[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 65759 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ไม่อยากกินมาม่าาาา

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ อยากขยี้แก้มน้องภูบ้างจังเลย
ปกติเราไม่ค่อยกลัวดราม่านะคะ แต่ตอนนี้เราไม่อยากให้หนูปอเข้ามาในชีวิตธงทัพมากกว่านี้ หรือว่านาวีกลับเข้ามาในชีวิตภูผาเลย

เดาว่านาวีสักรูปที่ภูผาเคยวาดให้แน่ๆเลยใช่ไหมคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2018 21:39:56 โดย tasteurr »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
 :hao6: :hao7: :mew1:

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ตอนนี้ยังสองจิตสองใจอยู่เลย ภูกินกับอะไรก็อร่อย แต่ดราม่าทีเราแทบบ้า เสียทิชชู่เป็นแพ็ค

ออฟไลน์ Autonomyz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
อยากได้ทั้งหมด


เราสงสารนาวีกับภูอะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 15


ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง

ผมจะกลายเป็นคนอื่นของคุณไหม 


 

ภูผา :

 

วันนี้ผมก็ยังไม่ได้ไปทำงานเพราะได้สิทธิ์หยุดยาวจากอาการบาดเจ็บ ทั้งที่จริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ไม่อยากดื้อรั้นดันทุรังไปทำงาน บริษัทไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะกลับไปทำงานก่อนกำหนด แต่คนที่จะบ่นไม่หยุดก็เห็นจะเป็นไอ้ธงทัพที่หนีงานตัวเองมาอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืน ผมแค่เจ็บแขนแต่มันทำเหมือนผมแข้งขาขาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมรับบทเป็นเจ้าชายที่มีทาสรับใช้เป็นหมาบ้า ทำงานไป บ่นไปไปหยุดมาตั้งแต่เช้า ธงทัพไม่ชอบคนขี้เถียง ผมจึงไม่โต้ตอบ แม้บางครั้งนึกอยากจะสวนกลับไปบ้าง

 

บ่นอะไรไม่มีเหตุผล น่ารำคาญ

 

แต่ทบทวนดูแล้ว เงียบปากไว้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ผมนั่งเล่นเกมเงียบๆ ขณะที่ธงทัพออกไปตากผ้าที่ริมระเบียง ครู่ใหญ่ๆ ก็กลับเข้ามา แม้อากาศในห้องจะเย็นฉ่ำเพราะอุณหภูมิแอร์ แต่คนที่เดินเข้ามากลับเหงื่อตกเต็มหน้าผาก ปากก็บ่นทันทีเรื่องสภาพอากาศข้างนอก มือข้างหนึ่งเสยผมหน้าที่ปรกหน้าผากสองสามที ก่อนเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นดื่ม ในตอนนั้นประเด็นการบ่นก็เบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องตู้เย็นที่ผมรู้ดีว่ามันรกไม่เป็นระเบียบ

"ตู้เย็นโคตรรกเลยนะภูผา"

"ช่างมันเถอะ"

ผมตอบปัดๆ ธงทัพส่ายหัวบ่งบอกความเอือมระอา ก่อนย่อตัวลงนั่งหน้าตู้เย็น หยิบจับข้าวของในตู้เย็นที่อยู่ไม่เป็นระเบียบ ดึงบางอย่างออกมาวางกองด้านนอก จัดบางอย่างข้างในให้เข้าที่เข้าทาง

"นี่มันหมดอายุแล้วนี่" ธงทัพชูถุงขนมปังเปล่าที่เหลือค่อนแถวให้ผมดู ผมเองจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในนั้นมานานแค่ไหน ได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เป็นคำตอบ ธงทัพจึงโยนขนมปังห่อนั้นลงถังขยะไปพร้อมเสียงถอนหายใจยาวๆ สิ้นสุดการถอนหายใจ ก็เดินเข้ามาหาพร้อมเริ่มบรรเลงเพลงบ่นจากเรื่องหนึ่ง ไปยังอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับขนมปังห่อนั้น เหมือนนึกขึ้นมาได้ก็บ่นออกมาเฉยๆ การอยู่กับธงทัพ บางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีพ่อเป็นของตัวเองเหมือนกัน

"วันๆ ก็เล่นแต่เกมไง เลยไม่สนใจเรื่องอื่น"

"ไม่เกี่ยว"

"แล้วไปตรวจสายตามาหรือยัง ป่านนี้สั้นไปถึงไหนแล้ว"

"อืม"

"อืมอะไร? อืมน่ะแปลว่าอะไร ฮะ? จะไปหรือไม่ไป หรือจะต้องให้พาไป"

"เดี๋ยวไป"

"จะต้องให้บ่นทุกเรื่องไปดิ"

"แล้วใครใช้ให้มึงบ่น" ผมสวนกลับเบาๆ ไม่จงใจให้ได้ยิน แต่เป็นจังหวะที่ตัวมันก็เงียบพอดี เสียงของผมเลยเข้าหูมันไปเต็มๆ สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตามองขวาง กับมือข้างหนึ่งที่ง้างขึ้นทำท่าจะตบ ผมไม่ได้ตั้งท่าหลบซ้ำยังอวดดีด้วยการยื่นหน้าเข้าไปท้าทาย

"ก็จริงป่ะวะ ในปากมึงนี่หมาพันธุ์อะไรเหรอถึงได้เห่าไม่หยุดเลย โอ๊ย!" จบคำพูดผม กำปั้นใหญ่ก็เขกเข้าที่หน้าผาก ไม่เจ็บมากแต่ก็เล่นเอาหน้าหงาย ใบหน้าบูดบึ้งของผมทำให้อีกฝ่ายพอใจด้วยการลั่นหัวเราะออกมาเบาๆ

"แล้วถ้าไม่มีกูคอยบ่น มึงจะใช้ชีวิตยังไงวะภูผา"

ผมนิ่งมองหน้ามันหลังจากจบคำถามทีเล่นทีจริงนั่น พยายามคิดหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน หากว่าไม่มีธงทัพ ชีวิตผมจะเป็นยังไง อาจลอยเคว้งคว้างอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็คงไร้เยื่อใยกับการมีชีวิตอยู่จนอยากตายหลายร้อยหลายพันครั้ง เหมือนว่าชีวิตผมจะผูกติดอยู่กับคนอื่นเสมอ ผมอาจอ่อนแอเกินกว่าจะหายใจได้ด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรและเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ท้ายที่สุดธงทัพกลับกลายมาเป็นคนที่ช่วยให้ผมหายใจอยู่บนโลกนี้ได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนั้น...

 

ธงทัพจึงสำคัญเท่าชีวิต 

 

...

 

ตอนเย็นของวันนั้น ธงทัพพาผมออกมาตรวจสายตา เพราะถ้ารอให้ผมมาเอง ผมก็คงผลัดไปเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะผมใช้เวลาอยู่หน้าคอมพ์ตลอดทั้งวันเวลาทำงาน กลับจากทำงานก็เล่นมือถือ เล่นเกม ดูหนัง ใช้เวลาอยู่หน้าจอจนแทบจะตลอดเวลา ใช้งานสายตาหนักอย่างไม่ได้ทะนุถนอม วันนี้ผมจึงได้ค่าสายตาที่สั้นลงกว่าเดิมมาเป็นรางวัล เพิ่มเติมจากนั้นก็เสียงบ่นของคนที่พามา

"บอกแล้วเห็นป่ะว่าไม่ให้เล่นมือถือในที่มืดอะ ที่พูดอะเคยฟังป่ะล่ะ"

"มันก็ไม่ได้สั้นเยอะ"

"จะเยอะจะน้อยมันก็เรียกว่าสั้นป่ะวะ คือนี่ต้องทำยังไง ต้องจำกัดเวลาเล่นมือถือมั้ย?"

"ไม่ใช่เด็ก"

"ก็ไม่รู้จักโต" นิ้วชี้ของคนตรงข้ามจิ้มเข้าข้างขมับจนหัวโยก ผมเลิกเถียงเพราะรู้ว่าไม่มีวันชนะ เรื่องนี้ผมผิดเอง เลยยอมให้อีกคนบ่นไปตามประสา ผมยิ้มเยาะให้ความย้อนแย้งของตัวเองอยู่ภายในใจ ธงทัพน่ารำคาญ แต่ผมกลับไม่อยากให้มันหยุดบ่นเลย

 

มื้อเย็นของวันนี้ ธงทัพพาผมมาอยู่ที่ร้านบุฟเฟต์อาหารทะเล คนอยากกินตามใจตัวเองเช่นเคย แต่ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้วจึงไม่เคยโต้แย้งอะไร ระหว่างนั่งรอพนักงานเสิร์ฟ มองออกไปด้านนอกก็เห็นฝนลงเม็ดมาปรอยๆ ก่อนค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้นในเวลาอันสั้น ผมมองผ่านผนังกระจกบานใหญ่ สายฝนสาดเข้ามาก่อนไหลลงเป็นสาย เหม่อมองอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งพนักงานเดินเอาเนื้อสัตว์ที่สั่งมาเสิร์ฟจึงเรียกสติตัวเองกลับคืนมา สายตาหันไปสนใจบรรดาอาหารทะเลเกรดพรีเมี่ยมสมราคา ผมไม่วางตาจากกุ้งตัวโตที่ดูเหมือนว่ามันยังมีชีวิตอยู่เพราะความสดคล้ายว่าเพิ่งยกขึ้นมาจากทะเลใหม่ๆ เพราะแขนผมเจ็บข้างหนึ่งจึงหยิบจับอะไรไม่ถนัด ธงทัพจึงจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ ใช้มือเปล่าหยิบกุ้งตัวโตวางเรียงลงบนเตาย่าง

"ขอบคุณที่สละชีวิตเพื่อเป็นอาหารของเรา ขอบคุณจ้า"

ผมเผลอก้มหัวขอบคุณกุ้งตามคำพูดของธงทัพไปด้วยเพราะจิตใจไม่อยู่กับตัว จดจ้องอยู่กับกุ้งที่ถูกพลิกไปมาสองสามครั้งก็เริ่มเปลี่ยนสี ใบหน้าผมคงแสดงออกถึงความหิวโหยมากจนคงตรงข้ามหันมาแซว

"ภู น้ำลายหยด"

"หึ!" ผมลั่นเสียงปฏิเสธแต่ก็เผลอเม้มริมฝีปากเก็บน้ำลายที่กลัวว่ามันจะหยดลงไปจริงๆ ได้ยินเสียงหัวเราะของธงทัพก่อนมันจะใช้ตะเกียบคีบกุ้งที่ดูจะสุกได้ที่แล้ว กำลังจะยื่นใส่จานผมแต่มือก็ชะงักไป

"กูแกะให้มั้ย"

"กูแกะเอง" ผมตอบกลับทันที เพื่อให้กุ้งตัวนั้นมาอยู่บนจานตัวเอง แขนเจ็บไม่ใช่อุปสรรคต่อการกิน และผมก็มีความชำนาญในการแกะกุ้งมากกว่าธงทัพ ครู่เดียวเปลือกกุ้งก็หลุดออกพร้อมที่จะเอาเนื้อกุ้งแน่นๆ นั้นยัดเข้าปากตัวเอง เพราะความร้อนที่ไม่ได้เป่าก่อนทำให้ผมอ้าปากค้าง ก่อนหุบปากแล้วเคี้ยวไปทั้งที่ยังร้อนอยู่ ผมเหลือบตามองธงทัพที่กำลังมองผมอยู่เช่นกัน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มมุมปากที่ผมไม่เคยชอบ แต่ตอนหลังเริ่มชินเพราะรู้ดีว่าในรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีความหมายเชิงร้ายอะไรแฝงอยู่เลย ธงทัพก็แค่ชอบยิ้มแบบนั้น เป็นยิ้มร้ายๆ จากคนที่ใจดีที่สุดในโลก แต่ยิ้มออกมาตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่าจะผิดเวลาไปหน่อย ผมจึงเอ่ยปากถาม

"ยิ้มอะไร"

"มึงโตมาน่ารักขนาดนี้ได้ยังไงวะ"

ผมชะงักไปเพราะคำพูดประหลาดที่อยู่ๆ ก็พูดออกมาโต้งๆ แบบนั้น งานถนัดคือการเปลี่ยนเรื่อง เลยยกตะเกียบชี้ไปที่กุ้งบนเตา

"ไหม้แล้ว"

ธงทัพหัวเราะในลำคอแล้วยกตะเกียบพลิกกุ้ง คีบตัวที่สุกแล้วใส่จานผมบ้าง กินเองบ้าง คนที่อยากกินกลับกินได้น้อยเพราะมัวแต่จะคอยช่วยเหลือผม ทั้งที่ย้ำหลายครั้งว่าผมทำเองได้ เถียงไปก็มีแต่จะโดนดุเลยปล่อยให้มันทำให้อย่างไม่ขัด เคี้ยวอาหารอยู่เต็มปากขณะหันมองสายฝนที่เริ่มซาลง อยู่ดีๆ ความรู้สึกบางอย่างก็โผล่เข้ามาในหัวแล้วพุ่งออกไปเป็นคำพูดเพื่อบอกเล่าให้คนที่นั่งอยู่ด้วยกันรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นด้วย

"กินอาหารทะเลแล้วคิดถึงบ้านว่ะ"

"คิดถึงบ้าน?"

ผมพยักหน้ารับ ผมไม่ค่อยได้กลับชลบุรีเลย ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ที่นั่นยังคงมีบ้าน แต่ไม่มีใครให้กลับไปหา ไม่มีใครรอผมอยู่ที่นั่น แต่บางครั้งบางคราวความทรงจำบางอย่างที่นั่นก็หวนกลับมาให้คิดถึง ในบางวันผมก็อยากจะกลับไปที่นั่น กลับไปที่บ้าน

"กลับบ้านกันป่ะล่ะ"

ผมเงยหน้ามองเสียงธงทัพแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"กลับบ้านไง บ้านเรา"

"มึงว่างเหรอ"

"เดี๋ยวรีบเคลียร์งานให้ ถ้าอยากไปอ่ะนะ"

"ก็อยากไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไมเหมือนกัน"

"ไปทะเลกันไหม"

"ไม่ไปทะเล" ผมสวนกลับอย่างไม่ได้คิด แต่จิตใต้สำนึกมันบอกผมแบบนั้น ไม่ไปทะเล ไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด ธงทัพพยักหน้ารับโดยไม่ได้ถามหาเหตุผลที่ผมโต้แย้ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันรู้ดีว่าผมเกลียดทะเล ความทรงจำบางอย่างมันจมอยู่ในนั้น ความทรงจำที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ทะเลลึก ผมแค่รู้สึกกลัว

 

กลัวว่าจะต้องกลับไปเจอมันอีก...

 

            ...

 

            หลังจากจบมื้อเย็น ธงทัพขอให้ผมไปนอนที่ห้องมัน เพราะพรุ่งนี้มันจะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปทำงาน ผมยังคงได้หยุดงานต่อไปจนครบอาทิตย์จึงไม่มีปัญหาเลยยอมไปนอนห้องมันง่ายๆ ตอนนี้ฝนยังคงลงเม็ดมาปรอยๆ มีน้ำขังอยู่บนพื้นฟุตบาทที่ไม่ราบเรียบ ผมที่เดินนำธงทัพมา ก้าวขายาวๆ ข้ามจุดที่น้ำขัง หลบหลีกพื้นที่เปียก กระโดดไปทางนั้นที ทางนี้ที เหมือนกำลังเล่นเกมหลบกับระเบิด เพราะอย่างนั้นถึงถูกคนข้างหลังดุเสียงแข็ง

"ถ้าล้มจะตีนะ"

ผมก็เลยต้องหยุดความพยายามที่จะหลบน้ำขัง แล้วยอมรองเท้าเปียกเดินย่ำน้ำไปจนถึงป้ายรถเมล์ หย่อนตัวลงนั่งเงียบๆ ก่อนธงทัพจะนั่งลงข้างๆ ฝนตกแบบนี้พาให้รถติดเป็นทางยาว รถเมล์ไม่ยอมมา แท็กซี่ก็หายาก การนั่งรออยู่อย่างนี้ก็ดูไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะได้กลับห้องด้วยซ้ำ

"รู้หรือยังว่าทำไมเราควรซื้อรถ"

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของธงทัพ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนน้อยอย่างผม การผ่อนรถถือเป็นภาระใหญ่ ธงทัพเงินเดือนเยอะกว่าผมเกือบเท่าตัว แต่สูญเสียไปกับสิ่งไร้สาระอยู่เสมอ

"ถ้ามึงเอาเงินที่ซื้อฟิกเกอร์ไปผ่อนรถ ก็คงได้เบนซ์"

"แล้วเบนซ์มันโชว์บนหัวเตียงได้ไหม"

"แล้วฟิกเกอร์มันขับได้ไหม"

"หึ!" ธงทัพลั่นเสียงบ่งบอกความไม่พอใจในลำคอ แล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ผมกระตุกแขนเสื้อให้มันกลับหันมา แต่ถูกสะบัดออกด้วยใบหน้าบูดๆ

"ไม่คุยกับคนขี้เถียง"

ผมปล่อยมือจากแขนเสื้อมันแล้วขยับปากด่าแบบไม่มีเสียง ในตอนนั้นฝนก็เริ่มลงเม็ดหนักขึ้น กระทั่งละอองฝนสาดเข้ามาหา ขยับขาหลบเม็ดฝนนั่นแต่เห็นท่าจะหลบไม่พ้น อยู่ๆ คนข้างๆ ก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเรียบเฉยมองออกไปนอกถนนไม่ได้พูดอะไรนอกจากยกมือขึ้นกอดอกยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมรู้เจตนาของธงทัพโดยที่มันไม่ต้องพูดอะไร เพราะเมื่อธงทัพลุกมายืนตรงนี้...ตัวผมก็ไม่เปียกฝนอีกเลย

 

...

 

หลังจากใช้เวลาฝ่าฟันวิกฤติรถติดในวันฝนตกมาชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงห้องธงทัพตอนเกือบๆ สามทุ่ม ผมมาที่นี่ไม่บ่อยเพราะมันจะเป็นคนไปหาผมเองมากกว่า ธงทัพไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก็ทำให้ที่นั่นรกได้เสมอ ห้องตัวเองก็เช่นกัน ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เห็นเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ปลดออกจากไม้แขวนวางพาดอยู่บนโซฟา อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานก็วางเกะกะอยู่ตรงนั้นด้วย บนพื้นหน้าทีวีมีจิ๊กซอว์ที่ยังต่อไม่เสร็จวางแผ่อยู่เต็มพื้น เวลานอนยังจะไม่มี ยังมีอารมณ์มาต่อจิ๊กซอว์อีก ข้างๆ กันมีโมเดลบ้านจำลองที่ยังประกอบไม่สมบูรณ์ ชิ้นส่วนของโมเดลรวมกันอยู่ในโหลแก้วที่ถูกปิดฝาไว้อย่างดี คงเพราะไม่ให้ชิ้นส่วนของโมเดลชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั่นหายไป หนังสือที่หน้าปกเป็นภาษาอังกฤษถูกคว่ำหน้าเอาไว้ เดาว่ายังอ่านไม่จบเช่นกัน สิ่งเดียวในห้องที่ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยเห็นจะเป็นโมเดลการ์ตูนกับหนังสือเล่มโปรดที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในตู้โชว์นั่น

เมื่อเจ้าของห้องเดินถึงเตียงก็ทิ้งตัวนอนคว่ำลงเตียงทันที เตียงที่ห้องนี้เล็กกว่าที่ห้องผม แค่ตัวโตๆ ของมันคนเดียวก็กินพื้นที่เกือบทั้งเตียงไปแล้ว

"ตัวเปียกไม่ใช่เหรอ ไปอาบน้ำดิ" ผมบอก คนบนเตียงจึงพลิกตัวขึ้นมามอง

"มึงอาบก่อนดิ"

จะอาบก่อนหรืออาบหลังยังไงก็ต้องอาบอยู่ดี ผมขี้เกียจเถียงแล้วจึงพยักหน้ารับ ก่อนเดินไปหาเสื้อผ้าของมันที่พอจะใส่ได้ แล้วเข้าไปอาบน้ำก่อน ห้องธงทัพเหมือนพิพิธภัณฑ์ของเล่น ขนาดในห้องน้ำยังมีตุ๊กตาพลาสติกรูปตัวการ์ตูนที่มันชอบวางอยู่ด้วย จริงๆ ความหลงใหลในบางอย่างของธงทัพเป็นเรื่องน่าอิจฉา เพราะผมไม่มีอะไรแบบนั้นในชีวิต หรืออาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมชื่นชอบ มันครอบครองไม่ได้... 

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน เมื่อออกมาก็ไม่เห็นธงทัพอยู่บนเตียงแล้วเพราะย้ายตัวเองไปนั่งอยู่ที่ริมระเบียง หนังสือหนึ่งเล่ม บุหรี่หนึ่งมวน นั่นคือภาพที่ผมเห็นอยู่เป็นประจำ ผมเดินเอาผ้าขนหนูไปแขวนที่ราว ก่อนพูดออกไปลอยๆ แต่ก็หวังให้มันลอยไปเข้าหูใครบางคน

"ไหนใครบอกว่าจะเลิกบุหรี่วะ"

คนถูกพาดพิงละสายตาจากหนังสือ เงยหน้ามองผมแล้วสวนกลับอย่างไม่เต็มปากนัก

"มันก็ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปสิ"

"แต่วันนั้นรับปากแล้วไง"

"ก็ลดอยู่นี่ไง" 

ผมไม่เถียงต่อ ได้แต่ขมวดคิ้วมองด้วยความไม่พอใจ แล้วพูดออกไปเบาๆ

"อยากตายเร็วก็ตามใจนะพี่ทัพ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วเดินมานั่งบนเตียง แกล้งทำเป็นไม่สนใจธงทัพ แต่แอบเหลือบตามอง คนที่นั่งอยู่ที่ระเบียงไม่ได้สูบบุหรี่มวนนั้นต่อ ลดมือข้างที่คีบบุหรี่นั้นลงช้าๆ แล้วนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะตัดสินใจทำอะไรต่อกับบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนนั้น และท้ายที่สุดก็ยอมดับมันลง ผมหลุดหัวเราะออกมาจนอีกฝ่ายหันมามอง พับหนังสือในมือปิดแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาในห้อง ยกนิ้วจิ้มข้างขมับผมเบาๆ ตอนที่เดินผ่าน

"แกล้งกู"

"เป็นห่วงมึงต่างหาก" ผมตอบตอนที่มันเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว มั่นใจว่ามันได้ยินแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ก็พอจะจินตนาการหน้าคนในนั้นออก คงจะหลุดยิ้มออกมา อย่างที่ผมกำลังเป็น

 

 

...

 

            วันนี้ผมยังคงอยู่ที่ห้องของธงทัพ แต่เจ้าของห้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ครึ่งวันเช้าผมเสียเวลาไปกับการเก็บกวาดห้องเพราะความรกที่ทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ส่วนครึ่งวันบ่ายใช้เวลาไปกับการนั่งต่อจิ๊กซอว์ที่ธงทัพมันทำค้างเอาไว้ จิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ห้าร้อยกว่าชิ้น แบบไม่มีตัวเลขกำกับด้านหลังจึงลำบากต่อการหยิบมันมาเรียงให้เข้าที่ ใช้เวลาอยู่นานเป็นค่อนวัน จนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แต่ว่าผมกลับขี้เกียจจนล้มเลิกแล้วทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้นเสียก่อน

            ผมไม่รู้ทำไมธงทัพถึงมีความอดทนอยู่กับอะไรแบบนี้ได้นาน ปกติแล้วมันเป็นคนใจร้อน ปากร้าย อารมณ์เสียง่ายและขี้หงุดหงิด แต่เวลาอยู่กับของพวกนี้ หรือ หนังสือสักเล่ม ก็จะเข้าสู่ความสงบในพื้นที่เงียบๆ ของมันได้เป็นวันๆ บางครั้งเวลาที่ผมเบื่อจะฟังมันบ่นอะไร หรือเผลอทำอะไรให้มันโกรธ ผมจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการแกล้งทำเป็นสนใจหนังสือที่มันอ่าน จากนั้นมันจะใจเย็นแล้วเล่าเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

           

ผมว่า...ธงทัพน่ารักที่สุดก็ตอนนั้น 

 

"ตื้ด...ตื้ด..."

 

ตอนที่กำลังนึกถึงอยู่ สายเรียกเข้าที่หน้าจอมือถือก็ปรากฏขึ้นมาพอดี

 

หมาบ้า

 

ธงทัพจะไม่มีวันได้เห็นว่าผมบันทึกชื่อมันเอาไว้ว่ายังไง ไม่อย่างนั้นมือถือผมแหลกคาตีนมันแน่ ไม่ปล่อยให้คนโทรเข้ามารอนานก็กดรับเพราะไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงโทรมาตอนนี้ทั้งๆ ที่มันควรจะทำงานอยู่

"ว่าไง"

(ภูผา มีเรื่องให้ช่วยหน่อย)

"อือ" ผมเพียงตอบรับในลำคอให้มันพูดสิ่งที่อยากให้ทำ

(เห็นซองสีน้ำตาลใหญ่ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีไหม)

"อยู่ใต้โต๊ะต่างหาก" ผมรู้เพราะเพิ่งเป็นคนหยิบมันขึ้นมาวางบนโต๊ะเองกับมือ

(เออ แถวๆ นั้นแหละ กูต้องใช้อะ เอามาให้หน่อยได้เปล่า)

"ถ้าไม่ได้?"

(กูก็จะกลับไปเอาเองไง)

"แล้วทำไมไม่มาเอาเองตั้งแต่แรกล่ะ"

(อย่ามากวนตีนนะภูผา)

ผมหลุดหัวเราะเพราะการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ นั่น

(เอาดีๆ จะเอามาให้ไหม)

"เออๆ เดี๋ยวเอาไปให้" ผมรวบรัดรับปากแล้วกดวางสายไป ลุกไปหยิบซองเอกสารที่ว่าแล้วเอาออกไปให้มันที่ทำงาน

ออฟฟิศของธงทัพอยู่ใกล้กับที่นี่ชนิดที่ว่าเดินไปก็ไม่ทันเหนื่อย แต่เพราะฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ มาพักใหญ่ๆ ผมกลัวว่าซองกระดาษและของในนั้นจะเปียกเลยเลือกขึ้นแท็กซี่ไป ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึงหน้าตึก ผมเคยมาที่นี่หลายครั้งและยังคงชอบการตกแต่งตึกที่มักจะเปลี่ยนไปเสมอ ผมไม่รู้จักศิลปะดีนัก แค่เห็นแล้วชอบผมจึงเหมารวมว่ามันคือความสวยงาม

ระหว่างที่รอลิฟต์สายตาก็กวาดมองสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อย กระทั่งเสียงลิฟต์ตรงหน้าเรียกให้หันกลับมามอง

"ติ๊ง!"

ประตูลิฟต์เปิดออก คนเดียวที่อยู่ในนั้นเดินออกมาแล้วผ่านหน้าผมไปอย่างไม่ทันสนใจ เขาเดินผ่านหน้าผมไป แต่ตัวผมหยุดอยู่กับที่ สายตาผมมองตรงเข้าไปในลิฟต์ที่ว่างเปล่า กระทั่งประตูปิดลง

คนที่เดินผ่านหน้าผมไปถอยหลังกลับมา ผมไม่ได้หันมอง แต่รู้ได้โดยเสียงเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้

ทีละก้าว...อย่างเชื่องช้า

ในตอนนั้นสายตาผมก็ไม่อาจนิ่งเฉย หันกลับไปมองคนๆ นั้นในตอนที่เขามาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพอดี

ร่างกาย ใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก...ผมไล่มองทุกอย่างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากใคร คล้ายว่าจะเจอกันครั้งแรก แต่ไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะว่ารู้จักกันดี

 

นาวี

 

ผมเรียกชื่อเขาในใจ แต่ชื่อผมถูกเรียกผ่านเสียงของเขาออกมา

"ภูผา"

ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไร และสิ่งที่ผมทำคือการรีบหันหลังหนี ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น เร็วจนแทบเป็นวิ่ง ตรงขึ้นบันไดเพื่อไปห้องทำงานธงทัพ ก่อนเท้าสะดุดกึกเพราะเจอธงทัพอยู่ที่บันไดขั้นบนสุดพอดี

"หนีอะไรมา"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วยืนซองเอกสารในมือให้ ธงทัพจึงเปลี่ยนความสนใจไปที่ซองนั้น

"แต้งกิ้ว เดี๋ยวเย็นนี้เลี้ยงข้าว"

"ซื้อเข้าไปเลยนะ ไม่ออกมาแล้ว ขี้เกียจ"

"เออ"

"งั้นกูกลับก่อนนะ"

"เจอกันตอนเย็น"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินลงบันไดมา เดินออกมาถึงสี่ห้าขั้นสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตาไปมองหน้าลิฟต์ แต่เมื่อมองไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นจึงเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรีบเดินออกไปจากตึกนี้ ขาผมเดินช้าลงเมื่อเดินออกมาได้ไกลในระยะหนึ่ง ช้าลงจนหยุดเดินแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่ป้ายรถเมล์

ผมไม่รู้ว่าทำไมนาวีถึงอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงต้องหนี และไม่รู้ว่าทำไม...

 

"ภูผา"

 

โดยที่ไม่ต้องเรียกซ้ำ กลับได้ยินเสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูซ้ำแล้วซ้ำอีก เสียงนั้น...

 

ที่ได้ยินครั้งสุดท้าย ก็ตั้งแต่ในฝัน... 

 

To be continued.

 

อัพเกรดเป็นนิยายรายปีเรียบร้อย ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ Chayra

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณที่กลับมาค่ะ........

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ธงทัพทำงานที่เดียวกันกับนาวีแต่ไม่เคยบอกภูผา
ยังไงเราก็ยังทีมนาวีเหมือนเดิม

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คิดถึงมากๆค่ะนานแค่ไหนก็รอได้ค่ะขอแค่อย่าเทก็พอนะคะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
« ตอบ #159 เมื่อ: 11-07-2018 00:10:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบเรื่องนี้มาก

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
เราชอบทุกเรื่องของคุณรชา แต่ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้!!!  ความสีเทาๆปนกวนนี้ช่างดีงามมม

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ถ้านาวีกลับมาภูผาจะยังชอบฟังธงทัพบ่นอยู่ไหมนะ

 :pig4: :3123:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดถึงมากๆค่ะนานแค่ไหนก็รอได้ค่ะขอแค่อย่าเทก็พอนะคะ

คิดถึงมากเลยๆ   :hao5: :hao5: :hao5:
หายไปไหนมา   ป่วยหรือเปล่า  หรืองานหนักมากกกกกก   :mew2:
กลับมา ดีใจมากกกกกก นึกว่าตาฝาด   :mew6:

ภูผา  เจอนาวีแล้ว  :serius2:
สองคนไม่เวิร์ก  ได้เวลา  3p ซักที   :mew1:
ธงทัพxภูผาxนาวี   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ jay..jay

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กรี๊ดดดด ...กรีดร้องให้สมกับการรอคอยอันยาวนาน ดีใจกับทีมหมูป่าที่ปลอดภัยและดีใจที่ได้อ่านต่อนะคะ ขอบคุณค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
พี่ทัพก็ดูแลดี นาวีก็คนที่ยังรัก โอ๊ยยยย ลำบากใจ  :ling3:

ถึงจะเป็นนิยายรายปีไปแล้ว ก็ยังมีคนเกาะตามเชียร์ ตามอ่านอยู่น้าาา รชาาา รอตอนต่อไปค่าาา ฮึบๆๆๆ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
คิดถึงงงงงง
ตอนนี้ระหว่างภูผากับธงทัพคือมันพอดีแล้วอ่ะ ไม่อยากให้ใครเปลี่ยนไปเลย ฮือออออ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
โอ้ยย ภูผาทำไงล่ะ ยังไม่เคยลืมนาวีใช่ไหม

ออฟไลน์ WednesdayApril

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาแล้วๆๆๆๆๆ
รชาไข่กลับมาพร้อมกับนาวี

บุคคลที่มาทัมมัยตอนนี้ก็ไม่รู้

อย่านะ อย่าทำน้อง
น้องเสียใจมามากพอล้าวววว :ling1:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
คนที่ลืมไม่ลง ก็โผล่มาตอนที่ภูผากำลังมีความสุข
แล้วยังต้องมารู้จักกับคนใกล้ตัวอีก

ธงทัพก็ยังไม่รู้ตัวค่ะ ก็รักเนาะ และเป็นห่วงมากด้วย
แต่ยังไงก็เชื่อว่าภูผาจะไม่ทำให้ธงทัพเสียใจนะ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.15] 10/7/18
« ตอบ #169 เมื่อ: 22-07-2018 00:04:43 »





ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เราพลาดตอนใหม่ไปได้ยังไงเนี่ย คิดถึงเรื่องนี้มากกกกก มาตอนนี้เราไม่อยากให้ภูผาเจอกับนาวีเลยนะ คือธงทัพกับภูผามันดีอยู่แล้วเรารู้สึกได้ว่าคู่นี้เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน ภูผาเหมาะที่จะอยู่กับธงทัพมากกว่านาวีอะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ให้นาวีเป็นแค่ความทรงจำที่สวยงามในวัยมัธยมเถอะค่าา น้องภูอย่าเจ็บปวดอักเลยนะ  :katai1:

ออฟไลน์ Babyboys

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
โคตรคิดถึงธงทัพกับภูผาเลยยยย  :z3:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พาร์ททัพบรรยายน้องไว้สดใส จนตัดเข้าพาร์ทภูหน่วงอย่างกับเป็นหนังคนละม้วน
แต่ใจยังอยู่ทีมนาวีนะ  :katai1:

ออฟไลน์ fxxg0430

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ยังทีมนาวีอยู่นะ คิดถึงรอยสักที่ภูผาบอกไม่อยากให้สัก แต่นาวีสักก็คงเพราะยังคิดถึงภูผา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รอนะ   :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 16


ผมยังคงยิ้ม
แม้ว่าคุณจะเดินหันหลังไปแล้ว


 

 

"ภูผา หยิบหนังสือให้หน่อย"

"..."

"ภูผา"

"โอ๊ย!" ผมร้องออกมาเพราะแก้มข้างหนึ่งถูกธงทัพบีบเข้ามาเต็มๆ 

"เหม่ออะไร"

"จะเอาอะไร"

มันพยักหน้าไปยังหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงซึ่งตั้งอยู่ที่ฝั่งผม ธงทัพยื่นมือมารับหนังสือ แต่สายตายังจ้องมองอยู่ที่ผม ความผิดปกติของอารมณ์มักแสดงออกผ่านสีหน้าให้อีกคนรับรู้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องพยายาม ธงทัพรู้จักผมดีกว่าใคร

"เป็นอะไร"

"เปล่า"

"เห็นทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่กูกลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

"มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกกู"

"แค่รู้ว่ากูกำลังไม่สบายใจก็พอแล้ว"

"ไม่พอ" ธงทัพพูดเสียงแข็ง ซ้ำยังใช้มือข้างหนึ่งบีบคางผมให้เงยหน้าขึ้นมองมัน ผมไม่กล้าหลบสายตา ไม่ได้รู้สึกกลัว ธงทัพไม่ได้น่ากลัว แต่ทุกครั้งที่ถูกมองมาด้วยสายตาแบบนั้น ผมไม่อาจกักเก็บความรู้สึกอะไรเอาไว้ได้เลย ธงทัพทำให้ผมเคยตัวกับการบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้มันฟัง แม้เป็นเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจคนเดียวก็ได้ ผมก็จะพูดเพียงเพราะคนฟังคือธงทัพ

"ทำไมไม่บอกว่านาวีทำงานที่เดียวกับมึง"

หัวคิ้วของอีกฝ่ายขยับเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนคลายออก ธงทัพยันตัวเองขึ้นนั่งแล้วมองหน้าผมด้วยแววตาที่ดูจริงจัง

"นาวี?"

"อืม ทำไมไม่บอกว่านาวีทำงานที่เดียวกัน"

"ไม่คิดว่ามึงจะอยากรู้"

"กูก็ไม่ได้อยากรู้แต่..." ไม่มีคำอธิบาย ผมเถียงธงทัพไม่ได้เลย มีเรื่องราวผุดขึ้นในหัวผมเป็นร้อยเป็นพัน คำพูดนับล้านก็อัดแน่นวนเวียนอยู่ในนั้นแต่สุดท้ายกลืนหาย กลายเป็นเสียงถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง ผมอยากจบบทสนทนานี้แล้ว

"ทำไมมึงต้องอยากรู้เรื่องของมันด้วย"

แต่ธงทัพต่อบทนั้นด้วยคำถามที่ทำให้ผมต้องเงียบไปอีกครั้ง ผมทบทวนอยู่ในใจอีกที จริงอย่างธงทัพว่า มันไม่ได้ผิดอะไรที่ไม่ได้บอกผมเรื่องนาวี ไม่มีเหตุผลที่อยู่ดีๆ จะต้องบอกให้ผมรู้ ธงทัพรู้เรื่องของผมกับนาวีมากน้อยแค่ไหน ผมก็ยังไม่แน่ใจเลย

"มึงรู้หรือเปล่าว่ากูกับนาวีเคยเป็นอะไรกัน"

"ก็พอรู้ มึงเคยใส่ร้ายกู เรื่องรูปในเฟสบุ๊กตอนม.ปลายไง"

"กูแค่เข้าใจผิด ไม่ได้ใส่ร้าย"

"เหมือนกันแหละ เรื่องห่าเหวอะไรมึงก็โทษกูไว้ก่อน เกลียดกูมากเลยนี่" ใบหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงจิกกัดคล้ายทำให้ผมจนมุมกับความผิดที่เคยก่อ ธงทัพแม่ง...น่าเตะ

"เอาจริงๆ กูก็รู้ว่ามึงกับมันเคยเป็นแฟนกัน ถ้าเป็นเรื่องของมึงกูรู้หมดแหละ กูแค่ไม่พูด"

"ใส่ใจ?"

"กูเสือก"

"กูว่าแล้ว"

ธงทัพหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนขยับตัวลงไปนอนบนเตียง แล้วเปิดหนังสือในมือผ่านๆ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คิดว่าบทสนทนาเรื่องนั้นจะจบลงตรงนี้ แต่เสียงของคนข้างๆ ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

"ยังคิดถึงมันอยู่หรือไง"

"อะไรนะ"

"นาวีอะ"

"..."

"ยังคิดถึงมันอยู่ไหม"

"ไม่"

ตอบไม่ได้เต็มปากนักและความรู้สึกก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น คำว่าคิดถึงหมายความว่าอย่างไร... ในบางครั้งผมก็พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ขึ้นมาบ้างหากมีสิ่งใดไปสะกิดถึงความคิดในส่วนนั้น ส่วนของความทรงจำที่มีนาวีอยู่ด้วย อาจไม่บ่อยนัก แต่ถ้ามันคือความคิดถึง ก็คงต้องยอมรับ...ก็มีคิดถึงอยู่บ้าง   

"ยังรักมันอยู่เหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ผมรู้คำว่ารักค่อยๆ เลือนรางตั้งแต่วันที่นาวีสูญหายไปจากชีวิต และผมไม่ควรคิดถึงคำๆ นั้นอีก

"กูไม่ให้มึงไปที่ทำงานกูแล้ว มึงจะได้ไม่ต้องเจอมันอีก"

"เออ ไม่ไปแล้ว"

"ไม่ต้องคิดถึงมันแล้ว คิดถึงกูคนเดียวก็พอ"

"คิดถึงมึงเนี่ยนะ"

"ชอบกูเถอะ อย่าชอบมันเลย"

"อะไรของมึง อยู่ดีๆ ก็..."

"กูดีกว่ามันตั้งเยอะ"

ผมเงียบตอนถูกธงทัพพูดแทรกขึ้นมา ผมก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องอย่างจริงจัง เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งธงทัพก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ผมจึงได้แต่ถามกลับไปเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบ

"ดีกว่ายังไง"

ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างเคย ยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มผมเบาๆ แล้วพูดเหตุผลนั้นออกมา เหตุผลที่ว่ามันดีกว่านาวียังไง... 

 

"กูไม่เคยทำให้มึงร้องไห้เลย"

 

...ก็จริงของมัน

 

...

 

ราวกับใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว วันหยุดยาวของผมก็หมดไปทั้งที่แขนยังไม่หายดี วันนี้ผมต้องกลับไปทำงาน แต่ก็คงดีกว่าอยู่เฉยๆ เพราะมันน่าเบื่อ วันนี้เลยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ธงทัพยังคงตามติดชีวิตอย่างกับผมเป็นผู้พิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช้านี้ก็มาส่งผมถึงที่ทำงานโดยไม่ได้ร้องขอ

"อย่าหักโหม อย่าไปยกของอะไรหนักๆ ใครใช้ให้ทำอะไรก็ไม่ต้องรับปากไปทุกเรื่อง เลี่ยงๆ บ้างก็ได้ เข้าใจไหม?"

"เข้าใจ"

"ถ้าเจ็บหรือทำงานไม่ไหว ก็โทรหากูทันทีเลย เข้าใจป่ะ?"

"เข้าใจๆ"

"มีอะไรรีบบอกกูนะ"

"เออ! เข้าใจแล้ว!"

