พิมพ์หน้านี้ - [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ธัญญ์ ที่ 27-08-2017 22:37:32

หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 27-08-2017 22:37:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

****************************************************************************************


ผลงานเรื่องอื่นนะคะ

ห า กั น จ น เ จ อ [END] http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58675.150 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58675.150)

แรมเดือนสิบสอง [on air] https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67032.msg3822903#msg3822903 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67032.msg3822903#msg3822903)
หัวข้อ: RE :「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 27-08-2017 22:48:26

Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

อาการโรค










หึงหวง เป็นอาการปกติที่พบได้ในคนที่เป็นแฟนกัน แต่โคตรหึงโคตรหวงนี่ ธรรมศรคิดว่ามันออกจะเกินไปสักหน่อย


มนุษยสัมพันธ์ดี เป็นสิ่งที่สัตว์สังคมอย่างมนุษย์ทุกคนควรจะมี แต่ไอ้ประเภทที่ชอบหว่านเสน่ห์เรี่ยราดนี่ โอมอินคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนมีแฟนแล้วเขาจะทำกัน!








“ตื่นเต้นเหรอวะพี่สัม”


เจ้าของชื่อเป็นชายหุ่นหมี หมีแบบที่หลายคนเรียกว่าหมีแทนชื่อเจ้าตัวเสียแล้ว ตัวสูงแค่มาตรฐานชายไทยแต่โครงร่างใหญ่และตัวหนาเดินวนไปมาอยู่หน้าโต๊ะลงทะเบียนเข้าชมหนังสั้นซึ่งเป็นสารนิพนธ์ของนักศึกษาเอกภาพยนตร์ปีสี่ของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งก็มีผลงานการกำกับของเขาเป็นหนึ่งในสิบสองเรื่องนั้นด้วย


“เออสิวะ”


“ตื่นเต้นทำไม พี่ดูมากี่รอบละ”


สัมตีหน้ายุ่ง มองรุ่นน้องที่มีส่วนช่วยในผลงานของตัวเองแล้วก็ได้แต่หมั่นไส้ มันไม่มาเป็นเขามันไม่เข้าใจหรอก “บ๊ะ! ไอ้โอม มันเหมือนกันที่ไหนละวะ อีกไม่กี่นาทีผลงานกูก็จะถูกฉายให้คนทั่วไปได้ดูนะเว้ย”


ใบหน้าเรียบตึงเป็นเอกลักษณ์ของโอมอินแต่ค่อนข้างแตกต่างจากนิสัยของเด็กนิเทศฯทั่วไปกำลังทำให้สัมยิ่งหงุดหงิดพอ ๆ กับคำพูดของมัน “ผมก็เห็นมีแต่คนคณะเรามาดู ไม่ดิ เอกเราล้วน ๆ เลยต่างหาก”


สัมหมดปัญญาจะเถียง เพราะเห็นกันอยู่ว่าใบลงทะเบียนมีแต่รายชื่อรุ่นน้องในเอกตัวเองทั้งนั้น ไอ้ชื่อแปลก ๆ นั่นก็ยังอยู่ในคณะเดียวกันอีกอยู่ดี แม้งานนี้จะโปรโมทในพื้นที่สาธารณะ เชิญชวนคนทั่วไปมาเข้าชมสักแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกือบร้อยละเก้าสิบแปดเป็นคนกันเองทั้งนั้น


“มึงลืมรึไงว่ามีคอมเมนเตเตอร์ด้วย”


“นั่นก็รุ่นพี่อีกอยู่ดี” จริงของมัน ถึงจะเชิญผู้กำกับจากค่ายหนังดัง แต่พื้นเดิมก็เป็นศิษย์เก่าจากที่เดียวกับเขาทั้งนั้น


“แบบนั้นยิ่งกดดันไง เขาต้องคาดหวังกับผลงานของรุ่นน้องอย่างเรา ๆ อยู่แล้ว”


“กลัวอะไร คนตัดสินให้คะแนนใช่ว่าจะเป็นคนเดียวกับเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนซะหน่อย…อย่างน้อยก็ไม่ทั้งหมดละวะ ไม่ถูกใจเขาก็ใช่ว่าจะไม่ถูกใจอาจารย์นี่หว่า”


“เออ! ไว้ถึงทีมึงก่อนเถอะไอ้โอม อย่ามาตื่นเต้นให้กูเห็นเชียวนะ”


โอมอินไหวไหล่ ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์เสียจนสัมหัวร้อนทุกทีที่พูดคุยด้วย


“แล้วพระเอกกูจะมาไหมเนี่ย”


“มาดิ มันบอกว่าจะมา”


สัมแทบจะหัวเราะออกมาตอนที่ทันเห็นแวววูบไหวในหน่วยตาคู่นั้นของรุ่นน้องตอนที่พูดถึง ‘พระเอก’ ของเขา ไอ้โอมอินที่ทุกคนในคณะรู้จักเป็นผู้ชายที่แม่งโคตรเย็นชา หน้าหล่อ ๆ ของมันเรียบตึงไร้อารมณ์ตลอดเวลาไม่เว้นแม้กระทั่งตอนกำลังเต้นสันทนาการอยู่ นัยน์ตาดำขลับก็ไม่เคยฉายแววอะไรนอกจากความหงุดหงิดใจที่ชวนให้คนมองหัวร้อนเพราะรู้สึกว่ามันกวนเบื้องล่างเสียเหลือเกิน แต่นับตั้งแต่วันที่เขาชวนมันมาเป็นตากล้องช่วยถ่ายทำหนังสั้นให้ วันนั้นไอ้โอมอินก็เปลี่ยนไป


“มันบอกมึง?” แกล้งย้อนถามด้วยความหมั่นไส้


“เมื่อคืน” ไอ้เด็กนี่ทำหน้าทำตาเหมือนเย้ยทั้งที่หน้ายังนิ่งอยู่แบบนั้น “ต้องให้บอกด้วยไหมว่าที่ไหน”


“หึ เข้าไปข้างในเลยไป กูชักเหม็นขี้หน้ามึงละ” สัมโบกมือไล่รุ่นน้องตัวดี


“พี่หาที่ให้มันนั่งด้วยละกัน” เอ๊ะไอ้นี่! เข้าไปก่อนแท้ ๆ ไม่หาวะ


“เออ กูต้องจัดที่วีไอพีให้มันอยู่แล้วเว้ย ไอ้ศรมันเป็นพระเอกของกู”


โอมอินที่เดินห่างออกไปสามก้าวแล้วถึงกับหันมาแสยะยิ้ม “แต่ผมเป็นพระเอกของมัน”


“ไอ้เหี้ย!”

.

.

.

ห้องฉายหนังสั้นครั้งนี้เป็นห้องสโลปของหอศิลป์ในรั้วมหาวิทยาลัย ในตอนที่โอมอินเข้ามาเก้าอี้กว่าร้อยห้าสิบที่นั่งถูกจับจองเกือบหมดแล้ว ใบหน้าหล่อไร้อารมณ์ส่ายหน้าระอา ใครหันมามองตอนนี้คงเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของเขา โอมอินนึกไปถึงสิ่งที่รุ่นพี่รับปากตนเมื่อครู่ สภาพอย่างนี้น่ะหรือจะมีที่นั่งวีไอพีให้ ‘พระเอก’ ของตัวเองนั่ง วีไอพีแบบบนพื้นตรงทางเดินระหว่างชั้นหนึ่งกับสองละสิไม่ว่า


งานใกล้เริ่มขึ้นทุกที พิธีกรสองคนที่ยืนพูดอยู่หน้าสุดก็กำลังบอกเล่าถึงเรื่องราวคร่าว ๆ ของการจัดงานในวันนี้ โอมอินนั่งพิงผนังตรงพื้นขั้นบันไดเหมือนรุ่นพี่ปีสี่คนอื่น ๆ ใกล้กับส่วนหน้าสุดที่พิธีกรยืนอยู่ มือหนากำสมาร์ทโฟนเครื่องบางแน่น ข้อความล่าสุดจากพ่อพระเอกกิตติมศักดิ์ของสัมบอกว่าอยู่หน้างานแล้ว นี่ก็ผ่านมาจะสิบนาทีอยู่รอมร่อ แต่เขาก็ยังไม่เห็นเงาหัวมัน โอมอินหมายมั่นในใจ ว่าถ้าครบสิบนาทีแล้วยังไม่เห็นอีกฝ่ายเข้ามาในห้องนี้ เขาจะออกไปตามด้วยตัวเอง


สิบนาที


กรี๊ดดดดดดด


ไม่ทันที่โอมอินจะลุกขึ้นยืน เสียงกรี๊ดของพวกผู้หญิงก็ดังก้องไปทั่วห้องพร้อมการปรากฎตัวของใครบางคนที่เจิดจรัสอย่างกับมีสปอร์ตไลท์ประจำตัว แม้ภายในห้องจะเริ่มมีแสงสลัวเพราะใกล้เวลาฉายหนังเต็มที แต่มันก็ยังโดดเด่นอยู่ตรงทางเข้าอยู่ดี


ธรรมศร


“พี่ศร~~~~~~”



“กรี๊ดดดดดดด”




“เงียบ!!”


สิ้นเสียงตวาดดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งก็ทำให้ทุกสรรพเสียงเงียบลงทันที ทว่าถึงจะหาต้นตอของเสียงไม่เจอ แต่ทุกคนที่เรียนคณะนี้ต่างรู้ในทันทีว่าใครคือเจ้าของเสียงดุดันนี้


“มาช้าก็หาที่นั่งสิวะ จะยืนหล่ออยู่อีกนานไหมไอ้คุณชาย” โอมอินหงุดหงิดตั้งแต่ที่รอจนสิบนาทีกว่าจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายแล้ว ยิ่งพอเข้ามาถึงแค่ยืนเป็นเป้านิ่งให้สาวกรี๊ดก็กวนอารมณ์เขาพอแล้ว ไอ้คุณชายมันยังยืนยิ้มเขินให้ทุกคนอีก ใครมันจะไปทนได้!


“เอาละครับ หาที่นั่งโดยด่วนครับพี่ศร ก่อนที่องค์โอมอินจะลง” พิธีกรที่เป็นรุ่นน้องในคณะเอ่ยแซวขำ ๆ ขณะที่พิธีกรอีกคนซึ่งเป็นรุ่นพี่จบไปนานแล้วกำลังงงกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นถามออกมาว่าไอ้คนที่เพิ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ได้ถล่มทลายเมื่อครู่คือใคร


“นั่นพี่ศรครับ หนุ่มวิศวะหล่อบอกต่อด้วยยยยยยย” ท้ายประโยคลากเสียงยาวเอาใจสาว ๆ ในห้องนี้จนโอมอินอยากจะเดินไปตบกบาลมันซักฉาด

“แต่เมื่อเทอมที่แล้วก็เพิ่งได้มาอีกตำแหน่งนะครับ”


“ตำแหน่งอะไรครับ”


“พี่ว้ากหล่อบอกต่อด้วยยยยยยยยย”


“กรี๊ดดดดดดดดด”


“หนังอ่ะจะดูไหมวะ!!”


เงียบกริบ


ก็ถ้าจะไม่ดูหนังกันเขาจะได้บอกว่าอีกตำแหน่งหนึ่งที่ธรรมศรเพิ่งได้มาหมาด ๆ เมื่อไม่กี่เดือนคืออะไร


แฟนกูนี่ไงสัด!!
.
.
.
หนังสั้นจะถูกแบ่งฉายเป็นสี่เซต เซตละสามเรื่อง ช่วงเช้าจะมีแค่หนึ่งเซตเท่านั้น เพราะหนังเริ่มฉายตอนสิบโมงแล้ว และหนังของสัมก็เป็นหนังเรื่องที่สองในเซตแรกนี้ด้วย

 
โอมอินหันไปมองหาตำแหน่งที่นั่งของธรรมศรก็พบว่าอีกฝ่ายนั่งไม่ไกลจากจุดที่เคยยืนโชว์ตัวนัก และก็นั่งลงบนพื้นจริงอย่างที่เขาคิดไว้ ธรรมศรเป็นคนหล่อ หล่อแบบไร้ที่ติราวกับเทพช่างปั้น ส่วนสูงที่พอกันกับเขาก็ช่างน่าอิจฉาสำหรับใครหลายคน หุ่นไม่หนา แต่ก็ไม่ถึงกับบาง มัดกล้ามเนื้อก็มีให้เห็นตามประสาคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นหุ่นที่ยิ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดบนอย่างวันนี้ก็ยิ่งเป็นเหมือนชายในฝันของสาว ๆ คิดแล้วโอมอินก็หงุดหงิด หึงจนเหนื่อย หวงจนหน่าย มันก็ยังไม่เลิกทำตัวฮอต


โอมอินหงุดหงิดกับความคิดตัวเองเงียบ ๆ คนเดียวจนกระทั่งผลงานของสัมกำลังจะถูกฉายขึ้นบนจอใหญ่ ใบหน้ายุ่งเหยิงก็ค่อย ๆ ราบเรียบแล้วคลี่ยิ้มบางออกมาในที่สุด


“ไงมึง” คำทักทายที่มาพร้อมแรงสะกิดที่ไหล่ทำให้คนที่ตั้งหน้าตั้งตารอดูหนังหรือจะพูดให้ถูกก็คือรอดู ‘แฟน’ ตัวเองบนจอยักษ์หันไปมองคนมาใหม่


“กว่าจะมานะพวกมึง” คนที่สะกิดเขาคือพีท ส่วนอีกสองคนที่ยืนข้างหลังคือเต๋ากับโจ สามคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของเขา แต่เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโปรเจคจบของรุ่นพี่คนไหน พวกเขาจึงไม่ได้รีบมาเหมือนโอมอิน


“ยังดีที่มาทัน พวกกูอยากมาดูผลงานมึงจะแย่” โจพูดเสียงเจ้าเล่ห์


“อยากเห็นว่ามึงถ่ายไอ้ศรออกมายังไง จากที่อยู่ในกล้องถึงได้เข้ามาอยู่ในใจมึงได้” เต๋าเสริมทัพราวกับเตี๊ยมกันมา คงคิดว่าจะทำให้เขาเขินได้ แต่พวกนั้นคงลืมไปว่าเขาเก็บสีหน้าเก่งขนาดไหน


หนังเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการโคจรมาเจอกันของโอมอินกับธรรมศร มันไม่ใช่หนังรัก เรื่องนี้ไม่มีนางเอก เป็นหนัง Sci-fi ที่มีเพียงตัวเอกสู้กับจินตนาการในหัวซึ่งก็คือตัวเอง โอมอินเป็นตากล้องที่จ้องมองพระเอกของเรื่องผ่านเลนส์กล้องจนนานวันเข้าก็กลายเป็นว่ามีแต่ใบหน้าแบบนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัว ธรรมศรเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของสัม สัมเขียนบทเสร็จแล้วก็ชวนอีกฝ่ายมาร่วมงานด้วย แม้ธรรมศรจะค่อนข้างโด่งดังในรั้วมหาวิทยาลัย แต่โอมอินก็ไม่ได้สนใจที่จะรู้จัก ทว่าระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็มที่สัมเวิร์คชอปผู้ชายคนนั้นให้กลายเป็นตัวละครที่สัมสร้างขึ้นมาและเขาต้องคอยโฟกัสแต่ใบหน้าไร้ที่ตินั่น ถ่ายมุมนั้นมุมนี้ โคลสอัพบ่อยครั้งเข้าก็ต้องยอมรับกับหัวใจตัวเองว่าหลงรักเจ้าของใบหน้าราวเทพช่างปั้นนั่นเข้าให้แล้ว


หนึ่งเดือนที่เวิร์คชอป สองเดือนที่ถ่ายทำ นั่นคือช่วงเวลาที่ทำให้ใบหน้าเรียบเฉยเริ่มเปลี่ยนไป


หนังสั้นระยะเวลายี่สิบห้านาทีจบลงที่รอยยิ้มสดใสของพระเอกในมุมกล้องที่โคลสอัพจนเมื่อฉายขึ้นจอใหญ่อาจทำให้ใครหลายคนเผลอกลั้นหายใจด้วยความเคลิบเคลิ้มได้


รอยยิ้มที่ทำให้ตากล้องหลงรักจนไม่อาจละสายตาได้จนมาถึงทุกวันนี้


มันทั้งสว่างเจิดจ้าและก็มากเสน่ห์จนไม่อาจปฏิเสธได้


รู้สึกหวงจนอยากจะเก็บไว้ดูคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงการยอมให้สัมเอามาเผยแพร่ให้คนดูกันเป็นร้อย ๆ คนแบบนี้ เพราะแค่สัมดูคนเดียวอยู่หลายสิบรอบช่วงตัดต่อ เขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจจนอยากจะตัดฉากนั้นทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด


หนังขึ้นเอ็นเครดิตแล้วเสียงโอดด้วยความเสียดายก็ดังขึ้นคล้ายว่าทุกคนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าหนังจบแล้ว แค่คิดว่าที่ทุกคนสติหลุดลอยกันแบบนี้เพราะรอยยิ้มของไอ้คุณชายธรรมศร โอมอินก็แทบอยากจะเก็บตัวการไว้ที่ห้องไม่ให้ใครหน้าไหนมันได้เห็นอีกเลย


หนังเรื่องสุดท้ายกำลังเริ่มฉายต่อ ตัดฉับอารมณ์เคลิ้มที่มีต่อธรรมศรไปเสียหมด โอมอินหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดเข้าโปรแกรมแชทพิมพ์บางอย่างไปถึงใครอีกคนที่นั่งอยู่อีกฟากของห้อง และก็ได้รับการตอบกลับมาภายในไม่กี่นาที


OMIN : อย่ายิ้มแบบเมื่อกี๊ให้ใครเห็นอีก อย่าหาว่ากูไม่เตือน
DharmaSORN : มึงจะทำอะไรกู
OMIN : ขังมึงให้อยู่แต่ในห้อง
OMIN : หรือบางทีอาจจะขึงมึงไว้กับเตียงเลย
DharmaSORN : สัด
DharmaSORN : โรคจิต


หลังหนังฉายจบครบทั้งสามเรื่องก็ถึงเวลาของคอมเมนเตเตอร์ พิธีกรเชิญเจ้าของผลงานทั้งสามเรื่องซึ่งส่วนใหญ่ก็ส่งผลงานในฐานะผู้กำกับกันทั้งนั้นให้ออกไปยืนในส่วนหน้าด้วยกัน พิธีกรรุ่นน้องเดินถือไมค์ไปตามแถวที่นั่งเพื่อรอส่งไมค์ให้ผู้ชมได้สอบถามหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังก่อนที่จะให้คอมเมนต์เตเตอร์กิตติมศักดิ์ที่ได้รับเชิญมาสองคนได้วิจารณ์หนังอย่างตรงไปตรงมาต่อ


ความคิดเห็นจากผู้ชมมาจากกลุ่มคนจำนวนน้อยในห้องอย่างคนนอกที่สนใจหนังสั้นของนักศึกษา หลังจากนั้นจึงปล่อยให้เป็นแอร์ไทม์ของผู้กำกับคนดังต่อไป


“เราจะพูดถึงกันทีละเรื่องนะ เริ่มจากเรื่องแรกก่อนเลย…” ผู้กำกับชื่อดังแสดงความเห็นหมดทุกส่วนประกอบของหนังหนึ่งเรื่องที่ได้ชมจริง ๆ ตั้งแต่ใช้กล้องอะไรถ่าย ใครเป็นคนถ่ายให้ จนตากล้องอย่างโอมอินก็ต้องออกไปยืนโชว์ตัวคู่กับผู้กำกับด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มวิจารณ์ในแง่อื่น ๆ ด้วย ทั้งเรื่องเทคนิกการถ่าย มุมกล้อง การวัดแสง องค์ประกอบฉาก บท ไดอะล็อก ซาวน์ประกอบ แรงบันดาลใจในการทำเรื่องนี้ การแสดงของตัวละคร การโค้ชแอคติ้ง ระยะเวลาการทำในแต่ละขั้นตอน และจำนวนเงินที่หมดไปกับโปรเจคนี้ แต่ที่กลายเป็นเรื่องน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างคือนักแสดงหลักของหนังเรื่องที่สอง


“พระเอกมาด้วยรึเปล่าครับ แสดงดีมากเลย” ผู้กำกับหนังดังท่านหนึ่งถามขึ้นมา ตั้งแต่ยืนอยู่ตรงนี้โอมอินก็ได้ยินเขากล่าวชมธรรมศรไม่ขาดปาก


เบื่อ…


“มาครับ แฟนตากล้องของผมเอง” สัมพูดขึ้นอย่างตั้งใจล้อเสือหน้านิ่งที่ยืนข้างตนเอง


สิ้นคำตอบนั้นเสียงกรี๊ดก็ดังระงมไปทั่วห้องอีกครั้งของวัน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยัง ‘พระเอก’ ของเรื่องที่เริ่มขัดเขินจนคนถามระบุตำแหน่งของนักแสดงหนุ่มได้โดยที่ไม่ต้องให้มีใครบอก


เสี้ยววินาทีต่อมาเหมือนว่าเสียงกรี๊ดจะดังขึ้นอีกหนึ่งระดับพร้อมคำกระซิบปนเสียงกรี๊ดกร๊าดว่า “พี่โอมยิ้มอ่ะแก พี่โอมยิ้ม” เพราะไม่บ่อยนักที่คนยิ้มยากอย่างโอมอินจะยิ้มให้ใครเห็น ตอนโดนแซวก็ตั้งใจจะปั้นหน้านิ่งไว้เหมือนทุกที แต่มันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็น ‘แฟน’ ยิ้มเขินได้น่าเอ็นดูขนาดนั้น และยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมองมาแล้วเข้าใจว่าเขากำลังยิ้มล้อ ใบหน้าไร้ที่ติที่มองมาอย่างคาดโทษก็ยิ่งทำให้โอมอินฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีก


“มีเสน่ห์มาก สนใจเข้าวงการป่ะเนี่ย”


“ไม่ครับ ผมไม่ชอบงานแสดง” ไม่ต้องเดือดร้อนให้โอมอินออกโรงแทน ธรรมศรก็ชิงตอบปัดยิ้ม ๆ ตามมารยาทเสียก่อน เห็นอัธยาศัยดีแบบนั้นใช่ว่าจะชอบเป็นจุดสนใจ หมอนั่นเขินอายเสียทุกครั้งที่ถูกจ้องมองอย่างโจ่งแจ้ง และมีอุดมการณ์ที่ค่อนข้างแน่วแน่ การเรียนวิศวะของเขาไม่ใช่เรียนเอาเท่  แต่เขาวางแผนอนาคตไว้หมดแล้ว


“ที่รับเล่นเรื่องนี้เพราะแฟนเป็นตากล้องสินะ” คำถามของคอมเมนต์เตเตอร์คนเดิมเรียกเสียงกรี๊ดชอบใจของสาว ๆ และเสียงโห่แซวจากพวกผู้ชายได้เป็นอย่างดี แม้โอมอินจะหวงท่าทางประหม่าของธรรมศรที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน แต่เพราะว่าเสียงล้อเหล่านั้นทำให้เขาได้เห็นริ้วแดงบนแก้มคร้ามใส เขาก็จะยอมเสียดุลตรงจุดนี้


“เปล่าครับ เพราะพี่สัมขอร้อง”


“ใช่ครับ ผมเป็นพ่อสื่อให้พวกมันเอง”


โอมอินหันมองรุ่นพี่ข้างกายตาเขียว กระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินกันสองคน “ชอบเหรอวะที่คนสนใจมันมากกว่าหนังของพี่อ่ะ”


“ถ้าได้แกล้งมึงกูก็ว่าคุ้มว่ะ” หน้าเรียบตึงหงิกงอขัดใจที่ไม่อาจแก้สถานการณ์ได้ทำให้สัมสนุกน้อยเสียเมื่อไหร่ นานทีหมอนี่จะเผยจุดอ่อนออกมา ไม่เอาคืนเสียหน่อยคงไม่ใช่สัม


หลังจากนั้นผู้กำกับคนดังก็ถามคำถามจิปาถะกับเจ้าของผลงานทั้งสามอีกเล็กน้อยก่อนที่งานในช่วงเช้าจะสิ้นสุด หลายคนทะยอยกันออกไปพักกลางวันตามอัธยาศัย มีแค่เพื่อนและรุ่นน้องที่สนิทกันเท่านั้นที่เดินเข้าไปมอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีเล็ก ๆ และถ่ายรูปคู่กับเจ้าของผลงานทั้งสาม ซึ่งคนที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก ถ่ายรูปให้สัมก็หนีไม่พ้นโอมอินคนเดิมจนเขาคิดว่าปีหน้าเขาจะส่งโปรเจคจบในฐานะลำดับภาพแล้วให้สัมมากำกับให้บ้างคงจะดี


ฟากธรรมศรก็ยืนเป็นหุ่นให้สาว ๆ เข้ามาขอถ่ายรูปตั้งแต่งานเลิกอยู่ในห้องฉายหนัง สองขายังไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ต้องยืนยิ้มจนเหงือกแทบแห้ง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ขัดศรัทธา ถ้าเป็นเวลาปกติเขาไม่เคยยอมให้ทำแบบนี้ด้วย แต่เพราะวันนี้มาในฐานะนักแสดงหนังสั้น ธรรมศรคิดว่าเขาก็ควรจะเซอร์วิสนิดหน่อยตามความเหมาะสม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แค่ยืนนิ่ง ๆ ไม่ได้โอบกอดหรือสัมผัสอะไรพวกเธอเหล่านั้น เพราะแค่รอยยิ้มกว้าง ๆ ก็ทำให้พวกเธอพอใจมากแล้ว


“หิวแล้ว”


ประโยคที่ไม่มีประธานดังขึ้นมาโดด ๆ แต่เนื้อเสียงคล้ายเป็นการออกคำสั่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าไร้ที่ติที่เคยฉาบรอยยิ้มไว้เรียบตึงไม่แพ้เจ้าของเสียงเลยทีเดียว


“ไปดิ” ธรรมศรตอบกลับด้วยท่าทีเรียบนิ่งไม่แพ้กันก่อนจะหันไปบอกลาสาว ๆ ด้วยรอยยิ้ม “ขอตัวก่อนนะครับ” พวกเธอแค่ตอบรับเสียงแผ่ว ไม่ต้องรอให้ธรรมศรบอกลา พวกเธอก็พร้อมจะเป็นฝ่ายปลีกตัวไปตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงของโอมอินแล้ว 


“ยังไม่ได้ถ่ายรูปกับพี่สัมเลย”


“ไม่ต้อง!” ไม่พูดเปล่า โอมอินยังฉวยเอาข้อมืออีกฝ่ายแล้วออกแรงดึงให้เดินตามกันออกไปจากห้อง


“อะไรของมึงวะ อย่าไร้สาระหน่าไอ้โอม”


ไร้สาระ?


โอมอินหันกลับมามองตาขวาง ธรรมศรก็มองนิ่ง ไม่คิดจะละสายตาอยู่แล้ว คนที่กำลังฉุนเฉียวถอนหายใจก่อนเอ่ยบอกเสียงอ่อนลง “ค่อยกลับมาถ่ายก็ได้ กูหิวข้าว”


โอเค ยอมรับว่าแพ้สายตาของมัน


นอกจากรอยยิ้มแล้วก็มีเงาตัวเองที่ฉายในแววตาของธรรมศรนี่แหละที่โอมอินยอมรับว่าแพ้ราบคาบ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมองมาด้วยสายตาแบบไหน ขอแค่มันมองตรงมาที่เขาไม่หลบหลีก ขอแค่ในนั้นฉายแต่ภาพของเขา เขาก็พร้อมจะยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
.
.
.
“เพื่อนมึงล่ะ” เพราะออกจากห้องสโลปมาเป็นกลุ่มคนท้าย ๆ แล้ว แต่ธรรมศรก็ยังไม่เห็นเพื่อนของโอมอินเลยสักคน เขาจึงถามขึ้นในตอนที่นั่งรออาหารอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นแล้ว ธรรมศรมองคนที่บ่นว่าหิวแต่กลับพามาร้านอาหารญี่ปุ่นเพียงเพราะว่าเขาชอบ อีกฝ่ายตามใจเขาเสมอแม้ว่าจะเป็นผู้ชายเหมือนกันจนบางครั้งเขาก็ชักจะทำตัวไม่ถูก


“กลับไปแล้ว”


“ไม่ชวนมากินด้วยกันวะ”


“อยากมากับแฟนสองคน”


เหมือนจะพูดหยอดแต่สายตากลับหันไปมองทางอื่น สีหน้าท่าทางก็เรียบเฉยเหมือนภาวะปกติราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ นี่คือภาพที่ธรรมศรเริ่มชินเสียแล้ว หมอนี่พูดตรงตามความรู้สึกได้แข็งทื่อที่สุดในโลก


…ก็ยังดีที่มันไม่ใช้คำว่าเมีย…


“บอกว่าหิวข้าวแต่พามาร้านนี้เนี่ยนะ”


“ที่นี่ก็มีข้าว”


“ตามใจมึง”


“ตามใจมึงต่างหาก”


ธรรมศรโบกมือให้รู้ว่า ‘เอาที่มึงสบายใจเลย’ เพราะอาหารเริ่มทะยอยมาเสิร์ฟแล้ว เขาพร้อมจะสนใจอาหารมากกว่าคนเข้าใจยากตรงหน้าเสียอีก “กูกินละนะ”


โอมอินยกยิ้มเอ็นดู ธรรมศรเป็นคนที่มีบุคลิกแบบผู้ใหญ่ ดูสง่างามไปหมด จะกลายเป็นเด็กน้อยก็ตอนที่อาหารญี่ปุ่นสารพัดชนิดวางอยู่ตรงหน้าเท่านั้นแหละ “เชิญเลยครับคุณชาย”


คนถูกเรียกว่า ‘คุณชาย’ เงยหน้าขึ้นมาทำตาขวางใส่ก่อนจะกลับไปสนใจอาหารต่อ โอมอินชอบเรียกอีกฝ่ายว่าคุณชาย เพราะนอกจากบุคลิกและหน้าตาจะดูดีไร้ที่ติแล้ว ธรรมศรยังเรียนวิศวะชีวการแพทย์ ซึ่งเป็นที่หมั่นไส้และเหน็บแนมของคณะวิศวะอีกด้วยว่าเป็นมันสมองของคณะ แล้วไหนจะรสนิยมเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่าง เรียกได้ว่าดูดีมีรสนิยมดีตั้งแต่หัวจรดเท้า จนโอมอิมเคยคิดว่าความสถุนของมันคงมีแค่คำพูดหยาบคายเท่านั้น


ธรรมศรเหมือนจะอิ่มก่อน อีกฝ่ายละเลียดซาซิมิเนิบช้าคล้ายจะกินเป็นเพื่อนโอมอินเสียมากกว่าจะยังอยากกินต่อ ทว่าท่าทีเหมือนมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดอยู่ตลอดเวลาของธรรมศรกลับทำให้เขาเริ่มไม่เจริญอาหารขึ้นมาเสียดื้อ ๆ


“มึงอิ่มแล้วเหรอ” ธรรมศรถามขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นโอมอินรวบตะเกียบทั้งที่กินไปได้นิดเดียวเมื่อเทียบกับคำว่า ‘หิว’ เห็นพูดแบบนี้ทีไรกินอย่างกับมีหลุมดำอยู่ในร่างทุกที


“มีอะไรจะพูดก็ว่ามา”


ธรรมศรตาโต ไม่คิดว่าอีกคนจะล่วงรู้ถึงความคิดตนได้ “เอ่อ คืนนี้กูไม่กลับห้องนะ”


โอมอินไม่พูดอะไร แต่ใช้สายตาสื่อแทนคำถามว่า ‘ไปไหน’


“จะกลับบ้าน”


“…”


“แล้วไอ้พวกนั้นก็นัดเที่ยวด้วย”


เหตุผลหลังนั่นแหละคือสาเหตุที่แท้จริง


“ไปด้วย” นี่ไม่ใช่คำขอ


“กูไม่ใช่ผู้หญิงไอ้สัด จะตามไปเฝ้าทำไม”


“ไม่ได้เฝ้า ก็เที่ยวด้วยเหมือนเพื่อนมึงไง” เชื่อตายล่ะ


“พวกกูจะไปกันตามประสาหนุ่มโสด” พอได้ยินคำว่า ‘หนุ่มโสด’ คนเป็นเจ้าของก็ตาเขียวปั๊ดจนเขาต้องรีบชี้แจงก่อนอีกฝ่ายจะฟาดงวงฟาดงาจนร้านพัง “หมายถึงว่าเที่ยวกันตามประสาเพื่อน ไม่มีแฟนไปด้วยอ่ะ”


“ถ้ามึงโสดกูก็โสดไง กูก็เที่ยวด้วยได้ดิ”


“เพื่อนกูอยากเที่ยวกันแค่ในกลุ่ม”


“ใครบ้าง ไอ้กอล์ฟ ไอ้ฟา ไอ้หนึ่ง ไอ้เมฆ แล้วมีใครอีก” รายชื่อที่โอมอินไล่มาคือเพื่อนสนิทในภาควิชาเดียวกันกับธรรมศรที่เขารู้จักดีอยู่แล้ว


“มีเพื่อนภาคอื่นด้วย”


หางคิ้วคนฟังกระตุก “สนิทกัน?”


“ไม่สนิทจะเที่ยวด้วยกันเหรอวะ”


เขารู้ ถึงธรรมศรจะมนุษยสัมพันธ์ดีแต่ก็ใช่ว่าจะชอบการเที่ยวกับคนที่ไม่สนิทด้วย เว้นเสียแต่จะรู้จักแล้วสนิทกันที่ร้าน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง “ไปไหนกัน”


“อย่าตามไปนะเว้ย” ธรรมศรโวยวาย


“ก็แค่อยากรู้ ทำไม? ไม่บริสุทธิ์ใจ?”


“เกลียดมึงฉิบหาย”


“ไม่ต้องบอกรักกูตอนนี้ อาหารแพง เสียดายของ”


ธรรมศรร้องเหอะ โอมอินจึงเร่งเอาคำตอบที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ “ทองหล่อ ยังไม่แน่ใจร้าน ที่ไหนไม่เต็มก็ที่นั่น”


“แล้วทำไมไม่กลับมานอนห้อง” พวกเขาไม่ได้พักห้องเดียวกัน ถึงแม้โอมอินจะมาอยู่ห้องธรรมศรบ่อยครั้งแต่ก็ไม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่อย่างถาวร เพราะแค่อยู่คอนโดเดียวกันก็สะดวกแก่การไปมาหาสู่แล้ว


“ก็บอกแล้วว่าจะกลับบ้าน”


“แต่พรุ่งนี้วันจันทร์” แค่ออกไปดื่มคืนวันอาทิตย์ก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังกลับไปนอนที่บ้านทั้งที่พรุ่งนี้มีเรียนเช้า บ้านอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยหรือก็ไม่ใช่ ไกลกันคนละฟากของกรุงเทพฯเสียด้วยซ้ำ


“คาบเช้า’จารย์แคนเซิล”


โอมอินพยักหน้ารับรู้ ตารางเรียนของอีกฝ่ายเขาจำได้หมด ถ้าพรุ่งนี้เช้ายกคลาสก็หมายความว่าธรรมศรมีเรียนอีกทีตอนบ่ายสอง


โอมอินถอนหายใจอีกครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ดูเอาเถอะ นี่คือผู้ชายที่ชื่อว่าธรรมศร ถ้าไม่มีอาหารโปรดวางอยู่ตรงหน้าหรือมีเรื่องกวนใจแล้ว สิ่งต่อไปที่ธรรมศรจะให้ความสนใจคือบรรดาผู้หญิงที่เดินผ่านไปมาข้างนอกร้านนั่นแหละ โอมอินเกลียดจริง ๆ ไอ้นิสัยหูตาแพรวพราวแจกยิ้มเรี่ยราดไปทั่วเหมือนเชื้อเชิญให้เขาเข้าหาแล้วยังเหมือนให้ความหวังพวกหล่อนอีก


“ผัวมึงอยู่ตรงนี้”


“ไอ้สัด!”




ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วคืนนี้เขาจะปล่อยให้มันคลาดสายตาได้หรือ?














พบกันใหม่ตามใบนัดหมอ
----------------------------------------------------------------------
ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: [Underlying diseases.] II โรคประจำใจ II #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 28-08-2017 07:26:26
มาตามเรื่องนี้ด้วยยยยยย โอมอินดูเกรี้ยวกราด กร๊าวใจพี่เหลือเกิน
แต่ไรท์คะ อย่าลืมคุณดีนกับน้องรณณ์นะ :ling1:
หัวข้อ: Re: [Underlying diseases.] II โรคประจำใจ II #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-08-2017 07:53:11
ปัญหาหนึ่งของคนมีคู่ (หัวเราะ) ก็เป็นเรื่องที่ต้องปรับน่ะนะ (แต่ถ้าปรับเข้าหากันไม่ได้งานนี้าอาจจะมีแยกทาง)
การเอาใจเขามาใส่ใจเราและพยายามเข้าใจอีกคนน่าจะดีสำหรับทั้งคู่ ถ้ามัวแต่โทษกันเอาตัวเองเป็นหลักความสัมพันธ์นี้คงแย่
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-08-2017 03:33:06
เข้าใจความหวงนั้นเลยค่ะ แฟนก็เฟรนด์ลี่กับทุกคน โอ้ยยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 31-08-2017 06:21:47
ชอบพระเอกดูมีความเกรี้ยวกราดตลอดเวลา  :mew5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 31-08-2017 07:19:59
แวะมาอ่าน มาเจิมเรื่องใหม่คราบบบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 31-08-2017 09:16:02
ตามๆๆๆ

น่าสนใจมากกกกก โอมอินพระเอกคนเกรี้ยวกราด
แต่หึงเกิ้น คบกันก็ไว้ใจกันนะ

ศร จะอึดอัดเสียเปล่าๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 24-09-2017 18:06:21
ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] #อาการโรค UP 27/08/60
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-09-2017 00:14:11
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-09-2017 22:29:37

Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」



Follow up ครั้งที่ 1

---OMIN---







ไม่มีใครจินตนาการออกหรอกว่าตัวเองจะขี้หึงขนาดไหน


…จนกว่าจะมีความรัก…





ไอ้พี่สัมเคยบอกผมอย่างนั้นในวันที่ผมยังคิดภาพตัวเองมีความรักไม่ออกเลยด้วยซ้ำ จำได้ว่าตอนนั้นส่ายหน้าระอาเอือมใส่พี่มันด้วย ยอมรับเลยว่าค่อนข้างแอนตี้ความรักงี่เง่าแบบนี้


แล้วดูกูตอนนี้สิ


ตามมาเฝ้าเมียเที่ยวผับ ไอ้สัด!


แสงสีชวนเวียนหัวกับเสียงบีสท์หนัก ๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย ปกติก๊วนของผมอันประกอบไปด้วยไอ้พีท ไอ้เต๋า และไอ้โจ ชอบเที่ยวกึ่งผับกึ่งบาร์ไม่ก็พวกร้านอาหารซะมากกว่า นั่งดื่มไปด้วยฟังเพลงชิล ๆ ไปด้วย ไอเดียบันเจิดดีแท้ แต่ช่วงหกเดือนให้หลังมานี้ นับตั้งแต่ช่วงสามเดือนที่รู้จักไอ้ศร และอีกสามเดือนที่คบมันเป็นแฟน ผมกับพวกแม่งก็มาที่แบบนี้กันบ่อยขึ้น แรก ๆ ก็ปรับตัวกันไม่ค่อยได้ แต่บ่อยเข้าพวกมันที่ถูกบังคับให้มาเป็นเพื่อนตลอดก็ดูจะชอบที่แบบนี้เข้าให้เสียแล้ว


ร้านนี้เป็นร้านเหล้าชื่อดังในหมู่วัยรุ่น ตั้งแต่วัยนักศึกษาจนถึงวัยต้น ๆ ของกลุ่มคนทำงาน ชั้นล่างติดเวทีที่ยกสูงขึ้นมาแค่สองฟุต เรียกได้ว่าใกล้ชิดกับโซนหน้าเวทีจนเหมือนยืนอยู่ด้วยกันมากกว่ามาร้องเพลง บริเวณนั้นมีโต๊ะตัวใหญ่สองสามตัวไว้รองรับคนที่มากันกลุ่มใหญ่ ถัดออกไปรอบนอกหน่อยก็มีทั้งโต๊ะกลมตัวเล็กที่คนจับจองต้องยืนเท่านั้น และมีโต๊ะพูลตัวใหญ่ จะกี่กลุ่มกี่คนก็เลือกจับจองกันคนละมุม ยืนหันหน้าเข้าหากัน โต๊ะแบบนี้แหละสร้างความสัมพันธ์ให้คนมานักต่อนักแล้ว จะฉาบฉวยแค่ข้ามคืนหรือนานกว่านั้นก็ว่ากันไปตามแต่ละคู่ ส่วนพวกผมสี่คนนั่งอยู่ชั้นสองครับ โต๊ะกลมตัวเล็กแต่มีที่นั่งติดริมราวกั้นซึ่งสามารถมองลงไปข้างล่างได้ชัดคือทำเลที่ไอ้โจรีบโทรมาจองให้ทันทีที่ผมเอ่ยปากชวนออกมา


“มึงก็ปล่อยมันบ้างสิวะ สเปซอ่ะรู้จักไหม” ไอ้เต๋าพูดขึ้น มันคงเห็นว่าผมเอาแต่มองลงไปข้างล่างตรงจุดที่ไอ้ศรมันยืนอยู่


“สัด ขนาดกูอยู่ด้วยมันยังหว่านสเน่ห์สาว ๆ ขนาดนั้น มึงยังคิดว่ากูจะปล่อยให้มันห่างสายตาได้อีกเหรอวะ”


นี่กูนั่งกำแก้วมาเกือบสามชั่วโมงแล้วครับ ห่าเอ้ย! ไม่เคยต้องอดทนขนาดนี้มาก่อน สามชั่วโมงที่ผมนั่งกำแก้วแน่นมาก มันชนแก้วกับสาว ๆ ไปเกือบครบทั้งร้านแล้วมั้งครับ


เกลียดแม่งฉิบหาย !


“เดี๋ยวแก้วแตกไอ้สัด” ไอ้โจพูดขึ้นมา มันไม่ได้หวังดีอะไรหรอกครับ ไอ้เหี้ยนี่มันโรคจิต พูดเหมือนห่วงว่าจะเกิดความเสียหาย แต่เชื่อเถอะว่าหน้าและรอยยิ้มของมันต้องเหมือนคนที่รอเห็นแก้วแตกคามือผมอย่างใจจดใจจ่อมากกว่า ผมเลยละสายตาจากไอ้ศรตวัดมามองมันแทนคำว่า ‘เสือก’ ซึ่งนั่นก็ยิ่งสร้างความพอใจให้มันจนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


“เหี้ยโจแม่งเลว อยากเห็นเพื่อนเป็นทุกข์” เสียงไอ้เต๋าดังขึ้นตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือพวกแม่งมีความสุขกับการเห็นผมเป็นแบบนี้ พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานเกือบทั้งชีวิตแล้วครับ กระเตงตามไปเรียนกันทุกที่ จนล่าสุดกลายมาเป็นเด็กฟิล์มด้วยกันมาสามปีแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ตรงไหน ตลอดทั้งชีวิตพวกมันคงเบื่อจะเห็นหน้าเรียบเฉยของผมและท่าทีนิ่ง ๆ ไม่สะทกสะท้านกับทุกสิ่งบนโลกเต็มแก่ พอมีตัวกระตุ้นอย่างไอ้ศรเข้ามา พวกแม่งก็คงรู้สึกสนุกเป็นธรรมดา


ผมไม่ได้ให้ความสนใจอะไรพวกมันอีก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้พีทมันไม่ได้นั่งดื่มอยู่ข้างผมอีกแล้ว รู้ตัวอีกทีก็เห็นไอ้เพื่อนทรยศลงไปเต้นอยู่ใกล้แฟนของผมแล้ว


“เชี่ยพีท” ผมเผลอสบถออกมาอย่างหัวเสีย ได้ยินเสียงหัวเราะหึจากไอ้โจดังแว่วมาแต่ก็ไม่คิดจะสนใจ กลัวตัวเองจะยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่


“กลัวไอ้ศรรู้เหรอว่ามึงมา” ไอ้เต๋าถาม ผมไม่รู้ว่ามันจะถามทำไม เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันมาเฝ้าไอ้ศรเป็นเพื่อนผม และมันก็เคยได้รับคำตอบไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วด้วยซ้ำ


“ไอ้ศรมันไม่โง่” นั่นแหละครับคำตอบของผม แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ตอบนะ เป็นไอ้โจที่สะเออะตอบแทน แต่จะบอกว่ามันตอบแทนก็คงไม่ถูก พวกแม่งแค่กำลังล้อเลียนผมอยู่เท่านั้นเอง


“เล่นอะไรดูหน้ากูด้วย…แล้วมึงก็ลงไปลากไอ้เหี้ยพีทกลับมาเดี๋ยวนี้ ห่านั่นแม่งโจ่งแจ้งเกินไป”


คราวนี้เต๋าหัวเราะ “ไหนมึงบอกว่ามันรู้อยู่แล้วไงว่ามึงจะมา แล้วจะกลัวไรวะ”


“มันรู้ว่ายังไงกูก็ต้องมา แต่ถ้ายังไม่เห็นกันก็ถือว่าไม่ได้มา มึงเข้าใจไหม”


“นี่กูงงหรือกูเมาวะ” ไอ้โจหันไปขอความเห็นจากเต๋า


“อาจจะเมาว่ะ เพราะกูก็เป็น”


ผมเลิกสนใจพวกมันสองคนแล้วหันกลับไปมองไอ้ศรเหมือนเดิม ตอนนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเต้นด้วย ในมือเธอมีแก้วเหล้าติดมืออยู่ ตอนนี้คงกำลังทำความรู้จักกันหลังชนแก้วทักทาย


เป็นไปตามสเต็ป


ผมกดโทรศัพท์หาไอ้พีททันที โชคดีที่มันรู้สึกตัวแล้วไม่บ่ายเบี่ยงจะรับสายผม ผมเลิกสนใจแล้วว่าศรจะรับรู้ถึงตัวตนของผมเพราะผมได้สั่งให้ไอ้พีทเข้าไปกันท่าเธอออกจากไอ้ศรเรียบร้อย เพื่อนผมคนนี้แม้ไม่หล่อดูดีทุกกระเบียดนิ้วอย่างไอ้ศรแต่มันก็มีเสน่ห์พอตัว สาว ๆ เห็นก็พาลจะหลงมันกันได้ง่าย ๆ และมันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ไอ้พีทเนียนเข้าไปเต้นใกล้ ๆ แทรกแซงสองคนนั้นอย่างชัดเจนแล้วฉกเธอออกจากตัวไอ้ศรได้ในเวลาไม่นาน มองจากข้างบนยังเห็นเลยว่าไอ้ศรหน้าเหวอเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปากให้เพื่อนผม


แต่หลังจากนั้นคนที่ต้องเหวอกลับกลายเป็นผมเสียเอง เพราะมันแม่งเงยหน้าขึ้นมามองได้ตรงตำแหน่งโดยไม่ต้องเสียเวลามองหาราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าผมอยู่ส่วนไหนของร้าน มิหนำซ้ำมันยังส่งยิ้มล้อผมมาอีกด้วย


น่ารักสัด!


บ้าจริง! ใครสั่งใครสอนให้มันทำตัวแบบนี้วะ แทนที่จะโกรธที่ผมตามมาคุม มันกลับมีหน้ามาล้อเลียนอาการหวงของผมอีก แม่งจะทำให้ผมหลงไปถึงไหนวะ แค่นี้เพื่อนกูก็ล้อกันฉิบหายแล้ว


OMIN : หันมายิ้มให้แบบนี้คืออะไร ไม่อยากกลับบ้านแล้วสินะ
OMIN : กลับห้องไปกับกูเลยดีไหมล่ะ
DharmaSORN : *สติ๊กเกอร์หมาแลบลิ้น


หึหึ


“ยิ้ม ไอ้สัดยิ้ม” เสียงไอ้โจดังแซวขึ้นมาก่อนจะเสริมทัพด้วยไอ้เต๋า “เดี๋ยวนี้สีหน้ามึงเปลี่ยนเร็วนะ เมื่อกี๊ยังทำหน้าเหมือนจะฆ่าใครตายเลย ตอนนี้ละยิ้มหน้าบาน นี่มึงเป็นไบฯป่ะเนี่ย”


“กูกลายเป็นเกย์แล้ว”


“ไบโพลาร์ไอ้สัด”


อารมณ์ดีครับเลยกวนตีนมันไปนิดหน่อย ผมยอมละสายตาจากไอ้ศรมานั่งดื่มกับเพื่อนเพื่อให้รางวัลกับความน่ารักของแฟน ไม่นานไอ้พีทมันก็กลับขึ้นมา ไอ้ห่านี่ปากบวมเจ่อมาเชียว นี่มันไปดูดปากเขาหรือโดนเขาดูดปากมาวะ รุนแรงสัด


“สาวที่มาเจ๊าะแจ๊ะไอ้ศรแม่งแซ่บสัด ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไอ้ศรได้ลองแม่งจะสลัดหลุดไหม”


ผมเริ่มหน้าตึง


“เด็ดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” เชื่อเถอะว่าโจมันไม่ได้อยากรู้เรื่องเธอคนนั้นหรอก มันแค่ต้องการขยี้ให้ผมขุ่นเคืองในใจเล่น


“ไม่ธรรมดากว่านั้นเว้ย ไม่ใช่แค่ลีลา แต่เธอเกาะไอ้ศรไม่ปล่อยแน่ มึงระวังเหอะไอ้โอม เมื่อกี๊กว่ากูจะแยกออกมาได้ไม่ง่ายนะเว้ย เผลอ ๆ เธออาจจะไม่หยุดแค่นี้ กูบอกเลย”


ผมพึมพำขอบใจมันไปก่อนจะหันกลับไปมองแฟนสุดน่ารักของผมต่อ ตอนนี้มันกลับไปสนใจวงดนตรีต่อแล้ว ไม่มีใครเข้ามายุ่งกับมันอีกนอกจากเพื่อนต่างสาขาที่ล้อมหน้าล้อมหลังมันอยู่ ใช่ว่าไม่มีผู้หญิงมาเกี่ยวพันแล้วผมจะสบายใจ ไอ้พวกผู้ชายนี่ก็ตัวดี


ไอ้ศรแมนมาโดยตลอด มนุษยสัมพันธ์ดีกับผู้หญิงเป็นเลิศ แต่มันไม่เคยเผื่อแผ่ให้ผู้ชายคนไหน จนพอเปิดตัวว่าคบกับผู้ชายด้วยกันเท่านั้นแหละ แม่งเอ้ยยยยย ผู้ชายเดินตามตูดกันเป็นพรวน มันไม่รู้หรอกว่านับตั้งแต่ที่คบกับผม ตัวมันเองดึงดูดเพศเดียวกันมากขนาดไหน


หลายคนรู้ว่าเราคบกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างเราใครอยู่โพสิชั่นไหน ก็ทั้งผมทั้งมันต่างก็แมน ๆ ทั้งคู่ ใครเห็นก็เดายากว่าใครจะเป็นฝ่ายยอมเสียความแมนที่สั่งสมมาทั้งชีวิต มีแต่ไอ้พวกเพื่อนผมเนี่ยแหละที่รู้ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมถูกเสียบแน่ เพราะฉะนั้นพวกมันจะรับรู้ได้เองว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ศรเกิดขึ้นเพราะมัน ‘เสร็จ’ ผม


และเพราะแบบนี้แหละ ทั้งฝ่ายรุกฝ่ายรับถึงได้เข้าหามันกันนัก คบกูได้ ก็ต้องคบผู้ชายคนอื่นได้เหมือนกันว่างั้นเถอะ


ฝันไปเหอะไอ้สัด ! 


ยิ่งดึกเพลงที่วงดนตรีเล่นก็ยิ่งเร็ว ถึงจะไม่เร็วเท่าเพลงที่เปิดจากดีเจแต่ก็จัดเป็นท่วงทำนองที่ปรับแต่งใหม่จนเร็วกว่าต้นฉบับอีกหนึ่งเท่า ผมมองดูร่างสมส่วนของคนรักโยกย้ายไปมาตามจังหวะอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะท่วงท่าไหนมันก็ดึงดูดสายตาผมได้เสมอ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ใครหลายคนก็จ้องมองมันเหมือนกัน


และค่ำคืนนั้นผมก็ได้รับสายตาจากมันอีกครั้งในตอนที่เพลงหนึ่งดังขึ้น


...โดนเธอเฝ้ามองจับตาตลอดเวลา
ว่าฉันจะทำอะไรเหมือนเป็น…ผู้ชายเจ้าชู้...


ริมฝีปากได้รูปร้องคลอตามเนื้อร้องราวกับกำลังส่งเพลงนี้ให้ผม นัยน์ตาคู่นั้นซุกซนอย่างที่ไม่เคยเป็นจนผมเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้


...เฮ้ วัน ทรู ทรี ไม่ได้เป็นคนที่เกเร แค่อยากจะบอกไม่ได้เจ้าชู้ ถ้าเธอเข้าใจก็โอเค…


มันเมา !!!












OMIN : มาเรียนรึยัง


ผมไลน์ไปหามันตอนช่วงบ่ายโมงครึ่งเพราะศรมีเรียนตอนบ่ายสอง รอไม่นานเกินสองนาทีผมก็ได้รับข้อความตอบกลับมา


DharmaSORN : มาแล้วครับพ่อ
OMIN : ผัว
DharmaSORN : สัด


ผมยิ้มเหมือนคนบ้าได้ครั้งแรกของวัน เชื่อไหมว่าทุกวันนี้รอยยิ้มของผมขึ้นอยู่กับมันเกือบทั้งหมด รองจากแม่ก็มีแต่มันนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้เพียงแค่คุยกัน หรือแค่มันด่ากลับมาก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ง่าย ๆ แล้ว ผมคิดว่าช่วงหลังมานี่ตัวเองค่อนข้างอ่อนไหวง่ายทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความสุขมากเหลือเกิน


OMIN : สร่างเมารึยัง
DharmaSORN : สร่างตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหอะ


ผมส่ายหน้าทั้งที่ระบายยิ้ม เมื่อคืนยังไม่ทันได้จบเพลงนั้นดี ผมก็ลากตัวมันออกจากกลุ่มเพื่อนไปทำให้สร่างเมาได้แล้ว เดิมทีตั้งใจว่าจะพากลับคอนโดไปด้วยกันเสียเลย แต่พอมันยืนกรานว่าจะกลับไปนอนบ้าน ผมก็ทำได้แค่ช่วยให้มันสร่างเมาเร็วที่สุดเพื่อให้ขับรถไหว


OMIN : ตั้งใจเรียนล่ะ
DharmaSORN : นี่ธรรมศรนะครับ


มันตั้งใจเรียนมากจริง ๆ อันนี้ผมนับถือเลย


OMIN : คิดถึง
DharmaSORN : *สติ๊กเกอร์คนอ้วก


เป็นการจบบทสนทนาก่อนมันเข้าเรียนที่ทำให้ผมอารมณ์ดีเสียจริง














วันนี้ผมเลิกเรียนเร็วจึงกลับมานั่งรอไอ้ศรที่ห้องของมัน ปกติหลังเลิกเรียนผมก็แทบจะตรงดิ่งกลับห้องตัวเองนอนพักเอาแรงก่อนออกไปดูหนังรอบดึกตามอารมณ์เด็กฟิล์มที่อยากหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ แต่นับตั้งแต่มีไอ้ศรเข้ามาในชีวิต จากที่ออกไปดูหนังข้างนอกดึก ๆ ดื่น ๆ ก็กลายเป็นว่าผมมีเพื่อนดูหนังเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แทนที่จะออกไปดูข้างนอก ก็นอนดูกับมันในห้องนี่แหละครับ


นอนกกกันดูหนัง มีความสุขกว่าไปนั่งดูคนเดียวเป็นไหน ๆ


ผมเป็นคนที่ไม่มีประเภทของหนังที่ชอบหรือไม่ชอบดู ขึ้นอยู่กับว่าผมอยากได้อะไรจากมันมากกว่า ขณะที่ไอ้ศรเกลียดหนังรักทุกชนิดไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง รักกันดูดดื่มปานจะกลืนกินหรือดราม่าน้ำตานองให้ตายกันไปข้างมันก็ไม่ชอบ พอถามถึงเหตุผล มันก็ตอบหน้าตายแค่ว่า ‘ผู้ชายแมน ๆ เขาไม่ดูหนังรักกันหรอก’


ตรรกะแม่งพังว่ะ


ผมรื้อแผ่นหนังรักเรื่องหนึ่งออกมาเปิดดู How to lose a guy in 10 days. เป็นเรื่องที่ผมดูบ่อยพอสมควร ฉากเริ่มเรื่องคุ้นตาเริ่มต้นขึ้นในจังหวะที่ผมเหลือบดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนผนัง อีกหนึ่งชั่วโมงไอ้ศรถึงจะเลิกเรียน ถึงตอนนั้นมันก็คงจะหิวมากจนไม่หิ้วท้องกลับมากินข้าวกับผมที่ห้องแน่ ๆ ผมจึงทำอาหารง่าย ๆ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วมานั่งกินขณะดูหนัง





ติ๊ด


เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้นในสามชั่วโมงหลังจากนั้น หนังเรื่องเดิมฉายซ้ำรอบที่สองของวันแล้วแต่ผมก็ยังเอาแต่จ้องมองราวกับลุ้นฉากต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งที่ความจริงผมดูจนจะท่องได้ทุกไดอะล็อกอยู่แล้ว แต่ที่ยังเปิดวนซ้ำเพราะแค่ไม่ต้องการให้ห้องชุดหรูนี่เงียบเกินไปก็เท่านั้น


ผมไม่ได้หันไปมองคนมาใหม่ ได้ยินมันส่งเสียงคล้ายรำคาญหนังเรื่องที่ผมดูเสียเต็มประดา แต่ถึงอย่างนั้นเสียงฝีเท้าที่สืบใกล้เข้ามาก็บอกได้ดีว่าแม้จะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินเข้ามาหาผม


“มานานรึยังวะ”


“เพิ่งถึง”


“เหรอ” เจ้าของห้องตัวจริงเดินเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงนั่งบนพนักของโซฟาหันหน้าเข้าหาผมที่เอาแต่จ้องโทรทัศน์ราวกับกำลังแข่งจ้องตากับนางเอกของเรื่อง “โกหกไม่ได้รางวัลนะมึง”


แม่ง


“ตั้งแต่ห้าโมง”


“หึ”


ฟอดดดดดดดดดด


“พูดง่ายนะมึงเนี่ย”


เชี่ยยยยย กูถูกขโมยหอมแก้ม!!


ผมนั่งหน้าร้อนผ่าวขณะที่มันหายลิ่วเข้าห้องนอนไปแล้ว ไม่ปฏิเสธหรอกว่าชอบเวลาที่ไอ้ศรมันทำอะไรแบบนี้ก่อน มันทำให้ผมใจเต้นแรงได้ดีเสมอ แต่ที่น่าเจ็บใจคือผมมักจะเสียสมดุลจนตอบโต้มันได้ไม่ทันควัน ทุกครั้งที่ถูกจู่โจมก่อน ผมต้องกลายเป็นสาวน้อยเสียทุกที!


หนังรอบที่สองจบลงแล้ว ผมปิดโทรทัศน์เก็บกวาดของและปิดไฟเรียบร้อยเมื่อเห็นว่าศรหายเข้าไปในห้องนอนนานจนคงไม่ออกมาในส่วนของห้องนั่งเล่นแล้ว


ไอ้ศรยืนหันหลังอยู่ตรงระเบียงในชุดนอนที่มีเพียงกางเกงผ้าแพรขายาวสีเลือดนก แผ่นหลังเปลือยเหยียดตรงเสริมบุคลิกให้ดูดีได้อย่างน่ามอง ควันขาวหม่นที่พวยพุ่งจากจมูกและปากของมันทำให้ผมต้องหยิบบุหรี่ติดมือออกไปด้วยหนึ่งมวน


มันเหลือบมองผมเล็กน้อยตอนที่ผมเปิดประตูออกไปก่อนจะคาบบุหรี่เข้าที่ริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง ผมรีบคว้าหมับเข้าที่ท้ายทอยมันแล้วล็อคให้หันมาหากันก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เหมือนจะจูบ แต่เปล่าเลย มีเพียงแค่ปลายมวนบุหรี่เท่านั้นที่เชื่อมสองเราไว้ด้วยกันและสายตาของผมที่มองสำรวจใบหน้ามันอย่างถ้วนถี่ในระยะใกล้ ตอนเมคเลิฟกันไม่ค่อยได้มองอย่างพินิจหรอกครับ สีหน้าเย้ายวนของมันแม่งน่าสนใจกว่า


เรายืนอยู่อย่างนั้นไม่นานปลายมวนบุหรี่ของผมก็ติดประกายไฟเหมือนกับมัน ต่างคนต่างสูบบุหรี่เงียบ ๆ ต่างคนต่างมองวิวเมืองที่สว่างไสวเสียจนกลบความโรแมนติกจากธรรมชาติอย่างดวงดาวบนท้องฟ้าเสียหมด


“เลิกบุหรี่กันเถอะว่ะ”


ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบก่อนที่ไฟจะเผาบุหรี่ของมันจนหมดมวน มือข้างที่ว่างอยู่ก็จับมันให้หันมามองหน้ากัน ผมมองมันอย่างจริงจัง ไอ้ศรรู้ดีว่าผมพูดจริงเพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะฉายแววล้อเล่นให้มันเห็น แต่เพราะผมคงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน มันจึงยังมีท่าทีลังเล


“กูอยากอยู่กับมึงนานๆ”


ผมพูดจริง ๆ


นัยน์ตาของผมไม่โกหก ผมไม่เคยล้อเล่นในทุกคำพูด ได้แต่หวังว่าสามเดือนที่คบกันจะทำให้มันรู้จักผมมากพอ


ไอ้ศรหลบตาหันกลับไปมองวิวเมืองอีกครั้ง “นานแค่ไหน”


“ไม่รู้สิ รู้แต่อยากอยู่กับมึงไปเรื่อย ๆ” …นาน ๆ


ผมรู้ว่าผมกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงที่อันตราย แต่ทำอย่างไรได้ ผมเผลอจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้มากเกินไปซะแล้ว


“กูไม่ได้อยากอยู่บนโลกนี้นานนักหรอก มึงก็รู้ว่ากูขี้เบื่อ”


...แล้วเบื่อกูรึยัง…


ไม่กล้าถามเลยจริง ๆ


ศรหันกลับมามอง “แต่ถ้ากูยังไม่เบื่อมึง กูก็อาจจะอยากอยู่บนโลกนี้นานขึ้นก็ได้”


สิ้นคำตอบนั้นเราต่างก็นิ่งเงียบกันไป ผมไม่แน่ใจว่ามันสั้นแค่ไม่กี่วินาทีหรือนานอยู่หลายนาที รู้แค่ว่าระหว่างเรายังไม่มีใครละสายตาไปจากกันและกัน ผมไม่เข้าใจความหมายที่มันพูดสักเท่าไหร่ ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนักว่าผมได้กลายเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ของมัน ศรเป็นฝ่ายขยับตัวก่อน ความเคลื่อนไหวนั้นคือการคาบมวนบุหรี่เกือบสั้นกุดเข้าที่ปาก ไม่ต้องคิดอะไรต่อให้เสียเวลา ผมรีบดึงบุหรี่ในมือคนรักออกก่อนที่มันจะถึงริมฝีปากอีกครั้งแล้วประกบปากตัวเองลงไปแทนที่ จูบรุนแรงเร่าร้อนตามสภาวะอารมณ์ขุ่นมัวถูกป้อนซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ขัดขืน นอกจากจะเปิดทางให้เรียวลิ้นร้อนแทรกเข้าไปอย่างง่ายดายแล้ว มันยังตอบสนองกลับมาอย่างช่ำชองอีกด้วย รสเฝื่อนและกลิ่นของบุหรี่ยิ่งเสริมให้เรามอมเมาในรสจูบของกันและกันมากยิ่งขึ้นจนรู้สึกว่าจูบเท่าไหร่ก็ไม่พอเอาเสียเลย


ผมยื่นมือข้างที่ถือบุหรี่ไปขยี้บนที่เขี่ยซึ่งถูกวางไว้ไม่ไกลกันนัก ขณะที่มืออีกข้างก็เริ่มไล้ไปตามแผ่นหลังเรียบเนียนที่ไม่ได้ลื่นมือสักนิดเพราะมันก็เป็นผู้ชายห่าม ๆ แต่ความสากเล็กน้อยนั่นก็ให้ความรู้สึกว่าเซ็กซี่สุด ๆ ยิ่งในส่วนของเอวสอบนั่นก็ยิ่งเร้าอารมณ์เสียจนทนไม่ไหว


ไอ้ศรส่งเสียงอื้ออึงพร้อมดันตัวผมออกเพื่อกอบโกยอากาศก่อนที่ผมจะดึงมือข้างหนึ่งกลับมาจากที่เขี่ยบุหรี่เสียอีก ผมส่งสายตาแทนคำชวนให้ไปต่อกันที่เตียงแต่มันกลับปฏิเสธทางสายตาอย่างจริงจังไม่ต่างกัน


…และผมก็แพ้มันอีกเช่นเคย


เราต่างก็หันไปสนใจวิวตรงหน้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่มีบุหรี่มาเสริมให้บรรยากาศขมุกขมัวอีกแล้ว วันนี้เจ้าของใบหน้าไร้ที่ติข้างผมแปลกไป ไม่สิ แปลกตั้งแต่ยืนกรานจะกลับบ้านเมื่อวานนี้แล้ว


ตั้งแต่รู้จักกันมาธรรมศรกลับบ้านน้อยครั้งมาก แทบจะเดือนละครั้งแล้วยังอิดออดเสียด้วยซ้ำ ผมไม่รู้เรื่องครอบครัวมันนัก รู้แค่เท่าที่ออกสื่อและจากที่ไอ้เต๋าเล่าให้ฟังตอนคิดจะจีบมัน อย่างเช่นว่าปู่มันเป็นนายพลทหารเก่า พ่อมันเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้าน ทำให้ครอบครัวมันมีทั้งเงินและอำนาจ แม่มาจากตระกูลผู้ดีเก่า ซึ่งนี่คงเป็นส่วนสำคัญให้เด็กชายธรรมศรโตขึ้นมาเป็นคุณชายธรรมศรที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนเรื่องที่ลึกกว่านั้นผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้ และผมเองก็ไม่ใช่พวกชอบเซ้าซี้แม้จะอยากรู้เรื่องของมันบ้างก็ตาม


“ถ้ารู้ว่ามึงกลับบ้านแล้วเอาความไม่สบายใจกลับมาด้วย กูคงพามึงกลับห้องด้วยกันตั้งแต่เมื่อคืน”


“หื้ม?”


“ไม่รู้ตัวเหรอว่ามึงชอบมายืนดูวิวเวลามีเรื่องไม่สบายใจ”


ไอ้ศรเป็นคนยิ้มเก่งเวลาเจอสาว ๆ แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นคนที่หน้านิ่งเรียบตึงยิ่งกว่ารูปปั้น ผมว่าผมหน้านิ่งมากแล้ว แต่กลายเป็นคนยิ้มเก่งไปเลยเมื่อมาเจอคนอย่างมัน ว่ากันตามตรงแล้วผมก็ไม่ใช่คนยิ้มยาก ติดแค่หน้านิ่งแล้วดูดุเท่านั้นเอง ยิ้มแต่ละทีก็มาจากใจจริง แต่กับไอ้ศร ผมไม่แน่ใจว่ามีสักครั้งไหมที่ใจของมันจะระรื่นเหมือนอย่างที่หน้ามันเป็น


เพราะมองอยู่ตลอดจึงรู้


และเพราะอย่างนั้น…ผมถึงได้หลงรักรอยยิ้มจอมปลอมนั่นจนอยากทำให้มันออกมาจากใจจริง ๆ บ้าง


ไม่อยากจะอวดหรอกว่าผลงานของผมน่ะเป็นที่น่าพอใจขนาดไหน


“มึงนี่รู้จักกูดีกว่าตัวกูเองซะอีกนะ”


“เพราะมึงอยู่ในสายตาของกูตลอดไง”


ผมไม่ได้หมายความว่าตัวเองตามหึงตามหวงมันไปทุกที่ แต่หมายถึงการเป็นห่วงและสนใจมันอยู่ตลอดต่างหาก


“งั้นมึงก็คงรู้ว่ากูยิ้มง่ายขึ้นเวลาที่มึงอยู่ด้วย”


นี่ไงครับ ผลงานของผม


คงเป็นภาพที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ในสายตาคนอื่นถ้าผมจะขยี้ผมคนที่ตัวสูงเท่า ๆ กัน แต่ผมก็มักจะทำแบบนี้เวลาที่เอ็นดูมัน ยิ่งทำมันก็ยิ่งหน้างอแต่ไม่ยักปัดมือผมทิ้งหรือหลบหลีกเลยสักครั้ง


น่ารักจัง เมียใครวะ








ผมปล่อยให้คนรักยืนอยู่อย่างนั้นนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วขณะที่ตัวเองปลีกตัวออกมาอาบน้ำ แม้จะอยากอยู่ด้วยในตอนที่อีกฝ่ายไม่สบายใจแต่ก็ต้องเว้นพื้นที่ให้มันได้อยู่ตามลำพังบ้าง มองแค่ภายนอกคนอาจคิดว่ามันไม่ใช่คนเก็บกด แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นคนที่คิดมากมากกว่าผมเสียอีก บางเรื่องมันก็ระบายให้ฟัง แต่ถ้าลองได้นิ่งเงียบแบบนี้ก็เดาไว้ได้เลยว่าเรื่องที่กำลังกวนใจมันในตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของครอบครัว


ผมยืนมองแผ่นหลังมันผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่กั้นเราไว้ให้เหมือนอยู่กันคนละซีกโลก แผ่นหลังกว้างที่เคยเหยียดตรงอย่างสง่างามเสมองุ้มงอลงเล็กน้อย เห็นอย่างนั้นแล้วอยากเดินเข้าไปกอดปลอบแล้วกระซิบซ้ำ ๆ ที่ข้างหูมันว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้เสมอ แต่ก็ได้แค่คิด ผมไม่เคยทำอะไรหวาน ๆ แบบนั้นหรอก อย่างดีที่เคยทำก็แค่สวมกอดมันดื้อ ๆ รัดแน่น ๆ ไม่ให้มันหลุดไปไหนได้พร้อมขู่ว่าถ้ามันดิ้นมากนักผมจะเอามันทั้งคืน


กูทำได้แค่นั้นแหละ


ไอ้ศรเริ่มขยับตัว ผมเบี่ยงสายตาหลบเพราะคิดว่ามันจะหันมา แต่เปล่าเลยมันแค่ขยี้ตาเท่านั้น ซึ่งเมื่อเห็นมันทำอย่างนั้นผมก็ไม่รอช้ารีบรุดเข้าไปหาทันที


“ทำไมชอบขยี้ตาจังวะ ช้ำหมดแล้วเนี่ย” ผมเอามือไอ้ศรออกแล้วจับหน้ามันไว้พร้อมยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ ตามันช้ำแดงไปหมดแต่ผมก็ยังไม่หาสาเหตุที่ทำให้มันต้องขยี้ตาไม่ได้เลยคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นฝุ่น


แต่คิดอีกที…


มองสบตามันตรง ๆ เพื่อจะถามว่าไม่ได้ร้องไห้ใช่ไหม แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่มองมาผมก็แทบจะเข่าอ่อน “อย่ามองกูด้วยสายตาแบบนี้”


“แบบไหน”


“แบบที่จะทำให้มึงลุกไปเรียนไม่ไหว”


“หึ”


เมียกูโคตรร้าย


เรื่องยั่วให้อยากแล้วจากไปไว้ใจธรรมศร เมื่อกี๊มองผมซะตาเยิ้มอย่างที่ผมชอบ บอกเลยว่าเห็นแล้วมีอารมณ์สุด ๆ แต่แล้วก็มาดับฝันผมด้วยการหัวเราะในลำคอแล้วส่ายหน้าพร้อมยิ้มเย้ย!


คนที่แพ้ทุกทางอย่างผมมีหรือจะยอม ในเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการผมก็เล่นสงครามประสาทด้วยการยืนจ้องหน้ามันแม่งเลย ไอ้ศรเองก็ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว จริง ๆ ต้องบอกว่านอกจากเรื่องบนเตียงแล้วมันก็ไม่เคยแพ้ผมเลย มันไม่เคยเขินเวลาผมมองหน้า เวลาสบตา หรือแม้แต่สัมผัสกอดจูบ อย่างมากที่เห็นก็แค่ริ้วแดงจาง ๆ บนแก้มเวลาเอ่ยขอบคุณ ซึ่งจุดนี้บอกตามตรงว่างงนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจมาก ๆ


“มึงแม่งโคตรหล่อ”


“แหงสิ อย่างกูเรียกว่าโคตรของโคตรหล่อ”


“ไม่มีหรอกที่จะถ่อมตัว”


“ก็เรื่องจริง”


ผมส่ายหัว ส่วนมันหัวเราะร่วน เราจบสงครามประสาทกันในตอนนั้น ปกติไอ้ศรไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ช่วงหลัง ๆ มานี่มันเป็นเอามากจริง ๆ ไอ้เต๋าเคยบอกผมว่าที่มันหลงตัวเองแบบนี้เพราะผมเอาแต่กรอกหูมันว่ามันมีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบงดงามราวกับเทพช่างปั้น


เออ กูยอมรับ!


“หายปวดตารึยัง ตามึงแดงนะ แต่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น คงจะแดงเพราะฝุ่นเข้าหรือไม่ก็จากที่มึงขยี้”


“จะมีอะไรได้ไงอ่ะ ในเมื่อกูปวดตาเพราะตากลม” เออว่ะ อันนี้ผมลืม ไอ้คุณชายมันเป็นคนตาแห้งง่ายและปวดล้าเร็วเวลาตากลมแบบนี้ ตอนนั่งทำงานหน้าจอคอมพ์มันก็ใส่แว่นกรองแสงยูวีเหมือนกัน


“รู้ตัวว่าตาล้าง่ายก็ยังมายืนตากลมอีกนะ”


“อ้าว ก็จะมาสูบบุหรี่นี่หว่า”


ผมเงียบไปหลายอึดใจ ยืนจ้องหน้ามันอยู่แบบนั้นโดยไม่พูดอะไร และมันเองก็ยอมยืนนิ่ง ๆ ให้มองด้วย


“ศร กูพูดจริงนะ เรื่องเลิกบุหรี่”


ไอ้ศรมองสบตาผมนิ่ง


“อืม จะพยายาม…แต่คงไม่เท่ามึง”


ผมยิ้ม


อย่างน้อยมันก็พยายามที่จะยืดเวลาอยู่กับผมไปอีกหน่อย


จะเพิ่มขึ่นอีกหนึ่งปี สองปี สามปี หรือมากกว่านั้น






“ขอแค่อย่าชิงตายไปก่อนกูก็พอ”















พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 2
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
Follow up คือการติดตามอาการค่ะ ครั้งนี้หมอนัดโอมอินมาดูอาการ
โอมอินก็คือโอมอิน เขาไม่พูดหรอกว่า “อยู่ไปด้วยกันนานๆนะ”
ตัวละครแต่ละตัวมีเหตุผลของทุกการกระทำและทุกการแสดงออกค่ะ
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
ฝากเรื่องนี้ด้วยค่ะ #โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-09-2017 22:55:29
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 26-09-2017 23:20:04
มาขอเฝ้าติดตามอาการคนไข้ด้วยคนค่ะ :katai2-1:
ชอบคาแรคเตอร์ของทั้งคู่ ดูนิ่งแมนๆคุยกันดี ดูเชื่อมโยงและรักกันในแบบของตัวเองดี ไม่หวือหวาแต่ก็มีความละมุนผ่านคำพูดนิ่งๆและการกระทำต่างๆ ขอบอกว่าชอบอะไรแบบนี้มากเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะ :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 26-09-2017 23:38:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 27-09-2017 01:40:00
สนุกค่ะ แม้จะไม่ใช่แนวที่ชอบเท่าไร
อารมณ์ตอนแรกกับตอนที่สองต่างกันลิบลับทีเดียว
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-09-2017 07:58:09
เหมือนจะดราม่า  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-09-2017 14:20:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 27-09-2017 15:30:50

ไม่ได้อ่านนิยายวายแนวมหาลัยมานานแล้ว
เผลอกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้นึกว่าจะเป็นแนวหมอๆ
ปรากฏว่า อ้าว เป็นหนุ่มนิเทศน์กับหนุ่มวิศวะซะงั้น
แต่โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวลองอ่าน และๆๆๆ

ฮือออออออออออออออออ คุณทำเราติดหนึบตั้งแต่ตอนแรกเลยค่ะ!! TvT
ชอบอะะะะะ ไม่ค่อยได้อ่านนิยายที่พระเอกกับนายเอกเป็นแฟนกันแต่แรกอยู่แล้ว
น่ารักมากกกกกกกกกกกกก ชอบมากกกก ชอบความขี้หึงของโอมอิน ชอบความช่างยั่วโปรยเสน่ห์ของศร
นี่อ่านไปยิ้มไปทั้งตอนเลยค่ะ 555555555555 ชอบมากก เขินน เขินมากโดยเฉพาะเวลาโอมอินบอกว่า
ตัวเองเป็นผัว และศรเป็นเมีย แหม! มีเมียหล่อละย้ำจังโว้ยยยยยยยย >_<

แต่สังหรณ์ใจว่าจะต้องมีดราม่าในอนาคต เพราะดูจากนิสัยของศรแล้วคงมีเรื่องราว
เก็บกดอยู่ในใจพอสมควร ;w;; แต่คิดว่าโอมอิมชายหนุ่มผู้รักเมียหลงเมียจะช่วยให้ผ่านมันไปได้

เราก็ทำใจพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ!!

ีจะรอตอนต่อไปนะคะ


 :กอด1:

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 27-09-2017 20:46:18
น่ารักมาก คนหึงเมีย มีเมียหล่อต้องทำใจ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 28-09-2017 12:33:02
โอมอินนี่ทาสเมียชัดๆ โอ้ยยยย แมนๆทาสเมียค่าาาา
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-09-2017 01:26:42
กลิ่นดราม่าดูรุนแรงมากค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: blue colour ที่ 29-09-2017 22:30:59
เรื่องนี้ให้ความรู้สึกแตกต่างจากคุณดีนกับน้องรณณ์ไปเลย และมีทีท่าว่าจะดราม่า5555
ปกติจะพยายามเลี่ยงแนวดราม่าเพราะนี่จะจิตตกตามไปด้วยแงงงง แต่เรื่องนี่คงจิเลี่ยงไม่ได้แล้ว
ตามต่อไปค่ะ บุคลิกของทั้งสองคนนี่น่าสนใจมากจนอยากทำให้รู้ว่ามารักกันได้ยังไงแล้วอนาคตของคู่นี้จะเป็นแบบไหน
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Senase9496 ที่ 29-09-2017 22:32:18
งื้อออออออออออ เขินแรงมาก  :katai4:  :katai4:  :z3:
ไม่ไหวแล้วทำไมเขินขนาดนี้ เป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MoMoRin ที่ 30-09-2017 12:05:49
แหมมมมมม คือแบบ ก็สวีทหวานกะนแนวห่ามๆแมนๆเลยเนาะ แต่ก็เขินอ่ะค่ะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 01-10-2017 08:03:16
มีความเขินนน น่ารักมาก แต่จะฟินก็ยังไม่สุด แววดราม่ามันส่อมาชั๊ดชัด กลัวไปหมด เข้าขั้นหวาดระแวง55555555 หวังว่าจะไม่หนักกน่วงนะ เอิ้กๆ

ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 01-10-2017 08:10:11
ขอบคุณนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 01-10-2017 10:06:46
น่ารักดีนะะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 01-10-2017 11:18:29
น่ารักดี แต่มีคำถามเรื่องศัพท์ที่ใช้ค่ะ

คำว่า คอมเมนต์ไตเตอร์ มาจาก commentator หรือเปล่า ถ้าใช่ ควรจะเป็น คอมเมนเตเตอร์ หรือเปล่าคะ

ส่วนคำว่า แซ็ว = แซว
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 01-10-2017 14:37:38
น่ารักดี แต่มีคำถามเรื่องศัพท์ที่ใช้ค่ะ

คำว่า คอมเมนต์ไตเตอร์ มาจาก commentator หรือเปล่า ถ้าใช่ ควรจะเป็น คอมเมนเตเตอร์ หรือเปล่าคะ

ส่วนคำว่า แซ็ว = แซว


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
สำหรับคำว่า คอมเมนเตเตอร์ เดี๋ยวจะแก้ไขนะคะ
ส่วนคำว่า "แซ็ว"
การพูดจาเย้าแหย่ ที่เราเขียนกันว่า "แซว" ปัจจุบันราชบัณฑิตยสถานได้เปลี่ยนการสะกดให้เป็น"แซ็ว" เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถึงจะขัดๆหน่อยแต่ก็อยากพยายามใช้ให้ถูกค่ะ
#ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้นะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 02-10-2017 04:06:51
อ่านไปด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ กลัวดราม่าหนักจังเลย ฮืออ
เอ็นดูโอมอิน เข้าใจที่หึงศรนะ ก็แฟนฮ็อตแถมทำตัวโปรยเสน่ห์เรี่ยราดขนาดน้าน 55555+
ส่วนศรนี่ ถึงแม้ดูเฟรนด์ลี่ โปรยเสน่ห์ นี่บางทีก็เพื่อที่จะกลบอะไรสักอย่างในใจเปล่าหว่า


 ติดตามจ้า

ปล.รอคุณดีนกับน้องรณณ์อยู่เสมอนะ ❤️
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 1 [26/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 02-10-2017 10:48:34
มันดูอึน ๆ แปลก ๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 08-10-2017 22:03:46


Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 2

---OMIN---











เราควรยิ้มให้ตัวเองในทุก ๆ เช้า




คนที่ผมก็ไม่รู้ว่าใครได้กล่าวไว้…


แต่ผมก็ยึดปฏิบัติมาตลอด


ใช่ครับ ผมกำลังยิ้ม


เช้าวันใหม่สดใสเสมอ ตราบใดที่ตื่นมาแล้วพบว่ายังมีไอ้ศรนอนอยู่ในอ้อมกอด


อย่างที่เคยบอก มันแทบจะกลายเป็นสาเหตุหลักของรอยยิ้มผมอยู่แล้ว


ใบหน้าไร้ที่ติของมันหันหนีแสงที่ส่องผ่านผ้าม่านมาทางผมพร้อมกับที่ร่างกายสมบูรณ์แบบในอ้อมกอดแนบชิดเข้ามายิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน


ผมยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม


อดไม่ได้ที่จะขบขำ ถ้าคืนไหนที่เราไม่มีอะไรกันมันจะนอนห่างจากผมมากแบบสุดเตียง แต่ท้ายที่สุดมันก็จะกลับเข้าสู่อ้อมกอดของผมในทุกเช้าด้วยความเคยชินอยู่ดี


…เหมือนอย่างเช่นตอนนี้…


ผมเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้ามันออกจนคนถูกรบกวนตีหน้ายุ่งด้วยความรำคาญทั้งที่ยังหลับตา เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้เลยฉวยโอกาสนี้ฝังจมูกลงบนแก้มมันหนัก ๆ สูดกลิ่นผิวเนื้อคนรักเข้าไปเสียเต็มปอด ชื่นใจเป็นบ้า


“อื้อออ”


“อย่าขี้เซาหน่าคุณชาย”


ผมแกล้งกระซิบชิดริมใบหูแล้วงับเล่นทิ้งท้ายให้มันรำคาญจนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเสียมิดหัวยุ่ง ๆ แถมด้วยการตีก้นมันหนึ่งทีก่อนจะเด้งตัวหนีเท้ามันลงจากเตียงอย่างอารมณ์ดีที่พลาดการถูกถีบมาแบบฉิวเฉียว






ไม่ถึงสิบห้านาทีผมก็ออกมายืนในห้องครัวในชุดนักศึกษาคณะนิเทศน์ฯแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเครื่องแบบที่ว่าต้องไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ เสื้อเชิ้ตนักศึกษาน่ะใช่ แต่กางเกงเป็นยีนส์สีซีดตัวที่เรียบร้อยที่สุดเพราะวันนี้มีเรียน ผ้ากันเปื้อนสีกรมถูกพาดทับกายไว้ลวก ๆ อดชื่นชมตัวเองไม่ได้ว่าดูดีจนครั้งหนึ่งไอ้ศรยังเคยชม


ปกติผมจะตื่นเช้ามาทำอาหารเกือบทุกวัน แม้ว่าบางวันผมจะมีเรียนสายหรือไม่มีเรียนก็ตาม แต่เพราะไอ้คุณชายมันเรียนเช้าแทบทุกวันและไม่ชอบกินอาหารเช้าจนน่าเป็นห่วง ผมจึงต้องตื่นมาทำให้และนั่งกินเป็นเพื่อนมันแบบนี้ สาขาชีวการแพทย์ของมันเรียนหนักครับ มันบอกว่าต้องเรียนทั้งวิชาในหมวดวิทยาศาสตร์สุขภาพ และเกือบทุกสาขาของวิศวะด้วย เพราะอย่างนี้มันจึงมีเพื่อนต่างสาขาเยอะ


มันถึงได้ฮอตจนน่าหมั่นไส้ยังไงละครับ


ไอ้คุณชายธรรมศรมันคุณชายจริง ๆ นะครับ มันน่ะกินยากเป็นที่หนึ่ง นอกจากจะเลือกกินแล้วยังแพ้กระเทียมอีกต่างหาก อาการแพ้เป็นยังไงผมก็ไม่เคยเห็น และไม่อยากเห็นด้วย ผู้ชายตัวควาย ๆ ล้มป่วยมันไม่น่าดูนักหรอกครับ


ความจริงคือกูทนดูมันป่วยไม่ไหวมากกว่า


เมนูง่าย ๆ เช้านี้คือข้าวต้มหมูสับ อย่าถามเลยครับว่าทำไมไม่ทำโจ๊ก อย่างที่บอก ไอ้คุณชายมันกินยาก เรื่องมากจนน่าจะปล่อยให้อดตาย


ข้าวต้มหมูสับสองถ้วยถูกวางบนโต๊ะอาหารในตอนที่เจ้าของห้องเดินออกมาในชุดเสื้อยืดคอวีสีขาวกางเกงยีนส์ขาดเข่าแบบที่ไม่น่าเกลียดนัก ในมือมันมีเสื้อช็อปสีกรมประจำสาขาที่บ่งบอกว่าวันนี้มันคงจะเข้าช็อปของคณะทั้งวัน เพราะหากทำแลปของสายวิทย์สุขภาพ มันจะใส่เสื้อกาวน์แลปแทน


“หอมจัง” ผมทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ


“ทำเองชมเอง” ไอ้ศรส่ายหน้าระอา พาดเสื้อช็อปกับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงตัวข้าง ๆ ฝั่งตรงข้ามผม


“กูหมายถึงมึงต่างหาก” หยอดเมียทุกวันกลายเป็นงานประจำของผมไปเสียแล้ว ไม่วายยังทำตาเจ้าชู้ใส่ให้มันแยกเขี้ยวกลับมาให้ด้วย ผมยิ้มชอบใจ ชอบนะ ชอบมากด้วย เพราะไอ้ศรไม่ใช้น้ำหอม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่สปอร์ตแนวผู้ชายจึงโดดเด่นออกมาให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่นจนถ้าไม่เกรงใจว่ามันมีเรียนเช้า ผมก็อยากจะขอสูดกลิ่นตามผิวเนื้อมันจนกว่ากลิ่นนั้นจะจางหายเลยทีเดียว


ปกติผมไม่ใช่คนชอบพูดจาหวานเลี่ยนชวนอ้วกนัก ไอ้ศรเคยบอกว่าการแสดงออกของผมดูง่าย ถ้าผมแค่ต้องการจะแกล้งหยอกมัน ผมจะพูดหยอดด้วยสีหน้าแพรวพราว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พูดความรู้สึกจริง ๆ ใบหน้าผมจะไร้อารมณ์ เรียบเฉยประหนึ่งกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป


“อร่อยไหม”


“อืม…”


“…”


“…ขอบใจนะ”


โว้ยยยยยยย ขอฟัดแก้มเมียให้ช้ำก่อนไปเรียนได้ไหมครับ


นี่แหละครับเมียผม เวลาพูดขอบคุณผมแต่ละทีจะก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะอายอะไรนักหนา แต่เพราะมันทำอย่างนั้นแหละ ผมเลยรู้สึกว่าริ้วแดงระเรื่อที่ผิวแก้มนั่นน่ารักน่าฟัดเป็นพิเศษ


“ยั่วกูแต่เช้าเลยนะมึง”


ไอ้ศรเงยหน้าขึ้นมายักคิ้วข้างเดียวจึก ๆ ใส่ ให้ตายเถอะ! นับวันมึงจะยิ่งทะเล้นไปไหน “ห้ามไปทำแบบนี้กับคนอื่นเด็ดขาด” ผมพูดเสียงเข้ม จริงจังมากครับ ถ้ามันทำแบบนี้กับคนอื่น ผมตายแน่ แต่หลังจากที่ฆ่าไอ้เหี้ยนั่นตายไปก่อนแล้วนะ


“รีบแดกเถอะ ข้าวต้มมึงจะเย็นหมดละ”


ผมทำตามที่มันบอกอย่างว่าง่าย จบมื้อเช้าหน้าที่เก็บล้างเป็นของไอ้ศร เห็นมันคุณชายเหมือนทำอะไรไม่ค่อยเป็น แต่งานบ้านง่าย ๆ มันก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวนะครับ


วันนี้เราแยกกันไปมหา’ลัยเพราะเย็นนี้ผมมีนัดประชุมงานกับเพื่อนพ้องซึ่งอาจจะเลิกดึก แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะไปรถของผมกันครับ ผมจะคอยไปรับไปส่งมันอยู่เสมอ ก็แฟนนี่ครับ อยากเทคแคร์บ้างอะไรบ้าง











“มาซะเกือบสาย ฟัดกับเมียอยู่เหรอว้าาา”


ปากไอ้โจมันน่ากระเคนตีนให้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ ครับ


“แฟน” ผมตอบหน้านิ่งเน้นคำหนักแน่นในตอนที่เดินผ่านมันไปนั่งข้างไอ้เต๋าด้านในสุด


“วู้ว ๆ ๆ ไม่ยอมให้เรียกว่าเมียนี่เพราะกลัวรึเปล่าครับ”


“เขาเรียกว่าให้เกียรติ” จะมีผู้ชายแมน ๆ ที่ไหนอยากให้คนลือกันหนาหูว่าเปลี่ยนสถานะเป็นเมียกันละครับ ไอ้ศรคนหนึ่งล่ะที่คงรู้สึกไม่ดีแน่ ๆ


“หล่อจริง ๆ ครับเพื่อนกู”


ผมปล่อยให้พวกมันแซ็วกันอย่างสนุกปากได้อีกแค่ไม่กี่นาทีอาจารย์ก็เข้าสอน ผมไม่ใช่คนขยันเรียนอะไรนัก ผมเป็นคนที่ทุ่มเทกับผลงานมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นการทำความเข้าใจในนิยามต่าง ๆ เกี่ยวกับวงการหนังก็สำคัญไม่แพ้กัน








การนัดประชุมครั้งนี้เป็นวาระที่ค่อนข้างใหญ่ การประชุมเกือบร้อยกว่าคนที่รวมเอารุ่นพี่รุ่นน้องไว้ทั้งหมดสองชั้นปีของเอกภาพยนตร์กินพื้นที่ลานใต้ถุนคณะเกินครึ่ง สาระสำคัญที่ต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำคือโปรเจคละครเวทีปีหน้าที่พวกปีสามอย่างผมเป็นหัวเรือใหญ่โดยมีปีสองคอยซัพพอร์ต และหนึ่งในนั้นก็มีเอมอร น้องสาวแท้ ๆ ของผมอยู่ด้วย


“น้องเอมของพี่~~~”


ผมรีบคว้าคอเสื้อไอ้กะล่อนโจไว้ก่อนที่มันจะถลาตัวเข้าใกล้เอม เผลอเป็นไม่ได้ พวกแม่งชอบเต๊าะน้องต่อหน้าผมทุกที


“ไปนั่งไปเอม” ผมไล่น้องไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนซึ่งอยู่แทบจะแถวหลังสุด


“มึงเป็นพี่เขยที่ไม่ได้เรื่องเลย มาขัดขวางความรักของกู ระวังกรรมจะตามสนอง ความรักมึงกับไอ้ศรจะมีคนขัดขวางบ้าง”


“ถ้ากูจะรักมัน ใครจะขวางกูได้” ผมว่าแล้วเดินจากไป


“หึ”


“มึงเย้ยกูเหรอไอ้เต๋า” ไอ้โจโวยวายแต่ไอ้เต๋าไม่สนใจเพราะมันเดินตามผมมาติด ๆ


กว่าการประชุมจะเริ่มขึ้นได้ก็ต้องรอให้น้องปีสองเลิกเรียนซึ่งเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ถ้าคนเกือบร้อยออกเสียงแสดงความคิดกันหมด ไม่อยากจะคิดเลยครับว่าคืนนี้จะได้กลับไปนอนกอดเมียตอนกี่โมง


“เอาละครับน้อง ๆ เงียบ!!” เสียงไอ้เต๋าตะโกนขึ้นมาตรงหน้าสุดโดยมีพวกผมยืนอยู่ใกล้ ๆ เพื่อนผมคนนี้ไม่ใช่ไก่กานะครับ มันเป็นถึงประธานรุ่นปีนี้แล้วยังเป็นอดีตพี่ว้ากคณะมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นพลังเสียงมันจึงก้องกังวานไปทั่วทั้งใต้ถุนคณะ


“อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะปิดเทอมแล้ว ต้นเทอมหน้าเราจะมีละครเวทีของคณะกัน!”


สิ้นเสียงประกาศของไอ้เต๋า ทั้งรุ่นน้องและรุ่นผมต่างส่งเสียงเชียร์อัพกันกึกก้อง คณะนี้แม่งหน้าม้าเยอะครับ เรื่องปลุกใจนี่ขอให้บอก พวกแม่งพร้อมจะทำโดยอัตโนมัติ


ไอ้เต๋าทำสัญลักษณ์มือให้ทั้งหมดเงียบเสียงก่อนจะพูดต่อ


“โปรเจคนี้…”


“กรี๊ดดดดดดด” หน้าม้าแม่งทำงานดีเกินไป


“พี่ยังไม่ได้พูดเลยน้อง”


“กรี๊ด พี่ศร!” อ้าว ไม่ใช่หน้าม้าเว้ย


ผมหันมองตามสายตาของสาว ๆ ไปพบกับร่างสง่าของคนรัก เป็นไอ้ศรของผมจริง ๆ ครับที่ยืนอยู่ตรงท้ายแถว รู้จักกันมาหลายเดือนแล้วแต่ไอ้ศรไม่เคยมาที่คณะผมเลยสักครั้ง แม้แต่ช่วงที่ช่วยโปรเจคพี่สัมก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้ามา


“พี่ชื่อพี่ศรเหรอคะ” ยัยน้องสาวตัวดีของผมลุกขึ้นไปยืนประจัญหน้าไอ้ศรตอนไหนผมก็ไม่ทันรู้ตัว ดึงสติกลับมาได้ก็ในตอนที่ทุกคนเงียบเสียงเพื่อฟังสองคนนั้นคุยกัน


“ครับ” ไอ้ศรยิ้มหวาน ตัวมันเหมือนหุ่นยนต์ที่ยิ้มได้อัตโนมัติเพียงแค่มีสาวสวยเป็นตัวเปิดสวิตซ์


“คนนี้เหรอแฟนไอ้โอม” อีกเสียงที่ดี๊ด๊าไม่ต่างกันนั่นของไอ้จี๊ด เพื่อนผู้หญิงในคณะที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ยัยนี่จี๊ดสมชื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า จี๊ดยันน้ำเสียงเธอนั่นด้วย จี๊ดเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่หุ่นดีมักจะอยู่ในชุดนักศึกษาพอดีตัวจนเกือบปริแตก ผมยาวดัดลอนสวยสีแดงสดรับกับใบหน้าสวยเฉี่ยวที่แต่งแต้มจัดเต็มในทุกวัน ถึงจะไม่ใช่สเปคไอ้ศร แต่ก็ไว้ใจไม่ได้


“ตัวจริงหล่อจัง เท่ชะมัด เอมชอบ”


“พี่ก็ชอบค่ะน้องเอม”


เหี้ย!!


“แต่มันชอบกู!”



เกิดความเงียบขึ้นอึดใจหนึ่งก่อนจะมีไอ้โจเจ้าเก่าเป็นต้นเสียงโห่แซ็วผมจนเสียงก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ไอ้ศรยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ มันคงเขินที่มีคนมากมายร้องแซ็ว


“มาหากูก็เดินมานี่ ไม่ใช่ยืนให้ผู้หญิงจ้องหน้าแบบนั้น”


“ดูมันดิ ถ้าเรายุ่งกับน้องมัน มันแม่งหวงน้อง แต่พอแฟนมันยุ่งกับน้องมันนะ แม่งเสือกหวงแฟนเฉย” ไอ้เพื่อนรักทั้งสามคนของผมกำลังซุบซิบกันถึงประเด็นนี้ที่ด้านหลังผม


“นี่น้องไงพี่โอม”


“ส่วนฉันก็เพื่อนไงยะ”


“โอ้ยยย นี่โอมอินคนหวงแฟน2017 ไง ไม่รู้จักกันเหรอ” ไอ้พีทเดินมากอดคอผมไว้ เสียงโห่แซ็วดังขึ้นอีกระลอกใหญ่ก่อนจะเงียบลงในตอนที่โอ้ศรเดินมายืนตรงหน้าผม คล้ายว่าทุกคนกำลังเงียบเพื่อฟังสิ่งที่เราสองคนจะพูดคุยกัน ตัวโต ๆ ของมันตอนนี้ดูลีบเล็กลงไปเล็กน้อยด้วยความประหม่า ผมเผยยิ้มเอ็นดูบาง ๆ มันคงไม่ชินกับการแสดงออกของชาวคณะนิเทศน์


“แล้วนี่มึงมาทำไมเนี่ย”


ไอ้ศรเหลือบมองคนรอบข้างเล็กน้อย ดูมันขลาดเขินที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนเกือบร้อย “มองแต่กูนี่ ไม่ต้องมองคนอื่น”


“มะ มึงบอกว่ามีประชุมกับเพื่อนในเอก กูเลยซื้อของกินมาฝาก”


น่ารักจังวะเมียกู


“อยากยิ้มก็ยิ้มกว้าง ๆ ดิว้าาา จะอมไว้เหมือนเด็กอมข้าวทำไม” ผมว่าถ้าวันนี้ผมไม่ยัดตีนใส่ปากเหี้ยโจสักครั้งมันก็คงจะไม่หยุดล้อผมง่าย ๆ แน่


ผมหันไปชูนิ้วกลางให้มัน


“แล้วไหนอ่ะ อาหาร”


“อยู่ที่รถ แต่…กูไม่รู้ว่าคนจะเยอะขนาดนี้ คงกินกันไม่พอ”


“ไม่เป็นไรหรอก พวกแม่งก็อด ๆ กันไป มันมีปัญญาหากินกันเองได้ แต่มึงซื้อมาเพราะกลัวกูอดไม่ใช่เหรอ”


“อะแฮ่ม!”


ผมสองคนสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะเห็นเจ้าของเสียงที่ยืนซ่อนอยู่ด้านหลังของไอ้ศร ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสอง


ผมส่ายหน้าระอาก่อนแนะนำหญิงสาวทั้งสองให้แฟนรู้จัก “นี่เอม น้องสาวกู…” เอมยกมือไหว้ทักทายสวยงามแบบย่อจนตัวจะถึงพื้นอยู่รอมร่อ เรื่องเล่นใหญ่น่ะไว้ใจน้องสาวผมเถอะ “…ส่วนนี่จี๊ด เพื่อนสนิทอีกคนของกู”


“จี๊ดค่ะ กินแล้วจะซี๊ดซ๊าด” อ้อ ยัยนี่อีกคน ทั้งเสียงทั้งท่าทางมาเต็มจนไอ้ศรหัวเราะชอบใจ


“พอเลย ๆ เราไปเอาอาหารกัน ไอ้เต๋า เดี๋ยวกูมา” ไอ้เต๋าคือเพื่อนที่เอางานเอาการมีสาระสุดในชีวิตผมแล้วครับ มันรีบประกาศบอกทุกคนว่ามีสวัสดิการกิตติมศักดิ์ซื้ออาหารมาให้ทันที


ระหว่างทางไปลานจอดรถคณะผมบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยว่าทำไมมันไม่โทร.เข้ามาบอกก่อน ผมจะได้เดินออกมารับเลย ไม่ต้องให้มันเสียเวลาเดินเข้าไปหาถึงคณะ แต่มันแย้งกลับมาว่าโทร.มาหลายสายแล้วแต่เป็นผมเองที่ไม่ยอมรับ


ท้ายรถสปอร์ตหรูสีดำเงาเต็มไปด้วยถุงอาหารที่ไอ้คุณชายออกตัวไว้ว่าไม่น่าจะพอสำหรับคนเกือบร้อย ผมกวาดมองผ่าน ๆ กะประมาณคร่าว ๆ แล้วพบว่ามีพิซซ่าเรียงถาดซ้อนกันเต็มสี่ถุงใหญ่แล้วยังมีไก่ทอดเป็นเซตอีกสามถัง


“นี่มึงคิดว่าเอกกูมีกี่คนเนี่ย”


“สี่สิบกว่า ๆ ใช่ไหม กูไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่ามึงเคยพูดเข้าหู”


ไอ้ห่า ขนาดไม่สนใจฟังยังเสือกความจำดี


“แต่ที่มึงซื้อมาเนี่ย กูว่ามันเกินจำนวนนั้นนะ”


“ก็กะจะให้กินกันอิ่ม ๆ มึงนี่บ่นจริง”


มันตีหน้ายุ่งใส่ผมแล้วก้มลงไปยกถุงพิซซ่าขึ้นมาสองถุง ผมมองท่าทางใส่ใจนั้นด้วยรอยยิ้ม


ฟอดดดดดดดดด


“เหี้ย!”


ผมยิ้มขำ มันตกใจจนถุงหลุดมือแล้วหันมามองหน้าผมที่ฉวยโอกาสหอมแก้มมัน “รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับความน่ารักของมึง…ไว้กลับไปกูจะจัดชุดใหญ่ตอบแทนให้นะ”


“แตกตีนกูแทนข้าวเถอะมึง!”


อาหารอะไรไม่สนใจแล้วครับ ตอนนี้ต้องวิ่งหนีฝ่าเท้าเมียก่อน แทนที่จะได้แจกตีนให้ไอ้โจ ทำไมกลายเป็นกูที่ได้แดกตีนเมียวะ





(มีต่อนะคะ)


หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 08-10-2017 22:05:27

ผมกลับเข้าคอนโดมาในตอนตีหนึ่ง อย่างที่บอกแหละครับ พวกนิเทศน์แม่งบ้าพลัง ออกเสียงแสดงความคิดเห็นกันเกือบทุกคน กว่าจะหาข้อยุติที่ลงตัวได้ในแต่ละประเด็นก็เกือบตีกันตาย ที่ได้กลับมาป่านนี้ก็ใช่ว่าจะได้ข้อสรุปครบทุกประเด็นแล้วนะครับ แต่ถ้าแม่งยังไม่เลิกประชุมกันผมคงจะได้อาละวาดมันตรงนั้น


ห้องนอนมืดมิดสนิท แต่หน้าจอโทรทัศน์ที่ปลายเตียงยังฉายหนังฮอลีวูดเรื่องดังทั้งที่คนบนเตียงหลับสนิทไปแล้ว ผมหยิบรีโมทมากดปิดโดยเร็วเพราะไม่อยากปล่อยให้เสียงมันดังรบกวนการพักผ่อนของคนรักนานนัก แสงสว่างจากภายนอกที่ส่องเข้ามามากพอให้ผมแค่พอคลำทางเดินเข้าไปยืนฝั่งที่ใบหน้าไร้ที่ติหันไปหาได้ ทิ้งตัวลงชันเข่าข้างหนึ่งข้างๆกันนั้นแล้วพินิจดวงหน้าของคนที่ทำให้ผมทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้น นิ้วเรียวเกลี่ยปอยผมที่ลงมาปรกหน้าให้ได้เห็นความสมบูรณ์แบบนั้นชัดขึ้น เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากกลับดึก อย่างน้อยก็ไม่อยากกลับหลังจากที่มันหลับ ธรรมศรเป็นคนหลับยาก ก่อนหน้าที่ผมจะมานอนด้วยบ่อยๆ อีกฝ่ายมักเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้พร้อมตั้งเวลาปิดนานถึงสองชั่วโมงเพื่อช่วยในการนอนหลับ นี่ก็คงจะเพิ่งหลับสนิทไปได้ไม่นานสินะ


ผมประทับรอยจูบแผ่วเบาบนหน้าผากมนก่อนจะไปอาบน้ำล้างตัวแล้วกลับมาสอดตัวใต้ผ้าห่มนอนข้าง ๆ ไอ้ศร พาดแขนรัดช่วงเอวเปลือยของอีกฝ่ายก่อนกระชับร่างเข้าแนบชิดกัน ได้ยินเสียงครางอื้ออึงจากคนถูกรบกวนกลางดึก ก่อนจะเงียบไปคงเพราะว่านี่เป็นสัมผัสที่คุ้นเคย






ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนที่ร่างในอ้อมกอดขยับยุกยิกเพื่อซุกเข้าหากัน รอยยิ้มเล็ก ๆ ประดับมุมปาก แม้ว่าวันนี้จะตื่นสายและค่อนข้างเพลีย แต่ก็ยังยิ้มได้เพราะคนในอ้อมกอด


“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำ วันนี้ไปกินข้าวเช้าที่คณะมึงกัน”


ไอ้ศรรับคำในลำคอก่อนลุกออกไปอย่างว่าง่าย ไร้ท่าทีอิดออดอย่างทุกวัน สงสัยจะเป็นเพราะได้นอนเต็มที่



ผมมองตามคนว่าง่ายหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วยกยิ้มมุมปาก ไม่บ่อยนักหรอกที่มันจะไม่งัวเงียในตอนเช้า อีกอย่าง เช้านี้ก็ไม่ได้รีบอะไรมาก หาเรื่องแกล้งไอ้คุณชายมันดีกว่า


คิดได้แล้วก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปยืนหน้ากระจกข้างมันทันที ไอ้ศรที่มีเพียงผ้าขนหนูพันส่วนล่างไว้หันมาหรี่ตามองตั้งแต่ที่บานประตูเปิดออกอีกครั้งจนกระทั่งผมบีบยาสีฟันเสร็จแล้ว


“แค่แปรงฟันนะมึง”


ผมไหวไหล่ สนใจการแปรงฟันของตัวเองต่อไป มองเงาในกระจกแล้วแฮปปี้จริง ๆ ครับ นอกจากจะเห็นเงาหน้าสมบูรณ์แบบตียุ่งอยู่ข้างกันแล้วยังเห็นอ่างอาบน้ำที่ไอ้ศรเปิดน้ำทิ้งไว้ด้วย


เข้าทางกูมาก ๆ


ไอ้ศรชิงบ้วนปากก่อน มันมองผมด้วยสายตากดดันก่อนจะละความสนใจไปเทสารพัดเครื่องอาบน้ำของมันลงอ่างซึ่งแทบจะมีมันคนเดียวที่ใช้ เพราะผมถนัดอาบฝักบัวมากกว่า


แหม่ กลิ่นอโรมามันช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าแบบนี้นี่เองครับ ถึงว่า…ได้สูดกลิ่นเมียทีไรผม ‘ของ’ ขึ้นทุกที


“อาบด้วยดิ”


บอกเลยว่าไม่ทัน!


มันนะที่ไม่ทัน ไม่ใช่ผม ผมน่ะแก้ผ้าไวเป็นที่หนึ่ง ร่างบึกบึนของผมลงไปนอนแช่ในอ่างก่อนที่มันจะทันได้ปฏิเสธออกมาซะอีก


ไอ้คุณชายมองผมด้วยความรำคาญ “บอกว่าให้แค่แปรงฟันไงวะ”


“ยังไม่ได้รับปากสักหน่อย”


“งั้นไปอาบฝักบัว”


“วันนี้อยากลองแช่อ่างบ้าง”


ไอ้ศรถอนหายใจ ขณะที่ผมแกล้งไล่สายตามองไปตามร่างกายสุดเพอร์เฟคของมัน “กูไปอาบฝักบัวเองก็ได้”


แม่งงงงงง


อย่าคิดว่าครั้งนี้กูจะยอมแพ้


ผมเริ่มมาขนาดนี้แล้ว ‘ของ’ ก็ขึ้นแล้วด้วย ผมไม่ยอมให้มันได้ทักทายมือขวาตัวเองแน่ อย่างน้อยงานนี้ก็ต้องมือไอ้ศรละวะ


“คืนนี้กูมีประชุมอีก กลับดึกนะ คงไปนอนห้องตัวเองด้วย มึงไม่ต้องรอ”


โกหกครับ ใครมันจะประชุมงานกันทุกวัน ต่อให้พวกแม่งนัดประชุมจริงกูก็โดด อยากกลับมากินข้าวเย็นกับเมียบ้างนี่หว่า


ไอ้ศรนิ่งเงียบไปแล้ว ผมเหลือบมองทางหางตาเห็นมันยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา “แล้วทำไมต้องในอ่างด้วยวะ” ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่กลั้นยิ้มครับ ไม่แปลกหรอกที่มันจะบ่น อ่างอาบน้ำไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ผู้ชายตัวเท่าควายอย่างพวกผมลงไปนอนพร้อมกันสองคน ยิ่งถ้าทำอะไรที่มากกว่านอนนิ่ง ๆ ด้วยแล้วก็คงจะเมื่อยน่าดู


แต่ทำไงได้วะ ยังไม่เคยลองในอ่างนี่หว่า


“มึงอยาก?” ไอ้ศรยืนมองหน้าผมนิ่ง ผมได้ทีเลยแกล้งมองต่ำอย่างจงใจด้วยสายตาขบขัน


“ถามน้องชายมึงก่อนดีกว่าไหมวะ ชี้หน้ากูแล้วนั่น”


ไอ้ศรจิ๊ปากที่ถูกรู้ทัน ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ รู้แหละครับว่ามุกตื้น ๆ ของผมคงไม่ได้ผลถ้ามันเองก็ไม่เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ไอ้คุณชายยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดครู่หนึ่ง ผมเองก็รออย่างใจเย็น


เย็นได้ก็แย่ละ! น้องชายกูปวดหนึบไปหมดแล้วเนี่ย มึงช่วยรีบนิดนึงครับเมีย อย่าลีลามาก เดี๋ยวกูก็ปล้ำซะหรอก!


ผมเคยบอกไปรึยังครับว่าไอ้ศรเป็นบุคคลอันตราย มันสามารถเปลี่ยนจากใบหน้าครุ่นคิดเป็นใบหน้าเย้ายวนได้เพียงแค่คุณเผลอกระพริบตา รอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์เปลี่ยนภาพลักษณ์คุณชายเป็นสิงห์หนุ่มที่พร้อมขย้ำเหยื่อ ขณะเดียวกันก็ทำให้คนมองรู้สึกว่ามันเป็นแมวแสนซนที่หมาป่าอย่างผมอยากขย้ำเต็มที


ปราการชิ้นสุดท้ายอย่างผ้าขนหนูถูกปลดออกเผยหุ่นสวยงามราวรูปปั้นตรงหน้าผมก่อนที่ร่างนั้นจะคร่อมทับลงมาอย่างรวดเร็วจนน้ำกระเฉาะออกพร้อมเกมรุกที่เริ่มต้นขึ้นในทันทีทันใดจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากได้รูปงับครอบลงมาบนส่วนเดียวกัน รุนแรง ดุดัน ราวกับจะกลืนกินมันไปจนหมด


ให้ตายเถอะ! ผมชักจะอ่อนไหวง่ายเกินไปเสียแล้ว เพียงแค่จูบกับมันในสถานการณ์ล่อแหลมก็ทำเอาช่วงล่างผมปวดหน่วงจนแทบทนไม่ไหว ไอ้ศรยังคงรุกจูบอย่างต่อเนื่อง ผมเองก็ไม่ยอมแพ้ ลิ้นเราเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เพียงแต่นี่ไม่ใช่การแข่งขัน มันคือการแสดงความรักต่อกันเสียมากกว่า ไอ้ศรพักให้ต่างฝ่ายต่างกอบโกยอากาศด้วยการเลียริมฝีปากของผมอย่างเนิบช้าขณะที่สายตาแพรวพราวของมันก็มองสบตาผมอยู่ตลอดเช่นกัน

แม่เจ้าโว้ย! เมียกูเซ็กซี่เป็นบ้า!


แม้ร่างกายเกือบครึ่งจะจบอยู่ในน้ำเย็นแต่ก็ไม่อาจดับความร้อนรุ่มที่เกิดจากการเสียดสีกันของผิวเนื้อช่วงบนของเราได้ ริมฝีปากได้รูปกลับมาครอบครองตำแหน่งเดิมอีกครั้ง คราวนี้อ่อนหวานจนผมแทบจะสำลักรสจูบของมันตาย มือนุ่ม ๆ ของมันก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กันเพราะรู้ตัวอีกทีมันก็กำรอบส่วนนั้นของผมไว้แล้ว จังหวะนั้นเองที่ศรเร่งจูบให้หนักหน่วงอีกระลอก มือข้างหนึ่งของมันประคองหน้าผมไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง มันรูดรั้งของของผมอย่างรวดเร็วตามจังหวะของมัน และด้วยความรักเมีย ผมเลยช่วยมันบ้าง


ตอนนี้เราสองคนต่างใช้มือช่วยของกันและกัน ไอ้ศรผละริมฝีปากออกไปแล้ว มันไม่ได้จูบลงมาอีก แต่ใบหน้าที่อยู่ห่างกันเพียงแค่กระดาษแผ่นบาง ๆ กั้นก็ชวนให้ใจเต้นโครมครามจนกลัวจะช็อคตายคาอ่างให้เป็นข่าวหน้าหนึ่ง


“เฮือก!”


ผมกับไอ้ศรสลับกันกระตุก เหมือนจะเสร็จแต่ก็ไม่เสร็จ ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนมันแกล้งยื้อเวลาอย่างไรบอกไม่ถูก ขณะที่มันใกล้จะถึงฝั่งฝันเพราะฝีมือของผมเต็มทีแล้ว


“อ๊า~~”


เสียงกระเซ่าของพวกเราประสานกันจนแทบจะเป็นเสียงเดียว ใบหน้าไร้ที่ติที่ห่างกันเพียงนิดเดียวขยับขึ้นลงตามจังหวะของร่างกายทำให้เครื่องหน้ามันปัดป่ายกับริมฝีปากผมไปมา ริมฝีปากของเราสัมผัสแบบเฉียดกันไปมาอยู่หลายครั้งพร้อมเสียงครางที่อื้ออึงในหัวของผม นัยน์ตาดำขลับที่ฉายแววเย้ายวนนั่นก็จ้องมองผมตลอดเวลาจนพาลให้หน้าร้อนเห่อขึ้นมา


“เฮือก! อะ อ่า….”


แตะขอบฟ้าพร้อมกันครับ น้ำขาวขุ่นพุ่งออกมาเลอะมือเราทั้งคู่เยอะพอกันเพราะไม่ได้เอาออกมาหลายวันแล้วก่อนจะไหลรวมไปกับน้ำในอ่างที่ลดน้อยลงกว่าเดิมไปเยอะจากกิจกรรมครั้งนี้


คนที่คร่อมตัวผมอยู่ทิ้งน้ำหนักศีรษะลงมาให้หน้าผากของเราชนกัน จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่ละสายตาไปจากผม เสียงกระหืดหอบของมันก็ยังดังแข่งกันกับผมด้วย


“เร้าใจดีว่ะ รู้งี๊ทำในอ่างตั้งนานแล้ว”


“หึ”


ไอ้ศรยิ้มหวานจนทำตาผมพร่าไปหมด แม้จะสังเกตรอยยิ้มของมันไม่ชัดเพราะอยู่ใกล้กันเกินไป แต่แววตามันที่สะท้อนเงาผมอยู่ในตอนนี้กำลังยิ้มให้ผมอย่างที่ไม่เคยเห็นและอยากจะเห็นมาโดยตลอด ไอ้ศรจูบลงมาอีกครั้ง แผ่วเบา แนบชิด ทว่าเนิ่นนาน


ผมรู้สึกเหมือนร่างกายค่อย ๆ ลอยละล่องขึ้นสวรรค์โดยมีศรเป็นคนชักนำ รอบข้างมีปุยเมฆขาวนุ่มโอบล้อม ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มนี้มันช่างดีต่อใจ


“อาบน้ำเว้ย” เชี่ยยย เหมือนตกจากสวรรค์เลยว่ะ


ผมมองไอ้คนที่ออกจากอ่างไปยืนบิดตัวอยู่บนพื้นตาเยิ้ม “อีกรอบได้ไหมวะ…ที่ฝักบัวก็ได้”


ไอ้ศรยิ้มเย็น “เชิญมึงโลกสวยด้วยมือขวาไปเถอะนะ”


เอายิ้มหวานเมื่อกี๊คืนมาาาาา












คาเฟทฯคณะวิศวะฯในตอนเช้าไม่ค่อยคึกคักพอ ๆ กับคณะผมนั่นแหละครับ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะผมไม่ชอบที่คนพลุกพล่านนัก


แต่ถึงคนจะน้อย ไอ้คนจำนวนหยุ๋มหยิ๋มอย่างสาว ๆ ตรงโต๊ะหน้าร้านข้าวแกงนั่นก็ยังทำให้ผมหงุดหงิดใจแต่เช้าอยู่ดี


ไม่ดิ กูหงุดหงิดตั้งแต่ถูกปล่อยให้อารมณ์ค้างในห้องน้ำแล้ว


“พี่ศรขาาาาา”


ขาซ้ายหรือขาขวาครับน้อง แต่ขาพี่โอมอินนะ


“ไงครับสาว ๆ มากันแต่เช้าเลยนะเนี่ย”


ผมกลอกตาตามหลังไอ้คนอัธยาศัยดีแล้วตามไปกอดคอมันเพื่อดึงออกจากกลุ่มสาว ๆ ก่อนที่มันจะถลำลึกไปมากกว่านี้


“เกรงใจกูหน่อยเมีย” ผมกระซิบเสียงเย็นชิดริมใบหูมันแต่มันกลับลอยหน้าลอยตาระรื่นได้อย่างน่าหมั่นไส้ ได้ยินเสียงซุบซิบของสาว ๆ ตามหลังมาว่าอะไรสักอย่างซึ่งผมไม่ได้สนใจนัก


เราสองคนแวะซื้อข้าวกับน้ำเปล่าคนละขวดก่อนเดินไปที่โต๊ะตัวหลังสุดของคาเฟทฯ ซึ่งมองแต่ไกลก็เห็นเพื่อนมันสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว


“อะไรกันวะเนี่ยยยย นอกจากจะได้หลังจนลืมหน้าแล้ว มึงยังตามตูดมันมาถึงคณะพวกกูเลยเหรอวะ” ไอ้ตี๋เจ้าของเสียงแซ็วมันชื่อเมฆ กวนตีนพอกันกับไอ้โจเพื่อนผมเลยครับ อยู่ด้วยกันแล้วคนรอบข้างโคตรปวดหัว


“ถ้ามึงแซ็วแล้วมันเขินสักนิดกูจะไม่ว่าเลย แต่ถ้าแซ็วแล้วทำให้ตัวเองตายนี่กูไม่ช่วยนะ” ไอ้ศรว่านิ่ง ๆ แล้วนั่งลงข้างไอ้เมฆพร้อมกอดคอมันไว้ ซึ่งกลายเป็นว่าตอนนี้พวกมันสามคนอันประกอบไปด้วยศร เมฆ และไอ้ฟานั่งฝั่งเดียวกันโดยมีผมนั่งตรงข้ามศร


“ไอ้ห่าศร บอกว่ากลัวกูตาย แต่มึงเนี่ยแหละที่จะทำให้กูตายเร็วขึ้น” ไอ้เมฆมันคงเห็นผมจ้องมันสองคนเขม็ง ใบหน้าขาวตี๋ของมันเริ่มซีดเผือด รีบกุลีกุจอดึงแขนไอ้ศรออกโดยเร็วไว


“ไอ้เพื่อนเลวววว” ไอ้ฟาก็สมทบไปกับเพื่อนมันด้วย ขณะที่ไอ้ศรยักไหล่ไม่สนใจ


“ไอ้สองคนนั้นละวะ” ศรถามถึงเพื่อนสนิทอีกสองคนคือกอล์ฟกับหนึ่ง


“วันนี้ฟรีแลป มึงคิดว่ามันจะมาสักกี่โมงกันละวะ”


“เหี้ยศรเอาบรีฟแลปมึงมาอ่านหน่อยดิ๊ ของไอ้เมฆแม่งโคตรงง”


“ไอ้ห่า ก็ยังดีกว่ามึงละวะ ไม่รู้จักทำเอง ไอ้ศรไม่ต้องให้มัน”


“อ้าวเห้ย! เกี่ยวไรมึงเนี่ย” ไอ้ฟาเป็นผู้ชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม พอโดนคนตัวบึกอย่างไอ้เมฆหันข้างเพื่อกันออกจากไอ้ศรเลยกลายเป็นว่าถูกกีดกันออกจากโลกไอ้ศรได้อย่างง่ายดาย


ผมส่ายหน้า ไม่เข้าใจเรื่องที่พวกมันเถียงกันหรอกครับ แต่แค่ได้ยินเสียงพวกมันเถียงกันผมก็ปวดหัวแล้ว


“พี่ศรรรรร พี่ศรรรรร...หวัดดีค่ะพี่ๆ” เสียงผู้หญิงดังมาแต่ไกลทางด้านหลังของผม สาวสวยท่าทางคล่องแคล่วในเสื้อช็อปแบบเดียวกับไอ้ศรปรากฎในม่านสายตา มาถึงเธอก็ยกมือไว้ลวก ๆ กวาดไปทั่วด้วยความรีบ จึงไม่ทันมองว่าหนึ่งในคนที่ตัวเองทักทายไม่ใช่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเลยสักนิด ทักทายเสร็จเธอก็นั่งลงข้างผมโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองกัน


“พี่ศรช่วยบอกแนวข้อสอบอนาโตมี่หน่อยค่ะ เพชรต้องแย่แน่ ๆ เลยอ่ะ วิชาบ้าอะไรท่องจำโคตรเยอะ นี่เรียนวิศวะนะไม่ใช่หมอ จำเป็นต้องจำได้เยอะขนาดนี้ไหม” เธอบ่นโอดครวญพลางมองไอ้ศรอย่างอ้อนวอน ผมมองหญิงสาวข้างกายด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่ากำลังวิเคราะห์เธออย่างละเอียดทีเดียว สาวสวยในลุคกระฉับกระเฉงค่อนไปทางห้าวแบบนี้สเปคไอ้คุณชายเขาเลยล่ะ ซึ่งมันทำให้ผมคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก


“ให้บอกแนวข้อสอบ?”


หญิงสาวที่ชื่อเพชรยิ้มแหย “สอนก็ได้ค่ะ นะๆๆ”


“กินข้าวก่อน” ผมกดเสียงต่ำดังขึ้นขัดทำให้หญิงสาวหนึ่งเดียวตรงนี้หันมามองแล้วขมวดคิ้วมุ่น


“เพื่อนพี่ศรเหรอคะ เพชรไม่เคยเห็นหน้าเลย”


“ไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นแฟน” ผมชิงตอบตัดหน้า ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ตัวครับว่าสีหน้าตอนนี้ไม่รับแขกสุด ๆ


“แฟน!!”


ผมมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้ตั้งใจจะใจร้ายหรือเสียมารยาทกับสุภาพสตรี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องปั้นหน้าอย่างไรให้กับผู้หญิงที่อาจจะเป็นศัตรูหัวใจ


“อะ เอ่อ...เพชรแค่มาขอให้พี่ศรช่วยค่ะ ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเลยนะคะ”


“นี่เพชร ลูกพี่ลูกน้องกู” ไอ้ศรแนะนำเสียงเรียบ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเริ่มกินข้าวไปบ้างแล้วในตอนที่หันไปถามหาความจริงด้วยสายตาในตอนนั้นเอง


“แหม รีบบอกเชียวนะคะ” เพชรหันไปเย้าแหย่ไอ้ศร


“ถ้าช้ากว่านี้เธออาจถูกมันฆ่าตายก่อน” ไอ้ศรก้มหน้ากินข้าวพูดเหมือนไม่สนใจ ขณะที่เพื่อนมันอีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับประโยคนั้น


“อู่ยยยยย เพชรเป็นน้องค่ะ โปรดเว้นเพชรไว้สักคนนะคะ” เธอยกมือไหว้ผมพร้อมทำหน้าอ้อนวอน เห็นอย่างนี้แล้วก็ถือสาไม่ลงเลยพยักหน้าละเว้นโทษให้


“เพชรน่ะอยากเจอแฟนพี่ศรมานานแล้วค่ะ พี่ชื่ออะไรนะคะ?”


“โอม”


“เพชรทีมพี่โอมนะคะ มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยค่ะ” ผมพยักหน้ารับแล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้าบ้าง


“จริงสิ เมื่อวันอาทิตย์พี่ศรไปนอนบ้านเพชรเหรอคะ”


หืม?


ผมเงยหน้ามองคนรักอัตโนมัติ คืนวันอาทิตย์มันบอกจะกลับบ้าน แต่ทำไมไปโผล่บ้านญาติแทนวะ


“ใครบอก” ไอ้ศรมองแต่หน้าคู่สนทนา ไม่สบตาผมสักนิด รู้ทั้งรู้ว่าผมต้องไม่พอใจอยู่แล้ว แต่มันก็ยังหลบหลีก


“รถจอดหราซะขนาดนั้นไม่ต้องรอให้ใครบอกหรอกค่ะ พี่ศรไปหาพ่อเพชรอีกแล้วเหรอ ไหนพ่อบอกว่า…”


“หลานไปหาอานี่ผิดปกติมากเลยเหรอ?”


“ก็…”


“ถ้าอยากให้ติวให้ ตอนบ่ายไปหาที่ห้องสมุดละกัน เช้านี้พี่มีเรียน”


ไอ้ศรตัดบทแค่นั้น เพชรรับคำเสียงแผ่วก่อนจะบอกลาทุกคนรวมถึงผมแล้วลุกออกไป ผมละความสนใจจากเธอกลับไปจ้องมองไอ้ตัวดีต่อ


“มีอะไรจะบอกกูไหมธรรมศร”


ไม่บ่อยนักที่ผมจะเรียกมันด้วยชื่อจริง นอกจากตอนหยอกแซ็วก็มีตอนจริงจังมาก ๆ อย่างเช่นตอนนี้


“ไม่มี”


“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ชอบคนโกหก”


ไอ้ศรมองสบตา ผมไม่สนใจแล้วว่าเพื่อนมันอีกสองคนจะกำลังกินข้าวเงียบ ๆ แต่หูผึ่งหรือจะนั่งตัวลีบเพราะผมเริ่มจะอารมณ์ไม่ปกติขึ้นมาแล้ว


“สำหรับกู บ้านอาภพก็คือบ้าน”


เพล้ง!


ผมวางช้อนกระแทกจาน ตั้งใจจะคุยกับมันให้รู้เรื่องแต่เครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงกลับแผดเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน ผมจิ๊ปากขัดใจก่อนหยิบออกมารับสาย


“มีเหี้ยอะไร!?”


ผมเห็นไอ้ฟาสะดุ้งตัวโหยงต่างกับไอ้เมฆที่ยังคงนิ่ง


[สัดนี่! เมียไม่ให้เอาเหรอวะถึงมาหงุดหงิดใส่พวกกู] เบอร์โทรเข้าของไอ้เต๋าแต่เสียงที่กรอกมาตามสายเป็นเสียงไอ้โจ ผมเหลือบมองตัวสาเหตุของความหงุดหงิดใจแล้วก็ได้แต่คาดโทษไว้ทางสายตา


“มีอะไร”


“นัดคุยงานกับอาจารย์ไงครับท่าน เมื่อไหร่คุณโอมอินจะโผล่หัวมาวะครับ”


เชี่ย!! ลืมครับ ลืมไปเสียสนิทว่านัดอาจารย์คุยโปรเจค


“กูจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”


“เห้ย รีบไปไหนวะ” ไอ้เมฆถามเมื่อเห็นผมผุดลุกเตรียมจะแยกออกไปทั้งที่ยังค้างบทสนทนากันไว้ ขณะที่ไอ้ตัวสาเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวเพียงแค่มองผมนิ่ง ๆ


“มีนัดคุยโปรเจคกับอาจารย์ กูไปก่อนนะ” ประโยคหลังผมบอกไอ้ศร เห็นมันพยักหน้าให้ก็รีบสาวเท้าออกไปทันที


เดินออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็หวนกลับมาทางเดิมเพราะจะเอากุญแจรถฝากไว้ที่ไอ้ศรให้มันไปรับผมหลังเลิกเรียนด้วย เพราะผมจะนั่งวินไปคณะโดยเร็วที่สุด แต่พอเดินกลับมาในรัศมีที่ได้ยินเสียงพูดคุย บทสนทนานั้นก็ทำให้ผมต้องเสียเวลาต่ออีกสองสามนาทีให้เพื่อนด่าเพื่อหยุดฟังมันคุยกัน


“แฟนมึงแม่งขี้หึงฉิบหาย”


“เออจริง มึงเห็นตอนมันมองเพชรไหม ตอนไม่รู้ว่าเป็นน้องมึงนี่กูพอเข้าใจนะ แต่ขนาดรู้แล้วตามันยังแข็งอยู่อีก จะหึงอะไรขนาดนั้นวะ”


พวกมันยังไม่รู้ว่าผมเดินกลับมาเพราะทั้งสามคนนั่งหันหลังให้ผมกันหมด


“เห็นมันหึงไปทั่วแบบนี้แล้ว กูอยากรู้เลยว่ามันเคยหึงมึงกับใครแบบฟิวส์ขาดไหม แบบที่สุดอ่ะ คุมหน้าเรียบ ๆ เหมือนถูกเตารีดนาบตลอดเวลาไว้ไม่ได้แล้วอ่ะ มีไหมวะ”


“ยังไม่มี”


“กูหวังว่าจะไม่มีนะ แค่คิดก็สยองฉิบหาย”


“เออไอศร แล้วมึงเคยหึงมันบ้างไหมวะ”


ไอ้ศรส่ายหน้าทันทีแบบแทบไม่ต้องคิด


“กูก็ไม่เข้าใจความรักนักนะเว้ย แต่คนเราจะรู้ตัวว่ารักใครก็ตอนที่มีความรู้สึกหึงหวงไม่ใช่เหรอวะ กูเข้าใจแบบนี้มาตลอด” ไอ้ฟาออกความเห็น เท่าที่ผมรู้จัก มันเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาในความรักแต่อ่อนประสบการณ์มากทีเดียว


“นั่นดิ หรือที่มึงคบมันนี่มึงไม่ได้มีความรักปนอยู่เลย”


“ไร้สาระ”


คบกันเพราะรักหรือไม่รัก หรืออะไรที่ทำให้รู้ตัวว่ารัก มีแค่ธรรมศรเท่านั้นที่รู้





เพราะผมเองก็ยังไม่เคยรู้…




พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 3
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่งไปแต่งมาเหมือนโอมอินเป็นคนอวดเมียเลย
เห็นปิดท้ายดราม่าแต่นี่(ยัง)ไม่ดราม่านะ เรื่องนี้ใสๆ วัยรุ่นรักกันค่ะ
ออกตัวก่อนนะคะว่าแต่ง NC ไม่เป็น มันก็จะง่อย ๆ หน่อย
แต่มันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องเหมือนกัน
ช่วงตอนแรก ๆ จะเรื่อย ๆ หน่อยนะคะ เพราะอยากให้เห็นรายละเอียดบางอย่างในตัวทั้ง 2 คน
เห็นคนเข้ามาอ่าน พูดถึงในทวิตภพก็ดีใจและขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ
ว่ากันตามตรงแล้วเราแค่แต่งสนองนี้ดตัวเองเพราะอยากอ่านคู่ที่เขาเป็นแฟนกันอยู่ก่อนแล้วบ้าง ไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
ฝากเรื่องนี้ด้วยค่ะ #โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 08-10-2017 22:44:16
ดราม่าแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 08-10-2017 23:08:03
ตอนหน้างานร้าวฉานจะมามั้ยคะนั่น :katai1: /เกียมต้มมาม่า
ผิดมั้ยที่เอ็นดูโอม เพราะแบบคาแรคเตอร์ภายนอกเป็นคนนิ่งๆ แต่เวลาพูดถึงศรในใจนี่ทำให้ลืมภาพลักษณ์นั้นไปหมดเลยค่ะ555555555
จริงๆแอบอยากอ่านมุมมองที่ศรมองโอมบ้าง อยากรู้ว่าจะสู้โอมได้มั้ย
เนื้อเรื่องกำลังเข้มเลย รีบมาต่อนะคะ รอรอรอ :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 08-10-2017 23:17:30
เรื่องนี้ดราม่าแน่ๆ มากน้อยไม่รู้แต่ก็ตามค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 09-10-2017 00:10:12
โอยยยยย ดราม่าแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้ ฮาาา
ความรักแต่ละคนมีลิตต่างกัน แสดงออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน ก็หวังว่าจะเข้าใจแล้วจับมือกันผ่านไปอย่างเบาๆ ไม่ดราม่าหนักมากนะคะ ฮือออออ
รู้สึกเอ็นดูโอม ชอบความหลงแฟน อวยแฟน หึงหวงก็เพราะรักมาก แคร์มาก โอยยยงานนี้ทีมโอมแน่เลย55555555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-10-2017 00:42:43
เดาใจศรไม่ถูกเลย แต่ว่าเรื่องศรกับอาดูมีเงื่อนงำนะคะ นี่ขนาดไม่ดราม่าเรายังแอบระแวง
ปล. นี่ขนาดบอกว่าเขียน nc ไม่เป็นนะคะ เราว่าฉากในอ่างฮอตมาก แล้วศรก็ควีนมากด้วยค่ะ โอมอินนี่เสะทาสชัดๆมีความหลงเมีย 5555555555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 09-10-2017 07:21:45
ว่ากันว่า นิยายที่เริ่มต้นด้วยการให้ตัวเอกเป็นแฟนกันตั้งแต่แรกนั้นน่ากลัว 555555
เข้ามาอ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะตามเอาใจช่วยคู่นี้จนกว่าจะถึงบทสรุปค่ะ
ถึงแม้อาจจะต้องดราม่า (มั้ยนะ?
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MimoreQ ที่ 09-10-2017 10:52:17
สนุกค่ะ รอติดตามต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-10-2017 13:23:46
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 09-10-2017 20:45:46
อยากให้หมอนัดตรวจศรบ้าง อยากรู้เรื่องราวในมุมของศรแล้ว เพราะตอนนี้เดาความคิดศรไม่ออก  :ling1:
ตอนนี้หลงรักโอมอินไปเรียบร้อยแล้ว นางน่าร๊ากกกกกก
รออ่านต่อนะคะ จะดราม่าไหมเนี่ย :ling1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 10-10-2017 22:47:33


อ่านช่วงแรกๆ แล้วหมั่นไส้คนอวดเมียหลงเมียรักเมีย2017 มาก
คำก็เมียสองคำก็เมีย เอาโทรโข่งมาประกาศให้ชาวโลกรู้ได้คงทำไปแล้ว
อยากหยิกกกกกกก 5555555555555555

แต่พอช่วงท้ายเรื่องนี้คือแบบ เอ้าาาาาาาาา
วงวารคนหลงเมีย2017 ขึ้นมาตงิด ;w;;;
อยากรู้ว่าคุณอาพ่อของน้องเพชรเป็นใคร เกี่ยวข้องยังไง
เราได้กลิ่นมาม่าโชยมาเบาๆ ดูทรงแล้วจะเป็นต้มยำกุ้งแน่ๆ หิวววว

รอตอนหน้านะคะ


ปล.ธรรมศรเซ็กซี่มากเว่อ ชอบความเริ่มก่อน ชอบความร้อนฉ่า ฮือออ เผ็ชชชชช :hao5:


หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 2 P.2 [08/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 29-10-2017 17:34:10
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 02-11-2017 22:30:00

Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 3

---OMIN---












ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะทำให้ไอ้ศรหึงได้


ไม่ใช่เพราะมันไม่ขี้หึง แต่เพราะตัวผมเองที่ไม่เคยไม่ชัดเจน…


เคยคิดอยู่หลายครั้งว่าจะแกล้งยั่วให้มันหึงบ้าง แต่เพราะผมไม่ใช่คนแบบมันที่พื้นเดิมเป็นคนอัธยาศัยดีอยู่แล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ใครใกล้ชิดนอกจากเพื่อนสนิท เพราะฉะนั้น ถ้าผมเผลอ ‘เล่น’ กับใครสักคนขึ้นมา อาจจะกลายเป็นการให้ความหวัง สุดท้ายก็คงไม่แคล้วสลัดให้หลุดยากกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้ชีวิตคู่ของผมได้ ปล่อยให้ผมหึงมันอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้ว


แต่ไม่ใช่ให้กูหึงทุกชั่วโมงแบบนี้โว้ยยยยยย!!


ข้อความไลน์ล่าสุดจากไอ้ศรทำผมหัวร้อน (อีกแล้ว) ไอ้คุณชายมันบอกว่าเย็นนี้พี่รหัสมันนัดเลี้ยงสาย และยังหวังดีบอกให้ผมไม่ต้องรอกินข้าวเย็นด้วย


ที่ผมหัวร้อนไม่ใช่เพราะมันจะทิ้งให้ผมเหงาหงอยกับมื้อเย็นอีกวัน แต่เพราะไอ้พี่รหัสตัวดีของมันเนี่ยแหละครับ ไอ้หมอนั่นมันเป็นเกย์รับ แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นเกย์ตั้งแต่แรกแต่ผมก็มองออกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ


มันหวังเครมน้องรหัสตัวเอง ซึ่งก็คงเฝ้าของมันมาสามปีแล้ว


แต่โทษที กูรู้จักมันสามเดือนก็ได้แดกแล้วว่ะ







เรียนไปก็หงุดหงิดไป แต่ก็ยังนับว่ารู้เรื่องอยู่บ้าง ถ้าไม่ได้ไอ้เต๋าช่วยเตือนสติ ผมคงฟุบหลับหนีความคิดบ้า ๆ ตามไอ้โจไปแล้ว รายนั้นไม่ค่อยเรียนวิชาบรรยายแบบนี้หรอกครับ มันหลับหมดแหละ จบคาบเช้าพวกเราก็พักกลางวันกันใกล้ ๆ  มีเวลาไม่มากพอให้ถ่อไปถึงคณะวิศวะอย่างที่ใจอยากเพราะต้องรีบเข้าสตูดิโอ ชีวิตเด็กฟิล์มปีสามปลายเทอมสองก็จะมีงานล้นมือประมาณหนึ่ง แต่ไม่หนักเท่าแลปของไอ้ศรอยู่ดี


เบ็ดเสร็จผมออกจากคณะตอนหกโมงเย็น เลทจากตารางไปหนึ่งชั่วโมง ไอ้ศรส่งข้อความมาบอกตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วว่าไปกินอาหารกับสายรหัสที่หลังมอและอาจจะไปต่อที่ร้านเหล้ากับรุ่นพี่เพราะวันนี้นัดเลี้ยงกันหลายสาย มนุษย์กว้างขวางอย่างมันเลยเลี่ยงไม่ได้ ผมตอบรับมันด้วยสติ้กเกอร์โง่ ๆ ตัวหนึ่งแทนการรับทราบแล้วปิดท้ายว่า ‘ห้ามเมา’


“ไปกินข้าวกันมึง” ไอ้เต๋าชวน ส่วนอีกสองคนหายหัวไปกับสาวตั้งแต่เลิกคลาส


“อือ เอาดิ” ผมตอบรับมันเนือย ๆ


“ไปไหนดี” มันไม่ได้ถามความเห็นของผมหรอกครับว่าอยากกินอะไร คำถามของมันแปลได้ว่า ‘ไอ้ศรไปร้านไหน’ ต่างหาก เพราะมันรู้จักผมดี มันเลยคิดว่าผมจะต้องไปนั่งกินร้านเดียวกันเพื่อเฝ้าแฟน ผมบอกชื่อร้านไปก่อนบอกให้มันขับไปส่งผมเอารถที่จอดไว้ที่คณะวิศวะก่อนเพราะไม่อยากให้มันวกกลับเข้ามาส่งอีก


พวกผมสี่คนพักอยู่คอนโดคนละที่แต่ก็ยังอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัย ไม่มีใครคิดจะอยู่ตึกเดียวกันทั้งที่สนิทกันมาก พวกมันต้องการความเป็นส่วนตัวในการเหลวไหล จะหิ้วสาวเข้าห้องก็ไม่ต้องระแวงว่าจะเจอสายตาเพื่อนให้สูญเสียความมั่นใจ อันนี้ความเห็นของไอ้โจ


“ไหนมันวะ” ไอ้เต๋าถามขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน ท่าทางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังทำให้ผมขำ


“มันอยู่หลังมอโน้น”


“อ้าว” ไอ้เต๋าหน้าเหวอ เพราะผมพามันมาร้านข้างมอ


“วันนี้มาแปลก ไม่ตามเหรอวะ”


“เบื่อ”


“เบื่อเมีย?”


“เบื่อมึงเนี่ย เสือกจังเลย”


“อ้าวไอ้ห่า”


เบื่อครับ เบื่อจริง ๆ คดีเก่าแม่งยังไม่เคลียร์เลย มันยังขยันสร้างคดีใหม่อีก แต่ผมไม่ได้เบื่อมันนะ หลงมันขนาดนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปเบื่อ ผมก็แค่อยากเว้นระยะห่างบ้าง อย่างน้อยช่วงกินข้าวก็ปล่อยให้มันได้มีอิสระกับสายรหัสเพราะอย่างไรเสียก็อยู่กันหลายคน ไว้มันไปกับพี่รหัสมันสองต่อสองเมื่อไหร่ ผมตามไปแน่ไม่ต้องห่วง


“แล้วคืนนี้จะไปไหม” ไอ้เต๋าถามหลังจากที่เราสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว


“ยังไม่ได้คิด”


“ยังต้องคิดอีกเหรอมึงอ่ะ”







ก็จริงของไอ้เต๋า


ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะพบว่าตัวเองมาอยู่ในร้านเหล้าในวันที่ไอ้ศรมากับคนอื่นได้


วันนี้มันมาร้านเหล้าจริง ๆ ครับ ไม่ใช่ผับไม่ใช่บาร์ เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียว ๆ กับกับแกล้มเบา ๆ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นสนามมวยของเด็กเกษตรฯกับวิศวะซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกแม่งจะมีเรื่องบาดหมางอะไรกันนักหนา ได้แต่หวังว่าวันนี้คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคนของผม


ความจริงมาที่แบบนี้ก็ดีไปอย่างตรงที่ไม่ค่อยมีผู้หญิง ส่วนใหญ่ก็พวกผู้ชายมาดูบอลกันมากกว่า ผมเลยไม่ค่อยห่วงว่ามันจะมาทำกรุ้มกริ่มใส่ผู้หญิงคนไหน


ไอ้ศรกับรุ่นพี่มันนั่งอยู่ในร้าน ผมเลยนั่งนอกร้านในส่วนของโอเพ่นแอร์ที่ไม่มีแม้แต่หลังคากั้น ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมไลน์ไปถามว่ามันอยู่ร้านไหน มันเองก็น่ารัก ยอมบอกผมตามตรงไม่มีอิดออด


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเบียร์ผมหมดไปสองขวด ผมมองไปที่กลุ่มมันบ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ถ้าหันไปแล้วเห็นว่าคุยกับพี่รหัสมันอยู่ผมจะทักไลน์ไปชวนมันคุย แฟนผมมันก็น่ารัก รู้ว่าถูกกูแกล้งแต่ก็ยังตอบกลับมาไม่มีละเลย แม้บางครั้งจะส่งแค่สติ้กเกอร์โมโหมาให้ก็ตามที แต่ผมเห็น หน้ามันไม่ได้โมโหตามสติ้กเกอร์เลยสักนิด


ในโต๊ะนั้นมีแต่คนที่ผมไม่รู้จัก เดาเอาว่าน่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนพี่รหัสมันและเพื่อนรุ่นมันในสายกลุ่มนั้น พี่รหัสไอ้ศรชื่อนิก เป็นผู้ชายผอมบางผิวขาวจนเกือบซีด ตัวเล็กพอกันกับไอ้ฟา แต่หน้าสวยผิวสวย ไม่ได้หน้าสวยแบบผู้หญิง แต่โครงหน้าสวยกว่าชายวัยกลัดมันทั่วไป ตั้งแต่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ไอ้รุ่นพี่นั่นก็ยังไม่ขยับออกห่างจากคนของผมเลยสักนิด คุยจ้ออยู่แต่กับมันเหมือนว่าทั้งโต๊ะนั้นไม่รู้จักใคร อยากจะลุกเดินเข้าไปแทรกกลางอย่างเสียมารยาทแต่ก็รู้ว่าขอบเขตตัวเองทำได้แค่ไหน ไอ้ศรไม่เคยห้ามที่ผมตามหึงหวง ตามเฝ้ามันในทุก ๆ ที่ มันรับรู้แต่ก็คงไม่ชอบให้ผมเข้าไปก้าวก่าย ผมเองก็ไม่อยากทำถึงขั้นนั้น กลัวมันจะรำคาญ ไม่อยากทะเลาะด้วย ทะเลาะแล้วไม่มีความสุข ไม่สนุกเลยสักนิด


จะว่าไปคดีเก่าก็ยังไม่เคลียร์เลยนี่หว่า


คิดได้ผมก็ทักไอ้เต๋าไปทันที ไอ้เหี้ยนี่มันหาข้อมูลเก่ง ครั้งก่อนที่ผมจะจีบไอ้ศรก็ได้มันเนี่ยแหละช่วยสืบเรื่องศรมาให้ รอไม่นานมันก็ตอบกลับมา นั่นหมายความว่ามันใกล้จะเข้านอนแล้ว เพราะปกติไอ้เต๋าเป็นคนไม่ติดโทรศัพท์ ถ้ากลับเข้าคอนโดแล้วมันจะปล่อยทิ้งขว้างแล้วจะเช็คทุกอย่างแค่ช่วงก่อนนอนเท่านั้น


OMIN : มีเรื่องให้ช่วยสืบ
คิวบ์คิวบ์ : ว่ามาครับเพื่อน


ไม่เข้าใจว่าเมื่อไหร่มันจะเลิกใช้ชื่อไลน์ปัญญาอ่อนแบ๊วเวอร์แบบนั้นทั้งที่ขัดกับหน้าตาและบุคลิกของมันมาก แต่พอมันอ้างว่า คิวบ์ก็แปลว่าลูกเต๋าซึ่งเป็นชื่อของมันได้ พวกผมเลยปล่อยเลยตามเลย เอาที่คุณมึงคิดว่าคูลเลยครับเพื่อน


OMIN : สืบให้หน่อยว่าพ่อของน้องเพชร วิดวะ BM เป็นใคร


BM เป็นตัวย่อของ biomedical ที่คนในมหา’ลัยผมรู้กันครับว่าหมายถึงวิศวะฯชีวการแพทย์ หรือบางทีก็จะเรียกกันว่าไบโอเมด


คิวบ์คิวบ์ : เห้ยยยยยย
คิวบ์คิวบ์ : อะไรของมึงเนี่ย เขาเป็นใครวะ
OMIN : เป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้ศร
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว แล้วเกี่ยวไรกับพ่อเขาวะ
OMIN : เหอะหน่า กูอยากรู้ว่าพ่อน้องเขาเป็นใคร ระดับความสัมพันธ์กับไอ้ศรเป็นยังไง
คิวบ์คิวบ์ : ก็เป็นอามันไงครับเพื่อน
OMIN : อันนี้กูรู้แล้วไอ้สัด
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว นี่กูเริ่มงงมึงแล้วนะเนี่ย
OMIN : ไม่ต้องสนใจหรอก มึงสืบให้กูหน่อยก็แล้วกัน
คิวบ์คิวบ์ : ให้กูสืบทั้งที่ยังงงแบบนี้ กูคิดค่าข่าวแพงนะเว้ย
OMIN : อย่าเคี่ยวไอ้สัด อยากแดกไรกูเคยปฏิเสธเหรอ
คิวบ์คิวบ์ : หึหึ รอรับข่าวได้เลย


เรื่องเสือกแต่เก็บเป็นความลับได้นี่ไว้ใจไอ้เต๋าได้ครับ ส่วนไอ้พีทกับไอ้โจนี่ไม่รอด ไม่ใช่ว่าพวกมันปากสว่างหรอกครับ แต่พวกแม่งชอบแกล้งผม พวกมันจะสนุกถ้าได้เปิดเผยความลับของผม


ผ่านไปอีกเกือบสองชั่วโมง ไอ้ศรลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมเดาว่ามันน่าจะเริ่มเมา เพราะถ้ามันเมาเมื่อไหร่ แค่มันฉี่ออก มันก็จะสร่างเร็ว แต่ถ้าเมาแล้ว อาการมันค่อนข้างน่าเป็นห่วง ผมรู้ ผมเคยเจอมาแล้ว และสาบานได้เลยว่าผมจะไม่มีทางปล่อยให้มันเมาอีกเด็ดขาดถ้าตรงนั้นไม่มีผมอยู่ด้วย


“เฮ้ย! อะไรวะ?!!”


เพราะตรงนั้นไม่มีไอ้ศรผมจึงละสายตากลับมาอยู่กับสังคมออนไลน์จนกระทั่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่ดังออกมาถึงโซนด้านนอก พอหันไปมองชัด ๆ จึงเห็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดกำลังเกิดขึ้น


ผมลุกขึ้นวิ่งเข้าไปทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด ไอ้ศรยืนอยู่กลางวงกำลังต่อยตีกับใครสักคนที่ผมจำได้ว่าเป็นเด็กคณะเกษตรฯ


บนพื้นมีเศษแก้วแตก ผมไม่มีเวลาดูให้แน่ชัดว่าเป็นแก้วหรือขวดเบียร์ ได้แต่ภาวนาไม่ให้ไอ้ศรสังเวยเลือดให้กับมันก่อนที่ผมจะมาถึง ผมเข้าไปแยกคนที่กำลังสู้อยู่กับไอ้ศร เสียงคนโวยวายทั้งตกใจและร้องเชียร์ดังขึ้นลั่นจนคาดว่าอีกไม่นานเจ้าของร้านคงเข้ามาแยกพวกเราออกจากกัน


“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”ผมคว้าแขนไอ้ศรเพื่อให้มันทรงตัวได้หลังจากเหวี่ยงไอ้เหี้ยนั่นออกไปได้แล้ว


“ไม่เป็นไร”


ไม่เป็นไรก็เหี้ยละ! บนหน้ามึงมีเลือดออกขนาดนี้บอกไม่เป็นไร!


ผมไม่ทันสำรวจว่าเลือดที่เห็นมันไหลออกจากแผลส่วนไหนบนหน้ามัน เพราะผมโกรธจนอยากจะอัดไอ้คนที่ทำให้ตายคาตีนไปเลย


อั่ก อั่ก อั่ก


ผมรัวหมัดใส่คนที่เข้ามาหมายจะทำร้ายเรา นาทีนั้นกูไม่สนแล้วว่าใครเป็นใคร หมัดทุกหมัดถูกปล่อยออกไปเพื่อระบายอารมณ์โกรธที่ต้องมีใครสักคนมารองรับ เสียงห้ามดังมาจากไอ้ศรเป็นระยะแต่ผมก็ไม่สนใจ ใครหน้าไหนเสล่อเข้ามาใกล้ตอนนี้กูต่อยหมดไม่ยั้ง


ปรี๊ดดดดดดดด


เสียงนกหวีดดังขึ้นเพื่อหยุดทุกการเคลื่อนไหว ผมหอบเหนื่อยแต่ยังไม่หายโกรธ ไอ้ศรเข้ามาพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้ม หมดแรงน่ะก็ใช่แต่หลัก ๆ แล้วเมานิดหน่อยด้วย


ความบาดหมางคืนนี้จบลงที่คนสองกลุ่มชดใช้ค่าเสียหายกันฝ่ายละครึ่งก่อนแยกย้ายแต่หลังจากนี้จะจบจริงหรือเปล่าไม่มีใครรู้ เพราะการกลับมาเอาคืนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


“ศรเป็นไงบ้าง?” พี่รหัสไอ้ศรเดินเข้ามาเกาะแขนตรวจมองดูร่างกายแฟนผมด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าสวยเกินชายนั่นแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ


“ไปโรง’บาลนะ เดี๋ยวพี่พาไป”


“ไม่ต้อง!” ผมพูดเสียงเข้ม ตวัดตามองเขม็งให้รู้ชัดไปเลยว่ากูไม่พอใจ “แฟนผม ผมดูแลเอง” เน้นสถานะด้วยมันจะได้รู้ตัวว่าไม่ควรก้าวก่ายไปมากกว่านี้


“แต่..”


“ผมไม่เป็นไรครับพี่ พี่นิกจะกลับยังไง ให้ผมกับโอมไปส่งไหม” ถ้าไอ้ศรไม่ขัดขึ้นมาก่อนผมก็คงจะทำอะไรที่เสียมารยาทมากกว่านี้ไปแล้ว


ไอ้พี่นิกเหลือบมองผมกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนบอกปฏิเสธความหวังดีของไอ้ศร คนกลางอย่างมันปรายตามองผมแล้วรับคำอีกฝ่ายแต่โดยดี ไม่เซ้าซี้ให้ผมยิ่งหงุดหงิดใจ







ห้องไอ้คุณชายมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นครบครัน ไม่มีอะไรที่ใกล้หมดเพราะมันซื้อมาเติมตลอดเหมือนกับว่าการต่อยตีเป็นเรื่องปกติ ผมนั่งทำแผลให้มันที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าได้รูปไร้ที่ติมีรอยบากเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตำแหน่งตรงหางคิ้วข้างขวา สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากเศษแก้วที่กระเด็นมาโดนในจังหวะไหนสักช่วงหนึ่ง ผมไม่ได้ถามมัน เราต่างคนต่างเงียบ ห้องเงียบจนแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศสักนิดก็ไม่มี


“ไหนบอกว่ามีประชุมงาน กลับดึก จะกลับไปนอนที่ห้องไง” คนเจ็บเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน


“ถ้าประชุมจะไปช่วยมึงทันเหรอ” ผมแปะผ้าก๊อซปิดแผลมันไว้ ตลอดเวลาที่ทำแผลให้มันไม่ร้องสักนิด นั่งหน้านิ่งอยู่ตลอด


“โดดประชุมหรือไม่มีนัดตั้งแต่แรก”


“เป็นการชวนคุยที่เหี้ยมากเลยรู้ตัวไหม”


คราวนี้ไอ้ศรเงียบอีกครั้ง ผมทำแผลให้มันเสร็จแล้วแต่มันก็ยังนั่งนิ่งไม่ลุกไปไหน


“พวกวิดวะไม่หาเรื่องเจ็บตัวกันเป็นไหมวะ”


“นี่เป็นเคล็ดลับหุ่นดีของกูเลยนะเว้ย กล้ามขึ้นเร็วกว่ายกเวทอีก” ไอ้ตัวดียังมีหน้าพูดติดตลกแล้วยังเบ่งกล้ามให้ดูอีก แต่ผมไม่ขำด้วย ถ้าวันนี้ผมไม่ตามไปคิดว่ามันจะรอดเหรอ พวกนั้นเถื่อนกว่าวิศวะสาขาคุณชายอย่างมันเยอะ


“ครั้งหน้าอาจจะได้แผลก่อนได้กล้าม”


“มึงจะบ่นทำไมวะ กูเจ็บ มึงไม่ได้เจ็บ”


“กูก็เจ็บ”


“เจ็บตรงไหน อย่ามาเล่นมุขเจ็บที่ใจนะเว้ย กูไม่อิน”


แม่ง


“เออ กูเจ็บมากขึ้นตอนที่มึงบอกว่าไม่อินเนี่ยแหละ”


ผมปิดกล่องยาแล้วเดินออกมา แต่แรงสั่นครืดของโทรศัพท์ไอ้ศรที่วางไว้บนโต๊ะทำให้ผมต้องหันไปมองด้วยความหงุดหงิดใจว่าใครโทร.มารบกวนตอนดึกดื่นแบบนี้ แต่พอเห็นเจ้าของเครื่องมองหน้าจอด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะกดปิดการสั่นแล้วคว่ำหน้าจอลงกับโต๊ะ ผมก็ต้องถอนหายใจออกมายาว ๆ


“ไม่รับหน่อยวะ นั่นพ่อนะเว้ย” เตือนหน่อย เผื่อมันลืม


“ไม่ต้องรับก็รู้ว่าโทร.มาทำไม”


ครับ ผมก็รู้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อมันโทร.มาทันทีที่ไอ้ศรมีเรื่องทำนองนี้ มันเคยกดรับครั้งหนึ่งเพราะผมบังคับ วันนั้นมันหงุดหงิดอารมณ์เสียจนใครก็เข้าหน้าไม่ติด หลังจากวันนั้นมันก็ไม่เคยรับสายพ่อมันอีกเลย ผมไม่รู้ว่ามันกับพ่อมีปัญหาอะไรกัน สายสัมพันธ์ของคนในครอบครัวจะแน่นแฟ้นหรือกลวงโบ๋วขนาดไหน ผมไม่รู้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง


“มึงใช้ชีวิตมายังไงถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นห่วงวะ”


ศรมองหน้าผมนิ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่สนใจ กายที่สูงใกล้เคียงกันลุกขึ้นยืนมองหน้าผมนิ่ง แววตามันว่างเปล่า นี่แทบจะเป็นครั้งแรกเลยที่ผมอ่านมันไม่ออก


“ก็เพิ่งมาเข้าใจตอนได้รู้จักมึงเนี่ยแหละ”


หมายความว่าไง?


ไม่ทันได้เอ่ยถามให้หายข้องใจ อีกฝ่ายก็เดินเข้าห้องนอนไปเสียก่อน ผมถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง ไอ้ศรเป็นคนดื้อ แล้วก็ชอบพูดจากำกวม เหมือนจะเคลียร์ชัดแต่ก็ไม่





ประตูห้องน้ำไม่ได้ปิดสนิท ผมยิ้มบาง เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวของตัวเองมาถือไว้ ถอดเสื้อผ้าออกลวก ๆ จนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้วเดินตามอีกคนเข้าไปในห้องน้ำด้วย


เป็นแบบนี้เสียทุกครั้งที่เรากลับมาดึก เพราะต้องการประหยัดเวลาและรีบพักผ่อน เรามักจะอาบน้ำพร้อมกัน มันอาบในอ่าง ส่วนผมอาบตรงฝักบัว แต่บางครั้งก็มักจะมากกว่าแค่อาบน้ำ


เจ้าของห้องนอนในอ่างที่มีฟองสบู่ลอยอยู่เต็มจนปิดซ่อนหุ่นที่ผมหลงใหลเสียเกือบมิด มีเพียงศีรษะที่พิงขอบอ่างไว้และลาดไหล่กว้างเท่านั้นที่โผล่พ้นขึ้นมา


“อาบน้ำอย่างเดียวนะมึง” ศรพูดทั้งที่ยังหลับตานิ่ง


“ไม่อยากทำแบบเมื่อเช้าอีกเหรอวะ”


“กูยังปวดตัวอยู่เลยสัด”


ผมหัวเราะในลำคอ “ครั้งนี้กูทำให้ มึงแค่นอนเฉย ๆ สลับกันไง” เห็นไหมว่าผมเป็นคนมีน้ำใจขนาดไหน ไม่เคยคิดเอาเปรียบหรอก เมื่อเช้ามันทำให้แล้ว ตกเย็นผมก็ต้องทำให้มันบ้าง แฟร์ดี


“ฟวย!”


นับวันจะยิ่งโรคจิต โดนมันด่าแต่กลับหัวเราะได้เต็มเสียง ยิ่งเห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบนั่นบูดเบี้ยวก็ยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น


ผมพาดผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวใกล้กับของศรก่อนจะเดินไปหยิบเก้าอี้เตี้ยสำหรับทำความสะอาดตรงมุมห้องแล้วไปนั่งลงตรงด้านศีรษะของคนรัก


“หืม?” ไอ้ศรลืมตาขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าผมวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ มันคงระแวงว่าผมจะทำในสิ่งที่มันห้าม


“กูจะสระผมให้ มึงมีแผลที่หน้า สระเองคงไม่ถนัด”


“ลำบากมึงเปล่า ๆ กูดูแลตัวเองได้หน่า”


“ดูแลเมียนี่ลำบากตรงไหน”


ไอ้ศรจิ๊ปากขัดใจ “แล้วแต่มึงเลยครับ”


ผมยิ้มพอใจ ไม่ได้พอใจที่มันยอมให้ทำนะครับ แต่พอใจที่ได้ขัดใจมันนี่แหละ ไอ้คุณชายมันเป็นโรคไม่ชอบพึ่งพาใคร มันคิดว่ามันเก่ง ทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ผมเลยต้องสั่งสอนให้รู้ว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ควรพึ่งพาผมบ้าง โดยเฉพาะเรื่องสำเร็จความใคร่


หมกมุ่นเกินไปแล้วกูเนี่ย!


ผมคว้าเอาฝักบัวอันเล็กที่วางไว้คู่กับอ่างอาบน้ำมาถือไว้ เปิดน้ำปรับระดับความเย็นร้อนทดสอบกับมือตัวเองให้พออุ่นแล้วค่อยรดลงไปบนเส้นผมของศร ไม่อยากใช้น้ำเย็นสระผมเพราะดึกแล้ว ไอ้คุณชายกระหม่อมบางจะไม่สบายเอาได้ น้ำร้อนไปก็ไม่ดี อุ่น ๆ แบบนี้กำลังสบายเลย แม่ผมเคยทำให้ตอนเด็ก ๆ


“ทำไมต้องพาตัวเองเข้าไปหาเรื่องเจ็บตัวด้วยวะ”


ผมเริ่มบีบยาสระผมลงบนมือ ถูไปมาเล็กน้อยก่อนชโลมลงบนเส้นผมเปียกชุ่มของศร ผมของมันดำสนิทจนขับผิวขาวสุขภาพดีให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ต่างจากของผมที่เพิ่งไปโกรกเป็นสีน้ำตาลเข้มเมื่อต้นเทอมที่ผ่านมา


“ก็มันมาลวนลามพี่นิก” ศรยังคงหลับตาพริ้ม รอยหลุกหลิกของลูกแก้วกลมใต้เปลือกตาและรอยย่นหว่างคิ้วบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้ดี ผมเริ่มนวดคลึงไปตามหนังศีรษะและเส้นผมอย่างเบามือ


“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะไปต่อยตีกับเขา”


“นั่นพี่รหัสกูนะเว้ย”


ผมเงียบ ทุกการกระทำของผมหยุดชะงักไปพร้อมกับเสียงพูด


ไอ้ศรลืมตาขึ้นมอง แต่มันคงเห็นแค่ปลายคางของผมเท่านั้น


“อะไร? หึงเหรอวะ?”


“มึงมีความสุขมากรึไงวะที่เห็นกูหึง” ไม่ได้หึงที่มันช่วยพี่รหัสมันหรอกครับ ผมไม่ใช่คนใจร้ายใจดำขนาดนั้น แต่หึงตอนที่มันคุยกระหนุงกระหนิงกับอีกฝ่ายมากกว่า รู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ไม่ชอบให้ทำแบบนั้น เพราะอีกฝ่ายจะคิดว่ามันให้ความหวังเอาได้


“เออ”


ตอบมาได้…


“โรคจิตรึไงวะ”


ไอ้ศรยื่นมือมาจับหน้าผมให้ก้มลงไปสบตาด้วย ใบหน้าหล่อไร้ที่ติมีรอยยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์อย่างไม่น่าไว้ใจ “เวลามึงหึงมันน่ารักดี”


แม่งงงงงง!!


ป๊อก!


“โอ๊ย!!”


ไอ้ศรร้องเสียงหลงเมื่อโดนผมดีดหน้าผากไปหนึ่งที เจ็บจนเผลอจะยกมือที่เลอะโฟมไปลูบแต่ผมยั้งมือมันไว้ได้ทันเสียก่อน “เดี๋ยวก็โดนแผลหรอก”


“มึงแม่งชอบทำร้ายกูตลอด” มันบ่นงึมงำแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ผมล้างมือข้างหนึ่งแล้วเช็ดให้แห้งก่อนลูบวนบนหน้าผากให้มันเบา ๆ เพื่อลดอาการปวด ไอ้นี่มันผิวบางเป็นคุณชายมากจริง ๆ แตะนิดแตะหน่อยก็แดงเป็นปื้น น่าหมั่นไส้จริง ๆ เมียกู


ลูบไปยังไม่ทันหายแดงไอ้คุณชายมันก็หลับตาพริ้มอีกครั้ง คราวนี้ดูสบายกว่าเดิมเสียอีก “ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิวะ”


“สบายใหญ่ละนะมึงเนี่ย”


“หน่า นะ” อ้อนครับ มันอ้อนโผมมม


“ไม่ต้องมาอ้อนเลยนะมึง ทำผิดอะไรไว้กูยังไม่คิดบัญชีเลย”


“ร้องหน่อยดิว้า กูอยากฟัง”


“ไม่!”


“เสียงมึงหวาน กูชอบ”


“...”


“นะโอม”


“เอาเพลงอะไร” เหี้ยเอ๊ย! ไม่น่าเกิดมาแพ้ทางเมียเลยครับ


ไอ้ศรคลี่ยิ้มบางอย่างพอใจ ไอ้นี่มันฉลาด มันรู้ว่าจะทำยังไงให้ผมยอมมันได้ แค่มันเรียกชื่อผมด้วยโทนเสียงนุ่มกว่าปกติผมก็ไปไหนไม่รอดแล้วครับ “เพลงอะไรก็ได้ มึงร้องเพราะหมดแหละ”


เข้าใจหลอกกูนะมึง!


ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าผมร้องเพลงเพราะ เพื่อน ๆ ที่โตมาด้วยกันมันก็ไม่รู้เพราะผมไม่เคยร้องให้ใครได้ยิน แต่ไอ้ศรมันรู้เพราะได้ยินผมร้องตอนที่เก็บของใช้ส่วนตัวบางส่วนในห้องตัวเองเพื่อนย้ายมาไว้ห้องนี้


ผมเริ่มวอร์มเสียงด้วยการฮัมทำนองเพลง




พี่รักเจ้ายิ่งกว่าปลารักน้ำ
กินนรรักถ้ำ ไม่ล้ำ พี่รักเจ้า
กุญชรหวงงา มฤคาหวงเขา
ยังไม่เท่าพี่หวงนงเยาว์
พี่หวงเจ้ากว่าดวงฤทัย





เพลงโปรดที่ผมร้องบ่อยจนไอ้ศรเคยชินมากพอที่จะฮัมเสียงคลอตามได้



กระต่ายพะวงหลงจันทร์ถึงมัวเมา
พี่หลงเจ้ามัวเมากว่านั้นนะชื่นใจ
พี่นี้ แสนรักใคร่รักเจ้ายิ่งสิ่งใด
ปองฤทัยใฝ่หา




ผมไม่ได้ร้องเต็มเสียง มันทั้งเบาและนุ่มคลอไปตามอารมณ์ไอ้คุณชาย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างมีความสุขผมก็ยิ่งยิ้มตามไปด้วย


แม้พี่ขาดเจ้าเท่ากับพี่นี้ขาดใจ
สูญสิ้นอาลัยสิ้นใจเพราะขวัญตา
อยู่ไปไร้ในคุณค่า
ใจปองน้องนางร้างรา
คงตรมน้ำตาร่ำไป




พี่รักเจ้ายิ่งกว่าคำรักนี้
ยุพารักพี่ ครึ่งนี้ได้หรือไม่
จงปลงน้ำคำโน้มนำดวงฤทัย
พี่เพียงให้น้องนางรักใคร่ได้
แม้ครึ่งพี่เอย...




ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ จรดจุมพิตแนบแน่นและเนิบช้าบนหน้าผากเกลี้ยงเกลา ไอ้ศรลืมตาขึ้นมองแต่ไม่ได้หลบเลี่ยงหรือส่งเสียงปฏิเสธ ผมจึงเลื่อนลงไปอีกหนึ่งตำแหน่ง ปลายจมูกโด่งคือเป้าหมายต่อไปของผม แล้วสัมผัสอ่อนโยนก็สิ้นสุดลงที่กลีบเนื้อหยุ่นแดงสด นานกว่าตำแหน่งอื่น ก่อนที่ผมจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง


“ไม่ต้องมาบิ้วเลยนะมึง”


“ไม่ได้ผลเหรอวะ”


“ไม่เว้ย! กูง่วง!!”


ผมหัวเราะลั่นก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่สองออกมาอย่างอารมณ์ดี


จากที่เคยคิดว่าอาบน้ำพร้อมกันแล้วจะได้เข้านอนเร็ว กลายเป็นว่าดึกกว่าเดิมแบบที่ระบุเวลาชัดเจนไม่ได้ เผลอ ๆ ไอ้ศรอาจจะหลับคาอ่างอาบน้ำไปเลยก็ได้


ก็ดีนะ ไม่ได้กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันแต่ได้อาบน้ำด้วยกันก็ถือว่าพอหยวนกันได้


อย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาร่วมกันบ้างละวะ














พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 4
(ครั้งสุดท้ายของโอมอินในรอบนี้ก่อนจะนัดตรวจธรรมศรบ้าง)
---------------------------------------------------------------------------
อย่ากลัวม่า ไม่ม่าาาาา บอกแล้วว่าใสๆวัยรุ่นรักกันค่ะ
เพลงที่โอมอินร้องคือเพลงพี่รักเจ้า ถ้าใครจะตามไปหาฟัง แนะนำเวอร์พี่โจ้ วงพอสนะคะ

#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 02-11-2017 23:46:23
โอมขี้หึงมากก แพ้ทางเมียมากด้วยย
ปล.ขอให้ไม่ดราม่าจริงๆ นะคะ ฮือ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 03-11-2017 03:25:09
 o13 ชอบมากกกค่ะ... โอมขี้หึงแบบน่าหยิกสุดๆ...  :hao3: ตามค่ะ....
FYI:
แต่แบบว่าอ่านแล้วกลัวคนแต่งเทมาม่ากะละมังใหญ่ใส่หน้ามากกกก....  :mew5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 03-11-2017 08:55:11
ไม่ม่าก็ไม่ม่า เราจะเชื่อคนเขียน คนเขียนจะไม่หลอกเราเนอะ555555555
โอมอินหลงเมียมาก ไม่อยากคิดเลยถ้าศรเป็นอะไรไป สติหลุดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 03-11-2017 19:19:53
โอมอินเกิดมาเพื่อยอมเมียจริงๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 03-11-2017 22:24:01
แง๊ๆๆๆ เพลงหวานมากกกก ตอกย้ำความหวงความหลงเมียขั้นสุดของโอมอิน เอ็นดูนางงงงงง
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 3 P.2 [02/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-11-2017 00:25:39
โอมอินนี่ทั้งรักทั้งหลงเมีย  :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 07-11-2017 22:57:31



Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 4
---OMIN---











เพียง คำเดียว ที่ปรารถนา
อยากฟัง ให้ชื่นอุรา
ใจพะว้า ภวังค์
นาน เท่านาน พี่คอยจะฟัง
คำนี้ คำเดียวที่หวัง
อยากฟังจากปากดวงใจ





กลายเป็นกฎปฏิบัติไปแล้วที่ผมต้องกลับบ้านทุกวันเสาร์นับตั้งแต่ที่ย้ายตัวเองออกไปอยู่คอนโดตอนปีหนึ่ง ส่วนเอมอรจะกลับมาตั้งแต่วันศุกร์แล้ว และทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมก็มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงสุนทราภรณ์ในห้องครัวอยู่เสมอ และเพลงนี้ก็นับว่าเป็นเพลงโปรดของแม่ผมเสียด้วย เพียงแต่วันนี้เสียงร้องเปลี่ยนไป…


หวาน และใสกว่าเดิม


“คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง
พี่รัก พี่แหน พี่หวง
เพียงดั่งดวงฤทัย…”



“อ้าว พ่อลูกชาย มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่”


ผมยิ้มรับคำทักทายของแม่ จากที่เอนตัวพิงขอบประตูครัวแอบดูสองสาวต่างวัยวุ่นอยู่กับการทำขนมก็กลับมายืนตัวตรงกระพุ่มมือไหว้แม่งาม ๆ “สักพักแล้วครับ”


“สวัสดีค่ะพี่โอม” เจ้าของเสียงที่ทั้งหวานและใสเมื่อครู่เอ่ยทัก เธอไม่ได้ยกมือไหว้อย่างทุกทีเพราะกำลังติดพันอยู่กับการนวดแป้งตรงหน้า ผมตอบรับคำทักทายยิ้ม ๆ เธอเป็นเพื่อนของอิม น้องสาวอีกคนของผม เด็กสาวคนนี้ชื่อรดา สวยหวานสมชื่อทั้งหน้าตาผิวพรรณและมารยาท


“ไม่ยักรู้ว่าน้องรดาร้องเพลงแบบนี้เป็นด้วย ร้องต่อสิครับ พี่กำลังเพลินเลย” เธอมาที่บ้านหลังนี้บ่อยจนเราคุ้นเคยกันดีมากพอที่ผมจะพูดคุยอย่างสนิทสนมด้วยได้


รดายิ้มเอียงอาย “รดาก็ร้องเป็นแค่เพลงนี้แหละค่ะ คุณแม่ท่านเปิดบ่อย บอกว่าคุณพ่อร้องเพลงนี้จีบสมัยสาว ๆ”


ผมมองไปที่แม่ตัวเองแล้วยิ้มเย้า “เหมือนแม่เลยนะครับ” แม่ผมชอบเพลงนี้ก็เพราะพ่อร้องจีบเหมือนกัน ช่วงที่พ่อผมยังมีชีวิตอยู่ท่านยังร้องเพลงนี้ให้ฟังอยู่ทุกวี่วัน จนท่านจากไปเมื่อห้าปีก่อนด้วยอุบัติเหตุ แม่ก็ร้องแต่เพลงนี้เหมือนเดิม


“เดี๋ยวเถอะลูกคนนี้ ไป ๆ ไปสอนหนังสือน้องได้แล้ว น้องทำการบ้านรออยู่หลังบ้านแหน่ะ รดาเองก็เหมือนกันลูก ไม่ต้องช่วยแม่แล้ว ออกไปพร้อมพี่เขานั่นแหละ”


“ค่ะคุณแม่”


กิจวัตรประจำวันเสาร์หรือเรียกได้ว่าทุกครั้งที่กลับบ้านมาคือสอนภาษาอังกฤษให้สองสาวที่ปีหน้าก็จะตามเข้าไปเรียนในรั้วมหา’ลัยเหมือนผมกับเอมแล้ว สองสาวเพื่อนซี๊คู่นี้สอบตรงเข้าคณะที่ต้องการได้แล้วครับ ทุกวันนี้เลยชิลกันมาก แม้ไม่ต้องไล่เรียนกวดวิชาแต่ก็ยังนัดกันมาอ่านหนังสือด้วยกันอยู่เสมอ บางวันไม่อ่านหนังสือก็เรียนทำขนมกับแม่ผม เห็นเก่งเรื่องขนมนมเนยแบบนี้แต่แม่ผมท่านเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนะครับ ดีหน่อยที่คนละสถาบันกับที่พวกผมเรียน ไม่อย่างนั้นคงเหมือนกับถูกคุมความประพฤติอยู่ตลอด ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจ้าเอมนี่สิคงอยู่นิ่งไม่ได้แน่


“พี่โอม!” น้องสาวคนเล็กที่นับวันจะยิ่งตัวใหญ่ตัวโตเกินเจ้าเอมทิ้งหนังสือในมือวิ่งเข้ามากอดผมเสียแน่น


“แล้วพี่สาวเราไปไหน”


“สัปดาห์นี้พี่เอมไม่กลับบ้านค่ะ โทร.มาบอกแม่ว่าติดทำงานกลุ่ม” ผมพยักหน้ารับรู้ ช่วงใกล้สอบปลายภาคคณะผมจะมีงานจิปาถะเยอะเป็นพิเศษ ของผมเองก็เยอะ แต่โชคดีหน่อยที่ยังไม่รีบมากจึงกลับบ้านมาหาแม่กับน้องได้ ร่างสูงใหญ่ของผมเคลื่อนไปตามแรงดึงของน้องเข้าไปนั่งในศาลาไม้ รอบข้างศาลาร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด พ่อผมชอบปลูกต้นไม้ หลังพ่อจากไปก็ได้เจ้าเอมที่มือเย็นที่สุดช่วยดูแลต่อ


“ยัยรดารีบมาเร็ว” อิมกวักมือเรียกเพื่อนยิก ๆ ในมือเธอถือถาดของว่างกับเครื่องดื่มที่แม่ผมคงเตรียมให้มาด้วย ผมลุกเดินเข้าไปช่วยถือ


“น้ำมะตูมเย็น ๆ ค่ะพี่โอม คุณแม่บอกว่าพี่โอมชอบ รดาเลยลองทำดู” น้ำมะตูมสูตรแม่ผมนี่ต้องทำเองตั้งแต่ฝานมะตูมตากแห้งแล้วคั่วเองเลยนะครับ


“แหม ๆ เอาใจกันน่าดูเลยน้า” ผมส่งสายตาให้อิมรู้ว่าไม่พอใจ ขณะที่อีกฝ่ายที่โดนแซ็วกำลังก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอาย


ผมดื่มชิม รสชาติไม่ต่างจากที่แม่ผมทำนักแต่ไม่หอมเท่า ผมรู้ว่ารดามีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร เธอเรียนรู้เรื่องพวกนี้ไวกว่าน้องสาวผมทั้งสองคนเป็นไหน ๆ เคยได้ยินแว่ว ๆ จากอิมว่าแม่ของรดาเคยอยู่ในรั้วในวัง เธอคงจะได้ทักษะพวกนี้จากบุพการีมาไม่น้อยทีเดียว


“เป็นไงคะ หวานชื่นใจไหม” ยัยน้องสาวตัวดีถามเสียงระรื่นแทนเพื่อนสนิทที่ยังหน้าแดงก่ำ รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่พอใจที่เจ้าตัวพยายามจับคู่ผมกับเพื่อนตัวเอง แต่อิมก็ยังทำ


ผมไม่ตอบน้อง แต่หันไปขอบคุณรดาแทน หลังจากนั้นเราจึงได้เริ่มบทเรียนกันก่อนที่ผมจะถูกชงให้เพื่อนของน้องสาวไปมากกว่านี้


สอนหนังสือให้สองสาวไปได้ไม่เท่าไหร่แม่ก็เรียกให้ไปทานอาหารกลางวันเสียแล้ว ผมปลีกตัวออกมาส่งข้อความหาศรโดยปล่อยให้สองสาวเก็บของกันตามลำพัง


OMIN : กินข้าวรึยัง


ปกติถ้ารอห้านาทีแล้วมันยังไม่ตอบ ผมจะโทร.ไปหาทันที แต่ก็แค่เฉพาะวันหยุดแบบนี้เท่านั้น ถ้าเป็นวันที่มีเรียนผมจะไม่จุกจิกมากเพราะบางทีมันอาจจะติดพันกับเรียนหรือแลปอยู่ก็ได้


ผมนั่งลงข้างแม่ มือยังกำโทรศัพท์ไม่วาง ฝั่งตรงข้ามเป็นสองสาว ซึ่งแน่นอนว่ายัยน้องสาวตัวดีต้องจัดแจงให้เพื่อนตัวเองนั่งตรงข้ามกับผม


ครืด ครืด


เสียงสั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความแชทเข้า ผมมองหน้าจอเห็นแค่ว่าศรส่งรูปมาให้ เปิดเข้าไปจึงรู้ว่าเป็นรูปมาม่าคัพมีฉากหลังเป็นหนังสักเรื่องที่บอกได้ดีว่าวันนี้เจ้าตัวคงไม่ได้ออกไปไหน


OMIN : หึ น่ารัก
OMIN : แต่กินอย่างอื่นบ้างดิวะ เดี๋ยวผมก็ร่วงหมดหัวกันพอดี
DharmaSORN : ของสดหมดแล้ว จะให้ทำอะไรกินละวะ
OMIN : หมดได้ไงวะ วันก่อนกูทำอาหารให้มึงยังพอมีของเหลืออยู่บ้างนี่หว่า
DharmaSORN : เมื่อเช้ากูพยายามทำแกงจืดตามที่มึงสอน แต่แดกไม่ได้
OMIN : *สติ้กเกอร์หัวเราะ


นี่มันคงจะหุงข้าวไม่สุกด้วยสินะ


OMIN : เดี๋ยวนะ มึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม


“กินข้าว อย่ามัวเล่นแต่โทรศัพท์” แม่ดุขึ้นก่อนที่ผมจะได้รับคำตอบจากไอ้ศร ผมอ้อมแอ้มขอโทษ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแต่ตายังเหลือบมองด้วยใจร้อนรน ครั้งก่อนที่สอนมันทำ น้ำร้อนแทบลวกมือมันไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ไม่มีกูอยู่ด้วย มันจะรอดไหม


“เป็นอะไร เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวขมวดคิ้ว”


“เปล่าครับ”


ครืด ครืด


DharmaSORN : สัด กูไม่ได้หน่อมแน้มขนาดนั้น


ผมยิ้มพอใจ กวนตีนมันปิดท้ายนิดหน่อยด้วยการส่งรูปอาหารมื้อกลางวันของผมไปยั่วน้ำลายมัน





“แล้วพรุ่งนี้จะเอาอะไรไหมโอม” แม่ถามขึ้นในตอนที่เริ่มทานผลไม้ปิดท้ายอาหารคาว


ผมยิ้ม ทุกครั้งที่กลับบ้านผมมักจะให้แม่ทำอาหารเพื่อเอากลับไปคอนโดด้วยเสมอ “น้ำพริกลงเรือเหมือนเดิมครับแม่”


แม่ยิ้มอย่างรู้ทัน “กับบวบงูลวกใช่ไหม? แฟนเราชอบมากรึไง โอมให้แม่ทำติดกันมาหลายอาทิตย์แล้วนะ พามาให้แม่เจอตัวบ้างสิ มาเรียนทำกับแม่ก็ได้ เดี๋ยวจะสอนสูตรลับให้”


ผมหลุดขำ อย่างไอ้คุณชายน่ะหรือจะเข้าครัว นั่งรอกินอย่างเดียวจะสบายคนสอนเสียมากกว่าอีก ผมเคยสอนมันทำอาหารง่าย ๆ ยังแทบไม่รอด เงอะงะจนน่ากลัวจะทำให้ตัวเองเป็นอันตรายเสียทุกครั้ง


“ให้มันรอกินอย่างเดียวเถอะครับ เกะกะแม่เปล่า ๆ” ผมพูดติดตลกแต่ถูกแม่มองดุ


“เรียกแฟนว่ามันได้ยังไง ไม่เหมาะไม่ควรเลยลูกคนนี้” ผมยิ้มแห้ง ลืมไปว่าแม่ไม่รู้ว่าแฟนผมเป็นผู้ชาย บังเอิญไปสบตากับอิมเข้า อีกฝ่ายทำหน้าไม่พอใจก่อนจะมองเมิน ขณะที่รดาก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบ ๆ ไม่แสดงอาการเหมือนเพื่อนตัวเอง




หลังจากช่วยเก็บล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว รดาก็ขอตัวกลับทันทีโดยมีคนขับรถที่บ้านมารับ ผมออกมานั่งรับลมตรงศาลาที่เดิมโดยไม่ลืมหยิบหนังสือติดมือออกมาด้วยหนึ่งเล่ม ผมชอบอ่านหนังสือมากพอ ๆ กับที่ชอบดูหนัง ผมอ่านหนังสือเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะหนังสือนิยายจากหลากหลายสัญชาติ หนังสือในแต่ละภาษามีสำนวนการเขียนที่แตกต่างกัน สำนวนการแปลจากภาษาเหล่านั้นเป็นภาษาไทยจึงแตกต่างกันด้วยอย่างเห็นได้ชัด และทุกอย่างที่ได้จากการอ่านล้วนเป็นต้นทุนในการคิดงานของผมทั้งนั้น


“พี่โอมนิสัยไม่ดี” เจ้าอิมมาถึงก็ต่อว่าพลางกระแทกก้นลงนั่งฝั่งตรงข้ามขัดจังหวะการอ่านหนังสือของผม


ผมวางหนังสือในมือแล้วมองหน้าน้องสาวนิ่ง อิมหน้าเสียเล็กน้อย คงเห็นว่าผมเริ่มหน้าดุแล้ว “อะไร?”


“ก็แล้วตัวเองทำอะไรล่ะ”


ผมถอนหายใจ “ใครกันแน่ที่นิสัยไม่ดี จับคู่ให้พี่กับเพื่อนเราน่ะมันถูกแล้วเหรอ”


“ก็แล้วผิดตรงไหน” ยัยน้องสาวคนเล็กหน้างอง้ำ


“อิมก็รู้ว่าพี่มีแฟนแล้ว”


“แฟนที่เป็นผู้ชายน่ะเหรอคะ ถ้าแม่รู้พี่คิดว่าแม่จะรับได้เหรอ อิมผิดรึไงที่อยากให้พี่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง อิมผิดเหรอที่อยากปกป้องพี่ชายของอิม”


“อิมฟังพี่นะ อิมไม่ผิด แต่ที่พี่รักกับพี่ศร มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มันคือธรรมชาติของความรู้สึก มันคือความบริสุทธิ์ที่ไร้การปรุงแต่ง ไร้การจำกัด ไร้การตั้งเงื่อนไขว่าเขาต้องเป็นเพศตรงข้ามกับเราก่อนเราถึงจะรู้สึกรักเขาได้ เข้าใจพี่ไหมอิม”


“ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจพี่เอมด้วยว่าทำไมถึงไม่ห้ามพี่ทั้งที่มีโอกาส”


ผมส่ายหน้าระอา “อิม ความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก พี่ไม่ได้สนใจว่าพี่ศรเป็นเพศไหน พี่รู้แค่ว่าพี่รักเขาไปแล้ว”


“มันต้องถูกต้องด้วยสิ”


“อะไรที่อิมคิดว่าถูกต้อง คนจะรักกันได้ต้องเพศตรงข้ามกันน่ะเหรอ? ถ้าคิดแบบนั้นพี่คงต้องยอมรับว่าตัวเองผิดปกติและกำลังทำผิด แต่พี่จะไม่แก้ไขให้มันถูกต้องเพื่อตามใจใครแน่”


“พี่โอม!”


“แล้วก็เลิกยัดเยียดรดาให้พี่เถอะถ้าไม่อยากเห็นเพื่อนตัวเองเสียใจ เพราะพี่ไม่มีวันคิดกับรดาเกินกว่าพี่น้องแน่”


“ใจร้าย!”


“ไว้วันหนึ่งอิมจะเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงรักพี่ศร”


อิมฟึดฟัดขัดใจก่อนจะเดินกระแทกเท้าจากไป ผมมองตามแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอา ไม่หวังให้น้องเข้าใจผมในตอนนี้ ขอแค่อย่าพยายามยัดเยียดผมให้เพื่อนตัวเองอีกก็พอ





บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นเต็มไปด้วยความขุ่นมัวของอิม บรรยากาศมาคุระหว่างผมกับน้องเป็นที่จับสังเกตได้ของแม่ ผมรู้ว่าท่านรู้ แต่ตราบใดที่เราสองคนไม่ออกอาการมากจนเกินพอดีแม่ก็จะไม่พูดถึง แต่ไหนแต่ไรมาแม่มักจะปล่อยให้เราแก้ปัญหากันเอง ยิ่งหลังจากที่พ่อจากเราไปแล้วผมกลายเป็นผู้นำครอบครัวคอยดูแลสุภาพสตรีในบ้าน ผมก็มักจะได้รับการคาดหวังอย่างสูงจากแม่อยู่เสมอ


จบมื้อเย็นผมกับน้องก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน เจ้าอิมเก็บล้างในครัวเรียบร้อยก็รีบหนีขึ้นห้องนอนตัวเองไป ส่วนแม่อยู่แต่ในห้องทำงาน อีกไม่เกินสิบปีแม่ผมก็จะเกษียณจากอาชีพที่ท่านรัก ถึงตอนนั้น ‘อาจารย์ป้า’ ดุ ๆ คงหายไปจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกหนึ่งท่าน


ผมใช้เวลาช่วงค่ำคืนไปกับการดูหนังตั้งแต่สองทุ่ม พื้นที่ห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งตกเป็นของผมโดยปริยาย ก่อนกลับมาบ้านผมแวะซื้อแผ่นหนังเรื่องใหม่ ๆ มาสองสามเรื่องหลากหลายแนว ผมชอบดูหนังจากแผ่นมากกว่าดูออนไลน์ ไม่ใช่เป็นคนดีเคารพกฎหมายอะไรมากมายหรอกครับ แต่ดูจากแผ่นมันเลือกออปชั่นได้เยอะกว่าแค่นั้นเอง และสามเรื่องที่ซื้อมาผมก็ตั้งใจว่าจะดูคืนนี้ให้จบทั้งหมดเพราะพรุ่งนี้ตื่นสายได้



OMIN : กินอะไรรึยัง
DharmaSORN : กินแล้ว
OMIN : ออกไปไหนรึเปล่า
DharmaSORN : ใครแม่งจะออกเที่ยวทุกวัน
OMIN : จะไปรู้เหรอ เผื่อมึงหนีกูออกไปเมาอีก
DharmaSORN : แดกทุกวันตับพังกันพอดี




หายห่วงแล้วก็แค่นั้น ผมไม่เคยชินกับการคุยโทรศัพท์กับแฟนตอนดึกหรือก่อนนอนอะไรทำนองนั้นอย่างที่ใครเขาทำกันหรอกครับ แต่เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะอยู่ด้วยกันเกือบทุกคืน พอมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ก็มีเหงาบ้างแต่ไม่มากจนต้องโทร.ไปวอแวกับอีกฝ่าย


คิวบ์คิวบ์ : ส่งข่าวเว้ย


ไอ้เต๋าทักมาตอนที่หนังเรื่องแรกเดินเรื่องถึงกลางแผ่นสองพอดี ผมกดพอสก่อนหยิบมากดดู


OMIN : ว่ามา
คิวบ์คิวบ์ : น้องเพชรแม่งโคตรสวยเลยว่ะ

เชี่ยเต๋า…

OMIN : ต้องบอกไหมว่ากูรู้แล้ว
คิวบ์คิวบ์ : เออ ๆ ไม่เล่นกับกูเลยสัด
OMIN : แล้วได้เรื่องไรมา ตกลงอาไอ้ศรเป็นใคร
คิวบ์คิวบ์ : เป็นหมอ


เป็นหมอ…


‘พี่ศรไปหาพ่อเพชรอีกแล้วเหรอ’



แค่ไปหาอา...หรือไปหาหมอ?


แต่อยู่ด้วยกันมาสามเดือนผมยังไม่เคยเห็นมันกินยาอะไรเลยสักเม็ด


OMIN : หมอด้านไหน กูโทร.หามึงได้ไหม


ไอ้เต๋าหายเงียบไปเกือบห้านาทีกว่าจะตอบกลับมา


คิวบ์คิวบ์ : กูไม่สะดวกว่ะ เขาเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นอาจารย์หมออยู่ศูนย์อะไรสักอย่างของรพ.มอเราเนี่ยแหละ กูจำชื่อไม่ได้แล้ว
OMIN : แล้วศูนย์นั้นทำอะไร
คิวบ์คิวบ์ : ดูแลผู้ป่วย palliative
OMIN : คืออะไรวะ


ไอ้เต๋าเว้นช่วงไปอีกรอบ ผมเริ่มนั่งไม่ติดที่แต่ก็พยายามใจเย็น


OMIN : ถ้ามึงไม่สะดวก ไว้คุยกันวันหลังก็ได้นะ


ผมไม่รู้ว่ามันทำอะไรอยู่ แต่ถ้ามันจะมา ๆ หาย ๆ แบบนี้แล้วทำให้ผมค้างคา ผมว่าไว้คุยกันในตอนที่ต่างฝ่ายต่างสะดวกกันดีกว่า ผมกดปุ่มเพลย์เพื่อดูหนังรอ หวังจะให้ใจร่มแต่ตากลับดูหน้าจอโทรศัพท์ที่พยายามค้นหาความหมายของคำว่า ‘palliative’ ไปด้วย ยังไม่ทันอ่านจนเข้าใจเหยี่ยวข่าวของผมก็ตอบกลับมาเสียก่อน


คิวบ์คิวบ์ : เห้ย คุยได้ละ กูกลัวมึงรีบไง
คิวบ์คิวบ์ : กูถามญาติที่เป็นหมอมา palliative คือการดูแลคนไข้แบบประคับประคอง เขาบอกกูว่านี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่กูน่าจะเข้าใจที่สุดแล้ว
OMIN : โอเค กูโง่เองที่ไม่เข้าใจ
คิวบ์คิวบ์ : กูก็ไม่เข้าใจเว้ย เขาเลยอธิบายต่อ
OMIN : ไอ้สัด กูอยากรู้ข้อสรุป ไม่ได้อยากรู้ว่ามึงคุยอะไรกับเขาบ้าง
คิวบ์คิวบ์ : อ้าว ใครจะไปรู้ บางทีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมึงอาจจะอยู่ระหว่างบทสนทนาของกูก็ได้
OMIN : เออ ๆ ว่ามา
คิวบ์คิวบ์ : คนไข้ที่รักษาแบบประคับประคองคือคนไข้ที่ยุติการรักษาโรคตามแพลนปกติแล้ว ที่หน่วยนี้จะให้การรักษาแค่ตามอาการ ความไม่สบายกาย ใจ จิตวิญญาณทั่วไป


หมายความว่าไงวะ?


ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ไอ้เต๋าอธิบาย แต่อ่านแล้วก็ยังหาความเชื่อมโยงของอาหลานคู่นั้นไม่ได้ การที่ศรไปหาอาตัวเองที่เป็นหมอ ‘อีกแล้ว’ นั่นหมายถึงแง่ของการรักษาโรค หรือแง่ของการ ‘เยียวยา’ อย่างอื่นกันแน่


คิวบ์คิวบ์ : อ้าวเงียบ อ่านแล้วเงียบเลย
คิวบ์คิวบ์ : เฮ้ยย ช็อคไปแล้วเหรอวะ
OMIN : มึงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของไอ้ศรกับอามันไหม
คิวบ์คิวบ์ : ก็คงจะสนิทกันมาก ไอ้ศรไปนอนที่บ้านอามันบ่อย เมื่อก่อนถึงขั้นอยู่ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ แต่ช่วง 1-2 เดือนมานี้ไม่ได้ไปแล้ว ล่าสุดที่ไปก็เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง
OMIN : มึงรู้ได้ยังไง


ผมไม่เคยสงสัยในแหล่งข่าวของไอ้เต๋า มันเป็นคนกว้างขวางและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่แปลกใจเลยที่มันจะล้วงข้อมูลเชิงลึกมาได้ แต่เพราะครั้งก่อนข้อมูลเกี่ยวกับไอ้ศรที่ได้มามันไม่ลึกเท่านี้ ครั้งนี้ผมจึงสนใจใคร่รู้ ที่ผ่านมาผมสนใจแค่ผิวเผิน ยอมรับว่าใจจริงเพราะอยากให้ศรเป็นคนบอกเอง


คิวบ์คิวบ์ : กูไปคุยกับคนใช้บ้านนั้นมา
OMIN : เมื่อกี๊มึงบอกว่าเมื่อก่อนมันอยู่บ้านนั้นเหรอ
คิวบ์คิวบ์ : เยป
OMIN : ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วบ้านมันล่ะ
คิวบ์คิวบ์ : อันนี้แหละที่กูก็อยากรู้เหมือนกัน
OMIN : หมายความว่าไง
คิวบ์คิวบ์ : กำลังจะถาม แต่มีคนเรียกเขาซะก่อน กูเลยต้องรีบกลับ


ผมรู้ว่ามีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับมัน ไม่อยากจะเก็บมาคิดมากด้วยว่าที่ยังไม่รู้เพราะมันไม่อยากจะบอก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมหวังแค่ว่าวันหนึ่งผมจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยมากพอสำหรับทุกเรื่องของมัน


คิวบ์คิวบ์ : ถามได้ไหมว่ามีเรื่องอะไร
OMIN : กูก็ยังไม่รู้
คิวบ์คิวบ์ : อืม มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันนะเว้ย
OMIN : มึงก็รู้ว่ากูประคบประหงมมันขนาดไหน


หนังเรื่องแรกจบไปพร้อมความตั้งใจที่ว่าถ้ามีโอกาสคงได้เปิดดูใหม่อีกรอบเพราะหลังจากจบบทสนทนากับเพื่อนสนิท ผมก็ล่องลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าคิดเยอะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไอ้ศร แต่เมื่อคิดเท่าไหร่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ ไม่มีอะไรที่ตอบคำถามให้กับข้อสงสัยได้นอกจากจะยิ่งฟุ้งซ่านไร้สาระไปเรื่อย


หนังเรื่องที่สองถูกเปิดขึ้น ผมได้แต่หวังว่าเนื้อหาซับซ้อนชวนลุ้นตลอดเวลาอย่างที่ใคร ๆ เคลมกันไว้จะทำให้ผมจดจ่ออยู่กับมันได้จนจบเรื่อง






ครืด ครืด


เสียงสั่นเตือนของสมาร์ทโฟนเครื่องบางดังขึ้นอีกครั้งของค่ำคืนในตอนครึ่งหลังของหนังเรื่องสุดท้าย ผมยอมละสายตาจากฉากหนังสุดระทึกไปมองหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวก่อนที่แสงจะดับลงผมทันเห็นแอคเคาน์ของคนรักในแอปพลิเคชั่นหนึ่งเด้งขึ้นมา


ตีสอง


DharmaSORN : นอนยังวะ


ผมยิ้ม


OMIN : คิดถึง พิมพ์แบบนี้


หลังจากได้รับคำด่ากลับมาผมก็ตัดสินใจกดโทร.ออกไปหาอีกฝ่ายทันที เมียเหงา ผมก็ต้องทำหน้าที่สามีที่ดีสักหน่อย


[โทร.มาทำไมวะ]


“ก็มึงเหงา”


[กูยังไม่ได้พูดสักคำ]


“ถ้าไม่อยากคุยด้วยก็วางสายไปดิ”


[กูวางจริงอย่าร้องไห้ล่ะน้องโอม]


“หึหึ”


บทสนทนาขาดช่วงไปหลายนาที ต่างฝ่ายต่างเงียบแต่ปลายสายก็ยังไม่ได้วางสายไปเหมือนอย่างที่ขู่ไว้ ผมเองก็ยังนั่งดูหนังของผมต่อไป อีกไม่กี่นาทีก็น่าจะจบแล้ว


[ทำไร ทำไมยังไม่นอน]


“ดูหนังอยู่ นี่ไม่ได้ยินเสียงเลยเหรอ” ผมว่าผมก็เปิดดังอยู่นะ ปลายสายน่าจะได้ยินชัดแม้กระทั่งบทสนทนาเลยด้วยซ้ำ


[...]


“แล้วทำไมยังไม่นอน นอนไม่หลับรึไง” ปกติคืนที่ผมกลับบ้านหรือนอนที่ห้องตัวเอง ศรก็ไม่เคยโทร.มาดึกขนาดนี้เพราะนอนไม่หลับนะครับ แต่คืนนี้มาแปลก


[อือ สงสัยตอนกลางวันจะนอนเยอะไปหน่อย]


“ไม่ได้ไปฟิตเนส?” ได้ยินเสียงครางอือตอบกลับมาเนือย ๆ ปกติถ้ามันได้ออกแรงจนเหนื่อยมันก็จะหลับได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน ผมไม่เคยถามเป็นจริงเป็นจังว่าอาการนอนหลับยากของมันถึงขั้นเรียกว่าเป็นโรคได้หรือเปล่า จำได้ว่าเคยถามถึงเรื่องนี้ครั้งหนึ่งตอนคบกันช่วงแรก ๆ ศรก็บอกแค่ว่าเป็นคนหลับยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแค่นอนดูรายการโทรทัศน์ไปเรื่อย ๆ ก็จะหลับได้ง่ายขึ้น


แต่คงไม่ใช่สำหรับคืนนี้


“ให้กลับไปช่วยออกแรงตอนนี้ไหม เผื่อมึงเหนื่อยแล้วจะได้หลับง่ายขึ้น”


[สัด!]


ผมหัวเราะชอบใจ เริ่มจะดูหนังไม่รู้เรื่องเอาซะแล้ว ถ้ามีมันคอยกวนใจแบบนี้เห็นทีว่าผมคงต้องกดปิดก่อนหนังจบแน่ ๆ


[ร้องเพลงกล่อมหน่อย]


เอาแล้วไงกู


“อ้อนก่อน”


[ตีนกูนี่!]


ผมหัวเราะ “เสพติดกูแล้วเหรอมึงน่ะ”


[หึ หลงตัวเองว่ะ]


“หลงมึงมากกว่าอีกนะรู้ตัวยัง”


[ปากดี]


“ชิมออกจะบ่อย เพิ่งรู้เหรอว่าดี”


[ไม่อ่ะ คิดว่ามันหวานมาโดยตลอด]


แม่งงงงง


ไม่ดงไม่ดูมันแล้วครับหนัง กูขับรถกลับไปนอนคอนโดตอนนี้เลยดีไหม


“พูดแบบนี้แปลว่าเมียเรียกกลับบ้านป่ะ”


[บ้าเหรอวะ นี่ไงอ้อนอยู่ ไหนอ่ะเพลงกู ร้องได้ละอย่าเล่นตัวเยอะ]


ผมหัวเราะลั่น บอกให้อีกฝ่ายถือสายรอแล้วรีบเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อนเดินกึ่งวิ่งขึ้นห้องนอนตัวเองโดยเร็ว


“พร้อมไหม?” ถามเช็คอีกฝ่าย ส่วนตัวเองก็กำลังนอนแผ่บนเตียงกว้างที่โคตรอ้างว้างเพราะไม่มีศรนอนอยู่ข้าง ๆ


[แปป ๆ]


“ทำอะไรของมึง”


ผ่านไปหลายอึดใจกว่ามันจะตอบกลับมาว่าพร้อมแล้ว


ผมไม่ถามเซ้าซี้ซ้ำ พลิกตัวตะแคงมองไปยังพื้นที่ว่างบนเตียงแล้วจินตนาการว่าคนปลายสายกำลังนอนอยู่ตรงหน้า สมาร์ทโฟนเครื่องบางถูกเปิดสปีกเกอร์แล้ววางอยู่ไม่ไกลกัน


ผมเริ่มฮัมทำนองเพลงพร้อมหลับตาลง




ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม

ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย
มิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว
สลัวเย็นย่ำ ค่ำคืนเอ๋ย
ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม



ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงปลายสายฮัมคลอตามไปด้วย



..

..



ยามนี้เราหลงทางกลางค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร
ฉันร่อนเร่พเนจร
ไม่รู้จะนอนไหนเอย
เอ๋ยโอ้หัวอกเอย




“ไอ้ศร...” ผมเรียกคนปลายสายเสียงเบาหลังจากร้องเพลงจบด้วยไม่แน่ใจว่ามันหลับไปแล้วหรือเปล่า เพราะเท่าที่ได้ยิน เสียงของมันขาดหายไปตั้งแต่กลางเพลงแล้ว


[...]


“หลับแล้วเหรอวะ ถ้าหลับแล้วกูจะวางละนะ”


[...]


“ฝันดีนะดวงใจของกู”


[...]



“กูรักมึงมากนะศร”











(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 07-11-2017 22:59:08


ผมกลับคอนโดมาในตอนเย็นวันอาทิตย์ ไลน์มาบอกไอ้คนเฝ้าห้องแล้วว่าจะมากินข้าวเย็นด้วยกัน ให้มันรอก่อน


อุณหภูมิภายในห้องที่ใกล้เคียงกับภายนอกซึ่งอาจจะอุ่นกว่าเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำบ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ในห้องและเจ้าของห้องคงออกไปได้สักพักใหญ่แล้ว ช่วงเย็นแบบนี้มันก็คงจะลงไปเข้าฟิตเนสข้างล่าง กะเวลาคร่าว ๆ แล้วคิดว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงอีกฝ่ายก็น่าจะกลับขึ้นมาแล้ว


ปิ่นโตเถาใหญ่ถูกวางลงบนเคาเตอร์ในครัว วันนี้ผมให้แม่ทำอาหารให้เยอะกว่าทุกครั้งเพราะกลัวว่าที่ห้องจะไม่เหลือของสดไว้เลยอย่างที่เจ้าของห้องบอกไว้ พอเปิดตู้เย็นออกดูถึงได้รู้ว่าคงถึงคราวที่ต้องออกไปซื้อของสดมาตุนไว้อีกรอบเสียแล้ว






ติ้ด


เสียงปลดล็อกประตูห้องดังขึ้นหลังจากที่ผมนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ได้ไม่นาน


ผมละสายตาไปมอง ตรงกรอบประตูปรากฎร่างของคนรักในชุดเสื้อกล้ามสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงบอล มัดกล้ามเนื้อขาวสะอาดตาที่โผล่พ้นร่มผ้ามีเม็ดเหงื่อพราวเกาะเต็มพื้นที่เช่นเดียวกับใบหน้าไร้ที่ตินั่นด้วย


“กลับมานานแล้วเหรอวะ”


“สักพักใหญ่ละ”


“ไม่ลงไปข้างล่างอ่ะ” ปกติผมก็ออกกำลังกายเป็นประจำเพราะจะปล่อยให้หุ่นเฟิร์มน้อยหน้าเมียไม่ได้


ผมส่งเสียงในลำคอแทนคำปฏิเสธ “ขี้เกียจ...มึงไปอาบน้ำให้เรียบร้อยไปจะได้ออกมากินข้าว”



ระหว่างที่รอศรอาบน้ำ ผมก็ลุกจากโซฟาไปจัดอาหารใส่จานแล้วอุ่นอีกรอบเพื่อให้พร้อมทาน


ผมกลับไปนั่งดูสารคดีตรงโซฟาตัวยาวได้ครู่หนึ่งใครอีกคนก็เดินออกมาในชุดพร้อมนอนซึ่งก็มีเพียงแค่กางเกงผ้าแพรขายาวตัวเดียวเท่านั้นขณะที่มือก็ง่วนอยู่กับการยีผมที่เปียกโซก ต้องใช้คำว่ายีครับ คำว่าเช็ดอาจจะอธิบายวิธีการทำให้ผมแห้งของมันไม่ได้


“มานี่สิ” ผมกวักมือเรียก ไอ้ศรเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนพรมตรงหน้าจนผมต้องรีบรวบเท้าขึ้นมาขัดสมาธิบนโซฟาแทนเพื่อที่มันจะได้ทิ้งตัวพิงโซฟาได้เต็มที่


“อาบน้ำสะอาดแล้วนั่งข้างล่างให้สกปรกอีกทำไมวะ” ผมแย่งผ้าขนหนูในมือมันมาทำหน้าที่ต่อ ผมของมันไม่ยาว ค่อย ๆ ซับไม่นานก็แห้ง


“ป้าน้อยมาทำความสะอาดแล้ว” ป้าน้อยคือแม่บ้านที่บ้านมันครับ ป้าแกมีหน้าที่ทำความสะอาดห้องนี้สัปดาห์ละครั้ง ช่วงระหว่างนั้นเราสองคนจะช่วยกันทำบ้าง


“บ่นว่ากูเป็นคุณชาย แต่ใครกันวะทำให้กูเคยตัว”


“หึ”


“วันนี้นั่งกินข้าวตรงนี้ได้ป่ะ” ตรงนี้คือโต๊ะกระจกตัวเตี้ยหน้าโทรทัศน์


“เอาดิ”


“หืม?” ไอ้ศรเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความสงสัย “ใจดีจังวะ”


“ปกติกูใจร้ายเหรอ”


ไอ้ศรไม่ตอบ มันยักไหล่เหมือนจะสื่อว่า ‘ไม่รู้ดิ’ แล้วหันกลับไปนั่งท่าเดิม ผมยิ้มมุมปาก รู้ตัวว่าไม่ใช่คนใจร้ายแต่อาจจะเคร่งครัดไปบ้างตามนิสัยของพี่ชายที่ต้องดูแลน้องอีกสองคน


ฟอดดดดดด


“หอมว่ะ” ผมกระซิบเสียงแหบพร่าหลังจากสูดกลิ่นจากปลายผมของมันที่ระต้นคอด้านหลัง ส่วนคนที่โดนฉวยโอกาสก็นั่งนิ่งแข็งเป็นหินไปแล้วครับ เสียดายที่หน้าจอโทรทัศน์สว่างจ้า ถ้ามืดสักนิดคงได้เห็นสีหน้าเขินอายของอีกฝ่ายไปแล้ว


“หะ หิวแล้ว กูไปยกข้าวมานะ” ดูมันเขิน เขินจนลืมขอบคุณผมไปเลย จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นมันเขินเวลาผมทำอะไรแบบนี้


“ยังจะเขินอีกเหรอวะ กูหอมมึงมาหมดทุกซอกทุกมุมแล้วนะ”


ไอ้ศรชี้หน้าคาดโทษผม และเพราะว่ามันไม่ได้ใส่เสื้อ ผิวเนื้อที่แดงขึ้นมาจึงประจานความเขินอายของมันแก่สายตาผมให้ได้ยิ้มล้อ






อาหารง่าย ๆ อย่างแกงจืดลูกรอกใส่หมูสับ ไข่เจียวกุ้ง ผัดผักบุ้งหมูกรอบ คั่วกลิ้งและน้ำพริกลงเรือพร้อมบวบงูลวกของโปรดไอ้ศรถูกวางลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยโดยที่เราสองคนนั่งบนพรมตรงข้ามกัน ศรเป็นคนกินเผ็ดไม่เก่ง เพราะฉะนั้นคั่วกลิ้งซึ่งเผ็ดที่สุดในมื้อเย็นนี้จึงตกเป็นของผมคนเดียว


ไอ้ศรมองอาหารตรงหน้าตาโต ความสนใจของมันปิดไม่เคยมิด เมื่อก่อนมันก็ไม่ได้ชอบทานของพวกนี้หรอกครับ แต่เพราะอยู่กับผม มันจึงเรียนรู้ที่จะลองจนสุดท้ายก็ติดใจ โดยเฉพาะน้ำพริกลงเรือสูตรแม่ผมที่ใส่เนื้อหมูสามชั้นเป็นชิ้น ๆ แทนหมูสับ ยิ่งได้ทานคู่กับบวบงูที่มันไม่กล้าทานในตอนแรกด้วยแล้ว บอกได้คำเดียวว่ากลายเป็นเมนูโปรดชั้นยอดของมันไปแล้ว บางทีอาจจะพอสูสีกับอาหารญี่ปุ่นที่มันชอบมากเลยด้วยซ้ำ


“ลองหน่อยไหม” ผมตักคั่วกลิ้งขึ้นมายื่นไปทางอีกคน


ไอ้ศรส่งเสียงปฏิเสธ “เผ็ด”


“ยังไม่ทันได้กินเลย รู้ได้ไงว่าเผ็ด”


“ถ้าไม่เผ็ด มึงกินข้าวไม่ได้หรอก” สุดท้ายคั่วกลิ้งที่ตักขึ้นมาก็ย้อนมาตกลงในจานผม จริงอย่างที่มันว่าแหละครับ ผมชอบทานเผ็ดมาก มื้อไหนขาดอาหารรสจัดจ้านแบบนี้ผมแทบจะไม่เจริญอาหารเลย





จบมื้ออาหารเย็นพวกผมสองคนก็มานั่งพักให้อาหารย่อยกันในห้องนั่งเล่นที่เดิมแต่ครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างจับจองโซฟาตัวยาวกันคนละมุม ไอ้ศรนั่งเหยียดขาพาดเก้าอี้เล็กอีกตัว ขณะที่ผมนั่งไขว่ห้างพิงพนักในท่าสบาย บนจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าฉายถ่ายทอดสดฟุตบอล พวกเราดูกีฬาชนิดนี้ได้ แต่โชคดีที่ไม่มีใครเป็นแฟนบอลสโมสรไหนเป็นพิเศษเพราะไม่ได้คลั่งไคล้กีฬาชนิดนี้นัก  ผิดกับบาสเกตบอล บอกเลยว่าทั้งผมและมันต่างก็เป็นตัวเต็งของคณะ เพียงแต่คณะผมมันไม่โดดเด่นเรื่องกีฬาเท่าวิศวะเขาครับ


“ศร”


“หืม”


“ไหนอ่ะรางวัล ทั้งร้องเพลงกล่อมเมื่อวานทั้งอาหารเย็นวันนี้” ง่าย ๆ เลยครับกูอยาก ไม่อยากจะบอกว่ามีอารมณ์ตั้งแต่ตอนหอมท้ายทอยมันแล้ว คนไม่ได้เสพย์สุขร่วมรักกันมาหลายวันก็ต้องมีความต้องการมากกว่าปกติเป็นธรรมดาครับ


“พรุ่งนี้เรียน”


“เรียนเลคเชอร์หรือแลป”


ผมหันมองหน้ามันอย่างใจจดใจจ่อ ถ้าพรุ่งนี้มันเรียนแลปผมยังมีหวัง เพราะมันจะทำบรีฟแลปตั้งแต่หลังจบคาบเรียนบรรยายเรื่องนั้น ๆ ไว้เลย แต่ถ้าพรุ่งนี้มันเรียนบรรยาย ผมแม่งแดกแห้วอย่างไม่ต้องต่อรองให้มากความเลยครับ เพราะคืนนี้มันต้องอ่านหนังสือจนดึกแน่ ยิ่งถ้าเป็นวิชาของสายวิทย์สุขภาพนะ อ่านเกือบถึงเช้าก็เคยเห็นมาแล้ว


“เลคเชอร์”


เชี่ยยยยย


ไอ้ศรหันมามองหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ชอบทำ


“แต่กูอ่านจบตั้งแต่คืนก่อนแล้ว”


เยส!!!


ได้แดกเมียแทนแห้วทั้งที พุ่งสิครับจะรออะไร












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 5
--------------------------------------------------------
ครั้งหน้าหมอนัดตรวจธรรมศรนะคะ

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 08-11-2017 06:15:13
ศรเป็นแะไร มีปัญหากับที่บ้านแน่เลย
โอมนี่ก็หลงเมียขั้นสุด ประคบประหงมมาก น่าร้ากกกก
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 08-11-2017 16:45:46
ฮืออออ น่ารักอีกแล้ว หลงโอมอินมากๆ มากพอๆกับที่โอมอินหลงศร :ling1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 08-11-2017 17:12:54
โอมคนหลงเมีย แต่เมียหล่ิอก็ต้องหวงหน่อย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-11-2017 00:56:45
ศรน่าเอ็นดูน่ารักมากเลยยย อยากรู้แล้วว่าไปหาหมอทำไมมมม  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 10-11-2017 18:47:11
ชอบการอ้อนสไตล์ศรมาก รู้สึกเอ็นดู55555
รอบหน้าจะได้สัมผัสถึงมุมมองของศรแล้วสินะ รอเลยค่า
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kstation ที่ 24-12-2017 18:11:13
รอตอนต่อไปอยู่ครับ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 4 P.2 [07/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: viiviiccA ที่ 08-01-2018 18:18:37
โอมอินโคตรจะหลงเมีย ศรก็โคตรขี้อ่อยเลย555555555   o18 เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 5 P.3 [26/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-01-2018 22:20:05
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 5
---DharmaSORN---






ผมแม่งโคตรเพอร์เฟค



ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ


รูปร่างสูงใหญ่กอปรกับมัดกล้ามเนื้อสวยราวกับรูปปั้น


ฐานะทางบ้านที่มีทั้งเงินและอำนาจ


นั่นคือสิ่งที่คนอื่นคิดว่าผมเป็น…


ธรรมศรที่คนอื่นมองมันก็สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างนั่นแหละ


แต่ไม่มีใครรู้สักนิดว่าคนอย่างธรรมศรก็มีจุดบกพร่องอยู่เหมือนกัน จุดบกพร่องที่เป็นช่องโหว่ในชีวิตนจนกลบปิดอย่างไรก็ไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น


แม้กระทั่งกระจกเงาตรงหน้าก็ยังไม่สามารถสะท้อนจุดบกพร่องนั้นได้ทั้งที่ผมเปลือยท่อนบนอยู่ทนโท่




“เหม่ออะไรอยู่”


เสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้องกันมาสามเดือนแล้วดังขึ้น ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ได้เหม่อหรอก เพราะถ้าเหม่อคงไม่ได้ยินที่มันพูด ผมหันไปมองเจ้าของเสียงแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด สายตาโลมเลียของมันทำให้ผมหน้าร้อนจนต้องรีบหันหนี


“หยุดมองกูด้วยสายตาแบบนั้น” ผมพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ


“ทำไม? กูมองแบบนี้แค่กับเมียตัวเองเท่านั้นแหละ”


ผมจิ๊ปาก หันไปชี้นิ้วใส่หน้ามันอย่างคาดโทษ เกลียดจริง ๆ ไอ้สถานะที่อีกฝ่ายชอบพูดเวลาอยู่กันแค่สองคน ไม่ได้เกลียดสถานะนี้ แต่เกลียดความน่าหมั่นไส้ที่มันแสดงออกมา


ไม่เป็นเมียบ้างก็พูดได้ดิ


“นี่มึงเขินกูด้วยเหรอ” ไอ้โอมพูดติดตลก “หรือเห็นแล้วมีอารมณ์” ผมไม่รู้ว่ามันเดินเข้ามาใกล้ตอนไหน แต่ในประโยคท้ายไอ้คนพูดมันก็เดินเข้ามายืนซ้อนหลังผมเรียบร้อย นัยน์ตาคมยังฉายแววโลมเลียร่างกายผมเพียงแต่เปลี่ยนจากมองกันตรง ๆ เป็นมองผ่านกระจกเงาตรงหน้าแทน


“ถ้ามึงมี...กูพร้อมนะ”


“ไอ้ห่า! ไปไกล ๆ ตีน” ผมกระทุ้งศอกใส่มันไปหนึ่งที ไม่สนใจว่าท่าทางงอตัวของมันจะเป็นเพราะเจ็บจริงหรือการแสดง เพราะสิ่งที่ต้องทำคือรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะโดนมันเล่นงานจนต้องไปเรียนสาย





ชีวิตประจำวันนอกบ้านของผมไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ อย่างน้อยการได้เจอผู้คนใหม่ ๆ อยู่เสมอจากคลาสเรียนก็ทำให้ผมสนุกกับการเรียนมากขึ้น วิศวะสาขาชีวการแพทย์ของผมเป็นเพียงสาขาเดียวที่ได้เรียนกับคนมากหน้าหลายตา ไม่จำกัดอยู่แค่เฉพาะในคณะวิศวะด้วยกัน และผมจะมีความสุขมากเป็นพิเศษถ้าได้เรียนกับกลุ่มคนที่หนึ่งในนั้นมีเพื่อนสนิทสมัยมัธยมอยู่ด้วยอย่างเช่นวันนี้


“ไงมึง ได้ข่าวว่าวันก่อนมีเรื่องกับเด็กเกษตรเหรอวะ” ไอ้ทัช เพื่อนสนิทที่แยกไปเรียนภาคไฟฟ้าร้องทักลั่นห้องเรียนรวมที่จุคนได้มากถึงสองสาขา ช่างเป็นการทักทายที่สร้างสรรดีจริง ๆ เพื่อนกู


“เออ” ผมเดินเข้าไปใกล้ ขณะที่ไอ้หนึ่งไอ้กอล์ฟไอ้เมฆและไอ้ฟาก็เดินไปทักคนอื่นเหมือนกัน “เห็นคิ้วกูไหมล่ะ” ผมก้มตัวยื่นหน้าเข้าไปให้ไอ้ทัชที่นั่งอยู่ดูใกล้ ๆ แต่ไอ้ทัชเสือกยื่นมือมาบี้เล่นจนผมร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ถ้าแตะเบา ๆ มันก็ไม่เจ็บแล้วล่ะครับ หลายวันแล้วนี่ แต่ถ้าเล่นบี้อย่างที่มันทำก็ยังเจ็บแสบอยู่บ้าง “อย่าซนไอ้สัด”


“อย่าซ่านักดิวะ พวกแม่งไม่จบง่าย ๆ มึงก็น่าจะรู้” ไอ้ดลพูดเตือนด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง ไอ้นี่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้ทัช วันก่อนที่ผมไปเที่ยวแล้วกลับไปนอนบ้านอาผมก็ไปกลับกลุ่มนี้มา


“กลัวที่ไหน” ผมไหวไหล่ไม่สนใจ พวกแม่งจะจบไม่จบผมก็พร้อมสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว


“เออ ถ้าพวกมันมาจริงก็เรียกพวกกูไปเสริมได้นะเว้ย” ไอ้เตอร์พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ใครจะทันได้ห้ามความบ้าของผม ไอ้นี่มันใจนักเลงพอตัว ผมเลยถูกคอกับมันเป็นพิเศษในบรรดาเพื่อนใหม่


“คงไม่ต้องถึงมือถึงตีนพวกมึงหรอกมั้ง”


“หึ มั่นใจไปแล้วไอ้คุณชาย” ไอ้ทัชสบประมาท ใคร ๆ ก็มองว่าภาควิชาคุณชายอย่างพวกผมไม่มีทางต่อยตีสู้วิศวะภาคอื่นหรือคณะอื่นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขี้ขลาด เลือดนักสู้ก็มีอยู่พอตัว


“เห้ย ๆ ไปนั่งเว้ย ’จารย์มาแล้ว” ไอ้หนึ่งทั้งผลักทั้งดันพวกเราทุกคนให้ไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนในสาขาเดียวกัน พวกมันทุกคนรู้ว่าผมจะคึกเป็นพิเศษเวลาได้อยู่กับเพื่อนเยอะ ๆ แต่ต้องเป็นเพื่อนนะ ถ้าคนเยอะแต่ไม่สนิทกันผมจะเงียบจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว


ท้ายคาบเรียนอาจารย์ที่เคารพรักแจ้งข่าวร้ายสำหรับทุกคนว่าจะเปิดช็อปของภาคไฟฟ้าเสริมในวันเสาร์นี้และอยากให้ภาคผมเข้าร่วมด้วยเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาเรียกเสียงโอดครวญจากนักศึกษาทั่วทั้งห้องจนหูผมแทบดัง ผมหัันมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเสียงดังระงมแบบนี้สักครั้ง ผมที่นั่งริมสุดหันไปถามไอ้หนึ่งที่นั่งติดกันด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นวะ”


ไอ้หนึ่งหันมองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด “อะไร”


“มึงไม่โวยวายเหรอวะไอ้ศร” ไอ้ฟาชะโงกหน้ามาถามก่อนที่ผมจะได้ความกระจ่าง ไอ้กอล์ฟกับไอ้เมฆเองก็เช่นกัน


“โวยวายทำไม เข้าช็อปก็ดีนะ จะได้อ่านเองน้อยลง” ผมตอบซื่อ ๆ อย่างที่คิด


“วันเสาร์เรามีเรียน ไอ้โอมไม่อกแตกตายเลยเหรอวะ” ไอ้หนึ่งพูดขึ้นต่อ สีหน้ามันยังเป็นหมางงเหมือนเดิม


“ทำไม?” ...เกี่ยวอะไรกับมัน


“เอ๊า! มีแฟนประสาอะไรลืมวันวาเลนไทน์วะ”


...วาเลนไทน์?


“เสาร์นี้?”


“เออดิ นี่มึงลืมจริงจัง”


ผมไม่ตอบคำ ผมมีเรียนก็คงไม่กระทบอะไรหรอกมั้ง เพราะมันก็คงจะกลับบ้านเหมือนทุกที


วันวาเลนไทน์ก็กลายเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง


ไม่ดิ มันไม่เคยเป็นวันพิเศษเลยด้วยซ้ำ


“วาเลนไทน์แรกของพวกมึงสองคนทั้งที เตรียมของขวัญอะไรให้แฟนครับ” ไอ้เมฆเสนอหน้าทะเล้นมาถาม


“จะว่าเตรียมตัวไว้ให้ก็ไม่ได้แล้ว มึงให้เขาไปตั้งนานแล้วนี่หว่า” ไอ้ฟารับเป็นลูกคู่ได้ตรงจังหวะก่อนหันไปแท็กมือกัน


“ไอ้สัด”


“พอ ๆ” ไอ้หนึ่งที่นั่งคั่นกลางร้องห้าม “มึงไปเคลียร์กับมันให้เรียบร้อยละกัน อย่าให้ระเบิดลงช็อปนะเว้ย” ผมไม่ได้รับปากแต่เลือกที่จะเก็บของเงียบ ๆ


“เห้ยพวกมึง...” ไอ้ทัชกับกลุ่มเพื่อนเดินย้อนกลับขึ้นมาด้านบนที่พวกผมนั่งอยู่ “เสาร์นี้เลิกช็อปแล้วไปตี้กัน ตามประสาคนโสดเว้ย”


ไอ้พวกโสดไม่สนิททั้งหลายตกปากรับคำโดยเร็วเหลือแค่ผมที่ยังไม่ให้คำตอบ จนไอ้ทัชตีขาผมด้วยสมุดเล่มหนึ่งในมือมันแทนการสะกิด “มึงละวะ งานนี้คนไม่โสดก็ไปได้นะเว้ย”


“แต่ถ้าอยากไปแบบคนโสดก็ยิ่งดีใหญ่” ไอ้ดลเสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย


“งานนี้โสดเสื้อขาว มีเจ้าของแล้วเสื้อดำครับผม” ไอ้ดลอธิบายต่อ


“กูยังไม่ให้คำตอบละกัน” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอบรับแบบไม่ต้องคิด แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าต้องรอขออนุญาตจากไอ้โอม แต่เพราะไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะอยู่กับผมหรือเปล่า ถ้ามันอยู่แล้วผมออกไปเที่ยว มีหวังได้ฆ่ากันตายแน่


“มึงจะชวนแฟนไปด้วยก็ได้นะเว้ย นัดกันใส่เสื้อดำไง”


“แต่ใส่เสื้อขาวทั้งคู่ก็ไม่เลวนะ” ไอ้เตอร์ออกความเห็นเรียกเสียงเฮจากกลุ่มเพื่อนมันขณะที่กลุ่มเพื่อนผมหน้าซีดกันทุกคน


“แต่กูว่าเลว” ไอ้กอล์ฟที่เงียบอยู่นานแทรกขึ้นมาหน้านิ่ง ไอ้พวกนี้ก็กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ใส่ขาวทั้งคู่แล้วยังไง ก็แค่เสื้อเปล่าวะ ไอ้โอมต้องแยกแยะได้ดิ “เอาเป็นว่าพวกกูสี่คนไปแน่ ส่วนไอ้ศรบวกลบ”


ไอ้ทัชพยักหน้ารับทราบ บอกเวลาและสถานที่จัดงานก่อนต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป  ช่วงบ่ายผมมีเรียนบรรยายวิชาภาคตัวเองอีกสามชั่วโมง หลังจากนั้นผมกับไอ้หนึ่งแยกกับเพื่อนอีกสามคนไปห้องชมรมชนบท เห็นพวกผมเรียนเยอะเรียนหนักกันขนาดนี้แต่ก็ไม่ทิ้งกิจกรรมนะครับ โดยเฉพาะไอ้หนึ่งที่ตอนนี้เป็นถึงประธานชมรมเลยทีเดียว


ผมกับไอ้ทัชไอ้หนึ่งและไอ้กอล์ฟเป็นเพื่อนกันมาก่อนเข้าเรียนที่นี่แล้วครัับ พอไอ้ทัชแยกไปเรียนภาคไฟฟ้าและไอ้กอล์ฟหันไปเอาดีด้านดนตรีมากกว่า ช่วงแรก ๆ ผมเลยตัวติดกับไอ้หนึ่งเป็นพิเศษ มันไปเข้าชมรมไหนผมก็ตามไปด้วยอย่างไม่เกี่ยงงอน อะไรก็ได้ที่ทำให้ช่วงปิดเทอมกูไม่ว่าง เอาให้ยุ่งสุด ๆ ไปเลยยิ่งดี และชมรมชนบทก็ตอบโจทย์ผมแบบสุด ๆ ออกค่ายอาสาแต่ละครั้งกินเวลาไปครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ เพียงแต่ค่ายที่ใกล้จะถึงนี้พวกผมคงไม่ได้เข้าร่วมอีกแล้วเพราะต้องฝึกงานช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีสุดท้าย


ปกติหลังเลิกเรียนถ้าไม่สิงตัวตามห้องสมุด คาเฟ่หรือร้านอาหาร ผมกับไอ้หนึ่งก็จะมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องชมรมนี่แหละครับ เพียงแต่วันนี้มีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่าการทำตัวไร้สาระอย่างเช่นทุกวัน


“พี่จะรออีกสิบนาทีนะครับ เผื่อจะมีใครมาเพิ่มอีก” ไอ้หนึ่งยืนประกาศอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดหลังจากเขียนหัวข้อการประชุมของวันนี้ค้างเอาไว้แล้ว


...ค่ายอาสา ครั้งที่ 20...


ผมนอนเหยียดยาวบนโซฟาที่ยึดเป็นของตนเพียงคนเดียวปล่อยให้เพื่อนคนอื่นและรุ่นน้องนั่งพื้นบ้างเก้าอี้ไม้ตัวกลมบ้างตามแต่จะหาที่ปักหลักกันได้


ไอ้หนึ่งเดินมาสะกิดขาให้ผมเอาลงเพื่อที่มันจะนั่งด้วยตรงปลายเท้าในตอนที่ผมกำลังส่งไลน์ไปนัดไอ้โอมว่าให้มารับที่ตึกชมรมเพราะวันนี้ตั้งใจกันไว้ว่าแวะซื้อของสดที่ห้างก่อนกลับคอนโด


เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตรงประตูพร้อมเสียงโวยวายของหนุ่มสาวคู่หนึ่งทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอไปมองเพื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือรุ่นน้องปีสองจากคณะรัฐศาสตร์


“อะไรกันวะ” ไอ้หนึ่งถามนำออกไปก่อนแต่ผมเห็นแล้วว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นตรงนั้น


“มึงจะยืนรอให้ไอติมเลอะพื้นห้องเหรอไอ้รัก ไปล้างสิโว้ย” เห็นเต็มตาว่าไอศกรีมรสช็อกโกแลตลูกใหญ่บนกรวยในมือรุ่นน้องผู้ชายกำลังละลายและมันก็คงจะเป็นแบบนี้ได้สักครู่ใหญ่แล้วเพราะมือของมันเลอะไปด้วยคราบสีน้ำตาลและเริ่มหยดติ๋งจนเจ้าตัวต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งมารองไว้ไม่ให้หยดลงพื้นห้อง


“ไข่ แกไปช่วยฉันล้างหน่อย” ไอ้น้องรักหันไปบอกเพื่อนสาวคนสนิทที่ชื่อไข่มุกแต่มันเสือกเรียกซะสั้นแบบไม่เกรงใจความหวานบนหน้าน้องเขาเลย ซึ่งถ้ามันย่อว่ามุก ผมจะไม่คาใจอะไรเลยจริง ๆ


“เฮ้ย ๆ ผู้หญิงกับผู้ชายเข้าไปอยู่ในห้องน้ำสองต่อสองได้ไง ผู้หญิงเขาเสียหายไอ้สัด” ไอ้หนึ่งร้องโวยวาย ผมร้องหึมองไอ้เพื่อนขี้หวงทั้งที่ไม่กล้าคิดจะจีบเขาด้วยซ้ำ ใช่ครับ เพื่อนผมคนนี้ชอบน้องไข่มุกแต่แม่งป๊อด


“นี่มันห้องน้ำชมรม มีแค่เรา พวกพี่ก็รู้ว่าไม่มีอะไรอย่างนั้นเกิดขึ้นอยู่แล้ว”


“ไม่ต้องเถียงเลยไอ้รัก ไอ้ศรมึงไปช่วยน้องดิ๊” อ้าวเหี้ยหนึ่ง ไหงมาลงที่กู


“เกี่ยวอะไรกับกู”


“มึงว่างอยู่อ่ะ ไปช่วยน้องมันหน่อย” ...คนอื่นก็ว่างป่ะวะ แต่ไม่อยากจะเถียง ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีไม่โยนหน้าที่ให้คนอื่น แม้ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่หน้าที่กูก็ตาม


ผมปรายตามองไอ้ตัวปัญหา “มึงเป็นง่อยเหรอ”


“มือมันเลอะไอ้สัด ไป ๆ ไปทั้งคู่อ่ะ”


“เร็วเหอะพี่ เสื้อผมเลอะด้วยเนี่ย” เพราะน้องไข่มุกหาถ้วยมาให้มันใส่ไอศกรีม ผมจึงได้เห็นว่าเสื้อนักศึกษาของมันเลอะคราบสีน้ำตาลเป็นทางยาวตั้งแต่ช่วงกลางตัวลงมาจนเกือบถึงหัวเข็มขัด


“มันจะยากตรงไหนวะ ก็แค่มึงล้างมือก่อนแล้วค่อยล้างเสื้อเนี่ย”


“มันช้าไงพี่ เดี๋ยวไอติมซึมเข้าเส้นใยเสื้อหมด ล้างไม่ออกกันพอดี”


ผมส่ายหน้าระอา ใครเอาความเชื่อผิด ๆ ฝังหัวมันวะ ล้างมือไม่ถึงหนึ่งนาทีนะไม่ใช่หนึ่งชั่วโมง!


ถึงจะบ่นไอ้เด็กนั่นแต่สุดท้ายก็จำต้องยอมลุกตามไปช่วยมันตามสายตาอ้อนวอนของเพื่อนสนิทก่อนที่น้องไข่มุกจะตามไอ้รักเข้าไปเองเสียก่อน


“เด๋อด๋าแบบมึงเนี่ยนะเรียนรัดสาด” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพูดแบบนี้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็แทบจะว่ามันทุกครั้งที่เจอหน้า เป็นผู้ชายยังไงวะ ตัวก็ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นแต่กลับโก๊ะ ๆ เปิ่น ๆ อย่างกับผู้หญิง

“อ้าวพี่! ผมน่ะไออาร์นะเว้ย” ผมมองรุ่นน้องที่อ่อนกว่าหนึ่งปีแต่ดูโคตรเด็กในสายตาตรงหน้าอย่างพิจารณา ไอ้เด็กท่าทางไม่เต็มเต็งล้น ๆ เกิน ๆ แบบนี้น่ะหรือเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โตขึ้นไปมันจะดูน่าเชื่อถือได้ขนาดไหนกันเชียว


ผมส่ายหน้าตัดรำคาญตั้งหน้าตั้งตาซักล้างเสื้อให้มันแบบทุลักทุเล มือมันยื่นไปล้างในอ่างส่วนผมก็ต้องคอยกวักน้ำมาราดบนรอยเปื้อน ถู ๆ ขยี้ ๆ อยู่ไม่นานรอยก็จางจนจนแทบมองไม่เห็นแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่เด่นจนน่าเกลียดละวะ


“ถ้าแม่เห็นต้องว่าแน่ ๆ เลย” เสียงบ่นพึมพำของหนุ่มรุ่นน้องทำเอาผมชะงักมือ


“แม่มึงดุรึไง”


“ไม่หรอกครับ แม่ผมน่ะใจดีจะตาย แค่เจ้าระเบียบน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลอะ ๆ ซน ๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกครับ”


“หึ ลูกแหง่”


“เขาเรียกว่าแม่รักแม่ห่วงครับผม” ไอ้ตัวปัญหายิ้มกว้าง มันดูภูมิใจในตัวแม่มันมากจนผมชักหมั่นไส้ “เสร็จแล้ว! มาก็ช้าแล้วยังเดือดร้อนคนอื่นอีก” ผมปล่อยมือจากเสื้อมันแล้วหันหลังเดินออกไปทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินมันบ่นว่าผมเป็นอะไร


สิ่งที่ยืนยันความเป็นไข่ในหินของไอ้เด็กรักได้อีกหนึ่งอย่างคืออาหารคาวหวานสารพัดอย่างที่ถูกจัดเป็นชุดพอดีคนถูกนำมาส่งก่อนจบการประชุมครึ่งชั่วโมงโดยทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือการทำอาหารของแม่มันเองและมักจะเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้ง


“อ้าวพี่ศร ไม่กินเหรอครับ นี่ของพี่นะ” ไอ้เด็กรักเรียกรั้งไว้ตอนที่ผมคว้ากระเป๋าตัวเองไว้แล้วกำลังจะบอกลาทุกคน


“ไม่อ่ะ ขอบใจ...ไปนะทุกคน กูไปก่อนนะไอ้หนึ่ง” ผมไม่เปิดโอกาสให้มันเซ้าซี้ เห็นแวบหนึ่งว่ามันหน้าจ๋อยลงไปเลยอดไม่ได้ที่จะเดินกลับเข้าไปหาแล้วยื่นมือออกไปขยี้ผมมันจนยุ่งเหยิง


“ฝากผมทรงนี้ไปแทนคำขอบคุณแม่มึงด้วยละกัน”


แม้จะรู้ว่าถ้ากลับบ้านไปผมทรงนี้อาจโดนแม่ดุแต่มันก็ยังยิ้ม...ยิ้มเหมือนคนบ้า


นั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนเดินออกจากห้องชมรม









“รอนานยังวะ” ผมถามไอ้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยทันทีที่เข้ามานั่งเบาะข้างกันแล้ว


ไอ้โอมตวัดตามามองอย่างขุ่นเคือง “ถ้าจับเวลาตั้งแต่ที่เห็นมึงลงจากตึกแล้วก็นานมาก” มันตอบเสียงเรียบแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันเคืองเรื่องอะไร เป็นธรรมดาที่คนอัธยาศัยดีอย่างผมเดินไปไหนมาไหนแล้วจะมีคนเข้ามาทักเข้ามาชวนคุย นี่ถือว่าทำเวลาดีมากแล้วเหอะ คุยกันแต่พองามตามมารยาทเท่านั้นจริง ๆ


ไอ้โอมยังไม่ยอมออกรถ มันนั่งกระฟัดกระเฟียดหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับจะปรับอารมณ์ตัวเองให้ลงมาอยู่ระดับปกติให้ได้ก่อน เห็นทีว่าผมคงต้องช่วยเร่งให้มันลงเร็วขึ้นเสียหน่อยเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ขืนออกช้ากว่านี้มีหวังติดแหงกตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นรั้วมหา’ลัย


ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปโบกรัวมือเหมือนเชียร์หลีดตรงหน้าไอ้คนหน้านิ่ง “โอ๋เอ๋หน่าโอ๋เอ๋ อย่าหงุดหงิดกูเลยนะ นี่กูปฏิเสธทุกคนเลยนะเนี่ย ไม่มีใครพิเศษกับกูเท่ามึงหรอกครับโอมอิน”


นิ่ง...หน้ามันยังนิ่ง แต่ผมว่าผมเห็นแวบ ๆ นะว่ามุมปากมันกระตุกยิ้มนิดหน่อยเหมือนแววตาของมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเก๊กนิ่ง คงหวังให้กูง้ออีกสินะเชี่ยโอม


เห็นอย่างนั้นผมก็แกล้งฟึดฟัดดึงมือกลับมาแล้วหันหน้ามองตรงบ้าง “อย่าให้กูง้อเยอะได้ไหมวะ เกรงใจร่างควาย ๆ ของกูบ้าง” ง้อทีหน่อมแน้มฉิบหาย เห็นแล้วอายตัวเองเป็นบ้า


“ถ้าไม่อยากง้อบ่อยก็อย่าทำให้กูไม่พอใจอีก” ไอ้โอมวางมือแหมะลงบนหัวผมแล้วโยกเบา ๆ ไอ้นี่นับวันยิ่งเอาใหญ่ ทำอะไรไม่ดูสารร่าง ตัวเท่าควายกันทั้งคู่ ใช่ว่าผมจะตัวเล็กกระทัดรัดเหมือนพวกหนุ่มน้อยฟลาวเวอร์บอยเสียที่ไหน คิดว่าทำแบบนี้แล้วดูน่ารักหรือยังไง เห้ย! แล้วนี่ตกลงใครเป็นฝ่ายง้อกันแน่วะ กูชักงง






การจราจรไม่ทำร้ายเรามากนัก แค่ยี่สิบนาทีเราก็มาถึงห้างใกล้คอนโดแล้ว สถานที่แรกที่เราพุ่งเป้าไปหาคือร้านอาหาร แต่วันนี้ไม่ได้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเพราะไอ้คนข้าง ๆ หิวเกินกว่าจะกินของแบบนั้นอิ่ม ความจริงกินให้อิ่มน่ะมันก็อิ่มอยู่นะ แต่ก็แค่อิ่มท้อง ความรู้สึกมันไม่อิ่มด้วย เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องตามใจผมมาก แต่มันก็เอาแต่พูดว่าไม่ได้ตามใจผม มันแค่ตามใจตัวเองที่อยากเห็นผมมีความสุข


...เออ เรื่องของมึง...


ผมพูดได้แค่นั้นแล้วเดินหนีเสียทุกครั้ง


“วันนี้ไม่อยากเห็นกูมีความสุขเหรอวะ” ผมแกล้งแหย่มันเล่น จริง ๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเลือกจะกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของโปรดผมและผมก็มักจะแหย่มันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่วันนี้ต้องทำตัว alert หน่อยเพราะมีคดีติดตัวอยู่


“ไม่!” มันตอบเสียงเรียบทว่าหนักแน่น “กูจะทำโทษมึง” พูดจบมันก็ชิงเดินหนีไปร้านบุฟเฟ่ต์ที่มันอยากกินก่อนเลย ส่วนผมก็ได้แต่ร้องต่อว่ามันตามหลังไปเท่านั้น


“ใจร้ายจังวะ”







รู้สึกดีที่มันไม่ได้ปั้นปึงหรือทำหน้าบึ้งใส่ผมตลอดมื้ออาหาร นั่นทำให้ผมเบาใจว่ามันคงแค่อยากแกล้งผมเล่นเท่านั้น ไม่ได้คิดโกรธเคืองกันจริง ๆ บางทีมันอาจจะใจอ่อนตั้งแต่ตอนที่ผมง้อแล้วด้วยซ้ำ


ก่อนไปหาซื้อของสดตุนไว้ที่ห้อง ผมกับมันแวะร้านหนังสือกันก่อน เราต่างก็มีเป้าหมาย ผมมาหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการแพทย์ไปศึกษาเผื่อจะเกิดไอเดียโปรเจคจบขึ้นมาได้


เดินอยู่สิบนาทีก็ได้หนังสือหนึ่งเล่มกับนิตยสารหัวการแพทย์เล่มเดิม ๆ ที่ซื้อประจำมาอีกหนึ่งเล่มแล้วเดินไปต่อแถวหลังไอ้โอมที่คงซื้อหนังสือนิยายหรือพวกปรัชญาเอาไปสร้างแรงบันดาลใจอีกอย่างเคย


“อุ๊ยพี่โอม สวัสดีค่ะ” ผมแสร้งมองตรงไปข้างหน้าแต่แอบมองสำรวจเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ยกมือไหว้ทักทายมันหลังเจ้าตัวจ่ายเงินเสร็จแล้วหันหลังมาเจอมันยืนต่อแถวเดียวกันอยู่


“อ้าวรดา มากับใครครับ” หือ...สุภาพเชียวนะมึง


“รดามากับคุณแม่ค่ะ” เจ้าตัวพูดบอกไม่ทันไรก็รีบบอกว่าคุณแม่โทร.ตามแล้ว เธอยกมือไหว้ไอ้โอมที่แม้จะรีบเร่งอย่างไรแต่กิริยามารยาทก็ยังคงงดงาม


“ใครวะ เรียบร้อยจัง ดูเป็นผู้ดีตีนแดงชะมัด” ผมยังคงมองตามเด็กสาวคนนี้ไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก


“แม่เขาสอนมาดี” ผมตวัดตามองมัน


“มึงเองก็ดูเป็นผู้ดีนะ ถ้าไม่พูดคำหยาบ แม่มึงก็สอนมาดีเหมือนกัน”


ผมชะงัก รีบถามซ้ำกลับไปก่อนที่มันจะหลุดคำเรียกว่าคุณชายออกมาอีก “แล้วตกลงว่าใคร?”


“เพื่อนสนิทน้องสาวคนเล็ก...เดี๋ยวนะ ถามแบบนี้คือหึงกูหรือว่าสนใจเธอ” ไอ้โอมถามเสียงแข็ง ตาที่มองมาก็เขียวปั๊ด ผมจึงกระทุ้งศอกใส่มันไปหนึ่งที


“หึง พอใจไหม” ต่อให้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ขนาดไหนก็ดูรู้ว่าชอบไอ้โอมแน่ ๆ ยิ่งใส ๆ แบบนี้ยิ่งชัดเจนด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้หึงมันหรอก คนอื่นอยากจะมองมันหวานชื่นแค่ไหนก็มองไป ตราบใดที่มันยังใช้สายตาแบบเดียวกันนั้นแค่กับผมคนเดียว ผมก็ไม่จำเป็นต้องหึงหรือไม่พอใจอะไรมัน


“กูหลงมึงคนเดียวหน่าเมีย” อย่าคิดว่าผมจะเขิน ไม่กระทืบมันตายตรงนี้ก็บุญหัวมันมากแล้ว ใครใช้ให้มันพูดแบบนี้ในที่สาธารณะ ถึงจะเบามากราวกับกระซิบก็เถอะนะ


ผมทุบไหล่มันแรง ๆ หนึ่งที ทั้งเป็นการประทุษร้ายและเป็นสัญญาณให้มันเดินขึ้นหน้าไปจ่ายเงิน ไอ้โอมยิ้มได้น่าหมั่นไส้ ก่อนดึงหนังสือในมือผมไปวางบนเคาน์เตอร์เพื่อคิดเงินรวมกัน


ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่พวกเราจะผลัดกันจ่าย แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ไอ้โอมมักจะออกให้เสมอ มันดูแลผมดีแบบไม่บกพร่องสักนิด เป็นผมเองเสียอีกที่หาเรื่องมากวนใจมันไม่เว้นแต่ละวัน


...และเป็นมันอีกเช่นกันที่เดินเลือกซื้อของสด


ผมเลือกของพวกนี้เป็นเสียที่ไหน ยอมรับว่าจุดนี้ตัวเองคุณชายพอสมควร แต่ก็เป็นธรรมชาติของผู้ชายไม่ใช่เหรอที่จะไม่รู้เรื่องการเลือกซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ ไอ้โอมสิอัจฉริยะเกินชาย เลือกเป็นทุกอย่าง ถ้าไม่มีป้ายปักไว้ผมยังไม่รู้เลยว่าเนื้อแต่ละอย่างมาจากส่วนไหนของหมู สันคอ สันนอก สันในอะไรดูยุ่งยากไปหมด ผมว่ารู้แค่ว่าติดมันหรือไม่ติด สามชั้นหรือเนื้อแดงก็น่าจะพอแล้วนะ


ผมปล่อยให้มันเลือกของสด ส่วนตัวเองเข็นรถตาม เออ...จริง ๆ หน้าที่กูต้องเป็นหน้าที่ผัวไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูเป็นเมียอ่ะ


“ตกลงมึงจะลีนไหม กูจะได้ซื้ออกไก่ไปทำให้” มันที่เดินห่างออกไปตอนไหนไม่รู้หันมาถาม ผมเคยบอกมันว่าจะกลับมากินคลีนสร้างกล้ามเนื้อสักหน่อย ซึ่งมันก็เสนอตัวว่าจะต้มอกไก่ให้ผมไปกินมื้อกลางวันทุกวัน


ผมเข็นรถเข้าไปใกล้มันที่กระบะเนื้อไก่ “มึงว่ากูไอเอฟดีไหมวะ” ผมหมายถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารรูปแบบหนึ่ง มีทั้งช่วงที่กินและช่วงที่อด ซึ่งอดนานถึง 16 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยทำไปพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการหนึ่งที่เริ่มฮิตในหมู่คนที่ต้องการลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้อ


ไอ้โอมยื่นมือมาเขกหน้าผากผมไม่แรงนัก “มึงอ้วนนักเหรอวะ จะอดอาหารทำไม มึงต้องใช้สมองเยอะนะ ถ้าอยากเบิร์นออกให้บอกกูนี่ เดี๋ยวทำให้”


“สัด!” สาระไม่เคยมีหรอกมันน่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ‘ทำให้’ ที่ว่าน่ะคือวิธีการไหน


สายตาแพรวพราวพร้อมรอยยิ้มมุมปากของมันทำให้ผมต้องรีบผลักมันให้เดินต่อไปก่อนที่มันจะเล่นพิเรนทร์อะไรแถวนี้ขึ้นมาจริง ๆ


“หึ เขิน ๆ แล้วตกลงจะเอาไหมอกไก่อ่ะ”


“เอาสิวะ!”







ผ่านไปหลายวันทีเดียวกว่าผมจะนึกออกว่ายังไม่ได้บอกมันเรื่องที่ผมมีเรียนเสริมในวันเสาร์ มานึกได้ตอนที่ดูหนังด้วยกันในห้องนั่งเล่นของเย็นวันหนึ่ง


เรานั่งกันคนละมุมของโซฟา ต่างก็เหยียดขาพาดบนเก้าอี้นุนวมอีกตัวที่ถูกเลื่อนมาแทนที่โต๊ะเล็ก ผมเหลือบมองมันทางหางตา หาจังหวะจะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่กล้า จนแล้วจนรอดก็ตัดสินใจยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขามัน ผมเห็นไอ้โอมเหลือบมามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรือเลื่อนขาหนีแต่อย่างใด


“วันเสาร์นี้กูมีเรียน” ผมพูดขึ้นลอย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าเสียงที่เปล่งออกไปจะดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน


ผมหันไปมองมันเต็มตาเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายมองมาก่อนแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นแทนคำถาม


“อาจารย์เพิ่มคลาส”


“...”


“มึง...กลับบ้านใช่ป่ะ” หนังฉายถึงไหนแล้ววะ หรือว่าจอดับไปแล้ว ทำไมรอบข้างกูไม่มีเสียงอะไรเลย


“...”


“กู...”


“มึงเลิกเรียนกี่โมง”


ผมนิ่งเงียบ มองมันอย่างประเมิณ “เที่ยง”


“ไปไหนต่อ”


“ถ้าไม่ไปห้องสมุดก็คงกลับมาห้อง” ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว โปรเจคก็เร่งหนังสือก็ต้องอ่าน


“รีบกลับมา”


“มึงไม่...”


“กูจะรอ”


อ่า...วาเลนไทน์ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้งว่ะ







พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 6
-------------------------------------------
ไทม์ไลน์จะล้อกับ 'หากันจนเจอ' นะคะ
เพราะจุดเริ่มเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันงานแสดงสารนิพนธ์ของเอกฟิล์ม
เรื่องนี้คนเยอะนิดนึงค่ะ ธรรมศรของเราเขาเป็นคนกว้างขวาง

หายไปนาน 2 เดือน เพราะตั้งใจแต่งคุณดีนให้จบก่อน ตอนนี้จบแล้ว ตอนพิเศษจะตามมาเร็วๆนี้นะคะ
หวังว่าทุกคนยังไม่ลืมเรื่องนี้กันนะคะ ฮ่าาา

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 5 P.3 [26/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 26-01-2018 23:08:28
โง้ยยยยยคิดถึงคู่นี้มากเลยค่าาา และยังคงหวาดระแวงเช่นกัน กลัวดราม่าเหลือเกิน วาเลนไทน์นี้คงไม่มีคนที่นอนแกร่วคนเดียวที่ห้องเนอะะ :ling3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 5 P.3 [26/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 26-01-2018 23:59:31
เราคิดถึงเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกเลย
รอทีท่าน้ำทุกวันว่าโอมอินกับศรจะมาเมือไหร่ ในที่สุดก็มา เย่ๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 5 P.3 [26/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 27-01-2018 10:38:00
 :hao7: :hao7:
คิดถึงคู่นี้มากกกกกกกกกกกก
จริงๆแล้วธรรมศรก็เขินโอมอินใช่ไหมล่ะ แต่กลบเกลื่อนด้วยการทำร้ายร่างกายตลอดเลย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 5 P.3 [26/01/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 29-01-2018 17:13:20
ดีจัง ชอบมากเลยค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยที่รออ่านแบบตอนต่อตอน งื้อออ สู้ ๆ นะคะไรต์ :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 11-02-2018 20:55:25

Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」



Follow up ครั้งที่ 6
---DharmaSORN---











“ผมหวังว่าพวกคุณจะเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้นนะ”


ประโยคสุดท้ายของอาจารย์ประจำภาควิชาไฟฟ้าดังขึ้นในตอนที่นาฬิกาบอกเวลาเลยเที่ยงตรงไปเกือบสี่สิบนาที


“กูไปนะ” คนที่เก็บของรอตั้งนานแล้วอย่างผมรีบลุกจากเก้าอี้พร้อมบอกลาเพื่อนอย่างไวแต่กลับถูกดักทางไว้ด้วยเพื่อนต่างภาคอย่างไอ้ดล


“รีบไปไหนวะ ไปแดกข้าวกันก่อนดิ”


“กูรีบ โทษทีว่ะ” ...ไอ้โอมรอกูอยู่


“เห้ย!” ไอ้ดลล็อคไหล่ผมไว้ไม่ให้เดินผ่านไปได้ง่าย ๆ “แล้วคืนนี้อ่ะ”


“คงไม่”


ผมไม่เปิดโอกาสให้มันรั้งผมไว้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง รีบอวยพรให้พวกมันสนุกกับปาร์ตี้แล้วออกมาโดยเร็ว







ไอ้โอมกลับบ้านไปก่อนที่ผมจะตื่นเมื่อเช้านี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันจะต้องรีบกลับมาคอนโดในตอนเที่ยงด้วยทั้งที่ปกติมันต้องใช้เวลากับครอบครัวในสุดสัปดาห์


ผมกลับเข้ามาในห้อง เห็นรองเท้าของใครอีกคนวางอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่ามันกลับมารอผมจริง ๆ ร่างควาย ๆ ของมันนอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นตรงมุมโปรดของเรา แต่ที่ทำให้ผมชะงักคือบนโต๊ะตัวเตี้ยมีดอกกุหลาบสีแดงสดวางอยู่หนึ่งดอก ผมหยิบขึ้นมาถือไว้ คบกันมาเข้าเดือนที่สี่ไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้ หรือเพราะว่าวันนี้คือวันวาเลนไทน์เหรอ


วาเลนไทน์มันพิเศษกว่าทุกวันจริง ๆ สินะ


“รับไปแล้วก็จุมพิตเจ้าชายด้วย” มันพูดทั้งที่ยังหลับตา


“นี่มันนิทานเรื่องไหน” เจ้าชายนอนไหลตายเหมือนสโนวไวท์มีด้วยเหรอวะ


“เรื่องของกูกับมึงเนี่ยแหละ” ไอ้โอมลืมตาขึ้นมามองผมตรง ๆ ตาของมันดำลึกชวนให้ผมลุ่มหลงทุกครั้งที่ได้มองจริง ๆ


“แล้วนี่อะไร” ผมไกวดอกกุหลาบในมือให้รู้ว่าหมายถึงมัน “ซื้อมาให้กูเหรอ” ดูไม่ใช่มันเลยแหะ


“ก็แค่ช่วยให้เด็กมันได้กลับบ้านเร็วขึ้น”


“โกหกแล้วจะได้โล่เหรอวะ”


“ถ้าพูดความจริงแล้วกูจะได้อะไร”


ผมไหวไหล่ ไม่ตอบแต่ปัดปลายเท้ามันออกเพื่อที่ผมจะได้นั่งด้วย มือข้างหนึ่งก็ยังถือดอกกุหลาบไว้ “ก็ถ้านี่คือของขวัญวันวาเลนไทน์ มึงก็จะได้ของขวัญจากกูเหมือนกันไง”


ผมจ้องตามัน วัดใจครับพูดเลย


โอมถอนหายใจหนัก “เออ ๆ กูตั้งใจซื้อมาให้ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”


“หึ ขอบใจ กูชอบนะ”


เห็นหน้ามันเขินจนแทบจะหันหนีไปซุกกับพนักโซฟาแล้วอยากจะหัวเราะลั่น ตัวมันอย่างกับควาย ทำแบบนั้นดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักนะ


“แล้วไหนของขวัญกูอ่ะ” มันกลบเกลื่อนความเขินด้วยการโวยวายเสียงขุ่น


ผมยิ้มกริ่มอย่างที่มันเคยบอกว่าดูเซ็กซี่นิด ๆ ก่อนจะกระโจนตัวอย่างเร็วเพื่อคล่อมร่างมันเอาไว้ ตัวของเราไม่ได้แนบชิดกันเพราะผมค้ำยันเบาะเอาไว้เว้นระยะห่างให้พอมองหน้าได้ชัดและพูดคุยกันรู้เรื่อง


ไอ้โอมยิ้มยั่ว ในหัวสมองมันตอนนี้คงคิดอยู่แต่เรื่องใต้สะดือ ผมยิ้มตอบ เป็นยิ้มที่คิดว่าน่าจะปั้นได้หวานที่สุดเท่าที่โครงสร้างริมฝีปากของผมจะเอื้ออำนวย ซึ่งก็คงจะหวานพอดูเพราะคนใต้ร่างอึ้งไปเสียพักใหญ่


“ของขวัญมึงนี่เดาทางง่ายไปไหม”


“หึ” ผมวางดอกไม้ในมือกลับที่เดิมก่อนทิ้งตัวลงกดทับมัน เอาหน้าซุกลงกับซอกคอ สองแขนกอดร่างของมันไว้แน่นแล้วค้างไว้อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าผมยังไม่เริ่มทำอะไรสักทีหรือเพราะว่ามันเริ่มรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ร่างของมันถึงได้ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผมโดยไร้เสียงโวยวาย


ผมปล่อยให้ร่างข้างใต้ดิ้นไปมาอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก่อนจะหยุดมันด้วยจูบเดียวที่หลังกกหู ไอ้โอมนิ่งค้าง ร่างกายแข็งเหมือนได้กลายเป็นหินไปแล้ว มีเพียงจังหวะหายใจหนักหน่วงที่บ่งบอกว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ผมฉวยโอกาสนี้คล้องบางอย่างเข้ากับคอมันซึ่งผมแอบล้วงในกระเป๋ากางเกงมากำไว้ในตอนที่ดิ้นแข่งกับมัน


ผมดึงตัวขึ้นออกห่างแต่ยังคร่อมมันไว้ มองสร้อยพันเกลียวทองคำขาวมีจี้เป็นสัญลักษณ์คณะวิศวะที่คล้องคอมันอยู่ด้วยความอุ่นใจ ไอ้โอมเองก็ดูตกใจไม่น้อยเหมือนกัน มันหยิบจี้ขึ้นมามองดูก่อนจะหันมองผมด้วยความไม่เข้าใจ


“ใจกูไม่ได้อยู่ที่เกียร์หรอกนะ...” พวกวิศวะเขาชอบพูดกันรุ่นสู่รุ่นว่าใจอยู่ที่เกียร์ ถ้าให้เกียร์กับใครก็ให้ใจกับคนนั้น แต่สำหรับผม มันไม่ใช่...


“...”


“...กูให้มึงใส่ไว้เพื่อจองจำหัวใจมึงไว้กับกูต่างหาก”


ถ้ากูเป็นเครื่องกล มึงก็เป็นฟันเฟืองหลักที่ทำให้ชีวิตกูเดินต่อไปได้


ไอ้โอมหน้านิ่ง เรียบตึงจนผมใจหาย ท่าทีของมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่า หรือกูคิดไกลไปฝ่ายเดียว


“แบบนี้ไม่แฟร์ มึงมีแต่ได้กับได้”


ผมกลั้นยิ้ม ไม่เผยให้มันรู้ว่าดีใจขนาดไหนที่มันก็ดูจะพอใจกับของขวัญชิ้นนี้ “ก็กูรู้ไงว่ามึงจะ‘เอา’อะไร”


พูดจบมองตาสองสามวินาทีผมก็ทิ้งตัวลงทับมันอีกครั้ง ริมฝีปากแนบลงกับตำแหน่งเดียวกันกับของมันบดขยี้และดูดดึงด้วยความร้อนแรงที่นับวันจะยิ่งติดไวเพียงแค่จูบเดียว




เสร็จกิจประจำวันแห่งความรักไปสามรอบไอ้โอมก็รีบแต่งตัวกลับไปนอนบ้านตามที่บอกแม่เอาไว้ ผมเซ็งนิดหน่อยเพราะคิดว่ามันจะอยู่ด้วยทั้งคืน คนอุตส่าห์ปฏิเสธปาร์ตี้กับเพื่อนเพื่อมาอยู่กับมันแท้ ๆ และหน้าผมก็คงแสดงอารมณ์ออกมาชัด ไอ้คุณแฟนตัวโตของผมถึงได้เดินเข้ามาจูบปากทิ้งท้ายก่อนออกไป ไม่วายยังบอกอีกด้วยว่าในตู้เย็นมีกับข้าวอยู่ให้อุ่นทานด้วย


ผมนอนหงายลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ เห็นเวลาแวบ ๆ ตอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ถามสถานที่จัดปาร์ตี้จากไอ้หนึ่งว่าตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว


‘อย่าลืมนะเว้ย คนโสดสีขาว มีคู่สีดำ’


ผมยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแบบ walk-in closet ทั้งตู้มีเสื้ออยู่ไม่กี่สี ส่วนใหญ่ผมจะใส่อยู่แค่ดำ ขาว กรม คำบอกกล่าวเกี่ยวกับธีมในคืนนี้ยังดังก้องอยู่ในหัว ตัดสินใจชั่ววินาทีคว้าเอาเชิ้ตมาหนึ่งตัวเพื่อสวมใส่แล้วรีบออกจากห้องไปโดยเร็ว


“วาเลนไทน์มันก็เหมือนเดิมทุกปีแหละวะ”


แค่วันธรรมดา…ไม่ได้พิเศษอะไร





แสงสีที่คุ้นเคย บรรยากาศที่คุ้นชินไม่ได้ทำให้ผมกระชุ่มกระชวยขึ้นเลยสักนิด แต่ไหน ๆ ก็เสนอหน้ามาตามคำชวนเพื่อนทั้งทีจะนั่งทำหน้าบึ้งเพราะแฟนเทก็ใช่เรื่อง


ผมเดินไปทักทายเพื่อนภาควิชาเดียวกับไอ้ทัช ยิ้มรับคำแซ็วเรื่องสีเสื้อเล็กน้อยก่อนเดินไปชั้นสองเพื่อนั่งรวมกลุ่มกับไอ้กอล์ฟไอ้หนึ่งและไอ้เมฆกับไอ้ฟาที่ออกไปเริงร่ากับผู้หญิงโต๊ะอื่นอยู่นานมากแล้วตามคำให้การของไอ้กอล์ฟ


“โดนเทมารึไงมึง” ไอ้หนึ่งถามยิ้ม ๆ มันคงเป็นห่วงผมอยู่หรอก แต่ความสะใจคงมีมากกว่า


“คนเยอะดีนี่หว่า” ผมไม่ตอบคำถามมันแต่เบี่ยงประเด็นออกไปซึ่งไอ้หนึ่งก็ทำได้แค่เลิกเซ้าซี้เพราะแค่นี้มันก็คงได้คำตอบแล้ว


อย่างน้อยสีเสื้อของผมก็ตอบมันได้


ผมรับแก้วที่มีสูตรเหล้าแบบถูกปากจากไอ้กอล์ฟแล้วนั่งมองกวาดตาไปทั่วร้าน บรรยากาศคึกคักชวนสนุกจนความขุ่นมัวในใจผมเริ่มจางหาย


แต่มันไม่หาย...ไม่มีทางหาย


ผมเคยอยู๋ได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกใคร ไม่เคยปล่อยให้ใครมามีอิทธิพลเหนือตัวเอง ตั้งแต่เปิดรับไอ้โอมเข้ามาในชีวิต เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าตัวเองเอาชีวิตไปผูกกับผู้ชายคนนั้นมากเกินไปแล้ว การกระทำของมันในวันนี้ทำให้ผมอยากออกมาเที่ยวและไม่อยากเที่ยวในคราวเเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่อยากออกไปให้พ้นจากสถานที่เดิม ๆ แต่ก็ไม่อยากออกไปไหน


ผมถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ไม่คิดว่าจะมีใครได้ยินแต่พอเห็นว่าเพื่อนอีกสองคนมองมาที่ผมกันเป็นตาเดียวก็ต้องยอมรับว่าตัวเองคงอาการหนักมากจริง ๆ


“มึงรักมันเข้าให้แล้ว” ไอ้กอล์ฟแสดงความเห็น


“มึงกำลังขาดมันไม่ได้” ไอ้หนึ่งเสริม


“อย่าปฏิเสธพวกกู พวกกูคบกับมึงมาตั้งกี่ปี มีเรื่องไหนของมึงที่พวกกูไม่รู้เหรอ ไอ้ทัชที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อยู่กับมึงยังรู้เลยว่ามึงรักไอ้โอมตั้งนานแล้ว”


“กูลงไปเต้นกับพวกมันนะ”



ถ้าผมไม่ตัดบทแล้วรีบหนีออกมาคงได้ฟังสิ่งที่ตอกย้ำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองอีกแน่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากรักมัน แต่ก็นั่นแหละ...ผมไม่อยากรักมันจริง ๆ


ฝังดูสับสน แต่ผมไม่อยากรักใครทั้งนั้น ไม่อยากยึดติดตัวเองกับใคร เพราะตอนเขาไป...มันเจ็บ




ผมทำตัวเองให้สนุกสนาน ทำตัวเองให้มีอารมณ์ร่วมไปกับผู้คนรอบข้างที่เบียดเสียดเข้ามาชิดใกล้ ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงเสนาะหู ดีดดิ้นสีคนนั้นคนนี้ไปตามท่วงทำนองและอารมณ์ ปล่อยความคิดให้ลอยล่องไปตามทิศทางของมัน เลิกจับสังเกตเลิกตามมันสักพักจนสุดท้ายผมก็พบว่าตัวเองกำลังมีความสุข


มีความสุขเหมือนก่อนหน้าที่ได้รู้จักใครคนนั้น


อ่า...ผมคิดถึงมันอีกแล้วสินะ


“มึง!”


คิดถึงมากจนถึงกับได้ยินเสียงของมันเลยเหรอ


ผมยังคงเต้นต่อไปไม่สนใจเสียงนั้นแต่จนแล้วจนรอดผมก็ต้องหันไปมองเจ้าของเสียงเพราะแรงกระชากที่ไหล่


“โสดเหรอ?”


ใช่ครับ


ผมใส่เสื้อสีขาว







พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 7
-------------------------------------------
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์


หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 11-02-2018 22:58:46
ได้กลิ่นมาม่า หวั่นใจกับการหึงครั้งนี้

พี่โอมคนหลงเมีย หลงไปหมดทุกอย่าง
หวังว่าพี่โอมจะเป็นยาบรรเทาอาการให้แฟนสุดหล่อได้นะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 11-02-2018 23:04:52
กรี๊ดดดดดดดดดดดด มาแล้ววววววววว
นั่นใครกระชากไหล่ศร โอมอินใช่หรือไม่
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 12-02-2018 11:13:17
ฮือออ กลิ่นดราม่า นั่นใช่โอมอินรึเปล่า  :ling1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-02-2018 12:04:40
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 15-02-2018 10:25:16
รักศรจัง ไม่รู้ทำไมหลงตัวละครตัวนี้มากขนาดนี้
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ygff0429 ที่ 25-02-2018 22:33:32
ทำไมทำแบบต้องปะชดแบบนี้
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: KL1007 ที่ 03-03-2018 03:25:37
งืออออออ คิดถึงโอบอินและธรรมศรจังงงงงงง
ต้มมาม่ารอไว้นานแล้ววว รอดราม่า???(มั้ย) รัวๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 6 P.3 [11/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 03-03-2018 11:37:08
ลังเลอยู่นานว่าจะกดเข้ามาอ่านดีไหม  แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ  แล้วตอนล่าสุดที่ตัดจบแบบนี้ก็ทำให้ค้างอย่างรุนแรง  สนุกดีค่ะสำหรับ โรคประจำใจ คนละอารมณ์กับ  หากันจนเจอ เรื่องนี้ส่อเค้าความเป็นดราม่าถึงจะยังไม่หนักแต่ก็เริ่มชัดขึ้นจนเราคิดว่าคงได้ปวดตับจนใจหน่วงๆเป็นแน่  แต่จะพยายามเชื่อที่คุณคนเขียนบอกว่า เป็นรักใสๆวัยรุ่นวุ่นรัก?ก็แล้วกันนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 10-03-2018 17:20:54
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 7
---DharmaSORN---








ผมค้นพบว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด


ไม่สิ!


ความจริงแล้วผมไม่ได้คิดถึงโอมอินมากจนถึงกับหูฝาดไปเองต่างหาก


เพราะคนที่ยืนมองผมด้วยสายตาโกรธเคืองอยู่ตรงหน้านี่คือโอมอินตัวจริง


...และก็คงจะโกรธจริงเหมือนกัน


อีกฝ่ายไล่สายตาขึ้นลงมองเสื้อผ้าผมแล้วพูดเสียงเย็นออกมา “โสดเหรอมึงน่ะ”


ร่างขนาดใกล้เคียงกันที่ยืนอยู่ตรงข้ามผมอยู่ในชุดที่ไม่ต่างกันนัก เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ที่ไม่เหมือนคงมีแค่สีที่บ่งบอกถึงการ ‘มีเจ้าของแล้ว’ เท่านั้น


อ้อ! เกียร์ตรงคอมันก็ขัดตาจนน่าหงุดหงิดชะมัด


“เสื้อขาวนี่น่ะเหรอ ใส่มาสนุก ๆ งานแบบนี้ใครเขาจริงจัง”


“แต่กูไม่สนุก” หน้าเรียบตึงกับแววตาขุ่นเคืองนี่ใครจะกล้าคิดว่ามันสนุกวะ


“ไปคุยกันข้างนอกไหม” เห็นท่าไม่ดีก็ไม่ควรยืนเถียงกันกลางร้าน ผมไม่รอให้มันตอบตกลง ชิงเดินนำออกไปนอกร้านเสียก่อน


ตลอดทางมีคนเข้ามาทักทายผมตามประสาคนกว้างขวาง โอมอินที่เดินตามหลังส่งเสียงขัดขึ้นมาบ้าง ยิ่งถ้าคนไหนเข้ามาประชิดตัวไม่ว่าจะหญิงหรือชายไอ้โอมจะดึงผมออกทันที บางคนที่รู้เรื่องของผมกับมันก็มีแซ็วเรื่องสีเสื้อบ้าง แต่เพราะหน้าไม่รับแขกของมันเลยทำให้เพื่อนฝูงพากันถอยห่างจากผมในที่สุด


“โอม” ชื่อแม่งโหล แต่ผมว่าเจ้าของชื่อต้องเป็นแฟนของผมแน่ เพราะผมเดินออกมานอกร้านแล้วแต่ฝีเท้าของใครอีกคนกลับทิ้งห่างออกไป


ผมหันกลับไปมอง เรายังยืนห่างกันไม่มากนักเพียงแต่มีผู้ชายเสื้อดำคนหนึ่งยืนคั่นกลางเราไว้


“อ้าวพี่รณณ์ มาเที่ยวกับเขาด้วยเหรอเนี่ย” ผมหรี่ตามอง ท่าทางสองคนนั้นคงสนิทกันไม่น้อย ผมไม่เคยเห็นมันทักทายใครด้วยสีหน้าเป็นมิตรขนาดนี้มาก่อน ขนาดตอนเข้าหาผมมันยังทำหน้านิ่งใส่เลยเถอะ


“อือ มากับเพื่อน”


“แล้วเสื้อดำนี่ยังไงเนี่ย ไหนล่ะเจ้าของพี่”


ให้เดาผู้ชายคนนั้นคงกำลังยิ้มเขินเพราะท่าทางเกาท้ายทอยแก้เก้อนั่นบอกความรู้สึกได้ดี


“ก็เพิ่งไม่โสดวันนี้เนี่ยแหละ”


“เห้ยพี่! เพิ่งมีแฟนวันนี้แล้วทำไมออกมาปาร์ตี้วะ ไม่อยู่กับแฟนอ่ะ”


“นัดกันไว้ก่อนแล้ว พวกมันอยากเที่ยวตามประสาคนโสด กูเลยต้องมาแบบคนโสดที่เพิ่งมีแฟน”


ไอ้บ้านั่นเลิกสนใจผมไปนานแล้ว


ผมยืนมองอยู่นานสองนานเพื่อพบว่าตัวเองไร้ตัวตนในสายตาของมันทั้งที่เราพากันเดินออกจากร้านมาเพื่อคุยกัน


ผมตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งแต่ถูกรั้งไว้ในตอนที่เดินสวนมัน


ผมบิดแขนออกจากการเกาะกุมของไอ้โอมแทนคำขอให้ปล่อยแต่มันกลับบีบแน่นขึ้น


“ผมขอตัวก่อนนะพี่”


เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ร่างของผมก็ถูกกระชากไปตามแรงอีกฝ่ายจนสุดท้ายก็พากันมายืนหลบมุมอยู่แถวลานจอดรถ เงียบแต่ไม่ปลอดคนเสียทีเดียว


“ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่” ไอ้โอมเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน


“แล้วทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่” ผมย้อนกลับไปบ้าง


โอมอินสูดหายใจลึกก่อนอธิบายอย่างใจเย็น “พวกมันเซ้าซี้ กูตั้งใจจะออกมาแป๊บเดียว ไลน์ไปบอกมึงแล้วด้วย แต่เห็นไม่อ่านนึกว่าเผลอหลับเลยไม่ได้โทรไปกวน” เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดีผมเลยตั้งโหมดห้ามรบกวนไว้ ถ้าไม่โทรมาผมก็จะไม่รับรู้ทุกการติดต่อ “แล้วมึงล่ะ”


“พวกมันก็เซ้าซี้กูเหมือนกัน”


“แล้วไม่คิดจะบอกกูสักนิดเลยรึไง”


“ไม่อยากกวน”


เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปพักหนึ่งก็รู้แล้วว่ามันกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้โมโหผมไปมากกว่านี้ ผมเองก็โมโหไม่น้อย คนอย่างมันมีใครเซ้าซี้อะไรได้ด้วยเหรอ ถ้ามันรำคาญมันก็มักจะปิดเครื่องหนีอยู่แล้ว ที่ออกมาเพราะอยากเที่ยวด้วยก็พูดตามตรงเถอะ “แล้วทำไมต้องใส่เสื้อขาว”


“มีอะไรก็หยิบใส่”


“แต่เสื้อดำมึงมีเต็มตู้”


“ถึงกูจะใส่ขาวก็ใช่ว่าจะเปิดรับคนเข้าหานี่หว่า”


“มึงประชดกู”


“กูจะประชดมึงทำไม”


“เพราะว่ากูทิ้งมึงให้อยู่คนเดียว”


“กูจำเป็นต้องสนใจด้วยเหรอวะ ปกติกูก็ชอบเที่ยวอยู่แล้ว แค่ครั้งนี้อาจจะออกจากห้องง่ายหน่อยเพราะไม่มีมึงอยู่ด้วยก็เท่านั้น” ผมว่าผมไม่ได้ประชดมันนะ ออกจากห้องมาปาร์ตี้เพราะเซ็ง อยากสนุก อะไรใกล้มือก็หยิบใส่ไม่สนใจว่าสีเสื้อจะสื่อถึงอะไร กูประชดตรงไหน


โอมอินนิ่งไปนานจนผมคิดว่ามันคงไม่พูดอะไรต่อแล้ว ผมถอนหายใจทิ้งท้ายอย่างเซ็ง ๆ ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในร้านแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งไหล่ไว้ “กลับ”


“กลับทำไม เพื่อนรออยู่เยอะแยะ”


“เชี่ยเอ้ย! น่าจะทำรอยที่คอสักจุดสองจุด” ไอ้บ้าโอมบ่นพึมพำในสิ่งที่ทำให้ผมหน้าร้อน


“ถ้าไม่กลับก็ติดกระดุมให้มิดชิด”


“อะไรของมึง” มาเที่ยวผับนะไม่ได้เข้าวัดจะให้ติดกระดุมถึงคอ


“จะทำไม่ทำ ถ้าไม่ทำกูจะกดมึงที่ลานจอดรถนี่แหละ”


มันเอาจริงแน่ สายตามันบอกผมแบบนั้น บ้าเอ้ย! นี่กูคบกับคนบ้าเหรอวะ


“แค่นี้พอ สูงกว่านี้กูอึดอัด” จากที่ปลดสามเม็ดจนเห็นแผงอกผมก็ยังเว้นเหลือไว้สองเม็ดเพื่อให้สบายตัวหน่อย “แล้วก็ไม่ต้องตามไปนั่งกับกูนะ เพื่อนมึงชวนมาก็ไปนั่งกับเพื่อนมึงโน่น”


โอมอินถอนหายใจก่อนออกคำสั่ง “ห้ามเมา”


ผมไม่ตอบแต่เลือกตบบ่ามันสองสามทีก่อนเดินออกมา และยังได้ยินเสียงถอนหายใจไล่หลังตามมาอีกเฮือกใหญ่


ผมรู้ว่ามันกังวลอะไร เราเคยไปดื่มด้วยกันกลุ่มใหญ่เพราะพี่สัมชวนไปฉลองถ่ายหนังสั้นจบ วันนั้นผมเมา...มันคิดว่าผมเมา อะไรหลายอย่างจึงเลยเถิดจนมาถึงทุกวันนี้


ผมกลับขึ้นมานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ตอนนี้ฟากับเมฆก็กลับมานั่งหน้าสลอนกันอยู่แล้วจึงไม่พ้นโดนพวกมันแซ็วเรื่องสีหน้าอีกจนได้ ผมรู้ว่าตัวเองหน้าบึ้ง แต่ใครจะสน เจอแบบผมแล้วหน้าไม่บึ้งไม่ตึงสิแปลก ผมนั่งเก้าอี้โซฟาตัวนอกสุดของโต๊ะ ใครไปใครมาเลยทักทายผมได้ง่ายสุด นึกแปลกใจที่ผับนี้ไม่ได้ใกล้สถานศึกษาผมเลยสักนิด แต่ทำไมมองไปทางไหนก็เจอแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น หลายคนเข้ามาชนแก้วด้วยผมก็ไม่ขัด บางคนยื่นแก้วเหล้าให้ดื่มผมก็รับไมตรี แต่ถ้าใครเข้ามาแล้วชวนคุยคืนนี้ผมปฏิเสธ


ผมมองลงไปข้างล่างอย่างเซ็ง ๆ เพราะต้องการตัดทุกการทักทายจากคนอื่นเลยได้เห็นว่าโอมอินยืนอยู่โต๊ะผู้ชายคนนั้นที่มันทักทายที่หน้าร้าน ผมมองนานมากจนเห็นมันชนแก้วกับคนกลุ่มนั้นไปหลายแก้วกว่าจะปลีกตัวออกมา ผมมองไล่หลังมันไป ท่ามกลางฝูงชนที่มากราวปลาสวายรุมทึ้งขนมปังแต่ผมกลับไม่หลุดโฟกัสจากมันเลยสักนิด ผมมองตามไปจนพบว่ามันไปรวมกลุ่มกับเพื่อนกลุ่มใหญ่


“เชี่ย!” เสียงอุทานไอ้หนึ่งที่นั่งตรงข้ามดึงความสนใจผมได้จนต้องละสายตาไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น


“หวัดดีครับพี่ ๆ” ไอ้เด็กรักส่งเสียงนำมาก่อนที่เพื่อนอีกสองคนจะทำตาม หนึ่งในนั้นคือน้องไข่มุกที่ไอ้หนึ่งมองอย่างไม่พอใจกับการปรากฎตัวของน้องในที่แบบนี้ ส่วนอีกคนนั่นเพื่อนสนิทของสองคนนี้ที่ผมเห็นหน้าบ่อยครั้งแม้ว่าจะอยู่นอกชมรมก็ตาม เพื่อนผมอีกสามคนก็รู้จักรักกับไข่มุกเพราะพวกมันเคยถูกผมลากไปอออกค่ายด้วยกันอยู่ครั้งหนึ่ง


“อายุถึงเหรอวะมึงน่ะ”


“ผมยี่สิบแล้วนะพี่ แหน่ะ! หลอกถามวันเกิดผมเปล่าเนี่ย” ไอ้เด็กรักพูดหยอกทีเล่นทีจริง


“ประสาท!”


“มากันทำไม” ไอ้หนึ่งถามเสียงเข้ม ไม่เจาะจงว่าใครควรตอบคำถามนั้นแต่สายตามองดุตรงไปที่หญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่ม


“อยากมาปาร์ตี้บ้างตามประสาคนโสดครับพี่”


เพื่อนผมยิ่งอารมณ์พุ่งสูงจนผมต้องรีบเบี่ยงประเด็นไม่ให้น้องเขารู้ตัวไปมากกว่านี้ ไอ้ห่านี่จีบก็ไม่จีบแต่หวงเขาแรงตลอด “มึงมาได้ด้วยเหรอวะ แม่ไม่หวงไง๊ลูกแหง่”


“โหพี่ แม่แค่ห่วงครับไม่ได้หวง ผมโตแล้วนะ”


“มากันป่านนี้จะเหลือโต๊ะให้พวกมึงเหรอวะ” กอล์ฟถามด้วยความเป็นห่วง ก็ถ้าหนึ่งในนี้ไม่มีน้องผู้หญิงมันก็คงไม่ห่วงอะไรนัก


“ไม่มีน่ะสิพี่ โชคดีที่เดินมาเจอพวกพี่ พวกผมขอแฝงตัวด้วยได้ป่ะ”


เวรกรรม


ผมได้แต่พึมพำในใจ น้องมันขอขนาดนี้มีหรือที่ไอ้หนึ่งจะไม่รีบตกปากรับคำ เรื่องอะไรมันจะปล่อยให้น้องไข่มุกไปไกลหูไกลตา จากสีหน้าขมึงตึงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแป้นจนผมต้องเตะเท้ามันใต้โต๊ะให้เก็บอาการเสียบ้าง แล้วยังไงล่ะทีนี้ ที่นั่งเต็ม ไอ้คนแอบชอบไม่กล้าจีบเลยได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษลุกให้เขานั่งแล้วตัวเองยืนข้าง ๆ เสียเอง มองผ่าน ๆ นึกว่ายืนคุมแฟนแจเลยครับ ส่วนข้างกูนี่ก็มีไอ้น้องรักมายืนเกาะแกะวอแวไม่ห่างเหมือนกัน


“ผมนึกว่าพี่มีแฟนแล้วซะอีก ได้ยินพี่ ๆ เขาชอบแซ็วกันบ่อย ๆ” มันถามขึ้น คงเห็นว่าสีเสื้อผมเหมือนของมัน อันที่จริงแล้วก็ขาวกันทั้งโต๊ะ เรียกสายตาสาว ๆ ได้ดีทีเดียว


“ไม่เสือกดิ”


“ใจร้ายว่ะ ผมมองพี่เป็นโรลโมเดลนะเนี่ย อยากเพอร์เฟ็คแบบพี่ว่ะ”


“มึงรู้ได้ไงว่ากูเพอร์เฟ็ค”


“ทั้งภาพลักษณ์ภายนอก ฐานะและมันสมอง พี่มีทุกอย่างครบครัน”


“มึงอยากมีอย่างกูเหรอ”


“ใช่ ๆ ” เด็กนั่นพยักหน้างึกงักดูงี่เง่าสิ้นดีในสายตาผม “ผมก็มีทุกอย่างแล้วนะ แต่ภาพลักษณ์ผมไม่เท่เท่าพี่เท่านั้นเอง บุคลิกไม่ดีเหมือนพี่เลย ดูไม่น่าเชื่อถือ”


“กูไม่เห็นจะอยากมีมันเลย”


“อ้าว แต่ผมอยากนี่”


ผมแค่นหัวเราะหึ “คนเรามีความต้องการไม่เหมือนกันหรอก บางอย่างที่มึงมีกูก็อยากมีบ้าง และเพราะบางอย่างมันไม่มี เมื่อมันขาด เมื่อมันไม่สมบูรณ์ เราจึงต้องทำอีกอย่างให้มันสมบูรณ์ แม้ว่ามันจะทดแทนกันไม่ได้เลยสักนิดก็ตาม”


“นี่ผมโง่อีกแล้วสินะที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พี่พูดอ่ะ”


“เพลงมันอาจจะดังเกินไป”


พูดได้แค่นั้นผมก็หันหน้าหนีเป็นการตัดบทสนทนา ทิวทัศน์ในสายตาผมจึงเปลี่ยนจากหน้าหนุ่มรุ่นน้องเป็นหน้าโอมอินอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีสาวสวยยืนเต้นอยู่ข้างมันด้วย ผมหรี่ตาจ้องคล้ายว่าการทำแบบนี้จะช่วยให้ผมเห็นรายละเอียดจากระยะไกลได้ดีขึ้น


รูปร่างผอมเพรียวในเสื้อสายเดี่ยวรัดรูปสีขาวดันเต้าจนเนินอกล้นทะลัก เรียวขายาวยิ่งดูเรียวยาวเพราะสกินนี่สีดำ มองไกล ๆ ยังรู้สึกเลยว่ามันช่างเย้ายวนใจชายเสียจริง ใบหน้าสวยแต่งแต้มจนดูเฉี่ยว เซ็กซี่จนผู้ชายร้อยทั้งร้อยที่โดนเธอยั่วต้องอดใจไม่ไหวแน่ ๆ พอมองนาน ๆ เข้าผมก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก บางทีเราอาจจะเคยเจอกันในสถานที่คล้ายกันนี้มาก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเคยร่วมเตียงกันมาแล้วด้วยซ้ำ


ผมซดเหล้าเข้าปากจนหมดแก้วทั้งที่เพิ่งมีใครสักคนในโต๊ะเติมให้ อย่าว่าแต่มองจากชั้นสองเลย มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเธอหวังจะเคลมแฟนผม


เสื้อดำไม่ช่วยอะไร!


นี่คือตัวอย่างของวลีที่ว่า ‘ใส่สีไหนก็เหมือนกัน’ ผมใส่เสื้อสีขาว แน่นอนว่ามันทำให้คนกล้าเข้ามาหาเยอะ แต่ถ้าผมไม่เล่นด้วยใครจะทำอะไรได้ และต่อให้ใส่สีดำ นานทีอาจจะมีคนกล้าเข้าหา แต่พนันได้เลยว่าคนที่กล้าจะต้องชอบมันมากแน่ ๆ


“ไงมึง” คำทักทายที่มาพร้อมแขนที่โอบคอผมไว้ทำให้ผมต้องละสายตาจากโอมอินอีกครั้ง “โสดเหรอวะ”


เจ้าของคำพูดคือไอ้ดล เพื่อนจากวิศวะฯไฟฟ้า มันนั่งบนแขนโซฟาข้างขวาผมจึงกลายเป็นดันไอ้น้องรักออกห่างไปโดยปริยาย


“มาสายว่ะมึง” ตอนที่ผมแวะไปหาไอ้ทัชกับเพื่อนในภาคมันผมยังไม่เห็นหน้าไอ้ดลเลย


“เออ ขี้เกียจ” ดลไหวไหล่ก่อนรับแก้วจากไอ้กอล์ฟที่ยื่นให้อย่างรู้งาน


“แล้วทำไมถึงมา”


“เพราะมึงมามั้ง”


ผมขมวดคิ้ว มองกดดันให้ดลขยายความต่อหลังจากที่ดื่มเหล้าเข้าปากแล้ว


“ก็นาน ๆ ทีมึงจะออกมาเที่ยว แถมใส่เสื้อขาวซะด้วย สนใจลงไปสนุกกันที่โต๊ะพวกกูป่ะ”


ผมส่ายหน้า นานทีกูเที่ยวที่ไหน ครั้งล่าสุดไม่กี่สัปดาห์ก่อนก็ไปกับพวกมันมา


“หน่า ไปกับกู” ไอ้ดลกระชับแขนที่โอบคอผมอยู่เพื่อโน้มน้าวให้คล้อยตาม ผมละความสนใจไปหาคนข้างล่างอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยังยืนเต้นอยู่ข้างโอมอินผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“ไอ้สัด!” ผมสบถเบา ๆ ยกเหล้าค้างแก้วของดลซดจนหมดก่อนบอกเพื่อนในกลุ่มว่าจะไปกับเพื่อนต่างภาค


“เห้ยไอ้ศร” ไอ้หนึ่งเป็นคนเรียกผมไว้ ขณะที่กอล์ฟแค่มองมานิ่ง ๆ คนพูดน้อยอย่างมันก็คงอยากจะเรียกเตือนสติผมเหมือนอย่างที่ไอ้หนึ่งทำ เพราะอย่างนี้พวกเราถึงอยู่กันได้ คิดเหมือนกันแต่มีคนหนึ่งที่เป็นกระบอกเสียงให้เสมอ


“มึงดื่มไปเยอะแล้วนะ กลับไหม”


“กูไม่เมาหรอกหน่า ถ้าเมาก็กลับเองได้ หรือไม่ก็ให้พวกแม่งไปส่ง”


“กูยืมตัวเพื่อนมึงแปป” ได้ยินไอ้ดลทิ้งท้ายกับกลุ่มเพื่อนผมก่อนมันจะตามมาโอบคอผมไว้


เพื่อนหลายคนที่รู้จักผมร้องโห่ขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่มเพื่อเป็นการต้อนรับผมเข้าวงเหล้า มีเพียงไอ้ทัช เพื่อนสนิทผมเท่านั้นที่มองมานิ่ง ๆ


โต๊ะข้างล่างจะเป็นโต๊ะกลมเล็กเกือบหมดและไม่มีที่นั่ง ต้องยืนล้อมวงกันทั้งคืน มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่อยู่เพียงสองตัววางซ้ายขวาฝั่งละตัว หนึ่งในนั้นเป็นโต๊ะที่พวกมันอวดอย่างภาคภูมิว่าโทรมาจองไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน


“มาแท็กซี่ใช่ไหม เดี๋ยวกูไปส่ง” ไอ้ทัชว่า ผมไม่แปลกใจที่มันรู้ทั้งที่ผมไม่ได้บอก เพราะหนึ่งในเพื่อนเขาคงไลน์มาส่งข่าวให้รู้แล้ว ถ้าให้เดาผมว่าคงเป็นไอ้กอล์ฟ พวกมันจูนกันติดง่ายกว่าคนอื่น


“พวกมึงทำเหมือนกูเป็นเด็ก” ทั้งเพื่อนที่นั่งชั้นสองและไอ้ทัช ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันจะกลัวอะไรกันนักหนาถึงต้องเป็นห่วงอย่างกับผมเป็นผู้หญิงบอบบาง


“มึงไม่ใช่เด็ก แต่เป็นผู้ใหญ่ที่มีแฟนหึงโหดแล้วยังชอบหาเรื่องใส่ตัว”


ผมทำหน้าเหม็นเบื่อ นี่พวกมันคงเล่าด้วยสินะว่าที่ผมยอมออกมาคืนนี้เพราะเซ็งแฟน


“พวกมันไม่ต้องเล่ากูก็เดาได้” ทัชพูดเหมือนอ่านใจผมได้ “ก่อนหน้านี้พวกกูเร้าหรือยังไงมึงก็ปฏิเสธท่าเดียว แต่อยู่ดี ๆ ก็มาโผล่นี่แถมยังใส่เสื้อขาว กูไม่ได้โง่นะเว้ย”


“คร้าบบบ มึงฉลาด ขอชนแก้วกับคนฉลาดให้เป็นมงคลแก่ชีวิตหน่อยครับ”


ไอ้ทัชส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมชนแก้วด้วยกัน หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ดื่มเหล้าโต๊ะนี้แม่งสนุกจริงอย่างที่ไอ้ดลคุยโว ไม่เสียแรงที่ลงมารวมวงด้วย มือชงเหล้าของกลุ่มก็ไม่เคยปล่อยให้แก้วใครว่าง เติมให้ตลอดจนกระดกกันแทบไม่ทัน ผมที่ว่าคอแข็งมากเต้นไปเต้นมายังมีเซเลยครับ


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่ทันสนใจ เพราะอยู่ข้างล่างแบบนี้มีคนเข้าหามากกว่าตอนนั่งหล่อ ๆ อยู่ข้างบนมากนัก หลายคนเข้ามาเต้นด้วย จงใจเอาเนื้อตัวมาสีกัน แต่ผมเพิกเฉยพวกเธอ ๆ ก็ผละออกไปเอง มีบ้างที่เข้ามาก็จู่โจมโดยการถามชื่อขอไลน์เลย แต่ก็ไม่มีใครได้ไปสักคน เพราะวันนี้ไม่มีอารมณ์สานไมตรีกับใคร และนี่ก็คงจะดึกมากแล้วจริง ๆ เพราะคนที่สถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองผมกำลังโทรตาม


ผมกดตัดสายแล้วเข้าแอปพลิเคชั่นแชท ไม่อยากเดินออกไปรับสายจึงเลือกวิธีการพิมพ์โต้ตอบกันดีกว่า


‘กลับเองได้ ไม่ต้องห่วง’


ผมพิมพ์ส่งไปแค่นั้นก่อนกดออก ไม่อยากจะคาดเดาว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังตามหาผมไปทั่วร้านหรือว่าแท้จริงแล้วยังยืนให้สาวทรงโตคลอเคลียไม่ห่าง


“อยากกลับรึยัง” เสียงพูดขัดความคิดผมดังขึ้นข้างหู แต่เพิ่งรู้ว่าหน้าใกล้กันมากก็ตอนที่หันไปมองที่มาของเสียง ไม่ใช่แค่หน้าใกล้กันแต่ตัวก็ยืนซ้อนกันด้วย ผมผละออกแต่กลับเซ และคงจะล้มได้ง่าย ๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่ช่วยผมไว้ด้วยการรั้งเอว


“เพิ่งรู้ว่าเอวมึงบาง” ไอ้เตอร์ว่า สายตาที่มองมาก็ชักแปลก ไม่รู้เมาหรืออะไรถึงมีท่าทางแปลกชอบกล


“บางเหี้ยอะไร ปล่อยกู” ยังดีที่มันยอมปล่อยง่าย ๆ ผมเลยถอยห่างออกมาอีกหนึ่งก้าว


“เมาแล้วมึงอ่ะ กลับกัน เดี๋ยวกูไปส่ง”


“ไม่เป็นไร กูกลับเองได้” ถึงจะยังไม่เมามากแต่ผมว่าผมกลับเลยดีกว่า หันซ้ายหันขวาหาไอ้ทัชหรือไอ้ดลก็ไม่เจอใครให้ลา


“กูฝากมึงบอกไอ้ทัชกับไอ้ดลด้วยละกันว่ากูจะกลับแล้ว ค่าเหล้าเท่าไหร่ก็ให้มันไลน์ไปบอก เดี๋ยวกูโอนให้” ผมตบไหล่เตอร์สองสามทีแต่ยังไม่ทันเดินผ่านไปมันก็รั้งแขนผมไว้


“ไอ้ทัชฝากมึงไว้กับกู ขืนปล่อยมึงกลับไปเองมันได้เอากูตาย”


“อย่าซีเรียสเว้ยเพื่อน กูไปนะ”


ผมไม่ได้เดินเซมากนัก อาการที่เป็นก็แค่มึน ๆ สะบัดหัวสองถึงสามทีโลกก็สดใสขึ้นได้ อยากไปเข้าห้องน้ำเอาน้ำเมาออกให้พอสร่างเมาสักหน่อยก็กลัวว่าไอ้เตอร์จะตามมาทัน ผมไม่ค่อยอยากกลับไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม ถึงจะสนิทกันมากพอที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันได้แต่ไอ้โอมคงไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าผมให้เตอร์ไปส่งที่คอนโด


เป้าหมายของผมคือจุดเรียกรถแท็กซี่ของร้านที่คนเยอะเป็นหางว่าว


แต่ดูเหมือนว่าผมคงไม่ต้องไปเสียเวลายืนต่อแถวแล้วเพราะมีใครบางคนเดินมายืนขวางทางไว้


“ออกมาเองก็ดี” โอมอินพูดเสียงเรียบ ให้ตายเหอะ! เกือบสามชั่วโมงที่อยู่ในนั้นมันดื่มเหล้าบ้างรึเปล่า ทำไมยังดูปกติไม่มีวี่แววของการเมาเลยสักนิด


“จะกลับแล้วใช่ไหม เดี๋ยวกูไปส่ง”


ผมยืนมองหน้าหล่อ ๆ ของมันนิ่ง ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองอาจจะเมามากกว่าที่คิด โสตประสาทผมอาจจะทำงานบกพร่องถึงได้ยินเสียงพูดนั้นทุ้มนุ่มกว่าปกติ ผิดวิสัยโอมอินมาก ๆ จนไม่น่าเป็นไปได้


ผมเดินตามมันมาถึงรถ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเมา คราวนี้ไม่ใช่พฤติกรรมที่แปลกไปของโอม แต่ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนเอนอยู่เบาะหลัง บางทีกูอาจจะเมา กระจกรถไอ้โอมใสก็จริงแต่มืดแบบนี้ ไม่มีทางที่ผมจะเห็นใครจากนอกรถแน่ ผมอาจจะเมาจริง ๆ


“เธอเมา” โอเค กูไม่ได้เมา แต่เธอเมา ไอ้โอมคงเห็นว่าผมยืนนิ่งไม่ยอมเข้าไปในรถเลยเดาว่าผมเห็นเธอเข้าให้แล้ว


ผมมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งประตูคนขับ “รู้จักกันเหรอ”


“เปล่า”


“งั้นก็อยากรู้จัก”


ความจริงแล้วกูไม่ควรรีบเดินออกมา กูควรจะเข้าห้องน้ำก่อนจะได้ไม่ออกมาเจอมัน มันก็จะได้พาผู้หญิงคนนี้ไปไหนต่อไหนได้สะดวก ไม่ต้องมีกูมาเป็นภาระให้ต้องทำหน้าที่แฟนที่ดีอย่างนี้


“มีอะไรกันรึเปล่าวะ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียง เป็นไอ้เตอร์ที่คงเดินตามผมออกมา ผมรีบเดินไปหามันทันทีอย่างไม่รีรอ


“กูกลับด้วย”


ไอ้เตอร์มองผมงง ๆ สลับกับมองไอ้โอม เตอร์ไม่เคยเจอโอมอิน แต่คิดว่าคงเดาสถานะของมันได้ไม่ยาก


“ใครอนุญาต!” พอรู้ตัวว่าไม่ได้เมา อะไรหลาย ๆ อย่างก็ดูสมจริงขึ้น อย่างเช่นสีหน้าแววตาราวกับยักษ์มารและเส้นเลือดปูดโปนที่ข้างขมับของโอมอิน


“ชีวิตกูไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร”


ไอ้โอมกัดฟันจนสันกรามขึ้นชัด ผมไม่รู้ว่าไอ้เตอร์กลัวรึเปล่า แต่เพื่อนผมทุกคนกลัว ไม่ได้กลัวโอมอิน แต่กลัวสิ่งที่มันจะทำเพราะความโกรธ


“อย่าคิดว่ากูจะยอม...ส่วนมึง ไม่ต้องมายุ่ง กูจะไปส่งแฟนกูเอง”


“ไอ้ศร” ไอ้เตอร์สะกิดเรียก คงเพราะเมาด้วยส่วนหนึ่งผมเลยรู้สึกว่ามือมันสั่นเล็กน้อย


“กลับไปก่อนเถอะ กูดูแลตัวเองได้” ถึงจะไม่อยากกลับไปกับเหี้ยโอมแล้วแต่ผมก็ไม่อยากให้เพื่อนมาเดือดร้อนด้วย


เพื่อนต่างภาคเดินจากไปได้ไม่นานผมก็เริ่มก้าวออกจากตรงนั้นบ้าง


“จะไปไหน”


“กลับ”


“ขึ้นรถ กูไปส่ง”


“ไม่ต้อง” ....มึงไปกับเขาเถอะ


ไอ้โอมถอนหายใจดัง ยืนห่างกันตั้งหลายก้าวแต่ผมยังได้ยิน ดังขนาดไหนอ่ะคิดดูเถอครับ “ขึ้นรถ...มึงกับกูจะไปส่งเขา”







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 10-03-2018 17:21:34


เพราะผมไม่อยากเผลอหลับบนแท็กซี่ในยามวิกาลหรอกนะเลยยอมขึ้นรถมากับมัน


“แล้วจะไปส่งที่ไหน รู้จักบ้านเขารึไง”


“เอาไปทิ้งไว้ที่โรงแรมสักห้องก็น่าจะได้”


ผมเหลือบมองคนที่หลับไม่รู้เรื่องผ่านกระจกมองหลังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ไม่อยากจะถามต่อว่าถ้าไม่เจอกูเสียก่อน มันยังจะพาผู้หญิงคนนี้ไปทิ้งที่โรงแรมหรือจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทั้งคืน





เสร็จกิจธุระดังกล่าวที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแล้วผมก็อยากจะพักหลับตาสักนิด แต่เพราะเส้นทางที่รถกำลังแล่นมันคนละทิศกับคอนโดผมแบบคนละฟาก หนังตาหนักอึ้งจึงยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปิดลงเสียที


“นี่ไม่ใช่ทางกลับคอนโด”


“ขี้เกียจวกกลับแล้ว ไปนอนบ้านกู เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”


“งั้นจอด กูกลับเอง” เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วนั่นไงเลยยิ่งต้องกลับไปนอนห้อง จะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร ถ้าไปนอนบ้านมันกูต้องถูกปลุกมาทานข้าวเช้าแน่


“อย่างอแงหน่า ไปนอนบ้านกู พรุ่งนี้จะรีบกลับห้องเลย”


นอกจากจะไม่จอดแล้วอีกฝ่ายยังเร่งความเร็วจนเข็มไมล์เกือบสุด เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ทำใจ เถียงไปรั้นไปก็เท่านั้น





บ้านของโอมอินเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในโครงการหนึ่งที่มีพื้นที่รอบตัวบ้านพอสมควร ทันทีที่รถจอดในโรงรถ และเสียงเครื่องยนต์ดับสนิท คนที่นั่งหลังพวงมาลัยก็พุ่งเข้าหาเพื่อที่จะจูบผมแต่ผมไวพอที่จะหันหน้าหนีทัน ถึงอย่างนั้นปลายจมูกโด่งก็ยังเฉียดผิวแก้มให้รู้สึกหงุดหงิดใจ อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย ผมอาศัยจังหวะนั้นดันตัวมันออกห่าง


“ถอยไป กูไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมผู้หญิง”


“ตัวมึงก็มีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิง...หลายคนด้วย”


อะไร? นี่จะชวนทะเลาะใช่ไหม?


“ก็มีทุกครั้งที่ออกไปเที่ยว”


“แต่กูมีครั้งนี้ครั้งแรก”


ผมมองมันตาขวาง โอมอินยังไม่ได้ถอยกลับไปนั่งพิงเบาะตัวเอง ร่างอีกฝ่ายยังโน้มเข้าหาผม


“โอเค! กูไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงคนนี้ แต่กูชอบกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงคนอื่นโดยเฉพาะทุกคนที่กูเคยนอน…” เสียงของผมขาดหายเมื่อคนฟังประกบปากลงมาอย่างหนักหน่วง มันทั้งจาบจ้วงและฉาบฉวยจนผมไม่อยากมีส่วนร่วมในการแสดงความรักครั้งนี้


และคงเพราะผมนิ่งไม่ตอบสนอง อีกฝ่ายถึงได้ถอนจูบออกไปหลังจากนั้นไม่นาน


“หึงก็บอกว่าหึง ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงพวกนั้น กูไม่ชอบ”


“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ได้หึง!” ผมพูดใส่หน้าแล้วเปิดประตูลงจากรถทันที รู้สึกง่วงเกินกว่าจะมานั่งทะเลาะกันทั้งคืนบนรถ





ผมเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่อาบน้ำจะนอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเมาหรือมึนหัวแค่ไหนก็ยังถ่อสังขารเข้าไปอาบน้ำจนได้ ชุดนอนเรียบง่ายตามประสาผู้อยู่อาศัยคือกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว คืนนี้อาจหนาวขาหน่อยแต่น่าจะหลับเป็นตายไม่รู้สึกอะไรมากนัก









“กรี๊ดดดดดดด”


เสียงกรีดร้องชวนหนวกหูคือสิ่งที่ปลุกผมขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ความรู้สึกงัวเงียไม่อยากตื่นคือสิ่งแรกที่สัมผัสได้ และแม้ว่าเสียงกรีดร้องของใครบางคนยังดังอยู่แต่ผมกลับค่อย ๆ เปิดเปลือกตาออกอย่างเกียจคร้าน


“อะไรกันยัยอิม”


ผมลืมตากว้างสุดแล้วเด้งตัวขึ้นนั่งอัตโนมัติตอนที่เจ้าของประโยคนี้เดินมายืนอยู่ตรงประตูห้องพอดี ในตอนนั้นเองที่ผมได้สติว่าตัวเองอยู่ที่ไหน


...และผู้หญิงท่าทางเนี๊ยบดุตรงหน้าคงเป็นเจ้าของบ้าน


ผมรู้สึกลำคอแห้งผากเกินกว่าจะเปล่งคำทักทายอะไรออกไปได้ คนที่ดูเหมือนจะเป็นแม่โอมอินยืนจ้องผมคู่กับเด็กสาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นน้องสาวของมัน ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นหญิงสาวที่ผมพอจะคุ้นหน้าว่าเป็นน้องเอมก็มายืนขนาบอีกฝั่งของคนเป็นแม่


ไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยถามอะไรทัศนียภาพตรงหน้าของผมก็มืดดับเพราะใครบางคนโยนผ้าเช็ดตัวมาคลุมศีรษะผมไว้ ผ้าเปียกซกเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จจะเป็นของใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เจ้าของห้องนอนนี้ ผมดึงผ้าออกตั้งใจตวัดตามองให้รู้ว่ากำลังหงุดหงิดแต่เจอแววตามันหงุดหงิดกว่าพร้อมส่งสายตาออกคำสั่งให้ผมใช้ผ้าผืนนั้นปิดร่างกายตัวเอง ในตอนนั้นเองที่ผมได้สติเต็มที่ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหนเด็กสาวคนหนึ่งถึงได้ร้องกรี๊ดและพี่สาวของเธอมองมาด้วยสายตาเคลิ้มฝันขนาดนั้น


ไอ้นี่หวงกระทั่งน้องตัวเอง


“ตื่นแล้วก็ลงไปทานข้าวเช้าพร้อมกันนะ” แม่ของโอมอินพูดด้วยน้ำเสียงที่โคตรดุและหน้านิ่งมากสมกับที่มันเคยเล่าให้ฟังว่ามีแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย


สิ้นเสียงรับคำโอมอิน ผู้หญิงทั้งสามก็ยอมเดินออกไปจากห้อง แต่สำหรับน้องคนกลาง โอมอินต้องออกแรงดันเล็กน้อยเพราะเธอยังมองผมไม่วางตาพาลให้ไอ้บ้าโอมยิ่งหงุดหงิดจนมาลงที่ผม


“ไปอาบน้ำสิวะ!”






เห็นเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาแล้วอยากจะโกรธไอ้เจ้าของเตียงนอนเมื่อคืนเสียจริง เพิ่งจะแปดโมงแต่กูต้องมานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เบ็ดเสร็จแล้วนอนถึงสี่ชั่วโมงรึเปล่าก็ไม่รู้!


“เพื่อนคนนี้เหรอที่เราออกไปหาเมื่อคืน” แม่ของโอมอินเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหารทันทีหลังการแนะนำตัวจบลง


“เปล่าครับ แต่บังเอิญไปเจอมันเมาอยู่ เลยพากลับมาด้วย”


“สนิทกันมากเหรอ”


ช่างเป็นการทานข้าวต้มที่ฝืดคอที่สุดในชีวิต


“ครับแม่”


“ปกติโอมเขาไม่ชอบให้ใครมานอนค้างที่บ้านหรอก จะเข้าห้องนอนเขายังไม่ยอมเลย แม้แต่เจ้าพวกนั้นก็ยังไม่เคยได้เข้าไปเลยนะ” เธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทว่าผมสัมผัสได้ว่าอ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้มาก


ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ไม่กล้าต่อความอะไรมาก กลัวจะดูเกินสถานะ ‘เพื่อน’ ที่ถูกแนะนำตัวไป


“พี่ศรเงียบจัง” น้องเอมถามข้ามโต๊ะมาจากอีกฝั่ง


“มันยังเมาค้างอยู่” ไอ้โอมชิงตอบแทน ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มบางให้น้องเอมและเผื่อแผ่ไปยังเด็กสาวข้าง ๆ ที่นั่งจ้องผมด้วยความไม่พอใจตลอดมื้ออาหาร



หลังอาหารเช้าโอมอินบอกให้ผมขึ้นไปนอนพักต่อเพราะตนต้องสอนหนังสือน้องสาวคนเล็ก คนอาศัยอย่างผมที่อยากกลับห้องตัวเองใจจะขาดมีหรือที่จะแย้งอะไรมันได้ แต่เพราะไม่อยากนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นเพื่อกลับคอนโด ผมจึงเข้าไปในครัวด้วยหวังว่ามีอะไรที่ตนพอจะช่วยเจ้าของบ้านได้บ้าง


“อ้าวศร เจ้าโอมสอนน้องอยู่ที่ศาลาในสวนโน่นแหน่ะ”


“ครับ” ผมรับทราบ “ให้ผมช่วยไหมครับ”


เธอหันมองผมพร้อมพิจารณาในขณะเดียวกัน “เอาสิ น้ำพริกลงเรือ ทำเป็นไหม”


ผมยิ้มแห้ง “ทำไม่เป็นครับ แต่ชอบทานมาก”


“อ้าวเหรอ ชอบทานเหมือนแฟนเจ้าโอมเลย” ผมชะงัก “ถ้าอย่างนั้นแม่แบ่งให้เราเอากลับไปทานด้วยนะ”


“ขอบคุณครับ” จะปฏิเสธก็ดูเสียมารยาท แต่จะบอกว่าแบ่งไปก็เท่านั้นก็คงไม่ได้เช่นกัน


“อ่ะ ศรช่วยแม่โขลกกระเทียมกับกะปิแล้วกัน พอละเอียดแล้วค่อยใส่น้ำตาลปี๊บลงไปนะ” ผมมองตามมือที่แม่ของโอมอินชี้ โชคดีหน่อยที่ท่านตวงทุกอย่างไว้หมดแล้ว เพราะถ้าให้ผมกะปริมาณเองมีหวังแดกไม่ได้


“แล้วนี่ศรรู้จักเธอไหม หน้าตา นิสัยเป็นยังไงล่ะ เจ้าโอมไม่ยอมชวนมาเจอแม่สักที”


“อะเอ่อ…” สากเกือบหลุดมือ


เธอหันมายิ้มเอ็นดูแต่ยังติดดุเช่นเคย “ไม่ต้องกลัวลูกชายแม่รู้หรอก เล่ามาได้เลย”


“ผมเล่าไม่ถูกอ่ะครับ”


เธอนิ่งคิดก่อนพูดข้อสรุปออกมา “งั้นแม่ถาม เราตอบแค่ใช่หรือไม่ใช่ก็แล้วกัน”


และแล้วเกมยี่สิบคำถามก็เริ่มต้นขึ้น


“เธอน่ารักไหม โดยรวมทั้งนิสัยและหน้าตา”


น่ารักไหมเหรอวะ เคยได้ยินโอมอินชมทีเล่นทีจริงบ่อยครั้งว่าน่ารักนะ “น่ารักครับ” ...ละมั้งนะ


“เรียนคณะเดียวกันรึเปล่า”


“คนละคณะครับ”


“รุ่นน้อง รุ่นพี่ หรือรุ่นเดียวกัน”


“รุ่นเดียวกันครับ”


“โอมเคยเล่าว่าเธอทำอาหารไม่ค่อยเป็น แล้วมีความเป็นแม่ศรีเรือนอื่น ๆ บ้างไหม”


“ก็พอตัวครับ” ผมล้างจาน กวาดห้อง ล้างห้องน้ำเป็นละวะ


“เรียนเก่งไหม”


“เก่งครับ ขยันเรียนด้วย” เรื่องจริงล้วน ๆ


“แล้วรักลูกชายแม่ไหม”


“...” กระเทียมกับกะปิละเอียดหรือยังไม่รู้ แต่ผมหยุดโขลกตั้งแต่วินาทีนั้น


“หืม? ในสายตาศร เธอรักโอมไหม”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ “ครับ”


“...”


“รักมากครับ”












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 8
-------------------------------------------
มีคนรอก็ดีจายยยยย
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-03-2018 18:06:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-03-2018 19:21:52
อ่านอย่างหวาดระแวงค่ะ ฮือ ชอบศรมากๆ รัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-03-2018 00:35:55
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 11-03-2018 20:30:11
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 11-03-2018 20:30:31
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: bxx_ ที่ 11-03-2018 21:30:33
 :o12: :o12: :m15:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 12-03-2018 03:37:00
 :z13:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 12-03-2018 06:14:15
ทำไมมีกลิ่นมาม่า ฮือออออ
ยังไม่อยากกินตอนนี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 12-03-2018 13:57:23
เหมือนแม่จะรู้นะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 12-03-2018 14:09:56
คิดถึงโอมอินคนหลงแฟนมากๆเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-03-2018 15:51:37
คุณแม่จะดูออกไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 12-03-2018 16:06:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
ดีใจมากมาย
ตามมาอ่านจากเรื่อง หากันจนเจอ
ไปอ่านก่อนนะ
 :กอด1:
 :กอด1:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 15-03-2018 09:12:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
เข้ามารอนะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 22-03-2018 10:38:28
รักเรื่องนี้จัง แวะมาให้กำลังใจไรต์นะคะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 24-03-2018 18:55:35
้​คิดถึงแล้วน้าาาาาา :man1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Oliver ที่ 31-03-2018 16:00:06
โง้ยยยยยยสนุกมากกกกตามมาจากในทวิต สู้นะคะ✌✌
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 02-04-2018 09:12:13
 :L2: :L2: :L2:
คิดถึงแล้วมาลงเถอะ
รักนะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 09-04-2018 19:06:27
คิดถึงศรจังค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-04-2018 21:48:55
เรื่องนี้จะดราม่าหนักแค่ไหนหนอ กลัวใจ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 7 P.3 [10/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 24-04-2018 10:54:46
คิดถึงแล้วนะะะะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 26-04-2018 16:46:30
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 8
---DharmaSORN---











“สวัสดีค่ะคุณแม่”


ผมละสายตาจากผักที่กำลังล้างหันไปมองเจ้าของเสียง เธอดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมอยู่ในครัวด้วย


“นี่พี่ศร เพื่อนพี่โอมจ่ะ”


“ส่วนนั่นรดา เพื่อนสนิทยัยอิมเขา”


“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ผมเล็กน้อย คนมือไม่ว่างอย่างผมจึงได้แต่ยิ้มรับคำทักทายนั้น


“ทำอะไรกันอยู่คะเนี่ย”


ผมหันกลับมาล้างผักต่อ ถ้าจำไม่ผิดเธอคือเด็กสาวคนที่เจอกันที่ร้านหนังสือในห้างเมื่อกลางสัปดาห์ คนที่โอมอินบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทน้องสาวคนเล็ก


...ไม่ยักรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของแม่ด้วย


แทนที่จะออกไปอยู่กับเพื่อนข้างนอกกลับเข้ามาช่วยแม่ของเพื่อนทำอาหารกันอย่างสนิทสนมไร้ท่าทีเคอะเขิน ไหนจะความคล่องตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนมีความเป็นสุภาพสตรีครบครับแบบนี้อีก ถ้าเธออยากจะเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ละก็ คงผ่านด่านแม่สามีได้ง่ายดายเชียวล่ะ


...เดี๋ยวนะ!


อยากเป็นลูกสะใภ้อย่างนั้นเหรอ


ผมหันกลับไปวางตะกร้าผักที่ล้างเสร็จแล้วไว้ข้างแม่ของโอมอิน ตั้งใจจะถามว่าให้ทำอย่างไรต่อแต่เด็กสาวคนนั้นกลับชิงตัดหน้าขึ้นก่อนด้วยคำถามที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีทักษะด้านการทำอาหารที่มากกว่าผมอย่างเห็นได้ชัด


“คุณแม่จะนึ่งผักไหมคะ”


“ไม่ล่ะจ่ะ บวบงูของโปรดแฟนพี่โอมเขาแม่ลวกไว้แล้ว ของพวกนี้ทานสดดีกว่า...เอ้อศร เราชอบแบบไหนล่ะ ทานสดกรอบ ๆ นึ่งให้นิ่มหรือลวก”


“เอ่อ…” ถ้าบอกว่าชอบบวบงูนึ่งก็ดูจะชอบอะไรหลายอย่างตรงกับ ‘แฟนโอม’ มากเกินไป “...ทานได้หมดครับแม่”


“งั้นรดามาช่วยแม่จัดอาหารหน่อยนะ วันนี้มีสองชุด”


“เอ่อ แม่ครับ ของผมไม่ต้องมีกับข้าวก็ได้นะครับ เอาแค่น้ำพริกก็พอ ผมเกรงใจ” ความจริงคือถ้าสองชุดผมจะทานยังไงหมด ปกติชุดเดียวทานกันสองคนกับโอมอินก็อิ่มแปล้จนพุงกาง ถ้าสองชุดอาหารเหลือเสียดายแย่


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกลูก”


“เอ่อ คือพอดีช่วงนี้ผมคุมอาหารอยู่ด้วยครับ คิดว่าทานแค่น้ำพริกกับผักดีกว่า ไว้ครั้งหน้าผมมาขอฝากท้องกับข้าวฝีมือแม่อีกแล้วกันนะครับ” ต้องหว่านล้อมถึงขั้นนี้ท่านถึงจะยอมทำตามที่ผมขอ




ผมช่วยแม่และรดาตักอาหารใส่กล่องได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องขอปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์ รายชื่อคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมต้องมองหามุมอับที่มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครผ่านมาได้ยินบทสนทนาต่อจากนี้ได้


“ครับอา”


[ว่างไหมศร...มาหาอาที่บ้านหน่อย]


ผมนิ่งคิดไม่นานก็ตอบตกลงไปก่อนวางสาย บทสนทนาทางโทรศัพท์ของเราจะสั้นแบบนี้เสมอ


ปกติแล้วถ้าไม่ติดขัดอะไรผมจะไม่ลังเลที่จะไปหาอาภพที่บ้าน แต่เพราะตอนนี้อยู่กับโอม จะปลีกตัวแยกไปอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยและซักไซ้มาก



เดินกลับเข้าไปในครัวทันเจอโอมอินยืนดื่มน้ำอยู่พอดี สะโพกแกร่งพิงขอบโต๊ะมองสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นทำอย่างสนใจ เป็นภาพที่ทำให้ผมคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก


“โอม กูกลับก่อนนะ มีธุระ” ประโยคบอกเล่าของผมทำให้โอมอินละสายตาจากเธอมามองกันได้


“เห้ยเดี๋ยวดิ มีธุระที่ไหน จะไปยังไง เดี๋ยวไปส่ง”


“ไม่เป็นไร กูไปเองได้ มึงอยู่กับ...น้องเถอะ”


“กูบอกไปแล้วนะว่าวันนี้จะกลับเร็ว” โอมอินเริ่มหัวเสีย ผมไม่อยากทะเลาะกับมันต่อหน้าแม่และน้องจึงจำต้องยอมให้มันเป็นสารถีไปส่งถึงที่หมาย






“ไปฝั่งธนฯนะ” ใจจริงแล้วก็อยากให้อีกฝ่ายแวะส่งแค่สถานีบีทีเอสหรือห้างสักแห่งแล้วอ้างว่าถึงที่หมายแล้ว แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่เชื่อจึงจำต้องยอมบอกที่ตั้งของบ้านอาภพไป


“ไปทำอะไรแถวนั้น”


“บ้านอาภพ”


“อาภพ?”


“พ่อน้องเพชรไง”


“อ๋อ...คนที่…” เสียงพูดชะงักราวกับคนพูดงับปากได้ทันก่อนหลุดบางอย่างที่ไม่ควรออกมา


“คนที่อะไร”


“ก็...คนที่มึงไปหาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนไง”


ผมหรี่ตามอง เมื่อไม่เห็นท่าทางมีพิรุธอะไรอีกจึงเลิกสนใจ


เรานั่งเงียบกันไปตลอดทาง แม้แต่เสียงเพลงก็ไม่มี ผมไม่ได้บอกทางเป็นระยะเพราะเปิดเส้นทางให้อีกฝ่ายขับไปตามนั้นเลย


ผมมองวิวข้างทางได้ไม่นานก็พักสายตาด้วยการงีบหลับ แต่เอาเข้าจริงแล้วก็หลับไม่ลงเพราะเพิ่งมาคิดได้ว่าปกติแล้วอาภพไม่เคยเป็นฝ่ายโทรตามให้ไปหา ผมอยากเจอเมื่อไหร่ผมจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเอง แต่ครั้งนี้แปลกไป ทว่าคิดเท่าไหร่ก็เหมือนวนในอ่าง เมื่อหาเหตุผลไม่ได้จึงเอาแต่โทษตัวเองที่ไม่ยอมถามให้รู้ความก่อนรับปากด้วยมัวแต่กลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน


“ศร...ถึงแล้ว”


ผมลืมตาขึ้นมอง ตั้งใจจะบอกให้จอดส่งแค่หน้าบ้านแต่กลายเป็นว่าภาพแรกที่ผมเห็นคือรถของโอมอินจอดต่อท้ายรถคันหนึ่งในเขตบ้านแล้ว


และมันก็ทำให้ผมได้คำตอบของข้อสงสัยทั้งหมด


รถคันหน้าเป็นรถของพ่อ!


“กลับ” แทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเสียงสั่นและเบาขนาดไหนหากไม่เห็นว่าโอมอินยังนั่งนิ่งแล้วยังบอกให้ผมลงจากรถได้แล้วราวกับไม่ได้ยินคำขอของผมเลย “กลับ! กูบอกว่ากลับ!


“อะไรของมึง เราเพิ่งมาถึง”


“กูจะกลับแล้ว ขับรถออกไปโอม กูขอร้อง” ผมยื่นมือสั่นเทาไปจับแขนมันไว้ นานมากแล้วที่ไม่รู้สึกกลัวการเผชิญหน้าขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกที่เคยคุมไว้ใต้ความเรียบนิ่งของใบหน้าจะหลุดออกมาหมดเปลือกเพียงแค่เห็นรถของอีกฝ่ายจอดอยู่ที่นี่


“เกิดอะไรขึ้นศร เป็นอะไร” โอมพยายามกุมมือสั่นเทาของผม ผมส่ายหน้ารัวพร้อมย้ำคำเดิมด้วยเสียงที่คิดว่าหนักแน่นได้มากที่สุดในตอนนี้


“กูจะกลับเดี๋ยวนี้!”


โอมพยักหน้า รีบสตาร์ทรถเตรียมจะออกตัว ขณะที่มืออีกข้างยังกุมมือผมไว้คล้ายปลอบประโลมให้ผมสงบลง


“พี่ศรคะ” เสียงเรียกของเพชรดังขึ้นทำให้โอมอินชะงัก การเคลื่อนตัวของรถเสียจังหวะจนใครหลายคนเข้าถึงตัวรถและกำลังเคาะกระจกฝั่งที่ผมนั่งอยู่


“ลงมาเถอะศร”


“อาหลอกผม” ผมพูดเสียงเบาแต่เชื่อว่าอีกฝ่ายคงอ่านปากได้ไม่ยาก


ใครคนนั้นยืนถัดออกไปด้านหลัง ผมไม่ได้เหลือบไปมอง แค่เห็นเป็นโครงร่างคุ้นตาในลานสายตาก็ยากจะทำใจแล้ว


“ลงมาเถอะลูก พ่อเขาอยากเจอนะ”


ผมหันหน้าหนี ไม่ตอบโต้ โอมอินบีบมือผมเบา ๆ เตือนให้รู้ว่าข้างกายผมยังมีเขาอีกคน


“กูไม่รู้ว่ามึงกลัวอะไร แต่กูพร้อมที่จะลงไปเผชิญกับมึงนะ...ถ้ามึงต้องการ”


ผมส่ายหน้าช้า ๆ รู้สึกผิดหวังในตัวเองที่กลับมาเป็นคนอ่อนแออีกครั้งทั้งที่เคยเข้มแข็งได้มาตลอดหลายปี ผมหลับตาพักเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผลัดกันฉายซ้ำในหัวด้วยความเร็วระดับช้าสุดราวกับต้องการตอกย้ำให้ผมได้ซึมซับความรู้สึกของวันวานได้มากที่สุด


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ เสียงเคาะกระจกเงียบไปนานแล้ว และผมคิดว่าตัวเองก็พร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้า


“รอกูที่รถนะ ขอเวลาไม่นาน”


โอมอินพยักหน้ารับ ตัวมันเองคงรู้สึกน้อยใจอยู่ลึก ๆ แต่หวังว่ามันคงเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องภายในที่ไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตรักของเราเลย


...มันแทบจะไม่สำคัญกับชีวิตผมเลยด้วยซ้ำ







“แล้วเพื่อนเรา?” เพราะไม่เห็นว่าเดินเข้ามาในบ้านด้วยกันคุณอาจึงถามขึ้น


“เขาจะรออยู่ข้างนอก ไม่ต้องมีใครไปรับแขกหรอกครับ รวมถึงเราด้วยเพชร ห้ามออกไปเด็ดขาด”


“อืม คุยกันตามสบายนะ” อาภพเตรียมจะเดินออกไปพร้อมลูกสาว


“เสร็จธุระแล้วผมกลับเลยนะครับ คงไม่ได้ขึ้นไปลา ขอโทษด้วยครับอา” อาภพพยักหน้ารับก่อนออกไปจากห้องนั่งเล่นทิ้งไว้แต่ความเงียบที่คืบคลานเข้ามาปกคลุมบรรยากาศระหว่างเรา


ผมยืนนิ่งกลางโถงบ้านด้วยสีหน้าสบาย ๆ ทว่าไร้อารมณ์เหมือนที่ฝึกทำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ  แบบนี้ อาจจะซักสองปี หนึ่งปี ห้าเดือน หรือความจริงแล้วอาจจะแค่เดือนเดียว ผมจำไม่ได้จริง ๆ เพราะภาพจำที่มีในหัวมันถูกสต๊าฟไว้ที่ความทรงจำวัยเยาว์


ผู้ชายตรงหน้าดูแทบไม่ต่างจากภาพจำของผมเลยสักนิด อาจจะดูชราขึ้นเล็กน้อยตามวัย แต่สีหน้าและแววตาไม่ต่างจากวันนั้นนัก แข็งกระด้าง ดุดัน โหดร้าย...เหมือนไม่ใช่มนุษย์


“เรียกมามีธุระอะไรครับ” ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเสียเองเพราะไม่อยากให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้


“เจอหน้าพ่อทั้งทีไม่ถามหน่อยเหรอว่าสบายดีไหม”


“ทำไมครับ หรือว่านี่เรียกมาดูใจ”


“ไอ้ศร!!!” พ่อตะคอกเสียงดังจนก้องไปทั่วบ้านหลังโต


“ใครจะไปรู้ละครับ บางทีคุณอาจจะติดโรค”


“ใจคอแกจะสาปแช่งฉันให้ตายวันตายพรุ่งเลยรึไง”


หึ แทนตัวเองว่าพ่อให้ระคายหูได้คำสองคำก็ฝืนไม่ไหวแล้วสินะ


“ผมแค่พูดตามความจริง”


“โกรธฉัน เกลียดฉันมากนักเหรอถึงไม่มาหากันบ้าง” เขาไม่ได้ตะคอก แต่ก็ได้ได้พูดด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจให้ฟังดูน่าสงสาร อีกฝ่ายแค่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูเยือกเย็น


“คุณควรถามตัวเองว่าสมควรที่ผมต้องรู้สึกอย่างนั้นรึเปล่า” ...ผมเองก็เช่นเดียวกัน...เพียงแต่อาจจะพลาด พลาดแสดงอาการอะไรสักอย่างออกไปให้รู้ว่ากำลังสั่นไหวเพราะภายในเปราะบางทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้


เขาแสยะยิ้ม “ฉันควรเป็นคนที่ถูกโกรธ ถูกเกลียดเหรอ”


“เพราะคุณ…”


“แน่ใจเหรอว่าที่เป็นแบบนี้เพราะฉัน”


“...” ผมกำมือแน่น


“ว่าไงล่ะ เพราะฉันจริง ๆ น่ะเหรอ”


“เหตุเริ่มต้นมันเกิดจากคุณ” เสียงที่ออกจากปากไม่ต่างจากเสียงกระซิบนัก


เขาเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาผม


...ช้า ๆ


และผมก็เริ่มถอยห่างออก


...ช้า ๆ


เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ยิ่งเขาพยายามเข้าใกล้ ผมยิ่งถอยห่างออกมา


“เพราะแกเป็นแบบนี้ไง แกไม่เคยฟังฉัน แกเอาแต่เชื่อนังผู้หญิงคนนั้น!” ประโยคท้ายเขาตะคอกเต็มเสียง


“อย่าหยาบคายกับเธอ!”


“สักวัน! สักวันแกจะต้องเสียใจเพราะผู้หญิงคนนั้นเหมือนอย่างที่ฉันเป็น” ผมไม่สนใจความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้น มันก็แค่ละครฉากหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดและดูดีขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น


“ไม่มีทาง!”


เขาแค่นหัวเราะหึ “ไม่เสียใจเหรอ...” นัยน์ตาฉายแววสมเพชในตัวผมออกมาชัดเจน “...ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คงกำลังรู้สึกมีความสุขอยู่สินะ...โดนนังนั่นทิ้งคงมีความสุขดีสินะ!!!”


“อย่าเรียกเธอแบบนั้น!!”


“ฉันจะเรียก!” เขาตะคอกอย่างเหลืออด นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง “จะเรียกให้สมกับสิ่งที่มันทำกับฉัน!”


“ทั้งหมดมันเป็นเพราะคุณ! หัดดูตัวเองซะบ้าง!”


“หึ ดูตัวเองเหรอ”


เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ผมเองก็ถอยหนีอีกเช่นเคย


“ดูเพื่อเห็นเขาบนหัวให้เจ็บใจรึไง!!”


ผมส่ายหน้าช้า ๆ ก้าวถอยห่างออกมาเรื่อย ๆ
 

จำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้คือเมื่อไหร่ และในตอนที่เจอกันครั้งต่อไปผมก็คงจำไม่ได้อีกเช่นกันว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้







ผมนั่งหลับตาไปตลอดทาง รู้สึกขอบคุณคนข้างกายจากใจที่ไม่เอ่ยถามอะไรออกมาให้ผมต้องลำบากใจกับการตอบคำถาม ทั้งห้องโดยสารเงียบจนแม้แต่เพลงที่ชอบฟังก็ไม่มีมาให้รำคาญใจ เครื่องมือสื่อสารก็ถูกตัดขาดช่องทางการติดต่อไปแล้ว นับจากนี้คงไม่มีอะไรรบกวนผมได้อีก


ไม่ทันที่ผมจะได้หลับ รถที่เคลื่อนอยู่ก็หยุดลง บางทีเราอาจจะติดไฟแดงที่สี่แยกใหญ่ใกล้หมู่บ้าน หรือบางทีอาจจะยังติดแลกบัตรอยู่ที่ป้อมยาม ผมพยายามคิดเรื่องอื่นไปต่าง ๆ นานา เพื่อให้ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จนเผลอสะดุ้งตัวน้อย ๆ ตอนที่มีปลายนิ้วจิ้มลงมาที่หว่างคิ้วก่อนจะค่อย ๆ คลึง ผมอมยิ้มมุมปาก ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกผ่อนคลายเป็นเพราะสิ่งที่โอมทำให้ หรือแค่เพราะกำลังได้รับการเอาใจใส่กันแน่


รถเคลื่อนตัวออกอีกครั้ง พร้อมกับสติของผมที่จางหายลงเรื่อย ๆ







ผลั่ก!


ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ผมก็ดันร่างที่หนาพอกันกระแทกเข้ากับบานประตูก่อนตะโบมจูบแบบไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว มือไม้ปัดป่ายไปทั่วจนสามารถสอดเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อใต้เสื้อยืดของมันได้


ตุบ!


ได้ยินเสียงของบางอย่างหล่นพื้น เดาเอาว่าน่าจะเป็นกล่องอาหารที่มันถือขึ้นมาด้วย เพราะหลังจากเสียงนั้นตัวของผมก็ถูกโอบอุ้มด้วยมือของอีกฝ่ายทันที


เราปล้ำจูบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สองมือก็แข่งกันทำหน้าที่เร้าอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามราวกับว่าถ้าใครรู้สึกมากกว่าก่อนเป็นฝ่ายแพ้


ผมไล้มือวนหน้าท้องแบนราบของโอมอย่างอ้อยอิ่งสวนทางกับการรุกล้ำอย่างรุนแรงในช่วงบน ออกแรงบีบพุงกะทิน้อย ๆ ของมันให้รู้ว่าแอบขัดใจอยู่ลึก ๆ ที่มันไม่ได้มีแค่กล้ามลื่นมือเหมือนเมื่อก่อน


“อ่าส์...” ผมร้องเสียงหลงเมื่อถูกโอมลากลิ้นลงมาถึงแอ่งไหปลาร้า ฝังเขี้ยวฝากรอยแล้วเลียแผลซ้ำจนเจ็บแสบก่อนจะเลื่อนตำแหน่งลงไปจนถึงแผงอก


รู้สึกเสียเปรียบเล็กน้อยที่ตัวเองใส่เสื้อยืดคอกว้างผ้าย้วยจนทำให้ง่ายต่อการถูกเขี่ยคอเสื้อให้พ้นทางจนตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่ยังใส่เสื้อผ้าครบแต่เปลือยไหล่ข้างหนึ่งพร้อมโชว์เนินอกเรียบร้อยแล้ว


ในขณะที่อีกฝ่ายคงกำลังยิ้มย่องได้ใจว่าการที่ผมแอ่นอกรับสัมผัสของมันคือการรู้สึกมากกว่าก่อน ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากเสียเปรียบไปมากกว่านี้ ในเมื่อช่วงบนสู้ไม่ได้ สองมือจึงต้องทำหน้าที่สู้ต่อไปแทน มือข้างหนึ่งผละออกมาสางเข้าไปในผมแล้วกดศีรษะโอมอินไว้กับอกตัว ขณะที่อีกข้างไล้ไต่ลงล่างช้า ๆ ด้วยหวังว่าจะสร้างความปั่นป่วนในตัวมันได้บ้าง


...และก็ได้ผล


โอมอินตะปบมือลงบนมือผมในตอนที่นิ้วทั้งสี่สอดเข้าไปในกางเกงในจนมิดแล้ว ทุกความเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง เสียงจูบและความเปียกชื้นจากลิ้นบนผิวเนื้อผมก็หายไปด้วย คนที่ยังพิงศีรษะกับอกผมถอนหายใจดังก่อนผละออกเพื่อมองหน้ากันตรง ๆ ผมยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเอ่ยบอก “ถ้ามึงไม่อยาก กูหยุดก็ได้” 


“กูแพ้มึงตลอดอยู่แล้วนี่”


ผมยิ้มกว้างพอใจ เพราะการที่มันจับมือผมแล้วเลื่อนต่ำลงไปกว่าเดิมเสียเองคือการยืนยันคำพูดของมันได้ดีทีเดียว


เรากอดรัดนัวเนียกันตั้งแต่หน้าประตู กว่าจะกระเตงกันมาถึงเตียงก็ไม่เหลืออาภรณ์สักชิ้นปกปิดกาย มือของเราสอดประสานกันแน่นเช่นเดียวกับช่วงล่างที่ส่งเสียงหยาบโลนออกมาทุกครั้งที่เกิดการขยับ


“รักกูไหม...โอม ระ รักกู...ไหม”


ใบหน้าเปี่ยมสุขของโอมมีคิ้วขมวด อีกฝ่ายคงแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ออกมา ความเร็วในการกระแทกลดลงทำให้มันเข้ามาได้ลึกกว่าเดิมจนผมเกือบจุกแต่ก็ยังร้องออกมาด้วยความเสียวซ่าน โอมอินยังไม่ตอบ อีกร่างที่ใกล้เคียงกันทิ้งตัวลงมากอดก่ายในระนาบเดียวกันก่อนที่เสียงกระซิบที่ข้างหูจะดังขึ้น “กูรักมึงคนเดียวนะศร”


จุมพิตหนักแน่นตรงหลังคอช่วยสำทับคำพูดให้ผมยิ่งพอใจ มือของเรายังจับกันไว้แน่น แม้ว่าตอนนี้ผมจะถูกอีกฝ่ายกอดซ้อนหลังอยู่


“กอดกู อ๊ะ กอดกูแน่น ๆ”


บทรักของเราดำเนินต่อไปอีกหลายรอบ ไม่มีใครสนใจกล่องอาหารที่ตกอยู่ตรงประตูห้อง ไม่สนใจเสียงท้องที่ร้องประท้วงโครกคราก ไม่สนใจแสงอาทิตย์ที่อ่อนลงเรื่อย ๆ จนทั้งห้องเริ่มมืดมิด ไม่มีใครสนใจอะไรนอกจากคนในอ้อมกอด กอดกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดแรงนอนกอดก่ายแน่นิ่งกันอยู่บนเตียง


“ไม่หิวเหรอ” โอมถามขึ้นมาพลางเกลี่ยปอยผมของผมเล่น


ผมส่ายหน้าทั้งที่ยังซุกอกมันอยู่ “กินมึงอิ่มแล้ว”


อกกว้างกระเพื่อมตามจังหวะหัวเราะ “ใครกินใครกันแน่”


ผมไม่ตอบ กระชับแขนที่โอบกอดอีกฝ่ายไว้ให้แน่นกว่าเดิม


“ทำไมอ้อนจังวะ”


“ไม่ดีรึไง” ปกติหลังเสร็จกิจบนเตียงผมจะผละออกห่างมันไปอีกมุมเตียงทันทีเพื่อความสบายตัว จะกลับมานอนกอดกันอีกครั้งก็หลังจากล้างเนื้อล้างตัวแล้ว ไม่ใช่กอดกักอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ไปไหนอย่างตอนนี้


“ไม่ดี...มึงเครียด กูไม่ชอบ”


“นอนเถอะ” ผมตะปบมือลงไปบนหน้ามันอย่างสะเปะสะปะ แกล้งทำเป็นลูบหน้าลูบตาเพื่อให้หลับไปพร้อมกัน


จังหวะหายใจของคนที่ผมหนุนอกอยู่สม่ำเสมอมานานหลายอึดใจแล้ว ผมผละออกมามองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันจุกแน่นอยู่ในอกทว่ากลับวูบโหวง


เราไม่เคยบอกรักกัน แต่ผมรับรู้ได้ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างว่าโอมอินรักผมจริง ๆ ผมไม่เคยถามหรือคาดคั้นให้มันพูด และมันเองก็ไม่เคยพูดออกมาก่อน แต่วันนี้ผมถาม...และมันก็ตอบ อาจจะด้วยกามารมณ์พาไปหรืออะไรก็ช่าง แต่ผมจะถือว่ามันคือความจริง


“ถ้ารักกู อยู่กับกูนะโอม”










พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 9
-------------------------------------------
กลายเป็นนิยายรายเดือนไปแล้วววววววว
แต่ต่อจากนี้คงได้เป็นนิยายราย 1-2 สัปดาห์แทนแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่รออ่านและคิดถึงโอมศรกันนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์




หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 26-04-2018 17:13:29
กรี๊ดดด มาต่อแล้ว :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 26-04-2018 21:19:57
ดราม่ามาคุมาเลย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 26-04-2018 22:19:13
แงงงงงง กลับมาพร้อมดราม่า :z3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 02-05-2018 17:02:56
ปัญหาของศรกับพ่อนี่คงจะหนักน่าดู ยังมองไม่เห็นทางที่จะดีกันได้เลย
แง เป็นกำลังใจให้ศรนะ นี่ก็เชื่อว่าโอมรักศรมากๆๆๆๆ โอมจะอยู่กับศรเอง :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 02-05-2018 22:04:26
ขอให้ทั้งสองคนมั่นคงแบบนี้ต่อไป อย่าให้อะไรมาทำให้แยกกันเลยค่าา  :ling3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-05-2018 00:47:47
มาพร้อมมาม่าของศรเลย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 8 P.4 [26/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 07-05-2018 09:54:56
ชอบอ่า รอนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 09-05-2018 18:20:07
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 9

---DharmaSORN---









อีกสองสัปดาห์จะเริ่มสอบไฟนอล


ชีวิตผมกำลังจะกลายเป็นผีบ้า ไม่ใช่แค่หนังสือมากมายก่ายกองที่ต้องอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมดที่เป็นปัญหา แต่อีกหนึ่งเรื่องที่รบกวนจิตใจของผมอยู่คือไอ้เหี้ยที่เคยอยู่ด้วยกันทุกวันแต่หายหน้าหายตาไปจะครบหนึ่งสัปดาห์อยู่รอมร่อ


เราทะเลาะกัน…


เป็นการทะเลาะที่ผมอยากด่ามันมากว่ามึงแม่งเลือกช่วงเวลาได้ดีจนน่าปรบมือให้มาก


รู้ทั้งรู้ว่าช่วงใกล้สอบผมจะเครียดมากเป็นพิเศษแต่มันก็ยังหาเรื่องด้วยการถามถึงเหตุการณ์วันนั้นที่บ้านอาภพ


ย้อนไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน



‘มีอะไรจะเล่าหรือระบายไหม เรื่องที่บ้านอามึง’ ไอ้โอมเปิดประเด็นในตอนที่เรากำลังนั่งดูการ์ตูนสุดแสนปัญญาอ่อนด้วยกันในตอนเย็น

‘ไม่มี’

‘แต่มึงดูเครียดมาหลายวันแล้วนะ’

ผมกดเลื่อนช่อง การ์ตูนแม่งปัญญาอ่อนจริง ๆ กูทนดูมาได้ไงตั้งนาน ‘ใกล้สอบกูก็เครียดเป็นปกติ’

‘ไม่ใช่ มึงมีเรื่องอื่นกวนใจอยู่ด้วย’ ไอ้โอมทำเสียงเข้มคาดคั้นผมเต็มที่

‘มันก็แค่เรื่องไม่สำคัญ มึงจะสนใจทำไม’ ผมเริ่มมีน้ำโห สีหน้าผมออกแน่ ๆ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้

‘ถ้าไม่สำคัญจริงจะทำให้มึงคิดมากอยู่อย่างนี้เหรอ’

‘มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ก็แค่เรื่องไม่สำคัญหน่า’

‘เรื่องไม่สำคัญหรือกูไม่สำคัญ’

‘อะไรของมึงวะ’

‘กูคงไม่สำคัญพอให้มึงเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟังได้’

‘เชี่ยโอม มันก็แค่เรื่องไม่สำคัญ ไม่สำคัญกับชีวิตกูเลยสักนิด ไม่สำคัญกับความสัมพันธ์ของเราด้วย’

‘โอเค กูคงเสือกมากไป’



เหี้ยโอมจากไปหลังประโยคนั้น


แม่งเหี้ยจริง ๆ


ผมว่าสถานการณ์ระหว่างเราไม่ได้เลวร้ายมากพอที่จะต้องหลบหน้าหลบตากัน...แต่มันก็เสือกทำ


ไอ้โอมกลับไปนอนห้องของมัน ไม่นัดเจอ ไม่โทรหา ไม่มีแม้แต่ข้อความ เข้าใจว่าแม่งก็คงอ่านหนังสือและปั่นโปรเจคของมันเหมือนกัน แต่แม่งก็งี่เง่า หรือมันจะอยากไปจากผมจริง ๆ


“โว้ย!!!!”


ผมวางหนังสือเสียงดัง ไม่สนใจเพื่อนที่ตื่นตกใจจากการกระทำของผมรวมถึงโต๊ะรอบข้างด้วย ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ใต้ถุนตึกคณะ มีนักศึกษาเกือบทุกชั้นปีและจากหลากหลายภาครวมตัวกันอยู่ ภาคของผมไม่มีตึกเป็นของตัวเอง แม้จะเป็นภาคที่ใคร ๆ ก็เขม่นว่าเป็นหัวกะทิเป็นชนชั้นสูงแต่กลับมีคุณภาพชีวิตเหมือนลูกเมียน้อย ไม่มีตึกของตนเองเพราะเรียนรวมกับเขาไปทั่ว ห้องแลปห้องชอปก็ใช้ของภาคอื่น กาฝากชัด ๆ


“มึงเครียดด้วยเหรอวะ คนที่เครียดต้องเป็นพวกกูนี่” ไอ้ตี๋เมฆว่าพร้อมพยักพเยิดหน้ากับคู่หูอย่างไอ้ฟาจนอีกฝ่ายร้องปัดแทบไม่ทันว่าอย่าเอามันไปเกี่ยวด้วย


“กูว่าไม่ใช่เรื่องสอบ” ไอ้กอล์ฟพูดเสียงเรียบ ใบหน้ามันก็นิ่งไร้อารมณ์เช่นกัน ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกำลังหรี่มองจ้องเค้นหาความจริงจากผมอยู่ “ทะเลาะกับไอ้โอม?”


เกลียดการที่ไอ้กอล์ฟแม่งรู้ทัน


“ใช่ซะด้วยว่ะ” ไอ้หนึ่งสรุปเมื่อเห็นผมเงียบ “มึงไปทำอะไรให้มันหึงอีกอ่ะ เพลา ๆ ลงหน่อยเหอะ กูสงสารมัน”


“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ผมตอบเสียงแผ่ว “แค่คนงี่เง่าที่เอาเรื่องงี่เง่ามาพูดตอนใกล้สอบ” ถึงจะอยากระบายกับไอ้กอล์ฟแต่ก็ทำไม่ได้เพราะฟากับเมฆไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน นอกจากเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ไม่เคยมีใครได้รู้เรื่องนี้อีกเลย ไม่มีใครได้รับรู้หรือเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของผม ใช่ว่าผมจะปิดซ่อนเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าแท้จริงแล้วผมไม่ได้เพอร์เฟ็คอย่างที่พวกเขาคิด แต่ผมแค่ไม่ต้องการพูดถึงมัน...ไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงมัน


“กูว่าไม่ธรรมดา” ไอ้ฟาออกความเห็น


ผมหันมองกอล์ฟ มันมองหน้าผมอยู่ ผมรู้ว่ามันน่าจะพอเดาออกแล้วว่า ‘เรื่องงี่เง่า’ นั้นคือเรื่องไหน


“แล้วนี่มันยังอยู่กับมึงรึเปล่า” หนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง ผมเดาว่ามันก็น่าจะระแคะระคายบ้างแล้วเหมือนกัน


“หายหัวไปวีคหนึ่งละ”


“เห้ย! รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ฟาโวยวาย


“ช่างแม่งเหอะ” บอกปัดไปแล้วผมก็ปลีกตัวออกไปซื้อกาแฟ ไม่ได้อยากดื่มนักหรอกครับ วันนี้ทั้งวันดื่มไปสามแก้วแล้วทั้งที่เพิ่งจะบ่ายสอง แต่แค่หาเรื่องเดินเล่นให้สมองมันปลอดโปร่งบ้างเท่านั้น


นอกจากหงุดหงิดเหี้ยโอมแล้วผมก็ไม่ได้หงุดหงิดตัวเองนัก ยอมรับว่าเรื่องของมันทำให้ผมเสียสมาธิไปบ้างแต่ผมก็ยังอ่านหนังสือได้เหมือนเดิม อาจจะช้าลงไปเพราะต้องเสียเวลาอ่านวนซ้ำหลายรอบกว่าจะเข้าใจแต่ก็ยังดีกว่าอ่านไม่เข้าหัวเลยสักตัว




ไม่น่าเชื่อว่าเย็นวันนั้นจะมีคนทำให้ผมหายเซ็งได้ ไอ้พี่สัมโทรมาชวนไปเมาก่อนสอบอันเป็นธรรมเนียมของรุ่นพี่โรงเรียนผมเอง ผมไม่ได้ชวนเพื่อนต่อตามคำบอกของพี่สัมแต่แค่บอกเล่าให้พวกมันรู้ไว้เท่านั้นว่าคืนนี้ผมจะออกไปเมา ใครใคร่ไปก็ไป แต่ผมไม่ชักจูง ก็เลยได้เพื่อนร่วมเมาคืนนี้มาหนึ่งคนคือไอ้กอล์ฟ


แสงสีทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าได้บ้างจริง ๆ แม้ไม่เท่าเมื่อก่อนแต่ก็ไม่ได้เหมือนซากศพไร้ชีวาอย่างที่รู้สึกอยู่ทุกวันนี้ โต๊ะของพี่สัมเป็นชุดโซฟา เรียกได้ว่าตั้งใจมานั่งดื่มไปเหล่สาวไปกันแบบชิล ๆ จริง ๆ


ผมทักทายรุ่นพี่ที่รู้จักหน้าค่าตากันดีอยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนที่ผมไม่รู้จัก พี่สัมแนะนำคร่าว ๆ แค่ว่าเป็นเพื่อนกับรุ่นน้องที่คณะ


“ไม่นึกว่ามึงจะมาด้วย” พี่สัมทักไอ้กอล์ฟ เพื่อนผมมันก็แค่ไหวไหล่ตามเคย จะกี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สัม ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้เคืองอะไร


“แต่กูแม่งโคตรแปลกใจที่มึงยอมมา” เพราะครั้งก่อน ๆ ผมไม่เคยตอบรับ ผมจริงจังในทุกการสอบเสมอ และถ้าไม่ใช่เพราะกำลังอยากหาทางระบาย ผมก็ไม่มีทางพาตัวเองมาที่แบบนี้ในเวลานี้เด็ดขาด “แค่โผล่มาช่วงใกล้สอบกูก็ว่าแปลกแล้ว แต่ไอ้โอมยอมให้มึงมาคนเดียวนี่สิยิ่งแปลก เอ๊ะ! นี่มันรู้รึเปล่าว่ามึงมา”


“มันไม่ใช่เจ้าชีวิตผม” ผมตอบเรียบ ๆ แค่นั้นก็ไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรด้วยอีก ยิ่งมีไอ้กอล์ฟที่หน้านิ่งดุกว่าผมมาด้วยก็ยิ่งเหมือนเป็นการกันคนออกจากผมได้ไปในตัว


เรานั่งดื่มกันเงียบ ๆ หลายคนในโต๊ะออกไปสังสรรกับโต๊ะอื่นบ้าง เต้นกับสาวบ้างจนสมาชิกกลุ่มเริ่มบางตา ผมกับกอล์ฟยังนั่งอยู่ที่เดิม เราปักหลักจนยึดเป็นที่ประจำได้ด้วยการวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ


“มีอะไรอยากพูดไหม” ไอ้กอล์ฟเปิดประเด็นขึ้นมา มันคงรอจังหวะอยู่นานแล้ว และที่ยอมออกมาด้วยคืนนี้เพราะเรื่องนี้มากกว่าจะอยากดื่ม


“หลังวันวาเลนไทน์ เราไปบ้านอาภพด้วยกัน” ผมเล่าขึ้นมาง่าย ๆ แบบไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ “ไปเจอเขา” ไม่จำเป็นต้องขยายความว่า ‘เขา’ คือใคร เพราะเพื่อนผมทุกคนรู้ดี


“เหมือนเดิมทุกครั้งที่เจอกัน” ...ทะเลาะกันด้วยความรู้สึกโกรธเกลียดทั้งหมดที่มี “แต่กูให้ไอ้โอมรอหน้าบ้าน กูไม่รู้ว่ามันได้ยินไหม กูไม่ได้ถาม”


ผมซดเหล้าอีกอึกหนึ่ง กอล์ฟยังนิ่งฟังอย่างตั้งใจ “มันเห็นกูเครียด เห็นกูคิดมาก นานวันเข้ามันก็เลยถาม...สุดท้ายทะเลาะกัน”


“...”


“...แล้วมันก็ไป”


“...”


“จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา”


“กูว่ามึงควรเล่าให้มันฟังได้แล้ว”


ผมส่ายหน้า “มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากพูดถึง”


“แต่มันกำลังพยายามจะช่วยมึง”


“ช่วงใกล้สอบเนี่ยเหรอวะ”


“ก็ถ้ามึงระบายให้มันฟัง มึงก็จะได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือสอบไง มันคงคิดแบบนั้น”


“แต่ก็ไม่ใช่การคาดคั้นให้กูเล่า พอกูบอกไม่ใช่เรื่องสำคัญแม่งก็งี่เง่าไปเองว่ากูเห็นว่ามันไม่ใช่คนสำคัญ”


“เพราะมันกำลังพยายามเข้าใกล้มึงไง พยายามจะรู้จักตัวตนมึงให้มากขึ้นขณะที่มึงก็ปิดซะมิดขนาดนั้น ถ้ากูเป็นมัน กูก็คงคิดเหมือนกันว่ากูไม่ใช่คนสำคัญพอที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้มึงได้”


“...”


“ครั้งนี้กูเข้าข้างมันนะ มึงอยู่กับมันแล้วมีความสุขแค่ไหนไม่รู้ตัวเหรอ ทำไมถึงยังไม่ยอมเปิดให้มันขยับเข้าใกล้มึงได้อีกนิดนึงละวะ...หรือมึงยังกลัวอยู่”


“กู...กูกลัวว่ะกอล์ฟ” ผมฟุบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างหมดท่า “ถ้าซ้ำรอยเดิม ครั้งนี้กูต้องแย่กว่าเดิมแน่”


“ก็รู้ตัวนี่หว่า”


ผมเงยหน้ามามองเพื่อนด้วยความสงสัย “ยิ่งรู้แบบนั้น มึงยิ่งต้องรักษามันไว้ให้ดี”


“แต่มันเหมือนการเอาใจไปผูกไว้กับมัน แบบนั้นจะไม่ยิ่งแย่เหรอวะ”


กอล์ฟวางมือบนไหล่ผม มันตบเบา ๆ อีกฝ่ายมักจะทำแบบนี้เสมอยามที่ต้องการให้ผมตั้งสติ “ก็ทำให้มันดีสิวะ”


ไม่ทันที่ผมจะได้คิดตาม สมาร์ทโฟนที่คว่ำหน้าอยู่ของผมก็สั่นครืดบนโต๊ะแก้วขัดจังหวะบทสนทนาของเราเสียก่อน แสงสว่างวาบของมันแผ่ออกเป็นวงกว้างจนผมต้องหยิบมันขึ้นมาดู...แล้วก็วางกลับลงไปที่เดิม


คงมีใครสักคนในกลุ่มนี้แจ้งข่าวไปถึงมัน ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้อีกฝ่ายโทรมาเพราะคิดถึงเองมากกว่าโทรมาเพราะหวงกันแบบนี้


ผมจ้องหน้าจอที่สว่างวาบเพราะสายเรียกเข้า ทั้งทีเป็นเบอร์ที่รอคอยแต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับเพิกเฉยต่อมัน ความรู้สึกอยากคุยย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่อยากทะเลาะกันอีก


“อยากคุยแต่ไม่รับสาย ไม่กลัวว่าห่างกันนาน ๆ แล้วจะจูนกันไม่ติดเหรอวะ”


“ถ้าความสัมพันธ์มันเปราะบางขนาดนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ”


ผมเมินการแจ้งเตือนด้วยการคว่ำหน้าจอเอาไว้เหมือนเดิมแล้วลุกออกจากที่นั่งตรงนั้น


เหล้าสามแก้วที่ผสมมิกเซอร์เยอะเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ทำให้ผมเมาจนเดินเซได้ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงแค่หน้าแดงตัวแดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


อ่า...ปลิวได้ง่ายขึ้นด้วย


ผมโดนใครบางคนผลักจนร่างเซถลา ถ้าไม่ได้เสาช่วยให้ค้ำร่างได้ ผมอาจจะล้มลงไปวัดพื้นให้อายคนไปแล้ว


“อะไรวะ!?” ผมหันไปถามอย่างเอาเรื่อง พวกมันมีกันสามคน ดูจากหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะยังเป็นนักศึกษาเหมือนผม


“จำกูไม่ได้เหรอวะ” ไม่ใช่ประโยคทักทายจากเพื่อนเก่าแน่ ถามแบบนี้กับท่าทางหาเรื่องนี่มันอริเก่าชัด ๆ


“เพื่อนสมัยอนุบาล?”


“หึ กวนตีนไอ้สัด สงสัยกูต้องสะกิดแผลเก่าให้แม่งจำได้หน่อยแล้วมั้ง” ไอ้คนที่ยืนตรงกลางพูด ตัวมันสูงไล่เลี่ยกับผม และตอนนี้ตาของมันกำลังมองคิ้วข้างที่มีรอยแผลเป็นของผมอย่างจงใจ


…เหี้ย...เด็กเกษตรฯ คืนนั้น


“มีธุระอะไรกับกู”


พวกแม่งกลับมาเอาคืนแน่เลยว่ะ ผมไม่กลัวพวกมันสักนิด แม้จะอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางพวกมันสามคนก็ตาม ต่อยมาต่อยกลับอยู่แล้วมีมือมีตีนเหมือนกันไม่ได้เป็นง่อย


ไอ้คนเดิมมันก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว ผมไม่ได้ถอยหลังให้มันหยามเอาได้ว่าป๊อด “กูชื่อท็อป จำชื่อกูไว้ด้วย”


ครับ ฟังไม่ผิด มันเข้ามาผลักผมเพื่อจะแนะนำตัวและสั่งให้ผมจำชื่อมันให้ได้ แล้วก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ผมคาดเดาอารมณ์มันไม่ได้


ผมยืนงงอยู่ตรงนั้นไม่นานก็หันกลับไปยังทิศทางของจุดหมายเดิมอย่างที่ตั้งใจแต่กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญอีกหนึ่งรายเดินเข้ามาทักทายกัน


“ศรคะ” สาวสวยหุ่นเซี๊ยะ เซ็กซี่ระดับนางแบบปกนิตยสารปลุกใจชาย เธอเรียกเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มยั่วยวนอยู่ตรงหน้า


ผมรู้จักเธอ ไม่สิ ผมแค่อาจจะรู้จักเธอ


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” คำทักทายพร้อมมือที่ค่อย ๆ วางบนท่อนแขนผมก่อนจะเลื่อนขึ้นมาเลื่อย ๆ บ่งบอกได้ว่าข้อสันนิษฐานของผมเป็นจริง


ไม่ต้องคิดต่อให้ปวดหัวผมก็ได้ข้อสรุปในทันทีว่าเธอเคยเป็นหนึ่งในคู่นอนของผมแน่ ถึงจะไม่ใช่สเปค แต่เรื่องบนเตียงมันไม่ได้มองกันที่สเปคนี่ครับ อย่าถามชื่อของเธอเลย จำได้แค่ว่าเคยนอนด้วยก็ดีมากแล้ว


“คืนนี้ไปไหนต่อรึเปล่า”


ผมแกะมือปลาหมึกของเธอที่เริ่มเลื้อยมาถึงกระดุมเสื้อของผมออก “โทษทีนะ แฟนขี้หึงอ่ะ ไม่อยากมีปัญหา” แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่ ความวัวยังไม่ทันหายก็ไม่อยากเอาความควายเข้ามาแทรก


“เดี๋ยวสิ” เธอยังรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย อาศัยจังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัวแทรกตัวเข้าแนบชิด เบียดหน้าอกหน้าใจจนล้นทะลัก และยกแขนคล้องคอผมไว้ ยังดีที่คุณเธอไม่จู่โจมอะไรที่จะทำให้ผมหงุดหงิดไปมากกว่านี้


“ปล่อยเถอะ”


“แฟนไม่มาด้วยไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวเขาตามหึงหรอกหน่า”


“ปล่อย” ผมพูดเสียงเข้มหน้านิ่งเรียบอย่างที่ไม่เคยใช้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ปล่อยให้สาวเจ้าอ่อยอยู่นานแบบนี้หรอก เรื่องทำหน้าตึงใส่แทบจะไม่มี จริง ๆ ถ้าช่วงนี้ไม่ทะเลาะกับไอ้โอมผมก็คงมีอารมณ์เล่นหูเล่นตากับเธอบ้างเหมือนทุกที ไม่ได้ทำตัวเป็นเกย์ตายด้านกับสาวสวยอย่างตอนนี้


สุดท้ายเธอก็ยอมปล่อย เมื่อผมผละออกจากเธอได้ก็เดินตรงไปห้องน้ำด้วยความหงุดหงิดใจ ทำธุระล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็ยังเดินหงุดหงิดไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ด้านข้างร้านโดยลืมไปว่ามันเป็นพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ ซึ่งไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เจอกับอากาศบริสุทธิ์


ผมหยุดยืนอยู่ข้างผู้ชายคนหนึ่งที่สูงพอกัน มารู้ตัวเอาหลังจากนั้นว่ามันเป็นใคร


“เอาหน่อยไหมมึง”


ผมเหล่มอง ไอ้เด็กเกษตรฯที่เพิ่งแนะนำตัวกับผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอ่ยชวนพร้อมยื่นมวนบุหรี่ที่เพิ่งดึงออกจากปากมาขยับปลายขึ้นลงใส่ราวกับผมเป็นที่เขี่ยบุหรี่ทำให้ขี้เถ้าปลิวกระเด็นใส่จนต้องขยับหนีห่าง


ผมมองบุหรี่ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งมวน “ขอมวนอื่น” ตั้งแต่คืนนั้นที่โอมอินขอให้ผมเลิกสูบ ผมก็สูบน้อยลงแบบไม่ทันรู้ตัว กลับมาสูบถี่ขึ้นเยอะขึ้นกว่าเก่าก็ช่วงที่มันทิ้งไปเสียดื้อ ๆ เนี่ยแหละครับ


“ไม่มี เหลือมวนเดียว จะเอาไม่เอา” มันจ้องหน้าผม ท่าทางมันไม่ได้กำลังวัดใจ เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้นไม่ได้สนใจผลลัพธ์นัก


ผมยืนมองนิ่ง อยากสูบเพราะแม่งเครียดและหงุดหงิดมากแต่มันก็คนแปลกหน้า ไม่อยากใช้มวนเดียวกัน การตัดสินใจของผมเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายเอาบุหรี่กลับไป ผมรีบดึงมันออกมาก่อนจะแตะถึงปากมันเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น


“ขอบใจ” ผมพึมพำก่อนเอามันเข้าปากแล้วเริ่มสูบแต่ยังทันได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายในตอนที่เสียบุหรี่มวนนี้ให้ผม


“หงุดหงิดเหี้ยไรมา” มันถาม


“สนิทกัน?”


ท็อปแค่นหัวเราะไหวไหล่ “ก็มากพอให้ดูดบุหรี่ต่อกันได้อ่ะ”


ผมไม่ตอบ ยังคงดูดและปล่อยควันบุหรี่ออกมาแข่งกับคนรอบข้างอย่างต่อเนื่อง


“จะหงุดหงิดให้เสียพลังงานชีวิตไปทำไมวะ”


ผมหันมองคนพูดตาขวาง “มึงต้องการอะไรกันแน่”


“อะไร?”


“มึงเข้าหากู แนะนำตัวแล้วก็เดินจากไปเฉย ๆ แทนที่จะหาเรื่องกูหรือเอาคืนกับเรื่องคืนนั้น แถมยังยกบุหรี่ให้กูด้วย”


ผมมองเห็นอีกฝ่ายแค่ด้านข้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็พอมองออกว่ามันกำลังยิ้มบาง ๆ “ใจดีเกินไปก็ไม่ชอบเหรอวะ”


“กูสงสัย อย่าใช้คำว่าไม่ชอบ” ...กูจั๊กจี๋


“สงสัยก็ดี คิดหาคำตอบให้ได้ล่ะ คิดเยอะ ๆ”


ท็อปหมุนตัวเข้าหาผม “ไม่คิดว่าจะได้เจอมึงที่นี่...”


“...”


“...แต่ก็ดีใจนะที่เจอกัน” มันตบบ่าผมแปะ ๆ ก่อนเดินสวนจากไป


...คิดหาคำตอบให้ได้...คิดเยอะ ๆ…


เหรอวะ?


ผมว่าประโยคพวกนี้มันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินใครพูดด้วยมาก่อน




ผมสูบบุหรี่ต่อจนหมดมวน แวะล้างหน้าล้างตาอีกครั้งก่อนกลับไปที่โต๊ะเพื่อพบว่าใครบางคนนั่งรอผมอยู่ข้างไอ้กอล์ฟ ขณะที่พวกพี่สัมยังไม่กลับมาที่โต๊ะเลยสักคนเดียว


ผมเดินเข้าไปใกล้ ไม่ได้มองสบตาเชี่ยโอมเลยสักนิด กลัวตัวเองจะเผลอพุ่งเข้าไปต่อยแม่งสักหมัดสองหมัดโชว์คนทั้งร้าน


“ไปไหนมาตั้งนาน” โอมอินพูดเสียงอ่อนทันทีที่ผมนั่งลงข้างมัน ใจจริงอยากจะไปนั่งข้างกอล์ฟมากกว่า แต่เพื่อนผมเสือกนั่งติดริมไม่มีที่ว่างสำหรับผมเลยสักนิด


ผมหันไปมองคนพูด จงใจมองเลยไปสบตาเพื่อนสนิท รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคงบอกให้โอมนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ไม่อย่างนั้นคนอย่างมันคงเดินหาผมไปทั่วร้าน และเราคงเจอกันที่ใดที่หนึ่ง...อย่างเช่นตอนที่ผมกำลังถูกสาวคลอเคลียด้วย เป็นต้น


“ห้องน้ำ” ผมตอบส่ง ๆ จัดการชงเหล้าให้ตัวเองด้วยแก้วใบใหม่เพราะใบเก่าถูกคนข้าง ๆ ยึดไปแล้ว


“กลิ่นบุหรี่” ไอ้ตัวดีมันทำจมูกฟึดฟัดข้างซอกคอผมอย่างกับหมาก่อนจะผละออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวกว่าเดิม “กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง”


“ตามประสาคนฮอต” ผมพูดหน้านิ่ง ดื่มเหล้าที่เพิ่งชงเสร็จอย่างสบายอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่ร้อนตามคนข้าง ๆ


“ไอ้ศร!” โอมอินขึ้นเสียง คิดอยู่เหมือนกันว่าคนอย่างมันจะนิ่งได้นานแค่ไหน เพียงแต่คิดว่ามันจะเดือดตั้งแต่ที่เจอหน้าเลยเสียมากกว่า ไม่คิดว่าจะเปิดบทสนทนาด้วยเสียงอ่อนแบบนั้น


“กลับห้อง”


“ห้องใคร” ผมลอยหน้าลอยตาถาม ไอ้โอมเงียบไปไปสองอึดใจก่อนจะตอบออกมา


“ห้องมึง”





ห้องมึง!


เหอะ! ‘ห้องมึง’ งั้นเหรอ ตอนนี้ไม่มีห้องของเราแล้วสินะ มีแต่ห้องมึงห้องกูอย่างนั้นเหรอวะ!?


อยากจะกวนโมโหแม่งอีกสักนิดด้วยการรั้นจะกลับกับกอล์ฟแต่เพราะสงสารเพื่อนที่อาจต้องรองรับอารมณ์ราวกับหมาบ้าของไอ้โอม ผมจึงจำต้องบอกลาเพื่อนเสียก่อน


“กลับแล้วเหรอวะ” ผมเจอไอ้ท็อปที่ลานจอดรถ มันยืนพิงสะโพกกับบิ้กไบต์สีดำคันงาม...พร้อมบุหรี่ในมือ


มันส่งยิ้มมุมปากมาให้ก่อนจงใจสูบบุหรี่มวนนั้นต่อหน้าผม ไอ้โอมที่เดินตามมาตั้งใจจะร้องท้วงคงเพราะว่าพอจะจำอีกฝ่ายได้แต่ผมพูดขัดขึ้นเสียก่อน


“ซื้อซองใหม่เร็วเนอะ” ผมประชด


ท็อปหัวเราะลั่นหลังปล่อยควันสีหม่นพวยพุ่งจากปาก “ซองเก่า เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเหลืออีกหลายมวนในกระเป๋า” กล้าตอบความจริงออกมาไม่พอ มันยังตบกระเป๋ากางเกงให้ผมเจ็บใจเล่นอีกด้วยเมื่อรู้ว่า ‘กระเป๋า’ ที่ว่า ไม่ได้อยู่ไกลจากตัวมันเลยสักนิด


“มึงรู้จักมัน?” ไอ้โอมแทรกขึ้นมา ผมไหวไหล่ไม่สนใจทั้งคำถามของมันและคนที่ถูกพาดพิง เตรียมจะก้าวขาหมายจะเดินต่อแต่กลับถูกไอ้เด็กเกษตรฯ เรียกรั้งไว้อีกครั้ง


“อย่าลืมเอาบุหรี่มาคืนกูด้วย”


“ครึ่งมวนอ่ะนะ”


“เออ”


“ได้ กูจะซื้อไปคืนให้หนึ่งซองเลย”


ท็อปยิ้มกวน “ดี ไปคืนกูที่คณะ จำชื่อกูได้ใช่ไหม”


“กูไม่ลืมชื่อผู้มีพระคุณหรอก” ผมกระแทกเสียงใส่ให้รู้ว่าการที่มันยกบุหรี่ครึ่งมวนนั้นให้เป็นบุญคุณล้นหัวผมแค่ไหน










เรานั่งเงียบกันมาพักใหญ่แล้ว ต่างคนต่างจดจ้องจอมืดดับของโทรทัศน์ตรงหน้าราวกับว่ามันน่าสนใจกว่าใบหน้าของคนข้าง ๆ ไม่มีใครคิดจะขยับตัวไปไหน ไม่มีใครพูดหรือส่งเสียงอะไรออกมาสักอย่าง เผลอคิดเล่น ๆ ว่าใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน แต่คิดว่าคงไม่ใช่ผม เพราะถ้ามันไม่ยอมพูดออกมา ผมว่าผมคงจะหลับได้ในไม่ช้า


โชคดีที่ผมไม่ต้องนั่งหลับตรงนี้


“คิดถึงกูบ้างไหม”


“...” ...คิดถึงสิวะ


“กูไม่ได้นอนด้วย มึงนอนหลับรึเปล่า”


“...”...ถ้าเป็นภาวะปกติผมคงนอนไม่หลับ ฝันร้ายคงตามหลอกหลอนจนไม่อาจหลับตาลงได้อย่างง่ายดาย แต่เพราะช่วงที่ผ่านมาแทบไม่ได้นอน ผมอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำทั้งที่ยังมีเวลาให้อ่านอีกเหลือเฟือ


“ไม่มีกูในชีวิต มึงมีความสุขไหม”


“...” ...นอกจากไม่มีความสุขแล้วมันยังรวนไปหมดเลยไอ้สัด


“ช่วงที่ไม่มีกู...มึงเกินเลยกับผู้หญิงคนไหนบ้างรึเปล่า”


“ไอ้สัด!” ผมหลุดด่ามันออกไป “มึงไม่เคยเชื่อใจกู”


“มึงก็ช่วยทำอะไรให้กูเชื่อใจหน่อยสิวะ ไม่ใช่ยังยอมให้ผู้หญิงพวกนั้นเข้าใกล้ ถามจริง ๆ เถอะ ที่ผับเมื่อกี๊ นัวเนียกันถึงขั้นไหนถึงติดกลิ่นเธอมา”


ผมหันมองตาขวาง เราต่างนิ่งเงียบ มันกำลังรอคำตอบจากผม และผมเองไม่ควรปล่อยให้มันรอเก้อ


ผมขยับเปลี่ยนท่าทางไปนั่งคล่อมบนตักมันอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกแขนคล้องคอและเบียดตัวเข้าแนบชิดอีกฝ่าย ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใบหน้าใกล้กันมากแต่เพราะว่าส่วนสูงที่ใกล้เคียงกัน เราถึงได้หายใจรดกันอยู่อย่างนี้ “ท่านี้”


“เชี่ยศร!!” โอมอินเบิกตากว้าง


“ก็มึงอยากรู้” อาจจะแตกต่างตรงที่ของจริงเป็นท่ายืนไม่ได้นั่ง


“ละ แล้วยังไงต่อ” อีกฝ่ายถามเสียงสั่น


ผมมองลึกเข้าไปในตาคู่คมของมัน ในนั้นทั้งสั่นไหวและหวั่นกลัว จ้องมองอยู่นานทีเดียวกว่าจะพาตัวเองลงจากตักของมัน “กูแค่บอกให้เธอปล่อย แล้วเธอก็ยอมปล่อย”


ผมผละออกมาแล้วก็เดินออกจากตรงนั้นหมายจะเข้าห้องนอน ไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่ผมทำ


“เดี๋ยว…”


ผมหยุดเดินรอฟังแต่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง


“ยังอยากมีกันอยู่ไหม”


“...”


“...”


“ถามตัวมึงเองก่อนเถอะ”


เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่มีทางพูดออกไปหรอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมไม่อยากเสียไป


ไม่มีวันบอกให้รู้แน่















พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 10
---------------------------------------------------
ครั้งหน้าหมอนัดโอมอินมาตามอาการนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-05-2018 19:37:21
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 09-05-2018 20:43:00
โอ๊ยยยย เครียดแทนโอมอินจริงๆ ศรแม่มไม่พูดไม่บอกไม่เล่าไรสักอย่าง อินไม่ใช่ผู้วิเศษนะจะได้รู้ความคิดคนอื่น อ่านแล้วอยากเข้าไป :z6: ศรสักป้าบ  :m31: :m16: :fire:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 10-05-2018 16:00:43
ปวดใจ
อ่านพาร์ทของศรแต่ทำไมเหมือนไม่รู้จักศรเพิ่มขึ้นเลยนะ สงสารโอมอิน  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 10-05-2018 16:57:02
สามวันดีสี่วันทะเลาะ โถ่ศร พูดเถอะ ถ้าไม่พูดโอมจะรู้ได้ไงว่าคิดยังไง
เราเข้าใจว่สศรไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น แต่โอมเป็นห่วงนะ แล้วโอมก็รักมากด้วย เชื่อใจโอมเถอพ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 11-05-2018 00:01:03
 :mew1:  นึกว่าตาฝาด​ พอจะอ่านต่อเกือบลืมเนื้อเรื่องตอนแรกๆ​ ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าอีกรอบ55555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 11-05-2018 20:36:11
ขอบค่ะ ติดตามจ้า  :mew2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 9 P.4 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-05-2018 04:11:40
ศรควรบอกโอมอ่ะ ถ้าเราเป็นโอมเราก็น้อยใจเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 10 P.4 [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 16-05-2018 21:04:47
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」



Follow up ครั้งที่ 10

---OMIN---









ผมคิดเสมอว่าระหว่างผมกับศร เราเป็นคู่ชีวิตให้กันและกันได้


ผมหมายถึงใครสักคนที่เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ทุกเรื่อง


...แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดไปเองคนเดียว


ผมรู้ดีเสมอว่าเรายังไม่รู้จักกันดีพอแม้ในวันที่เราตกลงคบกันแล้วก็ตาม กำแพงบางอย่างของผู้ชายที่ชื่อธรรมศรสูงจนผมมองไม่เห็นยอด แต่ก็คิดมาตลอดว่าความรักความจริงใจที่มีให้จะพาผมข้ามมันไปได้ในสักวันหนึ่ง และคิดว่าเวลานั้นมาถึงแล้ว


แต่ผมคิดผิด...ความจริงแล้วผมยังมองไม่เห็นยอดของกำแพงนั้นเลยด้วยซ้ำ


ทั้งที่อยากถามเรื่องที่ยังค้างคาใจจะขาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมยังไม่มีสิทธิที่จะได้รับรู้


ผมใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์กว่าจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้แล้วกลับมาโทษตัวเองว่าที่ทะเลาะกันทุกวันนี้เพราะผมเป็นห่วงมันมากเกินไป หลายวันที่ไม่เจอกัน ไม่ได้นอนกอด ไม่มีแม้แต่การพูดคุยหรือส่งข้อความมันทำให้ผมกระวนกระวายจนแทบบ้า ไอ้ความคิดที่ว่าอยากหายไปเพื่อวัดใจธรรมศรกลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเองเมื่อพบว่ามันไม่ได้สนใจใยดีอะไรผมเลยสักนิด จิตใจที่ฟุ้งซ่านคงเล่นงานจนผมไม่เป็นผู้เป็นคนได้หากไม่ได้งานล้นมือที่มักมาช่วงก่อนสอบช่วยเอาไว้ ผมเร่งเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็วจนแทบไม่ได้หลับได้นอน ส่วนสำคัญเลยเพราะไม่อยากนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์รอคอยให้มันติดต่อมาหรือปล่อยให้สมองโล่งจนเอาแต่คิดถึงไอ้คนเย็นชานั่น แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังคิดเรื่องมันจนได้


ไม่มีผมอยู่ด้วย มันจะได้กินข้าวเช้าบ้างไหม


ไม่มีผมอยู่ด้วย มันจะนั่งดูหนังเพลินจนลืมมื้อเย็นรึเปล่า


ไม่มีผมนอนด้วย มันจะนอนหลับไหม


และอีกสารพัดความกังวลเกี่ยวกับมันที่ทำให้ผมอดรนทนไม่ไหวจนต้องแอบไปหามันตอนดึกทั้งที่เพิ่งหายหัวไปจากชีวิตมันได้แค่สองวันเท่านั้น ผมตั้งใจจะย่องเข้าไปดูว่ามันหลับสนิทดีไหมแต่กลายเป็นว่าแค่เห็นแสงสีขาวลอดช่องประตูออกมาผมก็ไม่กล้าเยี่ยมหน้าเข้าไป กลัวจะปั้นหน้าไม่ถูกหากต้องเผชิญหน้ากันจริง ๆ


เจ็ดวันเป็นจำนวนที่มากเกินพอแล้วสำหรับการห่างกับคนรัก ในวันที่ผมคิดหาวิธีกลับไปหาแบบที่กระอักกระอ่วนใจน้อยที่สุดจนหัวแทบแตกแต่กลับพบว่าอีกฝ่ายออกไปเริงร่าอยู่กับกลุ่มของพี่สัมตามคำบอกเล่าของรุ่นน้องในคณะ ยิ่งโทร.ไปแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับสายผมก็ยิ่งร้อนใจ ผมรีบออกไปหามันถึงที่ เมื่อพบว่ามีเพียงไอ้กอล์ฟที่นั่งอยู่โดยไม่มีธรรมศร ผมก็ยิ่งอยู่นิ่งไม่ไหว อยากจะออกตามหาไปให้ทั่วร้านแต่กลับถูกเพื่อนของมันรั้งเอาไว้ให้นั่งอยู่ด้วยกัน


เท่าที่จำได้เพื่อนไอ้ศรคนนี้คุยกับผมน้อยครั้ง เอาเข้าจริง ๆ แล้วเจอกันก็น้อยมาก เราอาจจะคุยกันแค่ตอนที่ศรแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับบอกให้ผมไปนั่งรอที่โซฟาแทนการตามหาศรอย่างที่ตั้งใจ


‘เพื่อนกูมันเปราะบางกว่าที่มึงคิด ความคิดมันก็ซับซ้อน ถ้าอยากเข้าใจมัน มึงต้องรอ’ ไอ้กอล์ฟว่าพลางชงเหล้าให้ผมไปด้วย ‘อะ แก้วไอ้ศร แดกได้มันไม่ว่าหรอก’


‘อยู่ข้าง ๆ ทำให้มันเห็นว่ามึงรักมันจริง ๆ อีกไม่นานมันก็จะเปิดใจเล่าทุกอย่างให้มึงฟังเอง เชื่อกู’


‘คบมันมาหลายเดือนแล้วมึงก็น่าจะรู้ว่ามันแสดงออกไม่เก่ง ยิ่งให้มันพูดเพื่อรั้งมึงไว้ยิ่งไม่มีทาง...ถ้ามึงไปแล้วไม่กลับมาเอง มันก็จะปล่อยให้มึงจากไปตลอดกาล...จำเอาไว้’



เพราะอย่างนั้นผมจึงต้องใจเย็นในตอนที่เจอหน้ามัน พยายามไม่ขุ่นเคืองกับการปรากฏตัวของมันในสถานที่แบบนั้น แต่สุดท้ายก็คุมตัวเองไม่อยู่เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดตัวมันมา


ทั้งที่ไม่เจอกันหลายวันและตั้งใจจะกลับมาหากันด้วยความคิดถึงทั้งหมดที่มีแต่สุดท้ายเราต่างพกพาความไม่สบายใจกลับเข้าห้องมาด้วยกัน


การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งดูเหมือนจะพังไม่เป็นท่า


ตอนนี้ผมยังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คำบอกเล่าของกอล์ฟยังวนเวียนอยู่ในหัว ศรคงหลับไปแล้ว มีแต่ผมที่ยังนั่งทบทวนตัวเองอยู่ที่เดิม สี่เดือนที่ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าใช้ชีวิตด้วยกันมาผ่านไปไวทว่าไร้คุณภาพ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมรู้จักธรรมศรแค่ไหนก็ยังรู้จักแค่นั้น จนตอนนี้ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเราไม่ใช่คนรักกันแต่อาจเป็นแค่ ‘เพื่อนนอน’ ที่มีเพียงเซ็กซ์เท่านั้นที่ยึดสัมพันธ์เราไว้อยู่


ผมตัดสินใจทำใจแล้วเลือกจะใช้ชีวิตกับมันไปในแต่ละวันอย่างคนที่รู้เท่าที่ธรรมศรอยากให้รู้ เพียงแต่ยังหวังว่าวันหนึ่งไอ้คุณชายจะยอมเปิดปากเล่าอะไรออกมาบ้างอย่างที่กอล์ฟว่าไว้




ชีวิตคู่ของเราเริ่มเข้าสู่ความปกติได้เพียงแค่ลืมตาตื่นในเช้าวันถัดมา ผมยอมทิ้งทุกความขุ่นข้องหมองใจ ลืมทุกความสงสัยที่มีเมื่อวานแล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยการตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้มันอย่างเคย


ก่อนสอบไฟนอลหนึ่งสัปดาห์ผมชวนไอ้เต๋าเอาบุหรี่ไปคืนไอ้เด็กเกษตรฯ คนนั้น ถึงมันจะบอกให้ธรรมศรเป็นคนเอาไปคืนแต่ผมไม่ยอม ไม่ทันได้เถียงอะไรให้มากความไอ้ศรก็ตอบรับน้ำใจที่ผมจะเป็นฝ่ายเอาไปคืนเสียเอง


ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้เหี้ยนั่นชื่ออะไร ผมไม่ได้ถามไอ้ศรมา ผมรู้แต่เพียงว่าคนที่ขี่บิ๊กไบค์สีดำคงมีแค่ไม่กี่คนในคณะนี้ ซึ่งบางทีอาจจะมีแค่คนเดียวด้วยซ้ำ


แล้วก็จริงตามคาด


เพียงแค่ถามใครสักคนในคณะเกษตรฯ แล้วฝากไปบอกมันว่ามีคนเอาบุหรี่มาคืน ไอ้ตัวการมันก็มายืนหอบแดกตรงหน้าผมในเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างไม่คิดปิดบัง


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสัญชาตญาณของผมทำงานได้ดีเสมอ


เหี้ยนี่มันอยากเจอแฟนผม


“กูเอาบุหรี่ของไอ้ศรมาคืน”


มันไม่แม้แต่จะปรายตามองซองบุหรี่ในมือผมที่ยื่นไปให้ เอาแต่มองหน้าผมอย่างพิจารณา “เป็นอะไรกันถึงเอามาคืนแทนกัน”


“เสือก”


“เป็นแฟนมันเหรอมึงอ่ะ”


“...”


“งั้นก็ไม่ใช่”


“เออ แฟนกู แล้วก็อย่าลีลา รับ ๆ ไปซะ” ถ้าไม่ใช่เพราะอยากประกาศความเป็นเจ้าของให้แม่งรู้ คนอย่างผมไม่มีทางตัดรำคาญด้วยการตอบคำถามของมันแน่


ไอ้เหี้ยนั่นยิ้มมุมปาก ดูมันไม่ตกใจเลยสักนิดที่ผู้ชายท่าทางแบบไอ้ศรมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน



มันปรายตามองซองบุหรี่ในมือผมแต่ก็ยังไม่ยอมรับไป “กูไม่สูบยี่ห้อนี้…”


ผมเข้าใจว่าเรื่องบุหรี่เป็นอีกหนึ่งรสนิยมเฉพาะบุคคล แต่ยี่ห้อที่ผมซื้อมาก็นับว่าเป็นที่นิยมในคนวัยผมอยู่พอสมควร


“...กูจะเอายี่ห้อเดียวกับที่แฟนมึงสูบต่อจากปากกู


“ไอ้เหี้ย!!”


“ใจเย็นไอ้โอม” ผมได้เอาเลือดออกจากปากที่แสนบังอาจนั่นแน่ถ้าไอ้เต๋าไม่ดึงตัวห้ามไว้ก่อน เหี้ยนี่แม่งโคตรหยามกู มันคิดไม่ซื่อกับไอ้ศรแน่ ๆ ถึงได้เน้นเสียงที่สี่คำท้ายประโยคแบบนั้น


“อย่าเรื่องมากไอ้สัด” ไอ้เต๋าว่า


มันไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน “กูจะรับคืนแค่ยี่ห้อนั้นเท่านั้น มันจะมาคืนเองหรือมึงจะมากูไม่สน”


“มันจะเล่นกับกู” ผมกัดฟันกรอดพูดด้วยความเคียดแค้นหลังจากที่มันเดินจากไปทันทีเมื่อพูดจบ ซองบุหรี่ในมือถูกบีบแน่นจนบู้บี้ด้วยแรงโทสะที่เพิ่งถูกยั่วยุ สาบานได้เลยว่าถ้ามันคิดไม่ซื่อเข้ามายุ่งกับไอ้ศรมากกว่านี้ มันไม่ตายดีแน่!





ผมพกพาความหงุดหงิดงุ่นง่านกลับไปจนถึงห้อง ธรรมศรกำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะของมันอย่างคร่ำเคร่ง ท่าทางตั้งใจมีสมาธิจนผมไม่กล้าที่จะขัด แต่มันคงรับรู้ถึงอารมณ์คุกรุ่นของผม มันถึงได้ถามขึ้นก่อนที่ผมจะเดินออกไป


“เป็นอะไรของมึง”


ผมถอนหายใจก่อนบอกปัด “มึงอ่านหนังสือไปเถอะ เย็นนี้สั่งอาหารเอาแล้วกัน กูขี้เกียจทำกับข้าว”


ผมได้ยินไอ้ศรวางชีทปึกหนาลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนถอนหายใจตาม “มีอะไรก็พูดมา กูกำลังรอฟังมึงอยู่นะ”


ผมหันกลับไปมองหน้ามันนิ่ง รู้ว่าไม่ควรเอาอารมณ์หงุดหงิดมาลงกับมันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นข้องเพราะถ้าว่ากันตามตรงแล้วสาเหตุของเรื่องนี้ก็มาจากมันทั้งสิ้น


“อะไร” ไอ้ศรถามทันทีที่ผมโยนซองบุหรี่ที่ยับยู่ยี่ลงบนกองชีทเรียนของมัน


“ถ้าไม่ใช่ยี่ห้อเดิมมันไม่รับคืน”


“สัด เรื่องมาก” ไอ้ศรพึมพำเหมือนบ่นอีกฝ่ายมากกว่าจะด่าจริงจัง นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่เราไม่อยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกมันไปถึงขั้นไหน สนิทฉันมิตรหรือยังเป็นศัตรูกันอยู่


“มึงไปแย่งมันสูบยี่ห้ออะไร”


“ใครจะไปรู้วะ แม่งมืด ไม่มีซองด้วย”


“แล้วทำไมต้องสูบมวนเดียวกัน”


ไอ้คุณชายจี๊ปากขัดใจ “อย่าพาลนะไอ้โอม ก็แค่บุหรี่ กูไม่อยากทะเลาะกับมึงด้วยเรื่องไร้สาระแค่นี้”


ผมก็ไม่อยาก เพราะฉะนั้นผมจึงต้องยอมลบประเด็นนี้ออกจากหัวไป “พรุ่งนี้ซื้อใหม่แล้วเอาไปคืนมันพร้อมกู”


“โอม” ผมถูกเรียกรั้งเอาไว้อีกครั้ง “มานี่มา”


ผมเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยจนมันต้องเร่งอีกครั้งด้วยเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย


ศรกระชากคอเสื้อให้ผมก้มลงไปรับจูบที่กล้าพูดได้เลยว่าหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้จากมันมาเลย มันจูบอย่างละเมียดละไมจนผมเคลิ้มแทบบ้า แม้ในยามผละออกก็ยังให้ความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก...หวานเหมือนถูกรัก “อย่าคิดมากเรื่องกูกับมัน ไม่มีใครพิเศษกับกูเท่ามึงหรอก







บ่ายวันรุ่งขึ้นหลังจากไอ้ศรเลิกเรียนมันมารอผมที่หน้าสตูดิโอของคณะเพื่อไปคณะเกษตรฯ ด้วยกัน ไอ้เหี้ยนั่นหาตัวไม่ยาก ไม่ใช่เพราะถามหาเพียงไม่นานมันก็โผล่มา แต่เพราะเสียงฮือฮาของสาว ๆ ที่มีต่อการปรากฏตัวของธรรมศรแห่งวิศวกรรมต่างหากที่เป็นพลังขับเคลื่อนพาไอ้เหี้ยนั่นออกมา


ไอ้คุณชายยืนเก้อเขินท่ามกลางเสียงกรี๊ดดังระงมไปทั่วใต้ตึกคณะ ถ้าให้เดา สาว ๆ คณะนี้คงขาดแคลนหนุ่มหล่อขาวคุณชายสไตล์มัน พวกเธอถึงได้แสดงออกกันอย่างปิดไม่มิดแบบนี้ คนหวงแฟนอย่างผมจึงต้องเขยิบตัวเองไปยืนบังมันไว้พร้อมตีหน้าบึ้งให้รู้กันไปเลยว่าถ้าไม่เกรงว่าตนไม่ใช่เจ้าถิ่นก็คงจะตวาดออกไปแล้วว่าห้ามมอง


“ดังจริง ๆ เลยนะมึง” เจ้าถิ่นที่แท้จริงเดินเข้ามาทักยิ้ม ๆ


“รับไปอย่าเรื่องมาก กูไม่รู้ยี่ห้อหรอกนะ ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องเอา”


เหี้ยนั่นยอมรับไปแต่โดยดีก่อนเบนสายตามามองผมแวบหนึ่ง


“ถึงกับตามมาคุม ถามจริงเถอะ มึงเป็นผัวหรือเมียมันวะถึงได้โดนตามขนาดนี้”


ไอ้ศรไม่ชอบให้ใครถามเรื่องแบบนี้ ถึงจะเป็นคนสนิทกันอยู่แล้วก็ตาม เวลาโดนถาม มันมักจะเลือดขึ้นหน้าและกำหมัดแน่นแบบนี้เสมอ ซึ่งผมเองก็เคยคิดว่าเป็นเพราะมันไม่ยอมรับในความสัมพันธ์ของเรารึเปล่า เพราะมันคงอายที่ต้องกลายมาอยู่ในสถานะเมีย


“เสือก!”


“อะไรวะ ถามดี ๆ” ท่าทางไม่สลด มิหนำซ้ำยังปั้นหน้ายิ้มอยู่ตลอดทำให้ผมหมั่นไส้จนอยากจะถีบยอดหน้าแม่งสักครั้ง และไอ้ศรเองก็คงรู้ มันถึงได้พาตัวเองมายืนขวางผมไว้


“ไม่ใช่เรื่องของมึง อย่าเสือก”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราคงได้เจอกันอีกเรื่อย ๆ ถึงตอนนั้นมึงค่อยบอกก็ได้”


“พล่ามอะไรของมึง” ผมพูดโพล่งออกไป


“หึ มึงกลับไปได้แล้ว อย่ายืนให้เด็กคณะกูมองนาน สารภาพเลยว่ากูไม่ชอบที่มึงฮอตแบบนี้เลยว่ะ”


“เพราะกูฮอตกว่ามึงน่ะสิ”


“ศร กลับ!” ไม่พูดเปล่า ผมดึงแขนให้มันเดินตามมาด้วยโดยไม่จำเป็นต้องบอกลาอะไรเหี้ยนั่นเลยสักนิด จะให้ผมทนดูพวกมันเย้าหยอกกันได้อย่างไร คนของผมอาจจะไม่ทันรู้ตัว แต่อีกฝ่ายหนึ่งคิดแน่ ๆ ถ้อยความที่แปลเป็นได้คำสั้น ๆ ว่า ‘หวง’ คนของผมนั่นชักจะหยามผมมากเกินไปจนอยากจะอัดมันให้ตายเสียตรงนั้น







“เป็นอะไรวะโอม” ศรถามเมื่อผมขับรถพามันออกจากคณะบ้านั่นมาได้สักพักแล้ว แต่คงเพราะอารมณ์ผมยังคุกรุ่นอยู่มันเลยถามด้วยความสงสัย


“เปล่า”


“มีอะไรก็บอก อยากรู้อะไรก็ถาม กูอ่่านใจคนไม่เป็นหรอกนะ”


เรื่องที่สงสัยที่อยากรู้มีเยอะ เรื่องระหว่างมันกับไอ้เหี้ยนั่นผมไม่อยากพูดถึงให้กลายเป็นชี้โพรงให้กระรอกสักเท่าไหร่ แต่ยังมีีอีกหนึ่งประเด็นที่ผมยังไม่เคยถามมันอย่าจริง ๆ จัง ๆ สักที


“มึง...อยากเป็นผัวกูบ้างไหม”


“ไอ้ฉิบหาย! พูดบ้าอะไรวะ”


“กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าระหว่างเราใครอยู่ตำแหน่งไหน เพราะคนแบบมึงก็คงไม่ชอบใจนักที่ต้องตกอยู่ในสถานะ...เมีย”


“กูไม่อยากให้ใครรู้ก็จริง แต่กูเคยบอกหรือทำให้มึงรู้สึกเหรอว่ากูอยากเป็นฝ่ายกดมึงบ้าง”


ผมส่ายหน้า “แค่คิดว่ามึงอาจจะอยาก…”


“ใช่! มึงคิดถูก”


ผมตาโต ตกใจจนเผลอหักพวงมาลัยเบี่ยงเข้าจอดข้างทางโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว แต่ผมไม่สนใจแล้วว่าใครจะด่าพ่อล้อแม่ตามหลัง ตอนนี้คนที่นั่งข้าง ๆ ผมสำคัญที่สุด


“ถ้ากูอยากกดมึง มึงจะยอมไหมละวะ”


ผมเงียบ คำตอบน่ะมีอยู่แล้วคือไม่มีทาง


“ไม่มีทางใช่ไหมล่ะ....”


“ศร...”


“...ต่อให้มึงยอม กูก็คงไม่ทํา”


“ทําไม..”


“โอม สําหรับมึง กูอยู่ในฐานะ ‘เมีย’ ถ้ากูรุก ระหว่างเราจะมีจุดยืนยังไงวะ ผัว ๆ เมีย ๆ ความรู้สึกมันคงเปราะบาง ระยะยาวตัณหาอาจทำให้เกิดการนอกใจ ถ้าเราสัมผัสกันคละคลุ้งไร้ระบบแบบแผน ไม่นานต้องมีการนอกใจเกิดขึ้นแน่ คําว่ารักคำว่าหนักแน่นจะค่อย ๆ เสื่อมคลายไปในที่สุด...มึงชอบรุก พอโดนกูรุกกลับมีเหรอที่จะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ที่ยอมกูเพราะมึง ‘รัก’ ความรักอย่างเดียวผูกใจไว้ไม่ได้หรอกนะ คนรักกันเลิกกันมีถมเถ วันหนึ่งพอเจอฝ่ายรับสวมบทบาทอ้อนให้มึงได้รุกอย่างเต็มภาคภูมิ ตีเนียนเข้ามาพัวพัน สักวันมึงคงเผลอใจให้เขา...และวันนั้นมึงก็จะทิ้งกูไป” ศรร่ายยาวเหมือนทุกอย่างระเบิดออกมาจากความคิดทั้งหมดของมันก่อนจะเสียงแผ่วตอนประโยคสุดท้าย


“....”


“กูไม่เคยเชื่อมั่นและศรัทธาเรื่องความรัก แต่กูคิดว่าความรักที่มาพร้อมความเสียสละ ให้เกียรติเกรงใจ ทั้งหมดจะสร้างกําแพงหนาต้านทานสิ่งยั่วยุไม่ให้ผ่านเข้าถึงเนื้อในได้”


“...”


“มึงเข้าใจกูใช่ไหม”


น่ารักอีกแล้วเมียกู


“แล้วมึงมีความสุขเหรอที่ถูกกูกด” ผมหยั่งเชิง พยายามเต็มที่ไม่ให้ยิ้มออกมาเพราะกลัวมันจะคิดเอาได้ว่าถูกล้อ


“ไอ้เหี้ย! มีหรือไม่มีมึงดูไม่ออกรึไงวะ” ไอ้ศรว่าเสียงดังกลบหน้าแดง ๆ ของมัน


“บางอย่างก็ต้องมีคำพูดมายืนยัน”


“ถ้าไม่มีความสุขจะยอมให้กดบ่อย ๆ รึไงวะ” ไอ้คนปากแข็งหน้าแดงหูแดงไปหมด น่าเอ็นดูจนต้องจูบให้รางวัลเสียหน่อยแล้ว



กูเข้าใจแล้วศร เข้าใจแล้วว่าที่มึงยอมอยู่ในฐานะเมียของกูทั้งที่เป็นผัวคนอื่นมาตลอดเพราะมึงรักกู













พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 11
---------------------------------------------------------------
มาไม่ช้าไม่เร็วไป กำลังดีเนอะ
3 วันดี 4 วันทะเลาะ เลิกกันไปเล้ยยยยยยย
ฮ่าๆๆๆ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 10 P.4 [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 17-05-2018 18:22:02
ความคิดศรซับซ้อนจริงอ่ะแหละ ขนาดตอนอ่านพาร์ทศรยังไม่ค่อยเข้าใจศรเลย
แต่อย่าเลิกกันน้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 10 P.4 [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-05-2018 21:37:17
จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 10 P.4 [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 18-05-2018 06:54:37
อย่าทะเลาะกันอีก แม่ยกเจ็บช้ำหัวจัยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 10 P.4 [16/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 18-05-2018 17:20:30
ชอบๆๆๆ ชอบนิยายที่ไม่รู้จะเข้าข้างใครแบบนี้ค่ะ5555555 เทาไปหมด รอนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 27-05-2018 19:36:44
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 11

---OMIN---







ฤดูกาลสอบไฟนอลของผมจบลงในครึ่งเช้าของวันกลางสัปดาห์ แทนที่จะได้พักกายพักใจแต่กลับต้องลุยงานละครเวทีกันต่อในตอนบ่ายนั่นก็คือการแคสติ้งนักแสดงละครเวที คนรับผิดชอบหลักเรื่องภาพอย่างผมจึงจำต้องอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ


มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าพวกแม่งไม่อยากได้ธรรมศรมารับบทตัวเอกของเรื่องแล้วให้ผมไปรบเร้าชวนมันมาเล่นให้ได้


“ทำไมต้องเป็นมันวะ” ผมย้อนถาม


“มึงโง่หรือมึงโง่คะเพื่อน บทเจคหล่อขนาดนี้ เท่ขนาดนี้ จะมีใครในมหา’ลัยนี้เหมาะสมเท่าศรอีกไหม” จี๊ดที่เป็นหัวหน้าฝ่ายแคสติ้งอธิบาย


ผมหน้างอ คนหวงแฟนอย่างผมมีหรือจะยิ้มระรื่นที่แฟนจะกลายเป็นจุดสนใจขนาดนั้น “มันไม่ว่างหรอก ช่วงปิดเทอมก็ต้องฝึกงาน ไหนจะ....”


“นี่ไม่ใช่เวลาหวง นี่เวลางานค่ะเพื่อน”


“เออ ๆ ไว้จะลองชวนดูละกัน”


“เดี๋ยวนี้!!”


ผมตั้งท่าจะแย้งแต่โดนยัยจี๊ดแทรกขึ้นมาก่อน “พวกถาปัดจะทำละครเวที ถึงจะเล่นคนละช่วงกับเราแต่จะประมาทไม่ได้ พวกนั้นอาจมาแย่งคนที่เราต้องการไป”


ผมกลอกตาไปมา เหนื่อยแทนจริตอินเนอร์ของเพื่อนสาวแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับงานมอบหมายชิ้นสำคัญนี้อีก


“ไป!!” ผมโดนออกคำสั่งเด็ดขาดก่อนได้ทันแย้งอะไรขึ้นมาเสียอีก





เพราะห้องชมรมไม่มีแอร์ ประตูที่เปิดออกเพื่อระบายอากาศยามบ่ายแก่จึงทำให้ผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาถึงข้างนอกตรงทางเดิน เพียงแต่ไม่คิดว่าภาพที่เห็นจะทำให้ผมต้องหงุดหงิดใจ


ปัง!


“โทษที กะน้ำหนักมือพลาด” ผมพูดขอโทษเสียงแข็งหลังจงใจทุบกำปั้นใส่ประตูไม้แทนการเคาะเพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดลง


ไอ้ศรที่นั่งบนเก้าอี้กลมหัวล้านตรงกลางห้องช้อนตามองผมพร้อมกับไอ้เด็กรุ่นน้องผู้ชายที่ยืนเกาะหลังมันเหมือนหาที่กำบังก่อนที่หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงจะหันหน้ามามองผมตามสายตาของสองคนนั้น


“ไหนบอกว่ามีงานแคสต์นักแสดงไง”


“ก็มี แต่มีธุระที่นี่ แล้วนี่เล่นอะไรกัน”


น้องผู้หญิงหลีกทางให้ผมเดินเข้าไปหาศร ผิดกับน้องผู้ชายที่ยังยืนเกาะไหล่มันอยู่เพียงแต่ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วจ้องผมตาโต


“เด็กมันเล่นกัน มึงมีธุระอะไร”


ผมตวัดตามองเด็กคนนั้น เห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะผละออกจากคนของผม ผมจึงต้องเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ออกไป”


“ห๊ะ ครับ!?”


นอกจากจะไม่รีบออกห่างไอ้ศรแล้ว เด็กนั่นยังทำหน้าเหรอหราใส่ผมอีกด้วยจนน้องผู้หญิงที่เป็นคู่เล่นด้วยต้องสะกิดบอกแล้วดึงตัวออกไปเสียเอง


“อย่าแดกหัวเด็กชมรมกูนะเว้ยไอ้โอม...ไอ้เหี้ยศรก็ไม่ช่วยน้องเลยนะมึง” ไอ้หนึ่งว่าติดตลก ผมเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าในห้องยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ไอ้หนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลกันนักและยังมีอีกสี่คนที่ผมไม่รู้จักนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่บนพื้น


“แล้วธุระของมึงคืออะไร”


ผมหันมองคนอื่นในห้องชมรม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจฟังจึงพูดออกไป “เพื่อนกูอยากให้มึงเล่นละครเวทีให้หน่อย”


“...”


“เอ่อ...กูบอกพวกนั้นแล้วนะว่ามึงยุ่ง ช่วงปิดเทอมก็ฝึกงาน ไม่ว่างมาเวิร์คชอปหรือซ้อมหรอก...แต่พวกมันก็อยากให้กูมาลองชวนดูก่อน”


“กูขอโทษว่ะ”


“ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงติดงาน” ผมเองก็ไม่อยากให้มันโชว์ตัวต่อหน้าสาธารณชนบ่อยนักหรอก แค่ตอนเล่นหนังสั้นให้พี่สัม ผมก็จะแย่แล้ว


“ไม่ใช่ คือกู...กูรับเล่นให้ถาปัดไปแล้ว”


“อะไรนะ!!” เหี้ย…


“รับตอนไหนวะ” ไอ้หนึ่งถามแทรกขึ้นมา


“ไอ้ฟ้ามาชวนกูตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว”


“ฟ้าไหน ไอ้เท่าฟ้าอ่ะนะ”


“เออ เพื่อนถาปัดก็มีมันคนเดียวป่ะวะ


บ้าฉิบ! ผมไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ คิดไว้แค่ว่าคงต้องเตรียมใจหากไอ้ศรรับเล่นให้คณะตัวเอง ไม่คิดเลยว่ามันไปรับปากคนอื่นไว้ก่อนแล้ว แล้วยังไงล่ะทีนี้ คนทั้งคณะถาปัดคงดีใจจนเนื้อเต้น ธรรมศร คนดังแห่งวิศวะต้องไปอยู่ท่ามกลางดงนั้นนานอย่างน้อย ๆ ก็คงจะสองเดือนเต็ม


ผมยืนหน้าบูด อารมณ์เสียสุด ๆ


“โกรธที่กูปฏิเสธมึงเหรอวะ”


“เปล่า กูหวง”  ผมพูดเสียงไม่เบาไม่ดัง มั่นใจว่าทุกคนในห้องน่าจะได้ยินเพราะเงียบกันมาก และเพราะอย่างนั้นไอ้คุณชายถึงได้แก้มแดง


“นะ ไหนบอกว่ามีแคสติ้งไง”


“กูฝากตากล้องเบอร์สองทำงานแล้ว” เพราะพวกมันให้กูมาทำงานที่สำคัญกว่า ถึงจะไม่สำเร็จแต่กูขออู้หน่อยแล้วกัน


ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างมัน รุ่นน้องในชมรมหลายคนจ้องมาที่ผมด้วยความสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าถาม จะมีก็แต่ไอ้น้องผู้ชายคนนั้นที่จ้องมองเหมือนจะเอ่ยถามอยู่หลายรอบแต่ก็ถูกเพื่อนสาวห้ามเสียทุกครั้ง


นั่งเป็นเป้าสายตาให้เด็กมันมองได้ไม่กี่นาทีไอ้หนึ่งก็ลุกไปยืนหน้ากระดานแบล็คบอร์ดศรเลยได้ย้ายก้นไปนั่งบนโซฟาแทน โดยมีผมตามไปนั่งข้าง ๆ หลังพิงพนักยกแขนพาดโซฟาเหมือนโอบกลาย ๆ เห็นอีกคนนั่งตัวตรงเกร็งแข็งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว “เขินเหรอวะ”


“สัด นั่งดี ๆ กูเขินน้อง”


ผมไหวไหล่ ยิ่งมันบอกว่าเขินผมก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ อยากแกล้งด้วยส่วนหนึ่ง สำคัญคืออยากใกล้ชิดมากกว่า


ผมนั่งไถมือถือดูนั่นนี่ไปเรื่อยระหว่างที่ไอ้หนึ่งและรุ่นน้องอีกคนกำลังยืนพูดอยู่หน้าห้อง จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ดูเหมือนว่าการประชุมจะใกล้สิ้นสุดลง ผมสะกิดไอ้ศรให้หันมาสนใจกันเพื่อถามว่าเย็นนี้จะไปกินอะไรกัน


“ปีนี้พวกพี่ปีสามปีสี่ไม่ได้ไปด้วย พวกมึงก็ดูแลกันดี ๆ ล่ะ” หนึ่งกล่าวปิดท้ายประชุม


“ไม่มีใครไปสักคนเลยเหรอคะ” น้องผู้หญิงที่นั่งคู่ไอ้เด็กนั่นถามขึ้นมา


“น้องไข่มุกอยากให้ไอ้หนึ่งมันไปด้วยเหรอครับ” ไอ้ศรย้อนถาม ฟังจากเสียงแล้วรู้ในทันทีว่ามันกำลังชงคู่นี้อยู่


“ผมอยากให้พี่ศรไปด้วยครับ”


ผมหน้าตึง เด้งตัวจนมาอยู่ในระนาบเดียวกับคนรักเพื่อมองหน้าคนพูด ไอ้รุ่นน้องคนนั้นกำลังมองมาด้วยความหวัง


“กูไม่ว่างโว้ย อย่าเซ้าซี้นะไอ้รัก”


“ประชุมเสร็จแล้วใช่ไหม กลับ!” ผมคว้าแขนไอ้ศร ไม่อยากให้คุยกับเด็กนั่นนาน มันตัวเล็กก็จริงแต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะเป็นเกย์ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชอบให้มันมาเง้างอดออดอ้อนแฟนผมแบบนี้


“เห้ยเดี๋ยวดิ!” ศรยื้อตัวไว้ “น้องมันแค่ชวนเองนะ”


“กลับ” ผมพูดเสียงนิ่งหน้านิ่ง ไม่มีรอยยิ้มจาง ๆ สักนิด และถ้าไอ้ศรรู้จักผมดี มันคงรู้ว่าไม่ควรดื้อกับผมในเวลานี้


ศรถอนหายใจก่อนตอบรับในสิ่งที่ทำให้ผมพอใจ “เออ ๆ กลับ”


“ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูกลับนะไอ้หนึ่ง”


“เดี๋ยวดิพี่ศร” ไอ้เด็กที่ชื่อรักอะไรนั่นร้องห้ามเสียงดังก่อนกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปมุมห้องแล้วถือกล่องอาหารเข้ามาหาแฟนผม


“อาหารเย็นครับ แม่ผมทำมาให้”


ไอ้ศรตั้งท่าจะพูด ผมไม่รู้ว่ามันจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะมีคนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “แม่มึงเป็นคนญี่ปุ่นเหรอวะรักถึงได้ทำแต่อาหารญี่ปุ่นมาให้”


ไอ้เด็กปีสองยกมือเก้าท้ายทอยอย่างเก้อเขิน “เปล่าหรอกครับ แต่เห็นพี่ศรชอบกิน เลยให้แม่ทำให้”


ผมคิ้วกระตุก


“รับไปเถอะนะครับ ครั้งก่อน ๆ พี่ก็ไม่ได้กิน ผมเสียใจนะเนี่ย”


“เห้ยรัก” ไอ้หนึ่งโพล่งขึ้นมา คงเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของผม แต่ก็ยังไม่ทันไอ้ศรที่รับกล่องอาหารมาก่อน


“ฝากขอบคุณแม่มึงด้วยนะ แต่ครั้งหน้าไม่ต้องทำมาเผื่อกู เข้าใจไหม”


“พี่ศรอ่ะ” ผมละเกลียดเสียงเง้างอดของมันจริง ๆ 


“กลับกันสักที” ผมสะกิดกึ่งลางกึ่งจูงแฟนสุดฮอตของตัวเองให้รีบออกจากห้องนี้


“เดี๋ยวครับ”


“อะไรอีกวะ!!” ผมเผลอหันไปตะคอกถามเสียงดังจนคนทั้งห้องสะดุ้ง ช่วยไม่ได้ที่กูระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ก็ไอ้เด็กนั่นมันยุ่งย่ามกับแฟนผมมากเกินไปแล้ว ถ้ารู้ว่าทุกครั้งที่มันมาชมรมแล้วต้องเจอเด็กนั่น มีหวังครั้งหน้าผมคงต้องตามมาด้วยเสียแล้ว


“เอ่อ...ผมอยากชวนพี่ศรไปทำรีวิวร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งด้วยกันครับ ได้ข่าวมาว่าอร่อยมาก พี่ศรน่าจะชอบ”


“ทำรีวิวของเพจมึงอ่ะนะ”


“มากเกินไปแล้วนะเว้ย” ผมทะลุกลางปล้อง อยากจะก้าวกลับไปกระชากแล้วพูดใส่หน้ามันดัง ๆ ว่าอย่ายุ่งกับคนของกูให้มากนัก แต่ไอ้ศรเอาตัวมาขวางไว้ราวกับรู้การเคลื่อนไหวของผม


“เออ ๆ บอกวันมาแล้วกัน ถ้าว่างก็จะไป” ไอ้ศรตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด แทนที่จะปฏิเสธออกไปให้ชัดเจนแต่กลับตอบรับน้ำใจ


เด็กที่ชื่อรักยิ้มกว้าง “ครับ ๆ”


“ไปได้แล้วไปไอ้ศร ไอ้โอมโมโหหิวละ” ไอ้หนึ่งพูดบอกเพื่อตัดบทสนทนาของศรกับเด็กนั่นทั้งที่รู้ดีว่าผมไม่มีทางโมโหหิวอย่างที่มันว่าได้






ผมนั่งฟึดฟัดอยู่หลังพวงมาลัยได้สักห้านาทีแล้วยิ่งเห็นไอ้คนข้าง ๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับการเปิดกล่องอาหารออกดูแล้วก็ยิ่งหงุดหงิิด “โห ทำให้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”


ยิ่งได้ยินเสียงชื่นชมที่มีต่อเด็กคนนั้นผมก็ยิ่งหงุดหงิด เหลือบมองแวบหนึ่งเห็นเป็นข้าวหน้าปลาแซลมอนย่างชิ้นใหญ่พร้อมเครื่องเคียงมากมายที่ไม่เถียงเลยว่ามันถูกตกแต่งมาได้น่าแดกมากจริง ๆ


“มึงซื้อได้ด้วยแซลมอนย่างรึไง”


“หึงไร้สาระหน่าโอม มันเป็นน้อง”


“มึงเอ็นดูมัน”


ศรเหมือนนิ่งคิดไปชั่วครู่ “ก็...เอ็นดูนะ”


“แต่มันชอบมึง”


“เห้ย! ไม่มั้ง มันแค่เห็นกูเป็นไอดอล”


“ไม่รู้เว้ย มึงห้ามเข้าใกล้มัน ไม่ต้องไปกินอาหารตามที่มันชวนด้วย ปฏิเสธให้เด็ดขาดไปเลย” ไม่มั่นใจนักหรอกว่าเเด็กนั่นจะคิดเกินเลยกับศรหรือเห็นว่ามันเป็นไอดอลจริงอย่างที่มันบอก แต่กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ เพราะท่าทางวอแวกับไอ้ศรมากเป็นพิเศษนั้นบอกตามตรงว่าไม่น่าไว้ใจ


“อือ ใช้ได้เลยแหะ”


ผมถอนหายใจดัง ก่อนออกรถ “อย่าแดกเยอะ มึงต้องไปกินข้าวกับกูนะ” ถ้าแดกอาหารกล่องนั้นจนอิ่มแล้วข้าวเย็นกูล่ะ จะให้กูไปกินคนเดียวนี่ไม่ยอมเด็ดขาด


“อะ” เสียงของมันดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของปลาแซลมอนย่างลอยมาแตะจมูก ผมจึงพบว่าตอนนี้ไอ้ศรกำลังยื่นช้อนที่มีอาหารพูนสูงมาจ่ออยู่ที่ปากผมเรียบร้อยแล้วด้วย “กินดิ กูป้อน”


ผมขมวดคิ้ว หันมองคนที่บอกว่าป้อนสลับกับถนน ตอนผมป่วยอ้อนให้มันป้อนแทบตายมันยังไม่ทำ บอกว่าผมแค่ไข้ขึ้นไม่ได้เป็นง่อย แดกเองไม่ได้ก็ตายไปซะ ทำไมตอนนี้ถึงอยากป้อน


“ไม่ช่วยกูกิน ถ้ากูกินหมดแล้วอิ่มจะมาโทษกูไม่ได้นะ”


“ทำไมมึงถึง...” ...ป้อน


“ก็มึงขับรถอยู่ กินเองได้ที่ไหน อะ อ้าปากสิวะ กูเมื่อยแล้วเนี่ย”


ผมยิ้มมุมปากก่อนอ้าปากงับเอาอาหารเข้าปาก อืม...รสชาติดีใช้ได้อย่างที่มันรำพึง แต่ดียิ่งขึ้นเพราะเมียป้อน


“น้องมันทำมาให้มึงบ่อยเหรอ” ผมถามหลังจากกินไปได้สองสามคำ


“ทุกครั้งที่ประชุมเสร็จ ทุกคนในชมรมก็ได้อาหารจากน้องมันเนี่ยแหละประทังชีวิต...แต่กูยังไม่เคยกินเลย รีบออกมาเพราะจะไปกินข้าวกับมึงเนี่ยแหละ”


“หึ น่ารักนะมึงเนี่ย”


“พูดมาก! แดก ๆ ไป” ผมโดนยัดข้าวใส่ปากเพราะความพยายามในการกลบเกลื่อนความเขินของมัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมากจริง ๆ






ช่วยไม่ได้ที่เวลาอาหารเย็นของผมกับศรต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะผมถูกเพื่อน ๆ ตามตัวกลับไปรายงานผลของ ‘งานมอบหมาย’ ชิ้นสำคัญ ทุกคนกรี๊ดเสียงดังทันทีที่เห็นไอ้ศรเดินตามหลังผมเข้าห้องออดิชั่น


“โอม มึงทำได้จริง ๆ กูไม่ผิดหวังในตัวมึงเลยเพื่อนรัก” ยัยจี๊ดรีบพุ่งเข้ามาจับมือผมแทนคำขอบคุณ “ศร จี๊ดดีใจมาก ๆ เลยนะ” ผมรีบขยับตัวไปขวางเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเปลี่ยนเป้าหมายไปหาศรบ้าง


“ไม่ต้องดีใจหรอกจี๊ด”แม้จะเป็นคำพูดที่ผมบอกเพื่อนสาวแต่ทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินและทำหน้าสงสัยเช่นเดียวกับเจ้าตัว


“หมายความว่าไงไอ้โอม” ยัยจี๊ดแหวขึ้นทันที


“เอ่อ...ผมขอโทษนะที่ไม่สามารถเล่นละครเวทีให้นิเทศฯ ได้” จบคำเฉลยของศร ทุกคนต่างพากันร้องโอดครวญ


“ทำไมล่ะศร เพราะไอ้โอมใช่ไหม มันหวงใช่ไหมศรเลยไม่รับเล่น”


“อ้าวเกี่ยวไรกับกู”


“ไม่เกี่ยวกับโอมหรอกครับ พอดีผมรับเล่นให้ถาปัดไปก่อนแล้วอ่ะ”


“นั่นไง! กูว่าแล้ว ไอ้โอมแม่งช้าอ่ะ”


“ถ้ามึงจะโทษว่ากูช้า ก็คงต้องโทษตัวเองที่ใช้กูช้าไปหลายวันเลยแหละ”


“ศรอ่าาาาา”


“อย่ามาเง้างอดแฟนกู” ผมว่าไอ้จี๊ด วันนี้ทนฟังคนทำเสียงแบบนี้ใส่แฟนมาหลายครั้งแล้ว กูจะไม่ทนอีก


“ชิส์ ไปทำงานเลยมึงอ่ะ หายหัวไปซะนานนี่อู้ใช่ไหม ไปเลยไป!” ไอ้จี๊ดกำลังพาล แต่ผมไม่ถือสาเพราะมันพูดเรื่องจริง ผมบอกให้ศรไปนั่งรอที่มุมห้อง คาดว่าอีกไม่นานงานวันนี้ก็คงเลิก


ผมกลับไปประจำตำแหน่งเดิมคือถ่ายรูป หน้าที่ของฝ่ายภาพในวันนี้คือเก็บทั้งบรรยากาศงานและถ่ายรูปเดี่ยวของผู้เข้าสมัครทุกคนทั้งก่อนเข้าร่วมและหลังจากที่เพื่อนส่งสัญญาณว่าน่าจะเข้าเค้า โดยให้โพสท่าตามอินเนอร์ของตัวละครที่เขาหรือเธอจะได้รับเพื่อนำรูปไปร่วมกันตัดสินพร้อมกันทีหลัง


ซึ่งผมได้รับหน้าที่หลัง มันทำให้ผมต้องถูกเฉดหัวออกไปอยู่ในห้องเก็บตัวอีกห้องตามลำพังกับคนที่น่าจะผ่านการคัดเลือก...และห่างจากไอ้ศร


ทั้งที่ความจริงแล้วควรจะมีแอคติ้งโค้ชอยู่กับผมในห้องนี้ด้วยแต่ก็ไม่มี แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไรว่าผมกำลังโดนยัยจี๊ดที่จี๊ดสมชื่อกำลังแกล้งผมในเรื่องนี้ คงเป็นเพราะผมทำงานมอบหมายไม่สำเร็จผมจึงต้องระเห็จมาอยู่คนเดียวและทิ้งศรให้พวกมันได้แทะโลมกันอยู่ข้างนอก


คนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามาในห้องของผมมีครบทุกตัวละคร ผมต้องจำคาแรคเตอร์ให้ได้และโค้ชคนเหล่านั้นให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่นั่นก็ไม่ยากเท่ากับการรับมือกับเธอคนนี้...คนที่ผมเจอที่ผับในวันวาเลนไทน์


ย้อนความสักเล็กน้อย วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งศรให้อยู่คอนโดคนเดียว มีใครที่ไหนอยากจะทิ้งคนรักไว้หลังจากที่เรากอดก่ายละเลงบทรักกันอย่างเร่าร้อนอย่างนั้นหรือ หากไม่ติดว่ารับปากแม่ไว้แล้วว่าจะกลับบ้านเพราะน้อง ๆ เองก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในวันแห่งความรัก ผมก็คงนอนกอดมันให้ชื่นใจไปเสียแล้ว ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในตอนดึกที่เพื่อนเอาแต่รบเร้าให้ผมออกไป ไอ้เต๋าเอาเรื่องศรมาล่อบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังแต่จริง ๆ แล้วไม่มี ผมถูกหลอกให้ออกไปทั้งที่เบื่อแสงสีจะแย่ แต่ก็ต้องขอบคุณพวกมันที่ชวน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้ว่าแฟนผมออกไปอวดโฉมอยู่ที่นั่นด้วย


ผมไม่ได้ตามไปนั่งกับศรให้อีกฝ่ายรำคาญใจ ในโต๊ะของเพื่อนผมก็ไม่มีผู้หญิงสักคน เราอยู่กันอย่างชายโสด มีผมเพียงคนเดียวที่ใส่เสื้อสีดำ แต่กลับกลายเป็นคนที่ดึงดูดเธอเข้าหา...เธอคนที่ใส่เสื้อสีขาว


และตอนนี้เธอก็กำลังยืนยิ้มด้วยท่าทางยั่วยวนที่ไม่ต่างจากคืนนั้นเลยสักนิด แม้จะไม่ได้อยู่ในชุดรัดรูปก็ตาม


“เข้าไปยืนหน้าฉากนะครับ” ผมบอกเรียบ ๆ ไม่แสดงออกว่ารู้จักหรือจำเธอได้


“แย่จัง จำกันไม่ได้เลยเหรอคะโอม”


“คุณ...” ผมเอ่ยด้วยท่าทางไม่มั่นใจ ว่ากันตามตรงแล้วผมเองก็จำชื่อเธอไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ


“ใจร้ายจัง ลืมกันได้ลงคอ”


“ขอโทษครับ” ผมว่า แต่ไม่ยิ้ม รักษามารยาทด้วยส่วนหนึ่ง แต่ไม่คิดสานต่อมากมายนัก


“มิ้นค่ะ มิ้นที่เจอกันคืนวันวาเลนไทน์”


“อ๋อ ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะ มีเวลาอีกเยอะให้เราทำความรู้จักกันใหม่ได้” ผมไหวไหล่ ไม่สนใจท่าทีทิ้งสายตาของเธอแล้วยังเร่งให้สาวเจ้ารีบไปยืนหน้าฉากเพื่อไม่ให้คนต่อไปที่จะมาถึงต้องรอนาน


ผมไม่รู้ว่าผมตายด้านกับผู้หญิงไปแล้วหรือแท้ที่จริงผมไม่เคยสนใจพวกเธอเลยกันแน่ บางทีผมอาจจะเป็นเกย์มาตั้งแต่แรก แต่ผมไม่ได้คิดหาคำตอบมากนัก เพราะงานต้องดำเนินต่อ


“ดีครับ” ผมว่า ตัวละครที่เธอได้รับมีคาแรคเตอร์ค่อนข้างชัดเจน ไม่ซับซ้อน เธอจึงแสดงอินเนอร์ออกมาได้ดีโดยที่ผมไม่ต้องโค้ชใด ๆ ทั้งสิ้น


“เปลี่ยนท่าครับ” ผมที่ยังจ้องมองผ่านเลนส์กล้องร้องบอก คราวนี้เธอมีสีหน้ากังวลและอยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการเก้ ๆ กัง ๆ ตื่นกล้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“โอมว่าท่าไหนดีคะ มิ้นคิดไม่ออกแล้ว”


“มายาเป็นคนเย่อหยิ่ง ไว้ตัวแต่ก็ยั่วยวน เวลาเจอผู้ชายเธอดูเหมือนจะเล่นตัวนิด ๆ ทั้งที่ทิ้งสายตาให้เขาก่อน  คุณลองยืนหันข้าง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองหางตาด้วยท่าทีสนใจดูนะครับ” ถ้าเป็นภาพเคลื่อนไหวจะมองเห็นความหลุกหลิกของสายตา แต่เพราะนี่เป็นภาพนิ่ง เธอจึงอาจแสดงออกมาได้ยากกว่า


“แบบนี้เหรอคะ”


“เชิดหน้าเยอะไปครับ”


“ได้ไหมคะ”


“ต่ำไปครับ”


“เห้อ” เธอถอนหายใจยาว “ยากจังเลยค่ะ มายานี่เข้าใจยากจัง เป็นมิ้นนะจะอ่อยตรง ๆ ไม่เล่นตัวสักนิด”


ผมผละออกจากกล้องแล้วเดินเข้าไปหาโดยไม่สนใจสิ่งที่เธอเพิิ่งพูดเมื่อครู่ “ขออนุญาตนะครับ” เอ่ยบอกแล้วขยับองศาหน้าให้ได้มุมที่คิดว่าดูดีที่สุด ใช้ปลายนิ้วมือแตะคางมนให้เชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนผละออกห่างเพื่อมอง เมื่อองศาหน้าเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงบอกให้เธอค้างที่ท่านั้นไว้


“ดีครับ คราวนี้ปรายตามอง” ผมบอกเมื่อกลับมายืนหลังกล้องแล้ว “เม้มปากนิดนึงครับ ดีครับ”


เราถ่ายไปอีกหลายรูปผมก็บอกให้เธอพอ มิ้นเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมยิ้มหวาน “โอมใช้น้ำหอมอะไรเหรอคะ”


“ทำไมครับ”


“เมื่อกี๊นี้...หอมดีนะคะ มิ้นชอบ” เธอขยิบตาให้ขณะที่ผมถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้เธอเดินออกไปจากห้อง ผมถอนหายใจก่อนหันมองตามเธอไปเพื่อดูว่าคนใหม่เข้ามาหรือยัง


...แต่กลับพบว่าธรรมศรยืนอยู่ตรงนั้น


ศรหลีกทางให้หญิงสาวเดินออกไปง่าย ๆ โดยไม่เล่นหูเล่นตาหรือยิ้มหวาน ๆ ให้อย่างที่ชอบทำ


“มะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ถ้ามาแล้วเห็นอะไรที่ไม่ควร กูจะได้อธิบายถูก


“เพิ่งมา...กูหิวแล้ว”


“เห้ย โทษที ๆ กี่โมงแล้ววะ” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา อีกสิบนาทีจะหนึ่งทุ่ม การแคสติ้งยืดเยื้อกว่าที่คิดคงเพราะว่าคนมาสมัครกันเยอะ และแต่ละตัวละครต่างก็ใช้เวลานานในการคัดสรร


“กูแค่จะมาบอกว่ากูจะออกไปซื้อข้าวนะ เดี๋ยวซื้อเผื่อเพื่อน ๆ มึงด้วย” พูดจบมันก็รีบหันหลังเดินออกไป แม่งคงหิวมากจริง ๆ หน้ามันนิ่งมากจนผมกลัวมันโกรธที่ผมทิ้งมันไว้นานเกินไป


“ไม่ต้องศร ไม่ต้อง” ผมคว้ามือมันไว้ “เห้ยพวกมึง อีกนานไหมวะ”


“น่าจะ อย่างต่ำก็ชั่วโมงนึง” ใครบางคนตอบ


“ไม่หิวกันเหรอวะ ให้สวัสดิฯ ไปซื้อข้าวดิ๊ ซื้อมาเผื่อแฟนกูด้วย” แทนที่เพื่อนจะรีบขอความเห็นเรื่องเมนูอาหารแต่กลับร้องโห่แซวกูเรื่องที่เรียกศรว่าแฟน กูจะบ้าตาย


“ไม่ต้อง กูไปเอง” มันบอกผมพร้อมกับถอนมือออก “เดี๋ยวผมไปช่วยทีมสวัสดิฯซื้อข้าวเองครับ”


“ศร” ผมคว้ามือมันไว้อีกครั้ง เห็นมึนตึงแปลก ๆ ก็อยากจะถามให้แน่ใจว่าไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า


“ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้นแหละ โทรสั่งเอา ขืนไปยืนรอข้าวตามสั่งคงไม่ได้กินชาตินี้แน่” ยัยจี๊ดตะโกนขึ้นมา ซึ่งหลายคนเห็นด้วย


“มึงโกรธอะไรกูรึเปล่า”


“...”


“ไม่พอใจที่กูทิ้งให้มึงหิวเหรอ” ผมโยนหินถามทาง


“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่หิว ไม่ได้เคืองอะไรมึง”


“ไอ้โอมจะแดกอะไร!...ศรของจี๊ดจะทานอะไรดีคะ” ผมกลอกตา ยัยนี่สองมาตรฐานชัด ๆ


“มึงกินอะไร” ผมถามศร มันไม่ตอบ แต่ถามเพื่อนผมกลับว่าสั่งอะไรกัน พอได้ความว่าสั่งพิซซ่า มันก็ออเดอร์สปาเก็ตตี้เพิ่มโดยห้ามไม่ให้ฝ่ายสวัสดิการใช้งบกลางสำหรับอาหารในส่วนของมัน


“ไปทำงานต่อไปมึงอ่ะ”


“เข้าไปกับกูไหม” ผมถามกึ่งอ้อน


“ไปเถอะ ถ้าอาหารมาแล้วกูจะเอาเข้าไปให้” ศรดันตัวผมให้กลับเข้าไปในห้องเดิมแต่ผมขืนตัวไว้


“ไม่โกรธแน่เหรอวะ”


“ถ้าไม่เข้าไปตอนนี้กูจะแดกหัวมึงแทนข้าวแน่” ไอ้ศรเตะก้นผมไม่แรงนัก


“แดกหัวอย่างอื่นของกูแทนได้ป่ะ” ผมว่าทีเล่นทีจริง


“ไอ้เหี้ย!!”










พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 12
------------------------------------------------------------
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-05-2018 19:57:15
อ่านไปก็ลุ้นไป กลัวว่ามีเรื่องจะให้งอนกันอีก
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kung ที่ 27-05-2018 20:40:24
อ่านเรื่องนี้เหมือนเล่นโต้คลื่นอะ ไม่มีความมั่นคง โลเลไปตามลมที่พัดมา โดยเฉพาะศร ถ้าเราเป็นโอมเราคงไม่มีความสุขอะ อึมครึมเหมือนฝนจะตกทุกเวลา เหมือนศรไม่มั่นคงในอารมณ์ ดูโอมรักศรมากกว่าที่ศรรัก(รึ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-05-2018 21:07:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 27-05-2018 21:08:45
 :m16:อึดอัด​ อึมครึม​ 55555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 28-05-2018 17:21:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
อ่าน 3 ตอนรวดหายคิดถึงหน่อย
รักนะ ศรโอม
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 29-05-2018 21:16:38
อ่านไปด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ อย่าเลิกกันเลยนะะะะะะ :ling1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 31-05-2018 15:37:57
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
เข้ามาเพื่อปูเสื่อรอ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 03-06-2018 08:07:52
เหมือนเนื้อเรื่องไม่เดินเท่าไหร่เลยอ่า เป็นกำลังใจให้ไรต์อยู่ตรงนี้นะคะ ยังไงก็จะรออ่านจนจบ หลงศรมากกกกกกกก มาลงให้หายคิดถึงซะดีดี :mew2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 03-06-2018 13:15:16
อย่ามีปัญหากันอีกเรยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 11 P.4 [27/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 06-06-2018 17:50:14
โอ้ม่ายยย ยังไม่จบรึนี่ ค้างเลย  :katai1: รอนะคะะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 12-06-2018 23:24:37
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 12

---OMIN---








ผมมีเวลาว่างสองสัปดาห์หลังสอบและก่อนเริ่มฝึกงานในต้นเดือนหน้า เพื่อนหลาย ๆ คนในเอกฟิล์มก็เช่นเดียวกัน และมันก็มากพอที่จะให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันในการตัดสินใจอะไรหลาย ๆ เกี่ยวกับละครเวทีร่วมกับรุ่นน้อง


รูปถ่ายมากมายของผู้สมัครกระจายอยู่เต็มบอร์ด แต่ละตัวละครจะมีนักแสดงที่เข้าเค้าอยู่ตัวละไม่เกินห้าคน บางตัวละครเราได้นักแสดงที่ตรงคาแรคเตอร์อย่างรวดเร็วตามผลโหวตเป็นเอกฉันท์ แต่บางตัวละครอย่างเช่นบทเจคที่ยัยจี๊ดเคยออกปากว่าไม่มีใครเหมาะเท่าธรรมศรก็ยังไม่สามารถเลือกใครมารับบทนั้นได้สักที


“ศรไม่น่าโดนแย่งตัวไปเลยว่ะ หงุดหงิดโว้ย” ยัยจี๊ดยีผมสั้น ๆ ของตัวเองระบายอารมณ์ ไม่วายยังส่งสายตาอาฆาตมาทางผมอีกด้วย


“มองอย่างนี้จะให้กูเล่นแทนเลยไหมล่ะ” ผมประชด มองกูดีนัก ก็บอกไปแล้วว่ามันช้าตั้งแต่คนสั่งให้ไปชวนศรมาเล่นแล้ว


“หล่อให้เท่าเมียก่อนเถอะเชี่ยโอม”


“แฟน” ผมพูดเสียงเข้ม หวังว่าใบหน้าขึงขังของผมจะช่วยให้เพื่อนเข้าใจด้วยว่าผมค่อนข้างจริงจังกับสถานะที่คนอื่นมองคนรักของผม


“โทษที ๆ แฟนก็แฟน”


“แล้วเอาไงละวะ เปิดรับสมัครรอบสองเหรอ” ไอ้เต๋าถามขึ้นมา งานนี้มันอยู่ฝ่ายฉากกับไอ้พีท เรื่องงานศิลป์งานอาร์ตต้องยกให้พวกมัน ส่วนไอ้โจโดดไปอยู่ฝ่ายเสียงคนเดียวเลย


“มึงว่าไงอ่ะ” จี๊ดพยักพเยิดหน้าไปทางทีมผู้กำกับเพื่อขอความเห็น “ที่ได้มาพอใจป่ะ”


คนเป็นผู้กำกับทำสีหน้าลำบากใจ “พวกกูคิดกันมาแล้ว หาใหม่อีกรอบได้ป่ะวะ หรือไม่ก็เรียกมาแคสต์ใหม่ ลองเล่นดูใหม่”


“ถ้าไม่ใช่ไม่ถูกใจก็อย่าเปลืองเวลาแคสต์ใหม่เลยว่ะ เปิดอีกรอบไปเลยง่ายกว่า” ผมเสนอ ซึ่งหลายคนก็เห็นด้วย


ฝ่ายประชาสัมพันธ์รีบประกาศผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยระบุวันเวลาที่จะแคสติ้งใหม่เป็นวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย ที่พวกเราไม่ยอมเริ่มตั้งแต่เช้าหรือสาย ๆ หน่อยเพราะไม่อยากให้ติดเที่ยง ไม่อยากเสียเวลากับอาหารมื้อกลางวันอีก ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าแคสติ้งครั้งนี้ต้องกินเวลานานไปถึงเย็นแน่ ๆ


“ถ้าไม่มีใครถูกใจ กูจะให้มึงเล่นนะไอ้โอม” อยู่ดี ๆ ความซวยก็มาตกที่กูเฉย ทุกคนหันมองผมตามสายตาของไอ้ผู้กำกับ


“มึงจะบ้าเหรอวะ” เป็นยัยจี๊ดที่โวยขึ้นมาก่อนใคร


“เอมว่าก็ดีนะพี่” น้องสาวตัวดีของผมที่นั่งอยู่ในกลุ่มน้องปีสองออกเสียงแสดงความเห็นหลังจากที่นั่งพยักหน้างึกงักกันมาตลอด


“เงียบไปเลยยัยเอม”


“ความจริงโอมก็เหมาะกับบทเจคอยู่นะ” ความเห็นดังกล่าวมาจากทีมเขียนบท ทีมที่มีอำนาจสูงสุดในการคัดเลือกนักแสดง


“กูไม่เล่น!” ผมประกาศกร้าว


“เห้ย เล่นดูหน่อยสิวะ”


“กูแสดงไม่เก่ง พวกมึงก็รู้”


“ของแบบนี้มันโค้ชกันได้ เพื่องานอ่ะทำไม่ได้เหรอวะ”


ผมตั้งท่าจะแย้งอีกครั้งแต่ไอ้เต๋ารั้งไว้ก่อนด้วยการกระซิบบอกถึงข้อดีของการยอมรับบทนี้ “มึงก็ลองเล่นดูหน่อยสิวะ ไม่อยากรู้เหรอว่าไอ้ศรมันจะหึงมึงบ้างรึเปล่า”


“มันจะคุ้มกันเหรอวะ”


“ไม่ลองไม่รู้นะมึง”


บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยสักนิดว่ามันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ รู้แค่ว่าในตอนที่ไอ้เต๋ารับปากเพื่อน ๆ แทนผม ผมยังคงลังเลอยู่


อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมไม่เคยเห็นไอ้ศรหึง ส่วนสำคัญคือผมไม่เคยทำอะไรที่ให้มันหึงเลยแม้แต่น้อย งานนี้ถ้าผมได้รับบทพระเอกของเรื่องจริง...ผมเองก็อดหวังอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ว่าจะได้เห็นมันหึงบ้าง


เย็นวันนั้นผมจึงลองหยั่งเชิงดูท่าทีมันในตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกันที่ห้อง


“บทที่อยากให้มึงเล่นอ่ะ ยังหาคนมาเล่นไม่ได้ พรุ่งนี้จะแคสต์กันใหม่ พวกมันบอกว่าถ้าหาคนเล่นไม่ได้มันจะให้กูเล่นบทนี้...มึงว่าไง”


“ก็ดีนี่ กูอยากไปดูมึงเล่น” ศรเงยหน้าจากจานข้าวมามอง แสดงถึงความสนใจจริง ๆ


“มึง...ไม่หวงกูหน่อยเหรอ”


“มันเป็นงานหน่ามึง งานก็คืองาน กูสนใจแค่นั้น” พูดจบก็หันไปสนใจอาหารต่อ ไม่เงยขึ้นมาสบตากันอีกเลย กลายเป็นการตัดบทไปโดยปริยายที่ผมต้องจำยอม


ช่วงนี้ผมกับศรเจอกันแค่เฉพาะที่ห้อง ถึงอย่างนั้นก็มีเวลาน้อยแค่ตอนเย็นเพราะตอนเช้าเราออกจากห้องไม่พร้อมกันเหมือนช่วงมีเรียน อาหารเช้าของศรถูกละเว้นโดยที่ผมไม่สามารถขู่เข็นให้มันตื่นมาทานได้ ผมออกจากห้องช่วงสายทุกวันเพราะเป็นทีมงานละครเวที ขณะที่ศรออกใกล้ ๆ เที่ยงเพื่อไปเวิร์คชอปในฐานะนักแสดง


อดสงสัยไม่ได้ว่าละครเวทีของคณะสถาปัตยกรรมมีกำหนดแสดงหลังคณะผมแต่ทำไมถึงได้ตัวละครครบและเวิร์คชอปกันก่อนเสียอีก ถามศรไปก็ไม่ได้คำตอบ แฟนผมมันแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการตั้งข้อสงสัยใด ๆ กับทีมงานคณะนั้น


ในช่วงเย็นที่เจอกันก็แทบไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากไปกว่าการทานมื้อเย็นด้วยกันที่ส่วนใหญ่แล้วอีกฝ่ายสั่งมารอผมกลับมาทานพร้อมกัน ปิดท้ายความเหนื่อยล้ามาทั้งวันด้วยการที่ผมเป็นฝ่ายวอแวไปนอนกอดมันโดยไม่ได้อะไรที่มากกว่านั้นเลยสักครั้ง


“โอม...หลับรึยัง”


“อือ” ผมครางรับในลำคอ กำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับเต็มที ก่อนหน้านี้เห็นมันนิ่งไปนานก็คิดว่าหลับไปก่อนแล้วเสียอีก


“วันนั้นที่บ้านอาภพ...มึงได้ยินใช่ไหม” ธรรมศรถามเสียงเบาทว่ากลับทำให้โสตประสาทผมตื่นตัวจนพาลให้ตื่นเต็มตาไปด้วย ผมมองมันจากด้านหลัง ผมดำขลำของมันห่างออกไปแค่คืบหนึ่งเท่านั้น เรียกได้ว่าใกล้จนได้กลิ่นแชมพูที่เราใช้ร่วมกัน ใกล้กันขนาดนี้แต่ผมกลับไม่สามารถล่วงรู้ความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลย


“อือ” ผมยังคงครางตอบในลำคอ ขยับตัวเข้าใกล้มันอีกนิดจนคราวนี้สามารถจูบเรือนผมอีกฝ่ายได้ “เสียงมึงดังออกมา กูตกใจ”


ศรเงียบไปนานทีเดียว นานจนผมคิดว่ามันคงหยุดพูดถึงเรื่องนี้และชิงหลับไปก่อนแล้วเสียอีก “มึงไม่เห็นใช่ไหม”


“อือ ก็มึงสั่งไว้” ผมไม่ได้เชื่อฟังเพียงเพราะว่าเป็นคำสั่งจากศร ผมเพียงแต่เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายเท่านั้น ถ้ามันบอกให้นั่งอยู่แต่ในรถ ผมก็จะยอมทำตามแม้ว่าเสียงที่ดังออกมาให้ได้ยินจะทำให้ผมห่วงความรู้สึกมันมากแค่ไหนก็ตาม


ตอนนั้นผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าครอบครัวมันไม่ได้เพอร์เฟ็คอย่างที่คิด


“กูไม่อยากให้มึงเครียดหรือกังวลนะ ไม่ชอบแบบนั้น มึงรู้ใช่ไหม” เสียงผมหนักแน่นและชัดเจนไร้แววงัวเงียอย่างก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง


“อือ ไว้วันหนึ่งจะเล่าให้มึงฟัง...ถ้ามึงยังไม่ไปไหน”


ผมยิ้ม ยิ้มทั้งที่ศรไม่มีทางมองเห็น ยิ้มให้ตัวเองที่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสจะได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้อีกฝ่าย แม้ว่าอาจจะต้องรอต่อไปอีกก็ตาม...แต่ผมก็ยินดี


“กูรอเก่งกว่าที่มึงคิดเยอะ”


“...”


“ศร”


“หือ”


“อย่ากลัวว่าจะเดียวดาย จำเอาไว้ว่ากูจะจับมือมึงไว้เสมอ”


“อือ ปากหวานจังวะ อยากได้อะไรไหนพูด!”


ผมหัวเราะน้อย ๆ “เห็นกูเป็นพวกทำดีหวังผลไปได้” ว่าแล้วก็กระชับกอดให้เนื้อตัวเราแนบแน่นขึ้น ฝังหน้าลงกับหลังคอของศรแต่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ดิ้นออกหรือแสดงท่าทีรำคาญเหมือนทุกที


ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปปล่อยให้ความเงียบของค่ำคืนได้ทำหน้าที่ของมันแทนทุกสรรพเสียง มันนานจนผมเคลิ้มหลับอีกครั้ง แต่เพราะว่าอยู่ใกล้มาก ในตอนสติสัมปชัญญะสุดท้าย โสตประสาทของผมก็ได้ทำงานอีกครั้งก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเต็มที


“เชื่อเถอะ...ไม่มีใครทำอะไรเพื่อหวังผลเท่ากูอีกแล้ว






เป็นไปตามคาด งานแคสติ้งครั้งที่สองกินเวลายาวจนผมต้องส่งข้อความไปบอกศรว่าให้ทานอาหารเย็นไปก่อนไม่ต้องหิ้วท้องรอ ผลสรุปของการแคสต์ในวันนี้คือผมต้องรับบทพระเอกของเรื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากหน้าที่ฝ่ายภาพกลายเป็นพระเอกเฉยเลยกู


จากที่ชีวิตยุ่งพอประมาณกลายเป็นยุ่งมาก ไหนจะต้องมาถ่ายรูปรวม เข้าพระเข้านาง และนัดเวิร์คชอปก่อนจะต่อบทในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้อีก ไม่ต้องทำนายก็รู้เลยว่าผมคงแทบไม่มีเวลาเจอหน้าแฟนแน่ ๆ ลำพังแค่มันแสดงละครเวทีคนเดียวผมก็คงได้เจอมันน้อยลงแล้ว พอผมต้องเล่นด้วยอีกคนและเป็นคนละเรื่องกันด้วย งานนี้คงได้เจอกันแค่ตอนนอนเท่านั้นแน่ ๆ


ขนาดยังไม่ทันได้เริ่มฝึกงานและซ้อมละครเป็นจริงเป็นจังเรายังได้เจอกันแบบนับชั่วโมงได้เลย และเพราะเจอกันน้อย ผมจึงนัดมันไปเดทด้วยหนังรอบดึกเสียหน่อย แต่ก็นะ...ไม่ได้เตรียมใจที่จะถูกปฏิเสธเลยสักนิด


[กลับไปดูที่ห้องเถอะว่ะ กูเพลียมาก]


ก็พอรู้อยู่ว่าการเวิร์คชอปมันใช้พลังงานชีวิตเยอะขนาดไหน แต่ไม่คิดว่าคนที่บอกว่าเพลียมากจะกลับห้องมาด้วยสภาพเหมือนศพเดินได้ที่ทิ้งตัวใส่ผมทันทีที่เจอกัน


“อุ้มหน่อย” ศรพูดเสียงยานคาง ฟังดูเหมือนอ้อนจนผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมา


“อุ้มขึ้นเตียงนะ” ผมแกล้งกระซิบเสียงแหบพร่าชิดใบหูศร อีกฝ่ายก็ดูว่าง่ายไม่ฟึดฟัดขัดขืน มีแต่ครางอือรับแล้วบอกว่าไปไหนก็ได้หมด


ผมพลิกตัวให้มันขี่หลังจนโดนตีด้วยแรงอันน้อยนิดพร้อมคำด่าว่าเล่นใหญ่แต่ผมไม่สน ในเมื่อมันบอกว่าให้อุ้มแต่ผมไม่กล้าอุ้มมันในท่าเจ้าสาวเพราะกลัวตัวเองจะหลังเดาะแล้วพามันล้มไปด้วยจึงจำต้องใช้วิธีนี้เพื่อพามันไปนอนพักได้ ผมไม่ได้พาไอ้คุณชายไปนอนบนเตียงอย่างที่หยอกไว้ แต่เลือกที่จะพามันไปนอนเอนที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นแทน


“กินข้าวมายัง”


“กินแล้ว”


ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รองขาที่ถูกขยับมาใกล้กัน มองดวงหน้าหล่อราวเทพช่างปั้นแต่วันนี้แสนอ่อนล้าแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนยื่นมือไปเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้าหล่อ “เหนื่อยมากเลยดิ หื้ม”


“เออดิ ทีมงานเขาบอกว่าจะรีบให้กูเป็นตัวละครนั้นให้ได้ก่อนแยกย้ายไปฝึกงาน ช่วงนั้นกลับมาซ้อมจะได้ลื่นไหล” ศรตอบทั้งหลับตา เสียงยานคางเอื่อยเฉื่อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหนื่อยมากจนน่าสงสาร


“ดื่มน้ำหวานหน่อยไหม”


“ไม่อ่ะ อยากพัก”


แม้จะได้ยินอย่างนั้นแต่ผมก็ตัดสินใจรบกวนการนอนของมันอีกครั้งด้วยการใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าราวกับประติมากรรมของมันเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้


ถึงจะหลับตาพักความอ่อนล้าแต่หัวคิ้วยังเคลื่อนเข้าหากันจนหน้ายุ่งไปหมด เห็นแล้วก็ขัดใจไม่อยากให้ศรเครียดมากจึงโน้มตัวเข้าไปกดจูบหนัก ๆ ตรงหว่างคิ้ว


“อื้อ” คนถูกรบกวนเวลาพักครางเสียงรำคาญออกมาจากลำคอก่อนลืมตาขึ้นมองผมตาขวาง “ทำอะไร”


“จะหลับก็หลับ ขมวดคิ้วทำไม”


“มันเป็นไปเองหน่า” ศรหลับตาลงอีกครั้ง ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าตัวจะพยายามควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ให้ยุ่งเหยิงเหมือนเมื่อครู่


“เหนื่อยมากไหม”


“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”


“งั้นก็คงอาบน้ำเองไม่ไหวสินะ”


“อย่าคิดทะลึ่ง กูไม่มีแรงจะสู้รบกับมึงหรอกนะ”


ผมหลุดขำ


“เอ้อ...ศุกร์นี้กูต้องไปกินหมูกระทะกับทีมละครเวที มึงไปกับกูนะ”


“ที่ไหน”


“ยกครัว” ผมบอกชื่อร้าน ยกครัวเป็นร้านหมูกระทะใกล้มหา’ลัยที่แทบจะกลายเป็นโรงอาหารมื้อเย็นของนักศึกษาสถาบันนี้ไปแล้ว


“งั้นไปพร้อมกัน” ผมเลิกคิ้วแทนคำถามทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางเห็น ไปพร้อมกันไม่ได้แปลว่า ‘ไปด้วยกัน’ แน่ ๆ “พวกกูก็นัดกินที่นั่นเหมือนกัน”


เซ็งนิดหน่อยที่ต้องนั่งแยก แต่ถือว่าโชคดีที่บังเอิญนัดวันเดียวกัน ผมจะได้ไม่ต้องร้องขอตามไปด้วยในวันอื่น มารู้สึกเซ็งสุด ๆ ก็ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมองแล้วพูดขึ้นมาว่า “บอกไว้ก่อนเลยว่าห้ามเข้าไปยุ่งกับโต๊ะกูเด็ดขาด”


เหมือนโดนคำสั่งว่าห้ามหึง...


ผมอ้าปากตั้งท่าจะแย้งแต่ก็ถูกห้ามด้วยสายตาที่มองดุกลับมา “มันเป็นงานละลายพฤติกรรม กูไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน”


“งั้นมึงก็ต้องทำตัวดี ๆ”


“กูจะไม่ยุ่งกับใคร” มันตอบแบ่งรับแบ่งสู้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองแม่งดึงดูดคนรอบข้างดีแค่ไหน


“ปฏิเสธใครได้ก็ควรทำ”


“กูจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนะเว้ย...อีกอย่างนะ ตั้งแต่กูคบกับมึง กูก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางเหอะ ครั้งนี้มึงอย่าทำงานกูพังก็แล้วกัน”


ผมถอนหายใจแรง จริงอย่างที่มันว่า ศรไม่เคยนอกลู่นอกทางหรือทำตัวเจ้าชู้ให้เห็นเหมือนอย่างก่อนคบกัน แต่ความมีมนุษยสัมพันธ์ของมันก็ยังดีอยู่เหมือนเดิม รับน้ำใจเขาไปเสียหมด ใครเข้าใกล้ก็ยินดีปรีดาไม่ได้หวงเนื้อหวงตัว มันไม่ถนอมใจคนขี้หวงอย่างผมเลยสักนิด


“แล้วนี่จะเริ่มฝึกงานเมื่อไหร่” ผมเปลี่ยนเรื่องแก้เซ็ง ได้ยินมันบอกว่าติดต่อบริษัทฝึกงานตั้งแต่ช่วงก่อนสอบแล้ว


“เดือนหน้า”


“อือ พร้อมกัน”


ผมปล่อยศรให้นอนพักอยู่ตรงนั้นโดยที่ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ลุกไปไหน เราอยู่กับแบบเงียบ ๆ สุดท้ายวันนี้ผมก็ไม่ได้ดูหนังกับมันอย่างที่ตั้งใจไว้ นั่งไปนั่งมาก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็กลางดึกแต่นอนเหยียดยาวบนโซฟาเบดไม่ใช่เก้าอี้ตัวเดิมแล้ว และยังมีผ้าห่มคลุมกายอยู่ด้วย ผมไม่ได้ลุกขึ้นนั่ง แค่หันไปมองยังทิศของศรก่อนที่ผมจะหลับไป เมื่อเห็นว่าอีกคนก็ยังนอนอยู่ตรงนั้นผมก็ตัดสินใจหลับต่อพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ


ศรเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่อาบน้ำก็ห้ามขึ้นเตียง และผมก็ไม่ซีเรียสกับการนอนตรงนี้เสียด้วย แค่มันยอมลุกจากที่นอนมาจัดท่านอนผมเสียใหม่ทั้งที่ตัวเองเหนื่อยแทบแย่ก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำให้ใจผมฟูยิ่งกว่าการเดทกันเสียอีก






ในวันที่นัดกินเลี้ยงสานสัมพันธ์ทีมงานละครเวที พวกผมมีนัดถ่ายรูปรวมนักแสดงกันก่อนในตอนบ่าย จากเดิมที่ตั้งใจจะไปร้านอาหารด้วยกันจึงกลายเป็นว่าศรต้องติดรถเพื่อนไปด้วยเพื่อที่ขากลับจะได้กลับพร้อมผม ก่อนออกมาที่คณะผมก็เพิ่งไปส่งมันที่คณะโน้นมา


งานนี้ผมเก๊กหน้าจนเมื่อยไปหมด ไหนจะถ่ายคนเดียว ถ่ายเข้าคู่พระนาง ถ่ายกับนางร้าย ถ่ายกับเพื่อนพระเอก ฝ่ายคอสตูมก็ช่างขยันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเสียจริง ถ่ายกับนางเอกชุดนึง ถ่ายกับนางร้ายก็อีกชุด บ่นใส่พวกนั้นไปก็โดนด่าว่าไม่ทุ่มเทแล้วก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทั้งที่มันก็แค่รูปโปรโมทเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่รูปใช้จริงในการแสดงหรือสูจิบัตรเสียหน่อย ทำไมต้องทำอะไรให้เยอะด้วย


“เชี่ย” อยู่ดี ๆ ไอ้พีทที่เพิ่งหลุดออกจากโลกของฝ่ายฉากมาร่วมชมของสวย ๆ งาม ๆ ที่สตูดิโอก็อุทานออกมาหน้าตื่นข้างผมที่รอเข้าฉากต่อจากมิ้นซึ่งรับบทเป็นนางร้ายของเรื่อง


“อะไรของมึง” โจถามแทนสายตาของผมกับเต๋าที่หันมองอย่างสนใจเช่นกัน


“มึงจำวันที่มึงบอกให้กูแยกผู้หญิงออกจากไอ้ศรในผับได้ป่ะ” ไอ้พีทเล่าด้วยเสียงที่เบาลงจนแทบกระซิบทำให้พวกผมต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเหมือนสุมหัวกัน


“วันไหน กูก็ใช้มึงทุกวันที่มันออกเที่ยวอ่ะ”


ไอ้พีทขยี้หัว “โว้ย วันนั้นอ่ะ วันแสดงสารนิพนธ์รุ่นพี่อ่ะ ที่กูจูบเขาจนปกเจ่อ”


“อ๋อ ทำไม” พอจะนึกออก วันที่ศรกลับไปนอนบ้านอาคนที่เป็นหมอ


“ก็ผู้หญิงที่รับบทเคทอ่ะ นั่นน่ะ คือคนเดียวกับคืนนั้นเว้ย”


“เชี่ยยย” พวกผมสามคนเผลอร้องเสียงหลงออกมาเสียงดังจนแทบงับปากไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวก็มีสายตาหลายคู่มองมา รวมถึงสายตายัยจี๊ดที่มองมาอย่างตำหนิด้วย


ผมค้อมหัวให้มันแทนการขอโทษที่เสียงดังทำให้คนที่กำลังทำงานอยู่เสียสมาธิ


“แล้วไงต่อวะ” ไอ้โจถามซื่อ ๆ


“โว๊ะ! ก็ต้องระวังตัวไงวะ เอ๊ะ! หรือกูจะสานต่อดี”


“เขาสนใจกู” ผมไม่ได้อยากทำลายฝันเปียก ๆ ของเพื่อน แต่มันคือความจริง หน้าหื่น ๆ ของพีทตึงขึ้นแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย


“จะอวดว่าหล่อหรืออะไร”


“เขาเข้าหากู พวกมึงต้องช่วยกันเขาออกไป”


“กันทำไมวะ” เต๋าแสดงความเห็นบ้าง แม้ความเห็นของมันจะฟังดูไม่เข้าหูผมสักเท่าไหร่แต่ก็อดรู้สึกเสียววาบไม่ได้ คนที่ชอบฟังมากกว่าพูด เก็บข้อมูลเก่งและจอมวางแผนอย่างมันพูดออกมาแต่ละครั้งทำผมคิดไม่ตกทุกที “ลองปล่อยให้เธอเข้าหาดูดิ เผื่อไอ้ศรจะหึงบ้าง”


“หาเรื่องใส่ตัว” ผมส่ายหน้า จริงจังครับ ยังไงก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด


“ไม่ลองดูสักหน่อยวะ เอาแต่พองาม พอให้รู้ว่ามันหึงก็พอไง”


“ไม่…”


“มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่ามันแคร์มึงบ้างรึเปล่า กูว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีนะ วันนี้ไปกินเลี้ยงร้านเดียวกันด้วยใช่ป่ะ เหมาะมาก เชื่อกู”


“แต่ช่วงนี้มันแสดงออกเยอะขึ้นนะว่ารักกู”


“แต่กูว่าผลลัพธ์มันอาจมีได้หลายแบบ” ไอ้โจขัดขึ้นมา ท่าทางมันซีเรียสดูเอาการเอางานผิดกับตอนเรียน “มันอาจจะหึงมึงจริง หรืออาจจะแค่รู้สึกเสียหน้า หวงของเฉย ๆ ก็ได้”


“แรงว่ะ!” พีทว่า


“อ้าว! ก็จริงนี่หว่า เรื่องของความรู้สึกมันซับซ้อนนะเว้ย อย่างมึงอ่ะแสดงออกทั้งท่าทางและคำพูดมาตลอด แต่มันไม่เคยนะ มึงจะแน่ใจได้ไงว่าหึงจริง”


“พูดเหมือนรู้จักความรักเว้ยเห้ย” เต๋าว่าไอ้โจ ขณะที่ผมเงียบไปนานแล้ว ทุกคำพูดของเพื่อนเข้าหูผมทั้งหมด มันซึมลึกไปถึงสมองและผมก็ดันคล้อยตามคนไม่ได้เรื่องที่สุดอย่างโจแทนเต๋าเสียแล้ว


“สุดแล้วแต่มึงแล้วกันนะ” เต๋าตบบ่าผมให้กำลังใจ มันเองก็คงเห็นด้วยกับโจไม่มากก็น้อยถึงได้ไม่ยุให้ผมทำแบบเดิมต่อ






แม้จะไม่อยากทำตามคำแนะนำเดิมของไอ้เต๋า แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่เมื่อผมถูกเพื่อนบังคับให้นั่งตรงกลางระหว่างสาวรุ่นน้องที่รับบทนางเอกและมิ้นที่รับบทนางร้ายด้วยเหตุผมที่ว่าต้องสร้างความคุ้นเคยสนิทสนมกันไว้เพื่องานแสดงที่ลื่นไหล


ผมเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ด้วยการทำตัวยุ่งตลอดเวลากับหน้าจอโทรศัพท์บ้าง เดินออกไปคุยนอกโต๊ะบ้าง ซึ่งเป็นการโทรถามศรว่าจะมาถึงร้านกันเมื่อไหร่ จองโต๊ะหรือยัง นั่งกันตรงไหน จนเมื่อถาปัดกลุ่มใหญ่มาถึงกันนั่นแหละ ผมจึงจำต้องพาตัวเองกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างช่วยไม่ได้


พวกผมต่อโต๊ะกันจนเป็นแถวยาวที่รองรับกว่าสามสิบชีวิต ผมนั่งโซนกลางซึ่งห้อมล้อมด้วยนักแสดง ขณะที่เพื่อน ๆ ผมต้องระเห็จไปนั่งกับกลุ่มคนเบื้องหลังซึ่งห่างไกลจากจุดที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้


กลุ่มศรนั่งห่างออกไปสองโต๊ะ ไม่ไกลเกินกว่าที่สายตาของผมจะมองเห็น และการที่มันเลือกนั่งหันหน้ามาทางผมก็ยิ่งทำให้ผมสะดวกในการสอดส่อง แต่ที่ทำให้หงุดหงิดสุด ๆ คือการที่ไอ้เด็กจากคณะเกษตรนั่งอยู่ข้างมันที่โต๊ะนั้นด้วย!


“หายไปนานเลยนะคะโอม มิ้นย่างไว้ให้แล้วค่ะ” ผมไม่ทันสนใจเนื้อหมูสุกแล้วที่เธอคีบใส่จานผม ไม่สนใจจะเอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับไอ้ศรและเหี้ยนั่น


การที่มันก็เล่นละครเวทีเรื่องนั้นด้วยทำให้ผมร้อนรน อยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้เรื่องแต่ทำได้แค่ส่งข้อความไปเท่านั้น



OMIN : มันเล่นเรื่องเดียวกับมึงเหรอ
DharmaSORN : ใคร
OMIN : ไอ้เด็กเกษตรที่นั่งข้างมึง
DharmaSORN : ไอ้ท็อปอ่ะนะ
OMIN : เออสิวะ
DharmaSORN : ก็เออ มันเล่นเป็นคู่แข่งกู
OMIN : ทำไมมึงไม่บอกกู
DharmaSORN : ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรป่ะวะ มันจะเล่นก็สิทธิของมันอ่ะ เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับกู



ฮึ่ย!! แต่มันชอบมึงไงโว้ย!!!



OMIN : อย่าให้มันเข้าใกล้มาก
OMIN : กูหวง
OMIN : กับคนนี้กูจริงจังมากนะศร


ไม่อยากบอกมันตรง ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรด้วย ผมเลยต้องทำตัวหมาหวงก้างแบบงี่เง่าอยู่อย่างนี้



DharmaSORN : กูไม่ยุ่งกับมันอยู่แล้วหน่า รำคาญมันจะแย่



ถามว่าผมเชื่อมันได้ไหม


ดูจากที่มันไม่ได้คุยกับโอ้ท็อปอะไรนั่นมากนักและยังมีท่าทีรำคาญจริงดังว่าแล้วผมก็เชื่อสนิทใจ แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด มันคันยุบยิบในใจจนแทบบ้า


นี่ยังไม่นับรวมสาวสวยพวกนั้นที่ห้อมล้อมและพร้อมใจกันปรณนิบัติเอาใจมันสารพัดอีกนะ


ให้ตายเหอะ ผมหัวร้อนมากจริง ๆ แล้วตอนนี้


ผมคีบหมูที่มีคนย่างให้เข้าปากด้วยความหงุดหงิด นี่ผมนั่งมองแฟนตัวเองถูกคนอื่นกระแซะตักนั่นคีบนี่ให้มาเกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง อยากจะเดินเข้าไปอาละวาดเสียให้วงแตก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันห้ามไว้ก่อนตั้งแต่ต้น มันมากับเพื่อนใหม่ นี่เป็นการละลายพฤติกรรม ไม่ใช่มาทำให้ทุกคนขยาดกับการร่วมงานกันเพราะความขี้หึงของผม


งาน


งาน


งาน


งานโว้ยยยย


นี่ผมเอาแต่ท่องคำนี้มานานแค่ไหนแล้ว บอกเลยว่าครั้งนี้ผมทนได้นานกว่าที่เคยทำสถิติไว้เยอะมาก และตอนนี้ผมก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว!!


ไม่ครับ ผมไม่ได้ทำอย่างที่ใจต้องการหรอก คนอย่างกูทำได้แค่เดินไปสงบสติที่ห้องน้ำเท่านั้นแหละ


วิถี loser สัด ๆ


ผมเดินวนอยู่หน้าห้องน้ำซึ่งเป็นโซนสำหรับสูบบุหรี่ ผมไม่อยากสูบเพราะเลิกไปนานแล้ว (ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้ติดบุหรี่อะไรมากนัก) ถึงจะเครียดถึงจะหงุดหงิดแต่ก็ต้องห้ามใจตัวเองไว้ ผมเป็นคนชวนศรเลิก ผมก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้มันด้วย


“โอมคะ” ผมสะดุ้งสุดตัว ไม่ใช่เพราะเสียงหวานหู แต่เพราะถูกใครก็ไม่รู้เข้ามาเกาะแขน จนเมื่อหันไปมองเต็มตาถึงได้รู้ว่าเป็นมิ้น


“ปล่อย” ผมพูดนิ่ง ๆ อย่างไม่สบอารมณ์


“คืนนี้เราไปต่อกันนะคะโอม”


ผมชักสีหน้า นอกจากเธอจะไม่ปล่อยแล้วยังเบียดเนื้อตัวเข้าใกล้ผมอีก “นี่มันที่สาธารณะนะคุณ จะทำอะไรหัดคิดบ้าง”


เธอยิ้ม ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมเพิ่งตำหนิไปสักนิด “หมายความว่าถ้าเป็นที่ลับตาคนก็ทำได้สินะคะ”


“จะที่ไหนก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น ผมมีแฟนแล้ว และที่สำคัญคือไม่ได้ชอบคุณ!” ผมสะบัดสาวเจ้าออกได้ในครั้งเดียวด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยคิดจะใช้กับผู้หญิงคนไหน วิถีไม่เป็นสุภาพบุรุษไม่เคยมีอยู่ในหัว แต่เวลานี้ผมหงุดหงิดเกินกว่าจะมีอารมณ์ถนอมน้ำใจใครได้อีก








(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 12-06-2018 23:25:25

ผมเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ อยากจะย้ายที่นั่งแต่ก็ทำไม่ได้เพราะทุกคนกำลังนั่งประจำที่ตนเองและสนุกสนานกับคนรอบข้าง ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ผมต้องนั่งติดกับเธอต่อไป


ความขุ่นมัวในอารมณ์ของผมพุ่งสูงยิ่งขึ้นเมื่อเห็นไอ้คุณชายเอาอกเอาใจผู้หญิงรอบข้างมัน ตอนมันถูกเอาใจผมยังเข้าใจว่าเป็นมารยาทที่มันต้องรับน้ำใจไว้เพื่อการร่วมงานที่ราบรื่น แต่ตอนที่มันเอาใจเขาด้วยท่าทียินดีปรีดาเสียเหลือเกินนั่นทำให้ผมฟิวล์ขาด ยิ่งเห็นมันคุยกับไอ้เด็กคณะเกษตรคนนั้นอย่างหน้าชื่นตาบานผมก็ยิ่งทนต่อไปไม่ไหว คำห้ามที่เคยได้รับไม่อยู่ในหัวผมอีกต่อไป ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากพามันออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด


“กูกลับก่อนนะ”


“อ้าวเห้ย รีบไปไหนวะ” ผมได้ยินเสียงไอ้โจร้องถาม แต่ผมไม่สนใจจะตอบ เดินดุ่ม ๆ มุ่งหน้าไปยังโต๊ะของเด็กถาปัดด้วยความร้อนรุ่ม


“กลับ!” ผมกระชากแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน มันยืนตามแต่ยังขืนตัวไปออกจากตรงนี้ เรายืนจ้องตากัน นัยน์ตาคู่สวยที่ผมชอบมองเต็มไปด้วยความว่างเปล่าที่ยากจะคาดเดา เป็นอีกครั้งที่ผมอ่านมันไม่ออก


“เกิดอะไรขึ้นวะศร” ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักเข้ามาแทรกตัวระหว่างเรา นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววเป็นห่วงคนของผมอย่างออกนอกหน้า ขัดหูขัดตาเสียจนผมอยากจะอัดหน้ามันสักครั้งถ้าศรไม่แทรกตัวเข้ามาคั่นกลางเสียก่อน


“ไม่มีอะไร กูกลับก่อนนะฟ้า ผมกลับก่อนนะครับทุกคน”








อันที่จริง...ผมไม่ควรคาดหวังว่าคน ๆ หนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาเป็น เพียงเพราะ ณ เวลานี้เขาดูเหมือนจะรักเรา


คงจะจริงอย่างนั้น


ผมไม่ควรคาดหวังว่าไอ้ศรจะเลิกทำตัวเพลย์บอย


“บางทีกูก็คิดนะว่ามึงอาจจะไม่ได้รักกูเหมือนที่กูรักมึง!” ผมระเบิดเสียงทันทีที่เข้ามาในห้องหลังจากใช้ความเร็วสูงในการขับรถมาถึงคอนโดโดยสวัสดิภาพ


“พูดบ้าอะไรของมึงวะ”


“ถ้ามึงรักหรือชอบกูสักนิด มึงก็คงไม่มีความรู้สึกอยากใกล้ชิดคนอื่นที่ไม่ใช่กูอีก”


“หมายความว่ากูไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยรึไง”


“มีได้เว้ย แต่ไม่ใช่แบบเมื่อกี๊!”


“...”


“รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าควรจะแคร์กูให้มากกว่านี้อ่ะ!!”


“...”


“อย่าให้กูทำแบบมึงบ้างนะศร!”


“แล้วตอนนี้ยังไม่ได้ทำอยู่รึไง!”


“หมายความว่าไง? ศร หันมาคุยกันก่อน มึงไปเห็นหรือได้ยินอะไรมา”


“...”


“ไม่คุยกันแล้วจะเข้าใจกันเหรอวะ”


“กูไม่อยากคุย”


ผมแค่นหัวเราะ “หึ แน่ล่ะ มึงไม่ได้รักกูอยู่แล้วนี่ มึงอยากเลิกอยู่แล้วกูรู้” เพราะที่ผ่านมาศรไม่เคยทำให้ผมมั่นใจเลยว่ามันเองก็คิดแบบเดียวกับผม มันยังทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับทุกคน หว่านเสน่ห์เขาไปทั่ว ที่สำคัญคือมันไม่เคยเปิดใจ ทำเหมือนผมเป็นแค่คู่นอนไม่ใช่คู่รักจนอดคิดไม่ได้ว่ามีผมฝ่ายเดียวที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้ไว้


“เราเลิกกันดีไหมวะ”


“อะ อะไรนะ” ผมรู้สึกเหมือนหมดเรี่ยวแรงเมื่อได้ยินคำว่าเลิกออกจากปากของศรเข้าจริง ๆ


“คบกับกูแล้วมึงดูเหนื่อย ยิ่งคบกันมึงก็ยิ่งเหนื่อย ถ้ามึงเหนื่อย เราก็เลิกกะ…”


“เงียบ!” ผมตะโกนสุดเสียง มือไม้ผมสั่นพอ ๆ กับหน้าที่สั่นเพราะกัดกรามเพื่อคุมอารมณ์ ขมับผมคงมีเส้นเลือดปูดโปน และคงจะแตกได้ง่าย ๆ หากได้ยินถ้อยคำทำร้ายจิตใจจากศรอีกครั้ง


“...”


“กูบอกให้หยุดพูด ได้ยินไหม!!” ผมแหกปากสุดเสียงอีกครั้งทั้งที่อีกฝ่ายเงียบไปนานแล้ว จากคนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงก็ไม่รู้ว่าไปเอากำลังมหาศาลมาจากไหนถึงได้พุ่งเข้าหากายที่สูงพอกันอย่าบ้าคลั่ง แรงปะทะจากการจับไหล่ทั้งสองข้างของศรทำให้ร่างของมันเซไถลไปด้านหลังก้าวครึ่ง


ผมจ้องตามันในระยะใกล้ นัยน์ตาคู่นั้นว่างเปล่าจนผมกลัว “อย่าพูดแบบนี้อีก...อย่าพูดว่าเลิกกัน” คล้ายกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะรั้นยึดความต้องการเดิมที่จะจากไปผมจึงรีบคว้าร่างนั้นมากอดไว้แน่น


“มึงไม่เหนื่อยจริง ๆ เหรอวะโอม กูคบกับมึงกูยังรู้สึกเลยว่ามึงเหนื่อย มึงกังวลตลอดว่ากูไม่ได้รักมึง มึงระแวงว่ากูจะมีคนอื่น มึงไม่เคยเชื่อใจกู ความสัมพันธ์ที่มันดำเนินบนพื้นฐานของความรู้สึกแบบนี้...มึงไม่เหนื่อยจริง ๆ เหรอวะ”


“กูรักมึง” ผมพูดด้วยเสียงหนักแน่นทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกสั่นไหว “อย่าทิ้งกูไป”


“...”


“กูไม่เหนื่อยเลยศร กูขอโทษ กูขอโทษ”


“โอม ปล่อยกูก่อน กูเจ็บ”


“กูรักมึง”


“...มึงได้ยินไหมว่ากูเจ็บ!!”


“ขะ ขอโทษ เจ็บตรงไหนไหม กูขอโทษ” ผมผละออก ละล่ำละลักขอโทษพร้อมพลิกตัวมันไปมาราวกับหาร่องรอยการบาดเจ็บราวกับคนขาดสติ


“พอเถอะหน่า!” ศรผลักผมออก


“ศร กู…”


“ถ้าอยากคุยกูก็จะคุย”




แม่งโคตรเจ็บ


เป็นความรู้สึกที่นั่งคนละมุมของโซฟาเหมือนเดิมแต่รู้สึกถึงความห่างเหินกว่าทุกที


ผมรู้สึกเหมือนกำแพงของศรทั้งสูงและหนาตัวขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย


แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่มันพูดคำนั้นออกมา


คำว่าเลิกกัน


“แล้วยังไง? ถ้าไม่เลิกแล้วมึงจะเอายังไง มึงรับได้เหรอถ้ากูจะสนิทกับคนอื่น” ศรไม่ได้หันมามองผมอย่างที่ผมทำ มันเอาแต่มองหน้าจอมืดดำของโทรทัศน์ราวกับว่ามันน่าสนใจเสียเต็มประดา


“ขอแค่อยู่ในขอบเขต”


“แบบไหนล่ะ” ศรหันมามองกันเต็มตา “แบบที่เกาะแขนออดอ้อนกันเนื้อแนบเนื้อน่ะเหรอถึงจะอยู่ในขอบเขต ถ้าถึงขั้นมีเซ็กซ์กันแล้วบอกว่านอกขอบเขตงั้นกูก็ไม่เคยทำอะไรผิดนะ!”


“ไอ้ศร!!”


“ทำไม!? กูพูดอะไรผิดเหรอ”


“...”


“เหอะ อยากต่อยกูสักหมัดไหมล่ะ” มันหลุบตาลงต่ำ คงเห็นว่าผมกำลังกำหมัดแน่นถึงได้พูดอย่างนั้น “เอาไหม ต่อยกันให้น่วมแล้วแยกกันไปเลย”


“พูดบ้าอะไรวะ!”


“...”


“คิดว่าคนอย่างกูจะทำร้ายมึงได้ลงคอเหรอ!!”


“...”


“แล้วเรื่องแยกกันก็เลิกคิดไปได้เลย”


“...”


“เราพูดกันดี ๆ ไม่ได้เหรอวะ” เสียงของผมอ่อนลง


“...”


“ศร...มึงไปรู้ไปเห็นอะไรมา กูอธิบายได้นะ แค่มึงถาม แค่มึงถามมาเท่านั้น มึงยังแคลงใจอะไรในตัวกูอีกเหรอ กูเคยทำอะไรให้มึงไม่มั่นใจในความรักของกูรึไง”


ศรหรี่ตามอง ถึงจะเรียวเล็กกว่าปกติแต่ผมก็เห็นว่ามันเริ่มแดง


“...เคยมีซักครั้งเหรอ”


ผมไม่ได้คาดคั้นต่อจากนั้น ปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ให้อีกฝ่ายได้ตรึกตรอง ศรยังคงจ้องหน้าผม ใบหน้าเรียบเฉยก็ยังหล่อไร้ที่ติ เพียงแต่สิ่งที่แสดงออกทางแววตาไม่ได้ว่างเปล่าอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ยิ่งมองลึกลงไปผมก็ยิ่งสับสนเมื่อพบว่ามันมีอะไรมากมายอยู่ในนั้น อะไรที่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดจากความผิดใจกันครั้งนี้หรือสะสมมานานแค่ไหนแล้ว


“มึงกับผู้หญิงคนนั้น...” ผมรออยู่นานแค่ไหนไม่รู้กว่าที่ศรจะยอมเปิดปากพูด “..ที่หน้าห้องน้ำ”


“ถ้าหมายถึงเรื่องวันนี้กูอธิบายได้นะ” ผมใจร้อนเกินกว่าจะรอให้อีกฝ่ายเล่าจบ เพียงแค่เกริ่นมาแค่นี้ผมก็พอจะเดาได้ว่าศรไปเห็นอะไรมา


“วันแคสติ้งนั่นด้วย”


ผมพุ่งเข้าไปหมายจะคว้ามือมันไว้แต่กลับคว้าได้เพียงลมราวกับอีกฝ่ายรู้ทัน มันรีบชักหลบพร้อมกับหันหน้าหนี “ถอยออกไปแล้วเล่ามา”


ผมถอยกลับมาที่เดิมตามคำสั่งนั้น สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งหลักก่อนเริ่มเล่าความจริงในแง่มุมของตัวเอง “ไม่ว่าจะเป็นวันนั้นหรือคืนนี้ ที่มึงเห็นคือเธอพยายามเข้าใกล้กูแต่กูไม่เล่นด้วย” ผมไม่อยากพูดจาไม่ให้เกียรติเพศแม่ แต่เพราะผมแคร์ไอ้ศรมากกว่าจึงจำต้องพูดอะไรแบบนั้นออกไป “กูรักมึงมาก รักมึงคนเดียวมึงก็รู้”


“...”


ไอ้ศรเงียบ ความเงียบของมันทำให้ผมต้องย้ำอีกครั้ง “กูรักมึง”


“...”


“กูรักมึงมากนะศร” ผมเอาแต่พร่ำพูดคำว่ารักซ้ำไปซ้ำมาผิดจากที่เคยค่อนขอดว่าพูดบ่อยจะฟังดูไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่นาทีนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันคือคำเดียวที่จะช่วยรั้งใจศรให้อยู่กับผมได้ “มึงเชื่อกูใช่ไหม”


“เธอไม่รู้ว่ามึงมีแฟน?”


“รู้สิ กูอยากบอกคนทั้งโลกเลยด้วยซ้ำว่ามึงเป็นแฟนกู” ผมว่าผมพูดยาวเกินไป และนั่นทำให้ผมลิ้นรัวเพราะความเร่งรีบด้วย


“เธอไม่ปล่อยมึงแน่” ศรหันมามองหน้ากัน ตามันยังแดงเหมือนเดิม แต่คราวนี้จมูกแดงด้วย มันคงกำลังกลั้นรอยสะอื้นอยู่


“กูจะรีบจัดการ”


“ถ้ามึงทำไมได้?”


“กูแคร์มึงคนเดียวศร กูไม่แคร์ใครทั้งนั้น เชื่อกู”


ผมจ้องตามันราวกับจะให้คำมั่นสัญญาว่าผมจะรีบแก้ปัญหานี้ให้ได้ และมันก็ไม่ใจร้ายด้วยการหันหน้าหนี ศรจ้องมองตอบราวกับรับรู้ถึงความจริงใจของผม แต่แล้วสุดท้ายมันกลับลุกขึ้นยืน


“กูจะไปนอนบ้านอา” ใจผมหล่นวูบ แม้จะดีใจที่ไม่ว่ามันจะไปไหนก็ยังยอมบอกกัน แต่การที่มันเลือกจะหนีหน้าผมในคืนนี้ก็นับว่าสร้างความเจ็บปวดและรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเรามากทีเดียว


“มึงไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ถ้ายังไม่อยากนอนกับกู กูจะกลับไปนอนห้องกูเอง”


“มึงนอนที่นี่ไปเถอะ เพราะต่อให้มึงกลับห้องไปกูก็จะไปนอนบ้านอาภพอยู่ดี”


“แล้วพรุ่งนี้….” ...จะกลับมาไหม




“กูไปนะ”












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 13
-----------------------------------------------------------------------
เหตุผลของการเขียนด้วยสรรพนามบุรุษที่ 1 เพราะอยากนำเสนอมุมมองความรักของแต่ละฝ่ายในฐานะคนที่เป็นแฟนกันแล้ว คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง อีกคนก็คิดอีกอย่าง ทั้งความคิดและการกระทำหรือมุมมองเกี่ยวกับเรื่องความรัก ทั้งหมดล้วนเกิดจากพื้นเดิมของแต่ละคน
ครั้งหน้ามาดูมุมมองของธรรมศรกันบ้างค่ะ

อย่ากลัวว่าเขาจะเลิกกัน (ตอนนี้)
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-06-2018 00:33:51
ปวดจิต ปวดใจเหลือเกิน :sad4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 13-06-2018 12:00:12
ขอคอมเม้นต์ยาว ๆ ในฐานะคนรักศรนะคะ55555

เราคงเป็นคนนึงในส่วนน้อยมาก ๆ ของคนติดตามเรื่องนี้ เราอยากให้ทั้งคู่เลิกกัน เลิกให้จบ ๆ ไป เลิกให้พิสูจน์อะไรต่าง ๆ มันดูเป็นความสัมพันธ์ที่เหนื่อยจริง ๆ โอมให้ความรักในรูปแบบที่เหนื่อยเกินไป แต่รูปแบบนั้นก็ไม่ผิด ถ้าโอมผิด อะไร ๆ คงเคลียร์กันง่ายกว่านี้ อันนี้ใคร ๆ ก็เทาหมด เลือกเข้าข้างไม่ถูก(แต่เอียงทางศรแน่นอนอยู่แล้ว555)

เราตามเรื่องนี้มาแต่แรกขอเดาเลยว่า ยังไงความสัมพันธ์นี้ก็ต้องเลิกกัน และถ้าไรต์ไม่ใจร้าย5555 คงกลับมารักกันให้เราได้ชื่นใจ ฮืออออ

สุดท้ายคือ รักนะคะไรต์ งานวิชาการที่ลำบากของไรต์ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ ไรต์จะได้อารมณ์ดีดี ปรานีโอมศรบ้าง55555555

จะติดตามเสมอไม่ว่าจะจบยังไง :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saiimai1998 ที่ 13-06-2018 12:04:22
แงงงงง คุณธัญญ์ทำไมมันมึนๆตึงๆอย่างนี้ละคะะะ
อ่านทอล์คแล้วใจแป้วเลย อย่าเลิกกานนนน้องโอมน้องศร มาต่อเร็วๆนะคะไรท์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 13-06-2018 17:51:11
เห้อ เศร้าอ่ะ อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ เอาจริงๆเราก็สงสัยแบบโอมแหละว่าจริงๆแล้วศรรักโอมบ้างมั้ย...
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-06-2018 20:29:32
เหนื่อยแทนค่ะ โอมระแวงตลอด ศรก็มีเรื่องในใจ อึดอัดแทนทั้งคู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าจบ bad end นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 12 P.5 [12/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 14-06-2018 20:40:43
 :sad4: :z3: :z3:
ทรมานจิตจายยยย
เห็นคนสปอยในทวิตว่าเศร้า นี่เลยไม่ค่อยกล้าอ่าน ต้องขอทำใจก่อน
ศรลูกกกก ไม่เอาไม่พูดว่าเลิกกันอีกแล้วนะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 07-07-2018 21:05:37



Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 13

---DharmaSORN---






**พาร์ทที่ธรรมศรคุยกับอาภพ อยากให้อ่านเว้นวรรคตามนั้นนะคะ อ่านช้า ๆ ด้วยรัก.







วันนี้โอมอินพูดคำว่ารักเยอะกว่าปกติตลอดเวลาที่เราคบกันมาเสียอีก


แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกใจฟูฟ่องอย่างที่เคยคิด


ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ ไม่ใช่จะไม่รับรู้ถึงความจริงใจที่โอมมีให้


แต่เพราะผมกลัว…


ผมกำลังกลัวจะเสียมันไปจริง ๆ


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหนีออกมา


ใครบอกว่าผมไม่แคร์ความรู้สึกมัน ถ้าไม่แคร์ ตอนอยู่ที่ร้านผมคงไม่เดินตามมันออกไปเพราะอยากทำให้มันเชื่อใจหรอก


เพราะเห็นโอมเดินออกไปทางห้องน้ำ ผมจึงลุกออกจากโต๊ะเดินตามไปด้วย รู้ดีว่ามันคงหงุดหงิดกับคำห้ามของผม ผมจึงอยากจะตามไปคุยด้วยเพื่อให้มันสบายใจ ไม่อยากให้มันอยู่กับอารมณ์ขุ่นมัวตลอดทั้งคืน แต่ภาพที่ผมเห็นมันไม่ใช่ โอมไม่ได้ลุกออกมาเพราะสิ่งที่ผู้หญิงพวกนั้นทำกับผมแล้วทำให้มันไม่สบายใจ แต่มันออกมาเพราะอยากทำอะไร ๆ กับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างถนัดมากกว่า ตอนนั้นใจผมแกว่ง มันทั้งบีบหน่วงและอึดอัด ความรู้สึกที่โอมมีให้ถูกสั่นคลอน มันมีแต่ความไม่แน่นอนเต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะคิดว่าผมกำลังจะเสียมันไปจริง ๆ โอมอินคนที่รักผมแคร์ผมทุกอย่างกำลังจะทิ้งผมไปอีกคน


ผมทนดูอยู่ได้ไม่นานก็กลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยความขุ่นมัว ใครพูดอะไรก็ไม่เข้าหูสักอย่าง จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายกลับมานั่งที่เดิมพร้อมผู้หญิงคนนั้น ผมก็เริ่มทำเหมือน ๆ เดิมอย่างที่เคยทำเวลาต้องการความมั่นใจในความรู้สึกที่มันมีให้


ที่ผ่านมาอาจจะแค่เล่นหูเล่นตากับคนรอบข้างเพื่อยั่วหยอกมันเล่น ๆ แต่ครั้งนี้ผมทำมากกว่าทุกครั้ง


ผมเริ่มเอาใจพวกเธอกลับบ้างหลังจากที่เป็นฝ่ายได้รับมาตลอด คีบนั่นตักนี่ให้คนโน้นทีคนนี้ที หรือแม้กระทั่งกับท็อปเองผมก็ยังบริการและเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง


ท็อปดูงง ๆ แต่ไม่ได้ถามอะไรกลับ แหงอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าผมเป็นคนเฟรนลี่ ที่ปากดีใส่ตอนแรกเพราะไม่สนิทกันก็เท่านั้น


ผมทำตัวเกินกว่าภาวะปกติได้ไม่นานเท่าไหร่ไอ้โอมก็บุกเข้ามา หน้าตาขมึงตึงของมันทำเอาเพื่อนร่วมงานของผมตกใจ มันพุ่งตรงเข้ามาหาผม ออกคำสั่งใส่เสียงดังลั่น สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ขมับมันเองก็เช่นกัน ดูก็รู้ว่ากำลังโกรธมาก เพื่อนผมที่ชื่อเท่าฟ้าเข้ามาขวางด้วยความเป็นห่วงเพราะมันไม่รู้จักโอมอิน แต่ผมห้ามไว้แล้วบอกลาทุกคนตอนนั้น


สุดท้ายเราก็ทะเลาะกัน


เราหนีไม่พ้นการทะเลาะกัน...มันรุนแรงกว่าทุกครั้ง


และผมก็เป็นฝ่ายหลุดปากพูดคำนั้นออกไปก่อน


คำว่าเลิกกัน


ผมไม่เคยมีสัมพันธ์ที่ยืนยาวกับใครเพราะผมกลัวที่จะได้ยินมัน คำ ๆ นั้นที่จะทำให้ชีวิตผมต้องโดดเดี่ยวและไม่มีใครต้องการอีกครั้ง


ในภาวะที่ผมไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร ผมก็มักจะนึกถึงอาภพ


อาภพเป็นแพทย์เฉพาะทางด้าน palliative care ผมไม่รู้เรื่องงานของอามากนัก รู้แค่ว่าคนไข้ของอาเป็นกลุ่มคนใกล้ตาย อยู่ในระยะสุดท้ายของโรค รักษาไม่หายแล้วทั้งนั้น ชีวิตผมแทบจะโตมาในบ้านหลังนั้นหลังจากที่คุณย่าเสียไปตอนผมอายุได้สิบขวบ


ผมโทรหาอาภพทันทีที่ออกจากคอนโด บอกให้ท่านรอเพราะผมต้องการความช่วยเหลือแม้จะดึกมากแล้วก็ตาม


ผมขับรถออกจากคอนโดด้วยความเร็วสูงแม้ว่าจะถูกอาภพสั่งห้าม แต่ถ้าขับช้ากว่านี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะมัวแต่หลุดลอยไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่มีสมาธิพอจะโฟกัสถนนหนทาง


ในขณะที่รถติดไฟแดงเพียงแยกแรกที่ออกจากคอนโดผมก็ได้รับสายจากกอล์ฟที่ระดมโทรมาหลายสายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


“ว่าไง” ผมพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ตัดสินใจเปิดลำโพงแทนการใส่สมอลทอร์ค


“เกิดอะไรขึ้นวะ นี่มึงอยู่ไหน”


“มีอะไร” ผมไม่ตอบ เมื่อสัญญาณไฟเขียวขึ้นมาผมก็ออกรถต่อทันทีด้วยความเร็วในระดับเดิม


“ไอ้ฟ้ามันเป็นห่วงมึง มันโทร.มาเล่าให้กูฟังว่ามึงมีปัญหากับใครสักคนในกลุ่มนิเทศฯ แล้วมึงก็เดินออกไปกับมัน...ใช่ไอ้โอมไหม”


“เออ ก็มีอยู่คนเดียวอ่ะที่กูยอม” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจหลังจากนั้น คิดว่ามันคงเบาใจจากการเป็นห่วงผมเพราะการตื่นตูมของเท่าฟ้า


“แล้วเป็นบ้าอะไรกันอีก”


“ไม่มีอะไรก็แค่มันหึงกู” ผมพูดเสียงนิ่ง พยายามให้ดูเหมือนทุกครั้งที่โอมหึงผม


“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำตัวแบบนี้วะ” ขอบคุณที่กอล์ฟไม่ขึ้นเสียงใส่ผม แต่การที่มันพูดด้วยความเหนื่อยหน่ายมันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่าโอมอินเองก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกัน


...เบื่อผม


“ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งอื่น ไอ้...ไอ้โอมมันอยู่กับผู้หญิงคนอื่น”


“อยู่กันแบบไหน”


“แนบชิดกัน” ผมลดระดับความเร็วของรถลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ตอนที่ตอบเสียงแผ่วเบามันทำให้ผมได้รู้ว่าระดับความเร็วตอนนี้แทบไม่ต่างจากคนเพิ่งหัดขับและยังเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง โชคดีที่ดึกเกินกว่าจะมีรถราแน่นขนัด ทำให้ผมไม่ต้องเสี่ยงโดนเสยตูดหรือโดนด่าไปถึงบุพการี


“แล้วยังไงวะ…”


ผมเร่งความเร็วของยานพาหนะขึ้นอีกครั้ง อยากจะไปให้ถึงบ้านอาภพเต็มทีแล้ว


“...พวกมึงเล่นบ้าอะไรกันอยู่ ใครทำให้อีกฝ่ายเสียใจได้มากกว่าคนนั้นจะชนะหรอ”


กึก


เอี้ยดดดดดด


ไม่ใช่แค่ลมหายใจผมที่สะดุดหลังได้ยินประโยคนั้นของกอล์ฟ แต่รถที่ขับอยู่ก็สูญเสียการควบคุมจนเสียหลักเบรกกะทันหันไปด้วย ด้วยความเร็วที่เกินจำกัดกับการเบรกเฉียบพลันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ล้อจะสะบัดจนสูญเสียทิศทางและสุดท้ายผมก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หัวรถยังหันไปด้านเดิมหรือเปล่าและอยู่มุมไหนของถนน ไม่สนใจว่าภาพตรงหน้าคืออะไร รับรู้แต่มือสั่นเทาที่ยังจับพวงมาลัยไว้แน่น มีเสียงลมหายใจที่ดังกว่าปกติเล็กน้อยกำลังดังแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงเร็วกว่าครั้งไหน ๆ จนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากช่องอก


“เลิกซะทีเถอะ ไอ้การพยายามทำให้มันหึงเพื่อเรียกร้องความสนใจอ่ะ” ผมยังได้ยินเสียงกอล์ฟดังอย่างต่อเนื่อง เพราะผมไม่ร้อง ปลายสายจึงไม่รู้ว่าฝั่งนี้เกิดอะไรขึ้น


ริมฝีปากผมสั่น ผมต้องใช้ความพยายามในการโต้ตอบกลับไปทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะดังพอหรือเปล่า และดูเหมือนว่าผมจะโชคดีที่ไม่ต้องพูดซ้ำอีกครั้ง


“ถ้าไม่ทำแบบนั้น จะรู้ได้ยังไงว่ามันยังสนใจกูอยู่”


“มึงยังต้องสงสัยอะไรในตัวมันอีกเหรอวะ ทั้งหมดที่ผ่านมามันยังแสดงออกไม่มากพอเหรอว่ารักมึงอ่ะ”


“แล้วกูไม่แสดงออกตรงไหน ถ้ากูไม่รักมันกูจะยอมให้มันเอาทั้งที่เอาคนอื่นมาทั้งชีวิตเหรอวะ” นั่นน่ะ ศักดิ์ศรีทั้งหมดในชีวิตกูเลยนะ ผมเริ่มขึ้นเสียง แต่ไม่รู้ว่ามันจะดังได้สักแค่ไหน


“แล้วไม่คิดเหรอว่ามันเองก็กลัวว่ามึงจะภูมิใจในตัวเองมากกว่าถ้าได้รุกคนอื่น”


“...” ผมเริ่มรู้สึกว่าวันนี้ไอ้กอล์ฟพูดมากผิดปกติ และมันทำให้ผมรำคาญเอามาก ๆ


“ช่างแม่งเถอะ เราควรเลิกคิดแทนมัน แต่ที่แน่ ๆ คือมึงต้องเลิกคิดอะไรแบบนี้ซะ ถ้าอยากคบกันไปนาน ๆ ก็เปิดอกคุยกันซะ”


“...”


“เลิกคิดเถอะว่าการหึงคือการแสดงความรัก เพราะถ้ามึงไม่เลิกทำตัวให้มันหึง มึงก็เลิกกับมันซะ เลือกเอาว่าอยากมีคนที่รักมึงมากอยู่ในชีวิต หรืออยากกลับไปใช้ชีวิตที่ไม่มีใครเหมือนเดิม กูพูดได้แค่นี้นะศร”


“...”


“อยากรักยืนยาวก็ต้องเชื่อใจกันก่อน เชื่อใจเขา ซื่อสัตย์กับเขา ไม่ใช่คิดจะทดสอบเขาตลอดเวลา เข้าใจใช่ไหม”


“อือ” ผมตอบ ไม่ได้ใส่ใจอะไรคำตอบรับของตัวเองเลยสักนิด แค่อยากให้มันวางสายไปเสียทีเท่านั้นเอง


เสียงจากสมาร์ทโฟนเครื่องบางเงียบหายไปแล้ว มีเพียงเสียงหายใจหนัก ๆ ที่ย้ำเตือนว่าผมยังมีชีวิตอยู่ในรถที่ไม่รู้ว่าภายนอกอยู่ในสภาพไหน มือทั้งสองของผมยังจับพวงมาลัยไว้แน่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะออกรถอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้


‘รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าควรจะแคร์กูให้มากกว่านี้อ่ะ’

‘อย่าให้กูทำแบบมึงบ้างนะศร’

‘เราเลิกกันดีไหมวะ’

.
.
.
‘เราเลิกกันดีไหมวะ’


เสียงที่เราทะเลาะกันดังก้องวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวราวกับมีใครเปิดเล่นไฟล์ซ้ำแล้วนำเฮดโฟนมาครอบหูของผมไว้จนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกเลย


ผมส่ายหน้าไปมาด้วยความหวังว่าจะไล่มันออกไปได้ แต่เปล่าเลย ยิ่งส่ายหน้า เสียงนั้นก็ยิ่งดังชัดขึ้น ชัดทั้งภาพทั้งเสียง...และอารมณ์ของเรา


‘อย่าให้กูทำแบบมึงบ้างนะศร’


ก็อก ก็อก ก็อก


เสียงเคาะกระจกดังแทรกเสียงบ้าบอในหัวที่วนซ้ำอยู่กี่รอบแล้วก็ไม่รู้ ผมหันไปมอง เพราะทัศนียภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมดถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ และน้ำในตาก็เอ่อล้นจนบดบังทุกสิ่งอย่าง


ก็อก ก็อก ก็อก


คงเป็นใครสักคนที่ผ่านมาในบริเวณนี้แล้วเห็นสิ่งผิดสังเกต ผมยังคงปล่อยให้เสียงนั้นดังต่อไป ต่อเมื่อเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ แล้วถึงได้รู้ว่าคนที่กำลังเคาะกระจกเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ข้างนอกคือใคร


“กลับบ้านกับอานะศร”


ผมยิ้ม อาภพคงเห็นว่าผมใช้เวลาเดินทางนานเกินไป ท่านจึงได้ขับรถออกมาตาม ข้างหลังท่านคือลุงแช่มคนขับรถที่บ้านคนเก่าคนแก่ ไม่รู้ว่าผมอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชขนาดไหน แต่ดีใจที่อาไม่ให้เพชรมาด้วย ท่านรู้ว่าผมไม่ต้องการให้ใครเห็นผมในสภาพนี้ เว้นเสียแต่ลุงแช่มที่มีส่วนในการเลี้ยงดูผมมาเหมือนกัน


ผมยิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเองที่แม้แต่เรี่ยวแรงในการพาร่างออกจากรถยังไม่มี ต้องให้คนวัยเกือบเกษียณถึงสองคนช่วยฉุดดึงออกมาและพยุงไปจนนั่งในรถอีกคันได้


อาภพให้ลุงแช่มขับรถของผมกลับบ้าน ระหว่างทางท่านไม่ถามอะไรสักคำ ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบ ๆ แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรต่ออีกแล้วจึงได้แต่มองวิวข้างทางอย่างเลื่อนลอย


“พี่ศร!” ยัยเพชรโผล่หน้ามารับทันทีที่ผมเหยียบเท้าเข้าบ้าน “เกิดอะไรขึ้นคะ”


“พ่อบอกว่าให้ขึ้นไปนอนไม่ต้องลงมาไง ไม่เชื่อพ่อแล้วเหรอ” อาภพดุ


เพชรทำหน้าสำนึกผิดก่อนอ้อมแอ้มตอบ “พี่โอมติดต่อเพชรมาค่ะว่าฝากดูแลพี่ศร พี่เขาเป็นห่วงพี่ศรมากเลยนะคะ”


“ขึ้นไปนอน” อาภพย้ำเสียงเข้มอีกครั้ง ฟังดูจริงจังจนเพชรไม่กล้าขัดคำสั่งอีก


“ฝากบอกมันว่าพี่สบายดี” เพชรชะงัก คงเห็นจากสีหน้าของผมแล้วว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พูดผมจึงย้ำอีกครั้งให้น้องยอมทำตาม “บอกไปด้วยว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ก็กลับไป”





“อยากพักก่อนไหม” อาภพถามทันทีที่อยู่ในห้องนอนประจำของผมกันแค่สองคน ผมส่ายหน้า แต่ถึงอย่างนั้นอาภพก็ยังให้เวลาผมได้อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเพื่อความผ่อนคลายก่อนจะมานั่งหันหน้าเข้าหากันบนโซฟาตัวยาว นานมากแล้วที่ผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ตั้งแต่คบกับไอ้โอมใหม่ ๆ ผมก็แทบไม่ได้อยู่ตรงนี้บ่อยเท่าตอนวัยเด็ก


“ตอนนี้เป็นยังไงบ้างศร” อาภพเปิดบทสนทนาด้วยคำถามเดิมอย่างทุกครั้ง


“ครั้งนี้มันหนักครับ”


อารออยู่หลายอึดใจกว่าจะถามผมต่อว่า “มันเป็นยังไง”


“ผมเห็นโอมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น สองคนแนบชิดกัน...มากกว่าที่ผมเคยทำต่อหน้ามันซะอีก ผมโมโห หงุดหงิด ผิดหวัง ผม…” ผมเล่าช้า ๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายก่อนจะรู้สึกสับสนในตอนท้าย ผมเริ่มกำมือแน่นราวกับว่ามันจะช่วยให้ใจผมสงบขึ้น


“...ผมกลัว...”


“อาเข้าใจนะ ว่าศรกำลังกลัว” สายตาที่อาภพมองมาสื่อว่าอาเข้าใจความรู้สึกผมจริงอย่างที่พูด


“ผมก็เลยแกล้งทำให้มันหึงบ้าง แต่ครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อน ๆ และสุดท้ายเราก็ทะเลาะกัน” ผมก้มหน้าหลังพูดจบ รู้สึกลำคอตีบตันจนไม่อาจพูดต่อได้


“ในความรู้สึกของศร ครั้งนี้คงรุนแรงมากใช่ไหม” เสียงของอาภพทุ้มนุ่มน่าฟังชวนให้รู้สึกผ่อนคลายดีเสียจนมือที่กำอยู่ของผมค่อย ๆ คลายออก


“ครับ เราทะเลาะกัน จนสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายขอเลิก”


“...”


“ผมไม่รู้อ่ะอา ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูดออกไป ผมไม่รู้” ผมรู้ตัวว่าท้ายเสียงผมสั่นเพราะแรงสะอื้น และก็ห้ามได้ยากที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างน่าละอาย


ผมคิดไม่ออกว่าทำไมตอนนั้นถึงบอกเลิกออกไปทั้งที่ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ


หรืออาจเป็นเพราะว่าแววตาเหนื่อยล้าของโอมที่ทำให้ผมยอมแพ้


ยอมที่จะถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายอีกครั้ง


คงเพราะอย่างนั้นผมจึงชิงพูดคำนั้นออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้สิทธิพูด


คำว่า ‘เลิก’ ที่บ่งบอกว่าไม่ต้องการกันอีกแล้ว


ผมรับทิชชูที่อายื่นมาให้เงียบ ๆ อารอให้ผมซับน้ำตาลวก ๆ ได้ประมาณหนึ่งแล้วค่อยพูดต่อ “ครั้งก่อน ๆ ทำไมศรถึงพยายามทำให้โอมหึงแค่เล็กน้อยล่ะ”


“เพราะผมแค่อยากมั่นใจว่ามันยังต้องการผมอยู่ครับ”


“แล้วที่ครั้งนี้ศรทำมากกว่าทุกครั้ง ศรคาดหวังอะไรอยู่บ้างครับ”


“ผมหวัง...หวังว่ามันจะยังสนใจผมอยู่ หวังว่ามันจะรีบทิ้งผู้หญิงคนนั้นมาหาผม”


อาภพยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้คนมองอย่างผมรู้สึกอุ่นใจได้มากทีเดียว “แล้วโอมทำอย่างที่ลูกหวังไหม”


“ครับ มันมาหาผม”


“ตอนนั้นศรรู้สึกยังไง”


“...ดีใจครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผลอยิ้มตามอาภพ แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผมว่าภายในใจผมเองก็กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ออกมาได้เหมือนกัน “รู้สึกดีที่ตัวเองถูกเลือก”


“สิ่งที่โอมทำคือการแสดงออกว่าศรยังมีค่าสำหรับเขานะ และมีค่ามากด้วย”


“ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เชื่อใจมัน ผมยังระแวง”


“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”


“อาก็รู้ว่า...แม่ยังทิ้งผมไปเลย” ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงมันสักเท่าไหร่ “แม่บอกว่ารักผมทุกวัน แต่สุดท้ายก็ทิ้งไปไม่ใยดี”


“ศรก็เลยคิดว่าโอมจะเป็นเหมือนแม่ใช่รึเปล่า”


ผมนิ่งไปหลายอึดใจกว่าจะกล้ายอมรับออกมาด้วยการพยักหน้า


“แม่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งศรหรอกนะ แต่เพราะความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่มันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่เด็กอย่างเรารู้ ศรก็เห็นใช่ไหมว่าระหว่างศรกับแม่ ยังมีคนอื่นที่เป็นปัจจัยร่วมกันอยู่”


“...” ผมคิดตามเงียบ ๆ ผมรู้ว่าอาภพหมายถึงพ่อ


“โอมมีอะไรที่เหมือนแม่ของศรไหม”


“...”


“ความสัมพันธ์ระหว่างโอมกับศร เกี่ยวข้องกับใครอีกรึเปล่า”


“ไม่มีครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว


“เห็นไหม สถานการณ์มันต่างกัน ลูกจะเอามาเทียบกันได้ยังไง จริงไหม...เพราะฉะนั้น จะไม่มีใครทำให้โอมไปจากศรได้ นอกจากความรู้สึกของเราแค่สองคนเท่านั้น...ศรคิดว่ายังไง”


“หมายความว่า...ถ้าผมทำตัวดี ๆ ไม่ชวนทะเลาะ โอมก็จะไม่ทิ้งผมไปไหนใช่ไหมครับ”


“แล้วที่ผ่านมา โอมเคยมีท่าทีนอกลู่นอกทางไหม นี่อาพูดถึงกรณีที่โอมเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อนนะ”


“ไม่เลยครับ” เท่าที่เห็น ผมว่าครั้งนี้เธอเข้าหาโอมก่อนแน่ ๆ


“แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าโอมซื่อสัตย์กับลูกมากแค่ไหน จริงไหม”


ผมไม่ตอบ แต่สีหน้าผมคงแสดงสิ่งที่น่าพอใจสำหรับอาภพออกมา คนสูงวัยกว่าถึงได้ยิ้มกว้างเสริมกำลังใจให้กันยิ่งกว่าเดิม

“แต่ผมก็ยังบอกเลิกมัน”


“ตอนที่พูดออกไปรู้สึกยังไง ต้องการแบบนั้นจริง ๆ ไหม”


ผมส่ายหน้าทันที “ไม่เลยครับ ไม่เคยคิด...แต่เพราะโอมไม่เคยเชื่อมั่นในตัวผม ผมจึงพูดออกไปด้วยอารมณ์”


“โอมบอกเหรอว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวลูก”


“โอมบอกว่าผมไม่ได้รักมัน ผมอยากจะเลิกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว”


“อืม นั่นทำให้ศรฟิวล์ขาดใช่ไหม”


ผมพยักหน้า


“ถึงจะฟิวล์ขาด แต่ศรก็ไม่ได้อยากให้โอมคิดแบบนั้นใช่รึเปล่า”


“ครับ”


“ศรคิดว่าทำไมโอมเขาถึงคิดแบบนั้น”


“...” ผมก้มหน้า ตอบเสียงอ้อมแอ้มอย่างคนไม่กล้าสารภาพผิด “เพราะผมทำตัวไม่ดีเองครับ”


อาเว้นช่วงให้ผมได้คิดถึง ‘การทำตัวไม่ดี’ ของตัวเองได้ไม่กี่ลมหายใจก็พูดขึ้นมาต่อ “แล้วหลังจากพูดไปแล้ว ศรรู้สึกยังไง”


“เสียใจครับ ไม่น่าพูดออกไปเลย”


“หมายความว่าศรเองก็รักโอมมากและยังอยากคบกันต่อ อาเข้าใจถูกไหมครับ”


ผมพยักหน้า


อาภพยิ้ม ไม่มียิ้มครั้งไหนของอาที่ดูไม่จริงใจเลยสักครั้ง “อาจำได้ว่าศรเคยเล่าให้ฟังว่าเจอคนที่ชอบและอยากอยู่ด้วยแล้ว…” ผมจำได้ ผมเล่าเรื่องของโอมอินให้อาภพฟังตั้งแต่วันที่ตอบตกลงคบกับมัน หลังจากนั้นผมก็มาค้างที่บ้านนี้น้อยลง จากเกือบทุกวันกลายเป็นเดือนละครั้งเพื่ออัพเดตสภาพจิตใจให้อาภพฟัง “...จำได้ไหมว่าลูกให้เหตุผลที่ชอบโอมว่ายังไง”


ผมจำได้แบบไม่ต้องคิด ไม่ใช่เพราะความจำดี แต่เพราะมันยังคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผม ‘รัก’ มัน...มากขึ้นทุกวัน “เพราะโอมดูแลเอาใจใส่...ไม่ว่าใครจะเข้ามาก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผมครับ”


ผมรวย หน้าตาดี มีชาติตระกูล คู่ควงผมแต่ละคนดีแต่ประจบไม่ก็วอแวอ้อนขอนั่นนี่ ทุกคนเข้าผมด้วยผลประโยชน์ทั้งนั้น ซึ่งความจริงผมก็ว่ามันคุ้มกันกับการเติมเต็มชั่วครั้งชั่วคราวที่ผมได้รับ โอมอินเป็นคนแรกที่ไม่เคยคิดหวังผลประโยชน์จากผม มันดูแลผมดีทุกอย่างด้วยความจริงใจ และผมแพ้ให้กับคุณสมบัตินี้ของมันเข้าจริง ๆ


“ศรเคยคิดไว้ไหมว่าถ้าไม่มีโอมแล้ว...จะเป็นยังไง”


ผมส่ายหน้าก่อนตอบย้ำคำตอบให้ชัดขึ้น “ไม่เคยครับ”


“ทำไมล่ะ”


“..ไม่อยากไม่มีโอม”


อาภพยิ้ม มันยังคงดูจริงใจเสมอ “พูดถึงตรงนี้ อาเชื่อว่าศรมีคำตอบในใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ อาเคารพการตัดสินใจของศรนะลูก ไม่ว่าศรจะตัดสินใจยังไง อาก็ยังอยู่ข้างศรเสมอ”


ผมยิ้ม รู้สึกได้ว่าริมฝีปากฉีกได้กว้างกว่าครั้งไหน ๆ ในคำ่คืนนี้ “ขอบคุณครับ”


อาภพโถมตัวมากอดผมหลวม ๆ ตบบ่าสองสามทีให้กำลังใจแล้วออกจากห้องไปทิ้งไว้เพียงเม็ดยาสีน้ำเงินในแก้วยาข้างแก้วน้ำบนโต๊ะข้างเตียง


มันเป็นยานอนหลับ ผมไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร อย่างน้อยอาภพก็บอกผมอย่างนั้น ผมเพียงแต่ต้องทำสิ่งที่เรียกว่าจิตบำบัดบ่อยครั้งในช่วงเด็กและไม่เคยทำอีกเลยในตอนที่ความรักระหว่างผมกับโอมเริ่มคงที่ จนกระทั่งวันนี้


ผมรู้ว่าอาไม่อยากถามว่าผมต้องการมันไหม อาจจะเพราะไม่อยากกดดัน แต่ผมก็รู้ว่าอาจะแวะมาดูผลตอนดึกอีกครั้ง ถ้าหลังคุยกันแล้วผมยังต้องพึ่งมันในการนอนหลับ นั่นหมายถึงอาภพยังทำหน้าที่ตัวเองไม่สำเร็จ


ผมนั่งอยู่ที่เดิมได้ไม่นานก็ลุกไปที่เตียง ใกล้ข้ามเข้าวันใหม่อยู่รอมร่อ ผมก็ควรจะนอนได้แล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมาดูหน้าล็อคสกรีน การแจ้งเตือนมากมายขึ้นบนหน้าจอ หลายข้อความในนั้นมาจากโอม และข้อความล่าสุดจากอีกฝ่ายคือ


‘อย่านอนดึกนัก ห่มผ้าด้วย ฝันดีนะ’


ผมยิ้มกว้างกว่าตอนที่หาคำตอบให้ตัวเองได้เสียอีก แม้จะทะเลาะกันแต่โอมก็ยังทำให้ผมยิ้มได้ด้วยการเอาใจใส่ของมัน


ยาที่อาภพเตรียมให้ เห็นทีว่าคืนนี้ผมคงไม่ต้องพึ่งมันแล้ว









(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 07-07-2018 21:08:37
เช้านี้ใบหน้าผมไม่สดชื่นนักแต่ก็ไม่ได้โทรมสักเท่าไหร่ มันดูดีกว่าที่คิด อาภพและเพชรว่าอย่างนั้นตอนที่ร่วมมื้ออาหารเช้าด้วยกัน ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสดใสรับเช้าวันใหม่ได้คงเป็นเพราะข้อความอรุณสวัสดิ์ของโอมอิน ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายผิด แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายถูกง้อเสียมากกว่า


วันนี้ผมมีนัดละลายพฤติกรรมกับทีมละครเวทีอีกครั้งในครึ่งวันเช้า ตั้งใจไว้ว่าจะไปหาโอมอินที่คณะในตอนบ่าย อยากจะเคลียร์ความรู้สึกระหว่างกันให้ชัดเจนเสียที


ก่อนออกจากบ้าน ผมทักไปหาไอ้เต๋า เพื่อนสนิทไอ้โอม ในที่สุดผมก็ได้ตารางชีวิตของโอมในวันนี้มา ถามว่าทำไมถึงไม่ทักไปถามมันตรง ๆ ทั้งที่อยากจะเคลียร์ความรู้สึกกันอยู่แล้ว ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าประหม่า ยังไม่กล้าเนียนทำเหมือนทุกอย่างปกติทั้งที่เมื่อวานเราทะเลาะกันรุนแรงมากที่สุดในชีวิตคู่


ก่อนถึงที่หมายผมได้รับสายจากไอ้เด็กรัก เจ้านั่นบ่นใหญ่ว่าผมไม่ยอมตอบไลน์เมื่อคืนนี้ มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองค้างการแจ้งเตือนไว้เยอะมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่คิดจะเคลียร์ในหนึ่งถึงสองชั่วโมงนี้แน่ ไอ้น้องรักโทรมาเพื่อนัดวันที่จะไปชิมอาหารญี่ปุ่นด้วยกันที่ร้านหนึ่ง แม้กำหนดการคืออีกสองวันถัดไปและผมยังไม่ได้เริ่มฝึกงาน แต่ผมก็ยังไม่รับปากในทันที เอ่ยต่อรองว่าขอชวนโอมไปด้วยซึ่งรักก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากจะไปจริงจะคอนเฟิร์มอีกครั้งก่อนถึงวันนัดแน่นอน


หลายคนมองหน้าผมเหมือนต้องการจะถามเรื่องเมื่อคืนที่ร้านหมูกระทะ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าถาม แม้ผมจะเป็นคนอัธยาศัยดีเป็นมิตรกับทุกคน แต่ถ้าผมหน้านิ่ง คนอื่นก็น่าจะฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมเป็นบุคคลไม่ควรเข้าใกล้ได้เหมือนกัน


แต่ดูเหมือนไอ้ท็อปจะไม่รู้


“แฟนมึงขี้หึงฉิบหาย”


ผมตวัดตามองก่อนพูดเสียงนิ่ง “เสือก”


“เห้ยศร” เท่าฟ้า เพื่อนของผมที่เรียนถาปัดเดินเข้ามากอดคอขัดสถานการณ์พร้อมรบระหว่างเรา “ไปช่วยกูยกของหน่อยไป”


“เป็นไงบ้างวะมึง กูเป็นห่วงแทบแย่ มันเป็นใครวะ ทำไมมึงต้องไปกับมัน” ไอ้ฟ้าถามผมด้วยความเป็นห่วงทันทีที่อยู่ในที่ลับตาคน มันเป็นคนรู้งานใช้ได้ แทนที่จะโพล่งถามขึ้นกลางห้องกลับลากผมออกมาคุยด้านนอกที่ปลอดคนแทน


“ไอ้กอล์ฟไม่ได้บอก?”


เท่าฟ้าส่ายหน้า ความจริงแล้วผมไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่กอล์ฟไม่ได้เล่าอะไรออกไปมากกว่ารับเรื่องมา “มันบอกแค่ว่าให้มาถามมึง มันยังบอกอีกด้วยว่ากูควรจะรู้ไว้เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและงานของคณะ”


ผมขำ “มันชื่อโอม เรียนนิเทศฯ เป็นแฟนกู”


“ห๊ะ!!” ไอ้เท่าฟ้าจ้องผมตาโตเหมือนรอการยืนยันจากผมอีกครั้ง และผมก็ไม่ปล่อยให้มันรอเก้อ รีบสนองให้มันทันทีด้วยการพยักหน้า “คนนี้น่ะเหรอวะที่ลือกันว่าทำให้มึงเปิดใจได้”


“เออ มันเนี่ยแหละ….ทำไม? มึงรับไม่ได้ที่กูคบผู้ชาย?”


“เปล่า ๆ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูก็คงยอมรับได้ยากอยู่เหมือนกันว่ะ”


“เมื่อก่อน? หมายความว่าตอนนี้รับได้ง่าย ๆ เหรอวะ”


“ก็...ของแบบนี้ไม่เจอกับตัวคงไม่เข้าใจ จริงไหมละวะ”


ผมยิ้มมุมปาก เพื่อนผมดันไปชอบผู้ชายเข้าให้อีกคนซะแล้วสิ “ใครวะ”


“เห้ย มาพูดเรื่องกูทำไมวะ ว่าเรื่องของมึงเหอะ คบกันยังไงวะทำไมมันดูน่ากลัวขนาดนั้น”


“มันขี้หึง”


“แล้วไงวะ แค่ขี้หึงเนี่ยเหรอที่กูต้องระวัง”


“หึ มึงคิดว่าถ้าแค่นั้นไอ้กอล์ฟจะเตือนมึงเหรอวะ”


“เชี่ย” ไอ้เท่าฟ้าหน้าเครียด


ผมยิ้ม ตบบ่ามันสองทีพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเข้าไปในห้องก่อน “กูจัดการได้ สบายใจเถอะหน่า”





ช่วงบ่ายผมตรงดิ่งไปตึกคณะนิเทศศาสตร์ ผมบอกให้เต๋าลงมารับ เพราะนอกจากผมจะไปห้องที่พวกมันซ้อมกันไม่ถูกแล้ว ผมยังมีสิ่งที่อยากให้มันช่วยอีกด้วย


“ซื้ออะไรมาเยอะแยะวะ จะเอาใจแค่คน ๆ เดียวไม่จำเป็นต้องเปย์คนทั้งกองหรอก” ไอ้เต๋าบ่นเมื่อผมให้มันช่วยถือถุงที่มีแก้วสารพัดเครื่องดื่มอยู่ในนั้น ในบรรดาเพื่อนของโอมผมสนิทกับมันที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่ในขั้นที่แค่คุยเล่นกันได้บ้างเท่านั้น “พวกมึงสองคนนี่ก็เว่อร์เหมือนกันเลยจริง ๆ”


“กูจะเข้าไปได้จริง ๆ เหรอวะ” ไม่ใช่แค่เป็นคนนอก แต่ผมยังเป็นนักแสดงของละครเวทีเรื่องอื่นอีกด้วย


“ได้สิวะ ถ้ายัยจี๊ดอนุญาต ใครจะกล้าขัดมัน”


“แล้ว...อยู่กันเยอะไหม”


ไอ้เต๋าถอนหายใจดัง “ทำไม? กลัวไอ้ที่ซื้อมาจะไม่พอแดกกันรึไงวะ”


“อือ” เต๋าส่ายหัวอย่างระอามากกว่าจะเป็นการให้คำตอบผม


“แล้ว...ทุกคนกินข้าวกันรึยัง”


คราวนี้ไอ้เต๋าถอนหายใจหนักและดังกว่าเดิม มันหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าผม “ไอ้โอมเป็นยังไงบ้าง...ไหนพูดซิ”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอที่ถูกรู้ทัน


“แค่ถามถึงมันนี่ยากมากเลยเหรอวะ มึงเป็นห่วงมันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พูดอะไรให้ตรงกับใจหน่อยเว้ย เพื่อนกูมันโง่ มันจะเข้าใจถ้ามึงแสดงออกแบบซื่อ ๆ ตรง ๆ ไอ้ประเภทที่อ้อมไปเขาลูกโน้นทีลูกนี้ทีอ่ะเลิกเถอะ ระวังจะทำมึงเสียเวลาโดยใช่เหตุนะ”


ผมเม้มริมฝีปาก กลืนมันจนมิด การเอ่ยปากถามถึงโอมอินในภาวะแบบนี้มันยากจริง ๆ นั่นแหละ “มันเป็นไงบ้าง”


“ก็แค่นั้น กูอยากตอบจะแย่อยู่แล้วไอ้ห่า” เต๋าบ่นแล้วก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง “เพื่อนกูหนักเอาเรื่องอยู่ มึงก็รู้ว่านอกจากครอบครัวแล้ว มึงก็เป็นทั้งหมดชีวิตของมัน ไม่ดิ มึงเป็นครอบครัวของมันด้วย เชี่ยโอมเหม่อ ใจลอยจนจะโดนยัยจี๊ดแดกหัวแทนข้าวอยู่แล้ว”


“หรือกูไม่ควรเข้าไปตอนนี้วะ” กลัวจะยิ่งทำให้มันเสียสมาธิ


“มึงอ่ะควรเข้าไปเลย เชี่ยเอ้ย! พวกมึงนี่ก็ช่างเลือกเวลาทะเลาะกันได้ดีจริง ๆ”


เต๋านำทางผมมาถึงชั้นห้าที่มันบอกว่าเป็นตึกกิจกรรมของคณะ ห้องที่พวกมันเวิร์คชอปกันเป็นสตูดิโอขนาดกลางที่ตอนนี้บรรจุคนไว้มากราว ๆ เกือบสี่สิบคนเห็นจะได้


“ลาภปากเว้นทุกคน อภินันทนาการจากสวัสดิการกิตติมศักดิ์” ไอ้เต๋าประกาศเสียงลั่นจนก้องห้องทำเอาทุกคนหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วหันมามองกันหมด ผมกวาดตามองไปรอบห้องแต่ก็ยังไม่เห็นคนที่อยากเจอ


“กรี๊ดดดดดดดด ศรของจี๊ด” จี๊ดร้องกรี๊ดมาแต่ไกลพร้อมกับร่างที่พุ่งเข้ามาหาผมโดยเร็ว ผมยืนนิ่งไม่คิดหลบหลีกเพราะตอนนี้หลายคนกำลังเข้ามารุมเพื่อหยิบเครื่องดื่มจากมือผม จึงกลายเป็นว่าผมกลายเป็นเป้านิ่งให้จี๊ดเข้าถึงตัวได้ง่ายก่อนที่จี๊ดจะถูกกันออกไปโดยเร็วแล้วมีใบหน้าของใครบางคนมาแทนที่ในระดับสายตาเดียวกัน


ถ้าเทียบกันแล้ว ใบหน้าของโอมดูอิดโรยกว่าผมมาก ให้เดาก็คงเพราะเจ้าตัวอดนอนมาแน่ ๆ ได้แต่หวังว่ามันจะไม่นอนร้องไห้ทั้งคืน


ผมไม่ได้พูดอะไร รู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก เงอะ ๆ เงิ่น ๆอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรหยิบแก้วน้ำจากถุงกระดาษใบเดียวที่ยังถือติดมือไว้ตลอดออกมาได้แล้ว “นี่ของมึง” ผมยิ้มให้มันที่ยังทำหน้างง ๆ “บ่ายแก่แบบนี้ดื่มน้ำผลไม้ปั่นจะได้สดชื่นขึ้น” เพราะโอมยังไม่รับไป ผมจึงยื่นแก้วไปแตะแก้มมันให้เย็นผิวเล่น “รับไปหน่อยดิวะ กูเอามาง้อนะเนี่ย”


ไอ้โอมหลุดขำเสียงหลง “มึงนี่มัน หึ่ย! จริง ๆ เลย” มันรับแก้วน้ำไปแล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม “ซื้อมาง้อกูแต่ทำไมทุกคนก็ได้เหมือนกันวะ”


“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ไปกินข้าวเย็นกับกูนะ”


“หึหึ แค่มึงกลับมา กูก็ดีใจมากแล้ว”


ผมหันหน้าหนี ทำเป็นมองนั่นมองนี่ รู้สึกเขินสายตามันเป็นบ้า “ไปทำงานไป กูจะลงไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ”


“ไม่ต้อง” โอมคว้ามือผมไว้ “นั่งรอในนี้แหละ เก้าอี้ว่างเยอะ”


ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจโอมอินด้วยการยอมตามใจนั่งรอในห้องนี้อย่างที่มันต้องการ แต่เพราะผมเองก็อยากเห็นมันในมุมที่จริงจังกับงานอีกครั้ง เพราะหลังจากหนังสั้นของพี่สัม ผมก็ไม่เคยเห็นโอมตอนทำงานอีกเลย มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังเป็นบทบาทที่มันไม่เคยทำอีกด้วย


ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทหรือคาแร็คเตอร์ตัวละครของเรื่องนี้เลย แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของตัวละครที่โอมอินแสดงออกมา ผมมองอยู่ได้ครู่ใหญ่ก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเคลียร์ข้อความที่ยังค้างคาจากเมื่อคืน ผมได้รับข้อความแสดงความเป็นห่วงเยอะมาก ไอ้ท็อปเองก็ส่งมาด้วย แม้จะเจือไปด้วยความกวนตีนอย่างเช่นชวนไปดื่มเหล้าด้วยกันถ้าผมเฮิร์ท ข้อความจากเพื่อน ๆ และจากโอม เกือบร้อยข้อความมีแต่คำว่าขอโทษ จะต่างออกไปก็แค่ข้อความที่ส่งเข้านอนเมื่อคืนและทักทายเมื่อเช้า


ผมเงยหน้ามองโอมอีกครั้ง ตั้งใจว่าเย็นนี้จะขอโทษมันที่พูดจาไม่คิดออกไป เราจะปรับจูนความรู้สึกและความคิดกันใหม่ พลันสายตาก็ดันไปเห็นหญิงสาวคนเมื่อวานที่วนเวียนอยู่รอบตัวมัน อยากจะไม่สนใจสาวเจ้าอยู่หรอก แต่ให้ตายเถอะ! สาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากให้งานของคณะมันเสียหายเพราะเรื่องของเรา แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากทำงานตรงนั้นมากนักอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาแต่เกาะแฟนผมแจจนไม่สนอะไรกับการแสดงบทบาทที่ได้รับ


เห็นทีผมคงต้องออกโรงจัดการเองซะแล้ว












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 14
---------------------------------------------------------------
ปกติแล้วการทำจิตบำบัดจะต้องทำด้วยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่มีใบเซอร์ฯ
แต่สำหรับอาภพที่เป็นหมอด้าน palliative care จะมีทักษะด้านการ counselling อยู่แล้ว
แม้ไม่สามารถทำได้เท่าจิตแพทย์ แต่ก็สามารถใช้ทักษะด้านนั้นในการพูดคุยถึงปัญหาลึกๆในใจผู้ป่วยได้ค่ะ
อยากพูดคุย/สอบถาม ทักมาในทวิตได้ค่ะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 07-07-2018 21:36:34
เฮ้อ เข้าใจและว่าทำไมศรถึงเป็นแบบนี้ฝังใจจากเรื่องแม่นี่เอง
คุณอาสอนได้ดีมากจริงๆ นี่คือโอมไม่ใช่แม่คนละคนกัน และที่ผ่านมาโอมไม่เคยนอกลู่นอกทาง
เป็นกำลังใจให้ศรไม่จมปลักกับเรื่องเก่าๆ จนมาเป็นปัญหาในปัจจุบันนะ จะต้องผ่านมันไปได้
กินมาม่าจนเหนื่อยแย้วววววว  ขอให้เจอแต่ความสดใสบ้างนะค้า
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 07-07-2018 21:40:07
จัดการขั้นเด็ดขาดไปเลยจ๊ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-07-2018 00:56:22
เพราะมีอดีตเกี่ยวกับแม่ตอนเด็กๆนี่เองถึงทำให้ศรเป็นแบบนี้ ยังดีที่ยังมีเพื่อนกับอาคอยช่วยเหลืออยู่
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-07-2018 14:16:34
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 09-07-2018 16:32:43
ฮืออออ อย่าทะเลาะกันอีกเลยยยยย  :ling3:
รู้สึกว่าอ่านตอนนี้ทำให้เข้าใจศรมากขึ้น
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-07-2018 22:59:12
สิ่งที่เรากลัวตอนนี้คือถ้ามีการบอกเลิกครั้งต่อไป คนที่พูดจะไม่ใช่ศร  :katai1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nizzarinz ที่ 20-07-2018 00:05:34
ฮือออน้ำตาซึมไปแล้วววว;-; สงสารโอมอินคนหลงแฟนนน แต่ก็เข้าใจศรมากๆๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 13 P.5 [07/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kstation ที่ 20-07-2018 19:48:17
สิ่งที่กลัวตอนนี้คือดราม่าหรือจบไม่สวย  :ling1: รอลุ้นตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 14 P.5 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 11-08-2018 01:03:13
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 14

---DharmaSORN---








ประดักประเดิดอยู่พอสมควรกับการอยู่กันตามลำพังหลังจากทะเลาะอย่างหนักและหายหน้ากันไปหนึ่งคืน ขามาไอ้เต๋าพาผมเดินขึ้นบันไดทั้งที่ถือของพะรุงพะรัง แต่ขาลงตัวเปล่ากลับลงลิฟต์กันสองคน ทั้งที่ไม่มีใครกล้าร่วมโดยสารในตู้แคบ ๆ นี่พร้อมเราสักคน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างอึดอัดจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว


“เรา...จูบกันหน่อยดีไหมวะ”


คำชวนของโอมอินทำให้ผมตื่นตระหนก ไอ้บ้าเอ๊ย แล้วกูยังไม่ทันตอบตกลงเลย มึงจะเข้าประชิดตัวแล้วตะโบมจูบอย่างหน้าด้าน ๆ ในลิฟต์ที่มีกล้องวงจรปิดไม่ได้นะ!


“อื้อ” เกลียดที่สุดคงเป็นตัวเองที่เผลอไผลไปกับรสจูบของมันด้วยความสิเน่หาไม่แพ้กันเนี่ยแหละ


ผมดันมันออกห่างเมื่อรู้สึกตัว ไม่อยากเป็นนายเอกหนังสดในลิฟต์ให้คนหลังกล้องดูนานนักหรอก “เชี่ย! พอก่อน มีกล้อง”


ไอ้โอมยกยิ้มมุมปากได้น่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ “ก็เห็นมึงประหม่า จูบกันสักหน่อยจะได้จูนกันติด”


“แกล้งกู” ผมส่งกำปั้นไปกระแทกต้นแขนมันแรง ๆ หนึ่งครั้งแต่ก็ไม่อาจทำให้ร่างควาย ๆ ของมันสะทกสะท้านสักนิด มิหนำซ้ำยังเลียริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งได้น่าหมั่นไส้จนเป็นผมเสียเองที่ต้องเบนสายตาหนีเม้มปากเสียแน่นด้วยความอายราวกับไม่เคยจูบกัน


ดีหน่อยที่มีเวลาให้หายใจหายคอเพราะขับรถกันมาคนละคัน และไม่อยากจอดทิ้งไว้ที่มหาวิทยาลัยด้วย เราจึงนัดมาเจอกันที่ห้างแห่งหนึ่งแทน


“มึงอยากกินอะไร” ผมเปรยถามตอนเดินคู่กันเข้ามาในชั้นเครื่องแก้วที่ติดกับลานจอดรถ “แต่ไม่เอาอาหารญี่ปุ่นนะ วันนี้ห้ามมึงตามใจกู” ผมดักทาง เพราะจั่วหัวแบบนี้ทีไรเป็นต้องได้คำตอบเป็นพวกอาหารสัญชาติญี่ปุ่นทุกที


“ถ้าตามใจกูก็ต้องกินอาหารญี่ปุ่น เพราะกูอยากตามใจมึง”


“เป็นงี๊ทุกทีเลยนะมึงเนี่ย” ผมจับหลังคอโอมแล้วโยกไปมาให้หัวมันคลอน “วันนี้อยากกินอย่างอื่น เลือกมา เร็ว ๆ ด้วย กูหิวจนจะแดกมึงได้ทั้งตัวละ”


“งั้นแดกกูก่อนไหม”


“เชี่ยโอม!”


ผมไล่ตีกับมันในแผนกที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายต่อเงินในกระเป๋าที่สุดโดยไม่ลืมระวังเครื่องแก้วพวกนั้นด้วย ทว่าเพราะมัวแต่ระวังจะโดนสิ่งที่เปราะบางที่สุดในที่นี้จนไม่ทันระวังคนที่เดินสวนมา โอมอินที่นำหน้าผมอยู่ก้าวหนึ่งจึงชนเข้ากับใครบางคน


“ขอโทษครับ” โอมอินเอ่ยอย่างสุภาพพร้อมยกมือไหว้ก่อนหันมาจับจูงผมให้เดินไปด้วยกันเมื่ออีกฝ่ายไม่ติดใจเอาความอะไร


“มาเที่ยวกันเหรอ” ผมเองก็คงจะเดินผ่านเขาไปได้ถ้าไม่ถูกคำถามนี้รั้งไว้ ไอ้โอมหันมามองด้วยความสงสัย คงไม่คิดว่าจะรู้จักกัน แต่ครู่หนึ่งหลังมันพินิจมองอีกฝ่าย สีหน้าก็ดูอ่อนลงราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นที่ไหน


“พ่อมึง?” โอมกระซิบถาม ผมไม่ตอบ ปรายตามองหญิงสาววัยเอ๊าะที่พ่อควงมาด้วยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ไม่ทันรู้ว่าคนของตัวเองกำลังถูกพ่อมองด้วยสายตาแบบไหน จนเมื่อละสายตาจากสาวเจ้ามานั่นแหละถึงได้รู้ว่าโอมอินเกือบจะพรุนซะแล้ว ผมขยับตัวเข้าไปบังไอ้โอมจากสายตาเขา สบตาให้รู้ว่าอย่ามายุ่งกับคนของตน


“ทานข้าวกันรึยัง ไปด้วยกันไหม ชวนเพื่อนแกไปด้วย”


“ชวนไปให้รู้ว่าผมมีพ่อที่มาทานข้าวกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่น่ะเหรอครับ”


“ธรรมศร!” พ่อไม่ได้ตะคอก เขาแค่ใช้เสียงนิ่ง ๆ เย็น ๆ ข่มใส่เท่านั้น


“หรือผมควรเรียกเธอว่าแม่ละครับ”


“ศร” คราวนี้เป็นโอมอินที่เรียกเตือนสติผมพร้อมมือที่สอดมาจับตรงแขนรั้งให้ผมไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้


“ไปกันเถอะ ทางใครทางมัน” ผมลากโอมออกมาจากตรงนั้น ได้ยินเสียงถอนหายใจของพ่อดังไล่หลังมา ระหว่างเราไม่มีอะไรที่เขาจะนำมาต่อรองกับผมได้ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผมล้วนได้มาจากมรดกตกทอดของคุณย่าทั้งนั้น ไหนจะเงินปันผลจากหุ้นในบริษัททั้งส่วนของย่าและของตัวเองที่ทำให้มีกินมีใช้ได้ไม่ขาดมืออีก เรียกได้ว่าผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด


อารมณ์ขุ่นมัวของผมเริ่มเบาบางเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงบีบมือของโอมอินที่ย้ำให้รู้ว่ามันยังอยู่ข้างผมไม่ไปไหน และนั่นก็ทำให้ผมอุ่นใจได้มากทีเดียว “อย่าเพิ่งถามตอนนี้นะมึง”


“แล้วที่พาเดินดุ่ม ๆ มานี่รู้แล้วเหรอว่าจะกินอะไร”


“เออว่ะ” ผมหยุดเดินทันที


“แล้วเนี่ย ไม่ปล่อยก่อนเหรอ” ผมมองตามสายตาโอมที่นำทางไปพบกับมือของเราที่ยังจับกันไว้แน่น


“อยากให้ปล่อยเหรอวะ”


โอมอินไหวไหล่ หันหน้าหนีด้วยความเขิน “ถ้าไม่อายก็แล้วแต่มึง”


ผมหัวเราะหึ เราไม่เคยเดินจับมือกระหนุงกระหนิงกันที่ไหน ไม่ใช่ว่าอายที่เป็นแฟนกับผู้ชายร่างควายเหมือนกัน แต่เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเราสองคนเท่านั้นเอง “ไม่อายแต่เขินเว้ย” พูดได้แค่นั้นผมก็เป็นฝ่ายดึงมือออกก่อนเปลี่ยนเป็นกอดคออีกฝ่ายเดินไปด้วยกัน


นอกจากจูบในลิฟต์ ผมว่าก็มีการทานอาหารด้วยกันเนี่ยแหละที่ช่วยลดความประหม่าของเราลงไปได้ อย่างน้อยที่คีบในมือที่คอยปิ้งย่างเนื้ออย่างเอาเป็นเอาตายก็ทำให้เรามีส่วนร่วมกันมากกว่าการสนใจอาหารจานเดียวเฉพาะที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น


“อะไร” โอมอินเงยขึ้นถามเมื่อเนื้อชิ้นหนึ่งที่สุกกำลังดีถูกคีบไปวางบนจานตัวเอง


“ให้” ผมตอบสั้น ๆ ปกติถ้ากินปิ้งย่างเราจะคีบทุกอย่างใส่จานรวมไว้ทะยอยกิน มีบ้างที่โอมอินคีบอาหารให้ผม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกุ้งที่ผ่านการแกะให้แล้วเสียมากกว่า แต่ครั้งนี้ผมอยากคีบให้มันบ้าง ถึงจะเป็นแค่เนื้อหมูธรรมดาก็ตาม ครั้นจะให้ยื่นไปจ่อถึงปากเลยก็ดูจะขัดกับตัวเองไปสักนิด เอาแค่นี้ก็พอกำลังดี


“ทำไม”


“ถามมาก แดก ๆ ไปเถอะหน่า” ผมแกล้งหงุดหงิดกลบเกลื่อน เห็นอยู่หรอก รอยยิ้มมุมปากบนหน้ามันน่ะ


“คิดจะทำดีไถ่โทษ?”


“ไม่อยากให้คิดอย่างนั้น”


“แล้วยังไง?...กูจะบอกว่ามึงไม่ผิดหรอกนะ ไม่ต้องไถ่โทษอะไรทั้งนั้น”


“กูแค่อยากทำให้ เห็นว่าชิ้นนั้นน่ากินเลยคีบให้ เท่านั้นเอง...ก็แค่อยากเทคแคร์มึงบ้าง” ประโยคหลังผมก้มหน้างุด คิดว่าไม่ได้เขินอะไร แต่รู้สึกละอายเสียมากกว่า ที่ผ่านมาผมไม่เคยดูแลอะไรมันเลย เป็นโอมฝ่ายเดียวที่ดูแลผมสารพัด


“มึงไม่ต้องฝืนเทคแคร์กู มึงเป็นอย่างที่มึงสบายใจก็พอแล้ว อยู่กับกู เป็นแบบไหนแล้วสบายใจก็เป็นไปเถอะ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่กูที่จะยอมรับมัน”


“แต่กูเต็มใจนะ” ผมสบตาให้รู้ว่าเต็มใจจริง ๆ ไม่ได้ฝืนอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจเลยสักนิด


โอมอินยิ้มกว้าง “มึงจะน่ารักไปไหนวะ หาเรื่องให้กูหลงเก่งจริง ๆ”


“แดก ๆ ไปเลย จะได้หลงกูเยอะ ๆ” ผมคีบเนื้อย่างให้อีกฝ่ายจนพูนจานด้วยความหมั่นไส้ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแสดงความชอบใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกแพ้ที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย


ถ้าผมเอาใจใส่แล้วทำให้อีกฝ่ายหลงจนไปไหนไม่รอดก็คงจะดี...




ความประดักประเดิดเข้าครอบคลุมเราทั้งคู่อีกครั้งตอนที่รอขึ้นลิฟต์คอนโดพร้อมกัน ผมโยนรีโหมดรถเล่นแก้เก้อ ระหว่างรอลิฟต์ไม่มีใครพูดอะไร แต่บอกตามตรงว่าผมแอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำไปทั้งวันจะให้ผลลัพธ์แบบไหน


โอมอินจะยอมกลับไป ‘ห้องของเรา’ ไหม


“เมื่อคืนมึงนอนที่ไหน” กลายเป็นผมเสียเองที่ทนไม่ไหว กลัวว่าเข้าไปในลิฟต์แล้วอีกฝ่ายจะไม่ได้กดแค่ชั้นที่ผมอยู่


“ห้องกูสิ...ใครจะอยากอยู่ในห้องที่ไม่มึง”


ผมชั่งใจ ในเสี้ยววินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมรีบแทรกตัวเข้าไปก่อนแล้วจัดการกดเลขชั้นห้องของโอมอินเพียงชั้นเดียว


ผมไม่ได้หันไปมองหน้าคนข้าง ๆ แต่เพราะกล่องโดยสารนี้เป็นกระจก สีหน้าฉงนของมันจึงฉายให้ผมเห็นได้ไม่ยาก ผมยักไหล่หน้าเรียบนิ่งทั้งที่ในใจสั่นไหวไปหมด “ไม่ได้นอนห้องมึงนานแล้ว”



นานแล้วจริง ๆ


นานจนลืมไปแล้วว่าห้องแฟนผมไม่ได้กว้างเท่าห้องตัวเอง โอมอินเป็นแค่ลูกอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ใช่ลูกนักธุรกิจอย่างผม แค่ซื้อคอนโดอยู่ช่วงวัยเรียนก็จัดว่าชีวิตหรูมากแล้ว จะให้อยู่ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางอย่างผมคงไม่ได้


ห้องขนาดเล็กที่ไม่น่าเกิน 30 ตารางเมตรที่เปิดไปก็เจอครัวทางซ้ายมือ ตรงหน้าเป็นห้องนั่งเล่นที่มีเพียงโซฟาติดผนังกับโทรทัศน์ฝั่งตรงข้าม ถัดเข้าไปเป็นห้องนอนเตียงคิงส์ไซซ์ที่มีเพียงบานประตูกระจกกั้นเท่านั้น มุมเดียวในห้องนี้ที่ผมชอบคือเคาน์เตอร์บาร์ในพื้นที่อันน้อยนิดของครัวที่เจ้าของห้องต่อเติมขึ้นมาใหม่


“น้ำหน่อยไหม”


“ขอเบียร์” ผมตอบคนที่เดินไปถึงตู้เย็นแล้วปล่อยให้ผมรอที่โซฟา


แต่เรื่องอะไรจะนั่งรอเฉย ๆ จังหวะที่มันหันหลังนั่นแหละคือโอกาสเหมาะที่จะเริ่มอะไรต่อมิอะไรที่ปกติแล้วต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก


ผมเดินเข้าไปยืนซ้อนหลัง เว้นระยะห่างเล็กน้อยแต่ไม่มากพอให้อีกฝ่ายหันมาได้


ผมด้านหลังมันเริ่มยาวละต้นคอ ผมสอดมือเข้าไปลูบหลังคอเบา ๆ  “ผมมึงยาวแล้วนะ พรุ่งนี้ไปตัดผมก่อนเริ่มฝึกงานกัน”


“ตัดไม่ได้ ต้องเล่นละครเวที”


ผมยิ้มบาง พูดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกผิด ไม่รู้ตอนนี้ในมืออีกฝ่ายถืออะไรอยู่บ้าง รู้แค่ประตูตู้เย็นปิดสนิทไปครู่หนึ่งแล้ว


ผมโน้มลงกดจูบหนัก ๆ บนหลังคอโอม “ขอโทษนะ”


“บอกแล้วไงว่ามึงไม่ผิด”


“ก็ยังอยากขอโทษ” ผมกระซิบบอกข้างหูแล้วประทับจูบหนัก ๆ หลังกกหูก่อนไล้ริมฝีปากลงมาตามต้นคอ


“ทำอะไร?”


“ไอ้เต๋าบอกไม่ให้กูอ้อมค้อม…” ผมตอบทั้งที่ริมฝีปากยังทำหน้าที่เดิมต่อไปด้วย “...อยากทำอะไรก็...” คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายเมื่อโอมอินพลิกตัวกลับมาฉกริมฝีปากผมไปครองด้วยท่าทางราวกับหิวโหยเสียเต็มประดา


จูบของโอมอินดุดันทว่าหวานล้ำเหมือนเคย ร่างของผมถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนจนสะโพกถอยไปชนขอบเคาน์เตอร์ สองแขนยกขึ้นคล้องคออีกฝ่ายไว้เพื่อกดให้ริมฝีปากของเราเชื่อมกันได้นานขึ้นแม้ว่าช่วงบนของผมจะเอนลงไปมากเพราะถูกอีกคนรุกไล่ไม่หยุดก็ตาม


บทรักของเราเริ่มร้อนแรงขึ้น ในจังหวะนั้นโอมอินพยายามควบคุมร่างของเราสองคนให้เคลื่อนออกจากตรงนี้เพื่อเข้าห้องนอน แต่ผมกลับยื้อไว้  ลิ้นของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยอาจด้วยเพราะแปลกใจ จนกระทั่งถอนจูบออกไปเพื่อโกยอากาศโอมถึงได้ถามออกมาหน้านิ่ง “ตรงนี้?”


ผมยิ้มยั่วยื่นหน้าเข้าไปกดจูบที่มุมปากอีกฝ่ายก่อนจะพลิกตัวสลับด้านกัน กลายเป็นว่าตอนนี้มันเป็นฝ่ายตกอยู่ใต้การควบคุมของผมบ้างแล้ว


ผมไม่เคยบอกมันสินะว่าชอบเคาน์เตอร์บาร์ของมันมากแค่ไหน


วันนี้ผมจะทำให้ตรงนี้เป็นมุมที่ชอบมากขึ้นไปอีก


...และจะบอกมันให้รู้ไว้ด้วย


ผมค้ำมือสองข้างกับเคาน์เตอร์ขวางลำตัวเพื่อกักอีกฝ่ายไว้ รู้สึกตื่นเต้นจนแทบบ้า ไม่รู้มีร่างกายส่วนไหนของผมสั่นจนผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า แต่ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมกำลังประหม่า ทั้งที่เราเมคเลิฟกันมาตั้งหลายครั้งแต่ครั้งนี้ผมกลับตื่นเต้นที่สุด ถ้าให้เทียบก็คงไม่ต่างจากสาวพรหมจรรย์เข้าหอคืนแรกกับเจ้าบ่าวของเธอสักเท่าไหร่


ผมเริ่มจากจูบ ค่อย ๆ ละเลียดบรรจงชิมอย่างละเมียดละไมราวกับกลีบเนื้อหยุ่นสีสดที่กำลังดูดดึงอยู่เป็นเนื้อปลาแซลมอนชั้นดีที่โปรดปราน เสียงอื้ออึงจากอีกฝ่ายดังขึ้นเป็นระยะ ผมมองเห็นความสุขสมจนเกินบรรยายจากใบหน้าหล่อเหลาของโอมจนทำให้ลืมความตื่นเต้นที่เคยมีไปได้ มือซ้ายยกขึ้นปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายออกทีละเม็ดอย่างเชื่องช้าโดยไม่ลืมทิ้งความร้อนผ่าวจากการสัมผัสเล็กน้อยผ่านปลายนิ้วที่ไล่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ ด้วย ในขณะที่ขาข้างหนึ่งก็แอบแทรกเข้าไปตรงกลาง ยกสูงเลยเข่าให้เสียดสีอีกฝ่ายผ่านเนื้อผ้าชั้นดี เมื่อรับรู้ว่ากายอีกฝ่ายกระตุกผมก็ยิ้มย่องทั้งที่ยังจูบอยู่


ผมผละออกจากริมฝีปากหลังจากจูบกันอยู่หลายครั้งไล้มาตามสันกรามลงลำคอแกร่งที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นรับอย่างยินดี ผมไม่ได้กดจูบหนัก ๆ เพื่อฝากรอยทิ้งไว้ เพราะเพียงแค่ลากริมฝีปากผ่านอย่างจงใจและกดจูบเบา ๆ ในบางจุดก็ทำเอามันครางแผ่วและตัวสั่นได้แล้ว


“อื้มมมม ศร”


ลิ้นสากไล้ลงต่ำเรื่อย ๆ ให้ตายเถอะ! ตรงนี้มันแคบเกินไปชะมัด! แค่ผมลากลิ้นลงถึงช่วงอก ขาผมที่ยืดออกเพื่อให้ระดับใบหน้าพอดีกับอกอีกฝ่ายก็ทำเอาเมื่อยตัวเสียเหลือเกิน


ทว่าอุปสรรคนี้ก็ไม่สามารถหยุดผมได้


หลังจากที่เสื้อเชิ้ตขาวหลุดออกเผยร่างกายสุดเย้ายวนที่แม้จะดูดีได้ไม่เท่าผมแต่กลับเร้าอารมณ์ผมได้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร


ผมผละออกมามองสำรวจกายนั้นเต็มตาราวกับกำลังชื่นชมผลงานประติมากรรมชิ้นเอกที่ปั้นขึ้นมาเอง แต่ไม่รู้ว่าสายตาผมมันหื่นกระหายเกินไปรึเปล่า อีกฝ่ายมองแล้วถึงได้กระชากผมเข้าไปละเลงบทรักเร่าร้อนต่างจากก่อนหน้าที่ในทันที


ร่างกายเราแนบชิดกันมากขึ้นเพราะริมฝีปากที่นัวเนียกันไม่ห่าง จังหวะแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่เราผละจากกันเพื่อโกยอากาศเฮือกใหญ่และดึงดูดเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อของผมหลุดออกอย่างง่ายดายและรวดเร็วโดยฝีมือโอมอิน และเพราะกายที่แนบชิดกันผมจึงไม่พลาดที่จะแทรกขาตัวเองเข้าหว่างขามันอีกครั้งเพื่อโหมแรงราคะให้ลุกโชนยิ่งขึ้น


“อ๊ะ อ๊า~~~”


โอมอินครางเสียงแหบพร่าออกมาพร้อมร่างกายที่เกร็งงอเล็กน้อย ให้ผมเดาตอนนี้น้องชายมันคงแข็งจนเริ่มรู้สึกปวดเพราะอยากปลดปล่อยเต็มทีแล้ว


และบังเอิญว่าผมไม่ใช่คนใจร้ายเสียด้วย


ผมรีบปลดอาภรณ์ทุกด่านที่ขวางกั้นออกให้ไปกองอยู่ที่เข่าก่อนจงใจปัดมือโดนแท่งแกนกลางของมันที่แม้จะแค่ปัดผ่านแต่ก็รับรู้ได้จากความร้อนผ่าวว่าน่าจะแข็งขืนขึ้นมากแล้ว


“ขึ้นไป” ผมพูดทั้งที่ยังรัวลิ้นหยอกล้อกับตุ่มไตแข็งของโอมอิน


“อ๊า~~ หืม?”


“ขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์”


โอมอินทำตามแต่โดยดี ตัวมันสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนนั้นแล้ว คงเพราะเย็นผิวที่สัมผัส ว่าแล้วก็จูบปลอบคนขวัญอ่อนเสียหน่อย


เพราะตอนนี้ผมแทรกอยู่กลางระหว่างขาโอม ท่อนเอ็นที่บวมใหญ่เต็มที่จึงสีไปมากับท้องน้อยของผม ซึ่งถ้าผมไม่รีบ คงกลายเป็นผมเองที่จะแตกก่อนมัน ผมส่งมือไปกำรอบส่วนนั้นพลางลากริมฝีปากลงมาเรื่อย ๆ สองขาก็ถอยออกห่างพร้อมกางออกให้ได้องศาที่พอดี เมื่อส้นเท้าชนตู้เย็นจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะต้องงอตัวลงเยอะหน่อยเพื่อให้ริมฝีปากใกล้เป้าหมาย


“ศ...ศร”


“หืม”


“ย...อย่า” สองมือหนากอบใบหน้าของผมไว้ให้เงยขึ้นมองก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นในการเมคเลิฟของเรามาก่อน


“จะห้ามจริง ๆ เหรอ”


“บ้าชะมัด” ไอ้โอมขยี้หัวคล้ายกำลังถกเถียงกับความขัดแย้งในตัวเองก่อนพูดออกมาอาย ๆ ว่า “เดี๋ยวมันแตกคาปาก”


“ก็จะทำให้แตกอยู่แล้ว”


“มันเยอะ” ไอ้โอมอ้อมแอ้มบอก มันยังไม่เลิกอาย หน้าแดงหูแดงไม่พอตัวมันยังแดงด้วย มันน่านัก!


“ไม่ได้เอาออกเลยเหรอวะ”


“มีใครที่ไหนช่วยตัวเองทั้งที่มีแฟน มีแฟนก็ต้องให้แฟนช่วยสิวะ”


“ก็นี่ไง แฟนจะช่วย จะมัวกลัวอะไร” พูดจบผมก็แกล้งหยอกมันด้วยการจุ๊บลงบนท่อนเอ็นบวมเต่งของมันทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหยง


“กูไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครนะ รู้ใช่ไหม”


โอมอินพยักหน้า สีหน้ามันตอนนี้บิดเบี้ยวดูทรมานเพราะส่วนปลายเริ่มมีน้ำใสหลั่งออกมาแล้ว


เรามีเซ็กซ์กันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมยอมใช้ปากให้มัน ไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นกับผมด้วย แต่ครั้งนี้ผมจะทำ และผมต้องได้เป็นฝ่ายเริ่มทำแบบนี้ก่อนด้วย


เพราะผมอยากให้โอมรู้ว่าผมรักมันจริง ๆ


“กูขอนะ ถือเป็นการจองจำมึงให้อยู่กับกูตลอดไป”


เหมือนจะขออนุญาตแต่ผมก็ไม่ได้รอคำตอบ แม้ไม่รู้วิธีการแต่ก็ไม่ลังเลที่จะครอบครองตัวตนของอีกฝ่ายไว้ในปาก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้รับมีเพียงแค่ความจุกในช่องปาก มันคับแน่นในปากจนจะสำลัก จุกจนสงสัยว่าคนอื่น ๆ เขาทำกันได้อย่างไร หรือว่าที่อม ๆ กันมันไม่ใหญ่เท่าของไอ้บ้านี่


“ฟัน ๆ” โอมอินร้องบอก “ฟันโดน เจ็บ”


อ่า...ผมรู้แล้วว่ามันผิดตรงไหน


ผมถอนปากออกก่อน เห็นสายตาล้อแซวของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกเสียหน้าจนต้องส่งสายตาข่มขู่ไปให้ “ไม่ทำแล้ว”


“ไม่ดิ ลองใหม่” โอมจับล็อคใบหน้าของผมไว้ไม่ให้ย้ายไปไหนได้ก่อนก้มลงมาจูบหน้าผากผมอย่างอ่อนโยน


“ลองใหม่นะครับ”


บ้าเอ๊ย! หน้าผมต้องแดงมากแน่ ๆ นอกจากคำพูดคำจาที่สุภาพอ่อนโยนเป็นพิเศษแล้วก็ยังมีสายตาเชื่อมหวานที่มองมาอีก


ผมช้อนตามองอย่างคาดโทษก่อนจะเริ่มทำใหม่อีกครั้ง ความจริงแล้วน้องชายของมันในตอนนี้แค่โดนมือผมรูดรั้งไม่กี่ครั้งก็น่าจะแตกแล้ว  ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าผมใช้ปากอย่างถูกวิธีจริง ๆ จะใช้เวลาถึงสองนาทีรึเปล่า


มือผมที่วางค้ำโต๊ะบริเวณสะโพกของโอมถูกอีกฝ่ายแกะออกแล้วสอดนิ้วเข้ามาประสานจับกันไว้แน่น ให้ตายเหอะ! ผมเขินจนแทบบ้า ไม่กล้าเงยขึ้นไปมองหน้ามันเลยจึงได้แต่กระชับมือให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วเริ่มละเลงลิ้นลงบนส่วนปลายที่บานออกก่อนครอบปากลงไปอีกครั้ง


“อ๊าาาาา ศร...ดี”


หน้าผมร้อนจนแทบไหม้ ความรู้สึกตอนนี้ต่างจากครั้งแรกมาก ไม่จุกเหมือนเดิมแล้ว มีแต่ความรู้สึกวูบหวิวในช่องอก ยิ่งลากริมฝีปากครอบลงไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งใจเต้นแรง ผมเผลอบีบมือแรงขึ้นและอีกฝ่ายก็บีบกลับเป็นจังหวะราวกับให้กำลังใจกัน ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นโอมทำตาเยิ้มมองมาอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งเขินจึงแกล้งเร่งความเร็วในการรูดริมฝีปากขึ้นเรียกเสียงครางต่ำได้เป็นอย่างดี


“อ๊าาาาาาา ศ...ศรครับ”


ร่างกายของโอมอินเกร็งไปหมดทุกส่วน สะโพกแกร่งก็พาลแอ่นเด้งขึ้นทำให้แท่งร้อนแกนกายดันเข้ามาจนผมเกือบจุก โอมนำมือผมไปกอดเอวสอบไว้ก่อนจะละมือออกมาสอดเข้าเส้นผมของผมเพื่อคุมจังหวะด้วยตัวเอง


จริงอย่างที่คิด ผมใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้นร่างสมชายชาตรีที่ผมหลงใหลก็เกร็งกระตุกพร้อมปล่อยน้ำรักมากมายออกมาแล้ว


“อ๊าาา! ศร...ออก ไม่แตกในปาก” โอมบอกพร้อมพยายามจะบังคับศีรษะผมให้ยกออกอย่างนุ่มนวลที่สุดแต่ผมกลับดื้อรั้น ส่งเสียงครางอือออกไปยืนยันให้รู้ว่ายินดีจะกลืนกินตัวตนของอีกฝ่าย


ผมดึงมือโอมออกมาประสานกันไว้อีกครั้ง ช้อนตามองหวังจะให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรักทั้งหมดที่ผมมีให้ก่อนจะกลับมาเร่งความเร็วในช่วงโค้งสุดท้ายจนในที่สุดความแข็งขืนที่เกิดขึ้นมานานก็ถูกปลดปล่อยออกมาในปากผมตามความตั้งใจ


น้ำอุ่นคาวรสชาติปะแล่ม ๆ ที่บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรออกมาเยอะจนเปรอะออกมาข้างแก้มถึงคาง ผมหลุดหัวเราะให้กับประสบการณ์ครั้งแรกของตัวเองก่อนส่งลิ้นร้อนออกมาตวัดเลียริมฝีปากจนเกลี้ยงต่อหน้าไอ้คนที่กำลังมีความสุขมากกว่าเซ็กซ์ครั้งไหน ๆ ของเรา


ตัวของผมถูกกระชากให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่โอมอินจะฉกริมฝีปากไปดูดดึงส่งลิ้นเข้ามาไล่ต้อนชิมรสชาติน้ำรักของตัวเองที่ยังตกหล่นอยู่ในปากผม...รวมถึงคราบที่ติดอยู่ข้างแก้มผมด้วย



ให้ตายเถอะ! ผมว่าผมรักเคาน์เตอร์บาร์ของมันมากจริง ๆ






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 14 P.5 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 11-08-2018 01:04:37

บทรักอีกครั้ง...และอีกครั้ง...หลาย ๆ ครั้ง เกิดขึ้นที่ตรงนั้นก่อนพากันประคองร่างอ่อนแรงมานอนก่ายกันบนเตียง


ห้องนอนไม่ได้มืดสนิท แม้จะไม่ได้เปิดไฟภายในแต่ยังมีแสงจากห้องนั่งเล่นที่มีเพียงบานกระจกกั้นส่องผ่านเข้ามา บรรยากาศโรแมนติกจนน่าขนลุก และท่าทางของเราตอนนี้ก็ดูไม่ต่างจากคู่สามีภรรยาในเช้าหลังคืนส่งตัวสักเท่าไหร่


โอมอินนอนหลับตา หน้าอกที่ผมนอนทับอยู่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มีเพียงผมที่ยังนอนมองหน้าอีกฝ่ายอยู่นานทีเดียวกว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับอย่างที่คิด


“เลิกจ้องยัง เหนื่อยจะแกล้งหลับแล้ว”


ไม่รู้ความสาวน้อยที่ไหนเข้าสิงให้ผมกล้ายื่นมือออกไปบีบจมูกลงโทษพวกเอกฟิล์มที่บังอาจเล่นละครได้ดีราวกับเรียนเอกการแสดง


“โอ้ยยย” ยิ่งได้ยินเสียงแกล้งร้องที่โคตรเสแสร้งพร้อมสายตาแพรวพราวก็ยิ่งอยากทำมากกว่านี้


“คราวหน้าโรลเพลย์ไหม เดี๋ยวเขียนบทให้ เลือกมุมกล้องให้ด้วย”


“ได้ทีละเอาใหญ่เลยนะ” ว่าจบพร้อมกับได้ยินเสียงร้องโอยของจริงแบบไม่แกล้งทำอีกต่อไปเพราะคราวนี้ผมดีดหัวนมมันแบบเต็มรัก


“เจ็บจริงนะเนี่ย” เจ้าตัวว่าพลางลูบส่วนนั้นไปมา


“เหรอ กำลังจะชมเลยว่าเล่นละครเก่ง” ผมปัดมือมันออกเพื่อช่วยลูบเสียเอง


“อือ~~~” โอมครางเสียงซ่าน “คิดจะยั่วกันอีกรึไง ยาวไปจนถึงวันฝึกงานเลยไหม”


“อยากโดนดีดอีกครั้งใช่ไหม”


ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังเล็กน้อยก่อนเราจะเงียบกันไป ต่างคนต่างจมกับความคิดตัวเอง หรือบางทีโอมอาจจะหลับไปแล้วจริง ๆ ผมก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง


ผมหยุดลูบส่วนที่ตัวเองประทุศร้าย ทิ้งแขนพาดตัวอีกคนให้เหมือนกำลังกอดไว้หลวม ๆ


“ขอโทษนะ” ผมพูดเสียงเบาที่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนได้ยินมันไหม


“บอกแล้วไงว่า…”


“จะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว”


“...”


“จะไม่บอกเลิกอีกแล้ว”


“...” โอมก้มลงมาจูบหน้าผากของผม


“ขอโทษจริง ๆ”


“กูเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน...ต่อไปจะขี้หึงให้น้อยลง”


“กัดฟันพูดรึเปล่าวะ” ผมแซวติดตลก


“มึงก็อย่าทำตัวให้กูหึงสิวะ”


“กูจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมผงกศีรษะขึ้นก่อนยื่นหน้าเข้าไปจูบปากคนที่เป็นอุทิศตัวเป็นหมอนให้นอนหนุนอย่างรวดเร็วแล้วผละออกมายิ้มหวานที่สุดเท่าที่คิดว่าน่าจะหวานแล้ว “จะน่ารักแบบนี้กับมึงแค่คนเดียว”


ธรรมศรคนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน่ะ ไม่จำเป็นต้องอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว


“แม่ง” โอมอินหลุดสบถออกมาและยิ่งสบถดังขึ้นเมื่อผมหลบจูบมาหนุนอกของมันอีกครั้ง


“กูจะเลิกบุหรี่ตามที่มึงขอด้วย เลิกถาวรเลย”


“...”


“ถ้ามึงสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


“ต่อให้มึงไล่...กูก็จะไม่ไปไหน”









ชีวิตฝึกงานของนักศึกษาวิศวะชีวการแพทย์ตลอดสองสัปดาห์ของผมไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินตามตูดพี่ ๆ วิศวะในโรงงานและห้องแลป โชคดีหน่อยถ้าวันไหนได้ตามตูดคนระดับหัวหน้าหรือรุ่นซีเนียร์ แต่ถ้าได้ตามตูดพวกรุ่นใหม่ ๆ ก็หนีไม่พ้นสถานะเจนฯเบ้ละครับ อย่าไปหวังจะได้ความรู้อะไรมาพอกพูนปัญญา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจัดว่าชีวิตดี เพื่อนต่างสาขาของผมบ่นให้ฟังตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เริ่มฝึกว่าถูกขังให้จมปลักอยู่แต่ในออฟฟิศ ให้ทำหน้าที่ไม่ต่างจากคนไม่มีความรู้ด้านวิชาชีพเฉพาะ ดีแต่ถ่ายเอกสารไปวัน ๆ


ชีวิตผมช่วงนี้จัดว่าค่อนข้างสบาย มีแค่ฝึกงานอย่างเดียวไม่ต้องซ้อมละครเวทีไปด้วยอย่างโอมอิน สองสัปดาห์มานี้สภาพของโอมแทบไม่เหลือเค้าออร่าความเป็นพระเอกละครเวที ชีวิตนักศึกษาฝึกงานในบริษัทผลิตภาพยนตร์ชื่อดังของมันค่อนข้างหนัก บางวันออกกองตั้งแต่เช้ากลับมาดึก หรือกลับเช้าอีกวันก็ยังมี ได้ยินมันบ่นว่าชีวิตไม่ต่างจากเจนฯเบ้มากนัก อาศัยครูพักลักจำเอาถึงจะได้ประสบการณ์หน้างานจริง


วันไหนได้ออฟงานหรือเลิกเร็วก็ต้องเข้ามหา’ลัยไปซ้อมละครเวทีที่จะเปิดการแสดงตั้งแต่ช่วงเดือนแรกของเทอม ต่างจากผมที่เป็นช่วงหลังสอบกลางภาค กำหนดการช่วงนี้เลยมีแค่เวิร์คชอปบางบทให้เข้าถึงตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างเช่นตัวเอกอย่างผม


วันนี้ผมพอมีเวลาเลยมานั่งเฝ้าโอมซ้อมละครเวทีตามแผนของอีกฝ่ายที่อยากให้ผมมากดดันผู้กำกับของมันให้ปล่อยเร็วขึ้นเพราะสาว ๆ ในคณะนี้ต่างก็หลงใหลได้ปลื้มในตัวผมและแทบจะทำทุกอย่างตามที่ผมขอทั้งนั้น


ผมไม่ค่อยได้โผล่หน้ามาที่นี่เท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจทีมงานคนอื่น ๆ ด้วย จึงไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังมาเกาะแกะกับคนของผมอยู่อีกหรือว่าถูกจัดการให้พ้นทางไปแล้ว


ระหว่างนั่งรอ นอกจากจะได้รับการทักทายจากบรรดาเพื่อนฝูงของโอมรวมถึงพูดคุยสัพเพเหระพอหอมปากหอมคอแล้วผมก็ว่างตอบไลน์ไอ้น้องรัก รุ่นน้องในชมรมไปด้วย ไอ้ตัวเล็กมันไลน์มารบเร้าชวนไปลองอาหารญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากครั้งก่อนผมไปไม่ได้เพราะนอนกกกับแฟนอยู่แต่ในห้อง ไม่สะดวกออกไปไหนทั้งนั้น ครั้งนี้อีกฝ่ายบอกว่าเป็นสัปดาห์หน้า ถ้าตามตารางงานน่ะผมว่าง แต่ต้องรอดูก่อนว่าโอมว่างด้วยรึเปล่า ไม่อยากไปกับน้องแค่สองคน กลัวโอมไม่สบายใจอีกแม้ผมจะมั่นใจว่าน้องมันไม่ได้คิดเกินเลยกับผมแน่ ๆ ก็ตาม


ผมคุยตอบโต้แค่ไม่กี่ประโยคก็เป็นอันจบบทสนทนา เงยหน้าขึ้นมามองความเคลื่อนไหวในห้องซ้อมก็พบว่าร่างบอบบางของใครบางคนวนเวียนอยู่ใกล้คนของผมเกินความจำเป็นโดยที่ไอ้บ้านั่นก็ไม่รู้สึกตัวสักนิด เห็นแล้วก็หงุดหงิด ทำไมไม่ยอมทำอะไรสักอย่างให้เจ้าหล่อนหลุดไปไกล ๆ เสียที


หนึ่งชั่วโมงหลังจากผมมีตัวตนในห้องนี้ ทีมผู้กำกับหลายคนก็เริ่มเหลือบมองมาทางผมอย่างเกรง ๆ นี่เพิ่งจะหกโมงเย็นเองครับ ปกติกว่าผู้กำกับจะปล่อยก็สองสามทุ่มโน่น แต่ดูเหมือนแผนของโอมจะได้ผลเมื่อมีเสียงประกาศขึ้นมาว่าจะซ้อมต่ออีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น


ผมรออย่างใจจดใจจ่อทว่าก็แอบสังเกตพฤติกรรมของผู้หญิงคนนั้นไปด้วย ทั้งชีวิตผมไม่เคยไม่เป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิง แต่ดูท่าวันนี้คงต้องทำอะไรสักอย่างที่เด็ดขาดเสียที


“หิวรึยัง” โอมอินถามทันทีที่เดินมาถึงตัว ผมว่าคนที่หิวน่าจะเป็นมันมากกว่า ผมส่ายหน้าให้รู้ว่าเต็มใจรอ


“เธอยังยุ่งย่ามกับมึง” ผมมองไปที่สาวเจ้าให้รู้ว่าหมายถึงใคร


“ก็ไม่ได้เยอะอะไร กูไม่อยากทำอะไรมาก ยังต้องร่วมงานกันอีก”


ผมรู้ เพราะรู้ว่าโอมกลัวกระทบกับงาน เธอถึงได้กล้าลอยหน้าลอยตาเกาะแกะมันได้โดยไม่แคร์สายตาใคร อย่างเช่นตอนนี้ ผมมองมือเล็กที่สอดเข้ามาเกาะแขนคนของผมอย่างถือเป็นของตัวขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นอย่างออดอ้อน


นี่เรียกว่าไม่เยอะเหรอ?


“โอมคะ มิ้นท์ขอติดรถไปลงที่คอนโดได้ไหมคะ พอดีขามาติดรถเพื่อนเข้ามาน่ะค่ะ”


“เอ่อ...”


“ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ เดี๋ยวพวกเราไปส่งที่คอนโดให้เอง” ผมเอ่ยชวนด้วยสีหน้าเป็นมิตร แสดงออกให้รู้ว่าสนใจเธออยู่ลึก ๆ ซึ่งเธอก็รีบตอบรับทันที จะด้วยหลงเสน่ห์ผมหรืออยากไปกับโอมผมก็ไม่สนใจ ขอแค่เธอยอมไปด้วยเพื่อจบเรื่องยุบยิบในใจผมได้ก็พอแล้ว


ไม่มีจังหวะไหนที่โอมจะได้ถามว่าผมทำแบบนี้เพื่ออะไรเพราะเธออยู่กับเราตลอดเวลาจนกระทั่งถึงร้านอาหาร แต่เพราะสีหน้าอีกฝ่ายดูฉงนและเป็นกังวลอยู่มาก ผมจึงส่งข้อความไปให้อ่านเงียบ ๆ โดยที่หญิงสาวไม่ต้องรู้เรื่องไปด้วย


‘มึงจัดการไม่ได้ กูจะจัดการเอง’



ระหว่างรออาหารผมมองเธออยู่เกือบตลอดแม้ว่าเจ้าตัวจะเอาแต่พูดกับคนของผมอยู่ตลอดเวลาเช่นกันก็ตาม


“เดี๋ยวมานะ” ผมบอกโอม แน่นอนว่าต้องถูกรั้งไว้ซึ่งผมก็รีบชูโทรศัพท์ให้ดูพร้อมสำทับด้วยการบอกทันทีว่าขอออกไปคุยงานกับเจ้านายสักครู่ ก่อนออกมาผมจงใจทิ้งหางตาให้หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะ เพราะถ้าเธอฉลาดพอเธอก็คงจะรีบหาข้ออ้างปลีกตัวตามผมออกมา


“มีอะไร” เธอถามเสียงห้วนทันทีที่ตามออกมาถึงสวนหลังร้าน ตรงนี้มีม้านั่งริมบ่อปลาคาร์ฟ ช่วงเวลานี้มีแค่แสงสลัวจากหลอดไฟซึ่งจัดว่าทึบและลับสายตาผู้คนได้ดีทีเดียว อีกอย่างคืนนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าว ลูกค้าคนอื่น ๆ คงอยากจะอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำมากกว่าจะออกมาชื่นชมความงามของสวยและปลาราคาแพงพวกนี้


“พูดจาตัดรอนน้ำใจจังเลยคนสวย” ผมตบมือลงข้างตัวเป็นสัญญาณให้เธอนั่งลงก่อน


“มีอะไรก็รีบพูด โอมรอฉันอยู่”


ผมต้องท่องพุทธโธในใจเพื่อระงับอารมณ์ร้อนของตัวเอง เพียรบอกว่าอย่าเพิ่งวู่วามจะเสียเรื่อง พาดแขนบนขอบพนักไปทางด้านหลังเธอด้วยท่าทีใจเย็น “ไม่รู้เหรอว่าไอ้โอมมีแฟนแล้ว”


เธอไหวไหล่ด้วยท่าทีมั่นใจไม่แยแสสิ่งที่ผมพูด “แล้วไง”


“ไม่สนใจ?”


“ก็แค่แฟนที่ไม่เคยมาเฝ้าสักครั้ง หึ คงรักกันน่าดู”


ผมพยายามไม่สนใจท่าทางเย้ยหยันของเธอ “แล้วรู้ไหมว่าแฟนมันเป็นใคร”


“จำเป็นต้องรู้เหรอ”


ผมมองเธออย่างพิจารณาว่าคำตอบที่ได้ยินจริงเท็จแคไหน ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียวที่เธอคงไม่รู้จริง ๆ อย่างปากว่า ผมจะได้ทำอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น


“ไม่คิดจะสนใจผมหน่อยเหรอ” ผมยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้ผู้หญิงตกบ่วงมานักต่อนักแล้ว


เธอยิ้มยั่ว “โทษทีนะ หล่อกว่ารวยกว่าน่ะก็ใช่ แต่มาเสนอกันถึงที่แบบนี้ไม่ใช่สเปคฉันหรอกนะ”


ผมยกยิ้มมุมปาก “เสนอให้ถึงที่แล้วก็ควรจะลองชิมดูก่อนไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็เป็นจังหวะเดียวกับช่วงแขนที่พาดไปตามพนักเก้าอี้ตวัดเอาร่างอวบอิ่มทับลงมาบนตัก เธอหวีดร้อง ยันฝ่ามือไว้กับแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวของผม นัยน์ตาผมมองสบกับประกายวาววับในหน่วยตากลมโตอย่างตื่น ๆ


“นายจะทำอะไร?”


“ลองชิมแล้วไม่ชอบ ก็ไม่ว่ากันหรอกนะ”


เธอครุ่นคิดตามอย่างจริงจังแต่แล้วระบบความคิดของเธอก็ถูกตัดฉับเพราะฝ่ามือผมที่ฉวยโอกาสเลื่อนไปกดตรงท้ายทอย เธอเบิกตากว้างยามถูกโน้มลงมาหาสิ่งที่รออยู่ ริมฝีปากสองคู่ประกบกันโดยความจงใจของผม เธอผงะออกแต่ริมฝีปากผมตามติด ดื้อดึงรุกรานจนหญิงสาวหมดทางเลี่ยง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำแผ่วเบาดังคล้ายการท้าทาย เธอกำหมัดแน่นก่อนจะคลายออกแล้วโอบแขนรั้งเจ้าของตักอย่างผมเข้าไปชิดมากขึ้น ผมจูบเก่ง ก่อนหน้านี้สาว ๆ ที่เคยผ่านมือผมบอกแบบนี้ทุกราย...หรือแม้แต่ไอ้โอมเองยังเคยพูด


ผมครางอื้ออึงในลำคอเสริมอารมณ์ให้เธอยิ่งรุกไล่เข้าหา เธอหยอกล้อและเพลิดเพลินกับปลายลิ้นรสหวานนุ่มที่ผมประเคนให้จนตอนนี้เธอได้กลายเป็นฝ่ายประคองใบหน้าผมเพื่อป้อนจูบลงมาอีกครั้งและอีกครั้งเสียเอง โดยไม่ทันสังเกตว่าผมได้ปล่อยสองแขนลงข้างตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่


“สนุกกันพอรึยัง!”


หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เธอผละออกจากริมฝีปากของผมหันไปมองต้นเสียงทั้งที่มือทั้งสองข้างยังอยู่บนเนื้อตัวผม ดวงตาคู่โตเบิกมองพร้อมสำนึกรับรู้ที่พุ่งเข้าใส่หน้า แต่ก็ยังเคลื่อนไหวตัวได้ช้าจนผมต้องดันเธอออกจากตัก แล้วถอยห่างพร้อมเช็ดปากตัวเองแรง ๆ


“โอมคะ...คือ…”


แน่สิ ต่อให้เป็นผู้หญิงกร้านโลกขนาดไหน แต่ถ้าผู้ชายที่หมายตามาเห็นตัวเองพลอดรักกับคนอื่นแบบนี้เธอก็คงทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน


“ผมว่าคุณควรเลิกยุ่งกับผมซักทีนะ ถ้าไม่ใช่ตอนซ้อมบท เป็นไปได้ก็ควรอยู่ห่าง ๆ ผมไว้”


“มิ้นท์อธิบายได้นะคะ มิ้นท์ไม่ได้เริ่มก่อน คือ...”


“คุณรู้อะไรไหม ที่ผมเห็นคือคุณนั่งตักเขา มือของคุณจับใบหน้าเขา และปากของคุณก็จูบกับปากเขา เขาที่เป็นคนของผม!!”


ผมยืนเม้มปาก ปั้นหน้าให้ดูเหมือนสงสารเพื่อนร่วมโลกอย่างเธออย่างสุดความสามารถ เธอกำมือแน่น คงอยากจะกรี๊ดออกมาในตอนนี้จะแย่ แต่ก็ทำได้แค่กระทืบเท้าระบายความคับแค้นใจแล้วจากไปตามทางที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก


พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยกยิ้มออกมาในตอนนี้ ไม่ทันคิดเลยว่าแท้จริงแล้วตนไม่มีสิทธิยิ้มออกเลยสักนิดเมื่อเห็นโอมอินยืนกำหมัดอยู่ตรงหน้า


“เช็ดคราบลิปสติกนั่นออกซะ…”


“...”


“...ก่อนที่กูจะทำให้เลือดมึงออกมากลบสีบ้า ๆ นั่นแทน”
















พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 15
---------------------------------------------------------------
ให้อภัยกับการแต่ง NC ลุ่มๆดอนๆของเราด้วย
ยังคงยืนยันว่าไม่ถนัดเขียนฉากแบบนี้เลย
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 14 P.5 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 11-08-2018 09:35:30
คราวนี้นางคงจะยุ่งกับโอมน้อยลงนะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 14 P.5 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-08-2018 12:41:07
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 14 P.5 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 12-08-2018 22:06:18
ไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่า แต่รู้สึกว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่หึงธรรมดาแน่ โอมอินต้องเดือดมากกว่านั้นแน่ๆอ่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 14 P.5 [11/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 12-08-2018 22:56:11
โอ้ยยยยยย​ ศรทำไมควีนจังรู้กกกกก
โอมอินใจเย็นๆนาคาาาาา :ling1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 13-08-2018 22:05:08
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 15
---OMIN---









คนบางคนไม่ไล่ให้เราไป แต่ก็ไม่เคยขอให้เราอยู่


ธรรมศรที่ผมรู้จักเป็นแบบนั้น


...จนกระทั่งวันที่ผมถูกบอกเลิก


วันนั้นผมเจ็บไปหมด มันรวดร้าวบีบหน่วงในอกจนร่างผมแทบแหลกอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่ามันเป็นสภาวะที่แย่ที่สุดแล้ว แต่เปล่าเลย...ภาพที่ศรจูบกับคนอื่นทำผมเจ็บได้มากกว่านั้นเสียอีก


เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจะเอาเลือดมันออกมากลบสีบ้า ๆ นั่น ผมก็ไม่ได้ล้อเล่น


ผมกำหมัดจนมือสั่นเกร็งไปหมด อยากจะส่งหมัดดุ้นไปกระแทกปากที่ช้ำเพราะจูบคนอื่นเสียเหลือเกิน ติดอยู่ที่ตอนนี้เรายืนอยู่ห่างกันเกินไป กว่าผมจะก้าวข้ามลำธารสายเล็กตรงหน้าไปถึงตัวมันได้ ความรักที่มีให้ก็คงทำให้โทสะลดลงไปเยอะแล้ว ผมจึงเลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิม อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เผลอทำร้ายมันในตอนที่อารมณ์พุ่งสูงกว่านี้


“ทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”


“เธอทำ ไม่ใช่...”


“แมน ๆ หน่อย อย่าให้กูต้องพูดออกมาว่าสิ่งที่กูเห็นมันต่างจากที่บอกเธอไปยังไงบ้าง”


ไอ้ศรไหวไหล่อย่างไม่แยแส “แล้วไง กูเริ่มเอง และการที่มึงมาเห็นทันเวลาก็จัดว่าจังหวะดี ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอจะยอมออกไปจากชีวิตมึงเหรอ”


“ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรงกูก็หาวิธีจัดการเองได้”


“มึงจะรอให้จบงานละครน่ะเหรอ คิดว่าตัวเองหึงเป็นคนเดียวรึไง”


“แล้วที่มึงทำแบบนี้คิดว่ากูจะไม่หึงรึไงวะ!!”


ไอ้ศรดูอึ้งไป “ก็แค่จูบ แค่ละครฉากนึงหน่า อย่าซีเรียสดิวะ”


ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงอย่างสำนึกผิดแต่คำพูดที่หลุดออกมาไม่ได้ทำให้ผมใจเย็นลงได้เลย “ไม่ซีเรียสงั้นเหรอ มึงคิดว่าการที่มึงเอาปากไปประกบกับคนอื่นที่ไม่ใช่กูเป็นเรื่องที่ไม่น่าซีเรียสงั้นเหรอ”


“...”


“ถ้าวันหนึ่งกูไปจูบกับคนอื่นบ้างมึงจะยังรู้สึกไม่ซีเรียสได้อยู่ไหม!?”


“กูขอโทษโอม กูแค่รอไม่ไหว มึงจัดการเขายาก ไม่อยากให้เสียงานกูเข้าใจ กูเลยต้องทำเองนี่ไง แล้วยิ่งรู้ว่าเธอไม่สนใจเรื่องที่มึงมีแฟนอยู่แล้วกูก็ยิ่งรอช้าไม่ได้ ตัดไฟแต่ต้นลมโอม เธออันตรายเกินไป”


“แต่มันใช่เรื่องที่ต้องเอาตัวเองไปแลกเหรอ มันมีอีกตั้งหลายวิธีแต่มึงก็เลือกวิธีที่มึงต้องการและมันเป็นวิธีที่กูรับไม่ได้ว่ะศร มึงทำให้กูรู้สึกแย่ มึงจูบกับคนอื่น ปากมึงสมควรไปสัมผัสคนอื่นอย่างนั้นเหรอวะศร”


“มันก็แค่...”


“แค่อะไร!!” ระดับความโกรธของผมไม่ลดลงเลย มันมีแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า ‘แค่...’ จากคนรัก


“แค่จูบ แค่แลกลิ้นกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีอะไรต้องซีเรียสใช่ไหม!?” ลมหายใจผมร้อนไปหมด มือที่กำอยู่ก็ยังไม่คลาย ผมกำจนมันเจ็บไปหมดแล้ว “เนื้อตัวมึงไม่ใช่ของสาธารณะ ทำไมต้องเอาตัวเองไปแลกกับผู้หญิงคนเดียว มึงก็ไม่ใช่คนโง่นี่ ถ้าคิดได้ขนาดนั้นก็ควรจะคิดได้ว่ากูจะรู้สึกยังไง!


“กูทำเพื่อเรานะ!”


“กูไม่ต้องการ!!” ผมตะหวาดดังกว่าครั้งไหน ๆ โชคดีที่ตรงนี้ห่างจากห้องอาหารซึ่งคงไม่มีใครได้ยินเสียงของเราสองคน “ถ้ามึงเข้าใจกูสักนิดมึงจะรู้ว่าที่กูพูดไปทั้งหมดคือกูกำลังซีเรียสเรื่องอะไร แต่นี่มึงไม่เข้าใจเลยสักนิดและสิ่งที่มึงทำมันก็บอกได้สองอย่างคือหนึ่งมึงไม่รักตัวเองและสองมึงไม่เชื่อใจกู ไม่เชื่อว่ากูซื่อสัตย์กับมึงคนเดียว ไม่เชื่อว่ากูจะจัดการปัญหานี้ได้ มึงถึงได้ลงทุนเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงคนนั้น”


ธรรมศรถอนหายใจ เบนสายตาไปทางอื่นชั่วครู่ก่อนหันกลับมามองกันด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย “กูขอโทษไปแล้วนะโอม นี่มันแค่เรื่องเล็กเองจะทำให้มันใหญ่ทำไมวะ”


“ที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะของมันเคย ๆ ใช่ไหม ร่างกายผู้หญิงมันให้ความรู้สึกดีล่ะสิ คงจะดีกว่าจูบกับผู้ชายด้วยกัน!”


“ไอ้โอม!!!” ไอ้ศรโกรธ ผมเชื่อว่าถ้าระหว่างเราไม่มีลำธารสายเล็กกั้นอยู่ ผมคงโดนอีกฝ่ายต่อยเข้าให้แล้ว


“ไปทบทวนตัวเองดูนะ”


“...”


“ครั้งนี้เกินไปจริง ๆ ว่ะ”





ครั้งนี้ผมไม่อาจให้อภัยกับสิ่งที่มันทำได้ทันทีอย่างครั้งก่อน ๆ


ที่ผ่านมาถึงมันจะชอบหว่านเสน่ห์ไปเรื่อยหรือปล่อยให้สาวเข้ามานัวเนียเวลาเที่ยวผับบ้างแต่ก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางอย่างครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำไปตามความพิศวาส แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าที่มันเลือกวิธีนี้ส่วนหนึ่งก็คงมาจากสัญชาตญาณดิบของเพศชายที่เดิมทีมันก็มีมากกว่าผมอยู่แล้ว


ผมหันหลังเดินออกมาโดยไม่มีแม้แต่เสียงเรียกจากอีกฝ่าย ผมไม่ได้หนีเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ตัวเองไม่มีความสำคัญพอให้มันรั้งเอาไว้ ก็อย่างว่าแหละครับ ที่ผ่านมาก็มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายรั้งมาโดยตลอด มีแต่ผมที่ประคับประคองความสัมพันธ์ให้เดินต่อไปได้ ขณะที่มันมีแต่จะทำให้แย่ลงทุกวัน ๆ ราวกับอยากผลักไสผมทางอ้อม


คนบางคนไม่ไล่ให้เราไป แต่ก็ไม่เคยขอให้เราอยู่


ผมเคยคิดว่าศรเป็นแบบนั้น


แต่ความจริงแล้วที่ไม่เคยขอให้อยู่คงเป็นเพราะมีก็ได้...ไม่มีก็ได้ เสียมากกว่า


ก็คงจริงดังว่า พอพูดคำว่าเลิกออกมาสักครั้ง มันก็จะรู้สึกว่าสามารถเลิกกันได้จริง ๆ เพราะถ้าความรู้สึกมันมาถึงจุดที่คิดว่าอยากหยุดความสัมพันธ์แล้ว นั่นแสดงว่าไม่มีกันอีกต่อไปแล้วก็ได้


ผมเคยคิดแบบนั้น และคิดมากขึ้นหลังจากทะเลาะกันครั้งก่อนแล้วคำนั้นหลุดจากปากธรรมศร


สิ่งที่ผมกลัวตอนนี้ไม่ใช่ใจของมันที่อยากจะจากไปเหมือนที่คิดมากในครั้งก่อน แต่เป็นความรู้สึกตัวเองที่จะอยู่อย่างไรกับความจริงที่ว่าจะไม่มีผู้ชายที่ชื่อธรรมศรในชีวิตอีกแล้ว


ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าความรู้สึกตัวเองถลำลึกเกินกว่าความชอบความใคร่ตามประสาวัยรุ่นผมก็เริ่มกลัวที่จะเสียมันไป และเอาเข้าจริง ๆ แล้วผมไม่เคยคิดถึงวันที่ไม่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างกายเลยด้วยซ้ำ เพราะผมเชื่อมั่นในตัวเองมาโดยตลอดว่าจะไม่มีวันยอมเสียมันไปเด็ดขาด


แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะยังอยากยึดมันไว้กับตัวอีกไหม ถ้ามันไม่มาง้อหรือเป็นฝ่ายกลับมา ผมจะยังอยากกลับไปหามันเองหรือเปล่า


ผมตัดสินใจกลับมาเก็บของส่วนตัวเล็กน้อยที่ห้องตัวเองแล้วขับรถกลับไปนอนที่บ้าน อันที่จริงแล้วค่ายหนังที่ผมฝึกงานอยู่ใกล้บ้านมากกว่าคอนโดของเราเสียอีก ดีเหมือนกัน ผมจะได้สะดวกในการเดินทาง หวังเอาลึก ๆ ว่าความสะดวกนี้จะคงอยู่กับผมไม่นานนัก...แต่ก็คงต้องยอมรับหากมันจะนานกว่าที่คิด


แม่ดูตกใจที่ผมกลับมานอนบ้านและบอกจะค้างหลายวัน แต่พอบอกว่าใกล้ที่ฝึกงานท่านก็เข้าใจ ขณะที่น้องสาวคนเล็กดี๊ด๊าเป็นพิเศษ คงจะมองสีหน้าผมออกและจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ผมทำเป็นไม่สนใจ เดินขึ้นห้องไปได้ก็โยนสัมภาระลงบนเตียงก่อนทิ้งร่างตามลงไปนอนแผ่มองเพดานที่ว่างเปล่าพอ ๆ กับความนึกคิดของผม


แต่ดูเหมือนเพดานจะขาวสะอาดจนคล้ายฉากฉายหนังเกินไป ภาพไอ้ศรจูบกับผู้หญิงคนนั้นถึงได้ชัดเจนในหัวผมอีกครั้งราวกับถูกสาดฉายบนเพดานตรงหน้า


ผมเห็นทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่ศรยกร่างมิ้นไปนั่งบนตักตัวเอง ตอนนั้นผมโกรธแทบบ้า เกือบจะพุ่งเข้าไปกระชากออกแต่ติดตรงที่ว่ายังอยู่ไกลเกินไป ไกลจนทำอะไรไม่ทันท่วงทีแล้วสุดท้ายสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นก็เกิดขึ้น แค่คิดว่าศรไม่ได้รู้สึกหวงร่างกายตัวเองไว้สัมผัสแค่แฟนตัวเองผมก็เจ็บแปลบขึ้นมา และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อไอ้ตัวดีเอาแต่พูดว่า ‘มันก็แค่จูบ’ ก่อนหน้านั้นจะจูบจะเอากับใครมากี่ร้อยกี่พันคนผมไม่เคยสนใจ ไม่เคยตามย้อนเวลากลับไปหึงหวง แต่ขอแค่ปัจจุบันอย่าทำอะไรแบบนี้กับใครเท่านั้นเอง ทำไมมันคิดไม่ได้ว่าไม่ควรทำแบบนั้น ผมเจ็บปวดมากจริง ๆ


มันเป็นความผิดหวังมากกว่าจะเสียใจในแง่ของการถูกนอกใจอะไรแบบนั้นนะ ผมแค่รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่มันทำ และคงเพราะว่าผิดหวังไม่ใช่เสียใจอย่างทุกครั้ง มันเลยอิมแพคกับใจผมมากกว่าครั้งไหน ๆ จนไม่อยากมองหน้ามันในตอนนี้และไม่พร้อมที่จะให้อภัยได้ด้วยความรักทั้งหมดที่มี


ครั้งก่อนโน้นที่น้อยใจเพราะมันไม่ยอมเล่าปัญหาของตัวเองให้ฟังบ้างเลย ผมยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างงี่เง่าเอง แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองยังไม่ใช่คนสำคัญพอที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้มันได้ทั้งที่เราคบกันลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าฉาบฉวยแล้วด้วยซ้ำ


เพราะคาดหวังมากไปเหรอ...ผมถึงได้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนี้





ปลายปากกาจรดขีดกากบาทลงบนวันที่ในปฏิทินตั้งโต๊ะเป็นวันที่สาม


สามวันมาแล้วที่ผมได้รับความสะดวกในการเดินทางไปฝึกงาน ทั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นเรื่องที่โคตรเหี้ยในความรู้สึก ธรรมศรห่างออกไปทุกที ไม่โทรหา ไม่ไลน์ ไม่แวะไปหาที่ห้องซ้อม สามวันที่ชีวิตผมมีแต่พี่ ๆ ในค่ายหนังที่ทำงานด้วยกัน เพื่อน ๆ ที่กองละครเวที แม่กับน้องสาวและพ่วงมาด้วยรดาที่เรามักจะได้เจอและใช้เวลาด้วยกันในวันที่ผมได้รับสิทธิ์ในการกลับบ้านเร็ว ขณะที่มนุษย์ผู้ชายที่ชื่อธรรมศรหายไปจากสารบบชีวิตผมมาสามวันแล้ว


ผมพบว่าความยุ่งวุ่นวายในแต่ละวันทำให้ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องของมันมากเท่าที่กังวล จะมีคิดบ้างในช่วงที่สมองและร่างกายได้พักและส่วนใหญ่จะเอาแต่คิดว่าเมื่อไหร่มันจะกลับมาหาผม ย้อนแย้งดีไหมละครับ ผมไม่ได้จะเป็นจะตายเลยด้วยซ้ำที่ห่างกับมัน ออกจะใช้ชีวิตได้ปกติไม่เหมือนที่เคยกลัวเลยด้วยซ้ำ แต่ลึก ๆ แล้วคาดหวังเอาไว้มากว่ามันจะกลับมาหา


และถ้ามองให้ลึก ผมว่าตอนนี้ผมไม่ต่างจาก AI เท่าไหร่นัก ฟังก์ชันทำงานได้เต็มร้อย คิดได้แต่ไม่มีความรู้สึก ไอ้เรื่องจะให้มานั่งเศร้ากอดขวดเหล้าคงเป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็แค่นอนเหม่อจนหลับไปเท่านั้น


[เด็กที่ร้านบอกว่าเห็นไอ้ศรมาที่นี่ทุกคืน] เป็นไอ้เต๋าอีกตามเคยที่คอยรายงานสถานการณ์ของคนฝั่งโน้นให้ผมฟัง เมื่อช่วงเย็นมันโทรมาชวนไปร้านเหล้าเพราะเห็นว่าผมว่างซ้อม เห็นบอกว่าไปกับพี่ที่ฝึกงานด้วยกัน ไม่คิดว่าจะไปเจอศรที่นั่นด้วย


“...”


[อ่ะ ไม่อยากฟัง โอเคกูวาง] คงจะไปร้านนั่งชิล เสียงปลายสายถึงเคลียร์ไม่อึกทึกนัก


“ไปกับใคร” ผมรีบถามก่อนอีกฝ่ายวางสายไป


[บอกแล้วว่ามากับพี่ที่ทำงาน]


“อย่ากวนตีนตอนนี้”


[คนเดียว เห้ย ไม่แล้วว่ะ มีผู้ชายกลุ่มนึงเข้ามาทักมันแล้วมันก็ยอมเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกัน คงสนิทกันน่าดู]


“ใคร”


[ไม่รู้ว่ะ มึงก็รู้ว่าแฟนมึงกว้างขวาง รู้จักคนไปทั่ว]


“...”


[ไม่พูดกูวางจริง ๆ แล้วนะเว้ย] ไอ้เต๋ายังกวนทั้งที่รู้ว่าผมอยากรู้อะไรบ้าง


“มันเมาไหม”


[ตอนนี้ยัง แต่อีกสิบนาทีกูว่าไม่แน่ เพื่อนมันรึเปล่าไม่รู้แม่งรินเอารินเอา]


“ฝากดูหน่อย”


[ไม่มา?]


“เดี๋ยวได้ใจ”


[เอาจริงเว้ยยยย ให้แน่เหอะสัด]


“ที่บอกว่าฝากดู...กูพูดจริงนะ”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนผมวางสาย แล้วถามว่านอนหลับไหม ก็ไม่ ไม่อาจข่มตาให้หลับได้จนกระทั่งไอ้เต๋าโทรมาบอกว่าขับรถตามไปส่งศรถึงคอนโดแล้วในสามชั่วโมงหลังจากนั้นนั่นแหละ มิหนำซ้ำยังถูกปลายสายบ่นใส่อีกว่าอดเหล่สาวเพราะมัวแต่มองไอ้ศรให้ผม


ย่างเข้าสู่วันที่สี่


วันนี้ผมก็คงไม่มีเวลาว่างคิดเรื่องศรอีกเหมือนเคย เพราะช่วงเย็นหลังเลิกงานต้องเข้าไปซ้อมละครต่อ ใกล้เปิดเทอมเต็มที สำคัญคืออีกไม่ถึงสี่สัปดาห์ก็จะเปิดการแสดงแล้ว วันนี้นอกจากจะซ้อมแล้วผมยังต้องฟิตติ้งเสื้อผ้าครีเอทหน้าผมเตรียมถ่ายจริงในอีกวันสองวันข้างหน้า ระหว่างนี้ก็ใช้รูปกราฟิกฉากหรืออื่น ๆ ในการโปรโมทไปก่อน


ผมแบกร่างสะบักสะบอมจากการฝึกงานที่ไม่ต่างจากเจนฯเบ้นักไปถึงคณะในเวลาเกือบหกโมงเย็น ทันได้ยินประกาศข่าวดีจากฝ่ายพีอาร์ว่าบัตรรอบพรีเซลขายหมดแล้ว ก่อนจะเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ตามมาในแทบจะทันทีอีกเรื่องหนึ่ง


“มีคนมาหาเว้ยไอ้โอม” เสียงไอ้โจดังลั่นห้อง หน้าตาแต้มรอยยิ้มของมันทำให้ผมมีหวังว่าคนที่รอจะเจอมาหลายวันจะมาหาในวันนี้ แต่เปล่าเลย ผมนกว่ะ


“ยัยอิม!” เป็นเอม น้องสาวคนกลางของผมที่เป็นหนึ่งในฝ่ายคอสตูมตะโกนเรียกเสียงดังลั่น จะผมหรือเอมเราต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอน้องที่นี่ ที่สำคัญคือชวนรดามาด้วย


ยัยอิมแทบจะกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาผม ขณะที่รดาได้แต่ร้องเตือนตามหลังมาว่าให้ระวังกล่องอาหารในถุงที่ถืออยู่ด้วย เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบเข้าไปช่วยรดาถือ


“จะมาทำไมไม่บอกก่อน” ผมตำหนิน้องสาวตัวเองโดยมีเอมมายืนพยักหน้าเห็นด้วยอยู่ข้าง ๆ


“แม่อนุญาตแล้ว เนี่ยอาหารพวกนี้นะ รดาเขาตั้งใจทำให้พวกพี่ ๆ ทานเลยนะ” อิมดันเพื่อนรักมายืนตรงหน้าผม รู้ว่าน้องต้องการสื่ออะไร เคยพูดไปแล้วด้วยว่าทำให้สมหวังไม่ได้ แต่คงเพราะช่วงนี้ผมยังไม่มีวี่แววจะคืนดีกับแฟนด้วยละมั้ง น้องถึงได้เชียร์เพื่อนตัวเองหนักขนาดนี้


“สวัสดีค่ะพี่ ๆ อิมเป็นน้องคนเล็กของพี่โอมกับพี่เอมนะคะ” ยัยตัวแสบรีบทักทายแจกไหว้ไปทั่วห้องก่อนที่ผมจะดุขึ้นมาอีก “คุณแม่กับเพื่อนอิมทำอาหารมาเผื่อพี่ ๆ ทุกคนเลยค่ะ มาหยิบไปทานกันได้นะคะ” ช่วงนี้ปิดเทอม แม่ผมที่เป็นอาจารย์อยู่บ้านว่าง ๆ ท่านก็ชอบทำอาหาร มีรดามาอยู่ด้วยทุกวันก็ยิ่งชอบใจใหญ่เพราะมีคนให้สอนทำอันนั้นอันนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าที่แม่ทำแบบนี้เพราะคิดอะไรแบบยัยอิมด้วยรึเปล่า


“ไม่ทราบว่าเพื่อนน้องอิมเป็นอะไรกับพี่ชายน้องเหรอครับถึงได้ทำอาหารมาให้ถึงที่นี่” คำถามสร้างความลำบากให้ผมจะมาจากใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ไอ้โจที่หวิดจะแดกตีนผมหลายรอบแล้ว แม้ไอ้พีทไม่อยู่ ไม่มีคู่หูแกล้งผมแต่มันคนเดียวก็ยังฤทธิ์เยอะอยู่ดี นี่ขนาดมันยังไม่รู้นะครับว่าผมระหองระแหงกับศร ถ้ารู้ขึ้นมาก็ไม่อยากจะคิด


“เพื่อนน้องก็คือเพื่อนน้อง มึงสงสัยตรงไหน” ผมหันไปตอบแทนน้องสาว หวังว่าหน้านิ่ง ๆ ของผมจะทำให้มันมองออกว่าไม่ควรพูดเล่นอะไรตอนนี้


“อ้อออ” ไอ้โจลากเสียงยาวได้ตอแหลที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกันมา “เพื่อนน้อง กูเข้าใจละครับเพื่อนรัก”


ถ้าไม่ติดว่ารดายืนอยู่ตรงนี้ด้วยผมจะไล่เตะตูดมันให้ช้ำเขียวสักทีสองที หมั่นไส้มันจริง ๆ ครับ แล้วยังมีหน้าเดินมาหยิบกล่องอาหารพร้อมเล่นหูเล่นตาใส่น้องอีก


“มากันยังไง พี่ให้เราสองคนอยู่ในนี้ไม่ได้นะ กลับไปกันก่อนเลย”


“พี่ชายรดาพามาค่ะ แต่ขอไปทำธุระก่อน เดี๋ยวรดากับอิมลงไปรอข้างล่างได้ค่ะ” รดาบอก


“กล่องนี้ของพี่โอมค่ะ รดาเขาตั้งใจทำให้เป็นพิเศษ” อิมจัดแจงยื่นกล่องอาหารมาให้ผม


“มันก็เหมือนกันทุกกล่องนั่นแหละอิม” รดาปรามเพื่อนเขิน ๆ


“พี่ก็ว่าอย่างนั้นนะ” เอมเสริมจึงโดนยัยน้องคนเล็กมองค้อนเข้าให้อีกคน


“ไม่เหมือนสิ กล่องนี้เธอตกแต่งอยู่ตั้งนาน”


“เอ่อ...ทานให้อร่อยนะคะพี่โอม ไปกันเถอะยัยอิม” คงเพราะเขิน รดาถึงได้รีบดึงเพื่อนตัวเองออกไปจากตรงนี้โดยมีคำขอบคุณของผมดังไล่หลังไป


“ยัยอิมนะยัยอิม รู้ทั้งรู้ว่าพี่โอมมีแฟนอยู่แล้วยังจะจับคู่ให้เพื่อนตัวเองอีก สงสารรดาจริง ๆ” เอมบ่นก่อนยกข้าวกล่องไปหนึ่งถุงใหญ่เผื่อคนอื่น ๆ


ยังดีที่เอมไม่สงสัยอะไร คงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ได้กลับไปค้างที่บ้านจึงยังไม่ระแคะระคายความสัมพันธ์อันสั่นคลอนของผมกับศร โชคดีอีกอย่างที่วันนี้ยัยจี๊ดไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงโดนฟอกจนขาวแน่ ๆ


วันนั้นกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน อาบน้ำเสร็จแล้วก็นึกว่าจะหลับได้เลยเพราะความเหนื่อย แต่เปล่าครับ เหนื่อยแค่ไหนก็ยังมีแรงคิดถึงศร หยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเช็คทุกแอปฯแล้วก็ได้แต่ปลง บล็อกช่องทางการติดต่อหรือก็ไม่ แต่ไม่ยักมีซักการแจ้งเตือนที่มาจากคนคนนั้น



หรือเราจะเลิกกันแล้วจริง ๆ วะ














พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 16
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ย้ำอีกครั้งว่าตัวละครแต่ละตัวมีเหตุผลของทุกการกระทำและทุกการแสดงออกค่ะ
อาจมีฐานมาจากพื้นเพครอบครัว นิสัยส่วนตัว ประสบการณ์
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและทุกกำลังใจนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-08-2018 00:27:25
ถอนหายใจเลย ทางนั้นจะเป็นยังไงบ้างคะเนี่ย พยายามหาทางมาทำทุกทางเพื่อนรั้งโอมไว้ให้ไม่ทิ้งตัวเอง แต่ทางโอมโรคประจำใจฝั่งนี้ก็เรื้อรังมานานแล้ว ขอให้หาทางเคลียร์กันให้ได้นะคะ อยากให้จบดี  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 14-08-2018 06:19:51
รอบนี้ดูสาหัสจัง​ เพราะโอมผิดหวังจริงๆ​ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saiimai1998 ที่ 14-08-2018 15:00:50
สงสารโอมอะ ศรทำไมไม่มาง้อเลยใจนึงก็อยากให่เลิกๆศรจะได้รู้สึก แต่ใจนึงก็อย่าเลิกเลย สงสารคนอ่านอย่างเราด้วยยย :sad4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: changemoo ที่ 15-08-2018 12:39:39
ต้องการความหวานแหววแบบตอนแรกๆ 5555 ไม่มีช่วงพักหายใจเลยค่ะ ดราม่ายาวนาน เราทีมศรนะ เอ็นดู คนที่มีความหลัง มันจะกลัวการสูญเสียมากจริงๆ แต่ถ้าผ่านความรู้สึกนี้ไปได้ แล้วโอมอินเข้าใจ ช่วยกันประคับประคอง รักครั้งนี้จะต้องอยู่นานมากแน่ๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 17-08-2018 00:05:41
ศรมาง้อโอมหน่อยยย แฟนตัวเองกำลังโดนจับคู่นะ รีบมาด่วนนนนน :katai1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 15 P.6 [13/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 18-08-2018 13:53:00
เลิกกับเขาแล้วมาหาเรานะโอมอิน   :hao5: :katai1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-09-2018 15:22:58
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 16
---DharmaSORN---






เสียงสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจของเด็กชายตัวน้อยวัยสองขวบดังระงมไปทั่วบริเวณที่เจ้าตัวไม่ทันใส่ใจว่าคือที่ไหน เขารู้แค่ว่ามันทั้งมืดและวังเวง อากาศโดยรอบเย็นจนชวนให้เหน็บหนาว ยิ่งไร้ซึ่งอ้อมกอดของใครบางคน เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันหนาวเหน็บจนถึงขั้วหัวใจ


ฮึก ฮึก


เจ้าตัวเล็กหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดทีละนิดตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของร่างกายเพราะแรงสะอื้นที่กระชั้นจนเริ่มจะขาดใจเข้าให้จริง ๆ สองขายังก้าววิ่งเตาะแตะไปตามทางที่ใครคนนั้นเพิ่งลับสายตาไป เขาเพิ่งหยุดเรียกเธอไปไม่นานมานี้เองหลังจากที่เรียกอยู่นานจนเหนื่อยหอบเพราะร้องไห้ตัวโยนไปด้วย ม่านสายตาพร่ามัวมาครู่ใหญ่แล้ว แม้เจ้าตัวจะใช้หลังมือป้อมปัดออกบ่อยครั้งทว่าก็ยังมองภาพเบื้องหน้าไม่ชัดเท่าไหร่ ก่อนที่เธอจะลับสายตาไป เขาจึงมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายหันมามองกันด้วยความอาลัยอาวรณ์กันบ้างหรือไม่ในตอนที่เขาร้องเรียกสุดใจ


แม้จะยังอยู่ในวัยที่ไม่เข้าใจอะไรนักแต่สัญชาตญาณก็บอกให้รู้ว่าเธอกำลังจากไปแบบไม่มีวันกลับมาหากันอีก เขาเสียเธอไปตลอดกาลทั้งที่ยังมีลมหายใจ เด็กชายตัวน้อยวิ่งตามจนแข้งขาอ่อนแรงทรุดล้มอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอ่อนใสเปื้อนคราบน้ำตาน้ำมูกก้มลงมองพื้นด้วยความรู้สึกหลากหลายขณะใช้สองมือยันกายให้ลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อทรุดลงครั้งแล้วครั้งเล่าจนท้อ ได้แต่เปล่งเสียงเรียกปนสะอื้นแผ่วเบาด้วยหวังว่ามันจะดังพอให้คนที่จากไปได่้ยินแล้วเดินกลับมากอดกันไว้อีกครั้ง


ฮึก ฮือ


สายลมเอื่อย ๆ ไล้ผิวกายชวนให้ขนลุกชัน ทว่าภายในใจกลับเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่า เด็กน้อยยังคงร้องเรียกหาเธออยู่อย่างนั้น ในตอนนี้เขาไม่ได้ปัดคราบน้ำตาออกแล้ว น้ำมูกที่ไหลก็ปล่อยไว้อย่างนั้นจนเผลอกินมันเข้าไป แต่เขาไม่สนใจ เด็กน้อยคิดแต่เพียงว่าถ้าเขาร้องไห้อยู่ตรงนี้จะทำให้เธอเปลี่ยนใจกลับมาหากันได้ ร้องไห้เหมือนทุกครั้งที่อยากได้ของเล่น...ยิ่งร้องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เร็วขึ้นเท่านั้น


เสียงสะอื้นยังคงดังต่อเนื่อง เขาคิดมาตลอดว่ารอบข้างไม่มีใคร จนกระทั่งร่างน้อย ๆ ของตัวเองถูกอุ้มขึ้นโดยใครบางคนแล้วพาเดินย้อนไปคนละทางกับคนที่ทิ้งไป เสียงเล็กจึงแผดร้องออกมาดังที่สุดในตอนนั้น


“แม่!!”


ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันแทบไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบในตอนที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายเดิม ๆ ของตัวเอง


นาฬิกาตรงหัวเตียงบอกเวลาตีสอง บ่งบอกว่าโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ก่อนเข้านอนเพิ่งดับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงนี่เอง


ผมปาดเหงื่อบนใบหน้าขณะพลิกตัวเข้าหาอีกฝั่งที่เคยมีใครคนหนึ่งนอนอยู่เสมอ


แต่คืนนี้ไม่มี…


สิ่งที่โอมเห็นคือทุกเช้าผมจะซุกตัวเข้าหามัน แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือผมซุกเข้าหามันตั้งแต่กลางดึกในทุกคืน
ชีวิตผมเริ่มมีความสุขมากขึ้นเมื่อมีผู้ชายที่ชื่อว่าโอมอินเข้ามาในชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนอนฝันร้ายทุกคืน ดีหน่อยตรงที่มีมันนอนอยู่ข้าง ๆ ให้อุ่นใจ ความอบอุ่นจากร่างกายของโอมช่วยเยียวยาจิตใจของผมได้ดี เพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในทุกครั้งที่ตื่นจากฝันร้ายเหล่านั้น


ผมเคยนึกภาพตัวเองในวันที่ไม่มีโอมอินอยู่ข้างกายไม่ออก ผมลืมไปหมดแล้วว่าก่อนหน้าจะมีมัน ผมอยู่อย่างไร
แล้วความรู้สึกเก่า ๆ ที่หวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างเช่นตอนนี้ล่ะ...ผมควรจัดการกับมันอย่างไรดี


เด็กชายธรรมศรในวันนั้นร้องไห้แทบเป็นแทบตายเพื่อสิ่งที่อยากได้


แต่ในวันนี้นายธรรมศรจะไม่ร้องไห้เพราะอยากได้ของอีกแล้ว


ผมลุกจากเตียง เปิดลิ้นชักหัวเตียงหาบางอย่างที่ถูกเก็บเอาไว้มาพักใหญ่แล้ว


...บุหรี่กับไฟแช็ึค


ผมถือมันเดินออกไปตรงระเบียง จุดสูบอย่างไม่รีรอ รสขมปร่าทำผมเบ้หน้าเล็กน้อยในตอนที่อัดควันเข้าปอดเพราะห่างเหินไปนานแล้ว ไอ้โอมคงไม่ทันสังเกตว่านับตั้งแต่วันที่มันขอ ผมก็สูบน้อยลง มวนนั้นที่ขอยืมไอ้ท็อปเด็กเกษตรฯก็แทบจะเป็นมวนเดียวในช่วงสองสามเดือนนี้เลยด้วยซ้ำ


ภาพเบื้องหน้าคือวิวเมืองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาที่ไม่เคยหลับใหล ผมอัดนิโคตินเข้าไปอีกครั้งและอีกครั้งเพื่อกลบความขุ่นมัวในใจ

 
‘ไปทบทวนตัวเองดูนะ’


เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วที่โอมอินหายเงียบไปหลังพูดแบบนั้นแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่กลับมา หนึ่งสัปดาห์มันยังน้อยไปสำหรับให้ทบทวนตัวเองหรืออย่างไรผมเริ่มไม่แน่ใจ ช่วงวันสองวันแรกผมยังโอเคกับคำพูดนั้นของมัน อาจจะมีนอนไม่หลับบ้างเป็นธรรมดา แต่พอเข้าวันที่สามแล้วพบว่าของใช้จำเป็นบางอย่างของมันในห้องถูกเจ้าตัวแอบเข้ามาเก็บออกไปผมก็เริ่มใจไม่ดี


อดคิดไม่ได้ว่าโอมอยากจะออกไปจากชีวิตผมจริง ๆ ก็คราวนี้


ครั้งนี้ผมผิดเต็ม ๆ มันให้เวลาผมได้ทบทวนตัวเอง และเพราะรู้ตัวว่าทำเกินไป ผมจึงไม่กล้าบากหน้าไปหามันก่อน ไม่ใช่ว่าไม่อยากง้อ แต่กลัวว่ามันไม่อยากคืนดีกันแล้วต่างหาก ครั้งก่อนที่มีปัญหาผมเคยบอกให้มันถามตัวเอง และครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นเดิม แม้จะอยากเป็นคนตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวแต่เพราะรู้ว่าตัวเองผิด ถ้าอีกฝ่ายไม่สบายใจจะอยู่ด้วยอีกแล้ว ผมก็คงต้องยอมรับการตัดสินใจของมัน จริงไหมล่ะครับ


บางที...โอมก็อาจจะคิดได้ว่าเหนื่อยเกินไปที่ฝืนคบกันต่อ


ผมห้ามใจให้สูบแค่มวนเดียวเท่านั้น เมื่อไฟลามถึงก้นบุหรี่ ผมก็จัดการเขี่ยมันกับภาชนะที่สมควรแล้วยืนมองมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินกลับเข้าห้องนอน


สิ่งที่ทิ้งไว้เบื้องหลังก็คือมวนบุหรี่ที่เหลือแต่เศษซากกับความคิดถึงยามตีสาม


ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ทุกคืนผมจะออกไปดื่มเหล้าที่ร้านตามลำพัง ไม่บอกใคร ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ เว้นแต่บางคืนที่เจอเพื่อนก็จำต้องไปนั่งร่วมโต๊ะด้วยเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังทุกข์ใจเรื่องอะไร ก่อนจะกลับมาตอนเที่ยงคืนแล้วนอนหลับไปพร้อมกับเสียงโทรทัศน์ที่เปิดไว้กล่อมนอน แต่สุดท้ายก็ยังสะดุ้งตื่นด้วยฝันร้ายในเรื่องเดิม ๆ เพียงแต่คืนนี้เป็นคืนแรกที่ผมเลือกจะสูบบุหรี่ก่อนหลับตาลงอีกครั้ง


พูดอย่างไม่อายเลยว่าที่ไปนั่งร้านเหล้าทุกวันไม่ใช่แค่อยากดื่มเพื่อลืม แต่เพราะคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะได้เจอโอมเหมือนอย่างทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน หวังว่าอีกฝ่ายจะตามไปหาแล้วพากลับห้อง แต่สุดท้ายผมก็ต้องเป็นฝ่ายพยุงสติตัวเองกลับห้องด้วยตัวเองตามลำพัง


เห็นที คงจะได้เลิกกันจริง ๆ ก็คราวนี้


ผ่านไปนานหลายนาทีหรืออาจจะแค่ไม่กี่อึดใจผมก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่ามันอึดอัดกระสับกระส่ายเกินกว่าจะข่มตาให้หลับเหมือนปกติได้แล้ว แต่เพราะไม่อยากเปิดโทรทัศน์อีก ผมจึงเปิดเสียงที่เคยอัดไว้ตอนโอมกลับบ้านขึ้นมาฟัง จำได้ว่าคืนหนึ่งเคยอ้อนให้อีกฝ่ายร้องเพลงกล่อม ตอนนั้นหลับไปก่อนที่เพลงจะจบ คืนนี้ก็คงจะช่วยให้หลับได้เหมือนกัน


ค่ำคืนฉันยืนอยู่เดียวดาย
เหลียวมองรอบกาย
มิวายจะหวาดกลัว
มองนภามืดมัว
สลัวเย็นย่ำ ค่ำคืนเอ๋ย
ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม



เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงช้า ๆ


ยามนภา คล้ำไปใกล้ค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย
เอ๋ยเล่า นกเอย


ผ่านไปครึ่งเพลงแล้วแต่ผมก็ยังมีสติครบถ้วนทั้งที่หลับตารออยู่แล้ว


อกฉัน ทุกวันเฝ้าอาวรณ์
เหมือนคนพเนจร
ฉันนอนไม่หลับเลย
หนาวพระพายพัดเชย
อกเอ๋ยหนาวสั่น สุดบั่นทอน
ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม ฮืม



ผมตัดสินใจลืมตาขึ้นอีกครั้ง จ้องมองไปในความมืดโดยไม่กระพริบตา เสียงของโอมอินยังดังคลออยู่ข้างหู


ยามนี้เราหลงทางกลางค่ำ
ยินเสียงร่ำคำบอก
เจ้าช่อไม้ดอกเอ๋ย
เจ้าดอกขจร
ฉันร่อนเร่พเนจร
ไม่รู้จะนอนไหนเอย
เอ๋ยโอ้หัวอกเอย



‘กูรักมึงมากนะศร’




เหมือนฝันไป…


เสียงพูดปิดท้ายคำร้องทำให้ผมรู้สึกราวกับตัวเองฝันไป เป็นฝันดีในแบบที่ไม่อยากตื่น ทั้งที่ความจริงแล้วนี่คือฝันร้ายเสียด้วยซ้ำเพราะมันมีแค่เสียง แต่คนพูดไม่ได้อยู่ข้างกันตรงนี้อีกแล้ว


คำว่ารักในวันนั้นคงไม่มีความหมายในวันนี้


ผมเลิกสนใจแล้วว่าตัวเองจะได้หลับตอนไหนหรือนอนแค่กี่ชั่วโมงก่อนออกไปฝึกงานต่อ เลิกแม้กระทั่งความพยายามในการข่มตานอน ผมหันมาให้ความสนใจกับการร้องเพลงตามเสียงของโอมอินซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นแทน


ซึ่งมันได้ผล


แม้จะไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหนและได้หลับกี่ชั่วโมง แต่ในตอนเช้าผมได้รับรู้ว่าตัวเองได้หลับบ้างนั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว


ตั้งแต่โอมอินจากไปผมยังไม่ได้ไปหาอาภพเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะโทรไปเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องโตขึ้นให้ได้ ต้องหนีจากความเป็นเด็กชายธรรมศรที่ทำอะไรเพื่อเรียกร้องความสนใจได้แล้ว และที่สำคัญ ในวันที่ผมไม่มีใครผมก็ควรจะอยู่ได้ด้วยตัวเองเสียที


ผมใช้ชีวิตในสถานฝึกงานของตัวเองตามปกติ ใต้ตาดำคล้ำลึกโบ๋ไมได้ทำให้ใครสนใจสักเท่าไหร่ อย่างว่าแหละครับ ในหมู่มวลชาววิศวะอย่างเรา ทั้งดื่มเหล้าทั้งนอนดึก ใครยังหน้าใสสิถึงจะตกเป็นเป้าสังเกต


ตกเย็นผมแวะเข้าไปซ้อมละครเวทีที่คณะสถาปัตยกรรมศาสาตร์ เพราะจะเปิดม่านการแสดงในอีกหลายเดือนข้างหน้าทีมงานจึงนัดผมมาซ้อมไม่ถี่สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นแค่เรื่องของการทำความเข้าใจบทเพื่อความอินก็เท่านั้น จะไปหนักช่วงเปิดเทอมใหม่เสียมากกว่า


ผู้กำกับบอกว่าการซ้อมจะเริ่มหลังอาหารเย็นที่ทีมงานเลี้ยง ผมรับข้าวและน้ำเปล่าหนึ่งขวดแล้วปลีกตัวออกมานั่งคนเดียว ถึงผมจะเฟรนลี่แค่ไหนแต่สภาวะอารมณ์แบบนี้ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะเข้าสังคมใด ๆ


ผมเห็นเท่าฟ้าถือแก้วนมเย็นไปให้รุ่นน้องคนหนึ่งที่เล่นเป็นน้องชายนางเอกของเรื่องขณะที่คนอื่น ๆ ได้แค่น้ำเปล่าแล้วก็เริ่มเข้าใจเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวันก่อน และแม้ว่ามันจะอยากนั่งทานข้าวกับน้องมากแค่ไหน แต่คงเพราะไม่อยากเอิกเกริก อีกฝ่ายถึงได้เลือกเดินมานั่งเป็นเพื่อนผมที่ปลีกตัวออกจากฝูงชนแทน


“อยากได้นมเย็นบ้าง” ผมเปรย ไม่จงใจนักแต่คนฟังคงรู้ด้วยตัวเองได้ไม่ยากว่าผมเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายทำ


เท่าฟ้าหูแดง คบมานานก็พอรู้ว่ากำลังเขิน “ก็ให้แฟนมาเฝ้าสิวะ มึงอยากกินอะไรเขาก็หามาให้ได้หมดแหละ ได้ข่าวมาว่าสปอยล์เอาเรื่องอยู่นี่”


ผมปักช้อนในข้าวและจับมันไว้อย่างนั้น “แล้วได้ข่าวมารึยังว่ากำลังจะเลิกกันแล้ว”


“จริงดิ!” ไม่ใช่เสียงจากคนตรงหน้าผมแต่เป็นอีกคนที่เดินถือกล่องข้าวเข้ามาแล้วถือวิสาสะนั่งลงข้างผม “เลิกกันแล้วจริงดิ”


“เสือก” ผมว่าใส่หน้าไอ้ท็อป รู้สึกหงุดหงิดกับรอยยิ้มของมันที่ไม่สะทกสะท้านกับคำด่าของผมเลยสักนิด


“เสือกที่ไหน นี่เรื่องของกูด้วยชัด ๆ”


“เกี่ยวอะไรกับมึง”


“ก็จะได้จีบต่อ” ท็อปพูดหน้าตาย ขณะที่ผมกับเท่าฟ้านิ่งอึ้งไป “อย่าทำไขสือ ที่กูเทียวไล้เทียวขื่อเพราะชอบจริง ๆ นะเว้ย ไม่ได้ตามตอแยให้โดนด่าเล่นเฉย ๆ นะ”


“กูไม่ได้ชอบมึง”


“ลองดูก่อนก็ได้ กูก็มีดีนะ”


“ต่อให้เลิกกับโอมจริง ๆ กูก็ไม่ชอบมึง” ผมพูดต่อหน้าเท่าฟ้าโดยไม่อาย มันก็เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ขึ้นมหา’ลัยมาอาจไม่ได้ติดต่อกันมากเพราะเรียนหนักทั้งคู่ แต่เมื่อก่อนเราก็ปรึกษาเรื่องสำคัญกันอยู่เสมอ


“ลองดูก่อนดิ มึงชอบแมน ๆ ไม่ใช่เหรอ กูนี่ไงแมน ๆ รับรองว่า...”


“กูไม่สนว่ามึงจะแมนหรือไม่แมน กูไม่ได้มองว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย กูไม่มีเงื่อนไขหรอกว่าต้องเป็นแบบไหนกูถึงจะรักได้ ไม่ได้มีเกณฑ์บ้าบอมาคัดแยกคนเข้ากลุ่มที่กูจะรักได้ด้วย กูยึดแค่ความรู้สึก...ถ้ากูชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก”


“...”


“กูไม่สนด้วยว่าใครจะมองกูเป็นเกย์หรือไบฯ หรือรสนิยมทางเพศเป็นแบบไหน สำหรับกูเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ กูต้องการแค่ใครสักคนที่กูรักและมีความสุขเวลาอยู่กับเขา ขณะเดียวกันคน ๆ นั้นก็ต้องรักกูและพร้อมจะอยู่กับกูเหมือนกัน”


“...”


“ซึ่งคน ๆ นั้นไม่ใช่มึง”


ผมหยิบกล่องข้าวและขวดน้ำของตัวเอง บอกขอโทษเท่าฟ้าแล้วลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะเดินออกไปหาที่นั่งอื่นแต่ท็อปเรียกรั้งไว้


“ให้โอกาสกูหน่อยไม่ได้เหรอวะ มึงเองก็ใช่ว่าจะชอบมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจะให้โอกาสกูบ้างไม่ได้วะ”


ผมมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง จ้องเข้าไปในตาคู่นั้น ผมรู้ว่ามันจริงใจกับผม ความรู้สึกของมันเป็นของจริงแต่ไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่ผม… “เพราะกูยังรักมันอยู่”


ผมเริ่มก้าวเดินออกมา


“กูรอได้ กูเข้าใจว่ามึงต้องการเวลาทำใจ แต่กูรอได้ ให้โอกาสกูได้ดูแลมึงช่วงนี้”


“กูรักไอ้โอม และเรายังไม่ได้เลิกกัน หวังว่ามึงจะเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของกูด้วย เลิกยุ่งกับกูเถอะ อย่าพยายามอีกเลย ไม่มีใครเอาชนะใจกูได้นอกจากมันหรอก”




โอมอินเอาชนะใจผมได้ด้วยการเอาใจใส่


และผมยอมรับว่าไอ้ท็อปเองก็อาจจะเอาชนะใจผมได้ไม่ยากเหมือนกัน


ใช่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาก่อกวนกันอย่างเดียว แต่นับจากที่เรารู้จักกันอย่างเป็นทางการ อีกฝ่ายก็ดูแลทั้งกายและความรู้สึกของผมเป็นอย่างดีด้วยวิธีการในแบบของมัน


ในอนาคตอันใกล้...หรืออาจจะไกลกว่าที่คิด บางที...ผมอาจจะรักท็อปได้อย่างที่รักโอมอิน


เพียงแต่ว่าตอนนี้คงยังไม่ใช่


เพราะผมยังรักโอมอยู่










พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 17
-------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่งเห็นว่าเกิน 1 ปีมานิดหน่อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ คงต้องเร่งปั่นให้จบโดยเร็วแล้วล่ะค่ะ
มีคนถามหาฉากหวานๆ รอก่อนนนนนนน
รอก่อนนะคะ อย่าเพิ่งทิ้งเค้าไปไหน *กอดขา*
(เอ๊ะ จะมีโอกาสได้แต่งฉากหวานๆ อีกไหมนะ แหะๆ)
ธรรมศรเขาไม่รู้จักการง้อหรอกค่ะ เขาไม่เคยมีโอกาสได้ร้องขอ
เขาเลยคิดเอาเองว่าคนอื่นคือคนตัดสินสถานะของความสัมพันธ์
อยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป เขาแค่ต้องยอมรับ ทำใจ และปรับตัว
แต่เพราะไม่อยากเสียใครไป เขาเลยต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่ายังผูกอีกฝ่ายไว้กับตัวได้อย่างเช่นการทำให้หึง
แต่ถ้าสุดท้ายแล้วคนมันจะไป เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
อย่าว่าลูกชายเราเลยนะคะ *กระซิกๆ*

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saiimai1998 ที่ 04-09-2018 17:45:43
 :sad4:ศรลูกกกก ใครไม่เข้าใจหนูแต่แม่เข้าใจนะ ไม่เศร้าน้าาา
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wine ที่ 04-09-2018 19:30:29
 :z3: :z3: :z3: :z3:
แงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-09-2018 19:47:29
เข้าใจศรนะ แต่เรารักโอมอินแฟนเรามากกว่า 555555555555555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-09-2018 22:01:35
เข้าใจทั้งโอมและก็ศรเลย อยากให้ทั้งสองคนเข้าใจกันเร็วๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 05-09-2018 00:39:37
ศร ถ้าเลิกกันจริง เราขอนะโอมอินอ่ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 05-09-2018 05:55:54
หน่วงสุด  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 05-09-2018 17:14:55
 :sad4: ศรลูกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-09-2018 02:51:48
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 16 P.6 [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 12-09-2018 06:13:42
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 23-09-2018 22:00:29
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 17
---DharmaSORN---






ผมใช้ชีวิตโดยไร้เงาของโอมอินมาสิบวันแล้ว


หลาย ๆ อย่างเริ่มลงตัว


เหรอวะ?


ไม่จริงหรอก ยอมรับเลยว่าไม่จริง


ผมปรับตัวเก่งขึ้น ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น แต่ช่วงเวลาฝันร้ายของผมก็เลื่อนเข้ามาเร็วขึ้นเช่นกันเนื่องจากนอนเร็วกว่าเดิมจากการเลิกเข้าร้านเหล้าแล้วเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ผมออกไปทำอะไรใหม่ ๆ แก้เซ็ง อย่างเช่นการออกมารีวิวอาหารญี่ปุ่นกับไอ้น้องรักที่ย่านวัยรุ่นแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย


ที่นี่เป็นอาคารเปิด ไม่เชิงห้างแต่ก็จัดว่าใกล้เคียง


“หึ หน้าตาดูไม่ได้เลย” ผมส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพหน้าของไอ้น้องรัก รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งกลับมาจากค่ายอาสาของชมรม แต่ไม่คิดว่าสภาพจะเยินขนาดนี้ ไม่อยากจะคุยว่าปีก่อนที่ผมไป ตอนกลับมายังหน้าใสเหมือนก่อนไปอยู่เลย


เด็กนั่นทำหน้ายู่ใส่ “ใช่สิ๊ ใครจะหล่อทนหล่อนานเหมือนพี่ศรล่ะครับ”


ผมส่ายหน้าระอา “มึงจะถ่ายวิดีโอทั้งที่หน้าเป็นแบบนี้น่ะเหรอ” ความจริงก็ไม่ได้แย่อะไร แค่ดูแดงเหมือนผิวไหม้แดดเท่านั้นเอง แต่ก็ยังจัดว่าดูดีอยู่เพราะพื้นฐานหนังหน้าดีเป็นทุนเดิม


“เรียล ๆ น่ะพี่”


ผมเบะปากใส่ ยีผมน้องมันด้วยความหมั่นไส้ ไม่เคยรู้ว่าเพจของมันมีคนติดตามมากแค่ไหน แต่ดูจากการมั่นหน้าแล้วคิดว่าคงมีคนกดเข้ามาดูหน้าเรียล ๆ ของมันไม่น้อยอยู่เหมือนกัน


ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมตามมันมาในวันนี้เป็นร้านราเม็งที่มีซาซิมิและซูชิด้วย บรรยากาศค่อนข้างเป็นสไตล์ญี่ปุ่น แต่กลิ่นอายแบบดั้งเดิมถูกลดลงเพราะลูกค้าที่แน่นขนัดตา ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่ารูปแบบการรีวิวของน้องรักไม่ใช่เชิงธุรกิจอย่างที่บล็อกเกอร์คนอื่นเขาทำกัน ไอ้น้องรักกินเองจ่ายเงินเอง แต่แค่เสล่ออยากนำเสนอร้านที่ตัวเองชอบให้คนอื่นรู้ด้วยก็เท่านั้น


“กูนึกว่าวันนี้จะได้กินฟรี” ผมแกล้งแซว


“ฟรีสิครับ ผมเลี้ยงเอง” ไอ้ตัวเปี๊ยกยืดอกตบปุ ๆ อย่างอาด ๆ ราวกับตัวใหญ่ตัวโตเสียเต็มประดาชวนให้หมั่นไส้จนต้องเขกหน้าผากเข้าให้หนึ่งที


รักบอกว่าเคยมาร้านนี้แค่ครั้งเดียวตามคำแนะนำของลูกเพจแล้วชอบเลยอยากให้ทาสอาหารญี่ปุ่นอย่างผมได้ลอง เดิมทีก็อยากมาลองพร้อมกันแต่รอไม่ไหวเพราะครั้งก่อนผมปฏิเสธไป พอได้ลองแล้วอร่อยจริง ๆ ก็มาเซ้าซี้ชวนผมอีกครั้ง ผมที่เบื่อ ๆ เลยตกปากรับคำมาอย่างง่ายดาย


รักเริ่มตั้งกล้องหลักหนึ่งตัวบนโต๊ะ  แล้วถืออีกตัวไว้ในมือ ผมเขินนิดหน่อยที่ต้องกลายเป็นดาราหน้ากล้องแบบนี้ ผมปล่อยให้น้องทำอย่างที่คิดมาแล้วมีหน้าที่แค่ทักทายกับกล้องหลังจากที่อีกฝ่ายแนะนำผมให้คนดูรู้จักแล้ว


เกือบยี่สิบนาทีหลังจากนั้นอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟจนครบ มีราเม็งของโปรดไอ้น้องรักและราเม็งอีกถ้วยของผมที่ยกอำนาจให้คนเป็นตัวตั้งตัวตีจัดการสั่งให้พร้อมแซลมอนซาซิมิและซูชิอีกชุดหนึ่งที่ปริมาณไม่มากเกินผู้ชายสองคน


หลายวันมาแล้วที่ผมไม่ได้ทานอาหารแบบเต็มที่จนอิ่มท้องแบบนี้ ส่วนใหญ่จะทานแค่พอประทังชีวิตตามจิตสำนึกที่มี แต่วันนี้ที่ทานได้เยอะส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ไอ้น้องรักมันแหละครับ เพิ่งรู้ว่าไอ้นี่เป็นคนที่ทานอะไรก็ดูอร่อยมากไปเสียหมด หน้าตาท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไร้การประดิษฐ์คงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เพจมันมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เชื่อว่าร้านต่าง ๆ ที่มันเคยไปถ่ายก็ต้องขายดีเหมือนกัน




“จริง ๆ ร้านนี้อยู่ในลิสต์ที่ผมต้องมาถ่ายตั้งนานแล้วนะครับ แต่ที่เพิ่งมาเพราะรอพี่ว่าง” รักพูดในตอนที่พากันออกจากร้านแล้ว ไม่มีกล้องจับใบหน้าเราอีก รายการรีวิวอาหารของรักจบไปตั้งแต่ในร้านโดยที่ผมแทบไม่พูดอะไรนอกจากคำว่าอร่อยและให้คะแนนเป็นตัวเลข


“ทำอะไรไร้สาระ” ผมว่า น้ำเสียงติดรำคาญเหมือนทุกครั้งที่พูดกับรักแต่แท้จริงแล้วไม่ได้จริงจังนัก “ถ้ากูไม่มามึงก็จะรอต่อไปน่ะเหรอ”


“ก็ถ้าพี่ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มา ผมก็คงต้องมาแล้วถ่ายคนเดียวอย่างเคย...” รักตีหน้าเศร้า “...สำคัญคือผมอยากให้พี่ได้ลองของอร่อยด้วยกัน” ผมรู้ว่าน้องมันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ได้แกล้งทำตามจริตอย่างคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกหมั่นไส้จนต้องยีผมมันแรง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้หลบหลีก


“แล้วนี่กลับยังไง”


“ให้พี่ไปส่งบ้านครับ” เมื่อกี๊น่ะของจริง แต่ตอนนี้น่ะจริตล้วน ๆ ไอ้ท่าทางดี๊ด๊าเกินเหตุกับตาเป็นประกายทำผมอยากถีบน้องมันตรงนี้แต่เพราะคนเดินกันพลุกพล่านจึงทำได้แค่ผลักหัวอีกฝ่ายเท่านั้น


“หวังมากเกินไปละ”


“โธ่! ไม่มีน้ำใจกับน้องกับนุ่งเลย” ดูมันจีบปากจีบคอพูด เห็นแล้วหมั่นไส้อยากบีบปากให้แตกคามือจริง ๆ


“ตกลงกลับยังไง” ผมถามเสียงเข้มขึ้นให้รู้ว่าจริงจัง


“คุณแม่มารับครับ”


ผมแค่นเสียงขึ้นจมูก “ลูกแหง่”


“แม่ห่วง” ไอ้น้องรักแก้คำ


“ไปไหนก็ไปเลยไป” ผมผลักไหล่อีกฝ่ายไม่แรงนัก แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับเกินจริงไปมาก จะว่าไปอยู่กับรักก็ทำให้ผมยิ้มได้บ้าง ถึงจะรำคาญและหมั่นไส้อีกฝ่ายแต่ก็ต้องยอมรับว่ามีความสุขกับช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้มากจริง ๆ


เดินกันไปคุยกันไปจนลงมาถึงชั้นล่างสุด ถึงจะบ่นรำคาญและขับไล่ไอ้น้องรักแต่ผมก็มีน้ำใจมากพอที่จะเดินตามมาหมายจะส่งรุ่นน้องให้ถึงมือคนเป็นแม่ แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ ร้องเรียกแม่ออกมาด้วยความดีใจเสียก่อน


“อยู่นั่นไงครับ คุณแม่ผม”


ผมมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ออกไประบุตำแหน่งของเธอ แต่แทนที่ผมจะเห็นผู้หญิงวัยที่น่าจะเป็นแม่คนได้ ผมกลับเห็นใครบางคนที่อยู่แค่ในความคิดมาหลายวันแล้วแทน


คนในความคิดออกมาโลดแล่นในชีวิตจริงได้ด้วยหรือ?


...แต่ว่านะ เขาคงไม่ได้ออกมาจากความคิดของผมหรอก เพราะว่าในนั้นไม่ได้ม่ีผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วย


ข้างกายโอมอินมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่ผมจำได้ติดตาว่าคือคนที่เจอกันในร้านหนังสือเมื่อวันก่อน คนที่เป็นเพื่อนกับน้องสาวคนเล็กของมัน เพียงแต่วันนี้ทั้งสองมาด้วยกัน เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงไร้เงาน้องสาวมัน


สองขาผมหยุดเดินไปนานแล้วจนรักรู้สึกตัวแล้วเดินย้อนกลับมาสะกิดถามด้วยความห่วงใย จนกระทั่งสองคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมถึงได้รู้ว่ารักรู้จักกับน้องผู้หญิงคนนั้น ผมรับรู้แค่นั้น ไม่สนใจจะแปลกใจอะไรกับความโลกกลม เพราะใบหน้าของโอมอินน่าสนใจกว่านั้น สิ่งที่สะดุดตาเห็นจะเป็นทรงผมที่แปลกไป คงเป็นทรงที่มันต้องทำเพื่อเล่นละครเวที ดูเข้ากับหน้ามันดีอย่างเหลือเชื่อ


“คุณแม่ครับ”


เสียงของรักดึงสติของผมให้ละสายตาไปมองผู้หญิงอีกคนที่เดินตามมาข้างหลังพร้อมกับท่าทางที่เหมือนเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากใครสักคน


รักเดินเข้าไปกึ่งลากกึ่งจูงเธอเข้ามาใกล้ ในตอนนั้นผมเลิกสนใจสองหนุ่มสาวตรงหน้าไปแล้ว ไม่สนใจว่าโอมอินกำลังมองมาด้วยสายตาแบบไหน ไม่มีความคิดจะอ่านความหมายของแววตาคู่นั้นด้วย สมองผมพร่าเบลอไปหมด รับรู้แค่ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้ากำลังทำงานอย่างเป็นปกติ


หน้าตาของเธอแม้ไม่เหมือนในรูปถ่ายที่ผมเพียรดูทุกวันในวัยเด็กนักด้วยเพราะริ้วรอยตามวัยที่มากขึ้น แต่ก็ไม่ผิดแปลกไปจนไม่รู้ว่าคือคนเดียวกัน


ท่าทางอ่อนช้อยและดูอบอุ่นยามยิ้มให้ ‘ลูกชาย’ ของเธอนั้นทำให้ผมเจ็บแปลบเหลือเกิน ยิ่งในยามที่จมูกของเธอฝังลงบนแก้มของไอ้เด็กนั่นเสียเต็มรักก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอิจฉาในสิ่งที่ไม่เคยได้รับ


ไม่รู้ว่าคำพูดเก่า ๆ เกี่ยวกับแม่ของรักดังมาจากที่ไหน แต่มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉากว่าครั้งแรกที่ได้ยินอยู่มาก



‘ไม่หรอกครับ แม่ผมน่ะใจดีจะตาย แค่เจ้าระเบียบน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลอะ ๆ ซน ๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกครับ’
‘หึ ลูกแหง่’
‘เขาเรียกว่าแม่รักแม่ห่วงครับผม’

..
‘ลูกแหง่’
‘คุณแม่ห่วง’




“แม่ครับ นี่พี่ศร…” เธอมองเห็นผมแล้ว ผมได้อยู่ในสายตาของเธอแล้ว “...ที่ผมเล่าให้ฟังว่าชอบทานอาหารญี่ปุ่นมาก พี่เขาชอบที่คุณแม่ทำ--อ้าวพี่ศร พี่!”


ผมหันหลังเดินหนีออกมาอย่างเสียมารยาทเพราะไม่อยากทนฟังหรือมองหน้าใครอีกต่อไปแล้ว มือผมสั่น เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อใบหน้าที่เกร็งจนสั่นไปหมด หยาดน้ำใสที่เอ่อขอบตากำลังจะล้นออกมา ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความร้อนผ่าวในจังหวะที่สาดส่องหาทางไปห้องน้ำ


แม้จะไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแต่ผมก็ยังรีบพุ่งเข้าห้องริมในสุดโดยเร็วก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา ไม่ทันที่จะลงกลอน แรงดันจากนอกประตูก็ทำให้ร่างของผมที่ไม่ทันระวังถอยห่างออกหนึ่งก้าวเปิดโอกาสให้ใครบางคนแทรกตัวเข้ามาใช้พื้นที่แคบ ๆ นี้ด้วยกันได้


ผมมองคนตรงหน้าด้วยความตกตะลึง รู้สึกได้ว่าตอนนี้น้ำตาบางหยดกลั่นตัวไหลอาบสองแก้มบ้างแล้ว ผมไม่มีจังหวะตกใจมากเพราะในนาทีที่ร่างของผมถูกอีกฝ่ายดึงไปสวมกอด ผมก็ปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกทันที


ผมทิ้งตัวและปล่อยใจไปกับอ้อมกอดของโอมอิน ฝังใบหน้าบนลาดไหล่ที่คุ้นเคยให้คอยซับน้ำตาและเก็บเสียงสะอื้นให้เงียบที่สุด โอมไม่ได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายเพียงแค่ยืนนิ่งเป็นที่พึ่งพาที่ดีให้กับผม มีเพียงมือที่ลูบหลังผมอยู่เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่า...ครั้งนี้ผมไม่ได้ร้องไห้ตามลำพังอีกแล้ว





“ให้ไปส่งที่ไหน” คนถามยืนพิงสะโพกกับซิงค์ล้างมือหันหลังให้กระจก ขณะที่ผมล้างหน้าล้างตาอยู่ เงาบนกระจกสะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ผมไม่ได้ยินมาหลายวันยังคงดังขึ้นพร้อมถ้อยคำแสดงความห่วงใยเช่นเคย...แม้จะแข็งไปนิดก็ตาม


ผมลูบหน้าแล้วถอนหายใจ หน้าตาตัวเองตอนนี้ดูแทบไม่ได้ ร้องไห้แปบเดียวตาบวมฉึ่งเลย “กูขับรถมา”


“กูจะไปส่ง” โอมอินหันลำตัวเข้าหาผม สีหน้าขึงขัง


“กูขับรถเองได้” ผมบิดตัวจะเดินออกไปแต่ถูกรั้งแขนไว้


“จะให้ไปส่งที่ไหน” โอมอินย้ำคำถามเดิมด้วยเสียงที่เข้มขึ้นบ่งบอกว่าถ้าครั้งนี้ผมยังปฏิเสธอีกอาจจะไม่มีการใจเย็นยืนต่อรองกันได้อีกแล้ว


“...”


“...”


“คอนโดไอ้กอล์ฟ”





ผมไม่ได้อยากมาหาไอ้กอล์ฟ


ไม่ได้อยากเจอใครนอกจากไอ้โอม


เพียงแต่ผมไม่กล้าที่จะบอกว่าให้มันขับไป ‘ห้องของเรา’ กลัวจะถูกปฏิเสธ กลัวว่ามันจะแค่ไปส่ง แต่ไม่ได้กลับไปด้วย


จนในตอนที่รถมาจอดหน้าคอนโดแล้วแต่ผมก็ยังนั่งนิ่ง เราต่างเงียบ ราวกับรอฟังว่าเมื่อไหร่เสียงหัวใจของเราจะเต้นตรงกันอีกครั้ง


“ขอบใจที่มาส่ง” ผมพูดขึ้นก่อนทั้งที่ไม่ได้อยากจะลงไปเลยสักนิด


“อย่าให้ไอ้กอล์ฟกอด” อยู่ ๆ มันก็พูดขึ้น ผมหันไปมองหน้ามันตรง ๆ


“ถ้ามึงสบายใจจะอยู่กับมัน อยากระบายบางอย่างที่ยังไม่พร้อมเล่าให้กูฟัง กูยินดี แต่อย่าให้มันกอดปลอบอย่างที่กูทำ...ได้ไหม”


ใจผมเหมือนละลายไปกับคำพูดของมัน ผมละทิ้งทุกความกังวลและหวั่นกลัวแล้วเป็นฝ่ายสวมกอดมันก่อนบ้าง โอมอินนิ่งไป คงไม่คิดว่าผมจะทำแบบนี้ แต่แล้วก็กอดตอบโดยที่ผมไม่ต้องรอนาน  เรากอดกันไม่นานเท่าไหร่มันก็ผละออก โอมเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองใบหน้าผม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยคราบน้ำตาที่ผมล้างออกไปแล้วบนหน้าผมอย่างอ่อนโยน ผมมองตามสายตาคู่นั้นที่เลื่อนไปตามสัมผัสของนิ้ว ไล่มาตั้งแต่หางตา ใต้ตาที่บวมช้ำของผม ร่องแก้ม แล้วมาหยุดที่ริมฝีปาก ก่อนที่ใบหน้าของอีกฝ่ายจะเคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ


ใจผมเต้นแรงและดังจนน่าอาย ทว่าในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ริมฝีปากจะจรดกันผมกลับเบี่ยงหลบให้รู้ว่าไม่ต้องการ โอมอินชะงัก ถอยห่างออกไปเล็กน้อยแล้วบังคับให้ผมหันไปมองสบตากันตรง ๆ แวบหนึ่งผมเห็นแววสั่นระริกคล้ายน้อยใจการกระทำของผมอยู่ไม่น้อย


“ทำไม”


“กูไปจูบคนอื่นมา...กูทำผิดต่อมึง กูไม่กล้าให้มึงจูบ…กู- -” เหตุผลล้านแปดที่ผมจะยกมาพูดถูกกลืนหายไปเสียหมดเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากฟังแล้วเลือกที่จะจูบลงมาด้วยความยินดีแทน


“เรา...กลับห้องของเรากันเถอะ” ผมทิ้งทิฐิแล้วพูดออกไปในที่สุด


ในห้องโดยสารเงียบยิ่งกว่าตอนก่อนที่ผมบอกว่าจะไปเสียอีก ผมแทบกลั้นหายใจตอนที่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย นานหลายอึดใจทีเดียวกว่าจะได้รับคำตอบกลับมาเป็นการ...ส่ายหน้า


ผมยิ้มขื่น เข้าใจว่าเราคงจูนกันติดได้ยากกว่าครั้งก่อน ๆ กำลังจะบอกลาอีกครั้งเพื่อลงจากรถแต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยการกอบกุมใบหน้าไว้อย่างอ่อนโยน



“เปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยไหม”













พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 18
---------------------------------------------------------------------
เขาใกล้จะได้สวีทหวานกันแล้ว รอหน่อยน้าาาา
อย่าเพิ่งทิ้งโอมอินกับธรรมศรไปไหนนะคะ
ปล. วันอังคารอาจจะมาอีกตอนนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-09-2018 22:23:59
ใจหายหมดเลยตอนโอมส่ายหน้า กลับมารักกันชื่นบานไวๆ นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 23-09-2018 22:51:49
คืออิจฉาศรได้มั้ย ไม่ว่าจะยังไงโอมอินก็รักอ่ะ ฮือออ ถึงจะปากร้ายยังไงแต่ก็รักแฟนที่สุด เนี่ย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-09-2018 22:53:36
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 23-09-2018 23:38:43
ฉากที่หันมาเจอว่าเป็นแม่ที่น้องรหัสคอยพูดให้ฟังว่าห่วงลูกนักหนาคือคนทิ้งตัวเองไปตอนเด็กนี่อย่างพีค :katai1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 24-09-2018 02:21:37
มันช่างหน่วงเหลือเกินนน สงสารศรอ่ะ ศรมีแค่โอมจริงๆ  :m15:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-09-2018 12:14:38
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 24-09-2018 20:22:56
เป็นอีกคนที่รักศรแต่รอเคลมโอมอินอ่ะค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 17 P.6 [23/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: meuy ที่ 26-09-2018 18:29:12
พึ่งได้ตามอ่าน อ่านรวดเดียวเลย

สนุกมากๆลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 02-10-2018 20:51:53
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 18
---OMIN---




‘คบมันมาหลายเดือนแล้วมึงก็น่าจะรู้ว่ามันแสดงออกไม่เก่ง ยิ่งให้มันพูดเพื่อรั้งมึงไว้ยิ่งไม่มีทาง...ถ้ามึงไปแล้วไม่กลับมาเอง มันก็จะปล่อยให้มึงจากไปตลอดกาล...จำเอาไว้’




ไอ้กอล์ฟเพื่อนไอ้ศรเคยพูดกับผมไว้อย่างนั้น


ถ้าครั้งนี้ผมไม่เป็นฝ่ายเข้าหาก่อน อย่าว่าแต่กลับมาคืนดีกันเลย จะได้เลิกกันแบบมีคำตัดขาดสถานะชัดเจนรึเปล่าก็ยังไม่รู้


จุดหมายปลายทางของเราคือหาดนาจอมเทียน จังหวัดชลบุรี ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าศรมีห้องส่วนตัวในคอนโดแห่งหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วย ตึกสูงตั้งอยู่ติดชายหาดที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวในระนาบเดียวกับโรงแรมชื่อดังมากมาย ที่นี่เงียบสงบเหมาะกับคนเก็บตัวอย่างมันจริง ๆ


ผมส่งข้อความไปบอกแม่แล้วว่ามาธุระต่างจังหวัดกับเพื่อน พรุ่งนี้จะกลับ ปกติไม่เคยรายงานตัว แม่ก็ไม่จู้จี้ตามนัก แต่กลัวว่ายัยอิมจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ไม่อยากให้แม่โทรมาตามตอนที่กำลังทำ ‘อะไร ๆ’ อยู่


กว่าเราจะถึงจุดหมายก็เกือบค่ำ เราไม่ได้แวะทานอาหารมื้อเย็นที่ไหน ระหว่างทางผมแวะซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่งโหลแช่ในลังน้ำแข็งเรียบร้อยและขนมขบเคี้ยวไม่กี่อย่างมารองท้องเท่านั้น โดยไม่ลืมของสำคัญที่อาจได้ใช้อย่างเจลหล่อลื่นและถุงยางอนามัยด้วย


ศรติดต่อขอกุญแจที่เคาน์เตอร์ชั้นหนึ่งเพราะไม่ได้หยิบมาจากกรุงเทพฯด้วย ก่อนจะพาผมขึ้นลิฟต์ตัวเก่าตามอายุงานของอาคาร ห้องพักชั้นยี่สิบแปดไม่ได้กว้างขวางนัก แต่เพราะการตกแต่งและจัดวางทำให้ยังเหลือพื้นที่ใช้สอยอีกมาก ส่วนหน้าติดประตูเป็นครัวเล็ก ๆ ผมวางลังน้ำแข็งไว้บนซิงค์ ถือของจำเป็นอื่น ๆ ไปวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ กลางห้องมีเตียงคิงไซซ์ ผมจามสองสามทีเมื่อศรดึงผ้าคลุมเตียงสีขาวออกจนฝุ่นตลบ


“โทษที” ศรว่า ม้วนผ้าไว้ลวก ๆ แล้ววางไว้บนโต๊ะใกล้ ๆ กัน


“ถ้าตอนกลางวันจะเปิดประตูหน้าไว้แล้วเปิดระเบียง ลมโกรกเย็นสบาย” ศรเล่าตอนที่ผมเดินไปเปิดม่านออก ทั้งประตูห้องและประตูระเบียงมีสองชั้น เป็นมุ้งลวดและประตูปิดทึบอีกชั้น ตอนนี้ข้างนอกเริ่มมืด ผมเปิดประตูทิ้งไว้แล้วเดินออกไป ตอนเช้าคงสวยดี แต่ตอนนี้เริ่มมองอะไรไม่เห็น แต่เพราะทุกโรงแรมในแถบนี้ออกแบบให้สระน้ำติดริมหาด แสงจากดวงไฟบริเวณนั้นจึงทำให้เห็นภาพกว้างว่าเป็นคอนโดติดหน้าหาดจริง ๆ เสียงคลื่นที่ดังยามซัดเข้าฝั่งก็บอกได้ดีว่าตรงหน้าผมเป็นน่านน้ำอันกว้างใหญ่


ผมสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ความเย็นจากกระป๋องเบียร์สัมผัสที่ข้างแก้ม อีกฝ่ายรอจนผมรับมาแล้วจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ปกติจะเห็นตามริมสระ แต่ตอนนี้มันถูกนำมาวางตรงระเบียงบนชั้นที่ยี่สิบแปด เพียงแต่มันมีแค่ตัวเดียว นั่นคงเป็นคำตอบได้ว่าไม่เคยมีใครได้มาที่นี่นอกจากเจ้าของห้อง


“อยู่ที่นี่แล้วผ่อนคลายดี” ผมว่า เปิดกระป๋องเบียร์แล้วยืนดื่มอยู่ตรงนั้นพร้อมซึมซับบรรยากาศ ข้างห้องไม่เปิดไฟตรงระเบียง ผมจะอนุมานเอาว่าไม่มีคนอยู่เอาแล้วกัน


“กูชอบที่นี่ ชอบนอนมองทะเลสีดำ” ศรทิ้งตัวลงนอน ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น ที่พื้นข้างกันมีลังเบียร์วางอยู่


“ชอบเพลง?” ผมหันหลังพิงราวกั้นไว้ ผมมักไม่ใช่คนฟังที่ดีเพราะหน้าตาไม่มีอารมณ์ร่วมของผม แต่ผมชอบที่ศรเล่าเรื่องของตัวเอง และผมคิดว่าเวลาอยู่กับมัน การแสดงออกทางสีหน้าคงไม่ได้แย่อย่างที่ใครหลายคนเคยตำหนิไว้


ศรส่ายหน้า “ชอบความหมาย”


ผมเลิกคิ้วแทนคำถาม ไม่เคยสนใจฟังเพลงนี้จริง ๆ จัง ๆ สักที  “อนาคตที่ไม่แน่นอน...มองแล้วได้ไตร่ตรองตัวเอง”


“...”


“คุณย่าซื้อไว้ให้ก่อนท่านเสีย ช่วงมอปลายกูมาบ่อยมาก”


“มายังไง”


“นั่งรถตู้ มีรถตู้มาจอดหน้าโรมแรมข้างหน้า”


“แล้วก็เดินเข้ามาอ่ะน่ะ” ที่นี่ต้องเข้าถนนส่วนบุคคลมาค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่ ไม่มีรถรับจ้างเสียด้วย ถ้าเดินช่วงกลางวันแดดร้อน ๆ นี่อาจถึงขั้นเป็นลมได้เลย


“อือ...ก็ตอนนั้นยังไม่มีใบขับขี่ ขืนเอารถออกมาที่บ้านได้ตามมาวุ่นวายแย่” ศรกระดกเบียร์ดื่มอึกใหญ่ ก้นกระป๋องเริ่มทำมุมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้อยลงไหลออกมาได้


“พวกเขาเป็นห่วง”


ศรแค่นหัวเราะ “อือ ห่วงรถ” ศรดื่มอีกครั้งทั้งที่เพิ่งซดอึกใหญ่ไปเมื่อครู่ราวกับกระหายเสียเต็มประดา


“มึงคิดแง่ร้ายเกินไป”


ศรส่ายหน้า เว้นจังหวะเพื่อดื่มเบียร์อีกอึกหนึ่ง “กูขึ้นรถตู้มาถึงนี่ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ยังไม่มีใครตามมาเลย ไม่เคยมีหรอก คนที่ห่วงกูน่ะ”


“ถ้าพ่อมึงไม่ห่วง เขาคงไม่ให้คนตามดูมึงหรอก”


“กลัวกูไปตายไม่มีญาติอยู่ที่ไหนน่ะสิ”


ผมส่ายหน้า ตั้งแต่เปิดกระป๋องมาก็ดื่มไปได้แค่อึกเดียวเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับคนตรงหน้า “อย่างน้อยอามึงก็เป็นห่วง น้องเพชรด้วย”


“ห่วงเกินไป”


“มึงไม่ชอบ?”


“ไม่ชอบ อึดอัด”


“กับกูล่ะ” ผมแทบจะกลั้นหายใจด้วยความลุ้นหลังจากพูดออกไป


“ชอบ…” ศรสบตาผม


ผมเชื่อสายตาคู่นั้นได้ใช่ไหม


แต่ว่านะ...ศรแม่งไม่เคยโกหกผมว่ะ


“กูชอบทำให้มึงเป็นห่วง”


ธรรมศรไม่โกหก เพราะเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ ชอบทำตัวให้ผมทั้งห่วงและหวง แต่ผมคงคาดหวังมากเกินไป


ศรวางกระป๋องเปล่าไว้ข้างกล่องลังก่อนหยิบกระป๋องใหม่มาเปิดแล้วดื่มต่อทันที ผมยกขึ้นดื่มบ้าง อะไรบางอย่างที่คุกรุ่นในใจทำให้ผมซดรวดเดียวหมดกระป๋องที่เหลืออยู่เกินครึ่ง


เราคบกันมาพักใหญ่แล้ว แม้ยังไม่มีโอกาสได้ฉลองครบรอบหนึ่งปีอย่างคู่รักคู่อื่นแต่ผมก็อยากมีวันนั้นเหมือนกับคนอื่นเขาเหมือนกัน เราทะเลาะกันมาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเล็กน้อยประจำวันไปจนเรื่องใหญ่ที่หายเงียบทั้งหน้าและเสียงไปเป็นสัปดาห์ เราตกลงคบกันในฐานะแฟนทั้งที่ไม่มีใครสารภาพรักออกมาก่อนด้วยซ้ำ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเราพูดคำว่ารักให้ได้ยินกันบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะบอกกันตรง ๆ โดยไม่มีกามารมณ์มาเกี่ยวข้อง


ผมว่า...มันถึงเวลาที่เราต้องเปิดใจคุยถึงความสัมพันธ์ครั้งนี้อย่างจริงจังได้แล้ว


“มึงรักกูบ้างไหม”


ศรมองหน้าผมนิ่ง นานหลายวินาทีทีเดียวก่อนจะซดเบียร์อีกอึกใหญ่ “เมื่อก่อนไม่อยากรัก…”

 
“...” ผมเผลอบีบกระป๋องเปล่าในมือจนบุบ ศรเหลือบมองเล็กน้อยแล้วพูดต่อเหมือนไม่เห็นมัน


“...เคยรักแล้วโดนทิ้ง แม่งโคตรเจ็บ”


“ใครทิ้ง”


“แม่...”


ผมคลายมือออก แววตาของศรตอนนี้ทำให้อยากเข้าไปกอดปลอบมันแทนถือกระป๋องโง่ ๆ อยู่อย่างนี้


“...พ่อก็ด้วย”


“...”


“แต่ไม่เจ็บเท่าแม่”


“แล้วตอนนี้?”


“กูไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบอย่างที่ใครมองหรอก...” ศรเปลี่ยนประเด็น ขยับขาออกไปชิดขอบเก้าอี้ด้านหนึ่งแล้วตบมือลงบนพื้นที่ว่างเรียกให้ผมไปนั่งด้วย ผมฉวยโอกาสนั้นไว้ทันที “...กูก็แค่เด็กที่ถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับพ่อที่รักโสเภณีมากกว่ากู เป็นแค่เด็กที่ไม่มีใครต้องการ กูไม่ใช่คนที่ดูเป็นคุณชายเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยแม่ที่เป็นผู้ดีเก่าอย่างที่ใครพูดกัน กูก็แค่เด็กผู้ชายที่ไม่เคยเล่นโลดโผน เก็บตัวอยู่แต่กับหนังสือที่บ้านคุณย่าและอาที่เป็นหมอ โชคดีที่มีเพื่อนดี กูถึงได้เป็นผู้เป็นคนที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง” แววตาของศรดูสดใสขึ้นในตอนที่พูดถึงเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นเบียร์กระป๋องที่สามก็ยังถูกเปิดออกอยู่ดี และผมก็ไม่ได้ห้าม


“ผ...ผู้หญิงคนนั้น...แม่ของรดา”


“อือ แม่ไอ้น้องรักด้วย” ศรยิ้ม เป็นยิ้มที่กว้างที่สุดอีกครั้งหนึ่งเท่าที่เคยเห็นมันยิ้มมา แต่เชื่อไหมว่านั่นยังสดใสน้อยกว่ายิ้มจอมปลอมอย่างที่ติดใบหน้าไร้ที่ติอยู่เสมอก่อนที่เราจะคบกันเสียอีก


ผมพูดอะไรไม่ออก วางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างกระป๋องเปล่าบนพื้นแล้ววางมือทับหลังมืออีกฝ่ายที่พักไว้บนหน้าท้อง  เกลี่ยไปมาอย่างปลอบประโลมยามที่คิดว่าคนรักต้องทนเก็บความทุกข์ใจนี้ไว้กับตัวเองนานแค่ไหน และไม่ปฏิเสธเลยว่าอบอุ่นใจเพียงไรตอนที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ออกจากปากของศรเสียที


มันเหมือนกับว่าผมเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ศรได้แล้วจริง ๆ


เบียร์หมดไปอีกเป็นกระป๋องที่สาม เขาวางมันลงเหมือนกระป๋องก่อนหน้า และคราวนี้ศรไม่ได้เปิดมันอีก “บทเรียนแรกในชีวิตของกูคือ...ถ้าเขาจะไป ต่อให้ร้องไห้หรือร้องเรียกดังแค่ไหน เขาก็ไม่กลับมาอยู่ดี”


ผมบีบมือมันแน่น “เพราะอย่างนี้ใช่ไหม มึงถึงไม่เคยรั้งหรือตามไปง้อกูเลย”


ใบหน้าไร้ที่ติส่ายไปมา “กูไม่กล้ารักมึงด้วยซ้ำ ไม่กล้าผูกใจไว้กับใครอีก...กูกลัว” ท้ายเสียงสั่นอย่างคุมไม่อยู่ แต่ศรไม่หลบตา เราต่างมองลึกเข้าไปเพื่อค้นใจของกันและกัน “ไม่กล้ารักเพราะกลัวถูกทิ้งอีก มันเจ็บเกินไป ไม่ไหว”


“ศร...”


เจ้าของชื่อยิ้มบาง ไม่มีน้ำตาแต่ก็ชวนให้ใบหน้าเศร้าหมองเหมือนในอกกำลังร่ำไห้ “พอมึงไปจริงก็ไม่กล้าไปง้อให้กลับมา กลัวว่ามึงจะปฏิเสธ กลัวว่ามึงจะไม่ต้องการกูแล้ว  กลัวต้องเผชิญความจริงว่าถูกทิ้งอย่าง--”


ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าผมยังมีความสำคัญกับมันอยู่ ริมฝีปากคู่นี้ยังหวานหยดเหมือนเดิมแม้มีความขมขื่นของอารมณ์ ผมไม่ได้จาบจ้วง ไม่รุนแรง แต่ก็ไม่หวานละมุนละม่อมเหมือนจูบแรกอะไรแบบนั้น แต่จูบครั้งนี้นุ่มลึก เก็บทุกการสัมผัสกันและกันเพื่อปลอบประโลมให้ศรรู้ว่ายังมีผมอยู่ตรงนี้ ไอ้โอมอินคนนี้ยังต้องการมันอยู่เสมอ


“รักกูไหม” น้ำเสียงแหบพร่าดังชิดริมฝีปาก ผมยังไม่ถอยห่างออกมา ยังวอแวคลอเคลียอยู่บริเวณนั้น สองมือผมกอบใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ให้มองสบตากันในระยะที่ใกล้ที่สุดเท่าที่เคยจ้องมองกัน “แค่ตอบมาตามตรงศร ตอบตามที่ใจมึงรู้สึก ลืมความคิดไปก่อน”


นัยน์ตาคู่นั้นแน่นิ่งไม่วูบไหว ใจผมสั่นแรงราวกับเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมา ยิ่งในตอนที่กลีบปากคู่นั้นเริ่มขยับคล้ายจะเปล่งเสียงออกมาหลังจากนั้น ผมก็ยิ่งใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ


“หนึ่ง”


ผมขมวดคิ้วเมื่อคำที่หลุดออกมาต่างไปจากที่คิด


“สอง” นัยน์ตาที่เคยแน่นิ่งไม่วูบไหวเริ่มแพรวพราวซุกซน แต่ยังไม่ละสายตาออกไป


“...”


“สาม”


“นับเลขบ้าอะไรของมึง”


“สี่”


“ไอ้ศร”


“ห้า” คล้ายจะมีเสียงเข็มนาฬิกาดังมาจากที่ไหนสักแห่ง


“ศร”


“หก”


“ธรรม--” เจ้าของชื่อแทรกนิ้วชี้เข้ามาในช่องว่างน้อยนิดระหว่างเราเพื่อปิดปากผมไว้


“เจ็ด”


“...”


“แปด”


เมื่อผมอ้าปากจะขัดอีกครั้งศรก็ขยับนิ้วตามเพื่อให้ผมเงียบและใจเย็นโดยที่ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่


“แปดจุดหนึ่ง” ผมเริ่มสงสัยมากขึ้น ครั้งนี้ศรเว้นจังหวะให้สั้นกว่าเดิม


“แปดจุดสอง”


“...”


“รักยัง”



“อะไรของมึง”


“เคยได้ยินไหม เขาบอกว่าถ้าเรามองตาใครนานแปดจุดสองวินาที เราจะตกหลุมรัก” สีหน้าศรเหมือนคนที่กำลังกล่าวถึงงานวิชาการมากกว่าเรื่องโรแมนติกเสียอีก


“...”


“จำได้ไหม เราเคยมองตากันนานประมาณนี้ แต่ตอนนั้นไม่ใกล้เท่านี้”


“...”


“กูว่ากูเริ่มตกหลุมรักมึงตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”


ศรพูดจบก็เป็นฝ่ายดึงผมเข้าไปรับจูบที่หวานละมุนโดยที่ผมยังอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?


ผมเป็นฝ่ายถอนจูบออกก่อน ดึงตัวเองออกห่างมานั่งหลังตรง มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสนในยามที่เอ่ยถามเพื่อความแน่ชัดออกไปด้วยเสียงผะแผ่ว “ตอนไหน”


“มึงจำไม่ได้?”


“ไม่ศร...” ผมส่ายหน้าช้า ๆ  “มันมีหลายครั้ง” อย่างน้อยตอนถ่ายหนังสั้นด้วยกันผมก็มองตามันผ่านกล้องไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง


“คืนนั้น...ที่ยามเย็น”


ผมเบิกตากว้าง ยามเย็นเป็นชื่อร้านเหล้าเล็ก ๆ ข้างมหา’ลัย ซึ่งเราไปที่นั่นแค่ครั้งเดียวคือตอนที่พี่สัมนัดให้ออกไปดื่มเพื่อทำความรู้จักกันเป็นครั้งแรก!!


“มะ หมายความว่า...”


“น่าจะตอนนั้นแหละ” ...ครั้งแรกที่เจอกัน


“กูโคตรรักมึงเลยโอม”


ผมยังคงเลื่อนลอยอย่างคนไร้สติ แม้จะจับจ้องดวงหน้าไร้ที่ติแต่กลับนึกย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกัน ผมจำวันนั้นได้ดี แม้จะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกและยังไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากไปกว่าหน้าตาราวพระเจ้าสรรสร้างจนทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ในตอนนั้นเราไม่ได้มองตากันด้วยความรู้สึกหวานซึ้งเหมือนคนที่เจอรักแรกพบอะไรแบบนั้น ออกจะยียวนกวนประสาทเสียด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ...ผมว่าทฤษฎีที่ศรได้ยินมาน่าจะจริง


เพราะผมเองก็ใจเต้นแรงหลังจากจ้องตาม่ันเหมือนกัน


“เกียร์ของกู” เสียงพึมพำของศรเรียกสติผมให้กลับมาปัจจุบัน ตอนนี้ศรลุกขึ้นนั่งหลังตรงตามผมทำให้ระยะห่างระหว่างเราแคบลงอีกครั้ง นิ้วเรียวแหวกเสื้อเชิ้ตของผมเข้าไปลูบเกียร์ที่ห้อคอผมอยู่ “โอม...”


“หื้ม”


“กูเคยบอกมึงว่าใจกูไม่ได้อยู่ที่เกียร์”


“กูจำได้ มึงบอกว่าให้ไว้เพื่อจองจำกู”


“รู้อะไรไหม...ถ้ากูเป็นเครื่องกล…” ศรเงยหน้าขึ้นมองผม “...มึงคือฟันเฟืองหลักที่ทำให้ชีวิตกูเดินต่อไปได้นะ”


ผมยกยิ้มมุมปาก อยากให้ออกมาดูกวนที่สุดทั้งที่อยากยิ้มกว้างมากกว่า “เพิ่งคิดได้เหรอ”


“หึ” ศรส่ายหน้า ทำเสียงขึ้นจมูก “คิดก่อนจะให้เกียร์มึงอีก ที่ให้ก็เพราะอย่างนี้แหละ”


“ใจร้ายจังวะ ไม่เคยบอกกันบ้างเลย”


“ไม่อยากให้มึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน”


“อยากเป็นคนรักร้าย ๆ ในสายตากู?”


“ก็กูร้ายจริง ๆ”


ผมหรี่ตามอง “จริงสิ กูยังไม่ได้ลงโทษความร้ายกาจของมึงเลย”


“จะทำยังไง”


“เดี๋ยวก็รู้” ผมว่าก่อนรั้งอีกคนให้ลุกตามกันเข้าห้องแล้วผลักอีกฝ่ายลงบนเตียง






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 02-10-2018 20:53:07

ศรยิ้มขำ “นี่เรียกลงโทษเหรอ”


ผมหัวเราะในลำคอแทนคำตอบ อีกฝ่ายหรี่ตามองเล็กน้อยอย่างไม่ไว้ใจเมื่อสัมผัสบางอย่างได้จากสีหน้าของผม


“ถอดเสื้อผ้าออก” ผมออกคำสั่งพร้อมกับจัดการเสื้อผ้าของตัวเองด้วย


“ช่วยกู”


ศรยิ้ม ผมที่นอนหงายอยู่พยายามทำเป็นมองผ่านไป ไม่อยากใจอ่อนให้กับยิ้มนั่นจนเผลอเป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปปู้ยี้ปู้ยำอย่างใจคิดให้ผิดแผน


“ใช้มืออย่างเดียว” ผมว่าในตอนที่อีกฝ่ายตั้งท่าจะใช้ปากทำให้ ศรชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเริ่มใช้มือรูดรั้งส่วนนั้นของผมอย่างว่าง่าย


เสียดายว่ะ ครั้งก่อนที่มันทำให้แม่งฟินจนนึกว่าได้ขึ้นสวรรค์แล้วจริง ๆ แต่ผมต้องเก็บความฟินนั้นไว้แล้วปั้นหน้าตึงจนเกร็ง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเกร็งจนเสี่ยงตะคริวขึ้นหน้าทั้งที่อยู่กับคนอื่นผมก็หน้าตึงเป็นปกติอยู่แล้ว


ผมรอจนมันแข็งได้ที่ จริง ๆ ก็ใช้เวลาไม่นานนักเพราะปกติผมแทบจะมีอารมณ์ตลอดอยู่แล้วที่อยู่ใกล้ศร ยิ่งได้เห็นดวงหน้าไร้ที่ติงอง้ำด้วยความฉงนแต่ก็ยังตั้งใจทำให้ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ผมได้ดีจริง ๆ


“พอแล้ว”


“ยังไม่เสร็จเลย...ไม่ดีเหรอ”


แม่งเอ้ย!! ไปเรียนรู้การทำหน้าเศร้า น้อยอกน้อยใจอะไรแบบนี้มาจากไหนวะ กูจะบ้าตาย เห็นแล้วอยากจับมาจูบปลอบจนแทบคลั่ง แล้วดูสิ่งที่กูทำ ตกใจตัวเองเหมือนกันที่ยังปั้นหน้านิ่งอยู่ได้ ถึงจะเป็นพระเอกละครเวทีของคณะก็เถอะ แต่กูไม่ใช่เด็กเอกการแสดงนะเว้ย


“นอนคว่ำ”


ศรทำหน้างงแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ผมแทบจะถอนหายใจแรง ๆ เมื่อไม่มีตาคู่นั้นคอยจ้อง ขยับหน้าเขยื้อนกรามให้หายเกร็งหน่อยแล้วเริ่มทำการ ‘ลงโทษ’ ต่อ


ตอนนี้ศรนอนคว่ำโดยที่ช่วงสะโพกพาดกับปลายเตียงทิ้งขาสองข้างลงพื้น ผมก้าวขึ้นคร่อม ใช้ปลายองคชาติที่เยิ้มน้ำสีใสเกือบขุ่นวางบนกระดูกสันหลังช่วงสะบักของคนใต้ล่าง ศรสะดุ้งตัวด้วยความตกใจแต่ไม่ขัดขืนอะไร ผมเริ่มค่อย ๆ ลากลงมาเรื่อย ๆ ใบหน้าผุดรอยยิ้ม อยากจะก้มลงไปจูบทิ้งรอยตามข้อกระดูกที่ลากผ่านจะแย่อยู่แล้ว


โชคดีที่ผู้ชายไม่ต้องเล้าโลมเพื่อให้ช่องทางสอดใส่มีสารหล่อลื่นพร้อมรับแรงกระแทก ผมจึงไม่ต้องเริ่มด้วยการจูบเหมือนทุกครั้งที่เราเมคเลิฟกัน เมื่อปลายแก่นกายเลื่อนมาจนสุดปลายทาง ผมจึงยัดเข้าไปตามช่องที่เหมาะสมของมันโดยไม่เบิกทางใด ๆ ทันที


“โอ๊ยยยยยยย” ศรร้องลั่น คงเจ็บมากจริง ๆ ถึงตอนนี้อีกฝ่ายคงเข้าใจแล้วว่ากำลังถูกลงโทษถึงได้ไม่โวยวายหรือร้องขอให้หยุดทั้งที่เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาให้เห็น


ใจผมกระตุกวูบ เสียจังหวะไปช่วงสั้น ๆ เมื่อเห็นน้ำตาคนรัก ถึงจะอยากลงโทษอย่างไรแต่ผมก็รักมันเกินกว่าจะอยากให้เจ็บแบบนี้


“ทะ ทำต่อเลย”


ผมได้สติในตอนนั้น พยายามลบภาพศรตรงหน้าแล้วแทนที่มันด้วยภาพที่อีกฝ่ายจูบกับผู้หญิงในวันนั้น ไม่ทันรู้ตัวว่าเผลอขยับสะโพกกระแทกเข้าไปแรงแค่ไหน


“อะ โอ้ยยย” ศรร้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งเสียวทั้งเจ็บจนน่าสงสาร สองมือกำผ้าปูเตียงแน่น “ชะ ช่วยกูด้วยดิ”


“ช่วยตัวเอง” ผมพูดด้วยเสียงราบเรียบเหมือนไม่แยแส ทำเหมือนนี่เป็นแค่เซ็กซ์ไม่ใช่การเมคเลิฟ


ศรไม่งอแง มือมันเริ่มขยับแก่นกายตัวเองเพื่อช่วยปลดปล่อยตามอารมณ์


“จะ จูบหน่อย” ศรร้องขอ “จูบกูหน่อยนะโอม”


เหี้ยเอ้ย!


“ไม่” ผมยีผมตัวเอง เสียงมันโคตรอ้อนแต่กูยังปฏิเสธได้ลงคอ


“สัมผัสกูหน่อย วางมือบนสะโพกก็ยังดี”


“ไม่” ผมยังเอามือกอดอกไว้เหมือนเดิมแม้จะอยากยื่นไปโอบกอดคนรักไว้มากแค่ไหนก็ตาม


ผ้าปูที่นอนยับย่นเยอะกว่าทุกทีเพราะเนื้อตัวศรไถไปตามแรงกระแทกจากการที่ผมไม่ยอมจับล็อคสะโพกอีกฝ่ายไว้


พั่บ พั่บ พั่บ


เสียงหยาบโลนของผิวเนื้อกระทบกันแรงทั้งเร็วสลับช้า ยิ่งในตอนที่อีกฝ่ายร้องขอให้เร็วขึ้นอีกเพราะใกล้ถึงฝั่งฝันผมก็ยิ่งลดช้าลง ทรมานตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทรมานกว่าคือสีหน้าของศรที่บิดเบี้ยวด้วยทั้งความเจ็บและความเสียวจากอารมณ์ที่ไร้การต่อเนื่อง


“อะ โอม” ผมชอบเวลาที่ศรเรียกชื่อผมตอนกำลังมีอะไรกันจัง แม่งโคตรเซ็กซี่


“จะ เจ็บ...เหี้ย!” ศรร้องเสียงหลงเพราะผมเผลอเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง


“เจ็บ…” ใบหน้าไร้ที่ติบิดเบี้ยว “จูบหน่อย...นะ”


แม่ง


“มึงจูบคนอื่นมา”


“ก...กูขอโทษ” น้ำตากลั่นตัวจากตาสวยกลิ้งไหลพาดสันจมูกเพราะนอนตะแคงหน้าซึ่งน่าจะเกิดจากความเจ็บมากกว่าเสียใจ “ขอโทษที่ทำให้มึงผิดหวังและเสียใจ”


ขอโทษ...คำนี้ที่รอฟัง


ผมขยับสะโพกให้เร็วขึ้นแต่นุ่มนวลกว่าเดิมเพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องลงโทษอีกแล้ว เสียงครางกระเส่าของเราสองคนดังประสานกัน ผมปลดปล่อยอารมณ์ตัวเองให้ออกมาทางเสียงแทนการอดกลั้นไว้อย่างเมื่อครู่


“อ๊ะ อ่าส์”


ร่างกายเกร็งกระตุกก่อนผ่อนคลายเมื่อบางอย่างถูกหลั่งออกและคั่งค้างอยู่ในช่องทางนั้น มันเยอะมากจนในตอนที่ผมถอนออกยังทะลักออกมาตามทาง


ผมพลิกคนใต้ร่างให้นอนหงาย พุ่งเข้าทับร่างและตะโบมจูบตามแรงสิเน่หา ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันทุกครั้งที่ต่างก็อ้าปากเพื่องับทั้งอากาศและริมฝีปากของกันและกัน สองแขนเราต่างโอบกอดและลูบไล้ทั่วร่างกายอีกฝ่ายราวกับเพิ่งมีโอกาสได้สำรวจเป็นครั้งแรก


เสียงหอบหายใจดังระงมไปทั้งห้องในตอนที่ผละกันเพื่อโกยอากาศครั้งใหญ่ก่อนดึงดูดเข้าหากันอีกครั้งตามใจปรารถนา


“จำไว้นะ ปากนี่เป็นของกู” ผมขบริมฝีปากล่างของศรเบา ๆ “...ของกูคนเดียว”


“อื้อออ”


ลิ้นสากลากไล้ลงมาตามสันกราม ลำคอจนถึงแอ่งไหปลาร้า ขบเบา ๆ ในทุกพื้นที่ที่ลากผ่านเพราะไม่อยากสร้างรอยนอกร่มผ้าแต่มาฝังเขี้ยวบนหน้าอกแทน


“เนื้อตัวทุกตารางนิ้วนี่ก็ของกู”


“อื้มมม”


ผมกระหวัดลิ้นรอบตุ่มไตแข็ง ศรแอ่นอกรับการหยอกล้อของผม ใบหน้าได้รูปบิดเบี้ยวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยความสุขไม่ได้เจ็บปวดเหมือนก่อนหน้านี้


“ของกูทั้งหมด”


“อื้อออ”


ผมไล่จูบลงไปถึงหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเป็นลอนสวย ยกขาอีกฝ่ายให้ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง ใช้มือจับแกนกลางของมันที่บวมแต่งเพราะยังไม่ได้รับการปลดปล่อยไว้ จรดริมฝีปากลงจูบโคนขาด้านในใกล้กับส่วนนั้นโดยฝากรอยคิสมาร์คไว้เข้มกว่าบริเวณอื่น


“โอ๊ย!!”ศรร้องเสียงหลงเพราะตรงนั้นเป็นเนื้อบาง จูบปกติก็เจ็บง่ายอยู่แล้ว ยิ่งผมขบเม้มจนแดงกว่าส่วนอื่นศรก็ยิ่งเจ็บ


“ของกูคนเดียว”


ผมเงยหน้าขึ้นมอง เห็นอีกฝ่ายมองสบตามาพอดีก็พูดต่อ “เข้าใจไหม”


“อื้ออออ ขะ เข้าใจ”


“...”


“ทั้งหมด...เป็นของมึงคนเดียว”


ผมยิ้มพอใจ ถีบตัวขึ้นไปจุ๊บปากอีกฝ่ายก่อนถอยตัวลงมาใช้ปากครอบส่วนนั้นให้มันเพื่อช่วยปลดปล่อยโดยใช้เวลาไม่นาน


ผมเลื่อนตัวขึ้นไปจูบศรอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ความสิเน่หาในร่างกายของกันและกันเป็นแรงผลักให้เรามอบความรักให้กันและกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


เมื่อจูบจนพอใจแล้วผมก็พลิกตัวหงายกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงโดยดึงศรให้พลิกตามมาจ้องตากันด้วย


“ที่บอกว่าปากมึงเป็นของกูคนเดียว...พิสูจน์ให้ดูดิ”


ศรยิ้มอย่างมีเลศนัยที่เห็นแล้วพ่ายแพ้ให้กับเสน่ห์ของมันเต็ม ๆ แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่มันพุ่งเข้ามาจุ๊บปากเหมือนที่ผมทำก่อนหน้านี้แล้วเลื่อนตัวลงไปทำแบบเดียวกันด้วย


“อ่าส์...ศร”


ริมฝีปากอ่อนนุ่มนั่นช่างดีกว่าม่ือเป็นไหน ๆ







ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะแสงยามเช้าส่องตา จะพลิกตัวหันหนีก็ทำได้ยากเพราะมีใครอีกคนนอนเบียดและพาดแขนบนตัวผมอยู่ บนตัวเรามีผ้าห่มพาดไว้แค่ครึ่งท่อนล่าง มองจากมุมนี้เห็นแค่กลุ่มผมนุ่มเกยบนไหล่เท่านั้น ผมคลี่ยิ้ม บรรยากาศตอนนี้โรแมนติกใช่เล่นเลยนะ ผมเปลี่ยนความคิดที่จะพลิกตัวหรือหลับต่อ ไม่อยากกวนคนที่กำลังหลับสบาย ยกมืออังหน้าผากและคออีกฝ่าย เมื่อไม่เจอความร้อนก็โล่งใจ เมื่อคืนเล่นรุนแรงด้วยขนาดนั้นก็ต้องกลัวจับไข้เป็นธรรมดา โชคดีที่ไม่แรงจนทำให้ช่องทางนั้นอักเสบ ไม่อย่างนั้นวันนี้มันคงลุกไม่ไหวแน่


ผมหันมองไปทางระเบียง นึกอยากจะลองปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดประตูหน้ากับระเบียงให้ลมโกรกอย่างที่เจ้าของห้องคุยโวไว้ แต่อีกใจก็ไม่อยากขยับตัวตอนนี้ เวลามันหลับนิ่ง ๆ แบบนี้น่ารักจนให้นอนมองทั้งวันก็ไม่เบื่อ


คิดแล้วก็ขำ ยิ่งคิดย้อนไปถึงวันแรกที่เจอกันก็ยิ่งขำ วันนั้นผมจ้องหน้ามันนานจริง ๆ ไม่เบื่อเลยสักนิดทั้งที่ยังไม่ได้พิศวาสอะไรด้วยสักเท่าไหร่


ครืด ครืด


เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมกำลังคิดว่ามันเป็นของใครและเมื่อคืนเผลอวางไว้ที่ไหน จนกระทั่งเสียงเงียบไปผมก็ยังไม่ได้คำตอบ ผมจึงเลิกสนใจ


ครืด ครืด


เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนที่นอนกอดผมอยู่เริ่มขยับตัวพร้อมส่งเสียงครางที่บ่งบอกถึงความรำคาญถึงขีดสุด


“ไปรับดิ” ศรพูดเสียงงัวเงียทั้งที่ยังหลับตาขณะพลิกตัวไปอีกฝั่งของเตียงเพื่อให้ผมเป็นอิสระ


ผมใช้เวลาหาที่มาของเสียงนานสามคาบการสั่น หน้าจอปรากฏชื่อแม่ ผมกระแอมไอเรียกเสียงเล็กน้อยก่อนกรอกเสียงลงไป


[อยู่ไหนลูก กลับมาทานอาหารกลางวันกับแม่และน้อง ๆ ทันไหม เที่ยงนี้ที่ร้านปลาอยู่เย็น]


ผมชอบที่แม่พูดธุระออกมาหมดทีเดียวแบบไม่ต้องถามต่อให้เสียเวลา อยากจะตอบกลับไปว่าไม่ทันเพราะยังอยากใช้เวลาอยู่กับศรที่นี่อีกหน่อย อยากลงไปเดินเลียบชายหาด เล่นน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่ทำร่วมกัน แต่เพราะปกติเราไม่ชอบทานอาหารนอกบ้าน นานทีจะไป และก็ต้องเป็นกรณีพิเศษด้วย ผมจึงยั้งปากไว้


[มาทันไหมโอม] แม่ถามย้ำเมื่อเห็นผมยังเงียบ


ผมดึงโทรศัพท์ออกจากหูมาดูเวลาแล้วเหลือบมองคนที่ยังนอนหลับตาอยู่ “ผมพาศรไปด้วยได้ไหมครับแม่”







เราสองคนมาถึงร้านก่อนเวลานัดสิบนาทีแต่ก็ยังมาถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายอยู่ดี ร้านนี้เป็นร้านเดียวกับที่ผมกับศรทะเลาะกันครั้งก่อน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือวันนี้ไม่ได้มีแต่คนในครอบครัวผม รดาและแม่ของเธอก็นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ซึ่งผมน่าจะถามแม่ก่อนรับปากว่าจะมา


ศรชะงักเท้าตั้งแต่ยังเหลืิออีกหลายก้าวกว่าจะถึงโต๊ะ ผมสะกิดถามเผื่อว่ามันอยากกลับเลย แต่คงเพราะเกรงใจแม่ผม มันถึงได้ยอมเดินเข้าไปด้วยกัน ผมสบตาให้รู้ว่าจะอยู่ข้าง ๆ พร้อมดูแลอยู่ทุกเมื่อ ฟากเธอเองก็ออกอาการอยู่เหมือนกัน  ใช่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสังเกตหรือสงสัยอะไรสองคนนี้


เราไหว้และทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองคนก่อนรับไหว้น้อง ๆ ผมสบายใจที่แม่เลือกจองโต๊ะกลมแทนโต๊ะมุมเหลี่ยมซึ่งทำให้ศรไม่ต้องกลายเป็นส่วนเกินเมื่อมีสมาชิกร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้มากถึงเจ็ดคน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถูกอิมจับให้นั่งกลางระหว่างเธอกับรดาจนทำให้ศรกระเด็นออกไปนั่งข้างยัยเอมซึ่งถัดจากอิมอีกทีโดยมีแม่ผมนั่งคั่นกลางศรกับแม่ของมัน และเพราะว่าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ผมจึงเลี่ยงหรือดุน้องออกมาตรง ๆ ไม่ได้ จำต้องร้องขอความเข้าใจจากศรผ่านสายตา ซึ่งแม้อีกฝ่ายจะส่งยิ้มบางมาให้ว่าไม่เป็นไรแต่ผมก็ไม่สบายใจอยู่ดี


“แม่สั่งอาหารไว้แล้วนะ ศรอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม” แม่บอกผมก่อนหันไปถามศรบ้าง


“ไม่มีครับคุณน้า”


“พี่โอมพาพวกเราไปดูปลาคาร์ฟข้างนอกหน่อยนะคะ เขาบอกว่ามีบ่อใหญ่เลย” ยัยอิมรบเร้า ผมอยากปฏิเสธแต่ก็จำต้องโอนอ่อนเพราะแม่มองอยู่


“ไปด้วยกันไหมศร” คนอื่นได้ยินคงคิดว่าเป็นคำชวน แต่ผมเชื่อว่าศรต้องเข้าใจว่าม่ันคือคำสั่ง


ไอ้ศรส่ายหน้า “มึงไปกับน้องเถอะ”


ผมขัดใจ ทั้งน้องทั้งแฟนทำหงุดหงิดไปหมด รู้ทั้งรู้ว่าอิมอยากจับคู่ให้ผมกับเพื่อนของเธอแต่แทนที่ศรจะตามออกไปช่วยกันกลับเลือกที่จะปล่อยไปอย่างนั้น


“เอมออกไปดูด้วยดีกว่าค่ะ ชักอยากจะเห็นบ้างแล้ว” ผมพยักหน้ารับ รู้ว่าน้องกำลังช่วย แต่ยิ่งได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งไม่สบายใจเพราะเท่ากับว่าทิ้งศรให้อยู่กับผู้ใหญ่ทั้งสองคนตามลำพัง จะไม่คิดอะไรมากเลยถ้าหากเธอเป็นแค่แม่ของรดาไม่ใช่แม่ของศรด้วย


“แผนยัยอิมน่ะพี่โอม ชวนบ้านนั้นมาทานข้าวกันอย่างกับจะดองกันงั้นแหละ เล่นใหญ่เว่อ” เอมบ่นให้ฟังตอนที่เดินตามหลังสองเพื่อนซี๊คู่นั้นไป


ผมไม่ใส่ใจเพราะพอจะรู้อยู่บ้าง แต่คิดว่าหลังจากนี้คงต้องคุยกันใหม่ให้ชัดเจน ยัยอิมจะได้เลิกทำแบบนี้เสียที


ผมเร่งน้อง ๆ ทั้งที่เพิ่งออกมาดูปลาได้แค่สิบนาทีนิด ๆ เท่านั้น ไม่อยากใช้เวลาอยู่ข้างนอกมากนักเพราะเป็นห่วงศร กลัวใจอีกฝ่ายจะหนีกลับไปก่อน แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งที่รีบกลับเข้ามาแต่ผมก็ยังช้าไป ศรหายไปแล้ว ทั้งโต๊ะเหลือแค่ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านที่กำลังคุยกันถูกคอ


“ศรไปไหนครับแม่”


“กลับไปแล้ว ตอนนั้นแม่ไปเข้าห้องน้ำ กลับมาก็ไม่เจอแล้ว คุณน้าเธอบอกว่าศรมีธุระด่วน ฝากบอกทุกคนว่าขอโทษด้วยที่ไม่ได้ลา”


บ้าเอ้ย!!


ผมรีบโทรไปหาศร สีหน้าผมเป็นทุกข์มากจนทุกคนสงสัย แต่ผมไม่ใส่ใจ ความรู้สึกของศรตอนนี้ต่างหากที่ควรใส่ใจ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้อยู่กับผู้ใหญ่ ผมจะไม่รีรอที่จะตามออกไปตอนนี้เลย


ผมหงุดหงิดหนักจนเผลอสบถคำหยาบออกมาเมื่อศรตัดสายผมทิ้ง กดโทรออกไปอีกกี่ครั้งก็ยังตัดสายจนผมร้อนใจหนัก


“มีอะไรรึเปล่าโอม”


“ไม่มีอะไรครับ”


ในตอนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความจากคนที่กำลังเป็นห่วง


DharmaSORN : ไม่ต้องห่วง กูกลับบ้าน


ผมกดโทรออกอีกครั้ง ร้อนใจเกินกว่าจะรอรับรู้ผ่านตัวอักษร ผมอยากได้ยินเสียงมัน อยากแน่ใจว่ามันโอเคจริง ๆ หรือกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่กลับโดนตัดสายอีกครั้ง ผมสบถเบา ๆ ก่อนพิมพ์กลับไปด้วยความร้อนรน


OMIN : บ้านไหน


นานเกือบหนึ่งนาทีกว่าผมจะได้รับคำตอบที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น นาทีนั้นผมอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะหันไปมองผู้หญิงคนนั้น




DharmaSORN : บ้านที่มีพ่อ









พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 19
---------------------------------------------------------------------
ใกล้จะจบแล้วววววว
NC ง่อยๆเหมือนเดิมจ้า อย่าถือสากันนะ ข้ามๆมันไป

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-10-2018 22:35:08
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 02-10-2018 23:17:43
เห้ยยยย หวังว่าไปพบครั้งนี้เรื่องมันจะเคลียร์ซักที
เพิ่งได้บอกรักกันไปเอง อยากใฟ้โอมมันได้กอดเมียแบบไม่มีเรื่องกวนใจ โอ้ย ตาโอมเอ้ย
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 03-10-2018 19:11:20
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-10-2018 19:52:27
เราว่าเอ็นซีไม่ง่อยนะคะ เขียนดีเลยยย เป็นกำลังใจให้ศรนะคะ กอดนะลูกก ขอบคุณคุณธัญญ์นะคะ สนุกมากเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-10-2018 21:45:39
สนุกจ้า
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2018 23:24:14
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 04-10-2018 00:56:29
อะไรยังไงเนี่ยยยยย ศรต้องผ่านมันไปให้ได้นะะะ :katai1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 04-10-2018 10:32:09
โอ๊ยยยหนอ เคลียร์สักทีเถอะครั้งนี้ ศรออกจะน่าสงสารด้วยซ้ำแต่ทำไมเรารำคาญนาง แง่ ม่ายยยย
นุ้งโอมของพี่ รักกกกกกก :mew3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 05-10-2018 19:08:53
 :sad4: :pighaun: :pighaun:
ขอหวานๆก่อนจบนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 18 P.6 [02/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 23-10-2018 02:04:15
แวะมารอตอนต่อไปจ้า
หวังว่าอิมกับบ้านรดาจะไม่ก่อดราม่าเน้อออ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-11-2018 23:02:48
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 19
---DharmaSORN---






ไม่รู้ว่าบ้านหลังใหญ่มีการปรับปรุงแต่งเติมหรือแค่เพราะว่าผมมีความทรงจำเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของมันน้อยเกินไป ในตอนที่กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้งถึงได้ไม่รู้สึกคุ้นชินกับมันเลยสักนิด


ผมแค่นยิ้ม รู้สึกไม่ต่างจากการเจอคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดี


“คุณศร!” ใครสักคนตะโกนเรียก ผมหันไปเจอลุงแก่ ๆ คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นมาจากสวนหน้าบ้าน ผมหรี่ตามอง พยายามนึกเค้นเอาจากความทรงจำน้อยนิดที่ตกค้างจากวัยเยาว์ว่าชายชราหน้าตาใจดีคนนี้คือใคร


“ลุงจอมครับ คุณศรจำได้ไหม” เขาแนะนำตัว ท่าทางดีใจที่ได้เจอผมยังไม่หายไปไหนแม้ว่าผมจะส่ายหน้าช้า ๆ ตัดความหวังของเขา


“ไม่เป็นไรครับ ตอนนั้นคุณศรเด็กมาก จำไม่ได้ก็ไม่แปลก” ใช่ ตอนจากไปผมเด็กมาก จำเขาไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่เขามองผมในวัยยี่สิบเอ็ดแล้วรู้ว่าคือใครนี่สิแปลก


“คุณศรหน้าเหมือนคุณท่านตอนหนุ่ม ๆ น่ะครับ ผมเลยจำได้” เขาว่า ผมรู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อย ใครจะอยากหน้าเหมือน ‘คุณท่าน’ กันล่ะ แต่นั่นทำให้ผมคิดได้ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นจำผมได้ทันทีที่เจอเหมือนกัน  “คุณศรกลับมาหาคุณท่านเหรอครับ”


“ครับ เขาอยู่ไหน”


“ห้องสนุ๊กครับ” จำได้ลาง ๆ ว่าเคยวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่บ้าง ห้องอยู่ชั้นหนึ่ง แต่ปีกซ้ายหรือขวาก็ไม่แน่ใจ


ผมพึมพำขอบคุณลุงจอม ที่ถามไม่ใช่เพราะจะไปหา แค่อยากรู้ไว้เท่านั้นเอง แต่พอฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ก็หันกลับมาหาลุงอีกครั้ง “มีคนอื่นอยู่ด้วยรึเปล่า”


“ตั้งแต่คุณศรไม่อยู่ คุณท่านก็ไม่เคยพาใครเข้าบ้านอีกเลยครับ”


ผมกระแอมเรียกเสียงแก้เก้อ ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกดีนิดหน่อยกับเรื่องที่ได้ยิน




คนเก่าคนแก่หลายคนเข้ามารุมทักทายผม คงลืมไปว่าผมไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างวันวานอีกแล้ว ผมในตอนนี้ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าของบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในตอนที่เจอ ‘คนเคยคุ้น’ คนยิ้มการค้าเก่งอย่างผมยังทำได้แค่ยิ้มแกน ๆ ให้จนพวกหล่อนหนีหายไปหมดหลังจากนำของทานเล่นมาให้ผมทานแกล้มไวน์ที่มินิบาร์ของบ้าน


ผมมองถั่วคั่วที่ดูไม่เข้ากันกับไวน์รสเลิศ แต่คงเพราะเจ้าของบ้านนี้ชอบทาน มันถึงได้ถูกหยิบยกมาทันทีที่ผมเอ่ยปากว่าจะนั่งดื่มไวน์อยู่ตรงนี้คนเดียว


ผมหมุนแก้วให้เครื่องดื่มกระเพื่อมจนเกือบกระเฉาะออกจากปากแก้ว บทสนทนาทางสายโทรศัพท์เมื่อครู่ของผมกับไอ้น้องรักยังไม่หลุดไปจากความคิด
 



[พี่ศร! หายไปนานมาก ผมเป็นห่วงมากเลยนะ] ผมโทรกลับไปเพราะเห็นสายไม่ได้รับและข้อความจากอีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้องมันก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยความร้อนรน

‘เว่อ แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง’

[ก็พี่เล่นหุนหันพลันแล่นออกไปแบบนั้น ใครจะไม่เป็นห่วงได้ละครับ]

‘อือ ผู้หญิงคนเมื่อวาน...แม่มึงเหรอ’

[แม่น้องสาวครับ]

‘ห๊ะ!?’

[ผมเป็นลูกติดพ่อครับ แม่ผมเสีย ท่านแต่งงานใหม่กับแม่ของรดา แต่ท่านดูแลผมดีมากเลยน--]

‘กูถามนิดเดียวก็ตอบนิดเดียว’

[ครับ ๆ]

‘ยังไงก็ฝากขอโทษแม่มึงด้วยละกันที่เสียมารยาทออกมาแบบนั้น’

[แม่ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ ว่าแต่พี่เถอะ เป็นอะไรรึเปล่า นี่ผมเป็นห่วงจริง ๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น]

‘ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้นะ’




เธอรักลูกเลี้ยงมากกว่าลูกแท้ ๆ อย่างผมเสียอีก


อ่า...ผมทำไวน์หกจากแก้วจนได้…


ผมเอื้อมตัวข้ามเคาน์เตอร์ไปหยิบกระดาษทิชชูมาซับของเหลวที่หกก่อนจะซดส่วนที่เหลือในแก้วโดยไม่ต้องเสียเวลาละเลียดชิมอะไรอีกเพราะเสียรสชาติไปมากแล้ว


เสียงรองเท้าสลิปเปอร์ดังมาจากปีกซ้ายของบ้าน ผมจำไม่ได้แล้วว่าฝั่งนั้นมีอะไรบ้าง แต่ตอนนี้เดาได้แล้วว่ามีห้องสนุ๊กอยู่อย่างหนึ่ง เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งเสียงทักทาย “ไม่คิดว่าจะยังมาบ้านหลังนี้ถูก”


ผมไม่ได้หันไปมอง จัดการเทไวน์ใส่แก้วอีกครั้ง “ผมมาเอารถ” คนของเขาขับรถที่ผมจอดทิ้งไว้เมื่อวานมาที่บ้าน ผมจึงต้องมาเอาคืนถึงที่นี่ และแน่นอน เสียงหัวเราะในลำคอของเขาต่อจากนั้นบ่งบอกว่ารู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น


เขาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างผม หยิบแก้วไวน์ที่แขวนไว้เหนือศีรษะออกมารินไวน์ตามวิธีที่ถูกต้อง “ต้องขอบคุณที่แกทะเลาะกับแฟนสินะ ถึงทำให้พ่อได้เห็นแกที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง”


ผมเหล่มองให้รู้ว่าสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ทั้งเรื่องที่ผมคบกับโอมอินและเรื่องที่ทะเลาะกัน ไหนจะท่าทีไม่ตกใจอะไรกับการที่แฟนผมเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย


“ลืมไปแล้วเหรอว่าคนของพ่อตามแกอยู่”


“...” ถึงผมจะไม่ได้แคร์อะไรเขามากแต่ถ้าเขาห้ามผมคบกับโอม ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปฏิเสธออกมาได้ทันทีเหมือนที่บอกผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า


“อย่ากลัวไปเลยไอ้ลูกชาย ถ้าปู่แกยังไม่ตายโน่นค่อยกลัว” ปู่ผมเป็นนายพล ทหารเก่ายศสูงที่ไม่เคยเปิดใจกับเพศทางเลือก ตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยสนใจทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ของปู่ คงโชคดีอย่างที่เขาว่า เพราะถ้าปู่ยังไม่ตาย คงน่ากลัวมากจนไม่อยากจะคิด


“ถ้าไม่ได้บังเอิญเจอกันเมื่อวาน พวกแกก็คงยังไม่คืนดีกัน”


เขารู้มากเกินไปแล้ว


“พวกแกมันทิฐิสูง ยึดเหตุผลตัวเองเป็นหลักกันทั้งคู่…” เขาพูดเหมือนรู้จักความรักดีทั้งที่ชีวิตคู่ของตัวเองพังไม่เป็นท่า “...อย่าเอาปมด้อยในชีวิตมาอ้างว่ากลัวผิดหวังโน่นนี่เลย ความจริงแล้วแกแค่ยึดความคิดความรู้สึกตัวเองโดยที่ลืมมองคนอื่น”


ผมเกลียดเขา


เกลียดที่แม้ว่าเขาไม่เคยใส่ใจใยดีหรือเลี้ยงดูผมสักนิดแต่เขาก็ยังรู้จักผมดีกว่าคนอื่นอยู่ดี


“คนของคุณรู้นิสัยผมกับโอมละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ”


เขายิ้ม “เส้นสายฉันเยอะ อย่าลืมสิ”


อาภพ...ต้องเป็นอาภพแน่ ๆ


“คนสมัยนี้รักกันแต่ไม่ได้ใช้ความรักเป็นที่ตั้ง พวกแกใช้ทิฐิ เวลามีปัญหาไม่ได้ใช้ความรักประคับประคอง แต่ใช้ทิฐิ ปรุงแต่งจนหลอกตัวเองว่ามันเป็นเหตุผล เหตุผลของฉัน เหตุผลของเธอ สุดท้ายก็เลยไปกันไม่รอด”


“...”


“ช่างเถอะ...แกไม่ได้มาหาพ่อเพราะเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ พูดไปก็เปล่าประโยชน์”


“...?...”


“แกเพิ่งไปเจอผู้หญิงคนนั้นมา”


ผมดื่มไวน์รวดเดียวหมด ละเลยทุกวิธีการดื่ม รู้สึกคิดผิดที่เลือกหยิบไวน์ออกมาจากคลัง ตอนนี้ชักอยากได้วอดก้าซักขวดแล้ว


“เธอทำให้แกมีความสุขดีไหมล่ะ”


ผมแค่นหัวเราะก่อนว่าเสียงเรียบ “ไม่ต่างจากคุณนักหรอก”




ในตอนที่ผมถูกทิ้งให้อยู่กับผู้ใหญ่สองท่านในร้านอาหารว่าอึดอัดใจมากแล้ว แต่พอแม่ของโอมปลีกตัวออกไปเข้าห้องน้ำ ผมไม่ทันได้เตรียมตัวเลยว่า ‘เธอ’ จะปริปากพูดกับผมก่อน


ไม่คาดคิดเลยว่าประโยคแรกที่พูดกันจะไม่ใช่การถามสารทุกข์สุขดิบของผม...


‘ศรคบอยู่กับโอมใช่ไหม’

‘ครับ’ ผมยอมรับโดยไม่ลังเล

‘ศรเป็น...เกย์เหรอ’ สีหน้าเธอดูผิดหวัง ผมเคยคิดว่าจะทำตัวเองให้ดี ให้ประสบความสำเร็จ เผื่อวันหนึ่งได้เจอเธอ ผมจะได้รับสายตาของความชื่นชมและภูมิใจในตัวผมบ้าง ไม่คิดว่าเจอกันแล้วจะเป็นแบบนี้

‘รดา...น้องของศร ชอบโอม ศรรู้ใช่ไหม’

อ่า...ถ้าไม่มีเรื่องนี้ บางทีเธออาจจะไม่อยากทักทายผมเลยด้วยซ้ำ

‘แม่ขอได้ไหมศร ขอให้ลูกได้ทำหน้าที่ลูกให้กับแม่ และหน้าที่พี่ชายให้กับน้อง’

ก่อนหน้านี้เธอไม่เรียกผมว่าลูกซักคำ ความจริงแล้วพ่อก็ด้วย แต่พอเป็นเรื่องของลูกอีกคน เธอกลับยกคำนี้มาโน้มน้าวผมทันที

ผมอยากเป็นคนในแบบที่แม่ภูมิใจ คิดเสมอว่าตัวเองพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แม่รัก เพราะอยากได้ความรักของอีกฝ่าย ผมยังเคยคิดเลยว่าจะยอมตายแทนได้

แต่ไม่ใช่การตัดอากาศหายใจของตัวเองแบบนี้

บางที...ความรักของแม่ที่ผมตามหา อาจไม่มีจริงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมกำลังได้รับจากอีกคน

‘แม่จะอยากให้ผมทดแทนบุญคุณด้วยวิธีไหนก็ได้ แม่ให้ชีวิตผม แม่จะเอาชีวิตผมคืนไปก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่การยกโอมให้ลูกใหม่ของแม่’

‘แม่กำลังช่วยลูกอยู่นะ’ เธอมีท่าทีโกรธอย่างเห็นได้ชัด ‘ไม่มีใครยอมรับความรักของลูกได้หรอก แม่ไม่อยากเห็นลูกของแม่โดนแม่ของโอมเขารังเกียจ ปล่อยโอมไปตามทางที่เขาควรจะเป็นเถอะลูก’

ในตอนนั้น...ผมเกือบจะร้องไห้ออกมา

‘ขอเถอะครับ อย่าพรากความรักไปจากผมเลย…’

‘...’

‘อย่าพรากคนเพียงคนเดียวที่รักผมจริง ๆ ไปเลยครับ’

สุดท้ายน้ำตาก็ไหลในตอนที่ตัดสินใจเดินหนีออกมาโดยไร้คำร่ำลา



เขาพูดถูก ที่เคยบอกว่าเธอจะทำให้ผมเสียใจเข้าซักวัน


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้เล่าให้เขาฟัง


“ความจริงแล้วแกไม่ควรคิดว่าการที่เธอตั้งท้องให้แกมีชีวิตขึ้นมาเป็นบุญคุณเลยนะ”


ผมเลิกคิ้วมอง เขาไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ก็จริงไหมล่ะ แกไม่ได้อยากเกิดมาซักหน่อย ทำไมจะต้องถือเป็นบุญคุณ แต่ถ้าเธอดูแลชีวิตแกได้ดีนั่นแหละค่อยนับว่ามีบุญคุณที่ยิ่งใหญ่...แต่นี่ก็ไม่”


“เหมือนอย่างคุณใช่ไหม” ผมสวน ไม่ได้มีความรู้สึกน้อยใจอะไรในชีวิตตัวเองทั้งนั้น ตอนนี้ผมเริ่มคิดถึงไอ้โอม อยากไปหาแล้วว่ะ


เขาไม่ตอบ เพียงแค่ดื่มไวน์ตัดบทสนทนา ถ้าสิ่งที่เขาพูดคือสิ่งที่เขาคิด ผมว่าไม่ผิดเหมือนกันที่ผมจะคิดอย่างที่พูดออกไป และผมเชื่อว่าเขาเองก็รู้ตัวดี


“นั่นเพราะแกปิดกั้น” อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน ผมดื่มต่อแต่ตั้งใจฟังมากขึ้น “ยิ่งพ่อพยายามเข้าใกล้ แกก็ยิ่งถอยห่าง ทำได้แค่ดูแลแกอยู่ไกล ๆ”


“พูดได้นี่ ปู่กับย่าเสียไปนานแล้ว”


เขาหัวเราะเล็กน้อย “ถ้ายังไม่ตายพ่อก็อยากให้แกไปถามเขาเหมือนกันนะ”


ผมจ้องตาเขานิ่ง “ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงตามไปถามพวกเขาอย่างไม่ลังเลเลย”


เขาเงียบไป สีหน้าสีตาขึงขังขึ้น “อย่าคิดสั้น”


“ไม่หรอก ไม่คิดมานานแล้ว”


“เพราะแฟนแกน่ะเหรอ”


ผมวางแก้ว หันมองหน้าเขาตรง ๆ “เชื่อไหมว่าตอนนี้เหลือเขาแค่คนเดียวที่รักผม”


เขานิ่งไปอึดใจก่อนส่ายหน้า “แค่คนเดียวที่แกรักต่างหาก”


“...”


“คนที่รักแกยังมีอีกหลายคน”


“...”


“เพื่อนแกไง”


ผมทำหน้าเห็นด้วย จริงอย่างที่เขาว่า เพื่อนพวกนั้นมันเพื่อนแท้ และแปลกที่แม้ว่าผมจะไม่เคยอยากได้รับไออุ่นจากเขา แต่ผมก็ยังคาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าจะได้ยินคำว่ารักจากปากเขาอยู่ดี


คิด ๆ ดูแล้วผมก็คงเหมือนเขาจริง ๆ อย่างที่ลุงจอมว่า


เหมือนทั้งหน้าตาและนิสัย


“เมื่อไหร่จะกลับมาอยู่บ้าน” เขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน


“บ้านที่เป็นแค่สิ่งก่อสร้าง จะกลับมาทำไม” ถ้าเทียบกับภาษาอังกฤษคงต้องบอกว่าที่นี่เป็นแค่ house ไม่ใช่ home


เขาพูดไม่ออก ได้แต่ดื่มอย่างเงียบ ๆ


“...แต่คืนนี้ขอค้างคืนนึงละกัน”


เขายิ้มละมุน นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้เห็นเขายิ้ม แต่ก็เห็นได้แค่แวบเดียวราวกับแค่ตาฝาดไปเพราะเขาหน้าเรียบตึงขึ้นอีกครั้งก่อนตะโกนเรียกแม่บ้านมารับคำสั่งทำความสะอาดห้องนอนของผมให้เรียบร้อยและยังสั่งให้จัดอาหารเย็นเผื่อผมด้วย ผมไม่ปฏิเสธความต้องการของเขา อยากทานด้วยกันก็ได้ไม่มีปัญหา ตราบใดที่ไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญมาร่วมด้วยน่ะนะ




แม่ครัวบ้านนี้ต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ ๆ


ผมมองกับข้าวบนโต๊ะสลับกับใบหน้าลุ้นสุดขีดของเหล่าแม่บ้านที่ยืนเรียงกันอย่างในละคร


“คนของพ่อทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็นหรอกนะ แต่ถ้ารับปากว่าจะย้ายกลับมาอยู่ด้วยกัน พ่อจะให้พวกเขาไปฝึกทำ...หรือจะให้จ้างเชฟมาเลยดี”


“ผมว่าผิดประเด็น” ใช่ว่าผมจะทานอาหารชนิดอื่นไม่ได้เสียหน่อย แต่ที่ทำมานี่มันมากเกินไปสำหรับสองคนต่างหาก


“เพราะเขาไม่รู้ว่าแกชอบอะไรไม่ชอบอะไร บอกเขาไว้ซิ ครั้งหน้าจะได้ทำให้ถูก”


ผมโคลงศีรษะ มองข้ามประเด็นเรื่องการโน้มน้าวให้ผมกลับมาอยู่บ้านให้ได้ไป ตัดสินใจตักอาหารที่น่าจะเผ็ดน้อยที่สุดอย่างไก่ผัดซอสแดงใส่จาน


“ถูกปากไหม” เขาถามหลังจากผมตักเข้าปากไปหนึ่งคำยังไม่ทันกลืน สีหน้าอย่างกับคนที่ทำอาหารพวกนี้เองทั้งที่ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลยสักนิด


ผมเหลือบมองแม่บ้าน ทุกคนกำลังลุ้นจนตัวโก่งรอคำตอบจากผม


“อร่อยครับ” อยู่ในระดับไม่แย่ ทานได้ ผมเดาว่าพวกเธอคงไม่ค่อยได้ทำอาหารบ่อยนัก รสชาติถึงได้อยู่ในระดับนี้


“คุณคงไม่ค่อยได้ทานข้าวที่บ้าน”


เขาชะงักมือที่กำลังยื่นไปหยิบช้อนกลางในจานเดียวกับผมเมื่อครู่ก่อนจะทำตัวเป็นปกติ “ตอนเช้าก็แค่กาแฟ กลางวันทานนอกบ้าน มื้อเย็นก็ทานมาจากข้างนอกเสร็จสรรพ จะกลับมาทานคนเดียวที่บ้านทำไม”


“นั่นสินะครับ ทานนอกบ้านไม่เหงาเพราะมี ‘เพื่อน’” ตั้งแต่แม่ทิ้งพวกเราไป เขาก็เอาแต่เที่ยวแตร่กับผู้หญิงพวกนั้น ผมจึงโทษว่าเป็นความผิดของเขา เพราะเขาเป็นแบบนี้ แม่ถึงทิ้งเราไป


เขาถอนหายใจ รวบช้อนราวกับอิ่มแล้ว ผมไม่สน ยังคงตักอาหารต่อไปขณะที่คนอื่น ๆ พากันออกไปจากห้องนี้อย่างเงียบ ๆ


“พ่อยอมรับว่ามั่วไปทั่ว แต่ไม่ใช่ตอนที่ยังอยู่กับผู้หญิงคนนั้นแน่”


ไม่อยากยอมรับว่านัยน์ตาคู่นั้นไม่โกหก


ผมรวบช้อนบ้าง เริ่มรู้สึกว่าไม่เจริญอาหารทั้งที่เพิ่งตักเนื้อปลานึ่งมะนาวใส่จานไปเมื่อครู่ “แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งไป”


เขาถอนหายใจอีกครั้ง ปล่อยตัวเอนหลังพิงพนัก “คงต้องไปถามคนที่ทิ้งไป”


ผมจิ๊ปาก เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย “แล้วคุณทำอะไรให้เธอทิ้งไปล่ะ”


“บอกแล้วว่าให้ไปถามเธอเอาเอง”


ผมพ่นลมหายใจแรง ดื่มน้ำจนหมดแก้วก่อนลุกขึ้นยืน


“ดื่มนมอุ่น ๆ ซักแก้วไหม จะได้นอนหลับสบาย”


ผมหันมอง แทบไม่ต้องคิดที่จะตอบรับทั้งที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน “ครับ”


ผมจะถือว่านี่คือการบอกว่า ‘ฝันดีนะ’ ในแบบของเขาก็แล้วกัน






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 04-11-2018 23:03:35

เด็กน้อยคนเดิมยังปรากฏขึ้นด้วยอิริยาบถเดิมในช่วงเวลาเดียวกันอย่างทุกคืน ใบหน้าเปื้อนน้ำตากับเสียงสะอื้นที่ครวญครางเอาแต่ร้องเรียกหาคนที่จากไป ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอันเหน็บหนาวกัดกินหัวใจจนกร่อนแหว่งเสียรูปทรง ทว่าในค่ำคืนนี้ กลับมีคนเข้ามาโอบอุ้มเร็วกว่าทุกที...ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของใครบางคนที่สัมผัสได้จริง ๆ


“อื้อออ” ผมครางในลำคอลืมตาขึ้นมองด้วยความสงสัย เพราะไม่ใช่แค่อ้อมกอด แต่ยังมีจุมพิตที่ขมับอีกด้วย


“มึงร้องไห้” เขาไม่ได้โกหก หยาดน้ำตายังทิ้งร่องรอยของความชื้นไว้บนใบหน้า


ท่ามกลางความมืดที่ไม่สนิทนัก ผมเห็นเจ้าของความอบอุ่นเป็นผู้ชายวัยเดียวกัน สีผิวเข้มกว่าเล็กน้อยแต่ยังขาวอยู่ดี ใบหน้าหล่อเหลาดูคมคายเพราะเครื่องหน้าที่แต่งแต้ม อีกฝ่ายนอนคร่อมร่างของผมที่นอนตะแคงอยู่ ปลายนิ้วซับน้ำตาที่ร่องแก้มและหางตาให้อย่างอ่อนโยน นัยน์ตาคู่นั้นมองมาด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่ผมเคยได้รับมาตลอดที่คบกัน


ผมเลือกไม่ผิด…


...คิดถูกแล้วที่ไม่ยกโอมให้ใคร


“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่เซ้าซี้เพราะไม่อย่างนั้นคงพูดออกมาตรง ๆ แล้วว่าผมร้องหาแม่


โอมพลิกตัวผมให้นอนหงายก่อนทิ้งศีรษะลงซบไหล่อย่างออดอ้อน เอ่อ...นั่นแหละ ผมรู้สึกว่าแม่งอ้อนผมอยู่ “เพิ่งมาถึง”


“ตีสองเนี่ยนะ” ไม่ต้องมองนาฬิกาผมก็พอเดาช่วงเวลาได้ เพราะฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมามากกว่าสิบปีมักเกิดขึ้นช่วงเวลานี้เสมอ


“อือ” โอมครางตอบเสียงเหนื่อย “ไม่อยากมารบกวนพ่อมึง”


“แต่แอบย่องเข้าบ้านเขาตอนตีสองเนี่ยนะ”


ผมแอบยิ้ม ดีใจกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ที่โอมอินทำเสมอ


“ก็คิดถึง”


ผมยิ้มกว้างขึ้น


“ร้อนใจด้วย รอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วเลยต้องมา”


“ร้อนใจเรื่องอะไร” ผมถามทั้งที่เดาคำตอบได้ นอนลูบผมอีกฝ่ายเล่นหวังจะให้ใจเย็นขึ้น


“เรื่องที่มึงหนีมา”


ห้องตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงหายใจแรง ๆ ของกันและกันเท่านั้นที่ดังชัดเจน


“แม่มึงจับคู่มึงกับน้องเขารึเปล่า”


โอมผงกศีรษะขึ้น จ้องมองผมอย่างคาดคั้น “มึงหนีมาเพราะเรื่องนี้เหรอ”


ผมไม่ตอบ พยายามกดศีรษะอีกฝ่ายให้ซบลงที่เดิมแต่ถูกฝืนไว้ สุดท้ายผมก็ต้องพูดออกมาทั้งที่มันจ้องหน้าอยู่ “เธออยากให้กูเสียสละมึงให้รดา”


ไอ้โอมหน้าเสีย “ล...แล้วมึงยอมรึเปล่า”


“กลัวกูยกมึงให้คนอื่นเหรอวะ” ผมพูดติดตลกเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้นจริง ๆ


“กูกลัวเพราะว่าแม่มึงขอ” โอมยกมือลูบหน้าผม นัยน์ตามันฉายแววกังวลอย่างที่ผมไม่เคยเห็น “เพราะมึงรักแม่มาก มึงอาจจะอยากทำตามที่แม่ต้องการ”


“กูคงเลวมากถ้าบอกว่าตอนนี้กูรักมึงมากกว่าเธอ” ...และทุกคนบนโลก


ผมคงเลวจริง ๆ นั่นแหละ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นโลกทั้งใบของผมไปแล้ว


นิ้วเรียวถูกเลื่อนมาหยุดไว้ตรงริมฝีปากของผม “อย่าพูดแบบนี้อีก…” แต่โอมคงไม่คิดอย่างนั้น “...อย่าคิดว่าตัวเองเลว และอย่าคิดว่ารักกูมากกว่าเธอ”


แม้จะคิดว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริงแต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป


“คิดแค่ว่าตอนนี้มึงแค่รักกูเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็พอแล้ว”


ผมยิ้มล้อ “เลี่ยนว่ะ” ผลักอีกฝ่ายให้นอนหงายอยู่ข้างกัน


“กูพูดจริง ๆ นะ” เราต่างนอนมองเพดานกันในความมืด


“อือ” ผมพลิกตัวคะแคงเข้าหาโอม จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ไม่ได้ยื่นแขนออกไปโอบกอดเพราะตอนนี้ตัวผมอยู่ในผ้าห่มขณะที่อีกคนนอนทับมันไว้ “นอนเถอะ”


“ไม่กอดกูแล้วจะนอนหลับเหรอ”


ผมยิ้ม “ทำเป็นรู้ดี”


“ลืมไปแล้วเหรอว่ากูสนใจมึงอยู่ตลอด”


ผมเลิกคิ้ว สงสัยว่าเป็นไปได้หรือที่โอมจะรู้ว่าผมฝันร้ายในทุกค่ำคืน แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้ผมสงสัยนาน โอมเอ่ยปากอธิบายต่อจนกระจ่าง “ก่อนนอนมึงนอนห่างกูจะตาย กว่าจะหลับได้แต่ละคืนก็หน้านิ่วคิ้วขมวดซะยับย่นไปหมด แต่ตื่นเช้ากลับกอดกูซะแน่น แถมยังหลับตาพริ้มซะขนาดนั้น คุณภาพการนอนต่างกันเห็น ๆ”


ผมห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาไม่ได้จริง ๆ เพราะขืนกลั้นไว้มีหวังแก้มแตกแน่ ๆ “มึงแม่ง”


โอมตะแคงตัวเข้าหาผมบ้าง อยากจะสำรวจเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมมาจากบ้านเสียหน่อยแต่ผมกลับไม่อาจละไปจากสายตาที่มองมาได้เลย “รักกูมากเหรอมึงน่ะ” ผมเย้าขำ ๆ ทว่าจริงจังอยู่ในที


โอมยื่นมือมาลูบแก้มผม ทำอย่างกับแก้มสาก ๆ ของกูนุ่มเป็นก้นเด็กไปได้ เขินนะเว้ย! “ยังต้องให้บอกอีกเหรอ”


ผมกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ แม้จะเขินแต่ก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสอยู่อย่างนั้น “อยากฟัง”


“กูรักมึง”


มือที่จับแก้มผมอยู่จะสัมผัสถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นบนใบหน้าได้ไหมนะ


“รักมึงคนเดียวมาตลอด”


พอแล้ว…


“รักมึงมากขึ้นทุกวัน”


ไม่ต้องการความรักจอมปลอมจากใครอีกแล้ว…


...พอแล้วจริง ๆ...


“เลี่ยนว่ะ” ผมว่า พยายามปั้นหน้าให้ดูเขินน้อยที่สุดในตอนที่ปัดมืออีกฝ่ายออกจากหน้าอย่างเบามือแล้วชิงพลิกตัวหนีกลับมานอนหงายก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอตามมาให้ยิ่งรู้สึกเขินราวกับเป็นสาวน้อย


“บอกว่ากูเลี่ยนแต่เป็นคนถามเองเนี่ยนะ”


“พอ ๆ นอนเว้ยนอน” ผมกลบเกลื่อนความอายด้วยการพลิกตัวหนีอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้โอมไม่ยอมให้ผมนอนหันหลังให้ มันต้านแรงผมไว้พร้อมกับจับให้ผมหันไปหามันแทน


“ศร”


“อะไรเล่า กูจะนอนแล้ว” แกล้งหงุดหงิดไปอย่างนั้น ความจริงคือเขินจนไม่ไหวแล้ว ไม่อยากฟังอะไรเลี่ยน ๆ อีก ถึงจะชอบก็เถอะ


“กูจริงจังกับมึงจริง ๆ นะ” โอมจับมือข้างหนึ่งของผมด้วยการสอดประสาน


“รู้หน่า” ผมหลบสายตาตอบรับเสียงเบา


“มองหน้ากู”


เพราะผมนอนหันหลังให้แสงจากภายนอกผมถึงได้เห็นหน้าและแววตามันค่อนข้างชัด ไม่รู้ว่ามุมย้อนแสงฝั่งผมจะทำให้อีกฝ่ายมองเห็นรายละเอียดบนหน้าผมบ้างหรือเปล่า


“เรามาเริ่มต้นใหม่กันนะ…” ใจผมกระตุกวูบ รับรู้ถึงความจริงจังในความสัมพันธ์ระหว่างเราของโอมเสมอมา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนชัดเจนเท่าครั้งนี้ “...ทิ้งความไม่แน่นอนครั้งก่อนไปให้หมด เรามาสร้างความรักของเรากันใหม่ด้วยความเข้าใจ เปิดใจ และรับฟังกันเถอะว่ะ”


ระบบความคิดผมรวนไปหมด มันว่างเปล่าทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคิดเรื่องมากมายไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขอแต่งงานทั้งที่เคยคิดมาทั้งชีวิตว่าตัวเองต้องเป็นคนพูดประโยคทำนองนี้ไม่ใช่คนฟัง


“อะไรที่รบกวนจิตใจมึง อะไรที่เป็นปัญหา เปิดใจให้กูเข้าไปช่วยแก้ไขหรืออย่างน้อยก็เป็นที่ระบายให้มึงได้ไหมวะ”


“...”


“กูอยากดูแลมึงแม้ว่ามึงจะดูแลตัวเองได้ดีอยู่แล้วก็ตาม”


“โอม”


“ต่อจากนี้เราจะเจอปัญหาอีกมากมาย แต่ถ้ามึงตกลงจะสร้างความรักของเราไปด้วยกัน กูสัญญาว่าจะจับมือมึงฝ่าฟันไปให้ได้” โอมกระชับมือที่จับกันให้แน่นขึ้น


“พอแล้ว พูดยาวเกินไปแล้ว นี่ท่องบทละครอยู่เหรอวะ” ผมว่า และถ้าโอมตั้งใจฟังจริง ๆ จะได้ยินคำต่อท้ายจากผมด้วยว่า ‘น้ำเน่าสัด’


“อย่าให้กูต้องน้ำเน่านานได้ไหมวะ ตอบดิ”


ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อครู่ยังพูดเสียงอ่อนเสียงหวานเผยความน้ำเน่าออกมาเสียหมดเปลือก อยู่ดี ๆ ก็ทำเสียงกระโชกโฮกฮากใส่เสียอย่างนั้น แต่พอมองชัด ๆ แล้วเห็นแววเขินอายในหน่วยตาคู่นั้นผมก็พอจะเข้าใจได้


แม่งเขินกว่าวันที่ตกลงเป็นแฟนกันเสียอีก


“มึงคิดดีแล้วเหรอวะ” ผมย้อนถาม รู้สึกจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ ที่เปิดใจคุยกัน ผมคิดว่านี่คือด่านสุดท้ายสำหรับตัวเองแล้ว ด่านสุดท้ายสำหรับการตัดสินใจที่จะมีผลไปตราบนานเท่านาน “มึงรู้ไหมว่ากูเป็นพวกยึดติด ถ้ามึงเป็นคนของกูแล้ว กูไม่ปล่อยไปง่าย ๆ หรอกนะ ปีหน้าเราก็จะเรียนจบ สำหรับกู มันคือการก้าวเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มันคือการคิดถึงอนาคตที่ต้องชัดเจนขึ้น เรื่องความสัมพันธ์ก็เหมือนกัน ถ้ากูจะคบใครซักคนในช่วงวัยนี้ คน ๆ นั้นจะต้องอยู่ข้างกูในอีกยี่สิบสามสิบปีหรือมากกว่านั้นด้วย แต่ถ้ามึงคิดถึงการมีครอบครัว มีลูก มีทายาท กูว่ามึงไม่ควรจริงจังกับกูให้มาก และเราควรจบมันให้เร็วที่สุดด้วย”


“ไม่!” โอมตอบเสียงดังฟังชัดจนเกือบกลายเป็นตะคอก แววตาคู่นั้นแข็งกร้าวขึ้นด้วยความมุ่งมั่น “กูไม่เคยเห็นภาพตัวเองในวันที่ไม่มีมึง”


“มึงคิดให้ดีนะโอม กูไม่มีใครที่ต้องแคร์แล้ว แต่มึงมี….แม่มึงจะยอมเหรอ”


“ถ้ามึงตกลงจะก้าวไปด้วยกัน กูสัญญาว่าจะฝ่าฝันทุกอย่างไปให้ได้ มึงบอกว่ามึงยึดติด ไม่มีทางปล่อยกูไปง่าย ๆ แล้วมึงคิดเหรอว่ากูอยากเดินออกไปจากชีวิตมึง”


“...”


“มึงก็รู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน”


ผมยกยิ้ม “มึงตัดสินใจแล้วนะ”


“ไม่เคยคิดเปลี่ยนใจ”


ผมยิ้ม ไม่มีคำตอบจากปากผม มีเพียงแค่จูบลึกซึ้งแทนคำมั่นสัญญาที่เกิดจากใจสองดวงที่ตรงกันเท่านั้น




ผมกับโอมอินพากันออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ใช่เพราะอยากพามันหนีเจ้าของบ้านหรือว่าผมไม่อยากเจอหน้าเขาอีก แต่เพราะเราต่างต้องรีบกลับบ้านไปเตรียมตัวไปฝึกงานต่อ เพื่อไม่ให้ไปสาย เราจึงจำต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อเลี่ยงจราจรติดขัดในเช้าวันจันทร์


“ไม่คิดจะอยู่ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มปนแหบตามวัยดังขึ้นในตอนที่เรากำลังเดินผ่านห้องนั่งเล่น ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อย ขณะที่คนที่เดินตามหลังมาหยุดเดินเป็นที่เรียบร้อย


ผมพ่นลมหายใจอย่างที่ชอบทำเวลาอยากต่อต้านผู้ชายคนนั้นแต่ไม่สำเร็จเพราะมีใครบางคนไม่เห็นด้วย ผมถอยหลังกลับไปยืนข้างโอมก่อนตะโกนตอบคนที่ยังนั่งอยู่ในห้องนั้น “คนเขามีการมีงานทำ”


เขาคนนั้นกำลังเดินตรงมาหา ร่างสูงใหญ่ในชุดนอนสีสุภาพที่เห็นแค่ปกเสื้อกับขากางเกงที่โผล่พ้นขอบเสื้อคลุมสีเข้มออกมาก็รู้แล้วว่าเป็นเสื้อที่ตัดจากผ้าชนิดเดียวกับที่ผมชอบใส่ เห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดรับรุ่งอรุณ ใจคอจะเหมือนกันทุกอย่างเลยหรือ


“ผมขอโทษที่เข้าบ้านของคุณอาโดยพลการครับ” โอมว่าหลังจากที่ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมแล้ว มันพูดขึ้นเองก่อนที่เขาจะเอาเรื่องเสียอีก


นัยน์ตาคมดำขลับที่แสนน่ากลัวคู่นั้นกำลังมองคนของผมอย่างพิจารณาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา ผมตั้งใจจะเอาตัวเองเข้าไปขวางเพราะไม่ชอบให้ใครมาใช้สายตาแบบนี้มองสิ่งที่ตัวเองเลือก แต่โอมยั้งไว้ก่อนแล้วตอบโต้ด้วยคำพูดที่สุภาพทว่าถือดีอยู่ในที


“ถ้าท่านจะกรุณา ผมรับปากว่าครั้งหน้าจะเข้ามาพร้อมศรเลย”


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยกยิ้มอย่างถูกใจ ใช่! เขากำลังถูกใจอยู่แน่ ๆ ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ในจำนวนชั่วโมงที่พบเจอน้อยนิดนั้นมากพอให้ผมรู้ว่ามีบางอย่างถูกใจเขาเข้าเต็ม ๆ


“คนในบ้านนี้เอาแต่พูดว่าศรเหมือนฉัน...ไม่คิดว่าฉันจะเป็นฝ่ายเหมือนเขาด้วย โดยเฉพาะเรื่องการชอบใครซักคน”


“เราต้องไปแล้ว” ผมสะกิดโอม จงใจขัดบทสนทนาของเขา


“บอกให้ศรกลับมานอนบ้านบ้างสิ” เขายังคงพูดขึ้นต่อแม้ว่าโอมจะบอกลาแล้วก็ตาม คำกล่าวของเขาทำผมคันยุบยิบในใจ อะไรกันวะ พูดอย่างกับพ่อตาฝากฝังลูกสาวกับเขยอย่างนั้นแหละ แล้วอะไรคือการที่แฟนตัวดีของผมหันไปตอบรับด้วยเสียงหนักแน่นวะ!





ความสัมพันธ์ของเรากลับเข้าสู่สภาวะปกติและเหมือนจะดีขึ้นเรื่อย ๆ มาหลายวันแล้ว ผมเลิกสนใจเรื่องที่แม่พูดถึงเพราะเธอไม่ได้โผล่มายุ่งย่ามอะไรด้วยอีก มั่นใจด้วยว่าช่วงนี้โอมเองก็ไม่ได้เจอลูกสาวของเธอด้วย เพราะเลิกงานก็กลับมานอนที่ห้องของเราแทนที่จะเป็นบ้านตัวเองอย่างก่อนหน้านี้


ความรักของเราถูกเติมเต็มจากกันและกันในทุกวัน แม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยแต่ก็เต็มไปด้วยคุณภาพกว่าช่วงแรกที่คบกันมากนัก เริ่มต้นเช้าในแต่ละวันด้วยการช่วยกันเตรียมอาหารแทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโอมเพียงเพราะอีกฝ่ายอยากทำเองอย่างเช่นทุกที การที่ผมเสนอตัวเข้าไปช่วยในครัวอาจจะเป็นภาระให้โอมบ้างแต่มันก็มีความสุขดี นี่ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ แค่ยกคำพูดของอีกฝ่ายมาบอกเล่าเท่านั้นเอง


ระหว่างวันเราต่างทำงานของตัวเองแต่ไม่ลืมที่จะทิ้งข้อความสั้น ๆ ถึงกันอย่างเช่น ‘ได้พักรึยัง’ ‘มื้อเที่ยงกินไร ขอลอกหน่อย’ หรือ ‘เหนื่อยสัด’


ช่วงเย็นเราเจอกันน้อยมาก ปกติโอมเลิกงานกลับมาก็ดึกแล้ว วันไหนเลิกเร็วก็ต้องเข้าไปซ้อมละครเวที ไม่เหมือนผมที่ตารางชีวิตยังหลวมกว่ามาก ถ้าผมไม่ตามไปหาที่ห้องซ้อมเราก็แทบจะไม่เจอกันในตอนเย็นเลย ครั้นจะไปบ่อยมากก็ไม่ได้ ผมเป็นคนนอก เกรงใจเพื่อนร่วมงานของมันด้วย


ชีวิตรักของเราราบเรียบมาระยะหนึ่งจนใกล้หมดช่วงฝึกงาน บททดสอบแรกหลังจากเริ่มต้นกันใหม่มาในรูปแบบของเพื่อนฝูง เมื่อสิ้นสุดการฝึกงาน ต่อไปคือการเปิดเทอมใหม่เพื่อเลื่อนชั้นขึ้นปีที่สี่ และกลุ่มเราที่ไม่ได้หมายรวมแค่เพื่อนในสาขาเดียวกันมีธรรมเนียมกันว่าจะต้องไปเที่ยวค้างแรมกันอย่างน้อยหนึ่งคืนก่อนเปิดเทอม


ครั้งนี้ไอ้ดล เพื่อนภาคไฟฟ้าเป็นตัวตั้งตัวตี จั่วหัวเป็นสถานที่ให้เพื่อนโหวตกันจนสุดท้ายผลออกมาที่เขาใหญ่วันเสาร์หน้า แม้ครั้งนี้จะค้างแค่วันเดียวและเป็นธรรมเนียมอย่างที่ทำกันทุกเทอม แต่ผมกลับอึกอักไม่กล้าบอกโอม กลัวอีกฝ่ายจะหึงหวง ไม่แคล้วเป็นต้องจบที่ทะเลาะกันอีกครั้ง แต่ลึก ๆ แล้วผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะว่าอย่างไรบ้าง


“เสาร์หน้ากูไปเขาใหญ่กับเพื่อนนะ” ผมชิงเปิดประเด็นขึ้นมาในตอนที่กำลังเร่งรีบกับอาหารเช้าก่อนจะแยกย้ายกันไปฝึกงาน โอมชะงักมือที่จับช้อนส้อม เหลือบตาขึ้นมองผมเล็กน้อย “พวกกูไปกันแบบนี้ก่อนเปิดเทอมทุกครั้ง ปาร์ตี้เล็ก ๆ”


โอมอินยังรอฟังด้วยท่าทีใจเย็นกว่าเมื่อก่อนมาก แอบคิดไม่ได้ว่ามันจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เราคบกันได้นานขึ้นจริง ๆ เหรอ


“เพราะว่าไปกันทุกเทอมเนี่ยแหละ กูเลยปฏิเสธไม่ได้ แต่มึงจะไปด้วยก็ได้นะ พวกมันไม่ว่า”


“กูติดซ้อมละคร” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยราบเรียบแต่กลับซ่อนความขุ่นเคืองไว้ไม่มิด


“ถ้ามึงไม่อยากให้ไป กูไม่--”


“ไปเถอะ”


ผมลอบยิ้ม แค่นิดเดียวแบบที่โอมไม่ทันสังเกตเห็น


“ไปเที่ยวกับเพื่อน กูจะห้ามทำไม”


“พูดจริงเหรอวะ”


“เออ” น้ำเสียงขุ่นขึ้นแต่กลับทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด นี่ผมเห็นความหวงของมันเป็นของหวานอันโอชะหรืออย่างไรกัน


“เดี๋ยวนี้ไม่หึงหวงกันแล้วเหรอ ถึงปล่อยให้ไปได้”


“ทั้งหึงและหวงมากกว่าเดิมอีก...” โอมจ้องหน้าผมนิ่ง “...แต่กูจะเชื่อใจมึงมากขึ้น”


ผมยิ้มกว้าง “ขอบใจนะ”


ขอบใจที่ไม่ได้หมายถึงการตอบรับคำอนุญาตให้ไปค้างคืนได้ แต่ขอบใจที่มันเปิดใจมากขึ้น และผมเองก็จะไม่มีวันทำให้มันผิดหวังเด็ดขาด









พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 20
--------------------------------------------------
หายไปนาน 1 เดือน กับ 2 วัน
เดือนที่แล้วเดินทางไปเกือบครึ่งเดือน
กลับมาเลยต้องเคลียร์อะไรหลายๆอย่าง
จะกลับมาอัพนิยายแล้วนะคะ
เรื่องนี้ตั้งใจจะเขียนให้จบก่อนสิ้นปี จะทันไหมนะ *หัวเราะแห้ง
ฝากด้วยนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-11-2018 23:12:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 05-11-2018 00:57:54
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 05-11-2018 02:12:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-11-2018 14:11:50
แม่ศรคือเป็นคนยังไงกันอ่ะ พูดมาได้!!!!!!!! นั่นก็ลูกชายเธอเหมือนกันป่ะ  :fire:
ดีแล้วที่ศรไม่ยอม โอมยังรักศรมากกว่าเธอที่เป็นแม่อีก แงๆ พูดละขึ้น
ขอให้ต่อจากนี้มีแต่เรื่องดีๆ เข้าใจกันมากๆนะ เหน่ยแทนแร้ว
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-11-2018 20:56:57
ชอบพ่อน้องมากเลย เหมือนพ่อลูกกันมากจริงๆค่ะ โอมมาช่วยผสานรวยร้าวคงดีกว่านี้ ขอให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างใจเย็นๆ มีสติ รักกันนานๆค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2018 02:23:54
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-11-2018 17:29:32
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 19 P.7 [04/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 12-11-2018 22:14:50
 :mew2: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 20 P.7 [13/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 13-11-2018 21:18:22
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 20
---OMIN---





‘ถึงบ้านพักแล้วนะ’
*แนบรูป*



ศรส่งข้อความพร้อมรูปมารายงานโดยที่ผมไม่ต้องกำชับก่อนไปหรือลุกไล่ตามตอแยให้เสียสุขภาพจิตกันทั้งสองฝ่ายเลยสักนิด ความใส่ใจเล็ก ๆ ที่ศรเพิ่งจะมีทำให้ผมยิ้มออกมา เพราะถือเป็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์


บททดสอบแรกของการเริ่มต้นใหม่ของพวกเราคือการที่ผมต้องยอมปล่อยให้ศรไปค้างคืนตามลำพังกับกลุ่มเพื่อนที่ต่างจังหวัด


‘ไปเถอะ’


เหมือนจะพูดง่าย แต่จริง ๆ แล้วโคตรยากเลย


อยู่ ๆ จะให้คนขี้หึงอย่างผมยอมปล่อยแฟนไปเที่ยวไกลหูไกลตาโดยที่ไม่สามารถตามไปดูแลได้มันยากจะทำใจอยู่นะครับ แต่พอคิดว่านี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะปรับตัวเข้าหากันผมก็จำต้องยอมรับสถานการณ์ เมื่อเราตกลงจะเริ่มต้นชีวิตรักกันใหม่ สิ่งแรกที่ควรมีคือการเชื่อใจและให้เกียรติกันไม่ใช่หรือครับ


ผมอาศัยช่วงพักกลางวันปลีกตัวหาที่เงียบ ๆ โทรไปถามไถ่ แทนที่อีกฝ่ายจะแค่รับสายธรรมดากลับเปิดเป็นวิดีโอคอลให้ผมได้เห็นหน้าเพื่อนมันทุกคนด้วย


เชี่ย! เขินว่ะ


[หยุดแซวไอ้สัด] เสียงธรรมศรแหวใส่เพื่อนที่ร้องเสียงโห่ปนแซวว่ามันเป็นคนอวดแฟน ไอ้ตัวดีหน้าแดงก่ำที่ไม่รู้ว่าเขินหรือร้อนมากกว่ากันแน่ แสงจากฝั่งโน่นสว่างจ้ารับกับฉากหลังสีเขียวที่ธรรมชาติแบบสุด ๆ ก่อนที่หน้าจอจะเหลือแค่ใบหน้ารูปงามของคนที่ผมคิดถึงเพียงคนเดียว


[มึงกินข้าวรึยังเนี่ย]


ผมยิ้มมุมปาก “กินแล้ว” มองใบหน้าศรตอนนี้เห็นแต่ความสดใสในแววตาคู่นั้น ว่ากันตามตรงแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำที่ผมเพิ่งมีโอกาสเห็นอีกฝ่ายอยู่กับเพื่อนในลักษณะของการสังสรรค์เฮฮาที่ไม่ใช่ตามร้านเหล้า “อยู่ไหนกัน”


[ส่งรูปไปให้ดูแล้วนะ]


“โทษที ทำงานอยู่เลยยังไม่ได้เปิดดู ว่างก็โทรเลยเนี่ย”


[อากาศโคตรดี อยากให้มึงมาด้วยกันเลยว่ะ]


อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมากว้าง ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังนึกถึงกันแม้จะมีความสุขมาก ๆ อยู่กับเพื่อน “ตกลงว่าตอนนี้อยู่ไหน”


[มาเขาใหญ่ก็ต้องมาเล่นอะไรที่มันโลดโผนสิวะ]


“ระวังตัวด้วย”


[อย่าห่วงหน่า ไปแล้วนะ พวกแม่งตามแล้ว] ศรรีบลา ผมได้ยินเสียงไอ้หนึ่งตะโกนดังแว่วเข้ามาอยู่สองสามที [อ้อ...ไว้กลับไปจะแนะนำมึงให้รู้จักเพื่อนกูทุกคนเลย]


“อือ ๆ ดูแลตัวเองด้วยนะ”


[แน่นอนอยู่แล้วหน่า กูยังอยากมีชีวิตกลับไปหามึงนะ ไปแล้ว ๆ]


ผมหลุดขำ ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคบอกลารีบ ๆ แล้วสนใจแค่เหตุผลของการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของศร แค่ได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากกลับมาหากัน ใจผมก็เต้นแรง รู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างกับสมัยเพิ่งรักกันใหม่ ๆ อย่างไรอย่างนั้น



ทั้งที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานแต่ผมกลับไม่มีเวลาให้พี่ ๆ ที่ทำงานได้เลี้ยงส่งเลย เพราะผมต้องรีบกลับไปซ้อมละครเวทีในทุกวัน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ผมกำลังเดินทางไปมหาวิทยาลัยเพื่อซ้อมละครเวทีก็ได้รับสายจากศรอีกครั้ง นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลกใจไปสักหน่อย ปกติช่วงที่ห่างกันผมไม่เคยได้รับการติดต่อจากศรบ่อยขนาดนี้ อย่างมากก็แค่ส่งข้อความหากันวันละช่วงสั้น ๆ ก็เท่านั้น และก็เป็นผมเองด้วยที่ทักไปหาก่อนแม้ว่าจะต้องการได้ยินเสียงมากกว่าก็ตาม


แต่ตอนนี้...ผมคิดเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าว่าศรกำลังติดผม


ผมเผลอยิ้มออกมาจนไอ้เต๋าที่ขอติดรถมาด้วยแซวเข้าให้ “มัวแต่ยิ้มไอ้สัด รับสายซักทีสิวะ”


ผมกดเปิดลำโพงด้วยความเคยชิน เพราะปกติขับรถคนเดียวไม่ชอบใช้อุปกรณ์ช่วยใด ๆ ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ครั้งนี้มีเพื่อนนั่งมาด้วย แต่ครั้นจะให้ถือแนบหูไว้ตลอดเวลาก็ลำบากต่อการขับรถอีกเช่นกัน


[รับช้า] ปลายสายว่าเสียงขุ่นก่อนที่ผมจะส่งเสียงทักทายไปเสียอีก [หรือว่าขับรถอยู่เหรอ โทษ ๆ ขับไปเถอะ เดี๋ยวค่อยโทรไปใหม่] น้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นโหมดห่วงใยอย่างรวดเร็วทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู แอบเห็นว่าไอ้เต๋าเองก็เบือนหน้าไปยิ้มให้วิวข้างทางเช่นกัน


“ไม่เอา ๆ” ผมรีบรั้งไว้ก่อนอีกฝ่ายชิงตัดสายไปอย่างที่พูด “คุยได้”


“คุยอะไร ขับรถไม่โทรครับ ขับไป”


“คุยแปป ๆ ไง” ผมเผลอส่งเสียงอ้อนออกมาจนไอ้เต๋าหลุดขำพรืด คนปลายสายถึงได้รู้ว่าไม่ได้คุยกันตามลำพังก็ตอนนี้เอง


[อยู่กับใคร] นั่นไง เสียงแข็งมาเลยเมียกู


“หวัดดีศร” ไอ้เต๋าส่งเสียงทักทายอย่างรู้งาน


[มึงเหรอเต๋า]


“เออ กูเอง วันนี้ขอติดรถมันไปมอด้วย ไม่ต้องทำเสียงแข็งหึงมันขนาดนั้นหรอก” ไอ้เต๋าเย้าหยอก


[ใครหึง อย่าปั่นมั่ว ๆ ไอ้เต๋า] มาครับ ปากแข็งอีกแล้วเมียกู


“เออ ไม่หึงก็ไม่หึง แฟนมึงไม่มีใครอื่นหรอก ไม่ต้องกลัว แค่นี้มันก็หลงมึงจนไปไหนไม่รอดแล้ว อย่างตอนนี้ก็นั่งยิ้มเหมือนคนบ้าแล้วเนี่ย”


“สัด!” ผมแทรกเมื่อถูกเพื่อนเผา ได้ยินปลายสายพึมพำบางอย่างไม่ชัดนัก แต่เดาว่าคงเขินอยู่ไม่น้อย “แล้วทำไมโทรมาตอนนี้ เล่นกันเสร็จแล้วเหรอ”


[อือ เพิ่งเล่นเสร็จ โคตรมัน ครั้งหน้ามาด้วยกันนะ ชวนพวกมึงด้วยนะเต๋า] ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ที่ผ่านมาเหมือนเราคบกันแค่สองคน ผมรู้จักเพื่อนมัน มันรู้จักเพื่อนผมก็จริง แต่เราไม่เคยไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอะไรร่วมกับเพื่อนของอีกฝ่ายเลยนอกจากเมาด้วยกันซึ่งก็แทบจะต่างคนต่างดื่มด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเราจะเข้าใกล้ความเป็นคน ๆ เดียวกันมากขึ้นเพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนรอบข้างกันและกันแล้ว


“ได้ดิ ไม่พลาดแน่นอน” ไอ้เต๋ารับปาก มันหันมองล้อผมอย่างโจ่งแจ้ง โคตรเขินเลย


[เดี๋ยวจะไปซื้อของสดมาทำกินกันคืนนี้ กูวางสายก่อนแล้วกันมึงจะได้ขับรถ]


“มึงเลือกของสดเป็นด้วยเหรอ”


ศรหัวเราะมาตามสาย [ให้สาว ๆ แถวนี้ช่วยสิวะ]


“น้อย ๆ หน่อยมึงน่ะ” พูดไปอย่างนั้นแหละ สาบานได้ว่าไม่ได้หึงสักนิดเพราะรู้ว่าศรแค่พูดเล่น


ศรหัวเราะดังขึ้น มันดูอารมณ์ดีจนผมพลอยอารมณ์ดีไปด้วย [ไว้กลับไปจะให้มึงสอน]


“รีบกลับมานะ” ผมคิดไว้แล้วว่าถ้าศรอยากเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ผมจะให้ใครสอน


[ขี้อ้อนว่ะ...พูดมาแบบนี้กูก็ชักอยากจะกลับแล้ว]


ผมหลุดหัวเราะดังลั่น ไม่อยากกระมิดกระเมี้ยนคีพลุคอะไรต่อหน้าไอ้เต๋าอีกแล้ว ตั้งแต่คบกันมาเพิ่งเคยได้ยินศรพูดจาทำนองนี้ใส่ ทำเหมือนคิดถึงกันมาก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงโวยของเพื่อนมันดังมาตามสายว่าถ้าชิงหนีกลับมาก่อนเป็นเรื่องแน่


“พรุ่งนี้ก็ได้กลับหน่า แล้วคืนนี้จะเมารึเปล่า” ปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง ถ้าบอกว่าไม่มีเหล้าเบียร์ก็คงไม่ใช่ ไม่ได้อยากจะห้ามแต่จะไม่ให้หวงคงไม่ได้เหมือนกัน


[กูไม่แดกจนเมาหรอก อย่าห่วง แค่นี้นะ ขับรถดี ๆ ถึงแล้วบอกด้วย บาย] ศรตัดจบรวดเดียวด้วยความเร่งรีบ คงเพราะว่าเพื่อนเริ่มส่งเสียงแซวกันหนักขึ้น


“งานอ้อนเมียก็มาว่ะ” เต๋าแซวทันทีที่สัญญาณหายไป “โทษ ๆ แฟน”


ผมยิ้มบางให้รู้ว่าไม่นึกโกรธที่เพื่อนพูดถึงศรในฐานะ ‘เมีย’ อย่างที่เคยห้ามไว้เมื่อก่อน ส่วนหนึ่งเพราะรู้ดีว่าเต๋าไม่ได้จงใจล้อสถานะนั้นให้ศรไม่สบายใจแต่แค่หยอกผมไปตามอารมณ์เท่านั้น


“ช่วงแรก ๆ ที่มึงหลงมัน วิ่งเต้นไปหามัน หายใจเข้าออกเป็นมัน กูว่ามึงอาการหนักแล้วนะ มึงเหมือนคนแปลกหน้าที่กูไม่เคยรู้จัก เพิ่งรู้ว่ามึงยังเป็นหนักได้มากกว่าเดิมก็ตอนที่ไอ้ศรเป็นฝ่ายติดมึงบ้างเนี่ยแหละ” เต๋าพูดด้วยสีหน้าอึ้ง ๆ ยังทิ้งท้ายด้วยอีกว่า “...เหมือนคนบ้า”


ผมไม่ออกความเห็นเรื่องนี้ ปล่อยให้เพื่อนเดาอารมณ์จากสีหน้าเอาเอง


“เคลียร์หมดแล้วดิ” ไอ้เต๋าถาม ที่ผ่านมามันเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของผมกับศรมากที่สุด แทบจะรู้ทุกอย่างเท่า ๆ กับผมเลยด้วยซ้ำ มันเป็นที่ระบายและที่ปรึกษาได้เสมอ แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงสองถึงสามสัปดาห์นี้ผมยังไม่ได้เล่า และคิดว่าคงรวบลัดจบในแค่วลีเดียวก็พอ


“อืม หมดแล้วทุกประเด็น” ...ผมคิดว่านะ




ในตอนที่ผมกับเต๋ามาถึงหอประชุมใหญ่ที่จะใช้เป็นสถานที่จริงในการแสดง เพื่อนคนอื่น ๆ ก็กำลังแต่งตัวเตรียมเข้าฉากกันอยู่ ผมใช้เวลาช่วงที่เดินเข้าห้องแต่งตัวส่งข้อความไปบอกศรสั้น ๆ ตามที่อีกฝ่ายสั่งไว้ ไม่ทันได้กดออกจากหน้าแชทข้อความของผมก็ถูกอ่านจากคนปลายทางรวดเร็วราวกับเปิดรออยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีสติกเกอร์คาแรคเตอร์ที่โคตรกวนแต่มีข้อความบนหัวว่ารับทราบก็ถูกส่งกลับมา


“หมั่นไส้ ชิส์!!” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นในระยะใกล้ ผมหันไปยิ้มยียวนใส่เจ้าของคำพูดที่ยิ่งเบะปากแดงแปร๊ดนั่นหนักขึ้นไปอีก “หน้าชื่นตาบานกว่าเมื่อก่อนอีกนะยะ”


“ธรรมดาของคนอินเลิฟ”


“เกลียดดดดดด” ผมหลุดหัวเราะให้กับยัยจี๊ดจนสุดท้ายก็โดนไล่ให้ไปแต่งตัวเพื่อซ้อมได้แล้ว




เกือบสามชั่วโมงกับการซ้อมเสมือนจริง ฉากจริง เพลงจริง แต่แก้นั่นแก้นี่ไปเรื่อย จากละครความยาวชั่วโมงครึ่งก็ลากยาวจนเกือบสามทุ่ม ใจผมร้อนเสียยิ่งกว่าชุดหนา ๆ ที่สวมใส่เต็มองค์ ป่านนี้ไม่รู้ว่าศรเป็นอย่างไรบ้าง ช่วงเวลาแบบนี้น่าจะกำลังเล่นเกมหรือไพ่กันอยู่แน่ ๆ เดาจากรูปอาหารที่ส่งมายั่วน้ำลายกันตั้งแต่ทุ่มครึ่ง


“พี่โอมคะ มีคนมาหาค่ะ” รุ่นน้องในคณะคนหนึ่งโผล่แค่หน้าผ่านม่านเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อแจ้งข่าว เมื่อถามกลับไปว่าใครก็ได้รับคำตอบกลับมาแค่ลักษณะภายนอกของ ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ เท่านั้น


ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเจอเขา ผู้ชายท่าทางภูมิฐานดูมีอายุ สวมสูทสุดเนี๊ยบ ทั้งหล่อทั้งเท่ คือคำอธิบายที่รุ่นน้องสาวพูดถึงผู้ชายคนที่นั่งรออยู่บริเวณของผู้ชม


ผมก้าวเดินไปตามขั้นบันไดเพื่อไปหาท่าน พ่อของธรรมศรรออยู่ตรงนั้น ใบหน้าใจดีที่มองกี่ครั้งก็เหมือนเห็นคนรักของตัวเองในวัยที่เริ่มมีอายุกำลังหันมาทางผม รอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงนั่นราวกับเป็นฉบับต้นแบบที่ผมชื่นชอบหนักหนา แต่ผมว่าศรได้แม่มาไม่น้อย เพราะใบหน้าหล่อไร้ที่ติของมันดูหวานและสวยในบางมุมอยู่เหมือนกัน


“สวัสดีครับ” ผมไม่รู้ว่าท่านมาหาผมทำไม แต่เชื่อว่าคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของลูกชายตลอดอย่างท่านจงใจมาในวันที่ศรไม่อยู่อย่างแน่นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทำใจดีสู้เสือ ในเมื่อใบหน้านั้นยังซ่อนความต้องการไว้ใต้ใบหน้าใจดี ผมก็ต้องไม่หวั่นกลัวเช่นกัน


“นั่งสิ ใกล้ ๆ กันเนี่ยแหละ ไม่อยากพูดเสียงดังนัก” ท่านรีบบอกเมื่อผมเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่ถัดจากเขาสองตัว


“ขอบคุณที่ดูแลลูกชายฉันเป็นอย่างดีมาตลอด”


“ด้วยความยินดีครับ” ผมก้มหัวให้เขาเล็กน้อยก่อนหันมองไปที่เวทีเหมือนกับเขาราวกับมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงนั้นทั้งที่ตอนนี้มันว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ถึงมันจะไม่เคยมองฉันในแง่ดี แต่ฉันก็รักมันมากนะ”


“ผมทราบครับ ศรเองก็รักท่าน”


เสียงทุ้มต่ำดังในลำคอคล้ายหัวเราะเยาะตัวเอง “มันบอกเธอเหรอ”


“ศรแคร์ท่าน” ผมสัมผัสได้


“อืม...แล้วรู้ใช่ไหมว่าถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยได้ดูแลศรแต่ฉันก็สร้างทุกอย่างไว้ให้มัน”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เริ่มเห็นเค้าลางสาเหตุที่ทำให้เขามาหาผมถึงที่นี่แล้ว “ครับ”


“ที่มาคุยด้วย ไม่ใช่จะบอกว่าคนอย่างเธอไม่คู่ควรกับลูกชายที่เพรียบพร้อมของฉันหรอกนะ…”


“...”


“...แต่มาคุยในประเด็นที่ฉันต้องการทายาทมาสืบทอดสิ่งที่ฉันสร้างขึ้น”


“...”


“ถ้าตอนนี้เป็นวัยคึกคะนอง หวั่นไหวชั่ววูบตามวัยอยากรู้อยากลองฉันก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคิดจะยืนยาวไปในอนาคต เธอคงรู้ตัวนะว่ามีทายาทให้ฉันไม่ได้”


ผมหาเสียงตัวเองไม่เจอเลยจริง ๆ ไม่รู้ด้วยว่านอกจากคำว่าครับแบบโง่ ๆ แล้วตัวเองจะสามารถพูดอะไรได้บ้าง


“เธอคงไม่บอกให้ฉันยกสิ่งที่สู้ลงทุนลงแรงสร้างมามากมายทั้งชีวิตให้การกุศลหรอกใช่ไหม” เขาเน้นคำแสดงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเองจนผมจนคำพูด


‘เธออยากให้กูเสียสละมึงให้รดา’



เรื่องเล่าจากปากศรในคืนนั้นดังเข้ามาในความคิด วันนั้นศรสู้เพื่อให้เราไม่ต้องแยกจากกัน ทำไมวันนี้ผมจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้ล่ะ


ถึงจะไม่รู้ว่ามีดีอะไรไปสู้ก็เถอะนะ


“ผมเข้าใจครับ” ผมกล่าวอย่างนอบน้อม และถ้าไม่สังเกตก็แทบจะไม่เห็นว่าคิ้วหนาของเขากระตุก “เรื่องสืบทอด ผมจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของศร แต่ถ้าท่านอยากได้ ‘ลูกชาย’ คืน ผมช่วยได้นะครับ”


ลูกชาย คนที่ห่างอกพ่อมามากกว่ายี่สิบปี


ไม่ทันได้คำตอบว่าผมจะได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่นั้นหรือไม่ คนที่กำลังถูกพูดถึงก็มีตัวตนขึ้นมาทันทีในรูปแบบของข้อความที่ทำเอาสมาร์ทโฟนในมือสั่นแรงต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง


‘ยังไม่เปิดอ่านอีก’

‘ซ้อมเสร็จยัง’

‘โทรหาได้รึยังวะ’



ข้อความพวกนั้นปรากฏแก่สายตาในตอนที่ผมเสียมารยาทหงายหน้าจอขึ้นมอง และเชื่อว่าคนข้าง ๆ เองก็น่าจะเห็นพร้อมกัน


ไม่ทันไรคนที่เพิ่งถามว่าโทรหาได้หรือยังก็โทรเข้ามาพอดี ผมเหลือบมองพ่อของเจ้าตัวเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายพยักพเยิดหน้าเป็นเชิงอนุญาตแกมบังคับให้รับสายแล้วคุยตรงนี้ ผมก็ทำตามทันที


[รับช้ามาก ซ้อมเสร็จยังวะ ไม่หิวเหรอ กินไรยัง เหนื่อยแย่เลยดิ รีบหาข้าวกินด้วย…] เป็นอีกครั้งที่ศรรัวมาเป็นชุดก่อนที่ผมจะส่งเสียงทักทายไปเสียอีก ถ้าเป็นคนอื่นรับสายแทนผมล่ะแย่เลย


“ใจเย็นดิศร” ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา อยากจะแซวว่าอีกฝ่ายชักจะติดผมมากเกินไปแล้สแต่ก็ต้องรีบเก็บอาการเมื่อเห็นสายตาเรียบนิ่งของคนข้าง ๆ มองมา “กูเพิ่งเลิก กำลังจะกลับแล้ว”


[หาข้าวกินด้วย มึงอย่าลืมขั้นตอนนี้]


“ยุ่งกับปากท้องกูจังเลยมึงเนี่ย” ถ้อยความเหมือนจะด่าว่าเสือกแต่ถ้ามีใครได้ยินน้ำเสียงหรือเห็นสีหน้าผมคงรู้ว่ามันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง นิ้วกูแทบจะแกะขนเบาะเก้าอี้เล่นด้วยความฟูในใจแล้ว


[กะ ก็...ก็…] เสียงปลายสายตะกุกตะกักเหมือนยังหาคำแก้ตัวไม่ได้ เมียผมนี่พิลึกคน เดี๋ยวพูดตรงเดี๋ยวปากแข็ง [ก็พักนี้มึงผอมเกินไปแล้ว เป็นพระเอกละครเวทีที่หุ่นไม่ดีเลย เขายังไม่พิจารณาถอดมึงออกจากบทอีกเหรอ]


ผมหลุดหัวเราะให้กับข้ออ้างที่ศรยกมา ในตอนนั้นเองที่เพิ่งนึกได้ว่าเผลอลืมไปแล้วว่านั่งอยู่กับใคร


ผมกระแอมไอเล็กน้อย ดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มแก้เก้อและเก็บความรู้สึกอยากยิ้มจนแทบบ้าไปในคราวเดียวกัน “โทรไปถามพ่อมึงด้วยดิว่ากินข้าวรึยัง”


[อะไรของมึง]


“เริ่มต้นกันใหม่ไง...เริ่มจากตอนนี้เลย” ผมรู้ว่าศรเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อพ่อไปมากแล้ว ดูจากครั้งล่าสุดที่ยอมนอนค้างที่บ้านทั้งที่ครั้งแรกที่ผมเห็น อีกฝ่ายแทบไม่อยากเจอหน้าพ่อด้วยซ้ำ


“ถ้าไม่กล้าโทรก็ส่งข้อความไปดิ” ผมเหล่มองคนข้าง ๆ สีหน้าเขาเรียบตึงอยากจะคาดเดา “ใช้ข้ออ้างเดียวกันนี่ไง” ได้ยินเสียงสบถหลังจากรู้ว่าผมรู้ทันดังแว่วมาให้ยิ่งอารมณ์ดี


[อือ บิ้วกูเก่งนะมึงน่ะ]


ผมยิ้ม โล่งใจที่อีกฝ่ายรับพิจารณาคำแนะนำของผม “อย่าลืมว่ากูเป็นแค่อีกคนนึงที่มึงรัก...ยังมีคนอื่น ๆ ที่มึงรักและเขาก็รักมึงนะ”


[หมายถึงกิ๊กคนก่อน ๆ ของกูน่ะเหรอ]


“ไอ้ศร!”


คราวนี้คนปลายสายหัวเราะลั่นจนมีเสียงเพื่อนฝูงดังแทรกขึ้นมาว่าเจ้าตัวถูกใจอะไรนักหนาถึงได้หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้ [รู้แหละหน่า แต่ขอคิดดูก่อนแล้วกัน]


“ครับ” ผมเหลือบมองคนข้าง ๆ อีกครั้งก่อนพูดประโยคปิดท้ายด้วยเสียงที่เบาที่สุด “รักมึงนะ”


ไม่ได้อยากแสดงความรักอะไรตอนนี้หรอกครับ แต่แค่อยากให้ศรรู้ว่าผมอยู่ข้างมันเสมอและพร้อมจะเป็นแบ็คอัพให้มันผ่านความรู้สึกหวั่นกลัวต่าง ๆ ในใจไปให้ได้


ผมหันมองเขาเต็มตาหลังจากวางสายแล้ว คนสูงวัยกว่ากระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาไม่วาวโรจน์อย่างที่นึกกลัวไปเองแต่ก็ยากจะคาดเดาความรู้สึกจริง ๆ ในนั้น


“ดีจริง ๆ ที่ลูกชายฉันมาเจอเธอ”






ผมไม่รู้ว่าศรได้ทำอย่างที่ผมแนะนำหรือไม่ เพราะเมื่อกลับถึงห้องพร้อมอาหารกล่องง่าย ๆ ก็ดันมีสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นคือเพื่อนในกลุ่มมันกำลังไลฟ์สด


ไอ้ฟากำลังพูดเป็นต่อยหอย ดีหน่อยที่มันไม่พูดขึ้นกลางวงว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่กำลังดูอยู่ ข้างหลังมันมีเพื่อนกลุ่มใหญ่นั่งล้อมกันเป็นวงกลม ผมไม่แน่ใจเรื่องจำนวนคนเพราะมุมกล้องกวาดไม่ทั่วทั้งวง เห็นแค่ว่ามีคนที่ผมไม่รู้จักปนอยู่ด้วยมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นแล้วว่าศรอยู่ตรงไหนของวง


“ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มเล่นเกมโดเรมอนกันนะครับ…”


ผมเปิดกล่องอาหารออก ตัดสินใจไม่เทใส่จานแล้วลงมือกินไปด้วยฟังไอ้ฟาเล่ากติกาของเกมไปด้วย


ปกติกลุ่มเพื่อนผมไม่มีกิจกรรมเล่นกันในวงเหล้า เกมชื่อน่ารักแต่กติกาจำยากฉิบหายอย่างที่พวกนั้นกำลังเล่นกันจึงทำให้ผมค่อนข้างงง คุ้น ๆ ว่าศรเคยเล่าให้ฟังว่าพวกนั้นชอบเล่นเกมที่ต้องใช้สมองและสติเวลาดื่ม ถือเป็นความสนุกอย่างที่สุดเพราะบ่อยครั้งที่พลาดกันแบบไม่น่าให้อภัย ผมกำลังจัดการอาหารตรงหน้าด้วยความหิวโหยจึงทันฟังแค่ว่าให้แจกไพ่แบบหงายแต้มไปเรื่อย ๆ โดยไพ่แต่ละใบจะมีคำอธิบายที่รู้กันว่าเจ้าตัวต้องทำอะไรบ้าง แต่หลังจากนั้นผมฟังไม่ทันอีกเลย


ในระหว่างนั้นผมทันเห็นไลน์จากศรเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นรูปวงเกมและอีกสองคำถามเกี่ยวกับปากท้องของผมตามมาต่อจากนั้น นี่มันตามติดผมแทบทุกย่างก้าวเลยจริง ๆ เป็นความแปลกใหม่ที่โคตรน่ารัก ผมกดออกจากไลฟ์เข้าหน้าแชทเพื่อพิมพ์ตอบกับศรในทันที


OMIN : กำลังกิน
OMIN : อยู่ที่ห้องเนี่ยแหละ
DharmaSORN : ดีมาก เหนื่อยก็รีบนอนพัก
OMIN : รู้ตัวไหมว่าวันนี้ทำตัวแปลกมาก
DharmaSORN : ยังไง
OMIN : วันนี้มึงทักกูมากี่รอบละ โทรหาถี่ขนาดไหนได้นับไหม

ศรเว้นช่วงไปจนผมคิดว่าฝั่งโน้นคงเริ่มเล่นเกมกันแล้ว

DharmaSORN : รำคาญเหรอวะ
OMIN : มึงก็รู้ว่ากูชอบ แต่มึงไม่เคยเป็นแบบนี้ไง กูเลยแปลกใจ

ศรเว้นจังหวะไปอีกทั้งที่อ่านข้อความแล้ว

DharmaSORN : จริง ๆ อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว แต่กลัวมึงไม่ชอบ
OMIN : ก็เลยทำตัวให้กูเป็นฝ่ายวิ่งตามสินะ
DharmaSORN : เออดิ
OMIN : แล้วทำไมตอนนี้ยอมตามกู
DharmaSORN : อาภพเคยบอกว่าให้ลองทำตัวดีๆ น่ารักๆ มึงจะได้ไม่ทิ้งไปไหน

โอ๊ยยยย โว๊ยยยย!!

OMIN : ใครจะกล้าทิ้งวะ
OMIN : แค่นี้ก็หลงมึงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว
DharmaSORN : พูดมาก กูไปเล่นเกมแล้ว
DharmaSORN : ฝันดี
DharmaSORN : บาย



กลับมาจะฟัดให้ช้ำเลย!


ผมหมายมั่นในใจก่อนกดเข้าไปดูไลฟ์อีกครั้ง ทันได้เห็นตอนเริ่มเกมพอดี เดาว่าก่อนหน้านี้พวกมันคงเวิ่นอะไรกันอยู่แน่ ๆ “เริ่มจากไอ้ทัชแล้ววนขวานะครับ แจกซักทีโว้ยไอ้ดล” เสียงไอ้ฟาดังอย่างต่อเนื่อง ผมเหลือบมองเป็นระยะ ทันเห็นคนแรกที่ได้ไพ่ เจ้าของชื่อ ‘ทัช’ คือคนที่นั่งซ้ายมือของศร นั่นเท่ากับว่าคนต่อไปที่จะได้ไพ่คือแฟนผม ส่วนคนที่ทำหน้าที่แจกไพ่ชื่อดลนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมัน


“สองงงง ดื่มมมมม” คนที่ชื่อทัชได้ไพ่แต้มสอง ตามกติกาคงต้องดื่มเพราะมีคนที่ทำหน้าที่เทวอดก้าเพียวยื่นไปให้หนึ่งแก้วเป๊ก เห็นอย่างนั้นผมก็ร้อนใจ อยากจะโทรไปหาคนรักเสียเดี๋ยวนั้นแต่ก็ยั้งใจและมือไว้ได้ทันเมื่อคิดได้ว่าผมควรเชื่อคำมั่นที่อีกฝ่ายให้ไว้ว่าจะไม่เมาเกินไปจนทำให้เป็นห่วง แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์อาจจะพาไปจนอีกฝ่ายไม่อาจรักษาคำพูดตัวเองไว้ได้


“เก้าโว้ยเก้า คนซ้ายมือดื่มเลยครับเพื่อน” คนที่ชื่อทัชหัวเสียชี้นิ้วไปหาไอ้ศรอย่างหมายมั่นราวกับฝากรอยแค้นเอาไว้ก่อน เพราะเมื่อศรได้ไพ่แต้มเก้า นั่นเท่ากับว่าคนซ้ายมืออย่างทัชต้องเป็นคนดื่มแทน ผมเพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าเกมนี้ห้ามใช้ชี้นิ้วใส่กัน ให้ใช้ได้แค่กำปั้นเหมือนมือของโดเรมอนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นต้องโดนลงโทษด้วยการดื่มด้วย กลายเป็นว่าครั้งนี้ทัชต้องดื่มมากถึงสองแก้ว


ผมปล่อยให้ไลฟ์ดำเนินไปตามการควบคุมของฟา ละสายตาจากจอแล้วฟังแค่เสียงบ้างในตอนที่จัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ยังถือสมาร์ทโฟนติดมือไว้ตลอด


“แต้มเจ็ดไอ้สัด!” ดูเหมือนไพ่ใบนี้จะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าของไลฟ์รวมถึงคนอื่น ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา “เริ่มนับเดี๋ยวนี้เลยมึง”


ผมหันมองจออย่างสนใจทั้งที่กำลังชะล้างตัวอยู่ใต้ฝักบัว คนที่มีไพ่แต้มเจ็ดอยู่ตรงหน้าเริ่มพูดเลขหนึ่งขึ้นมาแล้วคนถัดไปด้านขวามือก็เริ่มนับเลขต่อกัน “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หก...แปด” เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อไม่มีเลขเจ็ดออกจากปากใคร หลังจากนั้นคนที่เหลือก็เริ่มนับเลขกันต่อ “เก้า...สิบ...สิบเอ็ด...สิบสอง...สิบสาม...สิบห้า” เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้งราวกับร่วมยินดีที่มีผู้รอดชีวิตจากเหล้าแก้วนั้นที่ถูกนำมาวางรอไว้กลางวงแล้วเพิ่มอีกคน


เสียงนับเลขยังดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีคนเผลอพูดเลข ‘สิบเจ็ด’ ขึ้นมา ที่ผมบอกว่าเผลอเพราะเมื่อเจ้าตัวพูดออกมาแล้วรีบยกมือปิดปากแทบไม่ทันคงเพราะรู้ตัวว่าได้พูดคำต้องห้ามออกไปแล้ว กอปรกับเพื่อนฝูงโห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน


ผมละสายตาจากจอมาสนใจการอาบน้ำของตัวเองต่อเมื่อเกมดำเนินต่อไป เท่าที่ดูมาสิบห้านาที ศรดื่มไปแล้วสี่แก้วจากทั้งแต้มไพ่ของตัวเอง (ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแต้มที่ต้องดื่มเองคือสอง สาม และสี่) และดื่มจากการตกกระไดพลอยโจรเพราะถูกคนได้ไพ่แต้มห้าเลือกเป็นบัดดี้ที่เมื่อเจ้าตัวโดนอะไร คนของผมก็ต้องโดนไปด้วย


ผมปิดไฟจนหมดแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงเหมือนจะเข้านอนแล้วแต่กลับดูไลฟ์ของฟาไม่วางตาราวกับกำลังดูเกมโชว์ที่เรตติ้งดีที่สุดในประเทศไทย


“ไพ่คิงเว้ย!!” คนที่ได้ไพ่ตะโกนอย่างดีใจ “เชี่ยดลแม่งโชคดีสัด” ผมไม่รู้ว่าไพ่คิงในมือคนชื่อดลมีอำนาจมากขนาดไหน แต่เดาจากสีหน้าเพื่อนร่วมวงแล้วคิดว่าคงทำให้หลายคนร้อน ๆ หนาว ๆ ได้


“ใครที่ดูอยู่แล้วลืมว่าไพ่คิงทำอะไรได้ ผมจะทวนให้นะคร้าบบ” เสียงฟาเริ่มยาน เดาว่ามันไม่ได้เมาหรอก คงแค่กำลังสนุกมากกว่า “คนได้ไพ่คิงมีสิทธิ์จะให้ใครทำอะไรก็ได้นะครับ มาดูกันว่าผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใคร”


“ไอ้ศร...” นัยน์ตาของดลจ้องมองคนของผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมต้องกลั้นหายใจเพราะไม่อาจรู้สึกไว้ใจนัยน์ตาคู่นั้นได้เลย


“กูขอสั่งให้มึง...”


ผมไม่กล้าหายใจเลยจริง ๆ


“...จูบกู...”


ภาพบนหน้าจอกลายเป็นสีขาวของพื้น คงเป็นเพราะเจ้าตัวตกใจ เช่นเเดียวกับผมที่ตอนนี้ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความร้อนใจ ตอนนี้ผมไม่เห็นว่าศรกำลังทำหน้าอย่างไรที่ได้ยินคำสั่งแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าเพราะความคึกคะนองจากปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดหรืออย่างไรถึงทำให้กล้าออกคำสั่งบ้า ๆ นั่น และไม่รู้ด้วยว่าศรจะเมาจนบ้าจี้ตามเกมอีกฝ่ายด้วยหรือไม่


...เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น...


ไม่ทันได้รู้ว่าเกมดำเนินต่อไปอย่างไรการไลฟ์ของฟาก็จบลงพร้อมทิ้งความคลุมเครือเอาไว้ในใจของทุกคน ผมหงุดหงิดจนแทบคลั่ง รีบต่อสายถึงคนที่เพิ่งปิดไลฟ์หนีไป รออยู่นานจนเกือบจะทนไม่ไหวลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะไปหาศรที่เขาใหญ่เสียเดี๋ยวนี้เลย โชคดีจริง ๆ ที่ฟายอมรับสายของผมในครั้งที่สาม


“วิดีโอคอลกับกู!!”







พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 21
----------------------------------------------------------------
หวานเรี่ยราดจริงๆเลยคู่นี้
ไม่รู้ว่าจะมีคนจำเพื่อนๆภาคไฟฟ้าของศรได้รึเปล่า ฮ่่าๆๆ นานๆโผล่ที

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 20 P.7 [13/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-11-2018 21:51:29
โอมใจเย็นนะะะะะะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 20 P.7 [13/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-11-2018 21:59:29
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 20 P.7 [13/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2018 23:46:48
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 20 P.7 [13/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheBig ที่ 16-11-2018 16:01:56
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ สนุกมากๆเลยค่ะ มาต่อไวๆนะคะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 20 P.7 [13/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 16-11-2018 18:20:08
โอมใจเย็นๆ5555555555 ศรไม่จูบหรอกน่า
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 24-11-2018 15:57:32
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 21
---DharmaSORN---






“ไอ้ศร...”


ผมหลับตาชั่วครู่เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เกมไพ่โดเรมอนที่พวกผมชอบเล่นกันตอนเมาและยิ่งขาดสติก็ยิ่งสนุกนั้นแม้จะมีกติกาที่ยุ่งยากแต่เพราะเล่นกันบ่อยครั้งจึงทำให้จำได้แม่นยำ คนที่ได้ไพ่เอซจะได้รับอำนาจสั่งให้ใครดื่มก็ได้ ขณะที่แต้มสองสามสี่ต้องดื่มเองหนึ่งแก้ว แต้มห้าต้องหาบัดดี้ร่วมชะตากรรมไปจนกว่าจะหาคนที่ได้ไพ่แต้มห้าใบใหม่ ซึ่งพวกผมมักใช้แต้มนี้ในการพลีชีพเพื่อรุมแกล้งมอมใครสักคนในวง ซึ่งคืนนี้ก็คือไอ้กอล์ฟที่ดูจะเมาหนักที่สุดในชีวิตของมันแล้ว แต้มหกเล่นเกมหมวดคำ คนที่คิดคำในหมวดนั้น ๆ ไม่ออกต้องเป็นคนดื่ม แต้มเจ็ดจะเริ่มนับเลขวนไป คนที่พูดเลขที่มีเจ็ดหรือเลขที่หารด้วยเจ็ดลงตัวหรือข้ามเลขที่ไม่ใช่เลขต้องห้ามจะต้องดื่ม ซึ่งเมื่อกรึ่ม ๆ จะเริ่มสับสนจนเผลอข้ามหรือลังเล นับแต่ละทีเกินสามสิบก็เก่งมากแล้วครับ แต้มแปดเป็นไพ่ใบเดียวที่ทำให้คน ๆ นั้นลุกออกจากวงไปได้ แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น จะไปเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรก็แล้วแต่ แต้มเก้าคนซวยคือซ้ายมือ ตรงข้ามกับแต้มสิบที่คนขวามือต้องดื่ม ไพ่แจ็คเป็นการฝึกความช่างสังเกต คนรอบวงต้องเลียนแบบท่าทางของเจ้าของไพ่ที่จะเริ่มทำตอนไหนก็ไม่รู้ได้ คนที่ทำช้าที่สุดจะรับเคราะห์ไป ไพ่ควีนคือไพ่ตัวซวย คนที่ได้รับจะกลายเป็นที่น่ารังเกียจของเพื่อนร่วมวงไปในทันที กฎคือห้ามใครพูดกับเขา และถ้าเจ้าของไพ่เป็นคนที่พูดมากหรือเมาแล้วพูดมากช่างก่อกวนแล้วละก็ เกมต่อจากนั้นจะโคตรกวนประสาทจนมีคนยอมดื่มเพื่อให้ได้ด่ามัน ส่วนไพ่คิง…


...อำนาจสูงสุดจะตกในมือคน ๆ นั้น


“กูขอสั่งให้มึง...”


ขอแค่อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์ก็พอ


“...จูบกู...”


ผมอยากสบถออกมาดัง ๆ เล่นเกมนี้กันมาหลายครั้งแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเล่นบ้า ๆ ข้ามเส้นกันแบบนี้ แม้ไม่เคยขีดเส้นจำกัดนิยามของการสั่งอะไรก็ได้ แต่ทุกคนก็เล่นกันในขอบเขตที่พอดีมาโดยตลอด ผมไม่สนใจท่าทางนิ่งอึ้งของทุกคนแต่เลือกหันมองไอ้ฟาที่ลดโทรศัพท์ในมือลงแล้ว ส่งสัญญาณให้มันปิดกล้องเสียที ซึ่งมันก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย เห็นอย่างนั้นแล้วจึงไล่สายตากลับมามองคนที่ถือไพ่คิงในตอนนี้


เจ้าตัวหน้าแดงก่ำมองมาที่ผมตาเยิ้มแต่ส่อแววท้าทายอยู่ในที ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาในตอนนี้ ทุกคนพร้อมใจกันรอดูสถานการณ์เงียบ ๆ แต่ในความนิ่งเงียบนั้นผมเห็นจากหางตาว่ามีเพียงฟาที่เคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรับสายของใครสักคน เห็นยกขึ้นแนบหูได้แปบเดียวก็เอาลง


“กูยังไม่เมา” ผมว่า บอกให้รู้ว่าไม่บ้าพอจะตามเกมมันอย่างคนคึกคะนองที่ขาดสติ “เมื่อกี้ไอ้โอมดูอยู่รึเปล่า” ประโยคหลังผมหันไปถามไอ้ฟา สีหน้าซีดเผือดปราศจากคำพูดของมันเป็นคำตอบได้ดี


“ฉิบหาย” ผมสบถเบา ๆ งานเข้ากูแน่ ๆ อดไม่ได้ที่จะคว้าโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้ข้างกายขึ้นมาดู เมื่อไม่เห็นการติดต่อใด ๆ จากอีกฝ่ายอย่างที่กำลังกลัวก็เบาใจขึ้นแต่ยังไม่วางใจ


“มึงชอบไอ้ศรเหรอวะ” ไอ้เตอร์ถามขึ้นมา ทุกคนในวงให้ความสนใจกับประเด็นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกือบล้มคอพับคออ่อนกันไปหลายคนแล้ว รวมถึงไอ้กอล์ฟ เหยื่อของไพ่แต้มห้าที่อยู่ดี ๆ ก็สร่างเมากลับมาเป็นกอล์ฟคนเดิมได้เร็วจนไม่น่าเชื่อ


ไอ้ดลไม่ตอบ แต่เลือกมองมาทางผมแล้วถามคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปแทน “มึงเป็นไบฯ ได้ทั้งชายทั้งหญิงเหรอวะ”


ผมคว้าแก้วเป๊กกลางวงที่มีวอดก้าเพียวอยู่เต็มแก้วขึ้นมาซดดื่มรวดเดียว ความร้อนที่แสบคอทำเอาผมต้องเบ้หน้าเล็กน้อย เป็นความจริงที่ไม่ว่าจะดื่มมากกี่แก้วก็ไม่มีทางชินกับสัมผัสแบบนี้ได้ “กูไม่รู้”


“งั้นก็ต้องชอบกูเหมือนที่ชอบมันได้เหมือนกัน” ไอ้ดลยังรั้นต่อ ผมไม่ค่อยเข้าใจสาเหตุที่มันดื้อดึงจะคุกคามเรื่องส่วนตัวของผมสักเท่าไหร่ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะมันเมามาก ถ้าเป็นอย่างนั้น สาบานได้เลยว่าผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันเมาถึงจุดนี้อีกเด็ดขาด


“อันนี้พูดในฐานะคิงรึเปล่า” ผมเลิกคิ้วถาม


อีกฝ่ายโยนไพ่ในมือทิ้งอย่างไม่ใยดีในอำนาจของมันอีกต่อไป “ถามในฐานะที่กูเป็นกู”


“กูไม่สนหรอกว่ากูจะเป็นเพศทางเลือกแบบไหน แต่ถ้ามึงมองว่ากูเป็นเกย์ กูก็บอกได้ว่ากูเป็นเกย์ที่รักเดียวใจเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ากูชอบไอ้โอมได้ ไม่ได้แปลว่ากูก็ชอบมึงได้เหมือนกัน”


“...”


“...แต่มันแปลว่ากูชอบไอ้โอมแค่คนเดียว”


"มีอะไรที่มันให้มึงได้แต่กูให้ไม่ได้เหรอวะ กูพร้อมให้มึงได้ทุกอย่างไม่แพ้มันหรอกนะ…” ดลเริ่มขึ้นเสียงแต่ยังคงนิ่ง “...หรือว่ามันเอาเก่ง...กูก็ให้มึงได้ไม่แพ้มันเหมือนกัน"



ถ้าเป็นช่วงแรกที่คบกับโอมผมคงเดือดดาลกับคำพูดดูถูกดูแคลนของเพื่อน ไอ้ทัชที่นั่งข้าง ๆ จึงรีบคว้าไหล่ไว้อย่างหวั่นกลัวว่าผมจะพุ่งเข้าไปต่อยไอ้ดล ทว่าตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่เพื่อนพูดมันยังคงทำให้ผมไม่พอใจเหมือนเดิม เพียงแต่น้อยเกินกว่าจะทำให้วู่วามจนทำอะไรที่เสียเพื่อนได้


"หึ พูดมาแค่นี้กูก็รู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วมึงแค่อยากได้...มึงไม่ได้อยากให้อะไรกูเลยด้วยซ้ำ"


“แล้วมัน...คนแบบนั้นน่ะเหรอให้อะไรมึง”


ผมยิ้ม นึกย้อนถึงสิ่งที่ได้รับจากคนรักแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “มากอย่างที่มึงคาดไม่ถึงเชียวล่ะ”


“พูดขนาดนี้ก็สารภาพรักเลยดิ” ไอ้ฟาแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าดลนิ่งไปและไม่มีวี่แววจะถามต่อ


“ถ้ามึงตั้งใจฟังจะรู้ว่ากูพูดไปแล้ว”


“มึงแค่บอกว่าชอบ” ไอ้ฟาสวน


การที่ผมบอกว่าผมรักเดียวใจเดียวและชอบโอมคนเดียวยังไม่แปลว่ารักโอมอีกเหรอ ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกมันต้องการอะไร ยิ่งเมื่อทุกคนพากันร้องเรียกหาคำว่ารักจากผมราวกับกำลังเชียร์อัพอะไรสักอย่างผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ และถ้าหากเป็นธรรมศรคนปกติ ไม่มีทางที่ผมจะมานั่งสาธยายเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังแน่ แต่นี่คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยส่วนหนึ่ง ผมถึงได้คึกไหลตามการชักจูงของพวกมันได้ง่ายดาย


“กู...รัก...โอม...อิน...คน...เดียว”


ผมพูดช้า ๆ ชัด ๆ ย้ำทีละคำ “ได้ยินกันชัดแล้วนะ เลิกเสือกเรื่องกูกันสักที”


ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง!


เมื่อเสียงพูดของผมสิ้นสุดลง เพื่อนรอบวงไพ่ก็พร้อมใจกันดึงสลักปล่อยพลุกระดาษใส่ผมจากรอบทิศทางพร้อมเสียงเฮที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องปล่อยผมให้นั่งงงอยู่คนเดียว


ผมปัดเศษกระดาษบนศีรษะออกด้วยความรำคาญหลังจากที่แน่ใจว่าจะไม่มีใครปล่อยพลุใส่ผมอีกแล้ว “เล่นบ้าอะไรกันวะ”


“มึงมันคนปากหนัก ไม่เคยแสดงออกว่ารักว่าชอบ ดีแต่ให้เขาเป็นฝ่ายตามอยู่ตลอด พวกกูหมั่นไส้เลยเล่นแม่ง” ไอ้เมฆ เพื่อนในกลุ่มผมอีกคนเฉลยขึ้นมา ตอนนี้มันย้ายตัวเองไปนั่งใกล้คู่หูอย่างไอ้ฟาแล้ว ถ้าอยู่ใกล้มือใกล้เท้าล่ะพ่อจะถีบให้จมตีนเลย


“เสือกกันเก่งนะพวกมึง”


“นี่ช่วยนะเว้ย” ไอ้หนึ่งเสริม เพื่อนในกลุ่มสนิทเนี่ยแหละตัวดี


“ช่วยเหี้ยไร พวกมึงเพื่อนกูหรือเพื่อนมันกันแน่วะ แถมช่วยให้กูซวยอีก ไอ้โอมเข้าใจกูผิดหมดแล้วไอ้พวกเหี้ย”


ไอ้ฟาหัวเราะลั่น “ไม่ผิดหรอก ตอนนี้มันรู้แล้วว่ามึงรักมันมากกกกกกกกก” เกลียดการลากเสียงด้วยสีหน้ากวนส้นตีนของมันจริง ๆ


“ยังไงพวกมึงก็เหี้ยอยู่ดี” กูไม่เชื่อหรอกว่ากลับไปแล้วไอ้โอมจะไม่เอาเรื่อง เพียงแค่ว่ามันไม่ตามมาที่นี่ตั้งแต่คืนนี้ก็เท่านั้นแหละ


“ความคิดนี้มาจากท่านกอล์ฟเลยนะเว้ย ไม่ถึงกับเหี้ยม้างงงง” ไอ้ทัชว่าทั้งยังติดเสียงขบขันไว้ท้ายประโยคให้รู้ว่าแท้จริงแล้วก็รู้สึกขัดแย้งกับสิ่งที่พูดออกมาอยู่เหมือนกัน


ผมหันมองคนเจ้าความคิด เพื่อนสนิทกูเนี่ยแหละตัวดีที่สุดจริง ๆ ยิ่งสนิทยิ่งวางใจก็ยิ่งตัวดี “โคตรเหี้ย” ผมว่าไม่จริงจังนัก พอรู้ว่าเป็นกอล์ฟที่คิดเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ขึ้นมาก็รู้สึกว่าความขุ่นเคืองในใจน้อยลงไปทันที คงเพราะมันเป็นเพื่อนที่รับฟังและให้คำปรึกษากันมาโดยตลอดละมั้ง ผมถึงได้เข้าใจว่ามันทำเพื่ออะไร


“กูอยากให้มึงพูดออกมาบ้างไง บางอย่างการกระทำมันไม่พอหรอกนะ อีกอย่าง มึงก็ใช่ว่าจะทำตัวดี มีคำพูดให้คนฟังได้สบายใจบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอวะ” ไอ้กอล์ฟอธิบายด้วยท่าทีจริงจังต่างจากพวกเพื่อนเหี้ยที่เริ่มกลับเข้าสู่บรรยากาศสนุกสนานกันแล้ว


“ช่างแม่งเถอะ รวมหัวกันแกล้งกูสำเร็จแล้วนี่” ผมปิดวงดราม่าไว้แค่นั้น เกมไพ่โดเรมอนก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน ตอนนี้เราแค่นั่งดื่มกันไปแหกปากร้องเพลงคลอเสียงกีตาร์กันไปอย่างที่ควรจะเป็นในช่วงใกล้เที่ยงคืนแบบนี้



ผมดื่มแค่พอให้สนุก รู้ว่าขอบเขตตัวเองอยู่ที่ตรงไหน อาศัยความสามารถในการเล่นดนตรีของตัวเองเนียนเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกชนแก้วด้วยบ่อย ๆ บางคนหนีไปอ้วกมาแล้วรอบหนึ่งแต่ก็ยังกลับมาดื่มต่อได้เพราะความสนุก จริง ๆ นะครับ ปกติไม่ดื่มกันเยอะขนาดนี้หรอก แต่พออยู่กับเพื่อน เที่ยวค้างคืนกันแบบนี้แล้วความสนุกมันเพิ่มขึ้นจึงทำให้รู้สึกอยากดื่มมากกว่าปกติเป็นธรรมดา


ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก หลายคนที่สร่างเมาแล้วเริ่มตั้งวงไพ่กันอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป็นเกมไพ่จริง ๆ ที่มีการวางเงินพนันกัน เพียงแต่เล่นกันเอาสนุกสนานด้วยเงินเหรียญที่บางคนเตรียมตัวมาดีในแบบที่แทบจะทุบกระปุกมาเลยทีเดียว ผมนั่งเกากีตาร์อยู่ข้างวง ดูพวกมันเล่นพลางร่วมหัวเราะพลางได้ไม่นานก็ปลีกตัวออกไปนั่งเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำคนเดียว


ทริปนี้ไอ้ดลเป็นคนจัดการทุกอย่าง เราเลือกที่พักเป็นบ้านที่นอนรวมกันทั้งหมดได้ในทุกครั้ง และครั้งนี้ดลเลือกบ้านที่มีสระว่ายน้ำขนาดเล็กอยู่ด้านข้างที่แค่เปิดประตูกระจกออกมาจากห้องนั่งเล่นที่พวกมันกำลังนั่งอยู่ก็ถึงพื้นที่ตรงนี้แล้ว


สระว่ายน้ำตรงหน้าผมถูกใช้งานไปตั้งแต่ช่วงค่ำพร้อม ๆ กับเตาย่างข้างสระ ตรงที่ผมนั่งอยู่นี่ก็เคยเป็นที่สังสรรค์กันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วนี่เอง คืนนี้อากาศแค่พอสบายตัว ไม่ถึงกับทำให้ขนลุกขนพอง เผลอระบายยิ้มให้กับเสียงโวยวายจากวงไพ่ที่ดังออกมาข้างนอกเพราะผมแย้มบานประตูเอาไว้


ผมมีเบียร์กระป๋องติดมือมาด้วย ดื่มริมสระแล้วจรรโลงใจอย่างบอกไม่ถูก แม้บรรยากาศโหวกเหวกจะไม่เข้ากับคืนจันทร์เพ็ญแต่ผมยังมีใจนึกถึงคนไกลจนต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูปส่งไปให้ ถึงตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้วแต่ผมเชื่อว่าโอมยังไม่นอนแน่ ๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ยอมโทรมาหากันบ้าง แอบเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันว่ามันจะเคืองเพราะเรื่องเกมไพ่ที่เล่นกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ไม่ทันถามไอ้ฟาซะด้วยว่าโอมได้ฟังถึงตอนไหน


“เอาหน่อยไหม”


ผมส่งรูปไปให้โอม ไม่ทันเห็นคำแจ้งเตือนเล็ก ๆ ว่าอีกฝ่ายเห็นแล้วหรือยังก็ต้องรีบปิดหน้าจอเพราะมีคนเข้ามาขัดจังหวะ


คำเชื้อเชิญของดลหมายถึงบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าตัวยื่นมาให้พร้อมพยักพเยิดหน้าให้ผมรับมา แต่ผมกลับส่ายหน้า เคยลองแล้วครับ รสหวานเหมือนลูกกวาด ควันเป็นสีพาสเทลอ่อน ๆ มีกลิ่นหอมที่พร้อมมอมเมาโดยที่เราไม่รู้ตัวนั่นอันตรายเสียยิ่งกว่านิโคตินทั่วไปเสียอีก


“ไม่ชอบรสนี้? เปลี่ยนก็ได้นะ กูมีเยอะ” ไอ้ดลยังเสนอทางเลือก เปลี่ยนใจที่จะนั่งลงข้างผมเป็นหันหลังกลับเตรียมจะไปหยิบอันใหม่อย่างที่บอก


“กูไม่สูบ เชิญมึงตามสบายเลย”


ไอ้ดลหรี่ตามองผมอย่างพิจารณาก่อนตัดสินใจนั่งลงข้างกัน “แบบมวนกูก็มีนะ”


“กูเลิกสูบแล้ว”


คราวนี้ดลยิ่งจ้องหนัก คิ้วเลิกขึ้นด้วยทั้งสงสัยและแปลกใจ “แฟนมึงขอ?”


“อือ” พูดถึงแฟน แฟนก็ส่งข้อความมาหาทันที ผมปล่อยให้สมาร์ทโฟนสั่นครืดบนโต๊ะอย่างนั้น แม้จะอยากปลีกตัวออกไปหาที่เงียบ ๆ คุยกับโอม แต่ไหน ๆ นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกับดลตามลำพังแล้ว ทำไมผมจะไม่คว้าไว้ล่ะ


ผมแหงนหน้ามองพระจันทร์ ทัศนวิสัยตรงหน้ามีควันสีขาวขุ่นเกือบทึบจากบุหรี่ไฟฟ้าของคนข้าง ๆ ลอยบดบังความสวยงามของมันไปเกือบหมด


"ศร...แฟนมึงห้ามโน่นห้ามนี่แถมยังตามติดตลอด มึงไม่อึดอัดเหรอวะ มึงดูไม่มีอิสระ"



ผมยิ้มให้กับ ‘อิสระ’ ของตัวเอง "กูมีอิสระมาทั้งชีวิตแล้วว่ะ สิ่งที่กูต้องการคือการจำกัดขอบเขตกูด้วยความรักและความเข้าใจ...ซึ่งไอ้โอมให้กูได้"


มันเป็นคนเดียวเลยด้วยซ้ำที่มอบสิ่งนี้ให้กับผม


ผมที่แทบจะถูกเลี้ยงมาแบบปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง มีอิสระในการคิดและตัดสินใจมาโดยตลอด เมื่อมาเจอคนที่คอยจำกัดขอบเขตโน่นนี่ในชีวิตเพราะอยากให้ผมมีชีวิตที่ดีและทำไปเพราะความรักที่มีให้ผมอย่างจริงใจ ทำไมผมจะไม่ยินดีจะรับไว้ล่ะ จริงไหมครับ?


ดลไม่ถามหรือแสดงความคิดเห็นอะไรต่อ อีกฝ่ายลุกออกไปอย่างเงียบ ๆ ผมได้แต่หวังว่ามันจะเข้าใจ


ไม่ทันหยิบเครื่องมือสื่อสารมาต่อสายหาคนรัก เก้าอี้ข้างผมก็ถูกจับจองอีกครั้ง


“กูนึกว่าวันสละโสด เพื่อนจะทะยอยเข้ามาคุยอะไรกับกูนักหนา”


ไอ้กอล์ฟหัวเราะในลำคอ


“ขอบใจนะ”


“ไหนตอนแรกด่าว่าเหี้ยไง”


“แล้วมึงจะให้กูพูดกลางวงเหรอว่าขอบใจที่กันไอ้ดลออกไปจากกู”


“มึงรู้เหรอ”


“กูไม่ได้โง่นะที่จะไม่รู้ว่าใครชอบกูบ้างอ่ะ”


ไอ้กอล์ฟหัวเราะชอบใจแต่ไม่ได้ดังจนทำให้ใครหันมาสนใจได้ “กูไม่เหี้ยแล้วสินะ”


“ขอบใจมึงจริง ๆ ที่ช่วยเหลือกูในหลาย ๆ อย่าง บางอย่างยังไม่ทันบอกมึงก็จัดการให้กูแล้ว”


“ด่าว่าเสือกเลยก็ได้”


ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


กอล์ฟวาดแขนขึ้นจะกอดคอ แต่ผมเบี่ยงหลบได้ทัน “อะไรวะ”


“ไอ้โอมไม่ให้กูกอดกับมึงแล้ว”


“นี่มันระแวงกู?”


“ไม่ให้กอดทุกคนนั่นแหละ”


“แหม เดี๋ยวนี้เชื่อฟังนะมึง เคลียร์กันทุกเรื่องแล้วเหรอ”


“อือ มันรู้เรื่องที่บ้านกูแล้ว”


“แล้วเป็นไง สบายใจขึ้นไหมล่ะมึงน่ะ”


“อืม ขอบใจมึงนะที่คอยรับฟังและช่วยกูแก้ปัญหามาตลอด”


“กูก็ต้องขอบใจมึงเหมือนกันที่เชื่อใจกู วางใจให้กูเป็นที่ระบายมาตั้งแต่เด็ก”


เรายิ้มให้กันอย่างจริงใจเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่ปรับทุกข์กันเสร็จ


“มึงรู้ไหมว่าโลกมันกลมกว่าที่คิดนะ...” ผมเริ่มเล่าเรื่องที่รู้ว่าแม่ตัวเองเป็นแม่ของไอ้น้องรัก น้องสนิทที่ชมรมและน้องรดา เด็กสาวที่มาชอบไอ้โอม แต่ยังไม่เล่าเรื่องที่แม่ขอผมที่ร้านอาหารเมื่อวันนั้น


“เชี่ย!” ไอ้กอล์ฟอุทานออกมาหนึ่งคำถ้วน หน้ามันอึ้งมากราวกับจะไม่สามารถคิดและแสดงความเห็นอะไรออกมาได้ในตอนนี้


“ทฤษฎีโลกกลมแม่งจริงเกินไปแล้ว”


“เดี๋ยวนะ ถ้าไม่บังเอิญเจอกัน มึงก็จะยังไม่ยอมบอกไอ้โอมเรื่องครอบครัวใช่ไหม”


“ก็ไม่รู้จะบอกยังไงนี่หว่า” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม


“น่าตีจริง ๆ เลยมึงเนี่ย” ไอ้กอล์ฟทำท่าทางประกอบที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ทุบ’ มากกว่าตี


“แล้วเป็นไง”


“อะไรเป็นไง”


“ที่เจอแม่ไง”


“ก็...ไม่มีไรเป็นพิเศษ”


เรามองสบตากัน ผมรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องลึกกว่านั้น แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ “อือ”


ผมสบายใจที่จะระบายกับมันเพราะมันเป็นคนแบบนี้นี่แหละ รู้จังหวะว่าตอนไหนควรถาม ตอนไหนควรพอ



ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ผมจะได้คุยกับโอมอินเสียทีเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะมีใครเข้ามาคุยกับผมอีกหลังจากกอล์ฟลุกออกไปได้พักใหญ่ ผมไม่ได้ลุกออกไปหาที่เงียบ ๆ อย่างที่ตั้งใจแต่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพียงแค่ปิดประตูกระจกเพื่อไม่ให้เสียงจากภายในดังออกมารบกวนเท่านั้น ผมครองพื้นที่ตรงนี้แค่คนเดียว เหยียดขาพาดเก้าอี้อีกตัว เอนหลังพิงให้สบายตัวเล็กน้อยก่อนเปิดข้อความของโอมออกอ่าน เป็นเพียงข้อความเดียวสั้น ๆ ว่า ‘ว่างรึยัง’


ผมกดวิดีโอคอลไปหาอีกฝ่าย คนปลายทางกดรับแทบจะทันทีราวกับกำลังรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ ภาพจากฝั่งโน้นมืดจนผมต้องบอกให้เปิดไฟ เข้าใจแหละว่ามันคงนอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่ผมอยากเห็นหน้ามันนี่หว่า


กี่ครั้งแล้วที่ผมโทรหามันในวันนี้ หรือแม้แต่เป็นฝ่ายส่งข้อความไปก่อน เห็นนั่นเห็นนี่ก็คิดถึงมัน อยากแชร์ให้มันฟังไปหมดทุกอย่าง สำคัญคืออยากใช้เวลาที่มีความสุขในวันนี้ร่วมกับโอมด้วย


“กูจะทำยังไงกับมึงดีวะ” ไอ้โอมว่าทันทีเมื่อไฟสว่างขึ้น เราคุยกันแบบเปิดลำโพงเพราะผมไม่ได้หยิบหูฟังออกมาด้วย ไม่สนใจว่าเพื่อนจะล้อกันว่าอย่างไรอีกเพราะชินกับการถูกล้อมาทั้งวันแล้ว


“อะไรวะ”


สีหน้าอีกฝ่ายเคร่งเครียดและดูจริงจังมากจนผมกังวลใจไปด้วย “กูแม่งโคตรอยากจะขังมึงไว้ในห้องเลย ออกไปไหนไกลหูไกลตาแล้วเสน่ห์แรงซะเหลือเกิน”


ผมยิ้มขำ จะหัวเราะออกมาตรง ๆ ก็กลัวจะทำให้อีกฝ่ายยิ่งหงุดหงิด นี่ขนาดผมยังไม่ได้อ่อยใครแกล้งมันนะ มันยังหึงผมขนาดนี้ นี่แหละโอมอินแฟนผม “พวกมันแค่แกล้งกูขำ ๆ เท่านั้นเอง มึงก็ได้ยินหมดแล้วนี่”


“เสือกกันเก่ง” ผมยิ้มเมื่อโอมพึมพำด่าพวกนั้นด้วยคำเดียวกัน “มึงไม่รู้หรอกว่ากูกลัวแค่ไหน กูเกือบจะขับรถไปเขาใหญ่แล้วนะถ้าไอ้ฟาไม่ยอมรับสายกู”


นั่นไง กูว่าแล้ว


“มึงไม่เชื่อใจกูรึไงวะ” ผมไม่ได้ใช้น้ำเสียงหาเรื่องหรือชวนตี ออกจะเสียงอ่อนเสียด้วยซ้ำ


“กูรู้ว่ามึงจะไม่ทำให้กูเสียใจอีก แต่กูกลัวมึงเมาแล้วขาดสติ” แววตามันจริงจังมากจนผมกลัว กลัวว่าถ้าวันหนึ่งผมพลาดทำมันเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะจบไม่สวยเหมือนที่ผ่านมา “ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ บอกตามตรงว่ากูไม่รู้ว่าจะทำใจได้เหมือนครั้งก่อนรึเปล่า”


“กูรับปากมึงแล้วไงว่าจะไม่เมา และกูก็ทำได้ด้วยนะเว้ย”


“อืม พรุ่งนี้กลับกี่โมง” โอมอินเปลี่ยนเรื่อง แต่ดูก็รู้ว่ายังมีบางอย่างรบกวนจิตใจอีกฝ่ายอยู่


“ไปถึงคงเย็น ๆ กูเข้าไปหาที่โรงละครได้ไหม” ผมว่าอย่างเอาใจ


“ไปรอที่ห้องเถอะ เดินทางเหนื่อย ๆ กลับไปนอนพักก่อน”


ผมยิ้ม เชื่อเถอะว่ามันเองก็อยากเจอผมให้เร็วที่สุดเหมือนกันแต่ก็ยังเป็นห่วงผมมากกว่าความต้องการของตัวเองอยู่ดี


“อย่ายิ้มแบบนี้” คนปรายสายส่งเสียงดุมา นัยน์ตาคู่นั้นขึงขังขึ้นฉับพลัน “อย่ายิ้มแบบนี้ในภาวะที่มึงเมา มันทำให้กูแทบคลั่ง”


“ยิ้มปกติป่าววะ” ผมว่าเสียงอ่อน ยอมรับว่าเขินอยู่หน่อย ๆ


“มึงรู้ไหมว่ากูอยากไปรับมึงกลับมาตอนนี้เลย...” ไอ้โอมดูหัวเสียมาก ๆ “...ไม่อยากให้ใครเห็นมึงตอนเมา ไม่อยากให้ใครเห็นรอยยิ้มที่หวานมากขึ้นเป็นพิเศษ กูหวง กูกำลังจะเป็นบ้าเพราะกูคิดแต่เรื่องเห็นแก่ตัว กู--”


“มึงมีสิทธิ์หวงโอม มึงมีสิทธิ์ จะบอกอะไรให้รู้ไว้นะ กูไม่ได้ยิ้มแบบนี้ให้ใครเห็นง่าย ๆ หรอกนะ ถึงกูจะเมาแต่กูก็จะยิ้มแบบนี้เฉพาะเวลาที่กูรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ และปลอดภัยเท่านัั้นแหละ...คืนนั้นก็ด้วย” ผมหมายถึงคืนแรกที่เราเจอกันในวันที่พี่สัมนัดมาทำความคุ้นเคยกันก่อนเริ่มโปรเจคจบของพี่แก


“กูรักมึงมากนะ” ผมเสริม จนอีกฝ่ายยิ้มออกมาได้


“รู้แล้ว ๆ...แล้วเมื่อตอนหัวค่ำโทรไปหาพ่อรึยัง”


ผมนึกถึงตอนที่โอมบอกให้ลองโทรไปถามพ่อดูบ้างว่ากินข้าวรึยัง รวบรวมความกล้าอยู่นานก็ตัดสินใจส่งแค่ข้อความไปเท่านั้น ใครจะกล้าโทรไปหาคนที่เคยมีเรื่องผิดใจกันด้วยเรื่องที่แสดงความเป็นห่วงได้ชวนเลี่ยนขนาดนั้นกันละครับ มันยากเกินไปนะ


“ส่งข้อความไปแล้ว”


แต่สิ่งที่ผิดคาดไปมากคือการที่คนอย่างเขาโทรกลับมาเองเนี่ยแหละ เราปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่นาน ไม่มีแม้กระทั่งคำทักทายแต่ต่างก็รู้ว่าปลายสายคือใคร


“ดีแล้วคนเก่ง ค่อย ๆ เริ่มนะมึง”


“คนเก่งบ้าอะไรเล่า!” ฟังแล้วจั๊กจี๋หูเป็นบ้า


“ก็อยากให้กำลังใจมึงไง ไหน ๆ มึงก็เคลียร์ใจกับพ่อแล้วไม่ใช่เหรอ กลับไปเป็นครอบครัวกันมันก็ถูกต้องแล้วนี่”


“ก็ยังไม่ได้เคลียร์ขนาดนั้นหรอก ยังมีประเด็นคาใจอยู่” ...แต่ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าพ่อพึ่งได้มากกว่าแม่


“ไม่เป็นไร ๆ ค่อย ๆ เริ่มกันไป กูอยู่ข้าง ๆ มึงตลอดแหละ”


“ขอบใจนะ”


“อือ กูเป็นแฟนมึงนะ กูไม่ปล่อยให้ใครมาอยู่ข้างมึงแทนที่กูอยู่แล้ว”


ผมหลุดหัวเราะลั่น โอมอินก็ยังคงหวงอย่างที่มันเป็นมาโดยตลอด “กูให้มึงเป็นคู่ชีวิตเลย”


อีกฝ่ายดูอึ้งกับสถานะที่ผมมอบให้จนผมต้องย้ำชัดอีกครั้ง “จริง ๆ นะ”


“ศร”


“หืม”


“จบไปอยากทำงานอะไร”


“ก็ต้องวิศวะสิวะ ถามแปลก”


“เคยคิดอยากรับช่วงต่อจากพ่อมึงไหม”


ทำธุรกิจน่ะเหรอ “ไม่อ่ะ”


“แล้วถ้าเขาอยากให้มึงทำล่ะ”


“พูดอะไรวะ”


“แค่ถามดู ก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ มึงเป็นลูกคนเดียวของเขานี่”


“อืม ขายทอดตลาดแล้วรอกินเงินปันผลจากหุ้นดีไหม” ผมว่าติดตลก ที่ผ่านมาไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน “กูไม่ชอบทำธุรกิจว่ะ ไม่มีหัวด้านการค้า...ทำไม? มึงอยากใช้เส้นกูเข้าไปทำงานที่นั่นเหรอ”


“จะบ้าเหรอ กูจบนิเทศจะไปทำงานแบบนั้นได้ยังไงวะ”


“ได้ดิ...ตำแหน่งเลขาฯกูไง กูล็อกให้มึงคนเดียวเลยนะ”


ไอ้โอมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เหอะ อยากโรลเพลย์เป็นเจ้านายกับเลขาฯก็ไม่บอก กลับมาเดี๋ยวจะจัดให้เลย”


“ไอ้บ้า!!” ผมหันมองในบ้านเลิ่กลั่ก กลัวว่าจะมีใครออกมาได้ยินเรื่องสัปดนแบบนี้ ถ้าพวกมันได้ยินมีหวังโดนล้อจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแน่


มันเหมือนโดนล้อว่าติดแฟนเสียที่ไหนกันละวะ!!



 





พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 22
--------------------------------------------------------------
ใกล้จะจบแล้ววววว
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-11-2018 16:03:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 24-11-2018 16:47:53
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-11-2018 18:37:04
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-11-2018 22:35:25
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-11-2018 17:18:19
รักกันหวานชื่นนนนนน
 :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 25-11-2018 23:21:27
น่าร้ากกกกกก :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 26-11-2018 07:10:48
อยากได้โอมอินนนน​ *โดนสายตามองแรงจากศร*
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 30-11-2018 22:56:40
เพิ่มๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 01-12-2018 22:18:17
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 21 P.7 [24/11/61]
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 07-12-2018 13:45:06
แบบดีใจกับทั้งคู่มากๆๆๆ เปิดใจเข้าหากันมากขึ้น คุยกันพร้อมเข้าใจ
ชอบที่ศรบอกให้เป็นคู่ชีวิต แบบ โห เป็นโอมอินคือน้ำตาแตก วันที่รอคอย555555
ตอนนี้ก็เหมือนอิ่มอกอิ่มใจ ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ดีใจที่ศรได้มาเจอโอมจริงๆ
เกลียดโอมอย่างคือความเขินเมียตอนเมียโทรมา ขำจริงอันนี้5555555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 21-12-2018 20:23:36
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 22

---DharmaSORN---







คิดถึงแทบบ้า


ผมกลับถึงกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกนี้ เกือบห้าโมงเย็นแล้วกว่าลุงคนขับรถตู้ที่พวกเราเหมาสำหรับทริปนี้เวียนส่งสมาชิกครบทุกคนจนเหลือผมเป็นคนสุดท้าย จากที่คิดว่าจะกลับไปนอนรอโอมที่ห้องตามที่อีกฝ่ายบอกผมกลับเบนเข็มให้ลุงแกขับตรงไปส่งที่มหาวิทยาลัยทันที


ผมไม่รู้ว่าละครเวทีเรื่องนี้จะเป็นความลับแค่ไหน อย่างในเวลานี้ที่ทุกอย่างน่าจะเป็นรูปเป็นร่างที่สุดแล้วผมจะยังสามารถเข้าไปหาโอมได้อีกหรือไม่ เพราะฉะนั้นก่อนจะเข้าไปหาผมจึงติดต่อไอ้เต๋าก่อนเหมือนทุกที


ที่ไม่ติดต่อโอมโดยตรงเพราะไม่อยากรบกวนสมาธิอีกฝ่ายที่อาจจะกำลังสวมบทพระเอกของเรื่องอยู่ อีกอย่าง คิดว่าโอมไม่น่าจะเก็บโทรศัพท์ติดตัวด้วย การติดต่ออาจไม่ง่ายเหมือนเต๋า


“เชี่ยโอมบอกให้มึงไปรอที่ห้องไม่ใช่เหรอ” ผมหันมองคนนำทางด้วยความสงสัย เจ้าตัวถึงได้รีบอธิบายต่อ “ก็มันบอกกูว่าวันนี้มันจะรีบกลับไปหามึงที่ห้อง”


ผมกระแอมไอ เดี๋ยวเม้มปากเดี๋ยวดันลิ้นกับกระพุ้งแก้ม รู้สึกเขินพิลึกเมื่อได้ยินว่าโอมอินก็คิดถึงผมเหมือนกัน


“มึงรอแถวนี้แล้วกัน กูคงให้เข้าไปข้างในไม่ได้หรอกนะ” แถวนี้ที่เต๋าหมายถึงคือชั้นหนึ่งของหอประชุมที่จะเปิดทำการแสดงซึ่งในตอนนี้มีทีมงานบางคนกำลังวุ่นวายกับการจัดฉากอะไรบางอย่างกันอยู่ ผมพยักหน้ารับ ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วไม่มีใครยอมให้ช่วยอะไร อย่างน้อยก็ยังมีมุมสงบให้ผมนั่ง แม้จะเป็นพื้นแข็ง ๆ เย็น ๆ ก็เถอะนะ “แต่ทางที่ดีกลับไปรอที่ห้องเถอะ ไอ้โอมรู้ว่ากูให้มึงมาทรมานแบบนี้มันด่ากูตาย”


“กูไม่ใช่คุณชายที่ไหน ทำไมจะรอแถวนี้ไม่ได้”


“ต่อให้มึงเป็นคนที่ลำบากลำบนมาทั้งชีวิต มันก็จะทำเหมือนมึงเป็นคุณชายอยู่ดีนั่นแหละ” เต๋าว่าอย่างนึกหมั่นไส้เพื่อนตัวเองที่ชักจะทำให้ผมทำหน้าไม่ถูกไปด้วย


เมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังโดยไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ผมจึงทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยการเสนอตัวเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ ที่กำลังจัดฉากถ่ายรูปกันอยู่ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าละครจะมีขึ้นในอีกตั้งหนึ่งสัปดาห์ ทำไมถึงรีบจัดฉากหน้างาน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถามเพราะนอกจากจะทำให้พวกเธอเขินอายแล้วยังถูกปฏิเสธน้ำใจกลับมาอีกด้วย


ผมตัดสินใจออกไปรอที่ร้านกาแฟไม่ไกลกันนี้นักเพราะไม่อยากอยู่เฉย ๆ ในพื้นที่ที่ใคร ๆ ต่างก็กำลังยุ่งกับงาน มันเหมือนคนไร้ประโยชน์ นั่งอยู่ด้วยก็เกะกะเสียเปล่า ๆ


ผมส่งข้อความไปบอกโอมอินว่ารออยู่ที่ไหน นั่งดูคลิปนั่นนี่ไปเรื่อยจนอีกฝ่ายส่งข้อความตอบกลับมาว่าให้เข้าไปข้างในได้นั่นแหละ ถึงได้รู้ตัวว่านั่งรอโอมมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว


ผมกลับเข้าไปหอประชุมอีกครั้ง โอมบอกให้ผมไปนั่งรอที่เก้าอี้คนดู ผมเลือกมุมขวาของที่นั่งแถวบนสุด บนเวทีตอนนี้กำลังวุ่นวายกับการเก็บของ เสียงโหวกเหวกมีทั้งเสียงร้องตามเพลงฮิตที่เปิดอยู่และเสียงกร่นด่ากันไปมา ผมเดาว่าโอมน่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องแต่งตัวพลางคิดไปถึงละครเวทีที่ตัวเองรับเล่น ผมยังไม่ทราบสถานที่จัดแสดง แต่รู้มาว่าคณะสถาปัตย์ฯมีหอประชุมเป็นของตัวเอง พวกนั้นคงไม่ต้องจัดตรงส่วนกลางของมหา’ลัยอย่างนิเทศน์เป็นแน่


“มีบัตรรึยังคะพี่ศร”


สาวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาถามผม ท่าทีเขินอายที่ฉายชัดออกมาจากการหลบสายตาและกุมมือตัวเองไว้แน่นยิ่งทำให้ผมเอ็นดูว่าเธอคงต้องใช้ความกล้ามากมายทีเดียวกว่าจะยอมพูดออกมาได้


ผมยืนขึ้นเต็มความสูง อยากจะเชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้ามามองกันเสียจริง “บัตรละครเวทีน่ะเหรอ ยังเลย พี่โอมยังไม่เอามาขายพี่เลย”


“งั้น ซื้อไหมคะ” เธอช้อนตามองแล้วหลุบลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นผมจ้องอยู่


“เขินแบบนี้จะขายบัตรออกได้ยังไง หื้ม” ผมแกล้งเย้า


“ให้เข้ามารอกู ไม่ใช่มาจีบรุ่นน้องกู”


ผมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับเสียงเข้ม ๆ และหน้าดุ ๆ ของคนที่พูดแทรกมาจากด้านหลังเธอเลยสักนิด


“น้องแค่มาขายบัตรให้กู”


ผมไม่เคยรู้ว่าโอมอินน่ากลัวแค่ไหนในสายตารุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ แต่คิดว่าคงพอเป็นที่โจษจันได้ไม่ยาก เพราะเพียงแค่โอมตวัดตามองนิ่ง ๆ รุ่นน้องคนนั้นก็รีบยกมือไหว้ทั้งที่ตัวสั่นเป็นลูกนก


“แฟนพี่ พี่ขายให้เอง น้องไปทำยอดที่อื่นไป”


“ค่ะ ๆ”


ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ขี้หึงเหมือนเดิมเลยนะมึง”


“รักเหมือนเดิมก็ต้องขี้หึงเหมือนเดิมด้วยสิวะ มึงนั่นแหละที่ต้องเลิกอ่อยเรี่ยราดซักที”


“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย น้องเขาเข้ามาขายบัตร กูก็แค่กำลังจะซื้อเท่านั้นเอง”


โอมอินหรี่ตามองจับผิดขณะที่ผมลอยหน้าลอยตาทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “ไม่ต้องซื้อของใครทั้งนั้น มาเอาที่กูนี่ มีบัตรฟรีให้”


“ทำไมต้องได้ฟรี อยากซื้ออ่ะ”


“ฟรีเพราะกูซื้อมาให้แล้ว แต่มึงไม่ได้ฟรี ๆ หรอก ไม่ต้องห่วง”


“ไอ้หื่น!” ผมด่าไม่จริงจังนัก หมั่นไส้มันมากกว่า คนอะไรเปลี่ยนจากหน้าดุตาโหดเป็นหื่นได้ในพริบตา


หลังจากด่าขำ ๆ แล้วเราก็ได้แต่นิ่งเงียบ เราต่างพร้อมใจกันเงียบ มีเพียงแค่สายตาที่สบประสานกันเท่านั้นที่เชื่อมต่อระหว่างกัน


“คิดถึงมึงว่ะ” ผมพูดความในใจออกไปจนได้ ไม่อยากรั้งรออะไรอีกแล้ว ไม่อยากเล่นแง่เหมือนเมื่อก่อนด้วย เพราะถ้าอยากให้ความสัมพันธ์ของเรามั่นคงกว่าเมื่อก่อน คงต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเอง


ซึ่งมันก็ไม่ยากเลยสักนิด ติดตรงที่คนตรงหน้าผมยิ้มได้น่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ เนี่ยแหละ


“อยากกอด”


โอมอินเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย คงเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินผมพูดอะไรแบบนี้


“ตอนนี้เลย”


ผมอยากกอดโอมตอนนี้เลยจริง ๆ นะ แต่ไม่กล้าเพราะคนอยู่กันเยอะ กลัวไม่เหมาะสม ไม่รู้ดิ ผมแคร์นะ กลัวคนมองว่าประเจิดประเจ้อแม้จะแค่กอดกันแบบแมน ๆ ก็ตาม


“ก็กอดดิ” อีกฝ่ายพูดไม่ทันจบ ร่างของผมก็ถูกดึงเข้าอ้อมแขนมันไปแล้ว ผมตัวแข็งทื่อ มองสบตาหลายคู่ที่มองมาอย่างล้อ ๆ แล้วต้องรีบซุกหน้ากับลาดไหล่โอมเพื่อซ่อนความเขินอาย


โอเค ผมไม่ได้กลัวคนมองไม่ดี ความจริงแล้วกูเขินครับ


แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอมยืนให้มันกอดนานสองนาน ผมยอมให้แค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้นก็ผละออก


“อย่ามาเจ้าเล่ห์ กูรู้นะว่ามึงกอดกูเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ”


“คิดถึงต่างหาก”


“ยอมรับซะดี ๆ”


โอมอินไหวไหล่ “ก็พวกแม่งมองแฟนกู กูก็ต้องทำให้รู้ซักหน่อยว่าของใคร”


“นั่นไง”


“แล้วไม่รู้เหรอว่ากูก็กอดเพราะคิดถึงมึงมาก”


“อันนั้นรู้อยู่แล้ว” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม ตัดบทสนทนาที่เหมือนจะเป็นรองด้วยการแย่งเป้ของอีกฝ่ายมาสะพายเสียเอง


“เห้ย! เอามานี่”


“กูช่วยมึงถือแหละดีแล้ว มึงซ้อมมาเหนื่อย ๆ จะต้องแบกของมากมายอีกทำไม เดินไปได้แล้ว หิวแล้วเนี่ย” ผมผลักไหล่ดันหลังให้โอมออกเดินเสียที


“ไม่ต้อง กูถือเองได้ มึงจะมาช่วยกูทำไม”


“ทำไมวะ มึงยังเคยช่วยกูถือเลย”


“ก็มึงเป็น…”


“เป็นอะไร”


โอมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“เป็นเมียน่ะเหรอ เมียแล้วไงวะ คนเป็นผัวเท่านั้นเหรอที่จะช่วยเมียถือของ บอกให้รู้ไว้เลยนะว่าการดูแลกันไม่ใช่หน้าที่ของมึงฝ่ายเดียว และมันไม่ใช่หน้าที่ของใครด้วย แต่มันคือสิ่งที่คนรักเขาทำให้กันด้วยความเต็มใจ เราผลัดกันดูแลกันและกันตามโอกาสไง บางทีมึงดูแลกู บางคราวกูดูแลมึงบ้าง…”


ผมกระชับสายเป้เข้าไหล่ข้างขวาก่อนวาดแขนซ้ายกอดคอเจ้าของมัน “...ตามแต่โอกาสเหมาะสมไม่ต้องแบ่งแยกอ่ะ เข้าใจไหม”


“เข้าใจแล้ว”


จุ๊บ!


เอาล่ะ การจูบแก้มเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของอย่างหนึ่ง แต่คุณมึงต้องเลือกสถานที่นิดนึงครับ ไม่ใช่ในหอประชุมที่ทำให้ทุกคนเห็นแล้วโห่แซวกูแบบนี้!!







ผมอาสาขับรถพาเราทั้งคู่ไปดินเนอร์กันแบบเร่งด่วนที่ร้านข้าวหน้ามหาวิทยาลัยก่อนจะพาร่างอ่อนเพลียของทั้งสองคนกลับมาถึงห้อง


“เหนื่อยมากเลยดิ” ผมวางเป้ของโอมไว้บนโต๊ะ


“อืม” เจ้าของเสียงนั่งหลับตาพิงพนักโซฟาจนแทบจะไหลลงไปกองกับพื้นแล้วหากศีรษะไม่เกยกับขอบพนักเอาไว้


ผมจัดแจงเตรียมน้ำส้มเย็น ๆ ที่มักจะมีติดตู้เย็นไว้ดื่มเวลาต้องการความสดชื่น โอมอินเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองตอนที่ได้ยินเสียงแก้วกระทบโต๊ะก่อนพึมพำว่าขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนผมต้องยิ้มตาม เวลาเราดูแลใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนรักมันก็เขินอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ก็อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก


ผมเดินอ้อมไปยืนข้างหลังโอม วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงกับลาดไหล่อีกฝ่าย กดนิ้วหัวแม่มือลงบนมัดกล้ามเนื้อบ่า ลงน้ำหนักหน่วงเน้นไปตามจังหวะเสียงคลอในลำคอเป็นทำนองเพลงที่โอมร้องกล่อมอยู่บ่อยครั้ง


“อื้อออ” ผมยิ้มเขินอย่างมิดเม้นทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้จ้องอยู่ด้วยซ้ำ แต่เพราะเขินกับเสียงครางที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผ่อนคลายของอีกฝ่าย


“ดีไหม”


“อื้อ ดีดิ” โอมคลี่ยิ้มกว้างขึ้นทั้งที่ยังหลับตา “ดีมากเลย”


“ฝีมือกูใช้ได้เลยอ่ะดิ”


“หึ” ใบหน้าข้างล่างส่ายไปมาเบา ๆ ก่อนดวงตาดำขลับจะเปิดออกเพื่อมองตรงมาที่ผม “หมายถึงมึงที่เป็นแบบนี้ ดีมาก ๆ เลย โคตรดี”


เรื่องเขินแต่เก็บอาการเก่งเนี่ย ผมว่าธรรมศรคนก่อนหน้านี้ทำได้ดีกว่านะ


“แต่อย่าฝืนตัวเองนะ เป็นแบบเดิมก็ได้ มึงคนเดียวกูเอาใจได้อยู่แล้ว”


“บอกแล้วไงว่าการดูแลกันไม่ใช่หน้าที่ กูทำเพราะกูอยากทำ”


“ครับ”


ไอ้เหี้ย! กูแพ้คำพูดคำจาสุภาพที่มาพร้อมสายตาเชื่อมหวานของมึงครับ


“เออ ถ้าเพลียนักก็ไปอาบน้ำ วันนี้แช่ตัวหน่อยไหมวะจะได้สบายตัวหน่อย” ผมปล่อยมือออกจากไหล่โอม เตรียมผละเข้าไปเปิดน้ำเตรียมไว้ให้แต่กลับถูกกระชากกลับไปจนเซถลาเข้าหาอีกคนที่ตั้งรับไว้ได้พอดิบพอดีด้วยจุมพิตแสนเร่าร้อนราวกับคนที่หมดเรี่ยวแรงเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง


“แช่ด้วยกันนะ” เสียงแหบพร่าดังชิดริมใบหูจนความร้อนไล่จากใบหูลามมายังใบหน้า ผมรู้ว่ามันอยาก เพราะผมเองก็อยาก ก็คนมันคิดถึงนี่หว่า แต่ว่านะ…


“วันนี้มึงเหนื่อยไม่ใช่เหรอ” ขอเย้ามันสักหน่อย


“กับมึงเนี่ย กูมีแรงเสมอแหละ”


“ไอ้หื่น!!”










ชีวิตปีสี่ของผมแสนจะสบาย แค่เก็บตกหน่วยกิตให้ครบตามที่คณะกำหนดกับทำโปรเจคจบอีกหนึ่งเรื่อง สำหรับผมจึงเหลือแค่วิชาภาษาอังกฤษเชิงอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งทำให้มีเวลามากพอที่จะทุ่มเทให้กับการซ้อมละครเวทีอย่างจริงจังที่กำลังจะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า แต่หลังจากนั้นค่อยลุยงานโปรเจคอย่างเต็มที่


ละครเวทีของโอมอินเปิดการแสดงรอบแรกไปแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ผมไม่ได้ให้กำลังใจอะไรเป็นพิเศษนอกจากอวยพรให้มีสติด้วยการ Deep Kiss หนึ่งทีในตอนเช้าและไปดูตอนแสดงจริงพร้อมมอบช่อดอกไม้ให้ในตอนจบ ซึ่งอีกฝ่ายบ่นผมหูชาตอนที่กลับห้องว่าดอกไม้มันทั้งสิ้นเปลืองและรกห้อง แต่พอบอกว่ารอบหน้าจะไม่ให้อะไรเลย มันก็หน้าบึ้งตึงใส่อีก บางทีแม่งก็เอาใจยาก อยากจะด่าอยู่เหมือนกัน แต่เพราะรู้อยู่หรอกว่าถึงมันไม่อยากได้ดอกไม้ แต่ยังอยากได้สิ่งที่มาพร้อมดอกไม้ช่อโตคือการแสดงความรักความเป็นเจ้าของจากผม


วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ทำการแสดง มีด้วยกันสองรอบเช่นเคยคือบ่ายสองและหนึ่งทุ่มตรง ที่ผ่านมาผมไปดูการแสดงของโอมทุกวัน แต่ก็แค่รอบหนึ่งทุ่มเท่านั้นเพราะจะได้กลับบ้านพร้อมกันเลย และช่วงกลางวันผมก็ต้องซ้อมละครเวทีของตัวเองเช่นกัน


รอบสุดท้ายที่ผมมาดูนี้ส่วนใหญ่จะแต่รุ่นพี่รุ่นน้องในคณะทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่แห่แหนกันมาให้กำลังใจทีมงาน จะมีเพียงห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นคนนอกอย่างผมและพวกเพื่อน ๆ ผมที่ยกโขยงกันมาดูสาว ซึ่งในจำนวนนั้นก็ล้วนเป็นคนในครอบครัวของนักแสดงทั้งสิ้น มีน้อยคนจริง ๆ ที่เป็นคนดูทั่วไปแต่แย่งชิงกดซื้อบัตรรอบสุดท้ายนี้มาได้


โอมอินบอกว่าวันนี้ทั้งแม่และน้องสาวคนเล็กมาดูละครเวทีด้วยและจัดให้นั่งใกล้ที่นั่งของผม แต่มันคงไม่รู้ว่ายังมีใครเป็นตัวแถมมาด้วย ผมกล่าวสวัสดีทักทายแม่บังเกิดเกล้าเหมือนคนไม่รู้จักกันหลังจากทักทายแม่ของโอมแล้ว วันนี้เธอมาพร้อมลูกสาวที่น่ารักของเธอ รดาในชุดเดรสสีอ่อนสบายตาดูสวยหวานและเรียบร้อยยิ่งกว่าเสื้อยืดกางเกงขาสั้นทว่ายังคลุมเข่าที่ผมเคยเห็นตอนไปนอนบ้านโอมครั้งนั้น ในมือของเธอมีดอกกุหลาบช่อขนาดพอดีมือห่อเสียสวยหรูที่เดาได้ไม่ยากว่าตั้งใจนำมามอบให้แฟนผมมากขนาดไหน พอเห็นอย่างนั้นแล้วนึกย้อนถึงช่อดอกไม้ของตัวเองที่เตรียมไว้แล้วก็ชักไม่แน่ใจว่าวันนี้จะมอบมันให้โอมดีหรือไม่ ทั้งแม่ ทั้งน้องสาว แล้วไหนจะเพื่อนน้องสาวที่ถูกหมายมั่นให้คู่พี่ชายอย่างมันอีก ถ้าความรักของผมกับมันจะถูกยอมรับได้ง่าย ๆ ผมคงไม่ต้องคิดมากแบบนี้


“ศร”


โคตรเหี้ย!


เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าแม่มาดูละครเวทีด้วยก็การที่พ่อผมมาด้วยนี่แหละ


“พ่อมาทำไม” ผมเดินเข้าไปหาเขา ฉุดกระชากออกจากการเผชิญหน้ามาคุยในที่ลับตาคน


“แฟนแกเล่นละครเวทีทั้งทีไม่คิดจะชวนฉันมาให้กำลังใจหน่อยเหรอ” หลังกลับจากทะเลครั้งนั้นเราคุยกันมากขึ้น เริ่มจากการยอมเรียกเขาว่าพ่อ แต่ก็คุยกันแค่ตามโอกาส ทักทายบอกเล่าบ้างตามเรื่องตามราว ไม่ถึงกับพูดคุยกันไหลลื่นเพราะว่ากันตามตรงแล้วก็ยังต่อกันไม่ติดสักเท่าไหร่ โอมอินวางแผนไว้ว่าหลังมันจบงานละครเวทีเมื่อไหร่จะหาพาผมกลับไปบ้านโน้นบ่อย ๆ เพื่อสานสัมพันธ์พ่อลูกให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้แย้งอะไร พร้อมจะเปิดใจแม้ยังคาใจในหลาย ๆ เรื่อง แต่ที่ไม่เข้าใจคือเขาสามารถทำสีหน้าปกติราวกับไม่มีเรื่องอะไรทั้งที่เพิ่งเจอเธอคนนั้นได้อย่างไรกัน


“ไม่รีบเข้าไปเหรอ ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ”


ผมถอนหายใจ ผายมือเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปก่อนด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ เหนื่อยตรงที่ต้องคอยจับตามองพ่อตัวเองไว้เสียแล้วว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง






(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 21-12-2018 20:24:30
ละครเวทีเริ่มทำการแสดงช้ากว่าเวลาที่กำหนดเล็กน้อย หลายคนจึงได้เวลาในการชื่นชมสูจิบัตรและตั๋วเพิ่มอีกหน่อย ขณะที่ผมเองก็ไม่อาจละสายตาไปจากพ่อตัวเองที่นั่งถัดลงไปข้างล่างสองแถวและเยื้องกันในทางขวาได้เลย ซึ่งนั่นทำให้ผมลืมความอึดอัดจากการนั่งใกล้ครอบครัวของโอมและแม่กับรดาด้วย


เมื่อแต่ละฉากจบลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเพื่อให้กำลังใจนักแสดงทุกครั้ง ผมดูละครเวทีเรื่องนี้มารอบที่หกแล้ว เปิดการแสดงมาหกวันสิบรอบ รอบนี้เป็นรอบสุดท้าย แน่นอนว่านักแสดงทุกคนใส่เต็มอย่างที่คนดูคาดหวัง หลายคนแสดงดีขึ้นจากรอบแรกมาก รวมถึงโอมอินด้วย และผมก็อดคิดไม่ได้ว่าบทนางร้ายที่มิ้นได้รับช่างมีนิสัยตรงกับตัวจริงของเธอเสียเหลือเกิน


เมื่อละครแสดงไปได้ครึ่งเรื่องก็มีพักครึ่งให้ผู้ชมได้เข้าห้องน้ำ แม่ที่ไม่เคยเห็นผมเป็นลูกลุกออกไปทันที ผมไม่รีรอที่จะตามออกไปเพราะเห็นว่าพ่อเองก็ขยับตัวตามไปเช่นกัน


ขอบคุณที่ไม่มีใครตามผมออกมา เพราะไม่อย่างนั้นคงได้เห็นแบบเดียวกับที่ผมเห็น พ่อกระชากแขนแม่ให้เดินตามไป ผมเดาจากทิศทางได้ว่าน่าจะเป็นมุมเดียวกับที่ผมคุยกับท่านก่อนเข้าไปดูละคร ใจผมสั่นแรงขึ้นในทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้ อะไรบางอย่างบอกว่าผมไม่ควรเข้าไปใกล้กว่าที่ยืนอยู่ แต่เพราะความอยากรู้ที่มากกว่า สองขาจึงพาร่างของผมไปซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งซึ่งได้ยินเสียงของทั้งคู่บ้าง แม้ไม่ดังนักแต่จัดว่าชัดมากทีเดียว


“เป็นไง ชีวิตกับชู้ อ้อ! ไม่สิ ผัวใหม่ มีความสุขดีไหม” ชู้? ผมไม่แน่ใจว่าพ่อพูดถึงอะไร


“อย่าหยาบคายกับฉันที่นี่นะ” ผมไม่เห็นสีหน้าเธอ แต่ฟังจากเสียงแล้วเดาได้ว่ากำลังกัดฟันข่มอารมณ์โกรธอยู่


พ่อแสยะยิ้มเหยียด ตั้งแต่จำความได้ แม้พ่อจะเป็นตัวร้ายในสายตาผมวัยเด็ก แต่เขาไม่เคยมองแม่หรือยิ้มให้แม่แบบนี้เลยสักครั้ง “ลืมไป เธอมันผู้ลากมากดี หน้ากากสวย ๆ ของเธอมันทำให้ฉันกลายเป็นตัวร้ายในสายตาสังคม หรือแม้กระทั่งลูก!”


“คุณทำตัวคุณเอง!”


เขาหัวเราะเหอะอย่างสมเพชตัวเอง “ใช่! ฉันทำตัวเอง เพราะฉันมันเป็นไอ้หน้าโง่ที่รักเธอจนยอมเป็นคนเลวแทนเธอไง”


“...”


“ฉันยอมให้ทุกคนตราหน้าว่ามั่วผู้หญิงชั้นต่ำจนเมียผู้ดีทนไม่ไหวต้องขอหย่า และฉันที่ทำตัวเสเพลยังรั้งลูกไว้กับตัวอีกทั้งที่เธอเป็นฝ่ายทิ้งลูกทิ้งผัวไปหาชู้!”


สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา “ใช่ ฉันมันโง่ไง”


“เขาไม่ใช่ชู้! คุณก็รู้ว่าเราแต่งงานกันเพราะอะไร ฉันกับเขารักกันมาก่อน”


“และก็คงรักกันมากด้วยซินะ พอเมียเขาตายก็รีบแจ้นไปเสนอหน้าเป็นแม่ให้ลูกเขาทันทีแล้วทิ้งลูกในไส้ไว้กับผัวที่ไม่เคยรัก”


หลังประโยคนั้นเขาถูกเธอตบจนหน้าหัน


“เหอะ ถ้าพ่อฉันไม่ใช้อำนาจปิดข่าวให้ คนทั้งโลกคงได้ขุดคุ้ยจนรู้แล้วว่าความจริงเป็นยังไง...ลูกมันต้องการเธอมากนะ มันรักเธอมาก…”


ผมน้ำตาร่วงหนึ่งหยด มันไหลออกมาเอง ผมไม่ได้สะอื้นเลยสักนิด


“...รักมากจนโง่ ถ้ามันคิดสักนิดว่าเธอต้องการมัน แค่เธอฟ้องผัวเลว ๆ อย่างฉันยังไงก็ชนะคดีได้ลูกไปเลี้ยงอยู่แล้ว แต่นี่มันไม่เอะใจเลยไงว่าแท้จริงแล้วเธอมองมันเป็นมารหัวขนมาโดยตลอด!”


“อย่าว่าลูก!”


“ยังกล้าเรียกศรว่าลูกอีกเหรอ”


“ถามจริงเถอะ เธอบอกผัวใหม่ว่าอะไรเหรอ เขาถึงไม่แปลกใจที่เธอไม่มาดูลูกเลย”


ใจคนฟังอย่างผมเต้นตึกตัก มันทั้งแรงและหนักจนแน่นทรวงอกไปหมด ความรู้สึกคล้ายกำลังจะจมอากาศ มันบีบแน่นจวนจะหายใจไม่ทัน


“เอ่อ นั่นพี่ศรเหรอคะ” เสียงหวานใสดังมาจากด้านหลังฉุดผมให้ฟื้นจากอาการที่แสนหนักหน่วง ผมปรับจังหวะหายใจให้เป็นปกติก่อนหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นรดาก็ยิ่งปั้นหน้าไม่ถูก


“พี่ศรเห็นคุณแม่รดาไหมคะ หายไปนานแล้ว รดาเป็นห่วง”


ผมมองหน้าเธอนิ่ง คุณแม่ของเธอน่ะเหรอ ทำไมผมจะไม่เห็นล่ะ และถ้าผมบอกว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน เดาได้ไม่ยากเลยว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป


“เอ่อ...ตกลงว่าพี่ศรเห็นไหมคะ” เธอถามย้ำก่อนตัดสินใจเองเมื่อผมยังไม่ยอมตอบ “เดี๋ยวรดาไปหาทางนั้นเองดีกว่า”


“ทางโน้นครับ” ผมรีบชี้นิ้วไปฝั่งตรงข้าม


“คะ?”


“พี่เห็นท่านเดินไปทางโน้น ไม่แน่ใจว่าไปเข้าห้องน้ำรึเปล่า รดาบอกว่าท่านหายไปนานแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะ เผื่อมีอะไรอยากให้ช่วย”


“แต่รดาไปหาที่ห้องน้ำแล้วไม่เจอนะคะ”


“ถัดไปจากนั้นมีห้องน้ำอีกที่นึง เราลองไปดูกันก่อนไหม”


“อ๋อ ค่ะ ขอบคุณพี่ศรมากนะคะ” รอยยิ้มของเธอสวยงามเหมือนที่ผมเคยเห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก มันถอดแบบมาจากแม่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน


และนั่น...ทำให้ผมทำร้ายเธอไม่ลง




“ไม่เจอค่ะ” รดาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวลหนัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปแตะไหล่บางเพื่อปลอบโยนแล้วรีบดึงกลับมา


“ลองโทรหารึยัง”


“โทรแล้วค่ะ คุณแม่ไม่รับ”


“ลองดูอีกทีสิ นี่ใกล้เวลาแสดงแล้ว บางทีท่านอาจจะกลับเข้าไปแล้วก็ได้นะ”


เธอรับคำแล้วรีบต่อสายหาคนเป็นแม่ ผมยืนรอเป็นเพื่อนจนได้เห็นสีหน้าที่ค่อย ๆ ผ่อนคลายขึ้นของเธอ เดาได้ทันทีว่าคนปลายสายคงทำให้เธอสบายใจขึ้นมากแล้ว เมื่อเธอวางสายแล้วบอกว่าแม่ของเธอเข้าไปนั่งรออยู่ข้างในแล้วจริงอย่างที่ผมบอก เราจึงพากันกลับเข้าไปข้างในด้วยเช่นกัน



ทั้งที่ดูเป็นรอบที่หกแล้ว จำได้ทุกฉากและเกือบทุกไดอะล็อกแต่ผมกลับดูละครครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง สมาธิผมมันจดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากบุพการี ผมจะถือว่านั่นคือความจริงที่สุดได้ไหม เพราะได้ยินจากปากพวกเขาพร้อมกันไม่ใช่ฟังความข้างเดียวอย่างที่ผ่านมา


จริงไหมที่แท้จริงแล้วพ่อคือผู้ถูกกระทำ


จริงรึเปล่าที่แม่รักผู้ชายคนนั้นมากจนยอมทิ้งผมไป


แล้วจริงไหมที่…


“พี่ศรไม่สบายรึเปล่าคะ”


ผมหลุดออกจากภวังค์ที่มีทั้งความคิดและมโนภาพจากทั้งอดีตอันใกล้และเมื่อนานมาแล้วด้วยเสียงหวานใสที่กระซิบถามพร้อมมือบางที่ถือวิสาสะแตะลงบนต้นแขนผมก่อนดึงกลับไปเมื่อผมรู้สึกตัว


รอบข้างกำลังส่งเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ผมจำไม่ได้แล้วว่าครึ่งเรื่องหลังมีฉากไหนที่เรียกเสียงหัวเราะได้ขนาดนี้ ประสาทสัมผัสของผมตอนนี้จดจ่ออยู่แต่กับเด็กสาวตรงหน้าเท่านั้น ตอนนี้ม่านปิดลงอีกครั้งเพื่อตัดจบฉาก ห้องทั้งห้องแทบจะมืดสนิท ทว่าแววตาของเธอที่มองมายังฉายให้เห็นถึงความห่วงใยชัดเจน


ผมคลี่ยิ้มบาง “เปล่าครับ พี่สบายดี”


เธอยิ้มโล่งใจก่อนกระซิบทิ้งท้ายก่อนม่านเปิดออกอีกครั้ง “พี่โอมเขารอให้สายตาของพี่จดจ่อที่เขาอยู่นะคะ”


ความจริงแล้วรดาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร


เธอก็แค่โชคร้ายที่มาหลงรักคนของผมเท่านั้นเอง






เมื่อม่านปิดฉากการแสดงลงพร้อมความประทับใจและอิ่มเอมของผู้ชมจนเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นห้องอยู่นานหลายนาทีก่อนจะเปิดออกอีกครั้งเพื่อให้นักแสดงได้ทะยอยกันออกมาขอบคุณส่งท้ายให้กับคนดูท่ามกลางเสียงกรี๊ดของผู้ชม จนถึงตอนที่นักแสดงทุกคนจับมือกันโค้งคำนับแล้วเดินถอยหลังหลบเข้าไปหลังม่านอีกครั้งนั่นแหละ การแสดงถึงได้จบลงแล้วจริง ๆ


ทว่ารอบนี้ต่างจากรอบอื่นตรงที่เสียงกรี๊ดและโห่ร้องยังคงดังระงมไปทั่วห้อง และดูท่าว่าจะยังดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมลองมองไปรอบ ๆ เข้าใจว่าคงเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง เพราะคนที่ยังส่งเสียงโห่ร้องล้วนแต่เป็นคนในคณะ ซึ่งคงเป็นการให้กำลังใจกันอย่างหนึ่ง


มีพิธีกรสองคนขึ้นไปยืนบนเวที ประกาศผู้โชคดีจากบัตรที่นั่งที่จะได้รับของรางวัลจากผู้สนับสนุนละครเวทีเรื่องนี้ทั้งหลายแหล่ จนเวลาของการขอบคุณคนดูได้มาถึง ส่วนใหญ่คนที่ยังนั่งรอจนถึงขั้นตอนนี้แทบจะมีแต่คนในครอบครัวนักแสดงและรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะนิเทศศาสตร์เท่านั้น


พิธีกรไล่ประกาศชื่อตั้งแต่ทีมงานเบื้องหลังไปยังเบื้องหน้าให้ออกมาปรากฏกายหน้าเวทีให้ทุกคนได้ยลโฉม บางคนออกมาเดี่ยว บางคนออกมาเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย บ้างเดินออกมาเรียบ ๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มเขิน ๆ ให้กับความสำเร็จในวันนี้ บ้างก็เปิดตัวออกมาอลังการเรียกเสียงฮือฮาได้มากโข ทั้งคนในครอบครัวและรุ่นพี่รุ่นน้องรวมถึงเพื่อนที่สนิทกันต่างแห่แหนกันเข้าไปมอบของขวัญให้ ซึ่งส่วนใหญ่หนีไม่พ้นดอกไม้ราวกับวันรับปริญญา


เสียงกรี๊ดจะดังมากเป็นพิเศษถ้าทีมงานหรือนักแสดงคนนั้น ๆ มีแฟนมามอบของหรือดอกไม้ให้ ยิ่งเมื่อนางเอกของเรื่องมีพระเอกในชีวิตจริงหอบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าเจ้าตัวเข้ามาก็ยิ่งมีทั้งเสียงกรี๊ดและเสียงร้องที่แสดงถึงความอิจฉาและหมั่นไส้ได้น่ารักน่าชัง


ส่วนพระเอกของเรื่อง…


ผมรอให้ครอบครัวของมันและคนอื่น ๆ มอบดอกไม้และถ่ายรูปร่วมกันให้เสร็จก่อนที่จะเสนอหน้าเข้าไป อดไม่ได้ที่จะแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาว่ากำลังรอผมอยู่เช่นกัน


“แฟนกูแม่งโคตรเก่ง” โอมรับดอกไม้ไปแล้วดึงผมให้ขึ้นไปยืนข้างกันเพื่อถ่ายรูป ดอกกุหลาบสีขาวแค่ดอกเดียวที่เบ่งบานสวยในช่อที่ถูกห่ออย่างเรียบง่ายจนเมื่อถือรวมกับช่อของคนอื่นมันก็จะถูกกลืนหายไปได้ง่ายดายตามความต้องการของผม เพราะวันนี้มีคนสำคัญของโอมมาร่วมแสดงความยินดีมากมาย ผมจึงต้องลดความสำคัญของตัวเองลงให้เหมือนกับดอกไม้ที่นำมา จะให้ช่อใหญ่โตอย่างรอบก่อน ๆ คงไม่ได้ แม่มันก็อยู่ ท่านยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา ทำอย่างนั้นคงน่าเกลียดแย่


“นี่ก็มาทุกวันเลยนะคะ ว่าแต่ทำไมรอบนี้ดอกไม้ช่อเล็กจังเลยล่ะคะ” พิธีกรสาวเย้าอย่างสนิทสนม


“ช่อใหญ่รกห้องแล้วโว้ย” โอมตอบแทน


“แล้วไม่มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ เหมือนอย่างที่นางเอกของเราได้เหรอครับ” พิธีกรชายแซวจนคนทั้งห้องร้องโห่ตามไปด้วย


“โตแล้วไม่กอดตุ๊กตาหมี” โอมตอบเพื่อนแต่สายตามองเย้าผมพร้อมวาดแขนขึ้นกอดคอให้รู้ว่ามีอย่างอื่นให้กอดแทนตุ๊กตาหมีตั้งนานแล้ว


“แม่มึงมาด้วยนะ” ผมกระซิบบอก


“เพราะแม่มาไงเลยพูดซอฟท์แล้ว”


“มึงนี่มัน--” ผมผลักมันออกเบา ๆ ไม่ลืมกำชับว่าจะรอที่เดิมก่อนผละกลับไปนั่งทีเดิม


ผมชะลอฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาของผู้ใหญ่สองท่านและเด็กสาวอีกสองคนมองผมไม่วางตา ผมสบตาคู่ที่อ่านไม่ออกของแม่โอมอินแค่แวบเดียวก่อนมองเลยไปยังน้องสาวคนเล็กของบ้านที่ฉายแววขุ่นข้องไม่พอใจออกมาชัดแจ้ง และผมเลือกที่จะเพิกเฉยต่อสายตาผิดหวังของแม่บังเกิดเกล้าไปสนใจแววตาวิบวับของรดาที่แสดงออกมาอย่างใสซื่อแทน


ผมสอดตัวลงนั่งข้างเธอ แสร้งทำเป็นกดโทรศัพท์เล่นเพื่อเลี่ยงบรรยากาศอึดอัดในตอนนี้


“พี่สองคนน่ารักกันจังเลยค่ะ”


“หือ?”


“รดาเห็นสายตาที่พวกพี่มองกันก็รู้แล้วล่ะค่ะว่ารักกันมาก”


“...”


“สาว ๆ ทั้งมหา’ลัยคงอกหักแย่” เธอพูดติดตลก


“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมไม่ได้พูดถ่อมตัวด้วยท่าทีขลาดเขิน แต่ความแน่นิ่งจริงจังของผมกลับทำให้เธอหลบตาไปก่อน


“รดาขอโทษนะคะถ้าบางครั้งเป็นเหตุให้พวกพี่ทะเลาะกัน” ผมแทบจำไม่ได้เลยว่าเราเคยทะเลาะกันเพราะเธอ


ผมไม่รู้ว่าจะมีใครสังเกตหรือเปล่าว่ารอยยิ้มบนหน้าผมกับของเธอคล้ายกันจนแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน แต่จังหวะนั้นผมคงกลายเป็นผู้ชายมือไวคนหนึ่งเพราะวางมือบนศีรษะของเธอราวกับสนิทกันทั้งที่เพิ่งคุยกันครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ “เป็นน้องสาวให้พี่ได้ไหมครับรดา”


“คะ?”


“ไอ้เด็กนั่น พี่ชายเราน่ะ เจ้ารักมันชอบบอกว่าพี่เป็นไอดอลของมัน พี่จะถือว่ารักเป็นน้องชายพี่คนนึง ส่วนรดา มาเป็นน้องสาวพี่อีกคนไหม”


เธอยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเธอทั้งสดใสและสว่างไสว และมันควรจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่ควรต้องมีรอยยิ้มฝืดฝืนมัวหมองอย่างที่ผมเป็นมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต “ดีใจที่มีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกคนค่ะ”


ผมเหลือบมองแม่ที่ก็กำลังมองมาที่พวกเราอย่างสนใจใคร่รู้


ส่วนแม่...ผมไม่มีแล้วก็ได้





สิ่งที่พวกเราน่าจะคาดการณ์ไว้ได้แต่กลับไม่ได้ตั้งรับไว้ก็คือการที่แม่ของโอมชวนมันและน้องเอมไปทานข้าวด้วยกันตามประสาครอบครัวที่อบอุ่น ผมที่นั่งรออยู่ตั้งนานจึงหน้าแห้งลงยิ่งกว่าปลาแดดเดียว เข้าใจและยอมรับได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่เธอดันชวนผมและแม่กับรดาไปด้วย ความลำบากใจมันยิ่งกว่านั้นเมื่อท่านปฏิเสธและหงายการ์ดเกรงใจเพราะอยากให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน แล้วมีหรือที่คนนอกอย่างผมจะหน้าด้านตามไปด้วยแม้จะได้รับคำเชิญและการตื้อจากโอมอินก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อแม่ของโอมยังยืนยันที่จะให้ผมไปด้วยให้ได้



ระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีบทสนทนาอะไรที่ทำให้ผมไม่สบายใจ ทุกคนล้วนสนใจอาหารตรงหน้าเพราะท้องที่ร้องมาตั้งแต่เย็น หัวข้อสนทนาก็เหมารวมเป็นเรื่องการแสดงของโอมอินและงานเบื้องหลังของน้องเอมเสียหมด ผมได้แต่นั่งฟังสองพี่น้องผลัดกันเล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่าไม่ใช่แค่ผมจะได้สัมผัสถึงความเป็นครอบครัว แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย แม้ว่าน้องอิมจะยังมีกำแพงเล็ก ๆ กับผมอยู่ก็ตาม


เราออกจากร้านอาหารในตอนสี่ทุ่มครึ่ง ใช้เวลากับอาหารเย็นไม่นานเลยสักนิดเพราะดึกเกินกว่าที่สาว ๆ จะเพลิดเพลินกับการรับประทานแล้ว ก่อนขึ้นรถผมส่งข้อความไปบอกพ่อแล้วว่าจะเข้าไปคุยด้วยเพราะไม่อยากให้เรื่องคาใจอยู่นาน


“เอ่อ...กูขอไปที่นึงก่อนได้ไหมวะ” ผมถามอย่างเกรงใจ เห็นอีกฝ่ายเหนื่อยก็อยากจะพาไปส่งที่คอนโดก่อนแล้วค่อยออกมาคนเดียวอยู่หรอก แต่เพราะว่ารู้นิสัยของมันดีถึงเหนื่อยแค่ไหนก็คงขอตามออกมาด้วยแน่ ๆ


“ไปดิ ไปไหนไปกันอยู่แล้ว”


เมื่อรถจอดเทียบหน้าบ้าน โอมอินคงรู้ได้ทันทีว่าผมมีเรื่องบางอย่างกวนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องปกตินักที่ผมจะกลับมาบ้านกลางดึกทั้งที่เหนื่อยและควรพักผ่อนมากกว่า


“คุยกันดี ๆ ล่ะ กูรอในรถนะ”


ผมร้องหึในลำคอเมื่อได้ยินอย่างนั้น มาถึงขั้นนี้แล้วการที่โอมบอกว่าจะรอในรถก็แปลได้อย่างเดียวว่าล้อเลียนผมเมื่อก่อน “เอาคืนเหรอ” 


“กูเปล่า แค่คิดว่าบางเรื่องก็ปล่อยให้พ่อลูกได้คุยกันตามลำพังดีกว่า ขอแค่มึงรู้ไว้ว่ากูอยู่ข้าง ๆ เสมอก็พอ”


ผมพยักหน้ารับ รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “หลับรอเลยก็ได้นะ”


“เดี๋ยวศร”


“หือ?”


“อดีตน่ะ แก้ไขไม่ได้หรอกนะ ถ้าเราวางมันลงได้ก็ดีนะ อาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าการทำปัจจุบันให้ดีมันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว”


ผมมองหน้าโอมอินนิ่ง รู้สึกอยากขอบคุณพี่สัมที่พาผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตผม


มุมปากโค้งขึ้นแทนการตอบรับก่อนพยักหน้าให้น้อย ๆ แล้วลงจากรถ


ก็คงจริงอย่างที่โอมบอก เพราะเราล้วนเป็นผลผลิตจากตัวเราในอดีต ถ้าผมปล่อยให้ปัจจุบันมีแต่อดีตเลวร้ายครอบงำมานำพาชีวิต ในอนาคตผมก็จะยังคงมีแต่อดีตที่นึกถึงทีไรก็เศร้าหมอง แต่หากผมทำปัจจุบันให้ดี ไม่ช้าไม่นานผมก็จะมีความสุขกับชีวิตได้หมดทั้งใจ









พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 23
------------------------------------------------------------------------------------------
ใกล้จบแล้ววววววววววว
จะจบได้ก่อนปีใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้ไหมน้าาา ฮ่าๆๆ
ฝากช่วงโค้งสุดท้ายนี้ด้วยจ้า อีกสองตอนเอง
แต่ได้คิดตอนพิเศษไว้แล้วตั้งแต่ยังไม่เริ่มเขียนตอนแรก ฮ่าๆๆ

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-12-2018 20:50:06
เคลียร์ทุกอย่างให้จบแล้วเริ่มต้นกับปัจจุบันนะคะศร  :hao5:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-12-2018 22:18:45
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-12-2018 09:27:55
 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 24-12-2018 02:58:43
เป็นกำลังใจให้ศรผ่านไปได้ คือแค่ศรอ้อนนิดๆหน่อย โอมอินก็เป็นขนาดนี้แล้ว ถ้าอ้อนยิ่งกว่านี้อะรู้เรื่องงง555555555555555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 22 P.8 [21/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 26-12-2018 12:34:34
 :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 30-12-2018 02:56:40
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 23

---OMIN---






ความหนาวเย็นของอุณหภูมิในห้องทำให้ผมซุกตัวหาไออุ่นจากคนข้าง ๆ ด้วยความเคยชิน แต่ความว่างเปล่าที่พบเจอทำให้ผมเผลอย่นหัวคิ้ว ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาออกปรับแสงภายนอกทั้งที่ยังอยากหลับตาต่ออีกหน่อย


ธรรมศรไม่อยู่แล้ว


ผมพลิกตัวนอนหงาย กวาดสายตามององค์ประกอบในห้อง หลาย ๆ อย่างต่างไปจากห้องที่ผมนอนอยู่ทุกคืน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยตื่นมาเห็นภาพนี้ ผมนวดหัวคิ้วเล็กน้อย จำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อคืนรอศรจนเผลอหลับไปบนรถ สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกตัวว่ากำลังถูกอุ้มก่อนจะปล่อยให้เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงอย่างที่ควรเมื่อได้ยินเสียงทุ้มน่าฟังกระซิบบอกว่าให้หลับ


ผมลุกขึ้นบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า พูดจากใจจริงเลยว่าอยากนอนต่อมาก ๆ แต่ดูจากแสงแดดข้างนอกแล้วก็คงต้องรีบลุกไปจัดการตัวเองแล้วลงไปข้างล่างให้เร็วที่สุด ไม่อาจทำตามใจได้เพราะเกรงใจเจ้าของบ้าน


ศรแปะโน้ตไว้บนประตูห้องน้ำว่าออกไปเรียน ถ้าผมตื่นก่อนเที่ยงจะกลับคอนโดก่อนก็ได้ มันทิ้งรถเอาไว้ให้ แต่ถ้าตื่นสายกว่านั้น ก็ให้รอกลับพร้อมกัน


ผมจัดการอาบน้ำให้สดชื่นก่อนค่อยมาเช็คว่ากี่โมงยามแล้วกันแน่ ภาวนาให้ไม่เกินเที่ยง บอกตามตรงว่ากลัวจะเสียคะแนนกับพ่อตา นอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้ใครเขาจะชอบวะ


แต่ความเพลียของร่างกายแม่งกลับทรยศ อีกสิบนาทีก็จวนจะบ่ายสองแล้ว จะกล้าเอาหน้าที่ไหนลงไปเจอคนอื่น ยิ่งถ้าวันนี้พ่อของศรอยู่บ้านด้วยแล้วผมคงทำหน้าไม่ถูก แต่ถึงจะอายแค่ไหนก็ต้องรีบลงไปก่อนที่จะยิ่งสายไปมากกว่านี้ และดูเหมือนว่านอกจากร่างกายจะทรยศผมแล้วโชคชะตาก็ไม่เข้าข้างเสียด้วย เพราะเพียงแค่เหยียบเท้าสัมผัสพื้นบ้านชั้นหนึ่งก็มีเสียงทักมาจากทางขวามือพอดี


“นึกว่าตายไปแล้ว กว่าจะลงมาได้นะ” ถ้าเป็นเพื่อนพูดแบบนี้ผมคงด่ากลับไปแล้ว แต่นี่เป็นพ่อแฟน ผมเลยทำได้แค่ยิ้มแห้งแล้วกล่าวคำขอโทษ


“ขอโทษครับ เพลียไปหน่อยเลยหลับไม่รู้ตัว”


“หิวรึยังล่ะ จะได้ให้แม่ครัวตั้งโต๊ะให้”


“ไม่รบกวนดีกว่าครับ”


“ถือว่านั่งเป็นเพื่อนฉันก็แล้วกัน”


“ท่านยังไม่ทานอาหารกลางวันเหรอครับ”


“กำลังจะไปนี่ไง”


ผมค่อนข้างแปลกใจที่บนโต๊ะอาหารมีเมนูโปรดของผมอยู่หลายอย่าง และเจ้าของบ้านคงสังเกตเห็นถึงได้อธิบายออกมา “ศรบอกว่าเธอชอบอาหารพวกนี้ ฉันเลยให้แม่ครัวทำเตรียมไว้ให้”


“ขอบคุณครับ”


“ไปขอบคุณลูกฉันเถอะ มันคงอยากให้เธอกินเยอะ ๆ หลังจากที่เหนื่อยมานาน” ไม่ใช่แค่เหนื่อยหรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมคุมอาหารเพื่อให้หุ่นออกมาสมบทบาทที่ได้รับจนอาจจะดูผอมเกินไปอย่างที่ศรเคยว่าไว้ “กินให้หมดเลยนะ ถ้าเหลือก็มีแต่ทิ้ง ไม่มีใครกินรสจัดเหมือนเธอ”


“ครับ”


ถ้าให้คนไม่ชอบรสจัดมาทำก็ถือว่านี่เป็นอาหารที่อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว คนนั่งหัวโต๊ะปล่อยให้ผมจัดการอาหารตรงหน้าไปได้พักใหญ่ก่อนจะปริปากพูดเรื่องสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง


“ยังไงก็ขอบใจนะที่นำลูกชายฉันมาคืน”


ผมยังไม่มีโอกาสได้คุยกับศรเรื่องเมื่อคืน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสบายใจหรือกังวลมากน้อยแค่ไหน แต่ดูจากการที่เมื่อคืนยอมนอนที่บ้านและยังบอกรายละเอียดความชอบของผมกับพ่อไว้อีกก็เดาได้ว่าความสัมพันธ์น่าจะดีขึ้นตามลำดับ


“เมื่อคืนศรบอกว่าอยากจะเริ่มต้นใหม่กับฉัน โดยที่ไม่ถามถึงเรื่องเก่า ๆ ให้เคลียร์เลยสักนิด มันบอกว่ามันไม่สนใจแล้วว่าความจริงเป็นยังไง พ่อกับแม่แยกกันเพราะอะไร...มันไม่สนใจแล้วหลังจากที่เธอบอกให้มันวางอดีตแล้วอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข”


ผมพอจะรู้ว่าเมื่อคืนศรขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกสับสนอยู่ไม่น้อย อารมณ์ด้านลบมากมายที่แสดงออกมาทางสีหน้าจนผมเองก็แยกไม่ออกว่ามันคืออะไร ไม่คิดว่าแค่คำพูดของผมจะทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่ทำให้กลับบ้านมาตอนดึกได้


“ถ้าลูกชายฉันไม่มีเธอ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง เราอาจจะยังมองหน้ากันไม่ติดไปจนตาย มันเองก็คงยังไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกรัก”


ผมตัดสินใจรวบช้อน “ผมทำด้วยความยินดีครับ”


เขาผายมือเชื้อเชิญให้ผมทานต่อให้หมด ผมยอมทำตามอย่างว่าง่าย ไม่อยากขัดขืนให้ขุ่นเคือง ขณะที่เขารวบช้อนเป็นอันเสร็จกิจมื้อกลางวัน ดื่มน้ำเรียบร้อยแล้วเอนพิงพนักมองผมด้วยท่าทีสบาย “ในฐานะคนเป็นพ่อ ฉันสะเทือนใจมากตอนที่ได้ยินว่าลูกคิดอยากจะตายอยู่หลายครั้ง...เธอเคยรู้เรื่องนี้บ้างไหม”


“ครับ” ผมไม่เคยได้ยินประโยคแบบนั้นตรง ๆ แต่ช่วงแรก ๆ ที่เราคบกันผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่าศรไม่ห่วงชีวิต พอผมเตือน เขาก็จะพูดเหมือนยิ่งจากโลกนี้ไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีหรือไม่ก็พูดเหมือนไม่มีแรงจูงใจในการมีชีวิตอยู่ คล้ายกับว่าวันไหนเบื่อก็พร้อมจะหาทางออกด้วยการปลิดชีพตัวเอง ไม่อย่างนั้นช่วงก่อนหน้านี้มันจะติดบุหรี่มากทั้งที่ไม่มีเหตุให้สูบไปทำไมกัน


“แต่เพราะเธอ ศรถึงได้เลิกคิดแบบนั้น”


“...”


“เพราะเธอ ศรถึงได้ไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป...ขอบใจเธอมากที่ดูแลลูกชายฉันด้วยความรัก”


อาหารอร่อยจริง ๆ ว่ะ


“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะเลิกคิดเรื่องทายาท”


รสชาติหมาไม่แดก…


“ผมเข้าใจครับ” ผมรวบช้อนแล้วดื่มน้ำตามเป็นการจบมื้ออาหาร


“ถ้าเธอสองคนอยากคบกันฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อยู่ในที่ลับได้ไหมล่ะ”


ตอนนี้แม้แต่น้ำก็ยังฝืดคอ


“ธุรกิจที่ฉันสร้างมาจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด...ศรต้องมีลูก”


หรือแม้แต่น้ำลายตัวเองก็ยังหนืดไปหมด


“แต่ถ้ามีทั้งแม่ของลูกและเธอไปพร้อมกัน มันอาจจะจบไม่สวยเหมือนฉันและแม่ของศร เด็กที่เกิดมาก็คงชะตากรรมเดียวกับพ่อมันเอง”


“...”


“ถอยซะ--”


“ขอโทษครับ” ผมเสียมารยาททะลุกลางปล้อง “แต่ผมยังยืนยันที่จะให้ศรเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เอง ถ้าเขาอยากสืบทอดงานของท่าน...”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคออย่างยากเย็นราวกับเป็นยาขม “...หรือแม้แต่เรื่องอยากมีลูก...ผมก็จะยอมรับครับ”


“แล้วทำไมไม่ยอมซะตั้งแต่ตอนนี้”


“ตอนห่างกันเพราะโกรธยังเจ็บปวดทรมานขนาดนั้น ไม่มีทางที่ผมจะเลิกกับศรทั้งที่ยังรักกันแน่ ๆ ครับ”


เขาเริ่มกอดอก “แล้วจะรอให้เจ็บมากกว่านี้ก่อนค่อยถอยเหรอ”


มุมปากขยับออกให้ริมฝีปากแบนบางเหมือนยิ้มจาง ๆ ที่อาจจะฝืดไปสักนิดในสายตาคนมอง “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ถ้าวันไหนผมถอย...วันนั้นคือวันที่ผมไม่ได้รักศรแล้ว”


เขากระตุกมุมปาก “ฉันคิดว่าเธอจะคิดว่าความรักคือการเห็นคนที่รักมีชีวิตที่ดีซะอีก”


“สำหรับผม...ความรักคือการเห็นคนรักมีชีวิตที่ดีในทางที่เขาเลือกเองครับ”


“...”


“ตั้งแต่ศรเลือกจะคบผม เขามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในหลาย ๆ อย่าง บางอย่างท่านเองก็รู้เพราะให้คนตามดูเขา และยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่มีใครเห็นนอกจากผม แต่ผมรู้ว่าท่านสัมผัสได้...และผมเชื่อว่าเราจะส่งเสริมกันไปในทางที่ดียิ่งขึ้นครับ”


“หึ ฉันจะรอดู”




ผมที่ทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการช่วยลุงจอมตัดแต่งต้นไม้ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อเมื่อเห็นธรรมศรขับรถกลับมาในตอนเกือบสี่โมงเย็น


“วางกรรไกรเถอะครับ คุณศรเธอกลับมาแล้ว” ลุงจอมบอกพร้อมรอยยิ้ม แต่ผมไม่ทำตาม ยังคงง้างกรรไกรตัดแต่งไทรเกาหลีให้เป็นทรงกระบอกเหมือนต้นก่อนหน้านี้


“นอนพอแล้วเหรอถึงออกมาตากแดดตัดต้นไม้แบบนี้”


ผมไม่ได้หันไปมองเจ้าของเสียง แปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเห็นว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่คิดว่าจะสนใจมองบริเวณรอบบ้านขนาดนี้ด้วย


“กูไม่ได้บอบบางขนาดนั้น”


“กูรู้” เสียงมันอ่อนลงจนผมตัองหันไปมองหน้าเพื่อสัมผัสความรู้สึกของคนรักให้ชัดเจนขึ้น ศรไหวไหล่ “ก็แค่ห่วงไง เห็นมึงเหนื่อยนอนน้อยมาหลายวัน กลัวว่ามาตากแดดแบบนี้จะเป็นลมเอาได้”


“กูโอเค”


“แล้วเนี่ย เหงื่อไหลเป็นน้ำตกเลยมึง” ศรไม่ว่าเปล่า อีกฝ่ายยื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผมแล้วยังเผื่อแผ่ไปปัดผมหน้าม้าออกให้พ้นตาด้วย


หน้าตาศรเวลาใส่ใจผมน่ามองมากก็จริงอยู่ แต่สายตาลุงจอมที่มองมาก็ทำให้ผมไม่อาจเพิกเฉยได้เหมือนกัน


“ศร พอเถอะ” ผมกระซิบบอก


“ทำไม”


ผมไม่ตอบแต่ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน แต่แทนที่เขาจะสนใจกลับตั้งหน้าตั้งตาเช็ดเหงื่อตามลำคอให้ผมด้วยราวกับจะแกล้งกัน


“คุณหนูพาคุณโอมไปพักเถอะครับ เธอตากแดดตรงนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว”


คำที่ลุงจอมใช้เรียกธรรมศรทำให้ผมหลุดขำน้อย ๆ


“ขำอะไรของมึง”


คุณหนู เหมาะกับมึงดีนะ”


“สัด!”


“จะไม่เหมาะก็ตรงนี้แหละ”


“ก็กูไม่ใช่คุณหนูหรือคุณชายอะไรทั้งนั้น...ลุงเองก็เลิกเรียกแบบนั้นเถอะครับ ผมไม่ใช่เด็กชายสองขวบที่ลุงรู้จักหรอก”


ลุงจอมไม่เถียงต่อ ชายวัยเกษียณแค่รับปากครับ ๆ แล้วเข้ามาแย่งกรรไกรในมือผมคืนไปพร้อมออกปากไล่กลาย ๆ ให้เราเข้าไปในบ้านกันเสียที


“พ่อไม่อยู่เหรอวะ”


ผมอมยิ้มเมื่อเห็นศรมองซ้ายมองขวาหาผู้เป็นพ่อและยังเรียกคำขานนั้นชินปากเสียแล้ว


“ออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายสาม”


“งั้นมึงอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็จะกลับกันเลย”


“ไม่รอกินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ”


“เบื่อหน้าแล้ว”


“ศร” ผมพูดเสียงแข็งขึ้น ไม่ชอบเวลามันพูดตัดเยื่อใยด้วยสีหน้าเรียบเฉยเอาเสียเลย ดูเย็นชาจนถ้าคนถูกพูดถึงมาได้ยินคงเสียใจมาก


“เขาไม่กลับมากินกับเราหรอก”


ผมมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ศรเอ่ยเร่งให้ผมขึ้นไปอาบน้ำเสียทีซ้ำอีกครั้งแต่ผมก็ยังอยู่ที่เดิม “มึงโอเคกับพ่อรึยัง” ผมเลือกใช้น้ำเสียงอ่อนลงเพื่อให้รู้ว่าผมเป็นห่วงเรื่องนี้จริง ๆ


“ปรับตัวอยู่ ขอเวลาหน่อยดิ”


ผมพยักหน้ารับพร้อมยิ้มมุมปาก ยื่นมือไปยีผมอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว “ทำตัวให้น่ารักหน่อย”


...อนาคตของเราอยู่ในมือมึงนะ






ชีวิตปีสี่ของผมบันเทิงมากกว่าตอนเรียนปีหนึ่งเสียอีก แทนที่จะได้ใช้เวลาทั้งหมดในการทำสารนิพนธ์ในรูปแบบหนังสั้นควบคู่กับการเรียนรายวิชาบังคับแค่ไม่กี่หน่วยกิจแต่กลับต้องแบ่งเวลาให้กับวิชาอื่น ๆ อีกเพราะเก็บหน่วยกิจไม่ครบ แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างตรงที่ผมจะได้ไม่ต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการรอศรอย่างห่อเหี่ยวที่ห้องตามลำพัง และสถานที่ที่ใช้ในการคิดงานศิลป์และปรึกษาผู้มีประสบการณ์ก็หนีไม่พ้นร้านเหล้า


ยามเย็น…


ร้านเหล้าเล็ก ๆ ใกล้มหาวิทยาลัยคือจุดรวมพลที่พี่สัมนัดมาเพื่อ ‘ดูตัว’ นักแสดงหนังสั้นของผม


แม่งเหมือนปีที่แล้วเป๊ะ ๆ เลย


เหมือนแม้กระทั่งคนอื่น ๆ ที่มาร่วมโต๊ะกันในวันนี้ด้วย


“กับคนนี้มึงจะชอบเหมือนคนก่อนไม่ได้นะเว้ย” พี่สัมเตือนตอนที่รินเหล้าแก้วที่สามให้ผมขณะกำลังรอใครคนนั้นอยู่


“ไม่มีทางหรอก”


“ให้มันแน่ เห็นกูเหี้ยแบบนี้แต่กูก็เป็นคนรักน้องรักพวกพ้องนะเว้ย”


ผมส่ายหัวระอาคนช่างพูดช่างจาที่ดูท่าจะเริ่มกรึ่ม ๆ ก่อนคนที่ตัวเองนัดไว้จะมาถึงเสียอีก


ร้านยามเย็นเป็นร้านอาหารกึ่งผับ โซนห้องแอร์ที่เรานั่งกันอยู่ใกล้กับพื้นที่เล่นดนตรีสดที่เหมาะสำหรับวงที่มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้น บรรยากาศรบข้างมีแต่คนมานั่งคุยกันมากกว่าสนุกไปกับดนตรีหรือการหาเพื่อนแก้เหงากลับบ้าน พอพี่สัมพูดถึงครั้งก่อนก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงตอนนั้น อีกฝ่ายเดินหน้าบูดเข้ามาถึงก็บ่นกับพี่สัมทันทีว่าไม่ชอบร้านนี้เพราะอดหว่านเสน่ห์ แต่นั่งไปนั่งมาสุดท้ายมันก็ได้เบอร์สาวไม่ต่างจากไปในที่คนเนืองแน่นเลยสักนิด


นึกแล้วก็โคตรหมั่นไส้


“อย่ามัวใจลอยถึงคนเก่า คนใหม่มมาถึงแล้ว” เสียงพี่สัมดึงผมกลับมาพบกับคนมาใหม่ที่ยืนหอบน้อย ๆ อยู่ตรงหน้าก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามผมพร้อมรอยยิ้มแหย


“ขอโทษที่สายครับ พอดี--”


“ไม่ต้องพูด” ผมตัดบทจนอีกฝ่ายหน้าเสีย แต่สาบานได้ว่าที่พูดออกไปไม่ใช่เพราะเคืองที่อีกฝ่ายมาสาย ไม่เลยสักนิด


“ไร้เยื่อใยมาก กูนึกว่ามึงเลิกนิสัยนี้ไปแล้วตั้งแต่คบไอ้ศร” ผมไหวไหล่ กับคนแปลกหน้าก็เป็นแบบนี้แหละ ไร้เยื่อใย หน้าตาย ไร้อารมณ์ร่วม ไม่ได้หายไปอย่างที่อีกฝ่ายพูดหรอก


“ไอ้นี่มันชื่อโอม บางคนก็เรียกโอมอิน บอกไว้กันงง มันคือคนที่มึงจะร่วมงานด้วย” พื่สัมแนะนำผมให้คนมาใหม่รู้จัก


“ส่วนนี่ไอ้ภัทร ปีหนึ่งบริหาร ตรงตามที่มึงร้องขอ”


“สวัสดีครับ”


ผมรับไหว้เด็กที่ตรงข้ามกับธรรมศรทุกอย่าง ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ยามยกมือไหว้ รูปร่างเล็กบอบบางที่กะส่วนสูงคร่าว ๆ จากตอนที่มันยืนค้ำหัวเมื่อครู่ก็บอกได้เลยว่าไม่มีทางสูงกว่ายอดอกผมแน่ หน้าตาสวยหวานเกินชาย ผิวพรรณก็ขาวมีออร่าอย่างกับแดกหลอดไฟนีออนแทนอาหาร ยิ่งเสียงพูดตอนกล่าวคำทักทายยิ่งทำให้แน่ชัดว่าเจ้าตัวมีรสนิยมทางเพศแบบไหน


ไอ้พี่สัมแม่งเล่นกูอีกแล้ว


“ผมขอแบบนี้เหรอ”


พี่สัมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อคนของตัวเองดึงชายเสื้อยิก ๆ พร้อมส่งสายตาสื่อคำถาม “มึงน่ากลัวเกินไปแล้วไอ้โอม ปกติไอ้ภัทรแม่งโคตรขี้โวยวาย แต่วันนี้ไม่กล้าเว้ย มันกลัวมึงแน่ ๆ”


“พี่สัม!!” ว่าไม่ทันขาดคำ เสียงแหลมเล็กน่ารำคาญก็ดังแทรกเสียงเพลงขึ้นจนน่าจะได้ยินกันทั้งร้าน


“รู้จักพี่มันได้ไง” เด็กนั่นหน้าตาเหรอหราทันทีที่ถูกถาม “เลิกคบมันเถอะ”


“อ้าวเห้ย! อย่ามายุแยงตะแคงรั่ว ตกลงจะเอาไหม หรือหาคนอื่น”


ผมมองคนตรงหน้านิ่ง หน้าตาสวยเกินชายดูรั้นนิด ๆ ตรงข้ามกับนิสัยจริงที่คงจะดื้อมากทำให้ผมลังเล แต่ร่างกายบอบบางทั้งยืดหยุ่นและแตกหักง่ายในเวลาเดียวกันคือสิ่งที่ผมต้องการ


“เอาคนนี้แหละ”


หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าภัทรจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้น ผ่อนคลายและเป็นตัวเองมากขึ้นในทันที ในสายตาผมมันเป็นคนช่างจ้อ พูดมาก พูดไปเรื่อย เข้ากับคนง่าย ดีอย่างที่ผมไม่ต้องใช้เวลาหลังจากนี้ในการทำความคุ้นเคยกับนักแสดงของตัวเอง เวลาทำงานจริงคงง่ายขึ้นด้วยจะด่าจะว่าอะไรก็ได้


ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้เวลากับที่นี่นาน แค่อยู่ให้ถึงช่วงที่ศรเลิกซ้อมละครเวทีก็พอ ไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกอีกฝ่ายไลน์มาตาม เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง


DharmaSORN : จะกลับกี่โมง


ผมเหลือบดูเวลาตรงขอบบนของหน้าจอ อีกยี่สิบนาทีจะสี่ทุ่ม ยังไม่ถึงเวลาเลิกซ้อมเหมือนวันอื่น ๆ เลย


OMIN : ไม่เกินเที่ยงคืน


ที่รีบตอบทันทีที่เห็นก็เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจได้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้ติดพันสาวคนไหนอยู่ แต่ที่ตอบกลับไปแบบนั้นก็แค่แกล้งแหย่เล่นเท่านั้น ใครจะใจร้ายปล่อยให้แฟนอยู่ห้องเหงา ๆ คนเดียวถึงเที่ยงคืนได้ลงคอ


DharmaSORN : ขับรถกลับไหวไหมวะ

OMIN : จริง ๆ แล้วอยากถามว่า ‘เมาไหม’ ใช่ไหม

DharmaSORN : อยากถามว่ากลับเลยได้ไหมต่างหาก


โอเค ลุกสิครับจะรออะไร


“นี่ค่าเหล้้า” ผมหยิบแบงก์สีม่วงยัดใส่มือพี่สัม


“จะกลับแล้วเหรอวะ”


ผมยกแก้วตัวเองซดเครื่องดื่มที่เจือจางไปมากแล้วจนหมด “อืม”


“อะไรวะ เมียตามแล้วเหรอ”


“อือ”


“เดี๋ยวนี้ผลัดกันแล้วเหรอวะ จากเคยตามเมียกลายเป็นเมียตามเฉยเลย”


“ต่อให้ศรไม่ตามผมก็จะรีบกลับไปหามันอยู่แล้ว”







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 30-12-2018 02:57:20
ไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็กลับถึงห้อง ไฟตรงห้องนั่งเล่นไม่ได้เปิดไว้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการคลำทางของผม สองขาสามารถพาร่างตัวเองเข้าห้องนอนได้โดยไม่ชนสิ่งกีดขวางใด ๆ ไฟในห้องนอนก็ไม่ถูกเปิด แต่เจ้าของห้องที่ยืนตรงระบียงข้างนอกกลับฉายชัดในสายตาเพราะแสงสว่างของเมืองหลวง


ศรยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น ชุดนอนของเขายังคงมีแค่กางเกงผ้าแพรขายาวเท่านั้นเช่นเคย ขอบกางเกงที่รั้งเอวไว้หมิ่นเหม่ยิ่งเสริมให้แผ่นหลังเปลือยเซ็กซี่มากขึ้น อีกทั้งยังไม่งุ้มงอเหมือนคนขาดความอบอุ่นหรือมีเรื่องทุกข์ใจอย่างทุกทีอีกด้วย


ความจริง แค่ไม่เห็นควันบุหรี่พวยพุ่งในบริเวณนั้นผมก็สบายใจขึ้นมากแล้ว


ผมเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังแล้วหอมแก้มอีกฝ่ายหนึ่งครั้ง กลิ่นเนื้อเมียชื่นใจเป็นบ้า


“ไปเจอเพื่อนร่วมงานมาเป็นไงบ้าง”


“ก็ดีนะ ถึงจะไม่ตรงตามสเปคที่อยากได้นักแต่ก็พอหยวนได้อยู่” ผมยังยืนซ้อนหลัง โอบอีกร่างไว้ในอ้อมแขนด้วยการยื่นมือไปจับราวกั้นข้างหน้า วางคางไว้บนไหล่ที่บางกว่าตัวเองเล็กน้อยแล้วเอียงหน้าเข้าหาลำคอที่โคตรน่ากัด


“พี่สัมตาถึง เลือกคนเก่ง” ศรไม่มีท่าทีรำคาญหรือผลักไส


ผมลอบยิ้ม เป่าลมใส่คออีกฝ่ายเล่น “อือ เลือกมากี่คนก็ถูกใจตลอด”


“ชอบเขาแล้วดิ”


“หึงก็บอกว่าหึงสิวะ”


“เออหึง!”


“กลัวอะไรวะ กูรักมึงคนเดียวนะ”


“เดี๋ยวสายตามึงก็จะต้องจดจ่ออยู่แต่หน้าเขา ขี้คร้านจะซ้ำรอย”


“หึ กูรักมึงมากขนาดนี้ จะปันใจไปหาใครได้อีกวะ” ผมจูบประทับตราลงกับลาดไหล่เปลือยอย่างเอาใจ


“ไปอาบน้ำ กูง่วงแล้ว” ศรว่า น้ำเสียงฟังดูอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่แทนที่ผมจะเอาใจด้วยการไปอาบน้ำกลับเลือกที่จะยังยืนอยู่ในท่าเดิมแล้วจูบไล่ตั้งแต่ลาดไหล่ไปจนถึงต้นคอ จนกระทั่งริมฝีปากแตะกกหูยังไม่ทันย้ายไปหาเป้าหมายใหม่อย่างติ่งหูก็ถูกดุด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียก่อน


“ไม่โอม กูโคตรง่วง”


แพ้อีกแล้ว


ผมอมยิ้ม จบความพยายามของตัวเองด้วยการหอมแก้มฟอดใหญ๋อีกหนึ่งครั้ง “มึงหลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวกูออกมานอนกอด”


ศรพยักหน้าให้ผมทีหนึ่ง ผมจึงทิ้งท้ายด้วยการจูบมุมปากเขาจากด้านข้างก่อนผละไปอาบน้ำ






แม้เวลาว่างจะมีน้อยแต่ความสัมพันธ์ของศรกับพ่อก็แน่นแฟ้นเร็วสมคำกล่าวที่ว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกย่อมตัดกันไม่ขาด เช่นเดียวกันกับผมที่กลายเป็นสมาชิกของบ้านหลังนั้นได้เพียงแค่การไปเยือนเพียงไม่กี่ครั้ง


เมื่อเรื่องของเราเป็นที่รับรู้ของครอบครัวฝั่งธรรมศรแล้ว ก็คงจะเหลือแต่ฝั่งผม ถ้าไม่รีบบอกอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ในภายหลังได้ แต่จะให้อยู่ ๆ ก็เดินโทง ๆ เข้าไปบอกก็คงไม่ได้ คงต้องหาวิธีการทำให้แม่ค่อย ๆ รู้ ค่อย ๆ ซึมซับความรู้สึกของผมกับศรที่ไม่อาจปิดซ่อนเอาไว้ได้อีกแล้วแทน


ช่วงกลางสัปดาห์ก่อนละครเวทีรอบแรกผมโทรไปหาแม่ด้วยความตั้งใจที่จะชวนไปดูศรเล่นด้วยกัน ทั้งที่ความจริงผมซื้อบัตรเตรียมไว้ก่อนแล้วเพราะคาดหวังไว้สูงว่าอย่างไรเสียจะต้องได้ใช้


“เอ่อ...แม่ครับ ศุกร์หน้ามีละครเวทีของคณะสถาปัตย์รอบแรก คือว่า….ไอ้ศรเล่นเป็นพระเอก แม่อยากไปดูกับผมไหมครับ” ผมเอ่ยถามตรงประเด็นหลังจากซักถามไล่เลียงทุกข์สุขกันแล้ว


เธอเงียบไปพักหนึ่ง เสียงกุกกักในบ้านบอกว่าสายยังไม่ถูกตัด [ไปสิ...] ผมลอบถอนหายใจ [....ชวนน้องสาวเราไปด้วย]


“เอมจะไปรอบสุดท้ายครับ”


[ชวนยัยอิมไปด้วย ความจริงถ้ารอบแรกเอมไม่ติดอะไรก็ไปด้วยกันให้พร้อมหน้าเนี่ยแหละ]


“ครับ? แม่หมายถึง...”


[แม่ไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกนะโอม แม่สงสัยตั้งแต่วันที่เราพาเขามานอนที่บ้านแล้ว แต่ลูกต้องให้เวลาแม่หน่อย แม่เป็นอาจารย์ ให้ความยุติธรรม ความเสรีและเสมอภาคกับนักศึกษาในเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่พอเกิดขึ้นกับแม่จริง ๆ ในฐานะของคนเป็นแม่ที่ถอดหัวโขนอาจารย์ออกแล้ว มันก็ยากที่จะทำใจได้อยู่เหมือนกันนะ]


“ผมเข้าใจครับ...ขอโทษด้วยที่ผมเป็นแบบนี้”


[โอมไม่ผิดหรอกลูก แม่รู้ แม่สัมผัสได้ว่าระหว่างลูกสองคนมันไม่ใช่แค่ความรู้สึกฉาบฉวย ลูกดูแลกันและกันอย่างดี แต่ขอเวลาให้แม่หน่อยนะ]


“ขอบคุณครับ ผมรักแม่มากนะครับ”


[แม่ก็รักลูกนะ ตั้งแต่พ่อเขาจากเราไป แม่บอกกับตัวเองว่าจะเลี้ยงลูก ๆ ด้วยความรักและความเข้าใจ แม่จะรับฟังก่อนตัดสินว่าดีหรือไม่ดี]


“ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกเรานะครับแม่”


ผมโชคดีจริง ๆ ที่มีแม่เข้าใจในตัวผม อย่างน้อยท่านก็พยายามจะเข้าใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านเป็นอาจารย์หรือเปล่าที่ทำให้ท่านเข้าใจคนวัยอย่างผมมากพอสมควรโดยไม่ตั้งคำถามย้อนกลับให้ต้องลำบากใจ


โชคดีของผมจริง ๆ





ในที่สุดก็ถึงวันสุดท้ายที่ศรต้องซ้อมละครเวที ตลอดเวลาที่ซ้อมมานานเกือบสองเดือนมันไม่เคยให้ผมไปรับไปส่งหรือไปเฝ้า ทั้งที่ผมเป็นห่วงว่ามันจะเหนื่อยจนขับรถกลับไม่ไหวแต่มันก็ยังยืนยันว่าไม่ให้ไปรอรับอยู่ดี แฟนที่ดีอย่างผมจึงทำได้แค่นั่งดูหนังรอมันกลับมาเท่านั้น จนวันนี้ในเวลาเกือบห้าทุ่มศรก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าที่เพลียสุดชีวิต


“จะเป็นซากศพเดินได้อยู่แล้วยังขับรถกลับมาเองอีก” อดไม่ได้ที่จะบ่น แต่คนถูกบ่นไม่ต่อปากต่อคำด้วย ร่างที่เหมือนศพเข้าไปทุกทีเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนอนหนุนหมอนอิงบนตักผม พาดตัวยาว ๆ ไปตามโซฟาจนช่วงขาท่อนล่างเลยพนักแขนออกไป


“อ้อนเหรอ” ผมถามยิ้ม ๆ แต่อีกฝ่ายไม่เห็นเพราะหลับตาไปแล้ว


“เหนื่อย ขอพักหน่อย”


ผมปัดผมหน้าม้ามันออก เปิดหน้าผากใสรับลมเย็นอ่อน ๆ จากเครื่องปรับอากาศ อยากจะได้ผ้าเย็นสักผืนมาเช็ดเพิ่มความสดชื่นให้อีกฝ่าย แต่ถ้าลุกออกไปตอนนี้มีหวังโดนโวยมากกว่าจะซึ้งใจแน่


ใบหน้าไร้ที่ติมีรอยย่นระหว่างคิ้วช่างขัดตาผมเสียจนต้องวางนิ้วลงไปคลึงเบา ๆ “คิดอะไรอยู่”


“หือ?”


“มึงขมวดคิ้ว”


“แค่เหนื่อยอ่ะ” ศรตอบเสียงยานที่บ่งบอกว่าเหนื่อยจริง ๆ


เมื่อเห็นว่าลูบอย่างไรหัวคิ้วเข้มก็ยังไม่ยอมเคลื่อนออกจากกันผมจึงก้มลงไปทาบริมฝีปากแทนที่นิ้ว


“อืมมม” ศรครางเสียงรำคาญ เห็นใบหน้าที่ช่วงนี้ดูโทรมกว่าปกติยู่ลงยิ่งกว่าเดิมเลยยิ่งอยากแกล้งต่ออีกหน่อย


ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปวางแหมะบนหน้าท้องอีกฝ่าย กล้ามเนื้อใต้ร่มผ้ากระตุกเกร็งเล็กน้อยตอนที่เราสัมผัสกัน แต่เจ้าตัวยังไม่โวยวายอะไรมากไปกว่าเสียงครางเหมือนเดิม ผมกระตุกยิ้ม ชักอยากได้ยินเสียงครางด้วยโทนอารมณ์อื่นมากกว่าเสียแล้ว


ฝ่ามือค่อย ๆ ขยับอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันริมฝีปากก็ค่อย ๆ ลากผ่านลงมาตามส่วนเว้าโค้งของเครื่องหน้าทิ้งความร้อนผ่าวไปทุกทางผ่าน หยุดกดลึกตรงปลายจมูกโด่งเล็กน้อยก่อนไปหยุดที่เป้าหมายหลักอย่างกลีบปากนุ่ม ศรไม่ยอมเปิดปากแต่ก็ไม่หลบเลี่ยง ผมทั้งกดทั้งดูดดึงแต่อีกฝ่ายก็ยังใจแข็ง ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้ผมสนุก มือที่ไล้อยู่ช่วงท้องขยับเร็วขึ้นอีกหนึ่งจังหวะจนคนถูกลวนลามรู้ตัวแล้วรีบตะปบมือผมให้หยุดไว้ได้ในตอนที่ปลายนิ้วเริ่มแตะผิวเนื้อหน้าท้อง


“ซน!” ศรเผลอขยับปากพูดทั้งที่ผมยังแนบริมฝีปากอยู่ แล้วมีหรือที่คนที่กำลังรอจังหวะอยู่อย่างผมจะรอช้า จะจูบศรได้ไม่ต้องรอให้ใครมาตัดริบบิ้นหรอกครับ ผมจัดการเองได้หมด


แปลกใจนิดหน่อยที่คนบ่นว่าเหนื่อยไม่ได้ต่อต้านหรือเย็นชาใส่แต่กลับจูบตอบอย่างไม่ยอมลงให้กันจนกลายเป็นว่าผมเป็นฝ่ายถูกชักจูงให้เคลิบเคลิ้มเสียอย่างนั้น


ฉิบหาย! พอได้สัมผัสก็กลายเป็นหยุดไม่ได้แล้วครับ


เราไม่ได้มีอะไรกันเป็นจริงเป็นจังนานเป็นเดือนแล้วนะครับ ช่วงที่ผมซ้อมละครหนักก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำ และกลัวว่าถ้าออกแรงเยอะจะไม่มีแรงไปซ้อมอีก เลยได้แค่ผลัดกันใช้มือช่วยภายนอกแก้ขัด พอผมจบการแสดงละครเวทีก็เข้าสู่ช่วงที่ศรต้องซ้อมหนักอีก ช่วงนี้ผมใช้แรงได้ไม่อั้น แต่คนรับแรงอย่างศรไม่ไหวแน่ เราเลยใช้มาตรการเดิมในการเติมรักกันไปก่อน ไม่เคยได้มากกว่านั้น แต่พรุ่งนี้ศรได้พัก กามารมณ์ที่ถูกกดไว้นานมันเลยประทุออกมาจนยากที่เหตุผลต่าง ๆ นานาจะเอาอยู่แล้วครับ


ขณะที่จูบของเราเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ มือผมก็หลุดจากการเกาะกุมของศร ค่อย ๆ รุกล้ำเข้าเขตต้องห้ามมากขึ้นเช่นกัน ผมแทรกมือผ่านขอบกางเกงยีนส์ที่ขนาดพอดีเอวไปอย่างยากลำบาก อยากจะย้อนขึ้นมาปลดตะขอก่อนแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะไหวตัวทัน


“อื้อออ อย่ากวน” ศรตามมายั้งมือผมไว้ได้อีกครั้ง คราวนี้ผมเลยยอมดึงมือกลับมา แต่ไม่ได้เพื่อยอมแพ้ ผมถอยออกมาเพื่อปลดตะขอกางเกงอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรกต่างหาก ส่วนริมฝีปากเราก็ผละจากกันแล้ว ผมซุกจมูกทั้งดมทั้งหอมไปทั่วหน้าอีกฝ่าย ยิ่งได้ยินเสียงฟึดฟัดขัดใจเป็นปฏิกิริยากลับมาก็ยิ่งไม่อยากหยุด


“อ่าห์ โอม กูเหนื่อยอยู่นะ” นอกจากเสียงครางจะเริ่มเข้าใกล้โหมดอารมณ์ที่ผมต้องการแล้วเสียงพูดก็ยังแหบพร่าลงด้วย


ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าศรบอกว่าไม่ ผมก็จะไม่ทำ แต่ครั้งนี้ มันยากอยู่นะครับที่คนอดอยากปากแห้งมานานอย่างผมจะอดกลั้นได้ไหว “เหนื่อยก็อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวกูทำเอง”


“สัด ไม่สนใจเลยสินะว่ากูเหนื่อย”


“พรุ่งนี้มึงได้พักเต็ม ๆ หนึ่งวัน กูจะดูแลมึงอย่างดีเลย”


“เอาแต่ได้ตลอด” ศรบ่นอุบแต่กลับแน่นิ่งไม่ขยับหนี


“ก็เอาแต่กับมึงคนเดียว”


“...”


“...นะ”


ศรหลบสายตา “ดี ๆ นะมึง”


ผมยิ้มกริ่ม “จะปรนนิบัติอย่างดีเลยครับคุณชาย”


“กวนตีน”


ผมเริ่ม ‘ปรนนิบัติ’ ด้วยการมอบรสจูบดูดดื่มให้อีกฝ่าย ยิ้มย่องอยู่ในใจว่าทนได้ก็ทนไป แต่พนันได้เลยว่าศรทนได้ไม่เกินห้านาทีแน่ อย่างเก่งก็แค่สิบนาทีเท่านั้น เพราะแม้ปากจะบ่นว่าเหนื่อยแต่ลึก ๆ แล้วก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ว่าตัวเองก็มีความต้องการเหมือนกันกับผม


เสียบจ๊วบจ๊าบดังตามจังหวะที่เราดูดดึงกันและกัน มือข้างที่จับอยู่จุดยุทธศาสตร์ก็ทำการบีบคลึงแก่นกายอีกฝ่ายใต้กางเกงในสีเข้ม แต่ในจังหวะที่ผมผละออกเพราะจะลุกจากที่นั่งนั่นเองที่ผมถูกหยุดการดำเนินบทรักเอาไว้อีกครั้ง


“ไม่เอาโซฟา ทำความสะอาดยาก”


“แล้วเดินเข้าห้องไหวไหมวะ”


ศรส่ายหน้า “อยากอาบน้ำ”


ผมยิ้มกริ่ม บอกแล้วว่ามันทนไม่ได้เกินห้านาทีหรอก ได้ทีเลยเย้ากลับเสียหน่อย “ไหนบอกว่าเหนื่อยไง”


“ก็เหนื่อย แต่อยากอาบน้ำ ไปถูหลังให้หน่อย”


“จะทำความสะอาดให้ทุกซอกทุกมุมเลย”


“เดี๋ยวนี้ทำไมหื่นจังวะ กูชักกลัวมึงแล้วนะ”


อดอยากปากแห้งมานาน จะไม่ให้มีความต้องการมากกว่าปกติได้อย่างไรกันละวะ!







ละครเวทีสถาปัตย์เปิดแสดงทั้งหมดสิบรอบเช่นเดียวกัน ทว่าจัดแสดงที่หอศิลป์ของคณะตัวเองที่ว่ากันตามตรงแล้วก็ใหญ่พอกันกับหอประชุมส่วนกลางที่คณะผมใช้ไปเมื่อครั้งก่อน


วันนี้แม่กับน้องสาวทั้งสองของผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาดูศรแสดงพร้อมกัน ผมจึงยกหน้าที่ให้เอมพาแม่กับอิมมาที่นี่ แค่แม่กับอิมมาดูละครเวทีของศรผมก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งเห็นว่าแม่ถือช่อดอกไม้ไม่ใหญ่ไม่โตมาด้วยก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาจนถูกแม่แซวเข้าให้ว่าเดี๋ยวนี้ชักจะยิ้มเก่งเกินไปแล้ว


ผมฝากช่อดอกไม้สำหรับศรไว้กับเอมและให้เธอพาแม่กับน้องเข้าไปข้างในก่อน ส่วนตัวเองก็รอรับพ่อของศรอยู่ข้างนอก รออยู่อย่างนั้นไม่นานนักผมก็เห็นอีกฝ่ายเดินมาแต่ไกล


“พี่โอม!” เจ้าของเสียงคือน้องเพชร ลูกพี่ลูกน้องของธรรมศร เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางผมพร้อมจูงมือคนที่ผมจำได้ดีว่าคือใครเข้ามาด้วย


“สวัสดีครับ” และผมก็ไม่พลาดที่จะทำความเคารพ


“คนนี้น่ะเหรอ…” อาภพหันไปถามลูกสาว


“คนนี้แหละ ลูกเขยฉัน”


ผมยกมือไหว้คนมาใหม่ ขณะที่อาภพยิ้มน้อย ๆ ให้เจ้าของเสียงแทรกที่เดินตามหลังมาแต่ไม่เสียเวลาแซวต่อ เขากลับมาให้ความสนใจผมมากกว่าแทน “ครั้งก่อนที่เจอยังไม่ได้คุยกัน ดีใจจริง ๆ ที่วันนี้บังเอิญได้เจอกันอีกครั้ง”


“ไม่ใช่ว่ามางานนี้เพราะตั้งใจมาเจอเด็กคนนี้เหรอ”


อาภพปรายตามองพี่ชายตัวเองเล็กน้อย “เพชรพาลุงเขาเข้าไปนั่งข้างในก่อนนะลูก”


พ่อของศรฟึดฟัดแต่ก็ยอมตามเพชรเข้าไปข้างใน


“อารู้เรื่องพ่อลูกเขาคืนดีกันแล้วนะ ไม่ผิดหวังในตัวโอมจริง ๆ กับที่ฟังมา”


“ฟัง? ใครเล่าอะไรให้ฟังเหรอครับ”


อาภพยิ้มใจดี “เมื่อก่อนศรเล่าให้อาฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าโอมเข้ามาเปลี่ยนความคิดเขาได้หลายอย่าง ล่าสุดนี่ก็คงเพราะโอมเหมือนกันใช่ไหม”


ผมยกมือเกาท้ายทอยแก้เขิน “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ศรเปลี่ยนได้เพราะตัวเอง”


“ศรบอกอาเสมอว่าเพราะโอม เขาถึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อแม้จะไม่มีใครอื่นอีก” อาภพยื่นมือมาวางบนไหล่ผม “อาดีใจนะที่ศรมีโอม และอาขอฝากไว้หนึ่งอย่าง”


“...”


“เคล็ดลับของการรักษาความรักก็คือการเข้าไปอยู่ในใจของกันและกัน...โอมเข้าใจอาไหม”


“เข้าใจครับ”


ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น พึงกระทำกับคนอื่นเหมือนอย่างที่เราอยากให้คนอื่นกระทำกับเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของกันและกันด้วย เพราะอย่างนั้น การเข้าไปอยู่ในใจของกันและกันจะช่วยลดความไม่เข้าใจกันและปัญหาอื่น ๆ ที่จะตามมาได้


เรายิ้มให้กัน ผมสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังถูกต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวนี้อย่างอบอุ่น ผมมาไกลเกินกว่าที่คิดไว้มาก ความสัมพันธ์ของผมกับศรถลำลึกเกินกว่าวันที่ตัดสินใจคบกัน


แต่มันเป็นเรื่องที่ดีมากจริง ๆ


ดีที่เราได้เจอกัน



ศรดูดีในทุกชุดที่สวมใส่ตลอดทั้งเรื่อง ดูดีมากจนผมได้ยินเสียงกรี๊ดแว่วเข้าหูทุกฉากที่มันออกมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟนผมรูปงามมากขนาดไหน โกหกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าไม่หวง แต่เพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ จึงจำต้องทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจเอาเอง แต่กว่าจะจบได้ก็เล่นเอาหงุดหงิดใจจนเหนื่อย นี่ผมต้องทนฟังเสียงทำนองนี้ไปอีกเก้ารอบที่เหลืออย่างนั้นหรือ


“เกินเรื่อง” ยัยอิมกระซิบเหน็บผมที่ปรบมือเสียงดังและยาวนานหลังจากที่ม่านการแสดงปิดลง หน้าตาบ่งบอกว่าหมั่นไส้ผมเต็มทีแล้วจนผมต้องโยกหัวเด็กแก่แดดเพื่อเอาคืนเสียหน่อย


ช่วงที่มีการแสดงความยินดีกับนักแสดงและทีมงานผมให้แม่เข้าไปหาศรก่อน แต่ก็หลังจากฝั่งครอบครัวศรอยู่ดีโดยที่มีผมเป็นตากล้องให้ ก่อนจะถึงทีผมบ้าง ช่อดอกไม้เรียบง่ายถูกส่งออกไป ศรมองอย่างพอใจกับสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการแสดงความรักให้แก่กัน


“รอดูช่อจริงรอบสุดท้ายนะ” ผมกระซิบบอกศรทั้งที่กำลังฉีกยิ้มให้เอมถ่ายรูปคู่ให้


“อย่าเล่นอะไรแผลง ๆ นะมึง”


“เชื่อใจกูเถอะเมียจ๋า”


หลังจากพูดจบผมโดนกระทืบเท้าเข้าเต็มรัก รูปคู่ของเราคงเป็นรูปที่ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดเพราะมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพอดี


ค่ำคืนนั้นเราต่างแยกย้ายกันไปตามครอบครัวของตัวเอง ศรไปทานอาหารกับพ่อ อา และน้องเพชร รวมถึงกลับไปค้างที่บ้านด้วย ขณะที่ผมเองก็ต้องไปกับแม่และน้อง ๆ


“อยากไปรวมโต๊ะกับเขาไหมล่ะ” แม่กระซิบถามขณะเดินข้างผมออกมาจากหอศิลป์


“แม่ยังไม่พร้อมไม่ใช่เหรอครับ”


เธอชะงักเล็กน้อยก่อนส่งยิ้มที่สัมผัสได้ถึงความรักและความอบอุ่นมาให้ “แต่ถ้าลูกอยากให้เราได้ทำความรู้จักกันไว้ก่อน แม่ก็โอเคนะ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่ตอนนี้ก็ได้ พวกผมไม่รีบ แค่แม่มาให้กำลังใจศรในวันนี้ก็ดีมากแล้วครับ”


เธอเพียงแค่ส่งยิ้มกลับมาให้ แต่เพียงแค่เท่านั้นก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาว่าวันหนึ่งเราสองครอบครัวจะสามารถนั่งร่วมโต๊ะกันเหมือนครอบครัวเดียวกันได้




รอมานานเหลือเกินกว่าศรจะได้รับอิสระ วันนี้เป็นรอบสุดท้ายที่ละครเวทีสถาปัตย์เปิดการแสดง ผมมาดูการแสดงของศรพร้อมช่อดอกไม้ที่ทำเองกับมือ มันถูกทำจากธนบัตรสีน้ำตาลที่ใครเห็นต่างก็ตกใจกับมูลค่าของมันที่มีอยู่มากถึงสิบดอก ทว่าไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่ามันซุกซ่อนอะไรเอาไว้ภายใต้รูปลักษณ์สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด


ม่านสีแดงถูกเลื่อนปิดฉากการแสดงที่ไม่มีวันเปิดออกเพื่อโชว์ละครเวทีเรื่องนี้อีกแล้ว ทีมงานและนักแสดงทุกคนกำลังจะทะยอยออกมาให้ผู้คนร่วมยินดีในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ผมกุมช่อดอกไม้ในมือแน่น รู้ดีว่าวันนี้ศรจะมีแค่ผมที่มาหาเพราะเพื่อน ๆ มันรวมถึงเด็กในชมรมมันที่ชื่อรักอะไรนั่นก็มาไปแล้วเมื่อวานนี้ ขณะที่พ่อมันก็มาแค่รอบแรกรอบเดียวเท่านั้น ส่วนรดากับแม่ ผมไม่แน่ใจ


ในที่สุดก็ถึงคิวของผม ช่อดอกไม้ที่เป็นความภาคภูมิใจของผมถูกยื่นไปให้ คนรับมองมาอย่างไม่ไว้วางใจ ผมยิ้มขำเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงคิดถึงคำเชื้อชวนของผมที่บอกไว้เมื่อวันแสดงรอบแรก


“โอ้โห สายเปย์ก็มานะครับเนี่ย ผมอยากดอกไม้ช่อนี้จังเลยครับ” พิธีกรพูดแซว


“ไม่ได้หรอกครับ ช่อนี้ของธรรมศรเท่านั้น” ไม่ใช่เพราะมูลค่าอย่างที่ทุกคนเห็น แต่เพราะของที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหาก


ตลอดทางกลับคอนโดศรมองผมเป็นระยะแต่ไม่เอ่ยถามอะไร เราแวะทานอาหารง่าย ๆ ข้างทางแทนการฉลองใหญ่โตเพราะศรเหนื่อยเกินกว่าจะไปนั่งรอ จนกระทั่งอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้วศรจึงหยิบช่อดอกไม้มานั่งพินิจที่ปลายเตียงโดยมีผมนั่งเหยียดขาพิงหลังกับหัวเตียงไว้ในท่าทีสบาย


“ไม่อยากได้เงินเหรอ แกะสิวะ”


“กูว่ากูพอจะรู้ว่าข้างในเป็นอะไร”


ผมยกยิ้ม ไม่แปลกใจที่มันรู้ว่าข้างในคือกล่องถุงยางอนามัย นอกจากรูปทรงจะชัดแล้ว ถ้าลองได้จับดูจะยิ่งรู้ว่าเป็นกล่องอะไรบางอย่าง “แกะสิวะ แกะแล้วก็ต้องใช้ก่อนจึงจะได้เงินที่ห่อมันอยู่นะเว้ย”


“ไอ้หื่น!!” ศรขว้างช่อดอกไม้กลับมาให้ผม แต่ใบหน้าที่ซับสีแดงจาง ๆ ของเจ้าตัวไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์โกรธแต่อย่างใด


“จะเอาหรือไม่เอา”


ศรจ้องตาผมนิ่งขณะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ได้น่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ “ถ้ามึงอยากให้เอา…”


“...กูก็จะเอา”








พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งสุดท้าย
--------------------------------------------------------------
ที่ตัดเข้าโคมไฟไม่ใช่จะใจร้ายหรืออะไรนะคะ
แต่มันไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเท่าไหร่เลยไม่มีพลังแต่ง
เนื่องจากแต่งไม่เก่งด้วยเลยค่อนข้างยากที่จะกลั่นออกมาแต่ละท่วงท่าได้
(ซึ่งตอนอื่นๆเขียนไว้เยอะมากแล้วเพราะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องหลัก)
ถ้ามีโอกาสอาจจะได้อ่านเรื่องราวหลังโคมไฟกันนะคะ

สุดท้ายนี้ สวัสดีปีใหม่ทุกท่านค่ะ

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-12-2018 04:00:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Aimlovelove ที่ 01-01-2019 22:58:15
ใจหายจะจบแล้ว

สวัสดีปีใหม่ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 02-01-2019 17:36:52
 :L1: :mew3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 10-01-2019 21:50:41
ึค้างงงงงงง
ตอนนี้โอมป๋ามากเลยค่า อยากสิงร่างนุศรรับช่อดอกไม้แทน :L2:
แต่ของที่ห่อไว้ให้ใช้กันแค่สองคนก็พอเนอะะ :hao6:
คุณพ่ออยากได้คนสืบต่อสกุลจนอยากให้ศรท้องได้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!! เหอะๆๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 23 P.8 [30/12/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 11-01-2019 02:40:25
 :katai4: มาต่อไว ๆ นะครับบบ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 25-01-2019 20:16:52
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 24

---[END]---






หากความสัมพันธ์เป็นเหมือนบทเพลงเพียงแค่หนึ่งเพลง คงเป็นเพลงที่ทำนองไม่รื่นหูสักเท่าไหร่


ในสี่ถึงห้านาทีนั้นมีทั้งจังหวะสนุกให้พอโยกตัวได้เหมือนเพลงรักสมหวัง


ผสานด้วยบีทที่สร้างความตื่นเต้นและแปลกใหม่เหมือนท่อนแร็ปที่มักแทรกกลางเพลง


แต่ก็มีท่วงทำนองเชื่องช้าชวนเศร้าหมองอย่างเพลงอกหักปนอยู่ด้วย


ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนของกันและกัน ต่างก็ต้องพบเจอความรู้สึกเหล่านี้ผสมปนเปกันในแต่ละวัน...สัปดาห์...เดือน...ปี...หรือแม้แต่รายชั่วโมง


บางครั้งวาบหวาม กระชุ่มกระชวยเหมือนเพลงฮิพฮอพ


บางครั้งหอมหวาน อบอุ่นใจเหมือนเพลงรัก


บางครั้งแข็งแกร่ง...จนบางทีแข็งกระด้างเหมือนเพลงร็อกเมทัล


และบางครั้งก็เปราะบาง เหมือนเพลงเศร้า


แม้ว่าส่วนใหญ่เราจะอยู่ในฐานะนักแต่งเพลงที่เลือกท่วงทำนองให้กับเพลงเองได้


แต่หลายต่อหลายครั้งเราก็กลายเป็นเพียงคนฟังที่รอเวลาเซอร์ไพรส์กับจังหวะดนตรีที่คาดเดาไม่ได้เลย


โอมอินเคยเล่าไอเดียเกี่ยวกับหนังสั้นของตัวเองให้ธรรมศรฟังไว้อย่างนั้น แต่แทนที่จะเข้าใจ คนเรียนสายวิทย์มาทั้งชีวิตอย่างธรรมศรกลับยิ่งสงสัยว่าคนที่ส่งสารนิพนธ์ในบทบาทของลำดับภาพจะสร้างผลงานชิ้นนี้ออกมาอย่างไร


และในวันนี้เขาก็จะได้รู้พร้อมกับคนอีกเกือบสองร้อยในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว



“ตื่นเต้นเหรอวะ” ธรรมศรเย้าแหย่


โอมอินไม่แม้แต่จะหันมอง ใบหน้าเรียบเฉยเอาแต่มองตรงไปยังทางเข้างานอย่างรอคอยการมาถึงของใครบางคน “ตื่นเต้นทำไม คนดูก็รุ่นน้องในคณะ คนวิจารณ์ก็ศิษย์เก่าที่ก็แค่เก๋า”


ธรรมศรร้องหึ มองคนที่บอกว่าไม่ตื่นเต้นแต่เมื่อคืนนอนไม่หลับจนต้องกวนเขาให้ตื่นมาเล่นบทรักกันไปเสียหลายยก


“ไม่ได้ตื่นเต้น” โอมอินย้ำเสียงเข้ม อดไม่ได้ที่จะหันมองคนรักเต็มตาเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างไม่เชื่อทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง


“เออ ไม่ตื่นเต้นก็ไม่ตื่นเต้น” แฟนหนุ่มต่างคณะว่ายิ้ม ๆ “เมื่อคืนปลอบไปทั้งหลายครั้งแล้วนี่หว่า ถ้ายังตื่นเต้นกูโกรธนะเว้ย”


“ไอ้นี่หนิ” เขาได้แต่มองคาดโทษทั้งที่ใจจริงอยากจะเตะตูดอีกฝ่ายเสียตรงนี้ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ พูดเรื่องสัปดนออกมาได้ไม่อายปากเหมือนเมื่อก่อน ถึงจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำหยาบโลนตรงไปตรงมาแต่ใจความก็ชัดเจนแก่ใจว่าหมายถึงอะไร


“มึงเข้าไปนั่งข้างในได้แล้ว”


“มึงนั่นแหละเข้าไป กูอยู่รอแม่ให้มึงเอง”


“ไม่เป็นไร มึงรีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวก็ได้นั่งพื้นเหมือนปีที่แล้วหรอก”


“ปีนี้มึงไม่ได้จัดที่นั่งวีไอพีให้กูเหรอ” ธรรมศรแสร้งถามด้วยสีหน้าที่ปั้นให้เรียบตึงที่สุด ทว่าไม่อาจทำให้คนมองตกหลุมพรางเลยสักนิด มะเหงกถึงได้ถูกประเคนเข้ากลางหน้าผากอย่างจัง


“ปีนี้มึงไม่ใช่นักแสดงกิตติมศักดิ์แล้วครับ จะเอาสิทธิ์อะไรไปขอที่นั่งให้”


“ปีที่แล้วเป็นยังได้นั่งพื้นเลย” ธรรมศรบ่นอุบ


“ก็ชอบไม่ใช่เหรอ สาว ๆ รุมล้อมเลยนี่” กล่าวประชดทีเล่นทีจริงแต่กลับต้องเบิกตาโตด้วยความขุ่นเคืองจริง ๆ เพราะอีกฝ่ายดันฉายความแพรวพราวออกมาทันทีเสียนี่


“จริงด้วยว่ะ ปีนี้ไปหาทำเลดี ๆ อีกดีกว่า” ว่าแล้วก็รีบหันปลายเท้าเข้าหาห้องที่จัดงานทันทีแต่ไม่ทันได้ก้าวออกก็ถูกรั้งคอไว้เหมือนทุกทีจนอดไม่ได้ที่จะแต้มยิ้มมุมปากไว้บนใบหน้าในตอนที่หมุนตัวให้หลุดจากวงแขนเพื่อให้หันเข้าหากันอย่างสะดวก


“ไม่ต้องเลยนะมึง เข้าไปแล้วจองที่นั่งให้แม่กับน้องกูด้วย”


“ต้องเผื่อรดาด้วยป่ะ”


โอมอิมแน่นิ่งไป ท่าทีเหมือนลังเลทำให้คนถามอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงกลัวว่าตนจะคิดมากเรื่องเด็กสาวที่พูดถึง ใบหน้าไร้ที่ติจึงประดับรอยยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายสบายใจก่อนอธิบาย “เฮ้ย! กูโอเคนะ น้องไม่ได้ยุ่งกับมึงแล้วนี่ อย่าคิดมากดิ”


“ศร...” โอมอินกลืนน้ำลายหนืดลงคอ “...จองที่เผื่อแม่...ด้วยนะ”


มุมปากค่อย ๆ ขยับกลับมาที่เดิมจนริมฝีปากแนบชิดกันก่อนจะกลืนเข้าหากันเพราะเจ้าของเม้มไว้แน่น


“ศร...”


“อือ ถ้ายังมีที่ว่างติดกันยาว ๆ ให้กูเลือกนะ” รอยยิ้มบาง ๆ ยังคงแต้มใบหน้าไว้เสมอแต่กลับไม่ทำให้คนมองสบายใจขึ้นเลยสักนิด


“เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ช่างแม่งไปบ้างก็ได้ไม่ใช่เหรอ” ธรรมศรตบบ่าอีกฝ่ายสองสามที


น่าจะเกินครึ่งปีแล้วด้วยซ้ำนับตั้งแต่วันที่เขาได้รู้ความจริงโดยบังเอิญ ถึงจะยังไม่ใช่ทั้งหมดแต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขุดคุ้ยอดีตของพ่อแม่ให้ต้องเจ็บปวดใจอีกธรรมศรก็จะยืนยันตามนั้น หลังจากวันนั้นเขาไม่ได้เจอเธออีกเลย ต่างกับรดาที่เจอบ้างในสถานศึกษา แม้จะแค่ไม่กี่ครั้งแต่ความสัมพันธ์ก็พัฒนาไปเร็วไม่ต่างจากที่สนิทกับรัก พี่ชายของเธอเลย


“พี่โอม!” เสียงใสแจ๋วดังมาแต่ไกลอย่างไม่อายว่าผู้คนนับสิบในบริเวณนั้นจะหันไปมองด้วยสายตาแบบไหน ธรรมศรหันมองตามเสียงแต่ยังทันเห็นเจ้าของชื่อที่ยืนข้างกันส่ายหัวก่อนนวดขมับเล็กน้อย


“ตื่นเต้นว่ะ พี่ถ่ายผมออกมาดีไหมวะ ไม่เคยจะให้เช็คกันก่อนเลย” คนที่เข้ามาถึงก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดเป็นหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็ก ทั้งเล็กทั้งบอบบาง หน้าสวยเกินชายและผิวพรรณนอกแขนเสื้อยืดตัวโคร่งก็เนียนสวยขาวผ่องจนธรรมศรนึกสงสัยว่าผิวเนื้อใต้ร่มผ้าจะขาวกว่าสักเพียงใด แต่แล้วภวังค์ความคิดอันไม่ควรก็ถูกพังลงเพราะถ้อยคำที่ดูเหมือนจะหมายถึงตน “โห...ใครอ่ะ หล่อจัง”


ธรรมศรทันเห็นสีหน้าเคลิ้มฝันกับสายตาวิบวับแค่ชั่วครู่ก่อนใบหน้าสวยจะแหงนออกไปเพราะถูกโอมอินผลักศีรษะจนหน้าหงาย


“อย่าแรด”


“รุนแรงตลอด...ว่าแต่เพื่อนพี่ชื่อไรอ่ะ หล่อกว่าพี่อีก...พี่ไปอยู่ไหนมาอ่ะทำไมผมไม่เคยเห็น” ประโยคหลังภัทรหันไปถามเอาจากธรรมศรโดยตรง


“นี่แฟนกู จำเป็นเหรอที่มึงจะต้องเคยเห็น”


“เห้ย! จริงดิ!!” หนุ่มรุ่นน้องถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวกอดอกจับคางทำท่าทางเหมือนสำรวจได้น่าหมั่นไส้แล้วยังพึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อ” ออกมาจนโอมอินอยากจะตบหัวอีกฝ่ายเข้าสักฉาด


“ไปไหนก็ไปเลยไป รู้ไว้แค่ว่าอย่ายุ่งกับคนของกูก็พอ”


ภัทรเบะปาก “คนของกู” คงเพราะรู้ตัวว่าถ้อยคำและท่าทางล้อเลียนของตนจะต้องถูกเตะก้นเข้าให้แน่ อีกฝ่ายถึงได้ถอยออกห่างไปอีกสองก้าว “พี่มีโมเมนต์นี้ด้วยเหรอวะ ไม่น่าเชื่อเลย”


“ไม่ใช่เรื่องของมึง รีบ ๆ เข้าไปซะที รำคาญ”


“ร้ายกับน้องนุ่งตลอด” ปากเล็ก ๆ ยังบ่นพึมพำให้ได้ยินก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นเมื่อดูท่าว่าโอมอินจะเอาจริงกับการเตะก้นเขา “รอเพื่อนก่อนดิ นี่ผมเกณฑ์หน้าม้ามาเพื่อพี่เลยนะ ขอบคุณผมตอนนี้ยังทันนะพี่”


“เรื่องของมึง” โอมอินตัดรำคาญด้วยการจูงมือคนข้าง ๆ ลากออกไปจากตรงนั้นแทนที่จะรอให้ภัทรเป็นฝ่ายไปเหมือนก่อนหน้านี้


“น้องมันน่ารักดีว่ะ” ธรรมศรว่ายิ้ม ๆ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงรัก รุ่นน้องในชมรมที่เมื่อก่อนเกาะติดเขาจนน่ารำคาญแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเอ็นดูอีกฝ่ายมากอยู่เหมือนกัน แม้จะมารู้ทีหลังว่าพวกตนเกี่ยวข้องกันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมกันก็ตาม


“อย่าชมใครให้กูฟัง” โอมอินพูดเสียงเข้มเสริมความจริงจังด้วยแววตาที่แข็งขึ้นเช่นกัน


“หึงอะไรวะ”


โอมอินฟึดฟัด “พยายามจะไม่หึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยินดีฟังมึงชมคนโน้นคนนี้ว่าน่ารักได้นะเว้ย”


“โอเค ๆ กูรู้แล้วว่ามึงไม่ชอบ...กูเข้าไปจองที่ก่อนแล้วกัน”



คล้อยหลังธรรมศร คนที่จัดแสดงผลงานในวันนี้ก็เดินไปมาเหมือนหนูติดจั่น ธรรมศรพูดถูก เขาตื่นเต้น ตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับจนต้องกวนคนที่นอนด้วยมาช่วยกันทำให้ใจมันสงบ โชคดีเหลือเกินที่วันนี้สัมไม่มา ไม่อย่างนั้นคงโดนย้อนกลับเรื่องที่เคยพูดไว้เมื่อปีก่อนว่าเมื่อถึงคราวตนเองอย่างไรเสียก็ไม่มีทางตื่นเต้นเด็ดขาด


โอมอินรออยู่คนเดียวไม่นานน้องสาวคนกลางก็วิ่งหน้าตื่นนำแม่และน้องสาวคนเล็กเข้ามาโดยมีสองแม่ลูกที่คุ้นหน้ากันดีอีกครอบครัวหนึ่งตามติดมาด้วย


“ทำไมช้า” โอมอินร้อนใจแต่ก็ไม่อยากโทรเร่ง นัยน์ตาคมดุมองจ้องน้องคนกลางอย่างต้องการคำตอบ แต่อีกฝ่ายไม่นึกกลัว ปั้นหน้าตายุ่งอย่างสุดแสนจะหงุดหงิดออกมาสู้ให้รู้ว่าตนเจออะไรมาบ้างกว่าจะถึงที่นี่


“เริ่มจากไหนดีล่ะพี่โอม ยัยอิมแต่งตัวช้า รถติด หาที่จอดรถไม่ได้จนต้องวนไปจอดที่อื่น พอจอดไกลกว่าจะพากันมาถึงที่นี่อีก ร้อนก็ร้อนเนี่ย”


“ขี้บ่นว่ะ พาแม่เข้าไปได้แล้วไป พี่ศรรออยู่ข้างใน”


โอมอินดันหลังน้องให้รีบเดินเข้าไปเพราะเบื่อจะฟังเสียงบ่นเต็มที ก่อนเข้าไปคนเป็นแม่ยังอวยพรให้เขาโชคดีและบอกให้เขาไม่ต้องตื่นเต้นหรือกังวลอีกด้วย


กิจกรรมโดยรวมไม่ต่างจากปีก่อน ๆ สักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนปีนี้จะมีคนนอกให้ความสนใจมากขึ้น ลำดับการฉายหนังสั้นของเพื่อนในกลุ่มเป็นช่วงบ่ายกันหมด ขณะที่เรื่องของโอมอินอยู่ในลำดับสุดท้ายก่อนพักกลางวันพอดี หนังสั้นที่มีความยาวเพียงห้านาทีภายใต้ชื่อ mood & tone นำเสนอความรู้สึกหลากหลายอย่างที่โอมอินเคยเล่าให้ธรรมศรฟังโดยผ่านการเล่าเรื่องจากภาษากายของภัทร แสงสีและเสียงดนตรีที่ประกอบโดยไร้บทพูด และแม้ว่ามันจะเป็นนามธรรมมากเกินกว่าเด็กวิทย์อย่างเขาจะเข้าใจแต่ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่เจ้าของผลงานต้องการสื่อออกมา


เมื่อคำวิพากษ์วิจารณ์จบลงผู้คนทยอยกันออกจากห้องจัดแสดง บ้างมุ่งหน้าเข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าของผลงาน พูดคุยถ่ายรูปกันตามความสนิทสนม โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว ซึ่งเมื่อคนที่เป็นตากล้องมาโดยตลอดต้องเข้าไปอยู่ในเฟรม ก็เลี่ยงไม่ได้ที่แฟนตากล้องอย่างธรรมศรต้องกลายเป็นตากล้องจำเป็นเสียเอง


“พี่ศรถ่ายบ้างไหม เดี๋ยวเอมถ่ายให้”


คำถามของเธอทำให้ธรรมศรต้องเหลือบมองผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างหยั่งเชิง “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยถ่ายหลังจากนี้ทีเดียว”


“ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาถ่ายด้วยกันทั้งหมดก่อนซักรูปนะลูก” แม่ของโอมอินเป็นฝ่ายเอ่ยชวนพร้อมกวักมือให้เข้าไปหาโดยเร็ว


“รดาถ่ายให้เองค่ะ พี่เอมเข้าไปเถอะค่ะ ถ่ายรูปครอบครัวกันทั้งที” 


ธรรมศรแทบจะทำตัวไม่ถูกที่ได้ยินอย่างนั้น คนหน้าตาเหรอหราส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนรักแต่กลับได้รับความช่วยเหลือด้วยการดึงเข้าไปยืนข้าง ๆ กันเสียอย่างนั้น


“นึกว่าจะมีดอกไม้ช่อโตมาเซอร์ไพรส์อีก” โอมอินเอนตัวเข้าหาพลางกระซิบเย้า อีกฝ่ายไหวไหล่ ไม่ต่อความ พวกเขาสองคนสบตากัน ไม่มีใครยอมพูดประโยคชวนเลี่ยนเป็นต้นว่าอีกฝ่ายต่างก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของตน ทว่าสายตาที่ส่งถึงกันเผยความนัยชัดเจนแทนคำพูดทั้งหมดแล้ว


“ไปทานข้าวด้วยกันทั้งหมดนี่เลยนะคะ” แม่ของโอมอินเอ่ยชวนหลังจากถ่ายรูป ‘ครอบครัว’ ได้สองสามรูปที่น่าพอใจแล้ว เธอกวาดสายตามองทั่วทุกคนเพื่อเป็นการย้ำคำพูดของตัวเองให้ชัดเจนว่าหมายรวมถึงทุกคนจริง ๆ


“มื้อนี้ผมขอบายนะครับแม่” ลูกชายคนโตของเธอออกปากปฏิเสธก่อนใคร “ผมต้องอยู่เตรียมงาน ไม่สะดวกไปไกล ตั้งใจว่าคงแค่ซื้อข้าวกล่องเข้ามากิน”


“แล้วศรล่ะลูก จะไปกับพวกเราไหม หรือจะอยู่กับโอม”


แม้จะมีคำตอบอยู่ก่อนแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางผู้ใหญ่อีกคนที่ยืนนิ่งสงวนท่าทีอยู่หลังสุดข้างลูกสาวของเธอ “ขอโทษครับ ผมไปด้วยไม่ได้จริง ๆ ต้องรีบไปเตรียมเสนอโปรเจคกับเพื่อนครับ”


“อ้าว แล้วไม่ทานข้าวก่อนเหรอ ถ้ารีบมากก็ทานพร้อมโอมนี่แหละ”


ธรรมศรคลี่ยิ้ม อุ่นใจกับความเป็นห่วงเล็กน้อยจากแม่ของคนรัก “ผมสายแล้วครับ เลยตั้งใจว่าจะซื้อไปทานกับเพื่อนเลย”


ธรรมศรเห็น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเขาเหลือบมองแวบหนึ่ง และในชั่ววินาทีที่สบตากันนั้นเขาเห็นแววห่วงใยซ่อนอยู่ เพียงเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันก็ได้ถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการ ขอแค่ไม่เกลียดลูกในไส้ที่เธออาจไม่ต้องการคนนี้ก็พอ






คืนนี้ผับใจกลางเมืองอันเป็นแหล่งรวมตัวของบรรดานักศึกษาขาเที่ยวเป็นสถานที่นัดหมายของชาวเด็กฟิล์มหลังจากที่แสดงผลงานสารนิพนธ์ออกสู่สายตาประชาชนเรียบร้อยแล้ว ต่างก็แยกกันนั่งเป็นกลุ่ม ๆ หลายคนอยากมาปลดปล่อย ขณะที่บางคนมาเพราะต้องเลี้ยงตอบแทนนักแสดงของตนอย่างเสียไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโอมอินที่จำต้องมาโดยมีธรรมศรติดสอยห้อยตามมานั่งอยู่นอกวงด้วยพร้อมคำบอกที่ว่าให้เขาเมาได้เต็มที่ วันนี้ตนจะเป็นฝ่ายดูแลเอง


“ทำไมมันไม่หันหน้าเข้าวงวะ” และเต๋าก็ถามได้จี้จุดโอมอินเสียเหลือเกิน


นัยน์ตาคมตวัดมองคนรักที่นั่งเก้าอี้บาร์ติดกับกลุ่มตัวเองแต่กลับหันหลังให้แล้วแค่ไหวไหล่ให้เพื่อนแทนคำตอบ


“ไม่ใช่ว่าอยากอ่อยสาวนะ” เป็นโจอีกตามเคยที่จงใจกวนน้ำให้ขุ่นโดยมีลูกคู่อย่างพีทที่ยิ้มให้อย่างรู้กัน


“อย่างพี่ศรไม่ต้องอ่อย สาว ๆ ก็เข้าหาเป็นพรวนแล้ว” ความเห็นของภัทรทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เจ้าตัว “ก็จริงอ่ะ ต่อให้นั่งรวมกับเราก็เด่นและดึงดูดอยู่ดี”


เต๋ายิ้มมุมปากก่อนเอ่ยชี้นำ “ไอ้โอมไม่ดึงดูด?”


ภัทรเหลือบมองรุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยและสนิทที่สุดในโต๊ะนี้ นัยน์ตาเรียวรีแสร้งมองสำรวจรูปร่างหน้าตาอีกฝ่ายทั้งที่มีคำตอบในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว “พี่โอมอ่ะ sex appeal สูงนะ แต่ที่ไม่ค่อยมีใครเข้าหาเพราะหน้าไม่รับแขกของพี่แกเนี่ยแหละ ถ้าจะมีสาวซักคนเข้าหาก่อนต้องมีแต่แรง ๆ อ่ะ ถ้าเรียบร้อยหรือแรดเงียบอาจจะกลัวโดนพี่แกกัด” ประโยคหลังหนุ่มรุ่นน้องกระซิบกระซาบราวกับไม่ต้องการให้คนที่กำลังพูดถึงได้ยินทั้งที่อีกฝ่ายก็นั่งอยู่ติดกันไม่ได้ไกลกันเลยสักนิด


“พูดมาก” ไม่เพียงบ่นแต่ยังตบกบาลเด็กช่างคุยเสียหนึ่งฉาดด้วยความหมั่นไส้เป็นการตัดจบบทสนทนาที่มีเขาและคนรักเป็นประเด็น




ธรรมศรไม่อยากเอาตัวเองไปเบียดกับคนกลุ่มใหญ่ นั่งใกล้นั่งชิดคนอื่นมากเดี๋ยวโอมอินจะพาลหึงไม่เข้าเรื่องอีกจนได้ อีกอย่าง ที่สำคัญคือตนตามมาเพราะจะรอขับรถให้อีกฝ่ายที่อาจจะเมา หากเขาร่วมวงด้วย ไม่แคล้วคงได้ดื่มเพลินจนเมาไม่ต่างกับคนรัก และถ้าไม่ดื่มเลย บรรยากาศในวงคงกร่อยเป็นแน่


ไม่ได้ตั้งใจจะปลีกแยกเพื่ออ่อยใคร


แต่คงผิดปกติ...หากคนหน้าตาดีระดับนี้จะไม่มีคนเข้าหาเลย


“ดื่มเป็นเพื่อนกันหน่อยสิคะ” สาวสวยในชุดรัดรูปอวดส่วนเว้าโค้งที่เริ่มไม่ใช่ของสวย ๆ งาม ๆ ในสายตาเขาเดินเข้ามาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ เธอถือวิสาสะเรียกพนักงานเข้ามารับออเดอร์สำหรับเขาอีกหนึ่งแก้ว คงเพราะสังเกตมาครู่ใหญ่แล้วว่าเขายังไม่ได้เปลี่ยนแก้วใหม่ตั้งแต่เข้ามาในร้านและมันค่อนข้างจะจืดจางลงมากแล้ว


ธรรมศรแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนทุกที “ขอโทษด้วยครับคนสวย แต่คืนนี้ผมไม่ดื่ม”


“ทำไมละคะ แค่แก้วเดียวไม่เมาหรอกค่ะ”


“ผมต้องขับรถกลับ”


เธอยิ้มพราวราวกับเหยื่อติดเบ็ดแล้วทั้งที่จริงไม่ใช่สักนิด “เมาก็กลับแท็กซี่สิคะ...หรือกลับกับฉันก็ได้”


ชายหนุ่มปรายตามองปลายนิ้วมือที่อีกฝ่ายจงใจวางทับปลายมือเขาแล้วขยับออกมาอย่างสุภาพที่สุด “ไม่อยากเมาเพราะรอขับรถพาแฟนกลับด้วยกันครับ”


“แหม เข้าใจอ้างนะคะ เห็นนั่งคนเดียวอยู่ตั้งนาน ไม่มีสาวซักคน”


“ขอโทษนะครับ…” โอมอินทะลุกลางปล้องหลังจากซัดน้ำเมาเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว “...ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นแค่ข้ออ้างหรือเรื่องจริง แต่ที่แน่ ๆ คือแปลว่าผู้ชายเขาไม่อยากไปกับคุณรึเปล่า ถ้ายังเมาไม่มากสมองก็น่าจะทำงานอยู่นะครับ”


“แรงว่ะ” ธรรมศรว่าออกมาแทบจะพร้อมกับภัทรเมื่อหญิงสาวยอมถอยออกไปพร้อมอาการหน้าเสีย


“ขี้อ่อย”


“กูเปล่า นี่กูอยู่เฉย ๆ เลยนะ ยังไม่ได้หว่านเสน่ห์ซักนิด มึงแหละขี้หึงเกิน”


“ก็มึงแม่งน่าหงุดหงิด ไม่รู้จักปฏิเสธให้ชัดเจน”


ภายใต้แสงไฟสลัว ธรรมศรสังเกตเห็นแล้วว่าโอมอินหน้าแดงจัด อาการตัวแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์กำเริบแต่บอกไม่ได้ว่าเมาแล้วหรือยัง “ไม่ชัดเจนตรงไหน กูบอกเขาไปแล้วนะว่ารอแฟน”


“ไม่รู้เว้ย”


“หรือต้องให้กูจูบโชว์เลยไหม”


“ไม่อายก็ลองดู แต่บอกเลยว่าตอนนี้กูเมาแล้ว ทำอะไรก็ได้”


“เห้ย ๆ ใจเย็น อย่าท้ากันตรงนี้ กูกลัว” เต๋าเป็นคนห้ามทัพ


“เออ ถ้าเรื่องพวกมึงจูบกันในผับดังไปข้างนอกกูรับรองเลยว่าซวย ที่พ่อแม่พวกมึงกำลังเปิดใจก็จะรีบปิดทันทีแน่นอน โดนแอนตี้แน่ ๆ โทษฐานทำตัวไม่เหมาะสม” ทุกคนหันมองคนพูด ต่างตกใจที่คนพูดเตือนเป็นโจ ยิ่งโอมอินยิ่งไม่อยากเชื่อหูว่าเพื่อนคนนี้จะพูดเรื่องดี ๆ เป็นเหมือนกัน ชั่ววูบหนึ่งเผลอคิดว่าตัวเองอาจจะเมามากเกินกว่าที่คิดก็เป็นได้


“ไอ้โจพูดถูก” เต๋าเป็นคนได้สติคนแรก “พวกมึงนี่ก็ทะเลาะกันแต่เรื่องเดิม ๆ...ขี้อ่อยกับขี้หึง”


“นี่น้อยแล้ว!!” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกันจนเพื่อนฝูงหรือแม้แต่ภัทรที่เพิ่งรู้จักกันยังยอมแพ้ให้กับความจริงที่ว่า ‘น้อยแล้ว’


หลังจากนั้นธรรมศรก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร่วมวงกับคนรัก เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าการที่ตนเอาแต่ดื่มน้ำอัดลมในวงเหล้าไม่ได้ทำให้บรรยากาศกร่อยอย่างที่กังวลเลยสักนิด ความสนุกสนานยังทำหน้าที่ของมันได้ดีแม้เขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมมากนักก็ตาม







(มีต่อนะคะ)
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 25-01-2019 20:18:32
เกือบร้านปิดกว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้านช่อง เพื่อนของโอมอินพากันใช้บริการแท็กซี่ ขณะที่ภัทรเองก็ไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระของพี่ ๆ ด้วยการโทรตามให้เพื่อนมารับ ส่วนคนที่อาการหนักที่สุดและเป็นภาระที่ธรรมศรเต็มใจดูแลที่สุดเห็นจะเป็นคนรักของตัวเอง


กว่าจะประคองกันมาถึงรถได้ต้องคอยห้ามคอยดึงคนที่คอยแต่เอาหน้ามาคลอเคลียซอกคอกัน ลมหายใจที่รดต้นคอมีแต่กลิ่นเหล้าแบบที่ต่อให้ไม่เห็นก็ไม่ต้องเดาเลยว่าดื่มหนักแค่ไหน


“คาดเบลท์ด้วย” สั่งคนเมาแล้วก็เดินอ้อมไปฝั่งตนเอง เมื่อนั่งประจำที่แล้วยังเห็นคนเมานิ่งเฉยจึงจัดการดึงสายออกมาคาดเสียเองจนเสียรู้ให้อีกฝ่ายอีกหนึ่งจูบที่เนิบนาบทว่าลึกซึ้งถึงรสสัมผัส


ธรรมศรไม่ขัดขืน เขาจูบตอบตามความรู้สึกพวกเขาถ่ายทอดความรักให้กันและกันนานหลายอึดใจก่อนที่คนเริ่มจะเป็นฝ่ายผละออก รอยยิ้มพราวในระยะใกล้ทำให้ธรรมศรเกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมา


ใบหน้าไร้ที่ติหักมุมเล็กน้อยขณะเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย ฝังจมูกไล่ตามกรอบหน้าคมคายอย่างหลงใหลทิ้งความร้อนผ่าวไว้ในทุกที่จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความระอุของบางอย่างจึงรีบถอนตัวออกมานั่งประจำที่ตัวเอง


“มึงแกล้งกู” คนถูกทิ้งให้อารมณ์ค้างว่าเสียงขุ่น น้ำเสียงชัดเจนไม่ได้อ้อแอ้ฟังไม่รู้เรื่องอย่างคนสติสัมปะชัญญะไม่ครบแต่อย่างใด


“มึงเริ่มก่อน รู้ทั้งรู้ว่านี่ในรถก็ยังเริ่ม” ผู้ชนะยักคิ้วเย้ยซ้ำ


“หึ ทำงานมีเงินเดือนเมื่อไหร่กูจะซื้อรถใหม่”


“ซื้อทำไมวะ คันเก่าก็ยังใช้ได้”


“ยังใช้ได้ แต่มึงไม่คิดเหรอว่ามันเล็กเกินไปสำหรับเรา”


ธรรมศรส่ายหน้าจริงจัง “กูไม่มีเซ็กซ์กับมึงในรถแน่ ๆ”


“เมื่อกี๊ยังเกือบมีเลย”


“เมาแล้วก็นอนไปโว้ยยย”


“หึ”


ถ้ามีของที่เขวี้ยงได้อยู่ใกล้มือ คนหลังพวงมาลัยคงไม่ลังเลที่จะคว้างใส่คนข้าง ๆ แน่





คนเมาที่เดินเข้าห้องก่อนถอดรองเท้าจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศเสร็จสรรพแต่ไม่ยอมเปิดไฟ ทว่ายังคงยืนโงนเงนรอจนอีกคนถอดรองเท้าเสร็จแล้วจึงดึงเข้าไปใกล้ ทาบริมฝีปากตัวเองสัมผัสที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย อารมณ์เลื่อนลอยกับความคิดฟุ้ง ๆ ในหัวที่เกิดจากฤทธิ์เหล้าทำให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่กำลังครอบครองอยู่ทั้งอ่อนนุ่ม ละมุนละไมกว่าทุกที เขาใช้มือที่เปียกชื้นด้วยความตื่นเต้นกอดร่างนั้นไว้อย่างหลวม ๆ ก่อนจะรัดแน่นขึ้นตามแรงจูบของกันและกันราวกับทั้งคู่ต่างก็ต้องการความอบอุ่นจากผิวกาย


สองมือกุลีกุจอถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวของธรรมศรออก ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเผยให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบจากการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของชายหนุ่มในแบบที่เขาหลงใหล แต้มเต่งตึงสีชมพูบนยอดอกของธรรมศรถูกปลายนิ้วของเขาแตะต้องเบา ๆ อย่างเป็นจังหวะ จนมันแข็งขืนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เสื้อของเขาและกางเกงของอีกฝ่ายเลื่อนออกจากตัวแทบจะพร้อมกัน โอมอินสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ปรากฏตามสันกรามเมื่อริมฝีปากของพวกเขาผละออกจากกัน กลีบเนื้อหยุ่นเลื่อนต่ำลงไปยังซอกคอและหน้าอกของเขาพร้อมกับมือที่เปลี่ยนจากการเหนียวรั้งตัวไปสู่ตําแหน่งอื่นที่ยังมีปราการด่านสุดท้ายกั้นอยู่


แม้จะรู้สึกเหมือนกำลังถูกมอมเมาด้วยราคะแต่ยังรู้สึกตัวในตอนที่แผ่นหลังแนบกับผนังห้องเย็นเฉียบ ธรรมศรย่อตัวลงจนสุดท้ายก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้า และตอนนี้บริเวณที่มือจับอยู่ก็ไม่ได้มีกางเกงกั้นอยู่อีกแล้ว เพราะมันกำลังสัมผัสกันโดยตรง


โอมอินเงยหน้าขึ้นร้องซี๊ดด้วยความเสียวซ่านเมื่อคนรักจรดริมฝีปากลงบนขาอ่อนลากไล่ขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่งจนถึงแกนกลาง สองมือที่เคยจับไหล่อีกฝ่ายไว้หลวม ๆ เริ่มสางเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มแล้วขยับตามจังหวะขึ้นลงของริมฝีปากที่กำลังครอบครองแกนกายของเขาไว้


“ศ..ศร”


ใบหน้าที่เคลื่อนไหวตามมุมของริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมสายตาที่มองมาอย่างเชื้อเชิญช่างเป็นภาพที่น่ามองและเพลินตาเสียจนโอมอินแทบทะลักความสุข


ต่างคนต่างปรนเปรอให้กันด้วยความรักที่ไม่ยึดถือตัวตน ไม่มีผู้ชายคนที่ทระนงในศักดิ์ศรีพลาดอยู่ในตำแหน่งรองแต่จะไม่ยอมใช้ปากให้ใครเด็ดขาด ไม่มีผู้ชายคนที่กลัวจะเผลอทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแล้วเบื่อกันอีกแล้ว ต่างคนต่างยอมลดตัวตนเพื่อกันและกัน ต่างคนต่างเต็มใจเพื่อพิสูจน์ว่าจะปฏิบัติแบบนี้กับอีกฝ่ายแค่คนเดียวเท่านั้น


สองคนกอดก่ายกันไปจนถึงเตียง อย่างไรเสียความสบายของมันยังคงเป็นสิ่งแรกที่พวกเขานึกถึงแม้ว่าแรงปรารถนาจะลุกโชนมากขนาดไหน


โอมอินขยับตัวขึ้นไปอยู่เหนือร่างกายของคนรัก ขยับกายจนบางส่วนของร่างกายแปรเปลี่ยนไปอยู่ในร่างกายอีกฝ่าย ริมฝีปากของคนใต้ร่างเผยอเพียงเล็กน้อยในขณะที่ดวงตาคู่นั้นหลับสนิท มีเสียงครวญครางเบา ๆ ที่ข้างหูเขาตลอดเวลาก่อนที่จะเงียบสงบลงหลังจากนั้นหลายชั่วโมง








หากความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนบทเพลงเพียงหนึ่งเพลง...คงเป็นเพลงที่ทำนองไม่รื่นหูสักเท่าไหร่


ธรรมศรคิดอย่างนั้นตอนที่ยืนมองคนรักที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงจากตรงระเบียง


บทเพลงที่หลอกล่อให้คนฟังหลงเพลิดเพลินไปกับจังหวะสนุกแต่ก็สามารถผลักตกหลุมห้วงอารมณ์เพราะท่วงทำนองเชื่องช้าชวนเศร้าหมองที่แทรกอยู่ประปรายได้เช่นกัน


บางท่อนเป็นทำนองโซลคล้ายในเพลงรักวัยใสเหมือนตอนที่ใจเต้นด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้กัน


บางท่อนฟังสบายหูทว่าหนักแน่นในดนตรีแบบเพลงรักยุคเก้าศูนย์เหมือนยามที่รู้สึกอุ่นใจจากการถูกปกป้อง


แทรกด้วยท่อนแรปที่ได้ยินกี่ครั้งก็ใจเต้นแรงและอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นทุกครั้งเหมือนตอนที่ร่วมรัก


ตัดอารมณ์ด้วยจังหวะร็อกเมทัลหนักแน่นเหมือนตอนที่ทำตัวแข็งกระด้างใส่กัน


และหักดิบด้วยทำนองเพลงที่เศร้าที่สุดในยามที่ต่างฝ่ายต่างเปราะบาง ร้าวง่ายราวกับฟิล์มกระจกติดหน้าจอสมาร์ทโฟนที่เพียงแค่ตกหรือกระแทกเพียงหนึ่งครั้งก็เกิดรอยเป็นทางยาว...แต่ไม่ถึงกับแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ


หากเพลงของพวกเขาจบลงในเวลาไม่เกินห้านาทีเหมือนเพลงทั่วไปที่เคยฟังกัน ธรรมศรคงยิ้มได้ที่อย่างน้อยทำนองสุดท้ายของเพลงก็เป็นจังหวะสนุกที่ชวนให้ใจเต้นแรงมากกว่าท่อนไหน ๆ ที่ได้ฟังมา


ทว่าในความเป็นจริงแล้วเพลงมันยังไม่จบ แต่ธรรมศรก็คิดไว้แล้วว่าตนจะแต่งต่อด้วยทำนองไหนบ้าง


มุมปากได้รูปกระตุก มองคนที่หลับอยู่พลิกตัวกลับมาฝั่งที่เขายืนอยู่ เมื่อฝ่ามือสัมผัสกับความว่างเปล่า ใบหน้าเรียบเฉยก็ยู่ลง และยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อคลำสะเปะสะปะแล้วยังพบแต่ความว่างเปล่า


มุมปากขยับออกจนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าไร้ที่ติพร้อมกับเปลือกตาของคนถูกจ้องมองเปิดขึ้นพอดี


แม้จะงัวเงียคล้ายจะปิดลงอีกครั้งเร็ว ๆ นี้ แต่แววตาที่มองมาอย่างเชื้อเชิญก็ยังคงเต็มไปด้วยความรักที่หากไม่มีบาดแผลในอดีตตามมาบังตา เขาก็คงสังเกตเห็นได้ตั้งแต่วันแรกที่ตกลงคบกันแล้ว


คงไม่รอให้มีจังหวะร็อกเมทัลหรือเกิดทำนองเชื่องช้าในเพลงรักของตัวเองแน่


และเมื่อความรักเรียกหา เขาก็จะไม่พลาดที่จะคว้ามันไว้อีกแล้ว...


โอมอินยังคงหลับตาแม้ในยามที่เตียงฮวบลงเพราะอีกคนทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ ให้เขาสวมกอด ใบหน้าเรียบเฉยเปื้อนยิ้มเมื่อธรรมศรไม่โวยวายว่าอึดอัดอย่างเคย มิหนำซ้ำยังกอดตอบเสียด้วย หากไม่มีขาที่ตั้งใจก่ายเพื่อให้ตัวแนบแน่นมากขึ้นเป็นการก่อกวนกันเขาคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังอ้อนอยู่อย่างแน่นอน


“รักมึง” แม้ใบหน้าจะซุกอยู่กับอกเขาแต่เสียงทุ้มกลับดังชัดในโสตประสาท


“อะไรวะเนี่ย ข้างนอกอากาศเป็นพิษเหรอ” โอมอินว่าติดตลก ยอมถ่างตาออกเพื่อดูสีหน้าคนที่เพิ่งเป็นฝ่ายบอกรักก่อน “สูดเข้าไปแล้วทำตัวแปลก ๆ นี่พล็อตหนังโลกแตกป่ะวะ”


ธรรมศรดันตัวออกห่างแต่ยังไม่หลุดจากอ้อมกอดของคนรักง่าย ๆ “มึงเอาไปทำหนังดิ สูดแก๊สพิษเข้าไปแล้วพูดแต่คำโกหกออกมา เดี๋ยวกูช่วยคิด”


คนเสนอน้ำใจถูกกัดริมฝีปากเข้าอย่างจังจนหลุดร้องเรียงหลง ยังโชคดีอยู่บ้างที่เลือดไม่ออก ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่ต้องนอนกันเสียแล้ว “โกหกเหรอหื้ม ไหนพูดใหม่ซิ”


ธรรมศรไม่พูดแต่ให้คำตอบด้วยสัมผัสลึกซึ้งบนริมฝีปาก


คนถามยิ้มรับทั้งที่ยังสัมผัสกัน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคนไม่ใช่แค่เพราะว่ามองตากันแล้วถูกใจ แต่ความสัมพันธ์ที่มีสถานะ ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจนอยากจะผูกพันต้องอาศัยซึ่งการเรียนรู้กันและกัน พวกเขาต่างมีเรื่องของตัวเอง เรื่องของโอมอิน เรื่องของธรรมศร กว่าจะกลายเป็นเรื่องของ ‘พวกเขา’ ได้ต้องไม่ใช้เรื่องของตัวเองตัดสินอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่รู้เรื่องของเขาดีพอ แต่พวกเขาจะไม่มีทางรู้จักกันได้มากกว่าแค่ความเข้ากันได้ของร่างกายและความรู้สึกที่ตรงกันหากไม่มีการเปิดใจให้ได้เรียนรู้กันและกันอย่างจริงจัง ทุกการกระทำของแต่ละคนมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง แม้จะบอกว่าทำลงไปเพราะอารมณ์แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าลึกลงไปกว่านั้นไม่ได้มีอะไรซ่อนอยู่


ตอนนี้โอมอินรู้แล้วว่าผู้ชายที่ชื่อธรรมศรซ่อนอะไรไว้ในใจ...


สองแขนกระชับร่างในอ้อมกอดแนบแน่นยิ่งขึ้น


...รู้แล้วว่าควรจะดูแลอย่างไรเพื่อไม่ให้สิ่งนั้นย้อนกลับมาทำร้ายคนรักของตนอีก


ธรรมศรกอดตอบ แม้จะผิดวิสัยไปเสียหน่อยที่จะต้องหลับไปในท่านี้ แต่เขาก็ทำเพราะแค่อยากทำ


เขารู้แล้วว่าความหงุดหงิดทั้งหมดทั้งมวลของผู้ชายที่ชื่อโอมอินเกิดจากอะไร...


ว่าที่บัณฑิตวิศวะฝังจมูกโด่งลงบนแผงอกที่น่ากลัวว่าหัวใจจะเต้นแรงจนอาจหลุดออกมาจากตรงนั้น


...รู้แล้วว่าสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายหายหงุดหงิดได้ก็คือตัวเอง


ในวันนี้ต่างคนต่างรู้ตัวแล้วว่าต่างก็มีส่วนช่วยเยียวยาและเติมเต็มกันและกันอย่างที่ไม่เคยได้จากใคร




(โคตร)หึง(โคตร)หวง เป็นอาการปกติที่พบได้ในผู้ชายที่ชื่อโอมอิน


มนุษยสัมพันธ์ดี เป็นสิ่งที่สัตว์สังคมอย่างมนุษย์ที่ชื่อธรรมศรมีพอประมาณและอยู่ในขอบเขตที่คนเป็นแฟนกำลังเรียนรู้ที่จะเข้าใจได้









(สิ้นสุดการนัดติดตามอาการ)
---------------------------------------------------------
จบแล้วววววว 17 เดือน ยาวนานมากจริงๆค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกันมาถึงตอนจบนะคะ รัก
ด้วยความตั้งใจว่าอยากแต่งซักคู่หนึ่งที่คบกันแล้ว ไม่อยากเริ่มต้นด้วยการจีบกัน จึงออกมาเป็นคู่นี้
ตอนอยากแต่งลืมคิดไปว่าพล็อตบังคับให้มี NC ฮ่าๆๆ ก็เลยง่อยๆกันไป (แต่มีคนชอบก็ขอบคุณมากๆค่ะ ตอนเขียนใช้พลังงานเยอะมาก)
มี 1 สิ่งที่อยากให้ทุกคนตระหนักได้หลังจากอ่านเรื่องนี้ คือ
“Trauma” คำนี้หมายถึงการบาดเจ็บทางใจ จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่ง สึ่งทำให้ฝั่งลึกในจิตใจ
ผู้ใหญ่หลายคนละเลยและพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าในการทำให้เกิด Trauma ในจิตใจลูก วัยเด็กเป็นวัยที่จดจำทุกอย่างได้ดีกว่าที่เราคิด เขาจำได้ทุกอย่าง บางเรื่องที่เคยทำร้ายจิตใจเขา ตอนเด็กเขาอาจจะไม่ได้คิดมากหรือลืมได้ง่าย แต่เมื่อโตขึ้น มันจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ซ้ำรอยเดิมจนกลายเป็นดึงสลักเรื่องเก่า ๆ ของเขาออกมาจนหมด สร้างความเจ็บปวดให้ทั้งสองฝ่ายได้
ที่บอกมาไม่ได้จะแค่ให้ทุกคนตระหนักถึงเมื่อยามที่เราโตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้นนะคะ
แต่หมายถึงตอนนี้ก็ด้วย เราไม่สามารถตัดสินคนอื่นด้วยประสบการณ์หรือนิสัยของเราได้
เราไม่มีทางรู้ว่าคนๆหนึ่งผ่านอะไรมาบ้าง เพราะเราจะรู้จักเขาแค่เท่าที่เขาให้เรารู้จักเท่านั้น
แต่ที่เราทำได้คือพยายามอย่าสร้าง Trauma ให้กับใครเลยนะคะ
----------------------
ตอนนี้เปิดให้สั่งซื้อได้แล้วนะคะ!
2 ช่องทางคือ สำนักพิมพ์ hermit books http://www.hermitbookshop.com/product/738/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88 (http://www.hermitbookshop.com/product/738/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88)
และ แอป Shopee https://shopee.co.th/i-i.72213402.5020760690?deep_and_deferred=1&pid=partnerize_int&af_click_lookback=7d&is_retargeting=true&af_reengagement_window=7d&af_installpostback=false&af_sub2=SHOPEE&clickid=1100l7TGMKIF&af_siteid=1100l92344&utm_source=1100l92344&utm_medium=affiliates (https://shopee.co.th/i-i.72213402.5020760690?deep_and_deferred=1&pid=partnerize_int&af_click_lookback=7d&is_retargeting=true&af_reengagement_window=7d&af_installpostback=false&af_sub2=SHOPEE&clickid=1100l7TGMKIF&af_siteid=1100l92344&utm_source=1100l92344&utm_medium=affiliates)

สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางสำนักพิมพ์ hermit books ทุกช่องทางค่ะ
ฝากโอมอินกับธรรมศรไว้ด้วยนะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-01-2019 21:59:41
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-01-2019 22:53:56
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4:  :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-01-2019 23:40:05
ขอบคุณคุณธัญญ์มากนะคะสำหรับนิยายสนุกๆ งานคุณภาพอีกเรื่อง รักทั้งโอมทั้งศรเลยค่ะ ความรักที่เขามีมันช่วยรักษาโรคประจำใจของแต่ล่ะคนได้ดีจริงๆ ค่อยๆเยียวยากันไปทีล่ะนิด อาจไม่ได้หายสนิท แต่ก็เรียนรู้ที่จะปรับเข้าหากัน อยากได้เล่มมากเลย อยากอ่านตอนจีบ  :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-01-2019 00:22:54
สื่อสารกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-01-2019 00:39:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 26-01-2019 06:00:14
ชอบความสัมพันธ์ที่สามารถเยียวยากันและกัน อุ้มชูกันสู่สิ่งดีๆ โอมอินเป็นคนที่ถ้าเจอสามารถบอกได้ว่า รอเจอมานาน ไปอยู่ที่ไหนมาทำไมถึงได้เจอ เป็นคนที่มีอยู่แล้วโชคดีที่มีเขาอยู่ในชีวิต เปิดเรื่องมาแม้อาจจะระหองระแหง ลุ้นๆใจสั่นๆ แต่จบเรื่องด้วยความรักความเข้าใจ

ขอบคุณนะคะ สำหรับความทุ่มเทตลอด17เดือน เติบโตอย่างมีคุณภาพ เราว่าเขียนเก่งขึ้น เก่งในความรู้สึกความสัมพันธ์มากขึ้น บรรยายบรรยากาศความรู้สึกซับซ้อนกว่าคุณดีน เป็นกำลังใจให้ จะรอติดตามเสมอๆ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 26-01-2019 10:14:15
มีหลายคนรีวิวว่าสนุกมาก
พอคุณธัญญ์บอกว่าจะรวมเล่ม
เราดีใจมากเลยค่ะ จะรอนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-01-2019 11:39:22
 :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: oohsg94 ที่ 26-01-2019 19:19:13
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ ชอบการเสนอมุมมองความรักแบบความรักจริงๆมากค่ะ มีทั้งสุขทั้งเศร้า
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 26-01-2019 22:33:34
เนื้อหาดีสนุกกกกกก
ตุ้มๆต่อมๆทั้งเรื่อง
ขอบคุณ​มาก​ครับ​
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: TuEyyy ที่ 27-01-2019 00:55:24
ชอบที่บอมเปิดใจ ทุบกำแพงตัวเองซะที กลายเป็นคนน่ารักเลย ขอบคุณนะคะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 27-01-2019 17:34:02
เรื่องดีมากกก สนุกมากๆ
ด้วยความที่เปิดมาก็เป็นแฟนกันแล้วทำให้อ่านไประแวงไปทั้งเรื่อง55555
ชอบที่ทั้งสองคนช่วยกันแก้ปัญหาและผ่านมันมาได้ อ่านไปก็เหมือนโตมากับตัวละครเลย
โอมอินคือแฟนที่ดีมากๆๆ เห็นเลยว่าพอทะเลาะกันจะยอมลดทิฐิลงมาตลอด ห่างนะแต่ก็หวงก็ห่วง
ส่วนศรตอนแรกแอบไม่เข้าใจ ทำไมไม่พูดดด พอเล่าในมุมของศรก็เข้าใจมากขึ้น ดีใจที่ศรเปิดใจให้โอมแล้วไม่ต้องคิดเยอะกับความสัมพันธ์นี้เพราะยังไงโอมก็รักก็ซัพพอร์ตตลอด แงงง  :กอด1:
ดีที่ไม่มีดราม่าครอบครัวนะคะ5555
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: rcbpdr ที่ 27-01-2019 22:22:50
แงดีใจกับคู่นี้ ขอให้มีวันที่ดีต่อไป
ขอให้โอมอินรักและดูแลศรต่อไปแบบนี้
ไม่มีใครเหมาะกับศรเท่านี้แล้วจริงๆ
รักเรื่องนี้มาก เหมือนผ่านมรสุมมากับพวกเขา555555
ยินดีด้วยมากๆเลย ขอบคุณคนเขียนนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-01-2019 00:37:24
ช่วงแรกๆของเรื่องนี้จะกดเข้ามาอ่านทีก็ต้องทำใจก่อน เพราะระแวงว่าโอมกับศรจะทะเลาะกันอีกไหม แต่หลังจากที่ทั้งสองคนปรับความเข้าใจกันแล้ว เวลาอ่านไปมันมีแต่รอยยิ้มตลอดเลย ดีใจที่ได้เห็นโอมกับศรเติบโตขึ้น ก้าวผ่านปัญหาต่างๆมาด้วยกัน ชอบความรักของทั้งคู่ ดูแลและรักกันตลอดไปนะ ขอบคุณที่ไรท์แต่งผลงานดีๆแบบนี้มาให้อ่านกันนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 28-01-2019 02:47:48
แม้จะจบแบบดีที่สุดแฮปปี้ใจเราคงยังแบบหมั่นไส้แม่ศรไม่หายจริงๆแบบผู้หญิงแทบจะทุกคนคลอดลูกได้เว้ยแต่เป็นแม่ได้ไหมอีกเรื่องจริงๆ แบบแม่ที่แย่มากจริงๆฉากที่ขอให้หลีกทางให้ลูกตัวเองนี่คือสุดละเอาจริงๆแทบมองความเป็นห่วงศรของผู้หญิงคนนี้ไม่ออก ส่วนน้องสาวของโอมนั้นเอมนี่คือชอบมากแต่อีกคนคือถ้าเป็นน้องเราคงต้องมีเคลียกันละอ่ะจุ้นจ้านมากจะใช้คำว่าสาระแนก็กลัวแรงไป ขอโทษผู้เขียนนะคะเราอินเกิน 555555555555
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: konfaibint ที่ 29-01-2019 11:51:26
โอมโดนศร มัดใจจนดิ้นไม่หลุดเลยอ่ะ  ชอบมากกกก   :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: little_def ที่ 29-01-2019 23:58:29
ขอบคุณ คุณธัญญ์มากๆนะคะที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
นานๆทีจะเจอเรื่องทีดำเนินต่อจากการจีบกัน ตกลงคบกันเป็นแฟนแล้ว
เรื่องนี้เรียลมากจริงๆ เหมือนได้มองดูความรักของโอมและศรค่อยๆเติบโตและมั่นคง
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 02-02-2019 10:47:33
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ สนุกมากเลยค่ะ แต่งเก่งมากๆ
เรื่องนี้เราอ่านไปลุ้นไปว่าเมื่อไหร่จะมีฝ่ายไหนที่ทนไม่ไหวก่อนกัน
ปรบมือให้โอมอินที่รักก็คือรักและมีหลายจุดที่ความคิดของโอมอินดีมาก หลายคู่ไปต่อไม่ได้เพราะจับมือกันไม่แน่นพอ
แต่โอมอินจับไว้แน่นมากแทบจะกระชากธรรมศรมาผูกมัดแน่นเลย (ชอบนะ)
ส่วนธรรมศร ในชีวิตจริงหลายคนคงอึดอัดถ้าถูกคนรักตามหึงตามลากกลับบ้านแต่เพราะนี่คือธรรมศรใช่มั้ย ชีวิตที่ไม่สมบูรณ์โอมอินจึงมาเติมในจุดนี้ เรามีแวบนึงที่คิดว่าเข้าใจธรรมศรมากในส่วนที่จะไม่ง้อและถ้าเขาไม่กลับมาก็จะทำใจยอมรับและเรียนรู้ในสิ่งที่จากไปแล้ว ผลจากอดีตมันทำร้ายได้ดีจริงๆ ค่ะ
เรื่องนี้บอกเราอีกอย่างว่าสิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้ พ่อของธรรมศรคือคำตอบสำหรับเรื่องนี้
จะติดตามผลงานอื่นๆ ต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 14:23:16
คนหนึ่งก็ขี้หึง อีกคนก็ขยันทำให้หึง แล้วมันจะยังไงต่อไปหว่า

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 14:58:00
ศรดูมีอะไรในใจอะ ดูเศร้าๆ เหมือนรักโอมแต่ก็เหมือนไม่รัก เหมือนโอมอินจะรู้สึกมากกว่าบรรยากาศมันดูหม่นๆไงไม่รู้

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 15:21:10
บทเค้าจะน่ารักก็น่ารักจ๊นนนน ศรนี่ดูไม่ร่าเริ่งเลยอะเหมือนโอมบอกไว้ยิ้มเหมือนหุ่นยนต์ที่ตั้งค่าไว้ แต่โอมนี่คงรักศรมาก มากจนรู้ว่าตอนไหนศรอารมณ์ดีหรือตอนไหนศรอารมณ์แย่ เนี้ยคบกันไม่กี่เดือนยังขนาดนี้ศรโคตรน่าอิจฉาอะ แต่เรื่องไปนอนบ้านอานี่ก็สกิดใจเรานึดหนึ่งละ แต่ประโยคที่เพื่อนศรพูดเนี่ยเราว่าโอมอินต้องคิดมากแน่ๆ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 15:47:44
โอมอินเอ้ยตกบ่วงศรอย่างจริงจัง หวงเมียนี่ที่หนึ่ง หลงเมียที่สอง แอบโรแมนติกด้วยนะมีการร้องพงร้องเพลงให้ฟังไปอีก โอมอินนี่ก็ช่างสังเกตขนาดเจ้าตัวไม่บอกยังให้เพื่อนไปสืบข่าวเมียอีก ถ้าศรรู้จะโกรธมั้ยอะ แต่ศรก็นะทำตัวให้น่าสงสัยและหึงหวงตลอด และยิ่งชัดเจนตอนที่บอกว่าชอบที่โอมอินหึงนี่มันยังไงกัน

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 16:39:04
โอมอินฉลาดจัง แต่ถ้าคำสันนิฐานของโอมอินเป็นจริงนี่ศรเริ่มน่าเป็นห่วงแล้วนะเนี้ยไม่รู้ว่าป่วยรึเป็นอะไร แต่ชอบความสัมพันธ์ของเขาตอนนี้อะโคตรน่ารักเลยศรเหมือนจะไม่ค่อยแสดงออกว่ารักแต่ก็รักแหละ ติดโอมมากขนาดโทรไปให้ร้องเพลงให้ฟังก่อนนอนนี่ก็รู้แล้ว ตอนที่โอมสอนน้องนี่คือจริงมาก ศรโคตรโชคดีที่ได้โอมเป็นคนรักอะ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 17:04:09
ได้อ่านพาร์ทศรบ้างก็ดีอะ อย่างน้อยๆก็ได้รู้ว่าศรก็รักโอมอินมากเหมือนกัน แอบขี้หึงนะเนี้ยแต่เผอิญว่าโอมอินขี้หึงกว่าความขี้หึงของศรดูเป็นเด็กๆไปเลย ตอนหน้าวาเลนไทน์แล้วจะหวานจนมดขึ้นรึป่าวอะ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 17:11:51
พาร์ทแรกนี่เขินจนตัวบิดมากลางๆนี่เริ่มอึมครึมพอตอนสุดท้ายนี่บู้มมเดาว่าน่าจะเสียงโอมใช่มะ แต่ถ้าเราเป็นศรเราก็นอยด์เว้ย ยิ่งมากอดกันเสร็จแป๊บๆแล้วกลับไปนี่ทำแบบนี้ยิ่งนอยด์อะ แต่ที่ศรพูดว่าไม่อยากรักโอมนี่มันยังไงนะ กินมาม่าคลุ้งมาก

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 17:29:51
โล่งใจไปหน่อยนึกว่าจะม่าแล้วซะอีก ยิ่งอ่านพาร์ทศรยิ่งสัมผัสได้ว่าศรก็รักโอมอินมาก แต่ก็ชอบทำให้โอมอินโมโหหึงอยู่บ่อยๆ เดาว่าแม่จะเอะใจแล้วแน่เลย ยิ่งคำถามสุดท้ายนะมันเหมือนเจาะจงมากๆ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 23:43:50
ปมเรื่องครอบครัวศรเริ่มเปิดเผยออกมาบ้างละ ดูท่าจะหนักหนาพอสมครอยากรู้เพิ่มแล้วละสิ แต่มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนะแบ่งปันให้คนที่นอนอยู่ข้างๆบ้าง ตอนมาถึงห้องละโลมรันกันเนี้ยเพราะเครียดแล้วหาที่ระบายใช่มั้ยศร รึเพราะต้องการเหนี่ยวรั้งโอมไว้ด้วยเรื่องแบบนี้ใช่รึป่าว แบบนี้ไม่ดีเลยอะไม่คิดว่าโอมรักตัวเองจริงๆเหรอถึงทำวิธีนี้เรียกร้องความสนใจจากโอม เห้อศรต้องมีปมในใจที่ใหญ่มากแน่ๆ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 03-02-2019 23:58:47
ศรนี่จะรู้ตัวมั้ยว่าคำพูดบางคำทำร้ายโอมอินมากแค่ไหน แสดงออกไม่เก่งไม่ว่าแต่คำพูดนี่ทำร้ายกันบ่อยๆใครก็ท้อปะ แถมมีคนพยายามแทรกอยู่ตลอดเวลา ถึงจะชัดเจนตอนที่ปฎิเสธผู้หญิงแบบจริงจังแต่ก็ยังไม่ชัดเจนเวลาอยู่ต่อหน้าโอมอินอยู่ดี เป็นโอมอินนี่ด็น้อยใจแทนแะ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 00:11:15
เห้อออท็อปก็รอจะง้าบศรอยู่สินะ เหมือนจะมีเรื่องมาให้โอมคอยหึงหวงตลอดเลย แต่พอโอมถามเรื่องโพนี่ก็ดีตรงที่ศรได้พูดความในใจออกมาทุกอย่าง ทำให้เห็นว่าศรก็จริงจังกับการคบกันอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นคิดไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอกเป็นการพูดว่ารักโดยไม่มีคำว่ารักออกมาเลยอะ ใจชื้นขึ้นหน่อยนึกว่าโอมจะรู้สึกมากกว่าอยู่ฝ่ายเดียวซะแล้ว

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 06:13:32
นี่ไงโอมศรหึงแล้ว แต่หึงเงียบอะ หึงแล้วไม่พูดแล้วแบบนี้จะมีปัญหาภายหลังมั้ยอะ แต่ก็นะก่อนหน้านี้ทำให้โอมหึงบอยๆพอมาเจอกับตัวบ้างรู้สึกไงอะนี่ขนาดโอมไม่เคยอ่อยใครเลยสักนิดเลยนะ ศรเลิกทำให้โอมหึงเหมือนคนบ้าได้แล้ว อยากให้ศรลดกำแพงลงบ้าง

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 06:48:10
ให้มันได้อย่างนี้สิศร หึงแล้วงี่เง่ามากอะขนาดโอมไม่ได้ทำไรเลยนะ ตัวเองเห็นเองหึงเองแล้วพูดจาทำร้ายโอมอีก พูดคำนั้นออกมาง่ายๆเหมือนคนไม่รักกันเลยอะไม่แปลกที่โอมจะคิดแบบนั้น  นี่ขนาดโอมไม่ได้ทำไรนะยังหึงและงี่เง่าได้ขนาดนี้ แล้วทีตัวเองชอบทำให้โอมหึงทำไมไม่คิดบ้าง

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 07:14:26
ตอนที่ศรเบรครถกระทันหันจนรถสะบัดนี่ใจหายใจคว่ำหมดนึกว่าจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกว่านี้สะอีก พาร์ทนี้เข้าใจศรขึ้นเยอะเลย ความลับของศรถูกเปิดเผยแล้ว และเราค่อนข้างอึ้งด้วย ก่อนหน้านี้ก็คิดแหละว่าทำไมศรชอบทำให้โอมหึงบ่อยๆตอนนี้เข้าใจละ นี่คือเหตุผลที่ชอบทำให้โอมอินหึงบ่อยๆสินะ ดีใจที่ตอนศรจิตตกหนักๆยังมีอาภพที่ค่อยช่วยประคองความรู้สึกของศร และอาภพก็เป็นคนที่อ่บอุ่นมากกกก สัมผัสได้ถึงความรักที่มีให้ศรอย่างแท้จริงเลย นี่คือจุดบกพร่องของตัวเองที่ศรพูดบ่อยๆสินะ รีบๆเคลียร์กันเนอะโอมก็รักศรมากแค่บอกโอมก็คงเข้าใจและช่วยทำให้ศรมั่นใจมากกว่าเดิมแหละ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 09:59:07
ศรเอ้ยยยยยย ขยันหาเรื่องจริงๆ เข้าใจแหละว่าอยากตัดรำคาญผู้หญิงคนนั้นแต่จำเป็นมั้ยที่ต้องทำแบบนี้ เนี้ยไม่คิดถึงจิตใจโอมเลยอะไหนบอกจะเลิกทำแบบนี้ไง ถ้าโอมทำแบบนี้บ้างศรจะรับได้รึป่าวคราวทีแล้วแค่เบียดกันนิดหนอยยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วเรื่องมันจะไม่จบแค่โกรธกันเหมือนทุกทีมั้ย

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 10:25:19
มันก็จริงอย่างที่โอมพูดทุกอย่างเลย ครั้งนี้ศรเล่นแรงเกินไป แต่ก็ยังอยากให้โอมคืนดีกับศรอยู่นะ คราวที่แล้วว่าทะเลาะกันหนักละนะมาคราวนี้หนักกว่าดิมไปอีก

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 10:55:09
ทางศรก็อาการหนัก ยอมรับว่าสงสารศรขึ้นมาจนอยากดึงมาปลอบ แต่ประโยคที่บอกว่าอาจจะรักท็อปได้ในสักวันนี่มัน..... เราอยู่ทีมโอมเว้ยยยอย่างน้อยๆโอมก็ไม่ทำร้ายจิตใจศรพร่ำเพื่อและไม่คิดจะรักใครได้นอกจากศร แต่ศรไม่ใช่ ศรพยายามไม่รักโอมแต่ก็ไม่อยากปล่อยโอมไป เหมือนศรรักโอมมากก็จริงแต่ก็ยังมีโลเลอยู่เลย

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 12:04:09
โหผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของศร คนที่ศรรักมากแต่เธอกลับทิ้งศรไปแล้วมีลูกคนใหม่ที่รักและเอาใจใส่ทุกอย่าง โดยที่ศรไม่เคยได้รับความรักนั้นมาสักครั้ง มีแต่ความทรงจำที่โหดร้ายและเศร้ากลายเป็นปมในชีวิตมา20กว่าปี เข้าใจความรู้สึกที่ว่าถึงเรารักเขามากแค่ไหนยังไงเขาก็ทิ้งเราได้แบบนี้ใช่มั้ยที่ศรไม่อยากรักโอมจนหมดหัวใจ แต่เรื่องร้ายๆก็ยังดีที่โอมอยู่ตรงนั้น และศรก็ทิ้งทิฐิตัวเองลงได้บ้างแล้ว โอมอย่าปล่อยมือศรไปนะ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 12:58:33
ฮือออออออดีที่ยังจูนกันติด ศรรักโอมมากแต่ก็กลัวผิดหวังมากใช่มั้ยอะ ที่บอกว่าชอบทำให้ห่วงเพราะว่าต้องการเรียกร้องความสนใจให้โอมมองแค่ตัวเองคนเดียวจริงๆสินะ ที่ผ่านมาอาจจะใช้วิธีผิดไปบ้างแต่ก็ให้อภัยศรนะ เพราะความเจ็บปวดที่ผ่านมามันไม่ง่ายที่จะผ่านมาได้เลยเนอะ ปล.เราว่าncมันก็ดีมากเลยนะตั้งแต่ตอนโน้นที่เคาท์เตอร์ด้วยที่ทั้งคู่ทำมันคือการเมคเลิฟอะไม่ใช่แค่เซ็กซ์ ไม่ได้ชัดเจนเกินไปแต่อ่านไปละก็จินตนาการตามได้ว่ามันต้องละมุนมากแน่ๆ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 17:35:54
โหผู้หญิงคนนั้นเขาไม่รักศรบ้างเลยรึไง แต่อย่างน้อยเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ศรได้พ่อกลับมาก็ดีเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่พ่อศรก็คอยดูแลอยู่ห่างๆเพราะศรปิดกั้นตัวเองหวังว่าต่อจากนี้ไปความมัมพันธ์ของทั้งคู่จะดีขึ้นเรื่อยๆนะ แถมตอนนี้ความสัมพันธ์ของโอมกับศรก็ชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกตอนนี้อ่านละอุ่นมาก

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 19:58:06
พอศรทำตามหัวใจตัวเองแล้วน่ารักขึ้นเป็นกองเลย โอมหลงหัวปรักหัวปรำแล้วมั้งน่ะ ตอนที่พ่อศรมาเรานึกว่าจะมาอะไรที่ไหนได้มาพูดแบบนี้ดีนะไม่ได้บังคับให้เลิกกันแถมติดเอ็นดูโอมเพิ่มขึ้นอีก แต่ศรก็คือศรทำตัวดีแค่ไหนก็ซวยอยู่ดี มาลุ้นกันว่าศรจะทำยังไงไม่ให้โอมโมโหหึงจนเลือดขึ้นหน้า

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 20:34:39
ใจหายหมด ดีนะศรไม่เล่นตามเกมบ้าๆนั่น แต่อย่างน้อยเพื่อนศรกับโอมอินเองก็ได้ยินชัดๆละนะว่าเขารักแฟนเขามากแค่ไหน ไม่อ่อยใครให้โอมอินหึงอีกแล้ว เก่งมากธรรมศร

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 20:52:08
แม่ศรใจร้ายกับศรมากอะ เข้าใจที่พ่อเกลียดแม่ศรเลย นอกจากจะทิ้งลูกทิ่งตัวเองไปยังทำให้ลูกเกลียดตัวเองอีก รู้สึกเห็นใจกับอดีตที่ผ่านมา แต่ศรรู้ความจริงบ้างแล้วคงอภะยให้พ่อแบะกลับมาเป็นครอบครัวกันจริงๆได้ไม่ยากนะ รดาเองก็น่ารักนึกว่าจะดื้อดึงกว่านี้ซะอีก แม่โอมเองก็เหมือนจะไม่กีดกันอะไรบรรยากาศตอนนี้ดีมากๆเลย

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 21:15:22
ลุ้นมาตั้งแต่ตอนแรกนึกว่าจะเลิกกันก็หลายครั้ง ไม่คิดว่าจะแฮปปี้ขนาดนี้ ดีใจอะที่ความรักทั้งคู่มันเดินมาได้ไกลขนาดนี้ ดีใจที่ครอบครัวทั้งสองฝ่ายพยายามเข้าใจและยอมรับโดยไม่กีดกัน แต่พ่อศรคือพูดเต็มปากเต็มคำว่าโอมคือลูกเขย เขินแทนโอมเด้อ555555

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Gardenia ที่ 04-02-2019 21:42:36
จบแล้วจบดีมากๆเลยเย้ๆๆ สารภาพว่าอ่านจบแต่ลัตอนไปแล้วกลับมาอ่านใหม่เพราะคิดว่าข้ามอะไรสำคัญๆไปเยอะเลยแล้วก็จริงด้วย เราชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยมีมุมให้คิดหลายด้าน เหมือนชีวิตที่ไม่ได้มีแค่มุมเราฝั่งเดียว ตอนแรกแอบขัดใจศรแหละแต่พอรู้ว่าศรทำแบบนั้นทำไมก็เข้าใจและเห็นใจ ดีใจที่ศรได้เจอโอมอินคนที่รักศรมาก มากพอที่ทำให้ศรกลับมามีชีวิตที่มีความสุขอีกครั้ง ความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเพื่อน คนรัก หรือแม้กระทั่งครอบครัวก็เริ่มมาจากความจริงใจและความเข้าใจทั้งนั้น ดีใจที่ศรก้าวพ้นเรื่องนั้นมาได้ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ

Sent from my SM-A710F using Tapatalk

หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: MSX1917 ที่ 05-02-2019 10:21:30
ประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ ค่อยๆคลายปมออกมา ชอบครับ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 05-02-2019 15:45:47
 :katai2-1: เรื่องนี้ชอบที่การเดินเรื่อง ตัวละคร สนุกค่ะ ถึงแม้ว่าจะขัดใจที่นายเอกของเราอึนมากกกกก แต่ก็สนุกไปอีกแบบ หน่วงไปอีก
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 28-02-2019 23:03:12
จบแล้ววววววว :katai2-1:
รักศร รักโอมอิน รอตอนพิเศษนะค้าาา
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 16-03-2019 09:58:38
 :mew3:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 29-05-2019 03:32:19
จบได้กำลังดี สวยงามมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-07-2019 19:03:48
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 31-07-2019 07:03:53
น่ารักทั้งโอมและศร  ชอบโมเม้้้นนี้มากๆๆ
 :pig4: :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 08-08-2019 17:44:31
สนุกและน่ารักมากกกกกกค่ะ  :hao7:
มีอึดอัดบ้างในบางช่วง แต่ดีจังเลยค่ะที่ไม่ดึงดรามายาว
โอมอินและธรรมศรโคตรน่ารัก  :impress2:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-08-2019 15:07:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 09-09-2019 21:29:39
งื้ออ แล้วเรื่องทายาทบริษัทพ่อศรจะเป็นไงต่อล่ะเนี่ย  :hao5:

ปล.รอตอนพิเศษอยู่น้าาา
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Luxfern ที่ 28-10-2019 00:37:05
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ดีต่อใจที่สุด
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: JJAY.K ที่ 30-10-2019 13:46:37
 :pig4:

เป็นเรื่องที่มีหลากหลายอารมณ์จริง ๆ ครบทุกรสชาติ
ศรเป็นคนที่น่าสงสารมาก  ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมศรถึงทำแบบนี้  แต่เมื่อปมต่าง ๆ คลายออกมาก็เข้าใจได้ทันที  ขอบคุณโอมที่รักศรมากจริง ๆ ยอมลงให้ก่อนเสมอ  พร้อมที่จะเข้าใจศร พร้อมที่จะปรับตัวอยู่ตลอด  อดทนรอจนศรเปิดใจร้อยเปอร์เซ็นต์  จนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงจุดที่เข้าใจซึ่งกันและกันประคับประคองความสัมพันธ์ให้มั่นคงต่อไป

เป็นนิยายที่ดีอีกเรื่องเลย  ชอบมากครับ  หลังจากที่อยู่ในอารมณ์หม่น ๆ มาค่อนเรื่อง  สุดท้ายก็มีความสุขกันได้ในที่สุด

ปล.ติดตามมาจากเรื่อง หากันจนเจอ  จะรอติดตามเรื่องต่อ ๆ ไปนะครับ
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 06-11-2019 00:30:39
สนุกมากกกกกก  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 「โรคประจำใจ」[Underlying diseases.] Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 07-03-2020 08:52:12
 :t3: :katai2-1: :katai2-1:เป็นเรื่องที่ดีมากกกกกกกกกกก ชอบบบบบบบ ไม่ผิดหวังค่ะ
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าว!!!] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ธัญญ์ ที่ 08-03-2020 17:44:35
[แจ้งข่าว!!!]

Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」


ตอนนี้เปิดให้สั่งซื้อได้แล้วนะคะ!
2 ช่องทางคือ สำนักพิมพ์ hermit books http://www.hermitbookshop.com/product/738/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88 (http://www.hermitbookshop.com/product/738/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%88)
และ แอป Shopee https://shopee.co.th/i-i.72213402.5020760690?deep_and_deferred=1&pid=partnerize_int&af_click_lookback=7d&is_retargeting=true&af_reengagement_window=7d&af_installpostback=false&af_sub2=SHOPEE&clickid=1100l7TGMKIF&af_siteid=1100l92344&utm_source=1100l92344&utm_medium=affiliates (https://shopee.co.th/i-i.72213402.5020760690?deep_and_deferred=1&pid=partnerize_int&af_click_lookback=7d&is_retargeting=true&af_reengagement_window=7d&af_installpostback=false&af_sub2=SHOPEE&clickid=1100l7TGMKIF&af_siteid=1100l92344&utm_source=1100l92344&utm_medium=affiliates)

สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางสำนักพิมพ์ hermit books ทุกช่องทางค่ะ
ฝากโอมอินกับธรรมศรไว้ด้วยนะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์


(http://)
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 25-03-2020 07:03:07
อ่านจบแล้วจ้า สนุกมาก

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 08:58:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 24-04-2020 06:44:33
ทับใจมากๆเลยค่ะ มันลึกซึ้งมาก เหมือนเราได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ไปพร้อมกับโอมอินและธรรมศร รู้เหตุผลของการกระทำและพร้อมปรับตัวไปกับทั้งสองคน ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่สร้างนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา ดีต่อใจมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 23-07-2020 23:28:26
ดีนะไม่มีดราม่าเรื่องครอบครัวโอมอินมาเพิ่ม ไม่งั้นได้เตรียมทิชชู่มาซับน้ำตาจริงๆนะ แต่คู่นี้ก็หึงก็หวงกันเกินเบอร์จริงๆน่ะแหละ หึงเบรคแตกไปเลยพ่อคู้ณณณณ  :hao7: