[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 105362 ครั้ง)

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
้​คิดถึงแล้วน้าาาาาา :man1:

ออฟไลน์ Oliver

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โง้ยยยยยยสนุกมากกกกตามมาจากในทวิต สู้นะคะ✌✌

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :L2: :L2: :L2:
คิดถึงแล้วมาลงเถอะ
รักนะ
 :mew1:

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดถึงศรจังค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เรื่องนี้จะดราม่าหนักแค่ไหนหนอ กลัวใจ

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดถึงแล้วนะะะะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 8
---DharmaSORN---











“สวัสดีค่ะคุณแม่”


ผมละสายตาจากผักที่กำลังล้างหันไปมองเจ้าของเสียง เธอดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมอยู่ในครัวด้วย


“นี่พี่ศร เพื่อนพี่โอมจ่ะ”


“ส่วนนั่นรดา เพื่อนสนิทยัยอิมเขา”


“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ผมเล็กน้อย คนมือไม่ว่างอย่างผมจึงได้แต่ยิ้มรับคำทักทายนั้น


“ทำอะไรกันอยู่คะเนี่ย”


ผมหันกลับมาล้างผักต่อ ถ้าจำไม่ผิดเธอคือเด็กสาวคนที่เจอกันที่ร้านหนังสือในห้างเมื่อกลางสัปดาห์ คนที่โอมอินบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทน้องสาวคนเล็ก


...ไม่ยักรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของแม่ด้วย


แทนที่จะออกไปอยู่กับเพื่อนข้างนอกกลับเข้ามาช่วยแม่ของเพื่อนทำอาหารกันอย่างสนิทสนมไร้ท่าทีเคอะเขิน ไหนจะความคล่องตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนมีความเป็นสุภาพสตรีครบครับแบบนี้อีก ถ้าเธออยากจะเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ละก็ คงผ่านด่านแม่สามีได้ง่ายดายเชียวล่ะ


...เดี๋ยวนะ!


อยากเป็นลูกสะใภ้อย่างนั้นเหรอ


ผมหันกลับไปวางตะกร้าผักที่ล้างเสร็จแล้วไว้ข้างแม่ของโอมอิน ตั้งใจจะถามว่าให้ทำอย่างไรต่อแต่เด็กสาวคนนั้นกลับชิงตัดหน้าขึ้นก่อนด้วยคำถามที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีทักษะด้านการทำอาหารที่มากกว่าผมอย่างเห็นได้ชัด


“คุณแม่จะนึ่งผักไหมคะ”


“ไม่ล่ะจ่ะ บวบงูของโปรดแฟนพี่โอมเขาแม่ลวกไว้แล้ว ของพวกนี้ทานสดดีกว่า...เอ้อศร เราชอบแบบไหนล่ะ ทานสดกรอบ ๆ นึ่งให้นิ่มหรือลวก”


“เอ่อ…” ถ้าบอกว่าชอบบวบงูนึ่งก็ดูจะชอบอะไรหลายอย่างตรงกับ ‘แฟนโอม’ มากเกินไป “...ทานได้หมดครับแม่”


“งั้นรดามาช่วยแม่จัดอาหารหน่อยนะ วันนี้มีสองชุด”


“เอ่อ แม่ครับ ของผมไม่ต้องมีกับข้าวก็ได้นะครับ เอาแค่น้ำพริกก็พอ ผมเกรงใจ” ความจริงคือถ้าสองชุดผมจะทานยังไงหมด ปกติชุดเดียวทานกันสองคนกับโอมอินก็อิ่มแปล้จนพุงกาง ถ้าสองชุดอาหารเหลือเสียดายแย่


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกลูก”


“เอ่อ คือพอดีช่วงนี้ผมคุมอาหารอยู่ด้วยครับ คิดว่าทานแค่น้ำพริกกับผักดีกว่า ไว้ครั้งหน้าผมมาขอฝากท้องกับข้าวฝีมือแม่อีกแล้วกันนะครับ” ต้องหว่านล้อมถึงขั้นนี้ท่านถึงจะยอมทำตามที่ผมขอ




ผมช่วยแม่และรดาตักอาหารใส่กล่องได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องขอปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์ รายชื่อคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมต้องมองหามุมอับที่มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครผ่านมาได้ยินบทสนทนาต่อจากนี้ได้


“ครับอา”


[ว่างไหมศร...มาหาอาที่บ้านหน่อย]


ผมนิ่งคิดไม่นานก็ตอบตกลงไปก่อนวางสาย บทสนทนาทางโทรศัพท์ของเราจะสั้นแบบนี้เสมอ


ปกติแล้วถ้าไม่ติดขัดอะไรผมจะไม่ลังเลที่จะไปหาอาภพที่บ้าน แต่เพราะตอนนี้อยู่กับโอม จะปลีกตัวแยกไปอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยและซักไซ้มาก



เดินกลับเข้าไปในครัวทันเจอโอมอินยืนดื่มน้ำอยู่พอดี สะโพกแกร่งพิงขอบโต๊ะมองสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นทำอย่างสนใจ เป็นภาพที่ทำให้ผมคันยุบยิบในใจอย่างบอกไม่ถูก


“โอม กูกลับก่อนนะ มีธุระ” ประโยคบอกเล่าของผมทำให้โอมอินละสายตาจากเธอมามองกันได้


“เห้ยเดี๋ยวดิ มีธุระที่ไหน จะไปยังไง เดี๋ยวไปส่ง”


“ไม่เป็นไร กูไปเองได้ มึงอยู่กับ...น้องเถอะ”


“กูบอกไปแล้วนะว่าวันนี้จะกลับเร็ว” โอมอินเริ่มหัวเสีย ผมไม่อยากทะเลาะกับมันต่อหน้าแม่และน้องจึงจำต้องยอมให้มันเป็นสารถีไปส่งถึงที่หมาย






“ไปฝั่งธนฯนะ” ใจจริงแล้วก็อยากให้อีกฝ่ายแวะส่งแค่สถานีบีทีเอสหรือห้างสักแห่งแล้วอ้างว่าถึงที่หมายแล้ว แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่เชื่อจึงจำต้องยอมบอกที่ตั้งของบ้านอาภพไป


“ไปทำอะไรแถวนั้น”


“บ้านอาภพ”


“อาภพ?”


“พ่อน้องเพชรไง”


“อ๋อ...คนที่…” เสียงพูดชะงักราวกับคนพูดงับปากได้ทันก่อนหลุดบางอย่างที่ไม่ควรออกมา


“คนที่อะไร”


“ก็...คนที่มึงไปหาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนไง”


ผมหรี่ตามอง เมื่อไม่เห็นท่าทางมีพิรุธอะไรอีกจึงเลิกสนใจ


เรานั่งเงียบกันไปตลอดทาง แม้แต่เสียงเพลงก็ไม่มี ผมไม่ได้บอกทางเป็นระยะเพราะเปิดเส้นทางให้อีกฝ่ายขับไปตามนั้นเลย


ผมมองวิวข้างทางได้ไม่นานก็พักสายตาด้วยการงีบหลับ แต่เอาเข้าจริงแล้วก็หลับไม่ลงเพราะเพิ่งมาคิดได้ว่าปกติแล้วอาภพไม่เคยเป็นฝ่ายโทรตามให้ไปหา ผมอยากเจอเมื่อไหร่ผมจะเป็นฝ่ายติดต่อไปเอง แต่ครั้งนี้แปลกไป ทว่าคิดเท่าไหร่ก็เหมือนวนในอ่าง เมื่อหาเหตุผลไม่ได้จึงเอาแต่โทษตัวเองที่ไม่ยอมถามให้รู้ความก่อนรับปากด้วยมัวแต่กลัวว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน


“ศร...ถึงแล้ว”


ผมลืมตาขึ้นมอง ตั้งใจจะบอกให้จอดส่งแค่หน้าบ้านแต่กลายเป็นว่าภาพแรกที่ผมเห็นคือรถของโอมอินจอดต่อท้ายรถคันหนึ่งในเขตบ้านแล้ว


และมันก็ทำให้ผมได้คำตอบของข้อสงสัยทั้งหมด


รถคันหน้าเป็นรถของพ่อ!


“กลับ” แทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเสียงสั่นและเบาขนาดไหนหากไม่เห็นว่าโอมอินยังนั่งนิ่งแล้วยังบอกให้ผมลงจากรถได้แล้วราวกับไม่ได้ยินคำขอของผมเลย “กลับ! กูบอกว่ากลับ!


“อะไรของมึง เราเพิ่งมาถึง”


“กูจะกลับแล้ว ขับรถออกไปโอม กูขอร้อง” ผมยื่นมือสั่นเทาไปจับแขนมันไว้ นานมากแล้วที่ไม่รู้สึกกลัวการเผชิญหน้าขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าความรู้สึกที่เคยคุมไว้ใต้ความเรียบนิ่งของใบหน้าจะหลุดออกมาหมดเปลือกเพียงแค่เห็นรถของอีกฝ่ายจอดอยู่ที่นี่


“เกิดอะไรขึ้นศร เป็นอะไร” โอมพยายามกุมมือสั่นเทาของผม ผมส่ายหน้ารัวพร้อมย้ำคำเดิมด้วยเสียงที่คิดว่าหนักแน่นได้มากที่สุดในตอนนี้


“กูจะกลับเดี๋ยวนี้!”


โอมพยักหน้า รีบสตาร์ทรถเตรียมจะออกตัว ขณะที่มืออีกข้างยังกุมมือผมไว้คล้ายปลอบประโลมให้ผมสงบลง


“พี่ศรคะ” เสียงเรียกของเพชรดังขึ้นทำให้โอมอินชะงัก การเคลื่อนตัวของรถเสียจังหวะจนใครหลายคนเข้าถึงตัวรถและกำลังเคาะกระจกฝั่งที่ผมนั่งอยู่


“ลงมาเถอะศร”


“อาหลอกผม” ผมพูดเสียงเบาแต่เชื่อว่าอีกฝ่ายคงอ่านปากได้ไม่ยาก


ใครคนนั้นยืนถัดออกไปด้านหลัง ผมไม่ได้เหลือบไปมอง แค่เห็นเป็นโครงร่างคุ้นตาในลานสายตาก็ยากจะทำใจแล้ว


“ลงมาเถอะลูก พ่อเขาอยากเจอนะ”


ผมหันหน้าหนี ไม่ตอบโต้ โอมอินบีบมือผมเบา ๆ เตือนให้รู้ว่าข้างกายผมยังมีเขาอีกคน


“กูไม่รู้ว่ามึงกลัวอะไร แต่กูพร้อมที่จะลงไปเผชิญกับมึงนะ...ถ้ามึงต้องการ”


ผมส่ายหน้าช้า ๆ รู้สึกผิดหวังในตัวเองที่กลับมาเป็นคนอ่อนแออีกครั้งทั้งที่เคยเข้มแข็งได้มาตลอดหลายปี ผมหลับตาพักเรื่องราวเก่า ๆ ที่ผลัดกันฉายซ้ำในหัวด้วยความเร็วระดับช้าสุดราวกับต้องการตอกย้ำให้ผมได้ซึมซับความรู้สึกของวันวานได้มากที่สุด


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ เสียงเคาะกระจกเงียบไปนานแล้ว และผมคิดว่าตัวเองก็พร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้า


“รอกูที่รถนะ ขอเวลาไม่นาน”


โอมอินพยักหน้ารับ ตัวมันเองคงรู้สึกน้อยใจอยู่ลึก ๆ แต่หวังว่ามันคงเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องภายในที่ไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตรักของเราเลย


...มันแทบจะไม่สำคัญกับชีวิตผมเลยด้วยซ้ำ







“แล้วเพื่อนเรา?” เพราะไม่เห็นว่าเดินเข้ามาในบ้านด้วยกันคุณอาจึงถามขึ้น


“เขาจะรออยู่ข้างนอก ไม่ต้องมีใครไปรับแขกหรอกครับ รวมถึงเราด้วยเพชร ห้ามออกไปเด็ดขาด”


“อืม คุยกันตามสบายนะ” อาภพเตรียมจะเดินออกไปพร้อมลูกสาว


“เสร็จธุระแล้วผมกลับเลยนะครับ คงไม่ได้ขึ้นไปลา ขอโทษด้วยครับอา” อาภพพยักหน้ารับก่อนออกไปจากห้องนั่งเล่นทิ้งไว้แต่ความเงียบที่คืบคลานเข้ามาปกคลุมบรรยากาศระหว่างเรา


ผมยืนนิ่งกลางโถงบ้านด้วยสีหน้าสบาย ๆ ทว่าไร้อารมณ์เหมือนที่ฝึกทำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ  แบบนี้ อาจจะซักสองปี หนึ่งปี ห้าเดือน หรือความจริงแล้วอาจจะแค่เดือนเดียว ผมจำไม่ได้จริง ๆ เพราะภาพจำที่มีในหัวมันถูกสต๊าฟไว้ที่ความทรงจำวัยเยาว์


ผู้ชายตรงหน้าดูแทบไม่ต่างจากภาพจำของผมเลยสักนิด อาจจะดูชราขึ้นเล็กน้อยตามวัย แต่สีหน้าและแววตาไม่ต่างจากวันนั้นนัก แข็งกระด้าง ดุดัน โหดร้าย...เหมือนไม่ใช่มนุษย์


“เรียกมามีธุระอะไรครับ” ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเสียเองเพราะไม่อยากให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้


“เจอหน้าพ่อทั้งทีไม่ถามหน่อยเหรอว่าสบายดีไหม”


“ทำไมครับ หรือว่านี่เรียกมาดูใจ”


“ไอ้ศร!!!” พ่อตะคอกเสียงดังจนก้องไปทั่วบ้านหลังโต


“ใครจะไปรู้ละครับ บางทีคุณอาจจะติดโรค”


“ใจคอแกจะสาปแช่งฉันให้ตายวันตายพรุ่งเลยรึไง”


หึ แทนตัวเองว่าพ่อให้ระคายหูได้คำสองคำก็ฝืนไม่ไหวแล้วสินะ


“ผมแค่พูดตามความจริง”


“โกรธฉัน เกลียดฉันมากนักเหรอถึงไม่มาหากันบ้าง” เขาไม่ได้ตะคอก แต่ก็ได้ได้พูดด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจให้ฟังดูน่าสงสาร อีกฝ่ายแค่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูเยือกเย็น


“คุณควรถามตัวเองว่าสมควรที่ผมต้องรู้สึกอย่างนั้นรึเปล่า” ...ผมเองก็เช่นเดียวกัน...เพียงแต่อาจจะพลาด พลาดแสดงอาการอะไรสักอย่างออกไปให้รู้ว่ากำลังสั่นไหวเพราะภายในเปราะบางทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้


เขาแสยะยิ้ม “ฉันควรเป็นคนที่ถูกโกรธ ถูกเกลียดเหรอ”


“เพราะคุณ…”


“แน่ใจเหรอว่าที่เป็นแบบนี้เพราะฉัน”


“...” ผมกำมือแน่น


“ว่าไงล่ะ เพราะฉันจริง ๆ น่ะเหรอ”


“เหตุเริ่มต้นมันเกิดจากคุณ” เสียงที่ออกจากปากไม่ต่างจากเสียงกระซิบนัก


เขาเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาผม


...ช้า ๆ


และผมก็เริ่มถอยห่างออก


...ช้า ๆ


เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ยิ่งเขาพยายามเข้าใกล้ ผมยิ่งถอยห่างออกมา


“เพราะแกเป็นแบบนี้ไง แกไม่เคยฟังฉัน แกเอาแต่เชื่อนังผู้หญิงคนนั้น!” ประโยคท้ายเขาตะคอกเต็มเสียง


“อย่าหยาบคายกับเธอ!”


“สักวัน! สักวันแกจะต้องเสียใจเพราะผู้หญิงคนนั้นเหมือนอย่างที่ฉันเป็น” ผมไม่สนใจความเจ็บปวดในแววตาคู่นั้น มันก็แค่ละครฉากหนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดและดูดีขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น


“ไม่มีทาง!”


เขาแค่นหัวเราะหึ “ไม่เสียใจเหรอ...” นัยน์ตาฉายแววสมเพชในตัวผมออกมาชัดเจน “...ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คงกำลังรู้สึกมีความสุขอยู่สินะ...โดนนังนั่นทิ้งคงมีความสุขดีสินะ!!!”


“อย่าเรียกเธอแบบนั้น!!”


“ฉันจะเรียก!” เขาตะคอกอย่างเหลืออด นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง “จะเรียกให้สมกับสิ่งที่มันทำกับฉัน!”


“ทั้งหมดมันเป็นเพราะคุณ! หัดดูตัวเองซะบ้าง!”


“หึ ดูตัวเองเหรอ”


เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ผมเองก็ถอยหนีอีกเช่นเคย


“ดูเพื่อเห็นเขาบนหัวให้เจ็บใจรึไง!!”


ผมส่ายหน้าช้า ๆ ก้าวถอยห่างออกมาเรื่อย ๆ
 

จำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้คือเมื่อไหร่ และในตอนที่เจอกันครั้งต่อไปผมก็คงจำไม่ได้อีกเช่นกันว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้







ผมนั่งหลับตาไปตลอดทาง รู้สึกขอบคุณคนข้างกายจากใจที่ไม่เอ่ยถามอะไรออกมาให้ผมต้องลำบากใจกับการตอบคำถาม ทั้งห้องโดยสารเงียบจนแม้แต่เพลงที่ชอบฟังก็ไม่มีมาให้รำคาญใจ เครื่องมือสื่อสารก็ถูกตัดขาดช่องทางการติดต่อไปแล้ว นับจากนี้คงไม่มีอะไรรบกวนผมได้อีก


ไม่ทันที่ผมจะได้หลับ รถที่เคลื่อนอยู่ก็หยุดลง บางทีเราอาจจะติดไฟแดงที่สี่แยกใหญ่ใกล้หมู่บ้าน หรือบางทีอาจจะยังติดแลกบัตรอยู่ที่ป้อมยาม ผมพยายามคิดเรื่องอื่นไปต่าง ๆ นานา เพื่อให้ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น จนเผลอสะดุ้งตัวน้อย ๆ ตอนที่มีปลายนิ้วจิ้มลงมาที่หว่างคิ้วก่อนจะค่อย ๆ คลึง ผมอมยิ้มมุมปาก ไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกผ่อนคลายเป็นเพราะสิ่งที่โอมทำให้ หรือแค่เพราะกำลังได้รับการเอาใจใส่กันแน่


รถเคลื่อนตัวออกอีกครั้ง พร้อมกับสติของผมที่จางหายลงเรื่อย ๆ







ผลั่ก!


ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ผมก็ดันร่างที่หนาพอกันกระแทกเข้ากับบานประตูก่อนตะโบมจูบแบบไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว มือไม้ปัดป่ายไปทั่วจนสามารถสอดเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อใต้เสื้อยืดของมันได้


ตุบ!


ได้ยินเสียงของบางอย่างหล่นพื้น เดาเอาว่าน่าจะเป็นกล่องอาหารที่มันถือขึ้นมาด้วย เพราะหลังจากเสียงนั้นตัวของผมก็ถูกโอบอุ้มด้วยมือของอีกฝ่ายทันที


เราปล้ำจูบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สองมือก็แข่งกันทำหน้าที่เร้าอารมณ์ฝ่ายตรงข้ามราวกับว่าถ้าใครรู้สึกมากกว่าก่อนเป็นฝ่ายแพ้


ผมไล้มือวนหน้าท้องแบนราบของโอมอย่างอ้อยอิ่งสวนทางกับการรุกล้ำอย่างรุนแรงในช่วงบน ออกแรงบีบพุงกะทิน้อย ๆ ของมันให้รู้ว่าแอบขัดใจอยู่ลึก ๆ ที่มันไม่ได้มีแค่กล้ามลื่นมือเหมือนเมื่อก่อน


“อ่าส์...” ผมร้องเสียงหลงเมื่อถูกโอมลากลิ้นลงมาถึงแอ่งไหปลาร้า ฝังเขี้ยวฝากรอยแล้วเลียแผลซ้ำจนเจ็บแสบก่อนจะเลื่อนตำแหน่งลงไปจนถึงแผงอก


รู้สึกเสียเปรียบเล็กน้อยที่ตัวเองใส่เสื้อยืดคอกว้างผ้าย้วยจนทำให้ง่ายต่อการถูกเขี่ยคอเสื้อให้พ้นทางจนตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่ยังใส่เสื้อผ้าครบแต่เปลือยไหล่ข้างหนึ่งพร้อมโชว์เนินอกเรียบร้อยแล้ว


ในขณะที่อีกฝ่ายคงกำลังยิ้มย่องได้ใจว่าการที่ผมแอ่นอกรับสัมผัสของมันคือการรู้สึกมากกว่าก่อน ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากเสียเปรียบไปมากกว่านี้ ในเมื่อช่วงบนสู้ไม่ได้ สองมือจึงต้องทำหน้าที่สู้ต่อไปแทน มือข้างหนึ่งผละออกมาสางเข้าไปในผมแล้วกดศีรษะโอมอินไว้กับอกตัว ขณะที่อีกข้างไล้ไต่ลงล่างช้า ๆ ด้วยหวังว่าจะสร้างความปั่นป่วนในตัวมันได้บ้าง


...และก็ได้ผล


โอมอินตะปบมือลงบนมือผมในตอนที่นิ้วทั้งสี่สอดเข้าไปในกางเกงในจนมิดแล้ว ทุกความเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง เสียงจูบและความเปียกชื้นจากลิ้นบนผิวเนื้อผมก็หายไปด้วย คนที่ยังพิงศีรษะกับอกผมถอนหายใจดังก่อนผละออกเพื่อมองหน้ากันตรง ๆ ผมยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเอ่ยบอก “ถ้ามึงไม่อยาก กูหยุดก็ได้” 


“กูแพ้มึงตลอดอยู่แล้วนี่”


ผมยิ้มกว้างพอใจ เพราะการที่มันจับมือผมแล้วเลื่อนต่ำลงไปกว่าเดิมเสียเองคือการยืนยันคำพูดของมันได้ดีทีเดียว


เรากอดรัดนัวเนียกันตั้งแต่หน้าประตู กว่าจะกระเตงกันมาถึงเตียงก็ไม่เหลืออาภรณ์สักชิ้นปกปิดกาย มือของเราสอดประสานกันแน่นเช่นเดียวกับช่วงล่างที่ส่งเสียงหยาบโลนออกมาทุกครั้งที่เกิดการขยับ


“รักกูไหม...โอม ระ รักกู...ไหม”


ใบหน้าเปี่ยมสุขของโอมมีคิ้วขมวด อีกฝ่ายคงแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ออกมา ความเร็วในการกระแทกลดลงทำให้มันเข้ามาได้ลึกกว่าเดิมจนผมเกือบจุกแต่ก็ยังร้องออกมาด้วยความเสียวซ่าน โอมอินยังไม่ตอบ อีกร่างที่ใกล้เคียงกันทิ้งตัวลงมากอดก่ายในระนาบเดียวกันก่อนที่เสียงกระซิบที่ข้างหูจะดังขึ้น “กูรักมึงคนเดียวนะศร”


จุมพิตหนักแน่นตรงหลังคอช่วยสำทับคำพูดให้ผมยิ่งพอใจ มือของเรายังจับกันไว้แน่น แม้ว่าตอนนี้ผมจะถูกอีกฝ่ายกอดซ้อนหลังอยู่


“กอดกู อ๊ะ กอดกูแน่น ๆ”


บทรักของเราดำเนินต่อไปอีกหลายรอบ ไม่มีใครสนใจกล่องอาหารที่ตกอยู่ตรงประตูห้อง ไม่สนใจเสียงท้องที่ร้องประท้วงโครกคราก ไม่สนใจแสงอาทิตย์ที่อ่อนลงเรื่อย ๆ จนทั้งห้องเริ่มมืดมิด ไม่มีใครสนใจอะไรนอกจากคนในอ้อมกอด กอดกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนหมดแรงนอนกอดก่ายแน่นิ่งกันอยู่บนเตียง


“ไม่หิวเหรอ” โอมถามขึ้นมาพลางเกลี่ยปอยผมของผมเล่น


ผมส่ายหน้าทั้งที่ยังซุกอกมันอยู่ “กินมึงอิ่มแล้ว”


อกกว้างกระเพื่อมตามจังหวะหัวเราะ “ใครกินใครกันแน่”


ผมไม่ตอบ กระชับแขนที่โอบกอดอีกฝ่ายไว้ให้แน่นกว่าเดิม


“ทำไมอ้อนจังวะ”


“ไม่ดีรึไง” ปกติหลังเสร็จกิจบนเตียงผมจะผละออกห่างมันไปอีกมุมเตียงทันทีเพื่อความสบายตัว จะกลับมานอนกอดกันอีกครั้งก็หลังจากล้างเนื้อล้างตัวแล้ว ไม่ใช่กอดกักอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ไปไหนอย่างตอนนี้


“ไม่ดี...มึงเครียด กูไม่ชอบ”


“นอนเถอะ” ผมตะปบมือลงไปบนหน้ามันอย่างสะเปะสะปะ แกล้งทำเป็นลูบหน้าลูบตาเพื่อให้หลับไปพร้อมกัน


จังหวะหายใจของคนที่ผมหนุนอกอยู่สม่ำเสมอมานานหลายอึดใจแล้ว ผมผละออกมามองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันจุกแน่นอยู่ในอกทว่ากลับวูบโหวง


เราไม่เคยบอกรักกัน แต่ผมรับรู้ได้ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่างว่าโอมอินรักผมจริง ๆ ผมไม่เคยถามหรือคาดคั้นให้มันพูด และมันเองก็ไม่เคยพูดออกมาก่อน แต่วันนี้ผมถาม...และมันก็ตอบ อาจจะด้วยกามารมณ์พาไปหรืออะไรก็ช่าง แต่ผมจะถือว่ามันคือความจริง


“ถ้ารักกู อยู่กับกูนะโอม”










พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 9
-------------------------------------------
กลายเป็นนิยายรายเดือนไปแล้วววววววว
แต่ต่อจากนี้คงได้เป็นนิยายราย 1-2 สัปดาห์แทนแล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณที่รออ่านและคิดถึงโอมศรกันนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์





ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
กรี๊ดดด มาต่อแล้ว :pig4:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ดราม่ามาคุมาเลย

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แงงงงงง กลับมาพร้อมดราม่า :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ปัญหาของศรกับพ่อนี่คงจะหนักน่าดู ยังมองไม่เห็นทางที่จะดีกันได้เลย
แง เป็นกำลังใจให้ศรนะ นี่ก็เชื่อว่าโอมรักศรมากๆๆๆๆ โอมจะอยู่กับศรเอง :mew1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอให้ทั้งสองคนมั่นคงแบบนี้ต่อไป อย่าให้อะไรมาทำให้แยกกันเลยค่าา  :ling3:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
มาพร้อมมาม่าของศรเลย

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบอ่า รอนะคะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 9

---DharmaSORN---









อีกสองสัปดาห์จะเริ่มสอบไฟนอล


ชีวิตผมกำลังจะกลายเป็นผีบ้า ไม่ใช่แค่หนังสือมากมายก่ายกองที่ต้องอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมดที่เป็นปัญหา แต่อีกหนึ่งเรื่องที่รบกวนจิตใจของผมอยู่คือไอ้เหี้ยที่เคยอยู่ด้วยกันทุกวันแต่หายหน้าหายตาไปจะครบหนึ่งสัปดาห์อยู่รอมร่อ


เราทะเลาะกัน…


เป็นการทะเลาะที่ผมอยากด่ามันมากว่ามึงแม่งเลือกช่วงเวลาได้ดีจนน่าปรบมือให้มาก


รู้ทั้งรู้ว่าช่วงใกล้สอบผมจะเครียดมากเป็นพิเศษแต่มันก็ยังหาเรื่องด้วยการถามถึงเหตุการณ์วันนั้นที่บ้านอาภพ


ย้อนไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน



‘มีอะไรจะเล่าหรือระบายไหม เรื่องที่บ้านอามึง’ ไอ้โอมเปิดประเด็นในตอนที่เรากำลังนั่งดูการ์ตูนสุดแสนปัญญาอ่อนด้วยกันในตอนเย็น

‘ไม่มี’

‘แต่มึงดูเครียดมาหลายวันแล้วนะ’

ผมกดเลื่อนช่อง การ์ตูนแม่งปัญญาอ่อนจริง ๆ กูทนดูมาได้ไงตั้งนาน ‘ใกล้สอบกูก็เครียดเป็นปกติ’

‘ไม่ใช่ มึงมีเรื่องอื่นกวนใจอยู่ด้วย’ ไอ้โอมทำเสียงเข้มคาดคั้นผมเต็มที่

‘มันก็แค่เรื่องไม่สำคัญ มึงจะสนใจทำไม’ ผมเริ่มมีน้ำโห สีหน้าผมออกแน่ ๆ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้

‘ถ้าไม่สำคัญจริงจะทำให้มึงคิดมากอยู่อย่างนี้เหรอ’

‘มันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ก็แค่เรื่องไม่สำคัญหน่า’

‘เรื่องไม่สำคัญหรือกูไม่สำคัญ’

‘อะไรของมึงวะ’

‘กูคงไม่สำคัญพอให้มึงเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟังได้’

‘เชี่ยโอม มันก็แค่เรื่องไม่สำคัญ ไม่สำคัญกับชีวิตกูเลยสักนิด ไม่สำคัญกับความสัมพันธ์ของเราด้วย’

‘โอเค กูคงเสือกมากไป’



เหี้ยโอมจากไปหลังประโยคนั้น


แม่งเหี้ยจริง ๆ


ผมว่าสถานการณ์ระหว่างเราไม่ได้เลวร้ายมากพอที่จะต้องหลบหน้าหลบตากัน...แต่มันก็เสือกทำ


ไอ้โอมกลับไปนอนห้องของมัน ไม่นัดเจอ ไม่โทรหา ไม่มีแม้แต่ข้อความ เข้าใจว่าแม่งก็คงอ่านหนังสือและปั่นโปรเจคของมันเหมือนกัน แต่แม่งก็งี่เง่า หรือมันจะอยากไปจากผมจริง ๆ


“โว้ย!!!!”


ผมวางหนังสือเสียงดัง ไม่สนใจเพื่อนที่ตื่นตกใจจากการกระทำของผมรวมถึงโต๊ะรอบข้างด้วย ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ใต้ถุนตึกคณะ มีนักศึกษาเกือบทุกชั้นปีและจากหลากหลายภาครวมตัวกันอยู่ ภาคของผมไม่มีตึกเป็นของตัวเอง แม้จะเป็นภาคที่ใคร ๆ ก็เขม่นว่าเป็นหัวกะทิเป็นชนชั้นสูงแต่กลับมีคุณภาพชีวิตเหมือนลูกเมียน้อย ไม่มีตึกของตนเองเพราะเรียนรวมกับเขาไปทั่ว ห้องแลปห้องชอปก็ใช้ของภาคอื่น กาฝากชัด ๆ


“มึงเครียดด้วยเหรอวะ คนที่เครียดต้องเป็นพวกกูนี่” ไอ้ตี๋เมฆว่าพร้อมพยักพเยิดหน้ากับคู่หูอย่างไอ้ฟาจนอีกฝ่ายร้องปัดแทบไม่ทันว่าอย่าเอามันไปเกี่ยวด้วย


“กูว่าไม่ใช่เรื่องสอบ” ไอ้กอล์ฟพูดเสียงเรียบ ใบหน้ามันก็นิ่งไร้อารมณ์เช่นกัน ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกำลังหรี่มองจ้องเค้นหาความจริงจากผมอยู่ “ทะเลาะกับไอ้โอม?”


เกลียดการที่ไอ้กอล์ฟแม่งรู้ทัน


“ใช่ซะด้วยว่ะ” ไอ้หนึ่งสรุปเมื่อเห็นผมเงียบ “มึงไปทำอะไรให้มันหึงอีกอ่ะ เพลา ๆ ลงหน่อยเหอะ กูสงสารมัน”


“ไม่ใช่เรื่องนั้น” ผมตอบเสียงแผ่ว “แค่คนงี่เง่าที่เอาเรื่องงี่เง่ามาพูดตอนใกล้สอบ” ถึงจะอยากระบายกับไอ้กอล์ฟแต่ก็ทำไม่ได้เพราะฟากับเมฆไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน นอกจากเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ไม่เคยมีใครได้รู้เรื่องนี้อีกเลย ไม่มีใครได้รับรู้หรือเห็นความไม่สมบูรณ์แบบของผม ใช่ว่าผมจะปิดซ่อนเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าแท้จริงแล้วผมไม่ได้เพอร์เฟ็คอย่างที่พวกเขาคิด แต่ผมแค่ไม่ต้องการพูดถึงมัน...ไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงมัน


“กูว่าไม่ธรรมดา” ไอ้ฟาออกความเห็น


ผมหันมองกอล์ฟ มันมองหน้าผมอยู่ ผมรู้ว่ามันน่าจะพอเดาออกแล้วว่า ‘เรื่องงี่เง่า’ นั้นคือเรื่องไหน


“แล้วนี่มันยังอยู่กับมึงรึเปล่า” หนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง ผมเดาว่ามันก็น่าจะระแคะระคายบ้างแล้วเหมือนกัน


“หายหัวไปวีคหนึ่งละ”


“เห้ย! รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ฟาโวยวาย


“ช่างแม่งเหอะ” บอกปัดไปแล้วผมก็ปลีกตัวออกไปซื้อกาแฟ ไม่ได้อยากดื่มนักหรอกครับ วันนี้ทั้งวันดื่มไปสามแก้วแล้วทั้งที่เพิ่งจะบ่ายสอง แต่แค่หาเรื่องเดินเล่นให้สมองมันปลอดโปร่งบ้างเท่านั้น


นอกจากหงุดหงิดเหี้ยโอมแล้วผมก็ไม่ได้หงุดหงิดตัวเองนัก ยอมรับว่าเรื่องของมันทำให้ผมเสียสมาธิไปบ้างแต่ผมก็ยังอ่านหนังสือได้เหมือนเดิม อาจจะช้าลงไปเพราะต้องเสียเวลาอ่านวนซ้ำหลายรอบกว่าจะเข้าใจแต่ก็ยังดีกว่าอ่านไม่เข้าหัวเลยสักตัว




ไม่น่าเชื่อว่าเย็นวันนั้นจะมีคนทำให้ผมหายเซ็งได้ ไอ้พี่สัมโทรมาชวนไปเมาก่อนสอบอันเป็นธรรมเนียมของรุ่นพี่โรงเรียนผมเอง ผมไม่ได้ชวนเพื่อนต่อตามคำบอกของพี่สัมแต่แค่บอกเล่าให้พวกมันรู้ไว้เท่านั้นว่าคืนนี้ผมจะออกไปเมา ใครใคร่ไปก็ไป แต่ผมไม่ชักจูง ก็เลยได้เพื่อนร่วมเมาคืนนี้มาหนึ่งคนคือไอ้กอล์ฟ


แสงสีทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าได้บ้างจริง ๆ แม้ไม่เท่าเมื่อก่อนแต่ก็ไม่ได้เหมือนซากศพไร้ชีวาอย่างที่รู้สึกอยู่ทุกวันนี้ โต๊ะของพี่สัมเป็นชุดโซฟา เรียกได้ว่าตั้งใจมานั่งดื่มไปเหล่สาวไปกันแบบชิล ๆ จริง ๆ


ผมทักทายรุ่นพี่ที่รู้จักหน้าค่าตากันดีอยู่แล้ว แต่ก็มีบางคนที่ผมไม่รู้จัก พี่สัมแนะนำคร่าว ๆ แค่ว่าเป็นเพื่อนกับรุ่นน้องที่คณะ


“ไม่นึกว่ามึงจะมาด้วย” พี่สัมทักไอ้กอล์ฟ เพื่อนผมมันก็แค่ไหวไหล่ตามเคย จะกี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สัม ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้เคืองอะไร


“แต่กูแม่งโคตรแปลกใจที่มึงยอมมา” เพราะครั้งก่อน ๆ ผมไม่เคยตอบรับ ผมจริงจังในทุกการสอบเสมอ และถ้าไม่ใช่เพราะกำลังอยากหาทางระบาย ผมก็ไม่มีทางพาตัวเองมาที่แบบนี้ในเวลานี้เด็ดขาด “แค่โผล่มาช่วงใกล้สอบกูก็ว่าแปลกแล้ว แต่ไอ้โอมยอมให้มึงมาคนเดียวนี่สิยิ่งแปลก เอ๊ะ! นี่มันรู้รึเปล่าว่ามึงมา”


“มันไม่ใช่เจ้าชีวิตผม” ผมตอบเรียบ ๆ แค่นั้นก็ไม่มีใครกล้ายุ่งอะไรด้วยอีก ยิ่งมีไอ้กอล์ฟที่หน้านิ่งดุกว่าผมมาด้วยก็ยิ่งเหมือนเป็นการกันคนออกจากผมได้ไปในตัว


เรานั่งดื่มกันเงียบ ๆ หลายคนในโต๊ะออกไปสังสรรกับโต๊ะอื่นบ้าง เต้นกับสาวบ้างจนสมาชิกกลุ่มเริ่มบางตา ผมกับกอล์ฟยังนั่งอยู่ที่เดิม เราปักหลักจนยึดเป็นที่ประจำได้ด้วยการวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ


“มีอะไรอยากพูดไหม” ไอ้กอล์ฟเปิดประเด็นขึ้นมา มันคงรอจังหวะอยู่นานแล้ว และที่ยอมออกมาด้วยคืนนี้เพราะเรื่องนี้มากกว่าจะอยากดื่ม


“หลังวันวาเลนไทน์ เราไปบ้านอาภพด้วยกัน” ผมเล่าขึ้นมาง่าย ๆ แบบไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ “ไปเจอเขา” ไม่จำเป็นต้องขยายความว่า ‘เขา’ คือใคร เพราะเพื่อนผมทุกคนรู้ดี


“เหมือนเดิมทุกครั้งที่เจอกัน” ...ทะเลาะกันด้วยความรู้สึกโกรธเกลียดทั้งหมดที่มี “แต่กูให้ไอ้โอมรอหน้าบ้าน กูไม่รู้ว่ามันได้ยินไหม กูไม่ได้ถาม”


ผมซดเหล้าอีกอึกหนึ่ง กอล์ฟยังนิ่งฟังอย่างตั้งใจ “มันเห็นกูเครียด เห็นกูคิดมาก นานวันเข้ามันก็เลยถาม...สุดท้ายทะเลาะกัน”


“...”


“...แล้วมันก็ไป”


“...”


“จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา”


“กูว่ามึงควรเล่าให้มันฟังได้แล้ว”


ผมส่ายหน้า “มึงก็รู้ว่ากูไม่อยากพูดถึง”


“แต่มันกำลังพยายามจะช่วยมึง”


“ช่วงใกล้สอบเนี่ยเหรอวะ”


“ก็ถ้ามึงระบายให้มันฟัง มึงก็จะได้มีสมาธิในการอ่านหนังสือสอบไง มันคงคิดแบบนั้น”


“แต่ก็ไม่ใช่การคาดคั้นให้กูเล่า พอกูบอกไม่ใช่เรื่องสำคัญแม่งก็งี่เง่าไปเองว่ากูเห็นว่ามันไม่ใช่คนสำคัญ”


“เพราะมันกำลังพยายามเข้าใกล้มึงไง พยายามจะรู้จักตัวตนมึงให้มากขึ้นขณะที่มึงก็ปิดซะมิดขนาดนั้น ถ้ากูเป็นมัน กูก็คงคิดเหมือนกันว่ากูไม่ใช่คนสำคัญพอที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้มึงได้”


“...”


“ครั้งนี้กูเข้าข้างมันนะ มึงอยู่กับมันแล้วมีความสุขแค่ไหนไม่รู้ตัวเหรอ ทำไมถึงยังไม่ยอมเปิดให้มันขยับเข้าใกล้มึงได้อีกนิดนึงละวะ...หรือมึงยังกลัวอยู่”


“กู...กูกลัวว่ะกอล์ฟ” ผมฟุบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างหมดท่า “ถ้าซ้ำรอยเดิม ครั้งนี้กูต้องแย่กว่าเดิมแน่”


“ก็รู้ตัวนี่หว่า”


ผมเงยหน้ามามองเพื่อนด้วยความสงสัย “ยิ่งรู้แบบนั้น มึงยิ่งต้องรักษามันไว้ให้ดี”


“แต่มันเหมือนการเอาใจไปผูกไว้กับมัน แบบนั้นจะไม่ยิ่งแย่เหรอวะ”


กอล์ฟวางมือบนไหล่ผม มันตบเบา ๆ อีกฝ่ายมักจะทำแบบนี้เสมอยามที่ต้องการให้ผมตั้งสติ “ก็ทำให้มันดีสิวะ”


ไม่ทันที่ผมจะได้คิดตาม สมาร์ทโฟนที่คว่ำหน้าอยู่ของผมก็สั่นครืดบนโต๊ะแก้วขัดจังหวะบทสนทนาของเราเสียก่อน แสงสว่างวาบของมันแผ่ออกเป็นวงกว้างจนผมต้องหยิบมันขึ้นมาดู...แล้วก็วางกลับลงไปที่เดิม


คงมีใครสักคนในกลุ่มนี้แจ้งข่าวไปถึงมัน ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้อีกฝ่ายโทรมาเพราะคิดถึงเองมากกว่าโทรมาเพราะหวงกันแบบนี้


ผมจ้องหน้าจอที่สว่างวาบเพราะสายเรียกเข้า ทั้งทีเป็นเบอร์ที่รอคอยแต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับเพิกเฉยต่อมัน ความรู้สึกอยากคุยย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ ยังไม่อยากทะเลาะกันอีก


“อยากคุยแต่ไม่รับสาย ไม่กลัวว่าห่างกันนาน ๆ แล้วจะจูนกันไม่ติดเหรอวะ”


“ถ้าความสัมพันธ์มันเปราะบางขนาดนั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ”


ผมเมินการแจ้งเตือนด้วยการคว่ำหน้าจอเอาไว้เหมือนเดิมแล้วลุกออกจากที่นั่งตรงนั้น


เหล้าสามแก้วที่ผสมมิกเซอร์เยอะเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ทำให้ผมเมาจนเดินเซได้ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงแค่หน้าแดงตัวแดงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


อ่า...ปลิวได้ง่ายขึ้นด้วย


ผมโดนใครบางคนผลักจนร่างเซถลา ถ้าไม่ได้เสาช่วยให้ค้ำร่างได้ ผมอาจจะล้มลงไปวัดพื้นให้อายคนไปแล้ว


“อะไรวะ!?” ผมหันไปถามอย่างเอาเรื่อง พวกมันมีกันสามคน ดูจากหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะยังเป็นนักศึกษาเหมือนผม


“จำกูไม่ได้เหรอวะ” ไม่ใช่ประโยคทักทายจากเพื่อนเก่าแน่ ถามแบบนี้กับท่าทางหาเรื่องนี่มันอริเก่าชัด ๆ


“เพื่อนสมัยอนุบาล?”


“หึ กวนตีนไอ้สัด สงสัยกูต้องสะกิดแผลเก่าให้แม่งจำได้หน่อยแล้วมั้ง” ไอ้คนที่ยืนตรงกลางพูด ตัวมันสูงไล่เลี่ยกับผม และตอนนี้ตาของมันกำลังมองคิ้วข้างที่มีรอยแผลเป็นของผมอย่างจงใจ


…เหี้ย...เด็กเกษตรฯ คืนนั้น


“มีธุระอะไรกับกู”


พวกแม่งกลับมาเอาคืนแน่เลยว่ะ ผมไม่กลัวพวกมันสักนิด แม้จะอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางพวกมันสามคนก็ตาม ต่อยมาต่อยกลับอยู่แล้วมีมือมีตีนเหมือนกันไม่ได้เป็นง่อย


ไอ้คนเดิมมันก้าวเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว ผมไม่ได้ถอยหลังให้มันหยามเอาได้ว่าป๊อด “กูชื่อท็อป จำชื่อกูไว้ด้วย”


ครับ ฟังไม่ผิด มันเข้ามาผลักผมเพื่อจะแนะนำตัวและสั่งให้ผมจำชื่อมันให้ได้ แล้วก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ผมคาดเดาอารมณ์มันไม่ได้


ผมยืนงงอยู่ตรงนั้นไม่นานก็หันกลับไปยังทิศทางของจุดหมายเดิมอย่างที่ตั้งใจแต่กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญอีกหนึ่งรายเดินเข้ามาทักทายกัน


“ศรคะ” สาวสวยหุ่นเซี๊ยะ เซ็กซี่ระดับนางแบบปกนิตยสารปลุกใจชาย เธอเรียกเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มยั่วยวนอยู่ตรงหน้า


ผมรู้จักเธอ ไม่สิ ผมแค่อาจจะรู้จักเธอ


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” คำทักทายพร้อมมือที่ค่อย ๆ วางบนท่อนแขนผมก่อนจะเลื่อนขึ้นมาเลื่อย ๆ บ่งบอกได้ว่าข้อสันนิษฐานของผมเป็นจริง


ไม่ต้องคิดต่อให้ปวดหัวผมก็ได้ข้อสรุปในทันทีว่าเธอเคยเป็นหนึ่งในคู่นอนของผมแน่ ถึงจะไม่ใช่สเปค แต่เรื่องบนเตียงมันไม่ได้มองกันที่สเปคนี่ครับ อย่าถามชื่อของเธอเลย จำได้แค่ว่าเคยนอนด้วยก็ดีมากแล้ว


“คืนนี้ไปไหนต่อรึเปล่า”


ผมแกะมือปลาหมึกของเธอที่เริ่มเลื้อยมาถึงกระดุมเสื้อของผมออก “โทษทีนะ แฟนขี้หึงอ่ะ ไม่อยากมีปัญหา” แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่ ความวัวยังไม่ทันหายก็ไม่อยากเอาความควายเข้ามาแทรก


“เดี๋ยวสิ” เธอยังรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย อาศัยจังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัวแทรกตัวเข้าแนบชิด เบียดหน้าอกหน้าใจจนล้นทะลัก และยกแขนคล้องคอผมไว้ ยังดีที่คุณเธอไม่จู่โจมอะไรที่จะทำให้ผมหงุดหงิดไปมากกว่านี้


“ปล่อยเถอะ”


“แฟนไม่มาด้วยไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวเขาตามหึงหรอกหน่า”


“ปล่อย” ผมพูดเสียงเข้มหน้านิ่งเรียบอย่างที่ไม่เคยใช้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ปล่อยให้สาวเจ้าอ่อยอยู่นานแบบนี้หรอก เรื่องทำหน้าตึงใส่แทบจะไม่มี จริง ๆ ถ้าช่วงนี้ไม่ทะเลาะกับไอ้โอมผมก็คงมีอารมณ์เล่นหูเล่นตากับเธอบ้างเหมือนทุกที ไม่ได้ทำตัวเป็นเกย์ตายด้านกับสาวสวยอย่างตอนนี้


สุดท้ายเธอก็ยอมปล่อย เมื่อผมผละออกจากเธอได้ก็เดินตรงไปห้องน้ำด้วยความหงุดหงิดใจ ทำธุระล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็ยังเดินหงุดหงิดไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ด้านข้างร้านโดยลืมไปว่ามันเป็นพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่ ซึ่งไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เจอกับอากาศบริสุทธิ์


ผมหยุดยืนอยู่ข้างผู้ชายคนหนึ่งที่สูงพอกัน มารู้ตัวเอาหลังจากนั้นว่ามันเป็นใคร


“เอาหน่อยไหมมึง”


ผมเหล่มอง ไอ้เด็กเกษตรฯที่เพิ่งแนะนำตัวกับผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอ่ยชวนพร้อมยื่นมวนบุหรี่ที่เพิ่งดึงออกจากปากมาขยับปลายขึ้นลงใส่ราวกับผมเป็นที่เขี่ยบุหรี่ทำให้ขี้เถ้าปลิวกระเด็นใส่จนต้องขยับหนีห่าง


ผมมองบุหรี่ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งมวน “ขอมวนอื่น” ตั้งแต่คืนนั้นที่โอมอินขอให้ผมเลิกสูบ ผมก็สูบน้อยลงแบบไม่ทันรู้ตัว กลับมาสูบถี่ขึ้นเยอะขึ้นกว่าเก่าก็ช่วงที่มันทิ้งไปเสียดื้อ ๆ เนี่ยแหละครับ


“ไม่มี เหลือมวนเดียว จะเอาไม่เอา” มันจ้องหน้าผม ท่าทางมันไม่ได้กำลังวัดใจ เหมือนแค่ถามไปอย่างนั้นไม่ได้สนใจผลลัพธ์นัก


ผมยืนมองนิ่ง อยากสูบเพราะแม่งเครียดและหงุดหงิดมากแต่มันก็คนแปลกหน้า ไม่อยากใช้มวนเดียวกัน การตัดสินใจของผมเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายเอาบุหรี่กลับไป ผมรีบดึงมันออกมาก่อนจะแตะถึงปากมันเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น


“ขอบใจ” ผมพึมพำก่อนเอามันเข้าปากแล้วเริ่มสูบแต่ยังทันได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายในตอนที่เสียบุหรี่มวนนี้ให้ผม


“หงุดหงิดเหี้ยไรมา” มันถาม


“สนิทกัน?”


ท็อปแค่นหัวเราะไหวไหล่ “ก็มากพอให้ดูดบุหรี่ต่อกันได้อ่ะ”


ผมไม่ตอบ ยังคงดูดและปล่อยควันบุหรี่ออกมาแข่งกับคนรอบข้างอย่างต่อเนื่อง


“จะหงุดหงิดให้เสียพลังงานชีวิตไปทำไมวะ”


ผมหันมองคนพูดตาขวาง “มึงต้องการอะไรกันแน่”


“อะไร?”


“มึงเข้าหากู แนะนำตัวแล้วก็เดินจากไปเฉย ๆ แทนที่จะหาเรื่องกูหรือเอาคืนกับเรื่องคืนนั้น แถมยังยกบุหรี่ให้กูด้วย”


ผมมองเห็นอีกฝ่ายแค่ด้านข้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็พอมองออกว่ามันกำลังยิ้มบาง ๆ “ใจดีเกินไปก็ไม่ชอบเหรอวะ”


“กูสงสัย อย่าใช้คำว่าไม่ชอบ” ...กูจั๊กจี๋


“สงสัยก็ดี คิดหาคำตอบให้ได้ล่ะ คิดเยอะ ๆ”


ท็อปหมุนตัวเข้าหาผม “ไม่คิดว่าจะได้เจอมึงที่นี่...”


“...”


“...แต่ก็ดีใจนะที่เจอกัน” มันตบบ่าผมแปะ ๆ ก่อนเดินสวนจากไป


...คิดหาคำตอบให้ได้...คิดเยอะ ๆ…


เหรอวะ?


ผมว่าประโยคพวกนี้มันคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินใครพูดด้วยมาก่อน




ผมสูบบุหรี่ต่อจนหมดมวน แวะล้างหน้าล้างตาอีกครั้งก่อนกลับไปที่โต๊ะเพื่อพบว่าใครบางคนนั่งรอผมอยู่ข้างไอ้กอล์ฟ ขณะที่พวกพี่สัมยังไม่กลับมาที่โต๊ะเลยสักคนเดียว


ผมเดินเข้าไปใกล้ ไม่ได้มองสบตาเชี่ยโอมเลยสักนิด กลัวตัวเองจะเผลอพุ่งเข้าไปต่อยแม่งสักหมัดสองหมัดโชว์คนทั้งร้าน


“ไปไหนมาตั้งนาน” โอมอินพูดเสียงอ่อนทันทีที่ผมนั่งลงข้างมัน ใจจริงอยากจะไปนั่งข้างกอล์ฟมากกว่า แต่เพื่อนผมเสือกนั่งติดริมไม่มีที่ว่างสำหรับผมเลยสักนิด


ผมหันไปมองคนพูด จงใจมองเลยไปสบตาเพื่อนสนิท รู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคงบอกให้โอมนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ไม่อย่างนั้นคนอย่างมันคงเดินหาผมไปทั่วร้าน และเราคงเจอกันที่ใดที่หนึ่ง...อย่างเช่นตอนที่ผมกำลังถูกสาวคลอเคลียด้วย เป็นต้น


“ห้องน้ำ” ผมตอบส่ง ๆ จัดการชงเหล้าให้ตัวเองด้วยแก้วใบใหม่เพราะใบเก่าถูกคนข้าง ๆ ยึดไปแล้ว


“กลิ่นบุหรี่” ไอ้ตัวดีมันทำจมูกฟึดฟัดข้างซอกคอผมอย่างกับหมาก่อนจะผละออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวกว่าเดิม “กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง”


“ตามประสาคนฮอต” ผมพูดหน้านิ่ง ดื่มเหล้าที่เพิ่งชงเสร็จอย่างสบายอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่ร้อนตามคนข้าง ๆ


“ไอ้ศร!” โอมอินขึ้นเสียง คิดอยู่เหมือนกันว่าคนอย่างมันจะนิ่งได้นานแค่ไหน เพียงแต่คิดว่ามันจะเดือดตั้งแต่ที่เจอหน้าเลยเสียมากกว่า ไม่คิดว่าจะเปิดบทสนทนาด้วยเสียงอ่อนแบบนั้น


“กลับห้อง”


“ห้องใคร” ผมลอยหน้าลอยตาถาม ไอ้โอมเงียบไปไปสองอึดใจก่อนจะตอบออกมา


“ห้องมึง”





ห้องมึง!


เหอะ! ‘ห้องมึง’ งั้นเหรอ ตอนนี้ไม่มีห้องของเราแล้วสินะ มีแต่ห้องมึงห้องกูอย่างนั้นเหรอวะ!?


อยากจะกวนโมโหแม่งอีกสักนิดด้วยการรั้นจะกลับกับกอล์ฟแต่เพราะสงสารเพื่อนที่อาจต้องรองรับอารมณ์ราวกับหมาบ้าของไอ้โอม ผมจึงจำต้องบอกลาเพื่อนเสียก่อน


“กลับแล้วเหรอวะ” ผมเจอไอ้ท็อปที่ลานจอดรถ มันยืนพิงสะโพกกับบิ้กไบต์สีดำคันงาม...พร้อมบุหรี่ในมือ


มันส่งยิ้มมุมปากมาให้ก่อนจงใจสูบบุหรี่มวนนั้นต่อหน้าผม ไอ้โอมที่เดินตามมาตั้งใจจะร้องท้วงคงเพราะว่าพอจะจำอีกฝ่ายได้แต่ผมพูดขัดขึ้นเสียก่อน


“ซื้อซองใหม่เร็วเนอะ” ผมประชด


ท็อปหัวเราะลั่นหลังปล่อยควันสีหม่นพวยพุ่งจากปาก “ซองเก่า เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเหลืออีกหลายมวนในกระเป๋า” กล้าตอบความจริงออกมาไม่พอ มันยังตบกระเป๋ากางเกงให้ผมเจ็บใจเล่นอีกด้วยเมื่อรู้ว่า ‘กระเป๋า’ ที่ว่า ไม่ได้อยู่ไกลจากตัวมันเลยสักนิด


“มึงรู้จักมัน?” ไอ้โอมแทรกขึ้นมา ผมไหวไหล่ไม่สนใจทั้งคำถามของมันและคนที่ถูกพาดพิง เตรียมจะก้าวขาหมายจะเดินต่อแต่กลับถูกไอ้เด็กเกษตรฯ เรียกรั้งไว้อีกครั้ง


“อย่าลืมเอาบุหรี่มาคืนกูด้วย”


“ครึ่งมวนอ่ะนะ”


“เออ”


“ได้ กูจะซื้อไปคืนให้หนึ่งซองเลย”


ท็อปยิ้มกวน “ดี ไปคืนกูที่คณะ จำชื่อกูได้ใช่ไหม”


“กูไม่ลืมชื่อผู้มีพระคุณหรอก” ผมกระแทกเสียงใส่ให้รู้ว่าการที่มันยกบุหรี่ครึ่งมวนนั้นให้เป็นบุญคุณล้นหัวผมแค่ไหน










เรานั่งเงียบกันมาพักใหญ่แล้ว ต่างคนต่างจดจ้องจอมืดดับของโทรทัศน์ตรงหน้าราวกับว่ามันน่าสนใจกว่าใบหน้าของคนข้าง ๆ ไม่มีใครคิดจะขยับตัวไปไหน ไม่มีใครพูดหรือส่งเสียงอะไรออกมาสักอย่าง เผลอคิดเล่น ๆ ว่าใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน แต่คิดว่าคงไม่ใช่ผม เพราะถ้ามันไม่ยอมพูดออกมา ผมว่าผมคงจะหลับได้ในไม่ช้า


โชคดีที่ผมไม่ต้องนั่งหลับตรงนี้


“คิดถึงกูบ้างไหม”


“...” ...คิดถึงสิวะ


“กูไม่ได้นอนด้วย มึงนอนหลับรึเปล่า”


“...”...ถ้าเป็นภาวะปกติผมคงนอนไม่หลับ ฝันร้ายคงตามหลอกหลอนจนไม่อาจหลับตาลงได้อย่างง่ายดาย แต่เพราะช่วงที่ผ่านมาแทบไม่ได้นอน ผมอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำทั้งที่ยังมีเวลาให้อ่านอีกเหลือเฟือ


“ไม่มีกูในชีวิต มึงมีความสุขไหม”


“...” ...นอกจากไม่มีความสุขแล้วมันยังรวนไปหมดเลยไอ้สัด


“ช่วงที่ไม่มีกู...มึงเกินเลยกับผู้หญิงคนไหนบ้างรึเปล่า”


“ไอ้สัด!” ผมหลุดด่ามันออกไป “มึงไม่เคยเชื่อใจกู”


“มึงก็ช่วยทำอะไรให้กูเชื่อใจหน่อยสิวะ ไม่ใช่ยังยอมให้ผู้หญิงพวกนั้นเข้าใกล้ ถามจริง ๆ เถอะ ที่ผับเมื่อกี๊ นัวเนียกันถึงขั้นไหนถึงติดกลิ่นเธอมา”


ผมหันมองตาขวาง เราต่างนิ่งเงียบ มันกำลังรอคำตอบจากผม และผมเองไม่ควรปล่อยให้มันรอเก้อ


ผมขยับเปลี่ยนท่าทางไปนั่งคล่อมบนตักมันอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกแขนคล้องคอและเบียดตัวเข้าแนบชิดอีกฝ่าย ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใบหน้าใกล้กันมากแต่เพราะว่าส่วนสูงที่ใกล้เคียงกัน เราถึงได้หายใจรดกันอยู่อย่างนี้ “ท่านี้”


“เชี่ยศร!!” โอมอินเบิกตากว้าง


“ก็มึงอยากรู้” อาจจะแตกต่างตรงที่ของจริงเป็นท่ายืนไม่ได้นั่ง


“ละ แล้วยังไงต่อ” อีกฝ่ายถามเสียงสั่น


ผมมองลึกเข้าไปในตาคู่คมของมัน ในนั้นทั้งสั่นไหวและหวั่นกลัว จ้องมองอยู่นานทีเดียวกว่าจะพาตัวเองลงจากตักของมัน “กูแค่บอกให้เธอปล่อย แล้วเธอก็ยอมปล่อย”


ผมผละออกมาแล้วก็เดินออกจากตรงนั้นหมายจะเข้าห้องนอน ไม่สนใจอีกฝ่ายที่กำลังอึ้งกับสิ่งที่ผมทำ


“เดี๋ยว…”


ผมหยุดเดินรอฟังแต่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง


“ยังอยากมีกันอยู่ไหม”


“...”


“...”


“ถามตัวมึงเองก่อนเถอะ”


เพราะไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่มีทางพูดออกไปหรอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมไม่อยากเสียไป


ไม่มีวันบอกให้รู้แน่















พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 10
---------------------------------------------------
ครั้งหน้าหมอนัดโอมอินมาตามอาการนะคะ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
โอ๊ยยยย เครียดแทนโอมอินจริงๆ ศรแม่มไม่พูดไม่บอกไม่เล่าไรสักอย่าง อินไม่ใช่ผู้วิเศษนะจะได้รู้ความคิดคนอื่น อ่านแล้วอยากเข้าไป :z6: ศรสักป้าบ  :m31: :m16: :fire:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ปวดใจ
อ่านพาร์ทของศรแต่ทำไมเหมือนไม่รู้จักศรเพิ่มขึ้นเลยนะ สงสารโอมอิน  :hao5:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
สามวันดีสี่วันทะเลาะ โถ่ศร พูดเถอะ ถ้าไม่พูดโอมจะรู้ได้ไงว่าคิดยังไง
เราเข้าใจว่สศรไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น แต่โอมเป็นห่วงนะ แล้วโอมก็รักมากด้วย เชื่อใจโอมเถอพ

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :mew1:  นึกว่าตาฝาด​ พอจะอ่านต่อเกือบลืมเนื้อเรื่องตอนแรกๆ​ ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าอีกรอบ55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Pe_no

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 375
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบค่ะ ติดตามจ้า  :mew2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ศรควรบอกโอมอ่ะ ถ้าเราเป็นโอมเราก็น้อยใจเหมือนกัน

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」



Follow up ครั้งที่ 10

---OMIN---









ผมคิดเสมอว่าระหว่างผมกับศร เราเป็นคู่ชีวิตให้กันและกันได้


ผมหมายถึงใครสักคนที่เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ทุกเรื่อง


...แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดไปเองคนเดียว


ผมรู้ดีเสมอว่าเรายังไม่รู้จักกันดีพอแม้ในวันที่เราตกลงคบกันแล้วก็ตาม กำแพงบางอย่างของผู้ชายที่ชื่อธรรมศรสูงจนผมมองไม่เห็นยอด แต่ก็คิดมาตลอดว่าความรักความจริงใจที่มีให้จะพาผมข้ามมันไปได้ในสักวันหนึ่ง และคิดว่าเวลานั้นมาถึงแล้ว


แต่ผมคิดผิด...ความจริงแล้วผมยังมองไม่เห็นยอดของกำแพงนั้นเลยด้วยซ้ำ


ทั้งที่อยากถามเรื่องที่ยังค้างคาใจจะขาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมยังไม่มีสิทธิที่จะได้รับรู้


ผมใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์กว่าจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้แล้วกลับมาโทษตัวเองว่าที่ทะเลาะกันทุกวันนี้เพราะผมเป็นห่วงมันมากเกินไป หลายวันที่ไม่เจอกัน ไม่ได้นอนกอด ไม่มีแม้แต่การพูดคุยหรือส่งข้อความมันทำให้ผมกระวนกระวายจนแทบบ้า ไอ้ความคิดที่ว่าอยากหายไปเพื่อวัดใจธรรมศรกลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมเองเมื่อพบว่ามันไม่ได้สนใจใยดีอะไรผมเลยสักนิด จิตใจที่ฟุ้งซ่านคงเล่นงานจนผมไม่เป็นผู้เป็นคนได้หากไม่ได้งานล้นมือที่มักมาช่วงก่อนสอบช่วยเอาไว้ ผมเร่งเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็วจนแทบไม่ได้หลับได้นอน ส่วนสำคัญเลยเพราะไม่อยากนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์รอคอยให้มันติดต่อมาหรือปล่อยให้สมองโล่งจนเอาแต่คิดถึงไอ้คนเย็นชานั่น แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังคิดเรื่องมันจนได้


ไม่มีผมอยู่ด้วย มันจะได้กินข้าวเช้าบ้างไหม


ไม่มีผมอยู่ด้วย มันจะนั่งดูหนังเพลินจนลืมมื้อเย็นรึเปล่า


ไม่มีผมนอนด้วย มันจะนอนหลับไหม


และอีกสารพัดความกังวลเกี่ยวกับมันที่ทำให้ผมอดรนทนไม่ไหวจนต้องแอบไปหามันตอนดึกทั้งที่เพิ่งหายหัวไปจากชีวิตมันได้แค่สองวันเท่านั้น ผมตั้งใจจะย่องเข้าไปดูว่ามันหลับสนิทดีไหมแต่กลายเป็นว่าแค่เห็นแสงสีขาวลอดช่องประตูออกมาผมก็ไม่กล้าเยี่ยมหน้าเข้าไป กลัวจะปั้นหน้าไม่ถูกหากต้องเผชิญหน้ากันจริง ๆ


เจ็ดวันเป็นจำนวนที่มากเกินพอแล้วสำหรับการห่างกับคนรัก ในวันที่ผมคิดหาวิธีกลับไปหาแบบที่กระอักกระอ่วนใจน้อยที่สุดจนหัวแทบแตกแต่กลับพบว่าอีกฝ่ายออกไปเริงร่าอยู่กับกลุ่มของพี่สัมตามคำบอกเล่าของรุ่นน้องในคณะ ยิ่งโทร.ไปแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับสายผมก็ยิ่งร้อนใจ ผมรีบออกไปหามันถึงที่ เมื่อพบว่ามีเพียงไอ้กอล์ฟที่นั่งอยู่โดยไม่มีธรรมศร ผมก็ยิ่งอยู่นิ่งไม่ไหว อยากจะออกตามหาไปให้ทั่วร้านแต่กลับถูกเพื่อนของมันรั้งเอาไว้ให้นั่งอยู่ด้วยกัน


เท่าที่จำได้เพื่อนไอ้ศรคนนี้คุยกับผมน้อยครั้ง เอาเข้าจริง ๆ แล้วเจอกันก็น้อยมาก เราอาจจะคุยกันแค่ตอนที่ศรแนะนำให้รู้จักกันเท่านั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับบอกให้ผมไปนั่งรอที่โซฟาแทนการตามหาศรอย่างที่ตั้งใจ


‘เพื่อนกูมันเปราะบางกว่าที่มึงคิด ความคิดมันก็ซับซ้อน ถ้าอยากเข้าใจมัน มึงต้องรอ’ ไอ้กอล์ฟว่าพลางชงเหล้าให้ผมไปด้วย ‘อะ แก้วไอ้ศร แดกได้มันไม่ว่าหรอก’


‘อยู่ข้าง ๆ ทำให้มันเห็นว่ามึงรักมันจริง ๆ อีกไม่นานมันก็จะเปิดใจเล่าทุกอย่างให้มึงฟังเอง เชื่อกู’


‘คบมันมาหลายเดือนแล้วมึงก็น่าจะรู้ว่ามันแสดงออกไม่เก่ง ยิ่งให้มันพูดเพื่อรั้งมึงไว้ยิ่งไม่มีทาง...ถ้ามึงไปแล้วไม่กลับมาเอง มันก็จะปล่อยให้มึงจากไปตลอดกาล...จำเอาไว้’



เพราะอย่างนั้นผมจึงต้องใจเย็นในตอนที่เจอหน้ามัน พยายามไม่ขุ่นเคืองกับการปรากฏตัวของมันในสถานที่แบบนั้น แต่สุดท้ายก็คุมตัวเองไม่อยู่เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดตัวมันมา


ทั้งที่ไม่เจอกันหลายวันและตั้งใจจะกลับมาหากันด้วยความคิดถึงทั้งหมดที่มีแต่สุดท้ายเราต่างพกพาความไม่สบายใจกลับเข้าห้องมาด้วยกัน


การเริ่มต้นใหม่อีกครั้งดูเหมือนจะพังไม่เป็นท่า


ตอนนี้ผมยังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คำบอกเล่าของกอล์ฟยังวนเวียนอยู่ในหัว ศรคงหลับไปแล้ว มีแต่ผมที่ยังนั่งทบทวนตัวเองอยู่ที่เดิม สี่เดือนที่ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าใช้ชีวิตด้วยกันมาผ่านไปไวทว่าไร้คุณภาพ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมรู้จักธรรมศรแค่ไหนก็ยังรู้จักแค่นั้น จนตอนนี้ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเราไม่ใช่คนรักกันแต่อาจเป็นแค่ ‘เพื่อนนอน’ ที่มีเพียงเซ็กซ์เท่านั้นที่ยึดสัมพันธ์เราไว้อยู่


ผมตัดสินใจทำใจแล้วเลือกจะใช้ชีวิตกับมันไปในแต่ละวันอย่างคนที่รู้เท่าที่ธรรมศรอยากให้รู้ เพียงแต่ยังหวังว่าวันหนึ่งไอ้คุณชายจะยอมเปิดปากเล่าอะไรออกมาบ้างอย่างที่กอล์ฟว่าไว้




ชีวิตคู่ของเราเริ่มเข้าสู่ความปกติได้เพียงแค่ลืมตาตื่นในเช้าวันถัดมา ผมยอมทิ้งทุกความขุ่นข้องหมองใจ ลืมทุกความสงสัยที่มีเมื่อวานแล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยการตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้มันอย่างเคย


ก่อนสอบไฟนอลหนึ่งสัปดาห์ผมชวนไอ้เต๋าเอาบุหรี่ไปคืนไอ้เด็กเกษตรฯ คนนั้น ถึงมันจะบอกให้ธรรมศรเป็นคนเอาไปคืนแต่ผมไม่ยอม ไม่ทันได้เถียงอะไรให้มากความไอ้ศรก็ตอบรับน้ำใจที่ผมจะเป็นฝ่ายเอาไปคืนเสียเอง


ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้เหี้ยนั่นชื่ออะไร ผมไม่ได้ถามไอ้ศรมา ผมรู้แต่เพียงว่าคนที่ขี่บิ๊กไบค์สีดำคงมีแค่ไม่กี่คนในคณะนี้ ซึ่งบางทีอาจจะมีแค่คนเดียวด้วยซ้ำ


แล้วก็จริงตามคาด


เพียงแค่ถามใครสักคนในคณะเกษตรฯ แล้วฝากไปบอกมันว่ามีคนเอาบุหรี่มาคืน ไอ้ตัวการมันก็มายืนหอบแดกตรงหน้าผมในเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างไม่คิดปิดบัง


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสัญชาตญาณของผมทำงานได้ดีเสมอ


เหี้ยนี่มันอยากเจอแฟนผม


“กูเอาบุหรี่ของไอ้ศรมาคืน”


มันไม่แม้แต่จะปรายตามองซองบุหรี่ในมือผมที่ยื่นไปให้ เอาแต่มองหน้าผมอย่างพิจารณา “เป็นอะไรกันถึงเอามาคืนแทนกัน”


“เสือก”


“เป็นแฟนมันเหรอมึงอ่ะ”


“...”


“งั้นก็ไม่ใช่”


“เออ แฟนกู แล้วก็อย่าลีลา รับ ๆ ไปซะ” ถ้าไม่ใช่เพราะอยากประกาศความเป็นเจ้าของให้แม่งรู้ คนอย่างผมไม่มีทางตัดรำคาญด้วยการตอบคำถามของมันแน่


ไอ้เหี้ยนั่นยิ้มมุมปาก ดูมันไม่ตกใจเลยสักนิดที่ผู้ชายท่าทางแบบไอ้ศรมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน



มันปรายตามองซองบุหรี่ในมือผมแต่ก็ยังไม่ยอมรับไป “กูไม่สูบยี่ห้อนี้…”


ผมเข้าใจว่าเรื่องบุหรี่เป็นอีกหนึ่งรสนิยมเฉพาะบุคคล แต่ยี่ห้อที่ผมซื้อมาก็นับว่าเป็นที่นิยมในคนวัยผมอยู่พอสมควร


“...กูจะเอายี่ห้อเดียวกับที่แฟนมึงสูบต่อจากปากกู


“ไอ้เหี้ย!!”


“ใจเย็นไอ้โอม” ผมได้เอาเลือดออกจากปากที่แสนบังอาจนั่นแน่ถ้าไอ้เต๋าไม่ดึงตัวห้ามไว้ก่อน เหี้ยนี่แม่งโคตรหยามกู มันคิดไม่ซื่อกับไอ้ศรแน่ ๆ ถึงได้เน้นเสียงที่สี่คำท้ายประโยคแบบนั้น


“อย่าเรื่องมากไอ้สัด” ไอ้เต๋าว่า


มันไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน “กูจะรับคืนแค่ยี่ห้อนั้นเท่านั้น มันจะมาคืนเองหรือมึงจะมากูไม่สน”


“มันจะเล่นกับกู” ผมกัดฟันกรอดพูดด้วยความเคียดแค้นหลังจากที่มันเดินจากไปทันทีเมื่อพูดจบ ซองบุหรี่ในมือถูกบีบแน่นจนบู้บี้ด้วยแรงโทสะที่เพิ่งถูกยั่วยุ สาบานได้เลยว่าถ้ามันคิดไม่ซื่อเข้ามายุ่งกับไอ้ศรมากกว่านี้ มันไม่ตายดีแน่!





ผมพกพาความหงุดหงิดงุ่นง่านกลับไปจนถึงห้อง ธรรมศรกำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะของมันอย่างคร่ำเคร่ง ท่าทางตั้งใจมีสมาธิจนผมไม่กล้าที่จะขัด แต่มันคงรับรู้ถึงอารมณ์คุกรุ่นของผม มันถึงได้ถามขึ้นก่อนที่ผมจะเดินออกไป


“เป็นอะไรของมึง”


ผมถอนหายใจก่อนบอกปัด “มึงอ่านหนังสือไปเถอะ เย็นนี้สั่งอาหารเอาแล้วกัน กูขี้เกียจทำกับข้าว”


ผมได้ยินไอ้ศรวางชีทปึกหนาลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนถอนหายใจตาม “มีอะไรก็พูดมา กูกำลังรอฟังมึงอยู่นะ”


ผมหันกลับไปมองหน้ามันนิ่ง รู้ว่าไม่ควรเอาอารมณ์หงุดหงิดมาลงกับมันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นข้องเพราะถ้าว่ากันตามตรงแล้วสาเหตุของเรื่องนี้ก็มาจากมันทั้งสิ้น


“อะไร” ไอ้ศรถามทันทีที่ผมโยนซองบุหรี่ที่ยับยู่ยี่ลงบนกองชีทเรียนของมัน


“ถ้าไม่ใช่ยี่ห้อเดิมมันไม่รับคืน”


“สัด เรื่องมาก” ไอ้ศรพึมพำเหมือนบ่นอีกฝ่ายมากกว่าจะด่าจริงจัง นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่เราไม่อยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกมันไปถึงขั้นไหน สนิทฉันมิตรหรือยังเป็นศัตรูกันอยู่


“มึงไปแย่งมันสูบยี่ห้ออะไร”


“ใครจะไปรู้วะ แม่งมืด ไม่มีซองด้วย”


“แล้วทำไมต้องสูบมวนเดียวกัน”


ไอ้คุณชายจี๊ปากขัดใจ “อย่าพาลนะไอ้โอม ก็แค่บุหรี่ กูไม่อยากทะเลาะกับมึงด้วยเรื่องไร้สาระแค่นี้”


ผมก็ไม่อยาก เพราะฉะนั้นผมจึงต้องยอมลบประเด็นนี้ออกจากหัวไป “พรุ่งนี้ซื้อใหม่แล้วเอาไปคืนมันพร้อมกู”


“โอม” ผมถูกเรียกรั้งเอาไว้อีกครั้ง “มานี่มา”


ผมเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยจนมันต้องเร่งอีกครั้งด้วยเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย


ศรกระชากคอเสื้อให้ผมก้มลงไปรับจูบที่กล้าพูดได้เลยว่าหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยได้จากมันมาเลย มันจูบอย่างละเมียดละไมจนผมเคลิ้มแทบบ้า แม้ในยามผละออกก็ยังให้ความรู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก...หวานเหมือนถูกรัก “อย่าคิดมากเรื่องกูกับมัน ไม่มีใครพิเศษกับกูเท่ามึงหรอก







บ่ายวันรุ่งขึ้นหลังจากไอ้ศรเลิกเรียนมันมารอผมที่หน้าสตูดิโอของคณะเพื่อไปคณะเกษตรฯ ด้วยกัน ไอ้เหี้ยนั่นหาตัวไม่ยาก ไม่ใช่เพราะถามหาเพียงไม่นานมันก็โผล่มา แต่เพราะเสียงฮือฮาของสาว ๆ ที่มีต่อการปรากฏตัวของธรรมศรแห่งวิศวกรรมต่างหากที่เป็นพลังขับเคลื่อนพาไอ้เหี้ยนั่นออกมา


ไอ้คุณชายยืนเก้อเขินท่ามกลางเสียงกรี๊ดดังระงมไปทั่วใต้ตึกคณะ ถ้าให้เดา สาว ๆ คณะนี้คงขาดแคลนหนุ่มหล่อขาวคุณชายสไตล์มัน พวกเธอถึงได้แสดงออกกันอย่างปิดไม่มิดแบบนี้ คนหวงแฟนอย่างผมจึงต้องเขยิบตัวเองไปยืนบังมันไว้พร้อมตีหน้าบึ้งให้รู้กันไปเลยว่าถ้าไม่เกรงว่าตนไม่ใช่เจ้าถิ่นก็คงจะตวาดออกไปแล้วว่าห้ามมอง


“ดังจริง ๆ เลยนะมึง” เจ้าถิ่นที่แท้จริงเดินเข้ามาทักยิ้ม ๆ


“รับไปอย่าเรื่องมาก กูไม่รู้ยี่ห้อหรอกนะ ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องเอา”


เหี้ยนั่นยอมรับไปแต่โดยดีก่อนเบนสายตามามองผมแวบหนึ่ง


“ถึงกับตามมาคุม ถามจริงเถอะ มึงเป็นผัวหรือเมียมันวะถึงได้โดนตามขนาดนี้”


ไอ้ศรไม่ชอบให้ใครถามเรื่องแบบนี้ ถึงจะเป็นคนสนิทกันอยู่แล้วก็ตาม เวลาโดนถาม มันมักจะเลือดขึ้นหน้าและกำหมัดแน่นแบบนี้เสมอ ซึ่งผมเองก็เคยคิดว่าเป็นเพราะมันไม่ยอมรับในความสัมพันธ์ของเรารึเปล่า เพราะมันคงอายที่ต้องกลายมาอยู่ในสถานะเมีย


“เสือก!”


“อะไรวะ ถามดี ๆ” ท่าทางไม่สลด มิหนำซ้ำยังปั้นหน้ายิ้มอยู่ตลอดทำให้ผมหมั่นไส้จนอยากจะถีบยอดหน้าแม่งสักครั้ง และไอ้ศรเองก็คงรู้ มันถึงได้พาตัวเองมายืนขวางผมไว้


“ไม่ใช่เรื่องของมึง อย่าเสือก”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราคงได้เจอกันอีกเรื่อย ๆ ถึงตอนนั้นมึงค่อยบอกก็ได้”


“พล่ามอะไรของมึง” ผมพูดโพล่งออกไป


“หึ มึงกลับไปได้แล้ว อย่ายืนให้เด็กคณะกูมองนาน สารภาพเลยว่ากูไม่ชอบที่มึงฮอตแบบนี้เลยว่ะ”


“เพราะกูฮอตกว่ามึงน่ะสิ”


“ศร กลับ!” ไม่พูดเปล่า ผมดึงแขนให้มันเดินตามมาด้วยโดยไม่จำเป็นต้องบอกลาอะไรเหี้ยนั่นเลยสักนิด จะให้ผมทนดูพวกมันเย้าหยอกกันได้อย่างไร คนของผมอาจจะไม่ทันรู้ตัว แต่อีกฝ่ายหนึ่งคิดแน่ ๆ ถ้อยความที่แปลเป็นได้คำสั้น ๆ ว่า ‘หวง’ คนของผมนั่นชักจะหยามผมมากเกินไปจนอยากจะอัดมันให้ตายเสียตรงนั้น







“เป็นอะไรวะโอม” ศรถามเมื่อผมขับรถพามันออกจากคณะบ้านั่นมาได้สักพักแล้ว แต่คงเพราะอารมณ์ผมยังคุกรุ่นอยู่มันเลยถามด้วยความสงสัย


“เปล่า”


“มีอะไรก็บอก อยากรู้อะไรก็ถาม กูอ่่านใจคนไม่เป็นหรอกนะ”


เรื่องที่สงสัยที่อยากรู้มีเยอะ เรื่องระหว่างมันกับไอ้เหี้ยนั่นผมไม่อยากพูดถึงให้กลายเป็นชี้โพรงให้กระรอกสักเท่าไหร่ แต่ยังมีีอีกหนึ่งประเด็นที่ผมยังไม่เคยถามมันอย่าจริง ๆ จัง ๆ สักที


“มึง...อยากเป็นผัวกูบ้างไหม”


“ไอ้ฉิบหาย! พูดบ้าอะไรวะ”


“กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าระหว่างเราใครอยู่ตำแหน่งไหน เพราะคนแบบมึงก็คงไม่ชอบใจนักที่ต้องตกอยู่ในสถานะ...เมีย”


“กูไม่อยากให้ใครรู้ก็จริง แต่กูเคยบอกหรือทำให้มึงรู้สึกเหรอว่ากูอยากเป็นฝ่ายกดมึงบ้าง”


ผมส่ายหน้า “แค่คิดว่ามึงอาจจะอยาก…”


“ใช่! มึงคิดถูก”


ผมตาโต ตกใจจนเผลอหักพวงมาลัยเบี่ยงเข้าจอดข้างทางโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว แต่ผมไม่สนใจแล้วว่าใครจะด่าพ่อล้อแม่ตามหลัง ตอนนี้คนที่นั่งข้าง ๆ ผมสำคัญที่สุด


“ถ้ากูอยากกดมึง มึงจะยอมไหมละวะ”


ผมเงียบ คำตอบน่ะมีอยู่แล้วคือไม่มีทาง


“ไม่มีทางใช่ไหมล่ะ....”


“ศร...”


“...ต่อให้มึงยอม กูก็คงไม่ทํา”


“ทําไม..”


“โอม สําหรับมึง กูอยู่ในฐานะ ‘เมีย’ ถ้ากูรุก ระหว่างเราจะมีจุดยืนยังไงวะ ผัว ๆ เมีย ๆ ความรู้สึกมันคงเปราะบาง ระยะยาวตัณหาอาจทำให้เกิดการนอกใจ ถ้าเราสัมผัสกันคละคลุ้งไร้ระบบแบบแผน ไม่นานต้องมีการนอกใจเกิดขึ้นแน่ คําว่ารักคำว่าหนักแน่นจะค่อย ๆ เสื่อมคลายไปในที่สุด...มึงชอบรุก พอโดนกูรุกกลับมีเหรอที่จะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ที่ยอมกูเพราะมึง ‘รัก’ ความรักอย่างเดียวผูกใจไว้ไม่ได้หรอกนะ คนรักกันเลิกกันมีถมเถ วันหนึ่งพอเจอฝ่ายรับสวมบทบาทอ้อนให้มึงได้รุกอย่างเต็มภาคภูมิ ตีเนียนเข้ามาพัวพัน สักวันมึงคงเผลอใจให้เขา...และวันนั้นมึงก็จะทิ้งกูไป” ศรร่ายยาวเหมือนทุกอย่างระเบิดออกมาจากความคิดทั้งหมดของมันก่อนจะเสียงแผ่วตอนประโยคสุดท้าย


“....”


“กูไม่เคยเชื่อมั่นและศรัทธาเรื่องความรัก แต่กูคิดว่าความรักที่มาพร้อมความเสียสละ ให้เกียรติเกรงใจ ทั้งหมดจะสร้างกําแพงหนาต้านทานสิ่งยั่วยุไม่ให้ผ่านเข้าถึงเนื้อในได้”


“...”


“มึงเข้าใจกูใช่ไหม”


น่ารักอีกแล้วเมียกู


“แล้วมึงมีความสุขเหรอที่ถูกกูกด” ผมหยั่งเชิง พยายามเต็มที่ไม่ให้ยิ้มออกมาเพราะกลัวมันจะคิดเอาได้ว่าถูกล้อ


“ไอ้เหี้ย! มีหรือไม่มีมึงดูไม่ออกรึไงวะ” ไอ้ศรว่าเสียงดังกลบหน้าแดง ๆ ของมัน


“บางอย่างก็ต้องมีคำพูดมายืนยัน”


“ถ้าไม่มีความสุขจะยอมให้กดบ่อย ๆ รึไงวะ” ไอ้คนปากแข็งหน้าแดงหูแดงไปหมด น่าเอ็นดูจนต้องจูบให้รางวัลเสียหน่อยแล้ว



กูเข้าใจแล้วศร เข้าใจแล้วว่าที่มึงยอมอยู่ในฐานะเมียของกูทั้งที่เป็นผัวคนอื่นมาตลอดเพราะมึงรักกู













พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 11
---------------------------------------------------------------
มาไม่ช้าไม่เร็วไป กำลังดีเนอะ
3 วันดี 4 วันทะเลาะ เลิกกันไปเล้ยยยยยยย
ฮ่าๆๆๆ
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2020 11:52:51 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ความคิดศรซับซ้อนจริงอ่ะแหละ ขนาดตอนอ่านพาร์ทศรยังไม่ค่อยเข้าใจศรเลย
แต่อย่าเลิกกันน้าาาาาาา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านนะคะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
อย่าทะเลาะกันอีก แม่ยกเจ็บช้ำหัวจัยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบๆๆๆ ชอบนิยายที่ไม่รู้จะเข้าข้างใครแบบนี้ค่ะ5555555 เทาไปหมด รอนะคะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 11

---OMIN---







ฤดูกาลสอบไฟนอลของผมจบลงในครึ่งเช้าของวันกลางสัปดาห์ แทนที่จะได้พักกายพักใจแต่กลับต้องลุยงานละครเวทีกันต่อในตอนบ่ายนั่นก็คือการแคสติ้งนักแสดงละครเวที คนรับผิดชอบหลักเรื่องภาพอย่างผมจึงจำต้องอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ


มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าพวกแม่งไม่อยากได้ธรรมศรมารับบทตัวเอกของเรื่องแล้วให้ผมไปรบเร้าชวนมันมาเล่นให้ได้


“ทำไมต้องเป็นมันวะ” ผมย้อนถาม


“มึงโง่หรือมึงโง่คะเพื่อน บทเจคหล่อขนาดนี้ เท่ขนาดนี้ จะมีใครในมหา’ลัยนี้เหมาะสมเท่าศรอีกไหม” จี๊ดที่เป็นหัวหน้าฝ่ายแคสติ้งอธิบาย


ผมหน้างอ คนหวงแฟนอย่างผมมีหรือจะยิ้มระรื่นที่แฟนจะกลายเป็นจุดสนใจขนาดนั้น “มันไม่ว่างหรอก ช่วงปิดเทอมก็ต้องฝึกงาน ไหนจะ....”


“นี่ไม่ใช่เวลาหวง นี่เวลางานค่ะเพื่อน”


“เออ ๆ ไว้จะลองชวนดูละกัน”


“เดี๋ยวนี้!!”


ผมตั้งท่าจะแย้งแต่โดนยัยจี๊ดแทรกขึ้นมาก่อน “พวกถาปัดจะทำละครเวที ถึงจะเล่นคนละช่วงกับเราแต่จะประมาทไม่ได้ พวกนั้นอาจมาแย่งคนที่เราต้องการไป”


ผมกลอกตาไปมา เหนื่อยแทนจริตอินเนอร์ของเพื่อนสาวแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับงานมอบหมายชิ้นสำคัญนี้อีก


“ไป!!” ผมโดนออกคำสั่งเด็ดขาดก่อนได้ทันแย้งอะไรขึ้นมาเสียอีก





เพราะห้องชมรมไม่มีแอร์ ประตูที่เปิดออกเพื่อระบายอากาศยามบ่ายแก่จึงทำให้ผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังออกมาถึงข้างนอกตรงทางเดิน เพียงแต่ไม่คิดว่าภาพที่เห็นจะทำให้ผมต้องหงุดหงิดใจ


ปัง!


“โทษที กะน้ำหนักมือพลาด” ผมพูดขอโทษเสียงแข็งหลังจงใจทุบกำปั้นใส่ประตูไม้แทนการเคาะเพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดลง


ไอ้ศรที่นั่งบนเก้าอี้กลมหัวล้านตรงกลางห้องช้อนตามองผมพร้อมกับไอ้เด็กรุ่นน้องผู้ชายที่ยืนเกาะหลังมันเหมือนหาที่กำบังก่อนที่หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงจะหันหน้ามามองผมตามสายตาของสองคนนั้น


“ไหนบอกว่ามีงานแคสต์นักแสดงไง”


“ก็มี แต่มีธุระที่นี่ แล้วนี่เล่นอะไรกัน”


น้องผู้หญิงหลีกทางให้ผมเดินเข้าไปหาศร ผิดกับน้องผู้ชายที่ยังยืนเกาะไหล่มันอยู่เพียงแต่ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วจ้องผมตาโต


“เด็กมันเล่นกัน มึงมีธุระอะไร”


ผมตวัดตามองเด็กคนนั้น เห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะผละออกจากคนของผม ผมจึงต้องเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ออกไป”


“ห๊ะ ครับ!?”


นอกจากจะไม่รีบออกห่างไอ้ศรแล้ว เด็กนั่นยังทำหน้าเหรอหราใส่ผมอีกด้วยจนน้องผู้หญิงที่เป็นคู่เล่นด้วยต้องสะกิดบอกแล้วดึงตัวออกไปเสียเอง


“อย่าแดกหัวเด็กชมรมกูนะเว้ยไอ้โอม...ไอ้เหี้ยศรก็ไม่ช่วยน้องเลยนะมึง” ไอ้หนึ่งว่าติดตลก ผมเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าในห้องยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ไอ้หนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลกันนักและยังมีอีกสี่คนที่ผมไม่รู้จักนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่บนพื้น


“แล้วธุระของมึงคืออะไร”


ผมหันมองคนอื่นในห้องชมรม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจฟังจึงพูดออกไป “เพื่อนกูอยากให้มึงเล่นละครเวทีให้หน่อย”


“...”


“เอ่อ...กูบอกพวกนั้นแล้วนะว่ามึงยุ่ง ช่วงปิดเทอมก็ฝึกงาน ไม่ว่างมาเวิร์คชอปหรือซ้อมหรอก...แต่พวกมันก็อยากให้กูมาลองชวนดูก่อน”


“กูขอโทษว่ะ”


“ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงติดงาน” ผมเองก็ไม่อยากให้มันโชว์ตัวต่อหน้าสาธารณชนบ่อยนักหรอก แค่ตอนเล่นหนังสั้นให้พี่สัม ผมก็จะแย่แล้ว


“ไม่ใช่ คือกู...กูรับเล่นให้ถาปัดไปแล้ว”


“อะไรนะ!!” เหี้ย…


“รับตอนไหนวะ” ไอ้หนึ่งถามแทรกขึ้นมา


“ไอ้ฟ้ามาชวนกูตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว”


“ฟ้าไหน ไอ้เท่าฟ้าอ่ะนะ”


“เออ เพื่อนถาปัดก็มีมันคนเดียวป่ะวะ


บ้าฉิบ! ผมไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ คิดไว้แค่ว่าคงต้องเตรียมใจหากไอ้ศรรับเล่นให้คณะตัวเอง ไม่คิดเลยว่ามันไปรับปากคนอื่นไว้ก่อนแล้ว แล้วยังไงล่ะทีนี้ คนทั้งคณะถาปัดคงดีใจจนเนื้อเต้น ธรรมศร คนดังแห่งวิศวะต้องไปอยู่ท่ามกลางดงนั้นนานอย่างน้อย ๆ ก็คงจะสองเดือนเต็ม


ผมยืนหน้าบูด อารมณ์เสียสุด ๆ


“โกรธที่กูปฏิเสธมึงเหรอวะ”


“เปล่า กูหวง”  ผมพูดเสียงไม่เบาไม่ดัง มั่นใจว่าทุกคนในห้องน่าจะได้ยินเพราะเงียบกันมาก และเพราะอย่างนั้นไอ้คุณชายถึงได้แก้มแดง


“นะ ไหนบอกว่ามีแคสติ้งไง”


“กูฝากตากล้องเบอร์สองทำงานแล้ว” เพราะพวกมันให้กูมาทำงานที่สำคัญกว่า ถึงจะไม่สำเร็จแต่กูขออู้หน่อยแล้วกัน


ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างมัน รุ่นน้องในชมรมหลายคนจ้องมาที่ผมด้วยความสงสัยแต่ไม่มีใครกล้าถาม จะมีก็แต่ไอ้น้องผู้ชายคนนั้นที่จ้องมองเหมือนจะเอ่ยถามอยู่หลายรอบแต่ก็ถูกเพื่อนสาวห้ามเสียทุกครั้ง


นั่งเป็นเป้าสายตาให้เด็กมันมองได้ไม่กี่นาทีไอ้หนึ่งก็ลุกไปยืนหน้ากระดานแบล็คบอร์ดศรเลยได้ย้ายก้นไปนั่งบนโซฟาแทน โดยมีผมตามไปนั่งข้าง ๆ หลังพิงพนักยกแขนพาดโซฟาเหมือนโอบกลาย ๆ เห็นอีกคนนั่งตัวตรงเกร็งแข็งก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว “เขินเหรอวะ”


“สัด นั่งดี ๆ กูเขินน้อง”


ผมไหวไหล่ ยิ่งมันบอกว่าเขินผมก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ อยากแกล้งด้วยส่วนหนึ่ง สำคัญคืออยากใกล้ชิดมากกว่า


ผมนั่งไถมือถือดูนั่นนี่ไปเรื่อยระหว่างที่ไอ้หนึ่งและรุ่นน้องอีกคนกำลังยืนพูดอยู่หน้าห้อง จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ดูเหมือนว่าการประชุมจะใกล้สิ้นสุดลง ผมสะกิดไอ้ศรให้หันมาสนใจกันเพื่อถามว่าเย็นนี้จะไปกินอะไรกัน


“ปีนี้พวกพี่ปีสามปีสี่ไม่ได้ไปด้วย พวกมึงก็ดูแลกันดี ๆ ล่ะ” หนึ่งกล่าวปิดท้ายประชุม


“ไม่มีใครไปสักคนเลยเหรอคะ” น้องผู้หญิงที่นั่งคู่ไอ้เด็กนั่นถามขึ้นมา


“น้องไข่มุกอยากให้ไอ้หนึ่งมันไปด้วยเหรอครับ” ไอ้ศรย้อนถาม ฟังจากเสียงแล้วรู้ในทันทีว่ามันกำลังชงคู่นี้อยู่


“ผมอยากให้พี่ศรไปด้วยครับ”


ผมหน้าตึง เด้งตัวจนมาอยู่ในระนาบเดียวกับคนรักเพื่อมองหน้าคนพูด ไอ้รุ่นน้องคนนั้นกำลังมองมาด้วยความหวัง


“กูไม่ว่างโว้ย อย่าเซ้าซี้นะไอ้รัก”


“ประชุมเสร็จแล้วใช่ไหม กลับ!” ผมคว้าแขนไอ้ศร ไม่อยากให้คุยกับเด็กนั่นนาน มันตัวเล็กก็จริงแต่ดูท่าแล้วไม่น่าจะเป็นเกย์ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ชอบให้มันมาเง้างอดออดอ้อนแฟนผมแบบนี้


“เห้ยเดี๋ยวดิ!” ศรยื้อตัวไว้ “น้องมันแค่ชวนเองนะ”


“กลับ” ผมพูดเสียงนิ่งหน้านิ่ง ไม่มีรอยยิ้มจาง ๆ สักนิด และถ้าไอ้ศรรู้จักผมดี มันคงรู้ว่าไม่ควรดื้อกับผมในเวลานี้


ศรถอนหายใจก่อนตอบรับในสิ่งที่ทำให้ผมพอใจ “เออ ๆ กลับ”


“ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูกลับนะไอ้หนึ่ง”


“เดี๋ยวดิพี่ศร” ไอ้เด็กที่ชื่อรักอะไรนั่นร้องห้ามเสียงดังก่อนกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปมุมห้องแล้วถือกล่องอาหารเข้ามาหาแฟนผม


“อาหารเย็นครับ แม่ผมทำมาให้”


ไอ้ศรตั้งท่าจะพูด ผมไม่รู้ว่ามันจะตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะมีคนพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “แม่มึงเป็นคนญี่ปุ่นเหรอวะรักถึงได้ทำแต่อาหารญี่ปุ่นมาให้”


ไอ้เด็กปีสองยกมือเก้าท้ายทอยอย่างเก้อเขิน “เปล่าหรอกครับ แต่เห็นพี่ศรชอบกิน เลยให้แม่ทำให้”


ผมคิ้วกระตุก


“รับไปเถอะนะครับ ครั้งก่อน ๆ พี่ก็ไม่ได้กิน ผมเสียใจนะเนี่ย”


“เห้ยรัก” ไอ้หนึ่งโพล่งขึ้นมา คงเพราะรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของผม แต่ก็ยังไม่ทันไอ้ศรที่รับกล่องอาหารมาก่อน


“ฝากขอบคุณแม่มึงด้วยนะ แต่ครั้งหน้าไม่ต้องทำมาเผื่อกู เข้าใจไหม”


“พี่ศรอ่ะ” ผมละเกลียดเสียงเง้างอดของมันจริง ๆ 


“กลับกันสักที” ผมสะกิดกึ่งลางกึ่งจูงแฟนสุดฮอตของตัวเองให้รีบออกจากห้องนี้


“เดี๋ยวครับ”


“อะไรอีกวะ!!” ผมเผลอหันไปตะคอกถามเสียงดังจนคนทั้งห้องสะดุ้ง ช่วยไม่ได้ที่กูระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ก็ไอ้เด็กนั่นมันยุ่งย่ามกับแฟนผมมากเกินไปแล้ว ถ้ารู้ว่าทุกครั้งที่มันมาชมรมแล้วต้องเจอเด็กนั่น มีหวังครั้งหน้าผมคงต้องตามมาด้วยเสียแล้ว


“เอ่อ...ผมอยากชวนพี่ศรไปทำรีวิวร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งด้วยกันครับ ได้ข่าวมาว่าอร่อยมาก พี่ศรน่าจะชอบ”


“ทำรีวิวของเพจมึงอ่ะนะ”


“มากเกินไปแล้วนะเว้ย” ผมทะลุกลางปล้อง อยากจะก้าวกลับไปกระชากแล้วพูดใส่หน้ามันดัง ๆ ว่าอย่ายุ่งกับคนของกูให้มากนัก แต่ไอ้ศรเอาตัวมาขวางไว้ราวกับรู้การเคลื่อนไหวของผม


“เออ ๆ บอกวันมาแล้วกัน ถ้าว่างก็จะไป” ไอ้ศรตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่นั่นยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด แทนที่จะปฏิเสธออกไปให้ชัดเจนแต่กลับตอบรับน้ำใจ


เด็กที่ชื่อรักยิ้มกว้าง “ครับ ๆ”


“ไปได้แล้วไปไอ้ศร ไอ้โอมโมโหหิวละ” ไอ้หนึ่งพูดบอกเพื่อตัดบทสนทนาของศรกับเด็กนั่นทั้งที่รู้ดีว่าผมไม่มีทางโมโหหิวอย่างที่มันว่าได้






ผมนั่งฟึดฟัดอยู่หลังพวงมาลัยได้สักห้านาทีแล้วยิ่งเห็นไอ้คนข้าง ๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับการเปิดกล่องอาหารออกดูแล้วก็ยิ่งหงุดหงิิด “โห ทำให้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”


ยิ่งได้ยินเสียงชื่นชมที่มีต่อเด็กคนนั้นผมก็ยิ่งหงุดหงิด เหลือบมองแวบหนึ่งเห็นเป็นข้าวหน้าปลาแซลมอนย่างชิ้นใหญ่พร้อมเครื่องเคียงมากมายที่ไม่เถียงเลยว่ามันถูกตกแต่งมาได้น่าแดกมากจริง ๆ


“มึงซื้อได้ด้วยแซลมอนย่างรึไง”


“หึงไร้สาระหน่าโอม มันเป็นน้อง”


“มึงเอ็นดูมัน”


ศรเหมือนนิ่งคิดไปชั่วครู่ “ก็...เอ็นดูนะ”


“แต่มันชอบมึง”


“เห้ย! ไม่มั้ง มันแค่เห็นกูเป็นไอดอล”


“ไม่รู้เว้ย มึงห้ามเข้าใกล้มัน ไม่ต้องไปกินอาหารตามที่มันชวนด้วย ปฏิเสธให้เด็ดขาดไปเลย” ไม่มั่นใจนักหรอกว่าเเด็กนั่นจะคิดเกินเลยกับศรหรือเห็นว่ามันเป็นไอดอลจริงอย่างที่มันบอก แต่กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ เพราะท่าทางวอแวกับไอ้ศรมากเป็นพิเศษนั้นบอกตามตรงว่าไม่น่าไว้ใจ


“อือ ใช้ได้เลยแหะ”


ผมถอนหายใจดัง ก่อนออกรถ “อย่าแดกเยอะ มึงต้องไปกินข้าวกับกูนะ” ถ้าแดกอาหารกล่องนั้นจนอิ่มแล้วข้าวเย็นกูล่ะ จะให้กูไปกินคนเดียวนี่ไม่ยอมเด็ดขาด


“อะ” เสียงของมันดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของปลาแซลมอนย่างลอยมาแตะจมูก ผมจึงพบว่าตอนนี้ไอ้ศรกำลังยื่นช้อนที่มีอาหารพูนสูงมาจ่ออยู่ที่ปากผมเรียบร้อยแล้วด้วย “กินดิ กูป้อน”


ผมขมวดคิ้ว หันมองคนที่บอกว่าป้อนสลับกับถนน ตอนผมป่วยอ้อนให้มันป้อนแทบตายมันยังไม่ทำ บอกว่าผมแค่ไข้ขึ้นไม่ได้เป็นง่อย แดกเองไม่ได้ก็ตายไปซะ ทำไมตอนนี้ถึงอยากป้อน


“ไม่ช่วยกูกิน ถ้ากูกินหมดแล้วอิ่มจะมาโทษกูไม่ได้นะ”


“ทำไมมึงถึง...” ...ป้อน


“ก็มึงขับรถอยู่ กินเองได้ที่ไหน อะ อ้าปากสิวะ กูเมื่อยแล้วเนี่ย”


ผมยิ้มมุมปากก่อนอ้าปากงับเอาอาหารเข้าปาก อืม...รสชาติดีใช้ได้อย่างที่มันรำพึง แต่ดียิ่งขึ้นเพราะเมียป้อน


“น้องมันทำมาให้มึงบ่อยเหรอ” ผมถามหลังจากกินไปได้สองสามคำ


“ทุกครั้งที่ประชุมเสร็จ ทุกคนในชมรมก็ได้อาหารจากน้องมันเนี่ยแหละประทังชีวิต...แต่กูยังไม่เคยกินเลย รีบออกมาเพราะจะไปกินข้าวกับมึงเนี่ยแหละ”


“หึ น่ารักนะมึงเนี่ย”


“พูดมาก! แดก ๆ ไป” ผมโดนยัดข้าวใส่ปากเพราะความพยายามในการกลบเกลื่อนความเขินของมัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมากจริง ๆ






ช่วยไม่ได้ที่เวลาอาหารเย็นของผมกับศรต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะผมถูกเพื่อน ๆ ตามตัวกลับไปรายงานผลของ ‘งานมอบหมาย’ ชิ้นสำคัญ ทุกคนกรี๊ดเสียงดังทันทีที่เห็นไอ้ศรเดินตามหลังผมเข้าห้องออดิชั่น


“โอม มึงทำได้จริง ๆ กูไม่ผิดหวังในตัวมึงเลยเพื่อนรัก” ยัยจี๊ดรีบพุ่งเข้ามาจับมือผมแทนคำขอบคุณ “ศร จี๊ดดีใจมาก ๆ เลยนะ” ผมรีบขยับตัวไปขวางเมื่อเห็นว่าเธอกำลังเปลี่ยนเป้าหมายไปหาศรบ้าง


“ไม่ต้องดีใจหรอกจี๊ด”แม้จะเป็นคำพูดที่ผมบอกเพื่อนสาวแต่ทุกคนในห้องต่างก็ได้ยินและทำหน้าสงสัยเช่นเดียวกับเจ้าตัว


“หมายความว่าไงไอ้โอม” ยัยจี๊ดแหวขึ้นทันที


“เอ่อ...ผมขอโทษนะที่ไม่สามารถเล่นละครเวทีให้นิเทศฯ ได้” จบคำเฉลยของศร ทุกคนต่างพากันร้องโอดครวญ


“ทำไมล่ะศร เพราะไอ้โอมใช่ไหม มันหวงใช่ไหมศรเลยไม่รับเล่น”


“อ้าวเกี่ยวไรกับกู”


“ไม่เกี่ยวกับโอมหรอกครับ พอดีผมรับเล่นให้ถาปัดไปก่อนแล้วอ่ะ”


“นั่นไง! กูว่าแล้ว ไอ้โอมแม่งช้าอ่ะ”


“ถ้ามึงจะโทษว่ากูช้า ก็คงต้องโทษตัวเองที่ใช้กูช้าไปหลายวันเลยแหละ”


“ศรอ่าาาาา”


“อย่ามาเง้างอดแฟนกู” ผมว่าไอ้จี๊ด วันนี้ทนฟังคนทำเสียงแบบนี้ใส่แฟนมาหลายครั้งแล้ว กูจะไม่ทนอีก


“ชิส์ ไปทำงานเลยมึงอ่ะ หายหัวไปซะนานนี่อู้ใช่ไหม ไปเลยไป!” ไอ้จี๊ดกำลังพาล แต่ผมไม่ถือสาเพราะมันพูดเรื่องจริง ผมบอกให้ศรไปนั่งรอที่มุมห้อง คาดว่าอีกไม่นานงานวันนี้ก็คงเลิก


ผมกลับไปประจำตำแหน่งเดิมคือถ่ายรูป หน้าที่ของฝ่ายภาพในวันนี้คือเก็บทั้งบรรยากาศงานและถ่ายรูปเดี่ยวของผู้เข้าสมัครทุกคนทั้งก่อนเข้าร่วมและหลังจากที่เพื่อนส่งสัญญาณว่าน่าจะเข้าเค้า โดยให้โพสท่าตามอินเนอร์ของตัวละครที่เขาหรือเธอจะได้รับเพื่อนำรูปไปร่วมกันตัดสินพร้อมกันทีหลัง


ซึ่งผมได้รับหน้าที่หลัง มันทำให้ผมต้องถูกเฉดหัวออกไปอยู่ในห้องเก็บตัวอีกห้องตามลำพังกับคนที่น่าจะผ่านการคัดเลือก...และห่างจากไอ้ศร


ทั้งที่ความจริงแล้วควรจะมีแอคติ้งโค้ชอยู่กับผมในห้องนี้ด้วยแต่ก็ไม่มี แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไรว่าผมกำลังโดนยัยจี๊ดที่จี๊ดสมชื่อกำลังแกล้งผมในเรื่องนี้ คงเป็นเพราะผมทำงานมอบหมายไม่สำเร็จผมจึงต้องระเห็จมาอยู่คนเดียวและทิ้งศรให้พวกมันได้แทะโลมกันอยู่ข้างนอก


คนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามาในห้องของผมมีครบทุกตัวละคร ผมต้องจำคาแรคเตอร์ให้ได้และโค้ชคนเหล่านั้นให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่นั่นก็ไม่ยากเท่ากับการรับมือกับเธอคนนี้...คนที่ผมเจอที่ผับในวันวาเลนไทน์


ย้อนความสักเล็กน้อย วันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งศรให้อยู่คอนโดคนเดียว มีใครที่ไหนอยากจะทิ้งคนรักไว้หลังจากที่เรากอดก่ายละเลงบทรักกันอย่างเร่าร้อนอย่างนั้นหรือ หากไม่ติดว่ารับปากแม่ไว้แล้วว่าจะกลับบ้านเพราะน้อง ๆ เองก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในวันแห่งความรัก ผมก็คงนอนกอดมันให้ชื่นใจไปเสียแล้ว ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในตอนดึกที่เพื่อนเอาแต่รบเร้าให้ผมออกไป ไอ้เต๋าเอาเรื่องศรมาล่อบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังแต่จริง ๆ แล้วไม่มี ผมถูกหลอกให้ออกไปทั้งที่เบื่อแสงสีจะแย่ แต่ก็ต้องขอบคุณพวกมันที่ชวน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รู้ว่าแฟนผมออกไปอวดโฉมอยู่ที่นั่นด้วย


ผมไม่ได้ตามไปนั่งกับศรให้อีกฝ่ายรำคาญใจ ในโต๊ะของเพื่อนผมก็ไม่มีผู้หญิงสักคน เราอยู่กันอย่างชายโสด มีผมเพียงคนเดียวที่ใส่เสื้อสีดำ แต่กลับกลายเป็นคนที่ดึงดูดเธอเข้าหา...เธอคนที่ใส่เสื้อสีขาว


และตอนนี้เธอก็กำลังยืนยิ้มด้วยท่าทางยั่วยวนที่ไม่ต่างจากคืนนั้นเลยสักนิด แม้จะไม่ได้อยู่ในชุดรัดรูปก็ตาม


“เข้าไปยืนหน้าฉากนะครับ” ผมบอกเรียบ ๆ ไม่แสดงออกว่ารู้จักหรือจำเธอได้


“แย่จัง จำกันไม่ได้เลยเหรอคะโอม”


“คุณ...” ผมเอ่ยด้วยท่าทางไม่มั่นใจ ว่ากันตามตรงแล้วผมเองก็จำชื่อเธอไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ


“ใจร้ายจัง ลืมกันได้ลงคอ”


“ขอโทษครับ” ผมว่า แต่ไม่ยิ้ม รักษามารยาทด้วยส่วนหนึ่ง แต่ไม่คิดสานต่อมากมายนัก


“มิ้นค่ะ มิ้นที่เจอกันคืนวันวาเลนไทน์”


“อ๋อ ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะ มีเวลาอีกเยอะให้เราทำความรู้จักกันใหม่ได้” ผมไหวไหล่ ไม่สนใจท่าทีทิ้งสายตาของเธอแล้วยังเร่งให้สาวเจ้ารีบไปยืนหน้าฉากเพื่อไม่ให้คนต่อไปที่จะมาถึงต้องรอนาน


ผมไม่รู้ว่าผมตายด้านกับผู้หญิงไปแล้วหรือแท้ที่จริงผมไม่เคยสนใจพวกเธอเลยกันแน่ บางทีผมอาจจะเป็นเกย์มาตั้งแต่แรก แต่ผมไม่ได้คิดหาคำตอบมากนัก เพราะงานต้องดำเนินต่อ


“ดีครับ” ผมว่า ตัวละครที่เธอได้รับมีคาแรคเตอร์ค่อนข้างชัดเจน ไม่ซับซ้อน เธอจึงแสดงอินเนอร์ออกมาได้ดีโดยที่ผมไม่ต้องโค้ชใด ๆ ทั้งสิ้น


“เปลี่ยนท่าครับ” ผมที่ยังจ้องมองผ่านเลนส์กล้องร้องบอก คราวนี้เธอมีสีหน้ากังวลและอยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการเก้ ๆ กัง ๆ ตื่นกล้องขึ้นมาเสียอย่างนั้น


“โอมว่าท่าไหนดีคะ มิ้นคิดไม่ออกแล้ว”


“มายาเป็นคนเย่อหยิ่ง ไว้ตัวแต่ก็ยั่วยวน เวลาเจอผู้ชายเธอดูเหมือนจะเล่นตัวนิด ๆ ทั้งที่ทิ้งสายตาให้เขาก่อน  คุณลองยืนหันข้าง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองหางตาด้วยท่าทีสนใจดูนะครับ” ถ้าเป็นภาพเคลื่อนไหวจะมองเห็นความหลุกหลิกของสายตา แต่เพราะนี่เป็นภาพนิ่ง เธอจึงอาจแสดงออกมาได้ยากกว่า


“แบบนี้เหรอคะ”


“เชิดหน้าเยอะไปครับ”


“ได้ไหมคะ”


“ต่ำไปครับ”


“เห้อ” เธอถอนหายใจยาว “ยากจังเลยค่ะ มายานี่เข้าใจยากจัง เป็นมิ้นนะจะอ่อยตรง ๆ ไม่เล่นตัวสักนิด”


ผมผละออกจากกล้องแล้วเดินเข้าไปหาโดยไม่สนใจสิ่งที่เธอเพิิ่งพูดเมื่อครู่ “ขออนุญาตนะครับ” เอ่ยบอกแล้วขยับองศาหน้าให้ได้มุมที่คิดว่าดูดีที่สุด ใช้ปลายนิ้วมือแตะคางมนให้เชิดขึ้นเล็กน้อยก่อนผละออกห่างเพื่อมอง เมื่อองศาหน้าเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงบอกให้เธอค้างที่ท่านั้นไว้


“ดีครับ คราวนี้ปรายตามอง” ผมบอกเมื่อกลับมายืนหลังกล้องแล้ว “เม้มปากนิดนึงครับ ดีครับ”


เราถ่ายไปอีกหลายรูปผมก็บอกให้เธอพอ มิ้นเดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมยิ้มหวาน “โอมใช้น้ำหอมอะไรเหรอคะ”


“ทำไมครับ”


“เมื่อกี๊นี้...หอมดีนะคะ มิ้นชอบ” เธอขยิบตาให้ขณะที่ผมถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้เธอเดินออกไปจากห้อง ผมถอนหายใจก่อนหันมองตามเธอไปเพื่อดูว่าคนใหม่เข้ามาหรือยัง


...แต่กลับพบว่าธรรมศรยืนอยู่ตรงนั้น


ศรหลีกทางให้หญิงสาวเดินออกไปง่าย ๆ โดยไม่เล่นหูเล่นตาหรือยิ้มหวาน ๆ ให้อย่างที่ชอบทำ


“มะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ถ้ามาแล้วเห็นอะไรที่ไม่ควร กูจะได้อธิบายถูก


“เพิ่งมา...กูหิวแล้ว”


“เห้ย โทษที ๆ กี่โมงแล้ววะ” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา อีกสิบนาทีจะหนึ่งทุ่ม การแคสติ้งยืดเยื้อกว่าที่คิดคงเพราะว่าคนมาสมัครกันเยอะ และแต่ละตัวละครต่างก็ใช้เวลานานในการคัดสรร


“กูแค่จะมาบอกว่ากูจะออกไปซื้อข้าวนะ เดี๋ยวซื้อเผื่อเพื่อน ๆ มึงด้วย” พูดจบมันก็รีบหันหลังเดินออกไป แม่งคงหิวมากจริง ๆ หน้ามันนิ่งมากจนผมกลัวมันโกรธที่ผมทิ้งมันไว้นานเกินไป


“ไม่ต้องศร ไม่ต้อง” ผมคว้ามือมันไว้ “เห้ยพวกมึง อีกนานไหมวะ”


“น่าจะ อย่างต่ำก็ชั่วโมงนึง” ใครบางคนตอบ


“ไม่หิวกันเหรอวะ ให้สวัสดิฯ ไปซื้อข้าวดิ๊ ซื้อมาเผื่อแฟนกูด้วย” แทนที่เพื่อนจะรีบขอความเห็นเรื่องเมนูอาหารแต่กลับร้องโห่แซวกูเรื่องที่เรียกศรว่าแฟน กูจะบ้าตาย


“ไม่ต้อง กูไปเอง” มันบอกผมพร้อมกับถอนมือออก “เดี๋ยวผมไปช่วยทีมสวัสดิฯซื้อข้าวเองครับ”


“ศร” ผมคว้ามือมันไว้อีกครั้ง เห็นมึนตึงแปลก ๆ ก็อยากจะถามให้แน่ใจว่าไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า


“ไม่ต้องมีใครไปไหนทั้งนั้นแหละ โทรสั่งเอา ขืนไปยืนรอข้าวตามสั่งคงไม่ได้กินชาตินี้แน่” ยัยจี๊ดตะโกนขึ้นมา ซึ่งหลายคนเห็นด้วย


“มึงโกรธอะไรกูรึเปล่า”


“...”


“ไม่พอใจที่กูทิ้งให้มึงหิวเหรอ” ผมโยนหินถามทาง


“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่หิว ไม่ได้เคืองอะไรมึง”


“ไอ้โอมจะแดกอะไร!...ศรของจี๊ดจะทานอะไรดีคะ” ผมกลอกตา ยัยนี่สองมาตรฐานชัด ๆ


“มึงกินอะไร” ผมถามศร มันไม่ตอบ แต่ถามเพื่อนผมกลับว่าสั่งอะไรกัน พอได้ความว่าสั่งพิซซ่า มันก็ออเดอร์สปาเก็ตตี้เพิ่มโดยห้ามไม่ให้ฝ่ายสวัสดิการใช้งบกลางสำหรับอาหารในส่วนของมัน


“ไปทำงานต่อไปมึงอ่ะ”


“เข้าไปกับกูไหม” ผมถามกึ่งอ้อน


“ไปเถอะ ถ้าอาหารมาแล้วกูจะเอาเข้าไปให้” ศรดันตัวผมให้กลับเข้าไปในห้องเดิมแต่ผมขืนตัวไว้


“ไม่โกรธแน่เหรอวะ”


“ถ้าไม่เข้าไปตอนนี้กูจะแดกหัวมึงแทนข้าวแน่” ไอ้ศรเตะก้นผมไม่แรงนัก


“แดกหัวอย่างอื่นของกูแทนได้ป่ะ” ผมว่าทีเล่นทีจริง


“ไอ้เหี้ย!!”










พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 12
------------------------------------------------------------
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ่านไปก็ลุ้นไป กลัวว่ามีเรื่องจะให้งอนกันอีก

ออฟไลน์ kung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
อ่านเรื่องนี้เหมือนเล่นโต้คลื่นอะ ไม่มีความมั่นคง โลเลไปตามลมที่พัดมา โดยเฉพาะศร ถ้าเราเป็นโอมเราคงไม่มีความสุขอะ อึมครึมเหมือนฝนจะตกทุกเวลา เหมือนศรไม่มั่นคงในอารมณ์ ดูโอมรักศรมากกว่าที่ศรรัก(รึ)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด