[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 105214 ครั้ง)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 5
---DharmaSORN---






ผมแม่งโคตรเพอร์เฟค



ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ


รูปร่างสูงใหญ่กอปรกับมัดกล้ามเนื้อสวยราวกับรูปปั้น


ฐานะทางบ้านที่มีทั้งเงินและอำนาจ


นั่นคือสิ่งที่คนอื่นคิดว่าผมเป็น…


ธรรมศรที่คนอื่นมองมันก็สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างนั่นแหละ


แต่ไม่มีใครรู้สักนิดว่าคนอย่างธรรมศรก็มีจุดบกพร่องอยู่เหมือนกัน จุดบกพร่องที่เป็นช่องโหว่ในชีวิตนจนกลบปิดอย่างไรก็ไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น


แม้กระทั่งกระจกเงาตรงหน้าก็ยังไม่สามารถสะท้อนจุดบกพร่องนั้นได้ทั้งที่ผมเปลือยท่อนบนอยู่ทนโท่




“เหม่ออะไรอยู่”


เสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้องกันมาสามเดือนแล้วดังขึ้น ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ได้เหม่อหรอก เพราะถ้าเหม่อคงไม่ได้ยินที่มันพูด ผมหันไปมองเจ้าของเสียงแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด สายตาโลมเลียของมันทำให้ผมหน้าร้อนจนต้องรีบหันหนี


“หยุดมองกูด้วยสายตาแบบนั้น” ผมพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ


“ทำไม? กูมองแบบนี้แค่กับเมียตัวเองเท่านั้นแหละ”


ผมจิ๊ปาก หันไปชี้นิ้วใส่หน้ามันอย่างคาดโทษ เกลียดจริง ๆ ไอ้สถานะที่อีกฝ่ายชอบพูดเวลาอยู่กันแค่สองคน ไม่ได้เกลียดสถานะนี้ แต่เกลียดความน่าหมั่นไส้ที่มันแสดงออกมา


ไม่เป็นเมียบ้างก็พูดได้ดิ


“นี่มึงเขินกูด้วยเหรอ” ไอ้โอมพูดติดตลก “หรือเห็นแล้วมีอารมณ์” ผมไม่รู้ว่ามันเดินเข้ามาใกล้ตอนไหน แต่ในประโยคท้ายไอ้คนพูดมันก็เดินเข้ามายืนซ้อนหลังผมเรียบร้อย นัยน์ตาคมยังฉายแววโลมเลียร่างกายผมเพียงแต่เปลี่ยนจากมองกันตรง ๆ เป็นมองผ่านกระจกเงาตรงหน้าแทน


“ถ้ามึงมี...กูพร้อมนะ”


“ไอ้ห่า! ไปไกล ๆ ตีน” ผมกระทุ้งศอกใส่มันไปหนึ่งที ไม่สนใจว่าท่าทางงอตัวของมันจะเป็นเพราะเจ็บจริงหรือการแสดง เพราะสิ่งที่ต้องทำคือรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะโดนมันเล่นงานจนต้องไปเรียนสาย





ชีวิตประจำวันนอกบ้านของผมไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ อย่างน้อยการได้เจอผู้คนใหม่ ๆ อยู่เสมอจากคลาสเรียนก็ทำให้ผมสนุกกับการเรียนมากขึ้น วิศวะสาขาชีวการแพทย์ของผมเป็นเพียงสาขาเดียวที่ได้เรียนกับคนมากหน้าหลายตา ไม่จำกัดอยู่แค่เฉพาะในคณะวิศวะด้วยกัน และผมจะมีความสุขมากเป็นพิเศษถ้าได้เรียนกับกลุ่มคนที่หนึ่งในนั้นมีเพื่อนสนิทสมัยมัธยมอยู่ด้วยอย่างเช่นวันนี้


“ไงมึง ได้ข่าวว่าวันก่อนมีเรื่องกับเด็กเกษตรเหรอวะ” ไอ้ทัช เพื่อนสนิทที่แยกไปเรียนภาคไฟฟ้าร้องทักลั่นห้องเรียนรวมที่จุคนได้มากถึงสองสาขา ช่างเป็นการทักทายที่สร้างสรรดีจริง ๆ เพื่อนกู


“เออ” ผมเดินเข้าไปใกล้ ขณะที่ไอ้หนึ่งไอ้กอล์ฟไอ้เมฆและไอ้ฟาก็เดินไปทักคนอื่นเหมือนกัน “เห็นคิ้วกูไหมล่ะ” ผมก้มตัวยื่นหน้าเข้าไปให้ไอ้ทัชที่นั่งอยู่ดูใกล้ ๆ แต่ไอ้ทัชเสือกยื่นมือมาบี้เล่นจนผมร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ถ้าแตะเบา ๆ มันก็ไม่เจ็บแล้วล่ะครับ หลายวันแล้วนี่ แต่ถ้าเล่นบี้อย่างที่มันทำก็ยังเจ็บแสบอยู่บ้าง “อย่าซนไอ้สัด”


“อย่าซ่านักดิวะ พวกแม่งไม่จบง่าย ๆ มึงก็น่าจะรู้” ไอ้ดลพูดเตือนด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง ไอ้นี่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้ทัช วันก่อนที่ผมไปเที่ยวแล้วกลับไปนอนบ้านอาผมก็ไปกลับกลุ่มนี้มา


“กลัวที่ไหน” ผมไหวไหล่ไม่สนใจ พวกแม่งจะจบไม่จบผมก็พร้อมสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว


“เออ ถ้าพวกมันมาจริงก็เรียกพวกกูไปเสริมได้นะเว้ย” ไอ้เตอร์พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ใครจะทันได้ห้ามความบ้าของผม ไอ้นี่มันใจนักเลงพอตัว ผมเลยถูกคอกับมันเป็นพิเศษในบรรดาเพื่อนใหม่


“คงไม่ต้องถึงมือถึงตีนพวกมึงหรอกมั้ง”


“หึ มั่นใจไปแล้วไอ้คุณชาย” ไอ้ทัชสบประมาท ใคร ๆ ก็มองว่าภาควิชาคุณชายอย่างพวกผมไม่มีทางต่อยตีสู้วิศวะภาคอื่นหรือคณะอื่นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขี้ขลาด เลือดนักสู้ก็มีอยู่พอตัว


“เห้ย ๆ ไปนั่งเว้ย ’จารย์มาแล้ว” ไอ้หนึ่งทั้งผลักทั้งดันพวกเราทุกคนให้ไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนในสาขาเดียวกัน พวกมันทุกคนรู้ว่าผมจะคึกเป็นพิเศษเวลาได้อยู่กับเพื่อนเยอะ ๆ แต่ต้องเป็นเพื่อนนะ ถ้าคนเยอะแต่ไม่สนิทกันผมจะเงียบจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว


ท้ายคาบเรียนอาจารย์ที่เคารพรักแจ้งข่าวร้ายสำหรับทุกคนว่าจะเปิดช็อปของภาคไฟฟ้าเสริมในวันเสาร์นี้และอยากให้ภาคผมเข้าร่วมด้วยเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาเรียกเสียงโอดครวญจากนักศึกษาทั่วทั้งห้องจนหูผมแทบดัง ผมหัันมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเสียงดังระงมแบบนี้สักครั้ง ผมที่นั่งริมสุดหันไปถามไอ้หนึ่งที่นั่งติดกันด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นวะ”


ไอ้หนึ่งหันมองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด “อะไร”


“มึงไม่โวยวายเหรอวะไอ้ศร” ไอ้ฟาชะโงกหน้ามาถามก่อนที่ผมจะได้ความกระจ่าง ไอ้กอล์ฟกับไอ้เมฆเองก็เช่นกัน


“โวยวายทำไม เข้าช็อปก็ดีนะ จะได้อ่านเองน้อยลง” ผมตอบซื่อ ๆ อย่างที่คิด


“วันเสาร์เรามีเรียน ไอ้โอมไม่อกแตกตายเลยเหรอวะ” ไอ้หนึ่งพูดขึ้นต่อ สีหน้ามันยังเป็นหมางงเหมือนเดิม


“ทำไม?” ...เกี่ยวอะไรกับมัน


“เอ๊า! มีแฟนประสาอะไรลืมวันวาเลนไทน์วะ”


...วาเลนไทน์?


“เสาร์นี้?”


“เออดิ นี่มึงลืมจริงจัง”


ผมไม่ตอบคำ ผมมีเรียนก็คงไม่กระทบอะไรหรอกมั้ง เพราะมันก็คงจะกลับบ้านเหมือนทุกที


วันวาเลนไทน์ก็กลายเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง


ไม่ดิ มันไม่เคยเป็นวันพิเศษเลยด้วยซ้ำ


“วาเลนไทน์แรกของพวกมึงสองคนทั้งที เตรียมของขวัญอะไรให้แฟนครับ” ไอ้เมฆเสนอหน้าทะเล้นมาถาม


“จะว่าเตรียมตัวไว้ให้ก็ไม่ได้แล้ว มึงให้เขาไปตั้งนานแล้วนี่หว่า” ไอ้ฟารับเป็นลูกคู่ได้ตรงจังหวะก่อนหันไปแท็กมือกัน


“ไอ้สัด”


“พอ ๆ” ไอ้หนึ่งที่นั่งคั่นกลางร้องห้าม “มึงไปเคลียร์กับมันให้เรียบร้อยละกัน อย่าให้ระเบิดลงช็อปนะเว้ย” ผมไม่ได้รับปากแต่เลือกที่จะเก็บของเงียบ ๆ


“เห้ยพวกมึง...” ไอ้ทัชกับกลุ่มเพื่อนเดินย้อนกลับขึ้นมาด้านบนที่พวกผมนั่งอยู่ “เสาร์นี้เลิกช็อปแล้วไปตี้กัน ตามประสาคนโสดเว้ย”


ไอ้พวกโสดไม่สนิททั้งหลายตกปากรับคำโดยเร็วเหลือแค่ผมที่ยังไม่ให้คำตอบ จนไอ้ทัชตีขาผมด้วยสมุดเล่มหนึ่งในมือมันแทนการสะกิด “มึงละวะ งานนี้คนไม่โสดก็ไปได้นะเว้ย”


“แต่ถ้าอยากไปแบบคนโสดก็ยิ่งดีใหญ่” ไอ้ดลเสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย


“งานนี้โสดเสื้อขาว มีเจ้าของแล้วเสื้อดำครับผม” ไอ้ดลอธิบายต่อ


“กูยังไม่ให้คำตอบละกัน” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอบรับแบบไม่ต้องคิด แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าต้องรอขออนุญาตจากไอ้โอม แต่เพราะไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะอยู่กับผมหรือเปล่า ถ้ามันอยู่แล้วผมออกไปเที่ยว มีหวังได้ฆ่ากันตายแน่


“มึงจะชวนแฟนไปด้วยก็ได้นะเว้ย นัดกันใส่เสื้อดำไง”


“แต่ใส่เสื้อขาวทั้งคู่ก็ไม่เลวนะ” ไอ้เตอร์ออกความเห็นเรียกเสียงเฮจากกลุ่มเพื่อนมันขณะที่กลุ่มเพื่อนผมหน้าซีดกันทุกคน


“แต่กูว่าเลว” ไอ้กอล์ฟที่เงียบอยู่นานแทรกขึ้นมาหน้านิ่ง ไอ้พวกนี้ก็กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ใส่ขาวทั้งคู่แล้วยังไง ก็แค่เสื้อเปล่าวะ ไอ้โอมต้องแยกแยะได้ดิ “เอาเป็นว่าพวกกูสี่คนไปแน่ ส่วนไอ้ศรบวกลบ”


ไอ้ทัชพยักหน้ารับทราบ บอกเวลาและสถานที่จัดงานก่อนต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป  ช่วงบ่ายผมมีเรียนบรรยายวิชาภาคตัวเองอีกสามชั่วโมง หลังจากนั้นผมกับไอ้หนึ่งแยกกับเพื่อนอีกสามคนไปห้องชมรมชนบท เห็นพวกผมเรียนเยอะเรียนหนักกันขนาดนี้แต่ก็ไม่ทิ้งกิจกรรมนะครับ โดยเฉพาะไอ้หนึ่งที่ตอนนี้เป็นถึงประธานชมรมเลยทีเดียว


ผมกับไอ้ทัชไอ้หนึ่งและไอ้กอล์ฟเป็นเพื่อนกันมาก่อนเข้าเรียนที่นี่แล้วครัับ พอไอ้ทัชแยกไปเรียนภาคไฟฟ้าและไอ้กอล์ฟหันไปเอาดีด้านดนตรีมากกว่า ช่วงแรก ๆ ผมเลยตัวติดกับไอ้หนึ่งเป็นพิเศษ มันไปเข้าชมรมไหนผมก็ตามไปด้วยอย่างไม่เกี่ยงงอน อะไรก็ได้ที่ทำให้ช่วงปิดเทอมกูไม่ว่าง เอาให้ยุ่งสุด ๆ ไปเลยยิ่งดี และชมรมชนบทก็ตอบโจทย์ผมแบบสุด ๆ ออกค่ายอาสาแต่ละครั้งกินเวลาไปครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ เพียงแต่ค่ายที่ใกล้จะถึงนี้พวกผมคงไม่ได้เข้าร่วมอีกแล้วเพราะต้องฝึกงานช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีสุดท้าย


ปกติหลังเลิกเรียนถ้าไม่สิงตัวตามห้องสมุด คาเฟ่หรือร้านอาหาร ผมกับไอ้หนึ่งก็จะมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องชมรมนี่แหละครับ เพียงแต่วันนี้มีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่าการทำตัวไร้สาระอย่างเช่นทุกวัน


“พี่จะรออีกสิบนาทีนะครับ เผื่อจะมีใครมาเพิ่มอีก” ไอ้หนึ่งยืนประกาศอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดหลังจากเขียนหัวข้อการประชุมของวันนี้ค้างเอาไว้แล้ว


...ค่ายอาสา ครั้งที่ 20...


ผมนอนเหยียดยาวบนโซฟาที่ยึดเป็นของตนเพียงคนเดียวปล่อยให้เพื่อนคนอื่นและรุ่นน้องนั่งพื้นบ้างเก้าอี้ไม้ตัวกลมบ้างตามแต่จะหาที่ปักหลักกันได้


ไอ้หนึ่งเดินมาสะกิดขาให้ผมเอาลงเพื่อที่มันจะนั่งด้วยตรงปลายเท้าในตอนที่ผมกำลังส่งไลน์ไปนัดไอ้โอมว่าให้มารับที่ตึกชมรมเพราะวันนี้ตั้งใจกันไว้ว่าแวะซื้อของสดที่ห้างก่อนกลับคอนโด


เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตรงประตูพร้อมเสียงโวยวายของหนุ่มสาวคู่หนึ่งทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอไปมองเพื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือรุ่นน้องปีสองจากคณะรัฐศาสตร์


“อะไรกันวะ” ไอ้หนึ่งถามนำออกไปก่อนแต่ผมเห็นแล้วว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นตรงนั้น


“มึงจะยืนรอให้ไอติมเลอะพื้นห้องเหรอไอ้รัก ไปล้างสิโว้ย” เห็นเต็มตาว่าไอศกรีมรสช็อกโกแลตลูกใหญ่บนกรวยในมือรุ่นน้องผู้ชายกำลังละลายและมันก็คงจะเป็นแบบนี้ได้สักครู่ใหญ่แล้วเพราะมือของมันเลอะไปด้วยคราบสีน้ำตาลและเริ่มหยดติ๋งจนเจ้าตัวต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งมารองไว้ไม่ให้หยดลงพื้นห้อง


“ไข่ แกไปช่วยฉันล้างหน่อย” ไอ้น้องรักหันไปบอกเพื่อนสาวคนสนิทที่ชื่อไข่มุกแต่มันเสือกเรียกซะสั้นแบบไม่เกรงใจความหวานบนหน้าน้องเขาเลย ซึ่งถ้ามันย่อว่ามุก ผมจะไม่คาใจอะไรเลยจริง ๆ


“เฮ้ย ๆ ผู้หญิงกับผู้ชายเข้าไปอยู่ในห้องน้ำสองต่อสองได้ไง ผู้หญิงเขาเสียหายไอ้สัด” ไอ้หนึ่งร้องโวยวาย ผมร้องหึมองไอ้เพื่อนขี้หวงทั้งที่ไม่กล้าคิดจะจีบเขาด้วยซ้ำ ใช่ครับ เพื่อนผมคนนี้ชอบน้องไข่มุกแต่แม่งป๊อด


“นี่มันห้องน้ำชมรม มีแค่เรา พวกพี่ก็รู้ว่าไม่มีอะไรอย่างนั้นเกิดขึ้นอยู่แล้ว”


“ไม่ต้องเถียงเลยไอ้รัก ไอ้ศรมึงไปช่วยน้องดิ๊” อ้าวเหี้ยหนึ่ง ไหงมาลงที่กู


“เกี่ยวอะไรกับกู”


“มึงว่างอยู่อ่ะ ไปช่วยน้องมันหน่อย” ...คนอื่นก็ว่างป่ะวะ แต่ไม่อยากจะเถียง ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีไม่โยนหน้าที่ให้คนอื่น แม้ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่หน้าที่กูก็ตาม


ผมปรายตามองไอ้ตัวปัญหา “มึงเป็นง่อยเหรอ”


“มือมันเลอะไอ้สัด ไป ๆ ไปทั้งคู่อ่ะ”


“เร็วเหอะพี่ เสื้อผมเลอะด้วยเนี่ย” เพราะน้องไข่มุกหาถ้วยมาให้มันใส่ไอศกรีม ผมจึงได้เห็นว่าเสื้อนักศึกษาของมันเลอะคราบสีน้ำตาลเป็นทางยาวตั้งแต่ช่วงกลางตัวลงมาจนเกือบถึงหัวเข็มขัด


“มันจะยากตรงไหนวะ ก็แค่มึงล้างมือก่อนแล้วค่อยล้างเสื้อเนี่ย”


“มันช้าไงพี่ เดี๋ยวไอติมซึมเข้าเส้นใยเสื้อหมด ล้างไม่ออกกันพอดี”


ผมส่ายหน้าระอา ใครเอาความเชื่อผิด ๆ ฝังหัวมันวะ ล้างมือไม่ถึงหนึ่งนาทีนะไม่ใช่หนึ่งชั่วโมง!


ถึงจะบ่นไอ้เด็กนั่นแต่สุดท้ายก็จำต้องยอมลุกตามไปช่วยมันตามสายตาอ้อนวอนของเพื่อนสนิทก่อนที่น้องไข่มุกจะตามไอ้รักเข้าไปเองเสียก่อน


“เด๋อด๋าแบบมึงเนี่ยนะเรียนรัดสาด” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพูดแบบนี้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็แทบจะว่ามันทุกครั้งที่เจอหน้า เป็นผู้ชายยังไงวะ ตัวก็ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นแต่กลับโก๊ะ ๆ เปิ่น ๆ อย่างกับผู้หญิง

“อ้าวพี่! ผมน่ะไออาร์นะเว้ย” ผมมองรุ่นน้องที่อ่อนกว่าหนึ่งปีแต่ดูโคตรเด็กในสายตาตรงหน้าอย่างพิจารณา ไอ้เด็กท่าทางไม่เต็มเต็งล้น ๆ เกิน ๆ แบบนี้น่ะหรือเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โตขึ้นไปมันจะดูน่าเชื่อถือได้ขนาดไหนกันเชียว


ผมส่ายหน้าตัดรำคาญตั้งหน้าตั้งตาซักล้างเสื้อให้มันแบบทุลักทุเล มือมันยื่นไปล้างในอ่างส่วนผมก็ต้องคอยกวักน้ำมาราดบนรอยเปื้อน ถู ๆ ขยี้ ๆ อยู่ไม่นานรอยก็จางจนจนแทบมองไม่เห็นแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่เด่นจนน่าเกลียดละวะ


“ถ้าแม่เห็นต้องว่าแน่ ๆ เลย” เสียงบ่นพึมพำของหนุ่มรุ่นน้องทำเอาผมชะงักมือ


“แม่มึงดุรึไง”


“ไม่หรอกครับ แม่ผมน่ะใจดีจะตาย แค่เจ้าระเบียบน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลอะ ๆ ซน ๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกครับ”


“หึ ลูกแหง่”


“เขาเรียกว่าแม่รักแม่ห่วงครับผม” ไอ้ตัวปัญหายิ้มกว้าง มันดูภูมิใจในตัวแม่มันมากจนผมชักหมั่นไส้ “เสร็จแล้ว! มาก็ช้าแล้วยังเดือดร้อนคนอื่นอีก” ผมปล่อยมือจากเสื้อมันแล้วหันหลังเดินออกไปทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินมันบ่นว่าผมเป็นอะไร


สิ่งที่ยืนยันความเป็นไข่ในหินของไอ้เด็กรักได้อีกหนึ่งอย่างคืออาหารคาวหวานสารพัดอย่างที่ถูกจัดเป็นชุดพอดีคนถูกนำมาส่งก่อนจบการประชุมครึ่งชั่วโมงโดยทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือการทำอาหารของแม่มันเองและมักจะเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้ง


“อ้าวพี่ศร ไม่กินเหรอครับ นี่ของพี่นะ” ไอ้เด็กรักเรียกรั้งไว้ตอนที่ผมคว้ากระเป๋าตัวเองไว้แล้วกำลังจะบอกลาทุกคน


“ไม่อ่ะ ขอบใจ...ไปนะทุกคน กูไปก่อนนะไอ้หนึ่ง” ผมไม่เปิดโอกาสให้มันเซ้าซี้ เห็นแวบหนึ่งว่ามันหน้าจ๋อยลงไปเลยอดไม่ได้ที่จะเดินกลับเข้าไปหาแล้วยื่นมือออกไปขยี้ผมมันจนยุ่งเหยิง


“ฝากผมทรงนี้ไปแทนคำขอบคุณแม่มึงด้วยละกัน”


แม้จะรู้ว่าถ้ากลับบ้านไปผมทรงนี้อาจโดนแม่ดุแต่มันก็ยังยิ้ม...ยิ้มเหมือนคนบ้า


นั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนเดินออกจากห้องชมรม









“รอนานยังวะ” ผมถามไอ้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยทันทีที่เข้ามานั่งเบาะข้างกันแล้ว


ไอ้โอมตวัดตามามองอย่างขุ่นเคือง “ถ้าจับเวลาตั้งแต่ที่เห็นมึงลงจากตึกแล้วก็นานมาก” มันตอบเสียงเรียบแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันเคืองเรื่องอะไร เป็นธรรมดาที่คนอัธยาศัยดีอย่างผมเดินไปไหนมาไหนแล้วจะมีคนเข้ามาทักเข้ามาชวนคุย นี่ถือว่าทำเวลาดีมากแล้วเหอะ คุยกันแต่พองามตามมารยาทเท่านั้นจริง ๆ


ไอ้โอมยังไม่ยอมออกรถ มันนั่งกระฟัดกระเฟียดหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับจะปรับอารมณ์ตัวเองให้ลงมาอยู่ระดับปกติให้ได้ก่อน เห็นทีว่าผมคงต้องช่วยเร่งให้มันลงเร็วขึ้นเสียหน่อยเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ขืนออกช้ากว่านี้มีหวังติดแหงกตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นรั้วมหา’ลัย


ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปโบกรัวมือเหมือนเชียร์หลีดตรงหน้าไอ้คนหน้านิ่ง “โอ๋เอ๋หน่าโอ๋เอ๋ อย่าหงุดหงิดกูเลยนะ นี่กูปฏิเสธทุกคนเลยนะเนี่ย ไม่มีใครพิเศษกับกูเท่ามึงหรอกครับโอมอิน”


นิ่ง...หน้ามันยังนิ่ง แต่ผมว่าผมเห็นแวบ ๆ นะว่ามุมปากมันกระตุกยิ้มนิดหน่อยเหมือนแววตาของมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเก๊กนิ่ง คงหวังให้กูง้ออีกสินะเชี่ยโอม


เห็นอย่างนั้นผมก็แกล้งฟึดฟัดดึงมือกลับมาแล้วหันหน้ามองตรงบ้าง “อย่าให้กูง้อเยอะได้ไหมวะ เกรงใจร่างควาย ๆ ของกูบ้าง” ง้อทีหน่อมแน้มฉิบหาย เห็นแล้วอายตัวเองเป็นบ้า


“ถ้าไม่อยากง้อบ่อยก็อย่าทำให้กูไม่พอใจอีก” ไอ้โอมวางมือแหมะลงบนหัวผมแล้วโยกเบา ๆ ไอ้นี่นับวันยิ่งเอาใหญ่ ทำอะไรไม่ดูสารร่าง ตัวเท่าควายกันทั้งคู่ ใช่ว่าผมจะตัวเล็กกระทัดรัดเหมือนพวกหนุ่มน้อยฟลาวเวอร์บอยเสียที่ไหน คิดว่าทำแบบนี้แล้วดูน่ารักหรือยังไง เห้ย! แล้วนี่ตกลงใครเป็นฝ่ายง้อกันแน่วะ กูชักงง






การจราจรไม่ทำร้ายเรามากนัก แค่ยี่สิบนาทีเราก็มาถึงห้างใกล้คอนโดแล้ว สถานที่แรกที่เราพุ่งเป้าไปหาคือร้านอาหาร แต่วันนี้ไม่ได้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเพราะไอ้คนข้าง ๆ หิวเกินกว่าจะกินของแบบนั้นอิ่ม ความจริงกินให้อิ่มน่ะมันก็อิ่มอยู่นะ แต่ก็แค่อิ่มท้อง ความรู้สึกมันไม่อิ่มด้วย เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องตามใจผมมาก แต่มันก็เอาแต่พูดว่าไม่ได้ตามใจผม มันแค่ตามใจตัวเองที่อยากเห็นผมมีความสุข


...เออ เรื่องของมึง...


ผมพูดได้แค่นั้นแล้วเดินหนีเสียทุกครั้ง


“วันนี้ไม่อยากเห็นกูมีความสุขเหรอวะ” ผมแกล้งแหย่มันเล่น จริง ๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเลือกจะกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของโปรดผมและผมก็มักจะแหย่มันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่วันนี้ต้องทำตัว alert หน่อยเพราะมีคดีติดตัวอยู่


“ไม่!” มันตอบเสียงเรียบทว่าหนักแน่น “กูจะทำโทษมึง” พูดจบมันก็ชิงเดินหนีไปร้านบุฟเฟ่ต์ที่มันอยากกินก่อนเลย ส่วนผมก็ได้แต่ร้องต่อว่ามันตามหลังไปเท่านั้น


“ใจร้ายจังวะ”







รู้สึกดีที่มันไม่ได้ปั้นปึงหรือทำหน้าบึ้งใส่ผมตลอดมื้ออาหาร นั่นทำให้ผมเบาใจว่ามันคงแค่อยากแกล้งผมเล่นเท่านั้น ไม่ได้คิดโกรธเคืองกันจริง ๆ บางทีมันอาจจะใจอ่อนตั้งแต่ตอนที่ผมง้อแล้วด้วยซ้ำ


ก่อนไปหาซื้อของสดตุนไว้ที่ห้อง ผมกับมันแวะร้านหนังสือกันก่อน เราต่างก็มีเป้าหมาย ผมมาหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการแพทย์ไปศึกษาเผื่อจะเกิดไอเดียโปรเจคจบขึ้นมาได้


เดินอยู่สิบนาทีก็ได้หนังสือหนึ่งเล่มกับนิตยสารหัวการแพทย์เล่มเดิม ๆ ที่ซื้อประจำมาอีกหนึ่งเล่มแล้วเดินไปต่อแถวหลังไอ้โอมที่คงซื้อหนังสือนิยายหรือพวกปรัชญาเอาไปสร้างแรงบันดาลใจอีกอย่างเคย


“อุ๊ยพี่โอม สวัสดีค่ะ” ผมแสร้งมองตรงไปข้างหน้าแต่แอบมองสำรวจเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ยกมือไหว้ทักทายมันหลังเจ้าตัวจ่ายเงินเสร็จแล้วหันหลังมาเจอมันยืนต่อแถวเดียวกันอยู่


“อ้าวรดา มากับใครครับ” หือ...สุภาพเชียวนะมึง


“รดามากับคุณแม่ค่ะ” เจ้าตัวพูดบอกไม่ทันไรก็รีบบอกว่าคุณแม่โทร.ตามแล้ว เธอยกมือไหว้ไอ้โอมที่แม้จะรีบเร่งอย่างไรแต่กิริยามารยาทก็ยังคงงดงาม


“ใครวะ เรียบร้อยจัง ดูเป็นผู้ดีตีนแดงชะมัด” ผมยังคงมองตามเด็กสาวคนนี้ไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก


“แม่เขาสอนมาดี” ผมตวัดตามองมัน


“มึงเองก็ดูเป็นผู้ดีนะ ถ้าไม่พูดคำหยาบ แม่มึงก็สอนมาดีเหมือนกัน”


ผมชะงัก รีบถามซ้ำกลับไปก่อนที่มันจะหลุดคำเรียกว่าคุณชายออกมาอีก “แล้วตกลงว่าใคร?”


“เพื่อนสนิทน้องสาวคนเล็ก...เดี๋ยวนะ ถามแบบนี้คือหึงกูหรือว่าสนใจเธอ” ไอ้โอมถามเสียงแข็ง ตาที่มองมาก็เขียวปั๊ด ผมจึงกระทุ้งศอกใส่มันไปหนึ่งที


“หึง พอใจไหม” ต่อให้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ขนาดไหนก็ดูรู้ว่าชอบไอ้โอมแน่ ๆ ยิ่งใส ๆ แบบนี้ยิ่งชัดเจนด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้หึงมันหรอก คนอื่นอยากจะมองมันหวานชื่นแค่ไหนก็มองไป ตราบใดที่มันยังใช้สายตาแบบเดียวกันนั้นแค่กับผมคนเดียว ผมก็ไม่จำเป็นต้องหึงหรือไม่พอใจอะไรมัน


“กูหลงมึงคนเดียวหน่าเมีย” อย่าคิดว่าผมจะเขิน ไม่กระทืบมันตายตรงนี้ก็บุญหัวมันมากแล้ว ใครใช้ให้มันพูดแบบนี้ในที่สาธารณะ ถึงจะเบามากราวกับกระซิบก็เถอะนะ


ผมทุบไหล่มันแรง ๆ หนึ่งที ทั้งเป็นการประทุษร้ายและเป็นสัญญาณให้มันเดินขึ้นหน้าไปจ่ายเงิน ไอ้โอมยิ้มได้น่าหมั่นไส้ ก่อนดึงหนังสือในมือผมไปวางบนเคาน์เตอร์เพื่อคิดเงินรวมกัน


ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่พวกเราจะผลัดกันจ่าย แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ไอ้โอมมักจะออกให้เสมอ มันดูแลผมดีแบบไม่บกพร่องสักนิด เป็นผมเองเสียอีกที่หาเรื่องมากวนใจมันไม่เว้นแต่ละวัน


...และเป็นมันอีกเช่นกันที่เดินเลือกซื้อของสด


ผมเลือกของพวกนี้เป็นเสียที่ไหน ยอมรับว่าจุดนี้ตัวเองคุณชายพอสมควร แต่ก็เป็นธรรมชาติของผู้ชายไม่ใช่เหรอที่จะไม่รู้เรื่องการเลือกซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ ไอ้โอมสิอัจฉริยะเกินชาย เลือกเป็นทุกอย่าง ถ้าไม่มีป้ายปักไว้ผมยังไม่รู้เลยว่าเนื้อแต่ละอย่างมาจากส่วนไหนของหมู สันคอ สันนอก สันในอะไรดูยุ่งยากไปหมด ผมว่ารู้แค่ว่าติดมันหรือไม่ติด สามชั้นหรือเนื้อแดงก็น่าจะพอแล้วนะ


ผมปล่อยให้มันเลือกของสด ส่วนตัวเองเข็นรถตาม เออ...จริง ๆ หน้าที่กูต้องเป็นหน้าที่ผัวไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูเป็นเมียอ่ะ


“ตกลงมึงจะลีนไหม กูจะได้ซื้ออกไก่ไปทำให้” มันที่เดินห่างออกไปตอนไหนไม่รู้หันมาถาม ผมเคยบอกมันว่าจะกลับมากินคลีนสร้างกล้ามเนื้อสักหน่อย ซึ่งมันก็เสนอตัวว่าจะต้มอกไก่ให้ผมไปกินมื้อกลางวันทุกวัน


ผมเข็นรถเข้าไปใกล้มันที่กระบะเนื้อไก่ “มึงว่ากูไอเอฟดีไหมวะ” ผมหมายถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารรูปแบบหนึ่ง มีทั้งช่วงที่กินและช่วงที่อด ซึ่งอดนานถึง 16 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยทำไปพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการหนึ่งที่เริ่มฮิตในหมู่คนที่ต้องการลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้อ


ไอ้โอมยื่นมือมาเขกหน้าผากผมไม่แรงนัก “มึงอ้วนนักเหรอวะ จะอดอาหารทำไม มึงต้องใช้สมองเยอะนะ ถ้าอยากเบิร์นออกให้บอกกูนี่ เดี๋ยวทำให้”


“สัด!” สาระไม่เคยมีหรอกมันน่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ‘ทำให้’ ที่ว่าน่ะคือวิธีการไหน


สายตาแพรวพราวพร้อมรอยยิ้มมุมปากของมันทำให้ผมต้องรีบผลักมันให้เดินต่อไปก่อนที่มันจะเล่นพิเรนทร์อะไรแถวนี้ขึ้นมาจริง ๆ


“หึ เขิน ๆ แล้วตกลงจะเอาไหมอกไก่อ่ะ”


“เอาสิวะ!”







ผ่านไปหลายวันทีเดียวกว่าผมจะนึกออกว่ายังไม่ได้บอกมันเรื่องที่ผมมีเรียนเสริมในวันเสาร์ มานึกได้ตอนที่ดูหนังด้วยกันในห้องนั่งเล่นของเย็นวันหนึ่ง


เรานั่งกันคนละมุมของโซฟา ต่างก็เหยียดขาพาดบนเก้าอี้นุนวมอีกตัวที่ถูกเลื่อนมาแทนที่โต๊ะเล็ก ผมเหลือบมองมันทางหางตา หาจังหวะจะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่กล้า จนแล้วจนรอดก็ตัดสินใจยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขามัน ผมเห็นไอ้โอมเหลือบมามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรือเลื่อนขาหนีแต่อย่างใด


“วันเสาร์นี้กูมีเรียน” ผมพูดขึ้นลอย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าเสียงที่เปล่งออกไปจะดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน


ผมหันไปมองมันเต็มตาเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายมองมาก่อนแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นแทนคำถาม


“อาจารย์เพิ่มคลาส”


“...”


“มึง...กลับบ้านใช่ป่ะ” หนังฉายถึงไหนแล้ววะ หรือว่าจอดับไปแล้ว ทำไมรอบข้างกูไม่มีเสียงอะไรเลย


“...”


“กู...”


“มึงเลิกเรียนกี่โมง”


ผมนิ่งเงียบ มองมันอย่างประเมิณ “เที่ยง”


“ไปไหนต่อ”


“ถ้าไม่ไปห้องสมุดก็คงกลับมาห้อง” ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว โปรเจคก็เร่งหนังสือก็ต้องอ่าน


“รีบกลับมา”


“มึงไม่...”


“กูจะรอ”


อ่า...วาเลนไทน์ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้งว่ะ







พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 6
-------------------------------------------
ไทม์ไลน์จะล้อกับ 'หากันจนเจอ' นะคะ
เพราะจุดเริ่มเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันงานแสดงสารนิพนธ์ของเอกฟิล์ม
เรื่องนี้คนเยอะนิดนึงค่ะ ธรรมศรของเราเขาเป็นคนกว้างขวาง

หายไปนาน 2 เดือน เพราะตั้งใจแต่งคุณดีนให้จบก่อน ตอนนี้จบแล้ว ตอนพิเศษจะตามมาเร็วๆนี้นะคะ
หวังว่าทุกคนยังไม่ลืมเรื่องนี้กันนะคะ ฮ่าาา

#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
โง้ยยยยยคิดถึงคู่นี้มากเลยค่าาา และยังคงหวาดระแวงเช่นกัน กลัวดราม่าเหลือเกิน วาเลนไทน์นี้คงไม่มีคนที่นอนแกร่วคนเดียวที่ห้องเนอะะ :ling3:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เราคิดถึงเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกเลย
รอทีท่าน้ำทุกวันว่าโอมอินกับศรจะมาเมือไหร่ ในที่สุดก็มา เย่ๆ

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :hao7: :hao7:
คิดถึงคู่นี้มากกกกกกกกกกกก
จริงๆแล้วธรรมศรก็เขินโอมอินใช่ไหมล่ะ แต่กลบเกลื่อนด้วยการทำร้ายร่างกายตลอดเลย

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดีจัง ชอบมากเลยค่ะ เป็นเรื่องแรกเลยที่รออ่านแบบตอนต่อตอน งื้อออ สู้ ๆ นะคะไรต์ :mew1:

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」



Follow up ครั้งที่ 6
---DharmaSORN---











“ผมหวังว่าพวกคุณจะเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้นนะ”


ประโยคสุดท้ายของอาจารย์ประจำภาควิชาไฟฟ้าดังขึ้นในตอนที่นาฬิกาบอกเวลาเลยเที่ยงตรงไปเกือบสี่สิบนาที


“กูไปนะ” คนที่เก็บของรอตั้งนานแล้วอย่างผมรีบลุกจากเก้าอี้พร้อมบอกลาเพื่อนอย่างไวแต่กลับถูกดักทางไว้ด้วยเพื่อนต่างภาคอย่างไอ้ดล


“รีบไปไหนวะ ไปแดกข้าวกันก่อนดิ”


“กูรีบ โทษทีว่ะ” ...ไอ้โอมรอกูอยู่


“เห้ย!” ไอ้ดลล็อคไหล่ผมไว้ไม่ให้เดินผ่านไปได้ง่าย ๆ “แล้วคืนนี้อ่ะ”


“คงไม่”


ผมไม่เปิดโอกาสให้มันรั้งผมไว้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง รีบอวยพรให้พวกมันสนุกกับปาร์ตี้แล้วออกมาโดยเร็ว







ไอ้โอมกลับบ้านไปก่อนที่ผมจะตื่นเมื่อเช้านี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันจะต้องรีบกลับมาคอนโดในตอนเที่ยงด้วยทั้งที่ปกติมันต้องใช้เวลากับครอบครัวในสุดสัปดาห์


ผมกลับเข้ามาในห้อง เห็นรองเท้าของใครอีกคนวางอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่ามันกลับมารอผมจริง ๆ ร่างควาย ๆ ของมันนอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นตรงมุมโปรดของเรา แต่ที่ทำให้ผมชะงักคือบนโต๊ะตัวเตี้ยมีดอกกุหลาบสีแดงสดวางอยู่หนึ่งดอก ผมหยิบขึ้นมาถือไว้ คบกันมาเข้าเดือนที่สี่ไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้ หรือเพราะว่าวันนี้คือวันวาเลนไทน์เหรอ


วาเลนไทน์มันพิเศษกว่าทุกวันจริง ๆ สินะ


“รับไปแล้วก็จุมพิตเจ้าชายด้วย” มันพูดทั้งที่ยังหลับตา


“นี่มันนิทานเรื่องไหน” เจ้าชายนอนไหลตายเหมือนสโนวไวท์มีด้วยเหรอวะ


“เรื่องของกูกับมึงเนี่ยแหละ” ไอ้โอมลืมตาขึ้นมามองผมตรง ๆ ตาของมันดำลึกชวนให้ผมลุ่มหลงทุกครั้งที่ได้มองจริง ๆ


“แล้วนี่อะไร” ผมไกวดอกกุหลาบในมือให้รู้ว่าหมายถึงมัน “ซื้อมาให้กูเหรอ” ดูไม่ใช่มันเลยแหะ


“ก็แค่ช่วยให้เด็กมันได้กลับบ้านเร็วขึ้น”


“โกหกแล้วจะได้โล่เหรอวะ”


“ถ้าพูดความจริงแล้วกูจะได้อะไร”


ผมไหวไหล่ ไม่ตอบแต่ปัดปลายเท้ามันออกเพื่อที่ผมจะได้นั่งด้วย มือข้างหนึ่งก็ยังถือดอกกุหลาบไว้ “ก็ถ้านี่คือของขวัญวันวาเลนไทน์ มึงก็จะได้ของขวัญจากกูเหมือนกันไง”


ผมจ้องตามัน วัดใจครับพูดเลย


โอมถอนหายใจหนัก “เออ ๆ กูตั้งใจซื้อมาให้ สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”


“หึ ขอบใจ กูชอบนะ”


เห็นหน้ามันเขินจนแทบจะหันหนีไปซุกกับพนักโซฟาแล้วอยากจะหัวเราะลั่น ตัวมันอย่างกับควาย ทำแบบนั้นดูน่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักนะ


“แล้วไหนของขวัญกูอ่ะ” มันกลบเกลื่อนความเขินด้วยการโวยวายเสียงขุ่น


ผมยิ้มกริ่มอย่างที่มันเคยบอกว่าดูเซ็กซี่นิด ๆ ก่อนจะกระโจนตัวอย่างเร็วเพื่อคล่อมร่างมันเอาไว้ ตัวของเราไม่ได้แนบชิดกันเพราะผมค้ำยันเบาะเอาไว้เว้นระยะห่างให้พอมองหน้าได้ชัดและพูดคุยกันรู้เรื่อง


ไอ้โอมยิ้มยั่ว ในหัวสมองมันตอนนี้คงคิดอยู่แต่เรื่องใต้สะดือ ผมยิ้มตอบ เป็นยิ้มที่คิดว่าน่าจะปั้นได้หวานที่สุดเท่าที่โครงสร้างริมฝีปากของผมจะเอื้ออำนวย ซึ่งก็คงจะหวานพอดูเพราะคนใต้ร่างอึ้งไปเสียพักใหญ่


“ของขวัญมึงนี่เดาทางง่ายไปไหม”


“หึ” ผมวางดอกไม้ในมือกลับที่เดิมก่อนทิ้งตัวลงกดทับมัน เอาหน้าซุกลงกับซอกคอ สองแขนกอดร่างของมันไว้แน่นแล้วค้างไว้อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าผมยังไม่เริ่มทำอะไรสักทีหรือเพราะว่ามันเริ่มรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ร่างของมันถึงได้ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผมโดยไร้เสียงโวยวาย


ผมปล่อยให้ร่างข้างใต้ดิ้นไปมาอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก่อนจะหยุดมันด้วยจูบเดียวที่หลังกกหู ไอ้โอมนิ่งค้าง ร่างกายแข็งเหมือนได้กลายเป็นหินไปแล้ว มีเพียงจังหวะหายใจหนักหน่วงที่บ่งบอกว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ผมฉวยโอกาสนี้คล้องบางอย่างเข้ากับคอมันซึ่งผมแอบล้วงในกระเป๋ากางเกงมากำไว้ในตอนที่ดิ้นแข่งกับมัน


ผมดึงตัวขึ้นออกห่างแต่ยังคร่อมมันไว้ มองสร้อยพันเกลียวทองคำขาวมีจี้เป็นสัญลักษณ์คณะวิศวะที่คล้องคอมันอยู่ด้วยความอุ่นใจ ไอ้โอมเองก็ดูตกใจไม่น้อยเหมือนกัน มันหยิบจี้ขึ้นมามองดูก่อนจะหันมองผมด้วยความไม่เข้าใจ


“ใจกูไม่ได้อยู่ที่เกียร์หรอกนะ...” พวกวิศวะเขาชอบพูดกันรุ่นสู่รุ่นว่าใจอยู่ที่เกียร์ ถ้าให้เกียร์กับใครก็ให้ใจกับคนนั้น แต่สำหรับผม มันไม่ใช่...


“...”


“...กูให้มึงใส่ไว้เพื่อจองจำหัวใจมึงไว้กับกูต่างหาก”


ถ้ากูเป็นเครื่องกล มึงก็เป็นฟันเฟืองหลักที่ทำให้ชีวิตกูเดินต่อไปได้


ไอ้โอมหน้านิ่ง เรียบตึงจนผมใจหาย ท่าทีของมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่า หรือกูคิดไกลไปฝ่ายเดียว


“แบบนี้ไม่แฟร์ มึงมีแต่ได้กับได้”


ผมกลั้นยิ้ม ไม่เผยให้มันรู้ว่าดีใจขนาดไหนที่มันก็ดูจะพอใจกับของขวัญชิ้นนี้ “ก็กูรู้ไงว่ามึงจะ‘เอา’อะไร”


พูดจบมองตาสองสามวินาทีผมก็ทิ้งตัวลงทับมันอีกครั้ง ริมฝีปากแนบลงกับตำแหน่งเดียวกันกับของมันบดขยี้และดูดดึงด้วยความร้อนแรงที่นับวันจะยิ่งติดไวเพียงแค่จูบเดียว




เสร็จกิจประจำวันแห่งความรักไปสามรอบไอ้โอมก็รีบแต่งตัวกลับไปนอนบ้านตามที่บอกแม่เอาไว้ ผมเซ็งนิดหน่อยเพราะคิดว่ามันจะอยู่ด้วยทั้งคืน คนอุตส่าห์ปฏิเสธปาร์ตี้กับเพื่อนเพื่อมาอยู่กับมันแท้ ๆ และหน้าผมก็คงแสดงอารมณ์ออกมาชัด ไอ้คุณแฟนตัวโตของผมถึงได้เดินเข้ามาจูบปากทิ้งท้ายก่อนออกไป ไม่วายยังบอกอีกด้วยว่าในตู้เย็นมีกับข้าวอยู่ให้อุ่นทานด้วย


ผมนอนหงายลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ เห็นเวลาแวบ ๆ ตอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ถามสถานที่จัดปาร์ตี้จากไอ้หนึ่งว่าตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว


‘อย่าลืมนะเว้ย คนโสดสีขาว มีคู่สีดำ’


ผมยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแบบ walk-in closet ทั้งตู้มีเสื้ออยู่ไม่กี่สี ส่วนใหญ่ผมจะใส่อยู่แค่ดำ ขาว กรม คำบอกกล่าวเกี่ยวกับธีมในคืนนี้ยังดังก้องอยู่ในหัว ตัดสินใจชั่ววินาทีคว้าเอาเชิ้ตมาหนึ่งตัวเพื่อสวมใส่แล้วรีบออกจากห้องไปโดยเร็ว


“วาเลนไทน์มันก็เหมือนเดิมทุกปีแหละวะ”


แค่วันธรรมดา…ไม่ได้พิเศษอะไร





แสงสีที่คุ้นเคย บรรยากาศที่คุ้นชินไม่ได้ทำให้ผมกระชุ่มกระชวยขึ้นเลยสักนิด แต่ไหน ๆ ก็เสนอหน้ามาตามคำชวนเพื่อนทั้งทีจะนั่งทำหน้าบึ้งเพราะแฟนเทก็ใช่เรื่อง


ผมเดินไปทักทายเพื่อนภาควิชาเดียวกับไอ้ทัช ยิ้มรับคำแซ็วเรื่องสีเสื้อเล็กน้อยก่อนเดินไปชั้นสองเพื่อนั่งรวมกลุ่มกับไอ้กอล์ฟไอ้หนึ่งและไอ้เมฆกับไอ้ฟาที่ออกไปเริงร่ากับผู้หญิงโต๊ะอื่นอยู่นานมากแล้วตามคำให้การของไอ้กอล์ฟ


“โดนเทมารึไงมึง” ไอ้หนึ่งถามยิ้ม ๆ มันคงเป็นห่วงผมอยู่หรอก แต่ความสะใจคงมีมากกว่า


“คนเยอะดีนี่หว่า” ผมไม่ตอบคำถามมันแต่เบี่ยงประเด็นออกไปซึ่งไอ้หนึ่งก็ทำได้แค่เลิกเซ้าซี้เพราะแค่นี้มันก็คงได้คำตอบแล้ว


อย่างน้อยสีเสื้อของผมก็ตอบมันได้


ผมรับแก้วที่มีสูตรเหล้าแบบถูกปากจากไอ้กอล์ฟแล้วนั่งมองกวาดตาไปทั่วร้าน บรรยากาศคึกคักชวนสนุกจนความขุ่นมัวในใจผมเริ่มจางหาย


แต่มันไม่หาย...ไม่มีทางหาย


ผมเคยอยู๋ได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกใคร ไม่เคยปล่อยให้ใครมามีอิทธิพลเหนือตัวเอง ตั้งแต่เปิดรับไอ้โอมเข้ามาในชีวิต เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าตัวเองเอาชีวิตไปผูกกับผู้ชายคนนั้นมากเกินไปแล้ว การกระทำของมันในวันนี้ทำให้ผมอยากออกมาเที่ยวและไม่อยากเที่ยวในคราวเเดียวกัน เป็นความรู้สึกที่อยากออกไปให้พ้นจากสถานที่เดิม ๆ แต่ก็ไม่อยากออกไปไหน


ผมถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา ไม่คิดว่าจะมีใครได้ยินแต่พอเห็นว่าเพื่อนอีกสองคนมองมาที่ผมกันเป็นตาเดียวก็ต้องยอมรับว่าตัวเองคงอาการหนักมากจริง ๆ


“มึงรักมันเข้าให้แล้ว” ไอ้กอล์ฟแสดงความเห็น


“มึงกำลังขาดมันไม่ได้” ไอ้หนึ่งเสริม


“อย่าปฏิเสธพวกกู พวกกูคบกับมึงมาตั้งกี่ปี มีเรื่องไหนของมึงที่พวกกูไม่รู้เหรอ ไอ้ทัชที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อยู่กับมึงยังรู้เลยว่ามึงรักไอ้โอมตั้งนานแล้ว”


“กูลงไปเต้นกับพวกมันนะ”



ถ้าผมไม่ตัดบทแล้วรีบหนีออกมาคงได้ฟังสิ่งที่ตอกย้ำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเองอีกแน่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากรักมัน แต่ก็นั่นแหละ...ผมไม่อยากรักมันจริง ๆ


ฝังดูสับสน แต่ผมไม่อยากรักใครทั้งนั้น ไม่อยากยึดติดตัวเองกับใคร เพราะตอนเขาไป...มันเจ็บ




ผมทำตัวเองให้สนุกสนาน ทำตัวเองให้มีอารมณ์ร่วมไปกับผู้คนรอบข้างที่เบียดเสียดเข้ามาชิดใกล้ ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงเสนาะหู ดีดดิ้นสีคนนั้นคนนี้ไปตามท่วงทำนองและอารมณ์ ปล่อยความคิดให้ลอยล่องไปตามทิศทางของมัน เลิกจับสังเกตเลิกตามมันสักพักจนสุดท้ายผมก็พบว่าตัวเองกำลังมีความสุข


มีความสุขเหมือนก่อนหน้าที่ได้รู้จักใครคนนั้น


อ่า...ผมคิดถึงมันอีกแล้วสินะ


“มึง!”


คิดถึงมากจนถึงกับได้ยินเสียงของมันเลยเหรอ


ผมยังคงเต้นต่อไปไม่สนใจเสียงนั้นแต่จนแล้วจนรอดผมก็ต้องหันไปมองเจ้าของเสียงเพราะแรงกระชากที่ไหล่


“โสดเหรอ?”


ใช่ครับ


ผมใส่เสื้อสีขาว







พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 7
-------------------------------------------
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์



ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
ได้กลิ่นมาม่า หวั่นใจกับการหึงครั้งนี้

พี่โอมคนหลงเมีย หลงไปหมดทุกอย่าง
หวังว่าพี่โอมจะเป็นยาบรรเทาอาการให้แฟนสุดหล่อได้นะ

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
กรี๊ดดดดดดดดดดดด มาแล้ววววววววว
นั่นใครกระชากไหล่ศร โอมอินใช่หรือไม่

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฮือออ กลิ่นดราม่า นั่นใช่โอมอินรึเปล่า  :ling1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รักศรจัง ไม่รู้ทำไมหลงตัวละครตัวนี้มากขนาดนี้

ออฟไลน์ ygff0429

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ทำไมทำแบบต้องปะชดแบบนี้

ออฟไลน์ KL1007

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
งืออออออ คิดถึงโอบอินและธรรมศรจังงงงงงง
ต้มมาม่ารอไว้นานแล้ววว รอดราม่า???(มั้ย) รัวๆ

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ลังเลอยู่นานว่าจะกดเข้ามาอ่านดีไหม  แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ  แล้วตอนล่าสุดที่ตัดจบแบบนี้ก็ทำให้ค้างอย่างรุนแรง  สนุกดีค่ะสำหรับ โรคประจำใจ คนละอารมณ์กับ  หากันจนเจอ เรื่องนี้ส่อเค้าความเป็นดราม่าถึงจะยังไม่หนักแต่ก็เริ่มชัดขึ้นจนเราคิดว่าคงได้ปวดตับจนใจหน่วงๆเป็นแน่  แต่จะพยายามเชื่อที่คุณคนเขียนบอกว่า เป็นรักใสๆวัยรุ่นวุ่นรัก?ก็แล้วกันนะคะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 7
---DharmaSORN---








ผมค้นพบว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด


ไม่สิ!


ความจริงแล้วผมไม่ได้คิดถึงโอมอินมากจนถึงกับหูฝาดไปเองต่างหาก


เพราะคนที่ยืนมองผมด้วยสายตาโกรธเคืองอยู่ตรงหน้านี่คือโอมอินตัวจริง


...และก็คงจะโกรธจริงเหมือนกัน


อีกฝ่ายไล่สายตาขึ้นลงมองเสื้อผ้าผมแล้วพูดเสียงเย็นออกมา “โสดเหรอมึงน่ะ”


ร่างขนาดใกล้เคียงกันที่ยืนอยู่ตรงข้ามผมอยู่ในชุดที่ไม่ต่างกันนัก เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ ที่ไม่เหมือนคงมีแค่สีที่บ่งบอกถึงการ ‘มีเจ้าของแล้ว’ เท่านั้น


อ้อ! เกียร์ตรงคอมันก็ขัดตาจนน่าหงุดหงิดชะมัด


“เสื้อขาวนี่น่ะเหรอ ใส่มาสนุก ๆ งานแบบนี้ใครเขาจริงจัง”


“แต่กูไม่สนุก” หน้าเรียบตึงกับแววตาขุ่นเคืองนี่ใครจะกล้าคิดว่ามันสนุกวะ


“ไปคุยกันข้างนอกไหม” เห็นท่าไม่ดีก็ไม่ควรยืนเถียงกันกลางร้าน ผมไม่รอให้มันตอบตกลง ชิงเดินนำออกไปนอกร้านเสียก่อน


ตลอดทางมีคนเข้ามาทักทายผมตามประสาคนกว้างขวาง โอมอินที่เดินตามหลังส่งเสียงขัดขึ้นมาบ้าง ยิ่งถ้าคนไหนเข้ามาประชิดตัวไม่ว่าจะหญิงหรือชายไอ้โอมจะดึงผมออกทันที บางคนที่รู้เรื่องของผมกับมันก็มีแซ็วเรื่องสีเสื้อบ้าง แต่เพราะหน้าไม่รับแขกของมันเลยทำให้เพื่อนฝูงพากันถอยห่างจากผมในที่สุด


“โอม” ชื่อแม่งโหล แต่ผมว่าเจ้าของชื่อต้องเป็นแฟนของผมแน่ เพราะผมเดินออกมานอกร้านแล้วแต่ฝีเท้าของใครอีกคนกลับทิ้งห่างออกไป


ผมหันกลับไปมอง เรายังยืนห่างกันไม่มากนักเพียงแต่มีผู้ชายเสื้อดำคนหนึ่งยืนคั่นกลางเราไว้


“อ้าวพี่รณณ์ มาเที่ยวกับเขาด้วยเหรอเนี่ย” ผมหรี่ตามอง ท่าทางสองคนนั้นคงสนิทกันไม่น้อย ผมไม่เคยเห็นมันทักทายใครด้วยสีหน้าเป็นมิตรขนาดนี้มาก่อน ขนาดตอนเข้าหาผมมันยังทำหน้านิ่งใส่เลยเถอะ


“อือ มากับเพื่อน”


“แล้วเสื้อดำนี่ยังไงเนี่ย ไหนล่ะเจ้าของพี่”


ให้เดาผู้ชายคนนั้นคงกำลังยิ้มเขินเพราะท่าทางเกาท้ายทอยแก้เก้อนั่นบอกความรู้สึกได้ดี


“ก็เพิ่งไม่โสดวันนี้เนี่ยแหละ”


“เห้ยพี่! เพิ่งมีแฟนวันนี้แล้วทำไมออกมาปาร์ตี้วะ ไม่อยู่กับแฟนอ่ะ”


“นัดกันไว้ก่อนแล้ว พวกมันอยากเที่ยวตามประสาคนโสด กูเลยต้องมาแบบคนโสดที่เพิ่งมีแฟน”


ไอ้บ้านั่นเลิกสนใจผมไปนานแล้ว


ผมยืนมองอยู่นานสองนานเพื่อพบว่าตัวเองไร้ตัวตนในสายตาของมันทั้งที่เราพากันเดินออกจากร้านมาเพื่อคุยกัน


ผมตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้งแต่ถูกรั้งไว้ในตอนที่เดินสวนมัน


ผมบิดแขนออกจากการเกาะกุมของไอ้โอมแทนคำขอให้ปล่อยแต่มันกลับบีบแน่นขึ้น


“ผมขอตัวก่อนนะพี่”


เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ร่างของผมก็ถูกกระชากไปตามแรงอีกฝ่ายจนสุดท้ายก็พากันมายืนหลบมุมอยู่แถวลานจอดรถ เงียบแต่ไม่ปลอดคนเสียทีเดียว


“ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่” ไอ้โอมเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน


“แล้วทำไมมึงถึงมาอยู่ที่นี่” ผมย้อนกลับไปบ้าง


โอมอินสูดหายใจลึกก่อนอธิบายอย่างใจเย็น “พวกมันเซ้าซี้ กูตั้งใจจะออกมาแป๊บเดียว ไลน์ไปบอกมึงแล้วด้วย แต่เห็นไม่อ่านนึกว่าเผลอหลับเลยไม่ได้โทรไปกวน” เพราะอารมณ์ไม่ค่อยดีผมเลยตั้งโหมดห้ามรบกวนไว้ ถ้าไม่โทรมาผมก็จะไม่รับรู้ทุกการติดต่อ “แล้วมึงล่ะ”


“พวกมันก็เซ้าซี้กูเหมือนกัน”


“แล้วไม่คิดจะบอกกูสักนิดเลยรึไง”


“ไม่อยากกวน”


เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปพักหนึ่งก็รู้แล้วว่ามันกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้โมโหผมไปมากกว่านี้ ผมเองก็โมโหไม่น้อย คนอย่างมันมีใครเซ้าซี้อะไรได้ด้วยเหรอ ถ้ามันรำคาญมันก็มักจะปิดเครื่องหนีอยู่แล้ว ที่ออกมาเพราะอยากเที่ยวด้วยก็พูดตามตรงเถอะ “แล้วทำไมต้องใส่เสื้อขาว”


“มีอะไรก็หยิบใส่”


“แต่เสื้อดำมึงมีเต็มตู้”


“ถึงกูจะใส่ขาวก็ใช่ว่าจะเปิดรับคนเข้าหานี่หว่า”


“มึงประชดกู”


“กูจะประชดมึงทำไม”


“เพราะว่ากูทิ้งมึงให้อยู่คนเดียว”


“กูจำเป็นต้องสนใจด้วยเหรอวะ ปกติกูก็ชอบเที่ยวอยู่แล้ว แค่ครั้งนี้อาจจะออกจากห้องง่ายหน่อยเพราะไม่มีมึงอยู่ด้วยก็เท่านั้น” ผมว่าผมไม่ได้ประชดมันนะ ออกจากห้องมาปาร์ตี้เพราะเซ็ง อยากสนุก อะไรใกล้มือก็หยิบใส่ไม่สนใจว่าสีเสื้อจะสื่อถึงอะไร กูประชดตรงไหน


โอมอินนิ่งไปนานจนผมคิดว่ามันคงไม่พูดอะไรต่อแล้ว ผมถอนหายใจทิ้งท้ายอย่างเซ็ง ๆ ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปในร้านแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งไหล่ไว้ “กลับ”


“กลับทำไม เพื่อนรออยู่เยอะแยะ”


“เชี่ยเอ้ย! น่าจะทำรอยที่คอสักจุดสองจุด” ไอ้บ้าโอมบ่นพึมพำในสิ่งที่ทำให้ผมหน้าร้อน


“ถ้าไม่กลับก็ติดกระดุมให้มิดชิด”


“อะไรของมึง” มาเที่ยวผับนะไม่ได้เข้าวัดจะให้ติดกระดุมถึงคอ


“จะทำไม่ทำ ถ้าไม่ทำกูจะกดมึงที่ลานจอดรถนี่แหละ”


มันเอาจริงแน่ สายตามันบอกผมแบบนั้น บ้าเอ้ย! นี่กูคบกับคนบ้าเหรอวะ


“แค่นี้พอ สูงกว่านี้กูอึดอัด” จากที่ปลดสามเม็ดจนเห็นแผงอกผมก็ยังเว้นเหลือไว้สองเม็ดเพื่อให้สบายตัวหน่อย “แล้วก็ไม่ต้องตามไปนั่งกับกูนะ เพื่อนมึงชวนมาก็ไปนั่งกับเพื่อนมึงโน่น”


โอมอินถอนหายใจก่อนออกคำสั่ง “ห้ามเมา”


ผมไม่ตอบแต่เลือกตบบ่ามันสองสามทีก่อนเดินออกมา และยังได้ยินเสียงถอนหายใจไล่หลังตามมาอีกเฮือกใหญ่


ผมรู้ว่ามันกังวลอะไร เราเคยไปดื่มด้วยกันกลุ่มใหญ่เพราะพี่สัมชวนไปฉลองถ่ายหนังสั้นจบ วันนั้นผมเมา...มันคิดว่าผมเมา อะไรหลายอย่างจึงเลยเถิดจนมาถึงทุกวันนี้


ผมกลับขึ้นมานั่งรวมกลุ่มกับเพื่อน ตอนนี้ฟากับเมฆก็กลับมานั่งหน้าสลอนกันอยู่แล้วจึงไม่พ้นโดนพวกมันแซ็วเรื่องสีหน้าอีกจนได้ ผมรู้ว่าตัวเองหน้าบึ้ง แต่ใครจะสน เจอแบบผมแล้วหน้าไม่บึ้งไม่ตึงสิแปลก ผมนั่งเก้าอี้โซฟาตัวนอกสุดของโต๊ะ ใครไปใครมาเลยทักทายผมได้ง่ายสุด นึกแปลกใจที่ผับนี้ไม่ได้ใกล้สถานศึกษาผมเลยสักนิด แต่ทำไมมองไปทางไหนก็เจอแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น หลายคนเข้ามาชนแก้วด้วยผมก็ไม่ขัด บางคนยื่นแก้วเหล้าให้ดื่มผมก็รับไมตรี แต่ถ้าใครเข้ามาแล้วชวนคุยคืนนี้ผมปฏิเสธ


ผมมองลงไปข้างล่างอย่างเซ็ง ๆ เพราะต้องการตัดทุกการทักทายจากคนอื่นเลยได้เห็นว่าโอมอินยืนอยู่โต๊ะผู้ชายคนนั้นที่มันทักทายที่หน้าร้าน ผมมองนานมากจนเห็นมันชนแก้วกับคนกลุ่มนั้นไปหลายแก้วกว่าจะปลีกตัวออกมา ผมมองไล่หลังมันไป ท่ามกลางฝูงชนที่มากราวปลาสวายรุมทึ้งขนมปังแต่ผมกลับไม่หลุดโฟกัสจากมันเลยสักนิด ผมมองตามไปจนพบว่ามันไปรวมกลุ่มกับเพื่อนกลุ่มใหญ่


“เชี่ย!” เสียงอุทานไอ้หนึ่งที่นั่งตรงข้ามดึงความสนใจผมได้จนต้องละสายตาไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น


“หวัดดีครับพี่ ๆ” ไอ้เด็กรักส่งเสียงนำมาก่อนที่เพื่อนอีกสองคนจะทำตาม หนึ่งในนั้นคือน้องไข่มุกที่ไอ้หนึ่งมองอย่างไม่พอใจกับการปรากฎตัวของน้องในที่แบบนี้ ส่วนอีกคนนั่นเพื่อนสนิทของสองคนนี้ที่ผมเห็นหน้าบ่อยครั้งแม้ว่าจะอยู่นอกชมรมก็ตาม เพื่อนผมอีกสามคนก็รู้จักรักกับไข่มุกเพราะพวกมันเคยถูกผมลากไปอออกค่ายด้วยกันอยู่ครั้งหนึ่ง


“อายุถึงเหรอวะมึงน่ะ”


“ผมยี่สิบแล้วนะพี่ แหน่ะ! หลอกถามวันเกิดผมเปล่าเนี่ย” ไอ้เด็กรักพูดหยอกทีเล่นทีจริง


“ประสาท!”


“มากันทำไม” ไอ้หนึ่งถามเสียงเข้ม ไม่เจาะจงว่าใครควรตอบคำถามนั้นแต่สายตามองดุตรงไปที่หญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่ม


“อยากมาปาร์ตี้บ้างตามประสาคนโสดครับพี่”


เพื่อนผมยิ่งอารมณ์พุ่งสูงจนผมต้องรีบเบี่ยงประเด็นไม่ให้น้องเขารู้ตัวไปมากกว่านี้ ไอ้ห่านี่จีบก็ไม่จีบแต่หวงเขาแรงตลอด “มึงมาได้ด้วยเหรอวะ แม่ไม่หวงไง๊ลูกแหง่”


“โหพี่ แม่แค่ห่วงครับไม่ได้หวง ผมโตแล้วนะ”


“มากันป่านนี้จะเหลือโต๊ะให้พวกมึงเหรอวะ” กอล์ฟถามด้วยความเป็นห่วง ก็ถ้าหนึ่งในนี้ไม่มีน้องผู้หญิงมันก็คงไม่ห่วงอะไรนัก


“ไม่มีน่ะสิพี่ โชคดีที่เดินมาเจอพวกพี่ พวกผมขอแฝงตัวด้วยได้ป่ะ”


เวรกรรม


ผมได้แต่พึมพำในใจ น้องมันขอขนาดนี้มีหรือที่ไอ้หนึ่งจะไม่รีบตกปากรับคำ เรื่องอะไรมันจะปล่อยให้น้องไข่มุกไปไกลหูไกลตา จากสีหน้าขมึงตึงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแป้นจนผมต้องเตะเท้ามันใต้โต๊ะให้เก็บอาการเสียบ้าง แล้วยังไงล่ะทีนี้ ที่นั่งเต็ม ไอ้คนแอบชอบไม่กล้าจีบเลยได้แสดงความเป็นสุภาพบุรุษลุกให้เขานั่งแล้วตัวเองยืนข้าง ๆ เสียเอง มองผ่าน ๆ นึกว่ายืนคุมแฟนแจเลยครับ ส่วนข้างกูนี่ก็มีไอ้น้องรักมายืนเกาะแกะวอแวไม่ห่างเหมือนกัน


“ผมนึกว่าพี่มีแฟนแล้วซะอีก ได้ยินพี่ ๆ เขาชอบแซ็วกันบ่อย ๆ” มันถามขึ้น คงเห็นว่าสีเสื้อผมเหมือนของมัน อันที่จริงแล้วก็ขาวกันทั้งโต๊ะ เรียกสายตาสาว ๆ ได้ดีทีเดียว


“ไม่เสือกดิ”


“ใจร้ายว่ะ ผมมองพี่เป็นโรลโมเดลนะเนี่ย อยากเพอร์เฟ็คแบบพี่ว่ะ”


“มึงรู้ได้ไงว่ากูเพอร์เฟ็ค”


“ทั้งภาพลักษณ์ภายนอก ฐานะและมันสมอง พี่มีทุกอย่างครบครัน”


“มึงอยากมีอย่างกูเหรอ”


“ใช่ ๆ ” เด็กนั่นพยักหน้างึกงักดูงี่เง่าสิ้นดีในสายตาผม “ผมก็มีทุกอย่างแล้วนะ แต่ภาพลักษณ์ผมไม่เท่เท่าพี่เท่านั้นเอง บุคลิกไม่ดีเหมือนพี่เลย ดูไม่น่าเชื่อถือ”


“กูไม่เห็นจะอยากมีมันเลย”


“อ้าว แต่ผมอยากนี่”


ผมแค่นหัวเราะหึ “คนเรามีความต้องการไม่เหมือนกันหรอก บางอย่างที่มึงมีกูก็อยากมีบ้าง และเพราะบางอย่างมันไม่มี เมื่อมันขาด เมื่อมันไม่สมบูรณ์ เราจึงต้องทำอีกอย่างให้มันสมบูรณ์ แม้ว่ามันจะทดแทนกันไม่ได้เลยสักนิดก็ตาม”


“นี่ผมโง่อีกแล้วสินะที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พี่พูดอ่ะ”


“เพลงมันอาจจะดังเกินไป”


พูดได้แค่นั้นผมก็หันหน้าหนีเป็นการตัดบทสนทนา ทิวทัศน์ในสายตาผมจึงเปลี่ยนจากหน้าหนุ่มรุ่นน้องเป็นหน้าโอมอินอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีสาวสวยยืนเต้นอยู่ข้างมันด้วย ผมหรี่ตาจ้องคล้ายว่าการทำแบบนี้จะช่วยให้ผมเห็นรายละเอียดจากระยะไกลได้ดีขึ้น


รูปร่างผอมเพรียวในเสื้อสายเดี่ยวรัดรูปสีขาวดันเต้าจนเนินอกล้นทะลัก เรียวขายาวยิ่งดูเรียวยาวเพราะสกินนี่สีดำ มองไกล ๆ ยังรู้สึกเลยว่ามันช่างเย้ายวนใจชายเสียจริง ใบหน้าสวยแต่งแต้มจนดูเฉี่ยว เซ็กซี่จนผู้ชายร้อยทั้งร้อยที่โดนเธอยั่วต้องอดใจไม่ไหวแน่ ๆ พอมองนาน ๆ เข้าผมก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้าเธออย่างบอกไม่ถูก บางทีเราอาจจะเคยเจอกันในสถานที่คล้ายกันนี้มาก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเคยร่วมเตียงกันมาแล้วด้วยซ้ำ


ผมซดเหล้าเข้าปากจนหมดแก้วทั้งที่เพิ่งมีใครสักคนในโต๊ะเติมให้ อย่าว่าแต่มองจากชั้นสองเลย มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าเธอหวังจะเคลมแฟนผม


เสื้อดำไม่ช่วยอะไร!


นี่คือตัวอย่างของวลีที่ว่า ‘ใส่สีไหนก็เหมือนกัน’ ผมใส่เสื้อสีขาว แน่นอนว่ามันทำให้คนกล้าเข้ามาหาเยอะ แต่ถ้าผมไม่เล่นด้วยใครจะทำอะไรได้ และต่อให้ใส่สีดำ นานทีอาจจะมีคนกล้าเข้าหา แต่พนันได้เลยว่าคนที่กล้าจะต้องชอบมันมากแน่ ๆ


“ไงมึง” คำทักทายที่มาพร้อมแขนที่โอบคอผมไว้ทำให้ผมต้องละสายตาจากโอมอินอีกครั้ง “โสดเหรอวะ”


เจ้าของคำพูดคือไอ้ดล เพื่อนจากวิศวะฯไฟฟ้า มันนั่งบนแขนโซฟาข้างขวาผมจึงกลายเป็นดันไอ้น้องรักออกห่างไปโดยปริยาย


“มาสายว่ะมึง” ตอนที่ผมแวะไปหาไอ้ทัชกับเพื่อนในภาคมันผมยังไม่เห็นหน้าไอ้ดลเลย


“เออ ขี้เกียจ” ดลไหวไหล่ก่อนรับแก้วจากไอ้กอล์ฟที่ยื่นให้อย่างรู้งาน


“แล้วทำไมถึงมา”


“เพราะมึงมามั้ง”


ผมขมวดคิ้ว มองกดดันให้ดลขยายความต่อหลังจากที่ดื่มเหล้าเข้าปากแล้ว


“ก็นาน ๆ ทีมึงจะออกมาเที่ยว แถมใส่เสื้อขาวซะด้วย สนใจลงไปสนุกกันที่โต๊ะพวกกูป่ะ”


ผมส่ายหน้า นานทีกูเที่ยวที่ไหน ครั้งล่าสุดไม่กี่สัปดาห์ก่อนก็ไปกับพวกมันมา


“หน่า ไปกับกู” ไอ้ดลกระชับแขนที่โอบคอผมอยู่เพื่อโน้มน้าวให้คล้อยตาม ผมละความสนใจไปหาคนข้างล่างอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยังยืนเต้นอยู่ข้างโอมอินผมก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


“ไอ้สัด!” ผมสบถเบา ๆ ยกเหล้าค้างแก้วของดลซดจนหมดก่อนบอกเพื่อนในกลุ่มว่าจะไปกับเพื่อนต่างภาค


“เห้ยไอ้ศร” ไอ้หนึ่งเป็นคนเรียกผมไว้ ขณะที่กอล์ฟแค่มองมานิ่ง ๆ คนพูดน้อยอย่างมันก็คงอยากจะเรียกเตือนสติผมเหมือนอย่างที่ไอ้หนึ่งทำ เพราะอย่างนี้พวกเราถึงอยู่กันได้ คิดเหมือนกันแต่มีคนหนึ่งที่เป็นกระบอกเสียงให้เสมอ


“มึงดื่มไปเยอะแล้วนะ กลับไหม”


“กูไม่เมาหรอกหน่า ถ้าเมาก็กลับเองได้ หรือไม่ก็ให้พวกแม่งไปส่ง”


“กูยืมตัวเพื่อนมึงแปป” ได้ยินไอ้ดลทิ้งท้ายกับกลุ่มเพื่อนผมก่อนมันจะตามมาโอบคอผมไว้


เพื่อนหลายคนที่รู้จักผมร้องโห่ขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงดังกระหึ่มเพื่อเป็นการต้อนรับผมเข้าวงเหล้า มีเพียงไอ้ทัช เพื่อนสนิทผมเท่านั้นที่มองมานิ่ง ๆ


โต๊ะข้างล่างจะเป็นโต๊ะกลมเล็กเกือบหมดและไม่มีที่นั่ง ต้องยืนล้อมวงกันทั้งคืน มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่อยู่เพียงสองตัววางซ้ายขวาฝั่งละตัว หนึ่งในนั้นเป็นโต๊ะที่พวกมันอวดอย่างภาคภูมิว่าโทรมาจองไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน


“มาแท็กซี่ใช่ไหม เดี๋ยวกูไปส่ง” ไอ้ทัชว่า ผมไม่แปลกใจที่มันรู้ทั้งที่ผมไม่ได้บอก เพราะหนึ่งในเพื่อนเขาคงไลน์มาส่งข่าวให้รู้แล้ว ถ้าให้เดาผมว่าคงเป็นไอ้กอล์ฟ พวกมันจูนกันติดง่ายกว่าคนอื่น


“พวกมึงทำเหมือนกูเป็นเด็ก” ทั้งเพื่อนที่นั่งชั้นสองและไอ้ทัช ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันจะกลัวอะไรกันนักหนาถึงต้องเป็นห่วงอย่างกับผมเป็นผู้หญิงบอบบาง


“มึงไม่ใช่เด็ก แต่เป็นผู้ใหญ่ที่มีแฟนหึงโหดแล้วยังชอบหาเรื่องใส่ตัว”


ผมทำหน้าเหม็นเบื่อ นี่พวกมันคงเล่าด้วยสินะว่าที่ผมยอมออกมาคืนนี้เพราะเซ็งแฟน


“พวกมันไม่ต้องเล่ากูก็เดาได้” ทัชพูดเหมือนอ่านใจผมได้ “ก่อนหน้านี้พวกกูเร้าหรือยังไงมึงก็ปฏิเสธท่าเดียว แต่อยู่ดี ๆ ก็มาโผล่นี่แถมยังใส่เสื้อขาว กูไม่ได้โง่นะเว้ย”


“คร้าบบบ มึงฉลาด ขอชนแก้วกับคนฉลาดให้เป็นมงคลแก่ชีวิตหน่อยครับ”


ไอ้ทัชส่ายหน้าระอาแต่ก็ยอมชนแก้วด้วยกัน หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ดื่มเหล้าโต๊ะนี้แม่งสนุกจริงอย่างที่ไอ้ดลคุยโว ไม่เสียแรงที่ลงมารวมวงด้วย มือชงเหล้าของกลุ่มก็ไม่เคยปล่อยให้แก้วใครว่าง เติมให้ตลอดจนกระดกกันแทบไม่ทัน ผมที่ว่าคอแข็งมากเต้นไปเต้นมายังมีเซเลยครับ


เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่ทันสนใจ เพราะอยู่ข้างล่างแบบนี้มีคนเข้าหามากกว่าตอนนั่งหล่อ ๆ อยู่ข้างบนมากนัก หลายคนเข้ามาเต้นด้วย จงใจเอาเนื้อตัวมาสีกัน แต่ผมเพิกเฉยพวกเธอ ๆ ก็ผละออกไปเอง มีบ้างที่เข้ามาก็จู่โจมโดยการถามชื่อขอไลน์เลย แต่ก็ไม่มีใครได้ไปสักคน เพราะวันนี้ไม่มีอารมณ์สานไมตรีกับใคร และนี่ก็คงจะดึกมากแล้วจริง ๆ เพราะคนที่สถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองผมกำลังโทรตาม


ผมกดตัดสายแล้วเข้าแอปพลิเคชั่นแชท ไม่อยากเดินออกไปรับสายจึงเลือกวิธีการพิมพ์โต้ตอบกันดีกว่า


‘กลับเองได้ ไม่ต้องห่วง’


ผมพิมพ์ส่งไปแค่นั้นก่อนกดออก ไม่อยากจะคาดเดาว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังตามหาผมไปทั่วร้านหรือว่าแท้จริงแล้วยังยืนให้สาวทรงโตคลอเคลียไม่ห่าง


“อยากกลับรึยัง” เสียงพูดขัดความคิดผมดังขึ้นข้างหู แต่เพิ่งรู้ว่าหน้าใกล้กันมากก็ตอนที่หันไปมองที่มาของเสียง ไม่ใช่แค่หน้าใกล้กันแต่ตัวก็ยืนซ้อนกันด้วย ผมผละออกแต่กลับเซ และคงจะล้มได้ง่าย ๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่ช่วยผมไว้ด้วยการรั้งเอว


“เพิ่งรู้ว่าเอวมึงบาง” ไอ้เตอร์ว่า สายตาที่มองมาก็ชักแปลก ไม่รู้เมาหรืออะไรถึงมีท่าทางแปลกชอบกล


“บางเหี้ยอะไร ปล่อยกู” ยังดีที่มันยอมปล่อยง่าย ๆ ผมเลยถอยห่างออกมาอีกหนึ่งก้าว


“เมาแล้วมึงอ่ะ กลับกัน เดี๋ยวกูไปส่ง”


“ไม่เป็นไร กูกลับเองได้” ถึงจะยังไม่เมามากแต่ผมว่าผมกลับเลยดีกว่า หันซ้ายหันขวาหาไอ้ทัชหรือไอ้ดลก็ไม่เจอใครให้ลา


“กูฝากมึงบอกไอ้ทัชกับไอ้ดลด้วยละกันว่ากูจะกลับแล้ว ค่าเหล้าเท่าไหร่ก็ให้มันไลน์ไปบอก เดี๋ยวกูโอนให้” ผมตบไหล่เตอร์สองสามทีแต่ยังไม่ทันเดินผ่านไปมันก็รั้งแขนผมไว้


“ไอ้ทัชฝากมึงไว้กับกู ขืนปล่อยมึงกลับไปเองมันได้เอากูตาย”


“อย่าซีเรียสเว้ยเพื่อน กูไปนะ”


ผมไม่ได้เดินเซมากนัก อาการที่เป็นก็แค่มึน ๆ สะบัดหัวสองถึงสามทีโลกก็สดใสขึ้นได้ อยากไปเข้าห้องน้ำเอาน้ำเมาออกให้พอสร่างเมาสักหน่อยก็กลัวว่าไอ้เตอร์จะตามมาทัน ผมไม่ค่อยอยากกลับไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม ถึงจะสนิทกันมากพอที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันได้แต่ไอ้โอมคงไม่ชอบใจแน่ถ้ารู้ว่าผมให้เตอร์ไปส่งที่คอนโด


เป้าหมายของผมคือจุดเรียกรถแท็กซี่ของร้านที่คนเยอะเป็นหางว่าว


แต่ดูเหมือนว่าผมคงไม่ต้องไปเสียเวลายืนต่อแถวแล้วเพราะมีใครบางคนเดินมายืนขวางทางไว้


“ออกมาเองก็ดี” โอมอินพูดเสียงเรียบ ให้ตายเหอะ! เกือบสามชั่วโมงที่อยู่ในนั้นมันดื่มเหล้าบ้างรึเปล่า ทำไมยังดูปกติไม่มีวี่แววของการเมาเลยสักนิด


“จะกลับแล้วใช่ไหม เดี๋ยวกูไปส่ง”


ผมยืนมองหน้าหล่อ ๆ ของมันนิ่ง ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองอาจจะเมามากกว่าที่คิด โสตประสาทผมอาจจะทำงานบกพร่องถึงได้ยินเสียงพูดนั้นทุ้มนุ่มกว่าปกติ ผิดวิสัยโอมอินมาก ๆ จนไม่น่าเป็นไปได้


ผมเดินตามมันมาถึงรถ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเมา คราวนี้ไม่ใช่พฤติกรรมที่แปลกไปของโอม แต่ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนเอนอยู่เบาะหลัง บางทีกูอาจจะเมา กระจกรถไอ้โอมใสก็จริงแต่มืดแบบนี้ ไม่มีทางที่ผมจะเห็นใครจากนอกรถแน่ ผมอาจจะเมาจริง ๆ


“เธอเมา” โอเค กูไม่ได้เมา แต่เธอเมา ไอ้โอมคงเห็นว่าผมยืนนิ่งไม่ยอมเข้าไปในรถเลยเดาว่าผมเห็นเธอเข้าให้แล้ว


ผมมองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งประตูคนขับ “รู้จักกันเหรอ”


“เปล่า”


“งั้นก็อยากรู้จัก”


ความจริงแล้วกูไม่ควรรีบเดินออกมา กูควรจะเข้าห้องน้ำก่อนจะได้ไม่ออกมาเจอมัน มันก็จะได้พาผู้หญิงคนนี้ไปไหนต่อไหนได้สะดวก ไม่ต้องมีกูมาเป็นภาระให้ต้องทำหน้าที่แฟนที่ดีอย่างนี้


“มีอะไรกันรึเปล่าวะ” ผมหันไปมองเจ้าของเสียง เป็นไอ้เตอร์ที่คงเดินตามผมออกมา ผมรีบเดินไปหามันทันทีอย่างไม่รีรอ


“กูกลับด้วย”


ไอ้เตอร์มองผมงง ๆ สลับกับมองไอ้โอม เตอร์ไม่เคยเจอโอมอิน แต่คิดว่าคงเดาสถานะของมันได้ไม่ยาก


“ใครอนุญาต!” พอรู้ตัวว่าไม่ได้เมา อะไรหลาย ๆ อย่างก็ดูสมจริงขึ้น อย่างเช่นสีหน้าแววตาราวกับยักษ์มารและเส้นเลือดปูดโปนที่ข้างขมับของโอมอิน


“ชีวิตกูไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร”


ไอ้โอมกัดฟันจนสันกรามขึ้นชัด ผมไม่รู้ว่าไอ้เตอร์กลัวรึเปล่า แต่เพื่อนผมทุกคนกลัว ไม่ได้กลัวโอมอิน แต่กลัวสิ่งที่มันจะทำเพราะความโกรธ


“อย่าคิดว่ากูจะยอม...ส่วนมึง ไม่ต้องมายุ่ง กูจะไปส่งแฟนกูเอง”


“ไอ้ศร” ไอ้เตอร์สะกิดเรียก คงเพราะเมาด้วยส่วนหนึ่งผมเลยรู้สึกว่ามือมันสั่นเล็กน้อย


“กลับไปก่อนเถอะ กูดูแลตัวเองได้” ถึงจะไม่อยากกลับไปกับเหี้ยโอมแล้วแต่ผมก็ไม่อยากให้เพื่อนมาเดือดร้อนด้วย


เพื่อนต่างภาคเดินจากไปได้ไม่นานผมก็เริ่มก้าวออกจากตรงนั้นบ้าง


“จะไปไหน”


“กลับ”


“ขึ้นรถ กูไปส่ง”


“ไม่ต้อง” ....มึงไปกับเขาเถอะ


ไอ้โอมถอนหายใจดัง ยืนห่างกันตั้งหลายก้าวแต่ผมยังได้ยิน ดังขนาดไหนอ่ะคิดดูเถอครับ “ขึ้นรถ...มึงกับกูจะไปส่งเขา”







(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4


เพราะผมไม่อยากเผลอหลับบนแท็กซี่ในยามวิกาลหรอกนะเลยยอมขึ้นรถมากับมัน


“แล้วจะไปส่งที่ไหน รู้จักบ้านเขารึไง”


“เอาไปทิ้งไว้ที่โรงแรมสักห้องก็น่าจะได้”


ผมเหลือบมองคนที่หลับไม่รู้เรื่องผ่านกระจกมองหลังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ไม่อยากจะถามต่อว่าถ้าไม่เจอกูเสียก่อน มันยังจะพาผู้หญิงคนนี้ไปทิ้งที่โรงแรมหรือจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทั้งคืน





เสร็จกิจธุระดังกล่าวที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแล้วผมก็อยากจะพักหลับตาสักนิด แต่เพราะเส้นทางที่รถกำลังแล่นมันคนละทิศกับคอนโดผมแบบคนละฟาก หนังตาหนักอึ้งจึงยังไม่ได้รับอนุญาตให้ปิดลงเสียที


“นี่ไม่ใช่ทางกลับคอนโด”


“ขี้เกียจวกกลับแล้ว ไปนอนบ้านกู เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”


“งั้นจอด กูกลับเอง” เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วนั่นไงเลยยิ่งต้องกลับไปนอนห้อง จะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร ถ้าไปนอนบ้านมันกูต้องถูกปลุกมาทานข้าวเช้าแน่


“อย่างอแงหน่า ไปนอนบ้านกู พรุ่งนี้จะรีบกลับห้องเลย”


นอกจากจะไม่จอดแล้วอีกฝ่ายยังเร่งความเร็วจนเข็มไมล์เกือบสุด เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ทำใจ เถียงไปรั้นไปก็เท่านั้น





บ้านของโอมอินเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในโครงการหนึ่งที่มีพื้นที่รอบตัวบ้านพอสมควร ทันทีที่รถจอดในโรงรถ และเสียงเครื่องยนต์ดับสนิท คนที่นั่งหลังพวงมาลัยก็พุ่งเข้าหาเพื่อที่จะจูบผมแต่ผมไวพอที่จะหันหน้าหนีทัน ถึงอย่างนั้นปลายจมูกโด่งก็ยังเฉียดผิวแก้มให้รู้สึกหงุดหงิดใจ อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย ผมอาศัยจังหวะนั้นดันตัวมันออกห่าง


“ถอยไป กูไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมผู้หญิง”


“ตัวมึงก็มีกลิ่นน้ำหอมผู้หญิง...หลายคนด้วย”


อะไร? นี่จะชวนทะเลาะใช่ไหม?


“ก็มีทุกครั้งที่ออกไปเที่ยว”


“แต่กูมีครั้งนี้ครั้งแรก”


ผมมองมันตาขวาง โอมอินยังไม่ได้ถอยกลับไปนั่งพิงเบาะตัวเอง ร่างอีกฝ่ายยังโน้มเข้าหาผม


“โอเค! กูไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงคนนี้ แต่กูชอบกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงคนอื่นโดยเฉพาะทุกคนที่กูเคยนอน…” เสียงของผมขาดหายเมื่อคนฟังประกบปากลงมาอย่างหนักหน่วง มันทั้งจาบจ้วงและฉาบฉวยจนผมไม่อยากมีส่วนร่วมในการแสดงความรักครั้งนี้


และคงเพราะผมนิ่งไม่ตอบสนอง อีกฝ่ายถึงได้ถอนจูบออกไปหลังจากนั้นไม่นาน


“หึงก็บอกว่าหึง ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงพวกนั้น กูไม่ชอบ”


“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ได้หึง!” ผมพูดใส่หน้าแล้วเปิดประตูลงจากรถทันที รู้สึกง่วงเกินกว่าจะมานั่งทะเลาะกันทั้งคืนบนรถ





ผมเป็นคนประเภทที่ถ้าไม่อาบน้ำจะนอนไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเมาหรือมึนหัวแค่ไหนก็ยังถ่อสังขารเข้าไปอาบน้ำจนได้ ชุดนอนเรียบง่ายตามประสาผู้อยู่อาศัยคือกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว คืนนี้อาจหนาวขาหน่อยแต่น่าจะหลับเป็นตายไม่รู้สึกอะไรมากนัก









“กรี๊ดดดดดดด”


เสียงกรีดร้องชวนหนวกหูคือสิ่งที่ปลุกผมขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ความรู้สึกงัวเงียไม่อยากตื่นคือสิ่งแรกที่สัมผัสได้ และแม้ว่าเสียงกรีดร้องของใครบางคนยังดังอยู่แต่ผมกลับค่อย ๆ เปิดเปลือกตาออกอย่างเกียจคร้าน


“อะไรกันยัยอิม”


ผมลืมตากว้างสุดแล้วเด้งตัวขึ้นนั่งอัตโนมัติตอนที่เจ้าของประโยคนี้เดินมายืนอยู่ตรงประตูห้องพอดี ในตอนนั้นเองที่ผมได้สติว่าตัวเองอยู่ที่ไหน


...และผู้หญิงท่าทางเนี๊ยบดุตรงหน้าคงเป็นเจ้าของบ้าน


ผมรู้สึกลำคอแห้งผากเกินกว่าจะเปล่งคำทักทายอะไรออกไปได้ คนที่ดูเหมือนจะเป็นแม่โอมอินยืนจ้องผมคู่กับเด็กสาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นน้องสาวของมัน ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นหญิงสาวที่ผมพอจะคุ้นหน้าว่าเป็นน้องเอมก็มายืนขนาบอีกฝั่งของคนเป็นแม่


ไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยถามอะไรทัศนียภาพตรงหน้าของผมก็มืดดับเพราะใครบางคนโยนผ้าเช็ดตัวมาคลุมศีรษะผมไว้ ผ้าเปียกซกเหมือนคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จจะเป็นของใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เจ้าของห้องนอนนี้ ผมดึงผ้าออกตั้งใจตวัดตามองให้รู้ว่ากำลังหงุดหงิดแต่เจอแววตามันหงุดหงิดกว่าพร้อมส่งสายตาออกคำสั่งให้ผมใช้ผ้าผืนนั้นปิดร่างกายตัวเอง ในตอนนั้นเองที่ผมได้สติเต็มที่ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหนเด็กสาวคนหนึ่งถึงได้ร้องกรี๊ดและพี่สาวของเธอมองมาด้วยสายตาเคลิ้มฝันขนาดนั้น


ไอ้นี่หวงกระทั่งน้องตัวเอง


“ตื่นแล้วก็ลงไปทานข้าวเช้าพร้อมกันนะ” แม่ของโอมอินพูดด้วยน้ำเสียงที่โคตรดุและหน้านิ่งมากสมกับที่มันเคยเล่าให้ฟังว่ามีแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย


สิ้นเสียงรับคำโอมอิน ผู้หญิงทั้งสามก็ยอมเดินออกไปจากห้อง แต่สำหรับน้องคนกลาง โอมอินต้องออกแรงดันเล็กน้อยเพราะเธอยังมองผมไม่วางตาพาลให้ไอ้บ้าโอมยิ่งหงุดหงิดจนมาลงที่ผม


“ไปอาบน้ำสิวะ!”






เห็นเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาแล้วอยากจะโกรธไอ้เจ้าของเตียงนอนเมื่อคืนเสียจริง เพิ่งจะแปดโมงแต่กูต้องมานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เบ็ดเสร็จแล้วนอนถึงสี่ชั่วโมงรึเปล่าก็ไม่รู้!


“เพื่อนคนนี้เหรอที่เราออกไปหาเมื่อคืน” แม่ของโอมอินเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหารทันทีหลังการแนะนำตัวจบลง


“เปล่าครับ แต่บังเอิญไปเจอมันเมาอยู่ เลยพากลับมาด้วย”


“สนิทกันมากเหรอ”


ช่างเป็นการทานข้าวต้มที่ฝืดคอที่สุดในชีวิต


“ครับแม่”


“ปกติโอมเขาไม่ชอบให้ใครมานอนค้างที่บ้านหรอก จะเข้าห้องนอนเขายังไม่ยอมเลย แม้แต่เจ้าพวกนั้นก็ยังไม่เคยได้เข้าไปเลยนะ” เธอเล่าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทว่าผมสัมผัสได้ว่าอ่อนลงกว่าก่อนหน้านี้มาก


ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ไม่กล้าต่อความอะไรมาก กลัวจะดูเกินสถานะ ‘เพื่อน’ ที่ถูกแนะนำตัวไป


“พี่ศรเงียบจัง” น้องเอมถามข้ามโต๊ะมาจากอีกฝั่ง


“มันยังเมาค้างอยู่” ไอ้โอมชิงตอบแทน ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มบางให้น้องเอมและเผื่อแผ่ไปยังเด็กสาวข้าง ๆ ที่นั่งจ้องผมด้วยความไม่พอใจตลอดมื้ออาหาร



หลังอาหารเช้าโอมอินบอกให้ผมขึ้นไปนอนพักต่อเพราะตนต้องสอนหนังสือน้องสาวคนเล็ก คนอาศัยอย่างผมที่อยากกลับห้องตัวเองใจจะขาดมีหรือที่จะแย้งอะไรมันได้ แต่เพราะไม่อยากนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นเพื่อกลับคอนโด ผมจึงเข้าไปในครัวด้วยหวังว่ามีอะไรที่ตนพอจะช่วยเจ้าของบ้านได้บ้าง


“อ้าวศร เจ้าโอมสอนน้องอยู่ที่ศาลาในสวนโน่นแหน่ะ”


“ครับ” ผมรับทราบ “ให้ผมช่วยไหมครับ”


เธอหันมองผมพร้อมพิจารณาในขณะเดียวกัน “เอาสิ น้ำพริกลงเรือ ทำเป็นไหม”


ผมยิ้มแห้ง “ทำไม่เป็นครับ แต่ชอบทานมาก”


“อ้าวเหรอ ชอบทานเหมือนแฟนเจ้าโอมเลย” ผมชะงัก “ถ้าอย่างนั้นแม่แบ่งให้เราเอากลับไปทานด้วยนะ”


“ขอบคุณครับ” จะปฏิเสธก็ดูเสียมารยาท แต่จะบอกว่าแบ่งไปก็เท่านั้นก็คงไม่ได้เช่นกัน


“อ่ะ ศรช่วยแม่โขลกกระเทียมกับกะปิแล้วกัน พอละเอียดแล้วค่อยใส่น้ำตาลปี๊บลงไปนะ” ผมมองตามมือที่แม่ของโอมอินชี้ โชคดีหน่อยที่ท่านตวงทุกอย่างไว้หมดแล้ว เพราะถ้าให้ผมกะปริมาณเองมีหวังแดกไม่ได้


“แล้วนี่ศรรู้จักเธอไหม หน้าตา นิสัยเป็นยังไงล่ะ เจ้าโอมไม่ยอมชวนมาเจอแม่สักที”


“อะเอ่อ…” สากเกือบหลุดมือ


เธอหันมายิ้มเอ็นดูแต่ยังติดดุเช่นเคย “ไม่ต้องกลัวลูกชายแม่รู้หรอก เล่ามาได้เลย”


“ผมเล่าไม่ถูกอ่ะครับ”


เธอนิ่งคิดก่อนพูดข้อสรุปออกมา “งั้นแม่ถาม เราตอบแค่ใช่หรือไม่ใช่ก็แล้วกัน”


และแล้วเกมยี่สิบคำถามก็เริ่มต้นขึ้น


“เธอน่ารักไหม โดยรวมทั้งนิสัยและหน้าตา”


น่ารักไหมเหรอวะ เคยได้ยินโอมอินชมทีเล่นทีจริงบ่อยครั้งว่าน่ารักนะ “น่ารักครับ” ...ละมั้งนะ


“เรียนคณะเดียวกันรึเปล่า”


“คนละคณะครับ”


“รุ่นน้อง รุ่นพี่ หรือรุ่นเดียวกัน”


“รุ่นเดียวกันครับ”


“โอมเคยเล่าว่าเธอทำอาหารไม่ค่อยเป็น แล้วมีความเป็นแม่ศรีเรือนอื่น ๆ บ้างไหม”


“ก็พอตัวครับ” ผมล้างจาน กวาดห้อง ล้างห้องน้ำเป็นละวะ


“เรียนเก่งไหม”


“เก่งครับ ขยันเรียนด้วย” เรื่องจริงล้วน ๆ


“แล้วรักลูกชายแม่ไหม”


“...” กระเทียมกับกะปิละเอียดหรือยังไม่รู้ แต่ผมหยุดโขลกตั้งแต่วินาทีนั้น


“หืม? ในสายตาศร เธอรักโอมไหม”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ “ครับ”


“...”


“รักมากครับ”












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 8
-------------------------------------------
มีคนรอก็ดีจายยยยย
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อ่านอย่างหวาดระแวงค่ะ ฮือ ชอบศรมากๆ รัก  :กอด1:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ bxx_

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ทำไมมีกลิ่นมาม่า ฮือออออ
ยังไม่อยากกินตอนนี้  :hao5:

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1534
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
เหมือนแม่จะรู้นะ

ออฟไลน์ Petit.K

  • Petit parapluie
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
คิดถึงโอมอินคนหลงแฟนมากๆเลยค่าาา

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
คุณแม่จะดูออกไหมเนี่ย

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:
ดีใจมากมาย
ตามมาอ่านจากเรื่อง หากันจนเจอ
ไปอ่านก่อนนะ
 :กอด1:
 :กอด1:
 :กอด1:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:
เข้ามารอนะ
 :mew1:

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รักเรื่องนี้จัง แวะมาให้กำลังใจไรต์นะคะ  :mew1: :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด