Episode 14
ผมจะยืนอยู่ข้างๆ คุณ
แม้จะแทนที่เขาไม่ได้ วันนี้ผมหาเรื่องโดดงานโดยการเอาภูผามาเป็นข้ออ้าง ทั้งๆ ที่ความจริงมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ถ้าทิ้งให้มันอยู่คนเดียวตอนที่แขนยังเดี้ยงก็รู้สึกผิดนิดๆ เพราะความเป็นห่วงผมเลยเกเรทิ้งงานแล้วอยู่ที่นี่กับภูผาก่อน วันนี้จึงกลายเป็นวันหยุดพักผ่อนสบายๆ ของเราสองคน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทะเลาะหรือเถียงอะไรกัน ความเงียบสงบทำงานได้นานที่สุดตอนที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือ ส่วนภูผานั่งดูอนิเมะ คล้ายกำลังจมอยู่ในโลกของตัวเองจนลืมสนใจคนข้างๆ ไปพักหนึ่ง เสียงที่ดังที่สุดตอนนี้น่าจะเป็นเสียงพลิกกระดาษของผมที่เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงใกล้ตอนจบ หน้ากระดาษก็เปลี่ยนเร็วขึ้นไปตามความเข้มข้นของเนื้อหา หยุดไม่ได้กระทั่งอ่านมาถึงบทที่ต้องกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่ได้
"เชี่ย!"
ภูผาที่ดูเหมือนจะตกใจเสียงผมดึงหูฟังออกจากหูแล้วหันมามองตาโตๆ
"อะไร"
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพลิกหน้าหนังสือที่อ่านค้างให้ภูผาดูพลางอธิบาย
"ตัวละครที่กูคิดว่าเป็นพระเอกมาทั้งเรื่องแม่งเสือกตายเฉยเลย"
"แล้วไง"
"กูช็อกเลยนะเนี่ย คนเขียนมันคิดอะไรอยู่วะ มึงสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาแล้วมึงก็ฆ่ามันเองกับมือเนี่ยนะ จิตใจทำด้วยอะไร"
"ก็แค่นิยายไหม"
"โหดร้ายเกินไป แล้วกูจะอ่านต่อได้ไงเนี่ย" ผมพลิกดูจำนวนหน้าที่ยังเหลืออยู่นั่นมากพอสมควร มากพอให้เรื่องดำเนินต่อโดยไม่มีตัวละครตัวนั้น แม้จะกำลังสนุกแค่ไหนแต่ก็ตัดสินใจไม่อ่านต่อแล้วพับหนังสือทิ้งลงข้างๆ ตัว
"มึงไม่อยากรู้เหรอว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง"
"ไม่เอา โหดร้าย ทำใจไม่ได้"
"ตอนจบมันอาจจะฟื้นคืนชีพก็ได้นะ"
"กลายเป็นไททันเหรอ"
"ใช่ เพราะโดนฉีดเซรุ่มตั้งแต่ต้นเรื่องแต่ไม่รู้ตัวไง"
กำลังพูดถึงอนิเมะเรื่องที่ภูผากำลังดูอยู่ ตัวละครหลักของเรื่องโดนสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เรียกว่าไททันกินเข้าไป จึงคิดว่าตายไปแล้ว แต่สุดท้ายฟื้นคืนชีพกลายเป็นไททันเหมือนกัน ผมพูดไปเพราะคิดว่าจะกวนตีนภูผาเล่นๆ แต่ภูผาดันสวนกลับด้วยความกวนตีนกว่า ไม่บ่อยที่ภูผาจะไร้สาระ แล้วความกวนตีนตาใสก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา คนเรามันจะเล่นมุกทั้งที่หน้านิ่งแบบนั้นได้ด้วยเหรอวะ
"ยิ้มอะไร"
"เปล่า"
"เกลียดการยิ้มมุมปากของมึงมาตลอด"
"เกลียดที่มึงชอบทำน่ารักไม่รู้ตัวเหมือนกันแหละ"
ภูผาเชิดปากทำหน้าเป็นเป็ดตอนผมพูดแบบนั้น ก่อนผมจะผลักหัวมันเบาๆ แล้วชี้ไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊กเป็นเชิงให้หันไปดูต่อ ส่วนตัวเองก็ขยับไปนอนข้างๆ
ผมปล่อยให้ภูผานั่งดูการ์ตูนตอนแล้วตอนเล่าโดยที่ผมนอนอยู่เฉยๆ ว่าจะไม่กวนแล้วแต่เสือกหิวข้าว แล้วคนข้างๆ ก็ดูไม่มีทีท่าจะขยับสายตาออกจากหน้าจอเลย ตอนที่ผมสะกิดเรียกก็หันมามองแล้วบอกว่าเดี๋ยว เป็นแบบนั้นอยู่สองสามรอบจนผมเริ่มหงุดหงิด ฟิลลิ่งเด็กติดการ์ตูนแล้วไม่สนพ่อเรียกกินข้าว อยากโดนหวายลงหลังหรือไงลูก
"ภูผา"
"แป๊บหนึ่ง"
"งั้นไม่รอแล้วนะ"
"รอก่อน อีกตอนเดียว"
ผมส่งเสียงถอนหายใจแรงๆ ก่อนขยับเข้าไปใกล้ภูผา โอบตัวจากด้านหลังไปกดหยุดวีดีโอ คนที่อยู่ในวงแขนหันมาหาก่อนชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อพบว่าปลายจมูกชนเกือบชนเข้ากับหน้าผมที่อยู่ใกล้นิดเดียว ผมยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มแล้วดึงหูฟังข้างหนึ่งออกจากหูมัน
"ภูผา"
"..."
"พี่หิวข้าว"
ภูผาเหลือบตาขึ้นมอง นิ่งไปชั่ววินาทีก่อนชิงหูฟังกลับไปยัดใส่หูตัวเองแล้วสวนออกมาเบาๆ
"พี่ทัพ"
"..."
"ภูขออีกตอน"
เออ กูแพ้ แบบราบคาบ
ผมทิ้งตัวเองลงนอน ทำอะไรไม่ได้นอกจากโขกหัวตัวเองกับหมอน ภูผากลับไปดูการ์ตูนต่อ คงกำลังสนุกถึงขนาดก้มลงมองหน้าจอใกล้ๆ จนแทบจะมุดเข้าไป ผมเหลือบมองตาขวาง แล้วยกเท้าถีบโน้ตบุ๊กให้ถอยห่างจากหน้ามัน อีกคนก็หันขวับมามองส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ
"หรือจะให้กูถีบหน้ามึง"
"นิสัยเสีย"
"ก็ดูไกลๆ หน่อย สายตาเสีย"
ทำหน้าบูดแล้วหันกลับไปดูการ์ตูนต่อ แต่ก็ยอมถอยหน้าออกห่างจากหน้าจอนิดหนึ่ง มีการหันหลังมองผมเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าระยะห่างเท่านั้นจะเพียงพอที่จะไม่ให้โดนดุแล้ว ผมหลุดยิ้มกับท่าทางคล้ายกับเด็กๆ ทั้งๆ ที่ภูผาเองก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหน้าตาและนิสัยของคนอายุยี่สิบห้าไม่ได้ต่างจากตอนสิบแปดเลย ลูกเป็ดก็ยังคงเป็นลูกเป็ด
คำว่าตอนเดียวของภูผา น่าจะหมายถึงซีซั่นเดียวมากกว่า เพราะไม่มีแนวโน้มว่าตอนนั้นจะจบเอาง่ายๆ ผมเลยคิดว่าจะไม่รอแล้ว ไม่ได้พูดอะไรแล้วลุกออกจากเตียง ตั้งใจจะออกไปซื้อข้าวเข้ามาให้แต่อีกคนดันร้องเรียกแล้วดึงชายเสื้อผมเอาไว้
"รอก่อน"
"ไม่รอแล้ว"
ภูผานิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นหน้าตาเรียบๆ ของผมคงคิดว่ากำลังโดนโกรธ ก็เลยรีบดึงหูฟังออกจากหู กดหยุดวีดีโอแล้วกระโดดลงจากเตียงตามผมมา เมื่อเดินออกจากห้องผมก็ยังคงไม่พูดอะไร ความเงียบทำให้รู้ตัวว่าผิดปกติภูผาเลยก้าวเท้าเข้ามาเดินคู่แล้วถามออกมาโดยไม่มองหน้า
"โกรธหรือเปล่า"
"โกรธแล้ว หิวด้วย"
"ภูขอโทษ"
"อย่าคิดว่าพูดจาแบบนี้แล้วจะให้อภัยได้ทุกเรื่องนะ"
"ก็ขอโทษ"
"วันหลังไม่ต้องดูแล้ว"
"แต่มันยังไม่จบ"
"ตอนจบซีซั่นไรเนอร์มันคือไททันเกราะ เบทรูตคือไททันหกสิบเมตร แล้วตอนจบเอลวิลก็ตาย อาร์มินก็ตาย ตายห่ากันหมด"
ภูผาเบิกตาขึ้นพลางเงยหน้ามอง ดูช็อกไปนิดหนึ่งตอนที่ผมสปอยด์ความเป็นไปของการ์ตูนเรื่องนั้นแหลกลาญเพราะอ่านฉบับมังงะมาแล้ว เมื่อตั้งสติได้นิดหนึ่งก็หันมาถามถึงตัวละครที่ตัวเองชอบ
"อาร์มินก็ตายเหรอ"
"เออตาย แต่สุดท้ายกลายเป็นไททัน"
"ฮะ! อาร์มินก็เป็นไททันเหรอ!"
"ใช่"
"โกหก"
"ไม่เชื่อไปอ่านหนังสือไป ที่ห้องกูก็มีไง"
ใบหน้าหดหู่ลงไปเลยตอนที่พบว่าผมพูดความจริง คนที่ปกติเอาแต่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนมีปัญหากับกล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับแสดงออกอย่างชัดเจนตอนที่พูดถึงการ์ตูน ภูผาคงเข้าใจอารมณ์ผมตอนที่อ่านนิยายแล้วตัวละครตายตอนจบนั่นแหละ
ภูผาชวนผมมาที่ห้างเพราะจะเอามือถือมาเปลี่ยนฟิล์มด้วยหลังจากแตกไปพร้อมกับการตกบันไดเมื่อวาน การเดินทางโดยรถไฟฟ้าจึงสะดวกที่สุด บนรถไฟฟ้าที่คนไม่ได้แน่นเท่าตอนเช้าแต่ก็ไม่มีที่ให้นั่ง ภูผาใช้มือข้างที่ไม่เจ็บจับราวจับเอาไว้หลวมๆ ขณะเมื่อรถหยุดร่างกายก็เอนไหวไปจนเหมือนจะล้ม ภูผาไม่ใช่คนตัวเล็กแต่ดูไร้แรงแม้แต่จะยืนอยู่นิ่งๆ ยิ่งใบหน้าเรียบเฉยเหม่อมองไร้จุดหมายยิ่งคล้ายว่าไม่ได้เอาวิญญาณตามมาด้วย ผมขยับเข้าไปยืนใกล้ๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งโอบเอวอีกคนเอาไว้เพื่อช่วยเป็นหลักยึดให้ยืนอยู่เฉยๆ ก่อนจะล้มลงไปก่อน ภูผาก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากก้มมองมือของผม แล้วก็เหลือบตาขึ้นมองไปเบื้องหน้าอย่างเคย ผมไม่ได้สนแม้ถูกมองจากคนรอบข้างๆ แล้วจับภูผาเอาไว้อย่างนั้น การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ไม่ส่งผลให้ภูผารู้สึกรู้สาอะไร แต่ตัวผมเองกลับต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง รวบริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม ประสบความสำเร็จในการเนียนโอบเอว ถือเป็นกำไรชีวิตของวันนี้
เรามาแวะที่ร้านโทรศัพท์มือถือก่อนหาอะไรกิน ระหว่างที่รอภูผาเปลี่ยนฟิล์มโทรศัพท์ผมก็หันไปเห็นเคสโทรศัพท์สีเหลืองรูปเป็ดแบบมีปากสามมิติโผล่มาด้วย
"เอ๊ย น่ารัก!"
"ทำไมต้องทำเสียงสองด้วย"
ผมหันไปเขกหัวภูผาทีหนึ่งตอนที่มันแซว แปลกเหรอวะที่คนๆ หนึ่งจะสะดีดสะดิ้งตอนเจออะไรที่ชอบ ผมถามหาถึงรุ่นที่ผมใช้ ก่อนพนักงานจะหยิบให้แล้วเปลี่ยนเคสให้เรียบร้อย จึงรีบพลิกมันไปโชว์ภูผา
"น่ารักไหม"
"เฉยๆ"
"ปากเหมือนมึงเลย"
"ไม่เหมือน!"
"ก๊าบๆ" ผมเอาเคสโทรศัพท์ไปเทียบใกล้ๆ หน้าแต่ก็ถูกปัดออกมาอย่างไม่พอใจ ภูผาเป็นพวกไม่ยอมรับความจริง หน้าเหมือนเป็ดก็ต้องยอมรับสิว่าเหมือน ยิ่งตอนทำปากเชิดๆ เวลาโกรธหรืองอนอะไรสักอย่างก็ลูกเป็ดดีๆ นี่เอง ผมพลิกหลังเคสขึ้นมาดูแล้วยกมือบีบปากเป็ดนั่นเบาๆ
"น้อง น้องน่ารัก"
"เกลียดเสียงอะ"
"ก็น้องน่ารัก"
"ไม่ต้องคลั่งขนาดนั้น รู้แล้วว่าชอบ"
ผมหยุดอุ๋งอิ๋งกับเคสเป็ดแล้วเงยหน้ามองภูผาก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ
"รู้ใช่ไหมว่าชอบ"
"รู้"
"เออ รู้แล้วก็เหยียบไว้"
หลังจากเปลี่ยนฟิล์มมือถือเสร็จ ก็ได้เวลาหาอะไรกิน เอาจริงกูเกือบลืมว่าหิวอะ ไม่รู้ว่าภูผาจะมีของที่อยากกินอยู่ในใจไหมตอนที่เดินมองร้านนั้นร้านนี้ แต่ท้ายที่สุดก็หันมาถามผม
"จะกินอะไร"
"ชาบูชิ"
ภูผาถอนหายใจไหล่ตกตอนผมตอบอาหารที่อยากกิน ทั้งชีวิตก็ชอบกินอะไรอยู่ไม่มากแล้วชาบูชิมันก็เป็นสิ่งแรกที่นึกถึงทุกทีเลย ผมเหลือบตาไปมองพลางเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง
"หรือจะไม่กิน"
"แล้วขัดใจมึงได้หรือไง เดี๋ยวก็มาดุกูอีก"
"เอ้า! ถ้าเบื่อก็ไม่ต้องกินไง"
"ไม่ได้บอกว่าไม่กิน"
"กูยังไม่ได้ดุมึงเลยนะ กูไม่ได้บังคับมึงทุกเรื่องขนาดนั้น มึงจะขัดกูก็ได้นี่"
ภูผาเงียบไปตอนที่แสร้งหันมองทางอื่น
"ที่จริงมึงก็ควรขัดใจกู กูจะได้ไม่คิดไปเองว่ามึงยอมกูทุกเรื่องไง"
"ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมไม่ได้" พูดจบแค่นั้นก็เดินเข้าร้านไปก่อน ทิ้งผมให้ยืนงงๆ ไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงกับประโยคนั้นดี บางครั้งก็คล้ายว่าจะยอมกันง่ายๆ บางทีก็หัวรั้นดื้อตาใสควบคุมไม่ได้ เพราะผมไม่เคยเดาความรู้สึกจริงๆ ของภูผาผ่านใบหน้าและท่าทางเรียบเฉยนั่นได้เลย ผมเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว ภูผาคิดยังไงกับผม เป็นความสัมพันธ์งุนงงแต่ไม่ได้เว้นไว้ซึ่งระยะห่างทั้งทางกายและใจ และยิ่งภูผาไม่เคยขัดใจอะไรผมเลย ผมจึงคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในฐานะคนที่ยืนอยู่เคียงข้างภูผา
"พี่ทัพ"
"ฮึ?"
"เอาให้ด้วย"
ผมพยักหน้ารับตอนที่ภูผาสั่งให้หยิบอาหารให้ พอจะใช้กูก็ทำเป็นเรียกกูว่าพี่ ภูผาครองอาวุธลับเอาไว้ในมือเพื่อใช้เป็นไม้ตายทุกทีที่จะสั่งให้ผมทำอะไรด้วยการเรียกพี่ ผมยังไม่ชินหัวใจเลยอ่อนยวบอย่างยอมแพ้ ลุกไปตักอาหารให้ภูผาก่อน ตลอดระยะเวลาหนึ่งที่อยู่ด้วยกันมาทำให้ผมรู้ดีว่าภูผาชอบหรือไม่ชอบกินอะไร เลยมั่นใจว่าอาหารที่หยิบไปจะต้องถูกใจคนกินอย่างแน่นอน พอเดินเอากลับไปให้ก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงออกถึงความพอใจ เพราะอีกฝ่ายเหลือมือไว้ใช้งานแค่ข้างเดียว เลยจัดแจงจานอาหารให้อยู่ในตำแหน่งที่พอดีสำหรับความสะดวกในการใช้มือข้างเดียวกินมัน ระหว่างนั้นภูผาก็ชวนผมคุยสัพเพเหระไประหว่างมื้อ
"แล้วมึงไม่ไปทำงานแบบนี้ ไม่เป็นอะไรเหรอ"
"ไม่รู้ดิ ไม่เห็นมีใครโทรตามเลย"
"จริงเหรอ"
"เพราะกูปิดเครื่องหนี"
"เฮ้ย เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก"
"ถ้ากูตกงาน เลี้ยงกูได้ป่ะล่ะ"
ภูผาคลายหัวคิ้วที่เมื่อกี้ขมวดเข้าหากันแล้วสวนกลับออกมาเบาๆ
"มันก็ได้อยู่หรอก"
ผมหลุดยิ้มออกมาตอนมันพูดแบบนั้น เพราะผมเคยลาออกจากที่ทำงานเก่ามาแล้ว ตอนที่ว่างงานอยู่ ภูผาดูแลผมดีกว่าพ่อกับแม่อีก ตอนนั้นเป็นคนตกงานที่แฮปปี้ แต่อยู่ดีๆ ก็ไล่ผมให้ไสหัวออกมาหางานกระทั่งได้มาทำงานที่ใหม่นี่แหละ
"แต่ลุงวุธกับป้าอรรวยกว่า ให้พ่อแม่มึงเลี้ยงเถอะ"
"อ้าว ทำไมลอยแพกูแบบนี้วะ"
"รีบกลับไปทำงานเถอะ กูไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ไม่อยากให้มึงต้องมาเสียงานเพราะกู ถ้าโดนไล่ออกทำไง"
"กูไม่อยากทำงาน อยากอยู่กับมึงมากกว่า"
"แค่เสาร์อาทิตย์ก็พอแล้ว"
"ทำไม ไม่ต้องการกูแล้ว?"
"ไม่ใช่..."
ภูผาเว้นคำพูด ถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้าพูดต่อ
"...แต่กูรู้สึกเหมือนตัวเองติดมึงไปแล้ว"
"แล้วไม่ดียังไง"
"ไม่ดีกับกูแน่ๆ"
"..."
"กูไม่อยากเอาตัวเองไปติดกับใครแล้ว เกิดวันหนึ่งมึงไม่อยู่ กูก็อยู่ไม่ได้อีก ไม่ชอบอารมณ์แบบนั้นเลย เวลาที่ใครสักคนหายไปจากชีวิต มันเจ็บเหมือนจะตายเลยนะ"
"กูไม่ไปไหนหรอก จะจับมือมึงไว้แน่นๆ เลย"
"บางคนก็เคยพูดแบบนั้น" ประโยคของภูผาเบาเสียจนผมได้ยินไม่ครบทุกคำ แต่ก็ไม่ได้ติดใจจะถามซ้ำหรืออะไร และยังคงเดาอะไรไม่ได้จากใบหน้าของคนตรงข้าม
"กูจะอยู่จนกว่ามึงจะไม่ต้องการนั่นแหละ"
"ไม่พูดแล้ว กินเลย" ภูผาตัดบทก่อนยัดซูชิคำหนึ่งใส่ปากผม หลุดยิ้มเพราะมันป้อนก่อนมุมปากหุบลง นิ่งไปครู่หนึ่ง ความเจ็บแสบพุ่งจากจมูกสู่สมองทั้งสองซีก ก่อนเค้นออกมาเป็นน้ำตาที่เอ่อล้นพร้อมจะไหล
"ธงทัพ เป็นอะไร ร้องไห้เหรอ"
ผมสูดลมหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้ามองมันด้วยน้ำตาที่คลออยู่ ขบกรามแน่นเค้นคำพูดคำหนึ่งออกไปผ่านไรฟัน
"วาซาบิ"
สิ้นคำผมภูผาก็หัวเราะลั่นร้าน เสียงหัวเราะดังที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ความสะใจดังผ่านเสียงหัวเราะแบบหยุดไม่ได้แม้จะพยายามรวบริมฝีปากหุบแต่ก็หลุดหัวเราะออกมาอีกที ผมดึงทิชชูเช็ดน้ำตา ก่อนโยนทิ้งเดือดๆ
"สะใจมากไหมแกล้งพี่เนี่ย"
"พี่ทัพโง่"
"เดี๋ยวโดน"
ผมง้างมือทำท่าจะตีหัว ภูผาก็รีบยกสองมือขึ้นบังแล้วย่นคอหดหนี เห็นอย่างนั้นเลยดีดหน้าผากไปเบาๆ แทนที่จะทุบ ผมไม่เคยฉลาดพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของภูผา หรือกระทั่งความรู้สึกของตัวเองก็ตามที ผมรู้ดีว่าเราโลภมากกับความรักไม่ได้ ยิ่งเข้าใกล้อาจยิ่งห่างออกไป ยิ่งให้มากยิ่งอาจไม่ต้องการ และแม้จะเป็นคนที่อยู่ข้างๆ เป็นคนที่ภูผาเอาชีวิตมาผูกติดกัน แต่ถ้าถามว่าภูผาได้รักผมอย่างที่ผมรักมันไหม
อันนี้ไม่แน่ใจจริงๆ ...
วันนี้ผมออกจากห้องภูผาแต่เช้าเพื่อไปทำงาน หลังจากหายหัวไปวันหนึ่งแต่ไม่โดนด่าอะไรเพราะมีเหตุผลอันสมควร แต่งานที่หยุดชะงักเลยทำให้กำหนดการส่งช้าออกไป งานผมรับปากกับพี่แต้มว่าจะส่งดราฟท์เมื่อวานก็ไม่รู้ไปกองอยู่ตรงไหน
"พี่ทัพ"
ผมหันหลังมองเสียงเรียกจากข้างหลังก่อนเห็นว่าเป็นไอ้ปอที่ใบหน้าชุ่มน้ำ ในมือถือแปรงสีฟันกับยาสีฟันหลอดเล็ก มันยกแขนเสื้อข้างหนึ่งเช็ดน้ำที่หน้าแล้วหันมาหาผมอีกที
"พี่ทัพมาแล้ว"
"เออ มาแล้ว นี่มึงนอนที่นี่เหรอ"
"ยังไม่ได้นอนเลย" มันว่าแล้วเสียบแปรงสีฟันลงในกล่องอุปกรณ์เขียนงาน ก่อนหยิบกระดาษที่ร่างแบบเรียบร้อยแล้วส่งให้ผมดู
"ผมทำงานต่อให้ ไม่เนี๊ยบเท่าพี่แต่ก็เสร็จแล้ว พี่ลองดูว่าโอเคไหม"
ผมรับแบบนั้นมาดู กวาดสายตาไปทั่วแผ่นแล้วหันมองหน้าไอ้ปอที่ยิ้มกว้างๆ ให้ แต่ก็ค่อยๆ หุบยิ้มลงเมื่อเห็นว่าผมกำลังขมวดคิ้วมองหน้ามันอยู่ คงคิดว่าผมไม่พอใจ ผมไม่ได้ไม่พอใจที่มันเอางานไปทำต่อโดยไม่บอก แต่ลำพังงานมันเองก็เยอะมากพออยู่แล้ว แต่ต้องมาเก็บงานให้ผมจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนด้วยเหตุผลที่ผมโดดงานไปก็เลยไม่ทันส่ง จะเรียกว่ารู้สึกผิดก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่ชอบที่คนอื่นต้องมาเหนื่อยเพราะผม
"ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน แต่พี่แต้มบอกว่างานมันเร่ง แถมพี่ทัพบอกว่าถ้าส่งไม่ทันจะยอมให้พี่แต้มไล่ออกอีก ผมก็เลย..."
"มึงกินข้าวหรือยัง"
"ครับ?"
"ได้กินข้าวบ้างหรือยัง"
"ยังเลยครับ"
"ไปกินข้าว" ผมทิ้งกระดาษร่างแบบนั่นลงบนโต๊ะแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น หันไปมองไอ้ปอที่ยังทำหน้าเด๋อด๋า ก่อนผมพยักหน้าเรียกมันจึงรีบกุลีกุจอลุกตามมา แถวๆ ที่ทำงานไม่ค่อยมีร้านข้าวที่เปิดในตอนเช้า ผมเบื่อหมูปิ้งพี่นกแล้วก็เลยเดินนำเข้ามาในเซเว่น
"หยิบเลย กูเลี้ยง"
อีกคนพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินไปหยิบแลตตาซอยกล่องใหญ่กับขนมปังไส้กรอกอันหนึ่ง ก่อนเดินกลับมาหาผม
"ไปเอาอีก"
"ฮะ?"
"แค่นี้มันพอหรือไง ไปเอาอีก"
"แค่นี้ก็อิ่มแล้วครับ"
"ไปเอามาอีก"
"ครับๆ" ไอ้ปอรับคำตอนที่ผมพูดซ้ำชัดๆ มันก้าวเท้าเร็วๆ ไปหยุดที่ชั้นอาหาร กวาดสายตามองไปทั่วก่อนหยิบมินิคอกเทลมาถุงหนึ่ง โบโลน่าอีกถุงหนึ่ง ยังมีเบคอนรมควัน เบอร์เกอร์หมู ขนมจีบกุ้ง จนเต็มมือมันจึงหันมามองผม มีคำถามว่า พอหรือยัง ผ่านสายตาคู่นั้น ผมเลยยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้าเบาๆ ถ้ามันอ่านรอยยิ้มผมได้ มันจะได้ยินคำว่า มากเกินไปแล้วไอ้สัด
กระทั่งพนักงานอุ่นอาหารให้เสร็จและผมจ่ายเงินเรียบร้อย มันก็หอบเอาของกินที่ซื้อมานั่งกินที่โต๊ะใต้ตึก แบ่งขนมปังไส้กรอกโง่ๆ อันหนึ่งมาให้ผมกินกับกาแฟที่เพิ่งเดินไปซื้อมา ส่วนตัวมันซัดที่เหลืออย่างหิวโหยเหมือนไม่ได้กินข้าวมาสามวัน ยังเคี้ยวไม่หมดปากก็หันมาคุยกับผม
"เออพี่ทัพ แล้วพี่ภูเป็นยังไงบ้างครับ"
"ไม่เป็นอะไรแล้ว"
ปอพยักหน้ารับแล้วยัดโบโลน่าเข้าปากไปอีกคำ ผมมองตามเพราะดูเหมือนมันจะอร่อยเลยอะ
"พี่ทัพจะกินเหรอ"
"ขอคำดิ"
มันพยักหน้าแล้วส่งทั้งถุงให้ ขณะที่ผมอ้าปากรอให้มันป้อนแล้ว เห็นอย่างนั้นมันเลยดึงมือกลับไปแล้วจิ้มโบโลน่าป้อนให้ถึงปาก ให้ผมคำหนึ่ง ให้ตัวเองอีกคำหนึ่ง
"พี่ทัพ ผมลืมใส่ซอส"
"ไม่ทันละ" ผมพูดขณะที่เคี้ยวหมดปากไปแล้ว ส่วนมันยังยัดเต็มอยู่ที่แก้มข้างหนึ่ง ด้วยความพิเรนทร์ของเด็กบ้านี่มันจึงแกะซองซอสแล้วบีบตามเข้าไปในปาก เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วไม่คิดเชื่อว่านี่คือคนอายุยี่สิบสอง ไม่ใช่ว่าผมแก่ไป แต่คนรอบข้างชอบทำตัวเป็นเด็กในสายตาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของมันก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาซะเฉยๆ แล้วก็เผลอดุออกไปเบาๆ ตามนิสัย
"เดี๋ยวก็เลอะ ทำดีๆ"
ปอพยักหน้ารับแต่ไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงมือถือของมันที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น มันหันมองแต่ทำเพิกเฉยจนผมต้องเอ่ยปากถาม
"ไม่รับล่ะ"
"ไม่อยากรับเลยครับ"
"ใครวะ"
"เพื่อนอะครับ จะให้ช่วยออกแบบภายในบ้านให้ ผมไม่ได้จบอินทีเรียซะหน่อย แถมช่วงนี้งานก็เยอะอยู่ด้วย"
"ก็บอกไปดิว่าไม่ทำ คนก็มีงานมีงานป่ะ แล้วให้ทำนี่คือให้ทำฟรีๆ ด้วยใช่ไหม"
"ครับ โทรมาทุกวันเลย เหมือนจะบังคับให้ทำให้ได้"
"คนเห็นแก่ตัวนี่มันยังตายไม่หมดอีกเหรอวะ"
"ยิ่งเป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เดี๋ยวก็หาว่าเรื่องแค่นี้ช่วยไม่ได้"
"มึงก็ปฏิเสธไปเลย ไม่ใช่หน้าที่มึง งานก็เยอะพอแล้วอย่าหาเรื่อง ไม่ต้องสนหรอกเพื่อนไม่เพื่อน ตอนเรียนไม่ได้มาช่วยกูจ่ายค่าเทอมซะหน่อย ทีอย่างนี้จะมาบอกให้ช่วยฟรีๆ เพ้อเจ้อ"
ผมร่ายยาวแต่ไม่ได้ใส่อารมณ์นะ แค่พูดไปตามเหตุผลแต่กลับทำให้อีกฝ่ายเงียบ กระพริบตาปริบๆ นิ่งไปจนไม่ยอมเคี้ยวอาหารที่คาอยู่ในปากด้วยซ้ำ
"ดูทำหน้า กูไม่ได้ดุมึง แค่พูดเฉยๆ"
"ไม่ได้ว่าพี่ดุ แต่ชอบที่พี่พูด อยากเอาคำพูดพี่ไปยัดใส่หน้าเพื่อนเลย"
ผมได้แต่ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ
"พี่ทัพปากหมาเนอะ"
"อ้าว!"
"แต่ว่าไอดอลเลย"
"ไอดอลห่าอะไรล่ะ อะไรดีๆ ก็จำ อะไรไม่ดีก็ไม่ต้องทำตาม"
"ครับๆ" ปอตอบรับก่อนจิ้มไส้กรอกสามสี่อันยัดใส่ปากไปทีเดียว แล้วฉีกซองซอสกรอกปากตามไป ด้วยความทะลึ่งทั้งปากทั้งมือก็เลอะจนได้
"ไงล่ะ กูบอกแล้วว่าเลอะ"
มันหัวเราะแห้งๆ กำลังจะยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปากแต่ผมยั้งเอาไว้ก่อน แล้วใช้มือตัวเองเช็ดซอสที่ริมฝีปากของมันเบาๆ อีกคนโยกหัวหนีมือผมไปแล้วก้มหน้างุดก่อนพูดออกมาเบาๆ
"พี่ทัพอย่าทำแบบนี้สิครับ"
"ทำไมวะ"
"เดี๋ยวผมก็ลำบากไปหลงรักพี่อีก" ...
วันนี้ผมขอเลิกงานเร็วเพราะจะกลับไปหาภูผา แต่ก็ไม่วายต้องหอบเอางานกลับไปทำด้วยเพราะกลัวจะไม่ทันส่ง จากที่ทำงานมาถึงที่พักของภูผาก็ใช้เวลามากพอสมควรในตอนเย็นๆ ผมมีกุญแจห้องอยู่แล้วเลยไม่ได้เคาะเรียก แต่พอเปิดเข้าไปก็ต้องตกใจจนแทบสะดุดพรมเช็ดเท้าเมื่อเห็นคนที่อยู่ในนั้น
"แม่"
แม่ของผมนั่งยิ้มกว้างอยู่ที่โซฟา ข้างๆ กันคือภูผาลูกรักของเขา ผมเดินเข้าไปวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ โซฟาไม่มีที่ให้นั่งก็เลยหย่อนตัวเองลงกับพื้นข้างๆ แม่ ผมอะลูกแม่ สาบานเลย คลานออกมาจากพุงของแม่แน่ๆ แต่ตอนนี้สถานะกูประหนึ่งลูกคนใช้มากเลย พับเพียบหมอบกราบเจ้าคุณแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วเอ่ยทักทาย
"แม่มาได้ไงเนี่ย"
"เป็นห่วงภูผา เลยมาหา"
"ไม่ได้ตั้งใจมาหาธงทัพ"
"ไม่จ้ะ"
"แม่!"
"โอ๋ ล้อเล่น นี่แม่ซื้อของมาฝากด้วยนะ" ผมหันไปสนใจของฝากจากแม่ ทั้งของกินที่ขนมาจากชลบุรี ซึ่งเป็นของโปรดภูผาซะเกือบครึ่งแล้วก็ถูกจับจองไปแล้วเรียบร้อย ยังมีบรรดาอาหารเสริมและวิตามินที่ขยันซื้อมาให้เราบำรุงร่างกาย และอีกอย่างที่แม่มักจะซื้อติดมือมาตลอดก็คือเสื้อผ้า ตั้งแต่เด็กจนโตแม่จะเป็นคนซื้อเสื้อผ้าให้ผม กระทั่งมีภูผามาอยู่ด้วย งานถนัดของแม่คือการเสื้อซื้อผ้าที่คล้ายหรือเหมือนกันไปเลยเพื่อหวังจะให้เราใส่คู่กันเป็นพี่น้องฝาแฝดอะไรประมาณนั้น แต่ผมกับภูผาไม่เคยหยิบมาใส่พร้อมกันเพราะมันจะกลายเป็นเสื้อคู่รักทันที นึกภาพตามว่าใส่เสื้อคู่ออกไปเดินด้วยกันก็คงจะเคอะเขินอยู่ไม่น้อย ผมหยิบเสื้อสองตัวที่เป็นลายเดียวกันออกมาแต่ตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวสีขาว
"สีดำของทัพ สีขาวของภูผา" แม่บอกแต่ภูผาแย้งขึ้นมาก่อน
"ภูชอบสีดำ"
"กูก็ชอบสีดำ ของมึงอะสีขาว"
"จะเอาสีดำ"
"ไม่ให้"
ภูผาเงียบไปตอนผมดึงตัวสีดำเอาไว้กับตัว ใบหน้านิ่งเริ่มเคลื่อนไหว ท่าไม้ตายกำลังจะถูกใช้และผมต้องตั้งการ์ดป้องกันก่อน
"อย่าเรียกกูว่าพี่"
"พี่ทัพ"
"..."
"ภูขอสีดำ"
"ชิ!" ผมส่งเสียงไม่พอใจก่อนโยนเสื้อสีดำในมือใส่หน้ามันอย่างยอมแพ้ อกแตกตายอนาถกลางสนามรบแค่คำว่าพี่ทัพและการเรียกตัวเองว่าภู ใจที่เคยแข็งแกร่งแตกหักง่ายยิ่งกว่าอะไรดี ความเขินยิ่งตีขึ้นมาฟ้องหน้าด้วยการแซวของแม่
"ใจอ่อนง่ายนะเรา"
"ไม่ต้องแซวเลยแม่ คราวหลังซื้อเหมือนกันสิ จะได้ไม่ต้องแย่งกัน"
"จ้าๆ"
ผมปล่อยให้ภูผาคุยกับแม่ ส่วนตัวเองนั่งทำงานที่แบกกลับมาด้วย กระทั่งเสร็จจึงเดินเข้าไปในห้องนอน กำลังจะส่งเสียงดังแต่เบรกไว้ได้ทันตอนที่แม่ยกนิ้วชี้ขึ้นทาบปากเป็นสัญลักษณ์ให้ผมเงียบเพราะภูผาหลับไปแล้ว
"แม่จะนอนที่นี่หรือเปล่า"
"ใช่ จะนอนกับภูผา"
"แล้วผมอะ"
"โซฟาหรือพื้นก็เลือกเอา"
"แม่ นี่ลูก!"
"เบาๆ" แม่ยกมือตีแขนตอนที่ผมกระโดดลงไปนอนบนเตียง คิดว่าจะทำให้ภูผาตื่นแต่อีกคนก็ยังนอนเงียบ คงเพราะยาที่ทำให้ง่วงนอน พักนี้ก็เลยนอนเร็วเป็นเวลาตลอด
ผมไถหัวตัวเองไปหนุนตักแม่ที่นั่งอยู่หัวเตียง ไม่ได้กลับบ้านหาแม่มาเป็นเดือนแล้วเหมือนกัน แม่ยกมือจิ้มเข้าที่ใต้ตาของผม
"ไม่ค่อยได้นอนใช่ไหม"
"งานเยอะอะ"
"พักผ่อนบ้าง"
"ก็เท่าที่ทำได้"
"ถ้าดูแลตัวเองไม่ได้ จะดูแลน้องยังไง"
ผมย่นจมูกใส่แม่เคืองๆ ก็รู้ว่าหน้าที่ที่ต้องดูแลภูผานั้นยังทำได้ไม่ดี แต่ตลอดแปดปีผมก็ไม่เคยละเลยในหน้าที่เลยด้วยซ้ำ
"ภูผามันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้"
"แต่ถ้ามีคนดูแลมันก็ดีกว่าไง"
"มีแม่คนเดียวก็พอแล้วมั้ง" ผมพูดแซวเลยถูกดีดเข้าที่หน้าผากทีหนึ่งเบาๆ
"ไม่งอนสิ แม่ก็รักเท่ากัน"
"ก็รู้"
"ทัพไม่โกรธใช่ไหม ที่แม่เป็นห่วงภูผามากกว่า"
"จะไปโกรธเรื่องอะไร แค่อยากรู้ว่าทำไมมากกว่า แม่ยังสงสารภูผาอยู่เหรอ"
"ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่ว่าหลงน้อง"
"ว่าละ!"
แม่หัวเราะเบาๆ ก่อนใช้มือข้างที่ดีดหน้าผากผมเปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ
"แม่ว่า แม่รู้สึกผิดกับภูผามากกว่า"
"รู้สึกผิดเรื่องอะไร"
"ตอนที่รู้เรื่องพ่อกับแม่ของภูผา ก็เคยคิดว่าอยากให้ผู้หญิงคนนั้นตายไปจริงๆ"
"โอ้โห! ทำไมแม่จิตใจโหดเหี้ยมแบบนี้เนี่ย"
"แค่คิดย่ะ!"
"แค่คิดก็ผิดแล้ว"
"ก็ใช่น่ะสิ แล้วพอมันเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจเลย รู้สึกผิดที่คิดแบบนั้น ยิ่งตอนที่เห็นภูผาในวันที่ไม่เหลือใคร ตอนนั้นภูผาดูเจ็บปวดจริงๆ นะ"
ผมพยักหน้าตาม จำได้ดีในวันที่โลกของภูผาพัง ในงานศพตอนนั้น ผมเห็นเด็กม.ปลายหน้าตาเรียบเฉย นิ่งสงบเหมือนไร้วิญญาณ เดินตามคำสั่งผมเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ใช้เวลานานกว่าจะดึงภูผาให้กลับมายิ้มได้อย่างคนที่มีความสุขจริงๆ แม้แต่ในตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าภูผาทำใจได้กับเรื่องนั้นแล้วหรือยัง
"แม่ก็เลยอยากให้ทัพดูแลภูผาดีๆ เพราะว่าน้องไม่มีใคร"
"..."
"อยากให้เป็นพี่เป็นน้องกันไปเรื่อยๆ แบบนี้"
ผมพยักหน้ารับ มือของแม่ที่ลูบหัวอยู่พาให้ผมง่วงนอนจนตาหลับลงโดยอัตโนมัติ ความคิดสุดท้ายเกิดขึ้นก่อนที่จะหลับ ผมร้องถามแม่อยู่ในใจ แม่จะว่าอะไรไหม
หากว่าใจผมคิดไกลเกินกว่าพี่น้องไปแล้ว... To be continued.