Underlying diseases.
「โรคประจำใจ」
Follow up ครั้งที่ 5
---DharmaSORN---
ผมแม่งโคตรเพอร์เฟค
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ
รูปร่างสูงใหญ่กอปรกับมัดกล้ามเนื้อสวยราวกับรูปปั้น
ฐานะทางบ้านที่มีทั้งเงินและอำนาจ
นั่นคือสิ่งที่คนอื่นคิดว่าผมเป็น…
ธรรมศรที่คนอื่นมองมันก็สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างนั่นแหละ
แต่ไม่มีใครรู้สักนิดว่าคนอย่างธรรมศรก็มีจุดบกพร่องอยู่เหมือนกัน จุดบกพร่องที่เป็นช่องโหว่ในชีวิตนจนกลบปิดอย่างไรก็ไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็น
แม้กระทั่งกระจกเงาตรงหน้าก็ยังไม่สามารถสะท้อนจุดบกพร่องนั้นได้ทั้งที่ผมเปลือยท่อนบนอยู่ทนโท่
“เหม่ออะไรอยู่”
เสียงทุ้มต่ำของใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้องกันมาสามเดือนแล้วดังขึ้น ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่ได้เหม่อหรอก เพราะถ้าเหม่อคงไม่ได้ยินที่มันพูด ผมหันไปมองเจ้าของเสียงแต่กลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด สายตาโลมเลียของมันทำให้ผมหน้าร้อนจนต้องรีบหันหนี
“หยุดมองกูด้วยสายตาแบบนั้น” ผมพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“ทำไม? กูมองแบบนี้แค่กับเมียตัวเองเท่านั้นแหละ”
ผมจิ๊ปาก หันไปชี้นิ้วใส่หน้ามันอย่างคาดโทษ เกลียดจริง ๆ ไอ้สถานะที่อีกฝ่ายชอบพูดเวลาอยู่กันแค่สองคน ไม่ได้เกลียดสถานะนี้ แต่เกลียดความน่าหมั่นไส้ที่มันแสดงออกมา
ไม่เป็นเมียบ้างก็พูดได้ดิ
“นี่มึงเขินกูด้วยเหรอ” ไอ้โอมพูดติดตลก “หรือเห็นแล้วมีอารมณ์” ผมไม่รู้ว่ามันเดินเข้ามาใกล้ตอนไหน แต่ในประโยคท้ายไอ้คนพูดมันก็เดินเข้ามายืนซ้อนหลังผมเรียบร้อย นัยน์ตาคมยังฉายแววโลมเลียร่างกายผมเพียงแต่เปลี่ยนจากมองกันตรง ๆ เป็นมองผ่านกระจกเงาตรงหน้าแทน
“ถ้ามึงมี...กูพร้อมนะ”
“ไอ้ห่า! ไปไกล ๆ ตีน” ผมกระทุ้งศอกใส่มันไปหนึ่งที ไม่สนใจว่าท่าทางงอตัวของมันจะเป็นเพราะเจ็บจริงหรือการแสดง เพราะสิ่งที่ต้องทำคือรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะโดนมันเล่นงานจนต้องไปเรียนสาย
ชีวิตประจำวันนอกบ้านของผมไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ อย่างน้อยการได้เจอผู้คนใหม่ ๆ อยู่เสมอจากคลาสเรียนก็ทำให้ผมสนุกกับการเรียนมากขึ้น วิศวะสาขาชีวการแพทย์ของผมเป็นเพียงสาขาเดียวที่ได้เรียนกับคนมากหน้าหลายตา ไม่จำกัดอยู่แค่เฉพาะในคณะวิศวะด้วยกัน และผมจะมีความสุขมากเป็นพิเศษถ้าได้เรียนกับกลุ่มคนที่หนึ่งในนั้นมีเพื่อนสนิทสมัยมัธยมอยู่ด้วยอย่างเช่นวันนี้
“ไงมึง ได้ข่าวว่าวันก่อนมีเรื่องกับเด็กเกษตรเหรอวะ” ไอ้ทัช เพื่อนสนิทที่แยกไปเรียนภาคไฟฟ้าร้องทักลั่นห้องเรียนรวมที่จุคนได้มากถึงสองสาขา ช่างเป็นการทักทายที่สร้างสรรดีจริง ๆ เพื่อนกู
“เออ” ผมเดินเข้าไปใกล้ ขณะที่ไอ้หนึ่งไอ้กอล์ฟไอ้เมฆและไอ้ฟาก็เดินไปทักคนอื่นเหมือนกัน “เห็นคิ้วกูไหมล่ะ” ผมก้มตัวยื่นหน้าเข้าไปให้ไอ้ทัชที่นั่งอยู่ดูใกล้ ๆ แต่ไอ้ทัชเสือกยื่นมือมาบี้เล่นจนผมร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ถ้าแตะเบา ๆ มันก็ไม่เจ็บแล้วล่ะครับ หลายวันแล้วนี่ แต่ถ้าเล่นบี้อย่างที่มันทำก็ยังเจ็บแสบอยู่บ้าง “อย่าซนไอ้สัด”
“อย่าซ่านักดิวะ พวกแม่งไม่จบง่าย ๆ มึงก็น่าจะรู้” ไอ้ดลพูดเตือนด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง ไอ้นี่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้ทัช วันก่อนที่ผมไปเที่ยวแล้วกลับไปนอนบ้านอาผมก็ไปกลับกลุ่มนี้มา
“กลัวที่ไหน” ผมไหวไหล่ไม่สนใจ พวกแม่งจะจบไม่จบผมก็พร้อมสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว
“เออ ถ้าพวกมันมาจริงก็เรียกพวกกูไปเสริมได้นะเว้ย” ไอ้เตอร์พูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ใครจะทันได้ห้ามความบ้าของผม ไอ้นี่มันใจนักเลงพอตัว ผมเลยถูกคอกับมันเป็นพิเศษในบรรดาเพื่อนใหม่
“คงไม่ต้องถึงมือถึงตีนพวกมึงหรอกมั้ง”
“หึ มั่นใจไปแล้วไอ้คุณชาย” ไอ้ทัชสบประมาท ใคร ๆ ก็มองว่าภาควิชาคุณชายอย่างพวกผมไม่มีทางต่อยตีสู้วิศวะภาคอื่นหรือคณะอื่นได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขี้ขลาด เลือดนักสู้ก็มีอยู่พอตัว
“เห้ย ๆ ไปนั่งเว้ย ’จารย์มาแล้ว” ไอ้หนึ่งทั้งผลักทั้งดันพวกเราทุกคนให้ไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนในสาขาเดียวกัน พวกมันทุกคนรู้ว่าผมจะคึกเป็นพิเศษเวลาได้อยู่กับเพื่อนเยอะ ๆ แต่ต้องเป็นเพื่อนนะ ถ้าคนเยอะแต่ไม่สนิทกันผมจะเงียบจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลยทีเดียว
ท้ายคาบเรียนอาจารย์ที่เคารพรักแจ้งข่าวร้ายสำหรับทุกคนว่าจะเปิดช็อปของภาคไฟฟ้าเสริมในวันเสาร์นี้และอยากให้ภาคผมเข้าร่วมด้วยเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาเรียกเสียงโอดครวญจากนักศึกษาทั่วทั้งห้องจนหูผมแทบดัง ผมหัันมองดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง ใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินเสียงดังระงมแบบนี้สักครั้ง ผมที่นั่งริมสุดหันไปถามไอ้หนึ่งที่นั่งติดกันด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นวะ”
ไอ้หนึ่งหันมองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด “อะไร”
“มึงไม่โวยวายเหรอวะไอ้ศร” ไอ้ฟาชะโงกหน้ามาถามก่อนที่ผมจะได้ความกระจ่าง ไอ้กอล์ฟกับไอ้เมฆเองก็เช่นกัน
“โวยวายทำไม เข้าช็อปก็ดีนะ จะได้อ่านเองน้อยลง” ผมตอบซื่อ ๆ อย่างที่คิด
“วันเสาร์เรามีเรียน ไอ้โอมไม่อกแตกตายเลยเหรอวะ” ไอ้หนึ่งพูดขึ้นต่อ สีหน้ามันยังเป็นหมางงเหมือนเดิม
“ทำไม?” ...เกี่ยวอะไรกับมัน
“เอ๊า! มีแฟนประสาอะไรลืมวันวาเลนไทน์วะ”
...วาเลนไทน์?
“เสาร์นี้?”
“เออดิ นี่มึงลืมจริงจัง”
ผมไม่ตอบคำ ผมมีเรียนก็คงไม่กระทบอะไรหรอกมั้ง เพราะมันก็คงจะกลับบ้านเหมือนทุกที
วันวาเลนไทน์ก็กลายเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง
ไม่ดิ มันไม่เคยเป็นวันพิเศษเลยด้วยซ้ำ
“วาเลนไทน์แรกของพวกมึงสองคนทั้งที เตรียมของขวัญอะไรให้แฟนครับ” ไอ้เมฆเสนอหน้าทะเล้นมาถาม
“จะว่าเตรียมตัวไว้ให้ก็ไม่ได้แล้ว มึงให้เขาไปตั้งนานแล้วนี่หว่า” ไอ้ฟารับเป็นลูกคู่ได้ตรงจังหวะก่อนหันไปแท็กมือกัน
“ไอ้สัด”
“พอ ๆ” ไอ้หนึ่งที่นั่งคั่นกลางร้องห้าม “มึงไปเคลียร์กับมันให้เรียบร้อยละกัน อย่าให้ระเบิดลงช็อปนะเว้ย” ผมไม่ได้รับปากแต่เลือกที่จะเก็บของเงียบ ๆ
“เห้ยพวกมึง...” ไอ้ทัชกับกลุ่มเพื่อนเดินย้อนกลับขึ้นมาด้านบนที่พวกผมนั่งอยู่ “เสาร์นี้เลิกช็อปแล้วไปตี้กัน ตามประสาคนโสดเว้ย”
ไอ้พวกโสดไม่สนิททั้งหลายตกปากรับคำโดยเร็วเหลือแค่ผมที่ยังไม่ให้คำตอบ จนไอ้ทัชตีขาผมด้วยสมุดเล่มหนึ่งในมือมันแทนการสะกิด “มึงละวะ งานนี้คนไม่โสดก็ไปได้นะเว้ย”
“แต่ถ้าอยากไปแบบคนโสดก็ยิ่งดีใหญ่” ไอ้ดลเสริมขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
“งานนี้โสดเสื้อขาว มีเจ้าของแล้วเสื้อดำครับผม” ไอ้ดลอธิบายต่อ
“กูยังไม่ให้คำตอบละกัน” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอบรับแบบไม่ต้องคิด แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าต้องรอขออนุญาตจากไอ้โอม แต่เพราะไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะอยู่กับผมหรือเปล่า ถ้ามันอยู่แล้วผมออกไปเที่ยว มีหวังได้ฆ่ากันตายแน่
“มึงจะชวนแฟนไปด้วยก็ได้นะเว้ย นัดกันใส่เสื้อดำไง”
“แต่ใส่เสื้อขาวทั้งคู่ก็ไม่เลวนะ” ไอ้เตอร์ออกความเห็นเรียกเสียงเฮจากกลุ่มเพื่อนมันขณะที่กลุ่มเพื่อนผมหน้าซีดกันทุกคน
“แต่กูว่าเลว” ไอ้กอล์ฟที่เงียบอยู่นานแทรกขึ้นมาหน้านิ่ง ไอ้พวกนี้ก็กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ใส่ขาวทั้งคู่แล้วยังไง ก็แค่เสื้อเปล่าวะ ไอ้โอมต้องแยกแยะได้ดิ “เอาเป็นว่าพวกกูสี่คนไปแน่ ส่วนไอ้ศรบวกลบ”
ไอ้ทัชพยักหน้ารับทราบ บอกเวลาและสถานที่จัดงานก่อนต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป ช่วงบ่ายผมมีเรียนบรรยายวิชาภาคตัวเองอีกสามชั่วโมง หลังจากนั้นผมกับไอ้หนึ่งแยกกับเพื่อนอีกสามคนไปห้องชมรมชนบท เห็นพวกผมเรียนเยอะเรียนหนักกันขนาดนี้แต่ก็ไม่ทิ้งกิจกรรมนะครับ โดยเฉพาะไอ้หนึ่งที่ตอนนี้เป็นถึงประธานชมรมเลยทีเดียว
ผมกับไอ้ทัชไอ้หนึ่งและไอ้กอล์ฟเป็นเพื่อนกันมาก่อนเข้าเรียนที่นี่แล้วครัับ พอไอ้ทัชแยกไปเรียนภาคไฟฟ้าและไอ้กอล์ฟหันไปเอาดีด้านดนตรีมากกว่า ช่วงแรก ๆ ผมเลยตัวติดกับไอ้หนึ่งเป็นพิเศษ มันไปเข้าชมรมไหนผมก็ตามไปด้วยอย่างไม่เกี่ยงงอน อะไรก็ได้ที่ทำให้ช่วงปิดเทอมกูไม่ว่าง เอาให้ยุ่งสุด ๆ ไปเลยยิ่งดี และชมรมชนบทก็ตอบโจทย์ผมแบบสุด ๆ ออกค่ายอาสาแต่ละครั้งกินเวลาไปครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ เพียงแต่ค่ายที่ใกล้จะถึงนี้พวกผมคงไม่ได้เข้าร่วมอีกแล้วเพราะต้องฝึกงานช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีสุดท้าย
ปกติหลังเลิกเรียนถ้าไม่สิงตัวตามห้องสมุด คาเฟ่หรือร้านอาหาร ผมกับไอ้หนึ่งก็จะมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องชมรมนี่แหละครับ เพียงแต่วันนี้มีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่าการทำตัวไร้สาระอย่างเช่นทุกวัน
“พี่จะรออีกสิบนาทีนะครับ เผื่อจะมีใครมาเพิ่มอีก” ไอ้หนึ่งยืนประกาศอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดหลังจากเขียนหัวข้อการประชุมของวันนี้ค้างเอาไว้แล้ว
...ค่ายอาสา ครั้งที่ 20...
ผมนอนเหยียดยาวบนโซฟาที่ยึดเป็นของตนเพียงคนเดียวปล่อยให้เพื่อนคนอื่นและรุ่นน้องนั่งพื้นบ้างเก้าอี้ไม้ตัวกลมบ้างตามแต่จะหาที่ปักหลักกันได้
ไอ้หนึ่งเดินมาสะกิดขาให้ผมเอาลงเพื่อที่มันจะนั่งด้วยตรงปลายเท้าในตอนที่ผมกำลังส่งไลน์ไปนัดไอ้โอมว่าให้มารับที่ตึกชมรมเพราะวันนี้ตั้งใจกันไว้ว่าแวะซื้อของสดที่ห้างก่อนกลับคอนโด
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตรงประตูพร้อมเสียงโวยวายของหนุ่มสาวคู่หนึ่งทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอไปมองเพื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือรุ่นน้องปีสองจากคณะรัฐศาสตร์
“อะไรกันวะ” ไอ้หนึ่งถามนำออกไปก่อนแต่ผมเห็นแล้วว่าเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นตรงนั้น
“มึงจะยืนรอให้ไอติมเลอะพื้นห้องเหรอไอ้รัก ไปล้างสิโว้ย” เห็นเต็มตาว่าไอศกรีมรสช็อกโกแลตลูกใหญ่บนกรวยในมือรุ่นน้องผู้ชายกำลังละลายและมันก็คงจะเป็นแบบนี้ได้สักครู่ใหญ่แล้วเพราะมือของมันเลอะไปด้วยคราบสีน้ำตาลและเริ่มหยดติ๋งจนเจ้าตัวต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งมารองไว้ไม่ให้หยดลงพื้นห้อง
“ไข่ แกไปช่วยฉันล้างหน่อย” ไอ้น้องรักหันไปบอกเพื่อนสาวคนสนิทที่ชื่อไข่มุกแต่มันเสือกเรียกซะสั้นแบบไม่เกรงใจความหวานบนหน้าน้องเขาเลย ซึ่งถ้ามันย่อว่ามุก ผมจะไม่คาใจอะไรเลยจริง ๆ
“เฮ้ย ๆ ผู้หญิงกับผู้ชายเข้าไปอยู่ในห้องน้ำสองต่อสองได้ไง ผู้หญิงเขาเสียหายไอ้สัด” ไอ้หนึ่งร้องโวยวาย ผมร้องหึมองไอ้เพื่อนขี้หวงทั้งที่ไม่กล้าคิดจะจีบเขาด้วยซ้ำ ใช่ครับ เพื่อนผมคนนี้ชอบน้องไข่มุกแต่แม่งป๊อด
“นี่มันห้องน้ำชมรม มีแค่เรา พวกพี่ก็รู้ว่าไม่มีอะไรอย่างนั้นเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องเถียงเลยไอ้รัก ไอ้ศรมึงไปช่วยน้องดิ๊” อ้าวเหี้ยหนึ่ง ไหงมาลงที่กู
“เกี่ยวอะไรกับกู”
“มึงว่างอยู่อ่ะ ไปช่วยน้องมันหน่อย” ...คนอื่นก็ว่างป่ะวะ แต่ไม่อยากจะเถียง ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีไม่โยนหน้าที่ให้คนอื่น แม้ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่หน้าที่กูก็ตาม
ผมปรายตามองไอ้ตัวปัญหา “มึงเป็นง่อยเหรอ”
“มือมันเลอะไอ้สัด ไป ๆ ไปทั้งคู่อ่ะ”
“เร็วเหอะพี่ เสื้อผมเลอะด้วยเนี่ย” เพราะน้องไข่มุกหาถ้วยมาให้มันใส่ไอศกรีม ผมจึงได้เห็นว่าเสื้อนักศึกษาของมันเลอะคราบสีน้ำตาลเป็นทางยาวตั้งแต่ช่วงกลางตัวลงมาจนเกือบถึงหัวเข็มขัด
“มันจะยากตรงไหนวะ ก็แค่มึงล้างมือก่อนแล้วค่อยล้างเสื้อเนี่ย”
“มันช้าไงพี่ เดี๋ยวไอติมซึมเข้าเส้นใยเสื้อหมด ล้างไม่ออกกันพอดี”
ผมส่ายหน้าระอา ใครเอาความเชื่อผิด ๆ ฝังหัวมันวะ ล้างมือไม่ถึงหนึ่งนาทีนะไม่ใช่หนึ่งชั่วโมง!
ถึงจะบ่นไอ้เด็กนั่นแต่สุดท้ายก็จำต้องยอมลุกตามไปช่วยมันตามสายตาอ้อนวอนของเพื่อนสนิทก่อนที่น้องไข่มุกจะตามไอ้รักเข้าไปเองเสียก่อน
“เด๋อด๋าแบบมึงเนี่ยนะเรียนรัดสาด” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพูดแบบนี้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็แทบจะว่ามันทุกครั้งที่เจอหน้า เป็นผู้ชายยังไงวะ ตัวก็ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นแต่กลับโก๊ะ ๆ เปิ่น ๆ อย่างกับผู้หญิง
“อ้าวพี่! ผมน่ะไออาร์นะเว้ย” ผมมองรุ่นน้องที่อ่อนกว่าหนึ่งปีแต่ดูโคตรเด็กในสายตาตรงหน้าอย่างพิจารณา ไอ้เด็กท่าทางไม่เต็มเต็งล้น ๆ เกิน ๆ แบบนี้น่ะหรือเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โตขึ้นไปมันจะดูน่าเชื่อถือได้ขนาดไหนกันเชียว
ผมส่ายหน้าตัดรำคาญตั้งหน้าตั้งตาซักล้างเสื้อให้มันแบบทุลักทุเล มือมันยื่นไปล้างในอ่างส่วนผมก็ต้องคอยกวักน้ำมาราดบนรอยเปื้อน ถู ๆ ขยี้ ๆ อยู่ไม่นานรอยก็จางจนจนแทบมองไม่เห็นแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่เด่นจนน่าเกลียดละวะ
“ถ้าแม่เห็นต้องว่าแน่ ๆ เลย” เสียงบ่นพึมพำของหนุ่มรุ่นน้องทำเอาผมชะงักมือ
“แม่มึงดุรึไง”
“ไม่หรอกครับ แม่ผมน่ะใจดีจะตาย แค่เจ้าระเบียบน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้เล่นอะไรเลอะ ๆ ซน ๆ เหมือนคนอื่นเขาหรอกครับ”
“หึ ลูกแหง่”
“เขาเรียกว่าแม่รักแม่ห่วงครับผม” ไอ้ตัวปัญหายิ้มกว้าง มันดูภูมิใจในตัวแม่มันมากจนผมชักหมั่นไส้ “เสร็จแล้ว! มาก็ช้าแล้วยังเดือดร้อนคนอื่นอีก” ผมปล่อยมือจากเสื้อมันแล้วหันหลังเดินออกไปทันที ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินมันบ่นว่าผมเป็นอะไร
สิ่งที่ยืนยันความเป็นไข่ในหินของไอ้เด็กรักได้อีกหนึ่งอย่างคืออาหารคาวหวานสารพัดอย่างที่ถูกจัดเป็นชุดพอดีคนถูกนำมาส่งก่อนจบการประชุมครึ่งชั่วโมงโดยทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือการทำอาหารของแม่มันเองและมักจะเป็นอย่างนี้เสียทุกครั้ง
“อ้าวพี่ศร ไม่กินเหรอครับ นี่ของพี่นะ” ไอ้เด็กรักเรียกรั้งไว้ตอนที่ผมคว้ากระเป๋าตัวเองไว้แล้วกำลังจะบอกลาทุกคน
“ไม่อ่ะ ขอบใจ...ไปนะทุกคน กูไปก่อนนะไอ้หนึ่ง” ผมไม่เปิดโอกาสให้มันเซ้าซี้ เห็นแวบหนึ่งว่ามันหน้าจ๋อยลงไปเลยอดไม่ได้ที่จะเดินกลับเข้าไปหาแล้วยื่นมือออกไปขยี้ผมมันจนยุ่งเหยิง
“ฝากผมทรงนี้ไปแทนคำขอบคุณแม่มึงด้วยละกัน”
แม้จะรู้ว่าถ้ากลับบ้านไปผมทรงนี้อาจโดนแม่ดุแต่มันก็ยังยิ้ม...ยิ้มเหมือนคนบ้า
นั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนเดินออกจากห้องชมรม
