[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 65711 ครั้ง)

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

__________________________________________________________________________________________



Episode 1 Season 2

ธงทัพ ภูผา นาวี


 

ผมไม่รู้ว่าใครเป็นกำหนดว่าในหนังสือหนึ่งเล่ม ต้องมีกี่บท

ในเพลงหนึ่งเพลง ต้องมีกี่นาที

ในละครหนึ่งเรื่อง ต้องมีกี่ตอน

แล้วคุณกับผม...จะอยู่ด้วยกันได้ยาวนานเท่าไร


สารบัญ
.........................................................................................


**นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติที่แต่งขึ้น เรื่องราว บุคคลใดๆ ชื่อ-นามสกุลที่ปรากฏในเรื่องไม่มีอยู่จริง หากบังเอิญซ้ำกับชื่อหรือนามสกุลจริงของท่านใดขออภัยมา ณ ที่นี้**



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2018 15:43:02 โดย รชา »

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 1 Season 2
ธงทัพ ภูผา นาวี

 


ผมกำลังจะตกหน้าผา

คุณดึงมือผมเอาไว้

 

 

ผมกระซิบบอก

หากไม่อยากตกไปด้วยกัน

ปล่อยมือผม

 

 

อีกใจของผม

ก็หวังว่าคุณจะไม่ได้ยิน

หวังว่าคุณจะไม่ปล่อยมือ

 

 

สุดท้ายคุณได้ยิน

คุณปล่อยมือผม

 

 

ผมร่วงลงสู่พื้นดิน

มองไม่เห็นคุณที่อยู่บนยอดเขาสูง

 

 

ผมอยู่ตรงนี้

ผมคิดถึงคุณ

 

 

ผมจะคิดถึงคุณ

 

....




Intro.


ไม่ชัดเจน

แต่ก็ไม่ขุ่นมัว

ในความสัมพันธ์ของเรา


 

ภูผา :

           

กรุงเทพฯ ในเย็นวันศุกร์กับรถติดเป็นเรื่องธรรมดา ผมกลับจากที่ทำงานทันทีหลังหมดเวลางาน แต่กว่าจะถึงห้องพัก ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ ถึงจะชินชาเกินกว่าจะมานั่งหงุดหงิดกับรถติด แต่ก็อดบ่นอยู่ในใจไม่ได้ เพราะยิ่งเสียเวลาในการเดินทางเท่าไร กลับถึงห้องก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากทำอะไรต่อ นอกจากทิ้งตัวลงนอนไปเฉยๆ ตื่นมาอีกทีก็ได้เวลาลุกไปทำงานอีก แต่เอาจริงๆ ชีวิตผมมันก็วนอยู่แบบนั้น ไม่ได้มีอะไรที่ต้องทำเป็นพิเศษอยู่แล้ว

ผมไขประตูเข้าห้องก็เห็นไอ้ทัพนอนอยู่บนโซฟา มันยกมือขึ้นทักขณะปากยังเคี้ยวของกินเต็มปาก ผมเลื่อนสายตามองโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ที่เต็มไปด้วยอาหาร ขนมและเครื่องดื่ม มันไม่ได้เป็นรูมเมทผม ปกติไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ทุกๆ ศุกร์เสาร์อาทิตย์มันจะมาค้างที่นี่ วันจันทร์ก็กลับไปทำงาน หน้าที่หลักของมันคือการมาทำให้ห้องโล่งๆ ของผม สกปรกทุกๆ สุดสัปดาห์แล้วก็จากไป

"กลับช้าจังวะ"

"รถติด" ผมตอบสั้นๆ แล้วเดินเข้าไปนั่งกับมัน มันจองพื้นที่บนโซฟาด้วยการนอนตัวยาวอยู่บนนั้น ผมเลยทรุดนั่งลงกับพื้นแทน มองดูของกินที่มันซื้อมารอ ก่อนเลือกหยิบเกี๊ยวทอดใส่ปาก

"งานเยอะเหรอ" ผมถามขณะหันมองกระดาษและอุปกรณ์เกี่ยวกับงานภูมิสถาปนิกของมันที่หอบติดมือมาด้วยแทบทุกที แต่จะทำไม่ทำนั่นก็อีกเรื่อง

"เออดิ กูจะตายละ"

"ก็ชอบดอง"

"ดองห่าอะไร นี่กูทำไม่ได้พักเลยนะ บางทีลูกค้าแม่งก็เรื่องมากเกิน งบหลักร้อยจะเอางานหลักล้าน กูล่ะเครียดแล้วงานล่าสุดกูนะ แก้แล้วแก้อีกไม่พอใจสักทีอะ กูนี่อยากจะเอากระดาษม้วนแน่นๆ แล้วฟาดหน้าสักเปรี้ยง เอาไปทำเองไปไอ้สัด"

"บ่นมาก"

"เออ เบื่อก็ต้องบ่นป่ะวะ"

"บ่นแล้วงานมึงจะเสร็จเร็วขึ้นไหม"

"ก็กูจะบ่นอ่ะ! มึงก็ฟังกูหน่อยไม่ได้หรือไงล่ะ แหม่!"

"อือ บ่นไป" ผมพูดแค่นั้นแล้วหยิบช้อนขึ้นตักอาหารกิน

"ไอ้ภู สนใจกู" มันลุกพรวดขึ้นมา แล้วใช้ขาสองข้างเกี่ยวผมที่นั่งอยู่กับพื้นให้เข้าไปหามัน ดูสันดานมัน 

"ก็บ่นไปดิวะ กูก็นั่งฟังอยู่นี่ไง"

"กูเหนื่อยอ่ะ กูเบื่อด้วย กูเครียด กูงอแง เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเลยนะ"

"ง่วงไหม"

"ง่วงดิ นี่เลือดกำเดาไหลด้วยนะ"

"อือ"

"มึงดูไม่ตื่นเต้นกับกูอ่ะ เลือดกำเดาเลยนะเว้ย ไหลออกมาจากจมูกพรวดๆ เลย"

"เออ แล้วงานเสร็จไหม"

"ไม่เสร็จ โดนด่าแต่เช้าละ กูยังเครียดอยู่เลยเนี่ย" มันถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนเอื้อมมือไปควักซองบุหรี่กับไฟแช็กในกระเป๋ากางเกงที่พาดอยู่บนโซฟา แล้วจุดสูบ

"ไปสูบข้างนอก เหม็น" ผมหันไปบอก แต่คนอย่างมันไม่เคยมีครั้งไหนที่จะทำตามคำที่ผมบอก กลับดึงบุหรี่ออกมาอีกตัวแล้วยัดใส่ปากผม

"สูบด้วยกัน จะได้ไม่เหม็น" ผมทำได้แค่มองแรงใส่พร้อมเสียงถอนหายใจ มันจับหน้าผมให้เงยขึ้น ส่วนตัวมันก้มลงมาเพื่อให้ปลายของมวนบุหรี่ชนกัน ก่อนจุดไฟในครั้งเดียว ควันบุหรี่ลอยฟุ้งอยู่กลางห้องก่อนจางหาย แต่กลิ่นยังคงอยู่

ธงทัพเป็นเพื่อนผม หรือบางทีอาจเป็นมากกว่านั้น แก่กว่าผมหนึ่งปีแต่ไม่เคยเรียกมันว่าพี่แม้สักครั้ง อาจเพราะไม่มีอะไรน่าเคารพ แต่ผมก็ชินแล้วกับนิสัยแบบนี้ของมันเพราะอยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว

 

นานจนลืมนับ ว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เมื่อไร

ไกลจนเกินคิด ว่าจะเลิกเป็นเพื่อนกันตอนไหน

.

.

.

กระทั่งเรื่องคราวนั้น เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเราสองคนไป...

 

To be continued.

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2018 15:57:20 โดย รชา »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
มาเจิมต้อนรับเรื่องใหม่ของคุณรชา เป็นชื่อเรื่องที่แปลกมากเดาไม่ถูกเลยว่าจะเป็นแนวไหนแต่เห็นเกริ่นชื่อนำไว้สามชื่อ จะยังพยายามไม่คิดว่าสามพีนะคะ คาดว่าไม่น่าจะใช่แนวคุณรชา..รึเปล่า ฮ่าๆๆ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สามชื่อ สามคน สามพี อั๊ยยะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Miawncha

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาเจิมค่าาา จะม่า จะฮา จะอะไรก็ได้แต่อย่าสามพีก็พอกราบบบบบ55555555 เชื่อในคุณรชาค่ะ

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
เข้ามาติดตามและให้กำลังใจคนเขียนครับ :กอด1: :L2: :3123:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 1

 

หากย้อนเวลากลับไปได้

ผมก็ยังอยากรู้จักคุณอยู่ดี


 



ภูผา :

           

8 ปีที่แล้ว

จังหวัดชลบุรี   


           

มึงกับไอ้ภูผาเป็นพี่น้องกันเหรอวะ

เปล่า มันเป็นลูกของเมียน้อยพ่อกู

.

มันเป็นลูกของเมียน้อย

.

เป็นลูกของเมียน้อย

.

ลูกของเมียน้อย

 

 

"ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ"

 

 

เปลือกตาผมลืมขึ้นในแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ไม่รอให้มันดังอีกครั้งแล้วหยิบมาปิด ผมเกลียดเสียงนาฬิกาปลุก หรือเอาจริงๆ ก็เกลียดการตื่นในตอนเช้า แต่ผมไม่อยากไปโรงเรียนสายเลยเอาชนะความขี้เกียจด้วยการลุกไปอาบแต่งตัว ผมใช้เวลาตรงนั้นไม่นาน ก่อนเดินออกจากห้อง เห็นแม่ที่เตรียมตัวเสร็จแล้วนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเรียบร้อย ผมเข้าไปนั่งตรงข้ามแม่ ข้าวหนึ่งจาน ผัดผักหน้าตาจืดชืดไม่มีเนื้อสัตว์ และนมกล่องรสจืดวางอยู่เพื่อเป็นอาหารเช้าของผม

แม่มีเอกสารเกี่ยวกับงานถืออยู่ที่มือในทุกเช้า สายตาจดจ่ออยู่บนหน้ากระดาษนั่น พลางยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม แล้ววางลง ก่อนยกขึ้นอีก แล้วก็วางลง แบบนั้นไปจนกาแฟหมดแก้ว ในตอนเช้าเราใช้เวลาแค่หนึ่งถ้วยกาแฟของแม่และอาหารเช้าของผมเพื่ออยู่ด้วยกัน แต่แทบไม่มีบทสนทนาใดระหว่างเรา  ผมหันมองนาฬิกาที่ผนัง เห็นว่าเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนจะสาย จึงรีบจัดการอาหารเช้าของตัวเอง เสร็จแล้วก็หยิบจานข้าวที่กินไม่หมดวางลงที่อ่างล้างจาน และเก็บนมกล่องกลับใส่ตู้เย็น 

"วันนี้จะให้แม่ไปส่งไหม"

"ไปเอง"

ผมตอบสั้นๆ แล้วออกไปที่หน้าบ้าน ขณะเดียวกันแม่ก็เดินตามออกมาด้วย

"ภูผา เย็นพรุ่งนี้ลุงวุธชวนไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน จะไปไหม"

"แล้วไม่ไปได้ไหม"

ผมถามกลับ แม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่คล้ายว่าผมจะได้ยินเสียงที่แม่พูดในใจ คำตอบของคำถามก็ชัดเจนอยู่บนใบหน้าเรียบเฉยของแม่แล้ว ผมทำได้แค่พยักหน้ารับ

"พรุ่งนี้เตือนอีกที เดี๋ยวลืม"

"อืม แล้ววันนี้แม่กลับดึกหน่อยนะ"

"แม่ก็ไม่เคยกลับเร็วอยู่แล้ว" ผมสวนกลับอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่คำพูดคงไม่ถูกใจแม่นักจึงถูกสายตาเคืองๆ มองมา ผมไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนเดินออกมานอกบ้านแล้วตรงไปโรงเรียน

 ผมใช้ชีวิตอยู่กับแม่แค่สองคน ไม่เคยรู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน แม่บอกแค่เขายังมีชีวิตอยู่แต่ไม่ต้องรู้จักกันดีแล้ว ไม่จำเป็นนัก ผมเองไม่เคยถามถึง เคยชินกับการใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อ

ผมไม่เคยอยากมีพ่อใหม่ แต่แม่คงอยากมีสามีใหม่ ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าแม่คงเป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องของความรักเท่าไรนัก แม่มีคนที่คบอยู่ด้วยนานหลายปี แต่ก็เป็นการคบที่ต้องหลบซ่อน ผมเดาไม่ได้ว่าแม่มีความสุขกับมันจริงๆ หรือเปล่า ผมบอกแม่เสมอว่าแม่ไม่ควรไปยุ่งกับคนที่มีครอบครัวแล้ว ฐานะของแม่ถูกปิดบังอยู่พักหนึ่งก่อนถูกจับได้ คนอื่นเรียกแม่ผมว่า เมียน้อย แต่แม่ว่าแม่ไม่แคร์ แม่ยอมรับได้และคงความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้นเรื่อยมา ขณะที่ผมไม่เคยเห็นด้วยเพราะสิ่งที่แม่ทำส่งผลกระทบถึงผมเสมอ เวลาที่ได้ยินคนอื่นพูดถึงแม่ในทางที่ไม่ดีนัก 

 

แม่มึงเป็นเมียน้อยเขา...

 

แม่มึงเป็นเมียน้อย... 


 

ทุกครั้งผมรู้สึกโกรธ และในบางครั้งก็เจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน

 

 

 

 

...

 

 

ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ตั้งแต่ม.หนึ่งไม่เคยเปลี่ยนโรงเรียนเลย ตอนนี้อยู่ม.ห้าแล้ว ยิ่งใกล้จบมัธยมปลาย ความคิดในหัวผมก็ยิ่งเคว้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี ยังไม่รู้ว่าอยากเป็น หรืออยากทำอะไร ไม่เคยคิดถึงวันพรุ่งนี้ หรือกระทั่งนาทีต่อไปว่าผมควรทำอะไร ผมใช้ชีวิตอย่างที่แม่บอกว่าดี ผมทำตามที่แม่บอกให้ทำ แม้ว่าผมจะไม่อยากเป็นแบบแม่เลย แต่ผมก็ไม่เคยพาตัวเองออกมาจากทางที่แม่บอกให้เดิน ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

"ไอ้ภู ไปกินข้าวกัน"

ผมพยักหน้ารับเพื่อน ก่อนเก็บสมุดใส่ใต้โต๊ะเรียน แล้วลุกตามเพื่อนไป ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง ในห้องเรียนไม่ได้มีบทบาทมากมายนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเพื่อน เข้ากับทุกคนได้อย่างไม่มีปัญหา ที่คบกันจริงๆ จังๆ ชนิดที่ว่าไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ตลอดก็สี่ห้าคนในกลุ่ม เป็นกลุ่มเด็กเกือบหลังห้อง ผลการเรียนผมพอใช้ได้ไปจนถึงดีในบางวิชาเพราะแม่เข้มงวดเรื่องนี้กับผมเสมอ ผมก็เรียนได้เท่าที่พยายาม แต่ในบางวิชาที่ไม่ถนัด ก็จำเป็นต้องฟังแม่บ่นทุกครั้งหลังเกรดออกแต่ละเทอม

"ภูผา"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียก เห็นว่าเป็น นุ่น ผู้หญิงตัวเล็กสวมแว่นหนาที่รับหน้าที่เป็นหัวหน้าห้อง เลิกคิ้วแทนคำถาม ก่อนนุ่นจะพูดถึงเหตุผลที่เดินเข้ามาเรียก

"ช่วยยกรายงานไปส่งที่ห้องพักครูหน่อยได้ไหมอ่ะ เรายกไปไม่หมด"

ผมพยักหน้ารับ หันไปบอกเพื่อนให้ไปโรงอาหารกันก่อน แล้วลุกไปยกรายงานมากกว่าสี่สิบเล่มตามจำนวนเพื่อนให้ห้องขึ้นถือ รายงานเล่มหนาซ้อนกันสูงเกือบถึงคาง หนักกว่าที่คิด

"แบ่งมาให้เราบ้าง" นุ่นยื่นมือเข้ามาช่วย กำลังจะหยิบรายงานจากผมไปมากกว่าครึ่ง ผมเลยขยับมือหนี

"เอาไปสิบเล่มพอ"

นุ่นพยักหน้ายิ้มๆ แล้วหยิบรายงานไปจำนวนหนึ่ง กะเอาจากสายตาก็ไม่น่าเกินสิบเล่ม แล้วเดินนำผมไปห้องพักครูที่อยู่อีกตึก ซึ่งไกลจากห้องเรียนผมพอสมควร

ส่งงานเสร็จนุ่นยังอยู่คุยกับอาจารย์ต่อ ส่วนผมแยกไปโรงอาหาร เดินผ่านสนามบาสที่มีคนเล่นกันอยู่ตรงนั้น ผมเผลอหยุดมอง เพราะกำลังนึกสงสัยว่าท่ามกลางแสงแดดแบบนี้ ยังมีคนอยากเสียเหงื่อหรือนึกสนุกอะไร ขณะกำลังก้าวเท้าเดินต่อ ลูกบาสที่ถูกพวกนั้นแย่งกันไปมาก็หลุดมือจากหนึ่งในนั้นแล้วกลิ้งมาทางผม ลูกหมุนช้าๆ ก่อนหยุดตรงหน้าผมพอดี

"ส่งมาให้หน่อยดิ"

เพราะทุกสายตาในสนามมองมาทางผมคนเดียว เลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะหยิบลูกบาสนั้นขึ้นมา

"โยนมาเลย"

คนในสนามตะโกนบอก ผมจึงออกแรงโยนลูกบาสกลับไป คงแรงและสูงไปหน่อย บาสลูกนั้นลอยกระแทกแป้นแล้วหมุนลงห่วงไป ท่ามกลางเสียงฮือจากคนในสนาม แม้แต่ผมเองยังประหลาดใจ

"เฮ้ย เจ๋งว่ะ!"

หนึ่งในสนามตะโกนบอก พลางชูนิ้วโป้งให้สองข้าง ผมทำได้แค่ยิ้มนิดๆ แล้วเดินออกมาจากตรงนั้น

"เดี๋ยวก่อน!"

ผมหันกลับไปมอง คนที่ยกนิ้วให้ผมวิ่งออกจากสนามเข้ามาหาผม เผลอเลื่อนตามองผู้ชายตัวสูงพอกันกับผม สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงนักเรียน ทั้งๆ ที่ตากแดดอยู่อย่างนั้นแต่ผิวขาวจัด

 

ขาวเหมือน...นมรสจืด

 

"มีอะไรเหรอ"  ผมถาม

"มาเล่นด้วยกันป่ะ"

"จะไปกินข้าวอ่ะ"

"หมายถึงมาเข้าทีมบาสด้วยกันไหม"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบอย่างไม่ต้องคิด ผมไม่ชอบกีฬา

"ทำไมอ่ะ เมื่อกี้อย่างเจ๋งเลยนะ"

"ฟลุคต่างหาก"

"เฮ้ย ไม่ลองจะรู้ได้ไง" เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ มือหนึ่งตบเข้าที่บ่าผมเบาๆ ใกล้จนเห็นเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่ที่หน้า

"ลองมาคัดตัวดิ"

"ไม่ดีกว่า ไม่ชอบเล่นกีฬา"

"ไรวะ ไม่เอาจริงดิ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง ก่อนขอตัวออกมา เสียงตะโกนดังไล่หลังมาจนต้องหันกลับไปมองอีกที 

"ถ้าเปลี่ยนใจก็มาที่ชมรมบาสนะ!"

ผมไม่มีทางเปลี่ยนใจอยู่แล้ว แต่ก็พยักหน้ารับส่งๆ ไปอย่างนั้น ก่อนเดินตรงไปโรงอาหาร ผมไม่ชอบวิชาพละ เกลียดการวิ่งและเสียเหงื่อ ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสุขภาพไม่ดีหรืออะไร ผมสบายดีเพียงแต่ขี้เกียจ แค่อยากนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ ผมเป็นคนประเภทนั้น

 

ผมจัดการซื้อข้าว แล้วตามไปนั่งกับเพื่อนที่รออยู่แล้ว โต๊ะกินข้าวนอกโรงอาหารที่ไม่ค่อยมีใครมานั่งที่นี่ ในตอนเที่ยงๆ ค่อนข้างจะร้อนแต่เป็นที่นั่งประจำของพวกเรา เพราะหลีกเลี่ยงความแออัดในโรงอาหาร อาหารที่มีให้เลือกไม่มากในโรงอาหารก็ผลัดกินวนไปซ้ำๆ กินเสร็จก็กลับขึ้นตึกเรียน บางคนใช้เวลาที่เหลือจากพักเที่ยงทำกิจกรรมอื่นๆ ส่วนผม ส่วนมากก็นั่งเงียบๆ อ่านการ์ตูน ทำการบ้านที่ยังไม่เสร็จ วาดรูปเล่น หรือบางครั้งก็หลับไปจนถึงเวลาเรียน บรรยากาศในโรงเรียนก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน แต่ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อ

 

ให้พูดตรงๆ คงบอกได้ว่าผมชอบที่นี่มากกว่าบ้าน

 

...

 

 

หลังเลิกเรียน ผมไม่ใช่หนึ่งในนักเรียนที่ต้องรีบกลับบ้านเพราะกลัวว่าพ่อแม่จะรออยู่ ผมจึงใช้เวลาหลังเลิกเรียนเที่ยวเตร็ดเตร่ไปกับเพื่อน ไปหาอะไรกิน ไปร้านเกมอย่างที่คนอื่นทำ ในกลุ่มเพื่อน ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกจากร้านเกม เพราะพยายามที่จะใช้เวลาแต่ละวันอยู่นอกบ้านให้ได้นานที่สุด

เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ได้เวลาที่ผมจะกลับบ้าน บ้านผมตั้งอยู่ในหมู่บ้านขนาดย่อมในตัวเมือง ยังมีรถโดยสารประจำทางที่ผ่านหน้าบ้าน แต่ผมเลือกที่จะเดินไปเพราะมันไม่ได้ไกลมาก ระหว่างทางกลับบ้าน ปกติจะเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเอง แต่วันนี้ผมกลับได้ยินเสียงบางอย่างกระทบพื้นถนนดังเป็นจังหวะเดิมซ้ำๆ

"ตุ้บ...ตุ้บ...ตุ้บ..."

เดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอกับต้นเหตุของเสียงนั้น เห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดนักเรียนเหมือนผม เดินอยู่ข้างหน้า ลูกบาสในมือถูกโยนลงพื้นให้เด้งกลับมาที่มือ ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ ไปทุกจังหวะที่เดิน นานครั้งก็จับลูกบาสขึ้นมาหมุนอยู่บนนิ้ว ประคองลูกบาสอยู่ได้นานจนมันร่วงกับพื้น ตอนที่เขาก้มลงเก็บลูกบาสผมได้เห็นหน้าชัดๆ จึงจำได้ว่าเป็นคนที่เข้ามาทักผมเมื่อตอนกลางวัน เหมือนว่าคนข้างหน้าจะหันมาเห็นผมพอดีเหมือนกัน

"อ้าว"

ผมพยักหน้านิดๆ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่

"เพิ่งกลับบ้านเหรอ"

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ คนที่ไม่รู้จักชื่อก็ยังถามต่อ   

"ไปไหนมาอ่ะ"

"ร้านเกม"

"กลับบ้านดึกแม่ไม่ว่าเหรอ"

"ทุ่มหนึ่งเอง แล้วมึงอ่ะ ทำไมเพิ่งกลับ"

"ซ้อมบาสอ่ะ "

ผมพยักหน้ารับ มันเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากมองหน้ากันไปกันมา อีกฝ่ายเลยเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวขึ้นมาตามหลักของคนเพิ่งรู้จักกัน

"กูชื่อนาวีนะ"

"อ๋อ อือ"

"เรียกสั้นๆ ว่าวีก็ได้ ไม่เอานา กูว่ามันตลก แต่ในห้องก็มีคนเรียกกูแบบนั้นด้วยนะ นานางี้ นาบ้าอะไรล่ะ จริงๆ นาวีก็ไม่ยาวนะ เรียกเต็มๆ ก็ได้ป่ะวะ" ประโยคหลังเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าแนะนำตัว ผมพยักหน้ารับ ก่อนบอกชื่อตัวเองกลับไป เพราะอีกฝ่ายเลิกคิ้วมองเป็นเชิงว่ารอให้ผมพูดชื่อตัวเองอยู่

"ภูผา"

"ให้เรียกภู หรือว่า ผา"

"อันนี้แล้วแต่มึงเลย"

อีกฝ่ายพยักหน้ารับยิ้มๆ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนเหลือบตาลงไปเห็นรอยเลือดที่ขาซึ่งไม่ได้สังเกตแต่แรก คนข้างๆ ก้าวเท้าเดินต่อไปไม่ได้สนใจผมที่กำลังก้มมองหาแผล

"มึงไม่มาเล่นบาสด้วยกันจริงดิ"

"ฮะ?"

"ทีมบาสอ่ะ ไม่สนใจเหรอ"

"ไม่อ่ะ"

"ทำไมวะ ไม่ชอบเหรอ"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของนาวี เพราะกำลังสนใจอยู่กับเลือดที่ไหลออกมานั่น เพิกเฉยต่อมันไม่ได้เลยต้องทักออกไป

"เลือดไหลอ่ะ"

"เอ้า! ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย"

"ไปโดนอะไรมา"

"มอไซค์ล้มอ่ะ" นาวีดึงขากางเกงขึ้นจึงเห็นรอยแผลขนาดใหญ่ที่หัวเข่า เลือดสีแดงข้นไหลเป็นเส้นตรงหยดลงถึงหน้าแข้ง เจ้าของแผลทำหน้ายุ่งๆ ส่งเสียงพูดพึมพำตอนก้มมองแผลนั่น

"เลือดไหลได้ไงวะ แผลตั้งแต่เมื่อวานแล้วเนี่ย อย่าไหลนะ อย่าๆ"

"เจ็บเหรอ"

"เปล่า กูกลัวถุงเท้าเลอะ เดี๋ยวซักไม่ออก"

ผมไม่มีทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้าจะเช็ดเลือดนั่นให้ อีกคนที่เป็นห่วงถุงเท้ามากกว่าความเจ็บปวดก็ทำได้แค่ส่งเสียงโวยวาย ทะเลาะกับเลือดตัวเอง

"อย่าไหลนะโว้ย หยุด!"

"ยกขาขึ้นดิ"

"เออ ทำไมคิดไม่ได้" ว่าแล้วก็ยกขาขึ้นสูง เลือดที่ไหลนองก็เปลี่ยนทิศทางไม่โดนถุงเท้า ได้ดั่งใจอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ 

"ไปทำแผลไหม ข้างหน้ามีคลินิก"

"ไม่เป็นไรอ่ะ จะถึงบ้านละ งั้นไปก่อนนะ"

"อ๋อ เออ เดินดีๆ แล้วไปทำแผลด้วยนะ"

"โอเค"

นาวีเดินอุ้มลูกบาสเลี้ยวเข้าไปอีกซอย ผมไม่เคยเจอเขามาก่อนแม้จะเดินผ่านตรงนี้แทบทุกวัน ไม่รู้ว่าเพราะความสนใจหรืออะไร ผมก็ยังยืนอยู่ตรงนี้มองดูเขาจนลับตาไป ถึงจะตรงกลับบ้านตัวเอง

"ภูผา!"

ผมหันไปมองเสียงเรียก จึงเห็นว่าเป็น พี่โอ๋ ผมรู้จักพี่โอ๋มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน ตอนนี้พี่โอ๋เป็นพยาบาลประจำห้องพยาบาลของโรงเรียนผม

"ทำไมเพิ่งกลับ" ผมถามตอนที่พี่โอ๋ก้าวเท้ามาเดินข้างๆ ผม

"พี่ออกไปหาเพื่อนมา แล้วนี่ทำไมกลับบ้านมืดเชียว"

"ไปร้านเกมมา"

"ร้านเกมอีกแล้ว"

"อีกแล้วอะไร ไม่ได้ไปบ่อย"

"เห็นไปอาทิตย์ละหกวันได้มั้ง"

"พูดไป"

ผมกับพี่โอ๋เดินคุยกันไประหว่างทาง ก่อนเราทั้งคู่ชะงักเท้ากึกเพราะเม็ดฝนที่อยู่ๆ ก็ลงเม็ดลงมา

"ฝนตกได้ไง" ผมบ่นพลางยกเป้ขึ้นบังฝนให้พี่โอ๋

"ก็นี่มันหน้าฝนนี่ ไม่เป็นไรพี่มีร่ม" พี่โอ๋ว่าแล้วหยิบร่มออกมาจากกระเป๋าแล้วกางออก ขยับมายืนข้างผมให้ร่มบังฝนให้เราทั้งคู่ ผมเป็นเด็กม.ปลายที่ตัวสูงกว่าพี่พยาบาลคนนี้ เลยคว้าร่มมาถือเอาไว้เอง ก่อนจะเดินมาถึงหน้าบ้านพี่โอ๋ ส่วนบ้านผมต้องไปต่ออีกหน่อย

"ภูเอาร่มไปเถอะ"

"ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้เอง"

"เอาไปเถอะน่า เดี๋ยวไม่สบาย"

"ก็ได้"

"แล้วเอามาคืนด้วยนะ"

ไม่อยากเถียงพยาบาลประจำโรงเรียน เลยยอมรับร่มมาจากเขาแล้วเดินต่อไปที่บ้านตัวเอง บ้านยังคงมืดสนิท แม่ยังไม่กลับ แต่ผมชินแล้ว 

 

...

 

 

เช้าวันนี้อาหารเช้าของผมเป็นขนมปังไส้กรอกกับนมรสจืดกล่องเมื่อวานที่ไม่ได้กิน ส่วนแม่ก็มีเพียงแค่กาแฟและเอกสารเกี่ยวกับงานเสิร์ฟเป็นมื้อเช้าให้ตัวเอง บรรยากาศเป็นเฉกเช่นทุกวัน ไม่มีบทสนทนาใดกระทั่งผมก้าวเท้าออกจากบ้านมาพร้อมแม่ สายตาแม่กวาดมองเครื่องแต่งกายของผมตั้งแต่หัวไปจรดอยู่ที่รองเท้า ประโยคของแรกของวันจึงถูกพูดออกมา

"ภูผา อย่าใส่รองเท้าทับส้น"

"มันคับ" ผมตอบพลางยกเท้าให้แม่ดู

"อะไร คู่นี้เพิ่งซื้อตอนต้นเทอมไม่ใช่หรือไง"

"ไม่รู้ดิ ใส่ไม่ได้แล้ว"

"เดี๋ยวแม่ซื้อมาให้ใหม่ก็แล้วกัน"

ผมพยักหน้ารับ กำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านแม่ก็เอ่ยเตือนบางประโยค ที่ผมหวังอยู่ในใจว่าแม่จะลืม

"ตอนเย็นแม่ไปรับที่โรงเรียน แล้วไปกินข้าวกับลุงวุธกัน"

"ครับ"

ทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากตอบรับไปแค่นั้น แม่จะนัดเจอกับลุงอาวุธอาทิตย์ละสองสามครั้ง นานๆ ครั้งแม่จะชวนผมไปด้วย แม่ทำเหมือนเราเป็นครอบครัว ทั้งๆ ที่มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย

 

 

วันนี้ที่โรงเรียนก็ยังเป็นเหมือนทุกวัน ชั่วโมงแสนสุขของการพักเที่ยงยังคงเป็นชั่วโมงที่สนุกที่สุดของพวกเราทุกคน กลุ่มด้านหน้าลุกออกจากห้องไปเป็นกลุ่มแรก กลุ่มข้างหลังกำลังตกลงกันว่าจะกินอะไรดี นุ่นหัวหน้าห้องกำลังเดินเก็บสมุดการบ้านวิชาเลขไปส่ง วันนี้ไม่ได้ขอให้ผมช่วยเพราะสมุดเลขเล่มบางๆ สี่สิบกว่าเล่มนั้นไม่เกินกำลัง ผมเปิดกระเป๋าหยิบสมุดการบ้านส่งให้นุ่น แล้วเห็นร่มของพี่โอ๋ในกระเป๋าพอดี

"ไอ้ภู ไปยัง"

"ไปกันก่อนเลย เดี๋ยวกูแวะไปห้องพยาบาลแป๊บ"

"มึงเป็นอะไรวะ"

"เปล่า เอาของไปคืนพี่โอ๋"

ผมบอกกับเพื่อนแล้วหยิบร่มคันนั้นเดินออกมาจากห้อง ตรงไปห้องพยาบาล ผมไม่ค่อยได้แวะมาห้องพยาบาลเพราะไม่เคยเจ็บป่วยอะไรตอนอยู่ที่โรงเรียน เปิดประตูเข้าไปก็เห็นพี่โอ๋นั่งอ่านหนังสืออยู่พอดี 

"อ้าวภูผา เป็นอะไรเปล่า อย่าบอกนะว่าเป็นหวัด นี่เมื่อวานโดนฝนใช่ไหม"

ไม่ทิ้งช่วงให้ผมพูดอะไรก็ใส่มาเป็นชุด ผมชูร่มขึ้นมาเบรกคำพูดของอีกฝ่ายเอาไว้

"อ๋อ เอาร่มมาคืน"

"ใช่ดิ พี่เคยเห็นผมไม่สบายด้วยเหรอ"

"จ้า พ่อภูผาคนแกร่ง" พี่โอ๋พูดแซวพลางเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างๆ ให้ผมนั่ง มีเวลาพักเที่ยงอีกเยอะผมเลยไม่รีบ แล้วนั่งลงพูดคุยกับพี่โอ๋ก่อน 

"กินข้าวยัง" ผมถาม

"ยังเลย ไม่รู้จะกินอะไรดี เบื่อร้านในโรงอาหารจะแย่"

"อยู่มาปีเดียวทำมาเบื่อ นี่กินมาห้าปีแล้วยังไม่บ่นเลย"

"ก็เบื่ออ่ะ อยากกินก๋วยเตี๋ยวป้าแว่น...เออ!"

ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่อยู่ๆ ก็เสียงดังขึ้นมา   

"ภูเฝ้าห้องให้แป๊บหนึ่งดิ จะออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยว"

"เอ้า!"

"แป๊บเดียว สิบห้านาที ไม่ๆ สิบนาที นะ เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก" รวบรัดตัดสรุปเองแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจมอเตอร์ไซค์วิ่งออกไปนอกห้อง ทิ้งผมให้นั่งอยู่ตรงนี้งงๆ แต่ร้านที่พี่โอ๋ว่าอยู่แค่หน้าโรงเรียนคงไปไม่นานเท่าไร ผมเลยไม่ได้ขยับตัวเองออกมาจากตรงนั้นแล้วนั่งเฝ้าห้องให้ ห้องพยาบาลคงเป็นห้องที่เงียบที่สุดในโรงเรียน เตียงพยาบาลฝั่งซ้ายเป็นของผู้ชาย อีกฝั่งเป็นของผู้หญิง แต่วันนี้ทั้งสิบเตียงยังว่าง ผมไม่ได้คิดว่าใครจะเข้ามานอนในตอนนี้ กระทั่งได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามา โวยวายซะดังลั่นเหมือนอาการจะหนัก   

"โอ๊ย ตายแน่ๆ ไม่รอดแน่ๆ!"

"พี่โอ๋คร้าบ!"

ผมลุกพรวดขึ้นเพราะเสียงนั่น ก่อนนักเรียนชายสามคนที่เป็นเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามา ผมมองผ่านสองคนที่เป็นคนพยุงอีกคนเข้ามา แล้วเพ่งมองไปที่คนป่วย

"นาวี?"

"อ้าว ภูผา"

คนที่ถูกหิ้วปีกเข้ามาคล้ายจะลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่ตอนหันมาเห็นผม

"เป็นอะไรอ่ะ" ผมถาม

"อ๋อ! ปวดท้อง!"

"เออๆ มันปวดท้องมากเลย เมื่อกี้ทำท่าเหมือนจะตาย"

"อือ จะตายๆ" นาวีพยักหน้าหงึกๆ ยกมือกุมท้องตัวงอ เพื่อนเลยพาไปนั่งที่เตียงพยาบาล ผมเองก็เดินตามไปด้วย

"พี่โอ๋ล่ะ"

"พี่โอ๋ออกไปข้างนอกอ่ะ"

"โอ๊ย! ตายก่อนแน่ๆ โอ๊ย! ไส้ขาดไปแล้วแน่ๆ ฮือ!"

ผมเกือบหลุดขำกับท่าทางของคนเจ็บ หรือจะพูดว่าแกล้งทำเป็นเจ็บดี มองดูก็รู้ว่าเป็นการแสดง แต่เพื่อนที่มาด้วยดูกระวนกระวายจนผมแปลกใจว่าทำไมถึงเชื่อ

"ต้องกินยาอะไรวะ"

"เมื่อไรพี่โอ๋จะกลับอ่ะ!"

"เดี๋ยวก็มา" ผมบอก แต่ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนใจเย็นขึ้น 

"เอาไงดีวะ หรือจะโทรเรียกรถพยาบาลดี"

"เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ นอนพักก็หาย"

"แน่ใจนะ"

"เออๆ ไปกินข้าวกันเถอะ"

"เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนนี่แหละ"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูอยู่กับภูผา"

ผมหันขวับไปหาตอนถูกเรียกชื่อ ลูกตากระพริบถี่ๆ เหมือนส่งสัญญาณให้กัน ผมก็เลยพยักหน้ารับ เออออไปด้วย

"เออๆ เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน"

"งั้นพวกกูไปกินข้าวนะ"

"ไปเถอะๆ"

สองคนนั้นเดินออกไป ขณะที่นาวียังไม่เลิกทำท่าทางเจ็บปวด ยิ่งดูทรมานมากตอนสองคนนั้นหันกลับมามอง

"โอ๊ย! โอ๊ยๆ..."

เสียงร้องเบาลงเหมือนหรี่เสียงเครื่องเล่นเพลง นาวีชะเง้อมองสองคนนั้นให้แน่ใจว่าไปไกลแล้ว พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปตบหมอนสองสามครั้งก่อนทิ้งตัวลงนอนในท่าทางสบายๆ ไม่ลืมที่จะเหลือบตาขึ้นมองผมที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ 

"จะเรียนต่อเอกการแสดงไหม"

"แหม่! มีแซว"

"แล้วทำไมล่ะเนี่ย แกล้งป่วย?"

"ขี้เกียจเรียนพละอ่ะ"

"เอ้า เป็นนักกีฬาไม่ใช่เหรอ"

"เป็นนักบาสไง แต่ปีนี้วิชาพละเรียนปิงปอง กูไม่ชอบว่ะ"

"ก็เลยหาเรื่องโดดซะงั้น"

"ไม่ใช่นาวี ทำไม่ได้นะ" นักเรียนเอกการแสดงพูดอย่างภาคภูมิใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์พยักหน้าช้าๆ พลางยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้กางออกแล้วเตะเข้าที่คาง ประหนึ่งว่าหล่อจัด

"กูดูยังรู้ว่าแสดง ทำไมเพื่อนเชื่อ"

"เพื่อนกูไม่ค่อยฉลาด แล้วนี่มึงมาทำอะไร เป็นอะไรเปล่า"

"เปล่า เฝ้าห้องให้พี่โอ๋อ่ะ"

"อ๋อ กินข้าวแล้วเหรอ"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของนาวี เลื่อนสายตาไปมองแผลที่หัวเข่า นอกจากรอยถลอกลึกยังช้ำจนบวม

"ทายาอะไรหรือยัง"

"เนี่ยเหรอ ไม่เป็นไรอะไรหรอก เดี๋ยวก็หาย"

"ภูผา พี่กลับมาแล้ว"

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ พี่โอ๋ก็เดินเข้ามาพอดี หันมาเห็นผมกับคนที่นอนอยู่บนเตียงเลยเดินเข้ามาหา

"นึกว่าใคร ขาประจำห้องพยาบาลนี่เอง"

นาวีแลบลิ้นหัวเราะเป็นอันรู้กันว่าป่วยปลอม พี่โอ๋เลยไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากยกนิ้วเคาะหัวอีกฝ่ายเบาๆ

"แล้วนี่รู้จักกันเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ

"ไอ้ภู!"

เราทั้งหมดหันมองอีกคนที่โผล่เข้ามาในห้อง เห็นว่าเป็นเพื่อนของผม

"เห็นมึงมานานเลยมาตาม ไม่แดกข้าวเหรอวะ"

"เออ ไปแล้ว ไปนะ" ผมหันไปบอกทั้งพี่โอ๋ทั้งนาวี

"อ้าวภู พี่ซื้อขนมมาฝาก"

"ให้นาวีกินละกัน"

"เย้!" นาวีชูมือดีใจ กำลังยื่นมือรับถุงขนมจากพี่โอ๋ที่ตั้งใจส่งให้ผม แต่คนซื้อมาฝากยกถุงหนีก่อนถึงมือนาวี

"ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ นอนไปสิ"

"ปวดท้อง กินข้าวไม่ตรงเวลา กระเพาะมันร้องไห้อยู่ได้ยินไหม มันบอกว่าอย่าปล่อยให้น้องหิวตายเลย" นาวีทำหน้าเบะจะร้องไห้ กระพริบตาปริบๆ น่าสงสาร แม้เป็นการแสดงเกรดบีแต่เป็นใครเจออ้อนแบบนี้ก็คงต้องยอม พี่โอ๋หลุดหัวเราะก่อนยอมส่งถุงขนมให้

"เอาไปเลยไป"

แม้แต่ผมเองก็ยังหันหน้าหลบมาแอบยิ้มเพราะความน่ารักของมัน แล้วหันไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่

"ไปแล้วนะ"

"จ้า" พี่โอ๋ตอบรับผม คนบนเตียงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ เพราะขนมเต็มปากอยู่

"เออ พี่โอ๋"

"ฮึ?"

"ทำแผลที่เข่าให้มันด้วยนะ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินตามเพื่อนออกมา เพื่อนผมถามถึงนาวีในทันที ผมบอกได้แค่เพิ่งรู้จัก นอกจากชื่อก็ยังไม่รู้จักพอที่จะบอกได้ว่าเรียนห้องไหน หรือชั้นอะไรเลยด้วยซ้ำ

"ปึก!"

ระหว่างทางไปโรงอาหารผมเผลอเดินชนกับคนๆ หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ปากบอกขอโทษไปก่อนที่จะเห็นว่าใครด้วยสัญชาตญาณ

"ขอโทษครับ"

"เฮ้ย มึง"

เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น ไม่ได้ลั่นออกมาเพราะโกรธเคืองที่ผมเดินชน แต่แค่ทักทายอย่างคนรู้จักกัน เมื่อผมหันไปเห็นว่าเป็นใครก็กลับไปพยักหน้าให้เป็นเชิงทักทาย มันก้าวเข้ามาหา เอ่ยคำพูดเข้าเรื่องโดยไม่มีการเกริ่น แต่ก็เป็นประโยคที่เรารู้กันดี 

"เย็นนี้มึงไปไหม"

"แม่ให้ไป"

"โดนบังคับอีกดิ"

"อือ แล้วมึงล่ะ"

"ไปดิ แล้วเจอกัน"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนจะเดินกลับมาหาเพื่อน คนข้างๆ ก็รีบกระซิบถามอย่างใคร่รู้

"ใครวะ รู้จักกันเหรอ"

ผมหันไปตอบคำถามของเพื่อน แต่ไม่กล้าพูดออกไปทั้งหมด ประโยคหลังจึงได้แต่ละเอาไว้ในใจ

"มันชื่อธงทัพ อยู่ม.6"

.

.

.

แม่กูเป็นเมียน้อยพ่อมัน

 

...

 

To be continued.

 

เราจะให้ภูผาเล่าย้อนไปจากบทนำ บางตอนอาจจะมีย้อนในย้อนอีกที เราจะใส่ช่วงเวลาเอาไว้ให้ก่อนเริ่มบท บางตอนแทรกไว้ในบทสนทนาแล้ว คิดว่าไม่น่าจะงงกันเนาะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะค้า ไม่ดราม่าเท่าไรหรอกกก เชื่อเรานะ 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2017 01:08:45 โดย รชา »

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เดาไม่ถูกเลยอ่ะ ใครพระเอกใครนายเอก  :hao7:

ออฟไลน์ Fujoshi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-2
อยากอ่านต่ออออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
3P จริงรึนี่  :o8:
ชีวิตภูผาน่าเศร้า  บังคับลูกแล้วยังไม่ค่อยสนใจ  :ling2:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode2


ผมจำได้ว่า

วันนั้นผมตกหลุมรักคุณโดยไม่ลังเล   


 

 

ผมเจอกับธงทัพครั้งแรกตอนอยู่ม.สี่ การต้องกลายมาเป็นพี่น้องโดยไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดไม่ใช่เรื่องที่เราทั้งคู่ยินดี ทั้งชีวิตผมไม่เคยเกลียดใครมาก่อน ธงทัพเป็นคนแรก

 

งานประชุมผู้ปกครองตอนม.4 

 

งานประชุมผู้ปกครองจะจัดขึ้นเทอมละหนึ่งครั้ง วันนี้ห้องเรียนจึงแออัดไปถนัดตาเพราะจำนวนผู้ปกครองอีกเท่าของนักเรียนอัดแน่นกันอยู่ในนั้นเพื่อฟังครูประจำชั้นที่กำลังพูดอยู่หน้าห้อง แต่ในจำนวนผู้ปกครองที่นั่งอยู่ในนั้น ไม่มีแม่ผม

แม่ไม่มาบอกว่าไม่ว่าง ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไม่มาร่วมงานประชุมผู้ปกครอง ผมก็เลยรู้ดีว่าต้องทำตัวยังไง ก็แค่นั่งฟังไปเฉยๆ แล้วก็เดินออกไปตอนที่ครูพูดจบ และในตอนที่ครูเรียกนักเรียนกับผู้ปกครองเข้าไปคุยรายบุคคล ผมก็ออกไปหาขนมกินได้ในตอนนั้น โชคดีที่ชีวิตการเรียนผมราบเรียบ ไม่ดีเด่น ไม่ย่ำแย่ ครูประจำชั้นเลยไม่ได้อยากเจอพ่อแม่ผมเป็นพิเศษ ทุกเทอมที่บอกครูว่าแม่มาไม่ได้ ครูก็ไม่เคยว่าอะไร

"ไอ้ภู แม่มึงไม่ได้มาใช่ป่ะ"

"อือ คนต่อไปเลย" ผมหันไปบอกกับรองหัวหน้าห้องที่เดินออกมาถาม มันจึงผ่านผมไปที่นักเรียนเลขที่ต่อไป

"ภูผา"

เท้าผมชะงักเมื่อเงยหน้ามองเห็นคนที่เข้ามาเรียก ผู้ชายร่างสูงในชุดตำรวจเต็มยศ เจ้าของเสียงเรียกเมื่อกี้ก้าวเท้าเข้ามาหาผม

"ลุงวุธ..."

"แม่บอกให้ลุงมาแทนน่ะ ยังทันใช่ไหม"

ผมยังทำตัวไม่ถูกกับการปรากฏตัวของลุงวุธในฐานะผู้ปกครองของผม ไม่ได้พูดอะไรต่อ รองหัวหน้าคนเดิมก็เดินกลับมา

"ผู้ปกครองภูผาใช่ไหมครับ"

"ครับ"

"งั้นเชิญเลยครับ"

ลุงวุธแตะไหล่ผมให้เดินเข้าห้องไปพร้อมๆ กัน ผมนั่งลงข้างๆ เขาและก้มหน้าเงียบระหว่างการพูดคุยกับครูและผู้ปกครอง ผมรู้ว่าแม่พูดถึงผมให้ลุงวุธฟังเสมอ เขาถึงรู้ดีเกี่ยวกับผมแล้วสนทนากับครูประจำชั้นได้ไม่ติดขัด แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกไม่ชอบใจ   

 

ไม่ชอบที่เขาทำเหมือนรู้จักผมดี   

 

ผมเคยชอบลุงวุธมากกว่านี้ ลุงวุธเป็นตำรวจยศสูง หน้าที่การงานดี อายุมากกว่าแม่เกือบสิบปีแต่รูปร่างหน้าตายังดีอยู่ ผมชื่นชมเขาเสมอ แต่นับตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าลุงวุธมีครอบครัวอยู่แล้ว ผมก็หมดศรัทธาในคนๆ นี้ไป ลุงเคยบอกให้ผมเรียกว่าพ่อได้ แต่ผมไม่เคยมีพ่อ จึงไม่เคยเรียกใครว่าพ่อและลุงวุธไม่ใช่คนนั้น ไม่มีวันเป็น

การพูดคุยระหว่างครูกับผู้ปกครองและผมจบลงแล้ว แต่ลุงวุธยังพูดเรื่องของผมไม่จบขณะที่เดินออกมานอกห้อง

"เมื่อกี้ลุงเห็นผลการเรียนที่ครูเอาให้ดู เรียนเก่งเหมือนกันนะภูผา"

"ไม่เก่งหรอกครับ"

ไม่เก่งเท่าธงทัพหรอก...ใจผมคิดแบบนั้นมากกว่า ผมไม่ได้อยากสนใจผลการเรียนของมันเท่าไร แต่แม่พูดถึงตลอดว่าธงทัพเรียนดียังไง ไม่ได้พูดเฉยๆ ด้วยประโยคบอกเล่า แต่ใช้มันเพื่อเปรียบเทียบกับผมต่างหาก

"ขอบคุณที่มานะครับ แต่จริงๆ แม่ไม่น่ารบกวนลุง"

"รบกวนอะไร ยังไงลุงก็ต้องมาอยู่แล้ว"

"ครับ"

"พ่อ!"

ทั้งผมและลุงวุธหันมองเสียงเรียกจากลูกชายตัวจริงของเขา ธงทัพและเพื่อนอีกสองสามคนเดินเข้ามา ผมรู้จักหนึ่งในเพื่อนของธงทัพ จึงหันมองเป็นเชิงทักทายแค่นั้น ก่อนธงทัพจะเข้ามาคุยกับพ่อมัน

"เสร็จแล้วเหรอ"

"เสร็จแล้ว"

"พ่อจะกลับเลยป่ะ"

"กลับเลย เดี๋ยวต้องไปทำงานต่อ แล้วนี่ต้องกลับไปเรียนต่อไหม"

"วันนี้มีเรียนที่ไหนล่ะ"

"แล้วจะกลับพร้อมกันไหม"

"ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ พ่อไปเหอะ"

"เออ ทัพ นี่ภูผา เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกใช่ไหม"

ธงทัพเหลือบตามามองผม ไล่มองหัวจรดเท้าก่อนมุมปากจะยกขึ้นนิดหน่อย ไม่เชิงว่าเป็นยิ้ม เป็นผมที่ต้องก้มหน้าหลบสายตามันกำลังจ้องอยู่

"งั้นพ่อไปแล้วนะ ลุงไปนะภู"

"ครับ" มันหันไปตอบ ส่วนผมแค่พยักหน้าเบาๆ

"ไว้ลุงแวะไปที่บ้านนะ"

ลุงวุธพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป บทสนทนายังไม่จบ เพราะผมยังไม่ได้ตอบกลับประโยคนั้นของลุง ในตอนที่เขาเดินออกไปไกลแล้ว ผมจึงพูดมันออกมาในใจ 

 

อย่ามาเลย...อย่ามาอีกเลย

 

"ไอ้ทัพ มึงกับไอ้ภูผาเป็นพี่น้องกันเหรอวะ"

"เปล่า มันเป็นลูกของเมียน้อยพ่อกู"

หากเปรียบคำพูดของมันเป็นหมัดแรงๆ ที่ชกเข้ามา ผมคงถูกกระแทกจนหงายหลัง น้ำเสียงเรียบเฉยกับคำพูดที่ดูไม่คิดอะไร เปลี่ยนทุกสายตาที่มองผมอยู่ไปจนเห็นได้ชัด ผมโกรธที่มันพูดแบบนั้น แต่ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ

 

เพราะความจริงมันเป็นแบบนั้น...

 

...

 

 

...และยังคงเป็นแบบนั้น

 

"ภูผา"

"ครับ?"

เสียงเรียกของลุงวุธดึงผมออกจากความคิด ในระหว่างมือเย็นของครอบครัวปลอมๆ ผมนั่งเขี่ยข้าวไปๆ มาๆ แล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนลืมฟังบทสนทนาของพวกเขา

"เราอยู่ม.ห้าแล้ว คิดหรือยังว่าจะเรียนอะไรต่อ"

"ยังเลยครับ"

"ชอบอะไรล่ะ งานบัญชีแบบแม่เอาไหม"

แม่หลุดหัวเราะออกมานิดๆ แล้วหันบอกกับลุงวุธ

"ภูผาน่ะเหรอ เรื่องตัวเลขนี่หัวไม่ไปเลย"

"ครับ ไม่ชอบ"

"ภูผาชอบศิลปะ น่าจะเอาดีทางด้านนั้นได้"

"จริงเหรอ ทัพก็เหมือนกัน ดื้อจะสอบเข้าสถาปัตย์ได้"

"ก็พ่อจะให้เรียนกฎหมายอ่ะ ไม่เอาด้วยหรอก" ธงทัพที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมพูดหน้ายุ่งๆ

"ขนาดบังคับมันแล้วนะ"

"ยอมผมหน่อยเหอะพ่อ ผมยอมพ่อหลายเรื่องแล้ว" ประโยคหลังของมันหยุดบทสนทนาบนโต๊ะให้เงียบลง ผมรู้มันหมายถึงอะไรพอๆ กับที่แม่รู้ แม่จึงเงียบไป

ธงทัพและพ่อของมันยังคงทำร้ายความรู้สึกของแม่ต่อด้วยการพูดถึงเรื่องในบ้านตัวเอง บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนในครอบครัวจริงๆ ของมัน ที่ซึ่งไม่มีผมกับแม่อยู่ตรงนั้น แม่จึงไม่มีบทพูดใดอีกเลยนอกจากนั่งเงียบๆ ฟังพ่อลูกสองคนนี้คุยกัน และการพูดถึงภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา หลายครั้งผมเห็นแม่เบือนหน้าหนี

"แม่บ่นอยากไปทะเล ปิดเทอมผมว่าจะพาแม่ไป"

"เอาสิ พ่อไปด้วย ไปด้วยกันดีไหม" ลุงวุธหันไปถามแม่ ไม่ทันที่แม่จะตอบธงทัพมันก็พูดออกมา

"ผมไปกับแม่สองคนก็ได้"

"..."

"หมายถึงไปกับแม่สองคนดีกว่า"

คำพูดของมันฟังดูเรียบเฉยภายใต้น้ำเสียงธรรมดาและใบหน้าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคำพูดที่ทำให้คนฟังอย่างเราถึงกับไปไม่เป็น ผมหันมองหน้าแม่ที่ก้มลงแล้วอมยิ้มบางๆ

 

แต่ใจแม่กำลังร้องไห้ ผมรู้

 

ธงทัพเกลียดแม่หรือเกลียดผมก็ไม่ใช่เรื่องผิด ผมเคยคิดกลับกัน หากผมเป็นธงทัพผมเองก็คงไม่ต่างจากมัน ผมก็คงไม่ชอบผู้หญิงที่แย่งพ่อไปจากแม่ตัวเอง พ่อยังพยายามบังคับให้ทำดีกับผู้หญิงคนนั้น พยายามให้เป็นพี่น้องกับลูกของผู้หญิงที่พ่อเรียกว่าเมียน้อย ถ้าผมอยู่ในจุดนั้น ผมก็ไม่ยอม ผมพยายามจะเข้าใจมันแล้วก้มหน้ายอมรับสถานภาพตัวเอง แต่หลายครั้งคำพูดทิ่มแทงที่มักจะทำร้ายความรู้สึกกันก็ยากเกินจะแบกรับ ผมเกลียดมันเพราะมันเกลียดแม่ผม ผมไม่อยากเห็นหน้ามันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมอยากย้ายโรงเรียนหนี ย้ายไปให้ไกล แต่ต่อให้ย้ายไปไกลแค่ไหน ความจริงมันก็ติดตามไปทุกที่หนีไม่พ้น จึงอยู่กับมันอย่างหน้าด้านต่อไป

 

เพราะผมหยุดเรื่องนี้ไม่ได้ เว้นแต่แม่จะเลิกกับเขาไป

 

 

"แม่น่าจะเลิกกับเขา"

ผมพูดกับแม่ตอนที่เดินเข้ามาในบ้านหลังจบมื้ออาหาร แม่ก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงเก็บใส่ชั้นเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะจับรองเท้าที่ผมถอดวางเกะกะวางเข้าข้างๆ กัน

"แม่ไม่โกรธตอนไอ้ทัพมันพูดแบบนั้นหรือไง"

"ไม่มีอะไรต้องโกรธนี่"

"ใช่ดิ แม่จะเถียงได้ไง แม่ไม่สิทธิ์"

"ภูผา"

"ภูไม่ชอบที่มันว่าแม่"

"แม่ไม่เป็นไร"

"ภูรู้ว่าแม่ทนได้ แต่จะทนไปทำไมล่ะแม่ ไม่ใช่ว่าโลกนี้มันมีผู้ชายเหลืออยู่คนเดียวซะหน่อย เลิกไปไม่ได้เหรอ ภูขอแม่แค่เรื่องเดียว"

"วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า"

แม่เปลี่ยนเรื่อง แต่ผมยังโกรธเกินกว่าจะยอมเพิกเฉยต่อมันแล้วคล้อยตามแม่ไป

"ทำไมต้องคนนี้ด้วยล่ะแม่ โลกมีคนเป็นล้าน ทำไมต้องไปรักคนๆ เดียวกัน"

"แม่ไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว"

"แม่!"

"ขึ้นห้องไปภู แม่มีงานต้องเคลียร์ต่อ"

"แม่เคยอายบ้างไหมตอนถูกเรียกว่าเมียน้อย"

"ภู แม่บอกให้ขึ้นห้องไป"

"แม่เลิกกับเขาได้ไหม"

"ถ้าบังคับใจตัวเองได้ คงทำไปนานแล้ว"

"ใจแม่ แม่ก็ต้องบังคับได้ดิ!"

"ภูผา!"

"แม่เลิกกับมันไม่ได้เหรอวะ!"

"ไม่ได้! ก็บอกแล้วว่าไม่ได้!"

"งั้นแม่ก็ต้องเป็นเมียน้อยไปทั้งชาติ!"

"เพียะ!"

แรงจากฝ่ามือของแม่ตบเข้าที่หน้าผม ไม่ได้แรงจนรู้สึกเจ็บ แต่ก็หยุดทุกคำพูดและการกระทำของผมให้เงียบลง ผมหันหน้ามองแม่อย่างไม่รู้สึกผิด

"แม่หวังว่าวันหนึ่งภูจะโตพอที่จะเข้าใจ"

ผมไม่ได้ตอบอะไรแม่ แล้วเดินออกมาจากบ้านโดยที่แม่ไม่ได้เรียกรั้งเอาไว้ ผมเดินออกมาถึงถนนใหญ่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งลงบนพื้นฟุตบาท

ไม่มีที่ไป...   

บางทีผมก็อยากรู้ว่าพ่ออยู่ที่ไหน เผื่อเวลาทะเลาะกับแม่จะได้หนีไปนอนบ้านพ่อบ้าง หรือถ้าดีกว่านั้น ก็อยากให้พ่อยังอยู่กับแม่ ถ้าเป็นแบบนั้น แม่ก็คงไม่ต้องไปเป็นเมียน้อยใคร ผมทำได้ปล่อยให้ความคิดเคลื่อนผ่านความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในจินตนาการ

"ตุ้บ...ตุ้บ...ตุ้บ..."

ผมหันไปมองเสียงของกระทบพื้น ดังเช่นกันเหมือนเมื่อวานจากคนๆ เดิม นาวีกับลูกบาสที่เด้งกระทบพื้นสองสามครั้ง ก่อนเขาจะจับมันขึ้นวางบนนิ้วแล้วเลี้ยงมันให้หมุนอยู่อย่างนั้น

"โอ๊ะ!"

ทันทีที่หันมาเห็นผม ก็เผลอทำลูกบาสหลุดมือจนมันกลิ้งมาหาผม ผมเอื้อมมือคว้าลูกบาสเอาไว้ก่อนที่มันจะกลิ้งผ่านหน้าไป นาวีก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหาผม

"เพิ่งกลับเหรอ"

"อือ แล้วมึงมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ

"โดนไล่ออกจากบ้านมาหรือไง"

"เปล่า กูหนีออกมา"

"เฮ้ย...กูพูดเล่นนะเนี่ย"

เพราะผมไม่ตอบอะไร นาวีจึงนั่งลงข้างๆ ก้มมองผมด้วยใบหน้าจริงจัง

"มองอะไร"

"ดูว่ามึงล้อกูเล่นหรือเปล่า"

"กูไม่ใช่เอกการแสดงเหมือนมึง แล้วนี่หายปวดท้องแล้วใช่ไหม"

"อย่าเปลี่ยนเรื่องดิ กูโฟกัสเรื่องมึงอยู่"

"เออ กูทะเลาะกับแม่มา"

มันพยักหน้ารับ คิ้วขมวดเข้าหากันนิดหน่อยตอนที่ยังมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น

"ทำหน้าแบบนั้นคืออะไรวะ"

"อยากถามแต่กลัวจะหาว่าเสือก"

"ไม่มีอะไรหรอก"

"แล้วคืนนี้มึงจะนอนข้างถนนเหรอ เอาหนังสือพิมพ์มาห่มไหม เดี๋ยวกูไปซื้อเซเว่นให้"

"กวนตีนเหมือนกันนะเราอ่ะ"

นาวีหลุดขำออกมาเบาๆ ผมเหลือบมองแผลที่หัวเข่าที่มีผ้าก็อชแปะเอาไว้ เดาว่าเมื่อกลางวันพี่โอ๋คงทำแผลให้แล้ว

"มึงจะกลับบ้านหรือเปล่า"

"กลับดิ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยกลับ"

"เด็กมีปัญหาจริงๆ เลยมึง เอางี้ ไปบ้านกูก่อน ไป ลุก"

"ฮะ?"

"จะนั่งตรงนี้ให้ยุงกัดตายหรือไงล่ะ ไปบ้านกูก่อน ดึกๆ ค่อยกลับบ้านมึงไง"

มีเพื่อนไม่กี่คนที่ผมเคยไปบ้าน แต่นาวีเป็นคนแรกที่ชวนเข้าบ้านทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันได้สองวัน แต่ก็ยอมเดินตามอีกคนที่พาตรงไปบ้านตัวเอง

"มึงอยู่แถวนี้มานานยังวะ"

"ตั้งแต่เกิดอ่ะ ทำไมเหรอ"

"กูกลับบ้านทางนี้ทุกวัน ไม่เคยเห็นมึงเดินผ่านตรงนี้เลย"

"อ๋อ ปกติกูขี่มอไซค์ไปโรงเรียน แต่เพิ่งแวนซ์จนล้มไป แม่เลยยึดอ่ะ ให้กูเดินไปเรียนแทน"

ผมพยักหน้าฟังคนข้างๆ เล่า ก่อนเราจะมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเขา ทาวเฮ้าส์สองชั้นขนาดย่อม ด้านบนเป็นดาดฟ้า หน้าบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ผมกำลังก้าวเท้าตามนาวีเข้าบ้านแต่คนข้างหน้าหยุดเดินแล้วหันมาพูดเบาๆ

"ถ้าแม่กูถามว่าชอบกินสุกี้ไหม ให้บอกว่าไม่ชอบนะ"

ผมพยักหน้ารับงงๆ ยังไม่เข้าใจที่เขาพูดแต่นาวีก็ลากผมเดินเข้าบ้าน เข้าไปถึงสิ่งแรกที่ผมมองคงไม่พ้นคนที่อยู่ในนั้น ผู้ชายตัวสูงผิวขาว กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาเกากีตาร์คลาสสิกเป็นเพลงที่ผมไม่คุ้นหู ใบหน้าเคลิบเคลิ้มพลางโยกหัวไปตามทำนอง

"นั่นพ่อกู ศิลปินสุด"

ผมพยักหน้ารับตอนนาวีหันมาบอก ก่อนเสียงเพลงจากกีตาร์ของศิลปินจะหยุดลงเพราะเสียงตะโกนของนาวี

"พ่อ! เพื่อนมาบ้าน!"

"โอ๊ย! ตกใจหมด!"

"เพื่อนมาบ้าน"

นาวีพูดซ้ำ ผมจึงยกมือขึ้นไหว้

"เข้ามาสิๆ"

"เสียงดังอะไรนาวี" ผู้หญิงอีกคนที่เดินออกมาจากอีกห้อง ผมเดาว่าเป็นแม่ของเขา เพราะใบหน้าที่คล้ายจนดูออกในครั้งแรกที่มองเลย   

"พ่อ แม่ นี่ภูผา มันมาเที่ยวบ้าน เดี๋ยวก็ไปละ"

ผมยกมือขึ้นไหว้อีกที

"กูไปอาบน้ำแป๊บหนึ่ง มึงคุยกับพ่อแม่ไปก่อนละกัน"

ผมพยักหน้ารับ แม่นาวีก็ขยับมายืนข้างผมแล้วชวนคุยก่อน

"ภูผาเหรอ ไม่เคยได้ยินชื่อเลย"

"ผมเพิ่งรู้จักกับนาวีครับ"

"อ๋อ แล้วนี่บ้านเราอยู่แถวไหนล่ะ"

"ซอยถัดไปนี่เองครับ"

"กินข้าวมาหรือยัง"

"กินแล้วครับ"

"ชอบกินสุกี้ไหม"

"ก็...กินได้ครับ"

"ไอ้ภูผา! กูสั่งให้มึงบอกว่าไม่ชอบไง!"

ผมหันขวับมองนาวีที่โผล่พรวดออกมาจากห้อง ผมลืมคำสั่งที่กำชับเอาไว้หน้าบ้านเมื่อกี้เลยตอบคำถามแม่ไปอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม กระทั่งแม่เขาพูดขึ้นมา

"กินสุกี้กันดีกว่า!"

"อีกแล้วเหรอแม่!"

"พ่อขอมาม่าต้มได้ไหม"

แม่ของเขาไม่รับฟังเสียงโต้แย้งของคนในบ้านแล้วตรงเข้าครัวไป นาวีหันมองผมเคืองๆ 

"ช่วงนี้แม่กูอินกับการกินสุกี้ นี่กินกันมาสามวันติดแล้ว กูเบื่อมากเลยเนี่ย"

"ขอโทษ"

"มึงไปช่วยแม่ในครัวเลยไป"

ผมเดินตามแม่เข้าไปในครัว เสนอตัวเข้าไปช่วยทั้งๆ ที่ผมไม่เคยหยิบจับอุปกรณ์อะไรในครัวเลยด้วยซ้ำ แม่นาวีช่วยบอกให้ว่าอะไรควรทำยังไง ผมจึงได้ใช้เวลาอยู่ในครัวกับแม่นาวีจนกระทั่งเตรียมอาหารเสร็จ เป็นสุกี้ที่อาจกินได้ทั้งหมู่บ้านเลย ผมไม่ควรพูดว่าชอบกินปูอัด เพราะแม่เขาหั่นปูอัดมาจานใหญ่ ผมไม่ควรบอกว่ากินผักได้ เพราะผักถูกยกมาแทบทั้งสวน 

"นาวีชอบกินเบคอนมาก กินคนเดียวได้เป็นกิโลเลย ภูผาชอบไหม"

"ไม่...ไม่ค่อยชอบครับ"

ผมโกหกเพราะคิดว่าเบคอนในจานเพียงพอแล้วสำหรับนาวี หากผมบอกว่าชอบอีกแม่เขาคงเอามันออกมาเพิ่มอีก นาวีที่อาบน้ำเสร็จพอดีเดินออกมา กลอกตาขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจ ผมเลื่อนสายตามองไปที่เข่าของอีกฝ่าย ผ้าก็อชถูกเอาออกแล้ว รอยช้ำยังไม่ยุบ แผลเริ่มตกสะเก็ด เจ้าของแผลดูไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมาก เดินมานั่งบนโต๊ะ หยิบปูอัดดิบกินก่อน แล้วหันไปหาพ่อที่ยังนั่งเกากีตาร์อยู่

"พ่อ จะกินไหม"

"พ่ออยากกินมาม่าต้ม"

"จะลุกมากินดีๆ ไหม กีตาร์น่ะเลิกเล่นได้แล้ว เดี๋ยวก็จับทุ่มให้หมดเลยนี่ ลุกมา อย่าลีลา"

ผมหลุดยิ้มตอนแม่เขาหันไปร่ายยาวใส่ ศิลปินใหญ่ทำหน้างอวางกีตาร์ลงบนโซฟา แล้วย้ายตัวเองมานั่งที่โต๊ะกินข้าว มื้อเย็นของบ้านหลังนี้ก็เริ่มขึ้นโดยมีผมเป็นแขกที่ไม่ได้เชิญ ทั้งที่กินข้าวมาแล้ว แต่ไม่ได้หมายถึงอิ่มมาแล้ว เพราะตอนออกไปกินข้าวกับลุงวุธผมแทบไม่ได้ตักอะไรเข้าปากเลย มื้อนี้จึงขอมีส่วนร่วมและฝากท้องไว้ที่บ้านของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน 

"กินเยอะๆ เลยนะภูผา"

"ครับ"

"กินไม่หมดมึงโดนแม่กูโกรธแน่" คำพูดกระซิบขู่จากคนข้างๆ ทำให้ผมเหลือบตาไปมองอาหารที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ผมไม่อยากถูกแม่นาวีโกรธ แต่คิดไม่ตกจริงๆ ว่าจะกินยังไงให้หมดนี่

เสียงพูดคุยระหว่างคนในบ้านนี้ดำเนินไปพร้อมกับมื้ออาหาร แต่เขาไม่ได้ทิ้งให้ผมนั่งอยู่เฉยๆ หันมาชวนคุยด้วยแต่ผมชอบที่จะนั่งฟังพวกเขาคุยกันมากกว่า หลายครั้งที่หันมองนาวีพูดคุยกับพ่อแม่ตัวเองอย่างดูสนิทสนมกันดี หันกลับมามองตัวเองที่ไม่เคยพูดกับแม่แบบนั้นเลย ผมไม่เคยเห็นแม่ตัวเองตอนทำกับข้าว ผมไม่รู้ว่าแม่จะมีความสุขกับการทำอาหารแบบนี้ไหม พ่อของผมจะเป็นคนยังไง จะชอบกีตาร์กับดนตรีคลาสสิกหรือเปล่า หากว่าครอบครัวเราได้อยู่ด้วยกัน บนโต๊ะอาหารจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแบบนี้ไหม

"ภูผา"

"ครับ"

"ลองกินนี่สิ อ้า..."

ผมอ้าปากรับลูกชิ้นที่แม่นาวีป้อนให้ถึงปาก ก็แค่ลูกชิ้นหมูธรรมดา แต่เคี้ยวเข้าปากไปแล้วผมก็ยิ้มกว้างออกมา รู้สึกว่ามันอร่อยเป็นพิเศษ

หลังจบมื้ออาหาร ผมมานั่งคุยกับนาวีและพ่ออยู่ที่โซฟา ผมไม่มีความรู้เรื่องดนตรีเท่าไร เลยไม่ได้ออกความเห็นอะไรไปมากกว่าฟังพ่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรีให้ฟัง ดูเหมือนว่ารสนิยมทางดนตรีของพ่อลูกทั้งสองคนนี้จะไปในทิศทางเดียวกัน จึงพูดคุยกันไม่หยุด กระทั่งแม่ของเขาเป็นคนเข้ามาขัดบทสนทนานั่น สองมือถือชุดกระโปรงยาวข้างหนึ่งสีขาว อีกข้างสีชมพู ก่อนหันมาถามความคิดเห็น

"เอาตัวไหนดี"

"ขาว" พ่อเขาเลือกตัวนั้น

"ชมพู" นาวีเลือกอีกตัว

แม่เขายกชุดทั้งคู่ทาบตัวสลับกันไปมาอีกสองสามครั้ง ก่อนตัดสินใจได้

"ชมพูละกัน"

"เยส!" นาวีลั่นเสียงอย่างคนชนะ หันมองพ่อแล้วยักคิ้วให้หน่อยๆ พ่อเขาก็ทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่แล้วยกมือเขกหัวลูกชายเบาๆ

"ภูผา จะนอนที่นี่ไหม" พ่อเขาหันมาถาม ผมเพิ่งหันมองดูนาฬิกาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาที่บ้านเขา เกือบจะห้าทุ่มแล้ว

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเลยดีกว่า"

"กูไปส่ง"

"ไม่เป็นไร"

"แม่! เอามอไซค์ไปส่งเพื่อนนะ" นาวีไม่ได้ฟังคำปฏิเสธของผมแล้วหันไปตะโกนบอกแม่ ก่อนเดินไปหยิบกุญแจรถที่หน้าทีวี

"ขับดีๆ ล่ะ อย่าไปล้มอีก"

"ครับผม"

ผมบอกลาพ่อกับแม่ของนาวี ก่อนเดินออกมานอกบ้านตามนาวีไปที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ รอยถลอกข้างรถยังสดพอๆ กับแผลที่หัวเข่าของเจ้าของ

"เดี๋ยวกูขับเอง"

"ทำไม ไม่ไว้ใจกูเหรอ"

"อืม ไม่อยากซ้อนคนขาเป๋"

"แต่กูคือคนขาเป๋ที่ถีบมึงได้นะ"

"เฮ้ย!" ไม่พูดเฉยๆ ยังยกขาขึ้นมาถีบผมจริงๆ ผมที่หลบไม่ทันถึงโดนถีบจนเซ แต่นาวีก็ยอมโยนกุญแจมอเตอร์ไซค์ให้

ผมขับรถออกมาข้างนอก ระหว่างทางกลับบ้าน ยิ่งดึกจึงยิ่งเงียบ ผมหันไปมองร้านยาก่อนทางเลี้ยวเข้าบ้าน เห็นว่าเปิดอยู่เลยขับไปจอดหน้าร้าน

"แวะทำอะไรวะ"

"แล้วมึงว่าคนเราจะทำอะไรได้บ้างที่ร้านยา"

"กวนตีน"

"เออ รอนี่" ผมบอกกับนาวีแล้วเดินตรงเข้าร้านยา ได้ของที่ต้องการก็เดินออกมาหานาวีที่นั่งอยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ แล้วยื่นถุงยาในมือให้

"ให้กู?"

"เออ จะได้หายเร็วๆ"

"มึงนี่วุ่นวายกับกับหัวเข่ากูจัง เป็นอะไรอ่ะ"

ผมไม่ได้ตอบแล้วนั่งยองลงกับพื้น ในระดับสายตาอยู่ที่แผลของเขาพอดี ยกมือจับท่อนขาจนคนที่นั่งอยู่บนเบาะรถสะดุ้งนิดหนึ่ง

"กลัวขามึงจะเป็นแผลเป็น"

"นี่มันขากูไง จะเป็นไม่เป็นก็เรื่องของกูสิ"

"กูไม่ชอบให้มันเป็นรอย ไม่สวย"

"เฮ้ย สวยอะไรล่ะ! กลับบ้านได้แล้วมึงอ่ะ"

"อืม เดี๋ยวเดินไปเอง มึงกลับเหอะ"

"เออ ไม่ไกลใช่ไหม"

"ไม่ไกล ขับรถดีๆ นะ อย่าล้มให้เป็นรอยอีก"

"เออน่า ไปได้แล้ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วลุกเดินออกมา

"ภูผา"

"ฮึ?"

"คุยกับแม่ดีๆ นะ"

ผมพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเดินตรงกลับบ้าน ไม่ได้หันกลับไปมองแต่ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ของนาวีขับออกไปแล้ว เดินมาไม่ไกลผมก็ถึงหน้าบ้าน ผมไม่ได้ลังเลที่จะเข้าไป แม่ก็คงรู้อยู่แล้วว่ายังไงผมก็ต้องกลับมาเลยเปิดไฟหน้าบ้านทิ้งเอาไว้ ประตูรั้วก็ไม่ได้ล็อก ผมเดินเข้าไปในบ้าน ถอดรองเท้าวางเกะกะอย่างทุกครั้ง แต่พอคิดว่าแม่ต้องเป็นคนจับมันเข้าชั้นวางทุกที ผมจึงหันหลังกลับไปหยิบรองเท้าตัวเองยัดใส่ชั้นวาง ในตอนนั้นสายตาผมมองไปเห็นรองเท้าคู่ใหม่ที่วางอยู่ข้างๆ ผ้าใบคู่เก่า รองเท้าสีเดิม ยี่ห้อเดิม แต่เบอร์ใหญ่กว่าเดิม รองเท้าที่เมื่อเช้าแม่บอกว่าจะซื้อมาให้ใหม่   

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นบ้าน หยิบรองเท้าคู่ใหม่มาสวมก็พบว่ามันพอดีกับเท้า ยืดขาออกไปมองรองเท้าคู่ใหม่ที่สวมอยู่

 

ผมอยากขอบคุณแม่...จริงๆ ก็อยากขอโทษแม่ด้วย

 

 
ต่อข้างล่างค่ะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
...

 

หลายวันผ่านเป็นอาทิตย์ ชีวิตที่บ้านและที่โรงเรียนของผมก็วนไปซ้ำๆ อย่างที่เคยเป็น ตั้งแต่ที่ผมเกิดมา ก็มีคนที่วนเวียนเข้ามาทำความรู้จัก ไม่ชั่วขณะหนึ่งก็เนิ่นนาน บางคนแค่รู้จักชื่อก็หมดบทบาทในชีวิต บางคนรู้จักกันแล้วก็ยังอยากรู้จักให้มากกว่านี้อีก

ก่อนหน้านี้ผมอาจเคยเดินสวนกับนาวีที่ใดสักแห่งในโรงเรียน อาจเคยต่อแถวกินข้าวร้านเดียวกัน นั่งเรียนในห้องเรียนที่ติดกัน หรือผมอาจเคยไปนั่งดูนาวีแข่งบาสตอนงานกีฬาสีก็ได้แต่ตอนนั้นผมไม่รู้จักเขา เมื่อรู้จักกันคนๆ นั้นก็มักเข้ามาปรากฏอยู่ในสายตา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความบังเอิญที่ทำงานอยู่บ่อยครั้ง หรืออาจเป็นเพราะความตั้งใจของผมที่มักหันมองหาเขาเสมอ

วันนี้ชั่วโมงสุดท้ายของผมคือวิชาพละ ผมเดินผ่านอาคารเรียนตรงไปโรงยิมระหว่างทางหันมองเห็นนาวีเดินอยู่ในตึก ผมไม่ได้เรียกเพียงแค่มองตามเขาไป คนตรงนั้นเดินไปทางห้องพยาบาล เดาไม่ได้ว่าวันนี้ป่วยจริงหรือแกล้งอีก

"ไอ้ภู มองอะไรวะ"

"ไม่มีอะไร"

ผมละความสนใจจากนาวี แล้วเดินตามเพื่อนไปโรงยิมวิชาพละกับการเล่นปิงปองเป็นอะไรที่น่าเบื่ออย่างที่นาวีเคยบอกจริงๆ นั่นแหละ ผมยิ่งไม่เอาไหนกับเรื่องกีฬาอยู่แล้ว เล่นได้แป๊บเดียวก็ออกมานั่งข้างสนาม เลื่อนสายตาผ่านโต๊ะปิงปองมองไปที่แป้นบาส

หัดเล่นบาสไว้ไปเล่นกับนาวีดีไหมวะ...

ผมหลุดยิ้มออกมากับความคิดของตัวเอง ไม่ทันเริ่มก็ล้มความคิดนั้นไปก่อน ผมไม่ชอบออกกำลังกาย ให้เสียเหงื่อให้กีฬาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับบางคนก็คงไม่ไหว

ชั่วโมงพละหมดคาบไปแล้ว ผมยังไม่เสียเหงื่อสักเท่าไร ดีที่อาจารย์ประจำวิชาไม่ได้เข้มงวดอะไร เลิกเรียนแล้วผมกับเพื่อนก็เดินกลับตึก ย้อนกลับมาผ่านห้องพยาบาลอีกที

"พวกมึงกลับกันไปก่อนเลยนะ"

"ไปไหนวะ"

"ไปห้องพยาบาลแป๊บ"

"ไปหาพี่โอ๋อีกแล้วเหรอ"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ แล้วเดินแยกออกมา เลิกเรียนแล้วห้องพยาบาลยังคงเปิดอยู่ เดินเข้าไปก็เห็นพี่โอ๋กำลังทำความสะอาดตู้ยาอยู่

"พี่โอ๋"

"อ้าวภู มาทำอะไร ไม่สบายเหรอ"

"เปล่า"

"แล้วมาทำอะไรอ่ะ"

"นาวีกลับไปยัง"

"ยังนอนอยู่เลย วันนี้ป่วยจริง"

"มันเป็นอะไรเหรอ"

"ปวดท้องน่ะสิ เป็นโรคกระเพาะแล้วก็ชอบกินข้าวไม่ตรงเวลา ชอบเอาเวลาพักเที่ยงไปเล่นบาส ภูเข้าไปเรียกให้หน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะปิดห้องแล้ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในห้อง เตียงเดิมคงเป็นที่ประจำของเขา ผมเดินไปถึงไม่ได้ปลุกคนที่หลับอยู่ในทันที เพราะดันเผลอยืนมองใบหน้านั้นอยู่เสียนาน

ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายความงดงามบนใบหน้าของผู้ชายคนนี้ว่ายังไงดี จะสวยก็ไม่ใช่ จะน่ารักก็มากกว่านั้น รูปร่างไม่ได้ผอมบาง อาจมีกล้ามเนื้อมากกว่าผมเพราะเป็นนักกีฬา แต่ว่าผิวขาวจัดเกินกว่าจะเป็นผิวพรรณของผู้ชาย แม้วันๆ จะเอาแต่ตากแดดวิ่งอยู่ในสนามบาส และเพราะผิวกายที่เนียนละเอียดนั้น ผมจึงคิดเสียดายหากร่างกายเรียบเนียนนี้จะมีรอยแผลเป็นตรงไหนผุดขึ้นมา แม้เพียงเล็กน้อยก็เห็นได้ชัดอย่างแน่นอน 

ผมยังไม่ทันเรียกเพื่อปลุก คนบนเตียงก็ขยับเปลือกตาตื่นขึ้นเอง ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะหันหลังเดินออกไปดีไหม คงแปลกแน่ถ้านาวีตื่นมาเห็นผมยืนมองตัวเองอยู่แบบนี้ แต่ไม่ทันแล้ว คนบนเตียงลืมตาขึ้นมองหน้าผม คิ้วขมวดเข้าหากันหน่อยๆ

"กูตายยัง"

"ยัง"

"แล้วมึงมายืนทำหน้าไว้อาลัยอะไรอยู่ตรงนี้วะ"

"กูจะเข้ามาปลุก แต่มึงตื่นก่อนไง"

"อ๋อ" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจนิดหน่อย กระโดดลงจากเตียงสวมรองเท้า คว้าเป้ขึ้นสะพายหลัง

"ป่ะ! กลับบ้านกัน"

"หายแล้วเหรอ"

"หายแล้วดิ" นาวีเดินนำผมออกไป บอกลาพี่โอ๋แล้วเดินไปในท่าสบายๆ ผมมองไม่เห็นถึงอาการป่วยจากคนที่ร่าเริงที่เดินไป กระโดดเหยงๆ ไปด้วย

"พี่โอ๋บอกว่าวันนี้ป่วยจริง"

"อือ เมื่อกลางวันไม่ได้กินข้าว"

"ไม่กินข้าวทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นโรคกระเพาะเนี่ยนะ"

"ก็คิดว่าจะโอเค"

"เหมือนมึงไม่ค่อยดูแลตัวเองอ่ะ"

"รู้ได้ไง"

"ก็จริงอ่ะ เป็นแผลก็ไม่ทายา รู้ว่าต้องปวดท้องแน่ๆ แต่ก็ไม่กินข้าว ไม่รู้จักดูแลตัวเอง"

"ก็ดูแลแล้ว แต่ดูแลได้ไม่ดี"

"..."

"รอให้คนอื่นมาดูแลอยู่"

ผมหันมองคนข้างๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนเราจะก้าวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ผมหันไปมองผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินมาข้างๆ เธอไม่ทันสังเกตผม จริงๆ ก็ไม่สังเกตสิ่งรอบตัวเลยเพราะกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านอะไรบางอย่างในมือผ่านแว่นตาอันหนาเตอะ

"นุ่น"

"อ่ะ...อ้าว ภูผา"

"เดินดูทางหน่อย เดี๋ยวก็ตกท่อหรอก"

"เดินทุกวัน ชินแล้วน่า หลับตาเดินยังได้เลย"

ผมหัวเราะหน่อยๆ กับคำพูดของนุ่น ก่อนเธอจะหันไปมองนาวี อีกฝ่ายยิ้มให้เป็นเชิงทักทาย นุ่นก็ยิ้มกลับไปแล้วหันมาถามผม

"กลับบ้านเหรอ"

"อือ นุ่นอ่ะ"

"เดี๋ยวไปเรียนพิเศษต่อ"

"ขยันเนอะ"

"แม่บังคับแหละ งั้นเราไปก่อนนะ" โบกมือลาทั้งผมและนาวี ก่อนจะก้มหน้าดูหนังสือแล้วเดินต่อไป

"เพื่อนในห้องเหรอ"

"อือ หัวหน้าห้องกู โดนเลือกเพราะเพื่อนแกล้งมัน เห็นมันเรียนเก่งเลยหมั่นไส้"

"เชี่ย มีงี้ด้วย แล้วมึงเลือกกับเขาด้วยป่ะน่ะ"

"บ้าดิ ไม่ได้เลือก"

"โอ้ คนดี"

"เปล่า กูเลือกเพื่อนกู อยากแกล้งมันมากกว่า"

นาวีหัวเราะออกมาหน่อยๆ แล้วหันมองตามนุ่น

"แต่เพื่อนมึงน่ารักดีนะ"

"นุ่นอ่ะนะ"

"อือ ตัวเล็กๆ ขาวๆ"

"อะไร จะจีบเพื่อนกูเหรอ"

นาวีส่ายหน้ายิ้มๆ

"ไม่อ่ะ"

"..."

"กูไม่ได้ชอบผู้หญิง"

 

 

...

To be continued.

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ติดตามค่ะ เดาไม่ออกเลยอ่าาา แล้ว3Pมั้ย นุสงสัยย  :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอ๊ะ ยังไงอะไรอ่ะ แต่ชอบภูผากับนาวีนะติดตามต่อไปค่ะ o13

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
พูดได้เลยว่า โคตรน่าติดตาม เหมือนจะเป็นความสัมพันธ์สีเทา :mew2:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ดูหน่วงๆหม่นๆ ชอบภูผาอยู่กับนาวี ธงทัพก็น่าสงสาร  :mew2:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 3

 

ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจผมเต้นแรง

เพียงเพราะมองหน้าคุณ


 

 

"ภูผา วันนี้ให้แม่ไปส่งไหม"

ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากบ้านตอนที่แม่พูดขึ้นมา ที่ทำงานของแม่กับโรงเรียนผมไปคนละทาง ผมเลยไม่ค่อยให้แม่ไปส่ง แต่วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวัน เดินไปคงไม่ทันเข้าโรงเรียนแน่ๆ เลยหันไปพยักหน้าตอบ แล้วเดินไปรอแม่ที่รถ ผมทะเลาะกับแม่บ่อยด้วยเรื่องเดิมๆ วันต่อมาเราก็มักจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ดีตรงที่เราต่างคนต่างใช้ชีวิตปกติ แต่ปัญหามันไม่เคยถูกแก้ไข มันก็ยังคงเป็นปัญหา รอวันที่จะพูดขึ้นมาเพื่อให้ทะเลาะกันอีก 

"ทำไมวันนี้ตื่นสาย เมื่อคืนมัวทำอะไร"

"ทำรายงาน"

แม่พยักหน้ารับ ไม่ได้ถามอะไรต่อ ผมเปิดประตูรถเข้าไปเห็นกองเอกสารวางอยู่เบาะข้างคนขับ มากเกินจะเก็บ แม่เลยบอกให้ผมไปนั่งข้างหลังแทน

"รถรก ไม่มีเวลาเก็บเลย ไปนั่งข้างหลังไป"

ผมเดินไปนั่งเบาะหลัง ที่สภาพไม่ได้ต่างจากเบาะหน้าเท่าไร ระหว่างทางที่แม่ขับรถออกไป เลยจับเอกสารพวกนั้นรวบใส่แฟ้ม ผมเห็นแม่ทำงานตลอดเวลา จำไม่ได้ว่าวันหยุดของแม่คือวันไหน หรือมันไม่มี เราจึงไม่เคยได้ใช้เวลาในวันหยุดไปไหน หรือทำอะไรด้วยกัน น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่สนิทกัน แม้ว่าแม่จะเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ผมมีอยู่ก็ตาม

"นี่ใกล้จะสอบแล้วใช่ไหมภู"

ผมหันมองแม่เพราะเสียงนั่น แต่ไม่ทันได้ฟังว่าแม่พูดอะไร เลยถามซ้ำ

"แม่ว่าไงนะ"

"เหม่ออะไรอยู่ แม่ถามว่าใกล้จะสอบแล้วใช่ไหม"

"อ๋อ ใช่"

"อืม รู้สึกว่าอาทิตย์หน้าทัพจะไปสอบตรงเข้ามหาลัยนะ"

"เรื่องของมันสิ"

ผมมักจะพูดอะไรออกไปตรงๆ เพราะความไม่ไตร่ตรองแล้วพูดในสิ่งที่คิดออกไปเลย จึงทำให้แม่หันมามองด้วยสายตาดุๆ แต่เรื่องนี้ ต่อให้คิดอีกที ผมก็จะพูดแบบเดิม

"ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับภู"

"พูดให้ฟัง เราจะได้ขยันเหมือนพี่เขา จะสอบเข้าคณะอะไรก็คิดเอาไว้บ้าง ม.ห้าแล้ว"

ผมไม่อยากเถียง เลยปล่อยให้แม่พูดไปคนเดียว บ่นเรื่องแย่ๆ ของผม แล้วพูดถึงเรื่องดีๆ ของไอ้ธงทัพให้ฟัง ผมได้ยินจนเบื่อแม้จะไม่อยากฟัง ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมแม่ต้องชื่นชมมันขนาดนั้นทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำตัวดีกับแม่เลย ผมคิดว่าแม่คงยอมในสิ่งที่ตัวเองเอาชนะไม่ได้ แม่จึงต้องยอมมัน

 

ระหว่างที่กำลังจอดติดไฟแดง ผมหันไปเห็นผู้ชายที่เดินอยู่บนฟุตบาท ไม่ทันได้เห็นหน้า แต่ผิวขาวกับร่างสูงที่คุ้นตาก็บ่งบอกได้ทันทีว่าเป็นใคร

"แม่ ภูลงตรงนี้นะ"

"ทำไมล่ะ"

"เจอเพื่อนอะ เดี๋ยวเดินไปพร้อมมัน"

"ก็เรียกเพื่อนไปด้วยกันสิ เดี๋ยวก็สายทั้งคู่หรอก"

ผมพยักหน้ารับ แล้วเปิดกระจกรถไปเรียกคนบนฟุตบาท

"นาวี!"

คนถูกเรียกหันมามอง คิ้วขมวดเข้าหากันตอนถูกเรียก พอหันมาเห็นผมจึงคลายออก แล้วยกมุมปากเป็นรอยยิ้มก่อนวิ่งเข้ามาหา

"ขึ้นมาสิ" แม่หันมาบอก ผมเปิดประตูรถให้ นาวีพยักหน้าหน่อยๆ แล้วก้าวขึ้นมาบนรถ ยกมือไหว้แม่ผม

"สวัสดีครับ"

ทันทีที่นาวีเข้ามานั่งข้างๆ สายตาผมเลื่อนจากใบหน้าไปมองเข่าของอีกฝ่ายก่อน เพื่อมองดูว่าแผลตรงนั้นดีขึ้นแล้วหรือยัง ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะแม่พูดขึ้นมาก่อน

"บ้านอยู่แถวนี้เหรอลูก"

"ครับ"

ผมมีเพื่อนไม่มาก ไม่กี่คนที่เคยเจอกับแม่ ไม่รู้ว่าเป็นกันทุกบ้านไหม แต่แม่จะใจดีเป็นพิเศษเวลาอยู่กับเพื่อน

"แล้วเราอยู่ห้องอะไรล่ะ"

"ห้องห้าครับ"

ผมหันขวับไปมองตอนนาวีตอบคำถามนั้น

"อ้าว ก็ห้องเดียวกับภูเลยสิ"

จะเป็นห้องเดียวกันได้ยังไง ในเมื่อผมเพิ่งรู้จักกับเขา ไม่ใช่ว่าจะรู้จักคนในห้องไม่ครบซะหน่อย คำถามของผมปรากฏผ่านใบหน้าที่ขมวดคิ้วแน่น นาวีเลยบอกให้กระจ่าง

"ผมอยู่ม.หกครับ"

คิ้วยิ่งขมวดแน่นเข้าไปอีก

 

"ไม่บอก"

 

ผมพูดแบบไม่มีเสียง คนข้างๆ ยักไหล่ขึ้นแล้วตอบกลับมาแบบไม่มีเสียงเช่นกัน

 

"ไม่ถาม"

 

ก็จริงที่ผมไม่เคยถาม เราพูดคุยกันหลายเรื่องแต่ลืมเรื่องนี้ไป

"อยู่ม.หก แล้วรู้จักธงทัพไหม"

ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนที่แม่เอ่ยชื่อคนที่ไม่อยากได้ยินออกมาอีกแล้ว ทำไมชื่อมันต้องมาโผล่ในทุกบทสนทนาของเราด้วย   

"ธงทัพห้องหนึ่งเหรอครับ"

"ใช่ค่ะ รู้จักกันไหม"

"ไม่รู้จักครับ แต่เคยได้ยินชื่อ"

โชคดีที่แม่ขับรถมาถึงหน้าโรงเรียนก่อน เลยไม่ได้พูดอะไรต่อเรื่องไอ้ธงทัพ แต่ความสงสัยของคนข้างๆ ยังคงค้างอยู่ เลยเข้ามาถามผมตอนที่ลงมาจากรถ

"ธงทัพมันทำไมเหรอ"

"ไม่ทำไมหรอก แล้วมึงรู้จักมันได้ไง"

"ก็รู้จักแต่ชื่อ ไม่เคยคุยกัน แล้วแม่มึงรู้จักมันได้ไง"

"แม่เป็นแฟนคลับมัน"

"ฮึ?"

"ช่างมันเหอะ แล้วมึงอ่ะ ไม่เห็นบอกว่าอยู่ม.หก"

"เออ กูรุ่นพี่นะ เรียกกูพี่เลย"

"ไม่เอา"

"กูม.หกนะเว้ย"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ คนข้างๆ หน้าบูดแล้วกระแทกหมัดเข้ามาที่แขนผมแรงๆ ทีหนึ่ง

"เจ็บ"

"เรียกกูพี่ดิ"

"ไม่"

"เรียกพี่หน่อย พี่นาวี"

"แก่กว่าปีเดียวเอง"

"ปีเดียวก็เป็นพี่ได้ มึงไม่เคารพกูหน่อยหรือไง"

ผมสั่นหน้าหนี แต่อีกคนไม่ยอมง่ายๆ บังคับไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นอ้อนแทน

"ครั้งเดียว ลองเรียกหน่อยนะ พี่นาวี เรียกสิ พี่นาวี"

"เออๆ"

"..."

"พี่นาวี"

ผมพูดชื่อเรียกแบบนั้นออกไปอย่างลำบากใจ แต่ทำให้คนถูกเรียกยิ้มออกมาอย่างพอใจ

"ชอบใจมาก?"

"ชอบดิ มึงไม่ชอบเหรอ"

"ไม่อะ"

"ทำไมวะ"

"มึงอยากเป็นพี่เหรอ"

"อือ"

"แต่กูไม่อยากเป็นน้องไง"

"ฮึ?"

"แล้วนี่เข่าหายยัง" ผมเปลี่ยนเรื่อง คนข้างๆ ดูจะยังติดใจกับคำพูดเมื่อครู่อยู่ แต่ก็คล้อยเปลี่ยนเรื่องตาม

"วุ่นวายไม่เลิกนะมึงเนี่ย"

ผมก้าวเท้าไปข้างหน้า แล้วนั่งลงขวางทางเอาไว้ เพื่อมองดูแผลที่เข่า แผลแห้งแล้ว รอยช้ำก็หายไป เจ้าของแผลไม่ได้ขยับหนีตอนผมยกมือขึ้นจับเข่า ได้แต่พูดเบาๆ ตอนผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

"หายแล้วเหอะ"

"ก็ไม่อยากให้เป็นรอยไง"

"ไม่เป็นหรอก ทายาแล้วไง"

"อย่าให้เห็นว่าเป็นรอย กูชอบเนียนๆ"

"ชอบเข่ากูอะนะ"

"อือ หัวเข่ามึงน่ารักดี"

"จิตป่ะมึงเนี่ย!" นาวีตะโกนด่าก่อนหลุดหัวเราะออกมา ผมพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้น

"คนเขาเป็นห่วง ก็แค่รับๆ ไป"

"เป็นแบบนี้กับทุกคนไหมวะ"

"เป็นอะไร"

"เป็นห่วงเขาไปทั่วอะ"

"กับทุกคนแหละ"

"อ๋อ"

"กับทุกคนที่ชอบนะ"

"แล้วตอนนี้ชอบอยู่กี่คน"

"ก็คนเดียวนี่แหละ"

นาวีกระพริบตาสองสามที เลื่อนสายตาหนีผมที่มองอยู่ เม้มริมฝีปากแน่นก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ผมเองก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ตอนเห็นท่าทางของคนข้างๆ นาวีปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนหันมาต่อว่าผมเคืองๆ   

"มึงแย่งซีนกูอะ"

"อะไร"

"กูว่าจะจีบมึงก่อน"

"ช้า"

"โห เห็นมึงนิ่งๆ กูไม่คิดว่ามึงจะจีบใครเป็น"

"เจอคนแบบมึง ใครจะไปมัวนิ่งอยู่ล่ะ"

นาวีหลุดยิ้มออกมา แล้วยกมือตบบ่าสองสามที

"จีบให้ติดนะน้อง อย่าให้พี่ผิดหวัง" พูดแค่นั้นแล้วเดินหนีออกไปอีกทาง ผมยังมองตามอยู่ คนที่เดินออกไปหันหลังกลับมามอง เมื่อเห็นว่าผมยังยืนมองอยู่ก็รีบหันขวับแล้วก้าวเท้าเร็วๆ หนีไป เรียกอาการแบบนั้นว่าเขินได้หรือเปล่า แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่เขาหรอก ผมเองที่ยืนนิ่งอยู่นี่ก็เพราะทำตัวไม่ถูกต่างหาก เขินไม่ต่างกันเลย

 

...

 

ในหนึ่งอาทิตย์จะมีหนึ่งคาบที่ต้องเข้ามาเรียนในห้องสมุด ตามหลักสูตรมันเรียกว่าวิชาส่งเสริมการอ่าน แต่ในความรู้สึกของผมมันคือคาบว่าง เราแทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากหาหนังสือมาอ่านตามอัธยาศัย หนังสือในห้องสมุดไม่มีการ์ตูนที่ผมชอบอ่าน ผมเลยเลือกบางเล่มจากหมวดศิลปะมานั่งเปิดผ่านๆ ผมชอบวาดรูป ศิลปะเคยอยู่ในตัวเลือกของการเรียนต่อที่ผมคิดไว้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว มันเป็นเพราะอคติส่วนตัวที่มีต่อไอ้ธงทัพ พอรู้ว่ามันเดินทางสายนั้น ผมจะเลือกเดินอีกทาง ผมจะไม่เอาตัวเองไปอยู่ใกล้มันเพื่อให้พ่อมันหรือแม่ผมเปรียบเทียบผมกับมันอีก   

"ภูผา"

"ฮึ?"  ผมหันไปมอง ยุ้ย เพื่อนผู้หญิงข้างๆ ที่สะกิดเรียก

"เกิดวันอะไร"

ผมเหลือบตามองยุ้ยที่กำลังกางหนังสือพิมพ์อ่านคำทำนายดวงชะตาตามวันเกิด

"เกิดวันอะไร จันทร์ อังคาร พุธ"

"วันศุกร์" เพราะถูกถามซ้ำ พลางสายตาเค้นเอาคำตอบนั่นผมเลยบอกวันเกิดตัวเองไป แม้ไม่ได้สนใจคำทำนายอะไรนั่นแต่ก็เงียบฟังคนข้างๆ อ่านให้ฟัง

"คนเกิดวันศุกร์ การงานข้ามไป ยังเรียนอยู่ การเงินช่วงนี้ราบรื่นดีไม่มีปัญหา ความรักคนมีคู่ความรักยังมั่นคงเสมอมา คนโสดกำลังจะสมหวังในความรัก"

มุมปากผมขยับขึ้นนิดหนึ่งหลังจบประโยคนั่น

"โห ภูผายิ้ม"

"อะไร"

"ไม่ค่อยเห็นยิ้มเลย ทำไม ดวงแม่นเหรอ"

ผมพยักหน้ารับส่งๆ

"แม่นเรื่องอะไร เรื่องความรักเหรอ"

"เปล่า เรื่องงาน"

"งานอะไรล่ะ นี่ไม่ได้อ่านเรื่องงานเลย"

"อ้าวเหรอ..."

"มีความรักชัวร์!"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธแต่รอยยิ้มมันดันหุบไม่ลง เป็นความพิรุธที่แสดงออกมาชัดเพราะปกติผมยิ้มไม่บ่อยหรอก หนึ่งในความสามารถของผมคือการเปลี่ยนเรื่อง เลยชี้ไปมั่วๆ ที่หน้าแรกของหนังสือพิมพ์

"อ่านข่าวไปเลยไป"

ยุ้ยยักไหล่หน่อยๆ ก่อนพับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างๆ ผม ตอนนั้นเลยหันไปเห็นหัวข้อข่าวตัวใหญ่ที่หน้าแรก คนที่สนใจข่าวนั้นกลับเป็นผม เลยหยิบหนังสือพิมพ์นั่นมาอ่าน

 

"คืนวันที่ 7 นี้ ชวนดูฝนดาวตก คาด 100 ดวงต่อชั่วโมง"


 

จำไม่ได้เลยว่าเห็นดาวตกครั้งสุดท้ายเมื่อไร ผมจำวันที่บนหัวข้อข่าวเข้าไปในหัว เมื่อถึงวันนั้นหวังว่าตัวเองจะไม่ลืมออกไปยืนมองฟ้าเพื่อดูมัน   

"หมดเวลาแล้ว ไปกินข้าวกัน"

ผมพยักหน้ารับ เดินเอาหนังสือศิลปะไปเก็บที่ชั้น แล้วเดินตามเพื่อนออกมาข้างนอก จากตึกห้องสมุดไปโรงอาหารต้องผ่านสนามบาส สายตามันเลยกวาดหาคนบางคนอย่างห้ามไม่ได้ ไม่ทันจะมองครบสนาม เพื่อนข้างๆ ก็เข้ามาเรียก

"ไปฉี่แป๊บ ไปไหมมึงอะ"

ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินตามมันไปเข้าห้องน้ำ เท้ากลับชะงักตั้งแต่หน้าประตูเมื่อเห็นกลุ่มคนที่ยืนอยู่ในนั้น นักเรียนชายประมาณสี่ห้าคนยืนสูบบุรี่ควันลอยฟุ้งเต็มห้องน้ำ เพื่อนผมเดินเข้าไปก่อนแต่ผมลังเล จริงๆ ผมเองก็เห็นอยู่บ่อยกับกลุ่มนักเรียนที่มาแอบสูบบุหรี่ที่ห้องน้ำหลังตึก แต่ที่ไม่ก้าวตามเพื่อนไปเพราะหนึ่งในนั้นมันดันเป็นไอ้ธงทัพ มันเองก็หันมาเห็นผมพอดี ยกมือดึงบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออก หันหลังไปพ่นควันบุหรี่ แล้วเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหาผมก่อน 

"อย่าเสือกไปบอกพ่อกูล่ะ"

ผมอยากให้แม่เห็นจริงๆ ว่าเด็กดีของแม่เวลาอยู่ลับหลังพ่อแม่มันเป็นยังไง แต่ไม่อยากยุ่งเรื่องของมันเลยสวนกลับไป

"ไม่เคยสนเรื่องของมึงอยู่แล้ว"

ผมพูดแค่นั้นแล้วถอยออกมารอเพื่อนที่หน้าประตู ก่อนได้ยินเสียงพูดคุยจากข้างในแต่ไม่ได้จับใจความ ไม่นานเพื่อนผมก็เดินออกมา เพื่อนผมรู้ดีอยู่แล้วเรื่องผมกับไอ้ธงทัพ พวกมันรู้ว่าผมไม่ชอบเลยไม่เคยพูดถึงหรือถามอะไรเกี่ยวกับไอ้นั่นอีกเลย

ผมเดินตามเพื่อนไปโรงอาหาร เพราะมัวคิดในใจเรื่องไอ้ธงทัพอยู่ก็เลยไม่ได้หันมองไปที่สนามบาส กระทั่งคนที่อยู่ในสนามเป็นฝ่ายตะโกนเรียกผม

"ภูผา!"

"เฮ้ย!"

ลูกบาสในมือนาวีถูกเหวี่ยงเต็มแรงเข้ามาหา ผมจึงยกมือรับโดยอัตโนมัติ ลูกบาสกระทบมือเสียงดังลั่นเล่นเอาเจ็บ ผมหันไปบอกให้เพื่อนเดินไปก่อน ตอนที่นาวีเดินเข้ามาหา เลื่อนสายตามองคนที่เดินเข้ามาหัวจรดเท้า เวลาอยู่ในสนามบาสจะเปลี่ยนเป็นเสื้อยืด แต่กางเกงนักเรียนตัวเดิม วันนี้ตัวก็เปียกปอนไปด้วยเหงื่ออีกแล้ว

"โยนกลับไปดิ" นาวีว่าแล้วชี้มาที่ลูกบาสในมือผม ผมที่ยืนอยู่ขอบสนาม หันมองแป้นบาสที่อยู่ไกลออกไป เล็งตรงนั้นแล้วกระโดดขึ้นสูง ออกแรงโยนบาสในมือก่อนมันจะลอยเข้าห่วงไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมก็งงกับการกระทำของตัวเองถึงกับชะงักไปนิดหนึ่ง หันมองนาวีที่เบิกตาขึ้นหน่อยๆ  แล้วเขยิบเข้ามากระตุกแขนผม

"มึงมาเข้าทีมบาสเหอะ!"

"ไม่เอา"

"มันไม่ฟลุคแล้วแบบนี้อะ นี่มันมืออาชีพ"

"เวอร์"

"กีฬาสีมึงอยู่สีไหนเนี่ย สีเดียวกับกูป่ะ"

"ไม่รู้ว่ะ มันไม่ซ้ำกันสักปีอะ"

"อย่าให้รู้นะว่าไปเข้าทีมตรงข้ามมาแข่งกับกูอะ กูจะปาลูกบาสใส่หน้ามึงเลยจริงๆ"

"กลัว"

"กูพูดจริงนะเว้ย!"

"เออ ไม่แข่งหรอก ขี้เกียจวิ่ง แล้วนี่กินข้าวยัง" ผมถนัดเปลี่ยนเรื่อง เลยถามถึงข้าวกลางวันแทนเรื่องบาส

"ยัง"

"ไปกินข้าวดิ รออะไร"

"เดี๋ยวเล่นเสร็จก็ไปไง"

"ทำไมไม่กินก่อน"

"กินข้าวแล้วมาวิ่งก็อ้วกแตกดิวะ"

"ไม่กินเดี๋ยวก็ปวดท้องอีกอะ ไม่เข็ดเหรอ เจ็บไม่จำ"

"มึงมาบ่นอะไรกูเนี่ย"

"มึงบอกว่าอยากได้คนดูแลไม่ใช่เหรอ"

"มึงจะเป็น?"

"ถ้ามึงไม่ว่า"

นาวีเหลือบตามองไปทางซ้าย กลอกกลับมาทางขวา แล้วหันมองตรงเพื่อสบกันกับตาผม ก่อนพูดบางประโยคออกมาไม่เต็มเสียง

"จะไปว่าอะไรได้"

นาวียิ้มอย่างไม่กลั้น ผมก็เขินแต่เนียนทำหน้าตายแล้วไล่ไปกินข้าวอีกที

"ไปกินข้าวดิ"

"เออ ไปแล้ว"

นาวีพูดแค่นั้นแล้วหันหลังเดินกลับไป สองสามก้าวก็หันกลับมาเรียกผมไว้อีกที

"ภูผา"

"ฮึ?"

"พรุ่งนี้มาเตือนอีกนะ"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ แล้วตอบรับอย่างล้อเล่น 

"ครับพี่นาวี"

"หูย น่ารักสัด!"

นาวีชี้นิ้วใส่หน้าขยิบตาข้างหนึ่งแล้ววิ่งกลับเข้าไปในสนาม ผมอยากจะสวนคำเดียวกันกลับไป แต่เก็บเอาไว้ในใจแล้วเปลี่ยนมันเป็นรอยยิ้มแทน ผมว่าคำนั้นมันเหมาะกับเขามากกว่า

 

น่ารัก...

 

...

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่ผมรู้สึกว่าเวลามันเดินเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปเป็นอาทิตย์แล้ว ตลอดอาทิตย์ที่ชีวิตในโรงเรียนของผมมันเปลี่ยนไป ไม่ได้เฉื่อยชารอเวลาเรียนให้หมดไปเหมือนที่ผ่านมา พักกลางวันก็ยังคงเป็นชั่วโมงโปรดที่ชอบที่สุด ผมหาเรื่องเดินผ่านสนามบาสทุกๆ วันเพื่อให้มั่นใจว่านาวีไปกินข้าวแล้ว ผมยังไม่เคยได้นั่งกินข้าวกลางวันกับนาวีสักมื้อเลย แต่เราเจอกันทุกวันตอนเย็น ผมไม่ได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปอยู่ที่ร้านเกม แต่มานั่งรอนาวีที่สนามบาสแทน ก่อนเดินกลับบ้านพร้อมกัน ช่วงนี้ใกล้กีฬาสีแล้วนักกีฬาอย่างเขาก็ต้องซ้อมหนักกว่าปกติ ตอนวิ่งอยู่ในสนามไม่เห็นรู้จักเหนื่อย แต่พอเลิกซ้อมที่ไรแทบจะให้ผมลากกลับบ้านทุกทีเพราะหมดแรงจะเดิน

"ขี้เกียจเดิน ขอขี่คอได้ป่ะ"

"คอหักดิ"

"มึงก็เวอร์!"

"ทำไมไม่เกิดมาตัวเล็กๆ ล่ะ"

"แล้วทำไมมึงไม่เกิดมาตัวใหญ่กว่านี้ล่ะ กูสูงกว่ามึงอีกมั้งเนี่ย" นาวีพูดแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ ยกมือทาบความสูงของผมกับเขาที่พอๆ กัน แต่ถ้าวัดกันตามเซนติเมตรจริงๆ เขาคงสูงกว่าผม

"กูยังโตไม่เต็มวัยไง"

"อ๋อเหรอ งั้นโตเร็วๆ น้า" นาวีแกล้งพูดหยอก ยกมือเคาะหัวผมเล่น ก่อนเสียงมือถือในกระเป๋าของเขาจะดังขึ้น จึงหยิบออกมารับ

"ครับแม่ ภูผาเหรอ อยู่ด้วยกันเนี่ย"

ผมหันมองเมื่อได้ยินชื่อตัวเองจากปากเขา

"ภูผา แม่ชวนกินข้าวเย็น ตกลงครับแม่"

"ฮึ?" ผมร้องออกมาหลังจากนาวีตอบตกลงแม่ไป โดยที่ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เขาพูดกับแม่อีกสองสามประโยคแล้วกดวางสายไป

"ไปตกลงตอนไหนเนี่ย"

"ไปเหอะ แม่กูซื้อกุ้งมาครึ่งอ่าว กินมาสองวันแล้ว มึงไปช่วยกินหน่อย จะได้หมดๆ ไปสักที"

ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้อยากขัดใจนาวี แล้วกับข้าวบ้านเขาก็ดันอร่อยจนไม่อยากปฏิเสธด้วย จึงเดินตามเขาไป ก่อนถึงบ้าน นาวีชวนแวะร้านค้าหน้าปากซอย เขาเดินเข้าไปเลือกซื้อขนม ผมกำลังจะเดินตามแต่ได้ยินเสียงทีวีที่เจ้าของร้านเปิดเลยหันไปให้ความสนใจกับมันก่อน

 

"ทางด้านนักดาราศาสตร์ออกมาชี้ว่าปรากฏการณ์ฝนดาวตกคืนนี้ เฉลี่ยหนึ่งร้อยดวงต่อชั่วโมงเลยทีเดียว..."

 

ผมเลื่อนสายตามองปฏิทินที่ผนังร้าน วันที่จากหัวข้อข่าวที่คิดว่าจะไม่ลืม สุดท้ายไม่ได้นึกถึงมันเลย นาวีเลือกซื้อขนมเสร็จแล้วเดินมาหาผมที่ยืนดูข่าวอยู่

"มีดาวตกเหรอ เมื่อไรอะ"

"คืนนี้"

"จริงดิ น่าดูว่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นเลย"

"ไม่เคยเลยเหรอ"

"มันชอบตกดึกๆ ไง กูนอนก่อนทุกทีอะ"

"คืนนี้อยู่ดูกันไหม พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องตื่นเช้า"

"เอาดิ บ้านกูมีดาดฟ้า เดี๋ยวขึ้นไปดูบนนั้นกัน"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนนาวีจะจ่ายเงินค่าขนมแล้วเดินตรงไปบ้าน ไม่ทันจะก้าวเข้าประตูบ้านผมก็ได้กลิ่นอาหารหอมมาไปถึงหน้าบ้าน เข้ามาก็เห็นอาหารหลายอย่างที่ใช้กุ้งเป็นวัตถุดิบหลัก มากจนข้างๆ หันมาแซวแม่ตัวเองให้ผมฟัง

"แม่กูจัดโต๊ะจีนมั้งนั่น"

"อ้าว มากันแล้วเหรอ เข้ามาเลย"  ผมยกมือไหว้ทั้งพ่อและแม่ของนาวี ในหนึ่งอาทิตย์นี้ผมแวะมาที่นี่เป็นครั้งที่สาม บางทีแวะมาส่งนาวีที่หน้าบ้านก็โดนลากเข้ามากินข้าว ตอนที่พ่อแม่นาวีรู้ว่าผมต้องหาข้าวเย็นกินเองเพราะแม่กลับบ้านช้า ท่านก็ชวนผมมากินข้าวด้วย แต่ผมเกรงใจเลยไม่ได้อยู่กินทุกวัน

"นาวี ไปหยิบจานมา"

"โห่ มาถึงก็โดนใช้เลย"

"มีลูกคนเดียว ไม่ให้ใช้ลูกจะใช้ใคร"

"ใช้ภูผาดิ"

"อย่ามาโยนให้เพื่อน ไปหยิบมา"

นาวีหันมามองตาขวางใส่ผมก่อนเดินไปหยิบจานให้แม่ ผมยืนมองอาหารบนโต๊ะที่มากมาย แทบจะมากเกินไปสำหรับกินกันแค่สี่คน ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ห่างจากทะเลไม่กี่กิโลฯ แต่ผมกลับไม่ค่อยได้กินอาหารทะเล แม่ไม่เคยทำให้กินด้วยซ้ำ

"ภูผา ไปล้างมือก่อนลูก"

"ครับ"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปล้างมือ นาวีที่ล้างเสร็จก่อนสะบัดน้ำใส่หน้าผม

"แกล้งว่ะ"

"หมั่นไส้ แม่หลงมึง"

"กูน่ารักไง"

"อันนี้ไม่เถียง"

"เอ้า"

"อึ้ย! น่ารัก!" นาวีว่าแล้วยกมือหยิกคางผมเบาๆ ผมดึงหน้าหนีแต่กลั้นยิ้มไม่อยู่ ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็ก ทั้งที่อายุห่างกันแค่ปีเดียว สงสัยอยากแก่มากมั้ง

"นาวี ไปหยิบน้ำมา"

"โห่แม่ ภูผามันยืนอยู่ใกล้ตู้เย็นกว่าอีก ทำไมไม่ใช้มัน!"

"เรานั่นแหละ ไปหยิบมา"

นาวีถอนหายใจยาวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำกับแก้วหลังตู้เย็น มาวางบนโต๊ะอาหาร นั่งลงข้างๆ ผมแล้วสะกิดเรียกพ่อ

"พ่อ ผมอยากมีน้อง"

"มีน้อง?"

"อือ แม่จะได้ใช้งานมันแทนไง ขอน้องให้ผมคนหนึ่งดิ"

"อันนี้ต้องไปขอแม่"

"ไม่เอาแล้ว! คนเดียวก็จะแย่ละ"

"โห่ ก็อยากมีน้องอะ"

"ไม่ต้องเลย กินได้แล้ว ภูผากินเยอะๆ นะลูก"

แม่นาวีดูแลผมดีกระทั่งแกะเปลือกกุ้งให้ แม้ผมบอกจะทำเอง ขณะที่นาวีก็มีพ่อที่คอยทำให้เหมือนกัน ในระหว่างการพูดคุยของคนในครอบครัวนาวี ผมไม่ค่อยมีบทพูดใดเหนือไปจากการนั่งฟังเฉยๆ แต่ในทุกๆ บทสนทนาของพวกเขา ก็ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วยได้ตลอด

"ใกล้จะกีฬาสีแล้วใช่ไหมเนี่ย"

"เดือนหน้าแล้ว ตอนนี้ซ้อมหนักโคตร รองเท้าพังหมดแล้วอะ พ่อซื้อรองเท้าใหม่ให้หน่อยดิ"

"เพิ่งซื้อไปนี่"

"ก็มันพังแล้วไง ซื้อให้ใหม่หน่อยนะ นะๆ"

"เทอมนี้สอบได้ที่หนึ่งสิ เดี๋ยวพ่อซื้อให้"

"โห่ ไม่อยากซื้อก็บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า"

"นี่ เราน่ะมัวเล่นแต่บาส อย่าลืมเรื่องสอบเข้ามหาลัยด้วยล่ะ"

"ไม่เรียนต่อได้ป่ะ"

"ไม่เรียนแล้วจะทำอะไรกิน"

"เกาะพ่อกินไง พ่อตายมรดกก็เป็นของผมคนเดียวอยู่ดี"

"ลูกชั่ว!"

เราทั้งหมดหัวเราะออกมาพร้อมกันกับการหยอกล้อรุนแรงไปหน่อยของนาวี 

"แล้วภูผาล่ะ จะเรียนต่อคณะอะไร"

"ยังไม่ได้คิดเลยครับ"

"มันเพิ่งม.ห้าเองแม่ มีเวลาคิดอีกเป็นปี"

"อ้าว นึกว่าอายุเท่ากันซะอีก"

"เป็นรุ่นน้องครับ" ผมพูดออกไป เรียกว่าไม่เต็มปากนัก คนเป็นพี่ก็ได้ทียื่นมือมาเคาะหัวอย่างล้อเล่น

"ไหน เรียกพี่สิลูก"

"พี่นาวี เอามือออกไปจากหัวกู" ผมกัดฟันพูด อีกฝ่ายเลยใช้มือที่ลูบหัวอยู่ตบเข้ามาเบาๆ

"นี่ไง ภูผาอ่อนกว่านาวีปีใช่ไหม ก็เป็นน้องให้วีมันหน่อย อยากมีน้องมากนักนี่"

ผมพยักหน้ารับ นาวีหลุดหัวเราะออกมาแล้วหรี่ตามองผม ก่อนยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง

"ให้มันเป็นน้อง มันไม่ยอมหรอก"

"..."

"มันจะเอามากกว่านั้น"

ผมตอบกลับด้วยการยักคิ้ว ในความชัดเจนของผมนาวีรู้ดีอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน แค่เห็นก็ชอบเลยคงจะเป็นคำพูดที่ดูมากเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ผมไม่ลังเลที่จะเดินหน้าเข้าหาเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมั่นใจมากขึ้นตอนที่เขาเองก็เดินสวนกลับมาเพื่อให้เราใกล้กันมากกว่าเดิม 

 

ผมใช้เวลาอยู่ที่บ้านนาวีจนถึงดึก หอบผ้าห่มกับหมอนขึ้นมานอนอยู่บนดาดฟ้า ท้องฟ้าโปร่งมองเห็นดาวได้ชัดถนัดตา อากาศชื้นในช่วงปลายฤดูฝนเย็นกำลังดี แต่คงหนาวไปสำหรับคนข้างๆ ถึงได้ม้วนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนา หน้าตาดูออกได้ไม่ยากว่าเริ่มง่วงนอนแล้ว

"ง่วงแล้วเหรอ"

"อือ จะตกไหมดาวเนี่ย จะหลับก่อนแล้ว"

"นอนไปก่อนดิ เดี๋ยวตกแล้วเรียก"

"ไม่เอาอ่ะ ชวนคุยหน่อยดิ จะได้ไม่หลับ"

"กูคุยไม่เก่ง มึงก็รู้"

นาวีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แล้วหันนอนตะแคงมองหน้าผม เพราะถูกมองโดยไม่พูด ผมก็เลยทำตัวไม่ถูก ขยับตัวไปนอนท่าเดียวกับเขาเพื่อมองหน้าคนข้างๆ กลับ

"ภูผา มึงไปอยู่ไหนมาวะ"

"ฮึ?"

"สงสัยคนในโรงเรียนมันเยอะเกินไป กูเลยไม่เคยเจอมึง ไม่งั้นคงได้รู้จักกันเร็วกว่านี้"

"ก็รู้จักแล้วนี่ไง"

นาวียิ้มให้ผมทีหนึ่งแล้วยกมือบีบแก้มผม

"น่ารักจังเลยมึงเนี่ย"

ผมไม่ตอบได้แต่ยิ้มกลับไป แม้จะอยากแย้งว่าเขาไม่ควรชมผมแบบนั้น ผมไม่เคยมองหน้าตัวเองแล้วเจอคำว่าน่ารัก แต่ถ้าในสายตาเขามันจะเป็นแบบนั้นก็ปล่อยเขาไป

"โอ๊ะ! ดาวตก!"

ผมหันขวับไปมองตามนิ้วนาวีที่ชี้ขึ้นฟ้า พลาดเห็นดาวดวงที่นาวีบอก แต่อีกดวงก็ตกตามมาในแทบจะทันที ดวงตาของคนข้างๆ ประกายกว่าดาวบนฟ้า ดูตื่นตากับสิ่งที่ไม่เคยเห็น

"เขาบอกว่าต้องอธิษฐานด้วยใช่ไหม"

"อือ"

นาวีกวาดตามองไปบนท้องฟ้าอีกที เมื่อดาวอีกดวงหล่นลงจากฟ้า เขาก็หลับตาลงขอพรในใจ มุมปากยกขึ้นยิ้มตอนหันมามองผม

"มันตกตั้งหลายดวง ขอหลายๆ ทีได้ไหมอะ"

"จะขออะไรเยอะแยะล่ะ"

"มึงได้ขอไหม"

"ไม่อะ"

"ไม่มีอะไรอยากขอเหรอ"

"ไม่มี"

"ไม่ขอให้จีบกูติดเหรอ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ

"เรื่องแบบนั้นไม่ต้องขอพรหรอก เดี๋ยวทำเอง"

"มั่นใจเนอะ เซียนเหรอ"

"เซียนอะไรล่ะ"

"จีบคนมาเยอะเหรอ"

"ไม่เคย"

"..."

"มึงคนแรกเลย"

นาวีฟุบหน้าลงบนหมอนแล้วเงยขึ้นมายิ้มให้

"เขินเหรอ"

"เขินดิ กูไม่ใช่หินอย่างมึงจะได้ทำเป็นนิ่งอยู่ได้"

"เห็นหน้านิ่งนี่ใจสั่นนะ"

"จริงป่ะ" นาวีเลิกคิ้วถามแล้วเขยิบเข้ามาวางมือลงบนอกผม เขาคงรับรู้ได้ว่าใจมันเต้นตึกตักจนผิดจังหวะ เพียงแต่ผมห่วยเรื่องการแสดงออก เลยทำได้แค่ยิ้มอย่างเดียว

"แล้วเมื่อกี้มึงขออะไร"

"กูเหรอ"

นาวียิ้มออกมาอีกที ก่อนหันกลับไปนอนหงายแหงนหน้ามองฟ้า พูดความปรารถนาของตัวเองออกมาพร้อมกับดวงดาวที่ตกลงมาอีกครั้งในจังหวะเดียวกัน

.

.

.

"ขอเรียกมึงว่าแฟนเลยได้ป่ะ"


 

...

 

To be continued.

 



ตกลงใครจีบใครกันแน่เนี่ยยย งงไปหม้ดดด

ออฟไลน์ CofFee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เป็นเรื่องที่น่ารักมาก อยากเกาะขอบบ้าน จะได้ฟินชัดๆ
ชอบความเรื่อยๆของเรื่องราว ที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มี

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
แล้วปัจจุบันนาวีไปอยู่ไหนคะ
นี่มโนไปไกลถึงดาวอังคารแล้ว :monkeysad:
คือชอบความจีบกันน่ารักๆของทั้งสองคนมากๆ o13
แต่เหมือนตอนนี้ภูเป็นเมียเฉพาะสุดสัปดาห์ของทัพอยู่ :hao5:
แอบกลัวๆกับคำว่าไม่ดราม่าของคนแต่ง
เพราะในหัวนี่ม่าไปเป็นลังๆแล้วอ่าค่ะ
ทัพคงไม่ได้เป็นคนเข้ามาทำลายรักของทั้งคู่เพราะเพื่อแก้แค้นแม่ภูใช่ไหม
แอบหวังให้เป็นเพราะหึง แบบรักแต่ไม่รู้ตัวถ้าเป็นไปตามที่เดาไว้น่ะนะ
แต่ถ้ารักทำไมป่านนี้ก็ยังหลบๆซ่อนๆอยู่อ่า
ไม่มั่วเดาแล้วดีกว่า :mew2:
รออ่านต่ออยู่นะคะ
ขอบคุณค่า :กอด1: :pig4:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.3] 18/11/17
« ตอบ #19 เมื่อ: 19-11-2017 05:38:48 »





ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบเรื่องนี้มากกกกยิ้มแก้มแตกแล้วนี่

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ่านสองสามตอนมานี้เหมือนจะแนวรักใสๆแบบบูรพาองศาเหนือนะ แต่มันติดตรงชื่อเรื่องนี่แหละตัวหลักสามคนจะดราม่าไหมเนี่ย

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
ดราม่าแน่ๆ นาวีอย่าไปรู้จักกับธงทัพนะ  :katai1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
งือออออ นาวีน่ารักโคตรรร เอ็นดูเหลือเกิน

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
โอียยตายแล้วๆๆๆๆ   


นี่มาหลอกให้ยิ้มหน้าบานก่อน จะเชือดหนักๆเลือดพุ่งกระชูดเลยหรือเปล่าคะ


เสียวๆตั้งแต่ชื่อเรื่อง พอมาอ่านบทเปรย ก็ยิ่งกลัว


ไม่กลัว 3P แต่กลัวดาม่าคร่าาาา

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 4

 

เชื่อในตัวผม

อย่างที่ผมเชื่อในตัวคุณ


 
 

"ปรี๊ด!!"

 

เสียงนกหวีดจากกรรมการกลางสนามเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเกมกีฬา ดังตามมาด้วยเสียงร้องจากกองเชียร์ข้างสนาม งานกีฬาสีมาถึงแล้ว ปีนี้ผมอยู่สีแดง สีเดียวกับนาวี เขามีหน้าที่เป็นนักกีฬา ส่วนผมปฏิเสธที่จะลงแข่งอะไร นักเรียนม.ห้าต้องรับผิดชอบเป็นสต๊าฟในงานด้วย ผมเลยอยู่ช่วยเพื่อนทำอะไรอยู่ข้างสนามดีกว่า นุ่นที่เป็นทั้งหัวหน้าห้องและประธานสี แบ่งหน้าที่ให้ผมกับกลุ่มเพื่อนมาอยู่ประจำที่สนามบาสพอดี ผมเลยไม่พลาดที่จะได้ดูนาวีแข่งเลยสักนัด

นาวีเป็นคนขี้เล่น บางครั้งก็ค่อนเอียงไปทางติ๊งต๊อง แต่เวลาอยู่ในสนามแข่งไม่ใช่แบบนั้นเลย จริงจังสมเป็นนักกีฬาโรงเรียน ไม่รู้ว่าเพราะสูงกว่าคนอื่น ขาวกว่าคนอื่น ก็เลยดูโดดเด่นที่สุดในสนาม หรือเพราะว่าคนๆ นั้นคือนาวี สายตาผมมันก็เลยจับอยู่ที่เขาคนเดียวโดยไม่ได้สนใจคนอื่นเลย ไม่แม้แต่จะละสายตาจากเขาเพื่อหันมองแต้มคะแนนข้างสนามด้วยซ้ำ ผมไม่รู้เรื่องกีฬา เลยไม่รู้ว่าตำแหน่งของนาวีในสนามเรียกว่าอะไร เขาอาจไม่ใช่คนที่ทำคะแนนให้ทีมเป็นหลัก แต่ก็ป้องกันการชู๊ตลงห่วงของฝ่ายตรงข้ามด้วยการบล็อกบอลที่รวดเร็ว และรีบาวน์บอลให้ทีมกลับมาเป็นฝ่ายรุก และในทุกๆ โอกาสที่นาวีเป็นคนทำแต้มได้ เสียงเชียร์นอกสนามก็จะดังกว่าปกติ

"กรี๊ด! พี่นาวี!"

"พี่นาวี สู้ๆ!"

ไม่ใช่คนที่ทำคะแนนให้ทีมได้บ่อยๆ แต่คะแนนความนิยมนอกสนามนี่เยอะเชียว ผมหันมอง ยุ้ย ที่นั่งอยู่ข้างๆ เจ้าของเสียงตะโกนเมื่อครู่ ที่ตอนนี้ยังแสดงออกความปลาบปลื้มคนในสนามด้วยการส่งเสียงเชียร์ไม่หยุด

"พี่นาวีสู้ๆ! พี่นาวีสู้ตาย! พี่นาวีโคตรหล่อเลยอะ!"

ผมยกขวดน้ำขึ้นดื่ม ไม่รู้จะช่วยได้ไหม แค่อยากดับไฟในใจน่ะ

"พี่นาวีผัวกู!"

"แค่ก!"

น้ำที่ยกขึ้นดื่มถูกพ่นออกมาตอนที่สำลัก ยุ้ยหันมองแล้วยกมือตบหลังให้

"เป็นอะไรภูผา โอเคไหม"

"ไม่เป็นไร" ผมตอบแล้วยกมือเช็ดน้ำที่ไหลเลอะคาง

"ค่อยๆ กินสิ"

ผมพยักหน้ารับหน่อยๆ ก่อนยุ้ยจะกลับไปเชียร์เกมในสนามต่อ ตราบใดที่ผมยังนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนผู้หญิง ผมก็ยังต้องนั่งฟังคำชื่นชมนาวีจากปากพวกเธอไปเรื่อยๆ 

"พี่นาวีขา!"

"พี่นาวีของยุ้ย!"

 

ไม่ใช่! นาวีของภูผาเว้ย!

 

"ภูผา"

ผมหันไปมองนุ่นที่เข้ามาสะกิดเรียก

"ไปช่วยยกถังน้ำแข็งหน่อยได้ไหม"

ผมพยักหน้ารับแล้วลุกตามนุ่นไป ไปใช้แรงงานดีกว่านั่งเคืองอยู่ตรงนี้แน่นอน ผมเดินตามนุ่นออกมานอกโรงยิม มีถังน้ำแข็ง แพ็คน้ำเปล่าและเครื่องดื่มของนักกีฬาวางรออยู่ แค่ผมกับนุ่นคงยกไปไม่หมดในครั้งเดียวแน่นอน กลุ่มเพื่อนของผมก็ดันหนีออกไปหาอะไรกินตอนนี้พอดีเลยไม่ได้เรียกมาช่วย

"เพื่อนคนอื่นหายไปไหนหมดอะ" ผมหันไปถาม

"ก็แยกๆ กันไปดูกีฬาอะ เราหาใครไม่เจอเลย รบกวนภูผาอีกแล้ว"

"เฮ้ย ไม่เป็นไร ถือนี่ไปดิ" ผมยกแพ็คน้ำดื่มให้นุ่นถือ สิบสองขวดดูมากไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนุ่น

"เอามาอีกแพ็คก็ได้"

"พอแล้ว เดี๋ยวก็แขนหักหรอก"

"เราแข็งแรงกว่าที่ภูคิดเหอะ เอามาเหอะน่า"

"แน่ใจนะ"

นุ่นพยักหน้ารับ ผมเลยยกน้ำอีกแพ็คซ้อนขึ้นไป คนตัวเล็กตัวเซไปนิดหนึ่งจนผมต้องรีบยกแพ็คนั้นขึ้นมาก่อน

"ไม่ไหวก็บอกไม่ไหวดิ"

"เฮ้ย เราไหว"

"เดินไปเลยไป เดี๋ยวถือเอง" ผมเอาน้ำสองแพ็ควางซ้อนบนถังน้ำแข็งแล้วยกมันขึ้น หนักกว่าที่คิดเลยรีบก้าวเท้าเดินเข้าโรงยิมให้ไวที่สุด นุ่นเดินอยู่ข้างๆ คอยมองแพ็คน้ำบนถัง คงกลัวว่ามันจะตก ผมเหลือบตามองคนข้างๆ ปกตินุ่นมีผิวขาว แต่วันนี้หน้าแดงเหมือนโดนแดดเผา เดาว่าวันทั้งวันคงวิ่งตากแดดไปทั่วโรงเรียน

"นุ่น วันนี้ได้พักบ้างยัง"

"ก็พักกินข้าวกลางวันแล้ว"

"วันหลังอย่าทำอะไรคนเดียวดิ ไม่มีเพื่อนหรือไง"

"เราดูเหมือนคนมีเพื่อนเยอะเหรอ"

"จะให้ช่วยทำอะไรก็บอก"

นุ่นพยักหน้ารับ แล้วยกไหล่เช็ดเหงื่อที่ไหลจากหน้าผาก แต่เพราะมือที่ถือแพ็คน้ำอยู่เลยทำไม่ถนัด อีกนิดเหงื่อนั่นคงจะไหลเข้าตา

"ภูผา ยืมไหล่หน่อยได้ไหม"

"ฮะ?"

"ยืมไหล่เช็ดเหงื่อหน่อย"

"อ๋อ เอาดิ"

สิ้นคำอนุญาตผมนุ่นก็ซบหน้ามาที่ไหล่ เช็ดเหงื่อนั่นออกจากหน้าผาก แล้วรีบโยกหัวตัวเองกลับไปอยู่ที่เดิม ก่อนเราจะเดินมาถึงข้างสนามบาสพอดี เป็นช่วงพักครึ่งนักกีฬาเลยมารวมกันอยู่ข้างสนาม ผมหันไปมองนาวีที่หันมามองผมเช่นกัน ผมเดินเอาถังน้ำแข็งกับเครื่องดื่มไปวางข้างสนาม หยิบน้ำเปล่าส่งให้ อีกฝ่ายรับไปแต่กลับมองตาขวางใส่

 

"อะไร"

 

ผมถามแบบไม่มีเสียง นาวีกรอกน้ำเข้าปากอึกใหญ่ มองรอบๆ ว่าไม่มีใครสนใจเราจึงก้าวเท้าเข้ามาหาผม

"เมื่อกี้ทำอะไรอะ"

"ทำอะไร"

"ทำแบบเนี้ยๆๆๆ" นาวีพูดซ้ำๆ แล้วก้มหัวดันไหล่ผม เลยนึกไปถึงที่นุ่นทำกับผมเมื่อกี้ คงจะเห็นเข้าพอดี 

"ให้เพื่อนเช็ดเหงื่อเฉยๆ"

"เช็ดเหงื่ออะไรท่านั้นอะ"

"แล้วโกรธอะไรอะ"

นาวีหันขวับมามอง แล้วโน้มหน้าเข้ามากัดฟันพูดเบาๆ ข้างหู 

"กูไม่ได้โกรธ กูหึง" 

"กูหึงกว่าอีก"

"ทำไม กูทำอะไร"

"มึงไม่ได้ยินเสียงเชียร์ข้างสนามเหรอ มีผู้หญิงอยากเป็นเมียมึงครึ่งโรงเรียนแล้วมั้ง"

นาวีเม้มปากกลั้นยิ้มแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปบนแสตน แค่เขาฉีกยิ้มกว้างทักทายกองเชียร์บนนั้น เสียงโห่ร้องก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง 

"กรี๊ด! พี่นาวี!"

คนตรงหน้าผมยิ้มนิดๆ ดูเคอะเขิน ก่อนรีบหุบยิ้มตอนหันมามองหน้าผม ที่กำลังมองเขาตาขวางในแบบที่เขาทำกับผมทีแรก

"ไม่ใช่ความผิดพี่นะ คนมันฮอตมันช่วยไม่ได้"

"เออ เชิญพี่ฮอตต่อไปเลย ไปละ!"

"หูย งอน!" นาวีว่าแล้วยกมือหยิกแก้มผมแบบที่ชอบทำ การกระทำแบบนั้นของผู้ชายของสองคนคงแปลกสำหรับคนอื่น สายตาจากเพื่อนร่วมทีมเขารวมถึงนุ่นที่มองอยู่เลยทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ นาวีก็คงรู้สึกเช่นเดียวกันเลยชักมือกลับไป

"ไปนะ" ผมหันไปบอก นาวีจะพยักหน้ารับ ผมที่ก้าวขาออกมาแล้วหันกลับไป เห็นเขาที่ยังมองผมอยู่ เลยพูดออกไปแบบไม่มีเสียงกับคำที่ลืมบอก 

 

"สู้ๆ นะ"

 

...

 

เพื่อนผมกลับมาจากการหาอะไรกินแล้วก็เลยมีคนช่วยนุ่นยกน้ำไปส่งทุกสนาม หลังจากว่างแล้วผมก็กลับมานั่งดูนาวีแข่งบาสต่อ สายตาผมก็ยังคงเลื่อนมองตามคนที่เคลื่อนที่อยู่ในสนามอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เกือบจะจบเกมแล้วคะแนนของทั้งสองทีมยังคงสูสีกัน เกมช่วงหลังเลยดูจะน่าตื่นเต้นขึ้นเพราะทั้งสองฝ่ายก็ต่างเร่งทำคะแนน เสียงเชียร์ข้างสนามก็ดังไม่ขาดสาย กองเชียร์สีแดงได้เปรียบตรงที่คนเยอะกว่า เสียงเลยดังกว่า เสียงรัวกลองก็พาให้ใจระทึกกับเกมไปด้วย

"สีแดงสู้ๆ! สีแดงสู้ตาย!"

ผมเลื่อนสายตาจากนาวีมองตามลูกบาสที่ถูกส่งไปที่ฝั่งตรงข้าม ส่งไป ส่งกลับด้วยความไวกระทั่งทีมสีแดงแย่งเอาไว้ไม่ทัน ในจังหวะที่อีกทีมได้จังหวะวิ่งเข้าใกล้แป้นแล้วกระโดดชู๊ต นาวีก็กระโดดปัดลูกนั้นออกได้ทัน แต่คงพลาดจังหวะที่กระโดดขึ้นไป เลยเป็นเหตุให้ร่างชนกับอีกคน แรงพอที่จะทำให้ทั้งอีกฝ่ายและนาวีล้มลงกลางสนาม

"พี่นาวี!"

นาวีลุกขึ้นในตอนนั้นทันที ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่อีกคนที่กองอยู่กับพื้นสนาม ยันตัวเองขึ้นมาพลางยกมือกุมหน้า ผมไม่ได้ยินเสียงคุยในสนาม แต่นาวีก้มลงไปช่วยพยุงอีกทีมให้ลุกขึ้นมา การปะทะกันในสนามเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เท่าที่ผมนั่งดูอยู่ก็มีหลายครั้งที่นาวีถูกวิ่งชน หรือวิ่งไปชนเขา แต่คราวนี้มันรุนแรงจนต้องหยุดการแข่งขัน อีกฝ่ายถูกพาออกไปนอกสนามเพราะเจ็บจนเลือดกำเดาไหล นาวีก็ถูกเรียกออกไปด้วย พักการแข่งเพื่อตกลงกันอยู่นอกสนามก่อนกลับมาแข่งต่อ ไม่นานก็จบเกม ทีมสีแดงชนะด้วยแต้มที่ไม่ได้ต่างกันมาก เสียงเชียร์ดังลั่นโรงยิม ผมเห็นนาวีวิ่งตามอีกทีมไป

"เดี๋ยวกูมานะ"

ผมหันบอกเพื่อนแล้วตั้งใจเดินไปหานาวี เดินมาถึงอีกฝั่งของโรงยิมแต่ไม่เจอเขา หันมองซ้ายมองขวาก็ต้องสะดุดกึกเพราะเกือบจะชนกับคนที่เดินลงบันไดมาพอดี

"หาอะไรวะ"

ไอ้ธงทัพ...

ผมตอบคำถามมันด้วยการส่ายหน้าเบาๆ แล้วก้าวเท้าไปอีกทาง แต่ถูกมันดึงไหล่เอาไว้ก่อน

"อะไร"

"มึงไปฟ้องอะไรพ่อกู"

คิ้วผมขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจคำถาม 

"กูบอกแล้วไงอย่าเสือก"

"กูไม่ได้พูดอะไร"

"เรื่องแค่นี้มึงต้องฟ้องด้วยเหรอวะ กูยังไม่เคยเสือกเรื่องของมึงเลยนะ"

"กูไม่ได้ฟ้อง กูไม่ได้เจอพ่อมึงมาตั้งนานแล้ว"

"เชื่อตายห่า"

ผมถอนหายใจแล้วปัดมือมันที่จับไหล่ออก

"มึงก็ชั่วให้มันเนียนๆ สิ พ่อมึงจะได้ไม่จับได้"

"ไอ้ภูผา"

"กูไม่คิดจะยุ่งอะไรกับมึงอยู่แล้ว กูไม่เคยสนใจมึงด้วยซ้ำ"

ไอ้ธงทัพยกมุมปากขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ มันพยักหน้าช้าๆ แล้วเดินออกไปจากตรงนี้ มันเป็นทางเดียวที่ผมตั้งใจจะไปพอดี เลยเดินตามมันไปด้วย เสียงเท้าที่เดินตามทำให้มันหันกลับมามอง

"ตามมาทำไม"

"กูจะไปทางนั้น"

ผมได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจจากมัน ก่อนมันจะหันกลับไปเดินต่อ เลี้ยวมาอีกทางก็เจอกับกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ ผมไม่ได้สนใจคนอื่น เพราะสายตามองเห็นนาวีที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ไม่เชิงว่าโดนรุมล้อมแต่ทุกสายตาของคนกลุ่มนั้นพุ่งมองไปที่นาวีคนเดียว

"มีอะไรกันวะ" ไอ้ทัพเอ่ยถาม ทุกคนเลยหันมาหามัน หนึ่งในนั้นหันมาตอบ

"ไม่มีอะไร คุยกันเฉยๆ แล้วนี่มึงหายหัวไปไหนมา"

"เรื่องของกูเหอะ แล้วนี่มึงแข่งเสร็จแล้วเหรอ"

"เออดิ"

"แพ้ชนะ?"

"แพ้"

"กาก!"

"ไอ้สัด!"

"แล้วนี่หน้ามึงไปโดนอะไรมาวะ" มันหันไปถามอีกคนที่อยู่ในชุดนักบาส ผมหันมองตามจึงเห็นว่ามันเป็นคนที่ชนกับนาวีในสนาม

"อุบัติเหตุ" ปากตอบไอ้ทัพแต่สายตาหันมองนาวี

"ตอนแข่งอะนะ"

"เออ"

"ถ้าเป็นอุบัติเหตุก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ว่าตั้งใจมึงโดนแน่" หนึ่งในนั้นเค้นเสียงขู่ ยกมือตบไหล่นาวีก่อนพากันเดินออกไป ไอ้ทัพหันมองผมอีกทีก่อนก้าวเท้าตามเพื่อนไป ผมเดินเข้าไปหานาวีที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ 

"มีอะไรเปล่า"

"พวกมันคิดว่ากูจงใจทำเพื่อนมันอะ"

"หาเรื่องเหรอ"

"ช่างมันเหอะ กูขอโทษไปแล้ว"

"มันไม่เข้าใจคำว่าอุบัติเหตุหรือไงวะ คิดว่าตัวเองเจ๋งมาจากไหน คิดว่าพวกเยอะเหรอ" ผมบ่น แต่คนข้างๆ กลับหัวเราะออกมา จึงเหลือบตาไปมอง

"ขำอะไร"

"ภูผาโกรธ"

"เออดิ!"

"หูย! ภูผาคนโหด โกรธเป็นด้วยเหรอเนี่ย" นาวีว่าแล้วยกมือบีบแก้มผมสองข้าง ใช้คำว่าบีบคงไม่ถูก อาการที่ทำอยู่เรียกว่าทั้งขยี้ทั้งขยำ จนผมต้องยกมือจับมือเขาออก

"เจ็บ"

"ไม่โกรธน้า"

ผมอาจหงุดหงิดมากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะหนึ่งในนั้นมันมีไอ้ทัพร่วมอยู่ด้วย แต่นาวีไม่ได้ติดใจอะไรซ้ำยังบอกให้ผมใจเย็น ผมก็เลยพยักหน้ารับแล้วปล่อยเลยตามเลย

"แล้วนี่เหนื่อยไหม"

"เหนื่อยดิ เดินไม่ไหวแล้วเนี่ย ขี่คอ!" นาวีพูดพลางชูสองมือขึ้นเหมือนเด็กร้องให้อุ้ม ผมส่ายหน้าปฏิเสธจึงโดนสองมือนั้นตรงเข้ามาขยำแก้มแทน

"อึ้ย! หมั่นเขี้ยว!"

"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ เหงื่อท่วมตัวเลย"

"ไม่เช็ดเหงื่อให้กูบ้างเหรอ แบบที่เช็ดให้นุ่นอ่ะ"

ผมหันมองตาขวางตอนคนข้างๆ แกล้งพูดเรื่องนุ่นขึ้นมา นาวีหัวเราะตาหยีแล้วโน้มหัวลงมาเอาหน้าซบไหล่ผม แล้วถูมันกับแขนเสื้อ

"เช็ดหน่อยๆ"

"ทำดีๆ สิ"

ผมบอกแล้วจับไหล่นาวีให้ยืนตรงมองหน้า ยกมือปาดเหงื่อบนใบหน้าของเขา คนที่มักจะเป็นฝ่ายแกล้งกลับยืนนิ่ง กลอกตาไปทางซ้าย ทางขวาไม่ยอมสบตากันตรงๆ

"เขินเหรอครับ พี่นาวี"

พูดแค่นั้นนาวีก็หลุดหัวเราะออกมา แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง เม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มอย่างที่ชอบทำแล้วก้าวเท้าเดินออกไป

"เรียกพี่แล้วใจสั่นเลยเนี่ย"

"ก็เลยไม่ค่อยอยากเรียกไง"

"ไม่ใช่เพราะมึงเป็นคนหยาบคายเหรอ"

"ผมเคารพพี่จะตาย"

"อ๋อเหรอ!"

"ผมชอบพี่มากด้วยนะ"

นาวีชะงักเท้าที่กำลังก้าวแล้วหันมองหน้าผม ยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วเขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนพูดออกมาเบาๆ เรียบเฉยที่น้ำเสียงแต่รุนแรงที่หัวใจ

 

"พี่ก็ชอบภูผามากนะครับ"

 

แค่คำพูดคำนั้น ก็กลับกลายเป็นผมที่ใจสั่นแทน...

 

 

...

 


              งานกีฬาสีจบไปแล้ว โรงเรียนกลับสู่สภาวะปกติ ผมเองก็ด้วย ชีวิตเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา เพียงแต่ว่ามีนาวีเข้ามาเป็นอีกส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่เป็นสีสว่างของชีวิต ผมไม่เคยขี้เกียจมาโรงเรียนเลย เพียงแค่บอกกับตัวเองว่าถ้ามาที่นี่จะได้เจอกับเขา เราไม่เคยได้กินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่เขาก็มักจะเลือกโต๊ะที่ไม่ไกลเกินสายตาจะหันมอง หรือไม่ก็เดินผ่านผมเพื่อมาบอกว่ากินข้าวแล้ว ผมไม่เคยเบื่อตอนที่ต้องไปนั่งรอเขาเล่นบาสตอนเย็นๆ เพราะสุดท้ายเราจะได้เดินกลับบ้านพร้อมกัน คำว่าความสุข มันก็ยากเกินจะเข้าใจได้ถ่องแท้ แต่การที่มีนาวีอยู่ด้วย ผมรู้สึกได้ถึงคำนั้น   

           

            วันนี้ผมมีเรียนพละในคาบรองสุดท้าย ส่วนคาบสุดท้ายอาจารย์วิชาสังคมฯ ไม่มาสอน พวกเราจึงไม่ได้กลับจากโรงยิมไปอาคารเรียน บางคนก็ไปวิ่งเตะบอลกันต่อในสนาม บางคนจับกลุ่มนั่งคุยกันตามประสา บางคนที่ขยันเกินเวลาอย่างนุ่นก็นั่งทำการบ้านวิชาคณิต บางคนที่ขี้เกียจจะขยับตัวอย่างผมก็นั่งเฉยๆ อยู่ข้างๆ นุ่น หันมองนั่นมองนี่ ก่อนมองไปเห็นคนคุ้นตายืนอยู่หน้าห้องน้ำ ท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

 

นาวีทำอะไร

 

"เดี๋ยวมานะ" ผมหันบอกเพื่อนก่อนลุกไปหานาวี คนตรงนั้นไม่ทันได้มองเห็นผม ผลุบตัวเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนชะโงกหน้าออกมามองหาอะไรสักอย่าง

"นาวี"

"เชี่ย!" นาวีสะดุ้งเฮือกก่อนหันขวับมอง เห็นว่าเป็นผมจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

"เป็นอะไร แอบใคร"

"แอบ'จารย์"

"แอบทำไม"

"วันนี้มีเรียนพละ กูแต่งตัวผิดเห็นไหมเนี่ย กูจะโดดแต่เหมือนอาจารย์เห็นกูแล้วอะ"

"ใส่ชุดนักเรียนก็เรียนพละได้"

"มึงไม่เคยเรียนกับอาจารย์สุพลใช่ไหม กูเคยแต่งตัวผิด โดนวิ่งรอบสนามขาแทบหลุด ไม่เอาด้วยหรอก กูจะโดด" ผมรู้จักอาจารย์ที่นาวีพูดถึง กิตติศัพท์เรื่องความโหดถูกพูดถึงรุ่นสู่รุ่น ความเข้มงวดไม่เคยตกอันดับ

นาวีผลุบเข้าไปในห้องน้ำ ทำหน้าครุ่นคิดก่อนหันมองผมหัวจรดเท้า

"มึงเรียนพละไปยัง"

"คาบที่แล้ว"

"แล้วเรียนอะไรต่อ"

"ว่าง อาจารย์ไม่สอน"

"งั้น กูยืมชุดหน่อย!"

"ฮะ?"

"แลกกัน" นาวีเข้ามาเกาะแขน พยักหน้าหงึกๆ เป็นเชิงขอร้อง แค่หน้าตาปกติก็ทำเอาใจอ่อน แต่ดันทำหน้าอ้อน ผมจะสู้อะไรได้

"เออๆ ก็ได้"

นาวีพยักหน้ารับแล้วปลดกระดุมเสื้อออกในทันที

"เดี๋ยวดิ ไม่ปิดประตูหน่อยเหรอ" ผมว่าพลางจับมือเขาเพื่อยั้งการกระทำของเขาไว้ก่อน

"ไม่มีใครเห็นหรอก"

"ไม่ได้"

"ทำไม"

 

แค่นี้ก็หวงจะแย่...

 

ผมคิดเอาไว้ในใจ แต่ส่ายหน้าปฏิเสธนาวีออกไป ก่อนผลักประตูเพื่อปิดมันแต่ไม่ได้สนิทนัก แค่พอให้คนข้างนอกมองไม่เห็นนาวีที่กำลังยืนเปลือยท่อนบนอยู่แบบนี้ก็พอแล้ว นาวีปลดกระดุมจนถึงเม็ดสุดท้ายแล้วถอดส่งให้ผม พอหันมาเห็นว่าผมยังไม่ได้ถอดเสื้อก็โวยขึ้นมา

"เอ้า! ถอดมาดิ รออะไร"

"เออๆ"

"เขินเหรอ"

"จะไปเขินอะไร"

"ไม่เขินก็ถอดสิ" นาวีแกล้งทำน้ำเสียงหยอก พลางก้าวเท้าเข้ามาหา หน้าตาเจ้าเล่ห์จากคนขี้แกล้งไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเขิน กลับมองว่ามันน่ารักดี

"เขินพี่เหรอน้อง"

"เปล่า"

"งั้นถอดเสื้อให้พี่หน่อยสิครับ"

ผมพยักหน้ารับแล้วถอดเสื้อออกส่งให้เขา

"กางเกงด้วยสิ"

"เออ" ผมรับคำแล้วก้มลงถอดกางเกงให้

"เด็กดีของพี่"

"เอากางเกงในด้วยไหมครับพี่"

"ไอ้บ้า!"

"ทำไม เขิน?"

"เปล่าเว้ย!"

กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเขาบ้าง คนตรงหน้ามองหน้าสู้ แต่หูแดงระเรื่อ ขยับปากกัดริมฝีปากล่าง ถ้าเดาไม่ผิดผมคิดว่านั่นคืออาการเขิน

"ผมถอดให้หมดแล้ว แล้วพี่จะให้อะไรผม"

"มึงจะเอาอะไร"

"จูบสักทีดีไหมเนี่ย"

"จุ๊บ!"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งตอนนาวีโยกหน้าเข้ามาแตะริมฝีปากผมแล้วดึงหน้าตัวเองออกไปอย่างรวดเร็ว

"พอใจแล้วนะ" นาวีคว้ากางเกงพละไปจากผม ก่อนโยนชุดตัวเองกลับมาให้ จากนั้นก็รีบยัดชุดพละของผมสวมเรียบร้อย เวลาที่ผมอยากแกล้งเขาทีไร สุดท้ายตัวเองแพ้ราบคาบทุกที ไม่เข้าใจ

"ใส่เสื้อผ้าสิ เดี๋ยวคนมาเห็นก็นึกว่ากูเป็นไอ้หื่นขืนใจเด็กหรอก"

"เออๆ" ผมตอบรับแล้วสวมกางเกงของเขา เพราะขนาดตัวเท่ากันจึงสวมมันได้พอดี

"เลิกเรียนแล้วกลับบ้านพร้อมกันนะ"

"อือ รอที่นี่แหละ"

"โอเค ไปละ" นาวีบอกพูดแค่นั้นแล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำไป ผมหยุดมือที่กำลังจะติดกระดุมเสื้อก่อนหันมองตัวเองในกระจก ก้าวเท้าเข้าไปมองใกล้ๆ จึงเห็นว่าหน้าแดงจนผิดสังเกต นาวีคงรู้ว่าผมเขินจนใจแทบพัง ผมยกสองมือตบหน้าตัวเองทีหนึ่ง แล้วรีบใส่เสื้อให้เสร็จ

"โคตรขี้เกียจเรียนเลยว่ะ"

"มึงก็บ่นตั้งแต่คาบแรกยันคาบสุดท้ายเลยนะ"

ผมหันมองกลุ่มนักเรียนเจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่เดินเข้ามาในห้องน้ำ เพราะยังแต่งตัวไม่ทันเสร็จเลยถูกมองหัวจรดเท้า ผมรีบติดกระดุมเสื้อ ยัดชายเสื้อเข้ากางเกงลวกๆ แล้วก้าวเท้าออกไปนอกห้องน้ำในจังหวะเดียวกับที่คนข้างนอกเดินสวนเข้ามา เท้าหยุดกึกเมื่อเห็นว่าเป็นไอ้ธงทัพ

มันเขยิบเท้าไปข้างๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ผมเดินออกไปก่อน ผมเหลือบมองหน้าตาที่ดูไม่สบอารมณ์ของมันครู่หนึ่งก่อนก้าวเท้าออกมาข้างนอก นุ่นไม่อยู่ที่เดิมแล้วแต่กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่เลิกเล่นบอลแล้วมาจับกลุ่มนั่งกันตรงนั้นแทน ทันทีที่หันมาเห็นผมหนึ่งในนั้นก็ร้องทักชุดที่เปลี่ยนไป

"ทำไม ชุดมึง..."

"เฮ้ย! กินขนมกัน"

ผมกำลังจะตอบ แต่ถูกยุ้ยเข้ามาขัดจังหวะด้วยการหิ้วขนมเข้ามากลางวง ความสนใจของพวกมันเลยพุ่งไปที่ของกินมากกว่าคำตอบของผม ตอนนี้ยังไม่มีเพื่อนคนไหนรู้เรื่องผมกับนาวี เราไม่ได้ปิดบังแต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องบอกให้คนอื่นรู้ นาวีเคยถามผมว่า สมมติว่าคนอื่นรับไม่ได้กับสิ่งที่เราเป็น เราจะทำยังไง ผมไม่ได้ตอบ ตอนนั้นบอกแค่ว่าให้มันเป็นแค่เรื่องสมมติเถอะ แม้ใจจริงจะคิดไม่ต่างกับเขา หากมีคนไม่ยอมรับเราแม้เพียงสักคน ตอนนั้นเราควรจะรู้สึกอย่างไร ผมกังวลแต่คิดมันอยู่ในใจ ให้มันเป็นเรื่องสมมติต่อไป

 

...

 

 
เย็นวันนี้ผมมาอยู่ที่บ้านนาวีอีกครั้ง แต่วันนี้พ่อกับแม่ของเขาไม่อยู่ แม่นาวีต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด พ่อเลยขับรถไปให้ ก่อนไปไม่ลืมที่จะทำกับข้าวเอาไว้ให้พวกเรามากพอที่จะกินไปได้จนถึงพรุ่งนี้ก่อนพ่อแม่กลับมา นอกจากอาหาร ก็มีงานบ้านที่ทิ้งเอาไว้ให้นาวีทำ แม่ย้ำว่าให้นาวีทำ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมนั่งเฉยๆ อยู่บนโซฟามองดูอีกคนที่กำลังถูพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย คร่ำเคร่งอยู่กับพื้นครู่หนึ่งแล้วหันขวับมามองผมสายตาแค้นเคือง

"ไม่คิดจะช่วยกันจริงๆ ใช่ไหม!"

"ก็แม่บอกว่าไม่ต้องช่วย"

"บ้านก็บ้านเขา เมื่อกี้ก็กินข้าวเขา แล้วยังจะมานั่งไร้ประโยชน์อีก! ตอนมึงเกิดพระเจ้าคงไม่ได้ให้จิตสำนึกมึงมาด้วยใช่ไหม! ฮะ!"

"โห ด่าแรงอ่ะ!"

"ด่าให้คิดไง ยังจะนั่งเกะกะอีก หลบสิ หลบ!"

ผมยกเท้าขึ้นตอนนาวีแกล้งดันไม้ถูพื้นใส่

"เออๆ เดี๋ยวกูช่วยล้างจานก็ได้"

"จริงอ่ะ"

"เออ"

"อย่าฟ้องแม่นะ"

"ไม่ใช่คนขี้ฟ้องเว้ย" ผมว่าแล้วลุกขึ้น เพราะพื้นที่เพิ่งถูเสร็จใหม่ๆ บวกกับพื้นกระเบื้องเรียบลื่น พอก้าวไปได้สองก้าวก็ผมลื่นพรืดลงมากองกับพื้น นาวีที่หันขวับมามองในจังหวะเดียวกัน แทนที่จะช่วยกลับยืนขำ แล้วลั่นบางคำออกมาอย่างสะใจ 

"สมน้ำหน้า!"

"เจ็บนะ!"

"ใครใช้ให้เดินตรงที่เพิ่งถูเล่า"

"มึงแกล้งกูป่ะเนี่ย ถูพื้นหรือเอาน้ำราดพื้นวะ เปียกโชกเลย"

"อย่ามาโทษกู"

"ดึงหน่อย" ผมว่าแล้วชูมือขึ้นให้ช่วย

คนที่ยืนอยู่ส่ายหน้าหน่อยๆ อย่างไม่สนใจ

"ช่วยหน่อยดิ"

"..."

"นาวี"

"..."

"พี่นาวีครับ"

พอเรียกแบบนั้นก็ยอมหันกลับมาสนใจผม ผมจึงอ้อนต่อด้วยลูกไม้นั้น

"พี่นาวีช่วยหน่อยครับ ผมเจ็บมากเลยอะ"

"อย่ามางอแงใส่ ใจพี่ไม่ค่อยแข็งแรง"

"พี่ อุ้ม"

"อุ้มบ้าอะไรเล่า ลุกมา เชี่ย!" นาวีเดินเข้ามาหวังจะช่วยผม แต่กลับลื่นซ้ำรอยผม หากเป็นละครคงเป็นฉากที่อีกคนลื่นแล้วล้มทับกันแบบตาจ้องตาไปแล้ว แต่นี่คือความจริง นาวีที่ลื่นล้ม ปลายเท้าพุ่งเข้าหน้าผมพอดี หากว่าหลบไม่ทันคงถูกยันเข้าเต็มๆ  ผมยันตัวเองขึ้นมานั่งมองหน้าเขาแล้วใช้ประโยคเดียวกันกับที่เขาพูดเมื่อกี้ล้อเลียนกลับไป

"สมน้ำหน้า!"

นาวีได้ยินแบบนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมองผมตาขวาง

"สะใจมากป่ะ"

ผมยักคิ้วแทนคำตอบ และในจังหวะเดียวกันนาวีก็พุ่งพรวดเข้ามา ผมตกใจจนจนหงายลงไปนอนกับพื้นอีกที นาวีใช้สองมือยันตัวเองเอาไว้กับพื้นเพื่อคร่อมร่างผม

"ลุกเลย" ผมบอก

"ทำไม กลัวเหรอ"

"มีอะไรน่ากลัว"

"ไม่กลัวโดนแกล้งแบบเมื่อเย็นเหรอ"

"เออ เมื่อเย็นมึงขโมยจูบกู"

"ทำไมอะ หวงเหรอ"

"ไม่หวงแต่แค้น รู้สึกว่าจะต้องเอาคืน"

"ฮะ?"

"เอาจูบคืน" ผมพูดแค่นั้นแล้วยกมือดันแขนนาวีที่ค้ำพื้นอยู่ หมดอะไรยึด คนข้างบนก็ล้มพรวดลงมากระแทกผม ผมขยับหน้ารองรับริมฝีปากที่ลงมาตำแหน่งที่เกือบจะพอดีกัน เอาจูบที่นาวีขโมยไปคืนกลับมา แลกสัมผัสอุ่นผ่านริมฝีปากของกันและกัน ดึงดูด ช่วงชิง หอมหวาน ยาวนานจนเราต่างพอใจ จึงละออกจากกัน ความเคอะเขินของเขาถูกแสดงออกด้วยการเม้มริมฝีปากแน่นอย่างเคยทำ ก่อนเผยมันออกมาเป็นรอยยิ้ม ส่วนผมก็ถนัดหน้านิ่งแต่หัวใจนั้นสั่นครึกโครมไม่เป็นจังหวะ

"ภูผา"

"ฮึ?"

.

.

.

"คืนนี้ค้างกับพี่ป่ะ?"


 

To be continued.

 

 

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยย จะหวานอะไรขนาดนั้น เขินเด้อ  :-[ :o8:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
ละมุนนนนน อ่านแล้วใจบางมากกก ฮีลเหลือเกิน  :-[  :กอด1:  แต่พอนึกมาถึงธงทัพ ... ยังไงหล่ะเนี่ย??  เปิดมาตอนแรกวันทำงานธงทัพเข้าออกห้องภูผาเป็นว่าเล่นเลย แถมดูสนิทสนมภูผาก็ดูไม่บาดหมางเท่าไหร่แล้ว .... แล้วนาวีหายไปไหน????  ตามไปค่ะ ยาวไปปปป / ชอบงานคุณรชาจริงๆ ทุกเรื่องเลย เชียร์ค่ะ ตามเป็นกำลังใจตลอดนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ เปลืoกส้มคลุง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ๊ยยยยยยอ่านละเขินหน้าไหม้ใจพังหมดแล้ววววว
มันก๊าวใจดีจริงๆ แต่เหมือนจะได้กลิ่นมาม่ามาแต่ไกลเชียว :hao5:

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทำไมพี่นาวีเป็นคนอย่างนี้เราเขินตัวจะแตกอยู่แล้ว :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด