Episode 9
ในวันที่เสียคุณไป
ผมเสียใจเป็นพันๆ ครั้ง "ขอโทษ"
ผมพูดกับนุ่นแค่นั้นแล้วลุกออกมาจากตรงนั้น เดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อน ทันทีที่มันส่งแก้วเหล้ามาให้ ผมก็กรอกใส่ปากตัวเองไปทีเดียวหมด
"ไอ้ภู!"
"เอาอีก"
"เมาตายแล้วมึงอะ"
"เอามาเหอะ"
"เออๆ เอาไป แล้วเมื่อกี้พี่นาวีมา...เฮ้ย! ไอ้ภู ค่อยๆ กิน!"
ผมไม่ฟังเสียงใครแล้วนอกจากกระดกเหล้าเข้าปากไปเรื่อยๆ แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าผสมมัวเมากับความรู้สึกในใจ พักเดียวผมก็สติหลุดลอย เมาหนักอย่างคุมตัวเองไม่ได้ ผมมีสติอยู่ไม่ครบนักแต่ได้ยินเสียงเพื่อนเดินเข้ามาเรียกจึงยกหน้าตัวเองที่ฟุบอยู่บนโซฟาขึ้นไปมอง
"ไอ้ภู แม่มึงมารับแล้ว"
"ใครนะ"
"แม่มึง"
"เชี่ย! มึงโทรหาแม่กูเหรอ"
"เออดิ แม่มึงมาแล้ว"
ผมส่ายหน้ารัว แล้วพยายามจะลุกหนีไปจากตรงนี้แต่ถูกมือหนึ่งดึงแขนเอาไว้ก่อน
"ไอ้ภู กลับบ้าน"
"ไม่เอา มึงโทรหาแม่กูทำไมวะ เดี๋ยวเขาก็ด่ากูอีก"
"..."
"เดี๋ยวเขาก็ตบกูอีก..."
"ภูผา"
"ไม่เอา ไม่กลับ!"
"ภูผา นี่แม่นะ"
ผมเบิกตาขึ้นนิดหนึ่ง ตั้งสติมองหน้าแม่ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนยกมือสองข้างทาบแก้มตัวเองเอาไว้
"แม่อย่าตบภูนะ"
"แม่ไม่ทำ แม่ไม่ว่า แม่มารับกลับบ้าน"
"ไม่ตบแน่นะ"
"ไม่ตบสิ"
"กลับบ้านก็ไม่ตบใช่ไหม"
"อืม ไป กลับบ้าน"
ผมพยักหน้าหน่อยๆ ตอนถูกแม่ดึงแขนให้ลุกขึ้น แต่ความเมาเล่นเอาหนักจนยากจะทรงตัวผมจึงทรุดลงมาอีกครั้ง จนเพื่อนต้องมาช่วยพาไปส่งที่รถของแม่ ผมไม่ได้ยินว่าแม่พูดอะไรกระทั่งมาถึงบ้าน แต่สติยังกลับมาไม่ครบ รู้ตัวตอนแม่ประคองผมมาทิ้งที่โซฟา
"เมาขนาดนี้ กินไปเยอะแค่ไหนเนี่ย"
ไม่ว่าแม่จะพูดอะไร สิ่งเดียวที่ผมทำคือการยกมือทาบหน้าเอาไว้เป็นการป้องกันตัวเอง ผมรู้ว่าชอบทำให้แม่โกรธประจำ แต่แม่ไม่ควรตบหน้าผม แม่ตบหน้าผมแต่ผมกลับไปเจ็บที่หัวใจ สะสมความเจ็บทีละเล็กทีละน้อยจนตอนนี้เป็นแผลเรื้อรัง ผมไม่อยากให้แม่ทำแบบนั้นกับผมอีกแล้ว ผมอยากรักษาแผลในใจให้หาย แม่จึงไม่ควรซ้ำเติมมันอีก
"ภูผา กลัวแม่ขนาดนั้นเลยเหรอ แม่ไม่ทำหรอก"
"แม่"
"อือ ว่าไง"
"อยากอ้วก"
"เดี๋ยวๆ ภูผา!"
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นแบบนั้นจึงห้ามไม่ได้ เหลวจะพุ่งออกมาจากปากด้วยอาการพะอืดพะอม ภาพของแม่ก็พร่าเบลอ เสียงพูดของแม่เบาลงจนไม่ได้ยิน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกเลย
...
ผมลืมตาเพราะเสียงแม่เรียกในเช้าวันต่อมา หรือไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าเช้าเพราะผมได้ยินแว่วอยู่ในหูว่าแม่พูดถึงข้าวกลางวัน สติกลับมาแน่ชัดตอนแม่พูดย้ำอีกที
"เที่ยงแล้วภูผา ลุกมากินข้าวกลางวันได้แล้ว"
ผมยกมือขยี้ตาก่อนหันมองรอบๆ เมื่อคืนผมนอนที่โซฟา คงเพราะแม่พาผมขึ้นห้องไม่ได้ แต่เสื้อผ้าถูกเปลี่ยนใหม่ ผมตั้งสติอีกทีแล้วลุกจากโซฟา ขาที่ไม่มีเรี่ยวแรงพาผมเซไปอีกทางจนแม่ที่เดินเข้ามาพอดีรับร่างผมไว้
"ไหวไหมเนี่ย"
ผมพยักหน้ารับ
"ปวดหัวไหม"
"ไม่ครับ"
"งั้นไปแปรงฟัน แล้วลงมากินข้าว"
ผมพยักหน้าอีกทีแล้วขึ้นไปจัดการตัวเองบนห้อง พักหนึ่งก็ลงมาหาแม่ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว ผมแปลกใจนิดหน่อยที่แม่ไม่ว่าอะไรเลยเรื่องที่ผมเมาเละเทะ ซ้ำยังไปรับผมกลับมาด้วยตัวเองอีก เหมือนแม่เดาสีหน้าของผมได้ไปจนถึงความคิด จึงพูดบางคำออกมา
"เมื่อคืนวันเกิดนี่ แม่ยกให้วันหนึ่ง"
ผมหลุดยิ้มออกมานิดหนึ่งแล้วหมุนตัวกลับไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำ ตอนนั้นสายตาผมก็มองไปเห็นบางอย่างที่อยู่ในตู้เย็น สิ่งที่ทำให้รอยยิ้มผมกว้างกว่าเดิมคือเค้กไอติมก้อนโต หน้าเค้กมีคำว่าสุขสันต์วันเกิด และชื่อของผม
"แบบหน้าสตรอว์เบอร์รี่มันหมด เลยเอาช็อกโกแลตมา"
ผมหันไปมองแม่ แล้วหันกลับมามองเค้กอีกที
"อันนี้ก็อร่อย"
"ข้างๆ นั่นของขวัญนะ"
ผมหันมองนมรสจืดสองแพ็คที่วางอยู่ข้างๆ เค้ก ส่ายหัวหน่อยๆ กับของขวัญที่แม่ให้ แล้วหยิบน้ำเปล่าออกมาขวดหนึ่ง
"ทำไม ไม่ชอบ?"
"คราวหน้าขอรสช็อกโกแลตได้ไหม"
"แต่แม่ว่านมรสจืดมันมีประโยชน์กว่า...โอเค สัญญาว่าคราวหน้าจะซื้อรสช็อกโกแลตให้" เพราะถูกผมมองเคืองๆ ใส่แม่ที่กำลังบ่นเลยเปลี่ยนมารับปากแทนว่าคราวหน้าจะให้อย่างที่ขอ ผมจึงพยักหน้ารับหน่อยๆ
"เออ ภูผา"
"ครับ?"
"เมื่อคืนนาวีโทรมา"
"..."
"อย่าลืมโทรกลับไปนะ"
ผมพยักหน้ารับแล้วลงมือกินอาหารกลางวันฝีมือแม่ แม้เป็นผัดผักจืดชืดไม่มีเนื้อสัตว์กับยำไข่ดาวรสชาติแปลกๆ ทว่าวันนี้อาหารของแม่ที่ได้กินกับแม่...อร่อยดี
...
ผมออกมาเดินเล่นอยู่แถวๆ บ้านอย่างเบื่อๆ พยายามโทรกลับหานาวีเป็นรอบที่สามหรือสี่ แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย ผมไม่อยากโทรไปอีกเพราะกลัวจะเป็นการจุกจิกเขามากเกินไป เขาคงไม่ว่างรับเลยรอให้โทรกลับมาดีกว่า ผมนั่งเลื่อนดูประวัติการโทร เลื่อนแล้วก็เลื่อนอีกอยู่อย่างนั้น เมื่อคืนไม่น่าพลาดรับสายนาวีเลย หรือถ้ารับผมก็คงคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอกมั้ง ผมถอนหายใจออกมาหน่อยๆ กำลังจะกดออกจากหน้าจอนั้น แต่กลับไปสะดุดกับสายโทรเข้า มีประวัติการรับสายจากนาวีเมื่อคืน ที่แม่บอกว่านาวีโทรมาผมไม่คิดว่าแม่จะกดรับ แล้วระยะเวลาที่คุยกันนั่นก็นาน นานเสียจนผมเกิดสงสัยขึ้นมาว่าแม่คุยอะไรกับนาวี แม่คงไม่ได้...
"ภูผา!"
ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วเงยหน้ามองเสียงที่เข้ามาเรียก ก่อนเห็นว่าเป็นพี่โอ๋จึงลุกไปหา
"มานั่งทำอะไรตรงนี้"
"นั่งเล่นอะ" ผมพูดปัดๆ
"ไม่ไปหานาวีเหรอ"
"จะให้ไปหาที่กรุงเทพฯ อะเหรอ"
"อ้าว นาวีอยู่โรงพยาบาลนะ"
"ฮะ?"
"ก็เมื่อเช้าพี่แวะไปหาเพื่อนที่โรงบาลมา เห็นว่านาวีปวดท้อง เมื่อคืนนอนโรงบาลมั้ง"
ผมนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคำพูดพี่โอ๋ คิดแล้วอยากจะด่าตัวเองแรงๆ สักที นาวีเข้าโรงพยาบาลแต่ผมมัวไปเมาเละเทะ ตั้งสติได้เลยตั้งใจจะไปโรงพยาบาลที่พี่โอ๋บอก แต่ออกมาถึงปากซอยผมก็เห็นรถของพ่อนาวีเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านเขาพอดี นาวีอยู่บนนั้นด้วยแต่มองไม่เห็นผม ผมจึงรีบวิ่งตามไปที่บ้าน
"นาวี!"
นาวีที่ลงมาจากรถพอดีหันมองผมที่หยุดยืนหายใจถี่อยู่ตรงนี้เพราะความเหนื่อย ผมเห็นเขาหันบอกอะไรกับพ่อแม่ ก่อนทั้งสองคนจะเดินเข้าบ้านไปก่อน
"นาวี"
นาวีพยักหน้ารับผมด้วยใบหน้าเรียบเฉยตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปหา รีบถามอาการของเขาก่อนแต่มีเพียงความเงียบตอบกลับมา
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า"
"..."
"เป็นอะไรไหม"
"..."
"เป็นอะไรอย่าเงียบสิ"
"มึงคิดว่ากูควรเป็นอะไรล่ะ"
"นาวี..."
"ไปจูบกับนุ่นทำไม"
ผมนิ่งไปตอนนาวีพูดแบบนั้น นาวียังคงมีสีหน้าเรียบเฉยจนผมใจคอไม่ดี ผมจะแก้ตัวยังไง หรือไม่ควรแก้ตัว หรือว่าควรทำยังไง...
"จูบทำไม"
"มึงรู้ได้ยังไง"
"เห็นกับตา"
"..."
"กูรีบกลับมาหามึง รีบตามไปหามึงเพื่อไปเห็นมึงจูบกับคนที่ชอบมึง แบบนี้กูควรจะเป็นอะไร"
"นาวี มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อกู"
"ได้ กูเชื่อมึง"
แม้ปากจะบอกว่าเชื่อ แต่สีหน้าเรียบเฉยนั่นเดาความรู้สึกจริงๆ ของเขาไม่ได้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผม
"เมื่อคืนกูคุยกับแม่มึง"
"แม่ว่าไง แม่พูดอะไรกับมึง"
ผมร้อนรนที่จะถามหาคำตอบ แต่นาวีกลับยิ้มออกมา รอยยิ้มจางๆ ที่ดูฝืน มีความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นตอนที่มองหน้าเขา สายตาของนาวีที่ผมรัก ไม่เหมือนวันก่อนที่เคยมองตากัน ผมรู้นาวีเป็นคนเข้มแข็ง แต่ใบหน้านิ่งนั้นดูเฉยชากว่าที่เคยเป็น ความเงียบทำงานอยู่นานจนนาวีพูดบางคำออกมาบางคำที่ทำให้ผมรู้สึกว่างเปล่ากว่าเดิม
"เราอาจต้องทำใจ"
ผมเข้าใจความหมายของมันดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงออกมาจากปากของเขา นาวีที่เคยเคียงข้างผม นาวีที่เคยปลอบใจผม นาวีที่ทำให้ผมยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อให้เราได้รักกัน นาวีคนเดิมคนนั้น เป็นคนเดียวกันกับคนตรงหน้าผมไหม
"นาวี มึงกำลังโกรธกูใช่ไหม มึงแค่โกรธกู มึงโกรธกูเรื่องนุ่น กูขอโทษ แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ นาวี ได้โปรดเชื่อกู...มันไม่มีอะไร"
"กูไม่ได้โกรธ"
"หรือไม่มึงก็แค่เหนื่อย"
"เหนื่อยเพราะรักมึงนี่แหละ"
"นาวี"
"มันไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่มึงมาคุยกับกู"
ผมนิ่งไปหลังจากได้ยินแบบนั้น คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจจนนาวีขยายความให้ฟัง
"ทุกครั้งที่มึงหายออกไปจากบ้าน แม่มึงโทรหากูแทบทุกครั้ง"
"..."
"แล้วมึงก็โกหกกูมาตลอดเรื่องแม่มึง ตอนที่มึงมานอนกับกู ตอนที่มึงมาหากู แม่มึงไม่เคยรู้เลย วันที่เราไปทะเลด้วยกัน แม่มึงมาตามหามึงถึงที่บ้านกู มึงโกหกกู"
"กูแค่อยากอยู่กับมึง"
"แม่มึงบอกให้กูเลิกกับมึง"
"แล้วมึงจะทำอย่างที่เขาบอกไหม"
"ทำ"
"นาวี!"
"กูถึงบอกให้มึงทำใจ"
"นาวี ทำไมเป็นแบบนี้วะ มึงไม่รักกูแล้วเหรอ"
"กูเคยบอกแล้วไงว่ารักมันไม่พอ"
"ทำไมมึงทิ้งกูง่ายๆ แบบนี้วะ ทำไมมึงต้องไปทำตามที่เขาบอก ทำไมมึงต้องเชื่อเขา!"
"ก็เขาเป็นแม่มึง!"
เสียงดังของนาวีทำให้ผมเงียบลง หมัดที่กำแน่นของนาวีทุบเข้าที่อกผมจนเจ็บแปลบ
"เขาเป็นแม่มึง! มึงควรเลือกเขา!"
"..."
"มึงไม่เคยรู้เลยว่ากูอึดอัดขนาดไหนที่ต้องทนอยู่แบบนี้ มึงไม่เคยถามสักคำว่ากูรู้สึกยังไง"
"..."
"กูขอโทษ กูสู้ไปกับมึงไม่ไหวแล้วภูผา"
"..."
"เลิกกันนะ"
ผมดึงนาวีเข้ามากอดแทนคำพูดแต่อีกคนก็ผลักผมออกมา ซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ถูกผลักออกมา แม้ผมอ้อนวอน แม้ผมอยากจะกอดเขาเอาไว้ คุกเข่ารั้งเขาเอาไว้แต่เอาไม่อยู่แล้ว นาวีไม่เหลือใจแล้ว
"นาวี อย่าทำแบบนี้กับกู เดี๋ยวกูคุยกับแม่เอง นะ แม่ต้องเข้าใจ"
"ถึงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ วันหนึ่งเราก็ต้องทะเลาะกันอีกอยู่ดี"
"นาวี กูขอโทษ อย่าทิ้งกูนะ กูจะไม่ทำผิดกับมึงอีก กูจะไม่โกหกมึงแล้ว กูจะไม่งี่เง่ากับมึง กูจะไม่ละเลยความรู้สึกของมึง มึงไม่ต้องมีเวลาให้กูก็ได้แค่อย่าปล่อยมือกูแบบนี้ นาวี ชีวิตกูมีแค่มึง อย่าทำแบบนี้กับกู อย่าทำแบบนี้นะ"
"กลับไป"
"นาวี"
"กูบอกให้กลับไป!"
"นาวี!"
ผมดึงมือนาวีเอาไว้ไม่ทันตอนที่เขาหันหลังเดินเข้าบ้านไป ประตูถูกล็อกทันทีก่อนที่ผมจะตามเข้าไป
"นาวี! ออกมาก่อน นาวี!"
ผมเคาะเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมือที่ไร้เรี่ยวแรวจะค่อยๆ หยุดลงไปเอง เหมือนหัวใจผมพังลงตรงนั้น ทั้งร่างกายผมก็แหลกลงตรงนั้นไปพร้อมๆ กัน ชีวิตผมมีแค่นาวี แล้วแบบนี้ ชีวิตผมจะเหลืออะไร
...
ผมเดินกลับเข้ามาที่บ้านตัวเองตอนที่เริ่มค่ำ แม่ที่นั่งอยู่ในบ้านหันมามองแล้วร้องทักเมื่อเห็นหน้าผม
"ภูผา เป็นอะไร"
"..."
"ร้องไห้เหรอ"
ผมร้องไห้ ยิ่งมองหน้าแม่ ก็ยิ่งร้องไห้ออกมาอีก ผมเผลอเข้าใจผิด คิดไปเองว่าแม่กำลังจะยอมรับ คิดว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น แต่เปล่าเลย ผมไม่เกลียดแม่ แต่เกลียดตัวเองที่ต้องเกิดมาเป็นลูกของแม่ เกลียดตัวเองที่มีแม่แบบนี้
เกลียด...
"ภูผา เป็นอะไร บอกแม่..."
"ไม่ต้องยุ่ง!"
"ภูผา!"
ผมก้าวเท้าไปที่บันได หยุดมองกรอบรูปในตู้โชว์หน้าบันได ผมมีรูปคู่กับแม่ไม่เยอะ ภาพสุดท้ายที่ถ่ายคู่กันก็ตอนเจ็ดขวบที่งานโรงเรียน ความก้าวร้าวของผมสั่งให้หยิบรูปนั้นออกมา แล้วฟาดมันลงพื้นด้วยความโกรธจัด
"เพล้ง!"
"ภูผา!"
ผมหันหน้ามองแม่ที่เดินเข้ามาหา
"ทำอะไร!"
"..."
"แม่ถามว่าทำอะไร!"
"แม่นั่นแหละทำอะไร!"
แม่ขมวดคิ้วมองหน้าผม ผมกำหมัดแน่นแล้วก้าวเท้าเข้าไปหาแม่ เหยียบย่ำเศษกระจกที่พื้นจนมันทิ่มเข้ามา
"ภูผา กระจก..."
แม่หยุดคำพูดตอนที่ผมก้าวเท้าถึงหน้าแม่ แล้วเงยหน้ามองผม
"แม่ไปพูดอะไรกับนาวี"
"..."
"แม่ทำแบบนี้ทำไม!"
"แม่ก็แค่...ทำให้มันถูกต้อง"
"แล้วมันผิดยังไง ที่ผ่านมามันผิดยังไง!"
"แม่ไม่ชอบนาวี แม่ไม่ชอบที่ภูโกหกแม่เพื่อไปหาเขา แม่ไม่ชอบที่ภูทำตัวแย่ๆ เพราะเขา ภูผาฟังแม่นะ ความรักของภูกับนาวี ความรักแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก ยังไงวันหนึ่งภูก็ต้องเลิกกับเขา"
"แต่ภูรักนาวี!"
"..."
"ถ้าแม่ให้ความสุขภูไม่ได้ ก็อย่ามาเอาความสุขของภูไป!"
"ภูผา..."
"นาวีเป็นทุกอย่างของภู แล้วแม่ทำแบบนี้ได้ยังไง แม่ทำได้ยังไง ชีวิตภูไม่เหลือใครแล้วแม่"
"ภูยังมีแม่นะ!"
"ภูต้องการนาวี ไม่ต้องการแม่!"
"ภูผา!"
ผมไม่ฟังแม่พูดต่อ วิ่งขึ้นห้องแล้วทรุดตัวลงนั่งที่หน้าประตู เลือดที่เท้าไหลออกมาเป็นทาง แต่ความเจ็บไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในใจ
ผมก็ยังคงจมอยู่ใต้ทะเลลึก แต่ขาดอากาศหายใจ ความสุขถูกคลื่นซัดจมหาย น้ำทะเลหนาวเย็นถึงขั้วหัวใจ ผมจมลงช้าๆ รอวันขาดใจตาย
นาวีปล่อยมือผมแล้ว... ...
ชีวิตผมกลับคืนสู่สีเทา โลกห่วยๆ ของผมกลับมาอีกครั้งพร้อมว่างเปล่า เพราะผมไม่รู้มาก่อน ว่าความรักมันจะโหดร้ายกับผมแบบนี้ ผมจึงไม่ได้เผื่อใจตอนรักใครสักคน ผมยังคงรักนาวี ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังคงรักเขาอยู่ดี ผมยังคงเป็นห่วง แต่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง
"ตุ้บ!"
ผมหันมองลูกบาสจากเด็กที่เล่นอยู่ในสนามลอยมาทางผม ก่อนตกลงพื้นแล้วกลิ้งมาตรงหน้า
"พี่ครับ โยนบาสให้หน่อยครับ!"
ผมคงเพ้อ เห็นคนตรงนั้นเป็นนาวี ภาพวันแรกที่เราเจอกันก็พุ่งเข้ามาในหัว ผมคิดถึงนาวี
"พี่ครับ!"
เสียงในสนามดังเรียกผมอีกทีจึงหลุดจากความคิดแล้วก้มลงเก็บลูกบาสโยนกลับไปในสนาม ด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากมาย ลูกบาสลอยอยู่กลางอากาศครู่เดียวก่อนกลิ้งตกลงพื้น ไปไม่ถึงเด็กในสนาม เขาจึงต้องวิ่งย้อนกลับมาเก็บมันไป
"ภูผา"
เสียงเรียกหนึ่งดึงความสนใจผมให้หันไปมอง ทันทีที่เห็นว่าเป็นพ่อของนาวีก็เผลอตกใจจนถอยหลังหนี แต่รอยยิ้มของพ่อทำให้ผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วยกมือไหว้ ก่อนพ่อจะชวนผมคุยอย่างคนคุ้นเคย
"มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย"
"แค่ยืน...เฉยๆ ครับ"
"กินไอติมไหม" พ่อยกถุงในมือที่บรรจุไอติมโคนสองอันเอาไว้ในนั้น หยิบอันหนึ่งขึ้นแกะแล้วยื่นให้ผม ส่วนอีกอันแกะกินเอง ผมหันมองพ่อที่ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากมองเข้าไปในสนามบาส พอพ่อหันมาก็กลับเป็นผมที่ต้องหลบตาลง เหมือนพ่อจะรู้ทันความคิดจึงหันมาถามผม
"อยากถามถึงนาวีใช่ไหม"
"นาวี...เป็นยังไงบ้างครับ"
"ตอนนี้ไปค่ายอาสากับมหาลัย ติดต่อไม่ได้มาหลายวันแล้วเนี่ย" พ่อพูดขำๆ แล้วชี้เข้ามาที่ไอติมในมือผมที่เริ่มละลาย
"กินเร็ว"
ผมพยักหน้ารับแล้วกัดไอติมนั่นเข้าปาก ปกติผมชอบกินไอติม แต่แปลกที่ตอนนี้ความหวานของมันไม่มีผลต่อความรู้สึกผมเลย
"นาวีก็เสียใจนะภูผา วันนั้นก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย"
"..."
"พ่อรู้ว่ามันเจ็บ แต่หายเร็วๆ นะ"
พ่อทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินออกไปก่อน ผมยังคงยืนอยู่ตรงนี้ มองดูไอติมที่หยดละลายไหลจนเลอะมือ ผมไม่รู้จะทำได้ไหม ความเจ็บปวดในใจมีมากมายจนไม่รู้ว่าจะมีทางหายได้ยังไง
...
ผมกลายเป็นคนติดเพื่อนทั้งที่ปกติค่อนข้างจะเก็บตัว แต่ช่วงนี้ไม่ว่าเพื่อนจะชวนไปไหนก็ไปหมด ทุกครั้งที่เพื่อนรวมตัวกันไปกินเหล้าก็ไปเขาด้วยไม่เคยปฏิเสธ ผมรู้เหล้าไม่ใช่ทางออกแต่ตอนนี้มันไม่มีทางอื่น ผมจึงต้องพึ่งพามันให้เยียวยาความรู้สึกแม้เพียงชั่วครู่ก็พอ ผมดื่มเหล้า และเมามายอยู่กับความเสียใจ แล้วก็กลายเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งที่อ่อนแอกว่าที่คิด
"ไอ้ภู แม่มึงโทรมาหลายสายแล้วนะ"
"ไม่ต้องรับนะเว้ย"
"มึงก็รับๆ หน่อยเหอะ บอกเขาว่านอนกับกูก็ได้"
"ไม่เอาอะ ช่างเหอะ"
ผมพูดปัดๆ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเสียงมือถือผมก็ดังขึ้นมาอีก ผมไม่ได้สนใจแต่เพื่อนเป็นคนหยิบมันไป
"ลุงวุธคือใครวะ"
ผมหันไปขมวดคิ้วมองชื่อที่เพื่อนอ่าน แล้วส่ายหน้าหน่อยๆ
"ผัวแม่กู แต่ไม่ใช่พ่อกูนะ" ผมพูดพลางเค้นหัวเราะในลำคอ
"เขาโทรมาหลายสายแล้วเนี่ย รับดิ"
"กูไม่ชอบเขา ไม่รับโว้ย มานี่!" ผมดึงมือถือกลับมาแล้วกดปิดเครื่องไปเลยหมดเรื่อง เพื่อนก็คงเหนื่อยกับการรบเร้าให้ผมรับโทรศัพท์แล้วก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยไป
"เด็กๆ พ่อกับแม่ไปนอนแล้วนะ กินเสร็จแล้วอย่าลืมปิดบ้านให้เรียบร้อยล่ะ"
"คร้าบ!" เราทั้งหมดตอบรับแม่ไอ้เต้ยที่เดินเข้ามาบอก นอกจากไม่เคยว่าอะไรที่พวกเรามานั่งกินเหล้าที่นี่กันบ่อยๆ แล้วยังใจดีกับพวกเรามากด้วย ทุกครั้งที่ผมมองพ่อแม่ไอ้เต้ย ผมอิจฉา อิจฉาจนอยากร้องไห้เลย
"ไอ้ภู เป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้"
"เปล่า"
"แล้วมึงจ้องแม่กูอะไรขนาดนั้น จะเอาอะไร"
"แม่มึงใจดีว่ะ เอาแม่มึงมาแลกกับแม่กูป่ะ"
"ไอ้บ้า เมามากแล้วมึงอะ ไปหาที่นอนไหม"
"ไม่เอา ไม่นอน" ผมพูดปัดแล้วยกเหล้าในแก้วขึ้นกรอกปากอีกที ก่อนหันไปเห็นนุ่นที่เดินเก็บของที่เรากินกันเละเทะ ผมเพิ่งรู้ว่าบ้านนุ่นอยู่ใกล้กับบ้านไอ้เต้ย แล้วทุกครั้งที่เรามากินเหล้าที่นี่นุ่นก็ถูกชวนมาด้วยทุกครั้ง ถึงไม่เคยกินเหล้าสักหยดแต่ก็ตามมาด้วยทุกที
"นุ่น!" ผมร้องเรียกพลางดึงนุ่นเข้ามาหา คนตัวเล็กถูกดึงด้วยแรงนิดหน่อยก็ตัวลอยมานั่งข้างๆ ผม
"จะ...เอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า"
"เป็นคนรับใช้หรือไง"
"เปล่า..."
"เลิกทำงานได้แล้ว พวกมึงก็เลิกใช้นุ่นได้แล้ว นี่เพื่อนนะเว้ย! ตัวยิ่งเล็กๆ อยู่ด้วย น่าเอ็นดูจะตาย" ผมว่าแล้วยกมือเคาะหัวเล็กๆ ของนุ่น หน้าที่อยู่ใกล้ๆ นั่นแทบจะเล็กกว่าฝ่ามือของผมเลยด้วยซ้ำ
"มึงก็เลิกแดกได้แล้วไอ้ภู เมาชิบหายเลยมึงอะ นุ่นพามันไปนอนไป ห้องเราอะ"
"ไม่ไปเว้ย ยังไม่นอน"
"ไปเหอะภูผา เมามากแล้ว"
"ถ้าเราไปนอนแล้วนุ่นจะเลิกทำงานป่ะ"
"อืม"
"ได้! โอเค!" ผมตอบรับแล้วลุกพาร่างเมาๆ ของตัวเองโซซัดโซเซมาถึงห้องนอนไอ้เต้ย ขณะที่นุ่นก็เดินตามเข้ามาด้วย
"ไหวไหมเนี่ย"
นุ่นดึงผ้าห่มที่ผมนอนทับออกไป แล้วกำลังจะห่มเข้ามาให้แต่ผมยั้งมือนั่นเอาไว้ก่อน
"ร้อน"
"ร้อนเหรอ เดี๋ยวปรับแอร์ให้นะ" นุ่นว่าแล้วหยิบรีโมทแอร์มาปรับอุณหภูมิแอร์ให้ต่ำลง ก่อนขยับมานั่งข้างๆ ผม ยกมือจับเท้าผมที่เป็นแผลเพราะเศษกระจกบาดทั้งสองข้าง
"ยังเจ็บเท้าอยู่หรือเปล่า เราทำแผลให้เอาไหม"
"ไม่เป็นไร ช่างมัน"
"งั้นก็นอนเถอะ เมามากแล้ว จริงๆ เราไม่เข้าใจเลยว่ากินเหล้าแล้วมันดียังไง"
"ทำไมไม่ลองอะ"
"ไม่ดีกว่า...ไม่เอาหรอก"
"แล้วนุ่นมาที่นี่ทำไมอะ มาก็ไม่เห็นกิน"
"ก็เห็นว่าภูผามา ก็เลยมาด้วย"
"นุ่นยังชอบเราอยู่อีกเหรอ คนแบบเราอะนะ"
"อือ ถ้าบังคับใจได้ ก็คงเลิกชอบไปนานแล้วแหละ แต่ทำไม่ได้ไง..."
คำพูดนุ่นถูกตัดขาดไปเพราะผมขยับริมฝีปากตัวเองไปประกบเข้ากับริมฝีปากของนุ่น อีกคนไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ไม่ตอบรับรอยจูบนั่น ผมดึงหน้าตัวเองออกมาแล้วก็กดซ้ำลงไปอีกที นุ่นก็ยังคงเฉย
"ภูผา ไม่เอา"
"นุ่นชอบเราไม่ใช่เหรอ"
"เราชอบภูผา แต่ไม่ชอบที่ภูผาทำตัวแบบนี้เลย"
"คราวก่อนยังจูบเราก่อนเลย"
"คราวนั้นก็รู้สึกผิดเหมือนกัน ถ้าทำแบบนี้พี่นาวีจะเสียใจนะ"
"เราเลิกกันแล้ว"
"..."
"เรากับนาวีเลิกกันแล้ว"
คำพูดนั้นมันตอกย้ำตัวเอง กระแทกเข้าที่ความรู้สึกจนน้ำตาของคนอ่อนแอมันไหลออกมาอีก ผมฟูมฟายออกมาตรงนั้นโดยมีนุ่นคอบปลอบใจ
"ไม่เป็นไรนะภูผา ไม่เป็นไร"
ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนแต่ตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ ของอีกวัน สะบัดหัวที่หนักอึ้งของตัวเองเพื่อเรียกสติ ก่อนหันมองนุ่นที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อคืนผมนอนกับนุ่นที่นี่ คำสุดท้ายที่จำได้คือเสียงปลอบใจของนุ่นกระทั่งหลับไป แต่ไม่มีอะไรเกินเลย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ผมเดินออกจากห้องนอน เห็นเพื่อนยังหลับเป็นตายกันอยู่ที่โซฟา ละความสนใจจากมันแล้วมองหาโทรศัพท์ของตัวเองก่อนพบมันตกอยู่ใกล้ๆ ชั้นวางทีวีจึงหยิบขึ้นมาเปิดเครื่อง ข้อความแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับมีมากจนผมแปลกใจ ไม่ทันได้โทรกลับหาเบอร์ไหน มือถือในมือก็ดังขึ้นด้วยการโทรเข้ามาของลุงวุธ ผมกดรับสายเพราะสงสัยว่าคนที่ไม่ค่อยโทรหาผมจะมีธุระอะไรจึงต้องโทรเข้ามาหลายสายขนาดนั้น แต่ในทันทีที่รับสายก็ต้องแปลกใจเมื่อปลายสายกลับเป็นเสียงของไอ้ธงทัพ
(ไอ้ภูผา! มึงอยู่ที่ไหนวะ!)
"มึงมีอะไร"
(ไอ้ภู ฟังกู ใจเย็นๆ แล้วรีบมาหากู)
"..."
(เมื่อคืนแม่มึงรถคว่ำ)
ผมอาจกำลังฝันไป...
สิ่งที่ได้ยินจากปลายสายเป็นเหตุให้โลกของผมหยุดอยู่กับที่ ผมหวังให้มันเป็นความฝัน ผมยังไม่สร่างเมาหรือหูไม่ดีจนได้ยินผิดเพี้ยนไป แต่สิ่งที่ไอ้ธงทัพพูดซ้ำย้ำเตือนว่านั่นคือเรื่องจริง ผมเสียสติไปครู่หนึ่งก่อนถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเรียกของไอ้ธงทัพ จึงรีบตรงไปโรงพยาบาลที่มันบอก ใช้สติที่หลงเหลืออยู่พาตัวเองไปถึงที่ ตอนที่กำลังยืนเคว้งอยู่หน้าโรงพยาบาล ธงทัพก็ออกมาเรียกผมพอดี
"ไอ้ภูผา!"
"แม่ล่ะ"
"มึงหายไปไหนมา"
"แม่อยู่ไหน"
"มึงไปอยู่ที่ไหนมา"
"แม่กูอยู่ที่ไหน!"
ในตอนที่ถามถึงแม่ คำตอบก็มีเพียงความว่างเปล่า
แม่จากไปแล้ว...
To be continued.