[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 65704 ครั้ง)

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 8


คุณยังจับมือผมอยู่

แต่ไม่แน่นเหมือนก่อน


 
 

"ภู"

"..."

"ไอ้ภู"

"..."

"ไอ้ภูผา!"

เสียงดังของเพื่อนดึงสติที่หลุดลอยของผมกลับเข้ามา ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่ดับไปแล้วหันมองหน้าเพื่อนข้างๆ

"เป็นอะไรวะ เห็นยืนอยู่ตรงนี้มานานละ"

"กูออกมาคุยโทรศัพท์อะ"

"คุยเสร็จแล้วก็เข้าไปข้างในดิ ไปเร็ว"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่ความคิดบางอย่างก็แทรกเข้ามาในหัว ผมจึงหันไปดึงแขนเพื่อนที่กำลังจะเดินออกไปเอาไว้ก่อน

"มึงไปส่งกูหน่อยดิ"

"มึงจะกลับบ้านเหรอ"

"เปล่า จะไปกรุงเทพฯ"

ผมไม่อยากให้บทสนทนาของผมกับนาวีมันจบไปแบบนั้น ผมกลัวเกินกว่าจะอยู่เฉยๆ จึงตั้งใจจะไปหาเขา ไปคุยกันต่อหน้า อย่างน้อยถ้าเขาอยู่ตรงหน้า ผมจะจับมือเขาเอาไว้ได้ ผมจะกอดเขาและผมอาจคุกเข่าลงตรงหน้าเขา หรืออะไรก็ตามที่ต้องทำ เพื่อให้เราไม่โกรธกัน

 

ผมเคยมาหอพักของนาวีครั้งหนึ่งเมื่อปีก่อน จำทางได้ไม่แม่นแต่ก็พาตัวเองมาถึงที่นี่ตอนห้าทุ่มกว่าๆ ผมโทรหานาวีหลายครั้งจนเขายอมรับสายในครั้งที่หกหรือเจ็ด ผมจำไม่ได้ ยืนรออยู่หน้าหอครู่เดียว เขาก็เดินลงมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง 

"ภูผา!"

"..."

"มาได้ยังไง แล้วมาทำไม!"

"..."

"แล้วนี่แม่รู้หรือเปล่า มึงได้บอกแม่หรือเปล่าว่าจะมา ภูผา!"

ผมไม่ตอบแม้สักคำถาม แล้วดึงนาวีเข้ามากอดเอาไว้   

"ไม่ทะเลาะกันนะ"

"..."

"วันนี้เหนื่อยแล้ว"

สิ้นเสียงของผม นาวีจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกมือกอดผมกลับ แต่เพียงวินาทีเดียวนาวีก็ผละตัวออกไปจากผม หันมองคนที่เดินเข้ามาเรียกซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้นาวีปล่อยมือออกไปจากผม เดาว่าเป็นเพื่อนเขา   

"ไอ้วี..."

 ผู้ชายคนที่เดินเข้ามาเรียกเว้นวรรคประโยคแล้วหันมองผม

"ใครอะ น้องมึงเหรอ"

 ผมคิดว่าเขาคงเดาเอาจากชุดนักเรียนของผมเลยสรุปสถานะนั้นมาให้ แต่นาวีไม่ได้ตอบ ขณะที่เพื่อนเขาก็เปลี่ยนเรื่องไปก่อน

"งานมึงเสร็จยังเนี่ย"

"ยังเลย ของมึงอะ"

"เทแล้วไอ้สัด ปั่นไม่ทัน พรุ่งนี้คณะก็นัดไปทำกิจกรรมห่าอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ ไม่มีเวลาหายใจแล้วกูอะ งั้นเดี๋ยวกูขึ้นห้องก่อน ไปนอนละ" 

"เทจริงเหรอวะ"

"เออดิ ไปละ เจอกัน" เพื่อนเขายกมือตบไหล่นาวีสองสามทีแล้วหันมายิ้มให้ผม ก่อนเดินขึ้นตึกข้างๆ ไป นาวีก็พาผมขึ้นมาบนห้องของตัวเอง ผมกวาดสายตามองสภาพห้องรกๆ ของเขาแล้วก็เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาหลายอย่าง คำว่าไม่มีเวลาของนาวีถูกย้ำชัดขึ้นมาในตอนนี้   

"กูยังทำงานค้างอยู่เลย มึงรอ..."

"..."

"รอแป๊บหนึ่งได้ไหม"

ผมพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงที่ปลายเตียง มองดูนาวีที่นั่งลงไปกับพื้นกับกองกระดาษและงานที่ทำค้างอยู่ ผมเพียงนั่งมองเฉยๆ มีคำพูดมากมายอยู่ในหัวแต่ไม่ได้พูดออกไปเพื่อรบกวนเขา ผมไม่ได้ละสายตาจากอีกคนที่กำลังจริงจังกับงานอยู่ตรงนั้น วันนี้นาวีอยู่ในเสื้อบาสตัวเก่าที่คุ้นตา เขาบ่นกับผมหลายครั้งว่าอยากกลับไปเล่นบาสแต่ไม่มีเวลา

 นาวีไม่มีเวลา...   

ผมกลายเป็นคนงี่เง่าเพราะเขาไม่มีเวลาให้ผม ทั้งที่ความจริงนาวีไม่มีเวลาสำหรับอะไรเลย ไม่มีเวลากระทั่งดูแลตัวเอง ไม่มีเวลาแม้แต่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ นาวีกำลังมีชีวิตใหม่ นาวีกำลังเหนื่อยกับการปรับตัว และนาวีอาจกำลัง...เหนื่อยกับการมีผมอยู่

"ภูผา"

เสียงของนาวีเรียกผมให้เงยหน้าไปมอง

"แม่มึงรู้ไหมว่ามาที่นี่"

"ไม่รู้"

"โทรไปบอกเขาดีไหม"

"ไม่เป็นไร บอกเขาไว้ว่าจะนอนบ้านเพื่อน"

"วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ"

"ไม่อยากเจอกูเหรอ"

"เปล่า แต่แม่มึงจะเป็นห่วงเอา"

"ไม่พูดถึงแม่ได้ไหม"

"เออ ก็ได้ มึงไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ เสื้อผ้าในตู้อะหยิบเอาเลย"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ผมเห็นว่าเสื้อผ้าของนาวีถูกทิ้งกระจัดกระจายจึงจัดการเก็บมันให้เป็นระเบียบ รวมถึงโต๊ะหนังสือ เตียงนอน กระทั่งกองขยะที่มุมห้อง อาจช่วยไม่ได้มากเพราะนาวีไม่ให้ยุ่งกับกองงานของเขาแต่ก็สะอาดขึ้น เสร็จจากตรงนั้นผมจึงไปอาบน้ำ ออกมานาวีก็เสร็จงานพอดี คนที่นอนอยู่บนเตียงดึงมือผมให้ลงไปนอนด้วย

"เหนื่อย"

ผมยกมือปัดผมหน้าของนาวีที่ยาวลงมาปิดตาออก มองดูใบหน้าโทรมๆ ของอีกคนแล้วก็เข้าใจคำว่าเหนื่อยของเขา มีไม่กี่คำที่ผมอยากถาม กินข้าวตรงเวลาไหม ได้นอนพอหรือเปล่า แต่คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้ดูแลตัวเองขนาดนั้น

"ตกลงว่ามึงมาหากูทำไมเนี่ย"

"คิดถึง"

นาวียิ้มรับแล้วสวนอีกคำกลับมา

"ขอโทษนะ"

"ขอโทษทำไม"

"ที่กูว่ามึงงี่เง่า กูหงุดหงิดอยู่อะ ขอโทษนะ"

"กูไม่อยากให้เราทะเลาะกัน"

"อือ ไม่ทะเลาะแล้ว"

ผมพยักหน้ารับ

"แต่วันหลังมึงโทรกลับมาก็ได้นะ ไม่เห็นต้องมาหาถึงนี่เลย"

"มันกอดไม่ได้"

"ไรนะ"

"คุยกันผ่านโทรศัพท์ มันกอดกันไม่ได้"

ผมพูดอย่างนั้นแล้วยกมือขึ้นกอด นาวีก็ขยับตัวเข้ามาให้ผมกอดได้พอดี ตัวผมเองต้องการเท่านี้...เพียงเท่านี้

 

...

 

ครั้งนี้นาวีรู้ว่าผมไม่ได้บอกแม่ก่อนที่จะมาหาเขา แล้วผมก็ไม่ได้บอกแม่ว่ามาไกลถึงที่นี่ ปล่อยให้แม่เข้าใจว่านอนบ้านเพื่อนไปก่อน ผมกลายเป็นคนโกหกเก่ง เพราะไม่อยากให้ความจริงมันทำร้ายตัวเอง แม้จะอยากใช้เวลาอยู่กับนาวีอีกสักพัก แต่เขาก็ไม่ว่างพอที่จะทำอย่างนั้น นาวีจึงมาส่งผมกลับบ้านก่อนที่เขาจะต้องกลับไปทำกิจกรรมกับคณะ นาวีพาผมเดินผ่านพื้นที่กว้างๆ ของมหาลัยไปขึ้นรถ ระหว่างทางก็พูดคุยเรื่องมหาลัยให้ผมฟังไปด้วย

"คณะกูอยู่ตรงนั้น เห็นป่ะ"

"อือ"

"อยากมาเรียนต่อด้วยกันเปล่า"

"ถ้าคณะเดียวกับมึง ไม่เอา"

"ทำไมอะ"

"ไม่มีเวลา"

"โห่! ลำบากวันนี้ สบายวันหน้านะเว้ย!"

"กูอยากสบายตั้งแต่วันนี้เลย ไม่อยากเรียนคณะที่ต้องลำบาก"

"ไอ้ขี้เกียจเอ๊ย!" นาวีกัดฟันพูดแล้วยกมือขยำแก้มผมอย่างทุกที ผมยกมือตัวเองจับมือเขาเอาไว้ นาวีหยุดการกระทำแล้วแต่ผมไม่ยอมปล่อยมือเขา อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนที่ผมจับมือเขาเดินไปอย่างนั้น  จนมาหยุดที่ริมฟุตบาทเพื่อรอข้ามถนน

"มึงก็ไปคิดเรื่องเรียนบ้างนะ ม.หกแล้ว"

"อือ"

"ถ้ามึงมาเรียนที่นี่ แม่มึงจะยอมไหมวะ"

"ทำไมถามอย่างนั้น"

"เขารู้ว่ากูเรียนที่นี่ไม่ใช่เหรอ ถ้ารู้ว่ามึงจะมาเรียนที่เดียวกับกูคงจะยอมหรอก ก็แม่มึงไม่ชอบกู"

"..."

"และเขาไม่มีวันชอบกู..."

ผมไม่ทันได้ตอบอะไร นาวีก็เปลี่ยนเรื่องตอนที่หาจังหวะข้ามถนนได้พอดี

"ปะ! ข้ามได้ละ"

มือของเราหลุดออกจากกันตอนที่นาวีวิ่งข้ามถนนไปแต่ผมยังอยู่ที่เดิม ผมมองนาวีที่อยู่อีกฝั่งแล้ว แต่ผมตามไปไม่ได้เพราะรถหลายคันที่แล่นผ่านหน้าผมไป ได้แต่ยืนมองนาวีที่อยู่ตรงนั้น แค่คนละฟากถนนเท่านั้น แต่เหมือนว่ามัน...ไกลเกินไป

"ภูผา ข้ามได้ไหม" 

ข้ามไม่ได้...ผมตอบในใจ 

"ภูผา" 

หลายสิ่งหลายอย่างขวางกั้นระหว่างเราจนผมข้ามไปไม่ได้ 

"ภูผา ข้ามมา!"

ผมอยากตะโกนให้นาวีช่วยพาผม...ข้ามไปที 

"น้อง มานี่"

ผมหันมองผู้ชายคนข้างๆ ที่ดึงแขนผมให้เดินตามเขาไปหานาวี สติผมกลับมาแล้วจึงรีบหันไปขอบคุณเขา คนนั้นดูไม่ได้สนใจอะไรนอกจากพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป เสียงของนาวีเรียกผมให้หันไปมอง   

"เป็นอะไร กลัวเหรอ"

"อือ"

"โตป่านนี้แล้ว ยังข้ามถนนไม่เป็นอีก" นาวีพูดติดตลกแล้วยกมือบีบแก้มผมเบา ผมรีบคว้ามือเขามาจับเอาไว้ จับเอาไว้แน่น จับเอาไว้อย่างนั้น

"ภูผา"

นาวีหยุดเดินแล้วหันกลับมามองผม

"เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม"

ผมไม่รู้ตัวว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน ไหลออกมาเพราะอะไร ผมไม่รู้จะทำยังไงเพื่อปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง และยิ่งมองหน้านาวีอีก ผมก็ยิ่งอยากร้องไห้อีก 

"เป็นอะไร"

"..."

"ภูผา เป็นอะไร"

"กูไม่อยากเสียมึงไป"

ผมพูดได้แค่นั้นก่อนความรู้สึกในใจยากเกินจะฝืน น้ำตาผมก็ไหลออกมาอีก นาวีดึงมือที่จับกันอยู่พาเดินไปหลบในที่ที่ไม่มีคน แล้วยกมืออีกข้างดึงใบหน้าเลอะน้ำตาของผมเข้าไปซบลงที่ไหล่ของเขา

"ไม่ต้องร้อง"

"..."

"พอแล้ว ไม่ต้องร้องนะ"

ผมพยายามแล้วพยายามอีกเพื่อกลั้นน้ำตา แล้วมองหน้าเขา นาวียังคงยิ้มให้ผมแม้มองไม่เห็นความสุขใดในแววตานั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมก็ไม่เคยเข้มแข็งสู้เขาได้ นาวียังคงเป็นฝ่ายปลอบใจผมอยู่เสมอ ผ่านรอยยิ้มฝืนๆ ผ่านอ้อมกอดหลวมๆ ผมยังคงหลอกตัวเองว่านาวีจะไม่ไปไหน

"นาวี กูจับมือมึงแน่นขนาดนี้แล้ว..."

"..."

"มึงจะไม่ปล่อยมือกูใช่ไหม"

 

...

 

 

หลังกลับจากกรุงเทพฯ ผมคุยกับนาวีน้อยจนนับครั้งได้ มากที่สุดคืออาทิตย์ละสองครั้ง ไม่พอสำหรับความคิดถึงของผม นาวีใช้เหตุผลเดียวในการเลี่ยงที่จะคุยกับผมว่าไม่มีเวลา ผมเข้าใจ แต่ทำได้เพียงเข้าใจ ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ สุดท้ายก็งี่เง่าเหมือนเดิม เราไม่ได้ทะเลาะกันอีกเลยตั้งแต่คราวนั้น แต่มันมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ของเรา เหมือนกับว่านาวีกำลังถอยห่างผมไปช้าๆ ทีละเล็กละน้อยแต่รู้สึกได้

นาวีก็ยังคงจับมือผมเอาไว้ แต่ไม่แน่นเหมือนก่อน...

(ภูผา ฟังอยู่ป่ะ)

"ฟัง..."

เกือบสิบนาทีที่เขาหันไปคุยกับเพื่อนขณะถือสายที่คุยกับผมอยู่ แม้นาวีจะไม่ได้พูดกับผมเลยสักคำก็ยังคงฟัง กระทั่งเขากลับมาคุยกับผม เสียงคุยของคนอื่นเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งเงียบไป ผมเดาเอาว่าเขาคงเดินออกมาจากเพื่อนเขาแล้ว

(เมื่อกี้คุยถึงไหนแล้วนะ)

ผมยังไม่ทันตอบเรื่องที่คุยค้างกันอยู่ นาวีก็พูดอีกเรื่องแทรกขึ้นมาก่อน ผมก็เลยตามเลย เปลี่ยนเรื่องไปด้วย

(เออ วันเสาร์นี้วันเกิดมึงใช่ป่ะ)

"อือ"

(กูไม่รู้จะได้กลับไปหาไหม)

"ไม่เป็นไร"

(ถ้ากลับได้จะบอกละกัน เออ กูบอกไปยังว่าอาทิตย์หน้าจะไปค่ายกับชมรมอะ)

"ยัง"

(ไปขึ้นดอยอาทิตย์หนึ่งนะ เห็นพี่เขาบอกว่าบนนั้นไม่มีสัญญาณด้วย คงติดต่อกันไม่ได้เลย)

"ไม่เป็นไร" ...เคยรอนานกว่านั้นอีก

(ไว้กลับไปกินเค้กไอติมกันเนอะ)

"อือ รอ..."

ผมพูดไม่ทันจบ อีกเสียงก็แทรกเข้ามาด้วยประโยคที่ทำให้คิ้วขมวดเข้าหากันในทันที   

(ไอ้วี กูก็นึกว่าหายหัวไปไหน มาแอบสูบบุหรี่อยู่นี่เอง)

(ไอ้เชี่ย!)

(ทำไมวะ)

หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงปลายสายไม่ชัดแต่นาวีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาคุยกับผม

(ภูผา)

"สูบบุหรี่?"

(ขอโทษ...)

แม้กระทั่งสัญญาที่เคยให้เอาไว้กับผม นาวียังลืมมันเลย 

(ขอโทษ จะไม่ทำแล้ว)

"ไม่เป็นไร มึงอยากทำอะไรก็ทำเหอะ"

(เหมือนมึงประชดกูอะ)

(เปล่า กูแค่ตามใจมึง กูไม่ห้ามมึงแล้ว ตามใจมึงเลย)

(ภูผา กูแค่มีเรื่องเครียด)

"..."

(กูแค่เหนื่อย)

ผมตอบรับ แต่ไม่อยากคุยต่อแล้ว การผิดสัญญาที่ดูเล็กน้อยกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ของผม ถ้าคุยกันต่อก็คงไม่พ้นชวนเขาทะเลาะอีก

"งั้นแค่นี้ก็ได้ กลับหอไปนอนเหอะ"

(อือ มึงก็ไปนอนได้แล้ว)

"นาวี" 

แม้อยากจะวางสายแต่ผมก็กลับเป็นฝ่ายเรียกเพื่อรั้งเขาเอาไว้ก่อน 

(ฮึ?)

"กูไม่รู้จะได้คุยกับมึงอีกเมื่อไร"

(เดี๋ยวว่างแล้วโทรหาไง)

"กูถามอะไรหน่อยสิ"

(ว่า?)

"นาวี มึง..."

(...) 

"ยังรักกูอยู่เปล่าวะ" 

ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับมา แม้เป็นเรื่องจริงหรืออาจโกหกกัน ผมก็ดีใจที่ได้ยินคำนั้น

(รักสิ...) 

แต่อย่างกับนาวีกลั่นแกล้งผมเพราะประโยคที่พูดต่อจากนั้น ประโยคเดียวสั้นๆ แต่ทำให้ความรู้สึกผมมันว่างเปล่า

 

(แต่แค่รักมันไม่พอ)

 

 

...

 

 

            วันนี้เป็นวันเกิดผม ทุกปีผมไม่เคยให้ความสนใจกับมันเท่าไร ถ้ามีเพื่อนบางคนจำได้ก็จะได้คำอวยพรเล็กๆ น้อยๆ เป็นของขวัญ แต่ปีนี้เพื่อนผมมันชวนมาที่บ้านผมเลยมีงานวันเกิดเล็กๆ ที่เพื่อนจัดให้ แต่เอาจริงๆ ก็แค่ใช้วันเกิดผมเป็นข้ออ้างแล้วหาเรื่องกินเหล้ากันมากกว่า เพราะตรงกับวันเสาร์ด้วยเพื่อนเลยได้โอกาสนั้นมารวมตัวกันที่นี่เกือบครึ่งห้อง บ้านของไอ้เต้ยใหญ่พอที่จะบรรจุคนทั้งหมดเอาไว้ได้ พ่อกับแม่มันก็ใจดีซื้อเค้กมาให้ผม กับอาหารที่มากจนกินกันแทบไม่หมด

"ไอ้ภู แก้วนี้ของมึง"

"กูไม่เอาแล้ว" ก่อนหน้านี้ก็ถูกบังคับให้กินไปเยอะจนแทบจะยืนไม่ติดพื้นอยู่แล้ว ผมไม่เคยเมาหนักมาก่อน แล้ววันนี้ก็ต้องกลับบ้านด้วย กลับไปสภาพนี้ก็เสี่ยงโดนแม่ด่ายับแล้ว ถ้าเมากว่านี้คงถูกตีไม่เลี้ยงแน่ๆ

"เฮ้ย มึงเป็นเจ้าของวันเกิดนะเว้ย"

"เออๆ อย่ามาป๊อดว่ะ"

"จับมันกรอกปากเลย"

"เฮ้ย!"

ผมกำลังจะถอยหนีแต่ถูกเพื่อนสองคนล็อกแขนล็อกขาเอาไว้ คนหนึ่งก็คว้าหน้าผมให้อยู่กับที่เพื่อไม่ให้หนีอีกคนที่กำลังเอาเหล้าแบบไม่ผสมอะไรเลยกรอกใส่ปากผม ผมกลืนลงคอไม่ทันบวกกับรสชาติเพียวๆ ของมันจึงทำให้สำลักออกมา 

"แค่ก! เชี่ย!" ผมหันไปด่า ก่อนส่ายหน้ารัวๆ เพราะความแรงของเหล้าที่ไหลลงคอไป ยกมือเช็ดปากที่เลอะไปจนถึงเสื้อผ้า แม้ผมจะด่าแต่พวกมันก็พากันหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ ผมจึงทำได้แค่หันมองเคืองๆ แล้วลุกไปล้างตัวที่ห้องน้ำ ตอนเดินกลับมาก็มองออกไปเห็นนุ่นยืนอยู่ที่หน้าเตาปิ้งบาร์บีคิว ผมไม่รู้ว่านุ่นอยู่ที่นี่ด้วยตั้งแต่แรก จึงเดินเข้าไปทัก

"นุ่น"

"ภูผา"

ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อปีก่อน นุ่นแทบจะไม่คุยกับผมเลย ทั้งที่ผมก็ไม่ได้โกรธนุ่น แต่นุ่นไม่คุยกับผมเอง เอาแต่วิ่งหนีหรือหลบหน้ากันไปตลอด ครั้งนี้นุ่นคงไม่มีที่ให้หลบเลยยอมหันมาคุยกับผม

"ภูผา จะ...จะเอาอะไรหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วสวนกลับไป 

"มาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่เข้าไปข้างใน"

"ก็...ย่างนี่ให้อยู่ไง เอาไหม สักไม้...ไหม" นุ่นหยิบบาร์บิคิวในเตาส่งให้ผม มุมปากผมยกขึ้นตอนเห็นท่าทางเงอะๆ งะๆ ของอีกคน นุ่นก็ยังเป็นนุ่น

"ไม่เอา อิ่มแล้ว" ผมว่าแล้วนั่งลงที่ขอบประตู พยักหน้าเป็นเชิงให้นุ่นเข้ามานั่งด้วย แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าตาเด๋อด๋า ตาโตๆ ภายใต้แว่นหนากระพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ผมจึงต้องพูดให้รู้ 

"มานั่งนี่"

"อ๋อ ค่ะ!" น้ำเสียงผมคงเหมือนคำสั่ง นุ่นจึงตอบรับกลัวๆ วางบาร์บีคิวในมือแล้วก้าวเท้าเร็วๆ เข้ามาหาผม ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ พอผมหันไปมองก็รีบก้มหน้าลงไป

"เป็นอะไร มองหน้าเราไม่ได้เลยเหรอ"

"ไม่กล้า" นุ่นตอบเบาๆ ยกมือขึ้นดันแว่นทีหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงไปอีก 

"เราไม่ได้โกรธนุ่นแล้วนะเว้ย"

"เรารู้สึกผิด..."

"..."

"ยังคงรู้สึกผิดจนถึงตอนนี้เลย"

"ช่างมันเหอะน่า ลืมไปได้แล้ว"

"เราไม่ลืมหรอกภูผา ความผิดของเรา..."

"ลืมไปเหอะ เราสั่ง"

"สั่ง?"

"อือ ชอบทำตามคำสั่งนักไม่ใช่เหรอ"

"เราเปล่า..."

"ที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะเพื่อนสั่งให้ทำไม่ใช่หรือไง"

"เปล่าๆ เราอาสาทำเอง เพื่อนๆ จะได้สนุกกันข้างในไง เราอยู่ข้างในก็ไม่ได้คุยด้วยอยู่ดี เลยอยู่ข้างนอกดีกว่า..."

"อย่ายอมคนอื่นง่ายๆ สินุ่น แบบนี้ก็โดนเอาเปรียบแย่"

นุ่นพยักหน้ารับหน่อยๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็เอาแต่เงียบ ตรงนี้เลยน่าอึดอัด ผมก็คิดว่านุ่นอึดอัดที่จะอยู่กับผมเลยจะลุกเข้าไปข้างใน แต่นุ่นเรียกเอาไว้ก่อน 

"ภูผา"

"ฮึ?"

"เรื่องคราวนั้นเราขอโทษจริงๆ นะ"

"ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง ไม่ต้องคิดมากแล้ว"

"เรากลับไปเป็นเพื่อนกันนะ"

"อือ นุ่นไม่คุยกับเรา ไม่มีใครให้ลอกการบ้านเลย" ผมพูดติดตลกจนได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ของคนข้างๆ 

"เออ...แล้วภูผากับพี่นาวี เป็นยังไงกันบ้าง"

"หมายถึงยังไงอะ"

"ก็...ยังรักกันดีใช่ไหม"

ผมไม่กล้าตอบอย่างเต็มปากเลยพยักหน้าแทน ยังไม่ได้คุยกับนาวีเลยตั้งแต่วันที่เขาทิ้งบางคำเอาไว้ให้วนอยู่ในหัวของผม ถึงผมจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเกิดตัวเองมากนัก แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่านาวีจะลืมมันไปหรือเปล่า ถึงไม่มีโทรมาหา ไม่มีแม้สักข้อความ

"ภูผา" 

"ฮึ?" 

"เราถามอะไรหน่อยดิ อย่าโกรธนะ"

"ว่า?"

"ภูผา...คิดว่าจะกลับมา...กลับมาชอบผู้หญิงได้ไหม"

ผมนิ่งเพื่อคิด แต่ไม่มีคำตอบให้นุ่น เพราะผมก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างผมกับนาวีมันเกิดขึ้นได้ยังไง ผมก็ไม่เคยคบกับใครมาก่อน ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่พอมันเป็นนาวีใจมันก็บอกเลยว่าคนนี้ ขอแค่เป็นนาวีเท่านั้น 

"ไม่รู้เหมือนกันอะ แต่ถ้ารู้สึกดีกับใคร ก็คงได้มั้ง"

"งั้นถ้าเลิกกับพี่นาวี เรารออยู่นะ"

"ตลกละ" ผมว่าแล้วยกมือเขกหัวนุ่นเบาๆ ทีหนึ่ง อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมา ก่อนเสียงหัวเราะถูกกลืนหายกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ มองผ่านเลนส์แว่น ผมเห็นน้ำตาใสๆ ของนุ่นคลออยู่ จนต้องหันไปให้ความสนใจ

"เป็นอะไรเปล่า"

"เรารู้สึกอกหัก"

"..."

"ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้รักกัน"

"..."

"แปลกจัง" นุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ แต่เสียงหัวเราะนั่นขัดกับใบหน้าที่ดูสลดลงไป อาจเป็นผมต่างหากที่ต้องขอโทษนุ่น ที่รู้สึกกับนุ่นไปมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ก็เผลอคิด แล้วถ้าผมชอบนุ่น เรื่องมันจะเป็นยังไง คงไม่ถูกคนอื่นมองว่าประหลาด คงไม่โดนเหยียด คงไม่มีปัญหากับแม่ คงไม่...

ผมส่ายหน้าไล่ความคิดนั่นออกไป หันมองนุ่นที่พูดออกมาเบาๆ

"เราชอบภูผาจริงๆ นะ"

"..."

"ถ้าภูผาชอบเราบ้างก็คงจะดี"

สิ้นคำนั้นใบหน้าเล็กๆ ของนุ่นเลื่อนเข้ามาหาผม แนบริมฝีปากเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเองไม่ได้ถอยหนี ไม่รู้ว่าเมาหรือเป็นบ้า เผลอไผลหรือตั้งใจ ผมกลับจูบตอบนุ่นไปกระทั่งความรู้สึกผิดต่อนาวีมันพุ่งเข้ามาจึงผละตัวออกมา

 

"ขอโทษ"

 

To be continued.

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
อ่านเรื่องนี้ทีไร น้ำตาไหลทุกที :katai1:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ฮืออออออออออ ความสัมพันธ์ของภูผากับนาวีจะเป็นไงต่อไป

ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หน่วง..

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตอนนี้ไม่รู้จะสงสารใครดีหน่วงเหลือเกินเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ปัญหาของแต่ละคนก็คนละอย่าง ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ก็คงรับมือยากไปซะทุกเรื่อง
นาวีจะเปลี่ยนก็ไม่แปลก ภูผาจะไม่เข้าใจหรือรับไม่ได้ก็ไม่แปลก
โลกมันหมุนและนำความเปลี่ยนแปลงมาให้เราทุกวัน
ถึงจะหน่วงแต่ก็เข้าใจได้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ตอนแรกเชียร์นาวี ทีมนาวีโค่ดๆ แต่พอนาวีใจร้ายไม่น่ารัก ก็คิดว่าจะแปรพักต์ไปทีมทัพแล้วอ่ะ

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เมื่อไหร่ธงทัพจะกลับมาคิดถึงงงงงงง

ออฟไลน์ windwrite

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
คิดว่าถ้าปล่อยมือกันอาจดีกว่า

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Happy New Year 2018
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑  ขอให้ไรท์สุขสันต์ มีความสุขมากๆ

ทุกคนเปลี่ยนไป
ย้ายที่เรียน ย้ายที่อยู่ การเรียนแบบใหม่ สังคมใหม่ เพื่อนใหม่
ห่างไกลคนรักเดิม ความรักก็เลยจืดจาง รักอย่างเดียวไม่พอจริงๆ
เข้าใจนาวี เข้าใจภูผา
แต่ภูผาเหมือนทำใจ เข้าใจได้ระดับหนึ่ง
ถ้าจะห่างกัน เลิกกันจริงๆ
ภูผา เจ็บแน่ แต่กู็คงทำใจได้ โตขึ้น เอาใจช่วยภูผา  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.8] 2/1/18
« ตอบ #69 เมื่อ: 03-01-2018 14:24:50 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
รักยังไม่พอจริงๆค่ะ
บางครั้งการจับมือถ้ามันไม่แน่นพอ มันก็มีแต่เจ็บ

เชียร์ภูผาเลิกค่ะ ตอนนี้เราไม่เชียร์นาวี  :hao5:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 9

 

ในวันที่เสียคุณไป

ผมเสียใจเป็นพันๆ ครั้ง


 

 

"ขอโทษ"

ผมพูดกับนุ่นแค่นั้นแล้วลุกออกมาจากตรงนั้น เดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อน ทันทีที่มันส่งแก้วเหล้ามาให้ ผมก็กรอกใส่ปากตัวเองไปทีเดียวหมด

"ไอ้ภู!"

"เอาอีก"

"เมาตายแล้วมึงอะ"

"เอามาเหอะ"

"เออๆ เอาไป แล้วเมื่อกี้พี่นาวีมา...เฮ้ย! ไอ้ภู ค่อยๆ กิน!"

ผมไม่ฟังเสียงใครแล้วนอกจากกระดกเหล้าเข้าปากไปเรื่อยๆ แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าผสมมัวเมากับความรู้สึกในใจ พักเดียวผมก็สติหลุดลอย เมาหนักอย่างคุมตัวเองไม่ได้ ผมมีสติอยู่ไม่ครบนักแต่ได้ยินเสียงเพื่อนเดินเข้ามาเรียกจึงยกหน้าตัวเองที่ฟุบอยู่บนโซฟาขึ้นไปมอง

"ไอ้ภู แม่มึงมารับแล้ว"

"ใครนะ"

"แม่มึง"

"เชี่ย! มึงโทรหาแม่กูเหรอ"

"เออดิ แม่มึงมาแล้ว"

ผมส่ายหน้ารัว แล้วพยายามจะลุกหนีไปจากตรงนี้แต่ถูกมือหนึ่งดึงแขนเอาไว้ก่อน

"ไอ้ภู กลับบ้าน"

"ไม่เอา มึงโทรหาแม่กูทำไมวะ เดี๋ยวเขาก็ด่ากูอีก"

"..."

"เดี๋ยวเขาก็ตบกูอีก..."

"ภูผา"

"ไม่เอา ไม่กลับ!"

"ภูผา นี่แม่นะ"

ผมเบิกตาขึ้นนิดหนึ่ง ตั้งสติมองหน้าแม่ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกมือสองข้างทาบแก้มตัวเองเอาไว้ 

"แม่อย่าตบภูนะ"

"แม่ไม่ทำ แม่ไม่ว่า แม่มารับกลับบ้าน"

"ไม่ตบแน่นะ"

"ไม่ตบสิ"

"กลับบ้านก็ไม่ตบใช่ไหม"

"อืม ไป กลับบ้าน"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ ตอนถูกแม่ดึงแขนให้ลุกขึ้น แต่ความเมาเล่นเอาหนักจนยากจะทรงตัวผมจึงทรุดลงมาอีกครั้ง จนเพื่อนต้องมาช่วยพาไปส่งที่รถของแม่ ผมไม่ได้ยินว่าแม่พูดอะไรกระทั่งมาถึงบ้าน แต่สติยังกลับมาไม่ครบ รู้ตัวตอนแม่ประคองผมมาทิ้งที่โซฟา 

"เมาขนาดนี้ กินไปเยอะแค่ไหนเนี่ย"

ไม่ว่าแม่จะพูดอะไร สิ่งเดียวที่ผมทำคือการยกมือทาบหน้าเอาไว้เป็นการป้องกันตัวเอง  ผมรู้ว่าชอบทำให้แม่โกรธประจำ แต่แม่ไม่ควรตบหน้าผม แม่ตบหน้าผมแต่ผมกลับไปเจ็บที่หัวใจ สะสมความเจ็บทีละเล็กทีละน้อยจนตอนนี้เป็นแผลเรื้อรัง ผมไม่อยากให้แม่ทำแบบนั้นกับผมอีกแล้ว ผมอยากรักษาแผลในใจให้หาย แม่จึงไม่ควรซ้ำเติมมันอีก

"ภูผา กลัวแม่ขนาดนั้นเลยเหรอ แม่ไม่ทำหรอก"

"แม่"

"อือ ว่าไง"

"อยากอ้วก"

"เดี๋ยวๆ ภูผา!"

ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นแบบนั้นจึงห้ามไม่ได้ เหลวจะพุ่งออกมาจากปากด้วยอาการพะอืดพะอม ภาพของแม่ก็พร่าเบลอ เสียงพูดของแม่เบาลงจนไม่ได้ยิน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกเลย

 

...

 

ผมลืมตาเพราะเสียงแม่เรียกในเช้าวันต่อมา หรือไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าเช้าเพราะผมได้ยินแว่วอยู่ในหูว่าแม่พูดถึงข้าวกลางวัน สติกลับมาแน่ชัดตอนแม่พูดย้ำอีกที

"เที่ยงแล้วภูผา ลุกมากินข้าวกลางวันได้แล้ว"

ผมยกมือขยี้ตาก่อนหันมองรอบๆ เมื่อคืนผมนอนที่โซฟา คงเพราะแม่พาผมขึ้นห้องไม่ได้ แต่เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนใหม่ ผมตั้งสติอีกทีแล้วลุกจากโซฟา ขาที่ไม่มีเรี่ยวแรงพาผมเซไปอีกทางจนแม่ที่เดินเข้ามาพอดีรับร่างผมไว้   

"ไหวไหมเนี่ย"

ผมพยักหน้ารับ

"ปวดหัวไหม"

"ไม่ครับ"

"งั้นไปแปรงฟัน แล้วลงมากินข้าว"

ผมพยักหน้าอีกทีแล้วขึ้นไปจัดการตัวเองบนห้อง พักหนึ่งก็ลงมาหาแม่ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ผมแปลกใจนิดหน่อยที่แม่ไม่ว่าอะไรเลยเรื่องที่ผมเมาเละเทะ ซ้ำยังไปรับผมกลับมาด้วยตัวเองอีก เหมือนแม่เดาสีหน้าของผมได้ไปจนถึงความคิด จึงพูดบางคำออกมา

"เมื่อคืนวันเกิดนี่ แม่ยกให้วันหนึ่ง"

ผมหลุดยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำ ตอนนั้นสายตาผมก็มองไปเห็นบางอย่างที่อยู่ในตู้เย็น สิ่งที่ทำให้รอยยิ้มผมกว้างกว่าเดิมคือเค้กไอติมก้อนโต หน้าเค้กมีคำว่าสุขสันต์วันเกิด และชื่อของผม

"แบบหน้าสตรอว์เบอร์รี่มันหมด เลยเอาช็อกโกแลตมา"

ผมหันไปมองแม่ แล้วหันกลับมามองเค้กอีกที

"อันนี้ก็อร่อย"

"ข้างๆ นั่นของขวัญนะ"

ผมหันมองนมรสจืดสองแพ็คที่วางอยู่ข้างๆ เค้ก ส่ายหัวหน่อยๆ กับของขวัญที่แม่ให้ แล้วหยิบน้ำเปล่าออกมาขวดหนึ่ง

"ทำไม ไม่ชอบ?"

"คราวหน้าขอรสช็อกโกแลตได้ไหม"

"แต่แม่ว่านมรสจืดมันมีประโยชน์กว่า...โอเค สัญญาว่าคราวหน้าจะซื้อรสช็อกโกแลตให้" เพราะถูกผมมองเคืองๆ ใส่แม่ที่กำลังบ่นเลยเปลี่ยนมารับปากแทนว่าคราวหน้าจะให้อย่างที่ขอ ผมจึงพยักหน้ารับหน่อยๆ

"เออ ภูผา"

"ครับ?"

"เมื่อคืนนาวีโทรมา"

"..."

"อย่าลืมโทรกลับไปนะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วลงมือกินอาหารกลางวันฝีมือแม่ แม้เป็นผัดผักจืดชืดไม่มีเนื้อสัตว์กับยำไข่ดาวรสชาติแปลกๆ ทว่าวันนี้อาหารของแม่ที่ได้กินกับแม่...อร่อยดี

 

...

 

ผมออกมาเดินเล่นอยู่แถวๆ บ้านอย่างเบื่อๆ พยายามโทรกลับหานาวีเป็นรอบที่สามหรือสี่ แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย ผมไม่อยากโทรไปอีกเพราะกลัวจะเป็นการจุกจิกเขามากเกินไป เขาคงไม่ว่างรับเลยรอให้โทรกลับมาดีกว่า ผมนั่งเลื่อนดูประวัติการโทร เลื่อนแล้วก็เลื่อนอีกอยู่อย่างนั้น เมื่อคืนไม่น่าพลาดรับสายนาวีเลย หรือถ้ารับผมก็คงคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอกมั้ง ผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ กำลังจะกดออกจากหน้าจอนั้น แต่กลับไปสะดุดกับสายโทรเข้า มีประวัติการรับสายจากนาวีเมื่อคืน ที่แม่บอกว่านาวีโทรมาผมไม่คิดว่าแม่จะกดรับ แล้วระยะเวลาที่คุยกันนั่นก็นาน นานเสียจนผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าแม่คุยอะไรกับนาวี แม่คงไม่ได้...

"ภูผา!"

ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วเงยหน้ามองเสียงที่เข้ามาเรียก ก่อนเห็นว่าเป็นพี่โอ๋จึงลุกไปหา

"มานั่งทำอะไรตรงนี้"

"นั่งเล่นอะ" ผมพูดปัดๆ

"ไม่ไปหานาวีเหรอ"

"จะให้ไปหาที่กรุงเทพฯ อะเหรอ"

"อ้าว นาวีอยู่โรงพยาบาลนะ"

"ฮะ?"

"ก็เมื่อเช้าพี่แวะไปหาเพื่อนที่โรงบาลมา เห็นว่านาวีปวดท้อง เมื่อคืนนอนโรงบาลมั้ง"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดพี่โอ๋ คิดแล้วอยากจะด่าตัวเองแรงๆ สักที นาวีเข้าโรงพยาบาลแต่ผมมัวไปเมาเละเทะ ตั้งสติได้เลยตั้งใจจะไปโรงพยาบาลที่พี่โอ๋บอก แต่ออกมาถึงปากซอยผมก็เห็นรถของพ่อนาวีเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านเขาพอดี นาวีอยู่บนนั้นด้วยแต่มองไม่เห็นผม ผมจึงรีบวิ่งตามไปที่บ้าน     

"นาวี!"

นาวีที่ลงมาจากรถพอดีหันมองผมที่หยุดยืนหายใจถี่อยู่ตรงนี้เพราะความเหนื่อย ผมเห็นเขาหันบอกอะไรกับพ่อแม่ ก่อนทั้งสองคนจะเดินเข้าบ้านไปก่อน

"นาวี"

นาวีพยักหน้ารับผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปหา รีบถามอาการของเขาก่อนแต่มีเพียงความเงียบตอบกลับมา

"เป็นอะไรมากหรือเปล่า"

"..."

"เป็นอะไรไหม"

"..."

"เป็นอะไรอย่าเงียบสิ"

"มึงคิดว่ากูควรเป็นอะไรล่ะ"

"นาวี..."

"ไปจูบกับนุ่นทำไม"

ผมนิ่งไปตอนนาวีพูดแบบนั้น นาวียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยจนผมใจคอไม่ดี ผมจะแก้ตัวยังไง หรือไม่ควรแก้ตัว หรือว่าควรทำยังไง...

"จูบทำไม"

"มึงรู้ได้ยังไง"

"เห็นกับตา"

"..."

"กูรีบกลับมาหามึง รีบตามไปหามึงเพื่อไปเห็นมึงจูบกับคนที่ชอบมึง แบบนี้กูควรจะเป็นอะไร"

"นาวี มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อกู"

"ได้ กูเชื่อมึง"

แม้ปากจะบอกว่าเชื่อ แต่สีหน้าเรียบเฉยนั่นเดาความรู้สึกจริงๆ ของเขาไม่ได้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผม

"เมื่อคืนกูคุยกับแม่มึง"

"แม่ว่าไง แม่พูดอะไรกับมึง"

ผมร้อนรนที่จะถามหาคำตอบ แต่นาวีกลับยิ้มออกมา รอยยิ้มจางๆ ที่ดูฝืน มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นตอนที่มองหน้าเขา สายตาของนาวีที่ผมรัก ไม่เหมือนวันก่อนที่เคยมองตากัน ผมรู้นาวีเป็นคนเข้มแข็ง แต่ใบหน้านิ่งนั้นดูเฉยชากว่าที่เคยเป็น ความเงียบทำงานอยู่นานจนนาวีพูดบางคำออกมาบางคำที่ทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่ากว่าเดิม

"เราอาจต้องทำใจ"

ผมเข้าใจความหมายของมันดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงออกมาจากปากของเขา นาวีที่เคยเคียงข้างผม นาวีที่เคยปลอบใจผม นาวีที่ทำให้ผมยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อให้เราได้รักกัน นาวีคนเดิมคนนั้น เป็นคนเดียวกันกับคนตรงหน้าผมไหม 

"นาวี มึงกำลังโกรธกูใช่ไหม มึงแค่โกรธกู มึงโกรธกูเรื่องนุ่น กูขอโทษ แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ นาวี ได้โปรดเชื่อกู...มันไม่มีอะไร"

"กูไม่ได้โกรธ"

"หรือไม่มึงก็แค่เหนื่อย"

"เหนื่อยเพราะรักมึงนี่แหละ"

"นาวี"

"มันไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่มึงมาคุยกับกู"

ผมนิ่งไปหลังจากได้ยินแบบนั้น คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจจนนาวีขยายความให้ฟัง 

"ทุกครั้งที่มึงหายออกไปจากบ้าน แม่มึงโทรหากูแทบทุกครั้ง"

"..."

"แล้วมึงก็โกหกกูมาตลอดเรื่องแม่มึง ตอนที่มึงมานอนกับกู ตอนที่มึงมาหากู แม่มึงไม่เคยรู้เลย วันที่เราไปทะเลด้วยกัน แม่มึงมาตามหามึงถึงที่บ้านกู มึงโกหกกู"

"กูแค่อยากอยู่กับมึง"

"แม่มึงบอกให้กูเลิกกับมึง"

"แล้วมึงจะทำอย่างที่เขาบอกไหม"

"ทำ"

"นาวี!"

"กูถึงบอกให้มึงทำใจ"

"นาวี ทำไมเป็นแบบนี้วะ มึงไม่รักกูแล้วเหรอ"

"กูเคยบอกแล้วไงว่ารักมันไม่พอ"

"ทำไมมึงทิ้งกูง่ายๆ แบบนี้วะ ทำไมมึงต้องไปทำตามที่เขาบอก ทำไมมึงต้องเชื่อเขา!"

"ก็เขาเป็นแม่มึง!"

เสียงดังของนาวีทำให้ผมเงียบลง หมัดที่กำแน่นของนาวีทุบเข้าที่อกผมจนเจ็บแปลบ 

"เขาเป็นแม่มึง! มึงควรเลือกเขา!" 

"..."

"มึงไม่เคยรู้เลยว่ากูอึดอัดขนาดไหนที่ต้องทนอยู่แบบนี้ มึงไม่เคยถามสักคำว่ากูรู้สึกยังไง"

"..."

"กูขอโทษ กูสู้ไปกับมึงไม่ไหวแล้วภูผา"

"..."

"เลิกกันนะ"

ผมดึงนาวีเข้ามากอดแทนคำพูดแต่อีกคนก็ผลักผมออกมา ซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ถูกผลักออกมา แม้ผมอ้อนวอน แม้ผมอยากจะกอดเขาเอาไว้ คุกเข่ารั้งเขาเอาไว้แต่เอาไม่อยู่แล้ว นาวีไม่เหลือใจแล้ว   

"นาวี อย่าทำแบบนี้กับกู เดี๋ยวกูคุยกับแม่เอง นะ แม่ต้องเข้าใจ"

"ถึงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ วันหนึ่งเราก็ต้องทะเลาะกันอีกอยู่ดี"

"นาวี กูขอโทษ อย่าทิ้งกูนะ กูจะไม่ทำผิดกับมึงอีก กูจะไม่โกหกมึงแล้ว กูจะไม่งี่เง่ากับมึง กูจะไม่ละเลยความรู้สึกของมึง มึงไม่ต้องมีเวลาให้กูก็ได้แค่อย่าปล่อยมือกูแบบนี้ นาวี ชีวิตกูมีแค่มึง อย่าทำแบบนี้กับกู อย่าทำแบบนี้นะ"

"กลับไป"

"นาวี"

"กูบอกให้กลับไป!"

"นาวี!"

ผมดึงมือนาวีเอาไว้ไม่ทันตอนที่เขาหันหลังเดินเข้าบ้านไป ประตูถูกล็อกทันทีก่อนที่ผมจะตามเข้าไป

"นาวี! ออกมาก่อน นาวี!"

ผมเคาะเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมือที่ไร้เรี่ยวแรวจะค่อยๆ หยุดลงไปเอง เหมือนหัวใจผมพังลงตรงนั้น ทั้งร่างกายผมก็แหลกลงตรงนั้นไปพร้อมๆ กัน ชีวิตผมมีแค่นาวี แล้วแบบนี้ ชีวิตผมจะเหลืออะไร

 

...

 

ผมเดินกลับเข้ามาที่บ้านตัวเองตอนที่เริ่มค่ำ แม่ที่นั่งอยู่ในบ้านหันมามองแล้วร้องทักเมื่อเห็นหน้าผม 

"ภูผา เป็นอะไร"

"..."

"ร้องไห้เหรอ"

ผมร้องไห้ ยิ่งมองหน้าแม่ ก็ยิ่งร้องไห้ออกมาอีก ผมเผลอเข้าใจผิด คิดไปเองว่าแม่กำลังจะยอมรับ คิดว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมไม่เกลียดแม่ แต่เกลียดตัวเองที่ต้องเกิดมาเป็นลูกของแม่ เกลียดตัวเองที่มีแม่แบบนี้

เกลียด...

"ภูผา เป็นอะไร บอกแม่..."

"ไม่ต้องยุ่ง!" 

"ภูผา!"

ผมก้าวเท้าไปที่บันได หยุดมองกรอบรูปในตู้โชว์หน้าบันได ผมมีรูปคู่กับแม่ไม่เยอะ ภาพสุดท้ายที่ถ่ายคู่กันก็ตอนเจ็ดขวบที่งานโรงเรียน ความก้าวร้าวของผมสั่งให้หยิบรูปนั้นออกมา แล้วฟาดมันลงพื้นด้วยความโกรธจัด 

"เพล้ง!"

"ภูผา!"

ผมหันหน้ามองแม่ที่เดินเข้ามาหา

"ทำอะไร!"

"..."

"แม่ถามว่าทำอะไร!"

"แม่นั่นแหละทำอะไร!"

แม่ขมวดคิ้วมองหน้าผม ผมกำหมัดแน่นแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาแม่ เหยียบย่ำเศษกระจกที่พื้นจนมันทิ่มเข้ามา

"ภูผา กระจก..."

แม่หยุดคำพูดตอนที่ผมก้าวเท้าถึงหน้าแม่ แล้วเงยหน้ามองผม   

"แม่ไปพูดอะไรกับนาวี"

"..."

"แม่ทำแบบนี้ทำไม!"

"แม่ก็แค่...ทำให้มันถูกต้อง"

"แล้วมันผิดยังไง ที่ผ่านมามันผิดยังไง!"

"แม่ไม่ชอบนาวี แม่ไม่ชอบที่ภูโกหกแม่เพื่อไปหาเขา แม่ไม่ชอบที่ภูทำตัวแย่ๆ เพราะเขา ภูผาฟังแม่นะ ความรักของภูกับนาวี ความรักแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก ยังไงวันหนึ่งภูก็ต้องเลิกกับเขา"

"แต่ภูรักนาวี!"

"..."

"ถ้าแม่ให้ความสุขภูไม่ได้ ก็อย่ามาเอาความสุขของภูไป!"

"ภูผา..."

"นาวีเป็นทุกอย่างของภู แล้วแม่ทำแบบนี้ได้ยังไง แม่ทำได้ยังไง ชีวิตภูไม่เหลือใครแล้วแม่"

"ภูยังมีแม่นะ!" 

"ภูต้องการนาวี ไม่ต้องการแม่!" 

"ภูผา!"

ผมไม่ฟังแม่พูดต่อ วิ่งขึ้นห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู เลือดที่เท้าไหลออกมาเป็นทาง แต่ความเจ็บไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในใจ

ผมก็ยังคงจมอยู่ใต้ทะเลลึก แต่ขาดอากาศหายใจ ความสุขถูกคลื่นซัดจมหาย น้ำทะเลหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจ ผมจมลงช้าๆ รอวันขาดใจตาย

 

นาวีปล่อยมือผมแล้ว...

 

...

 

 

ชีวิตผมกลับคืนสู่สีเทา โลกห่วยๆ ของผมกลับมาอีกครั้งพร้อมว่างเปล่า เพราะผมไม่รู้มาก่อน ว่าความรักมันจะโหดร้ายกับผมแบบนี้ ผมจึงไม่ได้เผื่อใจตอนรักใครสักคน ผมยังคงรักนาวี ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังคงรักเขาอยู่ดี ผมยังคงเป็นห่วง แต่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง 

"ตุ้บ!"

ผมหันมองลูกบาสจากเด็กที่เล่นอยู่ในสนามลอยมาทางผม ก่อนตกลงพื้นแล้วกลิ้งมาตรงหน้า 

"พี่ครับ โยนบาสให้หน่อยครับ!"

ผมคงเพ้อ เห็นคนตรงนั้นเป็นนาวี ภาพวันแรกที่เราเจอกันก็พุ่งเข้ามาในหัว ผมคิดถึงนาวี

"พี่ครับ!"

 เสียงในสนามดังเรียกผมอีกทีจึงหลุดจากความคิดแล้วก้มลงเก็บลูกบาสโยนกลับไปในสนาม ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากมาย ลูกบาสลอยอยู่กลางอากาศครู่เดียวก่อนกลิ้งตกลงพื้น ไปไม่ถึงเด็กในสนาม เขาจึงต้องวิ่งย้อนกลับมาเก็บมันไป

"ภูผา"

เสียงเรียกหนึ่งดึงความสนใจผมให้หันไปมอง ทันทีที่เห็นว่าเป็นพ่อของนาวีก็เผลอตกใจจนถอยหลังหนี แต่รอยยิ้มของพ่อทำให้ผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วยกมือไหว้ ก่อนพ่อจะชวนผมคุยอย่างคนคุ้นเคย   

"มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย"

"แค่ยืน...เฉยๆ ครับ"

"กินไอติมไหม" พ่อยกถุงในมือที่บรรจุไอติมโคนสองอันเอาไว้ในนั้น  หยิบอันหนึ่งขึ้นแกะแล้วยื่นให้ผม ส่วนอีกอันแกะกินเอง ผมหันมองพ่อที่ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากมองเข้าไปในสนามบาส พอพ่อหันมาก็กลับเป็นผมที่ต้องหลบตาลง เหมือนพ่อจะรู้ทันความคิดจึงหันมาถามผม

"อยากถามถึงนาวีใช่ไหม"

"นาวี...เป็นยังไงบ้างครับ"

"ตอนนี้ไปค่ายอาสากับมหาลัย ติดต่อไม่ได้มาหลายวันแล้วเนี่ย" พ่อพูดขำๆ แล้วชี้เข้ามาที่ไอติมในมือผมที่เริ่มละลาย 

"กินเร็ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วกัดไอติมนั่นเข้าปาก ปกติผมชอบกินไอติม แต่แปลกที่ตอนนี้ความหวานของมันไม่มีผลต่อความรู้สึกผมเลย   

"นาวีก็เสียใจนะภูผา วันนั้นก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย"

"..."

"พ่อรู้ว่ามันเจ็บ แต่หายเร็วๆ นะ"

พ่อทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินออกไปก่อน ผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้ มองดูไอติมที่หยดละลายไหลจนเลอะมือ ผมไม่รู้จะทำได้ไหม ความเจ็บปวดในใจมีมากมายจนไม่รู้ว่าจะมีทางหายได้ยังไง

 

...

 

ผมกลายเป็นคนติดเพื่อนทั้งที่ปกติค่อนข้างจะเก็บตัว แต่ช่วงนี้ไม่ว่าเพื่อนจะชวนไปไหนก็ไปหมด ทุกครั้งที่เพื่อนรวมตัวกันไปกินเหล้าก็ไปเขาด้วยไม่เคยปฏิเสธ ผมรู้เหล้าไม่ใช่ทางออกแต่ตอนนี้มันไม่มีทางอื่น ผมจึงต้องพึ่งพามันให้เยียวยาความรู้สึกแม้เพียงชั่วครู่ก็พอ ผมดื่มเหล้า และเมามายอยู่กับความเสียใจ แล้วก็กลายเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าที่คิด

"ไอ้ภู แม่มึงโทรมาหลายสายแล้วนะ"

"ไม่ต้องรับนะเว้ย"

"มึงก็รับๆ หน่อยเหอะ บอกเขาว่านอนกับกูก็ได้"

"ไม่เอาอะ ช่างเหอะ"

ผมพูดปัดๆ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงมือถือผมก็ดังขึ้นมาอีก ผมไม่ได้สนใจแต่เพื่อนเป็นคนหยิบมันไป 

"ลุงวุธคือใครวะ"

ผมหันไปขมวดคิ้วมองชื่อที่เพื่อนอ่าน แล้วส่ายหน้าหน่อยๆ   

"ผัวแม่กู แต่ไม่ใช่พ่อกูนะ"  ผมพูดพลางเค้นหัวเราะในลำคอ 

"เขาโทรมาหลายสายแล้วเนี่ย รับดิ"

"กูไม่ชอบเขา ไม่รับโว้ย มานี่!" ผมดึงมือถือกลับมาแล้วกดปิดเครื่องไปเลยหมดเรื่อง เพื่อนก็คงเหนื่อยกับการรบเร้าให้ผมรับโทรศัพท์แล้วก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยไป 

"เด็กๆ พ่อกับแม่ไปนอนแล้วนะ กินเสร็จแล้วอย่าลืมปิดบ้านให้เรียบร้อยล่ะ"

"คร้าบ!" เราทั้งหมดตอบรับแม่ไอ้เต้ยที่เดินเข้ามาบอก นอกจากไม่เคยว่าอะไรที่พวกเรามานั่งกินเหล้าที่นี่กันบ่อยๆ แล้วยังใจดีกับพวกเรามากด้วย ทุกครั้งที่ผมมองพ่อแม่ไอ้เต้ย ผมอิจฉา อิจฉาจนอยากร้องไห้เลย   

"ไอ้ภู เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้"

"เปล่า"

"แล้วมึงจ้องแม่กูอะไรขนาดนั้น จะเอาอะไร"

"แม่มึงใจดีว่ะ เอาแม่มึงมาแลกกับแม่กูป่ะ"

"ไอ้บ้า เมามากแล้วมึงอะ ไปหาที่นอนไหม"

"ไม่เอา ไม่นอน" ผมพูดปัดแล้วยกเหล้าในแก้วขึ้นกรอกปากอีกที ก่อนหันไปเห็นนุ่นที่เดินเก็บของที่เรากินกันเละเทะ ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านนุ่นอยู่ใกล้กับบ้านไอ้เต้ย แล้วทุกครั้งที่เรามากินเหล้าที่นี่นุ่นก็ถูกชวนมาด้วยทุกครั้ง ถึงไม่เคยกินเหล้าสักหยดแต่ก็ตามมาด้วยทุกที 

"นุ่น!" ผมร้องเรียกพลางดึงนุ่นเข้ามาหา คนตัวเล็กถูกดึงด้วยแรงนิดหน่อยก็ตัวลอยมานั่งข้างๆ ผม   

"จะ...เอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า"

"เป็นคนรับใช้หรือไง"

"เปล่า..."

"เลิกทำงานได้แล้ว พวกมึงก็เลิกใช้นุ่นได้แล้ว นี่เพื่อนนะเว้ย! ตัวยิ่งเล็กๆ อยู่ด้วย น่าเอ็นดูจะตาย" ผมว่าแล้วยกมือเคาะหัวเล็กๆ ของนุ่น หน้าที่อยู่ใกล้ๆ นั่นแทบจะเล็กกว่าฝ่ามือของผมเลยด้วยซ้ำ 

"มึงก็เลิกแดกได้แล้วไอ้ภู เมาชิบหายเลยมึงอะ นุ่นพามันไปนอนไป ห้องเราอะ"

"ไม่ไปเว้ย ยังไม่นอน"

"ไปเหอะภูผา เมามากแล้ว"

"ถ้าเราไปนอนแล้วนุ่นจะเลิกทำงานป่ะ"

"อืม" 

"ได้! โอเค!" ผมตอบรับแล้วลุกพาร่างเมาๆ ของตัวเองโซซัดโซเซมาถึงห้องนอนไอ้เต้ย ขณะที่นุ่นก็เดินตามเข้ามาด้วย   

"ไหวไหมเนี่ย"

นุ่นดึงผ้าห่มที่ผมนอนทับออกไป แล้วกำลังจะห่มเข้ามาให้แต่ผมยั้งมือนั่นเอาไว้ก่อน 

"ร้อน"

"ร้อนเหรอ เดี๋ยวปรับแอร์ให้นะ" นุ่นว่าแล้วหยิบรีโมทแอร์มาปรับอุณหภูมิแอร์ให้ต่ำลง ก่อนขยับมานั่งข้างๆ ผม ยกมือจับเท้าผมที่เป็นแผลเพราะเศษกระจกบาดทั้งสองข้าง

"ยังเจ็บเท้าอยู่หรือเปล่า เราทำแผลให้เอาไหม"

"ไม่เป็นไร ช่างมัน"

"งั้นก็นอนเถอะ เมามากแล้ว จริงๆ เราไม่เข้าใจเลยว่ากินเหล้าแล้วมันดียังไง"

"ทำไมไม่ลองอะ"

"ไม่ดีกว่า...ไม่เอาหรอก"

"แล้วนุ่นมาที่นี่ทำไมอะ มาก็ไม่เห็นกิน"

"ก็เห็นว่าภูผามา ก็เลยมาด้วย"

"นุ่นยังชอบเราอยู่อีกเหรอ คนแบบเราอะนะ"

"อือ ถ้าบังคับใจได้ ก็คงเลิกชอบไปนานแล้วแหละ แต่ทำไม่ได้ไง..."

คำพูดนุ่นถูกตัดขาดไปเพราะผมขยับริมฝีปากตัวเองไปประกบเข้ากับริมฝีปากของนุ่น อีกคนไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ไม่ตอบรับรอยจูบนั่น ผมดึงหน้าตัวเองออกมาแล้วก็กดซ้ำลงไปอีกที นุ่นก็ยังคงเฉย

"ภูผา ไม่เอา"

"นุ่นชอบเราไม่ใช่เหรอ"

"เราชอบภูผา แต่ไม่ชอบที่ภูผาทำตัวแบบนี้เลย"

"คราวก่อนยังจูบเราก่อนเลย"

"คราวนั้นก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้าทำแบบนี้พี่นาวีจะเสียใจนะ"

"เราเลิกกันแล้ว"

"..."

"เรากับนาวีเลิกกันแล้ว"

คำพูดนั้นมันตอกย้ำตัวเอง กระแทกเข้าที่ความรู้สึกจนน้ำตาของคนอ่อนแอมันไหลออกมาอีก ผมฟูมฟายออกมาตรงนั้นโดยมีนุ่นคอบปลอบใจ 

"ไม่เป็นไรนะภูผา ไม่เป็นไร"

 

            ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนแต่ตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ ของอีกวัน สะบัดหัวที่หนักอึ้งของตัวเองเพื่อเรียกสติ ก่อนหันมองนุ่นที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อคืนผมนอนกับนุ่นที่นี่ คำสุดท้ายที่จำได้คือเสียงปลอบใจของนุ่นกระทั่งหลับไป แต่ไม่มีอะไรเกินเลย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

            ผมเดินออกจากห้องนอน เห็นเพื่อนยังหลับเป็นตายกันอยู่ที่โซฟา ละความสนใจจากมันแล้วมองหาโทรศัพท์ของตัวเองก่อนพบมันตกอยู่ใกล้ๆ ชั้นวางทีวีจึงหยิบขึ้นมาเปิดเครื่อง ข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับมีมากจนผมแปลกใจ ไม่ทันได้โทรกลับหาเบอร์ไหน มือถือในมือก็ดังขึ้นด้วยการโทรเข้ามาของลุงวุธ ผมกดรับสายเพราะสงสัยว่าคนที่ไม่ค่อยโทรหาผมจะมีธุระอะไรจึงต้องโทรเข้ามาหลายสายขนาดนั้น แต่ในทันทีที่รับสายก็ต้องแปลกใจเมื่อปลายสายกลับเป็นเสียงของไอ้ธงทัพ

(ไอ้ภูผา! มึงอยู่ที่ไหนวะ!)

"มึงมีอะไร"

(ไอ้ภู ฟังกู ใจเย็นๆ แล้วรีบมาหากู)

"..."

(เมื่อคืนแม่มึงรถคว่ำ)

ผมอาจกำลังฝันไป...

สิ่งที่ได้ยินจากปลายสายเป็นเหตุให้โลกของผมหยุดอยู่กับที่ ผมหวังให้มันเป็นความฝัน ผมยังไม่สร่างเมาหรือหูไม่ดีจนได้ยินผิดเพี้ยนไป แต่สิ่งที่ไอ้ธงทัพพูดซ้ำย้ำเตือนว่านั่นคือเรื่องจริง ผมเสียสติไปครู่หนึ่งก่อนถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเรียกของไอ้ธงทัพ จึงรีบตรงไปโรงพยาบาลที่มันบอก ใช้สติที่หลงเหลืออยู่พาตัวเองไปถึงที่ ตอนที่กำลังยืนเคว้งอยู่หน้าโรงพยาบาล ธงทัพก็ออกมาเรียกผมพอดี

"ไอ้ภูผา!" 

"แม่ล่ะ"   

"มึงหายไปไหนมา" 

"แม่อยู่ไหน" 

"มึงไปอยู่ที่ไหนมา" 

"แม่กูอยู่ที่ไหน!"

 

ในตอนที่ถามถึงแม่ คำตอบก็มีเพียงความว่างเปล่า

 

 

แม่จากไปแล้ว...

 

 

To be continued.

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ฮืออออ เศร้าจัง ภูผาสู้ๆ :mew3:

ออฟไลน์ Slotjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คิดถึงธงทัพออกมาสักที แต่ตอนนี้โคตรเข้าใจความรู้สึกภูผาเลยเราแม่งเป็นแบบภูผาและเข้าใจภูผามากๆพูดแล้วคิดถึงแม่5555555

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
น้ำตาไหล

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เศร้าเลย ภูผาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ

ออฟไลน์ เปลืoกส้มคลุง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ภูผาาาาาาาาา

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เราเข้าใจว่านาวีกดดันนะแต่การเลือกที่จะปล่อยมือทั้งๆที่เคยสัญญากันไว้ซะดิบดีนี่ไม่โหดร้ายกันไปหน่อยเหรอ นาวีเสียใจก็จริงแต่ก็คงไม่เท่าภูผาที่ถูกทิ้งไว้กลางทางหรอก คนปล่อยมือย่อมเจ็บน้อยกว่าคนถูกปล่อยอยู่แล้ว สงสารภูผาอะยังเดาไม่ออกเลยว่าเรื่องจะเป็นไงต่อไป

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
เด็กคนนึงจะแบกรับอะไรได้มากมายแค่ไหนกัน?

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
โอ๊ย ภูผา ฮืออออออออออออ  :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.9] 7/1/18
« ตอบ #79 เมื่อ: 08-01-2018 00:55:43 »





ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอรับบริจาคทิชชู่หรือผ้าเช็ดหน้าก็ได้ค่ะตอนนี้จะตายอยู่แล้ว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ผู้ใหญ่ชอบคิดว่าเขาต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง
ทั้งเขาก็ไม่ได้ทำทุกอย่างถูกทั้งหมด
สิ่งที่เขาทำมันก็ไม่ได้สร้างความสุข ถูกต้องอย่างที่เขาคิด
กลายเป็นสร้างความทุกข์ ความร้าวฉานให้ทั้งเด็กและตัวเอง

ภูผา หมดสิ้นแล้วทั้งแม่ ทั้งนาวี  :mew2: :mew2: :mew2:
นี่คงเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่ของภูผา
อยากให้ภูผาทำใจ ตั้งสติได้เพื่อตัวเองได้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โอวววว... ช่วงเวลาแบบนี้ ภูผาจะเดินผ่านมันไปได้ยังไงกัน??? ธงทัพมาแล้ว มาถูกที่ถูกเวลา ....

จากนี้ไป ถึงแม้ภูผาสูญเสียแม่ไปแล้ว ก็คิดว่านาวีคงจะไม่กลับมา ไม่มีใครผิดทั้งภูผา ทั้งนาวี แต่เพราะความรักที่มีขีดจำกัดเรื่องระยะทาง >> ความมั่นคงมักจะถูกวัดด้วยความ "ไว้ใจ"

รักมากค่ะเรื่องนี้ เดินไปเรื่อยๆ พร้อมกันนะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราว่าหลังจากนี้ภูต้องเสียศูนย์มากๆแน่เลยค่ะ
สุดท้ายก็ไม่เหลือใครจริงๆ
ยิ่งถ้าแม่เสียชีวิตจากการตามหาภูผาแล้ว
ภูผาจะต้องโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุแน่ๆ แล้วภูผาจะรับมือกับเรื่องนี้ไหวแค่ไหน ถ้าธงทัพเข้ามาตอนนี้เราว่าภูผาต้งหวั่นไหวแน่ๆ หรือกับนุ่นก็ไม่แน่ เห้อออ

เราไม่อินกับนาวีค่ะ แต่เราเข้าใจเหตุผล ความรักสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน การดันทุรังรักไปสุดท้ายก็ไม่มีอะไรดี

ออฟไลน์ Lalaleega

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พึ่งมาตามอ่านอ่ะค่ะ อยากให้อัพเร็ว หนูรออยู่นะคะ  :hao7: รู้สึกเรื่องนี้มีความ real ชอบความเทาของเรื่องนี้มากเลยค่ะ อยากให้มาต่อไวๆ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 10


ผมปล่อยวางความเข้มแข็งของตัวเอง

แล้วอ่อนแอตรงหน้าคุณ


 

 

ท่ามกลางงานศพของแม่ที่ถูกจัดไปตามพิธี ผมยังคงมึนงงคล้ายลอยลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ผมไม่รู้เข็มของนาฬิกาขยับไปทางไหน ผมไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร หรือจะต้องทำอะไร เลื่อนลอยไม่มีสติ รู้แค่เสียงของใครบางคนกำลังเรียกซ้ำๆ และดังขึ้นทุกที

"ภูผา"

"..."

"ไอ้ภูผา!"

ผมหันมองเสียงเรียกจากธงทัพที่ดึงสติผมกลับมาจากอาการเหม่อลอย แม้ว่าผมจะเกลียดมันจนไม่คิดอยากมองหน้า แต่ตอนนี้ผมยอมให้มันออกปากสั่งให้ทำนั่นทำนี่ ไม่ว่ามันจะบอกให้ทำอะไร เดินไปตรงไหน นั่งอยู่ตรงไหนก็ทำตามไปทุกอย่างโดยที่แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

"เพื่อนมึงมาอะ" มันพูดพลางพยักหน้าไปที่กลุ่มเพื่อนของผมที่ยืนกันอยู่เป็นกลุ่ม ผมหันมองพวกมันแล้วหันกลับมามองไอ้ธงทัพ เพื่อถามผ่านสีหน้าเรียบๆ ของตัวเองว่าผมต้องทำยังไง 

"ไปหาเพื่อนดิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วหันเดินไปหาเพื่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของเพื่อนทุกคนตรงนั้นเป็นเหตุให้ผมขยับมุมปากยกขึ้นยิ้มไปด้วย 

"เสียใจด้วยนะภูผา"

ผมพยักหน้ารับตอนที่เพื่อนยกมือตบไหล่เบาๆ ก่อนเสียงของใครก็ไม่รู้บอกให้เพื่อนผมเข้าไปนั่งก่อนเพราะใกล้ถึงเวลาพระสวด ผมยืนมองเพื่อนที่เดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้แต่ไม่ได้ตามเข้าไปด้วย กระทั่งพระจะเดินเข้ามาในศาลาวัด ไอ้ธงทัพก็เดินมาข้างๆ จับมือผมแล้วพาเดินไปนั่งที่เก้าอี้แถวหน้า ใกล้ๆ กับลุงวุธและป้าอร แม่ของมัน ส่วนตัวมันเดินออกไปกับใครอีกคนที่เดินเข้ามาเรียก

ผมคิดว่าแม่คงมีคนรู้จักไม่มากนัก คนที่มาร่วมงานศพจึงไม่มากมายเท่าไร มีญาติของแม่ที่ผมก็ไม่คุ้นเคยเพราะเจอกันไม่บ่อย มีเพื่อนที่ทำงานของแม่ มีเพื่อนของผม และคนรู้จักของลุงวุธ ผมไม่รู้พิธีการอะไรในงานมากนัก ลุงวุธและป้าอรจึงเป็นคนจัดการทุกอย่างให้ ไอ้ธงทัพที่รู้ว่าควรทำอะไรก็จะคอยบอกให้ผมทำตาม

            พวกเขาดีกับผม จนผมรู้ตัวว่าที่ผ่านมาผมผิด แต่คิดว่าตัวเองทำถูก ผมก็แค่คนโง่เขลา เอาแต่ใจ ผมไม่เปิดใจให้พวกเขา ไม่ยอมรับและไม่ฟังใคร ผมควรเชื่อที่แม่บอก แม่บอกพวกเขาเป็นคนดี ผมโกรธตัวเองที่เพิ่งมาเชื่อในวันที่แม่จากไปแล้ว

หลังจากพระสวดเสร็จแล้ว คนในงานทยอยกันกลับไป แต่กลุ่มเพื่อนของผมยังอยู่ พลางหาเรื่องมาชวนคุยให้ผมได้หัวเราะไปกับพวกมันด้วย

"ภูผา มึงจะหยุดเรียนถึงวันอาทิตย์เลยใช่ไหม"

"อืม"

"การบ้านกองเท่าหัวแน่มึง"

"กูเนียนไม่ส่งได้ไหมเนี่ย"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวลอกเราก็ได้ เราก็อปปี้ไว้ให้"

"รู้หน้าที่" ผมว่าแล้วยกมือเคาะหัวนุ่นเบาๆ

"แล้วนี่มึงกินข้าวยัง"

ผมจำไม่ได้ว่ากินข้าวมื้อสุดท้ายเมื่อไร เลยส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ 

"กินข้าวบ้าง หน้ามึงซีดเป็นศพแล้ว"

"เออ เดี๋ยวกิน แล้วนี่มึงมากันยังไงเนี่ย"

"ไอ้เต้ยมันเอารถพ่อมันพาพวกกูมา"

"มึงขับรถเป็นแล้วเหรอวะ"

"เป็นได้สองอาทิตย์แล้ว"

"เฮ้ย อันตรายป่ะวะ พวกมึงก็ยอมมากับมันได้ไงเนี่ย"

"อันตรายห่าอะไรล่ะ ขับไม่เกินสี่สิบ ก็เลยมาช้าไง ชิบหาย!"

"แหม่! ก็ปลอดภัยไว้ก่อนโว้ย"

"ไอ้เหี้ยกูลงไปวิ่งไวกว่าอีก"

"เออ งั้นมึงเดินกลับไปเลยไป"

ผมลืมความเศร้าในใจไปชั่วครู่ ก่อนความเงียบกลับเข้ามาในตอนที่เพื่อนบอกลาเพื่อกลับก่อน ผมมองเพื่อนที่เดินออกไปแล้วก็ทำได้แค่ยิ้มส่งไปให้ นุ่นที่เดินไปเป็นคนสุดท้ายหันหลังกลับมามอง ก่อนจะเดินกลับมาแล้วพูดบางคำกับผม

"รู้ว่าไม่โอเค...แต่ต้องเข้มแข็งนะ" นุ่นพูดแค่นั้นแล้วขยับเข้ามากอดผมครู่หนึ่ง แล้วเดินตามเพื่อนออกไป พอเพื่อนกลับไปกันหมดแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ 

ผมเดินกลับเข้ามาบนศาลาที่เงียบสงบ ไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนเลยเดินเข้าไปหาญาติของแม่ที่กำลังเก็บของกันอยู่ 

"มีอะไรให้ภูช่วยไหมครับ" 

"ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวทางนี้พวกน้าจัดการเอง"

"ครับ"

"เอาน้ำไหม"

ผมไม่ได้ตอบก่อนน้าจะส่งโค้กกระป๋องมาให้จึงรับไว้ แล้วเดินมาหย่อนตัวนั่งอยู่ไกลๆ ในตอนนั้นมือถือหล่นออกจากกะเป๋ากางเกง ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู เบอร์สุดท้ายที่ผมไม่ได้รับสายนั้นเป็นเบอร์ของแม่ และผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นสายสุดท้ายจากแม่ ผมควรกดรับและรีบกลับบ้านไปหาแม่ ไม่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วงจนต้องขับรถออกมาตามหา ทั้งหมดเป็นเพราะผม ทั้งหมดเป็นความผิดผม 

ผมหันมองรูปภาพหน้าโลงศพของแม่ ในรูปแม่ยิ้ม ตัวผมเองก็ไม่ได้ร้องไห้ แต่ในใจเจ็บปวดอธิบายไม่ได้ ยิ่งคิดถึงเรื่องราวสุดท้ายระหว่างผมกับแม่ใจก็ยิ่งเจ็บ ผมควรทำตัวกับแม่ให้ดีกว่านั้น ชีวิตแม่จบไปแล้ว แต่ความรู้สึกผิดจะตามติดอยู่ในความทรงจำผมไปตลอดชีวิต ผมหันมองรูปแม่ตรงนั้นอีกทีแล้วพูดบางคำที่แม่ไม่มีวันได้ยินออกไป

 

"แม่...ภูขอโทษ..."

 

ผมละสายตาจากรูปของแม่ เพราะรู้ว่ามองนานกว่านั้นไม่ไหว จึงเลื่อนสายตาไปทางอื่น เก็บมือถือใส่กระเป๋าที่เดิมแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ท่ามกลางความเงียบ ผมได้ยินเสียงใครบางคนคุยกันดังผ่านหู แม้ไม่ได้ตั้งใจฟังแต่ก็ได้ยินชัดเจนดี   

"นี่พี่ ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ พี่วุธนั่นใครเหรอ"

"ก็เมียหลวงเขาไง"   

"จริงดิ หนูเห็นเขาช่วยงานทุกอย่างเลย คิดว่าญาติพี่พิมซะอีก"

"เมียน้อยตาย เมียหลวงก็มาจัดงานศพให้ ครอบครัวสุขสันต์จริงๆ" 

"โครม!"

ผมหันมองเสียงดังก่อนหันไปเห็นว่าเก้าอี้สี่ห้าตัวถูกโยนลงพื้นโดยไอ้ธงทัพ ตัวมันยืนมองหน้าผู้หญิงสองคนเจ้าของเสียงคุยเมื่อครู่

"ยังไม่กลับกันอีกเหรอครับ"

"จะกลับแล้วค่ะ"

"ก็ไปสิครับ เกะกะครับ"

ผู้หญิงสองคนนั้นรีบเดินออกไปตอนที่มันมองตามตาขวางๆ พูดอะไรพึมพำคนเดียวแล้วหันมามองผม ก่อนจะเดินเข้ามาหา

"มานั่งทำอะไรตรงนี้อะ ทำไมไม่ไปนอน"

ผมไม่ได้ตอบแค่ส่ายหน้าเบาๆ

"แล้วกินอะไรยัง"

ผมยกกระป๋องโค้กในมือขึ้นให้มันดู กำลังจะเปิดฝากระป๋องแต่โดนมันแย่งไปก่อน 

"มึงไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว กินนี่แทน" มันว่าแล้วหยิบนมกล่องในกระเป๋ากางเกงส่งมาให้ผมแทนโค้ก ผมรับนมกล่องนั้นมา เห็นว่ามันเป็นนมรสช็อกโกแลตแล้วก็ขยับมุมปากขึ้นยิ้มนิดหนึ่ง

แม่เคยสัญญาว่าคราวหน้าจะซื้อนมรสช็อกโกแลตมาให้ แต่แม่ยังไม่ได้ซื้อ และผมจะไม่มีวันได้กินนมช็อกโกแลตที่แม่ซื้อให้อีกแล้ว 

ผมหันมองธงทัพที่ยังยืนมองผมอยู่ จึงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่ามันจะให้ผมทำอะไรอีกหรือเปล่า

"กินดิ รอมึงกินก่อนกูถึงจะไป"

ผมพยักหน้ารับแล้วกินนมนั่นตามที่มันบอก ระหว่างนั้นมันก็นั่งลงข้างๆ ผม ไม่ได้พูดอะไรกระทั่งผมกินนมนั่นหมดกล่อง มันหยิบกล่องไปดูว่าหมดแล้วจริงๆ จึงพอใจ 

"พอไหม เอาอีกเปล่า"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ มันเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เอนตัวพิงเก้าอี้แล้วแหงนหน้ามองฟ้ามืดๆ นั่น ผมเองไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้เป็นความเงียบที่น่าอึดอัด และผมก็ไม่อยากให้มันลุกออกไปจากตรงนี้เหมือนกัน

"มึงง่วงไหม"

"ไม่ง่วง"

"อยากกินอะไรไหม"

"ไม่หิว"

"อยากให้กูกอดไหม"

"ไม่..."

ผมปฏิเสธแต่มันทำตรงกันข้ามด้วยการขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงผมเข้าไปกอด น่าแปลกที่ผมยอมทิ้งหัวตัวเองลงบนไหล่ของมันโดยไม่ขัดขืน อาจเพราะผมกำลังต้องการ ใครบางคน ใครก็ได้ ใครสักคนที่อยู่เป็นเพื่อนกัน แม้ว่าใครคนนั้นจะเป็นไอ้ธงทัพที่เคยเกลียดมันอย่างกับอะไรดี

"มึงจะร้องไห้ก็ได้นะ"

"..."

"ไม่เป็นไรหรอก กูไม่บอกใครเลย รู้กันสองคนก็ได้"

ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงไม่ร้องไห้เลย และที่ผมไม่ร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าผมไม่เสียใจ อาจเพราะน้ำตาแห้งหายกลายเป็นความเจ็บปวดที่แน่นอยู่ในความรู้สึกจนคล้ายว่าจะขาดใจตาย ผมยังคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ฝันไป แล้วในตอนที่ผมตื่น ผมอยากขอแม่ผมคืนกลับมา

 

...

 

 

            สามวันสำหรับงานศพของแม่ผ่านไปแล้ว มันเป็นสามวันที่ทรมานจนเกือบทนไม่ไหว กลางวันเชื่องช้า กลางคืนยาวนาน ผมไม่รู้ว่าผ่านมันมาได้อย่างไร จนถึงวันเผาศพ ผมจึงรู้ตัวว่ามันเป็นวันสุดท้ายแล้วจริงๆ

            ผมอาบน้ำและแต่งตัวในชุดสีดำที่ป้าอรซื้อมาให้ ผมนั่งลงเพื่อสวมถุงเท้าแต่ต้องหยุดการกระทำนั่นเพราะเลือดข้นไหลออกมาจากแผลกระจกบาดซึ่งยังไม่หายดี ถุงเท้าสีขาวเลอะเลือดไปแล้วจึงเลิกคิดที่จะใส่มัน กำลังคิดว่าจะหาอะไรมาเช็ดเลือด หรือผมควรทำแผลก่อนไหม ไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่างเสียงมือถือก็ดังขึ้นก่อน ผมหันไปมองเห็นว่าเป็นลุงวุธเลยกดรับก่อน   

(ภูผา อยู่ที่ไหน)

"อยู่บ้านครับ กำลังจะออกไป"

(ให้ลุงไปรับไหม)

"ไม่เป็นไร ผมไปเองได้"

(โอเค งั้นรีบมานะ)

"ครับ"

ผมกดวางสายจากลุงวุธไปแล้วจ้องมองหน้าจอมือถือนั้น ผมยังหวังว่านาวีจะโทรมา ผมไม่รู้ว่านาวีอยู่ที่ไหน แต่นาวีน่าจะโทรมา นาวีน่าจะอยู่ตรงนี้กับผม แต่ก็เป็นอย่างทุกครั้ง นาวีไม่เคยอยู่ด้วยเลยในวันที่ผมต้องการ แม้ในวันนี้ที่ต้องการเขาที่สุด นาวีก็ไม่อยู่ตรงนี้

ผมหลงผิดคิดว่าความรักสำคัญกว่าสิ่งไหน ความรักหลอกให้ผมเชื่อว่าตลอดไปมันมีอยู่จริง ความรักโกหกผม แล้วคนรักก็เดินไปจากผม ผมจมอยู่กับความหลงใหลของคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตชั่วคราวนั่น จนละเลยความรู้สึกของคนที่อยู่กับผมมาทั้งชีวิตอย่างแม่ ผมรู้สึกผิด ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นทุกที

ผมลากเท้าเลอะเลือดของตัวเองเข้ามาในห้องนอนของแม่ เพราะจำได้ว่าแม่เคยมียาและอุปกรณ์ทำแผลอยู่ที่โต๊ะทำงาน  ผมเดินเข้าไปตรงนั้นและเห็นกล่องยาวางอยู่ที่เดิม แต่สายตาผมมองผ่านกล่องยานั้นไปมองกองงานของแม่ที่แม่มักจะใช้เวลาอยู่กับมันเสมอ

ผมเคยโกรธว่าทำไมแม่ถึงเอาแต่ทำงาน แต่เพราะแม่ต้องเลี้ยงผมคนเดียวแม่จึงต้องทำงานหนัก

ผมเคยบอกว่าอาหารของแม่นั้นจืดชืด แต่เพราะแม่รู้ว่าผมกินเผ็ดไม่ได้

แม่ซื้อเสื้อผ้าให้ผม ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้ผม แต่ผมไม่เคยเห็นแม่ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ตัวเองเลยนอกจากชุดทำงาน 

วันที่ผมทำผิดที่โรงเรียน แม่ยอมก้มหัวให้คนอื่นเพื่อขอโทษแทนผม ทั้งๆ ที่แม่ไม่ใช่คนแบบนั้น แม่ยอมทำสิ่งที่น่าอายไร้ศักดิ์ศรี ก็เพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญกว่าตัวเอง นั่นคือผม

แม่ไม่ตามใจผม แม่ดุผม ทั้งหมดเพื่อให้ผมไม่หลงผิดจนออกนอกลู่นอกทาง ผมดื้อและมักจะรำคาญแม่ขณะที่แม่เป็นห่วงแต่ผม เราใช้เวลามื้อเช้าด้วยกันแต่ผมไม่เคยพูดอะไรกับแม่ ผมน่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้แม่ฟัง ผมน่าจะถามแม่บ้างว่าทำงานเหนื่อยบ้างไหม ผมน่าจะออกไปกินข้าวกับแม่และลุงวุธคนที่แม่รัก แม่เป็นแม่ที่ทำหน้าที่ของแม่อย่างดีแล้ว แต่ผมเป็นลูกที่ยังไม่เคยทำอะไรให้แม่เลย ครั้งเดียวก็ไม่เคยเลย

ผมรู้ตัวแล้ว แต่ช้าเกินไปเพราะตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว ไม่มีแม่ให้ผมได้แก้ตัวในสิ่งที่เคยทำผิดไปแล้ว ผมต้องอ้อนวอนกับใคร เพื่อให้ผมได้แม่คืนมา ผมยังคงภาวนาแม้รู้ว่าไม่มีหวัง แต่ผมขอแม่ผมคืนได้หรือเปล่า ผมอยากให้แม่กลับมา ผมขอแค่นาทีเดียว ให้ผมได้บอกรักแม่สักครั้ง

 

และผมน่าจะพูดมันออกมาให้เร็วกว่านี้ เผื่อว่าแม่จะได้ยิน

 

"ภูผา"

ผมนั่งอยู่ในห้องแม่เนิ่นนานกระทั่งเสียงของธงทัพที่เข้ามาเรียกดึงความสนใจของผมไป มันขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเดินเข้ามา

"มึงทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปวัด"

"ไม่อยากไป"

"อะไรนะ"

"กูไม่อยากไป"

"มึงเป็นอะไรเนี่ย งานศพแม่มึงนะเว้ย"

"เพราะเป็นงานศพแม่กูไง เลยไม่อยากไป"

"ไม่ไปได้ไงวะ ไปเลย ลุก" ธงทัพเข้ามาดึงมือผมให้ลุกขึ้นแต่ผมไม่ยอมทำตาม ดึงมือตัวเองกลับมาแล้วเงยหน้ามองมันที่ยืนอยู่ข้างหน้า 

"กูไม่ไปได้ไหม"   

"..."

"ธงทัพ กูทำใจไม่ได้..."

สิ้นคำพูดของผมธงทัพก็นั่งลงข้างๆ มันไม่ได้พูดอะไรนอกจากกอดผมอย่างที่มันทำมาตลอดสามวัน ทุกครั้งผมยอมให้มันกอดแม้ไม่ต้องพูดอะไร แต่วันนี้ผมร้องไห้ ความรู้สึกอัดอั้นในใจระบายผ่านน้ำตาและความฟูมฟายโดยไม่ได้พยายามกลั้นเอาไว้ เสียงปลอบใจของธงทัพเอ่ยแทรกเสียงสะอึกสะอื้นของผม

"ไม่เป็นไร กูอยู่นี่"

"..."

"ไม่เป็นไร"

 

ผมร้องไห้จนหยุดไปเองโดยไม่ได้พยายาม ธงทัพขยับไปหยิบกล่องยาบนโต๊ะทำงานของแม่ แล้วนั่งลงเพื่อทำแผลที่เท้าให้ ผมชักเท้าตัวเองหนีเพราะไม่อยากให้มันทำแบบนั้น แต่มันหันมองตาขวางแล้วดึงเท้าผมกลับไป

"เฉยๆ ดิ"

"เจ็บ"

"กูมือเบาเหอะ"

มันพูดอย่างดูมั่นใจแล้วก้มลงทำแผลที่เท้าให้ เบามืออย่างที่มันว่าจนผมไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไร ลมจากริมฝีปากมันเป่าเบาๆ ลงที่ฝ่าเท้าของผม แล้วแปะผ้าก็อชให้ในตอนสุดท้าย 

"ไปยัง"

"กูไม่อยากไปเลย"

"ไปเหอะ แม่มึงรออยู่นะ"

"..."

"ไปส่งแม่"

"..."

"ไปนะ"

ผมมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนผมจะยอมยื่นมือไปจับมือมันที่ยื่นมารับ แล้วลุกออกไปจากตรงนี้ ผมเคยเกลียดธงทัพ ผมเคยเกลียดมันแต่วันนี้รู้สึกขอบคุณมันมากกว่าใคร ขอบคุณจากใจจริง 

 

งานศพของแม่เป็นไปตามพิธีอย่างเรียบง่าย ในตอนสุดท้าย ผมที่ยืนมองอยู่ไกลๆ เห็นร่างไร้วิญญาณถูกส่งเข้าเตาเผา ร่างของแม่คงมอดไหม้กลายเป็นควันลอยขึ้นไปบนฟ้า แม่จากไปแล้วจริงๆ และผมจึงเข้าใจ การสูญเสียครั้งนี้ทรมานกว่าเรื่องใดในชีวิตที่เคยเจอมา   

ผมหันมองรอบๆ ตัว ผู้คนเดินสวนผมออกไปจากตรงนี้ ผมทำได้แต่ยิ้มแทนทุกคำพูด กระทั่งคนพวกนั้นเดินออกไปกันหมดเหลือแค่ผม ความว่างเปล่าเป็นสิ่งเดียวที่ผมกำลังเผชิญ แม้แต่จะเดินไปทางไหนในตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลย ผมเงยหน้ามองควันจางๆ จากปลายเมรุนั่นอีกครั้ง แล้วหันหลังให้ ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินกลับต้องชะงัก เพราะธงทัพมันยืนอยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร

ผมก้าวเท้าเข้าไปหามันในจังหวะเดียวกับที่มันยกมือขึ้นกอดผม สองมือของตัวเองก็ยกขึ้นกอดมันกลับอย่างคนไร้ที่พึ่งพา และมันเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมในตอนนี้

"ธงทัพ"

"อือ"

"กูไม่เหลือใครแล้วว่ะ"

"..."

"ชีวิตกู...ไม่มีใครเลย"

มันถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วกระชับกอดผมแน่นขึ้น ก่อนคำพูดแผ่วเบาจะเอ่ยออกมาจากคนที่กำลังกอดผมอยู่

"ที่บอกว่าไม่เหลือใคร"

"..."

"มึงนับกูหรือยัง"

 

 

...

 

ต่อด้านล่างค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ผมกลับไปเรียนหลังงานศพแม่เรียบร้อยแล้ว ลุงวุธบอกให้ผมหยุดต่อแต่ผมคิดว่าออกไปเจอเพื่อนที่โรงเรียนคงดีกว่าต้องอยู่คนเดียว ผมมีเพื่อนที่คอยชวนคุยให้ลืมเรื่องอื่น ผมมีลุงวุธที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้ ผมมีป้าอรที่โทรหาผมทุกวัน ทุกวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่ผ่านไปได้ ผมใช้ชีวิตได้แต่ยังไม่ชิน มันอาจจะลำบากหน่อยและผมก็คงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ใจผมกลับมาพร้อมสำหรับทุกเรื่อง

 

ผมกลับมาที่บ้านหลังจากโรงเรียนเลิก ในตอนที่กำลังจะเดินเข้าบ้านก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นรถยนต์จอดอยู่ในนั้น ความสงสัยทำงานไม่นานก่อนกระจ่างตอนที่ธงทัพมันเดินออกมาจากตัวบ้าน มันหันมาเห็นผมเข้าพอดีจึงยกมุมปากขึ้นยิ้มข้างหนึ่งแล้วพยักหน้าทัก

"มึงเข้ามาบ้านกูได้ไง"

"ก็มึงไม่ล็อกบ้านอะ"

ผมเงียบเพื่อคิด ไม่รู้ตัวว่าเมื่อเช้าผมลืมล็อกประตูบ้าน 

"สติมึงยังกลับมาไม่ครบอีกหรือไง โจรปล้นบ้านไม่รู้ตัวเลยนะมึง"

"แล้วมาทำไม" ผมยังไม่ทันได้คำตอบจากธงทัพก็ต้องชะงักไปอีกรอบเมื่อเห็นลุงวุธกับป้าอรที่อยู่ในบ้าน เลื่อนสายตามองโต๊ะกินข้าวที่เต็มไปด้วยอาหาร

ความห่วงใยของพวกเขาส่งผ่านสิ่งต่างๆ ที่ทำเพื่อผม ผมรู้และรับไว้โดยไม่ได้บีบบังคับความรู้สึกของตัวเอง ผมอยากขอโทษพวกเขามากกว่าพันครั้ง และอยากขอบคุณให้มากกว่านั้น

"ภู"

"..."

"ภูผา!"

"ครับ"

ผมเงยหน้าจากจานข้าวหลังจมอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่ได้ฟังที่ลุงวุธกำลังพูด 

"ลุงรู้ว่ามันอาจจะแปลกสักหน่อยที่จะถามแบบนี้ แต่ภูอยากไปอยู่กับลุงไหม"

"..."

"หรือไปอยู่ที่บ้านป้าก็ได้"

ผมหันมองลุงวุธกับป้าอรสลับกัน ผมเพิ่งรู้ว่าลุงวุธกับป้าอรแยกกันอยู่นานแล้ว นานก่อนที่ลุงวุธจะมีแม่ของผม แต่ทั้งสองก็ไม่ได้เลิกติดต่อกัน คงเพราะมีธงทัพเป็นตัวกลางที่ยังทำให้ลุงวุธกับป้าอรหาโอกาสมาเจอกันบ้าง ป้าอรใจกว้างพอที่จะยอมให้ลุงวุธมีแม่โดยไม่มีปัญหาใด แต่ผมรู้สถานะตัวเอง ผมไม่ได้เป็นอะไรกับใครในครอบครัวนั้น ผมคงไม่รบกวนเขาไปมากกว่านี้จึงเอ่ยคำตอบของตัวเองออกไป

"ไม่ครับ"

"อะไรวะ"

เราทั้งหมดหันมองธงทัพที่พูดออกมาแบบนั้น

"จะอยู่ยังไงคนเดียววะ"

"กูอยู่ได้"

"เก่งจัดเลยเนอะมึงเนี่ย"

"ธงทัพ" ป้าอรหันไปดุมันนิดหนึ่ง แต่มันไม่ได้สน เป็นแต่ก่อนผมก็คงโกรธและเถียงกับมันไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่คิดจะทำแบบนั้น แล้วก่อนที่ผมจะพูดอะไร มันก็หันมาพูดต่อ

"มึงอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ไปอยู่ด้วยกัน"

"..."

"ไปอยู่กับกู"

ผมยังคงส่ายหน้าปฏิเสธเลยถูกฝ่ามือของมันตบเข้ามาที่ท้ายทอยแรงๆ ผมเจ็บและไม่ทันตั้งตัวเลยร้องออกมา เป็นเหตุให้มันโดนทั้งพ่อและแม่ตะโกนดุพร้อมกัน

"ธงทัพ!"

"ก็มันดื้อ ต้องโดน"

ผมไม่ได้เถียง ได้แต่หันมองแล้วลูบหัวตัวเองเบาๆ ผมคนเดิมหายไปจนธงทัพเองก็คงจะแปลกใจเลยสะกิดถาม 

"มึงไม่ด่ากูกลับวะ"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

"เฮ้ย มึงเป็นแบบนี้กูทำตัวไม่ถูกนะเนี่ย กลับมาด่ากู มาเถียงกูเหมือนเดิมดีกว่า นิ่งแบบนี้กูไม่ชิน" 

ผมทำได้แต่ยิ้มนิดๆ กลับไป ก่อนมื้ออาหารจะดำเนินต่อไป โดยที่ผมไม่ได้พูดอะไรในระหว่างบทสนทนาของพวกเขา มีแค่พยักหน้ารับกับส่ายหน้าเพื่อแสดงออกว่าผมยังคงฟังอยู่ กระทั่งกินข้าวเสร็จ ลุงวุธกับป้าอรอยู่คุยกับผมอีกพักหนึ่งก่อนขอตัวกลับก่อน ผมยืนอยู่หน้าบ้านมองดูรถของลุงวุธที่กลับออกไป แล้วหันมองไอ้ธงทัพที่ยังยืนอยู่ข้างๆ มันเองก็หันมองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง

"มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเหรอ"

"ทำไมมึงไม่กลับไป"

"กูจะนอนนี่ไง"

"นอนที่นี่? นอนตรงไหน?"

"ในครัวมั้งไอ้บ้า มึงนอนตรงไหนกูก็นอนตรงนั้นแหละ"

ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ มันก็ได้แต่ยกมือผลักหัวผมหน่อยๆ แล้วเดินไปดูต้นไม้หน้าบ้าน บ่นพึมพำคนเดียวก่อนลากสายยางมารดน้ำต้นไม้ของแม่ที่เหี่ยวแห้งคล้ายจะตาย ผมหย่อนตัวเองนั่งลงที่พื้นหน้าบ้าน มองดูมันรดน้ำต้นไม้ คนถูกมองคงรู้ตัวจึงหันกลับมาด่า

"ไม่คิดจะช่วยแล้วจะมานั่งมองหาห่าอะไร"

"ปากหมา"

"ยอมรับ"

มันพูดพลางยักไหล่แล้วหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ธงทัพเป็นคนพูดจาไม่เข้าหู หน้าตาของมันก็กวนตีนเกินจะเป็นมิตรกับใคร แต่ใจมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ใจของมัน ดีกว่านั้น

"ว่างๆ มึงก็รดน้ำให้มันบ้าง เดี๋ยวก็ตายหมดพอดี"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่มันไล่รดน้ำต้นไม้มาจนถึงตรงหน้าผม   

"ธงทัพ"

"อือ"

"มึงกลับบ้านไปเหอะ กูอยู่ได้"

"แล้วอยู่กับกูมันไม่ดีตรงไหนอะ"

"ไม่ใช่ไม่ดี แต่พรุ่งนี้มึงต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอ"

"พรุ่งนี้วันเสาร์ไอ้เป็ด"

ผมขมวดคิ้วมองหน้าอย่างไม่เข้าใจที่มันเรียกผมแบบนั้น ไม่แน่ใจเป็นคำด่าหรือว่าอะไร

"มึงหน้าเหมือนเป็ดไม่รู้ตัวเหรอ"

"เป็ดแม่มึงสิ"

"โอ้โห! นี่แหละที่กูรอ กลับมาด่ากูได้นี่อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม"

ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แต่หลุดยิ้มออกมาเพราะมัน 

"เออ ยิ้มได้แล้ว" มันพูดแค่นั้นแล้วหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อจนเสร็จ ม้วนสายยางเก็บแล้วนั่งลงข้างๆ ผม ในตอนนั้นซองบุหรี่ก็ร่วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันจึงหยิบซองนั่นขึ้นกระแทกเบาๆ แล้วดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งก่อนจับใส่ปากตัวเอง

"เอาไหม"

"ไม่เอา"

ผมชินกับกลิ่นบุหรี่เพราะเพื่อนก็สูบ ไม่ได้รังเกียจมันแต่ก็ไม่ได้ชอบ ในตอนที่หันมองควันบุหรี่จากคนข้างๆ แล้วคิดถึงเรื่องเมื่อปีก่อนจึงพูดมันขึ้นมา

"ตอนนั้นกูไม่ได้ฟ้องพ่อมึง เรื่องที่มึงสูบบุหรี่ที่โรงเรียนนะ"

"เออ กูรู้ละ"

"แล้วตอนนั้นมึงมาโทษกูทำไม"

"กูก็เดาเอาว่าเป็นมึง"

"มั่ว"

"ขอโทษได้ไหมล่ะ แหม่!"

ผมส่ายหน้านิดๆ ตอนที่ถูกมันยกมือขึ้นผลักหัวเบาๆ 

"เออ กูก็ไม่ได้เป็นคนโพสท์รูปมึงลงเฟสบุ๊กนะเว้ย"

"อืม รู้แล้วเหมือนกัน"

"มึงก็มาโทษกูเฉย กูยังใช้เฟสบุ๊กห่าอะไรนั่นไม่เป็นเลยมึงรู้เปล่า เออ แล้วมึงรู้ไหมว่าใครทำ"

"รู้"

"จริงดิ ใครวะ"

"ช่างมันเหอะ ไม่อยากพูดถึงแล้ว"

"แล้วมันทำแบบนั้นกับมึงทำไมวะ ให้กูไปเตะมันเลยไหม ยกพวกไปตีมันเลยยังได้"

"กร่างมาจากไหนวะ"

"กูหัวหน้าแก๊งข้าวโพดหวานนะเว้ย"

ผมหลุดหัวเราะตอนได้ยินชื่อแก๊งมัน มันเองก็ยิ้มออกมาแล้วหยิบบุหรี่ในปากดีดเถ้าบุหรี่ที่ปลายมวนลงกับพื้น

"ทัพ"

"อือ ว่า?"

"ทำไมมึงมาทำดีกับกูวะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนกูก็เหี้ยใส่มึงไว้ตั้งเยอะ"

"แล้วทำไมต้องเหี้ยใส่กูด้วยอะ กูไปทำให้อะไรให้มึงเหรอ"

"กูไม่ชอบหน้ามึง"

"กูหล่อกว่าก็มาอิจฉากูอะ"

"ไม่ใช่เว้ย!"

"อ้าว แล้วทำไมไม่ชอบหน้ากู"

"ไม่รู้ดิ กูคิดว่ามึงก็ไม่ชอบกูเหมือนกัน"

"ไม่ชอบตรงมึงดื้อนี่แหละ เอาจริงๆ ตอนเจอหน้ากัน กูยิ้มให้มึงก่อนตลอดเลยนะ"

"ยิ้มมุมปากเนี่ยนะ รู้ไหมหน้ามึงกวนตีน"

"อ้าว! ก็กูขี้เก๊กอะ ยิ้มอย่างนี้โคตรหล่อ" ว่าแล้วก็ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ เรื่องหล่อคงปฏิเสธไม่ได้เพราะมันมีใบหน้าที่จัดอยู่ในคำนั้นจริงๆ แต่มากกว่าความหล่อก็คือความกวนตีนนี่แหละ   

"กูรู้ว่าหน้าตากูไม่เป็นมิตร แล้วกูก็ปากไม่ดีด้วย กูคงเคยพูดอะไรให้มึงรู้สึกแย่โดยที่ไม่รู้ตัวมาเยอะเลยดิ"

"อืม"

"แต่ใจกูไม่เคยคิดอะไรเลยนะเว้ย กูก็อยากคุยดีๆ กับมึงแต่เริ่มไม่เป็น แล้วมึงก็ไม่เป็นมิตรกับกูเลย กูก็เลยเลยตามเลยอะ ลืมเรื่องเก่าๆ ไปได้ไหมล่ะ กูขอโทษ"

"กูต่างหากที่ต้องขอโทษ"

"ช่างมันเหอะ กูเป็นพวกไม่ติดอดีตว่ะ"

ผมพยักหน้ารับขณะที่มันก็ยกมือตบบ่าผมเบาๆ 

"ต่อไปนี้กูจะมาอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ"

"เฮ้ย ไม่ต้อง"

"ก็มึงไม่ยอมไปอยู่กับพ่อหรือแม่กูอะ จันทร์ถึงศุกร์กูมีเรียน แต่เสาร์อาทิตย์กูมาได้"

"กูอยู่ได้ มึงไม่ต้องลำบาก"

"เออน่า เดี๋ยวกูมาอยู่เป็นเพื่อน แต่จริงๆ กูก็อายุมากกว่ามึงปีหนึ่งอะ"

ผมหันหน้ามอง ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจว่ามันต้องการพูดถึงอะไร

"ก็พูดให้มึงคิด จริงๆ มึงควรจะเรียกกูว่าพี่หรือเปล่า"

"ไม่"

"ไม่เหรอ"

"ไม่"

"เรียกพี่ทัพ น่ารักนะ"

"ไม่"

"เออ ไม่ก็ไม่"

มันว่าแค่นั้นแล้วกดบุหรี่ที่หมดมวนแล้วลงในกระถางต้นไม้ใกล้มือ ก่อนหันมาหาผม 

"แล้วต่อไปนี้มึงอย่าพูดว่าตัวเองไม่มีใคร มึงยังมีกู พ่อก็อยู่มึงจะกลัวอะไร"

"อือ"

"เข้าใจป่ะเป็ด"

"ไม่ใช่เป็ดโว้ย"

กอดไหม"

"ไม่..."

ไม่ให้ผมปฏิเสธจบมันก็ดึงผมเข้าไปกอดตามใจตัวเอง ผมเองไม่ได้ขัดขืน ท่ามกลางความเงียบนั้น ใจผมกำลังพูดว่า ขอบคุณ   

 

...

 

คืนนั้นคนที่บอกว่าจะนอนด้วยก็ทำอย่างที่บอก แถมทำตัวเป็นเจ้าของเตียง ขึ้นไปนอนก่อนหน้าตาเฉย ผมออกมาจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จ มันไม่ได้สนใจผมเพราะกำลังจริงจังกับอ่านหนังสือในมือ ไม่ใช่หนังสือเรียนแต่เป็นนิยายเล่มหนาซ้ำยังเป็นภาษาอังกฤษ ตอนที่ผมเดินไปนั่งลงที่ข้างๆ จึงเลื่อนสายตาขึ้นมองแต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยักคิ้วให้ทีหนึ่งแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ยังไม่ง่วงเลยนั่งอยู่อย่างนั้น กระทั่งหันไปเป็นแสงสว่างจากหน้าจอมือถือของผมบ่งบอกว่ามีสายโทรเข้ามา หยิบมามองแล้วใจผมก็เผลอเต้นแรงไร้สาเหตุ

 

นาวี 


 

ผมนั่งจ้องมือถือนั่นอยู่นานจนหน้าจอมันดับไป แล้วก็ถูกโทรเข้ามาอีกทีจึงคว้ามือถือแล้วเดินออกไปนอกระเบียง ไม่ทันที่จะกดรับ แต่สายตาเลื่อนมองจากชั้นสองไปที่หน้าบ้านก็เห็นว่านาวียืนอยู่ตรงนั้น ผมลดมือถือในมือลงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ธงทัพมองหน้าผมอยู่พอดี 

"มีอะไรเปล่า"

"เดี๋ยวกูมา"

"ไปไหน"

"ไปหาเพื่อน"

"ที่ไหน กูไปด้วย" มันว่าแล้วคว่ำหน้าหนังสือที่มันอ่านค้างอยู่ลงบนโต๊ะ กำลังจะลุกตามมาด้วยแต่ผมห้ามมันเอาไว้ก่อน

"ไม่ต้อง กูไปได้"

"งั้นก็อย่าไปนาน"

"อืม แป๊บเดียว"

ผมพยักหน้ารับก่อนเดินออกมาจากห้อง ผมคิดในทุกเก้าที่เดินว่าผมจะพูดอะไรกับนาวี ว่านาวีจะพูดอะไรกับผม แต่ในหัวยังคงไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าที่ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด กระทั่งผมพาตัวเองมายืนอยู่ตรงข้ามกับนาวี เราทำได้เพียงยืนมองหน้ากันเฉยๆ โดยไร้คำพูดใด

แม้ผมอยากจะถามว่านาวีไปอยู่ที่ไหนมา กลับมาจากค่ายตั้งแต่เมื่อไร แล้วทำไมหน้าตาไม่สดใสซ้ำยังซีดเซียวเหมือนไม่สบาย กินข้าวไม่ตรงเวลา ปวดท้อง หรือว่าเจ็บปวดตรงไหน แต่คำถามพวกนั้นกลืนหายไปหมด ผมสูดลมหายใจเรียกสติครั้งหนึ่งแล้วเดินนำนาวีออกมาให้ห่างจากหน้าบ้าน แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนริมทาง นาวีนั่งลงข้างๆ แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร อากาศช่วงต้นฤดูหนาวเย็นขึ้นกว่าเมื่อวาน ผมกลัวความเงียบจึงต้องทำลายความเงียบนั่นด้วยเสียงของตัวเอง

"มีอะไรหรือเปล่า"

"เป็นยังไงบ้าง"

คำถามง่ายๆ ของนาวีทำให้ผมเงียบไปเพราะหาคำตอบให้มันไม่ได้ ผมเป็นยังไงบ้าง ผมควรเป็นยังไงบ้าง ความรักทั้งหมดที่ผมมี กลายเป็นความว่างเปล่าเจือปนความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย ผมรู้ตัวเองแย่ ผมรู้เรื่องมันแย่ แต่ก็กลับพูดบางคำออกไปทำลายบรรยากาศให้แย่ลงกว่าเดิม 

"มึงบอกเลิกกู แล้วแม่กูก็เพิ่งตาย"

"..."

"คิดว่ากูจะสบายดีไหมล่ะ"

"ขอโทษ"

"มึงหายไปไหนมา"

"กูไม่กล้ามา ไม่กล้ามาเจอหน้ามึง"

"มึงควรมา"

"..."

"มึงควรอยู่"

"..."

"รู้ไหมกูต้องการมึงขนาดไหน กูอยากให้มึงมา กูอยากให้มึงรีบมา"

"ขอโทษ"

"..."

"ขอโทษจริงๆ"

ประโยคนั้นเอ่ยซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงสั่น ผมไม่อยากอ่อนแอต่อหน้าใครแล้วแต่เพียงกระพริบตาเบาๆ น้ำตาที่เอ่ออยู่แล้วก็ร่วงลงมาในทันที นาวีขยับตัวจากที่นั่งอยู่ข้างๆ ลงไปคุกเข่ากับพื้นตรงหน้า ยกสองมือขึ้นจับมือผม   

"ขอโทษ"

"..."

"ภูผา กูขอโทษ"

"ถ้ารู้สึกผิด แล้วทิ้งกูไปทำไม"

"กูคิดว่าที่ทำมันถูกแล้ว กูไม่อยากให้มึงทะเลาะกับแม่ กูไม่อยากให้มึงมีปัญหากับเขา กูคิดว่าถ้าไม่มีกูมันคงดีกว่า"

"..."

"กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้"

"..."

"กูไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้"

"มึงพูดถูก กูควรเลือกแม่"

"..."

"และกูน่าจะเลือกเขา ให้เร็วกว่านี้"

นาวีเงียบไปอีกและผมเห็นน้ำตาของเขาในตอนที่มันหยดลงที่หลังมือของผม ผมดึงมือตัวเองออกมาจากมือนาวี ยกขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง 

"เราทำอะไรไม่ได้แล้วนาวี"

"..."

"มันจบแล้ว ทุกอย่างเลย"

นาวีพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้าลงปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่อาจกลั้น ผมยกมือลูบใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นเบาๆ ปลายนิ้วมือเป็นสัมผัสสุดท้ายระหว่างผมกับเขา และผมพร้อมที่จะบอกลา 

"กูไปนะ"

"ภูผา"

"..."

"แล้วเจอกันนะ"

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มก่อนคำตอบของผมจะสวนกลับไปอย่างแผ่วเบา

"ไม่ล่ะ"

"..."

"ไม่อยากเจอแล้ว"

 

ผมเองหมดเรี่ยวแรงจะจับมือใครไว้ แม้มันเป็นจุดจบที่เจ็บปวด และไม่รู้จะต้องทรมานไปอีกยาวนานเท่าไร ก็ต้องยอมรับความเป็นไปของมัน หันหลังให้คนที่ผมเคยรักแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น ความรักของเราเริ่มต้นเมื่อปีก่อนตอนปลายฤดูฝน และจบลงในต้นฤดูหนาวของปีนี้

 

แสนสั้นในช่วงเวลา แต่ยาวนานในความทรงจำ... 

 

 

            ...

 

To be continued.

 จบพาร์ทอดีตแล้วนะคะ ตอนหน้าเป็นเรื่องราวในปัจจุบันแล้ว เอือกกกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2018 16:01:02 โดย รชา »

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ภูผาอย่าโกรธนาวีเลยนาวีก็เจ็บปวดไม่แพ้กันเราเชื่อว่าเพราะนาวีรักภูผามากจนยอตัดใจไม่อยากให้ทะเลาะกับแม่จนต้องยอมเจ็บเอง....ไรท์ทำเราเสียน้ำตาขอบคุณที่มาอัพนะคะ

ออฟไลน์ CofFee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
สงสารทุกตัวละครเลย ฮืออออ
ร้องไห้จนคอนแทคเลนส์หลุด

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
#ปาดน้ำตา ฮีกๆๆๆๆ  ฟืดดดดดด สงสารน้องภูผา / ในความเจ็บปวดนั้น ยังโชคดีที่ยังมีครอบครัวธงทัพอยู่คอยประคอง / เริ่มเข้าใจแล้ว ว่าธงทัพมาได้ไง? นาวีหายไปไหน?

เดินหน้ากันต่อไปในพาร์ทปัจจุบัน ... เดาว่านาวีจะยังตามมาวอแวภูผา  (นี่ก็ชอบเดาจัง ถามว่าเคยเดาถูกไหม? หึหึ) คราวนี้ละ ภูผาเราก็จะถือไพ่เหนือ นาวีต้องเป็นฝ่ายเดินตามภูผาบ้าง :hao3:  #เพ้อ #ยังอินและยังเดาต่อไป

ขอบคุณค่ะ ไม่ผิดหวังจริงๆ กับนิยายของรชา  :กอด1:  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด