"ทำไมวะ"

"กูเขิน"

"ฮึ?"

"เขินจนทำใจไม่ได้ หัวใจกูยังไม่กลับมาเต้นเป็นปกติเลยเนี่ย หาจังหวะลงไม่เจอเลย"

ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ กับท่าทางของมัน ยืนเกาะขอบประตูแล้วยิ้มกว้าง ธงทัพมีชั้นตาที่แปลกๆ บางครั้งก็เป็นชั้นเดียว บางครั้งมีสองชั้น แต่วันนี้กลายเป็นขีดเดียวยาวๆ เพราะเอาแต่ยิ้มกว้างจนมุมปากแทบยกขึ้นชนกับหางตาอยู่แล้ว ไปมีความสุขมากจากไหนนักหนา

"กูแค่จะบอกว่าเมื่อคืนกูทำหนังสือมึงเปียกไปเล่มหนึ่ง"

รอยยิ้มรวบหุบแล้วดวงตาคู่นั้นก็เปิดโพล่งขึ้นทันที

"ก็เสื้อกูเปียก แล้วก็ถอดมันไปวางตรงนั้นพอดี..." ผมอธิบายแต่ไม่ทันจบ ธงทัพก็ก้าวเท้าเข้าไปหาหนังสือที่เปียกชื้น อยู่ข้างๆ กองเสื้อผ้าที่เปียกแฉะ ผมรู้เล่มนั้นธงทัพหยิบมันขึ้นมาอ่านบ่อยๆ เป็นเล่มโปรดและอาจจะหายาก ธงทัพหยิบมันขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เกินจะเดาอารมณ์ มองหน้าผมสลับกับหนังสือในมือ ความผิดปกติของอารมณ์แสดงให้เห็นผ่านใบหน้าเรียบเฉยนั่น ผมยกสองมือขึ้นพนมโดยอัตโนมัติ หนทางการเอาตัวรอดคือใช้ไม้ตายที่ธงทัพแพ้ราบคาบอยู่เสมอ

"พี่ทัพ ภูขอโทษ"

"นี่เล่มโปรดเลย"

"ธงทัพ"

"นี่มัน..." ธงทัพยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเหมือนกำลังกลั้นอาการร้องไห้ ทรุดลงนั่งไปพร้อมหนังสือเล่มนั้น ผมเบิกตาขึ้นอย่างตกใจ ลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็พบว่าตัวเองยังเนื้อตัวเปลือยเปล่า เลยม้วนผ้าห่มพันตัวลวกๆ แล้วกระโดดลงไปนั่งข้างๆ ธงทัพที่กอดหนังสือเล่มนั้นเอาไว้ในมือ

"พี่ทัพ ภูขอโทษ เดี๋ยวหาซื้อเล่มใหม่ให้"

"นี่มันพิมพ์ครั้งแรกเลย หาซื้อไม่ได้แล้ว"

"จริงเหรอ แล้ว...ทำไงดี เอาไปแช่ตู้เย็นไหม..."

"นี่หนังสือไม่ใช่ปลาสด มึงจะเอาไปแช่ตู้เย็นทำไม"

"เคยได้ยินว่ามันช่วยได้ ขอโทษจริงๆ ทำไงดี"

"กูเศร้าเลยเนี่ย"

"เฮ้ย ไม่เศร้าดิ"

"..."

"พี่ทัพ"

"..."

ผมคุกเข่าลงตรงหน้า พยายามยื่นหน้าตัวเองเข้าไปให้ธงทัพมองแต่กลับโดนเมินไปทางซ้ายขวาทีเหมือนกำลังงอนกัน

"พี่ทัพให้ภูทำอะไรก็ได้ ภูขอโทษ มองหน้าหน่อยสิ พี่ทัพ.." 

จนในที่สุดธงทัพหันมองหน้าผม หัวคิ้วที่ขมวดเข้ากันกับริมฝีปากที่เชิดขึ้นนิดๆ บ่งบอกความไม่พอใจหรือไม่ก็กำลังรู้สึกเศร้าอยู่จริงๆ ผมไม่เคยเห็นธงทัพร้องไห้ แต่ถ้าด้วยเรื่องนี้จะเป็นสาเหตุให้น้ำตามันไหลออกมา ผมคงรู้สึกผิดแย่

"ภูผาหน้าโง่"

"อะไรนะ..."

พูดไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากของอีกคนก็ยกมุมข้างหนึ่งขึ้นยิ้มตามแบบฉบับ ก่อนใช้ริมฝีปากนั้นขยับเข้ามาแตะริมฝีปากผมครั้งหนึ่ง รวดเร็วแต่พอรับรู้ว่านั่นมันคือจูบ

ธงทัพทิ้งหนังสือในมือลงกับพื้นก่อนรีบวิ่งออกไปจากห้อง ผมกระชับผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ แล้วหันมองหน้าปกของหนังสือเล่มนั้น

 

พิมพ์ครั้งที่ ๔

 

นั่น...โดนหลอกจูบ

 

...

 

 

            วันนี้ที่ทำงานก็ยังคงวุ่นวายเหมือนเช่นทุกวัน มนุษย์สัมพันธ์ของผมไม่ถึงกับติดลบ แต่ก็ไม่ได้คะแนนสูงนัก ผมจึงชอบงานที่ทำอยู่กับหน้าคอมพ์มากกว่าหน้าคน เรื่องเดียวที่น่าเบื่อระหว่างการทำงาน คือสายตาของผมไม่ดีเหมือนเก่า นั่งทำงานนานๆ ทีไร ความหงุดหงิดของชีวิตก็ปรากฏเป็นระยะด้วยอาการปวดตาเป็นพักๆ มันไม่ได้เจ็บปวดหรือเข้าขั้นทรมาน แต่มันน่ารำคาญ ปวดๆ แสบๆ สลับกันไป ผมหลับตาลงสองสามครั้งหวังว่าความพร่าเบลอนั่นจะหายไป แต่ไม่เป็นผล เผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังจนพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถาม

"เป็นอะไรภู"

"ไม่มีอะไรครับ"

ผมปฏิเสธก่อนหมุนเก้าอี้หันมองอย่างอื่นให้สายตาได้พักผ่อนบ้าง ผมทอดสายตามองไปยังผนังกระจกกว้าง เลื่อนสายตามองหาต้นตะบองเพชรเป็ดน้อยของผม แต่ไม่มี...ไม่มี...

"เฮ้ย"

ผมลุกพรวดจากเก้าอี้แทบจะกระโดดไปยังจุดที่วางตะบองเพชรเอาไว้ตรงนี้ แต่กลับหายไป โดยที่ผมเองก็ไม่ทันได้สังเกต

"พี่ครับ มีใครเห็นตะบองเพชรของผมไหม ผมวางมันไว้ตรงนี้"

"เมื่อเช้ายังเห็นอยู่เลยนะ"

คิ้วผมขยับชนกัน นึกไปถึงครั้งสุดท้ายที่มองเห็นมัน แต่ในหัวก็พร่าเบลอพอๆ กับสายตาที่ยังไม่กลับมามองเห็นชัด

"ภูผา ร้องไห้ทำไมลูก"

ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะตะบองเพชรหาย แต่น้ำตาไหลออกมาตอนที่กระพริบตาสองสามครั้ง ดวงตาแห้งผากได้น้ำตากลับมาทำให้มันชุ่มชื้น ผมจึงหายจากอาการแสบตาเป็นปลิดทิ้ง

"มีใครเห็นต้นไม้น้องไหม"

"ใครหยิบไปหรือเปล่า"

"ตอนพักเที่ยงแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด ลองไปถามแม่บ้านดูไหม"

"เดี๋ยวพี่ไปถามให้ ไม่ร้องนะลูกนะ"

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ร้องไห้ ไม่เป็นไรครับ" ผมรีบร้อนอธิบาย อย่างที่บอกว่าผมเป็นน้องเล็กที่พี่ๆ ทะนุถนอมราวกับเป็นลูก เรื่องเล็กๆ ของผมจึงกลายเป็นเหตุให้คนทั้งออฟฟิศลุกฮือขึ้นมาให้ความสนใจจนอธิบายแทบไม่ทัน

"เดี๋ยวผมลองไปถามป้าแม่บ้านเองครับ"

"จ้ะๆ ไม่ต้องร้องไห้นะลูกนะ"

"ไม่ได้ร้องครับ แค่แสบตา จริงๆ นะครับ ผมไม่ได้ขี้แงซะหน่อย" ผมทิ้งคำนั้นเอาไว้พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินออกมาตามหาแม่บ้าน ก่อนจะมาเจอป้าแม่บ้านที่หน้าลิฟต์พอดี

"ป้าครับ!"

"คะ?"

"เมื่อกลางวันป้าเข้าไปทำความสะอาดที่แผนกไอทีใช่ไหมครับ"

"ใช่จ้ะลูก"

"ป้าเห็นต้นตะบองเพชรที่วางอยู่ข้างผนังกระจกไหมครับ ตะบองเพชรที่มีเป็ดสีเหลืองๆ..."

"อ๋อ"

ผมพลางพยักหน้าไปพร้อมกันตอนที่ป้านึกออกขณะที่ผมกำลังอธิบาย

"ป้าทิ้งไปแล้วน่ะจ้ะ ของหนูเหรอลูก"

"ครับ..." น้ำเสียงผิดหวังเปล่งออกไป สีหน้าของผมก็โกหกไม่เป็นเช่นกัน ตอนนี้มันคงหงอยยิ่งกว่าเด็กประถมตอนโดนแย่งนมโกแลตกล่องสุดท้ายไปซะอีก

"ป้าคิดว่ามันตายแล้วก็เลยทิ้งไป"

"มันยังไม่ตายครับป้า...มันยังไม่ตายซะหน่อย"

"โธ่! ทำยังไงดีล่ะ ป้าทิ้งไปแล้ว ป้าขอโทษลูก ป้าจะไปดูให้เผื่อว่ายังไม่มีใครเก็บไปทิ้ง..."

"ไม่เป็นไรครับป้า"

"ป้าขอโทษนะลูก"

"ครับ ไม่เป็นไรครับ"

หลายครั้งที่ผมต้องพูดว่าไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่เป็นนะ แต่ว่าเป็นไม่มาก ยังพอทนได้ จะเอาโทษป้าแม่บ้านด้วยเรื่องแค่นี้ก็ไม่ได้ ก็แค่ต้นไม้ต้นเดียว ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หน้าลิฟต์ในตอนที่ป้าเดินออกไปแล้ว

กูไม่ได้ทำมันตาย แต่มันหายไปเองนะ...ผมคิดบางคำที่จะอธิบายให้ธงทัพฟังอยู่ในใจ เรียกว่าเตรียมเอาไว้แก้ตัวก็ไม่ผิดนัก

"อะ"

ผมเงยหน้าขึ้นมองเสียงที่ดังตรงหน้า มือหนึ่งยื่นกระถางตะบองเพชรมาตรงหน้า ความสนใจของผมไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ต้นตะบองเพชรแต่มองผ่านไปยังข้อมือข้างซ้ายของเจ้าของเสียง ถ้ามันเป็นข้อมือที่ว่างเปล่าผมคงมองผ่านไปตั้งแต่วินาทีแรก แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของผมเอาไว้อยู่นาน น่าจะเป็นรอยสักตรงนั้นซึ่งคุ้นตา แม้ว่าจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ตาม 

 

"คืออะไรอะ กราฟชีพจรเหรอ"

"มันคือภูเขา" 

"แล้วข้างล่างนี่ล่ะ" 

"แม่น้ำไง" 

"ภูผา กับ นาวี" 

"สวยอะ สักจริงเลยดีป่ะ"

 

"ภู"

"ฮะ?"

ผมเผลอขานรับด้วยความตกใจ ก่อนมือที่ยื่นกระถางตะบองเพชรให้จะขยับมาตรงหน้าอีกนิด

"กูเห็นคนเอาไปทิ้ง แต่มันยังไม่ตายก็เลยเก็บมา บังเอิญได้ยินมึงคุยกับแม่บ้านก็เลยรู้ว่าเป็นของมึง"

ผมยกมือขึ้นรับกระถางนั่นแต่อีกคนไม่ยอมปล่อย แม้แต่ตอนที่ผมเงยหน้ามองด้วยความไม่พอใจก็ไม่ยอมปล่อย

"สำคัญมากเหรอ"

"ธงทัพให้มา"

นาวียอมปล่อยมันออก ตอนที่ผมพูดจบ ขณะที่ผมไล่สายตาสำรวจว่าตะบองเพชรและเป็ดน้อยนั่นยังอยู่ดีหรือไม่ นาวีก็ใช้โอกาสนั้นนั่งลงข้างๆ

"ร้องไห้เลยเหรอ"

"เปล่า"

"นึกว่าเห็นหน้ากูแล้วอยากจะร้องไห้ซะอีก"

"ทำไมต้องร้อง"

"ไม่รู้สิ"

"..."

"คิดว่าจะรู้สึกเหมือนกัน"

เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าหันไปมองหน้านาวีชัดๆ ด้วยความตั้งใจ ในดวงตาคู่เดิมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ผมมองเห็นหยดน้ำใสที่คลออยู่ในนั้น...มันเป็นน้ำตา


นาวีหันหน้าไปทางอื่น ผมเองก็อยากลุกออกไปจากตรงนี้ ผมคิดว่าเราต่างคนต่างต้องการหนีแต่นาวีเริ่มต้นบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ผมฟังผ่านอ้อมกอดโดยไม่มีคำพูดใด


ผมถูกเขากอด โดยรู้ตัวแต่ไม่ยินดีนัก

"ปล่อย"

"..."

"นาวี ปล่อย!"

นาวีกอดผมแน่นและยิ่งแน่นขึ้นในขณะที่ผมต้องการดึงตัวเองออกมา สุดท้ายความพยายามที่จะขัดขืนนั้นก็หยุดลงตอนที่ผมรับรู้ได้ว่านาวีร้องไห้ ผมไม่ได้หันไปมอง แต่ผมรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ ผ่านความเปียกชื้นบนไหล่ที่ใบหน้าของเขาวางอยู่ตรงนั้น

ในความเงียบมีเพียงน้ำตา ไม่มีคำปลอบโยนจากผมสักคำ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมยังคงสับสนทำตัวไม่ถูกหรือไม่บางที ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเลย

"นาวี ร้องไห้ทำไม" ผมถามขณะที่ใบหน้านั่นยังนิ่งอยู่บนบ่า

"ดีใจที่ได้เจอมึง"

"..."

"แล้วก็เสียใจที่มึงต้องกลับมาเจอกูอีก"

"อะไรนะ..."

"น้องภู!"

ทั้งผมและนาวีลุกพรวดขึ้นเพราะเสียงเรียกของพี่พนักงานคนนั้น นาวีรีบร้อนคว้าข้าวข้องที่วางข้างตัวก้าวออกไปตรงนี้ แต่ความไม่ระวังทำให้เขาชนเข้าจังๆ กับพี่พนักงานที่ก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาพอดีเช่นกัน

"ขอโทษครับ!"

"ขอโทษค่ะๆ พี่ช่วยค่ะ"

"ผมเก็บเองครับ"

ผมกำลังจะก้มลงช่วยเก็บของจากกระเป๋าที่กระจัดกระจาย แต่นาวีก็รวบมันด้วยความว่องไว ใส่กระเป๋าลวกๆ แล้วก้าวออกไป

"จะรีบไปไหนของเขาน่ะ"

ไม่ได้รีบไปไหน แต่ไม่อยากให้ผมเห็นหน้าตอนนี้มากกว่า...หน้าตาตอนที่กำลังร้องไห้

"ว่าแต่ใครอะ"

"อินทีเรียรีโนเวทออฟฟิศน่ะครับ"

"อ๋อ หล่อดีนะ เออ! หนูเจอตะบองเพชรเหรอยัง"

"เจอแล้วครับ แม่บ้านเก็บไปทิ้งคิดว่ามันตายแล้ว"

"อ๋อ โชคดีไป แต่หน้าตามันก็เหมือนตายแล้วจริงๆ นะลูกนะ"

ผมหลุดหัวเราะเพราะคำพูดติดตลกของพี่ที่ทำงาน ก่อนก้มหยิบตะบองเพชรที่วางอยู่บนเก้าอี้ จังหวะนั้นก็หันไปเห็นสมุดโน้ตเล่มเล็กที่หล่นอยู่ใต้เก้าอี้ด้วย

"พี่กลับไปทำงานก่อนนะ"

"ครับ"

ผมตอบรับ ขณะยังให้ความสนใจกับสมุดเล่มนั้น มันไม่ได้วางอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นของนาวี เพื่อความแน่ใจผมจึงเปิดเข้าไปหน้าแรก ไม่มีชื่อหรือสิ่งใดบอกว่าเป็นของเขา แต่ตัวหนังสือบนนั้นข้อเกี่ยวกับงานที่เขาทำทั้งสิ้น มีภาพร่างตึก ตัวเลขที่เดาว่าเป็นขนาดย่อและตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่ไม่เข้าใจนัก ทั้งเล่มก็มีแต่เรื่องราวประเภทนั้นที่ผมไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งที่หนึ่งที่ดึงความสนใจผมเอาไว้อยู่นาน คือซองยาที่ถูกพับอยู่ที่หน้าสุดท้าย ถือวิสาสะดึงมันออกมาดู ที่หน้าซองมีชื่อเขาแปะอยู่ แต่ตัวยาที่ยัดอยู่ในซองนั้นเป็นคนละตัวกัน เดาว่าเขาคงหาที่ให้มันอยู่รวมกันอย่างลวกๆ

วิ่งเอาไปคืนจะทันไหม...


 

ใจหนึ่งผมคิดเช่นนั้น แต่อีกใจก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องของผม ใกล้ๆ กันมีถังขยะจึงก้าวเท้าเข้าไปหย่อนมันลงและในตอนนั้น

ผมลังเล...


หากว่ามันสำคัญ หากว่าเขาต้องใช้มันวันนี้ หากว่าไม่ใช่นาวี ผมก็ไม่ควรทิ้งของของคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ ควรจะเป็นแบบนี้สิ...ควรจะคิดแบบนี้


ผมถอนหายใจเบาๆ กับความคิดของตัวเอง แล้วเก็บทั้งสมุดทั้งซองยานั่นไว้กับตัวก่อนเดินกลับห้อง นาวีมาตรวจงานที่นี่บ่อยๆ อยู่แล้ว ความบังเอิญก็มักจะตลกร้าย วนเวียนให้เรากลับมาเจอกันบ่อยครั้งอยู่แล้ว เอาไว้จะคืนให้คราวหน้าก็แล้วกัน

 

ติ๊ง!

ผมหันมองเสียงแจ้งเตือนจากไลน์ระหว่างนั่งทำงาน เห็นว่าเป็นธงทัพจึงหยิบมาอ่าน

 

"ข้าว?"

 

หลุดยิ้มนิดๆ กับความเป็นมัน ถ้าไม่รู้จักกันดีพอ ผมคงคิดว่าธงทัพเป็นคนกวนประสาทที่เสี่ยงโดนตีนได้ทุกนาที แต่เพราะรู้จักดีแล้วเลยเข้าใจว่าคำถามสั้นๆ ที่พิมพ์มานั้นแปลว่า เย็นนี้จะกินข้าวอะไร?

 

"ก๋วยเตี๋ยว"

 

ผมตอบกลับ และในทันทีก็โดนสวนกลับมา เป็นเพียงตัวอักษรแต่นึกหน้ามันออกเลย

 

"เบสิก! เบื่อ!"

 

ผมกำลังจะพิมพ์ตอบ แต่อีกฝ่ายโทรเข้ามาพอดี เลยคว้ามันขึ้นกดรับก่อนเสียงเรียกเข้ารบกวนคนอื่น เสียงเรียกเข้าเงียบไปแล้ว มีแต่เสียงปลายสายที่กำลังทำร้ายประสาทการได้ยินของผมด้วยการโมโหที่ไม่รู้ว่าไปพาลมาจากไหน

(ไม่กินก๋วยเตี๋ยวได้เปล่าวะ ของกินมีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมต้องก๋วยเตี๋ยว กูถามแค่นี้)

"ก๋วยเตี๋ยวผิดตรงไหน"

(กูไม่โอเค กูยอมอดข้าวเย็น งั้นอะ)

"งั้นก็ตามใจมึงสิ"

(ตามใจกูอีกและ กูคิดตลอดเลย เคยคิดเองบ้างป่ะ มีสมองไว้ทำอะไรอะ?)

"ไอ้ธงทัพ งั้นมึงก็กินที่ห้องมึง กูกินที่ห้องกู จบ!"

(อ้าว ไรวะ! งั้นเดี๋ยวกูซื้อเข้าไปเองแล้วกัน)

"เออ ธงทัพ"

(ว่า)

"พรุ่งนี้ที่บริษัทเขามีประชุมกัน แต่กูไม่เกี่ยวก็เลยมาสายได้นิดหน่อย คืนนี้กูไปนอนห้องมึงเอง"

(จริงป่ะ! เจ๋ง!)

"งั้นเดี๋ยวเจอกันที่ห้องมึงนะ"

"ครับผม" 

ธงทัพทิ้งคำพูดไพเราะเกินความคาดหมายแล้ววางสายไป ปล่อยให้ผมยิ้มกว้าง กระทั่งพี่คนข้างๆ หันมาแซว

"น้องภู มีความรักเหรอจ้ะ"

"ครับ?...ความรักเหรอครับ?"

"ก็ดูยิ้มเข้าสิ อย่างกับคนมีความรักแน่ะ"

"ครับ"

"..."

"ก็กำลังรัก..."

"..."

"ใครบางคนอยู่น่ะครับ"

 

นึกว่านานจนลืมวิธีที่จะตกหลุมรักใครไปสักคนแล้ว แต่ถ้าถามตัวเองด้วยความถี่ถ้วนอีกครั้ง มันก็คือความรักนั่นแหละ ก็คงจะใช่...

 

...

 

เย็นนั้นผมมารอธงทัพที่ห้อง เดาว่างานมันคงเยอะและจะกลับช้าเหมือนเคยเลยไม่ได้โทรตาม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หย่อนตัวลงนั่งหน้าโซฟา จิ๊กซอว์ของธงทัพที่ต่อค้างเอาไว้ขยับเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าที่เห็นครั้งก่อน ผมรู้ว่าธงทัพไม่ได้เพิกเฉยต่อมัน อย่างน้อยที่สุดก็คงหยิบมันมาต่อ วันละชิ้น สองชิ้น มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการกวาดมองลวกๆ แต่ถ้าสังเกตชัดๆ ก็จะรู้ทันทีเลยว่ามีตรงไหนที่เพิ่มเข้ามา แต่อย่างที่บอกว่าผมไม่มีความอดทนกับอะไรไพวกนี้ได้นาน เลยล้มเลิกความตั้งใจที่คิดจะช่วย แล้วล้วงมือถือในกระเป๋าออกมาเล่นเกมดีกว่า

หัวคิ้วขมวดชนกันเมื่อสิ่งที่หล่นออกมาจากกระเป๋าไม่ใช่มือถืออย่างเดียว แต่เป็นถุงยาของนาวี

 

ยาอะไร...ไม่สบายเหรอ...เป็นอะไรมากหรือเปล่า...ยาแก้ปวดท้องหรือเปล่า...โรคกระเพาะยังไม่หายเหรอ

 

มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะเผลอคิดไปแบบนั้น จะห้ามความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้ในเมื่อมันวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมคิดถึงพี่โอ๋ขึ้นมา ผมยังติดต่ออยู่กับพี่โอ๋อยู่บ้าง พี่โอ๋ลาออกจากการเป็นพยาบาลที่ห้องพยาบาลโรงเรียนไปทำงานในโรงพยาบาลเล็กๆ ในชุมชนต่างอำเภอ และบ่อยครั้งที่จะทักทายมาชวนผมคุย วันนี้ผมอยากเป็นฝ่ายทักหาเขาก่อนด้วยความสงสัยบางอย่าง และในแทบทันทีที่ผมทักอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างกับว่ารออยู่พอดี

 

พี่โอ๋ : ว่าไงจ้ะ

 

         

ภูผา : พี่โอ๋ นี่ยาอะไร

ผมถามสั้นๆ โดยไม่ได้เกริ่นก่อน ประกอบกับถ่ายรูปแผงยาพวกนั้นติดไปด้วย พี่โอ๋ไม่ตอบ แต่ในเสี้ยววินาทีเดียวก็โทรกลับมาหาผมด้วยน้ำเสียงร้อนรนเจือปนความดุเอาไว้ด้วยอย่างรู้สึก           

(ยาใคร! ภูผา ตอบพี่ ของภูหรือเปล่า!)

"ใจเย็นๆ พี่"

(ยาของใคร)

"มีคนลืมไว้น่ะ อยากรู้ว่าเขาจำเป็นต้องรีบใช้หรือเปล่า จะได้รีบเอาไปคืน"

(อ๋อ)

"ร้ายแรงเหรอ?"

(ก็ไม่เชิง)

"ทำไมต้องรีบร้อนโทรมาด้วย"

(ถ้าเป็นของภูผา ก็ร้ายแรงสำหรับพี่)

ผมขมวดคิ้วแน่นตอนที่พี่โอ๋พูดต่อว่ายานั่นเกี่ยวข้องกับโรคอะไร และเมื่อปลายสายวางไปแล้ว ผมยังคงนั่งมองแผงยา สลับกับชื่อเจ้าของหน้าซอง และโรคที่พี่โอ๋เพิ่งจะพูดถึงด้วยความสับสน  เพราะสิ่งใดกัน หรือเพราะเรื่องราวเหล่านั้น ที่ทำให้นาวีเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้

 

นาวี

 

Fluoxetine

Diazepam

Sertraline**

 

โรคซึมเศร้า...

 
To be continued.

**อ้างอิงจากยาบางชนิดที่ผู้ป่วยบางคนทาน ตัวยามีหลายชนิดแล้วแต่อาการของผู้ป่วย ผิดพลาดประการใดขออภัย มา ณ ทีนี้**
 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2018 18:11:39
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 21-09-2018 18:18:35
ใจเน่หน่วงอีกแล้วนาวี อย่าเป็นอะไรนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 21-09-2018 20:06:05
็เนื้อเรื่องดีมากค่ะ สนุกและน่าติดตามมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-09-2018 20:26:20
ยังทีมนาวีเหมือนเดิม แม้จะไม่เหลือใครแล้วก็ตาม
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 21-09-2018 20:41:20
โอ้โห มีเรื่องเพิ่มมาอี๊กกก
เอาจิงๆ ยังกลัวใจภูอยู่เลยว่าแบบรักธงทัพจิงๆ หรือเป็นความรู้สึกผิดที่ยังลืมนาวีไม่ได้ ทั้งๆ ที่ธงทัพอยุ่ข้างๆ มาตลอด ตอนนี้มารู้เรื่องอาการป่วยของนาวี ก็นะ ตัดไม่ตายขายไม่ขาด
ถ้ายังไงน้องภูเอ็นดูมีทัพหน่อยนะคะ อย่าให้นางเสียใจเลย :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 21-09-2018 21:15:43
เนี่ยยยยย นาวีมาป่วยเป็นโรคนี้ไง นี่ฉันก็คิดมาตลอด ยังไงแค่รักแรกก็ไม่น่าแพ้ความใกล้ชิดและเอาใจใส่ดูแล แต่เจอแบบนี้ เอิ่มมมมม งานยากละธงทัพเอ้ยยย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-09-2018 21:26:44
ดีใจเปิดเจอหัวข้อเรื่อง......ได้แป๊บเดียว
ก็ ............  หน่วงเลย   :serius2: :z3:  o22
นาวี เป็นโรคซึมเศร้า ตั้งแต่เลิกกับภูผาใช่ไหม
หรือยังมีเหตุอื่นๆมาทำให้ยิ่งเกิดอาการมากขึ้น
แต่ที่เจอภูผา แล้วร้องไห้ กอดก็ร้อง มันน่าสงสัย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

แล้วภูผา จะหวนกลับไปหานาวีไหม
แล้วธงทัพล่ะ ภูผาก็เริ่มจะรักธงธัพ แล้วจะยังไงๆ  :mew2: :z3: o22

จะเป็น 3p มั้ยนะ  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-09-2018 21:49:40
ก็คือไม่รู้จะเม้นท์อะไร นาวีเจออะไรมานอกจากเรื่องน้องหรือเปล่าถึงเป็นงี้  :ling3: แต่ยังไงก็ยังยืนยันว่าทีมพี่ทัพค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 21-09-2018 22:06:41
ยิ้มหวานเป็นทองหยิบทองหยอดได้ 2 ตอน
สะบัดหัวทีเดียว หน่วงหนึบขมปร่าเป็นมะระขี้นกอีกแล้ว

เฮ้ออออออออออออออ ชีวิตสาววาย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-09-2018 23:42:02
ตอนที่แล้ว  :z1:

ตอนนี้  :hao5:

สงสารนาวีนะ แต่แบบยังไงก็ทีมธงทัพ ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-09-2018 01:04:58
ยังไงก็ทีมพี่ทัพนะ คือไม่รู้สิแต่ถึงจะบอกว่านาวีป่วยเป็นซึมเศร้าอาจเพราะเรื่องราวในสมัยก่อนหรือเพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาเรียกร้องนะ เพราะตอนนั้นภูผาก็เจ็บเหมือนกัน เจ็บทั้งๆที่พยายามจะยื้อไว้แล้วแต่เป็นนาวีเองรึเปล่าที่ปล่อยมือที่ไม่ยอมสู้ไปด้วยกัน ก็หวังว่าภูจะทำอะไรคงคิดถึงพี่ทัพบ้างนะ เพราะพี่ทัพก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยจริงๆ พี่ทัพไม่ควรจะเสียใจอะบอกไว้แค่นี้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 22-09-2018 07:04:02
ง่ะ ไม่รู้ว่านาวีเจออะไรมา แต่ไม่อยากให้ภูสงสารจนทำร้ายพี่ทัพ :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 22-09-2018 10:07:13
สงสารนาวีนะ ถึงแม้จะยังรักภูผา แต่มันผ่านมานานแล้ว เราทีมธงทัพ เป็นเราเลือกคนที่อยู่ข้างเรามาแปดปี ถ้าธงทัพโดนเทนี่ ทำใจไม่ได้อ่ะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 23-09-2018 23:10:11
กอด ทั้งสามคน
โอ๋ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 24-09-2018 23:09:08
ตอนเลิกกันภูผามีธงทัพ

.
แต่นาวีไม่มีใครแล้วอ่ะ เจ็บ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.17] 21/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 25-09-2018 13:14:23
ไม่อยากให้ใครเจ็บปวดเลย  :ling2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 25-09-2018 18:41:41
Episode 18



แม้ไม่ใช่คุณคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก
ก็ไม่เป็นไร
เพราะผมเองก็เปลี่ยนไปทุกวัน



 

"เป็ดน้อย!"

เสียงของคนที่เปิดประตูเข้ามาทำให้ผมรีบเก็บทั้งสมุดและซองยาของนาวีกลับเข้ากระเป๋าแล้วหันไปหา กลิ่นอาหารที่ธงทัพถือติดมือมาทำให้ผมเดาได้โดยไม่ต้องหันไปมองด้วยซ้ำ

"ไหนบอกไม่กินก๋วยเตี๋ยว"

"ก๋วยเตี๋ยวผิดตรงไหน"

ผมเบ้ปากใส่ธงทัพที่เอาคำของผมมาสวนกลับหน้าตาเฉย เพราะเคยชินกับการเอาแต่ใจที่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ผมจึงไม่เถียง ได้แต่ถามหาสาเหตุที่มันมากลับห้องช้ากว่าที่ควรเป็น

"ไปไหนมา ทำไมกลับช้าจัง"

"อ่านหนังสือเพลิน นั่งใต้ดินเลยไปสองสถานี"

"อีกแล้ว" เพราะไม่ใช่ครั้งแรกเลยต้องบอกว่าอีกแล้ว ธงทัพมีสติถ้าต้องใช้ชีวิตในวันปกติ แต่ถ้ามีหนังสือติดมือเมื่อไร สติพลันหล่นหาย จมดิ่งเข้าไปหนังสือเล่มนั่นอย่างช่วยไม่ได้

"จะกินเลยไหม เดี๋ยวไปใส่ชามให้"

มันพยักหน้ารับก่อนส่งถุงก๋วยเตี๋ยวให้ แต่ในตอนนั้นผมเหลือบไปเห็นรอยเลอะที่ปกเสื้อ คิ้วขมวดเข้าหากันแล้วก้าวเท้าเข้าไปจับปกเสื้อนั่น

"เลอะอะไร?"

"เลือดกำเดาไหลอะ"

"บ่อยไปแล้วนะ นี่มึงเป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"นอนน้อย"

"นอนน้อยอะไร กลางคืนก็เห็นหลับเป็นตายทุกที ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า"

"เออน่า บริษัทกูตรวจสุขภาพประจำปีตลอด ใกล้ตายเดี๋ยวบอก"

"ตลกเหรอ นี่มึงไม่สบายจริงๆ ใช่ไหม"

"มาแช่งอะไรกูเนี่ย"

"ไม่ได้แช่ง แต่หน้ามึงแดงๆ เหมือนเป็นไข้..." คล้ายว่าผมจะพูดกับตัวเองมากกว่า ในจังหวะนั้นก็ยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากธงทัพ เป็นไปอย่างที่คิดเพราะอุณหภูมิที่สัมผัสดูอุ่นกว่าปกติ

"ป่วยเหรอ?"

"เมื่อกลางวันปวดหัวนิดหนึ่งอะ แต่ไอ้ปอมันเอายาให้กินแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก นี่ธงทัพนะเว้ย เคยป่วยให้มึงเห็นป่ะ"

"ตอนปีสี่ที่มึงไม่สบายนอนโรงบาลสามคืน ใครเฝ้ามึง"

ธงทัพรวมริมฝีปากเงียบแล้วเหลือบตาขึ้นมองบนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็จริงที่มันไม่ค่อยป่วยให้เห็น แต่ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาผมก็คง...เป็นห่วงแย่

"กินก๋วยเตี๋ยวกันเถอะ หิวแล้ว" มันเปลี่ยนเรื่อง พลางทำปากยื่นไปยังถุงก๋วยเตี๋ยวในมือผม ผมก็ทำได้แต่พยักหน้ารับพลอยเปลี่ยนเรื่องตามมันไปด้วยการเดินไปเทก๋วยเตี๋ยวใส่ชาม เดินกลับมาอีกที ธงทัพก็กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งในมืออยู่ เดาว่าเป็นเล่มเดิมที่ทำให้อ่านจนนั่งรถเลยสถานีไป

"พี่ทัพ ไปนั่งนู่น"

ผมบอกให้มันขยับไปที่โซฟาหน้าทีวี ที่กินข้าวประจำของเรา คนที่กำลังตั้งใจอยู่กับหนังสือ ลุกขึ้นขณะตายังมองอยู่ในหน้าหนังสือ ก้าวเท้าช้าๆ ได้สองสามก้าวก็มาหยุดเอาซะดื้อๆ ตัวใหญ่ๆ กับไหล่กว้างๆ ของมันก็ขวางทางเดินได้มิดจนผมไม่สามารถแทรกผ่านไปได้

"พี่ทัพ!"

"ฮึ?"

"ไปนั่งตรงนู้นก่อนแล้วค่อยอ่านได้ไหม"

"อ๋อ เออ"

ตอบรับส่งๆ แล้วก็เดินก้มหน้าไปหย่อนตัวเองอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา ผมจับตะเกียบยัดใส่มือให้เสร็จสรรพ ก่อนมื้ออาหารเย็นระหว่างเราจะเป็นไปอย่างเงียบๆ ในตอนที่ธงทัพอยู่กับหนังสือ คล้ายว่าตัวตนของผมจะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของอากาศที่ลอยไร้ประโยชน์อยู่ในห้อง นั่นไม่ใช่ความเคยชินแต่การยอมรับในสิ่งที่ธงทัพเป็น

ผมรู้ธงทัพทำงานหนัก และตอนที่อยู่กับหนังสือสักเล่มก็คือเวลาพักผ่อน มากกว่านั้นคือความหลงใหลในการอ่านหนังสือซึ่งผมจะไม่มีวันเข้าใจ จึงได้แต่ปล่อยให้ธงทัพใช้เวลาตรงนั้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป

ผมเหลือบตาขึ้นมองมุมปากของคนตรงข้ามที่ยกขึ้นยิ้มข้างหนึ่ง คล้ายกำลังเจอฉากที่ประทับใจ บ้างก็ขมวดคิ้วแน่นเมื่อเจอฉากที่ขัดใจ หรือยิ้มกว้างๆ ออกมาเลยจนแทบเป็นหัวเราะ นั่นน่าจะเป็นฉากขบขัน

ธงทัพก็เป็นแบบนี้แหละ...

"ภูผา"

"ฮะ? อะไร?"

"ตกใจอะไร"

"เปล่า เรียกทำไม"

"คิดว่ากูไม่เห็นเหรอเนี่ย เอาคืนไปเลย!" โวยวายพลางคีบผักในชามก๋วยเตี๋ยวที่ผมเพิ่งจะเขี่ยออกจากชามตัวเองแล้วคีบไปใส่ในชามมันตอนที่คิดว่ามันไม่รู้ตัว

"ช่วยกินหน่อย"

"อะไรไม่กินก็โยนให้กู ไอ้ที่ดีๆ ไม่เคยให้กูมั่ง"

"จะเอาอะไร"

"ลูกชิ้น"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนคีบลูกชิ้นในชามให้ส่งให้ถึงปากเลย ได้ลูกชิ้นไปสองลูกจนแก้มตุ่ย ธงทัพก็ยิ้มจนตาเป็นเส้นเดียว...ตอนนี้มัน...น่ารักมากเลยนะ 

หลังจบมื้ออาหาร หนังสือเล่มนั้นของธงทัพยังไม่จบ อีกคนเลยยังไม่ได้ขยับไปไหน นั่งกองอยู่กับพื้น เอาหลังพิงโซฟาแล้วก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเล่มนั้น ตัดขาดโลกภายนอกไปแล้วเรียบร้อย ผมเหมือนเป็นวิญญาณว่างงาน ไม่มีอะไรทำ เลยขยับไปต่อจิ๊กซอว์ของธงทัพได้เกือบยี่สิบชิ้น ที่ข้างกล่องมันเป็นรูปทิวทัศน์ของที่ไหนสักแห่ง แต่ความใจร้ายของมันคือเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นของภาพเป็นพื้นที่สีเขียวที่คล้ายคลึงกันไปหมด เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้ก็มีสองทางให้เลือกระหว่าง สู้ต่อ กับ ขอยอมแพ้ ผมเลือกอย่างหลังในตอนที่ความพยายามสิ้นสุดลง เลื่อนตัวเองไปนั่งบนโซฟาเฉยๆ ทำตัวเป็นอากาศง่ายกว่า

"พี่"

"ฮึ?" ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำไป ผมอยากถามด้วยความงี่เง่าอย่างคนเอาแต่ใจบ้าง ทำไมหนังสือเล่มนั้นสำคัญกว่าผมล่ะพี่ แต่ไม่เอาดีกว่า เผลอๆ โดนเขกกบาลเข้าสักทีแน่ๆ

"กินนมไหม" ผมถาม เพราะก๋วยเตี๋ยวชามเดียวเหมือนจะไม่ทำให้ความอิ่มยืนยาวข้ามคืนนี้ไปได้

"เอารสช็อกโกแลต"

ผมลุกออกจากโซฟาไปที่หน้าตู้เย็น ยืนอยู่อย่างนั้นอย่างชั่งใจ เพราะนมช็อกโกแลตเหลือกล่องเดียว ที่เหลือเป็นรสจืดหมดเลย

ผมอยากกินรสช็อกโกแลตส่วนธงทัพเกลียดรสจืดเข้าไส้

ผมรู้...สงครามกำลังจะเริ่มต้น เลยตัดไฟตั้งแต่ต้นลมด้วยการปิดตู้เย็นเงียบๆ แล้วหันกลับไป แต่สายตาของคนตรงนั้นมองมาพอดีเหมือนกำลังรอคอยอยู่

"ไหนนมอะ"

"พี่ทัพ"

"อะไร"

"คนเป็นพี่เนี่ย ต้องเสียสละถูกไหม"

"พูดอะไร"

"พี่ทัพรักภูไหม?"

"ช็อกโกแลตของกู"

"ไอ้หมาบ้า!"

"หยิบมา"

ผมได้แต่ปากบูดหน้ายุ่งอยู่หน้าตู้เย็น แล้วหยิบนมออกไปสองกล่อง แน่นอนว่ารสช็อกโกแลตถูกจับจองแล้วจากคนเป็นเจ้าของห้อง ผมส่งรสช็อกโกแลตให้ธงทัพอย่างไม่เต็มใจ ส่วนตัวเองก็หย่อนตัวเองลงนั่งบนโซฟา แล้วเจาะกล่องรสจืดกินอย่างเซ็งๆ ด้วยความหมั่นไส้จึงยกเท้าถีบหลังธงทัพที่นั่งอยู่กับพื้นไปทีหนึ่ง คนถูกถีบหันขวับมามองในทันที

"เดี๋ยวเหอะ!"

"ไร"

"มือไหนทำ"

"เท้าต่างหาก" ผมตอบกวนประสาท ซ้ำยังยกเท้าข้างที่ถีบขึ้นให้ดูด้วย แต่ในจังหวะเดียวกัน มันก็สวมบทหมาบ้าสมชื่อ อ้าปากงับข้อเท้าผมเต็มแรง

"โอ๊ย! ไอ้พี่ทัพ! เจ็บ! ธงทัพ!"

ผมดีดดิ้นจนเผลอปล่อยกล่องนมในมือทิ้ง แต่ธงทัพรับเอาไว้ได้ทัน มันปล่อยเขี้ยวออกจากขาผม แล้วยัดนมช็อกโกแลตในมือให้ แลกกับรสจืดที่เพิ่งหยิบเอาไป ผมยกขาตัวเองขึ้นนั่งขัดสมาธิบนโซฟา ไอ้หมาบ้ามันกัดจริงจังเล่นเอาขึ้นเป็นรอยเขี้ยว แต่แลกกับนมรสช็อกโกแลตก็ถือว่าคุ้ม

"นิสัยไม่ดีนะภูผา ถีบพี่ได้ไง"

"แล้วทีพี่ทัพกัด...น้องได้ไง"

 

น้อง...น้องเนี่ยนะ...



ธงทัพเม้มริมฝีปากยิ้ม แล้วกลับไปสนใจหนังสือในมืออีกที พลางดูดนมรสจืดที่เหลือจากผม ส่วนผมแอบเขย่ากล่องนมเพื่อดูปริมาณที่เหลืออยู่ แต่เหมือนว่ามันจะยังไม่ได้ดูดไปเลยสักหยด จึงอ้าปากงับหลอดแล้วดูดนมนั่นอย่างอารมณ์ดี...ตอนนี้มัน...ก็น่ารักอีกแล้วนะ

 

...

 

ดูเหมือนว่าการอ่านหนังสือให้จบเล่มจะกลายเป็นภารกิจประจำวันนี้ของธงทัพไปแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่ละสายตาออกจากหนังสือเล่มนั้นเลย ผมเหลือบมองเป็นระยะ เห็นจำนวนหน้าที่เหลืออยู่ค่อยๆ บางลงเรื่อยๆ ถ้าเป็นธงทัพ ไม่พ้นคืนนี้ก็คงจบแน่นอน

ในตอนนี้ทั้งผมและธงทัพขยับมานอนบนเตียงหลังอาบน้ำแล้ว กิจวัตรของผมคือการนอนเล่นเกม แต่ไม่ได้มากเหมือนเมื่อก่อน ผมรู้แล้วว่าสายตาเริ่มไม่ดี แล้วธงทัพก็จำกัดเวลาเล่นเกมของผมด้วยจึงไม่ได้จดจ่ออยู่กับมันเหมือนแต่ก่อน และในตอนนี้ก็กำลังพ่ายแพ้กับเกมในมือถือเป็นครั้งที่เก้า หรือสิบ ไม่แน่ใจ แม้จะพยายามแค่ไหนก็ผ่านด่านนั้นไปไม่ได้ ผมจึงทิ้งหัวตัวเองลงนอนมองเพดาน ตอนที่ธงทัพหันมามองพอดี

"เล่นมากี่ชั่วโมงแล้ว"

"ชั่วโมงเดียวเอง"

"อย่ามาโกงเวลานะ"

"รู้หรอกน่า"

มันพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วสูดน้ำมูกเบาๆ

"เป็นหวัดแน่ๆ"

อีกคนไม่เถียง พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำมูก

"สกปรก! เช็ดดีๆ สิ" ไม่บ่อยที่ผมจะได้เป็นฝ่ายดุ เลยวางมาดเสียงแข็งแล้วหันไปดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำมูกให้

"กินยาหน่อยไหม"

คนที่กำลังจะป่วยส่ายหน้าปฏิเสธในทันที

"เดี๋ยวเป็นเยอะ ขี้เกียจพาไปหาหมอ"

"ไม่เป็นอะไรหรอก"

"แล้วถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง มึงก็ป่วย แขนกูก็พิการ ได้กอดคอกันไปนั่งขอทานใต้สะพานลอยมั้ง"

"เวอร์!"

"กินยา!"

"ก็ได้" มันยอมรับในที่สุด ก่อนผมลุกขึ้นจากเตียงไปที่ตู้เย็นแล้ว มองหาขวดยาพาราที่เคยอยู่หลังตู้เย็นแต่กลับไม่มี เลยต้องร้องถาม

"ยาอยู่ไหนอะ"

"อยู่นี่ ในลิ้นชัก"

ผมเดินกลับไปที่ลิ้นชักหัวเตียง ก่อนดึงมันออกมา ทั้งมือและหลังเผลอแข็งทื่อเพราะในนั้นไม่ได้มีแค่ยาพารา แต่ว่าข้างๆ กันมีวัตถุสีดำด้านที่โผล่มาแค่บางส่วนก็รู้ว่ามันคือปืนสั้นที่ถูกใส่เอาไว้ในนั้นด้วย

"ทัพ..."

"..."

"ไมมีปืนอยู่ตรงนี้ด้วยอะ"

"เอาไว้ยิงเด็กดื้อ"

"ภูไม่เคยดื้อนะ!"

ผมเถียงเหมือนเด็กที่กำลังตระหนกตกใจหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไอ้สิ่งนั้นทำให้ผมกลัวขึ้นมาซะเฉยๆ หมาบ้ามันเลยได้โอกาสขู่กันใหญ่

"ถ้าเล่นเกมเกินเวลา จะยิงให้ไส้แตกเลย"

"กินยาแล้วนอนไปเลยมึงอะ!"

"ไม่เรียกพี่แล้ว?"

"กินเลย พี่ทัพ!" ผมกัดฟันเรียกแล้วยื่นยากับขวดน้ำเปล่าให้ ตัวมันเองยังทำหน้าเหยเก ไม่พร้อมรับมือกับพาราเซตามอลสองเม็ดในมือผม ที่ลีลาหาข้ออ้างเนี่ยไม่ใช่อะไรหรอก ใครจะไปเชื่อว่า ลูกผู้ชายอกผายไหล่กว้างอย่างธงทัพเกลียดการกินยาเม็ดยิ่งกว่าแมลงสาบซะอีก

"ลุกขึ้นมาสิ"

คนบนที่นอนอิดออด ก่อนคว่ำหน้าหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ แล้วยันตัวเองขึ้นมา ลีลาไม่ยอมเปิดปาก ผมจึงจัดการยกมือขึ้นบีบคางอย่างที่มันชอบแกล้งผมบ่อยๆ

ธงทัพบอก...ใครบางคนก็เคยบอก ว่าแก้มผมนิ่ม แต่กับธงทัพผมไม่รู้สึกแบบนั้น ไม่เห็นจะนิ่ม แถมไรหนวดทิ่มมืออีกต่างหาก การบีบแก้มคนอื่น ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน ผมเพิ่มน้ำหนักในการบีบให้ปากมันอ้าแล้วจับยายัดลงไปพร้อมกันทีเดียวสองเม็ด

"ภูผา นี่พี่ไง"

"ครับพี่ เป็นห่วงพี่นะครับ" ใช้วาจาอ่อนหวานหลอกล่อเอาไว้ก่อน จนในที่สุดธงทัพก็ยอมกลืนยาสองเม็ดนั่นเข้าปากไป ตามด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งขวด เมื่อมันทำท่าจะอ้วกผมจึงรีบยกมืออุดปากมันเอาไว้ แล้วตบหลังเบาๆ

"ตัวอย่างหมี กินยาแค่นี้ทำเหมือนจะตาย คนบ้า"

"ไม่ต้องพูดเลย" มันว่าเสียงเคืองก่อนทิ้งตัวเองนอนลงบนที่นอน พับหนังสือที่อ่านค้างแล้ววางไว้บนหัวเตียง

"ไม่อ่านแล้วเหรอ"

"ไม่แล้ว จะนอน มึงก็นอนได้แล้ว"

"เล่นเกมก่อน"

"เกมอีกละ พอได้แล้วมั้ง ปืนมีกระสุนนะรู้ยัง"

"ถ้ามึงจะฆ่าคนเพราะเหตุผลที่เล่นเกมเกินเวลาก็เชิญไปติดคุกตลอดชีวิตเหอะ ไอ้อำมหิต!"

"มันเสียสายตาเหอะ คนเขาเป็นห่วง วู้!"

"เออ ขอผ่านด่านก่อน"

"เกมอะไร ไร้สาระจริงๆ" ปากก็บ่น แต่ก็ยื่นหน้าเข้ามาดูหน้าจอมือถือผม ช่วงนี้ผมติดเกม puzzle อยู่เกมหนึ่ง มันควรจะเป็นเกมบริหารสมองง่ายๆ ที่เล่นแก้เบื่อมากกว่าจะเอาชนะ แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเลย ยิ่งผ่านด่านมากเท่าไร ความต้องการในการผ่านด่านถัดไปก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หงุดหงิดเอาง่ายๆ ตอนที่เล่นเท่าไรก็ตายอยู่ที่เดิม

"ขยับสีฟ้าไง"

ผมหันมองธงทัพที่ชี้เข้ามาที่หน้าจอ และเมื่อผมขยับตามที่มันบอก หมากตัวอื่นในเกมก็ชนกันต่อเนื่องไปจนหมดกระดาน

"มึงเก่งว่ะ"

"มึงต้องคิดสิว่าถ้าเลื่อนตัวนี้ แล้วตัวไหนมันจะขยับมาชนกัน ใช้สมองสิ"

"นี่ด่ากูป่ะ?"

"ก็กูเห็นมึงเลื่อนมั่วๆ ที่มาชนกันคือฟลุ๊ก"

"ปากดี ไหนเล่น" ผมท้าทายพลางยื่นมือถือตัวเองส่งให้มัน มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นยิ้มกวนตีนอย่างทุกครั้ง แล้วหันมาบอกบางคำที่กวนตีนกว่า

"เดี๋ยวพี่ทำให้ดูว่าของจริงเขาเล่นกันยังไง"

"เหอะ!"

ผมเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าจอมือถือในมือธงทัพที่เริ่มเล่นเกมด่านต่อไป อย่างเชื่องช้าแต่ว่าแม่นยำ มันจะใช้เวลาคิดก่อนครู่หนึ่ง แล้วค่อยลงมือเล่น ใช้เวลาไม่นานก็ผ่านด่านไปอย่างง่ายดาย ไม่วายหันมายักคิ้วให้อย่างผู้ชนะ ผมยิ้มอย่างยอมรับในความเก่งของมัน ยกนิ้วโป้งสองนิ้วให้อย่างดีอกดีใจ ซ้ำยังร้องขอให้เล่นด่านต่อไปอีกเรื่อยๆ เลย

ผมรู้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าธงทัพเป็นคนฉลาด เพราะแม่บอกให้ฟังอยู่เสมอ มันมีความสามารถหลายด้าน มีพรสวรรค์ในหลายๆ เรื่อง อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องใช้ดิกชันนารี่ด้วยซ้ำ ฉลาดเรียน ฉลาดใช้ชีวิต ก็นับว่าเป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่งเลย หากว่าไม่รู้สึกเขินอาย ผมคงชื่นชมมันสักครั้งอย่างจริงใจว่าผู้ชายคนนี้แม่งโคตรเท่เลย

"มองไรขนาดนั้น"

"ฮะ?"

ผมเพิ่งรู้ตัวว่าหน้าตัวเองแทบจะเกยไหล่มันเพื่อขยับไปมองเกมในจอมือถือนั่น แต่ในตอนที่กำลังจะถอยออกมา มันกลับยกแขนตัวเองขึ้นสอดมาแทนหมอนให้ผมหนุน ...ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

ไม่ใช่ว่าทำแบบนี้บ่อยแต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา มีเหตุผลมากมายให้ผมได้มีโอกาสนอนหนุนแขนธงทัพ ในตอนที่เผลอหลับหน้าโซฟาบ้าง ในวันที่หมอนไม่แห้งบ้าง จะเป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง เราก็ใช้มันเพื่อให้มีโอกาสให้ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ผมจึงไม่เคอะเขิน ซ้ำยังขยับตัวเองเข้าไปนอนหนุนแขนมันแล้วดูมันเล่นเกมอย่างตื่นเต้นไปด้วย

"พอแล้วยัง?"

"เอาอีกด่านหนึ่ง"

"เก็บไว้เล่นเองบ้างเหอะ"

"ไม่เอา มึงเล่นต่อ"

"ก็ได้"

"แพ้"

"อะไร ชนะอยู่เห็นๆ"

"ไม่ใช่เกม หมายถึงมึงน่ะ..."

"..."

"แพ้กูราบคาบ"

ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ได้ยินแต่เสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นธงทัพก็เล่นเกมต่อให้ไปหลายๆ ด่าน ใช้เวลานาน จำกัดเวลาเล่นเกมของผม แต่ตัวเองเล่นเพลินเกินเวลาไปเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง นานซะจนผมเริ่มง่วงนอน เลยกะว่าจะพักสายตาสักครู่เดียว แต่ดันหลับคาแขนธงทัพไปเลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกคนส่งเสียงเรียกเบาๆ ได้ยินแล้วแต่ขี้เกียจขยับเปลือกตาขึ้นเลยตั้งใจจะนอนต่ออีกสักหน่อย

"ภู"

"..."

"หลับเหรอ"

"..."

"ภูผา"

ธงทัพไม่เรียกผมต่อแล้ว ค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกไปช้าๆ ผมรู้ตัวดีทุกอย่างแต่ลืมตาขึ้นไม่ไหวเพราะความง่วง ก็นานอยู่เหมือนกัน ก่อนที่ความเงียบนั้นจะถูกทำลายด้วยเสียงของอีกคน

"น่ารักจังวะ"

"..."

"ทำคนอื่นเขาใจสั่นทั้งคืน เคยรู้ตัวบ้างไหมเนี่ย"

"รู้"

"เชี่ย!"

"ตุ้บ!"

ผมยันตัวเองขึ้นมองธงทัพที่กลิ้งตกเตียงไปเพราะความตกใจหลังจากที่ผมลืมตาโพล่งขึ้นมาตอบ ตัวมันหันซ้ายหันขวา หมุนไปทางนั้นที ทางนี้ทีอย่างคนเขินจัด ก่อนดึงผ้าห่มแล้วหันหลังขวับเดินออกจากห้องนอนไป

"ธงทัพ ไปไหน"

"โซฟา!"

"ไปทำอะไร"

"กูจะไปนอนโซฟา"

"ธงทัพ"

"อย่าห้ามกู กูเขิน!"

กลับมา...นอนนี่...

ผมกลืนถ้อยคำที่ตั้งใจจะร้องห้ามแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาแทน ได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วทิ้งตัวเองนอนลง รอยยิ้มยังหุบไม่ลงเพราะความบ๊องของหมาบ้าตัวนั้น

 

การตกหลุมรักระยะสุดท้าย คือการหลงใหลแม้กระทั่งเรื่องธรรมดาที่เคยเห็นจนชินตา และในตอนนี้ ผมหลงรักธงทัพอีกครั้ง...จนได้

 

...

เช้านี้ผมเป็นคนตื่นก่อนเพราะที่ทำงานอยู่ไกล เมื่อคืนธงทัพไม่ได้กลับมานอนที่เตียง มองไปที่โซฟาก็เห็นมันม้วนตัวเป็นก้อนใต้ผ้าห่มอยู่ตรงนั้น

"พี่ทัพ"

เพราะไม่ใช่คนขี้เซา แค่เรียกเบาๆ ก็โผล่หัวออกมาจากผ้านวมนั่นด้วยใบหน้ายับๆ กับหัวฟูๆ อย่างแรกที่ผมทำก่อนที่จะพูดอะไรต่อ คือการยกฝ่ามือขึ้นแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย ที่ร้อนวาบจนดวงตาผมเบิกขึ้นกว้าง

"ตัวร้อนจี๋เลย"

มันไม่ได้ตอบทำได้แค่พยักหน้ารับ ยังดูสะลืมสะลือ

"แล้วทำไมไม่กลับไปนอนที่เตียง"

"ก็ไม่สบายอะ กลัวมึงติดไข้ นี่กี่โมงแล้ว" ปากถามผมแต่มือคว้ามือถือขึ้นมากดดูนาฬิกาเอง ก่อนมันจะลุกขึ้นมานั่ง หลับตาลงอีกครั้งเอนหลังพิงโซฟาพร้อมพ่นลมหายใจร้อนผ่าวที่ผมยังรู้สึกได้ 

"ไปทำงานไหวป่ะเนี่ย"

"ไหวดิ แล้วทำไมมึงยังไม่แต่งตัวเนี่ย"

"ขอยืมเสื้อผ้าหน่อยสิ" เพราะไม่ได้ตั้งใจจะมานอนที่นี่เลยไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลย ธงทัพพยักหน้าหน่อยๆ แล้วเดินไปเปิดตู้ เลือกเสื้อผ้าให้ ท่าทางจริงจังเกินกว่าเหตุผมจึงร้องทัก

"เอาตัวไหนก็ได้"

"กำลังหาตัวที่อยากให้มึงใส่อยู่ อะ เลือก"

กางเกงยีนส์สองสามตัวถูกโยนลงมาบนเตียง ผมหยิบมันขึ้นมาดูพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดแน่น ไม่มีกางเกงตัวไหนที่สภาพสมบูรณ์เลย ไม่ขาดก็เยิน จะว่าไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าดีๆ ก็ไม่ใช่ เพราะไอ้กางเกงยี่ห้อพวกนี้แค่ตัวเดียว แพงกว่าเสื้อผ้าผมเจ็ดชุดซะอีก

เมื่อผมส่ายหน้าปฏิเสธก็ได้รับสายตาดุๆ ส่งกลับมา จึงเลือกตัวที่ยับเยินน้อยที่สุดมาสวม เป็นกางเกงยีนส์สีเข้มที่ขาดตรงเข่าพอดี ขาดชนิดที่เอามือล้วงเข้าไปได้เลย 

"หัวเข่าขาวผ่อง"

ผมยกมือฟาดแขนธงทัพไปทีหนึ่งที่กำลังหยอกล้อ ก่อนมันจะยื่นเสื้อยืดสีขาวพื้นๆ ให้ เมื่อผมสวมเสื้อยืดเสร็จ ธงทัพก็จับเสื้อยีนส์แขนยาวคลุมให้อีกชั้นหนึ่ง แต่ขนาดมันใหญ่ไปจนชายแขนเสื้อคลุมถึงนิ้วมือ ธงทัพจับมันพับมาถึงข้อศอก ก่อนผมหันมองตัวเองในกระจกที่อยู่ตรงหน้าพอดี

 

ธงทัพสไตล์...

 

เป็นร่างกายของผมที่อยู่ในเสื้อผ้าแบบที่ธงทัพชอบใส่ รู้สึกตัวเองแปลกตาอย่างบอกไม่ถูก แต่คนที่เพิ่งจับผมแต่งตัวดูพออกพอใจในผลงานตัวเองจนยิ้มกว้างออกมาจนตาปิด

"หล่อจัง"

"ไม่ต้องมาชม หน้าตากูห่างไกลคำนั้น กูรู้ตัว"

"งั้นก็น่ารักจัง"

"กูไม่..."

"อย่ามาเถียงกู"

"..."

"ให้สายตากูตัดสิน"

ผมเหลือบมองธงทัพที่วางสายตาไว้ที่ผมอย่างไม่ละ ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ที่ไม่หุบลง ผมเลื่อนสายตาหนีมันแล้วหันมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง

 

น่ารักเหรอ...มั้ง

 

"ไปทำงานแล้วนะ"

"วันนี้คงไม่ได้ไปที่ห้องนะ มึงก็คงไม่มาที่นี่ใช่ไหม"

"อือ แยกกันสักวันสองวันไม่ตายหรอกน่า"

ธงทัพยกกำปั้นเขกหัวเบาๆ ผมได้แต่เบ้ปากใส่ก่อนคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย เตรียมตัวออกไปทำงาน ไม่ลืมที่จะหันไปเช็กอุณหภูมิร่างกายของธงทัพผ่านการสัมผัสหน้าผากอีกครั้ง ตัวยังร้อน หน้ายังซีด มองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้วว่าไม่น่าไหว

"แน่ใจนะว่าจะไปทำงาน"

"อือ งานเยอะ ต้องไป"

"ไม่ไหวก็พักนะ"

"อือ"

"มีอะไรโทรมาล่ะ"

ธงทัพพยักหน้ารับ สถานการณ์นี้เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่พลิกกลับมาเป็นผมที่เป็นฝ่ายย้ำแล้วย้ำอีกด้วยความเป็นห่วง...คำว่าเป็นห่วงก็อาการเป็นแบบนี้นี่เองสินะ

 

...

 

วันนี้ที่ทำงานก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน ผมยุ่งกับทั้งงานตัวเองและงานคนอื่น ถ้าเปรียบตัวผมเป็นชายหาด งานก็คล้ายคลื่นที่ซัดเข้าใส่ คลื่นลูกเล็ก ลูกน้อย บางครั้งโถมลูกใหญ่ แต่เพราะว่าผมเป็นชายหาดไง กระทบกระเทือนได้เพียงครู่เดียวก็กลับคืนสู่สภาพปกติ รอคอยคลื่นลูกต่อไป ปล่อยให้มันกระทบฝั่งไปทั้งวันจนกระทั่งคลื่นลมสงบลงในตอนที่หมดเวลางาน

ผมอารมณ์ดีเสมอในตอนที่เดินออกจากที่ทำงาน แต่อารมณ์ดีๆ ก็ถูกตัดขาดกลายเป็นความหงุดหงิดเล็กๆ ในตอนที่เดินออกมาเจอพายุฝนที่กำลังกระหน่ำตก เป็นฝนที่รู้เวลาและตกลงมาอย่างสม่ำเสมอ เลิกงานทีไร ฝนตกทุกทีเลย ไม่ได้แกล้งใช่หรือเปล่า?

ผมถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากเปียกฝนและผู้คนก็ต้องการกลับบ้านหลังเลิกงานในช่วงเวลานี้ทั้งนั้น ส่วนตัวผมไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้วเลยเลือกที่จะรอให้ซาทั้งฝนทั้งคน ตัดสินใจเข้าไปนั่งในร้านกาแฟหน้าตึก สั่งช็อกโกแลตเย็นมากิน ในตอนที่อากาศข้างนอกเย็นชื้น เครื่องปรับอากาศในร้านก็ทวีความเยือกเย็นจนรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย ผมกระชับเสื้อคลุมของธงทัพที่มันสวมมาให้ มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ขอบคุณแฟชั่นของธงทัพสไตล์ที่ทำให้ผมอบอุ่นขึ้นมานิดๆ

สายฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลง ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่ได้คิดอะไร ก่อนสมองผมจะตื้อขึ้นมาดื้อๆ พลิกผันจากความว่างเปล่าเป็นความยุ่งเหยิงตอนที่หันไปเห็นนาวีเดินเข้ามาในร้าน สั่งอะไรสักอย่างในเมนูและก้มหน้าก้มตาอยู่กับไอแพดในมือ เมื่อได้น้ำที่สั่ง ก็หยิบแก้วแล้วเดินหาที่นั่ง

อีกฝ่ายยังมองไม่เห็นผม หรือจะพูดให้ถูกคือมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นแม้กระทั่งขอบโต๊ะที่เดินชนเข้าไปนิดหนึ่ง จึงรู้สึกตัว ผมเองก็ไม่ได้หันหน้าหนีในตอนที่นาวีหันมาเห็นผมพอดี ความโชคร้ายของวันนี้เริ่มต้นขึ้นในตอนที่ทั้งร้านนี้ เหลือที่นั่งข้างๆ ผม เพียงที่เดียว

นาวียืนนิ่ง...ก่อนเลือกที่จะหันหลังกลับไป

"นาวี!"

แต่ผมเรียกเขาไว้เอง...

คนถูกเรียกหันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นมองคล้ายเป็นคำถาม ผมลอบพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วล้วงเอาสมุดโน้ตและซองยาที่เก็บได้ก่อนส่งคืนให้เขา

"อ๋อ...เก็บไว้ให้เหรอ"

"อืม"

นาวียื่นมือมารับ แต่ผมไม่ปล่อย จะไม่ยอมปล่อยจนกว่าความค้างคาในใจจะหายไป จึงเอ่ยปากถาม

"นาวี"

"..."

"ยานี่..."

"..."

"เกี่ยวอะไรกับรอยแผลที่ข้อมือนั่นไหม"

อย่างถือวิสาสะ...ผมก็ถามออกไปแล้ว

ที่ข้อมือข้างเดียวกับรอยสักนั่น ผมเห็นรอยแผลเป็น บ้างสั้น บางยาว สะเปะสะปะ แต่ดูด้วยสายตาก็รู้ว่ามันถูกกรีดด้วยของมีคม และบางบาดแผล ยังชัดเจนเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานด้วยซ้ำไป

นาวีไม่ตอบอะไร ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงทั้งสมุดและซองยานั่นไปได้โดยที่ผมไม่ได้ยื้ออะไร   

"นั่งก่อนไหม"

คนที่เคยวิ่งหนีนาวีในวันนั้น กลับเป็นที่ชวนให้นั่งลงข้างๆ กันในวันนี้ นาวีทำตามที่ผมบอก ไม่มีคำตอบจากคำถามก่อนหน้านี้ เขายกแก้วน้ำในมือขึ้นดื่มหนึ่งครั้ง แล้ววางลงบนโต๊ะ

"ขอบคุณที่เก็บไว้ให้ สมุดนั่น..."

เขาไม่ได้พูดถึงยา และผมไม่ได้ถามต่อ ได้แต่หันมอง ผมเห็นหน้านาวีชัดๆ อีกครั้ง ผมไม่มีปัญหากับการเปลี่ยนแปลงของคนอื่น เพราะบางครั้งผมเองก็ไม่ใช่คนเดิม ทุกวันตัวผมก็มีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่นาวีที่นั่งอยู่ตรงหน้าคนนี้...เหมือนไม่ใช่นาวีคนที่ผมเคยรู้จักเลย นาวีเปลี่ยนไป ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง และในตอนนี้นาวีกำลังตกอยู่ในความรู้สึกแบบใดกัน

 

อาจบอบช้ำ โศกเศร้า ร้าวรานหรือเจ็บปวด...ผมไม่อาจตัดสินมันด้วยความรู้สึกของตัวเอง

 

ในตอนนี้ มีสายฝน มีนาวี มีความเงียบและคำถามในใจมากมาย แต่สุดท้ายผมก็เลือกให้ความเงียบเอาชนะทุกอย่างไป ด้วยการนั่งเฉยๆ เราเหม่อมองสายฝนด้านนอกที่กระทบผนังกระจก ใช้เวลานานเทียบเท่ากับช็อกโกแลตเย็นหนึ่งแก้วของผมที่หมดลง และน้ำแข็งเริ่มละลาย สายฝนเบาบาง และในที่สุดนาวีก็เอ่ยหนึ่งคำออกมาให้ผมฟัง   

 

"คิดถึงมึงว่ะ ภูผา"

 

จบคำนั้นของนาวี เราต่างคนต่างเงียบไปอีกครั้ง และก็ดูเหมือนว่า ความคิดถึงจะเป็นสิ่งเดียวที่อธิบายความรู้สึกของนาวีที่กำลังเป็นอยู่

ผมพยักหน้ารับ เงยหน้ามองเม็ดฝนที่หายไปอย่างกับไม่เคยตกมาก่อน ไม่ได้หันมองใบหน้าของนาวีอีก แล้วตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองซึ่งกลั่นกรองออกมาแล้วจากส่วนลึกของความรู้สึกที่สะสมมาอย่างยาวนาน

"มึงหายไปแปดปี"

"..."

"มาคิดถึงเอาตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วป่ะวะ"


 

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-09-2018 19:04:30
ไม่ใช่ว่าธงทัพ เป็นโรคลิวคีเมียนะ  กลัวเลย  :z3: :z3: :z3:

คนที่ภูผารัก จะอยู่รักกัน สมหวังไปตลอดมั้ยนะ

นาวี ก่อนหน้านี้เป็นโรคซึมเศร้าเลยกลัวที่จะรักภูผาหรือเปล่า  :hao3:
เลยไม่กลับมาหาภูผา  :serius2: :serius2: :serius2:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 25-09-2018 19:12:02
หม่น
หมอง
อึมครึม
เศร้าใจ
ลึกๆในใจหวาดกลัว
อย่ามีอะไรที่ต้อง
ทำให้ใครตายจากใครอีกนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 25-09-2018 19:21:37
สองความรู้สึก แม้จะคล้ายคลึง
แต่งดงาม ต่างกัน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 25-09-2018 19:25:14
อัพเร็วมากค่ะ นึกว่าตาฝาด
ดีใจ ดีใจ  :oni2:

พี่ทัพน่ารัก น้องภูน่ารัก
อยู่ด้วยกันแล้วดีต่อใจ
อ่านไปอมยิ้มไป

แต่อาการพี่ทัพนี่มันอะไรกัน เรื่องปืนอีก
ฮรือออ ขอนะคะ ให้พี่ทัพอยู่จนจบเรื่องนะคะ พลีส  :impress:

สงสารนาวี กอดๆ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 25-09-2018 19:37:33
เอาซี้~~ พี่ทัพของฉันก็มีไม้ตายท่าเด็ด เป็นสกิลหมาโกลเด้น ที่ทำให้ภูผาอ่อนระทวยได้เชียวนะ สู้ไหวเหรอนาวี?  :hao3:

พี่ทัพกำเดาไหล , นาวีเป็นโรคซึมเศร้า  คุณหมอภูผาจะเลือกรักษาใครนะ?
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-09-2018 20:48:38
กลัวพี่ทัพเป็นโรคอะไรตายแงงง อย่าทิ้งน้องนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: fxxg0430 ที่ 25-09-2018 21:02:08
 :hao5: แม่คะ นิยายอะไรมีแต่คนป่วย ฮือๆ

ทีแรกรู้สึกจะจบดี แต่พอเห็นว่ามีปืน... ก็กลัวแล้วค่า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-09-2018 21:21:10
ไม่ใช่ว่าสุดท้ายเหลือภูผาโด่เด่อยู่คนเดียวนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 25-09-2018 23:00:38
ดราม่าหนักแน่ๆ ทัพป่วย แล้วปืนอันนั้น น่าจะได้ใช้งานแน่ๆในตอนต่อๆไป
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2018 01:41:11
 :ling3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.18] 25/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-09-2018 14:26:22
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 27-09-2018 16:35:47

Episode 19.1

 

เมื่อผมสูญเสียศรัทธา
ผมจะเตือนตัวเองว่า
ผมยังเหลือคุณอยู่


 

 

 

"แล้วจะไปสอบเข้าที่ไหนอะ"

"ถ้าไปไกลๆ จะอนุญาตปะล่ะ"

"ห้ามได้ไหมล่ะ"

"จะห้ามเหรอ มันคืออนาคตกูนะเว้ย"

"อนาคตของมึงกับความคิดถึงของกู มึงว่าอะไรสำคัญ"

"ภูผา มึงอ่า!"

"เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความคิดถึงมันเป็นยังไง"


 

 

"คิดถึงมึงว่ะ ภูผา"

 

คิดถึงเหมือนกัน...


หากเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงพูดมันออกไปด้วยคำนั้นในทันที ผมเองก็ผ่านมันมาแล้ว ช่วงเวลาที่ทุรนทุรายเจียนตายเพียงเพราะความคิดถึง แต่อาจเพราะความรู้สึกของผมถูกเยียวยา ผ่านช่วงเวลาที่ล่วงเลยไป และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ความคิดถึงจึงไม่ใช่เรื่องทรมานสำหรับผมอีกต่อไป

"มึงหายไปแปดปี"

"..."

"มาคิดถึงเอาตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วป่ะวะ"

 

"ครืด...ครืด..."


ก่อนที่ใครสักคนจะได้พูดอะไรต่อ มือถือของผมที่สั่นอยู่บนโต๊ะก็เรียกความสนใจของผมไปก่อน นาวีอาจต้องการพูดอะไรต่อในบทสนทนาที่ยังค้างคาอยู่ของเรา แต่ผมถือวิสาสะละความสนใจจากเขาเมื่อเห็นว่าธงทัพเป็นคนโทรเข้ามา จึงรีบกดรับโทรศัพท์ก่อน   

(พี่ภูผา)

ริมฝีปากที่กำลังจะขยับกลับค้างนิ่ง ขณะหัวคิ้วเคลื่อนชนกันเมื่อเสียงปลายสายไม่ใช่ธงทัพ 

(พี่ภู นี่ปอนะครับ)

"ปอ...ทำไมถึง..."

ผมเว้นคำพูดเอาไว้ และอีกฝ่ายก็คงเข้าใจดีว่ามันคือคำถาม จึงรีบอธิบายสิ่งที่ผมรอฟังออกมา 

(พี่ทัพไม่สบายมากเลย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล พี่ทัพไม่ให้ผมบอกพี่ แต่ผมว่าพี่น่าจะมานะครับ พี่ภูมาได้ไหมครับ)

"..."

(มาตอนนี้เลยได้ไหมครับ)

"..."

(พี่ภูผา)

คล้ายว่าสมองเพิ่งประมวลคำพูดของปอเสร็จ รีบร้อนตอบรับปอแล้วคว้ากระเป๋าออกมาจากร้าน ไม่ได้สนสายฝนที่ลงเม็ดมาอีกรอบแล้ววิ่งฝ่าออกไป ไม่ได้สนนาวีที่ทิ้งบทสนทนาซึ่งค้างคาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด

อย่างที่บอกมาตลอดจนจำไม่ได้แล้วว่าพูดไปกี่ครั้งว่าผมเกลียดวิชาพละและการออกกำลังกาย จำไม่ได้เลยว่าวิ่งเร็วที่สุดครั้งสุดท้ายเมื่อไร อาจจะเป็นวันนี้ที่ผมใช้แรงที่มีวิ่งมาถึงห้องผู้ป่วยตามที่ปอบอก

กระทั่งสองขาหยุดกึกเมื่อเห็นหน้าธงทัพที่นอนอยู่บนเตียง ตัวมันเองก็หันมาทำตาโตใส่อย่างตกใจ ผมไม่มีอะไรจะพูดนอกจากยืนหอบหายใจพลางกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ยกมือชี้หน้ามัน อยากจะด่าอะไรสักคำแต่พูดไม่ออก จึงก้มลงใช้สองมือยันเข่าตัวเองที่แทบจะหมดแรงจนขาอ่อน ตอนที่วิ่งมา ใจผมคิดว่าธงทัพป่วยหนักกำลังตาย แต่พอเห็นหน้าของคนที่ไม่สบายก็รู้สึกเสียดายแรงที่วิ่งมานิดหน่อย ผมเป็นคนพลังงานต่ำ เลยหมดแรงเอาง่ายๆ แบบนี้แหละ

"ภูผา มาได้ไง..."

ผมพูดไม่ออกเพราะเหนื่อยเกินจะเอ่ยบ้าบออะไรทั้งนั้น สูดลมหายใจเรียกสติอีกทีแล้วก้าวเท้าเข้าไปหามัน

"มึงเป็นอะไร"

"แล้วมึงมาได้ยังไง"

"กูบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ไหวให้พัก"

"แล้วทำไมมึงตัวเปียกแบบนี้"

"ป่วยหนักขนาดนี้ทำไมไม่โทรบอกกู"

"นี่มึงตากฝนมาเหรอ"

"ไม่ต้องสนกู! แล้วตอบคำถามกูสิโว้ย!"

"ป้าบ!"

ทั้งห้องเงียบกริบหลังเสียงฝ่ามือผมตบเข้าที่หน้าผากธงทัพจนหน้าหงาย คนถูกตบช็อกตาค้าง ปอที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็นิ่งไปเลย

ผมปลดกระเป๋าออกจากบ่าแล้วโยนลงบนเตียง ก้าวเท้าเข้าไปหามันให้ใกล้อีก กลั้นอารมณ์โมโหแล้วถามมันซ้ำอีกครั้ง

"มึงเป็นอะไร"

"เป็นไข้ครับ ปวดหัว เจ็บคอ เป็นหวัดด้วยครับผม"

"..."

"เหมือนไข้จะสูงกว่าเดิมตอนโดนตบเมื่อกี้"

"ก็มึงแม่ง..." เพราะธงทัพสนใจผมมากเกินกว่าที่จะสนใจตัวเอง ไม่สบายจะตายห่ายังมาห่วงว่าผมเปียกฝนหรืออะไร ผมไม่รู้จะด่ามันว่าอะไรได้แต่ถอนหายใจเสียงดัง มันขยับตัวหนีตอนที่ผมเดินเข้าใกล้มัน ไม่วายหันไปกระซิบกระซาบกับปอ แต่เป็นเสียงกระซิบที่ได้ยินเต็มสองหูนั่นแหละ

"มึง...ภูผาตบกู"

"เต็มหน้าผากเลยครับ"

"หน้าหงายเลยกูอะ"

"ดังป้าบ"

"สนั่นห้อง"

"แล้วเป็นอะไรมากไหม" เมื่อผมพูด สองคนนั้นก็แยกตัวออกจากกันด้วยท่าทีสงบ ก่อนปอหันมาตอบแทน

"หมอบอกว่าไข้สูงมากเลยครับ แต่ฉีดยาไปแล้ว เดี๋ยวก็คงดีขึ้นครับ"

ผมพยักหน้ารับพลางไล่มองใบหน้าซีดเซียวของคนป่วยที่กำลังยิ้มจนตาเป็นขีดเดียว เข็มน้ำเกลือถูกเจาะเข้าที่หลังมือข้างซ้าย ในรอบหลายปีที่ธงทัพป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ บอกตรงๆ ผมทำตัวไม่ถูก ผมต้องทำเป็นโมโห กลบเกลื่อนความกลัว...

 

กลัวว่าธงทัพจะเป็นอะไรไป...

 

"พี่ภูมาแล้ว ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ" 

"มึงจะกลับไปทำงานต่อป่ะเนี่ย"

"ครับ กลับไปแก้งานเดิมแหละ สิบรอบแล้วยังไม่ผ่านเลยเนี่ย"

"เออ เสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านล่ะ ไม่ต้องอยู่ยันเช้าอีก"

"ผมไม่อ่อนแบบพี่หรอก"

"อ่อนอะไร"

"แหม! คุณธงทัพคนแกร่ง หันไปอีกทีนอนแอ้งแม้งอยู่ใต้โต๊ะ ตอนเห็นสภาพนี่ไม่รู้เลยว่าจะเรียกรถพยาบาลหรือรถเก็บศพดี"

"ไปให้ไวเลยไอ้เด็กเวร ขากูยังมีแรงเตะมึงได้นะเนี่ย"

"ไปแล้วครับๆ"

ปอยกมือโบกเป็นเชิงลาธงทัพ ก่อนเดินออกไปนอกห้อง ผมเองก็เดินตามออกมาด้วย

"ปอ ขอบคุณมากนะที่โทรบอก"

"ครับ ที่จริงพี่ทัพเขาบอกว่าอยู่คนเดียวได้ แต่ผมคิดว่าพี่มาน่าจะดีกว่า "

"ทัพมันชอบคิดว่าตัวเองเก่ง"

"จริงครับ ทำงานหนักไม่ค่อยพัก กลางวันก็ไม่ค่อยกินข้าวด้วย บางวันก็กาแฟแก้วเดียวอยู่ได้ทั้งวัน ผมเตือนอะไรก็โดนดุใส่ตลอดเลย พี่ทัพเขาเหมือน..."

"หมาบ้า"

"ถูก!"

ทั้งผมและปอหัวเราะออกมาพร้อมกัน ความเข้าใจตรงกันเพราะเราต่างคนต่างรู้นิสัยของไอ้หมาบ้านั่นดี

"ผมไปแล้วครับ บอกพี่ทัพให้พักเยอะๆ นะ ไม่เคยเห็นเขาป่วยขนาดนี้มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้คงจะปวดหัวมาก ร้องไห้ใหญ่เลย"

"ร้องไห้เลยเหรอ"

"ครับ ผมไม่เคยเห็นพี่ทัพร้องไห้มาก่อนเลย คราวนี้คงจะหนักจนทนไม่ไหวจริงๆ "

ผมพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนปอจะขอตัวกลับไป ผมหันหลังกำลังจะเดินกลับเข้าห้อง แต่สองเท้ากลับหยุดตรงนั้นก่อน ผมจินตนาการไม่ออกกับสิ่งที่ปอบอกเล่าให้ฟัง

 

ธงทัพร้องไห้...ผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน 

 

ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองหน้ามันอยู่อย่างนั้น จะพูดอะไรก็ คิดไม่ออก กระทั่งมันแทรกเสียงขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"เสื้อมึงเปียกอะ ถอดออกสิ เดี๋ยวไม่สบาย"

ผมทำตามที่มันบอก ถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่เปียกออก ดีที่เสื้อยีนส์มันหนาพอที่จะเปียกแค่ชั้นนอก ส่วนเสื้อยืดข้างในแค่ชื้นๆ ไม่นานคงแห้งไปเอง ผมหันมองไปมุมห้อง มีตู้เสื้อผ้าตรงนั้นด้วยเลยเดินไปหยิบไม้แขวนตากเสื้อ ในตอนนั้นก็เพิ่งได้สังเกตห้องพักของโรงพยาบาล หรูเทียบเท่าโรงแรมสามดาวได้มั้ง

"โรงบาลโคตรสวยเลย"

"สวัสดิการบริษัทกูดีน่ะ"

ผมยิ้มหน่อยๆ ก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิม

"กินอะไรมาหรือยัง"

ผมส่ายหน้า

"ลงไปหาอะไรกินก่อนก็ได้นะ"

"ไม่ต้องห่วงกู"

ผมพูดเสียงเข้ม ธงทัพรวบริมฝีปากปิดแล้วเหลือบตาขึ้นมองบนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ผมก็ยังไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ดี ได้แต่มองหน้ากันไปๆ มาๆ

"ตกใจเลยสิ"

"อืม"

"กูบอกไอ้ปอแล้วว่าไม่ต้องบอกมึง"

"ลองไม่บอกสิ กูจะตบมึงให้แรงกว่าเมื่อกี้อีก"

"ไปโหดมาจากไหนวะเนี่ย"

ผมไม่ได้ขำไปกับท่าทางล้อเล่นของธงทัพ ตัวมันเองก็เลยหุบปากแล้วขยับตัวนอนลงเงียบๆ กลอกตาไปทางซ้ายที ขวาที

"ง่วงไหม"

มันพยักหน้ารับ

"งั้นก็นอนเถอะ"

"มึงก็กลับไปเถอะ ไม่ต้องเฝ้ากูหรอก"

"มึงอยู่คนเดียวได้เหรอ"

"ได้ดิ"

"ไม่อยากให้กูอยู่เหรอ"

"อือ เกะกะ กลับไปเหอะ"

"ไอ้พี่ทัพ!"

"เออ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เสื้อผ้าก็เปียก กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป"

"ไหวแน่นะ"

"ไหวดิ สบายมาก ไปเหอะ"

"ไม่ต้องการกูขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ไม่ต้องการสักนิด ไปเลยไป"

ผมคิดว่ามันจะรั้งแต่กลับไล่ จึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วคว้ากระเป๋าเดินออก ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องอยู่ครู่เดียว แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องอีกที ธงทัพไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกลับเข้ามา

ดวงตาปิดสนิทแต่หัวคิ้วชนกันคล้ายกำลังเจ็บปวดกับอะไรสักอย่าง ยกมือข้างที่ไม่ได้ติดสายน้ำเกลือขึ้นกดข้างขมับตัวเอง แล้วลืมตาขึ้นมาในตอนนั้น

"เหี้ย!"

ผมยักคิ้วให้นิดหนึ่งตอนที่มันตกใจจนลั่นคำหยาบออกมา อดไม่ได้ที่จะด่าไปสักบทด้วยความหงุดหงิด

"กูรู้อยู่แล้วว่ามึงไม่ไหว ที่ไม่อยากให้กูอยู่เพราะไม่อยากให้กูเห็นตอนมึงป่วยใช่ไหมล่ะ มึงไม่เห็นต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาเลยธงทัพ"

"ก็กูขี้เก๊กอะ!"

"ไอ้หมาบ้า!"

"ป่วยอยู่มันไม่เท่เว้ย แล้วกูก็...ไม่อยากให้มึงต้องมาเป็นห่วงด้วย"

"พี่ธงทัพ"

"อะไร เรียกแบบนี้กูกลัวนะ"

ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้อีกครั้ง

"เราต้องดูแลกันดิวะ"

"..."

"ที่ผ่านมามึงเอาแต่ดูแลกูอยู่คนเดียว ในสายตามึงกูคือใครอะ เด็กม.ปลายที่แม่ตายแล้วไร้ที่พึ่งจนมึงต้องเป็นฝ่ายดูแลกูเหรอ"

"ไม่ใช่แบบนั้นนะเว้ย!"

"ถ้าไม่ใช่ก็ให้โอกาสกูได้ดูแลมึงบ้าง มึงป่วยหรือเป็นอะไรก็บอกกู ควรบอกกู! ให้กูได้ทำอะไรเพื่อมึงบ้าง!"

ธงทัพก้มหน้าลงไปนิดหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมา ผมเห็นแววตาของอีกฝ่ายมีน้ำตาคลอ

"มึงพูดแบบนี้..."

"..."

"น้ำตากูจะไหลเลยนะเนี่ย"

"ก็ร้องออกมาสิ ขี้เก๊กจนน่ารำคาญ"

"ไม่เอาโว้ย!"

โคตรของความดื้อคือธงทัพ มันตะโกนเสียงดังดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า ปาดน้ำตาเสร็จเรียบร้อยจึงเปิดผ้าห่มออกมา ในครั้งนี้....ผมก็ยังไม่ได้เห็นน้ำตาของธงทัพเหมือนเคย

"มึงนอนเถอะ กูจะอยู่ตรงนี้ อย่าไล่กูไปไหนเลย กูไม่ไปหรอก ดุกูแค่ไหนก็ไม่ไป ขอดื้อสักวันเถอะ"

คนบนเตียงพยักหน้ารับ ฝ่ามืออุ่นๆ เลื่อนขึ้นมาสัมผัสแก้มผมเบาๆ

"น่ารักจนทำคนเขาใจสั่นอีกแล้ว"

ผมได้แต่ส่ายหน้าเบา ไม่รู้ตัวว่าทำหน้าบูดเพราะแก้มพองออกมากว่าเดิม

"แก้มพองอีกแล้วนะ" มือที่สัมผัสแก้มเปลี่ยนเป็นบีบเบาๆ อย่างที่เคยทำ

"ไม่ให้บีบแล้ว"

ผมจับมือธงทัพออกจากแก้ม ก่อนเป็นฝ่ายจับมือของมันเอาไว้เอง

"ถ้าเราจับมือกันแบบนี้ มึงจะติดไข้กูหรือเปล่า"

"ถ้ากลัวก็ปล่อย"

ผมบอก แต่ธงทัพกลับจับเอาไว้แน่นกว่าเดิม เหมือนบอกผ่านฝ่ามือนั้นว่า ต่อให้ติดไข้ตายไปพร้อมกันก็จะไม่ปล่อยออกหรอก

"ไม่รู้ว่าหมาบ้าอย่างมึงจะป่วยเป็นกับเขาด้วย"

"เดี๋ยวเตะเลย"

"ธงทัพ"

"อือ"

"นี่มึงเป็นไข้เฉยๆ จริงๆ ใช่ไหม"

"จะแช่งอะไรกูอีกล่ะ"

"กูกลัวมึงป่วยหนักไง กูไม่ชอบเวลามึงเลือดกำเดาไหล มึงเคยดูละครไหม คนที่เลือดกำเดาไหลบ่อยๆ ไม่มะเร็งก็ลูคีเมียแหละ"

"ภูผา ไอ้บ้า!"

"พอเกิดอะไรขึ้นกับมึง กูก็กังวลไปหมด ถ้ามึงเป็นโรคร้ายแรงอะไรมึงต้องบอกกูเลยนะ ไม่ต้องมาเซอร์ไพรส์กูสองวันสุดท้ายก่อนตายอะไรแบบนั้น กูทำใจไม่ได้นะ"

"กูไม่ได้เป็นอะไร กูแค่ป่วย กูทำแต่งานเลยไม่ได้ดูแลตัวเอง ก็ต้องมีวันที่ร่างกายกูเจ็บป่วยเพื่อประท้วงบ้าง แต่กูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่ต้องกังวล"

"กูกลัวมึงตาย"

 

กลัวว่าธงทัพจะเป็นอะไรไป

 

นั่นเป็นความหวาดกลัวเดียวของชีวิตที่เพียงแค่คิดขึ้นมาผมก็ทำใจไม่ได้แล้ว...เพราะธงทัพสำคัญเท่าชีวิต และถ้ามันเป็นอะไรไปจริงๆ ตัวผมเองคงแตกสลายไปด้วย ผมมองหน้าธงทัพพร้อมกับความคิดหนึ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ ความเจ็บป่วยเหล่านั้น หากรับแทนกันได้ก็คงจะดี...

 

"ถ้ามึงตายไปโลกนี้กูก็ไม่เหลือใครแล้วนะ"

"..."

"อย่าตายไปก่อนกูนะธงทัพ"

"..."

"กูขอร้อง"

ธงทัพดึงมือข้างที่จับกันอยู่เข้าไปให้ผมกับมันได้ใกล้กัน ก่อนใช้มืออีกข้างโอบกอดผมเบาๆ ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากธงทัพและผม มีเพียงคำปลอบโยนผ่านอ้อมกอดนั่น เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนธงทัพปล่อยผมออก

"ภูผา ฟังกูนะ"

"..."

"กูไม่มีวันตาย"

"..."

"กูเป็นอมตะ"

"..."

"ตอนเด็กๆ กูโดนแวมไพร์กัดคอ โตขึ้นมากูเลยรู้ว่าจริงๆ กูไม่ใช่ธงทัพ แต่เป็นเอ็ดเวิร์ด..."

"..."

"เอ็ดเวิร์ด คัลเลน"

"..."

"แวมไพร์ ทไวไลท์"

ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากมันเบาๆ ชื่นชมการปลอบโยนที่แปลกใหม่ แต่มันอดไม่ได้ที่จะด่าสักคำ เลยขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มแล้วพูดหนึ่งคำด้วยความนุ่มนวลและอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้

"ไอ้...เหี้ย..."

ธงทัพทิ้งตัวเองลงนอนคล้ายกลั้นใจตายไปตอนนั้นเลย ผมส่ายหน้าเบาๆ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้แล้วปล่อยให้มันนอน ด้วยอาการป่วยหรือฤทธิ์ยาก็ไม่รู้ แต่ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ธงทัพก็หลับไปแล้ว ผมยังคงนั่งอยู่ข้างๆ ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนั่งมองอยู่เฉยๆ ในหัวใจผมกำลังอ้อนวอนต่อทุกสิ่งใดในโลกที่เคยสูญสิ้นศรัทธาไป แต่ในเวลานี้ผมอยากพึ่งพาสิ่งเหล่านั้นมากที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจ ผมกำลังภาวนาให้ธงทัพหายไวๆและพรข้อเดียวที่ขอในตอนนี้ก็เพื่อคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงนั่น

 

อย่าป่วยอีกเลยนะ...พี่ธงทัพ

 

 

 

To be continued.

 

 

เห็นหลายคนเป็นห่วงไอ้พี่หมาใหญ่ เพรราะกลัวมันตาย เลยเอาตอนสั้นๆ มาฝากเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าพี่ธงทัพปลอดภัยดีไม่มีโรคภัยร้ายแรง สบายใจกันแล้วนะคะ หู้ไม่ใช่คนใจล้ายยยยย 555555
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 27-09-2018 17:25:59
กอดน้องภูหนึ่งที กอดพี่ทัพอีกหนึ่งที
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 27-09-2018 17:31:33
น้องภูต้องพาพี่ทัพไปตรวจร่างกายเต็มรูปแบบ พาเข้าฟิตเนสแล้ว เพื่อหุ่น เอ๊ย เพื่อร่างกายที่แข็งแรง  :m23:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 27-09-2018 17:54:11
รชาบอกไม่ใช่คนใจล้ายยยย เราไม่เชื่ออออออ พี่ทัพโกลเด้นของเลา แย่แน่ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 27-09-2018 18:39:45
ฮือออ โล่งใจมากค่ะนี่ลุ้นมากกลัวพี่ทัพจะเป็นอะไรหนักหนา ขอบคุณรชาที่ไม่ใจร้ายกับพี่ทัพของน้องภูนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 27-09-2018 19:40:16
ขอกอดราชาทีหนึงจุ๊บขมับด้วยรักมากเด้อ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-09-2018 19:49:21
ทำไมเราไม่เชื่ออออ พี่ทัพร้องไห้ทำไมมมม  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-09-2018 20:18:08
ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 27-09-2018 21:40:12
พี่ทัะไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่พูดเรื่องความตายกันเนี่ย ชักจะหวั่นๆว่าเป็นคำใบ้ ว่าเรื่องนี้จะมีคนตายหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 27-09-2018 23:44:30
ฮืออออ ธงทัพไม่ตายเราก็สบายยใจจจ

รักเต้าหู้ไข่ที่สุด
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.1] 27/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-09-2018 07:52:12
ธงทัพไม่ตาย

ภูผาไม่ตาย

นาวีไม่ตาย

เราจะอยู่สามคนปั๊วเมีย อิๆ

เรารู้หลายๆคนคิดเหมือนเรา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 29-09-2018 18:15:54
Episode 19.2


ปล่อยให้ความกลัว
กลายเป็นเพียงเรื่องสมมติ


 
 

วันนี้ผมไม่ได้ไปอยู่เฝ้าธงทัพที่โรงพยาบาล เพราะบริษัทผมค่อนข้างเข้มงวดเรื่องวันลา จะหยุดงานกะทันหันเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนมัน แบบที่มันเคยโดดงานมาอยู่กับผมไม่ได้เลยต้องปล่อยให้มันอยู่โรงบาลคนเดียวไปก่อน ได้แต่ส่งข้อความไปหาตอนเที่ยงเพื่อถามอาการ ทางนั้นยังมีแรงตอบไลน์กลับมา แถมถ่ายหน้าบวมน้ำเกลือของตัวเองแบบเต็มๆ จอส่งมาให้ดูอีกจึงวางใจได้ว่าอาการดีขึ้น

วันนี้ทั้งวันก็ยังมีงานในส่วนที่ผมต้องรับผิดชอบมายมายไม่ต่างกับวันอื่น ผมเงยหน้าขึ้นมองสิ่งรอบตัวน้อยมาก เพราะอยากให้งานเสร็จไวๆ แต่มันช่วยไม่ได้ที่จะต้องละสายตาออกจากหน้าจอคอมพ์บ้างเพราะอาการปวดตาที่เป็นๆ หายๆ อยู่ทั้งวัน   

หันมองนาฬิกาเป็นครั้งที่สองของวัน เข็มสั้นก็ชี้ไปที่เลขห้าบ่งบอกเวลาเลิกงานพอดิบพอดี ผมเผลอยิ้มกว้างจนแก้มแทบแตก

"อะไรกันน้องภู อยากเลิกงานขนาดนั้นเชียว"

"พี่ผมไม่สบายอยู่โรงบาล ต้องรีบไปหามันน่ะครับ"

"พี่เหรอ?"

"พี่...ครับ"

"พี่ชาย?"

ผมเลิกหัวคิ้วขึ้นนิดๆ แล้วพยักหน้าตอบคำถามนั่น ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจสายตาคั้นคะยอและรอยยิ้มที่ต้องการแซวกัน จะให้พูดว่าธงทัพเป็นอะไรถ้าไม่ใช่พี่ ถ้าไม่ใช่พี่ก็...

 

แฟนหรือเปล่านะ

 

ก็ยังคงไม่กล้าพูดคำนั้นออกไปอย่างเต็มปาก แม้เราจะข้ามขั้นของคำว่าพี่น้องจนความสัมพันธ์ชัดเจน ย่นระยะห่างทั้งกายและทางใจ เรื่องราวหยุดซับซ้อนและเข้าใจง่ายขึ้นผ่านค่ำคืนนั้นที่ลืมไม่ลง มันก็คงไม่ผิดถ้าจะใช้คำๆ นั้น แต่ธงทัพเองก็ยังไม่เคยพูดมันออกมาเลยด้วยซ้ำ เราจะประคับประคองความสัมพันธ์อันเรียบง่ายและซื่อตรงให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้หรือไม่ได้นะ...

 

...

 

กว่าผมจะมาถึงโรงพยาบาลก็ใช้เวลานานจนฟ้าเปลี่ยนสี ความมืดที่เข้ามาแทนที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าควรรีบกว่านี้อีกสักหน่อย แต่การรอคอยบางอย่างก็เร่งเร้าอะไรไม่ได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่กำลังรอข้าวต้มปลาร้านโปรดของธงทัพที่ถ่อมาไกลเพื่อซื้อให้มันกิน หลังจากที่โทรมาบ่นเมื่อครู่ว่ากินข้าวของโรงพยาบาลไม่ได้เลย ความออดอ้อนแปรผันตามอาการป่วยจนไม่อยากจะขัดใจ ผมเลยต้องดันทุรังฝ่ารถติดมาซื้อข้าวต้มปลาไกลคนละฟากจากโรงพยาบาล แล้วย้อนกลับไปหามันตอนเข็มนาฬิกาขยับไปเป็นเวลาเกือบทุ่ม 

เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย คนที่หันมาทักผมก่อนก็คือปอ ที่ธงทัพมันบอกตั้งแต่ตอนโทรหาแล้วว่าอยู่ด้วยกัน

"พี่ภูมาแล้ว!"

"รถติดอะ เลยมาช้าหน่อย โทษที"

"ผมกลับเลยนะ"

"เฮ้ย กินข้าวด้วยกันก่อนดิ"

"ไม่เป็นไรครับ จริงๆ ผมไปรับบรีฟงานลูกค้าแทนพี่ทัพมา เลยเอางานมาให้ดูเฉยๆ ตั้งใจจะกลับตั้งนานแล้วแหละ แต่เห็นว่าพี่เขาอยู่คนเดียวเลยอยู่คุยเป็นเพื่อนก่อน"

"อยู่คุยเป็นเพื่อนเหรอ แหม! กูป่วยจะตายห่ายังหาเรื่องเอางานมายัดใส่สมองอีก บอกหัวหน้ามึงเลย กูลาพักร้อนสักครึ่งเดือนได้ไหม"

"โธ่พี่ จริงๆ ผมก็อยากทำแทนพี่แหละ แต่ฝีมือข้าน้อยยังอ่อนนัก แล้วลูกค้าเขาก็รีเควสพี่ด้วยไง เพราะทั้งบริษัทไม่มีใครเก่งเกินพี่อีกแล้ว นี่พูดจริง!"

"มึงไม่ต้องสรรเสริญกูเพื่อใช้งานกูเลย"

"แหะๆ งั้นผมกลับเลยนะ วันนี้ไม่มีงานค้าง อยากนอนเร็วๆ บ้าง"

"งั้นเอาไปกินที่บ้านด้วยดิ พี่ซื้อมาเผื่อแล้วอะ ไม่งั้นคงไม่มีใครกิน"

"ก็ได้ฮะ ขอบคุณมากนะครับ กำลังคิดอยู่เลยว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี" ปอยกมือไหว้ผมก่อนจะรับข้าวต้มปลาที่ยื่นให้ไปอย่างนอบน้อม  ก่อนหอบเอาทั้งงานและกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง แต่เสียงของธงทัพเรียกเด็กนั่นเอาไว้ก่อน

"ปอๆ"

"ครับ?"

"เอาไปกินดิ" ธงทัพว่าพลางหยิบนมแลคตาซอยแพ็กหนึ่งที่เดาว่ามีคนเอามาเยี่ยมส่งมันให้ปอ

"พี่เก็บไว้กินเหอะ คนเขาเอามาเยี่ยมพี่นะ"

"มึงเอาไปเหอะ มึงชอบไม่ใช่เหรอ"

"เกรงใจจัง แต่ก็ขอบคุณครับ ผมคงจะอิ่มไปสามวัน" หยิบเอานมแพ็คนั่นไปกอดไว้ในมือรวมกับข้าวของชิ้นอื่นอย่างพะรุงพะรัง เพราะมือไม่ว่างเลยก้มหัวสองสามทีเป็นเชิงบอกลาแล้วออกไปจากห้อง

"น่ารักดีนะ เด็กคนนี้"

"อะไรนะ"

"ปอไง นิสัยดี"

"เด็กเอ๋อล่ะสิไม่ว่า"

"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหัวมึง" ผมถามเพราะเห็นคลิปหนีบผ้าหนีบอยู่ที่ผมหน้าเพื่อเปิดหน้าผากไม่ให้ผมปรกลงมา

"ไอ้ปออะดิ มันบอกรำคาญผมหน้ากูเลยเอาที่หนีบผ้ามาติด นี่ก็เพิ่งตัดผมนะ แต่มันยาวอีกแล้วอะ" ประโยคหลังคล้ายบ่นพึมพำกับตัวเองพลางถอดคลิปนั่นออกด้วยใบหน้ายุ่งๆ ส่วนผมเดินไปหาชามมาเทข้าวต้ม มีความคิดหนึ่งที่ไม่ได้ไม่พอใจหรือหงุดหงิดอะไร แต่อยากถามเฉยๆ จึงเอ่ยออกไป

"ปกติไม่ชอบให้ใครเล่นหัวไม่ใช่เหรอ"

ธงทัพวางคลิปนั่นลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วหันมองผมพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้างงๆ

"หึงเหรอ"

"นั่นสิ"

ผมต้องถามตัวเองเหมือนกันแหละว่ามันคืออะไรกัน...ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ ไม่ทันไร ก็งี่เง่าเอาเรื่องแล้วเหรอภูผา

"จะหึงทำไม กับไอ้ปอเนี่ยนะ"

"ไม่อยากให้มึงใจดีกับใคร เห็นแก่ตัวเนอะ"

"กูใจดีกับทุกคนแหละ แต่รักมึงคนเดียวนะ"

ผมชะงักมือที่กำลังเทข้าวต้มนั่นแล้วหันขวับไปมองคนบนเตียง

"อะ...อะไรของมึง..."

"หิวอะ โคตรหิวเลย"

กลายเป็นผมที่มือสั่นทำอะไรผิดๆ ถูกๆ รวบสติ เทข้าวต้มใส่ชามแล้วยกไปให้มัน แต่ด้วยอาการป่วยที่ยังไม่หายดี ผมรู้ว่ามันทรมานที่จะฝืนกินข้าวสักคำ ไม่ใช่ว่าอาหารของโรงพยาบาลไม่อร่อยหรอก แต่จังหวะนี้ต่อให้ไปเอาบุฟเฟต์ทะเลเผาของโปรดของมันมาปิ้งให้กินตรงนี้มันก็คงกินไม่ลง

"เจ็บคอเหรอ"

"อือ"

"ต้องกินหน่อย จะได้กินยา"

ผมบังคับให้ธงทัพฝืนกินอีกสองสามคำ ก่อนจะตามด้วยยาเม็ดที่มันเกลียดยิ่งกว่าอะไรดี ตอนนี้กลายเป็นมันนั่นแหละ ที่เหมือนเด็กน้อยน่าสงสาร มีน้ำตาคลอบ่งบอกว่าอยากจะร้องไห้เต็มทน แต่ความขี้เก๊กก็ทำให้ต้องกล้ำกลืนฝืนกินยานั่นลงคอไป ไม่ถึงสองนาทีอาการพะอืดพะอมก็ออกฤทธิ์ให้เห็น

"ภูผา...กูจะอ้วก"

"จะอ้วก?"

มันพยักหน้ารับ ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าเข้าไปหา ตัวมันก็วิ่งตัวปลิวจนเข็มน้ำเกลือหลุดแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำ สำรอกของเหลวออกจากมาหมดทั้งข้าวทั้งยา ผมละทุกอย่างในมือทิ้งแล้วตามมันเข้าไปในห้องน้ำ ยกมือลูบหลังเบาๆ เพียงเพราะมองเห็นความทรมานของอีกคนด้วยความสงสาร...หัวใจผมก็อยู่ไม่เป็นสุขเลย

"โอเคขึ้นไหม"

มันพยักหน้ารับแล้วยันตัวเองขึ้นมาอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง

"ล้างหน้าก่อน"

"กูทำเองได้"

"กูทำให้! มึงอะคนป่วย ทำหน้าที่คนป่วยของมึงให้ดี ที่เหลือกูจัดการเอง เข้าใจไหม!" ต้องโดนผมดุจนได้ มันถึงยอมให้ผมเป็นคนจัดการทำความสะอาดให้ ก่อนพามันกลับไปนั่งที่เตียง ใช้ทิชชูซับเลือดที่หลังมือจากรอยเข็มที่หลุดไปเพื่อรอให้พยาบาลมาจัดการให้ใหม่ เมื่อเห็นว่าเสื้อเปียกไปฝั่งหนึ่งผมก็ยื่นมือไปถอดออกให้ ไม่มีการขัดขืนอะไรแล้วเพราะมันน่าจะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ

ยอมให้ผมถอดเสื้อออก แต่ก่อนที่จะสวมตัวใหม่เข้าไป ผมเผลอวางสายตาอยู่ที่รอยสักบนอกข้างซ้ายของมันอยู่ครู่หนึ่ง ตัวมันเองก็ก้มลงมองตามไปด้วย

"ภูเขา ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่าเป็นรูปภูเขา"

"ทำไมต้องภูเขา"

"จะให้บอกว่าภูผาไหมล่ะ"

ผมเงียบ กำเสื้อตัวใหม่ที่กำลังจะใส่ให้จนเป็นรอยยับ

"หูแดงเลย"

"ใคร!"

"มึง"

ผมไม่เถียงพลางยกมือปิดหูตัวเอง ส่ายหน้าเรียกสติ แล้วสวมเสื้อให้มันอย่างรวดเร็ว พูดให้ถูกคือ แค่สวมให้ลวกๆ ที่เหลือให้มันจัดการต่อเอง ธงทัพไม่ยอมผูกเชือกที่เสื้อเส้นสุดท้าย แล้วยกมือลูบรอยสักตัวเองอีกครั้ง

"กูรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งต้องได้มึงมาเป็นแฟน"

"..."

"เลยสักรูปภูผาเอาไว้ตรงนี้"

"..."

"ตรงหัวใจเลย"

เม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มสุดชีวิตแล้ว แต่ฝืนไม่ไหวกลายเป็นยิ้มกว้าง ผมได้ยินคำว่าแฟนหลุดออกจากปากธงทัพเป็นครั้งแรก...ธงทัพแกล้งผม แกล้งให้หน้าผมร้อนผ่าวเดาว่าแดงกล่ำไปถึงหูด้วยคำพูดพวกนั้น

เขิน...ที่กำลังเป็นอยู่นี่คงเรียกว่าอย่างนั้น จากคนที่ยิ้มไม่เก่งอย่างผม กลับหุบยิ้มไม่ลงเพราะอาการเขินระยะรุนแรง ธงทัพมีผลต่อหัวใจมากมายขนาดที่ผมอธิบายไม่ได้เลย...ไอ้หมาบ้า

"ยิ้มใหญ่เลยนะ" ได้ทีแซวใหญ่ ซ้ำยังยกมือขึ้นบิดแก้มพองๆ ของผมอย่างดูชอบใจ

 

"ครืด..."

 

เสียงประตูห้องเลื่อนเปิดออก ทั้งผมและธงทัพหันมองคนที่เดินเข้ามา สองมือของธงทัพรีบชักออกจากแก้มของผม ตัวผมเองก็ถอยหลังไปอีกทางด้วยความตกใจเล็กน้อย ผมยกมือขึ้นไหว้ทักทายในจังหวะเดียวกับที่ธงทัพเอ่ยเรียกคนที่ก้าวเท้าเข้ามา

"พ่อ"

"อืม" ตอบรับธงทัพแล้วหันมาพยักหน้ารับไหว้ผม

"พ่อมาทำไม"

"ก็มาดูหน่อยว่าจะตายหรือยัง"

"กลับไปเลยพ่อ"

ลุงวุธหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนผมจะเลื่อนเก้าอี้ข้างเตียงให้เขานั่ง

"แล้วพ่อรู้ได้ยังไง"

"แม่แกโทรบอกน่ะสิ แต่แม่ไม่ว่างเลยให้พ่อมาดูแทน"

"ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย แม่ก็ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่"

ความรู้สึกของคนไม่จำเป็นก็เกิดขึ้นในตอนนี้ ผมก็อยากจะกลายร่างตัวเองให้กลายเป็นอากาศชั่วคราวแต่ทำไม่ได้ วิธีเดียวที่จะหายไปจากตรงนี้คือการใช้สองขาก้าวออกมาจากประตู ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากบอกเบาๆ ให้ลอยไปเข้าหูใครก็ได้

"ภูไปรอข้างนอกนะ"

จะพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม ถ้าให้ผมยืนอยู่ด้วยตรงนั้น ผมอึดอัดจนไม่มีตัวตน สมการของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลุงวุธมันควรสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่แม่ตายไป เพียงแต่ว่าหลังจากที่แม่ตาย ลุงวุธเสนอตัวรับผิดชอบเลี้ยงดูผม และตัวผมในตอนนั้นผมหมดหนทาง เคว้งคว้าง ไม่มีที่ไป ลุงวุธก็เอื้อมมือที่แข็งแกร่งดูพึ่งพาได้เข้ามาช่วยเหลือ ผมจึงไว้ใจลุงวุธยิ่งกว่าใคร อีกทั้งลุงวุธไม่ได้รักกับใครใหม่อีกเลยตั้งแต่แม่ตายไป หรือบางทีอาจเพราะมีเรื่องงานที่ยุ่งวุ่นวายให้ทำ จึงจำเป็นต้องตัดเรื่องที่ไม่ได้สำคัญกับชีวิตออกไปบ้าง ผมจึงไม่รู้จริงๆ ว่าลุงวุธจะลืมหรือว่ายังรักแม่ของผมอยู่

เรื่องราวคล้ายว่าจะเรียบง่ายอย่างที่ผมอยากให้มันเป็นแบบนั้นอยู่เสมอ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ผมกลับกลายเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นที่ลุงวุธเรียกผมว่า...คนอื่น มันคงมีสักเหตุผลที่ทำให้ลุงวุธไม่เอ็นดูผมเหมือนเก่า...สักเหตุผลหนึ่งแหละ

และในทุกครั้งที่ต้องเจอหน้ากัน มันจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ผมต้องผลักตัวเองออกมาไกลๆ แต่ชีวิตก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอก ผมยังมีป้าอรที่เอ็นดูผมไม่เปลี่ยน ป้าอรเอาใจผมมากกว่าธงทัพซะอีก ผมรักป้าอรเหมือนแม่ แต่ถึงอย่างไร...ป้าอรก็ไม่ใช่แม่ของผม

จากชั้นเจ็ดของตึกโรงพยาบาลผ่านหน้าต่างกระจกใส ผมมองเห็นความวุ่นวายของรถบนถนนที่ยังแออัดและค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าได้ทีละนิด ทีละหน่อย แต่เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมองบนฟ้ามืด บนนั้นสงบเงียบแม้เพิ่งผ่านพ้นชั่วโมงฝนตกไปเมื่อครู่ ผมปล่อยตัวเองเหม่อลอยมองดูความมืดมิดอยู่ครู่หนึ่งอย่างเงียบงัน เสียงในใจผมพลันเอ่ยแทรกความเงียบอย่างควบคุมไม่ได้

 

ภูคิดถึงแม่นะ...

 

 

ไม่ทันได้สนใจดูนาฬิกาแต่ด้วยความรู้สึกก็รู้ว่านานเป็นพักใหญ่ ก่อนที่ลุงวุธจะเดินออกมาจากห้อง ผมทำได้แค่ยิ้มรับ ลุงวุธเปิดบทสนทนาก่อน ผมรู้...ตามมารยาท

"สบายดีนะภู"

"สบายดีครับ"

"ฝากดูแลทัพด้วยล่ะ"

"ครับ"



แสนสั้น...มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้



ผมยิ้มให้ลุงวุธอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินออกไป ผมจึงกลับเข้าไปหาธงทัพ อย่างที่บอกว่าผมไม่มีอะไรปิดบังธงทัพ ผมบอกให้มันฟังทุกเรื่อง กระทั่งความรู้สึกที่มีต่อลุงวุธ แม้รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่จะทำให้ธงทัพลำบากใจเพราะนั่นคือพ่อของมัน แต่ทั้งชีวิตผมก็มีมันอยู่คนเดียว ผมก็พูดให้มันฟังได้แค่คนเดียว และไม่ว่าผมจะบ่นอะไรออกไป ก็มักจะตั้งใจฟังอยู่เสมอ แต่สำหรับเรื่องนี้ ธงทัพไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีการเข้าข้าง ไม่บอกแนวทางแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ ด้วยการตอบกลับซ้ำๆ ที่ได้ยินจนจำได้ขึ้นใจ

 

มึงมีกู...กูอยู่นี่...กลัวอะไร

 

ธงทัพก็เป็นแบบนี้แหละ

ผมฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง พลันสายตามองไปเห็นกุญแจรถวางอยู่บนโต๊ะ

"ของลุงวุธนี่"

"สงสัยพ่อลืมว่ะ"

ผมพยักหน้ารับพลางคว้ากุญแจรถนั่นแล้วก้าวเท้าวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อตามลุงวุธให้ทัน โชคดีที่เขายังยืนรอลิฟต์อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น การวิ่งระยะสั้นไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยหอบ เลยยังสามารถสื่อสารกับลุงวุธได้ไม่ติดขัด

"ลุงวุธ ลุงลืมกุญแจรถครับ"

"ใครว่าลืม"

"ครับ?"

"เอาไว้ให้ธงทัพใช้"

"ครับ?"

ผมพูดซ้ำ ดังกว่าเดิมอีกนิด

"ก็อย่างที่พูดนั่นไง เอาไว้ให้ธงทัพใช้ จอดอยู่ที่ลานชั้นสาม ธงทัพมันรู้ว่าคันไหน"

ผมกระพริบตาปริบ ก่อนลิฟต์เปิดแล้วลุงวุธก็เดินเข้าลิฟต์ไป ด้วยสัญชาตญาณผมยกมือไหว้เป็นเชิงบอกลาก่อนประตูลิฟต์ปิด หันหลังกลับไปหาธงทัพทั้งที่ยังงงๆ อยู่ ไม่ใช่ว่าอะไร...ผมแค่ห่วงว่า ลุงวุธจะกลับชลบุรียังไง นี่ก็มืดแล้วนะ

"ทันพ่อป่ะ"

ผมพยักหน้าตอบธงทัพ แต่ยื่นกุญแจรถให้มัน หัวคิ้วของอีกคนขมวดเข้าหากัน ก่อนธงทัพจะถามอะไร ผมก็บอกออกไปก่อน

"ลุงวุธบอกว่า เอาไว้ให้มึงใช้"

"ฮะ!" แม้เจ็บคอจนเสียงแห้งหายแต่ธงทัพก็ร้องออกมาดังลั่นอย่างตกใจ

"ลุงวุธบอกอย่างนั้น"

"..."

"จอดอยู่ที่ชั้นสาม เขาบอกว่ามึงรู้ว่าคันไหน"

ทั้งธงทัพและผมก้มมองกุญแจรถสีดำด้านมีโลโก้ยี่ห้อสีเงินอยู่ตรงกลาง คนที่กำลังถือกุญแจนั่นอยู่เอียงคอมอง สีหน้าดูไม่คลายความสงสัย

"ของจริงป่ะวะ"

ผมหลุดหัวเราะ ตอนที่ธงทัพก็ขำออกมาพร้อมกัน เอ่ยเสียงแหบร้องอย่างดีใจ

"เย้! ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วได้เบนซ์ใช้ รู้งี้กูจะก่อเซลล์มะเร็งตั้งแต่ม.หกละ"

"ไอ้บ้า!" ผมเผลอด่าไม่พอแถมตบปากไปอีกทีหนึ่งด้วย

"ล้อเล่นๆ"

"ทำไมลุงวุธใจดีจัง"

"นั่นดิ แปลกๆ แอบมีเมียน้อยอีกป่ะเนี่ย"

ผมเงียบ ธงทัพเงียบ เมื่อรู้ตัวว่าพูดไม่คิดอีกแล้วก็ยกมือตบปากตัวเอง

"ขอโทษ"

"ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย" ผมพูดปัดๆ ลุงวุธจะมีเมียใหม่ก็ไม่แปลก ลุงวุธกับป้าอรแยกกันอยู่มาตั้งหลายปี แม่ผมก็ตายไปตั้งนาน มันก็คงมีสักวันที่ลุงวุธอาจจะเหงาบ้าง แต่ถือว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมก็แล้วกัน 

"พี่ธงทัพ ถามอะไรหน่อยดิ"

"เรียกกูแบบนี้ทีไร เหมือนไข้กูจะขึ้นสูงเลยนะเนี่ย เสียงเครียดมาเชียว"

"เออ! ขอถามอะไรหน่อย"

"อะไร"

ธงทัพหันหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ แต่กลายเป็นผมที่พูดติดๆ ขัดๆ ทั้งกล้าทั้งกลัวแต่ก็อยากจะพูดมันออกไป

"ถ้าสมมติ...."

"..."

"แค่สมมติ..."

"..."

"สมมติว่าลุงวุธไม่ชอบกู..."

"..."

"หมายถึงว่าถ้าลุงวุธไม่ชอบเรา ไม่ชอบเรื่องของเรา ไม่ชอบที่เราเป็นแบบนี้..."

"..."

"เราจะทำยังไงกันดี"

"..."

"แต่ว่า...แค่สมมตินะ"

เหมือนผมจะพูดวกไปวนมา ไม่รู้ว่าคำถามของผมมันชัดเจนพอที่ธงทัพจะเข้าใจหรือเปล่า แต่เพราะธงทัพเป็นคนฉลาดจึงเข้าใจอะไรได้ไม่ยากเย็น มือข้างหนึ่งขยับมาจับมือผมเบาๆ นิ้วโป้งลูบฝ่ามือช้าๆ เนิ่นนานไม่มีคำพูด ผมก้มหน้าเงียบ และเงยขึ้นในตอนที่ธงทัพเอ่ยบางคำ

"ไม่เป็นไร แค่เรื่องสมมติ"

"..."

"แล้วกูก็อยู่นี่ทั้งคน"

 

 

"ให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ"

 

คล้ายภาพความทรงจำทับซ้อน ผมได้ยินประโยคนั้นจากแปดปีก่อนลอยเข้ามาในหัว ความทรงจำเลวร้ายกระแทกเข้าที่อกข้างซ้ายจนเจ็บแปลบ เรื่องของผมกับนาวีพุ่งเข้ามาย้ำเตือนว่าเรื่องสมมตินั้นมันควบคุมไม่ได้ เรื่องสมมติมักเป็นสิ่งที่เรากลัว และหากว่าเราโชคร้าย...

 

เรื่องสมมติก็มักจะกลายเป็นเรื่องจริงอยู่เสมอ


 

To be continued.

 



**แจ้งยื่นใบลา เจอกันอีกทีประมาณกลางเดือนหน้านะคะ แต่ไม่หายไปสองสามเดือนเหมือนแต่ก่อนแล้ว สัญญา 555555 อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว เอาใจช่วยด้วยนะคะ ด่ากันได้ แรงๆ ก็ได้ ทำใจแล้ววววว***
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 29-09-2018 18:53:26
อยากกอดพวกเค้าทั้งสองให้แน่นที่สุดและขอให้ผ่านเรื่องทุกข์ใจอย่าให้ทั้งสองต้องเจ็บปวดอีกเลย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 29-09-2018 18:55:49
แง้งงงงงง หย่อนระเบิดไว้แล้วเธอก็ปายยย อ่านไประแวงไป ไว้ใจไม่ด้ายเลยยยย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: bradpitt ที่ 29-09-2018 19:00:02
ฮืออออ. ละมุนใจ

ถ้าจะ หวานขนาดนี้. อยากให้พี่ธงทัพ นอน รพ สัก ครึ่งเดือน เลย

มีรอยสัก แทน ภูผา ไว้ตรงหัวใจ  :กอด1:


ว่า แต่. ที่ ภูคิด. เป็นเรืองสมมติ ใช่ไหม.  คุณพ่อ คงไม่มากีดกัน. ดราม่า หรอกนะ  :mew2:
__
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 29-09-2018 19:24:21
ไม่อาววววววววววววสสสว ประวัติศาสตรืจะต้องไม่ซ้ำรอยยย
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-09-2018 20:00:09
พี่ธงทัพ  น้องภูผา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ว่าแต่นาวี คงงงมากๆที่อยู่ภูผาก็วิ่งพรวดพราดออกไปเลย  o22 :really2: :really2:
นาวี จะเข้ามาในชีวิตภูผายังไงนะ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2018 20:26:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 29-09-2018 20:45:50
เดี๋ยวววววววว รชาาาาา กลับมาก๊อนนนนนนน พอสไว้ตอนหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ไม่ด๊ายยยย  :ling3:   :sad4:

พี่ทัพพูดมะเร็งทำไม!  ตบปากตัวเองเท่าอายุเดี๋ยวนี้เลย! บ้าบอ คนยิ่งคิดๆอยู่ด้วย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 29-09-2018 22:52:30
อะไรเนี่ย ทำไมชอบพูดเป็นลาง มะเร็งอย่างงี้ เรื่องสมสติงี้ กลัวนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-09-2018 23:03:23
เมื่อก่อนภูผาก็ไม่ชอบลุงวุธที่เข้ามายุ่งกับแม่ตัวเอง ทีนี้ภูผาไปยุ่งกะลูกชายลุงมั่ง หายกัน
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 30-09-2018 09:51:25
ต่อไปความใจดีของพี่ทัพจะทำร้ายใครไหม  :z3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 30-09-2018 12:16:17
 3P ก็ไม่เป็นไรเรารับได้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.19.2] 29/9/18
เริ่มหัวข้อโดย: aumaim0621 ที่ 30-09-2018 16:34:37
ทำไมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆว่าบทปอมันต้องมีอะไรอ่า ร้ายไปเลยหรือไม่ก็อาจคู่กับนาวี? กลัวมาทางที่ทำอะไรให้ภูผากับธงทัพผิดใจกัน แต่ที่ร้ายแรงกว่าคือกลัวธงทัพเป็นโรคร้าย! เหมือนชอบเลือดกำเดาไหลด้วยไหม... ขออย่าให้เป็นงั้นเลย ไม่งั้นน้องคงแบบต้องไปบวชแล้วหล่ะYY
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 06-10-2018 13:28:52
Episode 20

 

แม้เคยชินจนไม่ร้องไห้
แต่ความเสียใจ
มันก็ยังเหมือนเดิม


 

 

ธงทัพใช้เวลาสามวันอยู่ในโรงพยาบาล หลังออกจากโรงพยาบาลก็ยังได้พักต่อเพราะตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี อาการป่วยทางร่างกายหายแล้ว แต่อาการอ้อนท่าทางจะเป็นเรื้อรัง หลังจากเก็บกดกินอะไรไม่ได้มาหลายวัน พอหายดีก็สั่งผมซื้อนั่นซื้อนี่เข้าไปให้กิน ผมเพิ่งเอาเฝือกแขนออกไปเมื่อวาน แต่ดูเหมือนวันนี้กระดูกแขนจะหักอีกสักสองท่อนเพราะหอบหิ้วของกินมาให้มันนี่แหละ

เมื่อกลับมาถึงห้องพร้อมอาหารที่สั่งทุกรายการ เจ้าของห้องก็จัดการแกะใส่จานแล้วตื่นเต้นกับการกินเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยกินมันมาก่อน

"กูคิดว่าลิ้นจะรับรสชาติแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นกูยอมตายดีกว่า"

"เวอร์"

"ไม่เวอร์" มันเถียงแล้วยัดกุ้งเผาที่แกะเปลือกแล้วยัดใส่ปากผม ผมเคี้ยวอาหารในปากพลางหันมองนอกหน้าต่างที่อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมา

"ฝนตกอีกแล้ว" อีกคนบ่น แล้วทำท่าจะลุกขึ้นไปปิดกระจก แต่ผมยกมือกดไหล่มันเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายลุกไปเอง ยืนดูฝนที่ลงเม็ดมาเบาๆ แล้วหันไปหามัน

"อากาศแบบนี้น่ากินเบียร์เนอะ"

ธงทัพหันขวับขมวดคิ้วแน่นเข้าหากัน อย่างที่รู้กันว่ามันไม่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วก็มักจะห้ามผมไปด้วย เมื่อเห็นหน้าเข้มของมัน ผมก็เม้มริมฝีปากเข้าหากัน อมยิ้มนิดๆ  ยิ่งทำแบบนั้นแก้มยิ่งขยับพอง ทำตาให้โตขึ้นเล็กน้อยด้วยการเชิดหัวคิ้วขึ้นนิดๆ ผมดูมาจากละคร เขาว่าใบหน้าของคนออดอ้อนเป็นเช่นนั้นเลยลองใช้มันกับธงทัพดู

"ทำหน้าอะไรของมึง"

ไม่ได้ผลแฮะ...

"ดูไม่เหมือนหน้าคนอ้อนเหรอ"

"ดูเหมือนคนดื้อจนอยากจะลุกไปตีสักทีหนึ่ง"

"ขอกินเบียร์สักกระป๋องได้ไหม"

"มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือไง"

"ไม่มี"

"..."

"แต่บรรยากาศแบบนี้มันน่าดื่มไง"

"..."

"แค่กระป๋องเดียว" เมื่อใช้ใบหน้าอ้อนวอนเฉยๆ ไม่ได้ ก็ต้องใช้ร่างกายเข้าช่วย ผมเดินกลับไปหาธงทัพ คุกเข่าลงด้านหลัง สองมือคล้องเข้าที่คอแล้วยื่นหน้าที่มันว่าคล้ายเป็ดเข้าไปหา ปลายจมูกเขี่ยเบาๆ ที่ใบหูแล้วเปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่กระซิบเอ่ยด้วยคำเดียวแบบสั้นๆ เลย

"นะ..."

"มึงลงไปซื้อมาเลยไป เอามาทั้งโหลเลยไป แล้วอย่าทำแบบนี้อีกนะโว้ย!"

ผมหัวเราะดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชัยชนะที่ได้มาจากการใช้มุกออดอ้อนเล็กๆ น้อยๆ ย้ำเตือนให้รู้ว่าหัวใจธงทัพแม่งโคตรอ่อน ผมคว้ากระเป๋าเงินลงไปที่ร้านค้าใต้ตึก ก่อนกลับขึ้นมาพร้อมเบียร์สองกระป๋องและนมช็อกโกแลตอีกแพ็กหนึ่ง

ฝนยังคงตกหนักขึ้นเรื่อยๆ คืนนี้คงมีเสียงฝนเป็นเพลงประกอบไปทั้งคืน การอยู่ร่วมกันของผมกับธงทัพก็เข้าสู่ความสงบ เมื่อธงทัพขยับตัวเองไปนั่งประกอบโมเดลบ้านที่ยังทำค้างอยู่หลายเดือนแล้ว ผมเปิดกระป๋องเบียร์สำหรับตัวเอง และเจาะกล่องนมช็อกโกแลตให้ธงทัพ ก่อนเดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง

ผมใช้เวลาเทียบเท่าเบียร์หนึ่งกระป๋องที่ดื่มหมดในการนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ผมไม่ค่อยคิดอะไรในหัว ชอบปล่อยให้ความว่างเปล่าอยู่ในนั้นมากกว่าที่จะมาคิดอะไรให้รกสมอง เมื่อใช้เวลากับความว่างเปล่ามากพอจึงเดินไปนั่งข้างๆ ธงทัพ มองดูคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับโมเดลบ้านตรงหน้า ชิ้นส่วนขนาดเล็กขัดแย้งกับมือใหญ่ๆ ของธงทัพจนอดขำไม่ได้ในตอนที่มือมันกำลังสั่นเมื่อตั้งใจประกอบชิ้นส่วนบางชิ้นที่เล็กจนสร้างความลำบาก   

"ใกล้จะเสร็จหรือยัง"

"ทำไม จะเอาอะไร"

"เปล่า ถามเฉยๆ เห็นมึงต่อมาหลายเดือนแล้ว"

"เกือบแล้ว" ปากตอบผม แต่มือก็เลือกวัสดุชิ้นถัดไปสำหรับพื้นที่ส่วนต่อไปของบ้าน ประกอบเข้าด้วยกันอย่างใจเย็นสมกับเป็นธงทัพ เนิ่นนานอยู่เหมือนกันที่ผมเผลอเพลินไปกับการนั่งมองเฉยๆ กระทั่งมันกลายเป็นรูปเป็นร่างที่เสร็จสมบูรณ์ ธงทัพลั่นเสียงที่ดูพอใจออกมาก่อนทิ้งตัวเองนอนลงบนพื้น

"กว่าจะเสร็จ สามเดือนได้มั้ง"

"กูว่ามากกว่านั้น" ผมบอก ขณะมองโมเดลบ้านนั่นแต่ไม่กล้าแตะต้อง กลัวว่าจะมีส่วนไหนที่กาวยังไม่แห้ง ถ้าเผลอไปจับเข้าคงเรื่องใหญ่

"ถ้าสร้างจริงๆ จะใช้เวลานานเท่าไรนะ"

"สร้างจริง?"

ธงทัพยันตัวเองขึ้นมาเพื่อตอบคำถามของผม

"กูจะสร้างมันจริงๆ แบบนี้เลย"

"..."

"บ้านของเรา"

ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง น้ำเสียงนั่นก็ดูจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น สายตาของธงทัพเลื่อนมองโมเดลบ้านแล้วยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม มือเรียวสัมผัสบ้านจำลองนั่นเบาๆ

"บ้านที่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง"

ผมหลุดยิ้ม ครั้งนี้ธงทัพทำเอาผมใบหน้าร้อนผ่าวจนไม่กล้ากลบเกลื่อนว่าเขินอย่างจริงจัง

"กูว่าจะรีบเก็บเงินสร้างบ้าน"

"เลิกซื้อฟิกเกอร์ก่อนไหม"

"เลิกได้ไง! มึงดูนี่" ธงทัพชี้นิ้วไปที่ห้องหนึ่งในโมเดล

"คือ?"

"ห้องเก็บฟิกเกอร์กับหนังสือของกู"

"โห! ชาตินี้คงไม่มีบ้านหรอกงั้นอะ!"

"เออน่า ถ่ายรูปไปอวดแม่ดีกว่า" มันว่าพลางหันซ้ายหันขวาหาโทรศัพท์ แต่ไม่เจอ ความที่ชอบวางอะไรไม่เป็นที่เป็นทางก็เป็นนิสัยที่ชอบทำให้หาอะไรไม่เจอนั่นแหละ

"ภูผา ยืมมือถือโทรเข้าเครื่องหน่อย"

ผมพยักหน้าไปที่มือถือซึ่งวางอยู่บนโซฟา มันก็หยิบมากดหาเบอร์ตัวเอง ในตอนนั้นผมพลันนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างจึงลุกพรวดหวังจะคว้ามือถือคืน แต่สายไปเสียแล้ว

ธงทัพยกมือถือขึ้นหนีก่อนผมจะคว้าทัน แล้วเค้นเสียงผ่านไรฟันออกมาเบาๆ

"หมาบ้า..."

"..."

"มึงเมมฯ ชื่อกูแบบนี้เหรอ! หมาบ้า! หมาบ้าเนี่ยนะ!"

"กูกะจะเปลี่ยนอยู่แล้ว"

"มึงไม่ต้องมาแก้ตัวเลย! มาให้หมาบ้ากัดสักที!"

"เฮ้ย!" ผมกระโดดหนีตอนที่ธงทัพพุ่งเข้ามาหาคล้ายว่าจะกัดจริง วิ่งไล่กันเป็นเด็กก่อนผมจะโดนมันจับได้แล้วทุ่มลงบนเตียงนอน

"ธงทัพ!"

"กัดแม่ง!" มันเอาจริงด้วยการพุ่งมากัดเข้าที่ลำคอ ผมร้องลั่นพลางผลักมันออก ใช้แรงที่มีอยู่งัดมาสู้กับแรงมัน จนสามารถใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคอมันแล้วกดลงกับเตียง คราวนี้เป็นมันที่ต้องรอขอชีวิต

"โอ๊ยๆๆ! ภูผา เจ็บ! ปล่อย!"

"ปล่อยแล้วจะกัดกูป่ะ!"

"ไม่กัดแล้วๆ ขอโทษๆ"

ผมยกมืออีกข้างเขกหัวมันไปทีหนึ่งแล้วยอมปล่อยมันออก มันรีบพลิกตัวนอนหงาย ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหอบ ผมเองก็ไม่ต่างกัน

"เปลี่ยนชื่อเลย"

"เออ เปลี่ยนก็ได้" ผมตอบรับแล้วเอื้อมมือหยิบมือถือที่หล่นอยู่บนเตียงตั้งแต่ตอนที่สู้กันขึ้นมา เมื่อผมยกมือถือขึ้นกำลังจะกด ธงทัพก็แทรกหัวเข้ามาเสนอหน้ามองด้วย

"หนุนแขนเลยไหม"

ผมแกล้งถาม คนถูกแกล้งเอาจริงด้วยการแทรกหัวตัวเองเข้ามานอนหนุนแขนผม ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าธงทัพเท่าไร ไม่ใช่ว่าบอบบางจนร่างปวกเปียก ท่อนแขนผมก็มีแรงพอที่จะให้ธงทัพนอนหนุนได้ จึงยอมให้มันนอนอยู่อย่างนั้น อีกมือก็กดลบชื่อเดิมในมือถือที่เมมฯ เอาไว้

ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนกำลังจะเมมฯ ชื่อใหม่ลงไป

"พี่ธงทัพ"

เจ้าของเบอร์บอกแบบนั้นด้วยเสียงเข้ม

"บังคับว่ะ"

"พี่ธงทัพ เร็ว พ.พาน..."

"เออ กูรู้!"

ผมพิมพ์คำว่า พี่ จบก็นิ่งไปอีกที ในจังหวะที่ธงทัพมันละสายตาไปทางอื่น ก็รีบพิมพ์ให้จบๆ ไป เมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เรียบร้อยไปแล้ว

 

พี่หมา

 

ธงทัพเหลือบตาขึ้นมอง กำลังจะผงกหัวขึ้นมา แต่ผมรีบใช้แขนข้างที่มันใช้หนุนอยู่บีบหัวมันให้นอนอยู่กับที่ ใช้คำหวานหว่านล้อมจนตัวมันเองหยุดที่จะโมโห

"เป็นหมาน่ารักดีออก"

"..."

"เป็นหมาตัวใหญ่ๆ"

"..."

"ปกป้องกูได้"

"หมาที่ไหนจะปกป้องเป็ด มันเห็นก็จับแดกหมดแหละ"

"แล้วมึงจะแดกกูด้วยหรือไง"

ธงทัพไม่เถียงกลับ ได้แต่หัวเราะอยู่ในลำคอเบาๆ แล้วขยับร่างนอนหงายทั้งที่ยังหนุนแขนของผมอยู่

"เมื่อยไหม"

"ถ้าเมื่อยจะบอก"

"อืม...จะอยู่แบบนี้นะ"

ผมไม่ได้ตอบแต่ก็รู้ว่าอนุญาต ธงทัพหลับตาลงช้าๆ คงตั้งใจจะนอน ผมปล่อยให้ธงทัพนอนในท่านั้น ส่วนตัวเองก็ใช้มืออีกข้างกดเล่นมือถือไปเพลินๆ เมื่อถึงพักใหญ่ๆ ก็เริ่มเมื่อย ผมตั้งใจจะขยับแขนนิดหนึ่ง แต่พลาดทำมือถือตกใส่หน้าธงทัพ กระแทกดั้งจังๆ คนที่หลับอยู่ลืมตาโพล่งขึ้นจนผมสะดุ้ง

"เจ็บนะโว้ย!"

"โทษๆ"

"ดั้งกู"

"ขอโทษ ไหนดูหน่อย หักเปล่า"

"ไอ้...แม่ง..." ปากก็อยากจะด่าแต่ดั้งก็เจ็บ ผมเองก็ได้แต่พร่ำขอโทษเบาๆ แล้วยกมือลูบดั้งนั่นหวังว่าจะไม่เจ็บหนัก

"เจ็บไหม"

เจ้าของดั้งไม่ตอบกลับอะไร และอีกครั้งที่ใบหน้าเราใกล้เกินจะรู้ตัว แต่ในตอนนี้ผมรู้...เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ เมื่อใบหน้าเฉียดใกล้ มันก็ต้องเป็นไปตามจังหวะของมัน

ธงทัพจูบผมหนึ่งครั้ง

เราแยกริมฝีปากออกจากกัน

ผมจูบธงทัพกลับอีกหนึ่งที

และต่อจากนี้เราต่างคนต่างจูบจนไม่ได้สนใจว่าใครจะเริ่มก่อน ปล่อยรอยจูบให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างที่มันควรจะเป็น ให้ทุกอย่างของเราได้แตะต้องกัน ริมฝีปาก ไรฟัน ลิ้นเปียกชื้น อย่างไร้สิ่งใดขัดขืนมันก็ยิ่งมากขึ้น ยิ่งลึกซึ้ง กระทั่งธงทัพถอนจูบนั่นออกไปแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

"ใครว่าเบียร์ขม"

"..."

"กูเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันหวาน"

ผมไม่เถียง ทั้งเบียร์ในปากผม นมช็อกโกแลตในปากธงทัพ และความรู้สึกของเรา ผสมละลายไหลปะปนและหลอมรวมกัน ทุกอย่างจึงหวาน ไม่ใช่ด้วยรสชาติแต่เป็นความรู้สึก...หวานจนพาเราเคลิ้มลอยไปไกลในค่ำคืนฝนพรำเช่นนี้

 

...

 

 

ปฏิทินปรากฏตัวเลขสีแดงบ่งบอกวันหยุดยาวไปถึงอังคารหน้า ชีวิตวัยทำงานคงไม่มีอะไรดีไปกว่าวันหยุดยาวแบบนี้แล้ว ปกติแล้วผมจะใช้วันหยุดไปกับการอยู่ห้องเฉยๆ หรือออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินบ้าง เดินห้าง บางครั้งก็ดูหนังสักเรื่อง ใช้เวลาให้หมดไปแบบนั้น แม้จะเป็นวิถีชีวิตที่ดูจืดจางแต่ผมก็ว่ามันดีกว่าที่จะออกไปเที่ยวหรือต้องเจอกับความวุ่นวายของผู้คนมากมายบนท้องถนนที่ต่างคนต่างออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง

แต่หยุดยาวคราวนี้ผมเลือกไม่ได้ จำเป็นต้องเดินทางกลับชลบุรีตามคำขอของป้าอร รถยนต์ที่ลุงวุธให้ธงทัพไว้ ถูกใช้งานไปไม่กี่ครั้ง นับครั้งนี้ด้วยก็น่าจะครั้งที่สี่หรือห้าได้ ธงทัพชวนผมออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้ามืด รถเต็มถนนทุกเลนส์ขาออกตามแบบฉบับของวันหยุดยาว เราหลีกเลี่ยงการจราจรที่น่าหงุดหงิดแบบนั้นไม่ได้จึงใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ และมาถึงบ้านในตอนสายๆ

"น้ำตาล!"

อย่างแรกที่ธงทัพมันวิ่งไปทักทายตอนเปิดประตูลงจากรถไม่ใช่ป้าอรที่มาเปิดรั้วให้ แต่เป็นหมาปอมเมอร์เรเนียนสีน้ำตาลที่ถูกเรียกชื่อง่ายๆ ตามสีขน ผมรู้จักกับหมาตัวนี้ครั้งแรกตอนที่ธงทัพพามาบ้านป้าอรเมื่อราวๆ เจ็ดปีก่อน จนถึงตอนนี้หมานั่นก็ยังแข็งแรงดี วิ่งตรงด้วยความเร็วเข้ามาหาธงทัพอย่างคุ้นเคย

"ดูเขาเถอะ ทักหมาก่อนทักแม่อีก" ป้าอรพูดขำๆ ผมหันไปยกมือไหว้ทักทาย ไม่ทันได้เอามือลงก็ต้องยกขึ้นมาอีกเพราะหันไปเห็นลุงวุธที่เดินออกจากบ้านมาพอดี

"เดี๋ยวเราไปวัดกันเลยไหม นี่ก็สายแล้ว"

เหตุผลหลักที่ทำให้ผมต้องกลับบ้านในวันหยุดยาวนี้ก็เพราะว่ามันตรงกับวันครบรอบวันตายของแม่ผมพอดี ป้าอรเลยอยากให้กลับมาทำบุญให้แม่ และนั่นคือเหตุผลที่ลุงวุธอยู่ที่นี่ด้วยทั้งๆ ที่ปกติลุงวุธแทบจะไม่ได้มาที่บ้านป้าอรเลย เราทำเหมือนอย่างเดิมทุกปีไม่ใช่แค่ผม แต่รวมถึงลุงวุธ ป้าอรและธงทัพ เป็นครอบครัว...โดยชั่วคราว

ใช้เวลาไม่เกินสิบห้านาทีก็มาถึงวัด ป้าอรจัดการทุกอย่างให้เหมือนเดิมทุกปี พิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น ผมใช้เวลาหลังจากนั้นเดินไปที่โกศเก็บกระดูกของแม่ ผ่านรูปสีขาวดำที่ติดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิ แม่ยิ้มให้ผมทุกครั้งที่กลับมาหา

บทสนทนาสมมติระหว่างผมกับแม่เกิดขึ้นแม้รู้ดีว่าไม่มีคำตอบจากรูปภาพนั่น แต่ผมก็ไถ่ถามความเป็นไปของแม่อยู่ในใจ...แม่เป็นยังไงบ้าง แม่สบายดีไหม แม่กำลังทำอะไร และบอกเล่าความคิดถึงที่มีต่อแม่ในประโยคสุดท้าย

ผมบอกรักแม่บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่วันที่แม่จากไป มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมยังคงทำให้แม่ได้ ผมจึงทำมันต่อทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ามันสายไปและไร้ประโยชน์ แม้การจากไปของแม่ จะทำให้ผมเคยชินจนไม่ร้องไห้ แต่ความรู้สึกเสียใจมันก็ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่นานพอที่จะทำให้ผมลืมเรื่องทั้งหมดไปได้ ความทรงจำทำให้ผมย้อนคิดไปถึงวันนั้นอยู่บ่อยครั้ง 

 

หากว่าวันนั้น...

   

"ภูผา!"

เพราะเสียงนั่นทำให้ตกใจจนเผลอสะดุ้งเฮือก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันหันมองธงทัพที่โผล่มาทำให้ตกใจ ใบหน้าบูดบึ้งของผมบ่งบอกหมดแล้วถึงความไม่พอใจ ธงทัพจึงรีบก้าวเท้าเข้ามาหาพร้อมเสียงแก้ตัวทะเล้นๆ

"ล้อเล่นนิดเดียว"

"เล่นกับผีสิ!"

"เล่นกับมึงนี่แหละ จะให้ไปเล่นกับผีที่ไหน พูดอะไร ยิ่งกลัวๆ อยู่"

ผมส่ายหน้าเบาๆ ในตอนนั้นธงทัพก็ละความสนใจจากผมแล้วหันมองรูปของแม่ จากใบหน้าทะเล้นปรับสู่ความเรียบเฉย ผมไม่ได้ยินเสียงในใจของธงทัพว่ากำลังพูดอะไรกับแม่อยู่ กระทั่งมือข้างหนึ่งของธงทัพยื่นมาจับมือผม ประโยคจากปากธงทัพเอ่ยขึ้นเบาๆ ทั้งที่ดวงตายังมองอยู่ที่รูปภาพของแม่

 

"ไม่ต้องห่วงภูผานะครับ"

 

ธงทัพพูดกับแม่ผมแบบนี้...เหมือนเดิมทุกปีเลย

 

...

 

"เย็นนี้ไปทะเลกันป่ะ" ธงทัพหันมาถามระหว่างทางที่กำลังเดินกลับไปหาลุงวุธกับป้าอร

"ไม่ไปทะเล"

ผมพูดซ้ำจนจำไม่ได้ว่าบอกไปกี่ครั้ง แปดปีที่ผ่านมาผมแทบไม่เฉียดใกล้ไปทะเลแม้ว่าจะถูกชวนกี่ครั้งกี่หนก็ตาม

"มึงก็รู้ กูเกลียดทะเล"

"มึงแค่เกลียดความทรงจำที่นั่นต่างหาก"

ผมหันมองธงทัพ ตอนที่มันเองก็หันมองมา เท้าของเราก้าวช้าลง กระทั่งหยุดเดินพร้อมกัน

"ไปสร้างความทรงจำใหม่ๆ กัน มึงจะได้เลิกเกลียดทะเล"

"..."

"ไปเถอะนะ"

"..."

ผมยังคงนิ่งเงียบ ธงทัพขยับเท้าเข้ามาหา กัดริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วเป่าลมเข้าปากจมแก้มพอง ยกหัวคิ้วขึ้นเป็นเหตุให้ใบหน้าเหยเกแปลกๆ

"หน้ากูเหมือนคนกำลังอ้อนไหม"

"เหมือนโดนใครเหยียบตีนมากกว่า"

ผมเพิ่งเข้าใจธงทัพในวันที่ตัวเองพยายามอ้อนมันด้วยใบหน้าคล้ายๆ กัน ธงทัพปรับสีหน้าเป็นปกติพร้อมหันมาถอนหายใจใส่ทีหนึ่ง

"ไปเหอะ นะ กูอยากไป นะๆ"

กฎการอ้อนของผมกับธงทัพดูจะไม่ต่างกัน เมื่อใช้ใบหน้าไม่ได้ ก็ใช้ร่างกายเรียกร้องแทน ธงทัพขยับตัวมายืนชิด จับมือผมข้างหนึ่งแล้วเอาหัวซบมาที่ไหล่ ไถไปไถมาเหมือนหมาไม่มีผิด

"จะไปไม่ไป"

"กู...ไม่..."

"ไปไม่ไป!" เสียงดุขึ้นมานิดหนึ่ง แต่การกระทำสวนทางด้วยการขยับมาโอบเอวผมเอาไว้จากด้านหลัง เอาคางมาเกยไหล่แล้วก็ครางหงิงๆ อยู่ในลำคอ

ธงทัพค้นพบไม้ตายสุดท้ายของตัวเองแล้วงั้นเหรอ...ท่าทางแบบนี้มัน...

"ไปไหม..."

"ไปก็ไป"

ผมตอบรับอย่างคนแพ้ สวนทางกับคนชนะที่กำลังหัวเราะอย่างพอใจ กอดผมแน่นกว่าเดิมจนต้องรีบสะบัดตัวออกมา

"นี่ในวัด" ผมว่าเสียงเข้มแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น

"ก็ไม่ได้มีป้ายห้ามกอดในวัดนี่" หันมาเถียงอย่างคนดื้อรั้น ซ้ำยังเบ้ปากใส่แต่ใช้มือข้างหนึ่งจับมือผมเอาไว้กระทั่งเดินไปถึงรถ ผมพยายามที่จะดึงมือตัวเองออกมาตอนที่ลุงวุธกับป้าอรหันมอง แต่ธงทัพยิ่งจับแน่นกว่าเดิม จับแน่น...อย่างจงใจ จึงไม่อาจพ้นสายตาของลุงวุธกับป้าอรไปได้ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา เพราะว่าตัวเองต้องก้มหน้าหนี ราวกับทำอะไรผิด

 

ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย...

 

ผมแย้งการกระทำของตัวเองอยู่ในใจ ก่อนรวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความมั่นใจ

"รถไอติม! ไปกินไอติมกัน!"

มือของธงทัพปล่อยออกจากผมเมื่อหันไปเห็นรถไอติมที่ขับเข้ามาในวัด ความสนใจทั้งหมดของมันก็ทุ่มไปที่นั่น วิ่งฉิวทิ้งผมเอาไว้ตรงนี้ ความมั่นใจที่ก่อมาเมื่อสักครู่ปลิวหายไปไหนไม่รู้ ลุงวุธก็ละความสนใจไปทางอื่นแล้ว เหลือแต่ป้าอรที่ได้แต่อมยิ้มนิดๆ   

"ภูผา! เอาแบบไหน!"

ผมหันไปมองคนที่กำลังตะโกนลั่นวัด นั่นไม่รู้ตัวหรือไงว่าอีกไม่กี่ปีก็จะสามสิบแล้ว ยังวิ่งหารถไอติมเป็นเด็กๆ ไปได้ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันหน่อยๆ แล้วหันไปตอบด้วยใบหน้าเข้มขรึม   

"มีโคนช็อกโกแลตไหม"

อายุเหรอ...เป็นแค่ตัวเลขน่ะดีแล้ว

 

            ...

 

 เรากลับมาที่บ้านป้าอรในตอนเกือบเที่ยง จึงได้เวลาอาหารกลางวันพอดี การร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของธงทัพไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม แต่ไม่เคยชินกับมันเลย จากที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วก็ไร้บทไปเลยในวงสนทนาของครอบครัว มันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดขนาดที่ว่าอยากพาตัวเองออกไปให้ไกล แต่คิดว่าถ้าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันก็น่าจะดีกว่า

            หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมจึงใช้โอกาสนั้นปล่อยให้พวกเขาได้ใช้เวลาคุยกัน เพราะก็ไม่บ่อยที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ ธงทัพเล่าให้ผมฟังว่าความสัมพันธ์ของลุงวุธกับป้าอรถูกตัดขาดตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นเด็ก แต่ในตอนที่อยู่ต่อหน้าธงทัพ ทั้งสองคนก็ยังคงรักษาหน้าที่ความเป็นพ่อแม่ของตัวเองได้ดีไม่ว่ามันจะโตขึ้นเท่าไรก็ตาม แม้เป็นครอบครัว โดยชั่วคราว ก็ยังคงเรียกว่าครอบครัว

นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมออกมานั่งเล่นอยู่กับน้ำตาล ตอนอยู่กับธงทัพมันก็ยังคึกคักอยู่ดีๆ แต่พออยู่กับผมก็ซึมไปเลย มันไม่ได้ลุกหนีหรือเมินเฉยใส่ผม แต่ไม่ลุกวิ่งทำตัวสนุกเหมือนตอนอยู่กับธงทัพ ได้แต่นอนนิ่งๆ เหมือนเหนื่อยมาทั้งชีวิต ผมคิดอะไรอยู่ในใจก่อนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หมากับหมาน่าจะเล่นกันได้สนุกกว่าล่ะมั้ง 

 

"แปะ...แปะ..."

 

เสียงบางอย่างกระทบหลังคาจนต้องเงยหน้ามอง ก่อนพบว่าเป็นฝนที่อยู่ๆ ก็ลงเม็ดมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฟ้ายังสว่างอยู่ดีๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นเมฆครึ้มไม่รู้ตัว

"เข้าบ้านกันเถอะ"

ผมว่าแล้วอุ้มน้ำตาลเข้าบ้านไปหลบฝน กะว่าจะเดินเข้าไปหาคนในบ้าน แต่เสียงพูดคุยนั้นกลับทำให้เท้าผมหยุดไว้ตรงนี้ก่อน เพราะในบทสนทนานั้น ดันมีชื่อของผมเข้าพอดี

"แล้วกับภูผามันคืออะไร ความสัมพันธ์แบบนั้น..."

"แบบไหน"

"แบบที่กอดกันในวัดได้"

"เห็นด้วย?"

"ก็ตั้งใจทำให้เห็นไม่ใช่หรือไง"

"ก็ใช่แหละ แล้วพ่อจะสงสัยอะไรอีก ก็ชัดเจนอยู่แล้วไง เรื่องมันก็เข้าใจไม่ยากไม่ใช่เหรอ"

"รู้ว่าสนิทกัน แต่แบบนี้มันเกินไปแล้วนะ"

"คิดว่าพ่อรู้เรื่องนี้มานานแล้วด้วยซ้ำ"

"จะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม ธงทัพ"

"ใช่"

"ถ้าแบบนี้พ่อก็ไม่โอเคกับภูผา!"

"ไม่โอเคแล้วพ่อจะทำอะไรได้!"

"พอทีได้ไหมทั้งสองคนเลย เดี๋ยวภูผามาได้ยินเข้าหรอก!"

ก็น่าจะเป็นเหตุผลนั้น ที่ทำให้ลุงวุธไม่เอ็นดูผมเหมือนแต่ก่อน ผมก็อยากจะเข้าใจลุงวุธนะ แต่ก็ไม่เข้าใจสักนิด หรือถ้าหากว่าธงทัพไม่ได้รักผม ถ้าเราไม่ได้รักกัน เรื่องราวจะเป็นแบบนี้ไหม ลุงวุธจะยังมองผมเปลี่ยนไปหรือเปล่า

ผมเป็นแค่หนึ่งในจำนวนคนเหล่านี้ เป็นคนในแบบที่ลุงวุธไม่ชอบ แต่ธงทัพเป็นลูกชายคนเดียวของลุงวุธ ความมั่นใจที่คัดค้านว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดมันเริ่มสั่นคลอนเอาในตอนนี้...

   

"พ่อขอโทษที่เอาเด็กคนนั้นเข้ามาในชีวิตแก"

"แต่มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมรู้สึกขอบคุณพ่อเลยแหละ"

 

 

หรือว่าผมได้ทำอะไรผิดไปนะ...

 

 

To be continued.

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-10-2018 13:50:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 06-10-2018 15:40:42
ภูผาหนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูต้องจับมือกับธงทัพแน่นๆนะ

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 06-10-2018 18:39:44
ภูผา หนูไม่ผิดเลยลูก อย่าว่าตัวเองนะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 06-10-2018 21:24:47
เวลมีความสุขก็สุขไม่สุด เหมือนกับคลื่นลมเบาๆที่กำลังรอจังหวะกลายเป็นพายุ แล้วตอนนี้พายุลูกแรกก็มาถึงแล้ว ยังมีนาวีอีก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรตามมาอีกหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 06-10-2018 21:35:30
ภูหนักแน่นไว้
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 07-10-2018 06:39:28
สามี  สามีต้องเข้มแข็งไว้นะคะเป็นที่พึ่งให้น้องนะอย่าปล่อยมือน้องนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 07-10-2018 08:48:55
ช่วยกันสู้นะภูผา

หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลยลูก จับมือพี่ทัพแน่นๆนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 08-10-2018 16:15:28
Episode 21

 

มันมีตั้งหลายวิธี
ที่จะเดินหนีออกมาจากความเจ็บปวด


 

 

ธงทัพพาผมมาทะเลในตอนเย็นๆ แดดยังคงร้อนแม้ฝนเพิ่งจะหยุดตกไปได้สักพัก ผมกวาดตามองทะเลที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เคยเห็นเท่าไร ถอดรองเท้าแล้วเดินลงไปที่ชายหาด  เลื่อนสายตามองทุกสิ่งรอบตัว ลมทะเล เสียงคลื่น กลิ่นน้ำทะเล ทุกอย่างเหมือนเดิมเลย เมื่อคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง สองขาผมก็เย็นฉ่ำ แต่คนข้างๆ ดันถอยหลังหนี ไม่ยอมเปียก

"ทำไมอะ?"

"เดี๋ยวกางเกงเปียก"

"แล้วใครใช้ให้ใส่กางเกงขายาวมาทะเลวะ"

"คนมันหล่อไง"

"..."

"วิถีคนขี้เก๊ก"

ว่าแล้วก็ยิ้มมุมปากข้างเดียวตามสไตล์ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ เลื่อนสายตามองดูชุดมาทะเลของคนขี้เก๊ก เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นตัวใหญ่กว่าปกตินิดหน่อยกับกางเกงยีนส์สีซีดมีรอยขาดอย่างที่ชอบใส่ บวกกับแว่นกันแดดที่นานๆ ครั้งจะหยิบมาใส่ เหมือนจะเป็นการแต่งกายที่ดูเรียบง่าย แต่พอเป็นธงทัพก็เหมือนว่าจะดูดีเกินความจำเป็นไปหน่อย

"ลงมาเดินด้วยกันดิ" ผมว่าแล้วย่อตัวลงนั่งเพื่อพับขากางเกงให้

"เฮ้ย ทำเองก็ได้"

"ไม่เป็นไร จะทำให้"

"เออ...ตามใจ"

ผมได้แต่เม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม พับขากางเกงขึ้นให้ทั้งสองข้าง แล้วลุกขึ้นยืน ธงทัพดูจะเขินนิดหน่อยเพราะไม่พูดอะไรเลยนอกจากยิ้มมุมปากนิดๆ ผมจูงมือธงทัพให้เดินลงทะเล คนที่กำลังเขินเดินตามลงมาอย่างว่าง่าย ผมใช้จังหวะที่มันกำลังนิ่ง ยกสองมือขึ้นจับไหล่แล้วยิ้มกว้าง จากนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ด้วยการผลักไหล่ให้คนขี้เก๊กหน้าคว่ำลงทะเลไปเลย 

 

"ตู้ม!"

 

"ภูผา!!"

ลุกขึ้นมาได้ก็โวยลั่น แต่ผมวิ่งออกมาก่อนแล้ว คิดว่าจะทันแต่หาดทรายทำให้ความสามารถในการวิ่งลดน้อยลง ธงทัพวิ่งตามผมทันแล้วลากผมกลับไปที่เดิม ผมหลับตาแน่นเตรียมตัวรับกรรมกับการกลั่นแกล้งในแบบเดียวกัน เอาคืนกันไปมาจนรู้ตัวอีกทีก็ตัวเปียกปอน นอนกลิ้งอยู่ที่ริมหาดอย่างหมดแรง ผมยกมือป้องดวงตาจากแสงแดดที่ส่องลงมาพอดี ในตอนนั้นธงทัพก็ถอดแว่นกันแดดของตัวเองใส่ให้ผม 

"ไม่เป็นไร" 

"เป็นบ้างเหอะ อยากดูแล"

ผมเงียบ จะเถียงก็คิดไม่ทัน จะหันมองหน้าก็ทำตัวไม่ถูกเลยได้แต่นอนนิ่งเป็นเป็ดตายเกยชายหาด ก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

"ไปซื้อน้ำแป๊บนึงนะ"

"ทำไม เขินจนร้อนเลยเหรอ"

"เหนื่อยเว้ย!" ผมกระแทกเสียงใส่ก่อนลุกพรวดขึ้นแล้วตรงไปหาซื้อน้ำดื่ม แค่ระยะเวลาที่เดินไปและเดินกลับ เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มก็เริ่มแห้ง ผมเดินกลับไปหาธงทัพที่ยืนอยู่ริมหาด คุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ เดินเข้าไปใกล้จึงได้ยินบทสนทนาที่พอจะเดาได้ว่าคนที่โทรมาน่าจะเป็นปอ ว่าด้วยเรื่องของงานที่ทำให้คนทางนี้เริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิด   

"กูไม่กลับไปหรอก วันหยุดกูนะเว้ย"

ธงทัพน่าจะไม่รู้ว่าผมกลับมาแล้ว เลยได้แต่ยืนเงียบๆ

"ปีหนึ่งได้หยุดอยู่ไม่กี่วัน มึงจะให้กูทิ้งบ้าน ทิ้งแม่ ทิ้งหมาแล้วกลับไปแก้งานให้มันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ยนะ ไอ้ควาย จิตใจทำด้วยอะไร!"

"..."

"วันนี้วันเกิดกูด้วยนะ จะใจร้ายกับกูแบบนี้จริงๆ เหรอ"

วันเกิดธงทัพ...

ผมจำได้แต่ถูกธงทัพห้ามไม่ให้พูดถึง เพราะวันเกิดมันดันไปตรงกับวันตายของแม่ผมพอดี ธงทัพมันเลยไม่ค่อยพูดถึงวันเกิดตัวเอง มันเคยให้เหตุผลว่าไม่อยากมีความสุขในวันที่ผมเสียใจ ทั้งที่ผมก็อยากให้ความสำคัญกับวันเกิดมัน อย่างที่ตัวมันให้ความสำคัญกับวันเกิดผม แต่พูดถึงทีไร โดนดุทุกที

"ลูกค้าไร เดี๋ยวต่อยปากแตกเลย เรื่องมาก ไม่มีมารยาท ไม่พูดแล้ว แค่นี้!" พูดรัวไม่เว้นหายใจก่อนกดวางสายแล้วหันมาเห็นผมเข้าพอดี หลบเลี่ยงอะไรตอนนี้ก็ไม่ทัน และด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่ยังแสดงออกอยู่ ผมก็ไม่กล้าถามอะไร ได้แต่ยื่นแก้วน้ำให้ ก่อนมันจะเล่าเรื่องที่เพิ่งคุยจบให้ฟังออกมาเอง

"ลูกค้าแม่งจะให้กูกลับไปแก้งาน"

"ด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ไม่ด่วนเหี้ยอะไรหรอก มันเรื่องมากไง! เร่งงานตั้งแต่ก่อนวันหยุดแล้ว บริษัทก็เมล์แจ้งวันหยุดไปแล้วแต่เสือกไม่เปิดดู มาบอกว่าไม่รู้ว่าหยุด มึงจะบ้าหรือเปล่า แล้วปัญหาก็เยอะแยะไปหมด ช่างห่าอะไรก็ทำงานไม่ตรงแบบสักอย่าง มันใช่ความผิดกูไหมเนี่ย!"

"ใจเย็นๆ" ผมได้แต่ตบบ่าเบาๆ ตัวมันเองก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งบนชายหาดแล้วถอนหายใจเบาๆ อ้าปากงับหลอดแล้วดูดน้ำมะพร้าวปั่นด้วยใบหน้าเซ็งๆ ก่อนดวงตาจะเบิกขึ้นกว้างแล้วหันมองผมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป   

"อร่อยว่ะ"

"ร้านนี้อร่อย กูเดินไปซื้อตรงนู้นมาเลย" ผมว่าพลางทำท่าประกอบว่าเดินออกไปไกลขนาดไหน

"ถึงว่า กูรอจนเสื้อผ้าแห้งเลย"

"อือ ไกลมากเลย"

ธงทัพพยักหน้ารับแล้วดูดน้ำอีกครั้ง แค่น้ำมะพร้าวปั่นก็ทำให้กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ผมเห็นมันยิ้มก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ไม่รู้ยิ้มอะไรเหมือนกัน แต่ยิ้มไว้ก่อนก็ยังดีกว่าสีหน้าหงุดหงิดแบบเมื่อครู่ เพราะผมไม่ชอบเวลาธงทัพโมโหเลย

ธงทัพวางแก้วน้ำแล้วหันหน้ามองออกไปยังเบื้องหน้า

"ท้องฟ้าตอนเย็นกับริมทะเลนี่โคตรเข้ากันเลย"

ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างแสงสว่างกับความมืด ฟ้าสีส้มอมชมพู ผสมปนเปกันไปอย่างลงตัว ผมไม่ค่อยเข้าใจศิลปะ แต่รู้ว่าอะไรคือความสวยงาม และท้องฟ้าเบื้องหน้าเป็นหนึ่งในนั้น 

"เลิกเกลียดทะเลหรือยัง"

"อือ เลิกแล้ว"

"ดีแล้ว"

"..."

"ทะเลไม่ได้ทำอะไรผิด"

ผมยิ้มรับ จริงทุกอย่างอย่างที่ธงทัพบอก ผมก็แค่เกลียดความทรงจำ เพราะกลัวว่ามันจะกลับมาทำร้ายตัวเอง ผมต่างหากที่จมอยู่กับมัน วันนี้ผมเรียนรู้หนึ่งวิธีที่จะเดินหนีมันออกมา แค่สร้างความทรงจำใหม่กลบทับเรื่องเดิมๆ ให้จมลึก แล้ววันหนึ่งผมก็คงจะลืมมันไปเอง...โดยไม่ต้องพยายาม

"มึงรักกูไหม"

ผมหันขวับมองหน้าธงทัพที่อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาแบบนั้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนมันจะถามซ้ำอีกที

"รักไหม"

"มึงอยากจะถาม ก็ถามเลย...แบบนี้เหรอ"

"รักหรือไม่รักล่ะ"

"มันมีแค่รักกับไม่รักเหรอ มันมีคำอื่นอธิบายไหม"

ธงทัพจงใจถอนหายใจเสียงดังเมื่อคำว่ารักมันออกจากปากผมได้อย่างยากเย็นนัก

"งั้นมึงลองนั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนดู ว่ามีคำไหนอธิบายได้อีก แล้วพูดออกมา"

ผมทำตามคำสั่งด้วยการนั่งนิ่งๆ แล้วลองคิดดูอย่างจริงจังว่าเรื่องระหว่างผมกับธงทัพ จะอธิบายด้วยคำไหนให้มันสมบูรณ์แบบที่สุดดี ผมเคยคิดว่าการอยู่กับธงทัพมันก็แค่ความสบายใจ ธงทัพเข้ามาในวันที่ผมไม่เหลือใคร ความไว้ใจจึงเป็นสิ่งทำให้ผมกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าผมชีวิตผมมีแค่ธงทัพเท่านั้น แต่ถ้าผมต้องแยกความรักออกจากความสบายใจ...

 

ผมก็ยังรักธงทัพอยู่ดี

 

คำตอบของผมจึงไม่มีคำอื่นแล้วนอกจากคำนั้น

"รัก"

"..."

"ก็รักไง ทำไมมองหน้าแบบนั้น"

ที่ต้องถามเพราะธงทัพหันขวับมามองหลังจากผมพูดจบ แล้วก็ทำหน้านิ่งๆ กระพริบตาถี่ๆ สองสามครั้ง

"มึงพูดคำว่ารัก ทั้งๆ ที่หน้าตามึงเฉยชาแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ"

"ก็กูไม่รู้ว่าต้องทำหน้าแบบไหนนี่"

"หน้ามึงดื้อแบบนี้มาตั้งแต่เกิดสินะ"

"คำว่ารักมันไม่ได้ออกมาจากใบหน้าซะหน่อย จะทำหน้าแบบไหนมันก็หมายความแบบนั้นอยู่ดีรึเปล่าวะ"

"โห กูเถียงไม่ได้เลยเนี่ย"

"เออ! ให้กูชนะบ้าง"

ธงทัพหลุดหัวเราะ ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนฟ้าจะมืดไปทั้งผืน ธงทัพยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ นั่งมองพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับหายไปจากขอบฟ้าด้วยกัน

ภายใต้ความเงียบ ผมหันมองหน้าธงทัพที่เหม่อออกไปเบื้องหน้าอย่างดูไม่มีจุดหมาย พลันคิดถึงเรื่องเมื่อเย็นที่เกิดขึ้นที่บ้าน บทสนทนาระหว่างธงทัพกับลุงวุธ จบลงในตอนที่ลุงวุธโมโหเดินออกจากบ้านไป ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้จนถึงตอนนี้ และผมเดาว่าธงทัพก็ดูจะคิดมากอยู่กับมันไม่น้อยเลย ผมจึงตัดสินใจที่จะพูดมันออกมา

"ธงทัพ"

"อือ"

"กูได้ยินหมดเลย"

"..."

"ที่มึงคุยกับลุงวุธ"

สีหน้าดูไม่แปลกใจเท่าที่คิด ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

"กะอยู่แล้วว่ามึงคงได้ยิน"

"กูโกหกอะไรมึงไม่ได้เลยสินะ"

ธงทัพหัวเราะ คลายมือที่จับแน่นเป็นกุมเอาไว้หลวมๆ ผมรอฟังว่ามันจะพูดอะไรออกมา แต่ท้ายที่สุดคำพูดก็พลันหายกลายเป็นรอยยิ้มจางๆ ที่ดูฝืนอย่างเห็นได้ชัด

"ธงทัพ..."

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

"แต่ว่า..."

คำพูดของผมถูกเบรกด้วยโทรศัพท์ของธงทัพที่หน้าจอสว่างวาบขึ้นบ่งบอกว่ามีการโทรเข้า เจ้าของโทรศัพท์หยิบมือถือขึ้นปิดเสียง ปฏิเสธการรับสายแล้วหันมองผม

"มึงไม่ต้องคิดมากกับคำพูดพ่อหรอก ช่างเขา"

"แต่เขาไม่ชอบกู"

"..."

"พ่อมึงไม่ชอบกู"

คล้ายเรื่องราวซ้ำเรื่องเก่าที่เคยเกิดขึ้น ภาพอดีตทับซ้อนในความทรงจำผมซ้ำๆ อยู่เสมอ หากการเริ่มต้นใหม่ของผมต้องจบลงด้วยเหตุผลเดิมๆ เหมือนอย่างคราวนั้น...

 

"สมมติว่าเราต้องเลิกกันล่ะ"


 

ก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะใจร้ายกับผมเกินไปหน่อย

"กูอยู่นี่ กลัวอะไร"

"..."

"กูคือธงทัพ นี่คือกูไม่ใช่คนอื่น เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้กูไปจากมึงได้หรอก"

"..."

"แค่สู้ไปด้วยกัน ไปจนถึงวันที่พ่อเข้าใจเรา"

นี่คือธงทัพ...ไม่ใช่คนอื่น

บางครั้งผมก็อยากรู้อนาคต ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป แต่มันไม่รู้ เลยทำได้แค่ใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับมัน หากว่าเรายืนหยัดและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำว่ามันถูกต้องแล้ว และหากว่าเราได้ต่อสู้ไปด้วยกัน อาจจะมีวันที่ลุงวุธจะยอมรับในสิ่งที่เราเป็นก็ได้ อาจจะมี... 

แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ของธงทัพสว่างขึ้นอีกครั้ง สายที่โทรเข้าก็เป็นชื่อเดิม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหัวหน้าของธงทัพ มันกำลังจะกดปิดแต่ผมแย้งเอาไว้ก่อน

"รับเถอะ คงเรื่องสำคัญ"

มีเสียงถอนหายใจก่อนกดรับสายอย่างดูหงุดหงิด เพราะนั่งคุยให้ได้ยินอยู่ตรงนี้ผมจึงรับรู้บทสนทนาเหล่านั้นไปด้วยและสรุปความได้ว่าธงทัพจะต้องกลับไป ด้วยเหตุเรื่องงานอย่างเลี่ยงไม่ได้

"กลับพร้อมกันไหม หรือว่าอยากอยู่ที่นี่ต่อ"

ผมเงียบเพื่อตัดสินใจอยู่ครู่เดียวก่อนตอบกลับไป

"ขออยู่ที่นี่ต่อ"

"งั้นกูกลับก่อน"

"อือ เดี๋ยวเจอกัน"

ธงทัพพยักหน้ารับก่อนก้าวเท้าเดินออกไป เพียงสามสี่ก้าวก็เดินกลับมา แล้วยัดกุญแจรถใส่มือให้

"ขับกลับเองได้ใช่ไหม อย่ากลับวันสุดท้ายรถมันเยอะ กลับก่อนสักวันหนึ่งก็ได้ แล้วคืนนี้กลับไปนอนที่บ้านแม่ล่ะ อย่าไปนอนที่อื่น ไปละ"

"เฮ้ย เดี๋ยว"

ผมดึงมือธงทัพเอาไว้หลังจากมันพูดยาวไม่เว้นช่องว่างแล้วกำลังจะหันหลังกลับไปอีกที

"แล้วมึงจะไปยังไง"

"เดี๋ยวให้แม่มารับ"

"ไม่เป็นไร เอารถไปเถอะ รถมึง"

"อือ รถกู คนตัดสินใจคือกู"

"บังคับกูอีกแล้ว"

"เออ!" กระแทกเสียงใส่พลางยกสองนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากผมแรงๆ จนหน้าหงาย ก่อนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม ผมเองก็ไม่มีอะไรจะเถียง ไม่ยอมปล่อยมือที่กำลังจับอยู่ในตอนที่มันกำลังจะเดินออกไปอีกครั้ง

"ธงทัพ"

"..."

"ในลิ้นชักหัวเตียง มีหนังสือหน้าปกสีฟ้าๆ เล่มใหม่อยู่ในซีน"

"..."

"ของขวัญวันเกิดนะ"

ถึงจะถูกห้ามไม่ให้พูดถึง แต่ก็มีบางปีที่เสี่ยงโดนดุบ้างด้วยการซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เพราะไม่อยากละเลยวันนี้ไปเฉยๆ ผมก้มหน้าหนีตอนที่อีกคนคิ้วขมวดเข้าหากันแล้วขยับเข้ามาใกล้ คิดว่าต้องโดนด่าหรือเสียงดังใส่อย่างหมาบ้า แต่ผิดคาด

ธงทัพเอ่ยบางคำขึ้นแทรกเสียงคลื่น แม้แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่ความหมายชัดเจนดีในตอนที่ริมฝีปากของธงทัพกดเข้าเบาๆ ที่หน้าผากของผม 

 

"ขอบคุณนะภูผา"


 

ขอบคุณเช่นกัน...พี่ธงทัพ

 

...

 

            หลังจากธงทัพกลับไปแล้ว ผมก็ยังคงอยู่ที่ทะเล เดินเล่นเลียบชายหาด ปล่อยความคิดวุ่นวายอยู่ในความรู้สึกที่ยังคงสับสน มีเพียงเสียงคลื่นทะเลตอบโต้เสียงที่ร่ำร้องอยู่ภายในใจ

 

ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ...


 

ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองเดินมาไกลก็ตอนที่หันหลังกลับไปมอง จำไม่ได้แล้วว่าถอดรองเท้าเอาไว้ตรงไหน และตอนนี้ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะเดินกลับไป เลยตั้งใจจะหย่อนตัวเองนั่งลงตรงนี้ก่อน แค่คิดไม่ทันจะได้ทำก็ต้องชะงักเมื่อสายตาพลันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ริมหาดห่างออกไปสักสองเมตรได้

"ภูผา"

"นาวี"

เราต่างคนต่างเอ่ยชื่อกันออกมาด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าความบังเอิญจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างไม่ตั้งตัวแบบนี้ หลังจบการเรียกชื่อก็พากันเงียบใส่ปล่อยให้ทะเลก่อเสียงคลื่นอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง มันยากที่จะหลบเลี่ยงหรือเดินหนีแล้วครั้งนี้ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ

ขี้เกียจหนี วันนี้เหนื่อยแล้ว ผมให้เหตุผลอยู่ในใจ 

"มาคนเดียวเหรอ" จะตั้งใจถามหรือตามมารยาทผมก็ไม่รู้ เลยตอบไปโดยไม่คิดอะไร

"มากับธงทัพอะ แต่เจ้านายมันโทรตามให้กลับไปแล้ว"

"โทรตามวันหยุดเนี่ยนะ"

"อือ"

"บริษัทอะไรวะ โคตรโหดเลย"

"ก็บริษัทเดียวกับมึงไม่ใช่หรือไง"

นาวีหัวเราะออกมานิดๆ ผมเองก็ประหลาดใจที่เราสองคนจะมีบทสนทนาที่ทำให้หัวเราะออกมาได้ ผมเองไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยิ้มให้นาวี...โดยไม่ได้ฝืนใจ 

นาวีส่งเบียร์ให้ผมกระป๋องหนึ่ง และเมื่อผมดื่มหมดกระป๋อง ก็ถูกถามถึงกระป๋องต่อไป เมื่อผมพยักหน้าตอบรับ อีกคนจึงต้องเป็นฝ่ายลุกออกไปซื้อมาเพิ่ม จะพูดว่าแอลกอฮอล์ทำให้บรรยากาศตรงนี้ผ่อนคลายขึ้นก็ว่าได้

"มึงเป็นไงบ้าง...หมายถึงชีวิต" ตั้งแต่วนกลับมาพบกัน นั่นเป็นคำแรกที่ผมตั้งใจถาม เพราะอยากรู้ความเป็นไปของชีวิตอีกฝ่าย   

"เมาแล้วเหรอ"

"ยังเว้ย"

"แล้วคิดไงถึงถามแบบนั้น"

"ตามมารยาท"

"มารยาทไม่ดีเลย มาอยากรู้ชีวิตคนอื่นเขาทำไม"

"ว่ากูเสือกป่ะ"

นาวีพยักหน้ารับเลยเจอกำปั้นของผมทุบเข้าเบาๆ ที่ไหล่ แอลกอฮอล์ไม่เพียงแค่ทำให้ผ่อนคลาย แต่คล้ายว่าจะทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองด้วยการพูดเยอะกว่าที่ควรจะเป็น

"กูถามก็ตอบๆ มาเถอะน่า"

"ก็สบายดี"

"..."

"ตอบแบบมีมารยาทนะ"

"ไร้มารยาทกับกูก็ได้"

"..."

"อยากให้ตอบแบบจริงใจ"

นาวีขยับสายตาที่มองหน้าผม หันมองไปเบื้องหน้าแทน แต่ก็ยอมตอบออกมาตรงๆ

"ไม่สบายเลย"

"..."

"ไม่มีวันไหนให้ใจได้พักผ่อนบ้างเลย"

เป็นคำพูดแผ่วเบาที่อบอวลไปด้วยมวลแห่งความเศร้า หากว่าผมไม่ได้คิดไปเอง มันก็เป็นเช่นนั้น...มันเศร้าจนรู้สึกได้ว่านาวีดูไม่สบายจริงๆ

"ถ้าไม่สบาย ต้องไปหาหมอนะ"

นาวีหันมองผม เขารู้ว่าผมรู้เรื่องโรคที่กำลังเป็น จึงไม่ได้ปิดบังและพูดมันออกมา

"หาอยู่ ไม่ต้องห่วง"

"แล้วหมอว่ายังไงบ้าง"

"ยังไม่หาย"

"..."

"แต่ยังไม่ตาย"

"..."

"ก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติ"

ผมยิ้มตอบกลับรอยยิ้มนั่น แม้ดูรู้ว่ามันฝืนใจเต็มทนก็ตาม ผมไม่รู้ว่ามีอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตนาวีจนทำให้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม อยากถามหาเหตุผลของรอยแผลเป็นที่ข้อมือนั่น แต่กลัวจะเผลอไปทำร้ายให้รอยแผลนั่นลึกลงไปกว่าเดิม 

"โลกนี้มันก็โหดร้ายอยู่ตลอด"

"..."

"ไม่รู้ได้ยินมาจากไหน แต่เคยได้ยินมาแบบนั้น"

"..."

"ความรู้สึกก็เปราะบาง ชีวิตก็แตกสลายได้ง่าย เรื่องเจ็บปวดก็เกิดขึ้นตลอดเวลา คือคำพูดมันประมาณนั้น..."

นาวีเริ่มอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นว่าผมพยายามที่จะปลอบใจด้วยคำพูดเก้ๆ กังๆ แค่อยากให้คนฟังรู้สึกดีแต่การขุดถ้อยคำให้กำลังใจจากที่เคยได้ยินมาก็ล้มเหลวเอาง่ายๆ ผมจึงใช้วิธีที่จะพูดออกไปตรงๆ ดีกว่า

"กูแค่อยากบอกมึงว่า ให้โลกมันทำร้ายมึงก็พอ"

"..."

"อย่าทำร้ายตัวเองเลยนะ"

"..."

"มันก็มีตั้งหลายวิธี ที่จะเดินหนีออกมาจากความเศร้าไม่ใช่เหรอ"

"มันง่ายที่จะพูด"

"..."

"แต่มันยากที่จะทำให้ชีวิตเป็นแบบนั้น กูก็อยากให้ชีวิตมันดีขึ้น อยากทำให้มันดีกว่านี้ แต่ว่า..."

กลายเป็นผมที่ทำให้ให้จิตใจของนาวีช้ำกว่าเดิม คำพูดของนาวีกลืนหาย กลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเพื่อพูดแทนประโยคต่อไป   

 

ความรู้สึกก็เปราะบาง ชีวิตก็แตกสลายได้ง่าย...


 

ผมหมดความสามารถจะคาดเดาความรู้สึกของใคร ไม่เข้าใจความรู้สึกนาวี แต่รู้จักว่าอะไรคือความเศร้าจึงไม่ได้เพิกเฉยต่อน้ำตาของนาวีแล้วปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดของตัวเอง

ชั่วครู่เดียว...

ครู่เดียวก่อนที่นาวีดูเหมือนจะตั้งสติได้ เราเคยกอดกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความไม่คุ้นเคย อ้อมกอดที่ดูจะอึดอัดจึงต้องหลุดพ้นจากกันในที่สุด

ในหัวผมพยายามที่จะสรรหาอะไรมาเปลี่ยนเรื่องพูด แต่คิดอะไรไม่ออก เลยทำได้แค่ชี้ไปที่รอยสักบนขนข้างขวาที่เห็นชัดเจนว่าเป็นรูปอะไร แต่ก็ถามออกไปโง่ๆ เพราะอยากให้บรรยากาศมันดีขึ้น

"นี่...นี่รูปอะไรวะ"

"ดาวไง"

"อ๋อ...ดาว"

เป็นกลุ่มดาว...

ผมเคยคิด ไม่อยากให้ร่างกายของนาวีมีรอยอะไรเลย แต่เมื่อได้เห็นรอยสักรูปกลุ่มดาวสี่ห้าดวงถูกโยงเข้าหากันด้วยเส้นตรงกลายเป็นกลุ่มดาว ที่ดูเข้ากันกับแขนขาวๆ ของเขานั่นแล้ว ทำให้เผลอหลุดปากชมออกมาโดยไม่ตั้งใจ 

"สวยดี"

"อาจจะเป็นดาวดวงที่ตกวันนั้นก็ได้นะ"

"..."

"วันที่เรานอนดูด้วยกัน"

ความเจ็บปวดของอดีต ไม่ใช่การลืมมันไม่ได้ แต่เป็นการถูกพูดถึงซ้ำๆ เพื่อย้ำว่าเรากลับไปตอนนั้นไม่ได้...ไม่มีวันกลับไปได้

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง

"แล้วพ่อกับแม่มึงเป็นยังไงบ้าง"

"..."

"คิดถึงกับข้าวของแม่มึงจัง"

"..."

"ขอกลับไปกินข้าวที่บ้านมึงได้ไหมเนี่ย"

ผมแค่อยากชวนคุยให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่แล้วผมก็เป็นคนทำให้บาดแผลของนาวีถูกกรีดลึกกว่าเดิม ผมเองเป็นคนย้ำ ทำให้นาวีรู้ว่าเวลามันย้อนคืนมาไม่ได้ เอาอดีตกลับมาไม่ได้ เอาคนตรงนั้นกลับมาไม่ได้ ในคืนนี้ผมหยิบยื่นความเจ็บปวดให้นาวี หลายต่อหลายครั้ง

 

"พ่อกับแม่กู ตายไปแล้ว..."

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-10-2018 16:39:27
 นาวี...
ไม่รู้จะเม้นต์อะไรเลยค่ะ

*นั่งเหม่อ*
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-10-2018 18:30:25
 :mew6:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 08-10-2018 19:23:19
คุณรชาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 08-10-2018 20:56:02
ฮือ สงสารนาวี ไม่รู้ว่าช่วงที่จากกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 08-10-2018 20:57:43
แอบเดาในใจถูกจริงๆด้วย

แต่ห้ามนะ ห้ามทิ้งพี่ทัพ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-10-2018 21:31:41
ในวันที่ภูผาไม่มีแม่ แต่ก็ยังมีธงทัพและครอบครัว
ถึงมันจะแทนกันไม่ได้ แต่ภูผาเข้มแข็งและผ่านมันมาแล้ว
ส่วนนาวีนั้น เรายังไม่รู้ว่าเขาผ่านมันมายังไง แต่ที่แน่ ๆ นาวียังป่วยอยู่
อาจจะพยายามอย่างลำพัง ก็เลยแย่หน่อย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-10-2018 22:30:24
นาวี ยังคงทรมาน ... ไม่ต่างกับคนอ่าน  :ling3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 08-10-2018 22:53:27
สู้ๆนะภูผา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 09-10-2018 13:00:11
ทุกคนต่างมีอดีต ผ่านไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 09-10-2018 19:44:33
กอดนาวี แน่นๆใครไม่รักหนู

ป้ายะรักหนูเอง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-10-2018 22:45:48
อูยยยย...........  :z3: :z3: :z3:
โลกมันโหดร้ายจริงๆ
ใจมันสั่นคลอนและ
กลัวแทนธงทัพแล้ว :เฮ้อ: :serius2: o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 10-10-2018 21:36:26
ปลอบนาวีได้ แต่อย่าทิ้งธงทัพนะะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 11-10-2018 16:54:48
Episode 22


หากว่ามันคือความแค้น
ผมคงกำลังถูกเอาคืนอย่างสาสม   


 

 

"ธงทัพ ถามจริงๆ ทำไมชอบทำเหมือนกูเป็นเด็ก"

"ไม่รู้ แต่ในสายตากู มึงดูเหมือนเด็ก"

"ตรงไหน"

"ชอบทำให้เป็นห่วงมั้ง"

"ความคิดมึงเหมือนคนแก่มากกว่า เลยมาหาว่ากูเป็นเด็ก"

"เดี๋ยวก็เตะไปนู่น"

"แล้วมึงว่า เมื่อไรที่คนเราจะเติบโตขึ้น"

"เมื่อมึงให้อภัยคนที่คิดว่าชาตินี้จะโกรธไปตลอดชีวิตได้ ประมาณนั้นมั้ง"

"ทำไมต้องให้อภัยด้วย"

"แล้วจะโกรธกันไปเพื่ออะไร"

"ไม่รู้...ช่างเถอะ"

"ถ้าให้อภัยไม่ได้ ก็มีอยู่สองอย่างระหว่างยังโกรธมาก กับ ยังรักมาก"

"มึงพูดถึงใครเนี่ย?"

"คนที่มึงคิดว่าจะโกรธไปตลอดชีวิตไง"

"กูไม่มีคนๆ นั้นอยู่ในความคิดซะหน่อย"

"กูว่ามีนะ"

"ไม่มี!"

"เออ มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ แต่กูไม่อยากให้เป็นแบบหลัง"

"..."

"เลยอยากให้มึงให้อภัยมันซะ...ถ้าทำได้"

 

 

"ติ๊ง!"

 

เสียงจากมือถือปลุกผมให้ตื่น ลืมตาขึ้น แล้วก็หลับลงไปอีกเพราะเปลือกตาที่หนักอึ้ง ใช้เวลาตั้งสติครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกที สิ่งแรกที่มองเห็น คือผ้าม่านสีขาวที่ทำให้แสงจากด้านนอกส่องสว่างเข้ามาได้ง่าย   

ผมยังไม่อยากลุก จึงนอนจมอยู่ในผ้าห่มผืนหนาภายใต้อุณหภูมิแอร์ที่เย็นกำลังดี วางสายตาไว้ที่ผ้าม่านสีขาวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร   

 

"ติ๊ง!"

 

เผลอสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงจากมือถืออีกครั้ง ความเฉื่อยชาเป็นผลพวงจากการเมาค้าง ผมยกมือที่เหมือนไม่ค่อยมีแรงหยิบมือถือขึ้นมาดู ในตอนนั้นสติก็พลันพุ่งเข้าใส่เมื่อเห็นนาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาว่าเลยเที่ยงวันไปแล้ว 

ละความสนใจจากนาฬิกาไปดูการแจ้งเตือนจากไลน์ ที่เพิ่งได้รับข้อความจากธงทัพสามสี่ประโยค

"อยู่ไหน"
"แม่บอกมึงไม่ได้ไปนอนที่บ้าน"
"กลับบ้านเหรอ"


บ้านในประโยคสุดท้ายนั่นหมายถึงบ้านของผม ที่นานๆ ครั้งผมจะกลับไปที่นั่นบ้าง ผมยันตัวเองขึ้นลุกแล้วตอบกลับไปสั้นๆ

 

"อือ อยู่บ้าน"

 

ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงเลือกโกหก

เพราะตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านนาวี แม้ผ่านค่ำคืนเมาหนักแต่อยู่ในระดับที่พอจำความได้ จึงรู้ตัวว่าตื่นมาที่ไหน แต่ไม่ได้บอกให้ธงทัพรู้ อาจเพราะในเวลานี้ สมองผมอื้ออึงไม่มีความคิดอื่น เลยคิดเอาเองว่ามันดีแล้วที่ไม่ได้พูดความจริง กลัวธงทัพจะไม่พอใจหากรู้ว่าผมมานอนที่นี่ จึงตัดปัญหาด้วยวิธีโง่ๆ ไป ก่อนอีกฝ่ายจะตอบกลับมา

 

"โอเค"
"ก่อนกลับอย่าลืมบอกแม่กูด้วยนะ เขาเป็นห่วง"
"ขับรถดีๆ"

 

ผมส่งสติกเกอร์ตอบกลับแทนคำพูด ก่อนลุกออกจากที่นอน ในจังหวะที่กำลังจะยกมือเปิดประตู คนจากข้างนอกก็เปิดขึ้นเสียก่อน นาวีที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามาก็ดูตกใจนิดหนึ่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้พอดี ผมที่ยกมือค้างอยู่ก็อาการเดียวกัน ลดมือนั่นลงแล้วยิ้มฝืดๆ แก้เก้อ

"ตื่นแล้วเหรอ ออกไปซื้อแปรงสีฟันมาให้" 

"อ๋อ ขอบคุณ..." ผมรับแปรงสีฟันนั่นมา แล้วถอยหลังกลับเข้ามาในห้อง นาวีไม่ได้ตามมาด้วยแต่ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู

"เสื้อผ้ามึง กูซักให้แล้วแต่ยังไม่แห้ง ใส่ของกูไปก่อนนะ"

"อือ"

"ในตู้นะ หยิบเอาได้เลย"

"อือ"

"กูรอข้างล่างนะ"

"อือ"

ผมทำได้แค่ตอบกลับสั้นๆ พร้อมพยักหน้ารับ ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็พบว่ามันเป็นของนาวี เมื่อคืนผมอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนมันด้วยตัวเอง

ผมจำความเรื่องเมื่อคืนได้ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะกลายเป็นคนพูดเยอะในตอนที่แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์ ผมจึงจำไม่ได้ว่ามีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ระยะห่างระหว่างผมกับนาวี เรื่องนั้นรู้ตัวดี ผมนอนบ้านนาวี แต่ไม่ได้นอนกับนาวี เราไม่ได้นอนด้วยกัน

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปหานาวี แต่ไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ไหน เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่อดีตคุ้นเคยดี บางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างก็อยู่ที่เดิมไม่ขยับเลย อย่างกีตาร์ตัวนั้นที่พ่อนาวีชอบเล่น หรือแม้แต่แก้วลายดอกไม้ใบโปรดของแม่นาวี

สายตาผมเลื่อนมองพลางนึกถึงบางเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่รูปถ่ายของพ่อกับแม่นาวี

ได้เจอกันครั้งสุดท้าย...เมื่อไรนะ


ผมวนเวียนคิดไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้า ความรู้สึกโหยหาช่วงเวลาในอดีตก็เกิดขึ้นในตอนนั้น และที่ผสมปนเปกันก็คงเป็นความรู้สึกเสียใจ

ขอโทษที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาจากไปเมื่อไร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น....     

"อุบัติเหตุ"

"..."

"เกือบสี่ปีได้แล้ว"

นาวีเดินเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาเอง ตอบคำถามในใจของผมจนกระจ่าง ผมหันมองตัวหนังสือที่ระบุอยู่บนรูปภาพ วันที่พ่อกับแม่นาวีจากไปเป็นวันเดียวกัน การสูญเสียเกิดขึ้นพร้อมกันซ้ำยังรวดเร็วไม่มีเวลาตั้งตัว ผมเผลอตั้งคำถามในใจ นาวีผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง หรือไม่บางที...ช่วงเวลาเหล่านั้นมันอาจจะยังไม่ได้ผ่านไป

"ไม่รู้ว่าจะอยู่ด้วยกันได้นานแค่นั้น"

"..."

"จะได้บอกรักให้มากกว่าที่ผ่านมาสักหน่อย"

"ขอแค่ย้อนเวลากลับไปได้..."

"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้..."

เราหันมองหน้า ในตอนที่พูดออกมาพร้อมกันด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงจนแทบเป็นประโยคเดียวกัน อาจเพราะต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกนั้นดี นาวีขยับมุมปากขึ้นยิ้มจางๆ

"กูคงจะกลับมาหาพ่อแม่บ่อยกว่านั้น"

"กูก็คงจะทำตัวกับแม่ให้ดีกว่านั้น"

"เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมวันนั้นกูถึงปล่อยมือ"

ผมเงียบ คิดไปถึงวันนั้นอีกครั้ง

เรื่องในอดีตกับปัจจุบันปนเปกันจนความคิดยุ่งเหยิง ผมเข้าใจนาวี เหมือนว่าตัวเองได้กลายไปยืนในจุดที่นาวีเคยยืน นาวีไม่ได้อยู่ด้วยในวันที่แม่ผมตายและผมไม่ได้รับรู้อะไรเลยในวันที่พ่อกับแม่นาวีจากไป รวมถึงเรื่องราวระหว่างผมกับธงทัพและการไม่ยอมรับของลุงวุธ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ดูเหมือนว่านาวีจะผ่านมันมาทั้งหมด

 

และหากว่านี่คือความแค้น ผมคงกำลังถูกเอาคืนอย่างสาสม...

 

"แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ กูจะไม่ทำแบบนั้นนะ"

"หมายถึง?"

"ไม่ปล่อยมือ"

"ต่อให้ย้อนกลับไปได้ ก็จะเริ่มต้นใหม่แบบนั้นเหรอ"

นาวีพยักหน้ารับ

"แต่ตอนจบคงไม่ใช่แบบนั้น"

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเอาแต่ก้มหน้าคิด ผิดตรงที่มันไม่ใช่ความโกรธแค้น เป็นแค่เพียงความไม่เข้าใจที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้จนเนิ่นนาน ที่ผ่านมาผมก็ห่วงแต่ตัวเองว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ได้สนใจว่านาวีจะบอบช้ำเหมือนกันหรือเปล่า จมปลักอย่างโง่เขลากับความทรงจำที่เว้าแหว่ง เสียเวลาโกรธเคืองกันยาวนานอย่างนั้นเพราะความไม่เดียงสาจากวัยเด็ก ถูกทั้งหมดอย่างที่ธงทัพเคยบอกผม...จะโกรธกันไปเพื่ออะไร

"ภูผา"

"..."

"เมื่อไรมึงจะหายโกรธกูเหรอ"

"..."

"เราอย่าวิ่งหนีกันอีกเลยนะ"

"..."

"กูขอโทษ"

ผมพยักหน้ารับ ความปรารถนาของตัวเองก็เป็นไปเช่นนั้น แม้รู้ดีว่าผมกับนาวีคงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างวันนั้น แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ไม่ต้องวิ่งหนีทุกทีที่เจอกัน เราจะยิ้มให้กัน เรียกชื่อกันโดยไม่ต้องฝืนใจ ปล่อยวางเรื่องระหว่างเราและให้อภัยซึ่งกันและกัน

"ขอโทษเหมือนกัน"

อาการบอบช้ำจากความทรงจำเลวร้ายคล้ายกำลังถูกเยียวยาจนผมเองเริ่มไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องมองย้อนกลับไป และผมหวังว่าวันหนึ่งนาวีจะหายดีเช่นกัน

"งั้นกูกลับก่อนนะ"

นาวีพยักหน้ารับ ก่อนผมจะเดินออกมานอกบ้าน

"เออ กุญแจรถอยู่หน้าทีวี"

นาวีเดินกลับเข้าไปหยิบกุญแจให้ ระหว่างที่ผมก้มหารองเท้าของตัวเองแต่ไม่มี คนที่เดินตามออกมาเอ่ยปากพูดขำๆ

"เมื่อคืนมึงไม่ได้ใส่รองเท้ามานะ"

ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับ นอกจากยืนนิ่งแล้วรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผมไม่รู้ตัวเองถอดรองเท้าไว้ที่ไหน เดินกลับไปหาจนทั่วชายหาดก็ไม่เจอ เลยต้องเท้าเปล่ากลับบ้าน และถ้าจำไม่ผิด...

"กูเดินเท้าเปล่าเข้าเซเว่นด้วยใช่ไหม"

"มึงเข้าไปซื้อนมช็อกโกแลต"

ผมถอนหายใจไว้อาลัยให้วีรกรรมจากความเมาของตัวเอง นาวีหลุดหัวเราะอย่างกับเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิต

"เอาของกูใส่ไปก่อนสิ"

"ไว้เอามาคืนพร้อมเสื้อผ้านะ"

"เราเจอกันอีกได้ใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ เอ่ยบางคำโต้ตอบกลับไป คำที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พูดกับนาวีอีกครั้งหนึ่ง   

 

"ไว้เจอกันนะ"


 

เมื่อเปิดประตูรถเข้าไปนั่งก็หันไปเห็นนมช็อกโกแลตแพ็คหนึ่งวางอยู่ที่เบาะข้างคนขับ พลันเหตุการณ์เมื่อคืนก็พุ่งเข้ามาในหัว  ละอายใจแต่ทำได้แค่หัวเราะกับตัวเองอยู่ในลำคอเบาๆ

 

"กูจะซื้อนมช็อกโกแลตไปฝากธงทัพ ถ้ามันรู้ว่ากูเมานะ มันด่าตายเลย ต้องเอานมช็อกโกแลตไปปิดปากมัน"

 

ผมอยากรีบกลับไปหาธงทัพ แล้วถามมันสักครั้ง...ว่าตอนนี้ผมดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างหรือยังนะ 

 

...

 

ไม่มีอะไรผ่านไปเร็วเท่าวันหยุดยาว ผมใช้เวลาในวันหยุดไปอย่างคุ้มค่าที่สุดด้วยการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ธงทัพไม่ได้หยุดเลย ตั้งแต่ถูกเรียกกลับมาทำงานในวันนั้น ซ้ำยังงานเยอะจนไม่มีเวลาพัก ตั้งแต่เปิดงานเราจึงยังไม่ได้เจอกันเลย ทำได้แค่โทรหากันเท่าที่ธงทัพพอจะมีเวลาว่าง   

(ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะ)

เป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์ที่ธงทัพชวนผมไปอยู่ด้วย และผมยังคงปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องการเดินทาง   

"มันไกลที่ทำงาน จะให้ทำยังไง"

(งั้นก็ย้ายที่ทำงาน)

"วันเสาร์ค่อยเจอกันก็ได้ เดี๋ยวกูไปหามึงเอง"

(วันเสาร์นี้มีงานว่ะ)

"อ้าวเหรอ"

(เย็นวันศุกร์ กูอาจจะไปหา ถ้างานเสร็จนะ)

"ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องมาก็ได้"

(ไม่อยากเจอหน้ากูหรือไง)

"ไม่ใช่แบบนั้น"

(ไม่คิดถึงกูบ้างเลย)

"ใครบอกว่าไม่"

(ก็ไม่เคยบอกว่าคิด...)

"คิดถึง!"

ผมแทรกพูดคำนั้นก่อนธงทัพจะพูดจบประโยค อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

"คิดถึงนะพี่ทัพ"

(ชอบพูดเพราะเวลากูจะงอน กูก็โกรธไม่ลงเลยเนี่ย)

"ไม่งอนนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าค่อยเจอกัน"

(ก็ได้ แค่นี้นะ)

"เดี๋ยวดิ!"

(อะไร)

"มึงก็ไม่เคยพูดว่าคิดถึงกูเหมือนกัน"

(...)

"ไม่เคยพูดสักคำ"

(ไม่ใช่หน้าที่ของคนขี้เก๊ก)

"อ้าว! ธงทัพ! พี่ทัพ!"

ปลายสายกดวางไปก่อนโดยไม่สนเสียงเรียกของผม ปล่อยให้ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจอยู่คนเดียวก่อนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อสถานะขยับ ความรู้สึกในใจก็อ่อนไหวง่ายกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ผมดูเหมือนคนอ่อนหัดเรื่องความรักซ้ำยังหมดความสามารถในการกลั้นอาการเคอะเขินเหล่านั้น ทั้งที่เคยทำได้ดีกว่านี้ ผมจึงคิดว่าดีแล้วที่เราแยกกันอยู่ เพราะบางครั้งเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ ผมอาจต้องขอพื้นที่ส่วนตัวเพื่อใช้ในการหลบไปเขินบ้าง...

 

...

 

สุดสัปดาห์กำลังผ่านมา ผมกลับบ้านดึกนิดหน่อยในคืนวันศุกร์เพราะใช้เวลาเคลียร์งานที่ค้างให้เสร็จ ก่อนจะกลับห้องในตอนที่ฟ้าเริ่มมืด การจราจรในคืนวันศุกร์ยังคงแน่นขนัดผสมโรงกับฝนที่กำลังตกหนัก เป็นเหตุให้ท้องถนนดูแออัดกว่าปกติ ผมเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนผู้คนมากมายที่ต้องการกลับบ้านจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากอดทนกับมันต่อไป

บนรถเมล์ที่ขยับไปได้ทีละนิด ผมได้ยินเสียงคนพูดกันว่าข้างหน้ามีอุบัติเหตุ รถจึงติดกว่าปกติ บางคนทำเสียงหงุดหงิดออกมาอย่างจงใจ บางคนเพิกเฉย บางคนก็ยังยิ้มได้อย่างอารมณ์ดีเพราะมีเพื่อนคุยด้วยข้างๆ เมื่อรถเมล์คันที่ผมนั่งเคลื่อนผ่านจุดเกิดอุบัติเหตุ ผมหันไปเห็นรถยนต์สภาพพังยับกับแสงไฟจากรถกู้ชีพ วินาทีเดียวที่หันมองก่อนหลีกเลี่ยงด้วยการหันไปทางอื่น คำว่าอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อจิตใจผมจนไม่กล้าที่จะหันมอง ผมได้แต่หวังว่าคนตรงนั้นจะปลอดภัยดี

 
ใช้เวลานานกว่าปกติ แต่ผมก็กลับมาถึงห้องแล้วตอนที่ฝนหยุดตกพอดี ผมจำได้ว่าธงทัพบอกจะมาหา หากว่าทางนั้นทำงานเสร็จ ผมรอจนถึงห้าทุ่ม ในตอนที่กำลังจะตัดสินใจเข้านอน อีกใจก็สั่งให้รอต่อไปอีก จนถึงเที่ยงคืน จนถึงตีหนึ่ง...

ผมนั่งมองหน้าจอมือถือที่ส่งไลน์ไปหาก่อนหน้านี้ ข้อความถูกอ่านแต่ไม่มีการตอบกลับ ผมหวังว่าธงทัพจะยุ่งมาก ไม่อยากให้มีเหตุผลอื่น เพราะผมกำลังเป็นห่วง มากกว่าที่เคยเป็น   

ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจโทรหา แต่ไม่ทันจะกดโทรออกประตูห้องก็เปิดเข้ามาเป็นเหตุให้เผลอสะดุ้ง

"ยังไม่นอนอีกเหรอภูผา"

ริมฝีปากผมขยับเป็นรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าดีใจอะไรนักหนาแต่ว่าหุบยิ้มไม่ลงจนถูกอีกคนทัก   

"ยิ้มอะไรขนาดนั้นวะ"

"กำลังเป็นห่วง..."

ผมพูดไม่ทันจบ ธงทัพก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เอาหัวหนุนตักผม พร้อมเสียงบ่นยาวๆ

"โคตรเหนื่อยเลย ทำงานตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกินข้าว แถมมีประชุมอีกงานด่วน เลิกประชุมห้าโมง ฝ่ารถติดกลับถึงออฟฟิศเกือบสองทุ่ม มานั่งทำอีกงานต่ออีก กูรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เออ กูอ่านไลน์แล้วแต่ลืมตอบ โทษที"

"เหนื่อยขนาดนี้ก็ไม่น่ามานี่เลย"

"ไม่ดีใจที่กูมาเหรอ"

"..."

"เห็นทำหน้าเป็นเป็ดเจอเจ้าของเลยนะเมื่อกี้"

"เป็ดอะไรมึง"

"เมื่อกี้มึงยิ้มปากฉีกถึงนี่เลย" ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นบีบแก้มผมแล้วดึงให้มุมปากขยับออก

"กูก็ดีใจแหละ แต่ไม่อยากให้มึงเหนื่อย"

ธงทัพถอนหายใจทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งมองหน้าผม

"ย้ายไปอยู่ด้วยกันเถอะ"

เป็นครั้งที่สี่...

"มึงไม่อยากอยู่กับกูเหรอ"

"ไม่ใช่"

"มึงกลัวไปทำงานลำบากแค่นั้นเหรอ"

"ก็มันไกล"

"งั้นกูมาอยู่กับมึงเองก็ได้"

"กูก็ไม่อยากให้มึงเหนื่อย"

"แล้วมึงจะเอาไง"

"ก็อยู่แบบนี้ไปก่อน..."

"แต่กูอยากอยู่กับมึงไง!"

ผมเผลอสะดุ้งตอนที่ธงทัพเสียงดังใส่ อีกคนก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเสียงดังเกินไป เกิดเป็นความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ธงทัพจะเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อน 

"ขอโทษ วันนี้กูแค่เหนื่อยมาก เลยอยากให้มึงอยู่ใกล้ๆ"

"..."

"กูคงคิดถึงมึงมากไป"

คำว่าคิดถึงหลุดออกมาจากปาก ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เคอะเขิน กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดแทนที่ปฏิเสธการชักชวนนั่นด้วยเหตุผลแค่นั้นมาตลอด ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิด ทั้งที่ความจริงผมต่างหากที่เป็นฝ่ายโหยหาการอยู่กับธงทัพขนาดไหน

"กูไปอาบน้ำก่อนดีกว่า"

พูดจบก็ลุกออกไป ผมหันมองตามแต่ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่ธงทัพอาบน้ำ ผมคิดอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน ผมจะย้ายไปอยู่กับธงทัพ หรือยอมให้ธงทัพย้ายมาอยู่กับผม หรือเราจะไปหาที่อยู่ใหม่ ที่ๆ เราทั้งคู่ไปทำงานสะดวก จะมีที่แบบนั้นสำหรับเราไหม หรือผมจะไปหางานใหม่ใกล้ๆ ธงทัพ ผมควรทำยังไง...เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน 

เมื่อธงทัพอาบน้ำเสร็จก็ทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนก่อนที่จะเช็ดตัวให้แห้งด้วยซ้ำ เมื่อรู้ตัวว่าถูกผมมองอยู่จึงหันมามอง เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

"โกรธกูหรือเปล่า"

"..."

"กูขอโทษ"

"ไม่เป็นไร นอนเถอะ" ธงทัพยกมือขึ้นโน้มใบหน้าผมเข้าไปจูบเข้าที่หน้าผากเบาๆ ก่อนเราจะไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ใช้เวลาไม่นานอีกคนก็หลับไปก่อน ผมเลื่อนมือขึ้น ตั้งใจจะกอดธงทัพเอาไว้ แต่เปลี่ยนใจดึงมือตัวเองกลับมาก่อน

หลับตาลงช้าๆ แล้วตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้ยินเสียงคนข้างๆ ลุกเตรียมตัวไปทำงานแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งได้นอน มีความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในเช้านี้ ธงทัพไม่ได้บอกอะไรผมก่อนที่จะออกไป อาจเพราะเร่งรีบจนลืม และผมหวังว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนั้น

 

ธงทัพไม่ได้บอกว่าเราจะเจอกันอีกวันไหน ผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์ไปแล้วสองครั้ง ผมก็ยังไม่ได้เจอกับธงทัพอีกเลย กระทั่งวันศุกร์วนกลับมาอีกครั้ง ผมหวังว่าเราจะได้เจอกัน

(มีอะไรภูผา)

ผมได้ยินเสียงธงทัพเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ จากการตัดสินใจโทรหาเพื่ออยากขอให้ออกมาเจอกัน

"เจอกันได้ไหม"

(กูยังทำงานอยู่เลย)

"กูไปหาก็ได้"

(ไม่ต้องมาหรอก)

ผมเงียบ ไม่รู้ว่าจะถูกปฏิเสธกลับมาในทันทีแบบนั้น

(มึงมากูก็ต้องทำงานอยู่ดี งานเร่งต้องเสร็จวันนี้ กูจะได้กลับบ้านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย)

"อ๋อ...โอเค"

(ไว้คุยกันนะ)

ธงทัพกดวางสายไปแล้ว ก่อนที่ผมจะเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ

แม้มันไม่ใช่ความโกรธแค้น แต่ผมรู้สึกว่ากำลังถูกเอาคืนอีกแล้ว...

ตอนที่ธงทัพร่ำร้องอยากมาเจอ ผมบอกปัด บ้างก็ผลัดไปเป็นวันอื่น เพราะคิดว่าการไม่เจอหน้ากันสักอาทิตย์คงไม่เป็นไร แต่พอถึงวันที่ตัวเองเป็นฝ่ายอยากเจอบ้างแล้วธงทัพทำในแบบเดียวกัน กลับกลายเป็นผมที่ทนไม่ได้

 

ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะนานขนาดนี้...

 

"น้องภู"

"ครับ?"

"คืนนี้พวกพี่จะไปเที่ยวกัน น้องภูไปด้วยกันไหม ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้ว"

"วันนี้ผม..."

"อยู่กับธงทัพเหรอ"

"ครับ?"

"โอเคๆ ไม่รบกวนเวลา แต่ถ้าเปลี่ยนใจโทรมานะ"

"ครับ"

ผมตอบรับไปอย่างนั้น แม้ว่าความจริงไม่ใช่เลยก็ตาม แต่จะเรียกว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก เพราะผมตัดสินใจที่จะไปหาธงทัพ ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าคิดถึงมากไปของธงทัพในวันนั้น เพราะมันคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้

 

...

 

ฝ่ารถติดไปซื้อของที่ธงทัพชอบกินหลายอย่าง ก่อนตรงไปที่ออฟฟิศธงทัพในตอนที่ฟ้ามืด ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามาในตึกจากรปภ.ที่จำหน้าผมได้ ผมตรงไปที่ห้องทำงานของธงทัพซึ่งเปิดประตูค้างเอาไว้อยู่ ได้ยินเสียงพูดคุยในนั้นจากคนสองคน 

"พี่ทัพ หิวอะ"

"ไปหาไรแดกสิ ใครล่ามมึงเอาไว้ล่ะ"

"ผมชวนพี่อยู่นี่ไง ไปเซเว่นกัน"

"ขี้เกียจลุก ไปคนเดียวได้ไหม"

"ก็ได้ พี่เอาอะไร กาแฟไหม"

"กินกาแฟตอนนี้เดี๋ยวก็นอนไม่หลับกันพอดี"

"โถ! คืนนี้จะได้นอนเหรอครับ กาแฟน่ะดีแล้ว"

"เอานมช็อกโกแลตมาให้กูด้วย"

"ขนมจีบกุ้งไหม ซื้อคู่กันลดเจ็ดบาทด้วย"

"เอามาสองอันเลย"

"ครับ"

ผมไม่ได้เข้าไปขัดบทสนทนานั่น กระทั่งคุยกันจบ ปอก็เดินออกมาจากห้อง ไม่รู้ทำไมผมจึงเลือกที่จะหลบ ก่อนที่ปอจะเห็น เมื่ออีกคนลงลิฟต์ไปแล้ว ผมจึงก้าวออกมาจากมุมเสาแล้วเข้าไปหาธงทัพ

"ลืมอะไร..."

คำพูดหยุดชะงักไปตอนที่หันมาเห็นว่าเป็นผม

"ภูผา"

"ซื้อของกินมาให้" ผมว่าแล้ววางสิ่งที่ซื้อมาในมือลงบนโต๊ะทำงาน

"กูเพิ่งฝากไอ้ปอซื้อไปเมื่อกี้"

"แค่นั้นไม่อิ่มหรอก"

ธงทัพพยักหน้ารับ...แค่นั้น

บรรยากาศไม่ปกติ ทุกอย่างไม่ปกติ ผมไม่ได้มาเพื่อให้เรามองหน้ากันไปมาแบบนี้เฉยๆ ท่ามกลางความเงียบนั้น ผมจึงถามบางคำออกไป 

"ธงทัพ"

"..."

"มึงโกรธอะไรกูหรือเปล่า"

"แล้วทำอะไรผิดไว้หรือเปล่า"

"กูไม่ได้ทำอะไร..." ผมเถียงได้ไม่เต็มปาก ก่อนเป็นฝ่ายเงียบไปเอง ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด ธงทัพยังคงมองหน้าผมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เรียบเฉยจนผมคาดเดาไม่ได้ ไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อไป

"มึงโกรธที่กูไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยเหรอ"

"เป็นมึงจะโกรธไหมล่ะ"

"..."

"เรื่องแค่นั้นกูเข้าใจนะ แต่เรื่องอื่นกูไม่เข้าใจจริงๆ"

คำว่าเรื่องอื่นในประโยคนั้น เป็นเหตุให้คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เรื่องอื่นที่ไหน...เรื่องอื่นอะไร

"กูขอโทษ"

"เรื่องอะไร"

"กูไม่รู้"

"ไม่รู้แล้วขอโทษทำไม"

"กูไม่อยากให้มึงโกรธ"

"ไม่อยากให้โกรธแล้วทำไปทำไม"

ไม่เข้าใจเลยสักนิด...ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ ความสับสนทำให้ผมเอาแต่เงียบอย่างไม่มีอะไรจะเถียง กระทั่งธงทัพก้มหยิบบางอย่างใต้โต๊ะแล้วส่งให้ ผมจึงเข้าใจ ความผิดที่เคยก่อเอาไว้ถูกจับได้อย่างไม่ทันตั้งตัว 

"นาวีมันฝากเสื้อผ้ามึงมาคืน"

"..."

ขอโทษ...

ผมอยากพูดว่าขอโทษ อยากอธิบาย แต่ติดตรงที่ไม่กล้าเอ่ยขัดธงทัพที่กำลังแสดงความโกรธการกำมือแน่นคล้ายกำลังสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่เช่นกัน ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยคำนั้น อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน

"กลับไปก่อนเถอะ"

"ธงทัพ..."

"..."

"กูไม่ได้นอนกับนาวี หมายถึง...กูไม่ได้นอนด้วยกัน กูแค่ไปนอนบ้านมัน แต่ไม่ได้..."

"แล้วมันต่างกันยังไง"

"..."

"กูถามว่ามันต่างกันยังไง"

"..."

"ทำไมมึงไม่บอกกู"

"..."

"ทำไมมึงไม่พูดกับกูตรงๆ"

ธงทัพพูดพลางก้าวเท้าเข้ามาหา เป็นเหตุให้ผมต้องก้าวเท้าถอยหลังหนี รู้ตัวอีกทีผมก็ออกมาอยู่นอกห้อง เกิดเป็นความอื้ออึงอยู่ในหัวจนคิดอะไรไม่ออก ผมไม่รู้จะโต้ตอบกลับไปยังไง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันแย่ลง แต่ความเงียบก็ไม่ได้ทำให้มันดีขึ้นเช่นกัน ผมแค่สับสน กำลังสับสน

 

"มึงเลือกโกหกกูก่อนนะภูผา"

 

ประตูถูกปิด ผมหมดสิทธิ์เข้าไปในนั้นอีกครั้ง ผมยังคงสับสน และนี่คงเป็นครั้งแรก...

 

ที่ธงทัพทิ้งผมเอาไว้กับความไม่เข้าใจ

 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-10-2018 17:20:01
งื้ออออออออ  :mew6:
น้องภูอย่ายอมแพ้นะ ตั้งสติ เดินเข้าไปง้อธงทัพ สู้ๆ

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-10-2018 17:22:56
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 11-10-2018 18:10:01
เป็นใครก็ไม่เข้าใจหรอก เห้อออ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-10-2018 21:09:46
พี่ทัพพพพพพ โกรธได้แต่อย่าให้น้องพังนะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 11-10-2018 21:40:44
เฮือกกกกกก เราจะต้องถูกบีบหัวใจกับเรื่องนี้ไปทุกตอนเลยไหมนะ?
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-10-2018 22:34:51
โกรธได้แต่อย่านานนะจ๊ะพี่ธงทัพ เพราะทางนี้รอเชียร์นาวีอยู่
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 11-10-2018 23:12:50
สามีอย่าทำอย่างนี้น้องไม่ได้ตั้งใจมีเหตุผลหน่อยได้มั้ยคะอย่าโกรธน้องเลย
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-10-2018 15:54:41
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-10-2018 19:49:13
ฮืออออ เรื่องนี้จะดราม่าทุกตอนเลยใช่มั้ยคะ จะร้องงง ถึงเราจะไม่พอใจที่ภูผาโกหกก็เถอะแต่แอบตงิดใจประโยคที่พี่ภูบอกว่า "มึงเลือกจะโกหกกูก่อนนะภูผา" มันไม่ทีอะไรในประโยคนี้ใช่มั้ย นี่ก็กังวลเรื่องปอเหมือนคุ้นๆว่าปอชอบภูผา สองคนนี้ไม่ได้ซัมติงกันใช่มั้ย ขออย่าให้มีอะไรหนักหนาเลยยังไงก็อยากให้พี่ทัพเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.22] 11/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 12-10-2018 20:32:51
 โอ้ยยยย ธงทัพอย่าโกรธภูผานานนะ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 17-10-2018 16:47:31
Episode 23


บ้างเป็นเหตุผล
บ้างเป็นข้ออ้าง
เราต่างพูดเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดทั้งนั้น


 
 

ผมรู้ตัวเองทำผิด...แต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ

เมื่อถูกกีดกันด้วยความไม่เข้าใจ ความโกรธของอีกคนผลักผมออกมาจากตรงนั้น แค่เพียงบานประตูกั้นแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลจนทำอะไรไม่ถูก อยากเข้าไปขอโทษ แต่ก็กลัวธงทัพจะโกรธจนไม่อยากคุยด้วย ไม่รู้ว่าควรรอให้ใจเย็นกว่านี้ก่อนดีไหม คล้ายชีวิตเต็มไปด้วยความเขลาขลาด ไม่มีปัญญาที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเองเลย

ได้แต่ยืนมองประตูบานนั้นด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า

อีกครั้ง...

เป็นอีกครั้งที่ผมทำได้แค่ยืนมองประตูที่ปิดสนิท ไม่มีสิทธิ์ที่จะเปิดหรือเดินเข้าไป ไม่รู้ว่าคนที่อยู่หลังประตูนั้น กำลังทำอะไร และไม่รู้ว่าหากประตูบานนั้นเปิดออกอีกครั้ง ธงทัพจะยังต้องการผมอยู่ไหม ผมไม่ต้องการให้เรื่องจบไปอย่างนั้นโดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรเลย จึงเลือกที่จะเคาะประตูนั่น แต่แล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่โต้ตอบผมกลับมา

"ธงทัพ"

"..."

"หายโกรธแล้วมาคุยกันนะ"

ผมไม่รู้เสียงของผมจะดังพอให้คนข้างในได้ยินไหม แต่สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในใจ ขออย่าให้ธงทัพโกรธผมนานเลย...ขอโทษจริงๆ   

"ภูผา"

เสียงจากด้านหลังเรียกผมให้หันไปมองโดยที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นนาวี ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยทักนาวีก็พูดขึ้นมาก่อน

"กูได้ยินมึงกับธงทัพคุยกัน..."

"..."

"กูนึกว่ามันรู้อยู่แล้วว่าวันนั้นมึงไปนอนบ้านกู กูเลยไม่ได้คิดอะไร กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ..."

"ไม่เป็นไรนาวี"

"กูขอโทษจริงๆ"

"ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดมึง กูต่างหากที่โกหกธงทัพ"

"แต่ถ้ากูไม่..."

"ไม่เป็นไร"

ผมพูดแทรกก่อนที่นาวีจะพูดจบ นาวียังคงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับคำขอโทษอีกครั้ง

"ขอโทษ"

"ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง โมโหแล้วนะ"

นาวีเงยหน้ามองผมที่แสร้งทำเป็นโกรธ ขยับหัวคิ้วชนกันให้ใบหน้าดูบูดบึ้งเพื่อแสดงออกว่ากำลังไม่พอใจ แต่นาวีก็รู้จักผมดีในระดับหนึ่ง จึงรู้ว่าความโกรธแบบจงใจนั้นเป็นเพียงบทบาทสมมติของคนที่ห่วยเรื่องการแสดงออกอย่างผม นาวีจึงยิ้มออกมาแทน

"หน้าตาของคนโกรธเป็นแบบนี้เหรอ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนที่นาวีจะย้ำคำขอโทษออกมาอีกที

"กูขอโทษจริงๆ นะ"

"ไม่เป็นไร บอกแล้วไงมึงไม่ผิด"

"..."

"มึงไม่ต้องคิดมากนะ เข้าใจเปล่า"

นาวีไม่แม้แต่จะพยักหน้ารับ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ผมกังวลใจ กลัวว่าเขาจะเอาแต่โทษตัวเอง ผมยังคงไม่อาจคาดเดาความรู้สึกที่ซับซ้อนของใจคน โดยเฉพาะใจของนาวี จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ เขากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านใบหน้าเรียบเฉยที่ดูเลื่อนลอย ผมสะกิดเรียก...

"นาวี"

"ฮะ?"

"มึงกำลังจะกลับบ้านหรือเปล่า"

"อือ"

"ไปเถอะ รีบกลับไปนอนไป"

"อือ เจอกัน..."

นาวีพูดไม่จบประโยค ก่อนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"อย่าเจอกันบ่อยเลยเนอะ...เราสองคน"

"ทำไม"

"ไม่อยากให้มึงทะเลาะกับเขา"

นาวีทิ้งคำพูดเอาไว้แค่นั้น ฝืนยิ้มจางๆ แล้วเดินออกไปจากตรงนี้ แม้ไม่อยากให้นาวีต้องคิดมากแต่สิ่งที่เขาพูดมันก็ถูกแล้ว หากว่าเป็นไปได้...เราก็ไม่ควรเจอกันอีก

 

ผมหันมองประตูห้องทำงานของธงทัพอีกครั้ง หลังจากที่คิดว่า ผมคงต้องให้เวลาธงทัพโกรธให้พอกับความผิดที่ตัวเองทำลงไป จึงก้าวเท้าเดินออกมาจากตรงนั้น ผมออกมาที่หน้าตึก ระหว่างนั้นก็เห็นปอเดินข้ามถนนกลับมาพอดี ผมไม่ได้หลบเลี่ยงแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไรนัก จึงเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้ทักทาย

ผมนั่งลงที่เก้าอี้หน้าตึก ความคิดกลับสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ผมกำลังคิดอะไรไม่ออกเลยทำได้แค่นั่งอยู่เฉยๆ รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปนาน ก็ตอนที่หยิบนาฬิกาจากมือถือขึ้นมาดูแล้วเห็นว่าตอนนี้ตีสามแล้ว กำลังจะลุกออกจากตรงนี้ แต่เสียงคุยที่ดังขึ้นก่อนจากด้านหลัง ความเงียบทำให้ได้ยินบทสนทนานั้นชัดเจนดีจากน้ำเสียงที่คุ้นหู ผมจึงนั่งลงที่เดิม ในมุมที่คนตรงนั้นไม่ทันสังเกตเห็น

"จะกลับยังไงวะเนี่ย"

"ผมถึงได้บอกให้พี่นอนที่นี่ไง นอนพักก่อนเดี๋ยวเช้าค่อยกลับก็ได้ หน้าพี่โคตรง่วงเลยพี่รู้ตัวไหม"

"ไม่เอา กูจะกลับห้อง"

"ผมไม่รู้ว่าพี่โตมาเป็นคนที่ดื้อด้านขนาดนี้ได้ยังไง ตอนเด็กๆ พ่อแม่พี่คงตามใจน่าดูเลยสินะ"

"กูง่วง ไม่มีแรงจะเถียง ติดไว้ก่อน ไว้กูมาด่ามึงกลับ"

"แล้วนี่พี่จะกลับยังไง จะเดินไปเหรอ"

"อือ ห้องกูอยู่แค่นี้"

"ผมไม่ไปส่งนะ เดินไม่ไหวหรอก"

"เออ! กูไปเอง มึงขึ้นไปนอนได้แล้วไป"

"กลับดีๆ นะพี่ทัพ"

"อือ"

ผมเห็นปอกลับเข้าไปในตึก ส่วนธงทัพข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อเดินกลับห้อง ผมเองก็เดินตามไปด้วยแต่คนถูกเดินตามไม่ทันรู้ตัว อาจเพราะกำลังง่วงหรือเหนื่อยมากๆ จึงเดินช้ากว่าปกติ เดินมาสักระยะหนึ่ง คนข้างหน้าก็หยุดนั่งที่ป้ายรถเมล์ ของกินที่ผมซื้อให้ถูกหิ้วกลับมาด้วยและเอาวางไว้ข้างๆ ใบหน้าที่ดูเพลียๆ หลับตาลงช้าๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นแล้วลุกเดินต่อ

เท้าที่กำลังก้าวตามกลับหยุดชะงักเมื่อหันไปมองเห็นถุงที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ ผมจำได้ว่าตัวเองซื้ออะไรมาให้บ้าง และของพวกนั้นไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย ขณะกำลังคิดว่าธงทัพตั้งใจทิ้งเอาไว้ตรงนี้หรือแค่ลืม คนที่เดินออกไปก็ทำให้หายสงสัยด้วยการย้อนกลับมาหยิบมันพลางบ่นเดียวเบาๆ

"เกือบลืมเลยแม่ง"

ผมขยับตัวออกมาจากการหลบหลังป้ายรถเมล์ หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่ง ก่อนเดินตามไปอย่างช้าๆ ทิ้งระยะห่างอยู่ไกลๆ แล้วเดินตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่พัก

ธงทัพมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ก่อนล้วงกระเป๋าหากุญแจแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มี การหายไปของกุญแจห้องทำให้ธงทัพถึงกับหงุดหงิด แสดงออกด้วยการยกมือขึ้นทุบประตูพร้อมเสียงสบถเบาๆ 

ผมปล่อยให้ธงทัพยืนหงุดหงิดอยู่อย่างนั้นไม่ได้ จึงเดินเข้าไปใช้กุญแจห้องที่มีอยู่ไขประตูนั้นให้ แต่ไม่กล้าหันมองใบหน้าที่กำลังจ้องผมอยู่ 

"ไปนอนเถอะ"

จากความเหนื่อยล้าที่ดูเกินจะฝืน ธงทัพทำตามที่ผมบอกโดยไม่ได้พูดอะไร ผมเองเดินตามเข้าไปด้วยจนถึงเตียง อีกคนก็ตัวลงนอนเลยทันที

"กูกลับก่อนนะ"

ผมกำลังจะก้าวเท้าออกมา แต่ถูกมือหนึ่งคว้าแขนเอาไว้ ในจังหวะนั้นผมถูกดึงให้ลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน

"เช้าค่อยไป"

ผมตอบรับ ก่อนขยับตัวเข้าไปนอนข้างๆ มีเรื่องอยากพูดตั้งเยอะ แต่ธงทัพน่าจะเหนื่อยมากแล้วผมจึงพูดออกไปได้แค่สองสามคำในตอนที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนหลับไปแล้วหรือยัง

"ธงทัพ"

"..."

"กูขอโทษ"

ผมได้คำตอบว่าธงทัพยังไม่หลับ ในตอนที่มันยกแขนข้างหนึ่งที่ขึ้นกอดผม แม้ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา แต่ผมเข้าใจว่า ครั้งนี้ผมได้รับการให้อภัยแล้ว...

...

           

            ผมกำลังจะย้ายไปอยู่กับธงทัพ กับที่อยู่ใหม่ที่ตัวเองเป็นคนเลือก ที่พักใกล้กับที่ทำงานของธงทัพมากกว่า แต่ว่าสะดวกต่อการเดินทางไปยังที่ทำงานผม เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า งานของผมเลิกเป็นเวลา แต่งานของธงทัพไม่เหมือนกัน อาจมีบางวันที่เลิกดึกหรือไม่ก็เช้า ผมจึงอยากให้มันสะดวกต่อธงทัพมากกว่า

            ผมมีข้าวของที่ห้องไม่มาก ใช้เวลาแค่คืนเดียวก็เก็บของเสร็จ วันนี้เลยมาอยู่ที่ห้องธงทัพเพื่อช่วยมันเก็บของ สิ่งของจำเป็นอย่างพวกเสื้อผ้านั้นใช้เวลาไม่นาน จัดการด้วยการยัดทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางก็เสร็จสิ้น แต่ที่กำลังช้าและดูไม่มีความคืบหน้าเลย ก็เพราะข้าวของที่เป็นสมบัติส่วนตัวอย่างหนังสือ โมเดลการ์ตูนและของเล่นเป็นร้อยชิ้นนั่น การย้ายห้องของธงทัพจึงกลายเป็นการนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปรำลึกถึงเรื่องราวต่างๆ ผ่านสิ่งของที่หยิบจับขึ้นมาแต่ละชิ้น

"ภูผา จำอันนี้ได้ป่ะ"

ผมพยักหน้ารับตอนที่หันไปมองโมเดลจากการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่แถมมากับชุดแมคโดนัลด์ เพราะมีถึงสิบสองแบบให้สะสม ผมจำได้ว่าตอนนั้นต้องกินแมคโดนัลด์ชุดเดิมอยู่เป็นเดือนเพื่อช่วยให้ธงทัพได้ตัวละครบทั้งสิบสองชุด ได้มาโชว์อยู่พักเดียวก็เก็บใส่กล่องเพราะต้องเคลียร์พื้นที่ให้โมเดลชุดอื่น 

"อันนี้พังยังวะ" ละความสนใจไปที่ชิ้นใหม่ ผมหันมองตุ๊กตาใส่ถ่านรูปเต่าที่กดแล้วเต้นได้ เมื่อกดแล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง คนเป็นเจ้าของก็เดินหาถ่านมาเปลี่ยนให้ใหม่ กระทั่งตุ๊กตาตัวนั้นกลับมาเต้นได้ ธงทัพยืนหัวเราะกับมันอยู่พักหนึ่งจึงกลับมาเก็บของต่อ แต่ไม่ถึงสิบนาทีก็ลงไปนั่งกับพื้น ใช้เวลากับจิ๊กซอว์ที่ยังต่อค้างอยู่

"ทัพ ขยับตู้ให้หน่อยดิ มีหนังสือหล่นอยู่ข้างหลัง"     

ธงทัพลุกมาขยับตู้ให้ตามคำสั่ง ก่อนผมก้มเก็บหนังสือที่ตกอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้  ผมสะบัดฝุ่นออกแล้วยื่นให้

"กูว่าแล้วหายไปไหน ยังอ่านไม่จบเลยนะเนี่ย" ความสนใจทั้งหมดถูกเทไปที่หนังสือเล่มนั้นแทนจิ๊กซอว์ และเมื่อธงทัพอยู่กับหนังสือคงไม่มีคำว่าแป๊บเดียว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากแอบเขกหัวมันเบาๆ ตอนที่เดินผ่าน โทษฐานไม่ช่วยแล้วยังทำตัวไร้ประโยชน์   

ผมค่อยๆ จัดพวกโมเดลและของเล่นลงกล่องอย่างระมัดระวัง เกิดไปทำของมันพังหรือแตกหักมีหวังโดนโกรธไปเป็นเดือนแน่ๆ เสร็จจากตรงนั้นแล้วก็มาจัดเรียงหนังสือลงอีกกล่อง แต่จำนวนหนังสือมีเยอะจนกล่องพลาสติกที่ซื้อมาไม่พอ ผมจึงแยกกองหนังสือเอาไว้ก่อน เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ จึงเดินไปนั่งข้างๆ ธงทัพที่ไม่ได้สนใจกันสักนิด เพิ่งรู้ตัวก็ตอนที่ผมเอ่ยเรียก

"ธงทัพ กล่องเต็มอะ หนังสือที่เหลือเอาไว้ก่อนนะ"

"อือ" ตอบรับเบาๆ ขณะเลื่อนสายตากลับไปที่หนังสือเล่มนั่น ขนาดผมนั่งจ้องอยู่อย่างนี้อย่างไม่ละสายตาก็ยังไม่คิดจะสนใจ ปกติเวลาอยู่กับหนังสือผมก็ไม่ได้ยุ่งหรอก แต่เห็นว่าตอนนี้มันเลยเวลาอาหารเย็นแล้วผมก็หิวมากแล้วด้วยเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการยื่นหน้าตัวเองเข้าไปแทนหน้าหนังสือ   

"หิวข้าว"

"มีนมช็อกโกแลตในตู้เย็น"

"มันไม่ใช่ข้าวไหมวะ"

"ขออีกบทหนึ่งละกัน"

ผมรู้ตัวว่ามีหน้าตาบูดบึ้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแม้จะอยู่เฉยๆ และยิ่งเวลาที่ไม่พอใจใบหน้ายิ่งดูดื้อรั้นกว่าปกติไปมาก ตอนนี้หน้าผมคงยับย่นดูไม่ได้ เพราะผมอยากจะงอแงจริงๆ

"พี่ทัพ"

"..."

"หนังสือนั่นมันสำคัญกว่าภูเหรอ"

หยิบไม้ตายแรกออกไปใช้ แต่ดูเหมือนว่าธงทัพจะมีภูมิต้านทานต่อคำพูดแสนหวานของผมไปแล้ว จึงไม่สะเทือน ซ้ำยังหันมายักคิ้วให้อย่างกวนตีน

เมื่อคำพูดเฉยๆ ใช้ไม่ได้ก็ต้องเอาร่างกายเข้าช่วยด้วยไม้ตายที่สอง ผมทิ้งตัวเองนอนลงบนตักธงทัพ เจ้าของตักชะงักไปนิดหนึ่งก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ

"ระหว่างหนังสือกับภู จะเลือกอะไร"

"หนังสือดิ"

"หนังสือเหรอ"

"อือ หนังสือมันไม่เคยดื้อใส่"

"แล้วหนังสือมีปากให้จูบไหม"

"อะไรนะ..."

ผมยกมือขึ้นโน้มคอธงทัพให้เข้ามาใกล้ ก่อนใช้ริมฝีปากแตะเข้าไปเบาๆ ที่ปากของอีกฝ่าย ไม้ตายสุดท้ายทำให้ธงทัพยอมทิ้งหนังสือในมือแล้วตอบสนองจูบนั่นให้ลึกซึ้งกว่าเดิม กระทั่งเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปก่อน

"เรียกร้องความสนใจว่ะ"

"หิวข้าว"

ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม ก้มจูบปากผมอีกทีแล้วพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"มีนมช็อกโกแลตในตู้เย็น"

"..."

"ไปกินประทังชีวิตก่อนไป"

สัด...


ผมด่าแบบไม่มีเสียง ก่อนลุกออกจากตักในจังหวะที่มือถือของมันดังขึ้นพอดี ผมเลื่อนสายตาไปเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือลุงวุธ จึงลุกออกมาจากตรงนั้นแล้วเดินไปที่ตู้เย็น

"ว่าไงพ่อ อยู่กับภูผา เก็บของอยู่ จะย้ายไปอยู่ด้วยกัน..."

ผมรู้เรื่องระหว่างเรายังมีเรื่องยากที่ผ่านไปไม่ได้ ยังไม่รู้เลยว่าจะมีวันที่ลุงวุธยอมรับเราไหม อนาคตยังคงเป็นเหมือนหมอกหนาที่ปกคลุมยามค่ำคืน มันมืดมิด มองไม่เห็นทางไปต่อ ที่ผมทำได้ตอนนี้คือแกล้งทำเป็นหูหนวก ตาบอด มองข้ามความถูกต้อง ไม่สนความจริงแท้ ผมยังคงดันทุรังที่จะรักคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รัก เมื่อความรักมักควบคู่ไปกับคำว่าแตกสลาย สุดท้ายถ้าผมยอม ทุกอย่างก็จะจบลงที่น้ำตา

 

แต่เพราะธงทัพสำคัญเท่าชีวิต...

 

ผมจึงไม่อาจยอมให้เรื่องจบลงไปแบบนั้นแม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

 

...

 

ผมกับธงทัพยังไม่ได้ย้ายที่อยู่เนื่องจากปัญหาเรื่องเวลางานของธงทัพ สองอาทิตย์แล้วที่เสาร์อาทิตย์หมดความหมายเพราะไม่ได้หยุด อาทิตย์นี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ว่างเช่นกัน ส่วนผมย้ายออกจากที่เดิมเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้เลยต้องมานอนที่ห้องธงทัพก่อน เพราะไม่อยากไปอยู่ที่นั่นคนเดียว ในทุกๆ เช้า ผมจึงเป็นฝ่ายต้องตื่นก่อน แต่เช้านี้คนที่ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ยืนรออยู่ที่ประตูเพื่อออกไปตรวจไซด์งานทางเดียวกับผมพอดี ธงทัพบอกจะขับรถไปเลยถือโอกาสติดรถไปด้วยเลย   

"มึงไหวไหมเนี่ย ต้องออกไปตรวจงานวันนี้ด้วยเหรอ"

"นัดเขาไว้แล้ว ไม่ไปได้ไง"

"เสร็จแล้วก็ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศต่อใช่ไหม"

"อือ"

"มึงทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าวะ ทั้งบริษัทมีมึงคนเดียวหรือไง"

"ไม่มีใครเก่งเท่ากูแล้ว" ธงทัพพูดขำๆ แต่ผมกลับขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ จนอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นมาจิ้มระหว่างคิ้วให้มันคลายออก

"รู้ว่าเก่ง แต่จะตายก่อนหรือเปล่าวะ ที่มึงเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ เพราะร่างกายมึงส่งสัญญาณมาเตือนไง ความตายเรียกหามึงอยู่รู้ตัวหรือเปล่า มึงต้องดูแลตัวเองนะทัพ ถ้ามึงไม่ดูแลตัวเอง แล้วมึงจะ..."

"เออ! จะบ่นอะไรนักหนาเล่า! เดี๋ยวตรวจงานเสร็จ กูกลับมานอน โอเคไหม?"

"ก่อนนอนวีดีโอคอลมาด้วย กูจะได้มั่นใจว่ามึงนอนจริงๆ"

"เออ เดี๋ยวกูรายงานสดจากที่นอนเลย"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่อีกคนเปลี่ยนเรื่องตอนที่เดินมาถึงลานจอดรถพอดี 

"เออ ไหนมึงบอกว่าเย็นนี้จะชวนกูไปดูหนังไง"

"ดูสภาพมึงดิ กลับไปนอนเหอะ"

"ไปดิ กูอยากไป มึงบอกเองว่าภาคนี้พลาดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ"

"อยากไปเหรอ"

"อือ"

"ก็ได้"

"งั้นเลิกงานแล้วไปหากูที่ออฟฟิศนะ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนธงทัพขับรถไปส่งผมที่ทำงาน ก่อนจะลงจากรถไม่ลืมที่จะกำชับให้โทรหาตอนที่จะกลับไปนอน ไม่ได้อยากขี้บ่น แต่ทั้งหมดก็เพราะความเป็นห่วงทั้งนั้น

 

...

 

ผมรอโทรศัพท์จนถึงบ่ายสอง กระทั่งธงทัพโทรเข้ามาผ่านวีดีโอคอล จึงลุกจากโต๊ะทำงานมาหลบมุมคุยในที่เงียบๆ

"เพิ่งกลับเหรอ"

(อือ จะนอนแล้ว นอนกับน้องด้วย) ว่าแล้วก็ชูหมอนรูปเป็ดสีเหลืองขึ้นมาอวด ก่อนธงทัพทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวเล็ก ที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงาน

"ถ้าบริษัทมึงจะใช้งานหนักข้ามวันข้ามคืนแบบนี้ ก็ควรจะมีที่นอนที่ดีกว่านี้ให้นะ ทำงานหนักเป็นวัวเป็นควาย เพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตติดลบแบบนี้เหรอ"

(เออ ด่ามันเลย หัวหน้ากูยืนอยู่ตรงนี้พอดี)

"อ้าว..."

ธงทัพหัวเราะลั่นตอนที่หัวหน้ามันโผล่เข้ามาในหน้าจอพอดี ผมได้แต่ยกมือข้างที่เหลือขึ้นไหว้ แล้วฉีกยิ้มฝืนๆ ส่งไปให้แทนคำขอโทษ

(เออ ภูผา คืนนี้กูไปดูหนังกับมึงไม่ได้แล้วว่ะ)

"ทำไม"

(ต้องอยู่แก้งาน คงเสร็จไม่ทัน)

"นึกว่าจะได้ดูหนังวันนี้" 

(ขอโทษ เอาไว้วันหลังค่อยไปได้ไหม)

"กูขอไปก่อนละกัน กูอยากดูแล้ว"

(จะไปคนเดียวเหรอ)

"ไปคนเดียวสิ จะให้ไปกับใคร"

(โอเค ก็ได้ งั้นเจอกันที่ห้องนะ)

"อือ แล้วมึงจะได้นอนไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่าวางสายจากกูแล้วก็ลุกไปทำงานต่อล่ะ อย่าให้กูรู้นะธงทัพ"

(มึงไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี)

"กูเป็นห่วงมึงนะ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง"

ผมไม่เก่งเรื่องการแสดงออก เพราะฉะนั้นการพูดตรงๆ จึงเป็นทางเดียวที่ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกของผม แม้ก่อนหน้านี้มันจะเป็นคำพูดที่คิดว่าจะออกมาจากปากได้ยากเย็น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ควรพูด ผมก็จะไม่ลังเลที่จะเอ่ยออกไป


"กูรักมึงมากนะธงทัพ"

...

 

ในตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมตรงไปที่โรงหนังหลังจากจองตั๋วเอาไว้แล้วตั้งแต่กลางวัน แน่นอนว่าที่นั่งข้างๆ ต้องว่างเพราะธงทัพไม่มา แม้ว่าการดูหนังคนเดียวจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี หากว่ามีธงทัพมาด้วยน่าจะดีกว่า ระหว่างที่นั่งรอเวลา ผมเลื่อนสายตามองผ่านผู้คนมากมายที่หน้าโรงหนังไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรู้จักดี จังหวะเดียวกันกับที่อีกคนหันมาเห็นผมพอดี

"ภูผา" 

"นาวี"

เราเอ่ยชื่อของกันและกันด้วยความคุ้นชิน นาวียิ้มแล้วเดินเข้ามาหาผม

"มาดูหนังเหรอ"

"อยู่หน้าโรงหนัง คิดว่าจะมาทำอะไร"

ผมลองพูดจากวนประสาทดู ผลที่ได้คือรอยยิ้มของนาวี ก่อนตามมาด้วยคำด่าเบาๆ ขณะที่ยังคงยิ้มอยู่

"กวนตีน"

"มาดูเรื่องอะไร"

นาวีหันมองโปสเตอร์หนังที่อยู่ด้านหลังผม เรื่องเดียวกันที่ผมตั้งใจมาดู เมื่อมองหน้านาวี ผมพลันคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

 

"โทษทีนะภูผา พรุ่งนี้อดไปดูหนังด้วยเลยอะ"

 

หนังเรื่องนี้ที่นาวีติดค้างผมเอาไว้ ก่อนเราจะไม่ได้ดูหนังด้วยกันอีกเลย จากภาคแรกในตอนนั้นถึงภาคสามในวันนี้ใช้เวลานานถึงแปดปี ผมคิดว่ามันนานมากพอที่จะทำให้เราต่างคนต่างลืม แต่ไม่ใช่...

"มึงได้ดูภาคแรกไหม"

...นาวีก็ยังไม่ลืม

"ดูแล้ว ถึงได้ต้องมาดูภาคต่อนี่ไง"

"แล้วนี่มาคนเดียวเหรอ"

"อือ แล้วมึงมากับใคร"

"มาคนเดียวเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวไปซื้อตั๋วก่อน"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนเปลี่ยนใจเรียกอีกคนเอาไว้

"นาวี"

"..."

"กูมีตั๋วสองใบ..."

"..."

"ดูด้วยกันไหม"

นาวีเลื่อนสายตามองตั๋วสองใบในมือผม ผ่านใบหน้าที่ดูสงสัย ผมคิดว่านาวีอาจจะกำลังตั้งคำถาม จึงบอกออกไปตรงๆ

"กูซื้อเผื่อธงทัพ แต่มันมาไม่ได้"

นาวีตอบตกลง ในตอนที่ได้ยินประกาศให้เข้าโรงหนังได้พอดี ก่อนเข้าโรงหนัง นาวีซื้อป็อบคอร์นกับน้ำให้ผมเพื่อแลกกับตั๋วหนัง ก่อนที่หนังจะฉาย ผมมีเวลามากพอที่จะคิดอะไรอยู่ในหัวหลายอย่าง  แม้รู้ดีว่าเราไม่ควรพบกันอีก แต่ความบังเอิญยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งและผมไม่อาจเพิกเฉยต่อนาวี ผมก็แค่รู้สึกเห็นอกเห็นใจและไม่อยากให้เราต้องเกลียดกัน

ตอนที่หยิบมือถือขึ้นมาดูให้แน่ใจว่าปิดเสียงแล้ว ผมใช้โอกาสนั้นส่งข้อความบอกให้ธงทัพรู้ แม้ดูไม่ใช่เรื่องจำเป็นแต่ผมแค่ไม่อยากมีอะไรปิดบัง ผมต้องบอกให้ธงทัพเข้าใจว่าผมไม่ได้ล้ำเส้นในความสัมพันธ์อื่นใด...

     

"บังเอิญเจอนาวีที่โรงหนัง เลยนั่งดูด้วยกันนะ"

 

 

และหวังว่าครั้งนี้...ผมคงไม่ได้ทำอะไรผิดไป

 

To be continued.

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-10-2018 18:00:26
ตอนคบกับนาวีเวลาสองคนก็คลาดเคลื่อนกันจนเกิดปัญหา จบลงที่เลิกรากันไป
มาตอนนี้ก็เกิดปัญหาเดียวกันอีก ภูผาไม่ใช่เด็กงี่เง่างอแงแล้ว แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
ธงทัพจะแก้ปัญหานี้ยังไง นาวีกำลังกลับเข้ามาในวงโคจรอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-10-2018 18:09:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-10-2018 20:00:56
ตอนคบกับนาวีเวลาสองคนก็คลาดเคลื่อนกันจนเกิดปัญหา จบลงที่เลิกรากันไป
มาตอนนี้ก็เกิดปัญหาเดียวกันอีก ภูผาไม่ใช่เด็กงี่เง่างอแงแล้ว แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
ธงทัพจะแก้ปัญหานี้ยังไง นาวีกำลังกลับเข้ามาในวงโคจรอีกครั้ง

 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 17-10-2018 20:35:55
หวังว่าพี่ทัพจะเข้าใจ..
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-10-2018 20:41:39
ทำไมบังเอิญบ่อยจัง เห้ออออ

แต่ถ้าธงทัพโกรธเราจะตีธงทัพ นี่น้องบอกแล้วนะ

ส่วนปอ บทช่างน้อยนิดแต่ไม่ชอบเลย มันแบบแปลกๆ ต้องมีอะไรซักอย่าง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 17-10-2018 21:45:14
“เรื่องบังเอิญไม่มีจริง” เครดิตอาจารย์ชิฟู กังฟูแพนด้า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-10-2018 22:49:14
ขออะไรก็ได้ที่น้องไม่ต้องแตกสลายไปอีกรอบค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 18-10-2018 06:26:33
มีลางสังหรณ์ ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับธงทัพ อาจจะป่วยหรืออุบัติเหต ยังมีเรื่องพ่อของธงทัพที่สักวันมันคงถึงจุดแตกหัก ยังมีปออีก ต้องมีบทมากกว่านี้แน่ กินมาม่าต่อไปยาวๆ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 21-10-2018 19:36:42
Episode 24

คุณยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเรา
แต่คุณหันหน้าให้เขา
แล้วหันหลังให้ผม


 

เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ธงทัพได้หยุดงานอย่างคนปกติ ผมรู้วันหยุดมีค่าสำหรับมันมาก แต่ก็จำเป็นต้อง เบียดเบียนวันหยุดด้วยการลากมาช่วยย้ายของเข้าที่พักใหม่ตั้งแต่เช้า ผมขนของบางส่วนและเข้ามาจัดห้องหลายครั้งแล้ว แต่ธงทัพเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง สายตาที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของห้อง พาให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่มองไปรอบๆ 

"คราวที่แล้วมันมีอันนี้ด้วยเหรอวะ" ว่าแล้วก็เดินไปที่ชั้นวางของขนาดใหญ่ที่ตั้งชิดกับผนังห้องเอาไว้

"กูซื้อมาเอง ประกอบเองด้วย"

ผมพูดอย่างภาคภูมิใจ เพราะใช้เวลาประกอบชั้นวางนั่นด้วยตัวเองถึงสองวัน ตั้งใจใช้มันเป็นชั้นวางหนังสือและของสะสมของธงทัพ คนข้างๆ เลื่อนสายตากลับไปมองชั้นนั้นแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม   

"ที่จริงรอให้กูมาช่วยก็ได้นี่"

"แล้วชอบป่ะ"

"ชอบ ขอบคุณนะ"

จบคำขอบคุณก็ยื่นริมฝีปากมาแตะกับปากผมเบาๆ หนึ่งที แล้วหันไปจัดของต่อ ธงทัพเริ่มจากโมเดลบ้านที่ประคับประคองออกมาจากกล่องอย่างดี แล้วหันไปทางนั้นที ทางนี้ที เพื่อหาพื้นที่สำหรับวางมันก่อนจบลงบนโต๊ะข้างเตียงนอน ได้ที่พอใจก็หันไปหยิบของชิ้นอื่นออกจากกล่อง เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือและหนึ่งในนั้นเป็นเล่มที่ผมซื้อให้ ซึ่งยังไม่ได้อ่าน จริงๆ มันยังไม่ได้แกะพลาสติกห่อออกเลยด้วยซ้ำ จึงอดท้วงไม่ได้   

"ที่กูซื้อให้ ไม่ชอบเหรอ"

"ยังไม่ได้อ่านจะรู้ได้ไง"

"แล้วทำไมไม่อ่านอะ"

"ไม่มีเวลา"

"โกรธแล้ว"

"โกรธอะไรเล่า! ทีกูซื้อให้มึงเป็นสิบเล่ม เคยอ่านบ้างป่ะ"

"แต่กูเก็บไว้อย่างดีเลยนะ"

"กูก็เก็บอย่างดี เดี๋ยวคืนนี้นอนกอดเลย" ธงทัพจับหนังสือเล่มนั้นแยกเอาไว้บนเตียง ก่อนหยิบของอีกชิ้นออกมาจากกล่อง เห็นว่าเป็นปืนผมจึงนิ่งไปนิดหนึ่ง ปืนกระบอกนั้นถูกวางทับลงบนหนังสือขณะที่สายตาของผมยังมองมันอยู่ กระทั่งธงทัพหันมาเห็น   

"มองอะไร"

"ปืนมีกระสุนหรือเปล่า"

"มีดิ"

"แล้วทำไมต้องมีปืนด้วย"

"พ่อให้ไว้ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน กูก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องใช้หรอกนะ"

"เก็บเถอะ กูกลัว"

"กลัว?"

ผมพยักหน้ารับ ธงทัพจึงหยิบทั้งปืนทั้งหนังสือยัดใส่ลิ้นชักข้างเตียงให้พ้นจากสายตาผม ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงคิดว่ามันไม่ควรอยู่ตรงนี้อยู่ดี


ผ่านไปครึ่งวัน ข้าวของในห้องก็เริ่มอยู่เป็นที่เป็นทาง คืนนี้เราคงนอนที่นี่ได้ ขณะที่ธงทัพยังวุ่นกับการจัดของอยู่ ผมจึงเสนอตัวลงไปขนของที่เหลือในรถเอง แต่กลับขึ้นห้องไม่ได้เพราะลืมเอาคีย์การ์ดลงมาด้วย ผมนั่งรออยู่ที่หน้าประตูเผื่อมีใครเปิดออกมา แต่เป็นสิบนาทีที่เงียบงันกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดาว่าเป็นธงทัพโทรมาตาม   

(ทำไมลงไปนานจังอะ มีอะไรเปล่า)

"ลืมคีย์การ์ด เข้าไม่ได้"

(เอ้า! แล้วไม่โทรมาวะ)

"ก็คิดว่าจะรอ..." สายถูกกดวางไปก่อนที่ผมจะพูดจบ ธงทัพน่าจะกำลังลงมาเปิดประตูให้ ผมจึงขยับไปยืนรอที่หน้าประตู แต่ระหว่างนั้นลูกหมาที่กำลังเดินมาทางนี้ก็ดึงความสนใจของผมไป ผมมองหมาตัวนั้นที่หน้าตาคล้ายๆ น้ำตาล หมาของธงทัพที่ชลบุรี แต่เจ้านี่ตัวเล็กกว่าหน่อย เมื่อผมนั่งลงและยื่นมือไปหา มันก็ยื่นจมูกมาดมก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ท่าทางเชื่องๆ นั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ถ้าธงทัพเห็นน่าจะชอบมัน

ครู่เดียวที่ผมนั่งรอธงทัพ ประตูก็ถูกเปิดออก ผมจึงรีบยืนขึ้น แต่คนที่เปิดประตูออกมากลับไม่ใช่ธงทัพ แต่เป็นคนที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่นตอนเห็นหน้า

นาวี...

ผมไม่ทันได้เอ่ยชื่อคนตรงหน้า ธงทัพก็เปิดประตูออกมาอีกคน เกิดเป็นความสับสนและงุนงงในตอนที่เราสามคนมองหน้ากันไปมา ผมเลื่อนสายตามองนาวีที่เดินออกมาจากตึกนี้ ผมเดาเอาว่าเขาคงอยู่ที่นี่ และเพื่อให้คลายความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ

"มึงอยู่ที่นี่เหรอ"

"อือ แล้วมึง..."

"พวกกูเพิ่งย้ายมา" ธงทัพตอบแทน ในตอนที่ผมกำลังพูดอะไรไม่ออก เป็นความอึดอัดที่พุ่งเข้าใส่จนเราต่างคนต่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ นาวีจึงขอตัวออกไปก่อน ผมเดินตามธงทัพขึ้นห้องท่ามกลางความเงียบ

"ธงทัพ"

"ฮึ?"

"กูก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่านาวีมันอยู่ที่นี่"

"อืม"

"มีอะไรกูก็บอกมึงทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้กูไม่รู้จริงๆ นะธงทัพ"

"กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไร"

ธงทัพหันมาบอก แต่ผมก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี ครั้งนี้ความบังเอิญทำเกินไปจนผมอยากจะร้องไห้ อาจเป็นผมเองที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ภายใต้อารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองผมก็ไม่รู้จะจัดการมันยังไง แต่ผมอยากให้ธงทัพเข้าใจ...

 

"แค่อยากให้มึงเข้าใจ"

 

...

 

"น้องภู กลับบ้านกัน"

"ครับ" ผมตอบรับพี่ที่เข้ามาเรียก ก่อนปิดคอมพ์แล้วหยิบกระเป๋าเดินตามพวกเขาออกไป บทสนทนาหลังเลิกงานของพนักงานออฟฟิศคือการแลกเปลี่ยนความคิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี แม้ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดมากนักในบทสนทนา แต่ก็คอยฟังความคิดเห็นที่นำเสนอเมนูใหม่ๆ อยู่ตลอด เพื่อเป็นแนวทางสำหรับมื้อเย็นของตัวเองเช่นกัน

"พี่ๆ นั่นไง อินทีเรียที่มารีโนเวทออฟฟิศเรา"

"ไหนๆ พี่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ สักที"

"นั่นไง เสื้อดำ ค่อยๆ มอง เดี๋ยวเขารู้ตัว"

หัวข้อของบทสนทนาเปลี่ยนไปกะทันหัน ในตอนที่ทุกคนพร้อมใจกันหันมองคนที่กำลังยืนก้มหน้าก้มตาดูกระดาษอะไรสักอย่างอยู่ในมือ จนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของคนตรงนั้น แต่ผมต้องเลี่ยงสายตาไปทางอื่นแทนเพราะคนที่กำลังถูกมองนั่นคือนาวี

คนที่ผมรู้จักดีแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้

ผมเคยคิด หลังจากที่เราได้ให้อภัยกันและกัน เราจะทักทาย ยิ้มให้และเรียกชื่อกันโดยไม่ต้องหลบเลี่ยง แต่เรื่องพวกนั้นกลายเป็นฝันที่ผมต้องลืมมันไป ตั้งแต่วันนั้น ผมก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอนาวีอีกเลย หากบังเอิญเดินผ่านมาเจอกัน นาวีก็จะเดินจากไปโดยไร้ซึ่งบทสนทนาหรือว่าทักทาย ทำเหมือนเราไม่รู้จัก คล้ายว่ากำลังเอาชนะความบังเอิญด้วยการตั้งใจหลบหน้ากัน ด้วยการกระทำของนาวี เขากำลังย้ำชัดอย่างที่เคยบอก...ว่าเราสองคนไม่ควรพบกันอีก

"ผมกลับก่อนนะครับ" ผมบอกลาพวกเขาแล้วเดินออกมาก่อน กำลังหยิบมือถือโทรหาธงทัพเพื่อถามถึงอาหารเย็น   

"ภูผา"

ผมหันมองเสียงที่เรียกจากด้านหลัง พร้อมกับกดวางสายโทรศัพท์ที่ธงทัพยังไม่ทันกดรับ เมื่อหันไปเจอเจ้าของเสียง 

"ลุงวุธ..." ผมยกมือไหว้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ทันคิดสงสัยว่าลุงวุธมาหาผมด้วยเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

"ลุงขอคุยด้วยหน่อยสิ เรื่องเรากับธงทัพ"

"ครับ" ผมตอบรับไม่เต็มเสียง ก่อนลุงวุธจะเข้าเรื่องเลยทันที

"ลุงอยากให้เราคิดใหม่นะ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างธงทัพ ลุงว่าเราสองคนเหมาะที่จะเป็นพี่น้องกันมากกว่า เป็นอย่างเดิมก็สบายใจดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าทำให้มันมากเกินไปกว่านี้เลยนะ ลุงไม่เห็นด้วย"

"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"

นั่นคือคำโต้แย้งคำเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้

"ลุงรู้มันไม่ผิด แต่อยากให้คิดดีๆ ภูผาคิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าสมมติมันต้องหยุด ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกกัน วันนั้นภูผาจะไม่เหลือใครเลย รู้ตัวใช่ไหม เป็นพี่น้องกันมันก็ดีอยู่แล้ว อย่าดื้อเลย ลุงกำลังเป็นห่วงนะ"

"ไม่ใช่..."

"..."

"ลุงแค่ไม่ชอบผม"

"ภูผา มันไม่ใช่แบบนั้น"

"ผมได้ยินลุงคุยกับธงทัพหมดแล้ว ผมรู้ ลุงไม่ชอบผม แต่ผมเปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ได้แล้ว ผมรักธงทัพไปแล้วครับ"

"ลุงเตือนแล้วนะภูผา กลับตัวตอนที่ยังไปไม่ได้ไกล มันจะได้ไม่เจ็บปวด"

ลุงวุธพูดแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ผมหยุดเขาเอาไว้ก่อนด้วยการรีบก้าวเท้าไปขวางทาง ปกติผมไม่ค่อยกล้าโต้เถียงอะไร แต่วันนี้ผมยอมง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ รู้เพียงว่าต้องพูดให้ชัดถึงความในใจของตัวเอง 

"ผมรักธงทัพครับ"     

"..."

"ผมก็รักธงทัพอย่างที่ลุงเคยรักแม่ผม ลุงน่าจะเข้าใจ ต่อให้คนอื่นไม่เห็นด้วย ต่อให้ใครสั่งให้เราเลิกกัน ต่อให้มีคนอีกกี่ล้านคน ผมก็ยังจะรักธงทัพอยู่ดี"

"..."

"ผมขอโทษครับ"

ลุงวุธเดินออกไปหลังจากที่ผมพูดจบ แม้ผมจะได้พูดในสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย ผมยอมรับ ความหนักแน่นของผมสั่นคลอนด้วยคำพูดของลุงวุธ และผมไม่อาจละทิ้งข้อเท็จจริงที่ว่า หากธงทัพปล่อยมือผม...ผมก็จะไม่เหลือใครเลย

ทุกอย่างกลายเป็นภาพนิ่งเมื่อความคิดของผมหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน จึงทิ้งตัวเองให้นั่งลงที่ขั้นบันไดหน้าตึก

"ภูผา"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียกนั่นก่อนพบว่าเป็นนาวี

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"..."

"ทำไมมานั่งตรงนี้"

ความว่างเปล่าในหัวถูกแทนที่ด้วยภาพจำจากอดีตที่ปรากฏชัด หลังจากมองหน้านาวี ผมพลันคิดถึงเรื่องราวในคราวนั้น แม่เคยไปหานาวีแล้วพูดแบบนี้เพื่อให้เราเลิกกันใช่ไหมนะ...แล้วนาวีตอบแม่ไปว่ายังไง...

"ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ภูผา"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนนาวีจะนั่งลงข้างๆ เว้นระยะห่างให้พอมีช่องว่าง เราต่างคนต่างเงียบ ความคิดและอดีตเลือนหายไป เหลือแต่ปัจจุบันที่กำลังเผชิญ ผมหมดเรี่ยวแรงที่จะปิดบังความรู้สึก จึงบอกกับนาวี 

"กูเหนื่อย"

"..."

"แค่เหนื่อยน่ะ"

"ไม่เป็นไรนะ"

นาวีโต้ตอบด้วยคำปลอบโยนสั้นๆ และไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะลุกขึ้นยืน

"รอนี่นะ อย่าไปไหน"

ผมไม่ทันได้ถาม นาวีก็เดินออกไปจากตรงนี้แล้วตรงเข้าร้านกาแฟหน้าตึกไป ตอนที่เสียงมือถือผมดังขึ้นพอดี จึงละความสนใจจากนาวีแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อที่หน้าจอ

 

ธงทัพ

 

ผมดึงสติกลับเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนจะกดรับสาย

"ว่าไง"

(มึงนั่นแหละว่าไง โทรมา กูรับไม่ทัน)

"อ๋อ เออใช่ กูโทรไปเอง"

(เป็นอะไรป่ะเนี่ย)

"เปล่า จะถามว่าเย็นนี้กินอะไร ให้ซื้อไปเลยไหม"

(เออ ลืมบอก วันนี้คงกลับดึกหน่อย)

"ทำงานเหรอ"

(วันนี้วันเกิดไอ้ปอ หัวหน้าจะพาไปเลี้ยงข้าวทั้งแผนกเลย กูเลยต้องไปด้วย มึงกินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอนะ)

"อ๋อ โอเค"

(แล้วนี่กลับห้องยัง)

"ยังเลย"

(กลับได้แล้ว)

"ธงทัพ เมื่อกี้กูเจอ..."

ผมลังเลที่จะบอกธงทัพเรื่องลุงวุธ คำพูดจึงหยุดชะงักกะทันหัน กระทั่งธงทัพถามซ้ำกลับมา

(เจออะไร)

"เจอ...นาวี"

(แล้วยังไง)

"แค่อยากบอก"

(เออ กลับห้องได้แล้ว เดี๋ยวเจอกัน)

ผมตัดสินใจไม่บอกธงทัพเรื่องลุงวุธ ขอต่อเวลาในความสำพันธ์ด้วยการแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสักครั้งหนึ่ง ผมจะทนเอาไว้และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ธงทัพจะตัดสินใจยังไง จะยังยืนยันคำเดิมอยู่ไหม อย่างที่เคยบอกเอาไว้...ว่าจะไม่ปล่อยมือกัน 

 

เมื่อผมวางสายจากธงทัพ นาวีก็เดินกลับมาหาพอดี ยื่นเครื่องดื่มที่เข้าไปซื้อในร้านนั่นส่งให้ ผมยอมรับช็อกโกแลตเย็นแก้วนั้นมาดื่ม ก่อนนาวีชวนผมขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้หน้าตึก ดีกว่าเกะกะอยู่ตรงบันได 

"ช็อกโกแลตทำให้อารมณ์ดีขึ้นไหม"

"ไม่ได้กำลังอารมณ์เสียซะหน่อย"

"ไม่รู้ เห็นทำหน้าบูด"

"ปกติ"

"เหมือนเดิมเลยเนอะ"

ผมหันมองนาวี ไม่เข้าใจว่าอะไรที่เขาบอกว่ามันเหมือนเดิม ด้วยใบหน้าที่กำลังสงสัยของผม นาวีคงเดาได้ถึงคำถามเลยขยายความให้เข้าใจ 

"แก้มมึง"

วินาทีที่เราสบตากัน ผมไม่ได้หลบตา ซ้ำยังมองกลับอยู่อย่างนั้น และในวินาทีเดียวกัน นาวียกมือขึ้นแตะแก้มผมด้วยปลายนิ้ว สัมผัสแผ่วเบาจากมือเย็นเฉียบเรียกสติเรากลับมา ผมขยับใบหน้าหนี นาวีรีบดึงมือตัวเองกลับไป  เราต่างคนต่างนิ่ง ก่อนนาวีจะเอ่ยบางคำแทรกผ่านความเงียบ     

"ขอโทษ" 

คำขอโทษบอกให้รู้ว่านั่นคือความพลาดพลั้ง...ไม่ได้ตั้งใจ

"กูว่า กูกลับก่อนดีกว่า" ผมว่าแล้วลุกขึ้น กำลังจะก้าวเท้าออกมาแต่นาวีดึงมือผมเอาไว้ก่อน

"ภูผา"

"..."

"เรื่องที่กำลังเหนื่อยอยู่"

"..."

"อดทนไว้นะ"

ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แกล้งพูดว่าไม่เป็นไร พูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นอะไรเพื่อย้ำให้สมองเชื่อว่าตัวผมจะไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายความเข้มแข็งก็ล้มเหลวเฉียบพลัน ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ จึงปล่อยมันไหลออกมาต่อหน้านาวี   

"ไม่เป็นไรนะ"

ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นาวีต้องเจอ มันจะเจ็บปวดขนาดนี้ ตอนนี้อยากขอบคุณที่นาวีกำลังปลอบโยน...และขอโทษที่เคยไม่เข้าใจ

 

...

 

พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า แต่คืนนี้กลับนอนไม่หลับ เรื่องที่กำลังกวนใจก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าคือธงทัพยังไม่กลับ เข็มนาฬิกาขยับผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผมโทรหาสองครั้งแต่ไม่มีการตอบรับ ผมรู้ว่างานวันเกิดของปอคงไม่จบที่ร้านข้าว อาจจะพากันไปเมาต่อที่ไหนสักแห่ง แม้รู้ดีว่าธงทัพมันไม่กินเหล้า แต่ถ้ามันยังกลับไม่ถึงห้องก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมตัดสินใจโทรหาอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายกดรับ แต่ไม่ใช่เสียงธงทัพ 

(ภูผา นี่พี่แต้มนะครับ)

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อหัวหน้าของธงทัพมารับโทรศัพท์แทน

"ธงทัพล่ะครับ"

(เมาเละเลย)

"ธงทัพเนี่ยนะครับ"

(เออ ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน  เมาไม่ยอมกลับบ้านเลย ภูมารับมันกลับไปทีได้ไหม)

"ครับ ได้ครับ"

หัวหน้าธงทัพบอกสถานที่ที่ผมต้องไป เมื่อคว้ากุญแจรถได้ก็รีบตรงไปที่นั่นเลย ร้านเหล้ายังเปิดให้บริการแม้จะดึกมากแล้ว ผมกวาดสายตามองหา ก่อนเห็นปอที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าร้าน ใกล้ๆ กันคือธงทัพ และคนในออฟฟิศ เพราะเสียงเพลงจากในร้านไม่ได้ดังมาก ผมจึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาตอนที่เดินเข้าไปใกล้ แต่ยังไม่มีใครหันมาเห็น

"กูไปห้องน้ำแป๊บ"

"ผมไปเป็นเพื่อนไหมพี่ทัพ"

"ไม่ต้อง กูเยี่ยวคนเดียวได้" 

"เดินยังไม่ไหวเลย กลัวว่าพี่จะล้มหัวแตกอะดิ"

"กูไหว ไม่ต้องห่วง รอนี่"

ธงทัพเดินไปอีกทางก่อนที่ผมจะเดินถึง ผมควรเดินเข้าไปหา แต่สองขาผมกลับหยุดนิ่งเพราะบทสนทนาต่อจากนั้น   

"เป็นห่วงกันจังเลยนะมึงสองคนเนี่ย"

"ก็ผมไม่เคยเห็นพี่ทัพเมาเลย"

"ตามไปดูมันสิ"

"ไม่เอาอะ เดี๋ยวโดนด่า"

"ฉันไม่เห็นมันจะเคยด่าอะไรแก ทั้งๆ ที่ปากมันหมาขนาดนั้น"

"โดนบ่อยจะตาย พี่ไม่ได้ยินเองต่างหาก"

"แต่นี่พูดตรงๆ นะ ฉันเคยนึกว่าพวกแกสองคนเป็นแฟนกันซะอีก"

"ไม่ใช่นะครับ"

"ก็รู้ว่าไม่ใช่ แต่เคยคิดไง เวลาทำงานก็โต๊ะติดกัน เวลากินข้าวก็ตัวติดกัน เวลาแกโดนพี่แต้มด่าทีไรก็ร้องไห้วิ่งหาไอ้ทัพก่อนเลย ถ้าไม่รู้ว่าไอ้ทัพมันมีภูผาอยู่แล้ว ฉันคงคิดไปไกลกว่านี้"

"พูดมาเลยไอ้เป็ด จริงๆ มึงชอบไอ้ทัพใช่ไหมล่ะ"

"พูดอะไรของพี่"

"ไม่ปฏิเสธซะด้วย"

"พี่แต้มครับ ไม่เล่นแบบนี้สิ"

"มึงพูดไปเหอะ มันไม่ได้ยินหรอก"

"พี่ทัพเขาก็ใจดีกับทุกคนแหละ ไม่ใช่กับผมคนเดียวซะหน่อย"

"มันใจดีกับทุกคน แต่มึงเป็นคนเดียวที่หวั่นไหวใช่ไหมล่ะ"

"พี่แต้มครับ!"

"มึงคิดว่าคนอื่นเขาจะดูไม่ออกหรือไงว่ามึงชอบมัน"

"พี่ทัพเขามีแฟนอยู่แล้วนะ" 

"มึงถึงได้อกหักไง"

"ก็ใช่ไง! พอใจหรือยัง!"

"เฮ้ย ใจเย็น"

"พวกพี่อย่าบอกพี่ทัพนะ ผมจะอกหักให้เงียบที่สุดเลย"

"ตัดใจซะ ไอ้เป็ดเอ๊ย"

ตอนนี้ความคิดในหัวกำลังโต้เถียงกันว่าผมควรรู้สึกยังไงดีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น เหมือนจะโกรธ แต่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่พอใจ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น

หึงมั้ง...

ผมรอให้หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปหา ในตอนนั้นธงทัพก็เดินกลับมาพอดี

"ภูผา"

ธงทัพเรียกชื่อผมเสียงดังก่อนเดินเข้ามาหา แต่ดูเหมือนว่าความมึนเมาจะทำให้สองขาจะพากันทรยศไม่รู้ทิศทาง ก้าวมาไม่ทันถึงก็เซจนเกือบล้ม แต่ปอที่อยู่ข้างๆ รับร่างเอาไว้ได้ทัน ธงทัพใช้ทั้งสองมือโอบกอดปอเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม 

"ไหวไหมครับ"

"ไม่ไหวว่ะ ภูผา มากอดหน่อย" ธงทัพผละตัวออกมาจากปอแล้วกอดผมเอาไว้แทน ผมเผลอมองหน้าปอ ตอนที่ปอมองมาพอดีเช่นกัน ปอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ผมรู้สึกอึดอัดแปลกๆ

"พี่ภู พาพี่ทัพกลับเถอะครับ"

ผมพยักหน้ารับแล้วพาธงทัพออกมาจากตรงนั้น เมื่อพ้นจากสายตาคนอื่น ผมจึงเอ่ยถาม

"ทำไมเมาอะ"

"กินเหล้าไง" ตอบแบบขอไปที แล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งรอ ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ก่อนขับออกมาจากร้าน

"นอนไปเลยก็ได้นะ ถึงแล้วจะเรียก"

"ไม่ได้ง่วง" ธงทัพเถียงเสียงแข็ง ทั้งที่ใบหน้าดูอ่อนล้าพร้อมจะหลับขนาดนั้น 

"ทำไมถึงกินเหล้า ปกติไม่เคย"

"วันเกิดไอ้ปอไง"

"เกี่ยวกันยังไง"

"ก็วันเกิดมันแต่มันไม่อยากกิน กูก็เลยกินแทน อีกอย่าง กูก็แค่อยากลองเมาดู"

"แล้วมันดีไหมล่ะ"

"เมาๆ ให้ลืมอะไรไปบ้างก็ดี"

"มึงหมายถึงอะไร"

"ไม่รู้เว้ย! เอาเป็นว่า กูกินเพราะเป็นวันเกิดไอ้ปอ แค่กินกับน้องมันสนุกๆ ไง มึงจะถามเอาอะไรวะเนี่ย!"

"ทำไมต้องโมโหด้วย"

"ทีมึงยังอารมณ์เสียเลย"

"กูไม่ชอบที่มึงพูดถึงแต่ปอ"

"กูก็ไม่พอใจเวลามึงอยู่กับไอ้นาวีเหมือนกันแหละ"

การถกเถียงเล็กๆ น้อยๆ จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เริ่มบานปลายเมื่อเราคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ได้ทั้งคู่ ผมพยายามที่ตั้งสติเพื่อหยุดการทะเลาะกัน แต่ธงทัพไม่จบ

"เมื่อเย็นมึงก็อยู่กับมันนี่"

"มึงก็รู้ว่ามันไม่มีอะไร"

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้นาวีมันไม่มี มึงกล้าพูดไหมว่ามันไม่ได้ล้ำเส้น"

"มีอะไรกูก็บอกมึงหมดทุกอย่าง กูไม่ได้โกหกมึงเลย"

"มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะโกหกหรือพูดความจริง กูแค่อยากรู้ว่าทำไมมึงยังเจอกับมันอยู่อีก"

"ก็กูบอกแล้วว่าไม่มีอะไร"

"เป็นมึงจะคิดไหมว่ามันไม่มีอะไร มึงเป็นแฟนเก่ามันนะเว้ย! มีใครที่ไหนเขากลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้บ้างถามจริงๆ เหอะ มึงยังรักมันอยู่หรือไง!"

"มึงจะบ้าเหรอธงทัพ!"

"กูก็ไม่ได้อยากคิดมาก แต่มึงต่างหากที่ทำให้กูไม่ไว้ใจ!"

"กูคิดว่ามึงจะเข้าใจ"

"กูเข้าใจ! แต่กูไม่ชอบ!"

ผมเบรกกะทันหันเพื่อจอดรถที่ริมทาง เพราะคิดว่าขับไปทั้งๆ ที่ใจร้อนเป็นไฟแบบนี้ไม่ไหว ผมรู้ธงทัพไม่มีสติ เพราะอาการมึนเมาทำให้มันพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่คิด หากแต่ว่าคำพูดพวกนั้นมันคือความจริงที่ไม่เคยเอ่ยปากบอก ธงทัพสะสมมันแล้วระเบิดออกมา ทุกอย่างจึงรุนแรงไปหมด 

"มึงก็ควรจะเข้าใจกูบ้างนะภูผา"

"กูรักมึงนะธงทัพ"

"แต่กูเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่ามึงรักกูจริงๆ..."

"..."

"หรือมึงแค่ย้ำให้ตัวเองเชื่อแบบนั้น"



มีต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 21-10-2018 19:39:35

ผมอยู่กับธงทัพมานาน ที่ผ่านมามีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเอามาเถียงกันอยู่บ่อยครั้ง เราทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ใช้เวลาไม่นานเพื่อกลับมาดีกัน เราง้อกันง่ายๆ ด้วยนมช็อกโกแลต เค้กไอติม หรือกอดกันสักครั้งหนึ่งก็เพียงพอ 

แต่คราวนี้สาหัส

หลายวันมานี้ ไม่มีวันไหนที่ผมรู้สึกสบายใจเลย เราไม่ได้เงียบตึงใส่กัน ก็ยังพูดคุยกันแต่มันไม่ปกติ บทสนทนาเวียนซ้ำอยู่สองสามประโยค

 

วันนี้กลับดึกนะ

กินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอ

นอนก่อนเลยนะ


 

คล้ายว่าความสัมพันธ์กำลังมีปัญหาในตอนที่เราต่างคนต่างเปราะบางและอ่อนแอ ผมทบทวนคำพูดของลุงวุธ ครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องสถานะความสัมพันธ์ของเราที่ดูไม่เหมาะสม บางทีลุงวุธอาจพูดถูก เราอาจเป็นพี่น้องที่นี่ แต่เป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเลย

ผมยอมรับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นและต้องเผชิญ ผมไม่อาจผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ถ้าธงทัพไม่ช่วยผม เราจะจมอยู่แบบนี้ สุดท้ายคงหนีไม่พ้นจุดจบที่กำลังวิ่งไล่เราอยู่ บ่อยครั้งที่ผมนั่งคิดว่าชีวิตผม...จะทนความเจ็บปวดได้อีกกี่ครั้งกันนะ   

"ภูผา"

"ครับ?"

"เห็นนั่งเหม่ออยู่นานแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เปล่าครับ"

"ภูจะกลับยัง?"

"ครับ กำลังจะกลับแล้วครับ"

"ไปพร้อมกันสิ"

หมดเวลางานแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปไหนดี การที่ต้องกลับไปอยู่ห้องคนเดียว ทำอะไรคนเดียว ก่อให้เกิดความเหงาอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เมื่อก่อนผมก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ อาจเป็นเพราะว่าการมีอยู่ของธงทัพ ทำให้ผมเคยตัวขึ้นทุกวัน

"น้องภู ไปกินข้าวด้วยกันไหม"

"ไปด้วยกันนะ"

"จริงด้วยภู เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้วนะ"

"ก็ได้ครับ"

"งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปหาหัวหน้าแป๊บหนึ่ง พวกเราไปรอหน้าตึกก็ได้"

"ก็ไปด้วยกันนี่แหละพี่ หัวหน้าอยู่ชั้นสามใช่ไหม จะได้แอบไปดูหน่อยว่าออฟฟิศใหม่ใกล้เสร็จหรือยัง"

"จะไปดูออฟฟิศหรือจะไปดูคุณนาวี"

"แล้ววันนี้เขามาไหมอะ"

จะแปดปีก่อนหรือว่าตอนนี้ นาวีก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ...

 ผมเดินตามพวกพี่มาที่ชั้นสาม ห้องทำงานเก่าดูแปลกตาไปเหมือนไม่ใช่ที่เดิม เปลี่ยนไปแม้กระทั่งผนังตึก นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงใช้เวลานานในการรีโนเวท ตอนนี้ช่างก็ยังทำงานอยู่ คงกำลังเร่งมือให้เสร็จตามกำหนด

ผมถอยออกมายืนให้ห่างจากการทำงานของช่างเพราะกลัวจะไปเกะกะ ระหว่างที่รอ ผมเลื่อนสายตามองผนังห้องฝั่งหนึ่งที่กำลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกระจกใสคล้ายกับชั้นบน ผมเผลอคิด จะมีที่สำหรับตะบองเพชรต้นนั้นของผมไหมนะ...

"ภูผา!"

ผมหันขวับด้วยความตกใจเมื่อชื่อของผมถูกเรียกพร้อมกันจากใครหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือนาวีที่พุ่งตัวเข้ามาหา สถานการณ์รวดเร็วจนผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีผมก็มองเห็นกระจกบานที่กำลังจะถูกยกไป ล้มลงมาหาผมพอดี 

"เพล้ง!"

กระจกแตกพร้อมกับผมที่ล้มลงไปกับพื้น นาวีดึงผมให้หลบทัน แต่ไม่พ้นเศษกระจกที่แตกกระจายใส่หน้าในวินาทีเดียวกัน

เสียงเรียกของคนรอบข้างดังอื้ออึงอยู่ในหู สติที่หายไปทำให้ผมแทบไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นเลย   

"ภูผา"

"..."

"ภูผา เป็นอะไรไหม"

"..."

"ภูผา!"

เสียงดังของนาวีเรียกสติผมกลับมา ผมส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร นาวีจึงคลายกอดจากผมพร้อมเสียงถอนหายใจที่ดูโล่งอก

"ภูผา เจ็บตรงไหนไหม เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไรครับ"

"ลุกไหวไหม"

ผมพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นจากการช่วยพยุงของพวกพี่เขา ผมยกมือเช็ดแก้มตัวเอง เลือดที่ติดมากับปลายนิ้วบอกให้รู้ว่าตรงนั้นถูกบาดจนเป็นแผล แต่ไม่ได้ลึกอะไรจึงไม่รู้สึกเจ็บ ผมหันมองนาวีที่กำลังยันตัวเองลุกขึ้นมา ก่อนเห็นว่าเขาได้แผลที่มือ น่าจะตอนที่ล้มลงไปกับพื้น ซึ่งแผลนั่นลึกพอที่จะทำให้เลือดไหลออกมาในทันที จนผมต้องจับมือเขาขึ้นมาดู

"เจ็บหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไร"

นาวีดึงมือตัวเองกลับไป แล้วตัดบทสนทนาด้วยการหันไปคุยกับเจ้านายผมและช่างเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อครู่ ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาต่อ กระทั่งจบเรื่องวุ่นวาย จึงเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกันทั้งหมด 

"ภูผา กระจกบาดหน้าด้วย เจ็บไหมเนี่ย"

"ไม่เจ็บครับ" ผมตอบ แผลของผมเล็กนิดเดียว เลือดซึมออกมาไม่ถึงหยดก็แห้งหายไป ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดจึงปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้น บาดแผลที่ผมเป็นห่วงไม่ใช่แผลของตัวเอง แต่เป็นแผลของนาวีต่างหาก 

"คุณนาวีไม่เป็นไรแน่นะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ"

"แผลน่าจะลึกนะคะ"

"เลือดหยุดไหลแล้ว ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ งั้นผมกลับก่อนนะ" นาวีบอกลาแล้วเดินออกไปก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ผมมองตามนาวีไปจนถึงรถ ขึ้นรถไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมขับออกไป

"คนอะไรไม่รู้ หล่อแล้วยังเท่มากอีกด้วย"

"เออ ว่าแต่ภูรู้จักกับเขาด้วยเหรอ พี่เห็นเขาเรียกชื่อภู"

"ครับ"

ผมตอบรับ แต่ไม่ได้ขยายความต่อ พวกเขาเองก็ไม่ได้ถาม ก่อนหัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเมนูของมื้อเย็นแทน ผมเดินตามพวกเขาออกมาที่ป้ายรถเมล์ หันกลับไปมองรถนาวี ก็ยังเห็นอยู่ที่เดิม ความกังวลใจทำให้ไม่อาจอยู่เฉย ผมจึงตั้งใจจะย้อนกลับไปหานาวี   

"พี่ครับ เอาไว้ผมไปกินข้าวด้วยวันหลังนะครับ"

"อ้าว..."

"วันหลังนะครับ"

ผมบอกแค่นั้นแล้วเดินกลับไปหานาวีที่รถ เคาะกระจกเบาๆ ก่อนเจ้าของรถจะเลื่อนลง เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

"มีอะไรเปล่าภูผา"

"ทำไมไม่ขับรถออกไป เป็นอะไรหรือเปล่า"

"คุยโทรศัพท์อยู่"

ผมนิ่ง มองมืออีกข้างของนาวีที่ถือโทรศัพท์อยู่ นาวีคุยต่ออีกสองสามประโยคก่อนกดวาง แล้วมองหน้าผม

"คิดว่ากูเป็นอะไร"

"คิดว่ามึงเจ็บ"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นอะไร"

"แต่มือมึงเจ็บ กลัวว่าจะขับรถไม่ได้"

"ก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น"

"ลงมาดิ กูขับให้"

"..."

"ยังไงก็ต้องกลับทางเดียวกับมึงอยู่แล้ว ลงมาเถอะ เดี๋ยวกูขับไปให้

"..."

"นาวี อย่าทำให้กูเป็นห่วง"

นาวียอมลงจากรถ ก่อนผมจะเป็นคนขับไปเอง ตลอดทางก็เอาแต่ย้ำคำเดิมว่าไม่เป็นอะไร ผมอยากเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน แต่บาดแผลมันฟ้องผมหมดแล้ว เขาไม่ยอมไปโรงพยาบาล ผมเลยเสนอตัวทำแผลให้ นาวีลังเลที่จะเข้ามาในห้องของผม

"ธงทัพอยู่ข้างในหรือเปล่า"

"มันยังไม่กลับ"

"แล้วถ้ามันกลับมาล่ะ"

"ก็ถึงได้บอกให้รีบเข้าไปไง จะได้รีบๆ ทำ รีบๆ ไป"

"โอเคๆ ทำไมเดี๋ยวนี้ดุจังเลยเนี่ย"

ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินนำนาวีเข้าห้อง ทำแผลที่มือให้ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ นาวีก็เตรียมตัวจะลุกออกไป หากแต่คำพูดของผม ทำให้เขาต้องนั่งลงที่เดิม

"เพราะมึงช่วยกู มึงเลยต้องเจ็บตัว"

"แล้วจะให้ยืนอยู่เฉยๆ ได้ไง"

"แต่คนเจ็บก็ไม่ควรเป็นมึงไง"

"ตอนนั้นกูก็คิดอะไรไม่ทันหรอก รู้แค่ว่าต้องทำแบบนั้นเพราะไม่อยากให้มึงเจ็บ"

"..."

"กูรู้มันไม่ใช่หน้าที่ของกูแล้วที่จะต้องปกป้องมึง"

"..."

"แต่กูแค่อยากให้มึงปลอดภัย"

"ขอบคุณนะ"

"ไม่ต้องคิดมาก ดูดิ แก้มพองหมดแล้วเนี่ย"

นาวีว่าพลางยกมือบีบแก้มผมเบาๆ อย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

"ปล่อยเลย"

"ไม่ปล่อย"

"ปล่อย!"

"ไม่อยากปล่อยเลย"

นาวีคลายมือที่บีบออก แล้วเปลี่ยนเป็นสัมผัสเข้าเบาๆ ที่แผลข้างแก้ม

"ไม่น่าปล่อยเลย"

"..."

"ถ้าวันนั้นกูไม่ปล่อยมือมึง วันนี้เราก็คงจับมือกันได้"

"..."

"ถ้าวันนั้นไม่ปล่อยให้มึงหายไปจากชีวิต วันนี้เราก็ยังจะรักกันอยู่ใช่ไหม"

ผมจับมือนาวีออกจากแก้ม แล้วกุมมือเขาเอาไว้อย่างนั้นครู่หนึ่งโดยไม่มีบทสนทนา ไม่อาจคาดเดาผ่านแววตาของนาวีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กระทั่งเขาพูดมันออกมา 

"ภูผา" 

"..."

"มึงยังรักกู"

"..."

"เหมือนที่กูยังรักมึงอยู่หรือเปล่า"

ใบหน้าของนาวีใกล้เข้ามาในตอนที่ทุกอย่างเงียบสนิท ผมไม่ได้ขยับหนี ความคิดพลันจมหายไปในความว่างเปล่า ก่อนใบหน้าของนาวีจะวางลงบนบ่า นาวีแค่กอดผมเอาไว้

น้ำตาผมไหล...ไม่รู้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ 

 

"แกรก..."


 

เสียงประตูที่กำลังเปิด ดึงความสนใจของผมกับนาวีให้หันขวับไปมอง นิ่งไปทั้งคู่เมื่อเห็นว่าเป็นธงทัพ  ผมผละตัวออกจากกอดนาวี แล้วลุกขึ้นยืน ในตอนที่ธงทัพก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

"ธงทัพ"

"มึงทำอะไร"

"กู..."

"ถามว่าทำอะไร!"

"ไม่มีอะไร"

คำว่าไม่มีอะไรของผม ไม่ทำให้ธงทัพเชื่อได้อีกแล้ว มองเห็นความโกรธของอีกคนผ่านมือที่กำแน่น นาวีลุกขึ้นยืนยังไม่ทันได้พูดอะไร หมัดของธงทัพก็ตรงเข้าที่หน้าของนาวีอย่างห้ามไม่ทัน

 

"พลั่ก!"

 

"ธงทัพ!"

ผมคว้าแขนของธงทัพเอาไว้ก่อนที่ชกหน้านาวีซ้ำ เรี่ยวแรงทั้งหมดของผมที่พยายามจะห้าม หมดความหมายในตอนนี้ธงทัพผลักผมออกมา 

"โครม!"

ร่างผมล้มกระแทกชั้นวางข้างเตียงเป็นเหตุให้ข้าวของบนนั้นหล่นกระจาย ของชิ้นนั้นคือโมเดลบ้านที่ธงทัพประกอบมันขึ้นมา แต่ว่ามันกำลังแตกสลาย...

 

ผมทำให้ความไว้ใจของธงทัพพังยับ ผมทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามีปัญหา ผมทำให้ธงทัพโกรธมากกว่าทุกครั้ง... 

 

"มึงฟังภูผาก่อนได้ไหม ไอ้ธงทัพ!"

"มึงก็พูดมาดิ!"

"..."

"พูดมาว่ามึงยังรักมันอยู่หรือเปล่า!"

"กูรักมึงธงทัพ" 

"ถ้ามึงรักกูจริง มึงจะไม่ทำแบบนี้"

"ธงทัพ!"

สองมือของธงทัพคว้าร่างนาวีจับกระแทกเข้ากับผนังห้อง แต่นาวีไม่โต้ตอบอะไรเลย

"ธงทัพ ปล่อยนาวีเถอะ!"

"ทำแบบนี้กับกูได้ไงวะภูผา"

"ปล่อยนาวี กูขอร้อง อย่าทำอะไร ธงทัพ! อย่า!"

ด้วยความโกรธเกินยับยั้ง ธงทัพกำลังบีบคอนาวีแน่น โดยที่อีกคนไม่คิดสู้ ผมหมดปัญญาจะขอร้องต่อให้ก้มลงกราบ ธงทัพไม่ยอมปล่อยนาวีออก ผมพยายามที่จะแก้ปัญหาแต่ว่าคิดอะไรไม่ออก ในตอนนั้นจึงเปิดลิ้นชักหยิบปืนขึ้นมา ปืนที่ธงทัพเคยบอกว่า ชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้ใช้

"ปล่อยนาวี!"

ธงทัพนิ่งไปชั่วขณะ คลายมือออกจากคอนาวีแต่ยังไม่ยอมปล่อย 

"ต้องปกป้องมันขนาดนี้เลยเหรอ"

"กูไม่อยากให้มึงทำร้ายใคร"

"งั้นก็ยิงกูเลย"

ธงทัพปล่อยนาวีออกก่อนเขาล้มลงไปกับพื้น ก่อนเดินเข้ามาใกล้ผม จับปลายกระบอกปืนให้ตรงกับอกข้างซ้ายของตัวเอง ถ้าผมทำได้ หัวใจของธงทัพคงแหลกคากระสุนปืน แต่ผมไม่ได้รู้จักปืนดีพอ ไม่รู้วิธีที่จะยิงมันด้วยซ้ำ

 

ผมทำให้มือที่จับกันไว้หลุดออกไปด้วยตัวผมเอง ผมทำให้ทุกอย่างเดินทางถึงจุดจบเร็วกว่าที่คิด...


 

"ถ้ามึงเลือกมัน"

"..."

"มึงก็ไปเลย"

"..."

"ไปเลยภูผา"

"..."

"กูยอมแล้ว"

ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างนาวีกับธงทัพ ทุกอย่างเงียบงันอยู่นาน กระทั่งผมตัดสินใจเข้าไปหานาวี ดึงให้เขาลุกแล้วถอยหลังไปที่ประตู ขณะที่ยังถือปืนกระบอกนั้นในมืออยู่

"ธงทัพ กูขอโทษ"

แม้ไม่ได้ลั่นไกออกไป แต่คล้ายว่าหัวใจของธงทัพถูกยิงทะลุ ด้วยการที่ผมก้าวออกมาจากตรงนั้น หันมองธงทัพอีกครั้ง เพราะผมทำให้ธงทัพเสียใจ นี่จึงเป็นครั้งแรก...

 

...ที่ได้เห็นน้ำตาของธงทัพ

 

To be continued.

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-10-2018 20:05:48
คนเขียนใจร้ายมาก
ธงทัพที่ใจดีคนนั้นหายไปไหน มีแต่คนโมโหเกรี้ยวกราด แบบนี้มันจะแก้ปัญหาได้ยังไง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 21-10-2018 20:06:51
อะไรเนี่ยยยย มาถึงจุดนี้ได้ยังไง :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 21-10-2018 20:12:31
รู้สึกเคว้งคว้าง ในหัวว่างเปล่าไปหมด
ความสัมพันธ์ธงทัพภูผามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
ก่อนหน้านี้ถ้ามีคนมาบอกว่าภูผาถือปืนจ่อธงทัพ
แน่นอน เราไม่มีทางเชื่อ
อยากร้องไห้แต่มันร้องไม่ออก
:กอดธงทัพ:

 :pig4:


หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 21-10-2018 21:21:14
เจ็บปวดไปพร้อมกับธงทัพ.. :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-10-2018 22:04:10
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 21-10-2018 22:29:54
ฮือ คนเขียนใจร้ายทำเราร้องไห้เลย ตอนต่อๆไป ขออย่าให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้เลย กลัวจะจบแบบต้องมีคนตายจากไป
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-10-2018 22:30:54
เกิดอะไร........กับธงทัพ   :katai1: :serius2: :really2:
ความบังเอิญบ่อยครั้ง ที่ภูผา นาวีเจอกัน
ทำให้ความเชื่อมั่นสั่นคลอน
ทำให้หวาดกลัว กลัวการสูญเสีย
ทำให้ไม่มั่นคงทางอารมณ์
ทำให้ไม่ไว้วางใจภูผา......... :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าจับเข่าคุยกันดีๆ ระหว่างภูผา ธงทัพ
แต่ไม่คุยกัน ธงทัพฟังภูผาพูดแต่ว่า มันไม่มีอะไรๆ แต่ใจมันสั่นไหวไปแล้ว
ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างกัน ก็น้อยมากจริงๆ   :serius2:
หน่วงไปอีก แล้วจะยังไงล่ะทีนี้
บางทีการที่ภูผาไม่พูดเรื่องเจอพ่อธงธัพก็มีส่วนนะ
เพราะไปพูดชื่อนาวีแทน จะคิดอะไรมากก็ไม่รู้นะภูผา เจอก็เจอสิ  :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: todiefor ที่ 21-10-2018 23:49:47
มีความเรื่องวนๆ แกนหลักของเรื่องคือภูผา สลับคนไปมาจนน่าเวียนหัว ภูผาเน้นคิดเอง รู้เอง บอกว่ารักแต่แทบไม่แสดงออก ยิ่งตอนล่าสุดยิ่งหนัก อ่านแล้วรู้สึกว่าโคตรอึดอัด...แบบนี้ก็ได้เหรอออ

แต่อย่างว่า มันนิยายอะเนอะ อย่าจบโหดเกินไปละกันนะจ๊ะ ช่วงนี้ใจบาง กลัวรับไม่ไหว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 21-10-2018 23:51:51
เอาจริงๆนะ ตลอดเวลาทีีเราอ่านในมุมมองของภูผาสิ่งที่ภูผาได้บอกกับสามีเราว่ารักธงทัพเสมอเรารู้สึกว่าเหมือนเค้าำลังย้ำกับตัวเองสะกดจิตตัวเองว่ารักธงทัพเราแค่รู้สึกนะถ้าเป็นจริงนี่เราร้องไห้เลยนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 22-10-2018 00:16:35
ทำไมเมื่อก่อนธงทัพอดทนทุกอย่าง รอได้ทุกอย่าง แต่พอเป็นแฟนกับแล้วเหมือนเป็นคนละคน :katai1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 22-10-2018 12:54:01
เห็นแฟนเก่ากอดกันในห้องที่มันเป็นห้องของเรา
ก่อนหน้านั่นก็คือระแวงอ่ะ

ถ้าเราเป็นธงทัพเราก็คงอาละวาดเหมือนธงทัพ

คนที่ทนได้มาตลอด พอมาถึงจุดที่มันระเบิดกลายเป็นว่าต้องเป็นคนไม่อดทนซะงั้น มันไม่มีใครทนได้ตลอดไปหรอก
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 22-10-2018 18:01:17
นาวีถอยออกมาลูก

หนูอย่าไปยุ่งกับเขา
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 23-10-2018 18:41:46
Episode 25

 

ไม่มีสิ่งใดให้ไขว่คว้า
ในความสัมพันธ์ที่ลอยละล่องและยุ่งเหยิง 


 


นาวี :


บ้านเป็นที่แรกที่ผมนึกถึง เมื่อต้องเลือกว่าจะไปที่ไหนสักแห่ง และในค่ำคืนที่ความว่างเปล่าเกาะกุมความคิดเอาไว้จนไม่รู้จะไปทางไหนดี ผมจึงกลับมาที่นี่พร้อมกับภูผา ระหว่างทางจนถึงบ้านผม ภูผาไม่ยอมพูดอะไรเลย ไม่ยิ้ม ไม่ร้องไห้ ดูไร้ความรู้สึก ไม่รู้จริงๆ ว่าภูผากำลังคิดอะไร แต่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้คือเหตุผลที่เขาเลือกเดินออกมา...เพราะภูผาแค่สงสารผม

"นาวี มึงไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม ที่ธงทัพทำ"

"ไม่เป็นไร" ผมพูดความจริงว่าไม่เป็นไร เพราะที่ธงทัพทำ มันแทบไม่ได้ออกแรงให้ผมเจ็บเลยด้วยซ้ำไป   

"แล้วนี่มึง เอายามาหรือเปล่า...ยาที่ต้องกินทุกวัน"

"เอามา"

"ต้องกินนะ"

"รู้แล้ว เดี๋ยวกิน ไม่ต้องห่วง มึงไปอาบน้ำได้แล้วไป"

ภูผาพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ผมหยิบถุงยาในกระเป๋าแล้วกินยาให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้ภูผาต้องมากังวล ระหว่างรอภูผาอาบน้ำ ผมเดินออกมาที่ห้องนอนของพ่อกับแม่ เพราะคืนนี้ผมจะนอนที่นี่ 

พอเข้ามาในห้องของพ่อกับแม่ ความคิดถึงก็ปรากฏชัดจนผมเกือบจะร้องไห้ บางครั้งผมรู้สึกโกรธพ่อกับแม่ ที่ทิ้งผมเอาไว้คนเดียวแบบนี้ คนจากไปไม่มีวันรับรู้ คนที่ยังอยู่ต่างหากที่ทรมาน เมื่อผมทนอยู่กับความคิดถึงนั้นไม่ไหว จึงยับยั้งมันเอาไว้ด้วยการเดินออกมาจากห้องนั้นแล้วก้าวเท้าไปยังดาดฟ้าของบ้าน ลมพัดเบาๆ กำลังสบาย ผมจึงกระโดดขึ้นไปนั่งที่ขอบดาดฟ้าเอาหน้าปะทะลม ผ่อนคลายความโศกเศร้า แล้วเอาความคิดอื่นเข้ามาแทนที่ดีกว่าปล่อยให้น้ำตาไหล...เพราะผมเหนื่อยแล้วกับการร้องไห้

"นาวี!"

ผมหันมองเสียงเรียกของภูผาที่ดังกว่าปกติ ไม่ทันได้โต้ตอบอะไร ภูผาก็ถามเสียงดังอีก

"จะทำอะไร!"

"..."

"ลงมา!"

ผมคิดว่าภูผากำลังเข้าใจผิดจึงรีบเอาตัวเองลงมาจากขอบดาดฟ้านั่น แล้วอธิบายให้ฟัง

"กูไม่ได้ทำอะไร แค่นั่ง..."

"มึงกินยาเข้าไปกี่เม็ด"

"อะไรนะ"

"ถามว่ากินยาไปกี่เม็ด!"

"สอง"

"แน่ใจนะว่าแค่นั้น"

"แน่ใจ"

"นาวี!"

"แค่นั้นจริงๆ"

ภูผาถอนหายใจ แล้วยกแผงยาเปล่าๆ ให้ผมดู

"กูเห็นนี่ ก็เลยตกใจ คิดว่ามึงกินเข้าไปทั้งหมด"

"มันหมดแผงพอดี กูไม่ได้..."

พูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องหยุดชะงัก เพราะภูผาตรงเข้ามากอดผมเอาไว้

"มึงจะไม่ทำอย่างที่กูคิดใช่ไหม"

"..."

"อย่าทำนะ นาวี"

"อืม ไม่ทำหรอก"

ภูผาคลายกอดออกจากผมไป จึงได้เห็นใบหน้าของภูผาที่กำลังเป็นกังวล ใบหน้าบูดบึ้งพาให้แก้มพองหนักกว่าเดิม อดไม่ได้ที่จะยกมือบีบอย่างถือวิสาสะ คราวนี้ภูผาไม่ห้าม ยอมให้จับอยู่อย่างนั้น ได้โอกาสจึงทั้งบีบทั้งยืด เป็นไปได้ก็อยากขยำให้แตกคามือเลย

"นาวี"

"ฮึ?"

"พอแล้วกูเจ็บ"

"อ้าว เจ็บเหรอ โทษที" ผมดึงมือตัวเองออกมาจากแก้มภูผา แล้วชวนกันนั่งลงกับพื้นดาดฟ้า ภูผาแหงนหน้ามองหาดาว ก่อนจะบ่นออกมาเพราะหาไม่เจอ

"ไม่มีดาวสักดวงเลย"

ผมเห็นว่าภูผาดูผิดหวัง จึงยื่นแขนข้างที่มีรอยสักรูปกลุ่มดาวให้ดู   

"อยู่นี่"

ภูผายิ้มออก แล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบแขนผมเบาๆ เลื่อนผ่านรอยสัก ไปที่รอยแผลอีกข้าง

"พี่นาวี"

"อย่าเรียกแบบนี้"

"เมื่อก่อนชอบให้เรียกแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวใจสั่น มึงจะรับผิดชอบยังไง"

"งั้นก็นาวีเฉยๆ"

"อืม"

"กูขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"

"อะไร"

"เรื่องโรคนั่น..."

"มันเกิดขึ้นได้ยังไง...ใช่ไหม?"

ภูผาพยักหน้ารับเมื่อผมเดาได้ว่าจะถามอะไร ผมรู้คำถาม...แต่ไม่รู้คำตอบ

"ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร"

ผมพยายามที่จะไม่เป็นอะไร คิดว่าตัวเองควบคุมมันได้ แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย อาจเป็นเพราะผมอ่อนเอ เสพความเศร้าจนบ้าคลั่ง เมื่อหันหลังกลับไปก็ไม่เหลือใคร ผมจึงโดดเดี่ยว

ผมขังตัวเองเอาไว้ภายใต้ความมืดมน โง่เง่าและขี้ขลาด มีความทรงจำเป็นภาพนิ่ง คล้ายว่าทุกสิ่งไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้า ตัวผมก็อยู่ที่เดิม จมอยู่ใต้ทะเลลึก แหวกว่ายหาทางออกไม่เจอ เพราะหนทางพร่ามัวไปด้วยน้ำตา ผมเคยสงสัย ร่างกายก็ไม่ได้มีแผล แต่ทำไมมันเจ็บจังเลย

ผมจึงจำเป็นต้องสร้างบาดแผลสมมติขึ้นมา จะได้ยืนยันว่ามันคือความเจ็บปวด เมื่อผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการร้องไห้ ผมจะทำให้เลือดจากแขนไหลออกมาแทน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำร้ายตัวเองจนกว่าไม่รู้สึก กระทั่งผมเริ่มไม่ร้องไห้...แต่แขนไม่มีที่ว่างให้แผลต่อไปอีกเลย

บาดแผล ตัวผม อารมณ์ และความรู้สึก ทุกอย่างเปราะบางไม่ต่างกัน ความบอบช้ำก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างนั้น บางวันก็เหนื่อยจนต้องยอมแพ้และไม่มีสิ่งใดฉุดผมให้ลุกขึ้นสู้เลย ความเศร้ากดผมให้จมลงจนถึงจุดที่ลึกที่สุด แล้วเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากผมไป กัดกร่อนและกลืนกิน กระทั่งไม่เหลือผมคนเดิม...ไม่ใช่นาวีคนเดิม     

"เป็นเพราะกูหรือเปล่านาวี กูเป็นสาเหตุนั้นของมึงหรือเปล่า"

"ไม่ใช่" 

"..."

"ไม่ใช่เพราะมึง" 


แต่ก็มีส่วน...


เป็นเพราะยังรักและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน ภูผาเป็นความรักเดียวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและยังคงยาวนานมาจนถึงตอนนี้  ผมไม่เคยเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นเลย ในตอนที่เราสูญหายไปจากกัน ความทรงจำมันทำร้ายผม ความคิดถึงเป็นอาวุธแหลมคมที่ทิ่มแทง ความเจ็บปวดทำให้ผมเอาแต่โทษตัวเอง ถ้าผมไม่ปล่อยมือ ถ้าผมอดทนอีกสักครั้ง ทุกอย่างคงไม่พังทลายไปง่ายๆ แบบนั้น

"กูยังรู้สึกผิดกับเรื่องวันนั้นอยู่ วันที่กูเลือกที่จะทิ้งมึงไป"

"นาวี มึงรู้ใช่ไหมว่าเรื่องของเรามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว"

"..."

"มันนานมากแล้ว"

"..."

"และมันก็จบไปแล้ว"

"..."

"ไม่ต้องรู้สึกผิด เลิกจมอยู่กับมัน"

"..."

"กูอยากให้มึงหาย ลืมเรื่องนั้นแล้วใช้ชีวิตต่อไป มึงจะได้ไม่เจ็บปวดอีก"

เป็นถ้อยคำให้กำลังใจและแฝงคำบอกลาอยู่ด้วยอย่างรู้สึกได้ ที่ผมเคยถามก็ได้รับคำตอบแล้วจากประโยคนี้ ภูผาไม่ได้รักผมแล้ว ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดนอกจากความสงสาร ผมเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ยังไม่อยากยอมรับ จึงใช้ความสงสารของภูผายื้อเวลาด้วยคำขอร้องโง่ๆ 

"ขออีกสักวัน"

"..."

"อยู่ด้วยกันก่อนนะ"

 

...

 

แค่หนึ่งวันคงไม่ยาวนานพอที่จะทำอะไรอย่างที่อยากทำได้ทั้งหมด แต่ผมกับภูผาก็กำลังพยายามสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ ทนแทนบางอย่างที่ขาดหายไป 

ผมเพิ่งมีโอกาสได้ไปหาแม่ภูผา เพื่อขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ภูผาบอกผมว่าเสียใจที่แม่จากไปทั้งที่ยังไม่เข้าใจกัน ผมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ เป็นคนที่ทำให้ภูผากับแม่ต้องทะเลาะกัน แม้ภูผาบอกให้ละทิ้งความรู้สึกนั้นไปแต่ผมยังคงรู้สึกผิด 

"มันไม่ใช่ความผิดของมึงหรอก กูต่างหากที่ดื้อกับแม่ทุกเรื่อง ต่อให้ไม่มีเรื่องของมึง กูก็ทะเลาะกับเขาอยู่ดี"

"มึงคิดว่าเขาจะให้อภัยเราไหม"

"แม่หายโกรธแล้ว"

"รู้ได้ยังไง"

ภูผายกมือขึ้นชี้รูปถ่ายของแม่ที่ติดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิ แล้วหันมาตอบผม

"เพราะแม่ยิ้มให้กู"

"..."

"และยิ้มให้มึงด้วย"

ผมหันมองรูปของแม่ภูผา คำว่าขอโทษถูกเอ่ยซ้ำอยู่ในใจอีกครั้ง แม้ยังรู้สึกผิดแต่ชีวิตผมก็ต้องไปต่อ ผมจึงขอเข้าข้างตัวเอง ว่าความผิดของผมได้รับการให้อภัยแล้ว...ผ่านรอยยิ้มอ่อนโยนจากรูปถ่ายนั้น

 

เพราะวัดอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเก่า ขากลับเราจึงแวะไปที่โรงเรียน มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ความทรงจำของเรายังอยู่กับสิ่งเดิม จึงผลัดกันพูดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาไม่หยุด

"จำได้ไหมเคยต่อยกับพี่ไนท์จนมันคางแตก ตรงนี้เลย"

"จำได้ โดนเรียกผู้ปกครองเลย"

"เมื่อก่อนเป็นคนเกรี้ยวกราดเนอะ"

"เกรี้ยวกราดอะไร อ่อนแอจะตาย ตอนนั้นกูเป็นคนที่ใช้ห้องพยาบาลคุ้มที่สุดในโรงเรียนแล้ว"

"มึงแค่ขี้เกียจเหอะ"

"ไม่จริง กูป่วย"

"แล้วเดี๋ยวนี้ยังเป็นอยู่ไหม ปวดท้องเวลาไม่กินข้าวเนี่ย"

"ก็บางครั้ง ไม่มีใครคอยมาสั่งให้กินข้าวทุกวันเหมือนตอนเรียน"

ภูผาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนหยุดเดินเมื่อหันไปเห็นบางอย่างที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ เดินตรงเข้าไปอ่านแล้วเรียกให้ผมดูด้วย ผมเลื่อนสายตาอ่านข้อความเหล่านั้นจากประกาศของชมรมดาราศาสตร์ จับใจความได้ว่าคืนนี้มีดาวตก ภูผาหันมาบอกผม 

"คืนนี้คงต้องขึ้นไปนอนที่ดาดฟ้าแล้ว"

หลังจากเดินรำลึกความหลังไปทั่วโรงเรียน ผมกับภูผาก็ชวนกันกลับ ระหว่างนั้นก็หันมองหน้ากัน ต่างคนต่างมีคำถาม ก่อนเราจะพูดมันออกมาพร้อมกันในประโยคที่คล้ายกัน 

"ไปไหนดี"

"ไปไหนต่อดี"

ภูผาหลุดหัวเราะ ก่อนที่ผมจะเป็นคนเสนอสิ่งที่อยากทำออกไป

"ดูหนังกันไหม"

"มีเรื่องอะไรน่าดู"

"เรื่องที่เราพลาดไปแล้วไม่ได้ดูด้วยกัน"

"หมายถึงกลับไปดูที่บ้านเหรอ"

"อืม แวะซื้อเค้กไอติมไปกินด้วยดีไหม"

"เอารสช็อกโกแลต..." 

"หน้าสตอว์เบอร์รี่"

"ใช่"

"ไม่เคยลืมหรอกน่า"

ภูผาหันมองผม แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ สายตาที่มองหน้าผมก็หันขวับไปหาเสียงเรียกที่ร้องดังขึ้น   

"พี่ครับ! ระวัง!"

 

"ตุ้บ!"

 

ลูกบาสฯ ที่ลอยมาจากสนามถูกภูผารับเอาไว้ได้พอดีก่อนที่จะกระแทกหน้าผม เด็กในสนามสามัคคีกันตะโกนขอโทษเสียงดัง   

"ขอโทษครับพี่!"

ภูผายื่นลูกบาสฯ ให้ เพื่อที่จะให้ผมเป็นคนโยนคืนกลับไปในสนาม ผมขยับเท้าไปที่ขอบสนาม มองดูระยะห่างจากตรงนี้ไปจนถึงแป้นบาสฯ แล้วออกแรงโยนมันออกไป

 

"ขวับ!"


 

ลูกบาสฯ ในมือผมลงห่วงไปท่ามกลางเสียงร้องของเด็กในสนาม แม้แต่คนข้างๆ ด้วย

"โคตรเจ๋งเลยพี่!"

"เก่งเหมือนเดิมเลยว่ะ ไม่เสียชื่ออดีตนักกีฬาโรงเรียน"

"มึงก็ทำได้"

"ฟลุคทุกครั้งต่างหาก"

ผมยิ้มรับ ก่อนหันมองกลับไปที่สนามบาสอีกครั้ง ที่เจอภูผาครั้งแรก...ก็ตรงนี้สินะ

           

...

           

เรากลับมาที่บ้านพร้อมเค้กไอติม ใช้เวลาหลังจากนั้นดูหนังเรื่องเดิมจากแผ่นดีวีดีและพูดคุยกันไปด้วย ถึงมื้อเย็นก็ออกไปกินข้าว และยังคงผลัดกันเล่าเรื่องราวตลอดหลายปีที่ต่างคนต่างเจอมา เป็นหนึ่งวันที่ยาวนานและคุ้มค่า...เป็นหนึ่งวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดเลย   

ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่ที่ดาดฟ้า เพื่อรอเวลาดูดาวตก แต่ท้องฟ้ายังคงมีแสงของพระจันทร์ส่องสว่าง ผมจึงมองไม่เห็นดาวสักดวงเลย

"ง่วงยัง"

ผมพยักหน้ารับ หลังจากถูกภูผาบังคับให้กินยาผมก็ง่วงทันทีเลย

"ถ้านอนตรงนี้ ยุงจะไม่กัดตายใช่ไหม"

"พรุ่งนี้พาไปหาหมอด้วย เป็นไข้เลือดออก"

ภูผาหลุดหัวเราะ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้

"นอนไปก่อนก็ได้"

ผมไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยังคงมองหน้าภูผาที่นอนอยู่ข้างๆ ใกล้กันจนผมไม่คิดว่านี่คือความจริง ผมหลับตาลงช้าๆ แล้วจมดิ่งอยู่ในความทรงจำที่จบไปแล้วอยู่เนิ่นนาน ให้ผมลืมคงไม่ได้ จึงเลือกจดจำไว้แค่เรื่องที่ยังคงสวยงาม

"นาวี"

ผมลืมตาขึ้นมองเสียงเรียกที่แผ่วเบา มือเย็นเฉียบของภูผาสัมผัสเข้ามาที่ข้างแก้ม เพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

"เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

เป็นฝันดีต่างหาก

แต่พอรู้ตัวว่ามันเป็นแค่ฝัน ก็เลยเศร้าจนต้องร้องไห้...

"ภูผา"

"ฮึ?"

"พรุ่งนี้มึงจะกลับไปหาธงทัพใช่ไหม"

"ไม่รู้สิ ยังไม่รู้เลย"

"มึงต้องกลับไปคุยกับมันให้รู้เรื่องนะ"

"กูทำให้ธงทัพเสียใจ"

"แล้วมึงเดินออกมาทำไม"

"กูโง่เกินกว่าจะคิดว่าควรทำยังไง กูแค่ไม่อยากให้ธงทัพทำอะไรมึงไปมากกว่านั้น กูแค่หนีปัญหาด้วยการหนีออกมา กูผิดเอง"

"คนผิดคือกูต่างหาก กูไม่ควรกลับเข้ามาวุ่นวายในความสัมพันธ์ของมึงสองคน"

"อย่าโทษตัวเองสิ"

"ไม่โทษไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกู แล้วใครจะรับผิดชอบเรื่องที่มันเกิดขึ้นล่ะ ให้กูรับไว้เถอะ"

"มันไม่ควรมีใครต้องเสียใจ"

"กลับไปหาธงทัพเถอะ"

"มึงว่า ธงทัพจะให้อภัยกูไหม"

ผมไม่ตอบ เพราะไม่อาจคาดเดา แต่รู้ว่าธงทัพกำลังเข้าใจผิด คิดว่าภูผาเลือกผมซึ่งความจริงไม่ใช่ ภูผาแค่สงสารผม และเมื่อความรักถูกแยกออกจากความสงสาร ภูผาก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะอยู่เคียงข้างผมอีกต่อไป จึงไม่มีสิ่งใดให้ไขว่คว้าในความสัมพันธ์ที่ลอยละล่องและยุ่งเหยิง พรุ่งนี้เราก็ต้องไปจากที่นี่...หมายถึง ไปจากกันและกัน

ธงทัพ ภูผา และผม เราเปรียบเหมือนหนังสือเล่มเดียวกัน เป็นหนังสือที่พูดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนและสับสน เมื่อดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่ง ทุกตอนของผมก็ต้องจบลงไปก่อน ส่วนตอนของพวกเขายังคงเดินทางต่อ โดยไร้ผมเป็นหนึ่งในตัวละคร 

"นาวี ดูนั่น!"

ผมหันมองแสงสว่างบนท้องฟ้าที่ผ่านสายตาไปพอดี ดาวดวงแรกตกลงมาแล้ว จึงพลันอธิษฐานขอพรตามความเชื่อ ภูผาก็เช่นกัน 

"นาวี"

"..."

"กูขอให้มึงหายดี"

"..."

"อย่าเจ็บปวดอีกเลยนะ"

ผมพยักหน้ารับและจะตั้งใจทำให้คำขอของเขาเป็นจริง ผมอยากให้ภูผาคลายกังวล ต่อให้เราต้องสูญหายไปจากกันอีกกี่ครั้ง ก็ขอให้ภูผาสบายใจ ว่าผมจะสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้โดยไม่ต้องเป็นห่วงกัน

"ขอบคุณนะภูผา"

"แล้วมึงขออะไร"

ผมเลื่อนสายตามองท้องฟ้าอีกครั้ง แปดปีก่อนผมเคยขอให้เรารักกันตลอดไป แต่วันนี้ผมต้องยอมรับ ตลอดไปของเรา ยาวนานได้แค่นี้...หมดเวลาของผมแล้ว

 

"ขอให้ธงทัพให้อภัยมึง"


 

To be continued.
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 23-10-2018 19:06:43
กอดนาวีถึงหนูจะไม่เหลือใครหนูก็มีป้าเป็นทีมหนูนะ

นาวีคนดีอย่าเศร้าลูกอย่าเศร้า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 23-10-2018 19:21:31
ขอให้นาวี ภูผา ธงทัพไม่เจ็บปวดอีก
ขอให้ธงทัพให้อภัยภูผา กลับมาคบกันเถอะ
ห้องของทั้งสองคนยังไม่ได้เข้าไปอยู่ด้วยกันเลย

เป็นห่วงธงทัพ หนึ่งวันของธงทัพจะเป็นยังไงบ้าง
หัวใจของเราอยู่ในมือคนแต่งแล้ว เมตตาเราเถอะ  :z4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-10-2018 19:34:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-10-2018 19:43:06
นาวีลู๊กกกกก ป้าจะร้องแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 23-10-2018 21:01:05
สงสารทั้ง 3 คน คือมันไม่สามารถมีความสุขได้อย่างแท้จริงในทุกๆทางจะเลือกต่อจากนี้เว้ยภูผา

1. กลับไปหาพี่ทัพ แก้วมันร้าวไปแล้วมันยากที่จะเชื่อใจได้เต็มหัวใจ ยิ่งรู้แล้วว่าปอคิดยังไง กลับไปรักกันเหมือนเดิมยากแล้ว
2 เริ่มต้นใหม่กับนาวี ดูเป็นทางที่เป็นไปได้มากสุด ทางสะดวกไม่มีอุปสรรคใดๆ ยกเว้นใจภูผา ว่ารักนาวีแน่จริงหรือ?
เราเสนอ ทางเลือกสุดท้าย แยกย้าย ทางใครทางมัน ภูผาจะยังเหลือเพื่อนและยังมีพี่ต่อไป  :hao5: :ling3:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.25] 23/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-10-2018 15:06:08
ทีมภูผา ยังไงก็ได้ ขอให้น้องได้มีความสุขสักทีนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 24-10-2018 21:24:06
Episode 26


คุณทิ้งให้ผมอยู่กับน้ำตา
แล้วคุณก็พูดว่า
คุณเสียใจ




ธงทัพ :

 

"พี่ทัพ จะกลับบ้านหรือยัง"

"ยัง"

"พี่ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ พักกินข้าวก่อนไหม"

"ไม่หิว"

"งั้นพี่จะเอาอะไรไหม ผมจะไปซื้อมาให้"

"ไม่เอา"

"กินอะไรหน่อยเถอะพี่ เอาขนมจีบกุ้งไหม เดี๋ยวผมไปซื้อ..."

ผมถอนหายใจแล้วหันมองไอ้ปอที่กำลังคะยั้นคะยอให้ผมลุกไปหาอะไรกิน เพราะอดข้าวมาทั้งวัน เมื่อผมหันมองด้วยสายตาแข็งกร้าว มันจึงก้มหน้าแล้วหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ 

ผมเองก็หันกลับมาทำงานต่อ หมดเวลางานแล้วแต่ผมยังมีงานรอให้ทำต่ออีกสามสี่ชิ้น ตอนนี้ชีวิตผมยุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอะไรเลย ไม่ได้คิดอะไรเลย...

จริงๆ นะเว้ย

"ไอ้ทัพ"

ผมเงยหน้ามองพี่แต้มที่เดินเข้ามาที่โต๊ะ ใช้สายตาแทนคำถาม คนที่เดินเข้ามาจึงพูดต่อ

"ทำไมไม่กลับบ้านวะ"

"งานยังไม่เสร็จ"

"มึงล่ะไอ้เป็ด"

"ใกล้เสร็จแล้วครับ"

พี่แต้มพยักหน้ารับไอ้ปอ แล้วก้มมาดูงานของผม

"งานมันก็ไม่ได้เร่งนี่ มึงจะรีบไปไหนวะ"

"จะได้เสร็จเร็วๆ ไง"

"มึงเป็นอะไรหรือเปล่า"

"เปล่า"

"มึงทำงานเป็นบ้าเป็นบอ ไม่กินข้าว ไม่กลับบ้าน ไม่หลับไม่นอนแบบนี้คิดว่ากูดูไม่ออกหรือไง"

"ไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากให้งานมันเสร็จเร็วๆ"

"มึงก็หักโหมเกินไป เดี๋ยวก็ตายห่าคาออฟฟิศพอดี เก็บของแล้วไปกินข้าวก่อนไป มึงด้วยไอ้เป็ด"

"ครับ"

"ไปดิไอ้ทัพ"

"เสร็จนี่ก่อน"

"ทำไมมึงถึงได้ดื้อด้านแบบนี้วะ ไปเร็ว เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงข้าว"

"เลี้ยงเหล้าได้ไหม"

"นอนไม่พอยังเสือกชวนแดกเหล้า กลับไปนอนเหอะ"

"ไม่อยากนอน อยากเมา"

พี่แต้มถอนหายใจใส่เสียงดัง ก่อนตอบตกลง หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ จึงมานั่งอยู่ร้านเหล้า ไอ้ปอก็ถูกพี่แต้มลากให้ตามมาด้วย จากคนที่เคยปฏิเสธการดื่มเหล้ามาตลอด แต่วันนี้ผมยอมให้พี่แต้มรินเหล้าใส่แก้ว แล้วกรอกเข้าปาก ครั้งแล้วครั้งเล่า รู้ตัวว่าเริ่มเมาตอนที่สติขาดหายไปบางช่วง

"พี่ทัพ พี่เมาแล้วนะ"

"เออ กูรู้"

"พอก่อนไหมมึง กลับไปนอนได้แล้วมั้ง สภาพมึงนี่ไม่น่าไหวแล้วนะ"

"ไหวน่า"

"พี่โอเคหรือเปล่า ให้ผมโทรตามพี่ภูผาไหม"

ผมหันมองไอ้ปอที่พูดถึงชื่อนั้นออกมา เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งผมตอบกลับไป

"กูไม่รู้ว่าภูผาอยู่ที่ไหน"

"อะไรนะครับ"

"กูไม่รู้ว่าภูผาไปไหน"

"พี่หมายความว่าไง ผมไม่เข้าใจ"

ในวินาทีที่ผมเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้คนเดียวไม่ไหว ความอัดอั้นทั้งหมดของผมที่มีจึงถูกเล่าออกมาจนหมด ผมรู้ว่าไม่มีใครช่วยผมได้ แต่ด้วยความเมามายผมก็ยังพร่ำเพ้อเรื่องของตัวเองไม่หยุด

"ภูผาทิ้งผม"

"..."

"ภูผาเลือกมัน"

"แล้วนี่มึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่าภูผามันอยู่ที่ไหน"

"ไม่รู้"

"มึงเคยบอกว่าภูผามันก็ไม่ได้รู้จักใครที่ไหนไม่ใช่เหรอวะ มึงยังไม่ได้ตามหามันเลย แล้วก็มาบอกว่าไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน กูว่ามึงน่าจะลองโทรหาภูผามันดู ภูผามันคงกำลังคิดว่ามึงโกรธมันมาก"

"เป็นพี่ พี่จะไม่โกรธเหรอ ภูผาเอาปืนจ่อหน้าผม ตรงหน้าผมเลย! แล้วก็พาไอ้นาวีหนีไปด้วยกัน พี่จะให้ผมรู้สึกยังไง"

"มึงก็แค่โกรธ"

"แล้วผมไม่มีสิทธิ์โกรธหรือไง"

"ภูผามันอาจจะแค่สงสารไอ้นาวีก็ได้"

"แล้วไม่สงสารผมเหรอ พี่รู้ไหมว่าผมรักภูผามากขนาดไหน ผมอยู่กับมันมาแปดปี อยู่ดีๆ ไอ้นาวีมันกลับเข้ามา แล้วภูผาก็เลือกมัน! ความรู้สึกผมล่ะ! ไม่มีใครสงสารผมบ้างเหรอ!"

"ใจเย็นๆ พี่ทัพ"

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยกแก้วเหล้าเข้าปากไปอีก นั่งดื่มกันต่ออีกสักพัก ผมก็รู้สึกว่าควรพอ ฝืนกินต่อคงได้นอนที่นี่แน่ๆ หลังจากพี่แต้มชวนกลับ ก็ยอมลุกจากโต๊ะง่ายๆ   

"พี่ไหวไหมเนี่ย"

"ไหวดิ"

 ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไร ทะนงตัวว่าแข็งแกร่งพอแต่ผิดคาด เมื่อเดินออกจากหน้าร้านไม่ถึงไหน ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ทำพิษด้วยอาการมึนหัวแบบปุบปับ ดวงตาพร่าเบลอ หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย   

"พี่ทัพ!"

"..."

"พี่ธงทัพ!"

ผมกระพริบตาถี่ๆ ก่อนความพร่ามัวกลับมาเป็นปกติ หันมองไอ้ปอที่ตะโกนเรียกชื่ออยู่ข้างๆ 

"พี่เป็นอะไรไหม"

"ปวดหัวว่ะ"

"เป็นไงล่ะมึง ไหนว่าไหวไง" ผมเงยหน้ามองพี่แต้มแต่ไม่ได้โต้ตอบเพราะไม่มีอะไรจะเถียง ใครจะไปรู้ว่าร่างกายมันจะพังง่ายเหมือนของเล่นใส่ถ่านราคาถูกๆ แบบนี้วะ เมื่อร่างกายยอมแพ้ผมก็ต้องจำนน ยอมให้ไอ้ปอขับรถมาให้ แล้วหอบเอาร่างกายพังๆ ของผมขึ้นมาส่งถึงห้อง

"พี่ไม่เป็นอะไรแน่นะ"

"เออ ไม่เป็นไร"

"งั้นผมกลับก่อน พี่จะได้นอน"

ทั้งที่อดหลับอดนอนมาหลายชั่วโมง แถมยังเมาจนยืนไม่ติดพื้น แต่พอถึงที่นอนผมดันหายง่วง ไม่อยากหลับขึ้นมาซะเฉยๆ


เพราะว่าถ้าหลับตา...ก็จะคิดถึงภูผาทันที


ผมดึงมือไอ้ปอเอาไว้ก่อนที่มันจะเดินออกไป

"พี่เป็นอะไร"

"กูจะทำยังไงดีวะปอ"

"..."

"กูกลัว"

"..."

"ถ้าเกิดว่าภูผาไม่ต้องการกูแล้ว กูไม่รู้ว่าจะทำยังไง"

"ผมว่าพี่ภูเขาก็คงเสียใจ"

"กูก็เสียใจ"

"ผมรู้..."

ผมพูดเรื่องเดิมกับไอ้ปออีกครั้ง พร่ำเพ้อหาภูผาไม่หยุดแล้วพูดออกไปทุกอย่าง บอกให้มันรู้แม้กระทั่งว่า ตอนนี้ผมคิดถึงภูผาขนาดไหน

"พี่ทัพ พี่เคยบอกผมว่า พี่จะไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนที่พี่ชอบ"

"..."

"แต่พี่ไม่ได้ชอบผม"

"..."

"พี่ร้องไห้กับผมได้นะ"

จบคำของไอ้ปอ ผมก็ไม่ได้พยายามที่จะกลั้นน้ำตานั่นเอาไว้เลย ผมคิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมต้องรับมือได้ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นที่พึ่งพาของภูผามาโดยตลอด แต่วันนี้ผมแพ้ราบคาบ ร้องไห้จนหายใจไม่ออก ฟูมฟายอย่างคนบ้า หมดปัญญาจะหาทางรอด ไม่เคยรู้เลยว่าเพียงหนึ่งวันที่ไม่มีภูผา จะเป็นหนึ่งวันที่ยาวนาน และทรมานขนาดนี้

 

หัวใจก็ยังเต้นอยู่ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนตายไปแล้วก็ไม่รู้...

 

...

 

วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงานเพราะตื่นขึ้นมาในตอนสิบโมงแล้วก็ยังคงเมาค้าง กว่าสติจะกลับมาครบถ้วนก็เสียเวลาชีวิตไปครึ่งวัน ผมไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยจำเป็นต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ตอนนั้นผมหันไปเห็นโมเดลบ้านที่แตกกระจายอยู่ตั้งแต่วันนั้นและยังไม่ได้เก็บกวาด จึงลุกจากเตียงแล้วขยับไปหามัน  มีบางชิ้นส่วนแตกหัก บางชิ้นส่วนหายไป

เพราะว่าประกอบมันขึ้นมาเองกับมือและไม่อยากทิ้งขว้างมันเอาไว้แบบนั้น ผมจึงค่อยๆ ซ่อมมันทีละชิ้น แม้จะใช้เวลาอยู่นาน แต่สุดท้ายผมก็ประกอบกลับจนมันเกือบจะกลายเป็นบ้านหลังเดิมได้ ผมมองหาชิ้นส่วนสุดท้ายที่หายไป ก่อนเจอมันอยู่ในซอกเตียง ลุกขึ้นขยับเตียง มือข้างหนึ่งยกเตียงขึ้น อีกข้างหยิบชิ้นส่วนของโมเดลออกมา แต่เพราะไม่ทันระวัง มือข้างนั้นจึงกระแทกเข้าขอบเตียงพอดี

"โอ๊ย!"

ผมร้องลั่นพลางดึงมือเข้ามาเพราะว่าเจ็บแปลบที่ปลายนิ้ว สะบัดมือสองสามทีกระทั่งความเจ็บพลันหายไป ยกขึ้นมาดูก็พบว่าเล็บฉีกไปเลย 

"เจ็บชิบหาย"

ผมบ่นอยู่คนเดียว ก่อนเดินหาไปกรรไกรตัดเล็บ แต่ไม่รู้ว่าภูผาเอามันไว้ตรงไหน ภูผาเป็นคนจัดห้องนี้ โดยที่ผมแทบไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ผมไม่ได้พยายามที่จะหาของที่ต้องการต่อ แล้วทิ้งตัวเองลงนั่งบนเตียง

ห้องมันกว้างเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว...ผมรู้สึกแบบนั้น

ไม่รู้เลยว่าภูผาพยายามมากแค่ไหนเพื่อจะให้เราได้อยู่ด้วยกัน ผมเป็นคนงอแงให้ภูผาย้ายมาอยู่ด้วยกันอย่างคนเอาแต่ใจโดยไม่สนว่าภูผาจะต้องลำบากแค่ไหนเพื่อที่จะตื่นแต่เช้าแล้วไปทำงาน แล้วผมก็ปล่อยให้เสาร์อาทิตย์ของภูผาเงียบเหงาอยู่ในห้องกว้างๆ นี้คนเดียว 

ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายละเลย...

ผมไม่รู้ว่าภูผาต้องแบกรับบาดแผลอะไรที่ซ่อนอยู่ในใจ เพราะผมคิดถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง ผมปล่อยให้ความโกรธบดบังความเป็นจริง ละทิ้งภูผาโดยไม่รับฟังอะไรเลย

ผมต่างหากที่เป็นคนผิด...

 

"ครืด...ครืด..."

 

มือถือที่กำลังสั่นดึงผมออกจากความคิด ก่อนเห็นว่าเป็นแม่ จึงกดรับ

"ครับแม่"

(ทัพ อยู่กับภูผาหรือเปล่า ทำไมแม่โทรหาภูผาไม่ติดเลย)

"เปล่าครับ"

(แล้วน้องอยู่ไหน)

"..."

(ธงทัพ ภูผาอยู่ที่ไหน)

"..."

(นี่มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ทะเลาะกันเหรอ)

"..."

(ตอบแม่สิ ธงทัพ!)

"ผมไม่รู้!"

(...)

"ผมไม่รู้ว่าภูผาไปไหน"

(ธงทัพ)

"ผมไม่รู้จริงๆ แม่ ผมไม่รู้จริงๆ"

น่าแปลกที่ผมยอมให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งโดยไม่สนว่าจะดูอ่อนแอในสายตาใคร ผมนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ทั้งที่เคยรับปากกับพ่อและแม่ รวมถึงแม่ภูผาด้วยว่าจะดูแลภูผาให้ดี แต่ทำไม่ได้ ทั้งที่ใช้เวลาและพยายามขนาดไหน เพื่อทำให้ภูผาไว้ใจและยอมรับผม ผมไม่ได้ทั้งอดทนและพยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อมายอมแพ้ง่ายๆ ในตอนนี้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย 


ผมวางสายจากแม่ แล้วคว้ากุญแจรถเพื่อตั้งใจออกไปตามหาภูผา เป็นความจริงที่ว่าภูผาอาจจะไม่มีที่ให้ไปมากมายนัก แต่อีกความคิดก็โต้แย้งกัน หากว่าภูผาไปกับนาวี ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไปอยู่ที่ไหน แล้วถ้าหากว่า ภูผาไม่ต้องการผมแล้ว ผมจะทำยังไง


ไม่เป็นไร...

แค่ตามหาให้แน่ใจว่าภูผาจะปลอดภัยดีก็พอ จะเลือกนาวีหรือจะมีชีวิตต่อไปอย่างไรก็ตามแต่ใจภูผาเลย และถ้าหากว่ามีใครสักคนต้องรับได้รับความเจ็บปวด...ให้มันเป็นผมเอง

เมื่อผมเปิดประตูห้อง ทุกอย่างก็หยุดชะงักกลายเป็นภาพนิ่ง ดวงตาผมพร่ามัว อาจเพราะน้ำตาที่ยังไม่แห้งหายไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะอาการปวดหัวจู่โจมแบบปุบปับอีกครั้ง ผมคงเมาค้าง หรือไม่ก็ฝันอยู่...

ผมเห็นภูผายืนอยู่ตรงนี้

"ธงทัพ!"

 

"ฟึ่บ!"

 

เข่าผมทรุดลงกับพื้น แต่ภูผารับร่างผมเอาไว้ได้ทัน สองมือของผมยกขึ้นกอดภูผาเอาไว้โดยสัญชาตญาณ เสียงที่อื้ออึงอยู่ในหูค่อยๆ หาย กลายเป็นปกติ ผมหลับตาและลืมขึ้นช้าๆ เพื่อมองคนตรงหน้าให้ชัดๆ

"ภูผา"

"กูเอง"

ผมมองหน้าภูผาพร้อมกับความคิดที่วกวนอยู่ในหัว พอได้เห็นหน้าภูผา ผมกลับพูดอะไรไม่ออก จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะเข้าไปกอดก็ไม่กล้า สติหลุดลอยเกินจะไขว่คว้า ผมจึงพูดอะไรบ้าๆ ออกไปหนึ่งประโยค 

"มึงกลับมาทำไม"

ไอ้บ้าเอ๊ย...พูดอะไร!

ผมตบปากตัวเองอยู่ในใจ

เพราะคำพูดของผม จึงทำให้คนตรงหน้านิ่งไป มือที่จับแขนผมเอาไว้ถูกดึงกลับไปช้าๆ น้ำตาที่คลออยู่นานก็พร้อมจะไหลออกมาเพียงแค่กระพริบตาเบาๆ ริมฝีปากสั่นเทาเอ่ยบางคำกับผม 

"ขอโทษ"

"..."

"ธงทัพ กูขอโทษ"

"..."

"กูเสียใจ"

"เสียใจแล้วไงต่อ มึงรู้ตัวไหมว่ามึงทำอะไรผิด"

"กูเอาปืนจ่อหน้ามึงแล้วก็หนีไปกับนาวี กูทำให้มึงเสียใจ กูทำลายความไว้ใจของมึง กูทำให้เรื่องทุกอย่างมันพัง กูทำให้มึงต้องเสียใจ กูทำให้มึงร้องไห้ กูผิดเอง"

ภูผาร่ายความผิดของตัวเองผ่านน้ำเสียงสะอึกสะอื้น   

"กูไม่ได้เลือกนาวี แต่กูไม่อยากเห็นมึงทำร้ายใครกูเลยพามันหนีไป กูไม่ได้รักนาวีแต่รักมึง กูไม่รู้ว่าคำว่ารักของกูจะทำให้มึงเชื่อได้อีกไหม...แต่ธงทัพ..."

"..."

"พี่ธงทัพ"

ผมกำหมัดแน่นตอนที่ภูผาเรียกแบบนั้น มีสองเวลาที่ภูผาจะเรียกผมว่าพี่ เพราะต้องการอ้อนและเวลาที่กำลังแสดงความจริงใจ   

"ภูรักพี่"

"..."

"พี่ไม่ต้องให้อภัยภูก็ได้ แต่ภูแค่อยากกลับมาขอโทษ"

"..."

"พี่จะไล่ภูไปไหนก็ได้ แต่ภูอยากให้พี่รู้เอาไว้...ว่าภูรักพี่"

ผมคลายหมัดออก เมื่อหลับตาลงช้าๆ น้ำตาก็ไหลลงมาในตอนนั้น ผมไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าภูผาแต่เป็นอีกครั้งที่หยุดน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

"มึงทำผิดมากกว่าที่พูด รู้ไหมว่าอะไร"

ภูผาส่ายหน้าเบาๆ

"มึงมันดื้อ"

"ขอโทษ"

"มึงมันนิสัยไม่ดี"

"ขอโทษ"

"มึงใจร้ายกับกู"

"ขอโทษ"

"มึงทำให้กูเป็นบ้า"

"ขอโทษ"

"มึงทำให้กูเป็นห่วง ทำให้กูคิดถึง...จนแทบจะขาดใจตาย"

จบคำนั้นผมจึงดึงภูผาเข้ามากอด เราแข่งกันร้องไห้ พลางขอโทษกันไปกันมา ความโกรธของผมจางหายไปในรอยน้ำตาที่สูญเสียไป

"ภูไม่รู้ว่าควรได้รับการให้อภัยไหม..."

"..."

"แต่ภูขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ"

"ไม่เป็นไร"

"..."

"พี่ให้อภัย"

ผมไม่ได้ให้อภัยภูผา เพียงเพราะว่าคำขอโทษพวกนั้น แต่มันเป็นเพราะผมรักภูผามาก และไม่อยากให้ชีวิตของภูผาต้องบอบช้ำหรือแตกสลายไปอีกครั้ง  ภูผายังคงไร้เดียงสาและดูเหมือนเด็กในสายตาผม ตัวผมเองก็ยังอยากดูแล อยากเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน จะเป็นเพื่อน เป็นพี่ และเป็นคนรักที่ดี

เมื่อวันก่อนมีดาวตกและผมมีโอกาสได้เห็น ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่วันนั้นก็อธิษฐาน ผมหวังว่าพรข้อนั้นจะเป็นจริง...

 

ผมขอให้ภูผามีความสุข

 

 

To be continued.

 

ชื่อตอนอย่างดาร์ก เนื้อเรื่องอย่างเด๋อ เธอเป็นอะไรของเธอน่ะ   :heaven :heaven :heaven
แต่เราบอบช้ำกันมามากพอแล้วเนอะ ภูผาก็น่าจะเจ็บพอแล้วแหละ ตอนหน้าก็จบแล้ว เพราะฉะนั้น เรามามีความสุขกับตอนที่เหลือกันเถอะค่ะ รักนะคะ

 
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 24-10-2018 21:41:41
รักคุณรชาที่สุดดดด พี่ทัพ น้องภู ฮือออออ   :hao5:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-10-2018 21:43:44
 :เฮ้อ:
ดีใจ
อยากเดินเข้าไปกอดทั้งสองคนด้วย

เราจะมีความสุขกับตอนหน้าจริงๆใช่ไหมคะ รู้สึกหวาดระแวง  o6
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-10-2018 21:46:52
ปากนี่นะพี่ทัพ ถ้าถามว่าน้องกลับมาทำไมแล้วน้องวิ่งหนีเราจะสมน้ำหน้าให้ !!
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-10-2018 22:25:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: yodyahyee ที่ 25-10-2018 01:22:25
รอตอนจบ.........ขอบคุณนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 25-10-2018 01:58:08
อย่าหักมุมนะคะคุณรชาไม่งั้นเราจะเอาหนังยางมาดีดคุณ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 25-10-2018 06:24:55
เข้าใจกันได้ซักที ขอให้ทั้งสามคนมีความสุข
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 25-10-2018 12:27:43
คนเขียนใจร้ายกับคนอ่านอีกแล้ว ตอนที่แล้วก็ทำให้ร้องให้เพราะเสียใจ มาตอนนี้ก็ทำให้ร้องไห้เพราะดีใจอีก
แต่ก็รักนะ...จุ๊บจุ๊บ.. :L1:  :L1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 25-10-2018 13:20:41
ถึงนาวีจะไม่เหลือใคร


 แต่นาวียังเหลือป้านะลูก


กอดนาวีคนดีที่โดดเดี่ยว
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.26] 24/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-10-2018 21:02:19
ทีมแม่นาวีด้วยคนค่ะ
สองคนรักกันก็ดีใจด้วย ส่วนนาวีป้าจะดูแลเอง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 27-10-2018 17:16:01
Episode 27

 

คุณเป็นความรักที่แสนธรรมดา
แต่ว่าผมไม่เคยเบื่อเลย




ภูผา :



ผมกลับมาที่บ้านหลังจากแยกกับนาวี เราหันหลังให้กันในตอนที่หยดน้ำตาแห้งหายกลายเป็นความเข้าใจ จึงไม่มีสิ่งใดติดค้างในความสัมพันธ์ที่เคยซับซ้อน เรื่องระหว่างนาวีจบลง แต่เรื่องของผมกับธงทัพ ยังคงสับสน

ผมไม่รู้จะกลับไปหาธงทัพดีไหม ธงทัพจะให้อภัยผม หรือว่ายังต้องการผมอยู่หรือเปล่า ความคิดผมวกวนอยู่อย่างนั้นไม่จบสิ้น

ความผิดที่ผมทำ ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ามันคือความพลาดพลั้ง แต่อีกด้านหนึ่งของความคิดก็กำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยการโต้แย้ง...ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อน้ำหนักของความลังเลมีมากกว่าความมั่นใจ ผมจึงปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับการใช้ชีวิตอย่างผิดเพี้ยน นอนจมอยู่กับกองฝุ่น ไม่ได้ออกไปกินข้าว ไม่รู้เวลาเพราะเข็มนาฬิกาหยุดเดินไปนานแล้ว ผมขังตัวเองไว้กับการสำนึกผิดและความเงียบงัน

เริ่มโหยหาแสงสว่างก็ในตอนที่ความมืดเข้ามาแทนที่จนมองไม่เห็นอะไรเลย ผมจึงยอมลุกออกจากที่นอน ตั้งใจจะไปเปิดไฟ   

 

"แกรก..."

 

มือที่กำลังจะแตะสวิทซ์ไฟหยุดกะทันหันตอนที่ผมได้ยินเสียงประตูอีกบานจากด้านนอกกำลังถูกเปิด เสียงฝีเท้าใกล้ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ขณะที่ผมยังคงอยู่กับที่ สิ่งเดียวที่กำลังเคลื่อนไหวน่าจะเป็นหัวใจที่เต้นเร็วจนผิดจังหวะ ผมกำลังจะเปิดประตูออกไป ในจังหวะเดียวกันกับที่คนข้างนอกเปิดประตูเข้ามา

"อย่าขยับ!"

ผมหยุดนิ่งตามคำสั่ง แสงไฟสลัวจากด้านนอกพอจะส่องสว่างให้มองเห็นว่าวัตถุสีเงินที่กำลังชี้อยู่ที่หน้าผมคือปลายกระบอกปืนที่อยู่ในมือของ...ลุงวุธ

"ภูผา!"

"ผมเองครับ"

"โธ่! ลุงก็นึกว่าใคร"

ลุงวุธลดปืนลงแล้วก้าวเท้าไปเปิดไฟ เมื่อแสงสว่างเข้ามาแทนที่ ผมจึงได้เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ร่างกายผมยังคงขยับไม่ออก นอกจากสายตาที่มองตามปืนกระบอกนั้นที่เมื่อครู่มันจ่ออยู่ตรงหน้าผม

"ภูผา ตกใจเหรอ ลุงขอโทษ"

สองขาผมพากันหมดเรี่ยวแรงจนทรุดลงต่อหน้าลุงวุธ ผมไม่ได้ตกใจ...แต่ผมกำลังเสียใจ

ไม่รู้เลยว่าการถูกปืนจ่อหัวมันจะน่ากลัวแบบนี้ แต่ผมเพิ่งจะทำ...

"ผมทำแบบนี้กับธงทัพ"

"ว่าอะไรนะ"

"ผมใช้ปืนขู่ธงทัพ ผมทำแบบนี้ ผมกล้าทำได้ยังไง! ทำลงไปได้ยังไง!" ผมกำลังร้องไห้และโวยวายไร้สติ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าความผิดของผมมันร้ายแรงถึงเพียงนี้ ผมหันกระบอกปืนเข้าหาธงทัพแล้วก็หนีมากับนาวี ผมยังคาดหวังที่จะได้รับการให้อภัยหลังจากที่ทำให้ธงทัพใจสลายไปแล้ว...โคตรแย่เลย

เมื่อใจเย็นขึ้นแล้วผมจึงเอาปืนกระบอกนั้นคืนให้ลุงวุธ และค่อยๆ เล่าเรื่องทุกอย่างให้ลุงวุธฟัง ลุงวุธคือคนที่ไม่เห็นด้วยในความสัมพันธ์ของเรามาตั้งแต่แรก แต่ลุงวุธเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมในตอนนี้ เรื่องที่อัดอั้นก็ถูกเล่าผ่านเสียงสะอึกสะอื้นและน้ำตาที่ไหลออกมาอีกรอบ 

"ผมรักธงทัพจริงๆ นะครับลุง"

"..."

"ผมขอโทษ"

สองมือของลุงวุธยกขึ้นจับไหล่ผม แล้วเอ่ยบางคำออกมาให้ผมฟัง

"ลุงเข้าใจแล้ว ภูผา"

"..."

"ลุงเข้าใจแล้ว"

น้ำตาทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวแต่ผมก็มองเห็นรอยยิ้มของลุงที่ส่งมาให้ คำว่าเข้าใจของลุงวุธ หมายความเช่นไร...ความคิดของผมเต็มไปด้วยคำถาม พยายามหยุดร้องไห้แล้วพูดคุยกับลุงวุธให้รู้เรื่องกว่านี้ แต่น้ำตามันไม่ยอมหยุดง่ายๆ

"ไม่เป็นไร ภูผา ร้องออกมาเถอะ ไม่เป็นไร"

กอดของลุงวุธปลอบประโลมผมอย่างใจเย็น ผมใช้เวลาในการร้องไห้จนกระทั่งน้ำตาแห้งหายไปโดยไม่ได้พยายาม เมื่ออารมณ์กลับมาเป็นปกติ ลุงวุธยังคงอยู่ข้างๆ

"โอเคขึ้นไหม"

"ครับ"

"ไม่เป็นไรแล้วนะ"

ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง อยากพูดเรื่องเดิมต่อ และคล้ายว่าลุงวุธจะอ่านใจผมออก จึงเป็นคนเปิดบทสนทนานั้นขึ้นมาเอง

"ลุงเข้าใจแล้ว เรื่องระหว่างธงทัพกับภูผา"

"ลุงเคยบอกว่าไม่เห็นด้วย"

"ลุงผิดเอง ลุงขอโทษ"

"..."

"ลุงแค่คิดถึงพิมมากเกินไป"

ผมหันมองลุงวุธที่พูดถึงแม่ขึ้นมา

"ลุงคิดแค่ว่า ถ้าหากพิมยังอยู่ ธงทัพกับภูผาก็น่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่า ภูผาก็เหมือนลูกอีกคนของลุง สถานะระหว่างธงทัพกับภูผา จึงไม่ควรเป็นแบบนี้ ลุงคิดว่าถ้าพิมยังอยู่ พิมก็จะเห็นด้วยกับลุง"

"..."

"แต่พิมไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าพิมจะกำลังรู้สึกยังไง..."

ผมเคยสงสัยมาตลอดว่าลุงยังรักแม่อยู่ไหม ผมได้คำตอบ จากหยดน้ำตาของลุงวุธที่ไหลออกมา เพื่อบอกกับผมว่า ลุงวุธก็ยังคงคิดถึงแม่เช่นกัน

"แต่ผมว่า ถ้าแม่ยังอยู่แม่คงดีใจนะครับ"

"งั้นเหรอ"

"แม่อยากให้ผมกับธงทัพเข้ากันได้มาตลอดเลย ถ้าแม่รู้ว่าผมกับธงทัพรักกันขนาดนี้ แม่คงจะดีใจ"

"นั่นสินะ" ลุงวุธยิ้มให้ผม

"แต่ลุงไม่ได้ไม่ชอบผมใช่ไหมครับ"

"แค่โมโหน่ะ"

"..."

"ก็ภูผาดื้อกับลุงก่อนนี่"

"ผมขอโทษครับ"

ลุงวุธยิ้มอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ผมเบาๆ

"ลุงเองก็ต้องขอโทษที่ไม่เข้าใจ"

"ผมยังคงเป็นลูกอีกคนของลุงวุธอยู่ใช่ไหมครับ"

"ใช่สิ"

"..."

"จะเรียกพ่อก็ได้นะ"

ทั้งผมและลุงวุธหัวเราะออกมาพร้อมกัน

"กลับไปหาธงทัพไหม เดี๋ยวลุงไปส่ง"

"ผมกลัว..."

"กลัวอะไร"

"ผมไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าธงทัพไม่ให้อภัยผม"

"ธงทัพมันเคยบอกลุงว่าจะไม่มีวันปล่อยมือภูผา มันสัญญาเอาไว้แบบนั้นไม่ใช่เหรอ"

"..."

"ตั้งแต่ลุงเป็นพ่อมันมา ยังไม่เคยเห็นมันผิดสัญญาสักครั้งเลย"

ริมฝีปากของผมขยับเป็นรอยยิ้ม เพราะคำพูดของลุงวุธที่ทำให้ผมอยากกลับไปหาธงทัพ ไม่ว่าจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยที่สุด ผมต้องพาคำขอโทษของผมไปมอบให้ธงทัพด้วยตัวผมเอง

"ไปเถอะ ไปหาธงทัพกัน เดี๋ยวลุงไปส่ง"

"ครับ"

"แต่อย่าเพิ่งบอกธงทัพล่ะว่าลุงยอมแล้ว"

"ทำไมล่ะครับ"

"อยากแกล้งมันน่ะ"

ลุงวุธหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนก่อนยื่นมือมาฉุดให้ผมลุกขึ้นด้วย ลุงวุธยิ้มให้ผมอีกครั้ง ด้วยความรู้สึก ผมคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูใจดีเหมือนอย่างวันแรกที่แม่พาลุงเข้ามาในชีวิต

อบอุ่นและพึ่งพาได้

คล้ายว่าลุงวุธกำลังทำให้ผมยอมที่จะยกตำแหน่งหนึ่งซึ่งว่างเว้นเอาไว้มาตลอดชีวิตให้ลุงแต่โดยดี แม้จะเคอะเขินกับการเรียกขานแบบนั้นเป็นครั้งแรก แต่ผมก็อยากลองพูดมันออกไป...เป็นครั้งแรกในชีวิต

"ขอบคุณนะครับ"

"..."

"พ่อ"

 

...

 


ผมเกือบทำให้คนที่สำคัญเท่าชีวิตอย่างธงทัพต้องสูญหายไปจากชีวิต หากแต่ความผิดของผมได้รับการให้อภัยจากคนที่ใจดีกับผมมาตลอด คล้ายกับว่าธงทัพ ได้ต่อลมหายใจ ให้วันพรุ่งนี้ของผมยังคงมีความหมาย

หลังจากที่ความเข้าใจเข้ามาแทนที่ บรรยากาศในห้องนี้จึงกลับมาเป็นเช่นเดิม แต่สักพักหนึ่งแล้วที่ผมรู้สึกว่าธงทัพเอาแต่จ้องผมอยู่อย่างนั้น ผมหันไปกี่ทีก็เจอสายตาของมันที่ไม่ละไปไหน จึงต้องเอ่ยถาม

"มองอะไร"

"จริงๆ กูอยากจะกัดมึงสักที"

"ฮะ?"

"ลงโทษที่มึงดื้อไง มาให้กัดสักทีเถอะ"

"เฮ้ย!"

ผมร้องลั่นตอนที่มันขยับมาจับไหล่ผมกดให้อยู่กับที่ แล้วอ้าปากกัดเข้ามาจริงๆ ด้วยแรงที่มากพอจะทิ้งรอยฟันเอาไว้ตามร่างกาย ตรงนั้นที ตรงนี้ที

"เจ็บนะ! ธงทัพ! พี่ธงทัพ!"

"กัดให้ตายไปเลย!"

"ธงทัพโว้ย!"

ธงทัพเหมือนหมาตัวใหญ่ที่กำลังขยำลูกเป็ดอย่างผมให้จมเขี้ยว สู้แรงของมันไม่ได้เลยแม้พยายามจะดิ้นหนี กระทั่งมันหยุดไปเองเพราะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

"ไอ้หมาบ้า!"

ธงทัพนอนกลิ้งชักดิ้นชักงอเพราะหยุดขำไม่ได้ ผมไล่สายตามองเนื้อตัวที่แดงช้ำกับน้ำลายหมาที่เลอะไปทั้งตัว ก่อนยกมือทุบมันคืน

"ธงทัพ! กูเกลียดมึง!"

หยุดขำกะทันหัน ลุกพรวดขึ้นมามองตาขวางแล้วถามเสียงแข็ง   

"เกลียดกูเหรอ"

"กูล้อเล่น" ผมว่าพลางยกมือเกาะแขน แต่ถูกสะบัดทิ้งในทันที 

"ไม่ต้องมาแตะ" ธงทัพกระแทกเสียงใส่แล้วนอนหันหลังให้อย่างไม่ใยดี   

"โห่! อย่างอนดิ กูพูดเล่น"

"กูเพื่อนเล่นมึงเหรอ!"

"ขอโทษครับพี่"

"เขยิบไปเลย เกลียดกูก็อย่ามานอนใกล้กู"

"พี่ทัพ"

"ไม่ต้องมาอ้อน เขยิบไปไกลๆ เลย"

ธงทัพบอกให้ผมเขยิบออกไป แต่ผมทำกลับกันด้วยการยิ่งเขยิบเข้าไปใกล้  ยิ่งธงทัพบอกให้ไกลอีก ผมก็จะยิ่งใกล้อีก

"บอกให้เขยิบออกไป"

"ก็อยากอยู่ใกล้ๆ พี่"

"รำคาญ!" ปากบอกอย่างนั้นแต่ยอมยกแขนขึ้นกอดแล้วดึงผมไปนอนหนุนแขนนั่น เราจึงใกล้กันจนไม่มีระยะห่าง ผมกอดธงทัพเอาไว้ เคยมีบางคำที่ออกจากปากได้ยากเย็น แต่วันนี้พูดออกไปหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังอยากพูดอีก...

"ภูรักพี่นะ"

...อีกพันครั้งก็ยังได้

"ชอบเวลามึงเรียกพี่จัง เหมือนได้เป็นพี่มึงจริงๆ"

"พี่หมา"

ธงทัพหันขวับมองตาขวาง ก่อนยกมือเขกหัวเบาๆ ทีหนึ่ง เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน

"พี่ทัพ"

"ฮึ?"

"เบื่อคำว่าขอโทษหรือยัง"

"..."

"อยากขอโทษอีกสักครั้ง"

เมื่อพูดจบ ผมกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของธงทัพ ขยับไปที่ข้างแก้ม ก่อนจบลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย รอยจูบแทนทุกคำขอโทษและบอกรักไปพร้อมๆ กัน จบรอยจูบนั้น เราต่างคนต่างยิ้มให้กัน ก่อนธงทัพบอกกับผม...

"ขอโทษเหมือนกันนะ"

"เรื่องอะไร"

"คืนนี้กูคงทำให้มึงร้องไห้อีกแล้ว"

อ่านความปรารถนาผ่านแววตาคู่นั้น ผมก็เข้าใจดี ก่อนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความต้องการของกันและกัน 

อุณหภูมิแอร์เย็นเฉียบเมื่อร่างกายเปลือยเปล่า แต่เราเอาชนะความหนาวด้วยโอบกอดที่อบอุ่นของกันและกัน ธงทัพแกล้งผมอีกครั้งด้วยการทำตัวเหมือนหมา แต่เปลี่ยนจากรอยเขี้ยวเป็นรอยจูบ ตรงนั้นที ตรงนี้ที...ทั่วเรือนร่าง

ฝังรอยแดงช้ำไว้อย่างชอบใจ เห็นทีว่าผมต้องเอาคืนบ้าง...ในแบบเดียวกัน 

ริมฝีปากของผมแตะเข้าทุกส่วนของร่างกายธงทัพ ก่อนสุดท้าย ผมฝากรอยจูบเอาไว้บนรอยสักรูปสามเหลี่ยมที่อกข้างซ้ายของธงทัพ ตำแหน่งเดียวกันกับหัวใจ ธงทัพบอกผม ที่เห็นนั่นคือภูเขา

พูดให้ถูกคือ...ภูผา

"ภูรักพี่ทัพ"

ผมพูดอีก

จะครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้านมันก็ยังเป็นความรัก ผมสาบานได้ ไม่ใช่แค่คำพูดแต่ความรักเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ธงทัพรู้จักผมดี และรู้ใจผมมากกว่าใครในโลก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากย้ำให้เชื่อ...ว่าชีวิตที่เหลือผมจะยกให้ธงทัพคนเดียว

"ภูรักพี่จริงๆ นะ"

"รู้แล้ว"

ตอบกลับอย่างแผ่วเบา แล้วจูบผมอีกครั้ง ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหว ทั้งร่างกายของธงทัพ การตอบสนองของผม ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และความรัก ทุกอย่างหลอมรวมเราเข้าด้วยกัน 

เราอบอุ่นด้วยผิวเนื้อของกันและกัน มอบรอยจูบที่ลึกซึ้ง สัมผัสที่คุ้นเคย เสียงบอกรักที่แหบพร่า พาเราดำดิ่งสู่ความปรารถนาด้วยความตั้งใจ ธงทัพทำให้ผมร้องไห้ แต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมา...ด้วยความรักและยินดี 

 

...

 

 

เที่ยงของวันเสาร์ เรามาอยู่ในร้านอาหารที่ลุงวุธนัดเรามาเพื่อกินข้าว ผมยังไม่ได้บอกธงทัพเรื่องที่ลุงวุธเข้าใจในความสัมพันธ์ของเราแล้ว คนข้างๆ จึงดูกังวลจนเห็นได้ชัด

"พ่อไม่มาสักที เราหนีไปกันเถอะ"

"บ้าดิ จะหนีไปไหน"

"ทำไมพ่อต้องอยากกินข้าวกับเราด้วยวะ จะมาหาเรื่องอะไรอีก"

ผมทำได้แค่ยิ้ม อีกคนก็บ่นไม่หยุดตามประสา

"แล้วทำไมช่วงนี้พ่อมากรุงเทพฯ บ่อยจังวะ ไม่ใช่ว่ามีเมียใหม่อยู่ที่นี่นะ"

"จะบ้าเหรอ!"

"ใครจะไปรู้ล่ะ ไม่มีงานมีการทำหรือไง ว่างเมื่อไรก็มาโผล่ที่นี่ตลอด น่าสงสัยจะตาย"

เพราะคำพูดเหล่านั้น ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า มีคำถามหนึ่งที่เคยค้างคาในใจและไม่เคยได้ถาม จึงใช้โอกาสนี้พูดมันออกมา

"ถามจริงๆ ตอนที่ลุงวุธคบกับแม่กู มึงไม่โกรธแม่กูเหรอ"

"แม่มึงใจดีนะ ซื้อนมช็อกโกแลตให้กูกินด้วย"

"นมช็อกโกแลต?"

"อืม พอรู้ว่ากูชอบก็ซื้อมาให้กูตลอดเลย"

"รู้ไหมแม่ซื้อแต่นมรสจืดให้กู"

"จริงดิ น่าสงสาร"

"แม่ลำเอียงอะไรแบบนี้วะ"

ธงทัพหลุดหัวเราะ ก่อนหันบอกผม

"ถ้าให้พูดตรงๆ ตอนแรกกูโกรธแม่มึงเหมือนกันนะ กูคิดว่าถ้าไม่มีแม่มึง ครอบครัวกูคงไม่ต้องแยกกัน แต่พอเริ่มโตก็เข้าใจ ต่อให้ไม่มีแม่มึงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป"

"..."

"กูก็เคยไม่เห็นด้วยกับพ่อ แต่ตอนนี้ก็เข้าใจ..." ธงทัพหยุดชะงักไปคล้ายกำลังใช้ความคิด นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนผมเอ่ยถาม

"มีอะไรเปล่า"

"ไม่มีอะไร"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ แม้จะแสดงละครไม่เก่งเท่าไรนัก แต่หน้าตาธรรมดาๆ ของผมคงเหมือนคนที่กำลังกังวลใจกับอะไรสักอย่างอยู่แล้วเลยไม่ยากนักถ้าจะแกล้งทำเป็นเครียดไปด้วย หวังว่าธงทัพจะไม่โกรธผม ถ้ารู้ว่าผมร่วมมือกับลุงวุธและป้าอรในการกลั่นแกล้งลูกชายในครั้งนี้ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ลุงวุธกับป้าอรก็เดินเข้ามาในร้านพอดี

"แม่มาด้วยว่ะ ทำไมกูตื่นเต้นจัง" หันบอกกับผม ก่อนหันไปยิ้มให้แม่ตัวเอง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บทสนทนาทักทายเริ่มต้นขึ้น ก่อนความอึดอัดเข้าปกคลุมพื้นที่ ในตอนที่ธงทัพเริ่มเข้าเรื่องเลย   

"พ่อมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ"

"กินข้าวก่อนไหม"

"พูดเลยก็ได้"

ธงทัพเลื่อนมือมาจับมือผม ขณะสายตายังคงมองอยู่ที่ลุงวุธ

"พ่ออยากให้..."

"ผมรักภูผาครับ"

ธงทัพพูดโพล่งคำพูดขึ้นมา พร้อมยกมือที่จับกันไว้ขึ้นวางบนโต๊ะ เราทั้งหมดเงียบ เว้นแต่ธงทัพที่พูดต่อด้วยประโยคยืดยาวกล่าวถึงความในใจของตัวเอง

"ต่อให้พ่อจะไม่เห็นด้วย ก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่าผมกับภูผารักกัน พ่อไม่ชอบก็เรื่องของพ่อนะ แต่ผมเปลี่ยนใจไปจากภูผาไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำยังไงให้พ่อเข้าใจ แต่ยังไงผมก็รักภูผาอยู่ดี ผมกับภูผาก็จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ แล้ววันหนึ่งพ่อจะเข้าใจเอง ผมเชื่อแบบนั้น"

"แต่พ่อ..."

"พ่อไม่ต้องพูดเลย! ยังไงพ่อห้ามอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้จะทำให้เรื่องมันยุ่งตั้งแต่แรกทำไม ทีแม่ยังไม่ว่าอะไรสักคำเลย ใช่ไหมแม่"

"ก็...จ้ะ"

"พ่อไม่รู้หรอกว่าผมรักภูผาขนาดไหน"

"..."

"ผมรักภูผาครับพ่อ"

เป็นความรัก เป็นโลกทั้งใบ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กัน ธงทัพเป็นอย่างนั้นมาตลอดหลายปี และผมเชื่อว่าลุงวุธกับป้าอรก็จะรับรู้ได้ พอๆ กับที่ผมได้รับรู้ ผ่านคำพูดเหล่านั้น ผ่านมือที่จับกันไว้แน่น ผ่านน้ำตาของธงทัพที่เคลื่อนผ่านแก้มทั้งสองข้างก่อนรีบเช็ดมันออกไปแล้วยืนหยัดคำเดิมด้วยความหนักแน่นอีกที   

"ผมรักภูผาจริงๆ ครับพ่อ"

รอยยิ้มของลุงวุธปรากฏชัด ก่อนป้าอรหลุดหัวเราะเป็นคนแรก หัวคิ้วของคนข้างๆ ขมวดเข้าหากัน มองหน้าพ่อกับแม่ตัวเองสลับกันไปมา

"ขำไรแม่"

"โทษทีลูก ทัพฟังพ่อก่อนไหม ว่าพ่อจะพูดอะไร"

"พูดมาดิพ่อ"

"เอาซะลืมเลยว่าจะพูดอะไร"

"ตลกป่ะพ่อ จะพูดอะไรก็พูดมา พูดเลย เอาเลย"

"พ่อแค่อยากให้ช่วยออกแบบสวนหน้าบ้านใหม่ให้หน่อย ทำไมต้องทำเหมือนพ่อเป็นคนใจร้ายขนาดนั้น"

ธงทัพนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากเงียบเพื่อใช้ความคิดก็คงจะจับต้นชนปลายได้ พยักหน้าเบาๆ ด้วยความเข้าใจ ก่อนหันมองผม

"มึงรู้เรื่องกับเขาด้วยไหมเนี่ย"

"รู้"

สบถคำหยาบแล้วดึงมือออกไปด้วยแววตาขุ่นเคือง เมื่อรู้ตัวว่าถูกแกล้งก็โวยวายออกมาทันทีตามนิสัย

"ตลกกันมากไหมเนี่ย ฮะ?!"

"ไม่ร้องนะ"

"ร้องไปแล้วโว้ย! อะไรของพ่อกับแม่เนี่ย!"

"ออกแบบสวนให้พ่อหน่อย"

"มาจ้างดิ! ใครเขาจะทำให้ฟรีกัน! ภูผา มึงนี่มัน..." ธงทัพดูจะแค้นผมกว่าใคร จึงหันมองตาขวาง ก่อนยกมือขึ้นบีบแก้มผมแรงๆ ทีหนึ่ง         

"เจ็บ!"

"สมควร!"

ผมส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนทำคืนบ้าง เหมือนเรากำลังแข่งกันว่าใครจะยอมก่อน สุดท้ายผมเป็นฝ่ายแพ้ เพราะกลัวว่าแก้มจะแตกคามืออีกฝ่ายจึงยกธงขาว

"ยอมแล้ว ยอม"

ผมปล่อยมือออกจากแก้มธงทัพ อีกคนยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่จะปล่อยมือออกจากแก้มไป ผมกำลังจะขยับปากด่า แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อธงทัพยื่นปากมาชนปากผมทีหนึ่ง เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่เพราะว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น ผมจึงเขินแทบมุดพื้นหนี 

"เอาเป็นว่าไม่โกรธพ่อแล้วนะ พ่อขอโทษ"

"ครับพ่อ"

ผมกับธงทัพตอบรับด้วยคำพูดเดียวกัน พี่หมาหูกระดิกตอนที่ผมเรียกลุงวุธว่าพ่อ หันขวับมามองแบบงงๆ ผมได้แต่ยักไหล่นิดๆ ก่อนรอยยิ้มของเราทั้งหมดจะปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่อาจละทิ้งความจริงที่ว่า เราไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แม้บางครั้งเราอยู่ด้วยกันเพียงชั่วคราว แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังเป็นครอบครัว เป็นคนที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตของผม นอกจากคำขอโทษ มีคำขอบคุณของผม ที่อยากส่งไปให้พวกเขา...มากมายเป็นพันๆ ครั้ง ก็ยังไม่เพียงพอ

 

...

 

ชีวิตผมกลับเข้าสู่ความเรียบง่ายอย่างที่เคยเป็นมา ตื่นแต่เช้าไปทำงาน บางวันธงทัพไปส่ง บางวันมันไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่าผมออกมาทำงานแล้ว ยังคงมีบางอาทิตย์ที่ธงทัพทำงานหนัก อดหลับอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ แม้เป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีบางครั้งที่ผมไม่พอใจบ้าง ผมไม่อยากให้ธงทัพทำงานหนักเกินไป เพราะปวดใจทุกทีตอนที่เห็นมันไม่สบาย แต่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ นอกเสียจากอยู่ข้างๆ กันเพื่อเป็นกำลังใจ   

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ธงทัพจะกลับดึก เพราะบอกผมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่ามีงานเลี้ยงที่ออฟฟิศ ผมไม่ได้ถามไถ่รายละเอียดอะไรมากนัก ช่วงหลังมานี้ธงทัพก็ไม่กลับไปแตะต้องเหล้าอีกเลย เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงานก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เมากลับมาให้เป็นห่วงแน่นอน

ช่วงนี้มีกิจกรรมหนึ่งที่ผมมักจะทำก่อนนอน คือผมเริ่มอ่านหนังสือที่ธงทัพให้ อาจใช้เวลานานหน่อยกว่าจะจบเล่ม แต่ก็จบลงจนได้ ค่อยๆ อ่าน ซึมซับเนื้อหาพวกนั้น แล้วเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ ผมเพิ่งเข้าใจว่า การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องที่สนุกอยู่เหมือนกัน

 

"ครืด...ครืด..."

 

ผมละสายตาจากหนังสือแล้วหันมองมือถือที่กำลังสั่น เห็นว่าเป็นธงทัพจึงกดรับ

(ภูผา มารับหน่อยดิ)

"เมาเหรอ"

(เปล่า เมื่อเช้ากูไม่ได้เอารถมา ดึกแล้วไม่มีรถกลับ)

ผมหันมองนาฬิกาที่หัวเตียงเห็นว่าดึกมากแล้ว ผมเองก็ลืมเวลาไปเลยเหมือนกัน   

(มารับหน่อยได้ไหม)

"ก็ได้ รอก่อน"

ผมกดวางสาย แล้วเดินไปหยิบกุญแจรถ แล้วตรงไปรับธงทัพที่ออฟฟิศ ผมเดินเข้ามาในตึกที่ชั้นล่างถูกจัดให้เป็นงานเลี้ยงขนาดย่อม มีวงดนตรี และโต๊ะอาหาร เลื่อนสายตาผ่านแสงสีเสียงพวกนั้นเพื่อมองหาธงทัพ ก่อนต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง

"พี่ภูครับ"

"อ้าว ปอ"

"พี่ทัพอยู่นู่นครับ ไม่เมา เพราะไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเลยครับ"

ผมพยักหน้ารับปอที่ช่วยยืนยัน

"ว่าแต่ มีงานอะไรกันเหรอ"

"เลี้ยงส่งพนักงานครับ ออฟฟิศสาขาใหญ่ที่ซิดนีย์เขาให้พนักงานไปประจำที่นู่นสามคน ทางนี้เลยจัดงานเลี้ยงส่ง หรือไล่ส่งก็ไม่รู้นะครับ"

"อ๋อ"

"ผมเป็นหนึ่งในสามด้วยนะ"

"ฮะ?"

ปอพยักหน้ายิ้มๆ 

"เฮ้ย ดีใจด้วย เก่งว่ะ"

"ไม่เก่งหรอกเลยครับ แค่โชคช่วยต่างหาก" พูดด้วยความถ่อมตัว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผม ปรับสีหน้าเป็นปกติ

"พี่ภูครับ"

"ฮึ?"

"ผมขอโทษนะครับ"

"ขอโทษ? เรื่องอะไร"

"แค่อยากขอโทษน่ะครับ ผมคิดว่า...น่าจะต้องขอโทษพี่สักครั้งหนึ่ง"

ผมพลันคิด เรื่องที่เคยบังเอิญได้ยิน เรื่องที่ปอเคยบอกว่าชอบธงทัพ คำขอโทษน่าจะมาจากเรื่องนั้น ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจ ความหึงหวงทำให้ความคิดผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ปอไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจึงโต้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ ผ่านรอยยิ้มนั้นผมพูดซ้ำๆ...ว่าไม่เป็นไร 

"เออ พี่ภูครับ พี่รู้ไหมว่าพี่นาวีไปกับผมด้วยนะ"

ผมหันมองหลังจากได้ยินชื่อนั้น ในตอนนั้นเจ้าของชื่อก็มาปรากฏอยู่ในสายตา ในระยะไกลนั่น ผมเห็นนาวีที่กำลังยืนคุยและหัวเราะอยู่กับคนอื่น ไม่ทันได้พูดอะไร คนไกลๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็หันมาเห็นผมเข้าพอดี 

ผมยิ้มให้นาวี นาวียิ้มกลับมา ผมขยับปากบอกโดยไม่มีเสียง

 

"โชคดีนะ"

 

นาวีตอบกลับในแบบเดียวกัน

 

"ขอบคุณ"

 

เท่านั้นก็เพียงพอ...

 

"ภูผา"

ผมหันมองธงทัพที่เดินเข้ามาหาพอดี คนตรงหน้ารีบอธิบาย

"กูไม่ได้เมานะเว้ย แต่กูไม่รู้จะกลับยังไง ตอนแรกว่าจะให้พี่แต้มไปส่ง แต่แม่งเมาเละ กูไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง"

"เออ รู้แล้ว ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"

"แล้วเมื่อกี้มึงพูดอะไรกับใคร"

"นาวี"

"..."

"แต่ไม่ได้คุยอะไรเลยนะ แค่บอกว่า..."

ธงทัพยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากผม

"ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"

"คิดว่าจะโกรธ"

"ไม่โกรธหรอก"

"..."

"ทะเลาะกันแล้วไม่มีความสุข"

ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นเพื่อรอให้อีกคนมาจับ ก่อนเดินออกไปจากตรงนี้

เราต่างคนต่างผ่านเรื่องราวที่หนักหนามาด้วยกัน ล้มลุกคลุกคลาน ทั้งร้องไห้และเจ็บปวด ถ้าวันนั้นเราจับมือกันไม่แน่นพอ วันนี้ชีวิตผมคงหลุดลอยไปไกล ธงทัพไม่เพียงแต่ประกอบเศษเล็กเศษน้อยของชีวิตที่เคยแตกสลาย แต่ยังประคับประคองมันให้ปลอดภัยดีจนถึงทุกวันนี้ ที่ชีวิตผมยังคงเป็นชีวิต ก็เพราะว่ามีธงทัพอยู่ด้วย เหมือนเดิมอย่างที่เคยพูดไปจนไม่ได้นับว่ากี่ครั้ง ผมยังยืนยันคำเดิม ว่าสำหรับผม

 
ธงทัพยังคงสำคัญเท่าชีวิต...


 

To be continued.


ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายอีกตอนนะคะ ไว้เราไปบอกลากันตอนหน้านะคะ  :mew1: :mew1:

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-10-2018 17:41:16
ขอให้ทุกคนอยู่ดีมีความสุข
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 27-10-2018 18:37:56
อบอุ่นหัวใจ
รักความรักของธงทัพจังเลย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-10-2018 19:43:58
ขอบคุณลุงวุธที่เข้าใจน้องนะคะ พี่ทัพดูแลน้องดีๆ น้าาา แล้วก็นาวี ขอให้นาวีมีแต่ความสุขนะคะ จากนี้ไปก็ปล่อยวางอดีตแล้วมูฟออนได้แล้ว  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Patsz ที่ 27-10-2018 19:46:23
ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจกัน ตอนหน้าจบแล้ว อยากให้มีตอนพิเศษของนาวีจัง
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-10-2018 19:53:19
ทุกอย่างลงตัว ครอบครัวชื่นมื่น
คนอกหักก็ดูแลกันไปนะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 27-10-2018 20:21:11
ขอบคุณรชาจากหัวใจขอบคุณที่ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้ไปไหนดีใจที่ได้ร่วมเดินทางมาจนถึงตอนสุดท้ายนะคะ
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-10-2018 20:58:05
เข้าใจกันแล้ว.......... :mew1: :mew1: :mew1:

นาวี กับปอ มีความเป็นไปได้ไหมนะ  :กอด1:

ธงทัพ  ภูผา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.27] 27/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ppreaww ที่ 27-10-2018 22:27:16
อุ้ยๆ จะมีนาวีกับปอไหมนะ :impress2:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 28-10-2018 15:40:11
Epilogue

 

ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
มันก็จะกลายเป็นความทรงจำ

 

 

ธงทัพ :

 


งานสัปดาห์หนังสือวนกลับมาอีกครั้ง ผมเพิ่งมีโอกาสได้มาเดินดูหนังสือเกือบวันสุดท้ายของงานเพราะเพิ่งจะว่าง ใช้เวลาอยู่นานในการเลือกซื้อหนังสือ รู้ตัวอีกทีก็มากมายจนหอบหิ้วแทบไม่ไหว มองหาภูผาที่มาด้วยหวังจะให้ช่วย แต่หายเงียบไปไหนแล้วไม่รู้ ทั้งที่บอกว่าให้รอตรงนี้ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ มองหาภูผาที่หายไปในจำนวนผู้คนมากมาย 

"อยู่นี่"

ผมหันขวับมองเสียงที่แทรกมาจากด้านหลัง

"นึกว่าหายไปไหน"

"เอาอีกแล้ว ทำเหมือนกูเป็นเด็กอีกแล้ว กูไม่หลงหรอก แค่ไปดูหนังสือตรงนั้นมา"

"ก็กูเป็นห่วงนี่"

"จับมือกันไหม"

"ฮะ?"

ภูผาตรงเข้ามาหยิบหนังสือไปจากมือผมส่วนหนึ่ง เมื่อมือข้างนั้นว่างก็สอดมือตัวเองเข้ามาให้ผมจับแล้วพาผมเดินต่อไป 

"เห็นมึงกำลังสนใจหนังสือ คิดว่าไม่ได้สนใจกู"

"มีตอนไหนที่กูไม่สนใจมึงด้วยเหรอ"

ภูผาเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม ก่อนปั้นหน้าตึงแล้วถามกลับมา

"หนังสือกับกู มึงจะเลือกอะไร"

"มึง"

"คิดดีๆ นะ"

"มึงอยู่แล้ว ยังไงก็มึง"

"แต่หนังสือมันไม่ดื้อเหมือนกูนะ"

"ดื้อแต่จูบได้ ก็ดื้อไปเหอะ ยอม"

ภูผาขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มก่อนผมจะจูงมือไปเลือกซื้อหนังสือต่อ กระทั่งความพอใจในการเลือกซื้อสิ้นสุดลงเมื่อยอดเงินคงเหลือในบัญชีสั่งให้เพียงพอ ล้มละลาย คล้ายว่าจะหมดตัว หน้ามืดตามัว เล่มนั้นก็ดี เล่มนี้ก็อยากได้ สุดท้ายก็ถังแตกอย่างที่เห็น ผมจึงชวนภูผากลับ เมื่อมาถึงห้อง ภูผาก็เริ่มบ่นทันที 

"ซื้ออะไรมาเยอะแยะก็ไม่รู้"

"ก็มันลดราคาไง บางเล่มนี่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ โคตรคุ้ม"   

"แล้วทำอย่างกับมีเวลาอ่านงั้นแหละ"

"ซื้อไว้ อุ่นใจดี"

"เดือนนี้รู้สึกว่าจะใช้เงินเกินความจำเป็นไปหน่อยนะ ไหนบอกว่าจะเก็บเงินสร้างบ้านไง จะสร้างจากหนังสือหรือไง เอาจริงๆ กูยังไม่ได้บ่นเรื่องตุ๊กตาวันพีชหน้าตาแปลกๆ ที่วางอยู่หน้าทีวีนั่นเลย ซื้อมาใหม่ใช่ไหม แอบไปซื้อมาตอนไหน ฮะ?"

"กินไอติมเร็ว เดี๋ยวละลาย"

ผมตัดบทด้วยการยื่นเค้กไอติมที่แวะซื้อมาด้วย เมื่อได้อยู่กับของที่ถูกใจ เสียงบ่นจึงกลืนหายกลายเป็นรอยยิ้มกว้างๆ แทน ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม คิดอยู่ในใจ รอดตัวไปอีกหนึ่งงาน   

 

ชั้นหนังสือที่ภูผาซื้อให้ค่อยๆ เต็มไปด้วยหนังสือและของสะสมจนแทบไม่มีที่ว่าง ภูผาบ่นที่ผมมักจะซื้ออะไรไร้สาระเข้าบ้านอยู่ตลอด แต่ก็เป็นคนที่คอยจัดวางให้เข้าที่เข้าทางและเป็นระเบียบ ชอบเวลาที่จริงจังกับการจัดหนังสือ โทนสีเดียวกันก็จะต้องอยู่ด้วยกัน เล่มใหญ่แล้วไล่มาเล่มเล็ก ความละเอียดอ่อนนั่นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาทุกที

เสียงพูดคุยของเราค่อยๆ หายกลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่ เมื่อผมจดจ่ออยู่กับหนังสือ ส่วนภูผาใช้เวลาอยู่กับเค้กไอติมเกมมือถือ ผมหันมองคนข้างๆ ที่กำลังหยิบสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตเข้าปาก ผมคิดว่าลูกมันใหญ่เกินกว่าจะกินคำเดียวแต่ภูผาก็สามารถยัดมันเข้าไปทั้งลูก อัดอยู่ในพวงแก้มพองๆ แล้วค่อยๆ เคี้ยว สตรอว์เบอร์รี่หมดปากแล้ว แต่แก้มยังพองอยู่ เพราะแก้มนิ่มๆ นี่แหละมั้ง ที่ทำให้ความน่ารักของภูผาคงเส้นคงวาตั้งแต่เด็กจนโต

เมื่อภูผาเหลือบตาขึ้นมองผมหลังจากรู้ตัว ผมก็รีบเลื่อนสายตากลับไปที่หน้าหนังสือ แต่จำไม่ได้แล้วว่าอ่านถึงบรรทัดไหน ภูผาชะโงกหน้าเข้ามาอ่านหนังสือเล่มเดียวกับผม 

"หนังสือนี่มันน่าสนใจจังเนอะ เห็นมองซะนานเชียว"

"เออ น่าสนใจๆ"

"ขนาดนั้นเลย?"

"ใช่ดิ น่ารัก แก้มพองๆ"

"หนังสือ?"

"มึงนี่แหละ"

ภูผาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนเดินไปเลือกหนังสืออีกเล่มมานั่งอ่านข้างๆ กัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนที่อยู่กับหนังสือ จะไม่มีอะไรสามารถดึงความสนใจของผมไปได้เลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เลย ความสนใจทั้งหมดถูกเทไปที่ภูผาคนเดียว

ภูผาใช้เวลาอยู่กับหนังสือได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ทำท่าจะว่าจะต้องหยุดเพราะความง่วง ใบหน้าดูงอแงกว่าปกติในตอนที่เริ่มง่วงนอน หาวสองสามรอบ ก่อนปิดหนังสือเล่มนั้นวางลงกับพื้น   

"ไม่อ่านแล้ว ง่วง"

"นอนนี่มา" ผมตบขาตัวเองเป็นเชิงบอกให้ภูผาใช้หนุน คนที่กำลังง่วงไม่ขัด ทิ้งหัวตัวเองลงบนตักของผม แล้วหลับไปอย่างง่ายดาย ส่วนตัวเองกลับไปอ่านหนังสือในมือต่อ

ผมยังคงไม่รู้ ว่าใครเป็นคนกำหนด ให้หนังสือหนึ่งเล่มต้องมีกี่บท ละครหนึ่งเรื่องต้องมีกี่ตอน หรือแม้กระทั่งว่า ตลอดกาลจะยาวนานได้สักเท่าไร ภูผาบอกผม หากปล่อยวาง ทุกอย่างจะไร้กังวล ผมเชื่ออย่างนั้น แค่จับมือกันแล้วไปข้างหน้า ปล่อยให้เมื่อวานเป็นเนื้อหาบทเก่าที่สวยงามอยู่ในความทรงจำ วันนี้เป็นบทเดิมที่วนเวียนซ้ำอย่างไม่รู้จักเบื่อ และผมพร้อมพลิกหน้าถัดไป เพื่อให้บทใหม่ได้เริ่มต้นในวันพรุ่งนี้

ใช้เวลาเท่ากับหนังสือหนึ่งเล่มที่ผมอ่านจบ ภูผาก็ตื่นพอดี ดวงตากลมๆ ค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ หน้าตาตอนตื่นนอนดูงอแงแต่ก็น่ารัก แก้มพองๆ ขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อลืมตาขึ้นมาเจอหน้าผม

ผมก้มหน้าลงไปใกล้แล้วเอ่ยปากบอก

"ลุกได้แล้ว"

"อือ"

ภูผาตอบรับ แล้วลุกขึ้นทันที ตอนที่ผมไม่ได้ขยับตัวหนี ตั้งใจให้ตำแหน่งของใบหน้าชนกันพอดีในตอนที่ภูผาลุกขึ้น ริมฝีปากทำงานได้อย่างถูกที่ถูกเวลา จูบสั้นๆ ทำให้ภูผาเขินม้วนจนต้องทิ้งตัวลงนอนที่เดิมอีกครั้ง หลุดยิ้มกว้างแล้วหลับตาหนี

"จะนอนต่อเหรอ"

"อือ"

"ตามใจ"

ผมบอก ก้มหน้าลงจูบหน้าผากภูผาเบา ย้ำให้แน่ใจผ่านรอยจูบนั้น ไม่ว่าภูผาจะตื่นมาอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังจะอยู่ตรงนี้ ทุกทีที่ลืมตาก็จะได้เห็นหน้าผมอยู่เสมอ   

เปรียบภูผาเป็นเหมือนหนังสือเล่มโปรดของผม เป็นเล่มที่มีเนื้อหาเรียบง่าย ธรรมดา แต่น่าสนใจ เป็นเล่มที่หยิบมาอ่านตอนไหนก็ได้ไม่มีเบื่อ เป็นเล่มที่อยากให้มีภาคต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีตอนอวสาน เป็นเล่มที่อ่านได้ยาวนาน...ทั้งชีวิตเลย



Next Episode , Forever.

 
จบจนได้ ฮือ ใช้เวลานานมากๆ เลยนะคะสำหรับเรื่องนี้ ปีกว่าๆ เลย นานที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยค่ะ ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมากๆ เลยนะคะ แต่กว่าจะผ่านมา ก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่เหมือนกัน ตอนที่หายไปนานๆ คิดว่าจะไม่มีคนรออ่านแล้ว ขอบคุณจริงๆ ที่ยังรอและเชื่อใจนะคะ มาถึงตอนสุดท้ายจนได้ กว่าจะจบ อาจจะถอนหายใจแล้ว ถอนหายใจอีก หนักหน่วงกันมาแทบทุกตอนเลย ผ่านเรื่องร้ายๆ สุดท้ายเราก็ต้องการแค่ความสุขจริงๆ นะคะ ขอบคุณทุกคนมากเลย ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้ มีโอกาส คงได้พบกันในเรื่องหน้านะคะ 

 
ขอบคุณที่ร่วมเดินทางและขอให้ความทรงจำสวยงามนะคะ

รัก.   
   
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 28-10-2018 15:45:18
ละมุนนนนนนน

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

เป็นเรื่องที่ทำให้เราร้องไห้งอแงตอนอ่านสะอึกสะอื้นสุดๆ
แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำให้เรายิ้มกว้างเช่นกัน

รอเรื่องถัดไปเราจะไม่พลาดแน่ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-10-2018 17:34:42
ขอบคุณสำหรับนิยายภาษาดี ๆ อีกเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-10-2018 18:08:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 28-10-2018 18:53:38
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-10-2018 19:23:55
จบอย่างอิ่มเอมใจจริงๆ   :o8: :-[ :impress2:

ธงทัพ  ภูผา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มากกกกกกก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 28-10-2018 19:30:48
ดีแล้วที่ภูผากับธงทัพมีความสุข



และป้าก็หวังว่านาวีของป้าจะมีความสุขกับงาน ที่ทำแลใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

หลุดพ้นจากพันธทางใจใดๆที่จะทำให้หนูเป็นทุกข์นะ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 29-10-2018 06:29:37
ชีวิตเกิดมาเพื่อแยกย้าย ...
จะกี่คู่เนาะ ที่จะได้อยู่ด้วยกัน, นิรันดร์

...
ขอบคุณนะคะที่เขียนให้อ่านจนจบ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 29-10-2018 14:47:49
รักมากกกว่าธงทัพก็รชานี่หละค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 29-10-2018 19:27:43
ขอบคุณคุณรชามากๆเลยนะคะสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้  :mew1:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-10-2018 10:30:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi1000 ที่ 31-10-2018 15:23:21
 :3123: :impress2:
ดีงามมากกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: yakkaru ที่ 03-11-2018 06:08:22
รักตัวละครทุกตัวเลย
เล่าเรื่องได้ดีอ่ะ กำลังคิดอยู่ว่าถ้าใส่บทพี่นาวีที่เป็นแฟนเก่ามาดื้อๆ เราคงเกลียดพี่นาวีมากแน่ๆ
แต่การที่เล่าพาร์ทอดีตก่อนเพื่อให้รู้จักเรื่องราวที่ผ่านมานีานับถือคนเขียน

ขอบคุณ​ที่แต่งเรื่องสนุกๆให้อ่านค่า
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-11-2018 06:44:58

เปรียบภูผาเป็นเหมือนหนังสือเล่มโปรดของผม เป็นเล่มที่มีเนื้อหาเรียบง่าย ธรรมดา แต่น่าสนใจ เป็นเล่มที่หยิบมาอ่านตอนไหนก็ได้ไม่มีเบื่อ เป็นเล่มที่อยากให้มีภาคต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีตอนอวสาน เป็นเล่มที่อ่านได้ยาวนาน...ทั้งชีวิตเลย



อ่านจบแล้วรู้สึกแบบนี้เลยค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะที่แต่งเรื่องนี้
ธงทัพ ภูผา นาวีจะอยู่ในใจเรา
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 21-12-2018 01:08:37
เราชอบบบบ เราชอบทุกเรื่องที่ไรท์แต่งเลยค่ะ มันมีความหน่วง แต่อบอุ่นอยู่ในตัวละครทุกๆตัวเสมอ เวลาอ่านคำบรรยายทุกๆอย่าง ทำให้เรารู้สึกร่วมไปด้วย เป็นนิยายที่ดีมากๆ คาแรกเตอร์ชัดเจนมากๆ และเราชอบความไม่โลเลของภูผา การตัดสินใจของภูผาและการยอมรับความจริงของนาวี

ชอบมากๆนะคะ อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Kuayyai ที่ 31-12-2018 22:34:50
อ่านจบแล้ว เป็นอีกเรื่องที่เสียน้ำตา
เราเข้าใจทุกตัวละครเลย มันสะท้อนให้เห็นหลายอย่าง
ดีใจที่สุดท้ายมีความสุข
หวังว่านาวีจะมีความสุขนับจากนี้
เป็นตัวละครนึงที่สงสารอ่ะ พอตอนรู้ว่าป่วยแล้วพ่อและแม่เสีย คือแบบผ่านมาได้ยังไงตัวคนเดียว
อย่างภู อย่างน้อยมีครอบครัวพี่ทัพ แต่แบบนาวีนี่คือ..เศร้าอ่ะ จริงๆ อยากให้มีภาคต่อภาคแยกของนาวีนะ 
แล้วอีกเรื่องนอกจากความรักของสามตัวละคร
ยังมีในอีกแง่คิดของคนในครอบครัว
บางทีก็อ่านแล้วเอากลับมาคิดว่าทุกวันนี้ เราใส่ใจคนในครอบครัวดีหรือยัง
บางคนอาจจะมีครอบครัวสุขสันต์ บางคนอาจจะอยู่กับแม่คนเดียว หรือกับพ่อคนเดียว อาจจะเข้าใจกัน ทะเลาะกัน แต่สุดท้ายพ่อแม่ก็รักเราที่สุดเนอะ
ดูแลกันดีๆเนอะ อภัยได้ให้อภัยกันนะ

ขอบคุณคนแต่งสำหรับเรื่องนี้มากๆครับ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 16-02-2019 01:55:20
อ่านจบแล้วว  ไม่คิดว่าจะร้องไห้เยอะขนาดนี้เลย อินกับทุกเหตุการณ์ในเรื่องเลย

นาวีสมัยมัธยมกับปัจจุบันเปลี่ยนไปเยอะมากๆๆ แต่ก็เข้าใจได้ จากเรื่องที่นาวีต้องเจอ เสียดายความสดใสในวัยเด็กของพี่นาวี อยากจะกอดแน่นๆซักทีนึง ดีใจที่พี่เลิกยึดติดกับภูผาได้แล้ว หวังว่าพี่จะมีความสุขมากๆนะ

ภูผาคือมีความน่ารักสดใสซ่อนอยู่ในความดื้อ ต่อต้านแม่มาตลอดเลย ถ้าไม่มีพาร์ทบรรยายของพี่ธงทัพก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าภูผาน่าหยิกแก้มขนาดไหน ดีใจที่ภูผาโตขึ้น กล้าที่จะเผชิญหน้ากับลุงวุธ เราชอบตอนที่ปกป้องนาวีมากเลย

พี่ธงทัพแอบคิดว่าเป็นคนร้ายๆซะอีก พอถึงพาร์ทพี่คือเป็นคนต๊องมาก เขินกับน้องตลอด แพ้อย่างราบคาบ

ขอบคุณคุณรชามากเลยนะคะ เราเสียน้ำตากับเรื่องนี้ไปเยอะมากเลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: pee122 ที่ 02-04-2019 16:08:57
 :o12: ชอบ สงสารนาวีนะ ต้องเจอคนดีเข้ามา มีภาคแยกของนาวีเถอะ

ภูผา ธงทัพ ลงตัวมากกกก
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: pee122 ที่ 02-04-2019 16:10:51
อ่านเรื่องนี้แล้วฟังเพลง แค่บ้างครั้งของ ดาเอนโดฟิน แม่ง โครตได้ฟิว
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: GAVSUREE ที่ 21-07-2019 11:25:14
พึ่งได้เข้ามาอ่าน มันเป็นความรักที่เราชอบมากเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:49:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 05-09-2020 15:36:28


 ธงทัพเล่าให้ผมฟังว่าความสัมพันธ์ของลุงวุธกับป้าอรถูกตัดขาดตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นเด็ก แต่ในตอนที่อยู่ต่อหน้าธงทัพ ทั้งสองคนก็ยังคงรักษาหน้าที่ความเป็นพ่อแม่ของตัวเองได้ดีไม่ว่ามันจะโตขึ้นเท่าไรก็ตาม แม้เป็นครอบครัว โดยชั่วคราว ก็ยังคงเรียกว่าครอบครัว



แสดงว่าแม่ภูผาไม่ใช่เมียน้อย
-ทำไมแม่ภูผาไม่คิดจะอธิบายให้ลูกฟัง แต่กลับปล่อยทิ้งไว้จนเกิดเรื่องเลยเถิด
-ทำไมธงทัพยังไปบอกเพื่อนว่าภูผาเป็นลูกติดจากเมียน้อย
คนพวกนี้ต้องการอะไร