[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 65694 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไม่แฟร์กับนาวีเลย
กลายเป็นว่าธงทัพชุบมือเปิบไปหมด
อยู่ถูกที่ถูกเวลาก็เลยได้ทุกอย่างไป

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เลือกไม่ได้ค่ะ สามะเลยได้ไหม ยอม  :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เข้าใจนาวีแล้ว ว่าที่นาวีบอกเลิกภูผา
ส่วนหนึ่งคงมาจากแม่ภูผาติดต่อนาวี ให้เลิกกับภูผา

ในใจนาวี ก็น่าจะยังรักภูผา
แต่ที่นาวีมาพบภูผา ก็ทำให้ภูผาตัดใจเลิกกับนาวีจริงๆ

ธงทัพ มาอยู่เคียงข้างภูผา
ตอนที่ภูผาไม่มีใครจริงๆ
นี่ทำให้ภูผาประทับใจจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
พี่ทัพดูอบอุ่น ดูแลภูผาดีดีนะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ภูผาต้องเข้มแข็งนะ ฝากธงทัพดูแลภูผาด้วย
ส่วนเรื่องของนาวีเก็บเอาไว้ในความทรงจำนะ จำแต่เรื่องดีๆก็พอ

ตอนต่อๆไปจะดราม่าอีกมั้ยคะเนี่ย เรายิ่งใจบ๊างงงงบางอยู่

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เอือกกก ด้วยคนค่ะ เป็นอดีตที่ยาวนานมาก ตอนหน้ากลับสู่ปัจจุบันแล้วเราคงต้องไปอ่านตอนต้นใหม่แล้วสิ เพราะเริ่มจะลืมจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ซะแล้ว

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราอ่ะทีม ธงทัพภูผา แต่ตอนนี้สงสารนาวี สู้ๆเก้อทุกคนเลยเดาว่าธงทัพชอบภูผามานานแล้ว

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
 :sad11:  สงสารทุกคน

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 11

แม้เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ซับซ้อน
แต่ยังคงไม่มีชื่อเรียก


 

 

ธงทัพ :

 

"ไอ้ภู เห็นหนังสือเล่มใหม่ที่กูซื้อมาเปล่า เสาร์ก่อนกูทิ้งไว้ที่นี่อะ"

"บนโต๊ะไม่มีเหรอ"

"ถ้ามีแล้วกูจะถามป่ะวะ"

"มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ" 

"กูหาไม่เจอ"

"หาดีๆ สิ" 

"มันไม่มีไง"   

"ถ้ากูหาเจอ กูจะเอาสันหนังสือฟาดหน้ามึงนะ" ภูผาว่าแล้วละมือจากการรีดผ้า แล้วลุกมาที่โต๊ะหนังสือของมัน ที่รกไปด้วยเอกสารและแฟ้มงาน มันตรงเข้ามาแล้วใช้เวลาไม่ถึงสามวินาทีในยกแฟ้มที่วางทับอยู่ออกก็เจอหนังสือที่ผมกำลังหาอยู่

"อ้าว! ไม่เห็น" 

"ไม่ได้หาเลย แล้วก็บอกว่าไม่มี" 

"กูหาแล้ว!"   

"ควาย" มันด่าเบาๆ ด้วยใบหน้านิ่งๆ ก่อนใช้สันหนังสือเล่มนั้นฟาดใส่กลางหน้าผากผมจริงๆ อย่างที่บอก แต่ดีที่หนังสือมันไม่หนามากก็เลยไม่เจ็บ ผมได้แต่มองตาขวางใส่แล้วดึงหนังสือเล่มนั้นมา ก่อนขยับไปนั่งอ่านหนังสือบนเตียง ส่วนมันก็กลับไปรีดผ้าต่อ

ผมจะใช้เวลาวันเสาร์อาทิตย์มาอยู่กับภูผาที่นี่ จริงๆ ก็อยากย้ายมาอยู่ด้วยเลย แต่ที่พักของมันไกลจากที่ทำงานผมมาก เดินทางไม่ไหว ก็เลยมาได้แค่วันหยุด แต่ไม่อยู่ด้วยกันตลอดเวลานั่นแหละดีแล้ว ไม่งั้นทะเลาะกันตาย มีเรื่องให้เถียงกันวันละร้อยเรื่องได้มั้ง

ผมยอมรับว่าไม่ได้ชอบหน้ามันตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน หน้าตามันก็ไม่ได้ดูมีพิษภัยหรอก เหมือนลูกเป็ดที่ชอบทำหน้าบูดๆ ทุกทีที่เจอหน้าผม ทำตัวไม่น่ารักทุกทีที่เจอพ่อกับผม โทษมันฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะผมหน้าร้ายแถมปากเสียอีก เลยดูไม่เป็นมิตร จึงไม่เคยได้คุยกันดีๆ แต่นับตั้งแต่วันที่แม่ภูผาตาย หลายอย่างมันก็เปลี่ยนไป อาจเป็นเพราะผมได้อยู่ด้วยในวันที่มันไม่มีใคร มันเลยยอมรับและไว้ใจผมมากขึ้น เรากลายเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน มันกลายมาเป็นลูกคนเล็กของพ่อกับแม่ผม แต่ไม่เคยทำตัวเป็นน้องผมเลย เถียงได้เถียงดี กับผมนี่ดื้อหัวรั้นไม่เคยฟังอะไร ไม่เรียกผมว่าพี่ด้วยซ้ำ

แต่ถึงยังไง ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยอยู่ห่างจากมันเลย  ทั้งๆ ที่มันก็โตขึ้น ใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ มันไม่ใช่ภาระหรือความรับผิดชอบอะไรของผมเลย แต่ผมไม่สบายใจกับการต้องทิ้งให้มันอยู่คนเดียว ไม่ใช่ว่ามันไม่มีใครแล้วติดผม แต่เสือกกลายเป็นผมที่ติดมัน เคยชินกับการอยู่ข้างๆ กัน ในความสัมพันธ์เรื่อยเปื่อยที่ไม่ได้นิยามสถานะระหว่างกัน

 

ผมหันมองภูผาที่รีดเสื้อเสร็จแล้วก็แขวนเอาไว้ที่หน้าประตูตู้ เสร็จจากตรงนั้นก็มาขยับมานั่งข้างๆ บนเตียงหยิบมือถือมานั่งเล่น สักพักก็ไหลลงไปนอน ผมคิดว่ามันจะนอนแล้วก็เลยคว่ำหน้าหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ แล้วปิดไฟเพราะกลัวมันจะนอนไม่หลับ แต่ที่ไหนได้ไอ้คนข้างๆ ยังนอนเล่นเกมในมือถือไม่เลิก แถมยังมองจอใกล้จนแทบจะมุดเข้าไปในโทรศัพท์อยู่แล้ว ผมหันมองแล้วหันไปพูดเตือนมัน

"จ้องใกล้ขนาดนั้นเดี๋ยวก็มาบ่นปวดตาอีก จะเล่นอะไรนักหนามือถือเนี่ย มีอะไรให้ดูเยอะนักเหรอ"

อีกคนเหมือนไม่ได้ฟังผมพูดเลย พอผมเงียบแล้วจ้องหน้ามันอยู่อย่างนั้นถึงรู้ตัว เลิกคิ้วขึ้นมองแล้วถามหน้านิ่งๆ 

"พูดกับกูเหรอ"

"กูคุยกับเพดานมั้ง"

"ว่าอะไรนะ"

"กูบอกว่าจะเล่นมือถืออะไรนักหนา มันเสียสายตา ไม่ต้องเล่นแล้ว!"

"แล้วทำไมต้องมาดุกูด้วยเนี่ย"

"กูพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง พอกูเสียงดังก็หาว่ากูดุอีก"

มันไม่เถียงกลับ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังด่าผมอยู่ในใจภายใต้หน้าตานิ่งๆ นั่น ปากไม่ค่อยพูดอะไรแต่ดื้อตาใสอย่าให้พูด   

"ด่าอะไรกูในใจ"

"กูเปล่า!"

"เลิกเล่นแล้วก็นอนได้แล้ว"

มันกดปิดหน้าจอมือถือแล้ววางลงบนโต๊ะหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเองแล้วพูดพึมพำ

"บ่นอะไรนักหนา เป็นแม่กูหรือไง"

"กูได้ยินนะเนี่ย!"

"ก็พูดให้มึงได้ยินไง ชอบดุกูอะ"

"ก็ทำตัวน่าบ่นป่ะวะ พูดกี่ทีไม่เคยฟังอะ"

"แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบ่นกูอะ"

"กูพี่มึงนะ"

"พี่เหี้ย"

"ไอ้ภูผา!"

"ไม่คุยกับมึงแล้ว รำคาญ"

"เออ ไปไกลๆ เลย!"

มันส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนรวบผ้าห่มแล้วขยับไปจากผมนิดหนึ่ง หันมามองแล้วเห็นว่ายังใกล้กันอยู่ผมเลยไล่มันไปอีก

"ไกลอีก"   

"..."

"อีก"

มันจ้องตาขวางแล้วขยับไปอีก 

"ไกลพอไหม"

ผมแกล้งไม่ตอบแล้วดึงหน้าตึงทำเป็นโกรธ มันจึงขยับไปอีกจนสุดเตียง แล้วเงยหน้าขึ้นมอง

"ไกลพอยัง"

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดหนึ่งแล้วดึงทั้งผ้าห่มทั้งตัวมันกลับมาใกล้จนตัวติดกัน

"ไกลไปแล้ว"

"..."

"เดี๋ยวกอดไม่ถึง"

 

 

...

 

วันนี้วันเสาร์ ถึงจะไม่ต้องเข้าออฟฟิศแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องทำงาน เพราะผมหอบเอางานจากสัปดาห์ก่อนมาทำด้วย เคยคิดว่าถ้าได้ทำงานที่ชอบจริงๆ มันจะเลี้ยงชีพเราได้ เลี้ยงจิตวิญญาณเราไปด้วย แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนละ งานก็รักแหละ แต่จิตวิญญาณกูหลุดจากร่างไปนานแล้ว กูอยู่ตรงได้เพราะเงินเท่านั้นคือคำตอบ บางวันน้ำตาไหลพรากๆ  บางทีเลือดกำเดาไหลพรวดๆ กว่าจะจบงานแต่ละชิ้นก็อยากผูกคอตายด้วยกระดาษเขียนแบบหลายรอบอยู่เหมือนกัน

"งานนี้ตั้งแต่เดือนที่แล้วป่ะวะ" ภูผาเดินเข้ามาถาม พลางเลื่อนสายตามองกระดาษร่างแบบที่ผมกางอยู่หน้าทีวี ก่อนส่งแก้วกาแฟที่ชงมาให้ 

"อือ ส่งประเมินราคาแล้วมันเกินงบลูกค้าก็เลยต้องมาแก้แบบนิดหนึ่งอะ" ผมยกมือรับแก้วกาแฟแล้ววางเอาไว้ก่อน เพราะยังไม่อยากละงานในมือ ภูผามันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากหยิบมือถือมานั่งเล่นอยู่ข้างๆ ระหว่างเราจะสงบที่สุดในเวลาที่ผมทำงาน แล้วมันนั่งเล่นเกมมือถือ ไอ้เรื่องติดเกมนี่บ่นจนขี้เกียจบ่น บ่นจนรำคาญตัวเองที่ขี้บ่น แต่ก็ยังอยากบ่นมันอยู่ดี มันเงยหน้ามองผมที่มองมันอยู่พอดี แล้วรีบลดเสียงเกมจนเงียบลง

"กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

"เดี๋ยวเสียงดังก็มาดุกูอีก"

"จะเล่นก็เล่นไป"

มันพยักหน้ารับแล้วก้มลงเล่นเกม ปรับเสียงให้ดังขึ้นนิดหนึ่งแต่ไม่ได้น่ารำคาญ ผมเข้าใจว่าเล่นเกมต้องมีเสียงไม่งั้นไม่สนุก เลยปล่อยให้มันเล่นไป แต่ที่อยากจะดุก็ตอนที่มันคอยจะมุดหน้าตัวเองเข้าหน้าจอนี่แหละ เตือนแล้วไม่ฟังก็ช่างแม่งแล้วแหละ เก็บน้ำลายไว้ถุยใส่หน้าตอนที่มันมาบ่นว่าปวดตาทีเดียวเลยดีกว่า


ผมยังคงนั่งทำงานที่ไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จวันนี้ แต่เมื่อยเลยพักก่อน เอนหัวไปพิงกับโซฟาแล้วหันมองภูผาที่นอนอยู่บนนั้น ตาที่เอาแต่จ้องมือถือไม่ได้สนใจผมเลย ครู่หนึ่งที่ผมมองมันอยู่ ก่อนมันจะลดมือถือลงแล้วหลับตา ยกปลายนิ้วขึ้นกดหัวตาเบาๆ แล้วลืมตามาเห็นผม

"เป็นอะไร"

"ปวดตา"

"กูบอกแล้วไงว่า...อื้อ!"  คำพูดผมขาดไปเพราะมันยื่นมือมาปิดปาก

"ไม่ต้องบ่น"

ยิ่งผมพยายามดึงมือมันออก มันก็ยิ่งปิดปากผมแน่น แล้วแรงมันก็เยอะกว่าที่ผมจะขัดขืน เลยอ้าปากกัดมือไปแรงๆ ทีหนึ่ง ภูผาสะดุ้งแล้วปล่อยมือออกจากปากผมก่อนหันมาโวย

"ไอ้หมาบ้า! กัดกูทำไมเนี่ย!"

"ก็มึงไม่ปล่อย"

"ปล่อยให้มึงมาบ่นกูอีกหรือไง"

"ภูผา กูถามจริงๆ ว่าที่กูบ่นเนี่ยกูได้อะไร"

"ก็ไม่ได้อะไรแล้วจะบ่นทำไม"

"ไม่ใช่เพราะกูเป็นห่วงมึงหรือไง ฮะ?"

ภูผาไม่ได้พูดอะไรภายใต้หน้าตานิ่งๆ ของมัน ก่อนจะกดปิดหน้าจอมือถือ แล้วเลื่อนเอาไปวางบนโต๊ะช้าๆ แล้วลุกขึ้นมานั่งนิ่ง กลอกตาไปทางซ้ายที ทางขวาที แล้วก็เลื่อนกลับมามองผมที่ยังมองมันอยู่ 

"เออ"

"..."

"ไม่เล่นแล้ว"

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือดีดหน้าผากมันไปทีหนึ่ง ภูผาเป็นคนเงียบๆ หน้านิ่งๆ เดาอะไรไม่ค่อยได้ แต่ถ้ามันด่าผมในใจอันนี้รู้เพราะคิ้วมันชอบขมวดเข้าหากันตอนไม่พอใจอะไรสักอย่าง อาจเป็นเพราะบาดแผลในใจที่ทำให้มันกลายเป็นคนที่เฉยชาไปบ้าง มันอาจจะดื้อด้านไปบ้าง หรือบางทีก็ใจร้ายกับผมไปบ้าง แต่มันไม่เคยรู้ตัว แล้วก็ไม่รู้ว่าเคยมีใครบอกมันไหม ว่าจริงๆ แล้วไอ้ภูผาแม่งโคตรน่ารักเลย

"จะเที่ยงแล้วอะ กูออกไปซื้อข้าวดีกว่า"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนมันจะลุกขึ้น 

"เดินดีๆ อย่าเหยียบงานกู"

"รู้"

มันกระแทกเสียงใส่แล้วหันหลังเดิน แต่ไม่ทันถึงสามก้าวก็สะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนร้องลั่นห้อง

"โอ๊ย!"

"เฮ้ย!"

ผมเผลอตกใจไปด้วยเพราะเท้ามันที่ไม่รู้โดนเข้ากับอะไรจนสะดุ้งแล้วไปเตะเข้ากับแก้วกาแฟที่วางกับพื้น จนหกพรวดใส่กระดาษเขียนแบบของผมที่วางอยู่ เกิดเป็นความโกลาหลอยู่ครู่หนึ่งก่อนภูผาหันไปเบิกตาขึ้นมองกองกระดาษที่เลอะกาแฟแล้วเงยหน้ามองผม 

"ขอโทษ"

"..."

"กูขอโทษ"

ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่มันเอ่ยปากขอโทษก่อน เผลอมองใบหน้าสำนึกผิดของมันแล้วต้องรีบกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ไม่ให้ยิ้ม มือก็เก็บกระดาษที่เปียกจนขาด ปากก็พร่ำคำว่าขอโทษ น้ำตาก็คลอคงเพราะรู้สึกผิดจริง และคนบ้าอะไรวะน่ารักตอนจะร้องไห้  โคตรอยากลองขยำแก้มมันดูแต่ไม่กล้าแตะต้องกลัวมันกระโดดเตะ แปดปีที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ขยี้แก้มมันด้วยสายตา แต่ก็ก็รู้ว่าต้องนิ่มแน่นอนอะ 

"ขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ"

"หยุดขอโทษก่อน กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"

"แต่งานมึงเปียกหมดเลย"

"นั่นมันอันเก่า อันใหม่อยู่นี่ไง" ผมว่าแล้วชี้ไปที่กระดาษอีกแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา เห็นอย่างนั้นภูผามันเลยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก 

"กูตกใจหมดเลย นึกว่าจะโดนมึงดุ"

"คิดว่ากูดุเหมือนหมาบ้าหรือไง"

มันพยักหน้ารับจนผมเกือบจะยกมือฟาดแบ็คแฮนด์ใส่สักที แต่หน้าตาน่าเอ็นดูของมันทำให้เปลี่ยนใจ เลื่อนมือไปจิ้มเข้าที่แก้มมัน ความห้ามใจไม่ได้ของคนมันเป็นกันแบบนี้นี่เอง

มันนิ่งไปนิดหนึ่งตอนถูกผมจิ้มแก้มแล้วค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ 

"ทำอะไรวะ"

"กูชอบแก้มมึง"

"..."

"ขอขยำทีได้ป่ะ"

มันไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมยกอีกมือขึ้นไปจับแก้มอีกข้าง แล้วบีบเข้าเบาๆ ก่อนหลุดหัวเราะออกมา มันเองก็ได้แต่ทำหน้ายุ่งแล้วปัดมือผมออก

"พอ ไม่ใช่ของเล่น"

ผมยิ้มออกมานิดๆ กับความคิดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าแตะต้องได้ไม่หวงแบบนี้ ก็จับขยี้ไปนานแล้ว

"กูออกไปซื้อข้าวนะ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนภูผาจะเดินออกนอกห้องไป ส่วนตัวเองกลับมาเช็ดพื้นที่เลอะกาแฟ ยังไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากบนโต๊ะ จึงเอื้อมมือไปหยิบมา โทรศัพท์เป็นของภูผาแต่คนที่โทรเข้ามาเป็นแม่ของผม 

"ลูกตัวเองไม่ค่อยโทรหา แต่ไอ้ภูผานี่โทรทุกวันเลยนะ" ผมรับสายด้วยประโยคน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ปลายสายไม่มีความสงสารส่งมาให้ ซ้ำยังหัวเราะใส่อีก   

"ตลกเหรอแม่ ผมน้อยใจอยู่นะ"

(ก็รู้ว่าลูกสบายดีอยู่แล้ว แล้วนี่ภูผาไปไหน)

"ออกไปซื้อข้าว แม่มีอะไรเปล่า"

(ไม่มีอะไรหรอก แค่นึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้วันเกิดภูผา แม่เลยโทรมาเตือน กลัวว่าจะลืม) ผมหันมองปฏิทินหลังจากแม่พูดแบบนั้น ถ้าแม่ไม่บอกผมเองก็คงลืม เพราะภูผามันไม่เคยพูดถึงเลย 

(ปีนี้ภูผาอายุยี่สิบห้าแล้ว ปีเบญจเพส ไปทำบุญหน่อยก็น่าจะดี)

"ภูมันไม่เชื่อเรื่องแบบนี้หรอก"

(ทัพก็พาน้องไปสิ พรุ่งนี้วันหยุดด้วย)

"ไม่รู้มันจะไปหรือเปล่านะ ไม่รับปาก"

(ก็ลองชวนน้องดู บอกว่าแม่ขอละกัน)

"ครับ"

ผมตอบรับก่อนแม่วางสายไป แล้วมองหน้าจอมือถือของภูผากระทั่งมันดับไป ก่อนเลื่อนสายตามองปฏิทินอีกที ภูผามันยี่สิบห้าแล้วเหรอ ทำไมยังเหมือนลูกเป็ดอยู่เลยวะ

ผมหลุดขำกับความคิดตัวเอง แล้ววางมือถือลงที่เดิมก่อนก้มลงไปเช็ดพื้นต่อ หยิบกระดาษเปียกาแฟที่วางทับกองอุปกรณ์เขียนแบบออก จึงเห็นคัตเตอร์ที่ใบมีดเลื่อนลงไม่สุดวางอยู่ตรงนั้นจึงหยิบขึ้นมาดู พลันนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนที่ภูผามันจะเตะแก้วกาแฟ คงสะดุดเข้ากับไอ้นี่ ก็มัวแต่ห่วงงานไม่ได้ห่วงมันว่าเจ็บหรือเปล่า เลือดออกหรือเปล่า ผมรูดใบมีดคัตเตอร์ลงจนสุดแล้วเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟารอภูผา รออยู่พักใหญ่ๆ มันก็กลับมา   

"ไอ้ภู มานี่ดิ" 

"ทำไม"

"มานั่งนี่" คนถูกเรียกทำหน้างงๆ ก่อนเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ แล้ววางถุงกล่องข้าวไว้บนโต๊ะ ผมก้มลงมองที่เท้ามันก็เห็นรอยเลือดจากปลายนิ้ว มันเองก็น่าจะรู้ตัวแล้ว ผมจะคว้าเท้ามันขึ้นมาวางบนตัก มันรีบชักเท้าหนี แต่ผมกำข้อเท้าดึงเอาไว้ก่อน 

"เฉยๆ" 

"กูเช็ดเองได้"

ผมไม่สนใจคำพูดของมันแล้วดึงทิชชูมาเช็ดเลือดที่ปลายเท้านั่นให้ แผลน่าจะลึกอยู่พอควรเลือดเลยซึมออกมาอีก ผมออกแรงกดแผลนั่นเพื่อห้ามเลือด แต่เจ้าของแผลสะดุ้งจนร้องออกเสียง 

"เจ็บเหรอ" 

"เจ็บตอนมึงกดนี่แหละ"

"เลือดมันไหลไม่หยุดเห็นไหมเนี่ย แล้วโดนคัตเตอร์ทำไมไม่บอกกู" 

"ก็เพิ่งเห็น"

"มึงโตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าความเจ็บมันเป็นยังไง ถึงได้ไม่รู้ตัว มึงต้องรู้จักห่วงตัวเองบ้างนะภูผา ถ้ามันเป็นอะไรมากกว่านี้จะทำยังไง"

"กูไม่เป็นอะไรหรอกน่า มึงก็เกินไป"

"ใครให้เถียง"

ภูผาจ้องหน้าผมพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ นี่ด่าอะไรในใจอยู่แน่นอน   

"ว่าแล้วยังจะมาจ้องหน้าไม่สลด ก้มหน้าลงไป!"

ผมกัดปากกลั้นยิ้มตอนภูผามันก้มหน้าลงไปตามคำสั่ง แล้วยอมให้ผมทำแผลที่เท้าให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรเลย ผมอาจดูเหมือนหมาบ้าที่เอาแต่เสียงดังใส่ แต่ก็อยากให้มันรู้ ว่าหมาบ้าตัวนี้แหละที่รักและห่วงยิ่งกว่าอะไร

"ภูผา อย่ารำคาญที่กูต้องดุมึงเลย"

"..."

"กูก็แค่ไม่อยากให้มึงเป็นอะไรไป"

"..."

"ขี้เกียจมาโทษตัวเองว่าดูแลมึงไม่ดีพอ"

 

...

 

วันนี้วันเกิดภูผา มันยอมออกมาใส่บาตรทำบุญกับผมเพราะเอาแม่มาอ้าง ภูผามันค่อนข้างจะเชื่อฟังพ่อแม่ผม พ่อกับแม่เองก็ทั้งรักทั้งเอ็นดูมันเหมือนลูกแท้ๆ ที่ผ่านมาเราต่างคนต่างใช้เวลายอมรับกันและกันจนกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ ภูผาเปิดใจให้ครอบครัวเราแต่ไม่ทั้งหมด ผมรู้มันมีกำแพงของความรู้สึกบางอย่างตั้งไว้ตรงกลางระหว่างเรา แต่สำหรับผมไม่มีแม้สิ่งใดมาขวางตรงนั้นเลย ผมไม่คิดเอาคมมีดในอดีตมากรีดปัจจุบันให้เป็นรอยแผล ไม่ค่อยได้นึกถึงเรื่องเก่าๆ จนหลังๆ ก็เริ่มลืมโดยใช้เวลาเป็นตัวช่วย และความผูกพันตลอดแปดปีที่อยู่ด้วยกันมา มันก็มีมากกว่าพันเหตุผลที่ทำให้ผมทิ้งภูผาไปไหนไม่ได้

เสร็จจากทำบุญที่วัด ภูผามันไม่อยากไปไหนต่อก็เลยชวนผมกลับ แต่ช่วงนี้มีงานสัปดาห์หนังสือพอดี ผมเลยตั้งใจจะไป รู้ว่าภูผามันไม่ชอบที่คนเยอะๆ เลยหันไปบอกให้มันกลับก่อน

"ภูผา มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ กูอยากไปงานหนังสืออะ"

"อ้าว ทิ้ง"

อ้าวเหี้ย รู้สึกผิดเลย 

"กูไม่ได้ทิ้ง แต่รู้ว่ามึงไม่ชอบก็เลยไม่ชวนไง"

มันนิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนใช้ความคิดก่อนตอบกลับมา

"กูไปด้วยดีกว่า"

"เอางั้นเหรอ คนเยอะมาบ่นกูไม่ได้นะ"

"อย่าคิดว่าคนทั้งโลกจะขี้บ่นเหมือนมึงดิ"

"ไอ้ภู นี่มึงว่า..."

ภูผาส่ายหน้ารัวตอนผมกำลังจะออกปากด่า แล้วตบไหล่ผมให้เดินไปจากตรงนี้ ก่อนเราทั้งคู่จะไปงานหนังสือด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นวันหยุดคนก็เยอะอย่างที่คิด แต่ภูผามันก็ไม่ได้บ่นอะไร เดินตามต้อยๆ ตอนที่ผมแวะเข้าบูธนั้นบูธนี้ ผมชอบอ่านหนังสือ และเมื่อได้เข้ามาอยู่กับอะไรที่ชอบก็มักจะจมอยู่กับมันนานๆ เมื่อรู้ตัวว่าใช้เวลานานเกินไปกับการเลือกหนังสือจึงหันไปมองคนข้างๆ ที่ยืนนิ่งๆ อยู่ใกล้ๆ

"เบื่อเปล่า"

ภูผาส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ

"สงสารเลย ต้องมารอ"

"ไม่เป็นไร รอได้"

"งั้นตามมานะ อย่าหลง"

"เออน่า"

เมื่อภูผาเปิดโอกาสให้ผมแบบนั้น ผมก็เลยกลับไปสนใจหนังสือมากกว่า ถึงช่วงนี้จะยุ่งจนไม่มีเวลาอ่านแต่ซื้อไปก่อนเพื่อความสบายใจ ผมใช้เวลาอยู่นานกับบูธสำนักพิมพ์ที่ชอบ ก่อนได้มาสี่ห้าเล่ม ในตอนที่จ่ายเงินเสร็จก็หันมองคนที่มาด้วย แต่ไม่เจอ ผมกวาดสายตามองภูผาไปรอบๆ แต่ไม่เห็น ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน 

ผมเดินออกมานอกบูธ มองผู้คนในงานที่เยอะจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใช้ความสูงของตัวเองเขย่งมองหาภูผารอบๆ นั้น ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาแต่มันไม่รับ จึงตัดสินใจเดินสวนทางกับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดนั่นเพื่อไปหามัน  ผมเดินย้อนกลับไปทุกที่ที่ผ่านมาแต่ไม่เจอมัน โทรหาหลายรอบมันก็ไม่ยอมรับ จึงก้าวเท้าเร็วๆ ออกตามหามันไปทั่ว

"ธงทัพ"

ผมหันขวับมองคนที่เข้ามาเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้ภูผาก็รีบคว้าคอมันเข้ามาหา 

"ก็บอกให้ตามมาไง แล้วไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ"

"ไปห้องน้ำ"

"แล้วทำไมไม่บอก"

"กูกะว่าจะรีบไปรีบกลับ"

"ตกใจหมด นึกว่ามึงหายไปไหน"

"คิดว่ากูหลงเหรอ"

"เออดิ"

"ไอ้ทัพ กูยี่สิบห้าแล้ว ไม่ใช่เด็ก"

"เออเนอะ" ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยตอนมันพูดแบบนั้น

"ไปดูหนังสือต่อไหม"

"พอแล้วแหละ กลับเหอะ"

มันพยักหน้ารับก่อนเดินตามผมมาอย่างช้าๆ เมื่อผมหันไปมองมันก็ก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาเดินข้างๆ

"จับมือกันไหม จะได้ไม่หลง"

"ปัญญาอ่อน"

ผมหันขวับมองหน้าตอนมันสวนกลับมาแบบนั้น 

"มึงด่ากูปัญญาอ่อนเหรอ"

"ใช่"

"แรง"

"อ้าว ก็มึง..."

"เออ ผิดเองแหละที่ห่วงมึงมากไป ผิดเอง"

"ไอ้ทัพ"

"ไม่ต้องมาเรียก"

"ธงทัพ"

"ไม่ต้องมาแตะ"

ผมสะบัดแขนออกจากมือมันที่เข้ามาแตะ ก่อนก้าวเท้าหนีมัน ภูผาไม่ได้พูดอะไรนอกจากยื่นมือมาจับชายเสื้อผมแล้วเดินตามมาด้วย ผมหันหน้าหนีเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่เห็นแล้วหลุดยิ้มกว้างออกมา ไม่น่ามีอะไรสนุกไปกว่าการได้แกล้งคนอย่างมันแล้ว   

 

หลังจากกลับจากงานหนังสือ ผมมาแวะซื้อเค้กไอติมของโปรดภูผาสำหรับวันเกิดมัน ปากมันบอกว่าไม่ต้องซื้อ กลัวกินไม่หมดแต่ตอนส่งให้นี่กอดไม่ปล่อยเลย แถมกลับมาถึงห้องก็กินก่อนไม่พูดไม่จาอะไรเลย แบ่งสักคำยังไม่มีเลย แต่ผมไม่ชอบของหวานอยู่แล้วก็เลยปล่อยให้มันกินไปคนเดียว ส่วนตัวเองก็มาวุ่นวายกับกองหนังสือที่เพิ่งซื้อมา ผมที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดผ่านๆ แล้วหันมองภูผาที่นั่งกินไอติมอยู่ที่พื้น ก่อนเรียกมันเบาๆ

"ภู"

คนที่กำลังกินเค้กไอติม อีกมือจิ้มมือถือนั่นไม่ทันสนใจเสียงเรียกของผม เรียกซ้ำก็ยังไม่ได้ยินเลยต้องใช้ขาเกี่ยวตัวมันให้เข้ามาชิดโซฟา ภูผาเคยชินกับกิริยาต่ำๆ ของผมแล้วแหละ ทำแบบนี้บ่อยๆ มันไม่ด่าอะไรนอกจากมองตาขวางๆ ด้วยใบหน้านิ่งๆ ตามสไตล์

"มีอะไร"

"ของขวัญวันเกิด" ผมส่งหนังสือในมือให้ อีกคนวางช้อนในมือแล้วมารับมันไป หน้าตาไม่ได้ดีใจอะไรสักนิด แต่ก็พูดคำว่าขอบคุณออกมาเบาๆ 

"ขอบคุณนะ"

"มึงลองเปิดอ่านดู อาจจะชอบก็ได้"

"เล่มที่มึงให้กูเมื่อปีที่แล้วยังอ่านไม่จบเลย"

"ก็ค่อยๆ อ่านไป"

ผมพูดแค่นั้นก่อนทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ผมรู้ว่าภูผามันไม่ชอบอ่านหนังสือ  แต่ก็ยังอยากให้อยู่ดี แล้วก็ตั้งใจจะให้ไปเรื่อยๆ ทุกปี จนกว่ามันจะยอมเปิดอ่านในสักวัน 

ผมเอื้อมมือหยิบหนังสือในกองมาเล่มหนึ่ง แล้วตั้งใจจะเริ่มอ่าน แต่ถูกคนข้างๆ สะกิดแล้วส่งมือถือของผมมาให้ หน้าจอโชว์ชื่อแม่ที่กำลังโทรเข้ามา 

"จำเบอร์ลูกได้ด้วยเหรอ"

แม่หัวเราะกลับมาตอนผมรับสายแบบนั้น ทำไมแม่เส้นตื้น พูดอะไรก็หัวเราะใส่ตลอด

(เป็นไง วันนี้ได้พาภูผาไปทำบุญหรือเปล่า)

"ไปครับ"

(ดีมาก แล้วทัพให้ของขวัญน้องหรือยัง)

"ให้แล้ว แต่มันไม่ชอบ"

(อ้าว)

"ช่างมันเหอะ ถึงไม่ชอบก็ต้องเอา"

(ซื้อเค้กหรือยัง ภูผาชอบกินเค้กไอติมหน้าสตอเบอร์รี่นะ)

"ซื้อแล้ว กินคนเดียวหมดแล้วด้วย"

ผมเคยถามว่าทำไมแม่ต้องรักภูผาขนาดนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วภูผากับแม่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยไม่ว่าทางใด แม่ยอมรับว่ามันเริ่มจากความสงสาร ในวันที่ภูผาเสียแม่มันไปแล้วไม่เหลือใคร แต่ตอนหลังๆ ผมว่าแม่หลงมันว่ะ คำก็ภูผา สองคำก็ภูผา มันถีบผมกระเด็นออกจากตำแหน่งลูกรักอันดับหนึ่งไปแล้วเรียบร้อย ทั้งพ่อและแม่ย้ำกับผมอยู่ทุกครั้งว่าให้ดูแลภูผาดีๆ ภูผาไม่มีใคร ผมไม่ชอบเลยที่พวกเขาเอาแต่พูดแบบนั้น

 

ภูผามันจะไม่มีใครได้ยังไง ก็ยังมีผมอยู่ทั้งคน 

 

(แล้วคืนนี้ทัพจะนอนกับน้องหรือเปล่า)

"เดี๋ยวเย็นๆ ก็กลับแล้ว พรุ่งนี้ทำงานเช้า"

(ค่อยกลับตอนเช้าสิ)

"โห ที่ทำงานโคตรไกลนะแม่ วันจันทร์ด้วย"

(ก็ตื่นเร็วๆ สิ)

"ซื้อรถให้หน่อยสิแม่"

(ซื้อเองสิ เงินเดือนก็มี)

"ไม่พอใช้สักเดือน แม่ซื้อให้หน่อยไม่ได้เหรอ"

(กรุงเทพฯ รถติดจะตาย)

"นี่ถ้ามีรถจะได้กลับชลบุรีบ่อยๆ ด้วย นะแม่นะ"

(อย่ามาอ้อนกันนะทัพ)

"แม่ครับ แม่จ๋า"

(ทำตัวดีๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวพิจารณาอีกที)

"รักแม่นะครับ แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง"

(แค่นี้ก่อนเลย ไม่คุยด้วยแล้ว ช่วงนี้ทำงานหนัก ก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ)

"ครับ"

(ดูแลภูผาดีๆ ด้วย น้องไม่มีใคร)

"ครับผม"

ผมกดวางสายจากแม่แล้วหลุดหัวเราะออกมาหน่อยๆ ก่อนต้องรีบหุบยิ้มเพราะไอ้ภูมันมองอยู่   

"มองไร"

"อายุเท่าไรแล้วยังจะอ้อนแม่อีก"

"กูมีแม่ก็ต้องอ้อนแม่ดิ ไม่มีแม่ก็มาอิจฉากู"

ภูผาเงียบไปตอนผมพูดแบบนั้น ผมก็ตบปากตัวเองอยู่ในใจ คนเหี้ยอะไรมันจะปากหมาได้ขนาดนี้วะ ภูผายังคงนิ่ง แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง

"ไอ้ภู กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ"

"..."

"ไม่โกรธดิ มึงก็รู้ว่ากูปากหมา กูพูดไม่คิด ตบปากกูเลย"

"..."

"ภูผา"

ผมขยับตัวเองลงจากโซฟาลงไปนั่งข้างๆ มัน หน้ามันนิ่งอยู่แล้วไงไม่รู้โกรธจริงไม่จริง แต่ถ้าผมเป็นมันแล้วได้ยินแบบนั้นผมก็คงโกรธแหละ ผมยกมือสะกิดแก้มมันเบาๆ อีกคนก็ยังเฉย

"กูขอโทษ"

"กูคิดถึงแม่เลย"

"เฮ้ย ขอโทษ"

มันส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วก้มหน้าลงไป   

"คิดถึงแม่จริงๆ นะเนี่ย"

"เฮ้ย..."

ผมยิ่งรู้สึกผิดที่พูดไม่คิดออกไปแบบนั้น แล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ มันกว่าเดิม 

"กอดไหม"

.

.

.

"อืม กอด"

 



To be continued.

 



กลายเป็นนิยายรายเดือนที่แท้ทรู ต้องขอโทษที่หายไปนานมาก รู้สึกผิดที่ทำให้รอนานจริงๆ ค่ะ กราบขอความเห็นใจ เราไม่มีเวลาจริงๆ ช่วงนี้ บางวันต้องเข้าออฟฟิศวันละ16ชม.เลย บวกกับเอ็นข้อมืออักเสบดูท่าจะเป็นเรื้อรัง เราเลยไม่อยากเสี่ยงใช้งานมันหนัก มันเป็นความทรมานบทใหม่ของชีวิตจริงๆ มีน้ำตาหน้าคอมพ์ทุกทีเลย ไม่ใช่นิยายเศร้านะ เจ็บมือ 55555 อีกเรื่องคือต้องขอโทษที่ต้องอัพตีสี่ตีห้าแบบนี้ ชีวิตว่างสุดตอนนี้แล้วจริงๆ ค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ ยังไงเดี๋ยวรีบกลับมาค่า - ด้วยรักและขอบคุณ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 04:31:44 โดย รชา »

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุณมากนะคะไรท์ที่มาอัพแต่อยากให้ห่วงสุขภาพตัวเองด้วยเราเชื่อว่าทุกคนรอได้อยู่แล้วค่ะขอแค่ไม่ทิ้งกันก็พอเป็นห่วงตัวเองให้มากๆนะคะเพราะคนที่เจ็บป่วยคือตัวเราเอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
« ตอบ #99 เมื่อ: 25-01-2018 04:52:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
น่าร้ากกกกกกกก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ฮือออออ ละมุน
ขอธงทัพกับภูผา ได้ไหมคะ
เรามรีลางสังเห่าเอ้ยหรณ์ว่านาวีจะกกลับมา

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แปดปีที่ดูแลกันมาเรื่อย ๆ ถ้าจะเปลี่ยนสถานะก็คงเปลี่ยนไปนานแล้วมั้ง


รักษาตัวด้วยนะคะ เป็นห่วงค่ะ

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ไม่ทิ้งกันแน่นวลลลล ขอแค่มาอัพนะ นานแค่ไหนก็ยังรอ ยังติดตามค่าาาาาา 

ชอบความเป็นธงทัพ ปากหมาใจดีนิสัยถ่อยชอบดุ ชอบแกล้งให้น้องหน้างอ บ้าบอจริง นี่มันไม่ใช่เอ็นดูแบบพี่น้องแล้วนะ  :-[

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
สองคนก็อบอุ่น สบายใจกันดีอยู่แล้ว

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
กอดด้วยยยย โอ๋ๆ นะภูผา
ชอบโมเม้นท์ธงทัพภูผา มีความละมุน ดูแลกัน ผ่านเรื่องราวมาด้วยกัน กอดทั้งคู่เลยยยย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ธงทัพ ภูผา    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ดูแลกันดีแล้ว
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ทีมธงทัพภูผา อยากรู้ว่าความสัมพันธ์จะมากกว่าพี่น้องตอนไหน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เราอ่านแล้วนั่งร้องไห้น้ำตาใหลพราก สงสารไปหมดทุกคน ยังมีความหวังนะคะว่าภูผาจะกลับมารักกันกับนาวี

ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไรท์สู้ๆนะ พักผ่อนๆรักษาร่างกายให้หายดี นิยายดีๆนานแค่ไหนเราก็รอได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.11] 25/1/18
« ตอบ #109 เมื่อ: 25-01-2018 21:03:55 »





ออฟไลน์ Lalaleega

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พี่เต้สหู้ไข่สู้สู้นะคะ ติดตามทุกเรื่องของพี่เลย ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ขอบคุณที่อัพนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 12

 

แม้จะพยายามคิดเรื่องอื่นแค่ไหน
ก็หยุดคิดเรื่องคุณไม่ได้อยู่ดี

 

 

"ภูผา มึงควรเรียกกูว่าพี่นะ"

"ไม่"

"ทำไมวะ"

"ไม่อยาก"

"ทำไมเรียกคนอื่นได้ แต่เรียกกูไม่ได้"

"ก็มึงไม่ใช่พี่กู"

"แล้วคนอื่นมันเป็นลูกแม่มึงเหรอ"

"กวนตีน"

"ไหนลองเรียกหน่อย"

"ไม่"

"ครั้งเดียว"

"ไม่"

"ขอครั้งเดียว เดี๋ยวเลิกวอแวเลย"

"รำคาญ"

"มึงรำคาญใคร มึงพูดดีๆ"

"..."

"จะเรียกดีๆ หรือจะต้องให้มีน้ำตา"

"ไอ้เหี้ยทัพ"

"ภูผา!"

"เออ! พี่ทัพ!"

"..."

"พี่ทัพ..."

.

.

.

"พี่ทัพ"

"..."

"พี่ทัพ!"

 

เชี่ย...

 

หลังเสียงปลุกข้างๆ หู ผมลืมตาขึ้นก่อนมองเห็นภูผาอยู่ตรงหน้า สมองประมวลผลอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสะลืมสะลือไม่รู้จริงหรือฝัน ก่อนเสียงของภูผาจะพูดซ้ำเพื่อเรียกให้ผมตื่น 

"ไอ้ทัพ"

"อือ"

"ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปสายหรอก"

"เออ"

ผมหันมองนาฬิกาหัวเตียงบ่งบอกเวลาตีห้าครึ่ง เร็วไปที่จะตื่นสติเลยมาไม่ครบ ยันตัวเองขึ้นมางงๆ แล้วขยับไปนั่งที่ปลายเตียง หันมองภูผาที่มุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม สำหรับมันยังมีเวลานอนอีกเหลือเฟือ มันคงเห็นว่าผมไม่ยอมลุกไปหลังจากตื่นแล้วก็เลยผงกหัวขึ้นมามอง

"ไปดิ"

"เดี๋ยวดิ"

"รออะไร"

"กูขอตั้งสติแป๊บได้ป่ะล่ะ"   

"เดี๋ยวก็สายหรอก วันจันทร์รถติด..."

"เมื่อกี้เรียกกูว่าพี่เหรอ"

"ฮะ?"

"ตอนปลุกอะ"

"เปล่า"

"กูได้ยินนะ"

"มึงฝันเหรอ"

"เหรอวะ"

"เออ ไปได้แล้ว ใครจะไปเรียกคนอย่างมึงว่าพี่ เพ้อเจ้อ"

ผมคว้าหมอนโยนใส่หน้ามันไปทีหนึ่ง ก่อนลุกไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็เตรียมตัวเสร็จทั้งที่ฟ้ายังไม่สว่าง เก็บของใส่กระเป๋าแล้วหันมองภูผาที่หลับไปอีกรอบเลยไม่ได้ปลุก เดินเข้าไปมองหน้าที่จมไปกับหมอนแล้วแก้มมันแบบกองรวมกันเป็นก้อนๆ อธิบายไม่ถูกว่ามันเป็นยังไง แต่มันโคตรเหมาะกับการจับบีบ แต่ก็เสี่ยงโดนถีบเลยไม่เอาดีกว่า ผมได้แต่ก้มหน้าลงไปกระซิบบอกลาเบาๆ   

"ภูผา กู..."

ผมหยุดคำพุดเพราะอยากลองเปลี่ยนสรรพนามการแทนตัวเองดูบ้าง ผมอยากให้มันเรียกผมว่าพี่ แต่ไม่เคยเรียกแทนตัวเองว่าพี่เลย แค่คิดจะลองดูก็เขินอยู่ในใจแล้ว ผมลังเลอยู่ในใจก่อนลองเอ่ยออกไป

"พี่"

"..."

"พี่ไปทำงานแล้วนะ"   

"..."

"แม่งเขินเนอะ"

"อือ"

อ้าวเหี้ย!

 

...

 

 

จากที่พักของภูผามาถึงที่ทำงานผมใช้เวลานานเหมือนเดินทางไกล นั่งรถกลับชลบุรียังเร็วกว่าเลยมั้ง เช้าวันนี้ก็รถติดนรกแตก เหมือนติดเผื่อประเทศอื่นไปแล้วอะ ออกมาเช้าแค่ไหนก็สายอยู่ดีว่ะ แต่จะพูดว่าเกลียดวันจันทร์ก็ไม่เต็มปากนัก วันจันทร์มันก็อยู่ของมันเฉยๆ นี่แหละ แต่เกลียดการทำงานมากกว่า แค่คิดถึงงานเฉยๆ ก็หมดแรงแล้ว ในแต่ละวันของการทำงาน ไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้ขยับตัวออกไปกินข้าวตอนไหน เพราะงั้นอาหารเช้าเลยสำคัญ ผมหยุดอยู่หน้าตึกเพื่อคิดว่าจะกินอะไรดี แล้วทำไมกูต้องอยากกินเป็ดเอ็มเคกับชาบูชิตอนแปดโมงเช้าด้วยวะ

"น้องกองทัพ" 

ผมเหลือบตามองพี่นก เจ้าของร้านหมูปิ้งหน้าตึกที่ฝากตัวเป็นลูกค้าประจำ แต่การเป็นลูกค้าวีไอพีเมมเบอร์ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าๆ ไม่ได้ช่วยให้พี่มันจำชื่อผมได้เลย กองทัพส้นตีนอะไร

"หมูปิ้งไหมจ้ะ"

"เบื่อแล้ว" 

"เรื่องมากน่า ซื้อเหอะ จะหมดแล้วช่วยหน่อย"

"เป็นคนแบบไหนถึงมาบังคับให้คนอื่นซื้อของเนี่ย ฮะ?"

"ก็ช่วยหน่อย ไม่งั้นต้องทิ้งให้หมากินนะ"

"เออๆ เอามา"

"น้องจอมทัพใจดีที่สุด"

บังคับกูซื้อแล้วยังตั้งชื่อให้กูใหม่ด้วย จอมทัพเหี้ยอะไรอีก! ผมหันมองพี่นกที่หัวเราะคิกคักตอนที่ประสบความสำเร็จในการบังคับให้ชาวบ้านซื้อหมูปิ้งที่เหลือ จับยัดใส่ถุงให้ผมหมดแต่ก็คิดเงินไม่เท่าจำนวนไม้เพราะขยันแถมให้ตลอด ยังไม่ทันเดินออกจากหน้าร้านก็หันไปเห็น ไอ้ปอ รุ่นน้องที่ทำงาน เดินหอบม้วนกระดาษหน้าตาอดหลับอดนอนเดินมาหยุดที่หน้าร้านหมูปิ้ง หน้าง่วงๆ เมื่อมองเห็นแค่ความว่างเปล่าก็เปลี่ยนหน้าเศร้า

"หมดแล้วเหรอครับ"

"หมดแล้วลูก ทำไมวันนี้น้องปอมาสายล่ะ"

"แล้วทำไมวันนี้หมดเร็วล่ะครับ" 

"น้องทัพเหมาไปหมดแล้ว"

หน้าบูดๆ ของไอ้ปอหันมองผมและถุงหมูปิ้งในมือ เมื่อผมหยิบหมูออกมาจากถุงไม้หนึ่ง สายตามันก็มองตามเหมือนลูกหมาเห็นอาหาร ผมเลยยื่นหมูไม้นั้น...   

"อ้าม!"

เข้าปากตัวเองคำเดียวหมดเลย 

"พี่ทัพแม่ง"

"อร่อยจังโว้ย"

"ทำไมใจร้าย"

ไอ้ปอย่นหน้าบูด ก่อนหันขวับเดินเข้าตึกไป ผมจึงรีบก้าเท้าเข้าไปหาแล้วใช้มือข้างที่ถือถุงหมูปิ้งยื่นไปล็อกคอมันเอาไว้ก่อน

"เฮ้ย! พี่ทัพ!"

"เอาไป" ผมปล่อยถุงหมูปิ้งในมือให้อีกฝ่าย มันก็รีบยกมือขึ้นมารับเอาไว้ แล้วหันมองผมด้วยใบหน้างงๆ

"ทำไมให้ผม"

"หิวไม่ใช่เหรอ"

"แต่..."

"เอาไปเหอะ หน้ามึงเหมือนหิวโหยอาหารมาก ชีวิตไม่เคยได้กินอะไรดีๆ เลยหรือไง"

"หิวอะครับ ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"

"ถึงว่า ทำหน้าเหมือนหมาตอนเห็นหมูปิ้ง"

"หมาอะไรล่ะพี่! อันนี้ผมจ่ายเงินให้พี่ดีกว่า เท่าไรครับ"

"ไม่ต้องหรอก"

"ทำไมใจดี"

"กูจะคิดว่าให้อาหารหมา"

"พี่ทัพ!"

ผมหัวเราะลั่นพลางกระโดดหลบม้วนกระดาษในมือที่มันกำลังจะยกฟาด เมื่อทำร้ายผมไม่สำเร็จก็ได้แต่มองตาขวาง อีกมือก็กำถุงหมูปิ้งเอาไว้แน่น เมื่อถึงหน้าลิฟต์มันก็วิ่งเข้าไปในลิฟต์ก่อนแล้วรีบกดปิดก่อนผมจะเดินถึง มันแลบลิ้นใส่ก่อนประตูลิฟต์ปิดไป คงสะใจมันน่าดู แต่กูไม่ได้จะขึ้นลิฟต์โว้ย

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนเดินไปซื้อกาแฟที่ร้านใต้ตึก จากนั้นถึงจะเข้าออฟฟิศในตอนที่เลยเวลางานมาสิบกว่านาที ในออฟฟิศจะแบ่งห้องทำงานอย่างชัดเจน ห้องใหญ่ๆ นั่นพวกสถาปนิก เป็นพวกพระเอก งานเยอะ บุคลากรก็เยอะ ส่วนห้องซ้ายคือพวกอินทีเรีย ตกแต่งภายใน นี่ก็พวกนางเอกสวยๆ ส่วนห้องเล็กที่มีมนุษย์อยู่สองสามคนนั่นคือฝ่ายแลนด์สแคป หรือภูมิสถาปัตย์อย่างพวกเรา ซึ่งเป็นพวกตัวประกอบ เป็นลูกเมียน้อยไม่ค่อยถูกรัก โต๊ะทำงานผมติดกับโต๊ะไอ้ปอ เมื่อมันเห็นผมเดินเข้าไปก็กัดหมูปิ้งไม้สุดท้ายเข้าไปเต็มคำ 

"เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก" ผมว่าแล้ววางกาแฟแก้วหนึ่งบนโต๊ะมัน   

"ซื้อให้เหรอ" 

"อือ" 

"จริงไม่จริง?"

"แดกไม่แดก?"

"เอา!" มันส่งเสียงดังแล้วคว้าแก้วกาแฟไปก่อนที่ผมจะหยิบคืน ก่อนหันมายิ้มให้หน่อยๆ ตอนที่เคี้ยวหมูเต็มแก้ม แล้วก็ดูดกาแฟตามเข้าไปอึกใหญ่ ผมหลุดยิ้มออกมานิดหน่อยกับความหิวโหยของไอ้เด็กนี่ 

"ไอ้ทัพ!"

ประตูที่เปิดเข้ามาพร้อมเสียงของพี่แต้ม ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้างานผมก็ควรเคารพพี่เขาหรอก แต่เข้ามาเรียกแบบนี้ไม่พ้นหางานมาให้อีกแน่นอน เลยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก้มหน้าหนีไปก่อน

"ไม่ต้องหลบหน้ากูเลย"

"มีอะไร"

"มีงานบ้านเดี่ยว งานง่ายเลย มึงทำนะ"

"ไม่เอา"

ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด จริงอยู่ที่งานออกแบบสวนบ้านเดี่ยวหรือบ้านจัดสรรมันง่ายกว่างานอื่น แต่ละเอียดยิบ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จุกจิกจนน่ารำคาญ ผมเลยไม่ค่อยรับเพราะเป็นประเภทไม่ค่อยมีความอดทนกับความจู้จี้หรือความเรื่องมากของใคร แค่ทนกับความเรื่องมากของตัวเองก็เหนื่อยแล้วเหอะ 

"ไรวะทัพ"

"งานเก่ายังทำไม่ทันเลยพี่"

พี่แต้มถอนหายใจหน่อยๆ ก่อนหันไปหาไอ้ปอ หรือในออฟฟิศมันจะถูกเรียกว่าไอ้เป็ด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม

"ไอ้เป็ด"

"ครับ?"

"เมื่อวานมึงมีตรวจไซด์งานไม่ใช่เหรอ ทำไมมึงไม่ไป"

"ก็พี่เอกบอกว่าผมไม่ต้องไปก็ได้"

"ไอ้เอกมันหัวหน้ามึงเหรอ ถึงได้ไปเชื่อมัน"

"ก็พี่เอกบอก..."

"มึงไม่ต้องอ้างมัน มันเป็นงานที่มึงรับผิดชอบ มึงละเลยแบบนี้ไม่ได้"

"ขอโทษครับ"

"ไม่ต้องขอโทษกู ขอโทษตัวเองเหอะที่เกิดมาห่วยขนาดนี้"

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถูกด่าที่ได้แต่ก้มหน้าเงียบ แล้วไอ้หัวหน้านี่ก็เดือดอะไรมายืนด่าน้องมันต่อหน้าคนอื่น ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่สุด

"เป็ด มึงเอางานนี้ไปทำ" งานที่เอามาให้ผมถูกโยนให้ไอ้ปอ 

"แต่ว่าผมงานเยอะแล้ว งานที่พี่ให้แก้ยังไม่เสร็จเลย"

"มึงก็รีบเคลียร์สิ งานไม่เสร็จมันเป็นหน้าที่ของมึง เงินน่ะจะเอาไหม"

"แต่ว่าผม..."

"ทำได้ไหม"

"..."

"ถามว่าทำได้ไหม"

"ครับ ก็ได้..."

"พี่"

เสียงของผมเรียกทั้งพี่แต้มและไอ้ปอให้หันมอง จริงๆ ผมจะไม่ยุ่งก็ได้ แต่ความเสือกแม่งเอาชนะทุกสิ่ง ก่อนยื่นมือไปรับกระดาษในมือพี่แต้มมาแทน 

"เดี๋ยวทำเอง"

"สรุปมึงจะทำใช่ไหม"

"เออ แล้วก็เลิกด่ามันได้แล้ว กร่างมาจากไหนอะ กลับไปห้องเลยไป รำคาญ"

"ไอ้เชี่ยทัพ!"

"ไปๆ เดี๋ยวทำเอง" ผมโบกมือปัดๆ เป็นเชิงไล่ ก่อนพี่แต้มจะด่าผมทีหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไป ไอ้ปอที่ยังนิ่ง สงสัยยังช็อกที่โดนด่า ตั้งสติได้ก็หมุนเก้าอี้มาหาผม   

"พี่ทัพ"

"ไร"

"โดนด่า"

"กูได้ยินละ"

"ฟ้อง"

"ฟ้องพ่อมึงโน่น"

"ทำไมใจร้าย"

"พี่มันแม่งก็เป็นแบบนี้แหละ มึงยังไม่ชินอีกเหรอ เถียงได้ก็เถียงดิ แค่แก่กว่าไม่ได้แปลว่าถูกตลอดนะ แล้วคราวหลังถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปรับปาก เพราะถ้าทำไม่ทันขึ้นมาคนซวยก็คือมึง เข้าใจไหม"

"ครับ"

"แต่ตอนนี้คนซวยคือกูแน่นอน รับปากอย่างพระเอก ทำไม่ทันนี่เสียหมาเลยนะ วันนี้มึงไม่ต้องชวนกูคุยเลยนะเดี๋ยวงานไม่เสร็จ" ผมว่าพลางเปิดกระดาษนั่นดูผ่านๆ แล้ววางเอาไว้ก่อน ไอ้ปอก็หมุนเก้าอี้กลับไปที่หน้าโต๊ะตัวเอง ก่อนหันกลับมาเรียกอีกที

"พี่ทัพ"

"อือ"

"ขอบคุณนะครับ"

"เออ"

ผมพยักหน้ารับ แล้วเริ่มทำงานต่อ ไอ้ปอก็วุ่นอยู่กับงานตัวเองจนไม่ได้คุยกับอะไรกัน เลยเที่ยงไปแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน จริงๆ งานไม่ได้โหดขนาดนั้น แต่เรื่องเวลาไม่สำคัญเท่าอารมณ์ ถ้าผมกำลังอินกับงานแล้วก็ไม่อยากให้อะไรมาขัด ไม่งั้นเสียอารมณ์แล้วความคิดเตลิดหมด กว่าจะปั้นอารมณ์ได้มันใช้เวลานานกว่าลงมือทำงานเลยทำต่อเนื่องไม่ได้หยุด กระทั่งร่างแบบใกล้เสร็จก็ทิ้งตัวไหลลงไปบนเก้าอี้ ไอ้ปอที่ออกไปข้างนอกก็เดินกลับเข้ามาพอดีพร้อมของกินในมือ มันวางกาแฟแก้วหนึ่งกับแซนด์วิชอีกชิ้นลงบนโต๊ะผม   

"ใช้คืนเมื่อเช้าครับ"

ผมพยักหน้ารับ มือหมดแรงแม้แต่จะยกแก้วขึ้นมาเลยขยับหน้าก้มลงไปดูดแทน ไอ้ปอหัวเราะกับท่าทางของผม แล้วยื่นมือมาแกะกล่องแซนด์วิชให้

"ต้องป้อนไหมครับ"

"ไม่ต้องๆ กูยังไม่ง่อย" ผมว่าแล้วหยิบแซนด์วิชยัดใส่ปากไปคำหนึ่ง     

"เออพี่ทัพ เมื่อกี้ผมเจออินทีเรียคนใหม่ด้วย โคตรหล่อเลย"

"หล่อกว่ากูไหม" 

"ก็...หล่อคนละแบบครับ" 

"เข้าใจตอบ" 

"เห็นว่าอายุเท่าพี่ทัพ แต่หน้าเด็กกว่าพี่ทัพเยอะเลย" 

"อ้าวไอ้ห่า!"

"ก็จริงอะ พี่ทัพชอบปล่อยโทรม นี่ผมก็เริ่มยาวแล้วนะครับ"   

"เออดิ รำคาญชิบหาย" ผมว่าพลางเหลือบมองผมหน้าที่ยาวทิ่มตา หงุดหงิดกับมันมาพักหนึ่งละ ผมเลื่อนสายตาไปมองกรรไกร แล้วลังเลว่าจะจับตัดเองเลยดีไหมวะ   

"ไปตัดสิครับ"

"กูไม่ชอบเข้าร้านตัดผมคนเดียว"

"ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม"

"ไว้ก่อนก็ได้"

"มา งั้นมัดให้" ไอ้ปอว่าแล้วล้วงเข้าไปในกล่องอุปกรณ์บนโต๊ะ ก่อนหยิบหนังยางสีแดงๆ มาเส้นหนึ่ง แล้วจัดการรวบผมหน้าของผมขึ้นมัด   

"มึงต้องก้าวร้าวแค่ไหนถึงมาเล่นหัวกูเนี่ย"

"เฉยๆ สิครับ" 

มันพูดขณะขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้เพื่อให้มัดผมได้ถนัด และเพราะว่ามันเข้ามาใกล้ หน้าเล็กๆ ของมันก็เลยอยู่ตรงหน้าผมพอดี ตาโตๆ เหลือบมองสองมือที่วุ่นวายอยู่บนหัว จริงจังจนปากเชิดเป็นเป็ดเลย หรือที่คนในออฟฟิศเรียกมันว่าเป็ดจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ แต่หน้าตาจริงจังเกินเหตุของมันดูรวมๆ ก็ดันน่ารักดี

 

น่ารักเหมือนภูผาเลย

 

...

 

เย็นนั้นหลังจากเลิกงานผมก็ตรงกลับห้องทันที เพราะตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเลยโคตรง่วง ลืมเรื่องข้าวเย็นแล้วกลับไปนอนก่อน ดีว่าที่ทำงานไม่ไกลจากที่พักมากก็เลยใช้เวลาไม่นาน ผมลากเท้าเดินเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ก่อนยกมือดึงหนังยางที่ยังมัดอยู่บนหัว ไอ้ปอแม่งก็มัดหัวกูเป็นถุงแกงเลย เส้นผมหลุดติดมาด้วยครึ่งหัวแล้วเนี่ย ผมยกมือขยี้หัวเบาๆ ก่อนดึงมันลงมาดูความยาวของมันที่สมควรโดนตัดแล้ว แต่ผมไม่เคยเข้าร้านตัดผมคนเดียว ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาคนไปเป็นเพื่อนก่อน ปลายสายปล่อยให้รออยู่ครู่หนึ่งก่อนกดรับ

(ว่าไง)

"ภูผา ไปตัดผมเป็นเพื่อนหน่อย"

(กูยังทำงานอยู่เลย)

"แต่กูผมยาวแล้ว"

(ก็ไปคนเดียวสิวะ ไปไม่ถูกหรือไง)

"ไม่เอา ไม่กล้า"

(วันหลังได้ไหม)

"แต่ผมกูยาวมากเลยนะ ไปเป็นเพื่อนหน่อย นะๆ"

(...)

"นะ ภูผา นะ"

(เออ! เจอกันหน้าร้าน)

ผมหัวเราะหน่อยๆ ตอนภูผาตกลง ถึงจะเป็นการตกลงแบบอารมณ์เสียแต่ก็มันก็แพ้ผมอยู่ดี ผมรีบออกไปข้างนอก เพราะร้านตัดผมที่เราไปกับประจำมันอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานของภูผา กว่าผมจะไปถึงมันก็เลิกงานพอดี และเป็นฝ่ายยืนรอผมอยู่แล้วที่หน้าร้าน รอนานเท่ากับไอติมครึ่งโคนที่กินไปแล้วเหลืออีกครึ่ง ทันทีที่หันมาเห็นผมก็เอ่ยเสียงเรียบออกมาผ่านใบหน้านิ่งๆ 

"ทำคนอื่นลำบากตลอด น่ารำคาญ"

"รำคาญใคร"

"เปล่า" 

"พูดใหม่ดิ"

"เฮ้ย!"

ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปบีบคางมัน

"ปล่อยกู"

"กูไม่ปล่อย" ผมพูดพลางบีบแก้มนั่นเข้าไปอีก คิ้วที่ขมวดแน่นกับแก้มที่โดนบีบจนปากจู๋โคตรตลก ภูผาสบถคำด่า ก่อนยกมือขึ้นจับมือผมออกแล้วอ้าปากกัดเข้ามาเต็มๆ

"โอ๊ย! เจ็บ!"

ยิ่งผมร้องว่าเจ็บมันยิ่งกัดแน่นอย่างกับจะเอาให้จมเขี้ยว จนผมต้องยกมือดีดหน้าผากมันออกไป หน้านิ่งๆ ที่มองตาขวาง ก่อนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มดูสะใจ   

"เจ็บนะเว้ย!"

"ทีมึงยังกัดกูบ่อยๆ เลย"

"กูไม่เคยกัดแรงขนาดนี้เลยเหอะ มึงดูๆ ฟันครบซี่เลยเนี่ย" ผมชูรอยฟันที่ฝังอยู่บนมือให้มันดู เจ็บจนมือสั่นเลยแม่ง มันก็ได้แต่แสร้งหันมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ ก่อนไล่ผมเข้าร้านตัดผม   

"กูเจ็บจริงๆ นะเนี่ย"

ผมหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไป ในจังหวะที่ภูผามันเดินตามมาก็ชนเข้ากับผมพอดี เพราะความสูงที่เกือบเท่ากัน เลยทำให้หน้าของมันอยู่ตรงกับสายตาของผมพอดี

"อะไร"

"กูเจ็บ"

"..."

"แต่เจ็บไม่เท่าคำว่าน่ารำคาญของมึง"

"..."

"ถ้าไม่มีกูให้รำคาญแล้วมึงจะรู้สึก"

ผมพูดแค่นั้นแล้วหันหลังกลับเข้าร้านอีกที แต่ถูกภูผาดึงชายเสื้อจากด้านหลังเอาไว้ก่อน 

"ขอโทษ"

มันพูดเร็วจนฟังแทบไม่ทันแล้วเดินเข้าร้านไปก่อน ทิ้งให้ผมหลุดยิ้มกว้างแล้วเดินตามเข้าไป จากไอ้เด็กหน้านิ่งๆ ที่เจอหน้ากันทีไรก็ชอบทำหน้าหงิกใส่ ไม่รู้ว่าผมไปมองว่ามันน่ารักตั้งแต่เมื่อไร แล้วตั้งแต่ที่มองว่ามันน่ารัก ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง มันก็น่ารักจนมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แบบนี้เหรอวะที่เรียกว่าหน้ามืดตามัว   

หลังจากตัดผมเสร็จ ผมก็ชวนภูผามากินข้าวต่อ เพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า แล้วคำว่าชาบูชิมันเป็นสิ่งแรกที่นึกถึงก็เลยชวนมันมาที่ห้างใกล้ๆ ใช้เวลาอยู่ในห้างจนเริ่มมืดภูผาเลยชวนผมกลับ ผมที่เดินตามมันอยู่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อผ่านร้านขายของเล่นและโมเดล คนเดินนำรู้ตัวว่าผมหยุดเดินตามก็หันกลับมามอง

"ไปเลย ไม่ต้องแวะ"

"แป๊บๆ"

"ไม่ต้องเข้าไปหรอก"

"แป๊บเดียว" 

มีอยู่สองร้านที่ภูผามันไม่ค่อยอยากมาพร้อมผม คือร้านหนังสือกับร้านของเล่น ถ้าเข้าร้านหนังสือผมจะใช้เวลานานจนมันขี้เกียจรอ แต่ถ้าร้านของเล่นมันจะบอกว่าไร้สาระและราคาแพงเกินเหตุ แต่บ่นได้ก็บ่นไป ผมไม่สนใจเดี๋ยวก็หยุดบ่นเอง

"มึงรู้ไหมว่าทำไมว่าเงินเดือนมึงถึงไม่เคยพอใช้ ก็หมดไปแต่กับของแบบนี้ไง"

"ของมันต้องมี"

"ไม่มีก็ไม่ตายหรือเปล่าวะ ที่มีอยู่ก็เยอะแล้วไม่ใช่หรือไง..." เสียงของภูผาหายไปจากหัวตอนที่ผมเดินเข้ามาในร้าน โมเดลจากการ์ตูนวันพีชคือสิ่งแรกที่ผมมองหา ก่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวการ์ตูนโปรดที่ชื่อโซโล จากนั้นก็โดนร่ายมนต์จนหลงอยู่ในดงโมเดล 

"ตัวนี้พี่ให้พันห้าไปเลย ลดสุดไรสุดแล้ว"

ผมมองสองตัวที่อยากได้สลับกันไปมาเพราะตัดสินใจไม่ถูก     

"อย่าลังเล เหลืออย่างละตัวแล้วนะน้อง"

"เลือกไม่ได้อะพี่"

"ก็เอาไปสองตัวดิ สองตัวพี่คิดสองพันห้า"

"..."

"เอาซันจิตัวนี้ไปด้วย พี่คิดหมดนี่สามพันอะ เอาไม่เอา"

"ภูผา ขอตังค์พันหนึ่ง!"

เพราะเงินไม่พอเลยต้องหันไปขอคนที่มาด้วย แล้วผมก็ถูกสายตาขวางๆ มองมา แต่มือก็ควักเงินในกระเป๋ากระแทกลงบนโต๊ะ ผมหยิบเงินตัวเองรวมครบสามพันแล้วยื่นให้พี่เจ้าของร้าน ก่อนยืนรอโมเดลทั้งสามตัวใส่กล่องให้

"ขอบคุณมากน้อง อาทิตย์หน้าของเข้าใหม่ แวะมาดูนะครับ"

"ครับ"

ผมยิ้มหน้าบานแล้วรับถุงมา ก่อนถือไว้อย่างถนอม แล้วหันกลับไปหาภูผาที่ยืนรออยู่อีกมุม กำลังมองโมเดลตัวคุโรโกะ ที่เป็นนักบาส

"อยากได้เหรอ"

"ไม่เอาหรอก กินข้าวได้ทั้งเดือน" ภูผาว่าแค่นั้นแล้วเดินออกจากร้านไป

"โห ขี้แซะว่ะ"

"ก็จริงป่ะวะ"

"มึงไม่อินกับอะไรสักอย่าง มึงไม่มีทางเข้าใจหรอก"

"แต่อินไปซะทุกอย่างเหมือนมึงก็ไม่ไหวป่ะวะ"

"อินทุกอย่างไร กูก็ชอบอยู่แค่ไม่กี่อย่าง"

"อะไรบ้างเหอะ" 

"หนังสือ" 

"..." 

"วันพีช"

"..." 

"เป็ด"

"..."

"แล้วก็มึง" 

ภูผาหยุดเดินแล้วหันมองผมหน้านิ่ง ผมได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ ก่อนมันจะรีบก้าวเท้าเร็วๆ หนีไป ปล่อยให้ผมยืนยิ้มไม่หุบเพราะความขี้เขินของตัวเอง

ผมกลับมากับภูผา ก่อนมาหยุดอยู่ที่หน้าตึก ไม่กะจะนอนที่นี่เพราะขี้เกียจตื่นเช้า ภูผามันเลยหันมามองงงๆ ตอนที่ผมไม่ได้เดินตามเข้าไป

"กูส่งแค่นี้ละกัน"

"คิดว่าจะนอนนี่"

"เปล่า แค่มาส่งเฉยๆ"

มันพยักหน้ารับ ก่อนเดินเข้าไป ผมรู้ว่ามันโตแล้ว ซึ่งความจริงผมก็ไม่ได้แก่ไปกว่ามันเท่าไร แต่ก็อยากดูแลเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจว่าทุกวันมันปลอดภัยดี ผมจะได้สบายใจด้วย

ภูผาเดินเข้าไปได้สามสี่ก้าวก็หันกลับมา แล้วพูดบางคำผ่านน้ำเสียงเรียบเฉยและใบหน้านิ่งเหมือนเคย หากว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง ผมก็จะสรุปว่าคำนั้นมันคือประโยคห่วงใย

 

"ถึงแล้วโทรบอกด้วยนะ"

 

...

 

 

เป็นอีกวันที่การทำงานของผมหนักหน่วงจนไม่ได้กินข้าวกลางวัน อยู่รอดได้ด้วยกาแฟและเครื่องดื่มชูกำลัง ตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่เคยเลี้ยงให้ลำบากเลย ทำไมโตมาต้องทำงานเอาตายขนาดนี้ด้วยวะ ใช้ชีวิตแบบนี้คงไม่ได้อยู่ถึงแก่แน่นอนอะ อีกไม่นานก็คงตาย 

"แหมะ"

ผมเหลือบตามองบางอย่างที่หยดลงบนหลังมือ ก่อนจะหวีดลั่นเมื่อรู้ตัวว่ามันคือเลือดกำเดา 

"เชี่ย!"

"เป็นไรพี่ เฮ้ย เลือด!" ไอ้ปอโวยดังกว่าแล้วหันซ้ายหันขวามองหาทิชชูที่มันเคยวางอยู่ตรงนี้ แต่พอจะใช้เสือกหาไม่เจอ ไอ้ปอลุกพรวดแล้ววิ่งออกไปจากห้อง ครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมทิชชูที่ม้วนมาลวกๆ แล้วยัดเข้าจมูกผม 

"เป็นอะไรไหมพี่"

"เป็นตอนมึงยัดเนี่ย เบาๆ ดิวะ"

"ก็ตกใจอะ"

"เออๆ ไม่เป็นไรแล้ว" 

"ช่วงนี้พี่ทัพเลือดกำเดาไหลบ่อยจัง พี่เป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"หรือว่ากูกำลังจะตายวะ" 

ไอ้ปอทำหน้าสลดเหมือนพร้อมไว้อาลัยให้ผมแล้ว เลยยกมือผลักหัวมันไปทีหนึ่ง 

"แล้วมึงไปเอาทิชชูที่ไหนมาเนี่ย"

"ในส้วม"     

"..." 

"มันสะอาดเหอะ ยังไม่ได้ใช้ซะหน่อย แล้วนี่พี่ทัพกลับบ้านเหอะ เอาไว้มาต่อพรุ่งนี้ก็ได้ ผมก็จะกลับเหมือนกัน"

"มึงกลับไปก่อนเลย กูเอานี่ให้เสร็จก่อน"   

"งั้นผมอยู่เป็นเพื่อน"

"จะอยู่ทำไม กลับไปเหอะ" 

"เผื่อพี่ตาย ใครจะเรียกรถเก็บศพล่ะ" 

"ไอ้สัด!"

ไอ้ปอหัวเราะหน่อยๆ จัดการปิดคอมที่โต๊ะตัวเองแล้วขยับไปนั่งที่โซฟาด้านหลัง ผมดึงทิชชูออกมาดูแล้วพบว่าเลือดยังไม่หยุดไหล ก็จับยัดกลับเข้าไปที่เดิม ก่อนกลับมาทำงานต่อ ทำอารมณ์จมกับงานอยู่นานก่อนหันกลับไปมองไอ้ปอที่นอนทำหน้าง่วงๆ อยู่บนโซฟา 

"กูบอกให้กลับบ้านไปไง" 

"ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ไง"

"งั้นนอนไปเลยไอ้ห่า ดื้อด้าน" ผมว่าแล้วหยิบหมอนหนุนหลังโยนให้มัน ไอ้ปอรับไว้ได้พอดีแล้วยกหมอนรูปเป็ดของผมขึ้นดู 

"พี่ทัพชอบเป็ดเหรอ"

ผมพยักหน้ารับหน่อยๆ จริงๆ มันก็เป็นผลพวงมาจากการชอบไอ้ภูผาที่หน้าเหมือนเป็ด จากนั้นเวลาเจออะไรที่เป็นเป็ดก็อดซื้อไม่ได้เลย 

"เออ กูไม่เคยถามเลย ทำไมคนในออฟฟิศถึงเรียกมึงว่าเป็ดวะ"

"พี่แต้มเรียกคนแรกเลย ตั้งแต่ตอนที่เข้างานใหม่ๆ แล้วผมใส่เสื้อรูปเป็ดโดนัลดั๊กตัวนั้นบ่อยๆ พี่เขาจำชื่อผมไม่ได้เลยเรียกผมว่าเป็ด จากนั้นก็เป็ดทั้งออฟฟิศเลย"

"แล้วมึงก็ยอมให้เขาเรียกด้วย"

"ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ เป็ดก็น่ารักดี ที่จริงก็มีแค่พี่ทัพอะที่ยังเรียกชื่อจริงผมอยู่"

"อ้าวเหรอ" 

"พี่จะเรียกผมว่าเป็ดก็ได้นะ" 

"..." 

"ถ้าพี่ชอบเป็ด ผมก็อยากเป็นเป็ดของพี่เหมือนกัน"

ผมเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากไอ้ปอพูดจบ ไม่ได้ตอบอะไรมันก่อนหันกลับมาทำงานต่อ คิดว่าคงให้ใครมาเป็นเป็ดตัวที่ผมชอบไม่ได้หรอก

 

เพราะว่าผมมีเป็ดตัวนั้นเป็นของตัวเองแล้ว   

 

ผมปลุกไอ้ปอให้กลับบ้านไปตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืนให้มันกลับทันรถไฟฟ้า ส่วนตัวเองทำงานต่อจนถึงตีสามกว่าๆ ชั่งใจอยู่นานว่าจะกลับบ้านหรือจะนอนนี่เลย แต่ก็เปลี่ยนใจกลับบ้านดีกว่า จัดการปิดคอมพ์และไฟในออฟฟิศทุกดวง พอมืดสนิทก็วังเวงขึ้นมาเชียว ผมเดินออกจากห้อง ก่อนมาหยุดที่หน้าห้องอินทีเรีย ไฟดวงในสุดยังเปิดอยู่แต่ไม่มีใคร คิดว่าอาจจะมีใครลืมปิดไฟเลยหวังดีเดินเข้าไปปิดให้

"เฮ้ย!"

เฮ้ย...

ผมร้องอยู่ในใจตอนที่ได้ยินเสียงร้องก่อนหน้า ในความมืดผมมองไม่เห็นใคร เลยขยับมือไปเปิดไฟอีกที

"เชี่ย!" ทั้งผมและอีกคนหวีดลั่นตอนเปิดไฟมาเจอหน้ากัน ไม่รู้คนหรือผีแต่หลับตาหนีไปก่อน ก่อนตั้งสติเลยลืมตาขึ้นมาดู อีกฝ่ายก็ถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าผมเป็นคน 

"ปิดไฟทำไมครับ ตกใจหมดเลย"

"ขอโทษ คิดว่าไม่มีคนอยู่"

อีกฝ่ายพยักหน้ารับหน่อยๆ ก่อนผมจะได้มองเห็นหน้าชัดๆ ผู้ชายที่ไม่รู้จักแต่โคตรหล่อ ผมนึกขึ้นมาได้ว่านี่คงเป็นอินทีเรียคนใหม่ที่ถูกพูดถึง ระหว่างความเงียบที่มองหน้ากันไปๆ มาๆ ก็เลยทักไปก่อน

"อินทีเรียคนใหม่ใช่ป่ะ"

"ครับ แล้วพี่อะ"

"กูแลนด์แสคป แต่ไม่ใช่พี่ เห็นเขาบอกว่ามึงกับกูอายุเท่ากัน"

มันพยักหน้ารับเบาๆ ผมไม่แปลกใจว่าทำไมไอ้ปอมันบอกว่าไอ้นี่หน้าเด็กกว่าผมเยอะ หน้าตาก็ดี ผิวก็ดี รูปร่างก็ดี แถมดูใสสะอาดแบบโคตรผู้ดี แต่พอมองหน้ามันชัดๆ แล้วก็รู้สึกคุ้นขึ้นมาซะเฉยๆ คุ้นจนต้องขยับเข้าไปมองใกล้ๆ จนอีกฝ่ายขมวดคิ้วถาม

"มีอะไรเปล่า"

"กูไม่ได้จะจีบมึงนะ แต่เราเคยเจอกันมาก่อนป่ะ หน้ามึงโคตรคุ้นเลยอะ"

มันขมวดคิ้วเข้าหากันอีก ก่อนคลายออกแล้วพยักหน้ารับเบาๆ 

"เรียนม.ปลายที่เดียวกันไง"

"เออใช่! จำได้ละ มึงที่เป็นนักบาสใช่ป่ะ"

"ใช่"

"ที่เคยทะเลาะกับเพื่อนกูอะ จำได้ป่ะ"

"อือ จำได้"

"เออ โลกโคตรกลมว่ะ"

"นั่นดิ"

"แล้วมึงชื่ออะไรนะ"   

"กู..."

.

.

.

"นาวี" 

 

To be continued.

 

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ตื่นเต้นๆ

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอาแล้ววววววววว ตายแล้วเราแอบเทใจให้ธงทัพอ่ะ
ภูผาต้องหวั่นไหวแน่เลยธงทัพเราจะอยู่อย่างงัยหละทีนี้งืออออออออออ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ว่าแล้วอินทีเรียคนใหม่นี่นาวีแน่นอน ความสัมพันธ์อีรุงตุงนังสุดดดด :katai1:

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เราทีมธงทัพนะ แต่ความสัมพันธ์โคตรยุ่ง แถมมีปอเข้ามาอีก ลุ้นมาก

ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ต่อไปสนุกแน่ นาวีมาแล้ว..

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เชดดดดดดดดดดดด   ครือออออ จริงๆ ตอนอ่านไปต้นๆตอน ก็คิดไป เดี๋ยวจะพิมพ์คอมเม้นท์ว่า น้องปออออ นี่น้องจะแซะพี่ทัพเขาใช่ไหม? อยากเป็นเป็ดของพี่ทัพหราาาา กิ๊วๆ ไรงี้  แต่พอเจอประโยคชื่อสุดท้าย ขุ่นพระ!!!! #ตบอกรัวๆๆๆๆ มันจำเป็นต้องโลกกลมขนาดนี้ไหม? ตายๆๆๆๆๆ หน่องภูผา ใจน้องแข็งแรงพอแล้วยัง? พี่ทัพจะเอาอยู่ไหม? ลุ้นๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สมที่รอจริงเราทีมทัพผานะะะะเลิ้ฟ

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
เป็นนิยานที่ลุ้นจริงๆ ค่ะ มันจะไปทางไหนต่อน้อออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด