Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 1
---OMIN---
ไม่มีใครจินตนาการออกหรอกว่าตัวเองจะขี้หึงขนาดไหน
…จนกว่าจะมีความรัก…
ไอ้พี่สัมเคยบอกผมอย่างนั้นในวันที่ผมยังคิดภาพตัวเองมีความรักไม่ออกเลยด้วยซ้ำ จำได้ว่าตอนนั้นส่ายหน้าระอาเอือมใส่พี่มันด้วย ยอมรับเลยว่าค่อนข้างแอนตี้ความรักงี่เง่าแบบนี้
แล้วดูกูตอนนี้สิ
ตามมาเฝ้าเมียเที่ยวผับ ไอ้สัด!
แสงสีชวนเวียนหัวกับเสียงบีสท์หนัก ๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย ปกติก๊วนของผมอันประกอบไปด้วยไอ้พีท ไอ้เต๋า และไอ้โจ ชอบเที่ยวกึ่งผับกึ่งบาร์ไม่ก็พวกร้านอาหารซะมากกว่า นั่งดื่มไปด้วยฟังเพลงชิล ๆ ไปด้วย ไอเดียบันเจิดดีแท้ แต่ช่วงหกเดือนให้หลังมานี้ นับตั้งแต่ช่วงสามเดือนที่รู้จักไอ้ศร และอีกสามเดือนที่คบมันเป็นแฟน ผมกับพวกแม่งก็มาที่แบบนี้กันบ่อยขึ้น แรก ๆ ก็ปรับตัวกันไม่ค่อยได้ แต่บ่อยเข้าพวกมันที่ถูกบังคับให้มาเป็นเพื่อนตลอดก็ดูจะชอบที่แบบนี้เข้าให้เสียแล้ว
ร้านนี้เป็นร้านเหล้าชื่อดังในหมู่วัยรุ่น ตั้งแต่วัยนักศึกษาจนถึงวัยต้น ๆ ของกลุ่มคนทำงาน ชั้นล่างติดเวทีที่ยกสูงขึ้นมาแค่สองฟุต เรียกได้ว่าใกล้ชิดกับโซนหน้าเวทีจนเหมือนยืนอยู่ด้วยกันมากกว่ามาร้องเพลง บริเวณนั้นมีโต๊ะตัวใหญ่สองสามตัวไว้รองรับคนที่มากันกลุ่มใหญ่ ถัดออกไปรอบนอกหน่อยก็มีทั้งโต๊ะกลมตัวเล็กที่คนจับจองต้องยืนเท่านั้น และมีโต๊ะพูลตัวใหญ่ จะกี่กลุ่มกี่คนก็เลือกจับจองกันคนละมุม ยืนหันหน้าเข้าหากัน โต๊ะแบบนี้แหละสร้างความสัมพันธ์ให้คนมานักต่อนักแล้ว จะฉาบฉวยแค่ข้ามคืนหรือนานกว่านั้นก็ว่ากันไปตามแต่ละคู่ ส่วนพวกผมสี่คนนั่งอยู่ชั้นสองครับ โต๊ะกลมตัวเล็กแต่มีที่นั่งติดริมราวกั้นซึ่งสามารถมองลงไปข้างล่างได้ชัดคือทำเลที่ไอ้โจรีบโทรมาจองให้ทันทีที่ผมเอ่ยปากชวนออกมา
“มึงก็ปล่อยมันบ้างสิวะ สเปซอ่ะรู้จักไหม” ไอ้เต๋าพูดขึ้น มันคงเห็นว่าผมเอาแต่มองลงไปข้างล่างตรงจุดที่ไอ้ศรมันยืนอยู่
“สัด ขนาดกูอยู่ด้วยมันยังหว่านสเน่ห์สาว ๆ ขนาดนั้น มึงยังคิดว่ากูจะปล่อยให้มันห่างสายตาได้อีกเหรอวะ”
นี่กูนั่งกำแก้วมาเกือบสามชั่วโมงแล้วครับ ห่าเอ้ย! ไม่เคยต้องอดทนขนาดนี้มาก่อน สามชั่วโมงที่ผมนั่งกำแก้วแน่นมาก มันชนแก้วกับสาว ๆ ไปเกือบครบทั้งร้านแล้วมั้งครับ
เกลียดแม่งฉิบหาย !
“เดี๋ยวแก้วแตกไอ้สัด” ไอ้โจพูดขึ้นมา มันไม่ได้หวังดีอะไรหรอกครับ ไอ้เหี้ยนี่มันโรคจิต พูดเหมือนห่วงว่าจะเกิดความเสียหาย แต่เชื่อเถอะว่าหน้าและรอยยิ้มของมันต้องเหมือนคนที่รอเห็นแก้วแตกคามือผมอย่างใจจดใจจ่อมากกว่า ผมเลยละสายตาจากไอ้ศรตวัดมามองมันแทนคำว่า ‘เสือก’ ซึ่งนั่นก็ยิ่งสร้างความพอใจให้มันจนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เหี้ยโจแม่งเลว อยากเห็นเพื่อนเป็นทุกข์” เสียงไอ้เต๋าดังขึ้นตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือพวกแม่งมีความสุขกับการเห็นผมเป็นแบบนี้ พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานเกือบทั้งชีวิตแล้วครับ กระเตงตามไปเรียนกันทุกที่ จนล่าสุดกลายมาเป็นเด็กฟิล์มด้วยกันมาสามปีแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ตรงไหน ตลอดทั้งชีวิตพวกมันคงเบื่อจะเห็นหน้าเรียบเฉยของผมและท่าทีนิ่ง ๆ ไม่สะทกสะท้านกับทุกสิ่งบนโลกเต็มแก่ พอมีตัวกระตุ้นอย่างไอ้ศรเข้ามา พวกแม่งก็คงรู้สึกสนุกเป็นธรรมดา
ผมไม่ได้ให้ความสนใจอะไรพวกมันอีก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้พีทมันไม่ได้นั่งดื่มอยู่ข้างผมอีกแล้ว รู้ตัวอีกทีก็เห็นไอ้เพื่อนทรยศลงไปเต้นอยู่ใกล้แฟนของผมแล้ว
“เชี่ยพีท” ผมเผลอสบถออกมาอย่างหัวเสีย ได้ยินเสียงหัวเราะหึจากไอ้โจดังแว่วมาแต่ก็ไม่คิดจะสนใจ กลัวตัวเองจะยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่
“กลัวไอ้ศรรู้เหรอว่ามึงมา” ไอ้เต๋าถาม ผมไม่รู้ว่ามันจะถามทำไม เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันมาเฝ้าไอ้ศรเป็นเพื่อนผม และมันก็เคยได้รับคำตอบไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ
“ไอ้ศรมันไม่โง่” นั่นแหละครับคำตอบของผม แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ตอบนะ เป็นไอ้โจที่สะเออะตอบแทน แต่จะบอกว่ามันตอบแทนก็คงไม่ถูก พวกแม่งแค่กำลังล้อเลียนผมอยู่เท่านั้นเอง
“เล่นอะไรดูหน้ากูด้วย…แล้วมึงก็ลงไปลากไอ้เหี้ยพีทกลับมาเดี๋ยวนี้ ห่านั่นแม่งโจ่งแจ้งเกินไป”
คราวนี้เต๋าหัวเราะ “ไหนมึงบอกว่ามันรู้อยู่แล้วไงว่ามึงจะมา แล้วจะกลัวไรวะ”
“มันรู้ว่ายังไงกูก็ต้องมา แต่ถ้ายังไม่เห็นกันก็ถือว่าไม่ได้มา มึงเข้าใจไหม”
“นี่กูงงหรือกูเมาวะ” ไอ้โจหันไปขอความเห็นจากเต๋า
“อาจจะเมาว่ะ เพราะกูก็เป็น”
ผมเลิกสนใจพวกมันสองคนแล้วหันกลับไปมองไอ้ศรเหมือนเดิม ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเต้นด้วย ในมือเธอมีแก้วเหล้าติดมืออยู่ ตอนนี้คงกำลังทำความรู้จักกันหลังชนแก้วทักทาย
เป็นไปตามสเต็ป
ผมกดโทรศัพท์หาไอ้พีททันที โชคดีที่มันรู้สึกตัวแล้วไม่บ่ายเบี่ยงจะรับสายผม ผมเลิกสนใจแล้วว่าศรจะรับรู้ถึงตัวตนของผมเพราะผมได้สั่งให้ไอ้พีทเข้าไปกันท่าเธอออกจากไอ้ศรเรียบร้อย เพื่อนผมคนนี้แม้ไม่หล่อดูดีทุกกระเบียดนิ้วอย่างไอ้ศรแต่มันก็มีเสน่ห์พอตัว สาว ๆ เห็นก็พาลจะหลงมันกันได้ง่าย ๆ และมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ไอ้พีทเนียนเข้าไปเต้นใกล้ ๆ แทรกแซงสองคนนั้นอย่างชัดเจนแล้วฉกเธอออกจากตัวไอ้ศรได้ในเวลาไม่นาน มองจากข้างบนยังเห็นเลยว่าไอ้ศรหน้าเหวอเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปากให้เพื่อนผม
แต่หลังจากนั้นคนที่ต้องเหวอกลับกลายเป็นผมเสียเอง เพราะมันแม่งเงยหน้าขึ้นมามองได้ตรงตำแหน่งโดยไม่ต้องเสียเวลามองหาราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมอยู่ส่วนไหนของร้าน มิหนำซ้ำมันยังส่งยิ้มล้อผมมาอีกด้วย
น่ารักสัด!
บ้าจริง! ใครสั่งใครสอนให้มันทำตัวแบบนี้วะ แทนที่จะโกรธที่ผมตามมาคุม มันกลับมีหน้ามาล้อเลียนอาการหวงของผมอีก แม่งจะทำให้ผมหลงไปถึงไหนวะ แค่นี้เพื่อนกูก็ล้อกันฉิบหายแล้ว
OMIN : หันมายิ้มให้แบบนี้คืออะไร ไม่อยากกลับบ้านแล้วสินะ
OMIN : กลับห้องไปกับกูเลยดีไหมล่ะ
DharmaSORN : *สติ๊กเกอร์หมาแลบลิ้น
หึหึ
“ยิ้ม ไอ้สัดยิ้ม” เสียงไอ้โจดังแซวขึ้นมาก่อนจะเสริมทัพด้วยไอ้เต๋า “เดี๋ยวนี้สีหน้ามึงเปลี่ยนเร็วนะ เมื่อกี๊ยังทำหน้าเหมือนจะฆ่าใครตายเลย ตอนนี้ละยิ้มหน้าบาน นี่มึงเป็นไบฯป่ะเนี่ย”
“กูกลายเป็นเกย์แล้ว”
“ไบโพลาร์ไอ้สัด”
อารมณ์ดีครับเลยกวนตีนมันไปนิดหน่อย ผมยอมละสายตาจากไอ้ศรมานั่งดื่มกับเพื่อนเพื่อให้รางวัลกับความน่ารักของแฟน ไม่นานไอ้พีทมันก็กลับขึ้นมา ไอ้ห่านี่ปากบวมเจ่อมาเชียว นี่มันไปดูดปากเขาหรือโดนเขาดูดปากมาวะ รุนแรงสัด
“สาวที่มาเจ๊าะแจ๊ะไอ้ศรแม่งแซ่บสัด ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไอ้ศรได้ลองแม่งจะสลัดหลุดไหม”
ผมเริ่มหน้าตึง
“เด็ดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เชื่อเถอะว่าโจมันไม่ได้อยากรู้เรื่องเธอคนนั้นหรอก มันแค่ต้องการขยี้ให้ผมขุ่นเคืองในใจเล่น
“ไม่ธรรมดากว่านั้นเว้ย ไม่ใช่แค่ลีลา แต่เธอเกาะไอ้ศรไม่ปล่อยแน่ มึงระวังเหอะไอ้โอม เมื่อกี๊กว่ากูจะแยกออกมาได้ไม่ง่ายนะเว้ย เผลอ ๆ เธออาจจะไม่หยุดแค่นี้ กูบอกเลย”
ผมพึมพำขอบใจมันไปก่อนจะหันกลับไปมองแฟนสุดน่ารักของผมต่อ ตอนนี้มันกลับไปสนใจวงดนตรีต่อแล้ว ไม่มีใครเข้ามายุ่งกับมันอีกนอกจากเพื่อนต่างสาขาที่ล้อมหน้าล้อมหลังมันอยู่ ใช่ว่าไม่มีผู้หญิงมาเกี่ยวพันแล้วผมจะสบายใจ ไอ้พวกผู้ชายนี่ก็ตัวดี
ไอ้ศรแมนมาโดยตลอด มนุษยสัมพันธ์ดีกับผู้หญิงเป็นเลิศ แต่มันไม่เคยเผื่อแผ่ให้ผู้ชายคนไหน จนพอเปิดตัวว่าคบกับผู้ชายด้วยกันเท่านั้นแหละ แม่งเอ้ยยยยย ผู้ชายเดินตามตูดกันเป็นพรวน มันไม่รู้หรอกว่านับตั้งแต่ที่คบกับผม ตัวมันเองดึงดูดเพศเดียวกันมากขนาดไหน
หลายคนรู้ว่าเราคบกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างเราใครอยู่โพสิชั่นไหน ก็ทั้งผมทั้งมันต่างก็แมน ๆ ทั้งคู่ ใครเห็นก็เดายากว่าใครจะเป็นฝ่ายยอมเสียความแมนที่สั่งสมมาทั้งชีวิต มีแต่ไอ้พวกเพื่อนผมเนี่ยแหละที่รู้ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมถูกเสียบแน่ เพราะฉะนั้นพวกมันจะรับรู้ได้เองว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ศรเกิดขึ้นเพราะมัน ‘เสร็จ’ ผม
และเพราะแบบนี้แหละ ทั้งฝ่ายรุกฝ่ายรับถึงได้เข้าหามันกันนัก คบกูได้ ก็ต้องคบผู้ชายคนอื่นได้เหมือนกันว่างั้นเถอะ
ฝันไปเหอะไอ้สัด !
ยิ่งดึกเพลงที่วงดนตรีเล่นก็ยิ่งเร็ว ถึงจะไม่เร็วเท่าเพลงที่เปิดจากดีเจแต่ก็จัดเป็นท่วงทำนองที่ปรับแต่งใหม่จนเร็วกว่าต้นฉบับอีกหนึ่งเท่า ผมมองดูร่างสมส่วนของคนรักโยกย้ายไปมาตามจังหวะอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะท่วงท่าไหนมันก็ดึงดูดสายตาผมได้เสมอ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ใครหลายคนก็จ้องมองมันเหมือนกัน
และค่ำคืนนั้นผมก็ได้รับสายตาจากมันอีกครั้งในตอนที่เพลงหนึ่งดังขึ้น
...โดนเธอเฝ้ามองจับตาตลอดเวลา
ว่าฉันจะทำอะไรเหมือนเป็น…ผู้ชายเจ้าชู้...
ริมฝีปากได้รูปร้องคลอตามเนื้อร้องราวกับกำลังส่งเพลงนี้ให้ผม นัยน์ตาคู่นั้นซุกซนอย่างที่ไม่เคยเป็นจนผมเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้
...เฮ้ วัน ทรู ทรี ไม่ได้เป็นคนที่เกเร แค่อยากจะบอกไม่ได้เจ้าชู้ ถ้าเธอเข้าใจก็โอเค…
มันเมา !!!
OMIN : มาเรียนรึยัง
ผมไลน์ไปหามันตอนช่วงบ่ายโมงครึ่งเพราะศรมีเรียนตอนบ่ายสอง รอไม่นานเกินสองนาทีผมก็ได้รับข้อความตอบกลับมา
DharmaSORN : มาแล้วครับพ่อ
OMIN : ผัว
DharmaSORN : สัด
ผมยิ้มเหมือนคนบ้าได้ครั้งแรกของวัน เชื่อไหมว่าทุกวันนี้รอยยิ้มของผมขึ้นอยู่กับมันเกือบทั้งหมด รองจากแม่ก็มีแต่มันนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้เพียงแค่คุยกัน หรือแค่มันด่ากลับมาก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ง่าย ๆ แล้ว ผมคิดว่าช่วงหลังมานี่ตัวเองค่อนข้างอ่อนไหวง่ายทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความสุขมากเหลือเกิน
OMIN : สร่างเมารึยัง
DharmaSORN : สร่างตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหอะ
ผมส่ายหน้าทั้งที่ระบายยิ้ม เมื่อคืนยังไม่ทันได้จบเพลงนั้นดี ผมก็ลากตัวมันออกจากกลุ่มเพื่อนไปทำให้สร่างเมาได้แล้ว เดิมทีตั้งใจว่าจะพากลับคอนโดไปด้วยกันเสียเลย แต่พอมันยืนกรานว่าจะกลับไปนอนบ้าน ผมก็ทำได้แค่ช่วยให้มันสร่างเมาเร็วที่สุดเพื่อให้ขับรถไหว
OMIN : ตั้งใจเรียนล่ะ
DharmaSORN : นี่ธรรมศรนะครับ
มันตั้งใจเรียนมากจริง ๆ อันนี้ผมนับถือเลย
OMIN : คิดถึง
DharmaSORN : *สติ๊กเกอร์คนอ้วก
เป็นการจบบทสนทนาก่อนมันเข้าเรียนที่ทำให้ผมอารมณ์ดีเสียจริง
วันนี้ผมเลิกเรียนเร็วจึงกลับมานั่งรอไอ้ศรที่ห้องของมัน ปกติหลังเลิกเรียนผมก็แทบจะตรงดิ่งกลับห้องตัวเองนอนพักเอาแรงก่อนออกไปดูหนังรอบดึกตามอารมณ์เด็กฟิล์มที่อยากหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ แต่นับตั้งแต่มีไอ้ศรเข้ามาในชีวิต จากที่ออกไปดูหนังข้างนอกดึก ๆ ดื่น ๆ ก็กลายเป็นว่าผมมีเพื่อนดูหนังเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แทนที่จะออกไปดูข้างนอก ก็นอนดูกับมันในห้องนี่แหละครับ
นอนกกกันดูหนัง มีความสุขกว่าไปนั่งดูคนเดียวเป็นไหน ๆ
ผมเป็นคนที่ไม่มีประเภทของหนังที่ชอบหรือไม่ชอบดู ขึ้นอยู่กับว่าผมอยากได้อะไรจากมันมากกว่า ขณะที่ไอ้ศรเกลียดหนังรักทุกชนิดไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง รักกันดูดดื่มปานจะกลืนกินหรือดราม่าน้ำตานองให้ตายกันไปข้างมันก็ไม่ชอบ พอถามถึงเหตุผล มันก็ตอบหน้าตายแค่ว่า ‘ผู้ชายแมน ๆ เขาไม่ดูหนังรักกันหรอก’
ตรรกะแม่งพังว่ะ
ผมรื้อแผ่นหนังรักเรื่องหนึ่งออกมาเปิดดู How to lose a guy in 10 days. เป็นเรื่องที่ผมดูบ่อยพอสมควร ฉากเริ่มเรื่องคุ้นตาเริ่มต้นขึ้นในจังหวะที่ผมเหลือบดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนัง อีกหนึ่งชั่วโมงไอ้ศรถึงจะเลิกเรียน ถึงตอนนั้นมันก็คงจะหิวมากจนไม่หิ้วท้องกลับมากินข้าวกับผมที่ห้องแน่ ๆ ผมจึงทำอาหารง่าย ๆ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วมานั่งกินขณะดูหนัง
ติ๊ด
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นในสามชั่วโมงหลังจากนั้น หนังเรื่องเดิมฉายซ้ำรอบที่สองของวันแล้วแต่ผมก็ยังเอาแต่จ้องมองราวกับลุ้นฉากต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งที่ความจริงผมดูจนจะท่องได้ทุกไดอะล็อกอยู่แล้ว แต่ที่ยังเปิดวนซ้ำเพราะแค่ไม่ต้องการให้ห้องชุดหรูนี่เงียบเกินไปก็เท่านั้น
ผมไม่ได้หันไปมองคนมาใหม่ ได้ยินมันส่งเสียงคล้ายรำคาญหนังเรื่องที่ผมดูเสียเต็มประดา แต่ถึงอย่างนั้นเสียงฝีเท้าที่สืบใกล้เข้ามาก็บอกได้ดีว่าแม้จะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินเข้ามาหาผม
“มานานรึยังวะ”
“เพิ่งถึง”
“เหรอ” เจ้าของห้องตัวจริงเดินเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงนั่งบนพนักของโซฟาหันหน้าเข้าหาผมที่เอาแต่จ้องโทรทัศน์ราวกับกำลังแข่งจ้องตากับนางเอกของเรื่อง “โกหกไม่ได้รางวัลนะมึง”
แม่ง
“ตั้งแต่ห้าโมง”
“หึ”
ฟอดดดดดดดดดด
“พูดง่ายนะมึงเนี่ย”
เชี่ยยยยย กูถูกขโมยหอมแก้ม!!
ผมนั่งหน้าร้อนผ่าวขณะที่มันหายลิ่วเข้าห้องนอนไปแล้ว ไม่ปฏิเสธหรอกว่าชอบเวลาที่ไอ้ศรมันทำอะไรแบบนี้ก่อน มันทำให้ผมใจเต้นแรงได้ดีเสมอ แต่ที่น่าเจ็บใจคือผมมักจะเสียสมดุลจนตอบโต้มันได้ไม่ทันควัน ทุกครั้งที่ถูกจู่โจมก่อน ผมต้องกลายเป็นสาวน้อยเสียทุกที!
หนังรอบที่สองจบลงแล้ว ผมปิดโทรทัศน์เก็บกวาดของและปิดไฟเรียบร้อยเมื่อเห็นว่าศรหายเข้าไปในห้องนอนนานจนคงไม่ออกมาในส่วนของห้องนั่งเล่นแล้ว
ไอ้ศรยืนหันหลังอยู่ตรงระเบียงในชุดนอนที่มีเพียงกางเกงผ้าแพรขายาวสีเลือดนก แผ่นหลังเปลือยเหยียดตรงเสริมบุคลิกให้ดูดีได้อย่างน่ามอง ควันขาวหม่นที่พวยพุ่งจากจมูกและปากของมันทำให้ผมต้องหยิบบุหรี่ติดมือออกไปด้วยหนึ่งมวน
มันเหลือบมองผมเล็กน้อยตอนที่ผมเปิดประตูออกไปก่อนจะคาบบุหรี่เข้าที่ริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง ผมรีบคว้าหมับเข้าที่ท้ายทอยมันแล้วล็อคให้หันมาหากันก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะจูบ แต่เปล่าเลย มีเพียงแค่ปลายมวนบุหรี่เท่านั้นที่เชื่อมสองเราไว้ด้วยกันและสายตาของผมที่มองสำรวจใบหน้ามันอย่างถ้วนถี่ในระยะใกล้ ตอนเมคเลิฟกันไม่ค่อยได้มองอย่างพินิจหรอกครับ สีหน้าเย้ายวนของมันแม่งน่าสนใจกว่า
เรายืนอยู่อย่างนั้นไม่นานปลายมวนบุหรี่ของผมก็ติดประกายไฟเหมือนกับมัน ต่างคนต่างสูบบุหรี่เงียบ ๆ ต่างคนต่างมองวิวเมืองที่สว่างไสวเสียจนกลบความโรแมนติกจากธรรมชาติอย่างดวงดาวบนท้องฟ้าเสียหมด
“เลิกบุหรี่กันเถอะว่ะ”
ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบก่อนที่ไฟจะเผาบุหรี่ของมันจนหมดมวน มือข้างที่ว่างอยู่ก็จับมันให้หันมามองหน้ากัน ผมมองมันอย่างจริงจัง ไอ้ศรรู้ดีว่าผมพูดจริงเพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะฉายแววล้อเล่นให้มันเห็น แต่เพราะผมคงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน มันจึงยังมีท่าทีลังเล
“กูอยากอยู่กับมึงนานๆ”
ผมพูดจริง ๆ
นัยน์ตาของผมไม่โกหก ผมไม่เคยล้อเล่นในทุกคำพูด ได้แต่หวังว่าสามเดือนที่คบกันจะทำให้มันรู้จักผมมากพอ
ไอ้ศรหลบตาหันกลับไปมองวิวเมืองอีกครั้ง “นานแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ รู้แต่อยากอยู่กับมึงไปเรื่อย ๆ” …นาน ๆ
ผมรู้ว่าผมกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงที่อันตราย แต่ทำอย่างไรได้ ผมเผลอจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากเกินไปซะแล้ว
“กูไม่ได้อยากอยู่บนโลกนี้นานนักหรอก มึงก็รู้ว่ากูขี้เบื่อ”
...แล้วเบื่อกูรึยัง…
ไม่กล้าถามเลยจริง ๆ
ศรหันกลับมามอง “แต่ถ้ากูยังไม่เบื่อมึง กูก็อาจจะอยากอยู่บนโลกนี้นานขึ้นก็ได้”
สิ้นคำตอบนั้นเราต่างก็นิ่งเงียบกันไป ผมไม่แน่ใจว่ามันสั้นแค่ไม่กี่วินาทีหรือนานอยู่หลายนาที รู้แค่ว่าระหว่างเรายังไม่มีใครละสายตาไปจากกันและกัน ผมไม่เข้าใจความหมายที่มันพูดสักเท่าไหร่ ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนักว่าผมได้กลายเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของมัน ศรเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน ความเคลื่อนไหวนั้นคือการคาบมวนบุหรี่เกือบสั้นกุดเข้าที่ปาก ไม่ต้องคิดอะไรต่อให้เสียเวลา ผมรีบดึงบุหรี่ในมือคนรักออกก่อนที่มันจะถึงริมฝีปากอีกครั้งแล้วประกบปากตัวเองลงไปแทนที่ จูบรุนแรงเร่าร้อนตามสภาวะอารมณ์ขุ่นมัวถูกป้อนซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ขัดขืน นอกจากจะเปิดทางให้เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้าไปอย่างง่ายดายแล้ว มันยังตอบสนองกลับมาอย่างช่ำชองอีกด้วย รสเฝื่อนและกลิ่นของบุหรี่ยิ่งเสริมให้เรามอมเมาในรสจูบของกันและกันมากยิ่งขึ้นจนรู้สึกว่าจูบเท่าไหร่ก็ไม่พอเอาเสียเลย
ผมยื่นมือข้างที่ถือบุหรี่ไปขยี้บนที่เขี่ยซึ่งถูกวางไว้ไม่ไกลกันนัก ขณะที่มืออีกข้างก็เริ่มไล้ไปตามแผ่นหลังเรียบเนียนที่ไม่ได้ลื่นมือสักนิดเพราะมันก็เป็นผู้ชายห่าม ๆ แต่ความสากเล็กน้อยนั่นก็ให้ความรู้สึกว่าเซ็กซี่สุด ๆ ยิ่งในส่วนของเอวสอบนั่นก็ยิ่งเร้าอารมณ์เสียจนทนไม่ไหว
ไอ้ศรส่งเสียงอื้ออึงพร้อมดันตัวผมออกเพื่อกอบโกยอากาศก่อนที่ผมจะดึงมือข้างหนึ่งกลับมาจากที่เขี่ยบุหรี่เสียอีก ผมส่งสายตาแทนคำชวนให้ไปต่อกันที่เตียงแต่มันกลับปฏิเสธทางสายตาอย่างจริงจังไม่ต่างกัน
…และผมก็แพ้มันอีกเช่นเคย
เราต่างก็หันไปสนใจวิวตรงหน้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีบุหรี่มาเสริมให้บรรยากาศขมุกขมัวอีกแล้ว วันนี้เจ้าของใบหน้าไร้ที่ติข้างผมแปลกไป ไม่สิ แปลกตั้งแต่ยืนกรานจะกลับบ้านเมื่อวานนี้แล้ว
ตั้งแต่รู้จักกันมาธรรมศรกลับบ้านน้อยครั้งมาก แทบจะเดือนละครั้งแล้วยังอิดออดเสียด้วยซ้ำ ผมไม่รู้เรื่องครอบครัวมันนัก รู้แค่เท่าที่ออกสื่อและจากที่ไอ้เต๋าเล่าให้ฟังตอนคิดจะจีบมัน อย่างเช่นว่าปู่มันเป็นนายพลทหารเก่า พ่อมันเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้าน ทำให้ครอบครัวมันมีทั้งเงินและอำนาจ แม่มาจากตระกูลผู้ดีเก่า ซึ่งนี่คงเป็นส่วนสำคัญให้เด็กชายธรรมศรโตขึ้นมาเป็นคุณชายธรรมศรที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนเรื่องที่ลึกกว่านั้นผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้ และผมเองก็ไม่ใช่พวกชอบเซ้าซี้แม้จะอยากรู้เรื่องของมันบ้างก็ตาม
“ถ้ารู้ว่ามึงกลับบ้านแล้วเอาความไม่สบายใจกลับมาด้วย กูคงพามึงกลับห้องด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืน”
“หื้ม?”
“ไม่รู้ตัวเหรอว่ามึงชอบมายืนดูวิวเวลามีเรื่องไม่สบายใจ”
ไอ้ศรเป็นคนยิ้มเก่งเวลาเจอสาว ๆ แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นคนที่หน้านิ่งเรียบตึงยิ่งกว่ารูปปั้น ผมว่าผมหน้านิ่งมากแล้ว แต่กลายเป็นคนยิ้มเก่งไปเลยเมื่อมาเจอคนอย่างมัน ว่ากันตามตรงแล้วผมก็ไม่ใช่คนยิ้มยาก ติดแค่หน้านิ่งแล้วดูดุเท่านั้นเอง ยิ้มแต่ละทีก็มาจากใจจริง แต่กับไอ้ศร ผมไม่แน่ใจว่ามีสักครั้งไหมที่ใจของมันจะระรื่นเหมือนอย่างที่หน้ามันเป็น
เพราะมองอยู่ตลอดจึงรู้
และเพราะอย่างนั้น…ผมถึงได้หลงรักรอยยิ้มจอมปลอมนั่นจนอยากทำให้มันออกมาจากใจจริง ๆ บ้าง
ไม่อยากจะอวดหรอกว่าผลงานของผมน่ะเป็นที่น่าพอใจขนาดไหน
“มึงนี่รู้จักกูดีกว่าตัวกูเองซะอีกนะ”
“เพราะมึงอยู่ในสายตาของกูตลอดไง”
ผมไม่ได้หมายความว่าตัวเองตามหึงตามหวงมันไปทุกที่ แต่หมายถึงการเป็นห่วงและสนใจมันอยู่ตลอดต่างหาก
“งั้นมึงก็คงรู้ว่ากูยิ้มง่ายขึ้นเวลาที่มึงอยู่ด้วย”
นี่ไงครับ ผลงานของผม
คงเป็นภาพที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ในสายตาคนอื่นถ้าผมจะขยี้ผมคนที่ตัวสูงเท่า ๆ กัน แต่ผมก็มักจะทำแบบนี้เวลาที่เอ็นดูมัน ยิ่งทำมันก็ยิ่งหน้างอแต่ไม่ยักปัดมือผมทิ้งหรือหลบหลีกเลยสักครั้ง
น่ารักจัง เมียใครวะ
ผมปล่อยให้คนรักยืนอยู่อย่างนั้นนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วขณะที่ตัวเองปลีกตัวออกมาอาบน้ำ แม้จะอยากอยู่ด้วยในตอนที่อีกฝ่ายไม่สบายใจแต่ก็ต้องเว้นพื้นที่ให้มันได้อยู่ตามลำพังบ้าง มองแค่ภายนอกคนอาจคิดว่ามันไม่ใช่คนเก็บกด แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นคนที่คิดมากมากกว่าผมเสียอีก บางเรื่องมันก็ระบายให้ฟัง แต่ถ้าลองได้นิ่งเงียบแบบนี้ก็เดาไว้ได้เลยว่าเรื่องที่กำลังกวนใจมันในตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของครอบครัว
ผมยืนมองแผ่นหลังมันผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่กั้นเราไว้ให้เหมือนอยู่กันคนละซีกโลก แผ่นหลังกว้างที่เคยเหยียดตรงอย่างสง่างามเสมองุ้มงอลงเล็กน้อย เห็นอย่างนั้นแล้วอยากเดินเข้าไปกอดปลอบแล้วกระซิบซ้ำ ๆ ที่ข้างหูมันว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้เสมอ แต่ก็ได้แค่คิด ผมไม่เคยทำอะไรหวาน ๆ แบบนั้นหรอก อย่างดีที่เคยทำก็แค่สวมกอดมันดื้อ ๆ รัดแน่น ๆ ไม่ให้มันหลุดไปไหนได้พร้อมขู่ว่าถ้ามันดิ้นมากนักผมจะเอามันทั้งคืน
กูทำได้แค่นั้นแหละ
ไอ้ศรเริ่มขยับตัว ผมเบี่ยงสายตาหลบเพราะคิดว่ามันจะหันมา แต่เปล่าเลยมันแค่ขยี้ตาเท่านั้น ซึ่งเมื่อเห็นมันทำอย่างนั้นผมก็ไม่รอช้ารีบรุดเข้าไปหาทันที
“ทำไมชอบขยี้ตาจังวะ ช้ำหมดแล้วเนี่ย” ผมเอามือไอ้ศรออกแล้วจับหน้ามันไว้พร้อมยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ ตามันช้ำแดงไปหมดแต่ผมก็ยังไม่หาสาเหตุที่ทำให้มันต้องขยี้ตาไม่ได้เลยคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นฝุ่น
แต่คิดอีกที…
มองสบตามันตรง ๆ เพื่อจะถามว่าไม่ได้ร้องไห้ใช่ไหม แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่มองมาผมก็แทบจะเข่าอ่อน “อย่ามองกูด้วยสายตาแบบนี้”
“แบบไหน”
“แบบที่จะทำให้มึงลุกไปเรียนไม่ไหว”
“หึ”
เมียกูโคตรร้าย
เรื่องยั่วให้อยากแล้วจากไปไว้ใจธรรมศร เมื่อกี๊มองผมซะตาเยิ้มอย่างที่ผมชอบ บอกเลยว่าเห็นแล้วมีอารมณ์สุด ๆ แต่แล้วก็มาดับฝันผมด้วยการหัวเราะในลำคอแล้วส่ายหน้าพร้อมยิ้มเย้ย!
คนที่แพ้ทุกทางอย่างผมมีหรือจะยอม ในเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการผมก็เล่นสงครามประสาทด้วยการยืนจ้องหน้ามันแม่งเลย ไอ้ศรเองก็ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว จริง ๆ ต้องบอกว่านอกจากเรื่องบนเตียงแล้วมันก็ไม่เคยแพ้ผมเลย มันไม่เคยเขินเวลาผมมองหน้า เวลาสบตา หรือแม้แต่สัมผัสกอดจูบ อย่างมากที่เห็นก็แค่ริ้วแดงจาง ๆ บนแก้มเวลาเอ่ยขอบคุณ ซึ่งจุดนี้บอกตามตรงว่างงนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจมาก ๆ
“มึงแม่งโคตรหล่อ”
“แหงสิ อย่างกูเรียกว่าโคตรของโคตรหล่อ”
“ไม่มีหรอกที่จะถ่อมตัว”
“ก็เรื่องจริง”
ผมส่ายหัว ส่วนมันหัวเราะร่วน เราจบสงครามประสาทกันในตอนนั้น ปกติไอ้ศรไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ช่วงหลัง ๆ มานี่มันเป็นเอามากจริง ๆ ไอ้เต๋าเคยบอกผมว่าที่มันหลงตัวเองแบบนี้เพราะผมเอาแต่กรอกหูมันว่ามันมีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบงดงามราวกับเทพช่างปั้น
เออ กูยอมรับ!
“หายปวดตารึยัง ตามึงแดงนะ แต่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น คงจะแดงเพราะฝุ่นเข้าหรือไม่ก็จากที่มึงขยี้”
“จะมีอะไรได้ไงอ่ะ ในเมื่อกูปวดตาเพราะตากลม” เออว่ะ อันนี้ผมลืม ไอ้คุณชายมันเป็นคนตาแห้งง่ายและปวดล้าเร็วเวลาตากลมแบบนี้ ตอนนั่งทำงานหน้าจอคอมพ์มันก็ใส่แว่นกรองแสงยูวีเหมือนกัน
“รู้ตัวว่าตาล้าง่ายก็ยังมายืนตากลมอีกนะ”
“อ้าว ก็จะมาสูบบุหรี่นี่หว่า”
ผมเงียบไปหลายอึดใจ ยืนจ้องหน้ามันอยู่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไร และมันเองก็ยอมยืนนิ่ง ๆ ให้มองด้วย
“ศร กูพูดจริงนะ เรื่องเลิกบุหรี่”
ไอ้ศรมองสบตาผมนิ่ง
“อืม จะพยายาม…แต่คงไม่เท่ามึง”
ผมยิ้ม
อย่างน้อยมันก็พยายามที่จะยืดเวลาอยู่กับผมไปอีกหน่อย
จะเพิ่มขึ่นอีกหนึ่งปี สองปี สามปี หรือมากกว่านั้น
“ขอแค่อย่าชิงตายไปก่อนกูก็พอ”พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 2
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
Follow up คือการติดตามอาการค่ะ ครั้งนี้หมอนัดโอมอินมาดูอาการ
โอมอินก็คือโอมอิน เขาไม่พูดหรอกว่า “อยู่ไปด้วยกันนานๆนะ”
ตัวละครแต่ละตัวมีเหตุผลของทุกการกระทำและทุกการแสดงออกค่ะ
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
ฝากเรื่องนี้ด้วยค่ะ #โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์