ธงทัพหันขวับมองหน้าตอนที่ผมเสียงดังใส่ ทำตาโตพลางยกมือขึ้นทาบอก

"กูตกใจหมด นี่มึงเสียงดังใส่กูเหรอ"

"ก็ย้ำคำเดิมแบบนี้มาตั้งแต่ออกจากห้องแล้ว เข้าใจจนไม่รู้จะเข้าใจยังไงแล้ว ภูโตแล้วนะครับพี่ทัพ ภูโตแล้ว"

"หึ! ปล่อยท่าไม้ตายใส่กูอีก"

ผมหลุดยิ้มนิดหนึ่งก่อนรีบเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม แล้วใช้มือข้างหนึ่งหมุนตัวธงทัพให้หันหลังกลับไป

"ไปทำงานได้แล้ว"

"เจอกันตอนเย็นนะ"

"จะนอนห้องกูเหรอ"

"อือ วันนี้กูไม่มีงานค้างคงได้เลิกเร็ว เดี๋ยวซื้อข้าวเย็นไปเอง"

"ก็ดี ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก"

"เออ ไปแล้ว ไม่ต้องออกไปส่งหรอก"

"ไม่ได้คิดจะไปส่งอยู่แล้ว"

"เหอะ!" ธงทัพกระแทกเสียงใส่ทีหนึ่ง ก่อนก้าวเท้าออกไป ผมเองก็หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าตึก ได้เพียงสองสามก้าวก็ต้องหยุดชะงักเพราะคนที่เพิ่งแยกกันไปวิ่งกลับเข้ามาหา ส่งเสียงกระซิบจากด้านหลังโดยไม่ได้มองหน้า

"พี่เป็นห่วงนะ เข้าใจป่ะ"

เมื่อผมหันหลังกลับไปมอง อีกคนก็สับขาวิ่งออกไปไวกว่าแสง ทิ้งให้ผมยืนงงกับการกระทำของมัน ก่อนความงุนงงนั้น จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในตอนที่ธงทัพเดินหันหลังไปไกลแล้ว 

 

ธงทัพ...ไอ้หมาบ้า 

 

...

 

"น้องภู! น้องภูกลับมาแล้ว"

"น้องภูของพี่!"

"น้องภูลูกแม่!"

ผมยิ้มให้พนักงานในบริษัทที่สามัคคีกันหันมาทักทายตอนที่หันมาเห็นผม เพราะผมอายุน้อยที่สุดในบริษัท ผมเลยกลายเป็นเด็กน้อยของพวกเขา

"แล้วแขนเป็นยังไงบ้างภู หายดีแล้วหรือยัง"

"ดีขึ้นแล้วครับ"

"คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ จะได้ไม่เจ็บตัวอีก"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนเท้าจะหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงไป พี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงหันมาบอกกับผม

"เขาจะรีโนเวทออฟฟิศใหม่น่ะ เราจะมีห้องทำงานใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม แต่ว่าตอนนี้ต้องย้ายไปทำงานที่ชั้นสิบก่อน พวกพี่เก็บของจากโต๊ะทำงานภูขึ้นไปให้แล้วล่ะ"

"อ๋อ ครับ ขอบคุณครับ"

ผมเดินตามพวกพี่ขึ้นมายังห้องทำงานชั่วคราวที่ชั้นสิบของตึก เดินผ่านโต๊ะของตัวเองไปหยุดอยู่ที่บานกระจกฝั่งหนึ่งของตึกซึ่งมองเห็นภาพด้านนอกได้ไกลออกไป ความสูงของชั้นไม่ได้มากพอที่จะมองเห็นวิวอะไรที่สวยงามมากมาย แต่ผมกลับชอบที่ผนังกระจกใสทำให้ห้องดูโปร่งและโล่ง ด้วยความชื่นชอบนั้นจึงเกิดเป็นรอยยิ้มขึ้นมาจนพี่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เอ่ยปากแซว   

"ชอบเหรอภู ยิ้มกว้างเชียว"

"ชอบครับ"

"เช้าๆ ก็สวยดีนะ แต่บ่ายๆ นี่ร้อนชิบหายเลยล่ะ รูดม่านปิดแทบไม่ทัน กลับไปอยู่ชั้นสามอะดีแล้ว"

ผมยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง ข้าวของที่พี่เขาเก็บมาให้ยังอยู่ในลัง ผมจึงค่อยๆ เอาออกมาวางบนโต๊ะ ชิ้นแรกที่หยิบออกมา คือต้นตะบองเพชรที่ธงทัพซื้อให้ ซึ่งถูกใส่รวมอยู่ในลัง ดินในกระถางหกหายไปครึ่งกระถาง ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผมไม่อยู่จึงไม่มีใครดูแลมัน ดูเหี่ยวเฉา แต่ยังไม่ตาย ผมจึงหยิบดินกลับใส่คืนในกระถาง กดเบาๆ ประกอบกลับให้มันกลายเป็นตะบองเพชรต้นเดิม แต่ยังไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมเพราะมีอย่างหนึ่งที่หายไป ผมหยิบของในลังออกมาวางเพื่อหาส่วนประกอบชิ้นนั้น ก่อนมันจะหล่นลงมาตอนที่ผมคว่ำลังใบนั้นลง ผมก้มลงหยิบตุ๊กตาปูนปั้นรูปเป็ดสีเหลือง แล้วปักมันลงข้างๆ ต้นตะบองเพชร ก่อนขยับมันไปวางข้างผนังกระจกเพื่อรับแสงแดดในตอนเช้า

 

"กูไม่ชอบต้นไม้"

"แต่นี่คือตะบองเพชร"

"ก็คือต้นไม้"

"คือตะบองเพชร"

"เออ นั่นแหละ ไม่ชอบ"

"เอาไปวางบนโต๊ะทำงาน น่ารักดี มีเป็ดด้วยดูสิ"

"ไม่เอาได้ไหม ถ้ามันตายล่ะ"

"มันไม่ตายง่ายๆ หรอก"

"ถ้ากูทำมันตายล่ะ"

"ตายก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูซื้อต้นใหม่ให้"

"ก็ได้...แล้วทำไมต้องมีเป็ดด้วย"

"เพราะภูผาหน้าเหมือนเป็ด"

"น่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

"ไม่ดิ เป็ดน่ารักเหอะ"

"..."

"โคตรน่ารัก"

 

 

"ภูผา"

"ครับ"

"หนูมาดูนี่ให้พี่หน่อยสิ"

"ได้ครับ"

ผมละความสนใจจากต้นตะบองเพชรไปที่หน้าจอคอมพ์ ก่อนจะเริ่มทำงานหลังจากที่พักไปอาทิตย์หนึ่ง ในตำแหน่งพนักงานด้านไอที แต่หน้าที่ครอบคลุมแทบทุกอย่างและผมไม่เคยปฏิเสธการถูกใช้งาน ผมจึงกลายเป็นลูกรักของพี่ๆ ในบริษัทไป แม้ผมจะพูดน้อย ใช้รอยยิ้มแทนคำพูดมากกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรในการทำงาน ผมมีความสุขดีกับงานที่นี่ ชีวิตตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่เคยเป็นมา จืดจาง เรียบง่าย ธรรมดา และมีชีวิตชีวาในบางครั้ง

 

เย็นนั้นผมเลิกงานช้ากว่าปกติจึงเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากออฟฟิศ ในตอนที่กำลังจะปิดไฟในออฟฟิศ ฝนก็พลันตกลงมาพอดีในตอนนั้น ผมละมือออกจากสวิทซ์ไฟ แล้วก้าวเท้าช้าๆ ไปที่ผนังกระจก มองดูเม็ดฝนที่กระทบเข้ามา ท่าทางจะไม่หยุดตกง่ายๆ ลังเลอยู่ในใจว่าจะรออยู่ที่นี่ให้ฝนซา หรือว่าจะกลับไปทั้งที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้ ผมตัดสินใจไม่นานก่อนจะเลือกกลับห้อง อาจเป็นเพราะนึกไปถึงคนที่รออยู่...ธงทัพน่าจะรออยู่

ผมเดินออกจากลิฟต์ แล้วตรงไปยังประตูทางออก แต่ทุกอย่างก็หยุดชะงักราวภาพสะดุดเมื่อหันไปเห็นคนที่กำลังเดินสวนมา สองขาพาผมถอยหลังกลับมาหลบหลังกำแพงอีกฝั่งโดยอัตโนมัติ อาจจะตาฝาดไป อาจไม่ใช่เรื่องจริง แต่ว่า...ผมเห็นนาวี

ผมคลายหัวคิ้วที่ขมวดแน่น แล้วชะโงกหน้าออกไปมองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ แต่คราวนี้ต้องชะงักจนลั่นเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะชะโงกไปเจอกับอีกคนที่ก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าพอดี

"เฮ้ย!"

ผงะถอยหลังจนเกือบล้ม คนที่ทำให้ผมตกใจก็เป็นคนเดียวกับที่ยื่นสองมือมาจับแขนผมเอาไว้ไม่ให้หงายหลัง

"ตกใจเหรอ"

ผมไม่ได้ตอบอะไร นอกจากดึงแขนตัวเองกลับมา

"ทำงานที่นี่เหรอ"

"..."

"ทำไมกลับบ้านช้าจัง"

"..."

"ข้างนอกฝนตกหนักนะ มีร่มไหม"

ผมได้ยินทุกคำถามที่ออกมาจากปากนาวี แต่ไม่มีสักคำตอบที่ออกจากปากผมไป กระทั่งนาวีหยุดพยายามที่จะพูดอะไร กลายเป็นความเงียบระหว่างเราสองคน ผมอยากก้าวเท้าหนี แต่ขามันไม่ยอมทำตามที่ใจคิด...ไม่เข้าใจเลย

"คุณนาวี"

ทั้งผมและนาวีหันไปมองเสียงของคนที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นหัวหน้าผมจึงฝืนยิ้มทักทาย

"สองคนรู้จักกันด้วยเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่นาวีกลับพยักหน้ารับ เมื่อผมหันมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาจึงแสร้งหันหน้าหนีไปอีกทาง

"นี่คุณนาวี สถาปนิกรีโนเวทออฟฟิศเรา"

ได้ทำงานอย่างที่อยากทำเลยสินะ...ชีวิตเป็นไปอย่างที่คิดเลยสินะ...

ชั่วครู่เดียวในความคิด ถ้อยคำเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ก็พลันหายไป

"ผมกลับก่อนนะครับ" ผมหันบอกหัวหน้า ไม่ได้มองนาวีเลยแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น อยากไปให้เร็วกว่านี้ ให้ไกลกว่านี้ แต่เพราะฝนที่กระหน่ำลงเม็ดมา ทำให้ผมต้องหยุดอยู่กับที่เพราะไปไหนไม่ได้ แม้จะยืนอยู่ใต้หลังคาแต่ว่าน้ำฝนยังคงใจร้ายด้วยการสาดเข้ามาจนตัวเปียก ผมถอนหายใจเบาๆ ตัดสินใจที่เดินวิ่งลุยฝนข้ามไปขึ้นรถอีกฝั่ง แต่ในจังหวะที่กำลังจะก้าวออกมา สองขาก็ต้องหยุดกึกเพราะมือหนึ่งดึงแขนผมเอาไว้ แน่นอนว่าเป็นเขา ...นาวี

"เอาร่มไปดิ"

"..."

"ยังโกรธกูอยู่เหรอ"

"..."

"มีแพลนจะหายโกรธบ้างไหม"

"..."

"ภูผา"

"..."

"ช่วยพูดอะไรกับกูสักคำได้ไหม"

"บอกแล้วไงว่าไม่อยากเจอมึงอีก ไม่อยากเจอมึงเลย กลับมาทำไม"

"ภูผา..."

ผมไม่ได้รอฟังต่อว่านาวีจะพูดอะไร ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ร่างกายก็เปียกชุ่มในทันทีเพราะเม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาไม่หยุด แต่ทุกอย่างอยู่เหนือความสนใจเมื่อสมองของผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ผมพาร่างกายที่เปียกปอนของตัวเอง เดินฝ่าพายุฝนไปเรื่อยๆ ผมอยากเดินให้เร็วกว่านี้ หัวใจผมเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ร่างกายยังอยู่ที่เดิม

ผมไม่รู้ว่าควรคิดถึงอะไรในตอนนี้ เพราะทั้งหมดที่มีในหัวมันว่างเปล่า หรือไม่ใช่...จะเรียกว่าว่างเปล่าก็ไม่เต็มปากเท่าไร เพราะผมยังคงคิดถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อครู่ นาวีกลับมา...และอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

 

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลานานขนาดไหนจึงเดินกลับมาถึงห้องได้ หยดน้ำจากเสื้อผ้าไหลเป็นทางระหว่างที่เดินมาหยุดที่หน้าห้อง ผมหลับตาถอนหายใจช้าๆ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ในนาทีนี้ ธงทัพรอผมอยู่...รอนานกว่าที่เคยรอ

ผมปรับสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติ แล้วเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นก็คือใบหน้าของคนที่รออยู่ ซึ่งดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ผมแสดงละครไม่เก่งนัก แต่ก็รีบสร้างเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่กำลังโกรธจนหน้าตึง

"เปียกหมดเลย ฝนตกอะไรนักหนาก็ไม่รู้ นี่มันยังไม่หมดฤดูฝนอีกหรือไง กระเป๋าก็เปียก โทรศัพท์ก็เปียกหมดเลยแม่ง! กู...เปียก...หมดเลย..." ผมแกล้งใส่อารมณ์เล่นใหญ่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง เพราะธงทัพยังคงมองด้วยแววตาเรียบเฉยแบบนั้น

"คิดว่าโมโหกลบเกลื่อนแล้วจะรอด ไม่เนียนเนอะ"

"ไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ"

"เพิ่งเลิกงาน งานเยอะมาก"

ผมโกหก และธงทัพก็จับได้ง่ายว่าโกหก แค่มันลุกขึ้นยืนสุดความสูงพร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ ผมก็ตัวหดเล็กลง แล้วถอยหลังหนี คราวนี้ยอมรับว่ากลัว

"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ"

ผมเงยหน้ามองอย่างประหลาดใจ คิดว่าจะโดนดุมากกว่านั้น แต่กลับพลิกล็อกไล่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงอาศัยจังหวะนั้นรีบเดินเข้าห้อง รีบร้อนถอดเสื้อเชิ้ตออกจนลืมแกะกระดุมที่แขนเสื้อ ในตอนที่กำลังจะดึงเสื้อออก ก็ดันไปติดอยู่กับเฝือกที่แขน แลดูทุลักทุเล ไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ ธงทัพก็เดินเข้ามาพอดี คงนั่งมองผมอยู่นานแล้ว 

"อะไรของมึง"

"ลืมแกะกระดุม"

มันส่ายหน้าเบาๆ แล้วถอดเสื้อผมออกข้างหนึ่งก่อน

"มึงโกรธกูเหรอ"

"เปล่า"

"กูขอโทษได้ไหม กูไม่ได้ตั้งใจจะกลับช้า แต่ว่า..."

"เออ ไม่ต้องอธิบายแล้ว กูไม่ได้โกรธอะไรนักหนา แค่รอนานแล้วติดต่อมึงไม่ได้ กูก็เป็นห่วงไปงั้นแหละ"

ผมหลุดยิ้มออกมา ก่อนธงทัพจะปลดเสื้อผมออกจากแขนได้ข้างหนึ่ง

"ก็นึกว่ามึงโกรธ"

"ไม่ได้โกรธ"

"ใครจะไปรู้ ปกติชอบโกรธเป็นหมาบ้า"

"หมาบ้าอะไรมึง! รีบๆ ถอดเลย กูหิวข้าวแล้ว เร็วๆ"

"เบาๆ ดิ! โอ๊ย! โอ๊ยเจ็บนะ ธงทัพ! พี่ทัพ! ภูเจ็บ!"

ผมตะโกนลั่นเพราะแรงกระชากนั่นทำให้ผมเจ็บจริงๆ เจ็บแบบไม่ได้แกล้งเลย ผมถอยหลังแล้วนั่งลงกับพื้น ยกมืออีกข้างขึ้นกุมแขน ไม่มีคำพูดใดนอกจากใบหน้าบ่งบอกความทรมาน

"เจ็บจริงเหรอ"

เหมือนว่าจะลืมหายใจไปชั่วขณะเพราะความเจ็บที่ร้าวรานไปทั่วทั้งแขน ผมพ่นลมหายใจยาวๆ แล้วเงยขึ้นไปพยักหน้ารับ

"เฮ้ย ขอโทษ"

"..."

"ภูผา กูขอโทษ"

ธงทัพคุกเข่าลงตรงหน้า สองมือประคองใบหน้าผมให้เงยหน้าขึ้นมองมัน เมื่อความเจ็บค่อยๆ หาย ผมจึงได้สติกลับมารับฟังคำขอโทษที่ย้ำอยู่อย่างนั้นไม่หยุด

"ขอโทษ เจ็บมากเปล่า กูขอโทษ"

"ไม่เป็นไร"

"เจ็บมากไหม บอกกู"

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

"ขอโทษ"

"ไม่ต้องขอโทษแล้ว"

ธงทัพแสดงสีหน้ารู้สึกผิดมากที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะสำนึกผิดได้ ต่างกับผมที่กำลังเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม กระทั่งหลุดยิ้มออกมาจนได้

"ขอโทษนะ"

"หายแล้ว ไม่เป็นไร"

ธงทัพพยักหน้ารับ ก่อนฝ่ามืออุ่นของมันจะแตะเข้าที่ข้างแก้มผมเบาๆ ใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมาแต่ไม่ทันไหล เหมือนเราต่างคนต่างยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เราใกล้กันเกินไป ใกล้จนคล้ายกับว่า ผมได้ยินความปรารถนาในใจของธงทัพที่ร่ำร้องบางอย่างอยู่ ก่อนความต้องการนั้นจะเปิดเผยออกมา ด้วยการกระทำ   

ธงทัพที่ตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมา เพื่อสัมผัสริมฝีปากเข้าด้วยกันกับริมฝีปากของผม แม้ประหลาดใจแต่ไม่ได้ถอยหนี ที่ผ่านมาธงทัพเว้นระยะห่างระหว่างกายเราเอาไว้เสมอ ไม่เตะต้อง ไม่สัมผัส ไม่เกินเลย แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าภายในใจมันคิดอะไร นี่เป็นครั้งแรกที่ช่องว่างตรงนั้นระหว่างเรามันหายไป...ธงทัพก้าวข้ามมันเข้ามาแล้ว แม้ด้วยความไม่ตั้งใจก็ตามที   

ผมกำลังขยับริมฝีปากที่ปิดสนิทเพื่อให้สัมผัสนั้นได้แนบแน่นขึ้น หากแต่มันเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวคล้ายกับสติที่พลันหายไปชั่วครู่ปรากฏขึ้นมาชัดเจน ธงทัพถอนริมฝีปากออกไป ด้วยใบหน้าที่ดูตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่สบตา ไม่มองหน้า แล้วเอ่ยคำๆ หนึ่งออกมาเบาๆ

"ขอโทษ"

"..."

"พี่ขอโทษ"

ผมยกสองมือเย็นเฉียบของตัวเองขึ้นประคองใบหน้าเรียบเฉยนั่นให้หันกลับมามองตากัน

"ไม่เป็นไร"

"..."

"พี่ทัพ"

"..."

"ทำต่อสิ"

ธงทัพจูบแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง...ด้วยความตั้งใจ อีกครั้ง และอีกครั้ง กระทั่งถอนริมฝีปากตัวเองออกไป ผมไม่รู้ว่าธงทัพกำลังคิดอะไรหรือลังเลอะไร แต่รับรู้ได้ถึงความอึดอัดผ่านจูบที่ดูสับสน จนริมฝีปากนั้นถูกถอนออกไป แล้วเกิดเป็นคำถามขึ้นมาแทน

"ถามอะไรหน่อย"

"อะไร"

"มึงรู้ใช่ไหมว่ากูเป็นใคร"

ผมขมวดคิ้วมอง ไม่เข้าใจในคำถามนั้นจึงไม่ได้ตอบ อีกฝ่ายก็ถามซ้ำออกมา

"รู้ไหมว่ากูเป็นใคร"

"ธงทัพ"

"รู้ตัวใช่ไหมว่ากำลังจูบอยู่กับใคร"

"ธงทัพ"

ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างเคย แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำถามแบบนั้นหมายความว่าอะไร สีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจคงชัดเจน จนธงทัพอธิบายเหตุผลของมันออกมาเอง

"ย้ำให้มึงรู้ตัว"

"..."

"เพราะกูไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อแทนที่ใคร"

จบประโยคนั้นริมฝีปากเดิมก็โน้มลงสัมผัสเข้ามาอีกครั้ง ผมขยับริมฝีปากรับปลายลิ้นที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา รอยจูบที่เชื่องช้า เพิ่มน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราต่างคนต่างรู้ตัวดีว่ามันมีมากกว่านี้...ความต้องการของเราสองคน

ธงทัพอยู่ข้างๆ ผมมาตลอด ทำให้ผมสบายใจ ในวันที่ชีวิตเกือบแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ธงทัพประกอบรวมให้มันกลับกลายเป็นชีวิต ทีละชิ้น ทีละส่วน...อย่างใจเย็น โดยไม่บีบบังคับกัน คงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะหวั่นไหวไปกับคนๆ นี้...ไม่ใช่ความผิดผมใช่ไหม...มันถูกต้องหรือเปล่า...มันควรจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า คราวนี้เป็นผมที่สับสน ราวกับว่า

...ปรารถนา แต่ว่าหวาดกลัว

"ธงทัพ"

"..."

"กอดกูหน่อยได้ไหม"

ทำตามที่บอกโดยทันที ผมหลับตาลง ปล่อยตัวเองจมอยู่ในอ้อมกอดของธงทัพ

"บอกกูทีว่ามันจะไม่เป็นไร"

"ไม่เป็นไร"

"..."

"ไม่เป็นไร กูอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร"

"..."

"ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร"

ริมฝีปากเราสัมผัสกันอีกครั้ง หมดเหตุผลและสิ่งใดกั้นขวางระหว่างเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเดินทางต่อไปด้วยความปรารถนา เมื่อปล่อยวาง...จึงไร้กังวล

ผมยอมแล้ว ทุกอย่างเลย

เมื่อไร้เสื้อผ้าบดบังร่างกาย ผมมองเห็นรอยสักรูปสามเหลี่ยมที่อกข้างซ้ายของธงทัพ ผมเคยถามถึงความหมาย ธงทัพตอบผมแต่ไม่ชัดเจนนัก รู้เพียงว่า มันไม่ใช่สามเหลี่ยม...แต่เป็นภูเขา 

ผมรู้จักธงทัพมาแปดปี รู้ใจกันดีพอ แต่ไม่รู้จักร่างกายของอีกฝ่ายเลย คล้ายกับกำลังทำความรู้จักกันใหม่ในโอกาสนี้ ทุกผิวสัมผัส ทุกส่วนของร่างกาย ทุกพื้นที่ของธงทัพ ทุกพื้นที่ของผม เราเรียนรู้กันและกัน

จะอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำให้ได้... ธงทัพบอกกับผมแบบนั้น ด้วยแววตาพร่าเบลอและประสาทการรับรู้ที่ได้ยินไม่ชัดนัก ธงทัพจูบผม ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมพลันคิดเล่นๆ อยู่ในใจ อีกกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ ให้เพียงพอสำหรับคนๆ หนึ่งคนที่รออย่างใจเย็นมาแปดปี

วันนี้ผมยกตัวเองให้ธงทัพ ยอมเจ็บเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง เพื่อให้เราได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยความเชื่องช้าและแผ่วเบา ธงทัพบอกคำว่ารักผ่านเสียงกระซิบ ผมตอบกลับอย่างจริงใจด้วยคำว่ารักเช่นเดียวกัน

ผมลืมตาขึ้นตอนที่ธงทัพใช้ฝ่ามือแตะเข้ามาที่ใบหน้า ขยับนิ้วปาดน้ำตาของผมออก ก่อนน้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมาด้วยความอ่อนโยน อ่อนโยนในแบบที่ธงทัพเป็นมาตลอด...

 

"แล้วกูก็เป็นคนทำให้มึงร้องไห้จนได้"

 

 

To be continued.

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แพ้ แพ้อย่างราบคาบเราขอโทษนะนาวีเราย้ายข้างแล้วธงทัพคือคนที่ใช่มากตอนนี้

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
กรี๊ดดดดด พี่ทัพน้องภู
อ่านจบคือไม่มีสติแล้วค่ะ
เห็นว่ามาอัพก็ดีใจมากๆแล้ว
เจอตอนนี้เข้าไปคือเหมือนได้รางวัลพิเศษ
โอ่ยย มันดี ดีมากๆเลยค่ะ  :m25:
ชอบคู่นี้ อยู่ด้วยกันแล้วน่าร้ากกกก
ธงทัพสักรูปสามเหลี่ยมเพราะเป็นได้ทั้ง
ภูผาทั้งธงทัพใช่ม้ายยย
โอ่ยยย มันดี มันรุนแรงต่อใจ   :give2:
 
 :pig4:

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือแบบไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยอ่ะ รุนแรงต่อใจเหลือเกินนน พี่ทัพของน้องภู :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด