[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 105204 ครั้ง)

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
มันดูอึน ๆ แปลก ๆ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4


Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 2

---OMIN---











เราควรยิ้มให้ตัวเองในทุก ๆ เช้า




คนที่ผมก็ไม่รู้ว่าใครได้กล่าวไว้…


แต่ผมก็ยึดปฏิบัติมาตลอด


ใช่ครับ ผมกำลังยิ้ม


เช้าวันใหม่สดใสเสมอ ตราบใดที่ตื่นมาแล้วพบว่ายังมีไอ้ศรนอนอยู่ในอ้อมกอด


อย่างที่เคยบอก มันแทบจะกลายเป็นสาเหตุหลักของรอยยิ้มผมอยู่แล้ว


ใบหน้าไร้ที่ติของมันหันหนีแสงที่ส่องผ่านผ้าม่านมาทางผมพร้อมกับที่ร่างกายสมบูรณ์แบบในอ้อมกอดแนบชิดเข้ามายิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน


ผมยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม


อดไม่ได้ที่จะขบขำ ถ้าคืนไหนที่เราไม่มีอะไรกันมันจะนอนห่างจากผมมากแบบสุดเตียง แต่ท้ายที่สุดมันก็จะกลับเข้าสู่อ้อมกอดของผมในทุกเช้าด้วยความเคยชินอยู่ดี


…เหมือนอย่างเช่นตอนนี้…


ผมเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้ามันออกจนคนถูกรบกวนตีหน้ายุ่งด้วยความรำคาญทั้งที่ยังหลับตา เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้เลยฉวยโอกาสนี้ฝังจมูกลงบนแก้มมันหนัก ๆ สูดกลิ่นผิวเนื้อคนรักเข้าไปเสียเต็มปอด ชื่นใจเป็นบ้า


“อื้อออ”


“อย่าขี้เซาหน่าคุณชาย”


ผมแกล้งกระซิบชิดริมใบหูแล้วงับเล่นทิ้งท้ายให้มันรำคาญจนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเสียมิดหัวยุ่ง ๆ แถมด้วยการตีก้นมันหนึ่งทีก่อนจะเด้งตัวหนีเท้ามันลงจากเตียงอย่างอารมณ์ดีที่พลาดการถูกถีบมาแบบฉิวเฉียว






ไม่ถึงสิบห้านาทีผมก็ออกมายืนในห้องครัวในชุดนักศึกษาคณะนิเทศน์ฯแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเครื่องแบบที่ว่าต้องไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ เสื้อเชิ้ตนักศึกษาน่ะใช่ แต่กางเกงเป็นยีนส์สีซีดตัวที่เรียบร้อยที่สุดเพราะวันนี้มีเรียน ผ้ากันเปื้อนสีกรมถูกพาดทับกายไว้ลวก ๆ อดชื่นชมตัวเองไม่ได้ว่าดูดีจนครั้งหนึ่งไอ้ศรยังเคยชม


ปกติผมจะตื่นเช้ามาทำอาหารเกือบทุกวัน แม้ว่าบางวันผมจะมีเรียนสายหรือไม่มีเรียนก็ตาม แต่เพราะไอ้คุณชายมันเรียนเช้าแทบทุกวันและไม่ชอบกินอาหารเช้าจนน่าเป็นห่วง ผมจึงต้องตื่นมาทำให้และนั่งกินเป็นเพื่อนมันแบบนี้ สาขาชีวการแพทย์ของมันเรียนหนักครับ มันบอกว่าต้องเรียนทั้งวิชาในหมวดวิทยาศาสตร์สุขภาพ และเกือบทุกสาขาของวิศวะด้วย เพราะอย่างนี้มันจึงมีเพื่อนต่างสาขาเยอะ


มันถึงได้ฮอตจนน่าหมั่นไส้ยังไงละครับ


ไอ้คุณชายธรรมศรมันคุณชายจริง ๆ นะครับ มันน่ะกินยากเป็นที่หนึ่ง นอกจากจะเลือกกินแล้วยังแพ้กระเทียมอีกต่างหาก อาการแพ้เป็นยังไงผมก็ไม่เคยเห็น และไม่อยากเห็นด้วย ผู้ชายตัวควาย ๆ ล้มป่วยมันไม่น่าดูนักหรอกครับ


ความจริงคือกูทนดูมันป่วยไม่ไหวมากกว่า


เมนูง่าย ๆ เช้านี้คือข้าวต้มหมูสับ อย่าถามเลยครับว่าทำไมไม่ทำโจ๊ก อย่างที่บอก ไอ้คุณชายมันกินยาก เรื่องมากจนน่าจะปล่อยให้อดตาย


ข้าวต้มหมูสับสองถ้วยถูกวางบนโต๊ะอาหารในตอนที่เจ้าของห้องเดินออกมาในชุดเสื้อยืดคอวีสีขาวกางเกงยีนส์ขาดเข่าแบบที่ไม่น่าเกลียดนัก ในมือมันมีเสื้อช็อปสีกรมประจำสาขาที่บ่งบอกว่าวันนี้มันคงจะเข้าช็อปของคณะทั้งวัน เพราะหากทำแลปของสายวิทย์สุขภาพ มันจะใส่เสื้อกาวน์แลปแทน


“หอมจัง” ผมทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ


“ทำเองชมเอง” ไอ้ศรส่ายหน้าระอา พาดเสื้อช็อปกับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตัวข้าง ๆ ฝั่งตรงข้ามผม


“กูหมายถึงมึงต่างหาก” หยอดเมียทุกวันกลายเป็นงานประจำของผมไปเสียแล้ว ไม่วายยังทำตาเจ้าชู้ใส่ให้มันแยกเขี้ยวกลับมาให้ด้วย ผมยิ้มชอบใจ ชอบนะ ชอบมากด้วย เพราะไอ้ศรไม่ใช้น้ำหอม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่สปอร์ตแนวผู้ชายจึงโดดเด่นออกมาให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่นจนถ้าไม่เกรงใจว่ามันมีเรียนเช้า ผมก็อยากจะขอสูดกลิ่นตามผิวเนื้อมันจนกว่ากลิ่นนั้นจะจางหายเลยทีเดียว


ปกติผมไม่ใช่คนชอบพูดจาหวานเลี่ยนชวนอ้วกนัก ไอ้ศรเคยบอกว่าการแสดงออกของผมดูง่าย ถ้าผมแค่ต้องการจะแกล้งหยอกมัน ผมจะพูดหยอดด้วยสีหน้าแพรวพราว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พูดความรู้สึกจริง ๆ ใบหน้าผมจะไร้อารมณ์ เรียบเฉยประหนึ่งกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป


“อร่อยไหม”


“อืม…”


“…”


“…ขอบใจนะ”


โว้ยยยยยยย ขอฟัดแก้มเมียให้ช้ำก่อนไปเรียนได้ไหมครับ


นี่แหละครับเมียผม เวลาพูดขอบคุณผมแต่ละทีจะก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะอายอะไรนักหนา แต่เพราะมันทำอย่างนั้นแหละ ผมเลยรู้สึกว่าริ้วแดงระเรื่อที่ผิวแก้มนั่นน่ารักน่าฟัดเป็นพิเศษ


“ยั่วกูแต่เช้าเลยนะมึง”


ไอ้ศรเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วข้างเดียวจึก ๆ ใส่ ให้ตายเถอะ! นับวันมึงจะยิ่งทะเล้นไปไหน “ห้ามไปทำแบบนี้กับคนอื่นเด็ดขาด” ผมพูดเสียงเข้ม จริงจังมากครับ ถ้ามันทำแบบนี้กับคนอื่น ผมตายแน่ แต่หลังจากที่ฆ่าไอ้เหี้ยนั่นตายไปก่อนแล้วนะ


“รีบแดกเถอะ ข้าวต้มมึงจะเย็นหมดละ”


ผมทำตามที่มันบอกอย่างว่าง่าย จบมื้อเช้าหน้าที่เก็บล้างเป็นของไอ้ศร เห็นมันคุณชายเหมือนทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่งานบ้านง่าย ๆ มันก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวนะครับ


วันนี้เราแยกกันไปมหา’ลัยเพราะเย็นนี้ผมมีนัดประชุมงานกับเพื่อนพ้องซึ่งอาจจะเลิกดึก แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะไปรถของผมกันครับ ผมจะคอยไปรับไปส่งมันอยู่เสมอ ก็แฟนนี่ครับ อยากเทคแคร์บ้างอะไรบ้าง











“มาซะเกือบสาย ฟัดกับเมียอยู่เหรอว้าาา”


ปากไอ้โจมันน่ากระเคนตีนให้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ ครับ


“แฟน” ผมตอบหน้านิ่งเน้นคำหนักแน่นในตอนที่เดินผ่านมันไปนั่งข้างไอ้เต๋าด้านในสุด


“วู้ว ๆ ๆ ไม่ยอมให้เรียกว่าเมียนี่เพราะกลัวรึเปล่าครับ”


“เขาเรียกว่าให้เกียรติ” จะมีผู้ชายแมน ๆ ที่ไหนอยากให้คนลือกันหนาหูว่าเปลี่ยนสถานะเป็นเมียกันละครับ ไอ้ศรคนหนึ่งล่ะที่คงรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ


“หล่อจริง ๆ ครับเพื่อนกู”


ผมปล่อยให้พวกมันแซ็วกันอย่างสนุกปากได้อีกแค่ไม่กี่นาทีอาจารย์ก็เข้าสอน ผมไม่ใช่คนขยันเรียนอะไรนัก ผมเป็นคนที่ทุ่มเทกับผลงานมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นการทำความเข้าใจในนิยามต่าง ๆ เกี่ยวกับวงการหนังก็สำคัญไม่แพ้กัน








การนัดประชุมครั้งนี้เป็นวาระที่ค่อนข้างใหญ่ การประชุมเกือบร้อยกว่าคนที่รวมเอารุ่นพี่รุ่นน้องไว้ทั้งหมดสองชั้นปีของเอกภาพยนตร์กินพื้นที่ลานใต้ถุนคณะเกินครึ่ง สาระสำคัญที่ต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำคือโปรเจคละครเวทีปีหน้าที่พวกปีสามอย่างผมเป็นหัวเรือใหญ่โดยมีปีสองคอยซัพพอร์ต และหนึ่งในนั้นก็มีเอมอร น้องสาวแท้ ๆ ของผมอยู่ด้วย


“น้องเอมของพี่~~~”


ผมรีบคว้าคอเสื้อไอ้กะล่อนโจไว้ก่อนที่มันจะถลาตัวเข้าใกล้เอม เผลอเป็นไม่ได้ พวกแม่งชอบเต๊าะน้องต่อหน้าผมทุกที


“ไปนั่งไปเอม” ผมไล่น้องไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนซึ่งอยู่แทบจะแถวหลังสุด


“มึงเป็นพี่เขยที่ไม่ได้เรื่องเลย มาขัดขวางความรักของกู ระวังกรรมจะตามสนอง ความรักมึงกับไอ้ศรจะมีคนขัดขวางบ้าง”


“ถ้ากูจะรักมัน ใครจะขวางกูได้” ผมว่าแล้วเดินจากไป


“หึ”


“มึงเย้ยกูเหรอไอ้เต๋า” ไอ้โจโวยวายแต่ไอ้เต๋าไม่สนใจเพราะมันเดินตามผมมาติด ๆ


กว่าการประชุมจะเริ่มขึ้นได้ก็ต้องรอให้น้องปีสองเลิกเรียนซึ่งเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ถ้าคนเกือบร้อยออกเสียงแสดงความคิดกันหมด ไม่อยากจะคิดเลยครับว่าคืนนี้จะได้กลับไปนอนกอดเมียตอนกี่โมง


“เอาละครับน้อง ๆ เงียบ!!” เสียงไอ้เต๋าตะโกนขึ้นมาตรงหน้าสุดโดยมีพวกผมยืนอยู่ใกล้ ๆ เพื่อนผมคนนี้ไม่ใช่ไก่กานะครับ มันเป็นถึงประธานรุ่นปีนี้แล้วยังเป็นอดีตพี่ว้ากคณะมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นพลังเสียงมันจึงก้องกังวานไปทั่วทั้งใต้ถุนคณะ


“อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะปิดเทอมแล้ว ต้นเทอมหน้าเราจะมีละครเวทีของคณะกัน!”


สิ้นเสียงประกาศของไอ้เต๋า ทั้งรุ่นน้องและรุ่นผมต่างส่งเสียงเชียร์อัพกันกึกก้อง คณะนี้แม่งหน้าม้าเยอะครับ เรื่องปลุกใจนี่ขอให้บอก พวกแม่งพร้อมจะทำโดยอัตโนมัติ


ไอ้เต๋าทำสัญลักษณ์มือให้ทั้งหมดเงียบเสียงก่อนจะพูดต่อ


“โปรเจคนี้…”


“กรี๊ดดดดดดด” หน้าม้าแม่งทำงานดีเกินไป


“พี่ยังไม่ได้พูดเลยน้อง”


“กรี๊ด พี่ศร!” อ้าว ไม่ใช่หน้าม้าเว้ย


ผมหันมองตามสายตาของสาว ๆ ไปพบกับร่างสง่าของคนรัก เป็นไอ้ศรของผมจริง ๆ ครับที่ยืนอยู่ตรงท้ายแถว รู้จักกันมาหลายเดือนแล้วแต่ไอ้ศรไม่เคยมาที่คณะผมเลยสักครั้ง แม้แต่ช่วงที่ช่วยโปรเจคพี่สัมก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามา


“พี่ชื่อพี่ศรเหรอคะ” ยัยน้องสาวตัวดีของผมลุกขึ้นไปยืนประจัญหน้าไอ้ศรตอนไหนผมก็ไม่ทันรู้ตัว ดึงสติกลับมาได้ก็ในตอนที่ทุกคนเงียบเสียงเพื่อฟังสองคนนั้นคุยกัน


“ครับ” ไอ้ศรยิ้มหวาน ตัวมันเหมือนหุ่นยนต์ที่ยิ้มได้อัตโนมัติเพียงแค่มีสาวสวยเป็นตัวเปิดสวิตซ์


“คนนี้เหรอแฟนไอ้โอม” อีกเสียงที่ดี๊ด๊าไม่ต่างกันนั่นของไอ้จี๊ด เพื่อนผู้หญิงในคณะที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ยัยนี่จี๊ดสมชื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า จี๊ดยันน้ำเสียงเธอนั่นด้วย จี๊ดเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่หุ่นดีมักจะอยู่ในชุดนักศึกษาพอดีตัวจนเกือบปริแตก ผมยาวดัดลอนสวยสีแดงสดรับกับใบหน้าสวยเฉี่ยวที่แต่งแต้มจัดเต็มในทุกวัน ถึงจะไม่ใช่สเปคไอ้ศร แต่ก็ไว้ใจไม่ได้


“ตัวจริงหล่อจัง เท่ชะมัด เอมชอบ”


“พี่ก็ชอบค่ะน้องเอม”


เหี้ย!!


“แต่มันชอบกู!”



เกิดความเงียบขึ้นอึดใจหนึ่งก่อนจะมีไอ้โจเจ้าเก่าเป็นต้นเสียงโห่แซ็วผมจนเสียงก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ไอ้ศรยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ มันคงเขินที่มีคนมากมายร้องแซ็ว


“มาหากูก็เดินมานี่ ไม่ใช่ยืนให้ผู้หญิงจ้องหน้าแบบนั้น”


“ดูมันดิ ถ้าเรายุ่งกับน้องมัน มันแม่งหวงน้อง แต่พอแฟนมันยุ่งกับน้องมันนะ แม่งเสือกหวงแฟนเฉย” ไอ้เพื่อนรักทั้งสามคนของผมกำลังซุบซิบกันถึงประเด็นนี้ที่ด้านหลังผม


“นี่น้องไงพี่โอม”


“ส่วนฉันก็เพื่อนไงยะ”


“โอ้ยยย นี่โอมอินคนหวงแฟน2017 ไง ไม่รู้จักกันเหรอ” ไอ้พีทเดินมากอดคอผมไว้ เสียงโห่แซ็วดังขึ้นอีกระลอกใหญ่ก่อนจะเงียบลงในตอนที่โอ้ศรเดินมายืนตรงหน้าผม คล้ายว่าทุกคนกำลังเงียบเพื่อฟังสิ่งที่เราสองคนจะพูดคุยกัน ตัวโต ๆ ของมันตอนนี้ดูลีบเล็กลงไปเล็กน้อยด้วยความประหม่า ผมเผยยิ้มเอ็นดูบาง ๆ มันคงไม่ชินกับการแสดงออกของชาวคณะนิเทศน์


“แล้วนี่มึงมาทำไมเนี่ย”


ไอ้ศรเหลือบมองคนรอบข้างเล็กน้อย ดูมันขลาดเขินที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนเกือบร้อย “มองแต่กูนี่ ไม่ต้องมองคนอื่น”


“มะ มึงบอกว่ามีประชุมกับเพื่อนในเอก กูเลยซื้อของกินมาฝาก”


น่ารักจังวะเมียกู


“อยากยิ้มก็ยิ้มกว้าง ๆ ดิว้าาา จะอมไว้เหมือนเด็กอมข้าวทำไม” ผมว่าถ้าวันนี้ผมไม่ยัดตีนใส่ปากเหี้ยโจสักครั้งมันก็คงจะไม่หยุดล้อผมง่าย ๆ แน่


ผมหันไปชูนิ้วกลางให้มัน


“แล้วไหนอ่ะ อาหาร”


“อยู่ที่รถ แต่…กูไม่รู้ว่าคนจะเยอะขนาดนี้ คงกินกันไม่พอ”


“ไม่เป็นไรหรอก พวกแม่งก็อด ๆ กันไป มันมีปัญญาหากินกันเองได้ แต่มึงซื้อมาเพราะกลัวกูอดไม่ใช่เหรอ”


“อะแฮ่ม!”


ผมสองคนสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะเห็นเจ้าของเสียงที่ยืนซ่อนอยู่ด้านหลังของไอ้ศร ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสอง


ผมส่ายหน้าระอาก่อนแนะนำหญิงสาวทั้งสองให้แฟนรู้จัก “นี่เอม น้องสาวกู…” เอมยกมือไหว้ทักทายสวยงามแบบย่อจนตัวจะถึงพื้นอยู่รอมร่อ เรื่องเล่นใหญ่น่ะไว้ใจน้องสาวผมเถอะ “…ส่วนนี่จี๊ด เพื่อนสนิทอีกคนของกู”


“จี๊ดค่ะ กินแล้วจะซี๊ดซ๊าด” อ้อ ยัยนี่อีกคน ทั้งเสียงทั้งท่าทางมาเต็มจนไอ้ศรหัวเราะชอบใจ


“พอเลย ๆ เราไปเอาอาหารกัน ไอ้เต๋า เดี๋ยวกูมา” ไอ้เต๋าคือเพื่อนที่เอางานเอาการมีสาระสุดในชีวิตผมแล้วครับ มันรีบประกาศบอกทุกคนว่ามีสวัสดิการกิตติมศักดิ์ซื้ออาหารมาให้ทันที


ระหว่างทางไปลานจอดรถคณะผมบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยว่าทำไมมันไม่โทร.เข้ามาบอกก่อน ผมจะได้เดินออกมารับเลย ไม่ต้องให้มันเสียเวลาเดินเข้าไปหาถึงคณะ แต่มันแย้งกลับมาว่าโทร.มาหลายสายแล้วแต่เป็นผมเองที่ไม่ยอมรับ


ท้ายรถสปอร์ตหรูสีดำเงาเต็มไปด้วยถุงอาหารที่ไอ้คุณชายออกตัวไว้ว่าไม่น่าจะพอสำหรับคนเกือบร้อย ผมกวาดมองผ่าน ๆ กะประมาณคร่าว ๆ แล้วพบว่ามีพิซซ่าเรียงถาดซ้อนกันเต็มสี่ถุงใหญ่แล้วยังมีไก่ทอดเป็นเซตอีกสามถัง


“นี่มึงคิดว่าเอกกูมีกี่คนเนี่ย”


“สี่สิบกว่า ๆ ใช่ไหม กูไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่ามึงเคยพูดเข้าหู”


ไอ้ห่า ขนาดไม่สนใจฟังยังเสือกความจำดี


“แต่ที่มึงซื้อมาเนี่ย กูว่ามันเกินจำนวนนั้นนะ”


“ก็กะจะให้กินกันอิ่ม ๆ มึงนี่บ่นจริง”


มันตีหน้ายุ่งใส่ผมแล้วก้มลงไปยกถุงพิซซ่าขึ้นมาสองถุง ผมมองท่าทางใส่ใจนั้นด้วยรอยยิ้ม


ฟอดดดดดดดดด


“เหี้ย!”


ผมยิ้มขำ มันตกใจจนถุงหลุดมือแล้วหันมามองหน้าผมที่ฉวยโอกาสหอมแก้มมัน “รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับความน่ารักของมึง…ไว้กลับไปกูจะจัดชุดใหญ่ตอบแทนให้นะ”


“แตกตีนกูแทนข้าวเถอะมึง!”


อาหารอะไรไม่สนใจแล้วครับ ตอนนี้ต้องวิ่งหนีฝ่าเท้าเมียก่อน แทนที่จะได้แจกตีนให้ไอ้โจ ทำไมกลายเป็นกูที่ได้แดกตีนเมียวะ





(มีต่อนะคะ)



ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

ผมกลับเข้าคอนโดมาในตอนตีหนึ่ง อย่างที่บอกแหละครับ พวกนิเทศน์แม่งบ้าพลัง ออกเสียงแสดงความคิดเห็นกันเกือบทุกคน กว่าจะหาข้อยุติที่ลงตัวได้ในแต่ละประเด็นก็เกือบตีกันตาย ที่ได้กลับมาป่านนี้ก็ใช่ว่าจะได้ข้อสรุปครบทุกประเด็นแล้วนะครับ แต่ถ้าแม่งยังไม่เลิกประชุมกันผมคงจะได้อาละวาดมันตรงนั้น


ห้องนอนมืดมิดสนิท แต่หน้าจอโทรทัศน์ที่ปลายเตียงยังฉายหนังฮอลีวูดเรื่องดังทั้งที่คนบนเตียงหลับสนิทไปแล้ว ผมหยิบรีโมทมากดปิดโดยเร็วเพราะไม่อยากปล่อยให้เสียงมันดังรบกวนการพักผ่อนของคนรักนานนัก แสงสว่างจากภายนอกที่ส่องเข้ามามากพอให้ผมแค่พอคลำทางเดินเข้าไปยืนฝั่งที่ใบหน้าไร้ที่ติหันไปหาได้ ทิ้งตัวลงชันเข่าข้างหนึ่งข้างๆกันนั้นแล้วพินิจดวงหน้าของคนที่ทำให้ผมทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้น นิ้วเรียวเกลี่ยปอยผมที่ลงมาปรกหน้าให้ได้เห็นความสมบูรณ์แบบนั้นชัดขึ้น เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากกลับดึก อย่างน้อยก็ไม่อยากกลับหลังจากที่มันหลับ ธรรมศรเป็นคนหลับยาก ก่อนหน้าที่ผมจะมานอนด้วยบ่อยๆ อีกฝ่ายมักเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้พร้อมตั้งเวลาปิดนานถึงสองชั่วโมงเพื่อช่วยในการนอนหลับ นี่ก็คงจะเพิ่งหลับสนิทไปได้ไม่นานสินะ


ผมประทับรอยจูบแผ่วเบาบนหน้าผากมนก่อนจะไปอาบน้ำล้างตัวแล้วกลับมาสอดตัวใต้ผ้าห่มนอนข้าง ๆ ไอ้ศร พาดแขนรัดช่วงเอวเปลือยของอีกฝ่ายก่อนกระชับร่างเข้าแนบชิดกัน ได้ยินเสียงครางอื้ออึงจากคนถูกรบกวนกลางดึก ก่อนจะเงียบไปคงเพราะว่านี่เป็นสัมผัสที่คุ้นเคย






ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนที่ร่างในอ้อมกอดขยับยุกยิกเพื่อซุกเข้าหากัน รอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับมุมปาก แม้ว่าวันนี้จะตื่นสายและค่อนข้างเพลีย แต่ก็ยังยิ้มได้เพราะคนในอ้อมกอด


“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำ วันนี้ไปกินข้าวเช้าที่คณะมึงกัน”


ไอ้ศรรับคำในลำคอก่อนลุกออกไปอย่างว่าง่าย ไร้ท่าทีอิดออดอย่างทุกวัน สงสัยจะเป็นเพราะได้นอนเต็มที่



ผมมองตามคนว่าง่ายหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วยกยิ้มมุมปาก ไม่บ่อยนักหรอกที่มันจะไม่งัวเงียในตอนเช้า อีกอย่าง เช้านี้ก็ไม่ได้รีบอะไรมาก หาเรื่องแกล้งไอ้คุณชายมันดีกว่า


คิดได้แล้วก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปยืนหน้ากระจกข้างมันทันที ไอ้ศรที่มีเพียงผ้าขนหนูพันส่วนล่างไว้หันมาหรี่ตามองตั้งแต่ที่บานประตูเปิดออกอีกครั้งจนกระทั่งผมบีบยาสีฟันเสร็จแล้ว


“แค่แปรงฟันนะมึง”


ผมไหวไหล่ สนใจการแปรงฟันของตัวเองต่อไป มองเงาในกระจกแล้วแฮปปี้จริง ๆ ครับ นอกจากจะเห็นเงาหน้าสมบูรณ์แบบตียุ่งอยู่ข้างกันแล้วยังเห็นอ่างอาบน้ำที่ไอ้ศรเปิดน้ำทิ้งไว้ด้วย


เข้าทางกูมาก ๆ


ไอ้ศรชิงบ้วนปากก่อน มันมองผมด้วยสายตากดดันก่อนจะละความสนใจไปเทสารพัดเครื่องอาบน้ำของมันลงอ่างซึ่งแทบจะมีมันคนเดียวที่ใช้ เพราะผมถนัดอาบฝักบัวมากกว่า


แหม่ กลิ่นอโรมามันช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าแบบนี้นี่เองครับ ถึงว่า…ได้สูดกลิ่นเมียทีไรผม ‘ของ’ ขึ้นทุกที


“อาบด้วยดิ”


บอกเลยว่าไม่ทัน!


มันนะที่ไม่ทัน ไม่ใช่ผม ผมน่ะแก้ผ้าไวเป็นที่หนึ่ง ร่างบึกบึนของผมลงไปนอนแช่ในอ่างก่อนที่มันจะทันได้ปฏิเสธออกมาซะอีก


ไอ้คุณชายมองผมด้วยความรำคาญ “บอกว่าให้แค่แปรงฟันไงวะ”


“ยังไม่ได้รับปากสักหน่อย”


“งั้นไปอาบฝักบัว”


“วันนี้อยากลองแช่อ่างบ้าง”


ไอ้ศรถอนหายใจ ขณะที่ผมแกล้งไล่สายตามองไปตามร่างกายสุดเพอร์เฟคของมัน “กูไปอาบฝักบัวเองก็ได้”


แม่งงงงงง


อย่าคิดว่าครั้งนี้กูจะยอมแพ้


ผมเริ่มมาขนาดนี้แล้ว ‘ของ’ ก็ขึ้นแล้วด้วย ผมไม่ยอมให้มันได้ทักทายมือขวาตัวเองแน่ อย่างน้อยงานนี้ก็ต้องมือไอ้ศรละวะ


“คืนนี้กูมีประชุมอีก กลับดึกนะ คงไปนอนห้องตัวเองด้วย มึงไม่ต้องรอ”


โกหกครับ ใครมันจะประชุมงานกันทุกวัน ต่อให้พวกแม่งนัดประชุมจริงกูก็โดด อยากกลับมากินข้าวเย็นกับเมียบ้างนี่หว่า


ไอ้ศรนิ่งเงียบไปแล้ว ผมเหลือบมองทางหางตาเห็นมันยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา “แล้วทำไมต้องในอ่างด้วยวะ” ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มครับ ไม่แปลกหรอกที่มันจะบ่น อ่างอาบน้ำไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้ชายตัวเท่าควายอย่างพวกผมลงไปนอนพร้อมกันสองคน ยิ่งถ้าทำอะไรที่มากกว่านอนนิ่ง ๆ ด้วยแล้วก็คงจะเมื่อยน่าดู


แต่ทำไงได้วะ ยังไม่เคยลองในอ่างนี่หว่า


“มึงอยาก?” ไอ้ศรยืนมองหน้าผมนิ่ง ผมได้ทีเลยแกล้งมองต่ำอย่างจงใจด้วยสายตาขบขัน


“ถามน้องชายมึงก่อนดีกว่าไหมวะ ชี้หน้ากูแล้วนั่น”


ไอ้ศรจิ๊ปากที่ถูกรู้ทัน ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ รู้แหละครับว่ามุกตื้น ๆ ของผมคงไม่ได้ผลถ้ามันเองก็ไม่เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ไอ้คุณชายยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดครู่หนึ่ง ผมเองก็รออย่างใจเย็น


เย็นได้ก็แย่ละ! น้องชายกูปวดหนึบไปหมดแล้วเนี่ย มึงช่วยรีบนิดนึงครับเมีย อย่าลีลามาก เดี๋ยวกูก็ปล้ำซะหรอก!


ผมเคยบอกไปรึยังครับว่าไอ้ศรเป็นบุคคลอันตราย มันสามารถเปลี่ยนจากใบหน้าครุ่นคิดเป็นใบหน้าเย้ายวนได้เพียงแค่คุณเผลอกระพริบตา รอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์เปลี่ยนภาพลักษณ์คุณชายเป็นสิงห์หนุ่มที่พร้อมขย้ำเหยื่อ ขณะเดียวกันก็ทำให้คนมองรู้สึกว่ามันเป็นแมวแสนซนที่หมาป่าอย่างผมอยากขย้ำเต็มที


ปราการชิ้นสุดท้ายอย่างผ้าขนหนูถูกปลดออกเผยหุ่นสวยงามราวรูปปั้นตรงหน้าผมก่อนที่ร่างนั้นจะคร่อมทับลงมาอย่างรวดเร็วจนน้ำกระเฉาะออกพร้อมเกมรุกที่เริ่มต้นขึ้นในทันทีทันใดจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากได้รูปงับครอบลงมาบนส่วนเดียวกัน รุนแรง ดุดัน ราวกับจะกลืนกินมันไปจนหมด


ให้ตายเถอะ! ผมชักจะอ่อนไหวง่ายเกินไปเสียแล้ว เพียงแค่จูบกับมันในสถานการณ์ล่อแหลมก็ทำเอาช่วงล่างผมปวดหน่วงจนแทบทนไม่ไหว ไอ้ศรยังคงรุกจูบอย่างต่อเนื่อง ผมเองก็ไม่ยอมแพ้ ลิ้นเราเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เพียงแต่นี่ไม่ใช่การแข่งขัน มันคือการแสดงความรักต่อกันเสียมากกว่า ไอ้ศรพักให้ต่างฝ่ายต่างกอบโกยอากาศด้วยการเลียริมฝีปากของผมอย่างเนิบช้าขณะที่สายตาแพรวพราวของมันก็มองสบตาผมอยู่ตลอดเช่นกัน

แม่เจ้าโว้ย! เมียกูเซ็กซี่เป็นบ้า!


แม้ร่างกายเกือบครึ่งจะจบอยู่ในน้ำเย็นแต่ก็ไม่อาจดับความร้อนรุ่มที่เกิดจากการเสียดสีกันของผิวเนื้อช่วงบนของเราได้ ริมฝีปากได้รูปกลับมาครอบครองตำแหน่งเดิมอีกครั้ง คราวนี้อ่อนหวานจนผมแทบจะสำลักรสจูบของมันตาย มือนุ่ม ๆ ของมันก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กันเพราะรู้ตัวอีกทีมันก็กำรอบส่วนนั้นของผมไว้แล้ว จังหวะนั้นเองที่ศรเร่งจูบให้หนักหน่วงอีกระลอก มือข้างหนึ่งของมันประคองหน้าผมไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง มันรูดรั้งของของผมอย่างรวดเร็วตามจังหวะของมัน และด้วยความรักเมีย ผมเลยช่วยมันบ้าง


ตอนนี้เราสองคนต่างใช้มือช่วยของกันและกัน ไอ้ศรผละริมฝีปากออกไปแล้ว มันไม่ได้จูบลงมาอีก แต่ใบหน้าที่อยู่ห่างกันเพียงแค่กระดาษแผ่นบาง ๆ กั้นก็ชวนให้ใจเต้นโครมครามจนกลัวจะช็อคตายคาอ่างให้เป็นข่าวหน้าหนึ่ง


“เฮือก!”


ผมกับไอ้ศรสลับกันกระตุก เหมือนจะเสร็จแต่ก็ไม่เสร็จ ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนมันแกล้งยื้อเวลาอย่างไรบอกไม่ถูก ขณะที่มันใกล้จะถึงฝั่งฝันเพราะฝีมือของผมเต็มทีแล้ว


“อ๊า~~”


เสียงกระเซ่าของพวกเราประสานกันจนแทบจะเป็นเสียงเดียว ใบหน้าไร้ที่ติที่ห่างกันเพียงนิดเดียวขยับขึ้นลงตามจังหวะของร่างกายทำให้เครื่องหน้ามันปัดป่ายกับริมฝีปากผมไปมา ริมฝีปากของเราสัมผัสแบบเฉียดกันไปมาอยู่หลายครั้งพร้อมเสียงครางที่อื้ออึงในหัวของผม นัยน์ตาดำขลับที่ฉายแววเย้ายวนนั่นก็จ้องมองผมตลอดเวลาจนพาลให้หน้าร้อนเห่อขึ้นมา


“เฮือก! อะ อ่า….”


แตะขอบฟ้าพร้อมกันครับ น้ำขาวขุ่นพุ่งออกมาเลอะมือเราทั้งคู่เยอะพอกันเพราะไม่ได้เอาออกมาหลายวันแล้วก่อนจะไหลรวมไปกับน้ำในอ่างที่ลดน้อยลงกว่าเดิมไปเยอะจากกิจกรรมครั้งนี้


คนที่คร่อมตัวผมอยู่ทิ้งน้ำหนักศีรษะลงมาให้หน้าผากของเราชนกัน จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ละสายตาไปจากผม เสียงกระหืดหอบของมันก็ยังดังแข่งกันกับผมด้วย


“เร้าใจดีว่ะ รู้งี๊ทำในอ่างตั้งนานแล้ว”


“หึ”


ไอ้ศรยิ้มหวานจนทำตาผมพร่าไปหมด แม้จะสังเกตรอยยิ้มของมันไม่ชัดเพราะอยู่ใกล้กันเกินไป แต่แววตามันที่สะท้อนเงาผมอยู่ในตอนนี้กำลังยิ้มให้ผมอย่างที่ไม่เคยเห็นและอยากจะเห็นมาโดยตลอด ไอ้ศรจูบลงมาอีกครั้ง แผ่วเบา แนบชิด ทว่าเนิ่นนาน


ผมรู้สึกเหมือนร่างกายค่อย ๆ ลอยละล่องขึ้นสวรรค์โดยมีศรเป็นคนชักนำ รอบข้างมีปุยเมฆขาวนุ่มโอบล้อม ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มนี้มันช่างดีต่อใจ


“อาบน้ำเว้ย” เชี่ยยย เหมือนตกจากสวรรค์เลยว่ะ


ผมมองไอ้คนที่ออกจากอ่างไปยืนบิดตัวอยู่บนพื้นตาเยิ้ม “อีกรอบได้ไหมวะ…ที่ฝักบัวก็ได้”


ไอ้ศรยิ้มเย็น “เชิญมึงโลกสวยด้วยมือขวาไปเถอะนะ”


เอายิ้มหวานเมื่อกี๊คืนมาาาาา












คาเฟทฯคณะวิศวะฯในตอนเช้าไม่ค่อยคึกคักพอ ๆ กับคณะผมนั่นแหละครับ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะผมไม่ชอบที่คนพลุกพล่านนัก


แต่ถึงคนจะน้อย ไอ้คนจำนวนหยุ๋มหยิ๋มอย่างสาว ๆ ตรงโต๊ะหน้าร้านข้าวแกงนั่นก็ยังทำให้ผมหงุดหงิดใจแต่เช้าอยู่ดี


ไม่ดิ กูหงุดหงิดตั้งแต่ถูกปล่อยให้อารมณ์ค้างในห้องน้ำแล้ว


“พี่ศรขาาาาา”


ขาซ้ายหรือขาขวาครับน้อง แต่ขาพี่โอมอินนะ


“ไงครับสาว ๆ มากันแต่เช้าเลยนะเนี่ย”


ผมกลอกตาตามหลังไอ้คนอัธยาศัยดีแล้วตามไปกอดคอมันเพื่อดึงออกจากกลุ่มสาว ๆ ก่อนที่มันจะถลำลึกไปมากกว่านี้


“เกรงใจกูหน่อยเมีย” ผมกระซิบเสียงเย็นชิดริมใบหูมันแต่มันกลับลอยหน้าลอยตาระรื่นได้อย่างน่าหมั่นไส้ ได้ยินเสียงซุบซิบของสาว ๆ ตามหลังมาว่าอะไรสักอย่างซึ่งผมไม่ได้สนใจนัก


เราสองคนแวะซื้อข้าวกับน้ำเปล่าคนละขวดก่อนเดินไปที่โต๊ะตัวหลังสุดของคาเฟทฯ ซึ่งมองแต่ไกลก็เห็นเพื่อนมันสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว


“อะไรกันวะเนี่ยยยย นอกจากจะได้หลังจนลืมหน้าแล้ว มึงยังตามตูดมันมาถึงคณะพวกกูเลยเหรอวะ” ไอ้ตี๋เจ้าของเสียงแซ็วมันชื่อเมฆ กวนตีนพอกันกับไอ้โจเพื่อนผมเลยครับ อยู่ด้วยกันแล้วคนรอบข้างโคตรปวดหัว


“ถ้ามึงแซ็วแล้วมันเขินสักนิดกูจะไม่ว่าเลย แต่ถ้าแซ็วแล้วทำให้ตัวเองตายนี่กูไม่ช่วยนะ” ไอ้ศรว่านิ่ง ๆ แล้วนั่งลงข้างไอ้เมฆพร้อมกอดคอมันไว้ ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้พวกมันสามคนอันประกอบไปด้วยศร เมฆ และไอ้ฟานั่งฝั่งเดียวกันโดยมีผมนั่งตรงข้ามศร


“ไอ้ห่าศร บอกว่ากลัวกูตาย แต่มึงเนี่ยแหละที่จะทำให้กูตายเร็วขึ้น” ไอ้เมฆมันคงเห็นผมจ้องมันสองคนเขม็ง ใบหน้าขาวตี๋ของมันเริ่มซีดเผือด รีบกุลีกุจอดึงแขนไอ้ศรออกโดยเร็วไว


“ไอ้เพื่อนเลวววว” ไอ้ฟาก็สมทบไปกับเพื่อนมันด้วย ขณะที่ไอ้ศรยักไหล่ไม่สนใจ


“ไอ้สองคนนั้นละวะ” ศรถามถึงเพื่อนสนิทอีกสองคนคือกอล์ฟกับหนึ่ง


“วันนี้ฟรีแลป มึงคิดว่ามันจะมาสักกี่โมงกันละวะ”


“เหี้ยศรเอาบรีฟแลปมึงมาอ่านหน่อยดิ๊ ของไอ้เมฆแม่งโคตรงง”


“ไอ้ห่า ก็ยังดีกว่ามึงละวะ ไม่รู้จักทำเอง ไอ้ศรไม่ต้องให้มัน”


“อ้าวเห้ย! เกี่ยวไรมึงเนี่ย” ไอ้ฟาเป็นผู้ชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม พอโดนคนตัวบึกอย่างไอ้เมฆหันข้างเพื่อกันออกจากไอ้ศรเลยกลายเป็นว่าถูกกีดกันออกจากโลกไอ้ศรได้อย่างง่ายดาย


ผมส่ายหน้า ไม่เข้าใจเรื่องที่พวกมันเถียงกันหรอกครับ แต่แค่ได้ยินเสียงพวกมันเถียงกันผมก็ปวดหัวแล้ว


“พี่ศรรรรร พี่ศรรรรร...หวัดดีค่ะพี่ๆ” เสียงผู้หญิงดังมาแต่ไกลทางด้านหลังของผม สาวสวยท่าทางคล่องแคล่วในเสื้อช็อปแบบเดียวกับไอ้ศรปรากฎในม่านสายตา มาถึงเธอก็ยกมือไว้ลวก ๆ กวาดไปทั่วด้วยความรีบ จึงไม่ทันมองว่าหนึ่งในคนที่ตัวเองทักทายไม่ใช่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเลยสักนิด ทักทายเสร็จเธอก็นั่งลงข้างผมโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองกัน


“พี่ศรช่วยบอกแนวข้อสอบอนาโตมี่หน่อยค่ะ เพชรต้องแย่แน่ ๆ เลยอ่ะ วิชาบ้าอะไรท่องจำโคตรเยอะ นี่เรียนวิศวะนะไม่ใช่หมอ จำเป็นต้องจำได้เยอะขนาดนี้ไหม” เธอบ่นโอดครวญพลางมองไอ้ศรอย่างอ้อนวอน ผมมองหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่ากำลังวิเคราะห์เธออย่างละเอียดทีเดียว สาวสวยในลุคกระฉับกระเฉงค่อนไปทางห้าวแบบนี้สเปคไอ้คุณชายเขาเลยล่ะ ซึ่งมันทำให้ผมคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก


“ให้บอกแนวข้อสอบ?”


หญิงสาวที่ชื่อเพชรยิ้มแหย “สอนก็ได้ค่ะ นะๆๆ”


“กินข้าวก่อน” ผมกดเสียงต่ำดังขึ้นขัดทำให้หญิงสาวหนึ่งเดียวตรงนี้หันมามองแล้วขมวดคิ้วมุ่น


“เพื่อนพี่ศรเหรอคะ เพชรไม่เคยเห็นหน้าเลย”


“ไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแฟน” ผมชิงตอบตัดหน้า ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ตัวครับว่าสีหน้าตอนนี้ไม่รับแขกสุด ๆ


“แฟน!!”


ผมมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้ตั้งใจจะใจร้ายหรือเสียมารยาทกับสุภาพสตรี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องปั้นหน้าอย่างไรให้กับผู้หญิงที่อาจจะเป็นศัตรูหัวใจ


“อะ เอ่อ...เพชรแค่มาขอให้พี่ศรช่วยค่ะ ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเลยนะคะ”


“นี่เพชร ลูกพี่ลูกน้องกู” ไอ้ศรแนะนำเสียงเรียบ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเริ่มกินข้าวไปบ้างแล้วในตอนที่หันไปถามหาความจริงด้วยสายตาในตอนนั้นเอง


“แหม รีบบอกเชียวนะคะ” เพชรหันไปเย้าแหย่ไอ้ศร


“ถ้าช้ากว่านี้เธออาจถูกมันฆ่าตายก่อน” ไอ้ศรก้มหน้ากินข้าวพูดเหมือนไม่สนใจ ขณะที่เพื่อนมันอีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับประโยคนั้น


“อู่ยยยยย เพชรเป็นน้องค่ะ โปรดเว้นเพชรไว้สักคนนะคะ” เธอยกมือไหว้ผมพร้อมทำหน้าอ้อนวอน เห็นอย่างนี้แล้วก็ถือสาไม่ลงเลยพยักหน้าละเว้นโทษให้


“เพชรน่ะอยากเจอแฟนพี่ศรมานานแล้วค่ะ พี่ชื่ออะไรนะคะ?”


“โอม”


“เพชรทีมพี่โอมนะคะ มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยค่ะ” ผมพยักหน้ารับแล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้าบ้าง


“จริงสิ เมื่อวันอาทิตย์พี่ศรไปนอนบ้านเพชรเหรอคะ”


หืม?


ผมเงยหน้ามองคนรักอัตโนมัติ คืนวันอาทิตย์มันบอกจะกลับบ้าน แต่ทำไมไปโผล่บ้านญาติแทนวะ


“ใครบอก” ไอ้ศรมองแต่หน้าคู่สนทนา ไม่สบตาผมสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าผมต้องไม่พอใจอยู่แล้ว แต่มันก็ยังหลบหลีก


“รถจอดหราซะขนาดนั้นไม่ต้องรอให้ใครบอกหรอกค่ะ พี่ศรไปหาพ่อเพชรอีกแล้วเหรอ ไหนพ่อบอกว่า…”


“หลานไปหาอานี่ผิดปกติมากเลยเหรอ?”


“ก็…”


“ถ้าอยากให้ติวให้ ตอนบ่ายไปหาที่ห้องสมุดละกัน เช้านี้พี่มีเรียน”


ไอ้ศรตัดบทแค่นั้น เพชรรับคำเสียงแผ่วก่อนจะบอกลาทุกคนรวมถึงผมแล้วลุกออกไป ผมละความสนใจจากเธอกลับไปจ้องมองไอ้ตัวดีต่อ


“มีอะไรจะบอกกูไหมธรรมศร”


ไม่บ่อยนักที่ผมจะเรียกมันด้วยชื่อจริง นอกจากตอนหยอกแซ็วก็มีตอนจริงจังมาก ๆ อย่างเช่นตอนนี้


“ไม่มี”


“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ชอบคนโกหก”


ไอ้ศรมองสบตา ผมไม่สนใจแล้วว่าเพื่อนมันอีกสองคนจะกำลังกินข้าวเงียบ ๆ แต่หูผึ่งหรือจะนั่งตัวลีบเพราะผมเริ่มจะอารมณ์ไม่ปกติขึ้นมาแล้ว


“สำหรับกู บ้านอาภพก็คือบ้าน”


เพล้ง!


ผมวางช้อนกระแทกจาน ตั้งใจจะคุยกับมันให้รู้เรื่องแต่เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงกลับแผดเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน ผมจิ๊ปากขัดใจก่อนหยิบออกมารับสาย


“มีเหี้ยอะไร!?”


ผมเห็นไอ้ฟาสะดุ้งตัวโหยงต่างกับไอ้เมฆที่ยังคงนิ่ง


[สัดนี่! เมียไม่ให้เอาเหรอวะถึงมาหงุดหงิดใส่พวกกู] เบอร์โทรเข้าของไอ้เต๋าแต่เสียงที่กรอกมาตามสายเป็นเสียงไอ้โจ ผมเหลือบมองตัวสาเหตุของความหงุดหงิดใจแล้วก็ได้แต่คาดโทษไว้ทางสายตา


“มีอะไร”


“นัดคุยงานกับอาจารย์ไงครับท่าน เมื่อไหร่คุณโอมอินจะโผล่หัวมาวะครับ”


เชี่ย!! ลืมครับ ลืมไปเสียสนิทว่านัดอาจารย์คุยโปรเจค


“กูจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”


“เห้ย รีบไปไหนวะ” ไอ้เมฆถามเมื่อเห็นผมผุดลุกเตรียมจะแยกออกไปทั้งที่ยังค้างบทสนทนากันไว้ ขณะที่ไอ้ตัวสาเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวเพียงแค่มองผมนิ่ง ๆ


“มีนัดคุยโปรเจคกับอาจารย์ กูไปก่อนนะ” ประโยคหลังผมบอกไอ้ศร เห็นมันพยักหน้าให้ก็รีบสาวเท้าออกไปทันที


เดินออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็หวนกลับมาทางเดิมเพราะจะเอากุญแจรถฝากไว้ที่ไอ้ศรให้มันไปรับผมหลังเลิกเรียนด้วย เพราะผมจะนั่งวินไปคณะโดยเร็วที่สุด แต่พอเดินกลับมาในรัศมีที่ได้ยินเสียงพูดคุย บทสนทนานั้นก็ทำให้ผมต้องเสียเวลาต่ออีกสองสามนาทีให้เพื่อนด่าเพื่อหยุดฟังมันคุยกัน


“แฟนมึงแม่งขี้หึงฉิบหาย”


“เออจริง มึงเห็นตอนมันมองเพชรไหม ตอนไม่รู้ว่าเป็นน้องมึงนี่กูพอเข้าใจนะ แต่ขนาดรู้แล้วตามันยังแข็งอยู่อีก จะหึงอะไรขนาดนั้นวะ”


พวกมันยังไม่รู้ว่าผมเดินกลับมาเพราะทั้งสามคนนั่งหันหลังให้ผมกันหมด


“เห็นมันหึงไปทั่วแบบนี้แล้ว กูอยากรู้เลยว่ามันเคยหึงมึงกับใครแบบฟิวส์ขาดไหม แบบที่สุดอ่ะ คุมหน้าเรียบ ๆ เหมือนถูกเตารีดนาบตลอดเวลาไว้ไม่ได้แล้วอ่ะ มีไหมวะ”


“ยังไม่มี”


“กูหวังว่าจะไม่มีนะ แค่คิดก็สยองฉิบหาย”


“เออไอศร แล้วมึงเคยหึงมันบ้างไหมวะ”


ไอ้ศรส่ายหน้าทันทีแบบแทบไม่ต้องคิด


“กูก็ไม่เข้าใจความรักนักนะเว้ย แต่คนเราจะรู้ตัวว่ารักใครก็ตอนที่มีความรู้สึกหึงหวงไม่ใช่เหรอวะ กูเข้าใจแบบนี้มาตลอด” ไอ้ฟาออกความเห็น เท่าที่ผมรู้จัก มันเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาในความรักแต่อ่อนประสบการณ์มากทีเดียว


“นั่นดิ หรือที่มึงคบมันนี่มึงไม่ได้มีความรักปนอยู่เลย”


“ไร้สาระ”


คบกันเพราะรักหรือไม่รัก หรืออะไรที่ทำให้รู้ตัวว่ารัก มีแค่ธรรมศรเท่านั้นที่รู้





เพราะผมเองก็ยังไม่เคยรู้…




พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 3
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่งไปแต่งมาเหมือนโอมอินเป็นคนอวดเมียเลย
เห็นปิดท้ายดราม่าแต่นี่(ยัง)ไม่ดราม่านะ เรื่องนี้ใสๆ วัยรุ่นรักกันค่ะ
ออกตัวก่อนนะคะว่าแต่ง NC ไม่เป็น มันก็จะง่อย ๆ หน่อย
แต่มันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องเหมือนกัน
ช่วงตอนแรก ๆ จะเรื่อย ๆ หน่อยนะคะ เพราะอยากให้เห็นรายละเอียดบางอย่างในตัวทั้ง 2 คน
เห็นคนเข้ามาอ่าน พูดถึงในทวิตภพก็ดีใจและขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ
ว่ากันตามตรงแล้วเราแค่แต่งสนองนี้ดตัวเองเพราะอยากอ่านคู่ที่เขาเป็นแฟนกันอยู่ก่อนแล้วบ้าง ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
ฝากเรื่องนี้ด้วยค่ะ #โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ดราม่าแน่ๆเลย

ออฟไลน์ JellyKei

  • ✧٩(の❛ᴗ❛ の)۶
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตอนหน้างานร้าวฉานจะมามั้ยคะนั่น :katai1: /เกียมต้มมาม่า
ผิดมั้ยที่เอ็นดูโอม เพราะแบบคาแรคเตอร์ภายนอกเป็นคนนิ่งๆ แต่เวลาพูดถึงศรในใจนี่ทำให้ลืมภาพลักษณ์นั้นไปหมดเลยค่ะ555555555
จริงๆแอบอยากอ่านมุมมองที่ศรมองโอมบ้าง อยากรู้ว่าจะสู้โอมได้มั้ย
เนื้อเรื่องกำลังเข้มเลย รีบมาต่อนะคะ รอรอรอ :pig4:

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
เรื่องนี้ดราม่าแน่ๆ มากน้อยไม่รู้แต่ก็ตามค่ะ

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
โอยยยยย ดราม่าแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้ ฮาาา
ความรักแต่ละคนมีลิตต่างกัน แสดงออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน ก็หวังว่าจะเข้าใจแล้วจับมือกันผ่านไปอย่างเบาๆ ไม่ดราม่าหนักมากนะคะ ฮือออออ
รู้สึกเอ็นดูโอม ชอบความหลงแฟน อวยแฟน หึงหวงก็เพราะรักมาก แคร์มาก โอยยยงานนี้ทีมโอมแน่เลย55555555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เดาใจศรไม่ถูกเลย แต่ว่าเรื่องศรกับอาดูมีเงื่อนงำนะคะ นี่ขนาดไม่ดราม่าเรายังแอบระแวง
ปล. นี่ขนาดบอกว่าเขียน nc ไม่เป็นนะคะ เราว่าฉากในอ่างฮอตมาก แล้วศรก็ควีนมากด้วยค่ะ โอมอินนี่เสะทาสชัดๆมีความหลงเมีย 5555555555

ออฟไลน์ 。Atlas

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ว่ากันว่า นิยายที่เริ่มต้นด้วยการให้ตัวเอกเป็นแฟนกันตั้งแต่แรกนั้นน่ากลัว 555555
เข้ามาอ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะตามเอาใจช่วยคู่นี้จนกว่าจะถึงบทสรุปค่ะ
ถึงแม้อาจจะต้องดราม่า (มั้ยนะ?

ออฟไลน์ MimoreQ

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 118
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สนุกค่ะ รอติดตามต่อนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากให้หมอนัดตรวจศรบ้าง อยากรู้เรื่องราวในมุมของศรแล้ว เพราะตอนนี้เดาความคิดศรไม่ออก  :ling1:
ตอนนี้หลงรักโอมอินไปเรียบร้อยแล้ว นางน่าร๊ากกกกกก
รออ่านต่อนะคะ จะดราม่าไหมเนี่ย :ling1:

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter


อ่านช่วงแรกๆ แล้วหมั่นไส้คนอวดเมียหลงเมียรักเมีย2017 มาก
คำก็เมียสองคำก็เมีย เอาโทรโข่งมาประกาศให้ชาวโลกรู้ได้คงทำไปแล้ว
อยากหยิกกกกกกก 5555555555555555

แต่พอช่วงท้ายเรื่องนี้คือแบบ เอ้าาาาาาาาา
วงวารคนหลงเมีย2017 ขึ้นมาตงิด ;w;;;
อยากรู้ว่าคุณอาพ่อของน้องเพชรเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไง
เราได้กลิ่นมาม่าโชยมาเบาๆ ดูทรงแล้วจะเป็นต้มยำกุ้งแน่ๆ หิวววว

รอตอนหน้านะคะ


ปล.ธรรมศรเซ็กซี่มากเว่อ ชอบความเริ่มก่อน ชอบความร้อนฉ่า ฮือออ เผ็ชชชชช :hao5:



ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 3

---OMIN---












ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะทำให้ไอ้ศรหึงได้


ไม่ใช่เพราะมันไม่ขี้หึง แต่เพราะตัวผมเองที่ไม่เคยไม่ชัดเจน…


เคยคิดอยู่หลายครั้งว่าจะแกล้งยั่วให้มันหึงบ้าง แต่เพราะผมไม่ใช่คนแบบมันที่พื้นเดิมเป็นคนอัธยาศัยดีอยู่แล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ใครใกล้ชิดนอกจากเพื่อนสนิท เพราะฉะนั้น ถ้าผมเผลอ ‘เล่น’ กับใครสักคนขึ้นมา อาจจะกลายเป็นการให้ความหวัง สุดท้ายก็คงไม่แคล้วสลัดให้หลุดยากกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้ชีวิตคู่ของผมได้ ปล่อยให้ผมหึงมันอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้ว


แต่ไม่ใช่ให้กูหึงทุกชั่วโมงแบบนี้โว้ยยยยยย!!


ข้อความไลน์ล่าสุดจากไอ้ศรทำผมหัวร้อน (อีกแล้ว) ไอ้คุณชายมันบอกว่าเย็นนี้พี่รหัสมันนัดเลี้ยงสาย และยังหวังดีบอกให้ผมไม่ต้องรอกินข้าวเย็นด้วย


ที่ผมหัวร้อนไม่ใช่เพราะมันจะทิ้งให้ผมเหงาหงอยกับมื้อเย็นอีกวัน แต่เพราะไอ้พี่รหัสตัวดีของมันเนี่ยแหละครับ ไอ้หมอนั่นมันเป็นเกย์รับ แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นเกย์ตั้งแต่แรกแต่ผมก็มองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ


มันหวังเครมน้องรหัสตัวเอง ซึ่งก็คงเฝ้าของมันมาสามปีแล้ว


แต่โทษที กูรู้จักมันสามเดือนก็ได้แดกแล้วว่ะ







เรียนไปก็หงุดหงิดไป แต่ก็ยังนับว่ารู้เรื่องอยู่บ้าง ถ้าไม่ได้ไอ้เต๋าช่วยเตือนสติ ผมคงฟุบหลับหนีความคิดบ้า ๆ ตามไอ้โจไปแล้ว รายนั้นไม่ค่อยเรียนวิชาบรรยายแบบนี้หรอกครับ มันหลับหมดแหละ จบคาบเช้าพวกเราก็พักกลางวันกันใกล้ ๆ  มีเวลาไม่มากพอให้ถ่อไปถึงคณะวิศวะอย่างที่ใจอยากเพราะต้องรีบเข้าสตูดิโอ ชีวิตเด็กฟิล์มปีสามปลายเทอมสองก็จะมีงานล้นมือประมาณหนึ่ง แต่ไม่หนักเท่าแลปของไอ้ศรอยู่ดี


เบ็ดเสร็จผมออกจากคณะตอนหกโมงเย็น เลทจากตารางไปหนึ่งชั่วโมง ไอ้ศรส่งข้อความมาบอกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่าไปกินอาหารกับสายรหัสที่หลังมอและอาจจะไปต่อที่ร้านเหล้ากับรุ่นพี่เพราะวันนี้นัดเลี้ยงกันหลายสาย มนุษย์กว้างขวางอย่างมันเลยเลี่ยงไม่ได้ ผมตอบรับมันด้วยสติ้กเกอร์โง่ ๆ ตัวหนึ่งแทนการรับทราบแล้วปิดท้ายว่า ‘ห้ามเมา’


“ไปกินข้าวกันมึง” ไอ้เต๋าชวน ส่วนอีกสองคนหายหัวไปกับสาวตั้งแต่เลิกคลาส


“อือ เอาดิ” ผมตอบรับมันเนือย ๆ


“ไปไหนดี” มันไม่ได้ถามความเห็นของผมหรอกครับว่าอยากกินอะไร คำถามของมันแปลได้ว่า ‘ไอ้ศรไปร้านไหน’ ต่างหาก เพราะมันรู้จักผมดี มันเลยคิดว่าผมจะต้องไปนั่งกินร้านเดียวกันเพื่อเฝ้าแฟน ผมบอกชื่อร้านไปก่อนบอกให้มันขับไปส่งผมเอารถที่จอดไว้ที่คณะวิศวะก่อนเพราะไม่อยากให้มันวกกลับเข้ามาส่งอีก


พวกผมสี่คนพักอยู่คอนโดคนละที่แต่ก็ยังอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัย ไม่มีใครคิดจะอยู่ตึกเดียวกันทั้งที่สนิทกันมาก พวกมันต้องการความเป็นส่วนตัวในการเหลวไหล จะหิ้วสาวเข้าห้องก็ไม่ต้องระแวงว่าจะเจอสายตาเพื่อนให้สูญเสียความมั่นใจ อันนี้ความเห็นของไอ้โจ


“ไหนมันวะ” ไอ้เต๋าถามขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน ท่าทางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังทำให้ผมขำ


“มันอยู่หลังมอโน้น”


“อ้าว” ไอ้เต๋าหน้าเหวอ เพราะผมพามันมาร้านข้างมอ


“วันนี้มาแปลก ไม่ตามเหรอวะ”


“เบื่อ”


“เบื่อเมีย?”


“เบื่อมึงเนี่ย เสือกจังเลย”


“อ้าวไอ้ห่า”


เบื่อครับ เบื่อจริง ๆ คดีเก่าแม่งยังไม่เคลียร์เลย มันยังขยันสร้างคดีใหม่อีก แต่ผมไม่ได้เบื่อมันนะ หลงมันขนาดนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปเบื่อ ผมก็แค่อยากเว้นระยะห่างบ้าง อย่างน้อยช่วงกินข้าวก็ปล่อยให้มันได้มีอิสระกับสายรหัสเพราะอย่างไรเสียก็อยู่กันหลายคน ไว้มันไปกับพี่รหัสมันสองต่อสองเมื่อไหร่ ผมตามไปแน่ไม่ต้องห่วง


“แล้วคืนนี้จะไปไหม” ไอ้เต๋าถามหลังจากที่เราสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว


“ยังไม่ได้คิด”


“ยังต้องคิดอีกเหรอมึงอ่ะ”







ก็จริงของไอ้เต๋า


ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะพบว่าตัวเองมาอยู่ในร้านเหล้าในวันที่ไอ้ศรมากับคนอื่นได้


วันนี้มันมาร้านเหล้าจริง ๆ ครับ ไม่ใช่ผับไม่ใช่บาร์ เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียว ๆ กับกับแกล้มเบา ๆ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นสนามมวยของเด็กเกษตรฯกับวิศวะซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกแม่งจะมีเรื่องบาดหมางอะไรกันนักหนา ได้แต่หวังว่าวันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคนของผม


ความจริงมาที่แบบนี้ก็ดีไปอย่างตรงที่ไม่ค่อยมีผู้หญิง ส่วนใหญ่ก็พวกผู้ชายมาดูบอลกันมากกว่า ผมเลยไม่ค่อยห่วงว่ามันจะมาทำกรุ้มกริ่มใส่ผู้หญิงคนไหน


ไอ้ศรกับรุ่นพี่มันนั่งอยู่ในร้าน ผมเลยนั่งนอกร้านในส่วนของโอเพ่นแอร์ที่ไม่มีแม้แต่หลังคากั้น ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมไลน์ไปถามว่ามันอยู่ร้านไหน มันเองก็น่ารัก ยอมบอกผมตามตรงไม่มีอิดออด


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเบียร์ผมหมดไปสองขวด ผมมองไปที่กลุ่มมันบ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ถ้าหันไปแล้วเห็นว่าคุยกับพี่รหัสมันอยู่ผมจะทักไลน์ไปชวนมันคุย แฟนผมมันก็น่ารัก รู้ว่าถูกกูแกล้งแต่ก็ยังตอบกลับมาไม่มีละเลย แม้บางครั้งจะส่งแค่สติ้กเกอร์โมโหมาให้ก็ตามที แต่ผมเห็น หน้ามันไม่ได้โมโหตามสติ้กเกอร์เลยสักนิด


ในโต๊ะนั้นมีแต่คนที่ผมไม่รู้จัก เดาเอาว่าน่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนพี่รหัสมันและเพื่อนรุ่นมันในสายกลุ่มนั้น พี่รหัสไอ้ศรชื่อนิก เป็นผู้ชายผอมบางผิวขาวจนเกือบซีด ตัวเล็กพอกันกับไอ้ฟา แต่หน้าสวยผิวสวย ไม่ได้หน้าสวยแบบผู้หญิง แต่โครงหน้าสวยกว่าชายวัยกลัดมันทั่วไป ตั้งแต่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ไอ้รุ่นพี่นั่นก็ยังไม่ขยับออกห่างจากคนของผมเลยสักนิด คุยจ้ออยู่แต่กับมันเหมือนว่าทั้งโต๊ะนั้นไม่รู้จักใคร อยากจะลุกเดินเข้าไปแทรกกลางอย่างเสียมารยาทแต่ก็รู้ว่าขอบเขตตัวเองทำได้แค่ไหน ไอ้ศรไม่เคยห้ามที่ผมตามหึงหวง ตามเฝ้ามันในทุก ๆ ที่ มันรับรู้แต่ก็คงไม่ชอบให้ผมเข้าไปก้าวก่าย ผมเองก็ไม่อยากทำถึงขั้นนั้น กลัวมันจะรำคาญ ไม่อยากทะเลาะด้วย ทะเลาะแล้วไม่มีความสุข ไม่สนุกเลยสักนิด


จะว่าไปคดีเก่าก็ยังไม่เคลียร์เลยนี่หว่า


คิดได้ผมก็ทักไอ้เต๋าไปทันที ไอ้เหี้ยนี่มันหาข้อมูลเก่ง ครั้งก่อนที่ผมจะจีบไอ้ศรก็ได้มันเนี่ยแหละช่วยสืบเรื่องศรมาให้ รอไม่นานมันก็ตอบกลับมา นั่นหมายความว่ามันใกล้จะเข้านอนแล้ว เพราะปกติไอ้เต๋าเป็นคนไม่ติดโทรศัพท์ ถ้ากลับเข้าคอนโดแล้วมันจะปล่อยทิ้งขว้างแล้วจะเช็คทุกอย่างแค่ช่วงก่อนนอนเท่านั้น


OMIN : มีเรื่องให้ช่วยสืบ
คิวบ์คิวบ์ : ว่ามาครับเพื่อน


ไม่เข้าใจว่าเมื่อไหร่มันจะเลิกใช้ชื่อไลน์ปัญญาอ่อนแบ๊วเวอร์แบบนั้นทั้งที่ขัดกับหน้าตาและบุคลิกของมันมาก แต่พอมันอ้างว่า คิวบ์ก็แปลว่าลูกเต๋าซึ่งเป็นชื่อของมันได้ พวกผมเลยปล่อยเลยตามเลย เอาที่คุณมึงคิดว่าคูลเลยครับเพื่อน


OMIN : สืบให้หน่อยว่าพ่อของน้องเพชร วิดวะ BM เป็นใคร


BM เป็นตัวย่อของ biomedical ที่คนในมหา’ลัยผมรู้กันครับว่าหมายถึงวิศวะฯชีวการแพทย์ หรือบางทีก็จะเรียกกันว่าไบโอเมด


คิวบ์คิวบ์ : เห้ยยยยยย
คิวบ์คิวบ์ : อะไรของมึงเนี่ย เขาเป็นใครวะ
OMIN : เป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้ศร
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว แล้วเกี่ยวไรกับพ่อเขาวะ
OMIN : เหอะหน่า กูอยากรู้ว่าพ่อน้องเขาเป็นใคร ระดับความสัมพันธ์กับไอ้ศรเป็นยังไง
คิวบ์คิวบ์ : ก็เป็นอามันไงครับเพื่อน
OMIN : อันนี้กูรู้แล้วไอ้สัด
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว นี่กูเริ่มงงมึงแล้วนะเนี่ย
OMIN : ไม่ต้องสนใจหรอก มึงสืบให้กูหน่อยก็แล้วกัน
คิวบ์คิวบ์ : ให้กูสืบทั้งที่ยังงงแบบนี้ กูคิดค่าข่าวแพงนะเว้ย
OMIN : อย่าเคี่ยวไอ้สัด อยากแดกไรกูเคยปฏิเสธเหรอ
คิวบ์คิวบ์ : หึหึ รอรับข่าวได้เลย


เรื่องเสือกแต่เก็บเป็นความลับได้นี่ไว้ใจไอ้เต๋าได้ครับ ส่วนไอ้พีทกับไอ้โจนี่ไม่รอด ไม่ใช่ว่าพวกมันปากสว่างหรอกครับ แต่พวกแม่งชอบแกล้งผม พวกมันจะสนุกถ้าได้เปิดเผยความลับของผม


ผ่านไปอีกเกือบสองชั่วโมง ไอ้ศรลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมเดาว่ามันน่าจะเริ่มเมา เพราะถ้ามันเมาเมื่อไหร่ แค่มันฉี่ออก มันก็จะสร่างเร็ว แต่ถ้าเมาแล้ว อาการมันค่อนข้างน่าเป็นห่วง ผมรู้ ผมเคยเจอมาแล้ว และสาบานได้เลยว่าผมจะไม่มีทางปล่อยให้มันเมาอีกเด็ดขาดถ้าตรงนั้นไม่มีผมอยู่ด้วย


“เฮ้ย! อะไรวะ?!!”


เพราะตรงนั้นไม่มีไอ้ศรผมจึงละสายตากลับมาอยู่กับสังคมออนไลน์จนกระทั่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ดังออกมาถึงโซนด้านนอก พอหันไปมองชัด ๆ จึงเห็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดกำลังเกิดขึ้น


ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ไอ้ศรยืนอยู่กลางวงกำลังต่อยตีกับใครสักคนที่ผมจำได้ว่าเป็นเด็กคณะเกษตรฯ


บนพื้นมีเศษแก้วแตก ผมไม่มีเวลาดูให้แน่ชัดว่าเป็นแก้วหรือขวดเบียร์ ได้แต่ภาวนาไม่ให้ไอ้ศรสังเวยเลือดให้กับมันก่อนที่ผมจะมาถึง ผมเข้าไปแยกคนที่กำลังสู้อยู่กับไอ้ศร เสียงคนโวยวายทั้งตกใจและร้องเชียร์ดังขึ้นลั่นจนคาดว่าอีกไม่นานเจ้าของร้านคงเข้ามาแยกพวกเราออกจากกัน


“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”ผมคว้าแขนไอ้ศรเพื่อให้มันทรงตัวได้หลังจากเหวี่ยงไอ้เหี้ยนั่นออกไปได้แล้ว


“ไม่เป็นไร”


ไม่เป็นไรก็เหี้ยละ! บนหน้ามึงมีเลือดออกขนาดนี้บอกไม่เป็นไร!


ผมไม่ทันสำรวจว่าเลือดที่เห็นมันไหลออกจากแผลส่วนไหนบนหน้ามัน เพราะผมโกรธจนอยากจะอัดไอ้คนที่ทำให้ตายคาตีนไปเลย


อั่ก อั่ก อั่ก


ผมรัวหมัดใส่คนที่เข้ามาหมายจะทำร้ายเรา นาทีนั้นกูไม่สนแล้วว่าใครเป็นใคร หมัดทุกหมัดถูกปล่อยออกไปเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่ต้องมีใครสักคนมารองรับ เสียงห้ามดังมาจากไอ้ศรเป็นระยะแต่ผมก็ไม่สนใจ ใครหน้าไหนเสล่อเข้ามาใกล้ตอนนี้กูต่อยหมดไม่ยั้ง


ปรี๊ดดดดดดดด


เสียงนกหวีดดังขึ้นเพื่อหยุดทุกการเคลื่อนไหว ผมหอบเหนื่อยแต่ยังไม่หายโกรธ ไอ้ศรเข้ามาพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม หมดแรงน่ะก็ใช่แต่หลัก ๆ แล้วเมานิดหน่อยด้วย


ความบาดหมางคืนนี้จบลงที่คนสองกลุ่มชดใช้ค่าเสียหายกันฝ่ายละครึ่งก่อนแยกย้ายแต่หลังจากนี้จะจบจริงหรือเปล่าไม่มีใครรู้ เพราะการกลับมาเอาคืนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


“ศรเป็นไงบ้าง?” พี่รหัสไอ้ศรเดินเข้ามาเกาะแขนตรวจมองดูร่างกายแฟนผมด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าสวยเกินชายนั่นแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ


“ไปโรง’บาลนะ เดี๋ยวพี่พาไป”


“ไม่ต้อง!” ผมพูดเสียงเข้ม ตวัดตามองเขม็งให้รู้ชัดไปเลยว่ากูไม่พอใจ “แฟนผม ผมดูแลเอง” เน้นสถานะด้วยมันจะได้รู้ตัวว่าไม่ควรก้าวก่ายไปมากกว่านี้


“แต่..”


“ผมไม่เป็นไรครับพี่ พี่นิกจะกลับยังไง ให้ผมกับโอมไปส่งไหม” ถ้าไอ้ศรไม่ขัดขึ้นมาก่อนผมก็คงจะทำอะไรที่เสียมารยาทมากกว่านี้ไปแล้ว


ไอ้พี่นิกเหลือบมองผมกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนบอกปฏิเสธความหวังดีของไอ้ศร คนกลางอย่างมันปรายตามองผมแล้วรับคำอีกฝ่ายแต่โดยดี ไม่เซ้าซี้ให้ผมยิ่งหงุดหงิดใจ







ห้องไอ้คุณชายมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นครบครัน ไม่มีอะไรที่ใกล้หมดเพราะมันซื้อมาเติมตลอดเหมือนกับว่าการต่อยตีเป็นเรื่องปกติ ผมนั่งทำแผลให้มันที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าได้รูปไร้ที่ติมีรอยบากเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตำแหน่งตรงหางคิ้วข้างขวา สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากเศษแก้วที่กระเด็นมาโดนในจังหวะไหนสักช่วงหนึ่ง ผมไม่ได้ถามมัน เราต่างคนต่างเงียบ ห้องเงียบจนแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศสักนิดก็ไม่มี


“ไหนบอกว่ามีประชุมงาน กลับดึก จะกลับไปนอนที่ห้องไง” คนเจ็บเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน


“ถ้าประชุมจะไปช่วยมึงทันเหรอ” ผมแปะผ้าก๊อซปิดแผลมันไว้ ตลอดเวลาที่ทำแผลให้มันไม่ร้องสักนิด นั่งหน้านิ่งอยู่ตลอด


“โดดประชุมหรือไม่มีนัดตั้งแต่แรก”


“เป็นการชวนคุยที่เหี้ยมากเลยรู้ตัวไหม”


คราวนี้ไอ้ศรเงียบอีกครั้ง ผมทำแผลให้มันเสร็จแล้วแต่มันก็ยังนั่งนิ่งไม่ลุกไปไหน


“พวกวิดวะไม่หาเรื่องเจ็บตัวกันเป็นไหมวะ”


“นี่เป็นเคล็ดลับหุ่นดีของกูเลยนะเว้ย กล้ามขึ้นเร็วกว่ายกเวทอีก” ไอ้ตัวดียังมีหน้าพูดติดตลกแล้วยังเบ่งกล้ามให้ดูอีก แต่ผมไม่ขำด้วย ถ้าวันนี้ผมไม่ตามไปคิดว่ามันจะรอดเหรอ พวกนั้นเถื่อนกว่าวิศวะสาขาคุณชายอย่างมันเยอะ


“ครั้งหน้าอาจจะได้แผลก่อนได้กล้าม”


“มึงจะบ่นทำไมวะ กูเจ็บ มึงไม่ได้เจ็บ”


“กูก็เจ็บ”


“เจ็บตรงไหน อย่ามาเล่นมุขเจ็บที่ใจนะเว้ย กูไม่อิน”


แม่ง


“เออ กูเจ็บมากขึ้นตอนที่มึงบอกว่าไม่อินเนี่ยแหละ”


ผมปิดกล่องยาแล้วเดินออกมา แต่แรงสั่นครืดของโทรศัพท์ไอ้ศรที่วางไว้บนโต๊ะทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยความหงุดหงิดใจว่าใครโทร.มารบกวนตอนดึกดื่นแบบนี้ แต่พอเห็นเจ้าของเครื่องมองหน้าจอด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะกดปิดการสั่นแล้วคว่ำหน้าจอลงกับโต๊ะ ผมก็ต้องถอนหายใจออกมายาว ๆ


“ไม่รับหน่อยวะ นั่นพ่อนะเว้ย” เตือนหน่อย เผื่อมันลืม


“ไม่ต้องรับก็รู้ว่าโทร.มาทำไม”


ครับ ผมก็รู้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อมันโทร.มาทันทีที่ไอ้ศรมีเรื่องทำนองนี้ มันเคยกดรับครั้งหนึ่งเพราะผมบังคับ วันนั้นมันหงุดหงิดอารมณ์เสียจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด หลังจากวันนั้นมันก็ไม่เคยรับสายพ่อมันอีกเลย ผมไม่รู้ว่ามันกับพ่อมีปัญหาอะไรกัน สายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวจะแน่นแฟ้นหรือกลวงโบ๋วขนาดไหน ผมไม่รู้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง


“มึงใช้ชีวิตมายังไงถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นห่วงวะ”


ศรมองหน้าผมนิ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่สนใจ กายที่สูงใกล้เคียงกันลุกขึ้นยืนมองหน้าผมนิ่ง แววตามันว่างเปล่า นี่แทบจะเป็นครั้งแรกเลยที่ผมอ่านมันไม่ออก


“ก็เพิ่งมาเข้าใจตอนได้รู้จักมึงเนี่ยแหละ”


หมายความว่าไง?


ไม่ทันได้เอ่ยถามให้หายข้องใจ อีกฝ่ายก็เดินเข้าห้องนอนไปเสียก่อน ผมถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง ไอ้ศรเป็นคนดื้อ แล้วก็ชอบพูดจากำกวม เหมือนจะเคลียร์ชัดแต่ก็ไม่





ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดสนิท ผมยิ้มบาง เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวของตัวเองมาถือไว้ ถอดเสื้อผ้าออกลวก ๆ จนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้วเดินตามอีกคนเข้าไปในห้องน้ำด้วย


เป็นแบบนี้เสียทุกครั้งที่เรากลับมาดึก เพราะต้องการประหยัดเวลาและรีบพักผ่อน เรามักจะอาบน้ำพร้อมกัน มันอาบในอ่าง ส่วนผมอาบตรงฝักบัว แต่บางครั้งก็มักจะมากกว่าแค่อาบน้ำ


เจ้าของห้องนอนในอ่างที่มีฟองสบู่ลอยอยู่เต็มจนปิดซ่อนหุ่นที่ผมหลงใหลเสียเกือบมิด มีเพียงศีรษะที่พิงขอบอ่างไว้และลาดไหล่กว้างเท่านั้นที่โผล่พ้นขึ้นมา


“อาบน้ำอย่างเดียวนะมึง” ศรพูดทั้งที่ยังหลับตานิ่ง


“ไม่อยากทำแบบเมื่อเช้าอีกเหรอวะ”


“กูยังปวดตัวอยู่เลยสัด”


ผมหัวเราะในลำคอ “ครั้งนี้กูทำให้ มึงแค่นอนเฉย ๆ สลับกันไง” เห็นไหมว่าผมเป็นคนมีน้ำใจขนาดไหน ไม่เคยคิดเอาเปรียบหรอก เมื่อเช้ามันทำให้แล้ว ตกเย็นผมก็ต้องทำให้มันบ้าง แฟร์ดี


“ฟวย!”


นับวันจะยิ่งโรคจิต โดนมันด่าแต่กลับหัวเราะได้เต็มเสียง ยิ่งเห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบนั่นบูดเบี้ยวก็ยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น


ผมพาดผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวใกล้กับของศรก่อนจะเดินไปหยิบเก้าอี้เตี้ยสำหรับทำความสะอาดตรงมุมห้องแล้วไปนั่งลงตรงด้านศีรษะของคนรัก


“หืม?” ไอ้ศรลืมตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าผมวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ มันคงระแวงว่าผมจะทำในสิ่งที่มันห้าม


“กูจะสระผมให้ มึงมีแผลที่หน้า สระเองคงไม่ถนัด”


“ลำบากมึงเปล่า ๆ กูดูแลตัวเองได้หน่า”


“ดูแลเมียนี่ลำบากตรงไหน”


ไอ้ศรจิ๊ปากขัดใจ “แล้วแต่มึงเลยครับ”


ผมยิ้มพอใจ ไม่ได้พอใจที่มันยอมให้ทำนะครับ แต่พอใจที่ได้ขัดใจมันนี่แหละ ไอ้คุณชายมันเป็นโรคไม่ชอบพึ่งพาใคร มันคิดว่ามันเก่ง ทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ผมเลยต้องสั่งสอนให้รู้ว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ควรพึ่งพาผมบ้าง โดยเฉพาะเรื่องสำเร็จความใคร่


หมกมุ่นเกินไปแล้วกูเนี่ย!


ผมคว้าเอาฝักบัวอันเล็กที่วางไว้คู่กับอ่างอาบน้ำมาถือไว้ เปิดน้ำปรับระดับความเย็นร้อนทดสอบกับมือตัวเองให้พออุ่นแล้วค่อยรดลงไปบนเส้นผมของศร ไม่อยากใช้น้ำเย็นสระผมเพราะดึกแล้ว ไอ้คุณชายกระหม่อมบางจะไม่สบายเอาได้ น้ำร้อนไปก็ไม่ดี อุ่น ๆ แบบนี้กำลังสบายเลย แม่ผมเคยทำให้ตอนเด็ก ๆ


“ทำไมต้องพาตัวเองเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวด้วยวะ”


ผมเริ่มบีบยาสระผมลงบนมือ ถูไปมาเล็กน้อยก่อนชโลมลงบนเส้นผมเปียกชุ่มของศร ผมของมันดำสนิทจนขับผิวขาวสุขภาพดีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ต่างจากของผมที่เพิ่งไปโกรกเป็นสีน้ำตาลเข้มเมื่อต้นเทอมที่ผ่านมา


“ก็มันมาลวนลามพี่นิก” ศรยังคงหลับตาพริ้ม รอยหลุกหลิกของลูกแก้วกลมใต้เปลือกตาและรอยย่นหว่างคิ้วบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้ดี ผมเริ่มนวดคลึงไปตามหนังศีรษะและเส้นผมอย่างเบามือ


“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะไปต่อยตีกับเขา”


“นั่นพี่รหัสกูนะเว้ย”


ผมเงียบ ทุกการกระทำของผมหยุดชะงักไปพร้อมกับเสียงพูด


ไอ้ศรลืมตาขึ้นมอง แต่มันคงเห็นแค่ปลายคางของผมเท่านั้น


“อะไร? หึงเหรอวะ?”


“มึงมีความสุขมากรึไงวะที่เห็นกูหึง” ไม่ได้หึงที่มันช่วยพี่รหัสมันหรอกครับ ผมไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดนั้น แต่หึงตอนที่มันคุยกระหนุงกระหนิงกับอีกฝ่ายมากกว่า รู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ไม่ชอบให้ทำแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายจะคิดว่ามันให้ความหวังเอาได้


“เออ”


ตอบมาได้…


“โรคจิตรึไงวะ”


ไอ้ศรยื่นมือมาจับหน้าผมให้ก้มลงไปสบตาด้วย ใบหน้าหล่อไร้ที่ติมีรอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์อย่างไม่น่าไว้ใจ “เวลามึงหึงมันน่ารักดี”


แม่งงงงงง!!


ป๊อก!


“โอ๊ย!!”


ไอ้ศรร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมดีดหน้าผากไปหนึ่งที เจ็บจนเผลอจะยกมือที่เลอะโฟมไปลูบแต่ผมยั้งมือมันไว้ได้ทันเสียก่อน “เดี๋ยวก็โดนแผลหรอก”


“มึงแม่งชอบทำร้ายกูตลอด” มันบ่นงึมงำแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ผมล้างมือข้างหนึ่งแล้วเช็ดให้แห้งก่อนลูบวนบนหน้าผากให้มันเบา ๆ เพื่อลดอาการปวด ไอ้นี่มันผิวบางเป็นคุณชายมากจริง ๆ แตะนิดแตะหน่อยก็แดงเป็นปื้น น่าหมั่นไส้จริง ๆ เมียกู


ลูบไปยังไม่ทันหายแดงไอ้คุณชายมันก็หลับตาพริ้มอีกครั้ง คราวนี้ดูสบายกว่าเดิมเสียอีก “ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิวะ”


“สบายใหญ่ละนะมึงเนี่ย”


“หน่า นะ” อ้อนครับ มันอ้อนโผมมม


“ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะมึง ทำผิดอะไรไว้กูยังไม่คิดบัญชีเลย”


“ร้องหน่อยดิว้า กูอยากฟัง”


“ไม่!”


“เสียงมึงหวาน กูชอบ”


“...”


“นะโอม”


“เอาเพลงอะไร” เหี้ยเอ๊ย! ไม่น่าเกิดมาแพ้ทางเมียเลยครับ


ไอ้ศรคลี่ยิ้มบางอย่างพอใจ ไอ้นี่มันฉลาด มันรู้ว่าจะทำยังไงให้ผมยอมมันได้ แค่มันเรียกชื่อผมด้วยโทนเสียงนุ่มกว่าปกติผมก็ไปไหนไม่รอดแล้วครับ “เพลงอะไรก็ได้ มึงร้องเพราะหมดแหละ”


เข้าใจหลอกกูนะมึง!


ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าผมร้องเพลงเพราะ เพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกันมันก็ไม่รู้เพราะผมไม่เคยร้องให้ใครได้ยิน แต่ไอ้ศรมันรู้เพราะได้ยินผมร้องตอนที่เก็บของใช้ส่วนตัวบางส่วนในห้องตัวเองเพื่อนย้ายมาไว้ห้องนี้


ผมเริ่มวอร์มเสียงด้วยการฮัมทำนองเพลง




พี่รักเจ้ายิ่งกว่าปลารักน้ำ
กินนรรักถ้ำ ไม่ล้ำ พี่รักเจ้า
กุญชรหวงงา มฤคาหวงเขา
ยังไม่เท่าพี่หวงนงเยาว์
พี่หวงเจ้ากว่าดวงฤทัย





เพลงโปรดที่ผมร้องบ่อยจนไอ้ศรเคยชินมากพอที่จะฮัมเสียงคลอตามได้



กระต่ายพะวงหลงจันทร์ถึงมัวเมา
พี่หลงเจ้ามัวเมากว่านั้นนะชื่นใจ
พี่นี้ แสนรักใคร่รักเจ้ายิ่งสิ่งใด
ปองฤทัยใฝ่หา




ผมไม่ได้ร้องเต็มเสียง มันทั้งเบาและนุ่มคลอไปตามอารมณ์ไอ้คุณชาย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างมีความสุขผมก็ยิ่งยิ้มตามไปด้วย


แม้พี่ขาดเจ้าเท่ากับพี่นี้ขาดใจ
สูญสิ้นอาลัยสิ้นใจเพราะขวัญตา
อยู่ไปไร้ในคุณค่า
ใจปองน้องนางร้างรา
คงตรมน้ำตาร่ำไป




พี่รักเจ้ายิ่งกว่าคำรักนี้
ยุพารักพี่ ครึ่งนี้ได้หรือไม่
จงปลงน้ำคำโน้มนำดวงฤทัย
พี่เพียงให้น้องนางรักใคร่ได้
แม้ครึ่งพี่เอย...




ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ จรดจุมพิตแนบแน่นและเนิบช้าบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา ไอ้ศรลืมตาขึ้นมองแต่ไม่ได้หลบเลี่ยงหรือส่งเสียงปฏิเสธ ผมจึงเลื่อนลงไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ปลายจมูกโด่งคือเป้าหมายต่อไปของผม แล้วสัมผัสอ่อนโยนก็สิ้นสุดลงที่กลีบเนื้อหยุ่นแดงสด นานกว่าตำแหน่งอื่น ก่อนที่ผมจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง


“ไม่ต้องมาบิ้วเลยนะมึง”


“ไม่ได้ผลเหรอวะ”


“ไม่เว้ย! กูง่วง!!”


ผมหัวเราะลั่นก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่สองออกมาอย่างอารมณ์ดี


จากที่เคยคิดว่าอาบน้ำพร้อมกันแล้วจะได้เข้านอนเร็ว กลายเป็นว่าดึกกว่าเดิมแบบที่ระบุเวลาชัดเจนไม่ได้ เผลอ ๆ ไอ้ศรอาจจะหลับคาอ่างอาบน้ำไปเลยก็ได้


ก็ดีนะ ไม่ได้กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันแต่ได้อาบน้ำด้วยกันก็ถือว่าพอหยวนกันได้


อย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างละวะ














พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 4
(ครั้งสุดท้ายของโอมอินในรอบนี้ก่อนจะนัดตรวจธรรมศรบ้าง)
---------------------------------------------------------------------------
อย่ากลัวม่า ไม่ม่าาาาา บอกแล้วว่าใสๆวัยรุ่นรักกันค่ะ
เพลงที่โอมอินร้องคือเพลงพี่รักเจ้า ถ้าใครจะตามไปหาฟัง แนะนำเวอร์พี่โจ้ วงพอสนะคะ

#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
โอมขี้หึงมากก แพ้ทางเมียมากด้วยย
ปล.ขอให้ไม่ดราม่าจริงๆ นะคะ ฮือ

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 o13 ชอบมากกกค่ะ... โอมขี้หึงแบบน่าหยิกสุดๆ...  :hao3: ตามค่ะ....
FYI:
แต่แบบว่าอ่านแล้วกลัวคนแต่งเทมาม่ากะละมังใหญ่ใส่หน้ามากกกก....  :mew5:

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ไม่ม่าก็ไม่ม่า เราจะเชื่อคนเขียน คนเขียนจะไม่หลอกเราเนอะ555555555
โอมอินหลงเมียมาก ไม่อยากคิดเลยถ้าศรเป็นอะไรไป สติหลุดแน่ๆ

ออฟไลน์ JellyKei

  • ✧٩(の❛ᴗ❛ の)۶
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอมอินเกิดมาเพื่อยอมเมียจริงๆ :hao7:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แง๊ๆๆๆ เพลงหวานมากกกก ตอกย้ำความหวงความหลงเมียขั้นสุดของโอมอิน เอ็นดูนางงงงงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอมอินนี่ทั้งรักทั้งหลงเมีย  :mew1:

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4



Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 4
---OMIN---











เพียง คำเดียว ที่ปรารถนา
อยากฟัง ให้ชื่นอุรา
ใจพะว้า ภวังค์
นาน เท่านาน พี่คอยจะฟัง
คำนี้ คำเดียวที่หวัง
อยากฟังจากปากดวงใจ





กลายเป็นกฎปฏิบัติไปแล้วที่ผมต้องกลับบ้านทุกวันเสาร์นับตั้งแต่ที่ย้ายตัวเองออกไปอยู่คอนโดตอนปีหนึ่ง ส่วนเอมอรจะกลับมาตั้งแต่วันศุกร์แล้ว และทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมก็มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงสุนทราภรณ์ในห้องครัวอยู่เสมอ และเพลงนี้ก็นับว่าเป็นเพลงโปรดของแม่ผมเสียด้วย เพียงแต่วันนี้เสียงร้องเปลี่ยนไป…


หวาน และใสกว่าเดิม


“คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง
พี่รัก พี่แหน พี่หวง
เพียงดั่งดวงฤทัย…”



“อ้าว พ่อลูกชาย มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”


ผมยิ้มรับคำทักทายของแม่ จากที่เอนตัวพิงขอบประตูครัวแอบดูสองสาวต่างวัยวุ่นอยู่กับการทำขนมก็กลับมายืนตัวตรงกระพุ่มมือไหว้แม่งาม ๆ “สักพักแล้วครับ”


“สวัสดีค่ะพี่โอม” เจ้าของเสียงที่ทั้งหวานและใสเมื่อครู่เอ่ยทัก เธอไม่ได้ยกมือไหว้อย่างทุกทีเพราะกำลังติดพันอยู่กับการนวดแป้งตรงหน้า ผมตอบรับคำทักทายยิ้ม ๆ เธอเป็นเพื่อนของอิม น้องสาวอีกคนของผม เด็กสาวคนนี้ชื่อรดา สวยหวานสมชื่อทั้งหน้าตาผิวพรรณและมารยาท


“ไม่ยักรู้ว่าน้องรดาร้องเพลงแบบนี้เป็นด้วย ร้องต่อสิครับ พี่กำลังเพลินเลย” เธอมาที่บ้านหลังนี้บ่อยจนเราคุ้นเคยกันดีมากพอที่ผมจะพูดคุยอย่างสนิทสนมด้วยได้


รดายิ้มเอียงอาย “รดาก็ร้องเป็นแค่เพลงนี้แหละค่ะ คุณแม่ท่านเปิดบ่อย บอกว่าคุณพ่อร้องเพลงนี้จีบสมัยสาว ๆ”


ผมมองไปที่แม่ตัวเองแล้วยิ้มเย้า “เหมือนแม่เลยนะครับ” แม่ผมชอบเพลงนี้ก็เพราะพ่อร้องจีบเหมือนกัน ช่วงที่พ่อผมยังมีชีวิตอยู่ท่านยังร้องเพลงนี้ให้ฟังอยู่ทุกวี่วัน จนท่านจากไปเมื่อห้าปีก่อนด้วยอุบัติเหตุ แม่ก็ร้องแต่เพลงนี้เหมือนเดิม


“เดี๋ยวเถอะลูกคนนี้ ไป ๆ ไปสอนหนังสือน้องได้แล้ว น้องทำการบ้านรออยู่หลังบ้านแหน่ะ รดาเองก็เหมือนกันลูก ไม่ต้องช่วยแม่แล้ว ออกไปพร้อมพี่เขานั่นแหละ”


“ค่ะคุณแม่”


กิจวัตรประจำวันเสาร์หรือเรียกได้ว่าทุกครั้งที่กลับบ้านมาคือสอนภาษาอังกฤษให้สองสาวที่ปีหน้าก็จะตามเข้าไปเรียนในรั้วมหา’ลัยเหมือนผมกับเอมแล้ว สองสาวเพื่อนซี๊คู่นี้สอบตรงเข้าคณะที่ต้องการได้แล้วครับ ทุกวันนี้เลยชิลกันมาก แม้ไม่ต้องไล่เรียนกวดวิชาแต่ก็ยังนัดกันมาอ่านหนังสือด้วยกันอยู่เสมอ บางวันไม่อ่านหนังสือก็เรียนทำขนมกับแม่ผม เห็นเก่งเรื่องขนมนมเนยแบบนี้แต่แม่ผมท่านเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ ดีหน่อยที่คนละสถาบันกับที่พวกผมเรียน ไม่อย่างนั้นคงเหมือนกับถูกคุมความประพฤติอยู่ตลอด ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าเอมนี่สิคงอยู่นิ่งไม่ได้แน่


“พี่โอม!” น้องสาวคนเล็กที่นับวันจะยิ่งตัวใหญ่ตัวโตเกินเจ้าเอมทิ้งหนังสือในมือวิ่งเข้ามากอดผมเสียแน่น


“แล้วพี่สาวเราไปไหน”


“สัปดาห์นี้พี่เอมไม่กลับบ้านค่ะ โทร.มาบอกแม่ว่าติดทำงานกลุ่ม” ผมพยักหน้ารับรู้ ช่วงใกล้สอบปลายภาคคณะผมจะมีงานจิปาถะเยอะเป็นพิเศษ ของผมเองก็เยอะ แต่โชคดีหน่อยที่ยังไม่รีบมากจึงกลับบ้านมาหาแม่กับน้องได้ ร่างสูงใหญ่ของผมเคลื่อนไปตามแรงดึงของน้องเข้าไปนั่งในศาลาไม้ รอบข้างศาลาร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด พ่อผมชอบปลูกต้นไม้ หลังพ่อจากไปก็ได้เจ้าเอมที่มือเย็นที่สุดช่วยดูแลต่อ


“ยัยรดารีบมาเร็ว” อิมกวักมือเรียกเพื่อนยิก ๆ ในมือเธอถือถาดของว่างกับเครื่องดื่มที่แม่ผมคงเตรียมให้มาด้วย ผมลุกเดินเข้าไปช่วยถือ


“น้ำมะตูมเย็น ๆ ค่ะพี่โอม คุณแม่บอกว่าพี่โอมชอบ รดาเลยลองทำดู” น้ำมะตูมสูตรแม่ผมนี่ต้องทำเองตั้งแต่ฝานมะตูมตากแห้งแล้วคั่วเองเลยนะครับ


“แหม ๆ เอาใจกันน่าดูเลยน้า” ผมส่งสายตาให้อิมรู้ว่าไม่พอใจ ขณะที่อีกฝ่ายที่โดนแซ็วกำลังก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย


ผมดื่มชิม รสชาติไม่ต่างจากที่แม่ผมทำนักแต่ไม่หอมเท่า ผมรู้ว่ารดามีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร เธอเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไวกว่าน้องสาวผมทั้งสองคนเป็นไหน ๆ เคยได้ยินแว่ว ๆ จากอิมว่าแม่ของรดาเคยอยู่ในรั้วในวัง เธอคงจะได้ทักษะพวกนี้จากบุพการีมาไม่น้อยทีเดียว


“เป็นไงคะ หวานชื่นใจไหม” ยัยน้องสาวตัวดีถามเสียงระรื่นแทนเพื่อนสนิทที่ยังหน้าแดงก่ำ รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่พอใจที่เจ้าตัวพยายามจับคู่ผมกับเพื่อนตัวเอง แต่อิมก็ยังทำ


ผมไม่ตอบน้อง แต่หันไปขอบคุณรดาแทน หลังจากนั้นเราจึงได้เริ่มบทเรียนกันก่อนที่ผมจะถูกชงให้เพื่อนของน้องสาวไปมากกว่านี้


สอนหนังสือให้สองสาวไปได้ไม่เท่าไหร่แม่ก็เรียกให้ไปทานอาหารกลางวันเสียแล้ว ผมปลีกตัวออกมาส่งข้อความหาศรโดยปล่อยให้สองสาวเก็บของกันตามลำพัง


OMIN : กินข้าวรึยัง


ปกติถ้ารอห้านาทีแล้วมันยังไม่ตอบ ผมจะโทร.ไปหาทันที แต่ก็แค่เฉพาะวันหยุดแบบนี้เท่านั้น ถ้าเป็นวันที่มีเรียนผมจะไม่จุกจิกมากเพราะบางทีมันอาจจะติดพันกับเรียนหรือแลปอยู่ก็ได้


ผมนั่งลงข้างแม่ มือยังกำโทรศัพท์ไม่วาง ฝั่งตรงข้ามเป็นสองสาว ซึ่งแน่นอนว่ายัยน้องสาวตัวดีต้องจัดแจงให้เพื่อนตัวเองนั่งตรงข้ามกับผม


ครืด ครืด


เสียงสั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความแชทเข้า ผมมองหน้าจอเห็นแค่ว่าศรส่งรูปมาให้ เปิดเข้าไปจึงรู้ว่าเป็นรูปมาม่าคัพมีฉากหลังเป็นหนังสักเรื่องที่บอกได้ดีว่าวันนี้เจ้าตัวคงไม่ได้ออกไปไหน


OMIN : หึ น่ารัก
OMIN : แต่กินอย่างอื่นบ้างดิวะ เดี๋ยวผมก็ร่วงหมดหัวกันพอดี
DharmaSORN : ของสดหมดแล้ว จะให้ทำอะไรกินละวะ
OMIN : หมดได้ไงวะ วันก่อนกูทำอาหารให้มึงยังพอมีของเหลืออยู่บ้างนี่หว่า
DharmaSORN : เมื่อเช้ากูพยายามทำแกงจืดตามที่มึงสอน แต่แดกไม่ได้
OMIN : *สติ้กเกอร์หัวเราะ


นี่มันคงจะหุงข้าวไม่สุกด้วยสินะ


OMIN : เดี๋ยวนะ มึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม


“กินข้าว อย่ามัวเล่นแต่โทรศัพท์” แม่ดุขึ้นก่อนที่ผมจะได้รับคำตอบจากไอ้ศร ผมอ้อมแอ้มขอโทษ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแต่ตายังเหลือบมองด้วยใจร้อนรน ครั้งก่อนที่สอนมันทำ น้ำร้อนแทบลวกมือมันไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ไม่มีกูอยู่ด้วย มันจะรอดไหม


“เป็นอะไร เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวขมวดคิ้ว”


“เปล่าครับ”


ครืด ครืด


DharmaSORN : สัด กูไม่ได้หน่อมแน้มขนาดนั้น


ผมยิ้มพอใจ กวนตีนมันปิดท้ายนิดหน่อยด้วยการส่งรูปอาหารมื้อกลางวันของผมไปยั่วน้ำลายมัน





“แล้วพรุ่งนี้จะเอาอะไรไหมโอม” แม่ถามขึ้นในตอนที่เริ่มทานผลไม้ปิดท้ายอาหารคาว


ผมยิ้ม ทุกครั้งที่กลับบ้านผมมักจะให้แม่ทำอาหารเพื่อเอากลับไปคอนโดด้วยเสมอ “น้ำพริกลงเรือเหมือนเดิมครับแม่”


แม่ยิ้มอย่างรู้ทัน “กับบวบงูลวกใช่ไหม? แฟนเราชอบมากรึไง โอมให้แม่ทำติดกันมาหลายอาทิตย์แล้วนะ พามาให้แม่เจอตัวบ้างสิ มาเรียนทำกับแม่ก็ได้ เดี๋ยวจะสอนสูตรลับให้”


ผมหลุดขำ อย่างไอ้คุณชายน่ะหรือจะเข้าครัว นั่งรอกินอย่างเดียวจะสบายคนสอนเสียมากกว่าอีก ผมเคยสอนมันทำอาหารง่าย ๆ ยังแทบไม่รอด เงอะงะจนน่ากลัวจะทำให้ตัวเองเป็นอันตรายเสียทุกครั้ง


“ให้มันรอกินอย่างเดียวเถอะครับ เกะกะแม่เปล่า ๆ” ผมพูดติดตลกแต่ถูกแม่มองดุ


“เรียกแฟนว่ามันได้ยังไง ไม่เหมาะไม่ควรเลยลูกคนนี้” ผมยิ้มแห้ง ลืมไปว่าแม่ไม่รู้ว่าแฟนผมเป็นผู้ชาย บังเอิญไปสบตากับอิมเข้า อีกฝ่ายทำหน้าไม่พอใจก่อนจะมองเมิน ขณะที่รดาก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบ ๆ ไม่แสดงอาการเหมือนเพื่อนตัวเอง




หลังจากช่วยเก็บล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว รดาก็ขอตัวกลับทันทีโดยมีคนขับรถที่บ้านมารับ ผมออกมานั่งรับลมตรงศาลาที่เดิมโดยไม่ลืมหยิบหนังสือติดมือออกมาด้วยหนึ่งเล่ม ผมชอบอ่านหนังสือมากพอ ๆ กับที่ชอบดูหนัง ผมอ่านหนังสือเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะหนังสือนิยายจากหลากหลายสัญชาติ หนังสือในแต่ละภาษามีสำนวนการเขียนที่แตกต่างกัน สำนวนการแปลจากภาษาเหล่านั้นเป็นภาษาไทยจึงแตกต่างกันด้วยอย่างเห็นได้ชัด และทุกอย่างที่ได้จากการอ่านล้วนเป็นต้นทุนในการคิดงานของผมทั้งนั้น


“พี่โอมนิสัยไม่ดี” เจ้าอิมมาถึงก็ต่อว่าพลางกระแทกก้นลงนั่งฝั่งตรงข้ามขัดจังหวะการอ่านหนังสือของผม


ผมวางหนังสือในมือแล้วมองหน้าน้องสาวนิ่ง อิมหน้าเสียเล็กน้อย คงเห็นว่าผมเริ่มหน้าดุแล้ว “อะไร?”


“ก็แล้วตัวเองทำอะไรล่ะ”


ผมถอนหายใจ “ใครกันแน่ที่นิสัยไม่ดี จับคู่ให้พี่กับเพื่อนเราน่ะมันถูกแล้วเหรอ”


“ก็แล้วผิดตรงไหน” ยัยน้องสาวคนเล็กหน้างอง้ำ


“อิมก็รู้ว่าพี่มีแฟนแล้ว”


“แฟนที่เป็นผู้ชายน่ะเหรอคะ ถ้าแม่รู้พี่คิดว่าแม่จะรับได้เหรอ อิมผิดรึไงที่อยากให้พี่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง อิมผิดเหรอที่อยากปกป้องพี่ชายของอิม”


“อิมฟังพี่นะ อิมไม่ผิด แต่ที่พี่รักกับพี่ศร มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มันคือธรรมชาติของความรู้สึก มันคือความบริสุทธิ์ที่ไร้การปรุงแต่ง ไร้การจำกัด ไร้การตั้งเงื่อนไขว่าเขาต้องเป็นเพศตรงข้ามกับเราก่อนเราถึงจะรู้สึกรักเขาได้ เข้าใจพี่ไหมอิม”


“ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจพี่เอมด้วยว่าทำไมถึงไม่ห้ามพี่ทั้งที่มีโอกาส”


ผมส่ายหน้าระอา “อิม ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก พี่ไม่ได้สนใจว่าพี่ศรเป็นเพศไหน พี่รู้แค่ว่าพี่รักเขาไปแล้ว”


“มันต้องถูกต้องด้วยสิ”


“อะไรที่อิมคิดว่าถูกต้อง คนจะรักกันได้ต้องเพศตรงข้ามกันน่ะเหรอ? ถ้าคิดแบบนั้นพี่คงต้องยอมรับว่าตัวเองผิดปกติและกำลังทำผิด แต่พี่จะไม่แก้ไขให้มันถูกต้องเพื่อตามใจใครแน่”


“พี่โอม!”


“แล้วก็เลิกยัดเยียดรดาให้พี่เถอะถ้าไม่อยากเห็นเพื่อนตัวเองเสียใจ เพราะพี่ไม่มีวันคิดกับรดาเกินกว่าพี่น้องแน่”


“ใจร้าย!”


“ไว้วันหนึ่งอิมจะเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงรักพี่ศร”


อิมฟึดฟัดขัดใจก่อนจะเดินกระแทกเท้าจากไป ผมมองตามแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอา ไม่หวังให้น้องเข้าใจผมในตอนนี้ ขอแค่อย่าพยายามยัดเยียดผมให้เพื่อนตัวเองอีกก็พอ





บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นเต็มไปด้วยความขุ่นมัวของอิม บรรยากาศมาคุระหว่างผมกับน้องเป็นที่จับสังเกตได้ของแม่ ผมรู้ว่าท่านรู้ แต่ตราบใดที่เราสองคนไม่ออกอาการมากจนเกินพอดีแม่ก็จะไม่พูดถึง แต่ไหนแต่ไรมาแม่มักจะปล่อยให้เราแก้ปัญหากันเอง ยิ่งหลังจากที่พ่อจากเราไปแล้วผมกลายเป็นผู้นำครอบครัวคอยดูแลสุภาพสตรีในบ้าน ผมก็มักจะได้รับการคาดหวังอย่างสูงจากแม่อยู่เสมอ


จบมื้อเย็นผมกับน้องก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน เจ้าอิมเก็บล้างในครัวเรียบร้อยก็รีบหนีขึ้นห้องนอนตัวเองไป ส่วนแม่อยู่แต่ในห้องทำงาน อีกไม่เกินสิบปีแม่ผมก็จะเกษียณจากอาชีพที่ท่านรัก ถึงตอนนั้น ‘อาจารย์ป้า’ ดุ ๆ คงหายไปจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกหนึ่งท่าน


ผมใช้เวลาช่วงค่ำคืนไปกับการดูหนังตั้งแต่สองทุ่ม พื้นที่ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งตกเป็นของผมโดยปริยาย ก่อนกลับมาบ้านผมแวะซื้อแผ่นหนังเรื่องใหม่ ๆ มาสองสามเรื่องหลากหลายแนว ผมชอบดูหนังจากแผ่นมากกว่าดูออนไลน์ ไม่ใช่เป็นคนดีเคารพกฎหมายอะไรมากมายหรอกครับ แต่ดูจากแผ่นมันเลือกออปชั่นได้เยอะกว่าแค่นั้นเอง และสามเรื่องที่ซื้อมาผมก็ตั้งใจว่าจะดูคืนนี้ให้จบทั้งหมดเพราะพรุ่งนี้ตื่นสายได้



OMIN : กินอะไรรึยัง
DharmaSORN : กินแล้ว
OMIN : ออกไปไหนรึเปล่า
DharmaSORN : ใครแม่งจะออกเที่ยวทุกวัน
OMIN : จะไปรู้เหรอ เผื่อมึงหนีกูออกไปเมาอีก
DharmaSORN : แดกทุกวันตับพังกันพอดี




หายห่วงแล้วก็แค่นั้น ผมไม่เคยชินกับการคุยโทรศัพท์กับแฟนตอนดึกหรือก่อนนอนอะไรทำนองนั้นอย่างที่ใครเขาทำกันหรอกครับ แต่เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอยู่ด้วยกันเกือบทุกคืน พอมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ก็มีเหงาบ้างแต่ไม่มากจนต้องโทร.ไปวอแวกับอีกฝ่าย


คิวบ์คิวบ์ : ส่งข่าวเว้ย


ไอ้เต๋าทักมาตอนที่หนังเรื่องแรกเดินเรื่องถึงกลางแผ่นสองพอดี ผมกดพอสก่อนหยิบมากดดู


OMIN : ว่ามา
คิวบ์คิวบ์ : น้องเพชรแม่งโคตรสวยเลยว่ะ

เชี่ยเต๋า…

OMIN : ต้องบอกไหมว่ากูรู้แล้ว
คิวบ์คิวบ์ : เออ ๆ ไม่เล่นกับกูเลยสัด
OMIN : แล้วได้เรื่องไรมา ตกลงอาไอ้ศรเป็นใคร
คิวบ์คิวบ์ : เป็นหมอ


เป็นหมอ…


‘พี่ศรไปหาพ่อเพชรอีกแล้วเหรอ’



แค่ไปหาอา...หรือไปหาหมอ?


แต่อยู่ด้วยกันมาสามเดือนผมยังไม่เคยเห็นมันกินยาอะไรเลยสักเม็ด


OMIN : หมอด้านไหน กูโทร.หามึงได้ไหม


ไอ้เต๋าหายเงียบไปเกือบห้านาทีกว่าจะตอบกลับมา


คิวบ์คิวบ์ : กูไม่สะดวกว่ะ เขาเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นอาจารย์หมออยู่ศูนย์อะไรสักอย่างของรพ.มอเราเนี่ยแหละ กูจำชื่อไม่ได้แล้ว
OMIN : แล้วศูนย์นั้นทำอะไร
คิวบ์คิวบ์ : ดูแลผู้ป่วย palliative
OMIN : คืออะไรวะ


ไอ้เต๋าเว้นช่วงไปอีกรอบ ผมเริ่มนั่งไม่ติดที่แต่ก็พยายามใจเย็น


OMIN : ถ้ามึงไม่สะดวก ไว้คุยกันวันหลังก็ได้นะ


ผมไม่รู้ว่ามันทำอะไรอยู่ แต่ถ้ามันจะมา ๆ หาย ๆ แบบนี้แล้วทำให้ผมค้างคา ผมว่าไว้คุยกันในตอนที่ต่างฝ่ายต่างสะดวกกันดีกว่า ผมกดปุ่มเพลย์เพื่อดูหนังรอ หวังจะให้ใจร่มแต่ตากลับดูหน้าจอโทรศัพท์ที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่า ‘palliative’ ไปด้วย ยังไม่ทันอ่านจนเข้าใจเหยี่ยวข่าวของผมก็ตอบกลับมาเสียก่อน


คิวบ์คิวบ์ : เห้ย คุยได้ละ กูกลัวมึงรีบไง
คิวบ์คิวบ์ : กูถามญาติที่เป็นหมอมา palliative คือการดูแลคนไข้แบบประคับประคอง เขาบอกกูว่านี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่กูน่าจะเข้าใจที่สุดแล้ว
OMIN : โอเค กูโง่เองที่ไม่เข้าใจ
คิวบ์คิวบ์ : กูก็ไม่เข้าใจเว้ย เขาเลยอธิบายต่อ
OMIN : ไอ้สัด กูอยากรู้ข้อสรุป ไม่ได้อยากรู้ว่ามึงคุยอะไรกับเขาบ้าง
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว ใครจะไปรู้ บางทีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมึงอาจจะอยู่ระหว่างบทสนทนาของกูก็ได้
OMIN : เออ ๆ ว่ามา
คิวบ์คิวบ์ : คนไข้ที่รักษาแบบประคับประคองคือคนไข้ที่ยุติการรักษาโรคตามแพลนปกติแล้ว ที่หน่วยนี้จะให้การรักษาแค่ตามอาการ ความไม่สบายกาย ใจ จิตวิญญาณทั่วไป


หมายความว่าไงวะ?


ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ไอ้เต๋าอธิบาย แต่อ่านแล้วก็ยังหาความเชื่อมโยงของอาหลานคู่นั้นไม่ได้ การที่ศรไปหาอาตัวเองที่เป็นหมอ ‘อีกแล้ว’ นั่นหมายถึงแง่ของการรักษาโรค หรือแง่ของการ ‘เยียวยา’ อย่างอื่นกันแน่


คิวบ์คิวบ์ : อ้าวเงียบ อ่านแล้วเงียบเลย
คิวบ์คิวบ์ : เฮ้ยย ช็อคไปแล้วเหรอวะ
OMIN : มึงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของไอ้ศรกับอามันไหม
คิวบ์คิวบ์ : ก็คงจะสนิทกันมาก ไอ้ศรไปนอนที่บ้านอามันบ่อย เมื่อก่อนถึงขั้นอยู่ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ แต่ช่วง 1-2 เดือนมานี้ไม่ได้ไปแล้ว ล่าสุดที่ไปก็เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง
OMIN : มึงรู้ได้ยังไง


ผมไม่เคยสงสัยในแหล่งข่าวของไอ้เต๋า มันเป็นคนกว้างขวางและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่แปลกใจเลยที่มันจะล้วงข้อมูลเชิงลึกมาได้ แต่เพราะครั้งก่อนข้อมูลเกี่ยวกับไอ้ศรที่ได้มามันไม่ลึกเท่านี้ ครั้งนี้ผมจึงสนใจใคร่รู้ ที่ผ่านมาผมสนใจแค่ผิวเผิน ยอมรับว่าใจจริงเพราะอยากให้ศรเป็นคนบอกเอง


คิวบ์คิวบ์ : กูไปคุยกับคนใช้บ้านนั้นมา
OMIN : เมื่อกี๊มึงบอกว่าเมื่อก่อนมันอยู่บ้านนั้นเหรอ
คิวบ์คิวบ์ : เยป
OMIN : ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วบ้านมันล่ะ
คิวบ์คิวบ์ : อันนี้แหละที่กูก็อยากรู้เหมือนกัน
OMIN : หมายความว่าไง
คิวบ์คิวบ์ : กำลังจะถาม แต่มีคนเรียกเขาซะก่อน กูเลยต้องรีบกลับ


ผมรู้ว่ามีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับมัน ไม่อยากจะเก็บมาคิดมากด้วยว่าที่ยังไม่รู้เพราะมันไม่อยากจะบอก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมหวังแค่ว่าวันหนึ่งผมจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยมากพอสำหรับทุกเรื่องของมัน


คิวบ์คิวบ์ : ถามได้ไหมว่ามีเรื่องอะไร
OMIN : กูก็ยังไม่รู้
คิวบ์คิวบ์ : อืม มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันนะเว้ย
OMIN : มึงก็รู้ว่ากูประคบประหงมมันขนาดไหน


หนังเรื่องแรกจบไปพร้อมความตั้งใจที่ว่าถ้ามีโอกาสคงได้เปิดดูใหม่อีกรอบเพราะหลังจากจบบทสนทนากับเพื่อนสนิท ผมก็ล่องลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าคิดเยอะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไอ้ศร แต่เมื่อคิดเท่าไหร่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ ไม่มีอะไรที่ตอบคำถามให้กับข้อสงสัยได้นอกจากจะยิ่งฟุ้งซ่านไร้สาระไปเรื่อย


หนังเรื่องที่สองถูกเปิดขึ้น ผมได้แต่หวังว่าเนื้อหาซับซ้อนชวนลุ้นตลอดเวลาอย่างที่ใคร ๆ เคลมกันไว้จะทำให้ผมจดจ่ออยู่กับมันได้จนจบเรื่อง






ครืด ครืด


เสียงสั่นเตือนของสมาร์ทโฟนเครื่องบางดังขึ้นอีกครั้งของค่ำคืนในตอนครึ่งหลังของหนังเรื่องสุดท้าย ผมยอมละสายตาจากฉากหนังสุดระทึกไปมองหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวก่อนที่แสงจะดับลงผมทันเห็นแอคเคาน์ของคนรักในแอปพลิเคชั่นหนึ่งเด้งขึ้นมา


ตีสอง


DharmaSORN : นอนยังวะ


ผมยิ้ม


OMIN : คิดถึง พิมพ์แบบนี้


หลังจากได้รับคำด่ากลับมาผมก็ตัดสินใจกดโทร.ออกไปหาอีกฝ่ายทันที เมียเหงา ผมก็ต้องทำหน้าที่สามีที่ดีสักหน่อย


[โทร.มาทำไมวะ]


“ก็มึงเหงา”


[กูยังไม่ได้พูดสักคำ]


“ถ้าไม่อยากคุยด้วยก็วางสายไปดิ”


[กูวางจริงอย่าร้องไห้ล่ะน้องโอม]


“หึหึ”


บทสนทนาขาดช่วงไปหลายนาที ต่างฝ่ายต่างเงียบแต่ปลายสายก็ยังไม่ได้วางสายไปเหมือนอย่างที่ขู่ไว้ ผมเองก็ยังนั่งดูหนังของผมต่อไป อีกไม่กี่นาทีก็น่าจะจบแล้ว


[ทำไร ทำไมยังไม่นอน]


“ดูหนังอยู่ นี่ไม่ได้ยินเสียงเลยเหรอ” ผมว่าผมก็เปิดดังอยู่นะ ปลายสายน่าจะได้ยินชัดแม้กระทั่งบทสนทนาเลยด้วยซ้ำ


[...]


“แล้วทำไมยังไม่นอน นอนไม่หลับรึไง” ปกติคืนที่ผมกลับบ้านหรือนอนที่ห้องตัวเอง ศรก็ไม่เคยโทร.มาดึกขนาดนี้เพราะนอนไม่หลับนะครับ แต่คืนนี้มาแปลก


[อือ สงสัยตอนกลางวันจะนอนเยอะไปหน่อย]


“ไม่ได้ไปฟิตเนส?” ได้ยินเสียงครางอือตอบกลับมาเนือย ๆ ปกติถ้ามันได้ออกแรงจนเหนื่อยมันก็จะหลับได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน ผมไม่เคยถามเป็นจริงเป็นจังว่าอาการนอนหลับยากของมันถึงขั้นเรียกว่าเป็นโรคได้หรือเปล่า จำได้ว่าเคยถามถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่งตอนคบกันช่วงแรก ๆ ศรก็บอกแค่ว่าเป็นคนหลับยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแค่นอนดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อย ๆ ก็จะหลับได้ง่ายขึ้น


แต่คงไม่ใช่สำหรับคืนนี้


“ให้กลับไปช่วยออกแรงตอนนี้ไหม เผื่อมึงเหนื่อยแล้วจะได้หลับง่ายขึ้น”


[สัด!]


ผมหัวเราะชอบใจ เริ่มจะดูหนังไม่รู้เรื่องเอาซะแล้ว ถ้ามีมันคอยกวนใจแบบนี้เห็นทีว่าผมคงต้องกดปิดก่อนหนังจบแน่ ๆ


[ร้องเพลงกล่อมหน่อย]


เอาแล้วไงกู


“อ้อนก่อน”


[ตีนกูนี่!]


ผมหัวเราะ “เสพติดกูแล้วเหรอมึงน่ะ”


[หึ หลงตัวเองว่ะ]


“หลงมึงมากกว่าอีกนะรู้ตัวยัง”


[ปากดี]


“ชิมออกจะบ่อย เพิ่งรู้เหรอว่าดี”


[ไม่อ่ะ คิดว่ามันหวานมาโดยตลอด]


แม่งงงงง


ไม่ดงไม่ดูมันแล้วครับหนัง กูขับรถกลับไปนอนคอนโดตอนนี้เลยดีไหม


“พูดแบบนี้แปลว่าเมียเรียกกลับบ้านป่ะ”


[บ้าเหรอวะ นี่ไงอ้อนอยู่ ไหนอ่ะเพลงกู ร้องได้ละอย่าเล่นตัวเยอะ]


ผมหัวเราะลั่น บอกให้อีกฝ่ายถือสายรอแล้วรีบเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อนเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้องนอนตัวเองโดยเร็ว


“พร้อมไหม?” ถามเช็คอีกฝ่าย ส่วนตัวเองก็กำลังนอนแผ่บนเตียงกว้างที่โคตรอ้างว้างเพราะไม่มีศรนอนอยู่ข้าง ๆ


[แปป ๆ]


“ทำอะไรของมึง”


ผ่านไปหลายอึดใจกว่ามันจะตอบกลับมาว่าพร้อมแล้ว


ผมไม่ถามเซ้าซี้ซ้ำ พลิกตัวตะแคงมองไปยังพื้นที่ว่างบนเตียงแล้วจินตนาการว่าคนปลายสายกำลังนอนอยู่ตรงหน้า สมาร์ทโฟนเครื่องบางถูกเปิดสปีกเกอร์แล้ววางอยู่ไม่ไกลกัน


ผมเริ่มฮัมทำนองเพลงพร้อมหลับตาลง




ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม

ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย
มิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว
สลัวเย็นย่ำ ค่ำคืนเอ๋ย
ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม



ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงปลายสายฮัมคลอตามไปด้วย



..

..



ยามนี้เราหลงทางกลางค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร
ฉันร่อนเร่พเนจร
ไม่รู้จะนอนไหนเอย
เอ๋ยโอ้หัวอกเอย




“ไอ้ศร...” ผมเรียกคนปลายสายเสียงเบาหลังจากร้องเพลงจบด้วยไม่แน่ใจว่ามันหลับไปแล้วหรือเปล่า เพราะเท่าที่ได้ยิน เสียงของมันขาดหายไปตั้งแต่กลางเพลงแล้ว


[...]


“หลับแล้วเหรอวะ ถ้าหลับแล้วกูจะวางละนะ”


[...]


“ฝันดีนะดวงใจของกู”


[...]



“กูรักมึงมากนะศร”











(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4


ผมกลับคอนโดมาในตอนเย็นวันอาทิตย์ ไลน์มาบอกไอ้คนเฝ้าห้องแล้วว่าจะมากินข้าวเย็นด้วยกัน ให้มันรอก่อน


อุณหภูมิภายในห้องที่ใกล้เคียงกับภายนอกซึ่งอาจจะอุ่นกว่าเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ในห้องและเจ้าของห้องคงออกไปได้สักพักใหญ่แล้ว ช่วงเย็นแบบนี้มันก็คงจะลงไปเข้าฟิตเนสข้างล่าง กะเวลาคร่าว ๆ แล้วคิดว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงอีกฝ่ายก็น่าจะกลับขึ้นมาแล้ว


ปิ่นโตเถาใหญ่ถูกวางลงบนเคาเตอร์ในครัว วันนี้ผมให้แม่ทำอาหารให้เยอะกว่าทุกครั้งเพราะกลัวว่าที่ห้องจะไม่เหลือของสดไว้เลยอย่างที่เจ้าของห้องบอกไว้ พอเปิดตู้เย็นออกดูถึงได้รู้ว่าคงถึงคราวที่ต้องออกไปซื้อของสดมาตุนไว้อีกรอบเสียแล้ว






ติ้ด


เสียงปลดล็อกประตูห้องดังขึ้นหลังจากที่ผมนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ได้ไม่นาน


ผมละสายตาไปมอง ตรงกรอบประตูปรากฎร่างของคนรักในชุดเสื้อกล้ามสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงบอล มัดกล้ามเนื้อขาวสะอาดตาที่โผล่พ้นร่มผ้ามีเม็ดเหงื่อพราวเกาะเต็มพื้นที่เช่นเดียวกับใบหน้าไร้ที่ตินั่นด้วย


“กลับมานานแล้วเหรอวะ”


“สักพักใหญ่ละ”


“ไม่ลงไปข้างล่างอ่ะ” ปกติผมก็ออกกำลังกายเป็นประจำเพราะจะปล่อยให้หุ่นเฟิร์มน้อยหน้าเมียไม่ได้


ผมส่งเสียงในลำคอแทนคำปฏิเสธ “ขี้เกียจ...มึงไปอาบน้ำให้เรียบร้อยไปจะได้ออกมากินข้าว”



ระหว่างที่รอศรอาบน้ำ ผมก็ลุกจากโซฟาไปจัดอาหารใส่จานแล้วอุ่นอีกรอบเพื่อให้พร้อมทาน


ผมกลับไปนั่งดูสารคดีตรงโซฟาตัวยาวได้ครู่หนึ่งใครอีกคนก็เดินออกมาในชุดพร้อมนอนซึ่งก็มีเพียงแค่กางเกงผ้าแพรขายาวตัวเดียวเท่านั้นขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการยีผมที่เปียกโซก ต้องใช้คำว่ายีครับ คำว่าเช็ดอาจจะอธิบายวิธีการทำให้ผมแห้งของมันไม่ได้


“มานี่สิ” ผมกวักมือเรียก ไอ้ศรเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนพรมตรงหน้าจนผมต้องรีบรวบเท้าขึ้นมาขัดสมาธิบนโซฟาแทนเพื่อที่มันจะได้ทิ้งตัวพิงโซฟาได้เต็มที่


“อาบน้ำสะอาดแล้วนั่งข้างล่างให้สกปรกอีกทำไมวะ” ผมแย่งผ้าขนหนูในมือมันมาทำหน้าที่ต่อ ผมของมันไม่ยาว ค่อย ๆ ซับไม่นานก็แห้ง


“ป้าน้อยมาทำความสะอาดแล้ว” ป้าน้อยคือแม่บ้านที่บ้านมันครับ ป้าแกมีหน้าที่ทำความสะอาดห้องนี้สัปดาห์ละครั้ง ช่วงระหว่างนั้นเราสองคนจะช่วยกันทำบ้าง


“บ่นว่ากูเป็นคุณชาย แต่ใครกันวะทำให้กูเคยตัว”


“หึ”


“วันนี้นั่งกินข้าวตรงนี้ได้ป่ะ” ตรงนี้คือโต๊ะกระจกตัวเตี้ยหน้าโทรทัศน์


“เอาดิ”


“หืม?” ไอ้ศรเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความสงสัย “ใจดีจังวะ”


“ปกติกูใจร้ายเหรอ”


ไอ้ศรไม่ตอบ มันยักไหล่เหมือนจะสื่อว่า ‘ไม่รู้ดิ’ แล้วหันกลับไปนั่งท่าเดิม ผมยิ้มมุมปาก รู้ตัวว่าไม่ใช่คนใจร้ายแต่อาจจะเคร่งครัดไปบ้างตามนิสัยของพี่ชายที่ต้องดูแลน้องอีกสองคน


ฟอดดดดดด


“หอมว่ะ” ผมกระซิบเสียงแหบพร่าหลังจากสูดกลิ่นจากปลายผมของมันที่ระต้นคอด้านหลัง ส่วนคนที่โดนฉวยโอกาสก็นั่งนิ่งแข็งเป็นหินไปแล้วครับ เสียดายที่หน้าจอโทรทัศน์สว่างจ้า ถ้ามืดสักนิดคงได้เห็นสีหน้าเขินอายของอีกฝ่ายไปแล้ว


“หะ หิวแล้ว กูไปยกข้าวมานะ” ดูมันเขิน เขินจนลืมขอบคุณผมไปเลย จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นมันเขินเวลาผมทำอะไรแบบนี้


“ยังจะเขินอีกเหรอวะ กูหอมมึงมาหมดทุกซอกทุกมุมแล้วนะ”


ไอ้ศรชี้หน้าคาดโทษผม และเพราะว่ามันไม่ได้ใส่เสื้อ ผิวเนื้อที่แดงขึ้นมาจึงประจานความเขินอายของมันแก่สายตาผมให้ได้ยิ้มล้อ






อาหารง่าย ๆ อย่างแกงจืดลูกรอกใส่หมูสับ ไข่เจียวกุ้ง ผัดผักบุ้งหมูกรอบ คั่วกลิ้งและน้ำพริกลงเรือพร้อมบวบงูลวกของโปรดไอ้ศรถูกวางลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยโดยที่เราสองคนนั่งบนพรมตรงข้ามกัน ศรเป็นคนกินเผ็ดไม่เก่ง เพราะฉะนั้นคั่วกลิ้งซึ่งเผ็ดที่สุดในมื้อเย็นนี้จึงตกเป็นของผมคนเดียว


ไอ้ศรมองอาหารตรงหน้าตาโต ความสนใจของมันปิดไม่เคยมิด เมื่อก่อนมันก็ไม่ได้ชอบทานของพวกนี้หรอกครับ แต่เพราะอยู่กับผม มันจึงเรียนรู้ที่จะลองจนสุดท้ายก็ติดใจ โดยเฉพาะน้ำพริกลงเรือสูตรแม่ผมที่ใส่เนื้อหมูสามชั้นเป็นชิ้น ๆ แทนหมูสับ ยิ่งได้ทานคู่กับบวบงูที่มันไม่กล้าทานในตอนแรกด้วยแล้ว บอกได้คำเดียวว่ากลายเป็นเมนูโปรดชั้นยอดของมันไปแล้ว บางทีอาจจะพอสูสีกับอาหารญี่ปุ่นที่มันชอบมากเลยด้วยซ้ำ


“ลองหน่อยไหม” ผมตักคั่วกลิ้งขึ้นมายื่นไปทางอีกคน


ไอ้ศรส่งเสียงปฏิเสธ “เผ็ด”


“ยังไม่ทันได้กินเลย รู้ได้ไงว่าเผ็ด”


“ถ้าไม่เผ็ด มึงกินข้าวไม่ได้หรอก” สุดท้ายคั่วกลิ้งที่ตักขึ้นมาก็ย้อนมาตกลงในจานผม จริงอย่างที่มันว่าแหละครับ ผมชอบทานเผ็ดมาก มื้อไหนขาดอาหารรสจัดจ้านแบบนี้ผมแทบจะไม่เจริญอาหารเลย





จบมื้ออาหารเย็นพวกผมสองคนก็มานั่งพักให้อาหารย่อยกันในห้องนั่งเล่นที่เดิมแต่ครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างจับจองโซฟาตัวยาวกันคนละมุม ไอ้ศรนั่งเหยียดขาพาดเก้าอี้เล็กอีกตัว ขณะที่ผมนั่งไขว่ห้างพิงพนักในท่าสบาย บนจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าฉายถ่ายทอดสดฟุตบอล พวกเราดูกีฬาชนิดนี้ได้ แต่โชคดีที่ไม่มีใครเป็นแฟนบอลสโมสรไหนเป็นพิเศษเพราะไม่ได้คลั่งไคล้กีฬาชนิดนี้นัก  ผิดกับบาสเกตบอล บอกเลยว่าทั้งผมและมันต่างก็เป็นตัวเต็งของคณะ เพียงแต่คณะผมมันไม่โดดเด่นเรื่องกีฬาเท่าวิศวะเขาครับ


“ศร”


“หืม”


“ไหนอ่ะรางวัล ทั้งร้องเพลงกล่อมเมื่อวานทั้งอาหารเย็นวันนี้” ง่าย ๆ เลยครับกูอยาก ไม่อยากจะบอกว่ามีอารมณ์ตั้งแต่ตอนหอมท้ายทอยมันแล้ว คนไม่ได้เสพย์สุขร่วมรักกันมาหลายวันก็ต้องมีความต้องการมากกว่าปกติเป็นธรรมดาครับ


“พรุ่งนี้เรียน”


“เรียนเลคเชอร์หรือแลป”


ผมหันมองหน้ามันอย่างใจจดใจจ่อ ถ้าพรุ่งนี้มันเรียนแลปผมยังมีหวัง เพราะมันจะทำบรีฟแลปตั้งแต่หลังจบคาบเรียนบรรยายเรื่องนั้น ๆ ไว้เลย แต่ถ้าพรุ่งนี้มันเรียนบรรยาย ผมแม่งแดกแห้วอย่างไม่ต้องต่อรองให้มากความเลยครับ เพราะคืนนี้มันต้องอ่านหนังสือจนดึกแน่ ยิ่งถ้าเป็นวิชาของสายวิทย์สุขภาพนะ อ่านเกือบถึงเช้าก็เคยเห็นมาแล้ว


“เลคเชอร์”


เชี่ยยยยย


ไอ้ศรหันมามองหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ชอบทำ


“แต่กูอ่านจบตั้งแต่คืนก่อนแล้ว”


เยส!!!


ได้แดกเมียแทนแห้วทั้งที พุ่งสิครับจะรออะไร












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 5
--------------------------------------------------------
ครั้งหน้าหมอนัดตรวจธรรมศรนะคะ

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ศรเป็นแะไร มีปัญหากับที่บ้านแน่เลย
โอมนี่ก็หลงเมียขั้นสุด ประคบประหงมมาก น่าร้ากกกก

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฮืออออ น่ารักอีกแล้ว หลงโอมอินมากๆ มากพอๆกับที่โอมอินหลงศร :ling1:

ออฟไลน์ Fahsaizzz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอมคนหลงเมีย แต่เมียหล่ิอก็ต้องหวงหน่อย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ศรน่าเอ็นดูน่ารักมากเลยยย อยากรู้แล้วว่าไปหาหมอทำไมมมม  :hao5:

ออฟไลน์ JellyKei

  • ✧٩(の❛ᴗ❛ の)۶
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ชอบการอ้อนสไตล์ศรมาก รู้สึกเอ็นดู55555
รอบหน้าจะได้สัมผัสถึงมุมมองของศรแล้วสินะ รอเลยค่า

ออฟไลน์ kstation

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอตอนต่อไปอยู่ครับ

ออฟไลน์ viiviiccA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอมอินโคตรจะหลงเมีย ศรก็โคตรขี้อ่อยเลย555555555   o18 เป็นกำลังใจให้นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด