Episode 11
แม้เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อน
แต่ยังคงไม่มีชื่อเรียก ธงทัพ : "ไอ้ภู เห็นหนังสือเล่มใหม่ที่กูซื้อมาเปล่า เสาร์ก่อนกูทิ้งไว้ที่นี่อะ"
"บนโต๊ะไม่มีเหรอ"
"ถ้ามีแล้วกูจะถามป่ะวะ"
"มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ"
"กูหาไม่เจอ"
"หาดีๆ สิ"
"มันไม่มีไง"
"ถ้ากูหาเจอ กูจะเอาสันหนังสือฟาดหน้ามึงนะ" ภูผาว่าแล้วละมือจากการรีดผ้า แล้วลุกมาที่โต๊ะหนังสือของมัน ที่รกไปด้วยเอกสารและแฟ้มงาน มันตรงเข้ามาแล้วใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีในยกแฟ้มที่วางทับอยู่ออกก็เจอหนังสือที่ผมกำลังหาอยู่
"อ้าว! ไม่เห็น"
"ไม่ได้หาเลย แล้วก็บอกว่าไม่มี"
"กูหาแล้ว!"
"ควาย" มันด่าเบาๆ ด้วยใบหน้านิ่งๆ ก่อนใช้สันหนังสือเล่มนั้นฟาดใส่กลางหน้าผากผมจริงๆ อย่างที่บอก แต่ดีที่หนังสือมันไม่หนามากก็เลยไม่เจ็บ ผมได้แต่มองตาขวางใส่แล้วดึงหนังสือเล่มนั้นมา ก่อนขยับไปนั่งอ่านหนังสือบนเตียง ส่วนมันก็กลับไปรีดผ้าต่อ
ผมจะใช้เวลาวันเสาร์อาทิตย์มาอยู่กับภูผาที่นี่ จริงๆ ก็อยากย้ายมาอยู่ด้วยเลย แต่ที่พักของมันไกลจากที่ทำงานผมมาก เดินทางไม่ไหว ก็เลยมาได้แค่วันหยุด แต่ไม่อยู่ด้วยกันตลอดเวลานั่นแหละดีแล้ว ไม่งั้นทะเลาะกันตาย มีเรื่องให้เถียงกันวันละร้อยเรื่องได้มั้ง
ผมยอมรับว่าไม่ได้ชอบหน้ามันตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน หน้าตามันก็ไม่ได้ดูมีพิษภัยหรอก เหมือนลูกเป็ดที่ชอบทำหน้าบูดๆ ทุกทีที่เจอหน้าผม ทำตัวไม่น่ารักทุกทีที่เจอพ่อกับผม โทษมันฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะผมหน้าร้ายแถมปากเสียอีก เลยดูไม่เป็นมิตร จึงไม่เคยได้คุยกันดีๆ แต่นับตั้งแต่วันที่แม่ภูผาตาย หลายอย่างมันก็เปลี่ยนไป อาจเป็นเพราะผมได้อยู่ด้วยในวันที่มันไม่มีใคร มันเลยยอมรับและไว้ใจผมมากขึ้น เรากลายเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน มันกลายมาเป็นลูกคนเล็กของพ่อกับแม่ผม แต่ไม่เคยทำตัวเป็นน้องผมเลย เถียงได้เถียงดี กับผมนี่ดื้อหัวรั้นไม่เคยฟังอะไร ไม่เรียกผมว่าพี่ด้วยซ้ำ
แต่ถึงยังไง ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยอยู่ห่างจากมันเลย ทั้งๆ ที่มันก็โตขึ้น ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ มันไม่ใช่ภาระหรือความรับผิดชอบอะไรของผมเลย แต่ผมไม่สบายใจกับการต้องทิ้งให้มันอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่ามันไม่มีใครแล้วติดผม แต่เสือกกลายเป็นผมที่ติดมัน เคยชินกับการอยู่ข้างๆ กัน ในความสัมพันธ์เรื่อยเปื่อยที่ไม่ได้นิยามสถานะระหว่างกัน
ผมหันมองภูผาที่รีดเสื้อเสร็จแล้วก็แขวนเอาไว้ที่หน้าประตูตู้ เสร็จจากตรงนั้นก็มาขยับมานั่งข้างๆ บนเตียงหยิบมือถือมานั่งเล่น สักพักก็ไหลลงไปนอน ผมคิดว่ามันจะนอนแล้วก็เลยคว่ำหน้าหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ แล้วปิดไฟเพราะกลัวมันจะนอนไม่หลับ แต่ที่ไหนได้ไอ้คนข้างๆ ยังนอนเล่นเกมในมือถือไม่เลิก แถมยังมองจอใกล้จนแทบจะมุดเข้าไปในโทรศัพท์อยู่แล้ว ผมหันมองแล้วหันไปพูดเตือนมัน
"จ้องใกล้ขนาดนั้นเดี๋ยวก็มาบ่นปวดตาอีก จะเล่นอะไรนักหนามือถือเนี่ย มีอะไรให้ดูเยอะนักเหรอ"
อีกคนเหมือนไม่ได้ฟังผมพูดเลย พอผมเงียบแล้วจ้องหน้ามันอยู่อย่างนั้นถึงรู้ตัว เลิกคิ้วขึ้นมองแล้วถามหน้านิ่งๆ
"พูดกับกูเหรอ"
"กูคุยกับเพดานมั้ง"
"ว่าอะไรนะ"
"กูบอกว่าจะเล่นมือถืออะไรนักหนา มันเสียสายตา ไม่ต้องเล่นแล้ว!"
"แล้วทำไมต้องมาดุกูด้วยเนี่ย"
"กูพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง พอกูเสียงดังก็หาว่ากูดุอีก"
มันไม่เถียงกลับ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังด่าผมอยู่ในใจภายใต้หน้าตานิ่งๆ นั่น ปากไม่ค่อยพูดอะไรแต่ดื้อตาใสอย่าให้พูด
"ด่าอะไรกูในใจ"
"กูเปล่า!"
"เลิกเล่นแล้วก็นอนได้แล้ว"
มันกดปิดหน้าจอมือถือแล้ววางลงบนโต๊ะหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองแล้วพูดพึมพำ
"บ่นอะไรนักหนา เป็นแม่กูหรือไง"
"กูได้ยินนะเนี่ย!"
"ก็พูดให้มึงได้ยินไง ชอบดุกูอะ"
"ก็ทำตัวน่าบ่นป่ะวะ พูดกี่ทีไม่เคยฟังอะ"
"แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบ่นกูอะ"
"กูพี่มึงนะ"
"พี่เหี้ย"
"ไอ้ภูผา!"
"ไม่คุยกับมึงแล้ว รำคาญ"
"เออ ไปไกลๆ เลย!"
มันส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนรวบผ้าห่มแล้วขยับไปจากผมนิดหนึ่ง หันมามองแล้วเห็นว่ายังใกล้กันอยู่ผมเลยไล่มันไปอีก
"ไกลอีก"
"..."
"อีก"
มันจ้องตาขวางแล้วขยับไปอีก
"ไกลพอไหม"
ผมแกล้งไม่ตอบแล้วดึงหน้าตึงทำเป็นโกรธ มันจึงขยับไปอีกจนสุดเตียง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
"ไกลพอยัง"
ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดหนึ่งแล้วดึงทั้งผ้าห่มทั้งตัวมันกลับมาใกล้จนตัวติดกัน
"ไกลไปแล้ว"
"..."
"เดี๋ยวกอดไม่ถึง" ...
วันนี้วันเสาร์ ถึงจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องทำงาน เพราะผมหอบเอางานจากสัปดาห์ก่อนมาทำด้วย เคยคิดว่าถ้าได้ทำงานที่ชอบจริงๆ มันจะเลี้ยงชีพเราได้ เลี้ยงจิตวิญญาณเราไปด้วย แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนละ งานก็รักแหละ แต่จิตวิญญาณกูหลุดจากร่างไปนานแล้ว กูอยู่ตรงได้เพราะเงินเท่านั้นคือคำตอบ บางวันน้ำตาไหลพรากๆ บางทีเลือดกำเดาไหลพรวดๆ กว่าจะจบงานแต่ละชิ้นก็อยากผูกคอตายด้วยกระดาษเขียนแบบหลายรอบอยู่เหมือนกัน
"งานนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้วป่ะวะ" ภูผาเดินเข้ามาถาม พลางเลื่อนสายตามองกระดาษร่างแบบที่ผมกางอยู่หน้าทีวี ก่อนส่งแก้วกาแฟที่ชงมาให้
"อือ ส่งประเมินราคาแล้วมันเกินงบลูกค้าก็เลยต้องมาแก้แบบนิดหนึ่งอะ" ผมยกมือรับแก้วกาแฟแล้ววางเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่อยากละงานในมือ ภูผามันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากหยิบมือถือมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ ระหว่างเราจะสงบที่สุดในเวลาที่ผมทำงาน แล้วมันนั่งเล่นเกมมือถือ ไอ้เรื่องติดเกมนี่บ่นจนขี้เกียจบ่น บ่นจนรำคาญตัวเองที่ขี้บ่น แต่ก็ยังอยากบ่นมันอยู่ดี มันเงยหน้ามองผมที่มองมันอยู่พอดี แล้วรีบลดเสียงเกมจนเงียบลง
"กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"
"เดี๋ยวเสียงดังก็มาดุกูอีก"
"จะเล่นก็เล่นไป"
มันพยักหน้ารับแล้วก้มลงเล่นเกม ปรับเสียงให้ดังขึ้นนิดหนึ่งแต่ไม่ได้น่ารำคาญ ผมเข้าใจว่าเล่นเกมต้องมีเสียงไม่งั้นไม่สนุก เลยปล่อยให้มันเล่นไป แต่ที่อยากจะดุก็ตอนที่มันคอยจะมุดหน้าตัวเองเข้าหน้าจอนี่แหละ เตือนแล้วไม่ฟังก็ช่างแม่งแล้วแหละ เก็บน้ำลายไว้ถุยใส่หน้าตอนที่มันมาบ่นว่าปวดตาทีเดียวเลยดีกว่า
ผมยังคงนั่งทำงานที่ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จวันนี้ แต่เมื่อยเลยพักก่อน เอนหัวไปพิงกับโซฟาแล้วหันมองภูผาที่นอนอยู่บนนั้น ตาที่เอาแต่จ้องมือถือไม่ได้สนใจผมเลย ครู่หนึ่งที่ผมมองมันอยู่ ก่อนมันจะลดมือถือลงแล้วหลับตา ยกปลายนิ้วขึ้นกดหัวตาเบาๆ แล้วลืมตามาเห็นผม
"เป็นอะไร"
"ปวดตา"
"กูบอกแล้วไงว่า...อื้อ!" คำพูดผมขาดไปเพราะมันยื่นมือมาปิดปาก
"ไม่ต้องบ่น"
ยิ่งผมพยายามดึงมือมันออก มันก็ยิ่งปิดปากผมแน่น แล้วแรงมันก็เยอะกว่าที่ผมจะขัดขืน เลยอ้าปากกัดมือไปแรงๆ ทีหนึ่ง ภูผาสะดุ้งแล้วปล่อยมือออกจากปากผมก่อนหันมาโวย
"ไอ้หมาบ้า! กัดกูทำไมเนี่ย!"
"ก็มึงไม่ปล่อย"
"ปล่อยให้มึงมาบ่นกูอีกหรือไง"
"ภูผา กูถามจริงๆ ว่าที่กูบ่นเนี่ยกูได้อะไร"
"ก็ไม่ได้อะไรแล้วจะบ่นทำไม"
"ไม่ใช่เพราะกูเป็นห่วงมึงหรือไง ฮะ?"
ภูผาไม่ได้พูดอะไรภายใต้หน้าตานิ่งๆ ของมัน ก่อนจะกดปิดหน้าจอมือถือ แล้วเลื่อนเอาไปวางบนโต๊ะช้าๆ แล้วลุกขึ้นมานั่งนิ่ง กลอกตาไปทางซ้ายที ทางขวาที แล้วก็เลื่อนกลับมามองผมที่ยังมองมันอยู่
"เออ"
"..."
"ไม่เล่นแล้ว"
ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือดีดหน้าผากมันไปทีหนึ่ง ภูผาเป็นคนเงียบๆ หน้านิ่งๆ เดาอะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามันด่าผมในใจอันนี้รู้เพราะคิ้วมันชอบขมวดเข้าหากันตอนไม่พอใจอะไรสักอย่าง อาจเป็นเพราะบาดแผลในใจที่ทำให้มันกลายเป็นคนที่เฉยชาไปบ้าง มันอาจจะดื้อด้านไปบ้าง หรือบางทีก็ใจร้ายกับผมไปบ้าง แต่มันไม่เคยรู้ตัว แล้วก็ไม่รู้ว่าเคยมีใครบอกมันไหม ว่าจริงๆ แล้วไอ้ภูผาแม่งโคตรน่ารักเลย
"จะเที่ยงแล้วอะ กูออกไปซื้อข้าวดีกว่า"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนมันจะลุกขึ้น
"เดินดีๆ อย่าเหยียบงานกู"
"รู้"
มันกระแทกเสียงใส่แล้วหันหลังเดิน แต่ไม่ทันถึงสามก้าวก็สะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนร้องลั่นห้อง
"โอ๊ย!"
"เฮ้ย!"
ผมเผลอตกใจไปด้วยเพราะเท้ามันที่ไม่รู้โดนเข้ากับอะไรจนสะดุ้งแล้วไปเตะเข้ากับแก้วกาแฟที่วางกับพื้น จนหกพรวดใส่กระดาษเขียนแบบของผมที่วางอยู่ เกิดเป็นความโกลาหลอยู่ครู่หนึ่งก่อนภูผาหันไปเบิกตาขึ้นมองกองกระดาษที่เลอะกาแฟแล้วเงยหน้ามองผม
"ขอโทษ"
"..."
"กูขอโทษ"
ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่มันเอ่ยปากขอโทษก่อน เผลอมองใบหน้าสำนึกผิดของมันแล้วต้องรีบกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ไม่ให้ยิ้ม มือก็เก็บกระดาษที่เปียกจนขาด ปากก็พร่ำคำว่าขอโทษ น้ำตาก็คลอคงเพราะรู้สึกผิดจริง และคนบ้าอะไรวะน่ารักตอนจะร้องไห้ โคตรอยากลองขยำแก้มมันดูแต่ไม่กล้าแตะต้องกลัวมันกระโดดเตะ แปดปีที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ขยี้แก้มมันด้วยสายตา แต่ก็ก็รู้ว่าต้องนิ่มแน่นอนอะ
"ขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ"
"หยุดขอโทษก่อน กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"
"แต่งานมึงเปียกหมดเลย"
"นั่นมันอันเก่า อันใหม่อยู่นี่ไง" ผมว่าแล้วชี้ไปที่กระดาษอีกแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา เห็นอย่างนั้นภูผามันเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"กูตกใจหมดเลย นึกว่าจะโดนมึงดุ"
"คิดว่ากูดุเหมือนหมาบ้าหรือไง"
มันพยักหน้ารับจนผมเกือบจะยกมือฟาดแบ็คแฮนด์ใส่สักที แต่หน้าตาน่าเอ็นดูของมันทำให้เปลี่ยนใจ เลื่อนมือไปจิ้มเข้าที่แก้มมัน ความห้ามใจไม่ได้ของคนมันเป็นกันแบบนี้นี่เอง
มันนิ่งไปนิดหนึ่งตอนถูกผมจิ้มแก้มแล้วค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
"ทำอะไรวะ"
"กูชอบแก้มมึง"
"..."
"ขอขยำทีได้ป่ะ"
มันไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมยกอีกมือขึ้นไปจับแก้มอีกข้าง แล้วบีบเข้าเบาๆ ก่อนหลุดหัวเราะออกมา มันเองก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งแล้วปัดมือผมออก
"พอ ไม่ใช่ของเล่น"
ผมยิ้มออกมานิดๆ กับความคิดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าแตะต้องได้ไม่หวงแบบนี้ ก็จับขยี้ไปนานแล้ว
"กูออกไปซื้อข้าวนะ"
ผมพยักหน้ารับ ก่อนภูผาจะเดินออกนอกห้องไป ส่วนตัวเองกลับมาเช็ดพื้นที่เลอะกาแฟ ยังไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากบนโต๊ะ จึงเอื้อมมือไปหยิบมา โทรศัพท์เป็นของภูผาแต่คนที่โทรเข้ามาเป็นแม่ของผม
"ลูกตัวเองไม่ค่อยโทรหา แต่ไอ้ภูผานี่โทรทุกวันเลยนะ" ผมรับสายด้วยประโยคน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ปลายสายไม่มีความสงสารส่งมาให้ ซ้ำยังหัวเราะใส่อีก
"ตลกเหรอแม่ ผมน้อยใจอยู่นะ"
(ก็รู้ว่าลูกสบายดีอยู่แล้ว แล้วนี่ภูผาไปไหน)
"ออกไปซื้อข้าว แม่มีอะไรเปล่า"
(ไม่มีอะไรหรอก แค่นึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้วันเกิดภูผา แม่เลยโทรมาเตือน กลัวว่าจะลืม) ผมหันมองปฏิทินหลังจากแม่พูดแบบนั้น ถ้าแม่ไม่บอกผมเองก็คงลืม เพราะภูผามันไม่เคยพูดถึงเลย
(ปีนี้ภูผาอายุยี่สิบห้าแล้ว ปีเบญจเพส ไปทำบุญหน่อยก็น่าจะดี)
"ภูมันไม่เชื่อเรื่องแบบนี้หรอก"
(ทัพก็พาน้องไปสิ พรุ่งนี้วันหยุดด้วย)
"ไม่รู้มันจะไปหรือเปล่านะ ไม่รับปาก"
(ก็ลองชวนน้องดู บอกว่าแม่ขอละกัน)
"ครับ"
ผมตอบรับก่อนแม่วางสายไป แล้วมองหน้าจอมือถือของภูผากระทั่งมันดับไป ก่อนเลื่อนสายตามองปฏิทินอีกที ภูผามันยี่สิบห้าแล้วเหรอ ทำไมยังเหมือนลูกเป็ดอยู่เลยวะ
ผมหลุดขำกับความคิดตัวเอง แล้ววางมือถือลงที่เดิมก่อนก้มลงไปเช็ดพื้นต่อ หยิบกระดาษเปียกาแฟที่วางทับกองอุปกรณ์เขียนแบบออก จึงเห็นคัตเตอร์ที่ใบมีดเลื่อนลงไม่สุดวางอยู่ตรงนั้นจึงหยิบขึ้นมาดู พลันนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่ภูผามันจะเตะแก้วกาแฟ คงสะดุดเข้ากับไอ้นี่ ก็มัวแต่ห่วงงานไม่ได้ห่วงมันว่าเจ็บหรือเปล่า เลือดออกหรือเปล่า ผมรูดใบมีดคัตเตอร์ลงจนสุดแล้วเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟารอภูผา รออยู่พักใหญ่ๆ มันก็กลับมา
"ไอ้ภู มานี่ดิ"
"ทำไม"
"มานั่งนี่" คนถูกเรียกทำหน้างงๆ ก่อนเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ แล้ววางถุงกล่องข้าวไว้บนโต๊ะ ผมก้มลงมองที่เท้ามันก็เห็นรอยเลือดจากปลายนิ้ว มันเองก็น่าจะรู้ตัวแล้ว ผมจะคว้าเท้ามันขึ้นมาวางบนตัก มันรีบชักเท้าหนี แต่ผมกำข้อเท้าดึงเอาไว้ก่อน
"เฉยๆ"
"กูเช็ดเองได้"
ผมไม่สนใจคำพูดของมันแล้วดึงทิชชูมาเช็ดเลือดที่ปลายเท้านั่นให้ แผลน่าจะลึกอยู่พอควรเลือดเลยซึมออกมาอีก ผมออกแรงกดแผลนั่นเพื่อห้ามเลือด แต่เจ้าของแผลสะดุ้งจนร้องออกเสียง
"เจ็บเหรอ"
"เจ็บตอนมึงกดนี่แหละ"
"เลือดมันไหลไม่หยุดเห็นไหมเนี่ย แล้วโดนคัตเตอร์ทำไมไม่บอกกู"
"ก็เพิ่งเห็น"
"มึงโตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าความเจ็บมันเป็นยังไง ถึงได้ไม่รู้ตัว มึงต้องรู้จักห่วงตัวเองบ้างนะภูผา ถ้ามันเป็นอะไรมากกว่านี้จะทำยังไง"
"กูไม่เป็นอะไรหรอกน่า มึงก็เกินไป"
"ใครให้เถียง"
ภูผาจ้องหน้าผมพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ นี่ด่าอะไรในใจอยู่แน่นอน
"ว่าแล้วยังจะมาจ้องหน้าไม่สลด ก้มหน้าลงไป!"
ผมกัดปากกลั้นยิ้มตอนภูผามันก้มหน้าลงไปตามคำสั่ง แล้วยอมให้ผมทำแผลที่เท้าให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรเลย ผมอาจดูเหมือนหมาบ้าที่เอาแต่เสียงดังใส่ แต่ก็อยากให้มันรู้ ว่าหมาบ้าตัวนี้แหละที่รักและห่วงยิ่งกว่าอะไร
"ภูผา อย่ารำคาญที่กูต้องดุมึงเลย"
"..."
"กูก็แค่ไม่อยากให้มึงเป็นอะไรไป"
"..."
"ขี้เกียจมาโทษตัวเองว่าดูแลมึงไม่ดีพอ" ...
วันนี้วันเกิดภูผา มันยอมออกมาใส่บาตรทำบุญกับผมเพราะเอาแม่มาอ้าง ภูผามันค่อนข้างจะเชื่อฟังพ่อแม่ผม พ่อกับแม่เองก็ทั้งรักทั้งเอ็นดูมันเหมือนลูกแท้ๆ ที่ผ่านมาเราต่างคนต่างใช้เวลายอมรับกันและกันจนกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ ภูผาเปิดใจให้ครอบครัวเราแต่ไม่ทั้งหมด ผมรู้มันมีกำแพงของความรู้สึกบางอย่างตั้งไว้ตรงกลางระหว่างเรา แต่สำหรับผมไม่มีแม้สิ่งใดมาขวางตรงนั้นเลย ผมไม่คิดเอาคมมีดในอดีตมากรีดปัจจุบันให้เป็นรอยแผล ไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องเก่าๆ จนหลังๆ ก็เริ่มลืมโดยใช้เวลาเป็นตัวช่วย และความผูกพันตลอดแปดปีที่อยู่ด้วยกันมา มันก็มีมากกว่าพันเหตุผลที่ทำให้ผมทิ้งภูผาไปไหนไม่ได้
เสร็จจากทำบุญที่วัด ภูผามันไม่อยากไปไหนต่อก็เลยชวนผมกลับ แต่ช่วงนี้มีงานสัปดาห์หนังสือพอดี ผมเลยตั้งใจจะไป รู้ว่าภูผามันไม่ชอบที่คนเยอะๆ เลยหันไปบอกให้มันกลับก่อน
"ภูผา มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ กูอยากไปงานหนังสืออะ"
"อ้าว ทิ้ง"
อ้าวเหี้ย รู้สึกผิดเลย
"กูไม่ได้ทิ้ง แต่รู้ว่ามึงไม่ชอบก็เลยไม่ชวนไง"
มันนิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนใช้ความคิดก่อนตอบกลับมา
"กูไปด้วยดีกว่า"
"เอางั้นเหรอ คนเยอะมาบ่นกูไม่ได้นะ"
"อย่าคิดว่าคนทั้งโลกจะขี้บ่นเหมือนมึงดิ"
"ไอ้ภู นี่มึงว่า..."
ภูผาส่ายหน้ารัวตอนผมกำลังจะออกปากด่า แล้วตบไหล่ผมให้เดินไปจากตรงนี้ ก่อนเราทั้งคู่จะไปงานหนังสือด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นวันหยุดคนก็เยอะอย่างที่คิด แต่ภูผามันก็ไม่ได้บ่นอะไร เดินตามต้อยๆ ตอนที่ผมแวะเข้าบูธนั้นบูธนี้ ผมชอบอ่านหนังสือ และเมื่อได้เข้ามาอยู่กับอะไรที่ชอบก็มักจะจมอยู่กับมันนานๆ เมื่อรู้ตัวว่าใช้เวลานานเกินไปกับการเลือกหนังสือจึงหันไปมองคนข้างๆ ที่ยืนนิ่งๆ อยู่ใกล้ๆ
"เบื่อเปล่า"
ภูผาส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ
"สงสารเลย ต้องมารอ"
"ไม่เป็นไร รอได้"
"งั้นตามมานะ อย่าหลง"
"เออน่า"
เมื่อภูผาเปิดโอกาสให้ผมแบบนั้น ผมก็เลยกลับไปสนใจหนังสือมากกว่า ถึงช่วงนี้จะยุ่งจนไม่มีเวลาอ่านแต่ซื้อไปก่อนเพื่อความสบายใจ ผมใช้เวลาอยู่นานกับบูธสำนักพิมพ์ที่ชอบ ก่อนได้มาสี่ห้าเล่ม ในตอนที่จ่ายเงินเสร็จก็หันมองคนที่มาด้วย แต่ไม่เจอ ผมกวาดสายตามองภูผาไปรอบๆ แต่ไม่เห็น ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน
ผมเดินออกมานอกบูธ มองผู้คนในงานที่เยอะจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใช้ความสูงของตัวเองเขย่งมองหาภูผารอบๆ นั้น ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาแต่มันไม่รับ จึงตัดสินใจเดินสวนทางกับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดนั่นเพื่อไปหามัน ผมเดินย้อนกลับไปทุกที่ที่ผ่านมาแต่ไม่เจอมัน โทรหาหลายรอบมันก็ไม่ยอมรับ จึงก้าวเท้าเร็วๆ ออกตามหามันไปทั่ว
"ธงทัพ"
ผมหันขวับมองคนที่เข้ามาเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้ภูผาก็รีบคว้าคอมันเข้ามาหา
"ก็บอกให้ตามมาไง แล้วไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ"
"ไปห้องน้ำ"
"แล้วทำไมไม่บอก"
"กูกะว่าจะรีบไปรีบกลับ"
"ตกใจหมด นึกว่ามึงหายไปไหน"
"คิดว่ากูหลงเหรอ"
"เออดิ"
"ไอ้ทัพ กูยี่สิบห้าแล้ว ไม่ใช่เด็ก"
"เออเนอะ" ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยตอนมันพูดแบบนั้น
"ไปดูหนังสือต่อไหม"
"พอแล้วแหละ กลับเหอะ"
มันพยักหน้ารับก่อนเดินตามผมมาอย่างช้าๆ เมื่อผมหันไปมองมันก็ก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาเดินข้างๆ
"จับมือกันไหม จะได้ไม่หลง"
"ปัญญาอ่อน"
ผมหันขวับมองหน้าตอนมันสวนกลับมาแบบนั้น
"มึงด่ากูปัญญาอ่อนเหรอ"
"ใช่"
"แรง"
"อ้าว ก็มึง..."
"เออ ผิดเองแหละที่ห่วงมึงมากไป ผิดเอง"
"ไอ้ทัพ"
"ไม่ต้องมาเรียก"
"ธงทัพ"
"ไม่ต้องมาแตะ"
ผมสะบัดแขนออกจากมือมันที่เข้ามาแตะ ก่อนก้าวเท้าหนีมัน ภูผาไม่ได้พูดอะไรนอกจากยื่นมือมาจับชายเสื้อผมแล้วเดินตามมาด้วย ผมหันหน้าหนีเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่เห็นแล้วหลุดยิ้มกว้างออกมา ไม่น่ามีอะไรสนุกไปกว่าการได้แกล้งคนอย่างมันแล้ว
หลังจากกลับจากงานหนังสือ ผมมาแวะซื้อเค้กไอติมของโปรดภูผาสำหรับวันเกิดมัน ปากมันบอกว่าไม่ต้องซื้อ กลัวกินไม่หมดแต่ตอนส่งให้นี่กอดไม่ปล่อยเลย แถมกลับมาถึงห้องก็กินก่อนไม่พูดไม่จาอะไรเลย แบ่งสักคำยังไม่มีเลย แต่ผมไม่ชอบของหวานอยู่แล้วก็เลยปล่อยให้มันกินไปคนเดียว ส่วนตัวเองก็มาวุ่นวายกับกองหนังสือที่เพิ่งซื้อมา ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดผ่านๆ แล้วหันมองภูผาที่นั่งกินไอติมอยู่ที่พื้น ก่อนเรียกมันเบาๆ
"ภู"
คนที่กำลังกินเค้กไอติม อีกมือจิ้มมือถือนั่นไม่ทันสนใจเสียงเรียกของผม เรียกซ้ำก็ยังไม่ได้ยินเลยต้องใช้ขาเกี่ยวตัวมันให้เข้ามาชิดโซฟา ภูผาเคยชินกับกิริยาต่ำๆ ของผมแล้วแหละ ทำแบบนี้บ่อยๆ มันไม่ด่าอะไรนอกจากมองตาขวางๆ ด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามสไตล์
"มีอะไร"
"ของขวัญวันเกิด" ผมส่งหนังสือในมือให้ อีกคนวางช้อนในมือแล้วมารับมันไป หน้าตาไม่ได้ดีใจอะไรสักนิด แต่ก็พูดคำว่าขอบคุณออกมาเบาๆ
"ขอบคุณนะ"
"มึงลองเปิดอ่านดู อาจจะชอบก็ได้"
"เล่มที่มึงให้กูเมื่อปีที่แล้วยังอ่านไม่จบเลย"
"ก็ค่อยๆ อ่านไป"
ผมพูดแค่นั้นก่อนทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ผมรู้ว่าภูผามันไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ยังอยากให้อยู่ดี แล้วก็ตั้งใจจะให้ไปเรื่อยๆ ทุกปี จนกว่ามันจะยอมเปิดอ่านในสักวัน
ผมเอื้อมมือหยิบหนังสือในกองมาเล่มหนึ่ง แล้วตั้งใจจะเริ่มอ่าน แต่ถูกคนข้างๆ สะกิดแล้วส่งมือถือของผมมาให้ หน้าจอโชว์ชื่อแม่ที่กำลังโทรเข้ามา
"จำเบอร์ลูกได้ด้วยเหรอ"
แม่หัวเราะกลับมาตอนผมรับสายแบบนั้น ทำไมแม่เส้นตื้น พูดอะไรก็หัวเราะใส่ตลอด
(เป็นไง วันนี้ได้พาภูผาไปทำบุญหรือเปล่า)
"ไปครับ"
(ดีมาก แล้วทัพให้ของขวัญน้องหรือยัง)
"ให้แล้ว แต่มันไม่ชอบ"
(อ้าว)
"ช่างมันเหอะ ถึงไม่ชอบก็ต้องเอา"
(ซื้อเค้กหรือยัง ภูผาชอบกินเค้กไอติมหน้าสตอเบอร์รี่นะ)
"ซื้อแล้ว กินคนเดียวหมดแล้วด้วย"
ผมเคยถามว่าทำไมแม่ต้องรักภูผาขนาดนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วภูผากับแม่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยไม่ว่าทางใด แม่ยอมรับว่ามันเริ่มจากความสงสาร ในวันที่ภูผาเสียแม่มันไปแล้วไม่เหลือใคร แต่ตอนหลังๆ ผมว่าแม่หลงมันว่ะ คำก็ภูผา สองคำก็ภูผา มันถีบผมกระเด็นออกจากตำแหน่งลูกรักอันดับหนึ่งไปแล้วเรียบร้อย ทั้งพ่อและแม่ย้ำกับผมอยู่ทุกครั้งว่าให้ดูแลภูผาดีๆ ภูผาไม่มีใคร ผมไม่ชอบเลยที่พวกเขาเอาแต่พูดแบบนั้น
ภูผามันจะไม่มีใครได้ยังไง ก็ยังมีผมอยู่ทั้งคน (แล้วคืนนี้ทัพจะนอนกับน้องหรือเปล่า)
"เดี๋ยวเย็นๆ ก็กลับแล้ว พรุ่งนี้ทำงานเช้า"
(ค่อยกลับตอนเช้าสิ)
"โห ที่ทำงานโคตรไกลนะแม่ วันจันทร์ด้วย"
(ก็ตื่นเร็วๆ สิ)
"ซื้อรถให้หน่อยสิแม่"
(ซื้อเองสิ เงินเดือนก็มี)
"ไม่พอใช้สักเดือน แม่ซื้อให้หน่อยไม่ได้เหรอ"
(กรุงเทพฯ รถติดจะตาย)
"นี่ถ้ามีรถจะได้กลับชลบุรีบ่อยๆ ด้วย นะแม่นะ"
(อย่ามาอ้อนกันนะทัพ)
"แม่ครับ แม่จ๋า"
(ทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวพิจารณาอีกที)
"รักแม่นะครับ แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง"
(แค่นี้ก่อนเลย ไม่คุยด้วยแล้ว ช่วงนี้ทำงานหนัก ก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ)
"ครับ"
(ดูแลภูผาดีๆ ด้วย น้องไม่มีใคร)
"ครับผม"
ผมกดวางสายจากแม่แล้วหลุดหัวเราะออกมาหน่อยๆ ก่อนต้องรีบหุบยิ้มเพราะไอ้ภูมันมองอยู่
"มองไร"
"อายุเท่าไรแล้วยังจะอ้อนแม่อีก"
"กูมีแม่ก็ต้องอ้อนแม่ดิ ไม่มีแม่ก็มาอิจฉากู"
ภูผาเงียบไปตอนผมพูดแบบนั้น ผมก็ตบปากตัวเองอยู่ในใจ คนเหี้ยอะไรมันจะปากหมาได้ขนาดนี้วะ ภูผายังคงนิ่ง แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง
"ไอ้ภู กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ"
"..."
"ไม่โกรธดิ มึงก็รู้ว่ากูปากหมา กูพูดไม่คิด ตบปากกูเลย"
"..."
"ภูผา"
ผมขยับตัวเองลงจากโซฟาลงไปนั่งข้างๆ มัน หน้ามันนิ่งอยู่แล้วไงไม่รู้โกรธจริงไม่จริง แต่ถ้าผมเป็นมันแล้วได้ยินแบบนั้นผมก็คงโกรธแหละ ผมยกมือสะกิดแก้มมันเบาๆ อีกคนก็ยังเฉย
"กูขอโทษ"
"กูคิดถึงแม่เลย"
"เฮ้ย ขอโทษ"
มันส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วก้มหน้าลงไป
"คิดถึงแม่จริงๆ นะเนี่ย"
"เฮ้ย..."
ผมยิ่งรู้สึกผิดที่พูดไม่คิดออกไปแบบนั้น แล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ มันกว่าเดิม
"กอดไหม"
.
.
.
"อืม กอด" To be continued.
กลายเป็นนิยายรายเดือนที่แท้ทรู ต้องขอโทษที่หายไปนานมาก รู้สึกผิดที่ทำให้รอนานจริงๆ ค่ะ กราบขอความเห็นใจ เราไม่มีเวลาจริงๆ ช่วงนี้ บางวันต้องเข้าออฟฟิศวันละ16ชม.เลย บวกกับเอ็นข้อมืออักเสบดูท่าจะเป็นเรื้อรัง เราเลยไม่อยากเสี่ยงใช้งานมันหนัก มันเป็นความทรมานบทใหม่ของชีวิตจริงๆ มีน้ำตาหน้าคอมพ์ทุกทีเลย ไม่ใช่นิยายเศร้านะ เจ็บมือ 55555 อีกเรื่องคือต้องขอโทษที่ต้องอัพตีสี่ตีห้าแบบนี้ ชีวิตว่างสุดตอนนี้แล้วจริงๆ ค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ ยังไงเดี๋ยวรีบกลับมาค่า -
ด้วยรักและขอบคุณ