“รอนานยังวะ” ผมถามไอ้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยทันทีที่เข้ามานั่งเบาะข้างกันแล้ว
ไอ้โอมตวัดตามามองอย่างขุ่นเคือง “ถ้าจับเวลาตั้งแต่ที่เห็นมึงลงจากตึกแล้วก็นานมาก” มันตอบเสียงเรียบแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันเคืองเรื่องอะไร เป็นธรรมดาที่คนอัธยาศัยดีอย่างผมเดินไปไหนมาไหนแล้วจะมีคนเข้ามาทักเข้ามาชวนคุย นี่ถือว่าทำเวลาดีมากแล้วเหอะ คุยกันแต่พองามตามมารยาทเท่านั้นจริง ๆ
ไอ้โอมยังไม่ยอมออกรถ มันนั่งกระฟัดกระเฟียดหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับจะปรับอารมณ์ตัวเองให้ลงมาอยู่ระดับปกติให้ได้ก่อน เห็นทีว่าผมคงต้องช่วยเร่งให้มันลงเร็วขึ้นเสียหน่อยเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว ขืนออกช้ากว่านี้มีหวังติดแหงกตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นรั้วมหา’ลัย
ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปโบกรัวมือเหมือนเชียร์หลีดตรงหน้าไอ้คนหน้านิ่ง “โอ๋เอ๋หน่าโอ๋เอ๋ อย่าหงุดหงิดกูเลยนะ นี่กูปฏิเสธทุกคนเลยนะเนี่ย ไม่มีใครพิเศษกับกูเท่ามึงหรอกครับโอมอิน”
นิ่ง...หน้ามันยังนิ่ง แต่ผมว่าผมเห็นแวบ ๆ นะว่ามุมปากมันกระตุกยิ้มนิดหน่อยเหมือนแววตาของมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเก๊กนิ่ง คงหวังให้กูง้ออีกสินะเชี่ยโอม
เห็นอย่างนั้นผมก็แกล้งฟึดฟัดดึงมือกลับมาแล้วหันหน้ามองตรงบ้าง “อย่าให้กูง้อเยอะได้ไหมวะ เกรงใจร่างควาย ๆ ของกูบ้าง” ง้อทีหน่อมแน้มฉิบหาย เห็นแล้วอายตัวเองเป็นบ้า
“ถ้าไม่อยากง้อบ่อยก็อย่าทำให้กูไม่พอใจอีก” ไอ้โอมวางมือแหมะลงบนหัวผมแล้วโยกเบา ๆ ไอ้นี่นับวันยิ่งเอาใหญ่ ทำอะไรไม่ดูสารร่าง ตัวเท่าควายกันทั้งคู่ ใช่ว่าผมจะตัวเล็กกระทัดรัดเหมือนพวกหนุ่มน้อยฟลาวเวอร์บอยเสียที่ไหน คิดว่าทำแบบนี้แล้วดูน่ารักหรือยังไง เห้ย! แล้วนี่ตกลงใครเป็นฝ่ายง้อกันแน่วะ กูชักงง
การจราจรไม่ทำร้ายเรามากนัก แค่ยี่สิบนาทีเราก็มาถึงห้างใกล้คอนโดแล้ว สถานที่แรกที่เราพุ่งเป้าไปหาคือร้านอาหาร แต่วันนี้ไม่ได้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเพราะไอ้คนข้าง ๆ หิวเกินกว่าจะกินของแบบนั้นอิ่ม ความจริงกินให้อิ่มน่ะมันก็อิ่มอยู่นะ แต่ก็แค่อิ่มท้อง ความรู้สึกมันไม่อิ่มด้วย เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องตามใจผมมาก แต่มันก็เอาแต่พูดว่าไม่ได้ตามใจผม มันแค่ตามใจตัวเองที่อยากเห็นผมมีความสุข
...เออ เรื่องของมึง...
ผมพูดได้แค่นั้นแล้วเดินหนีเสียทุกครั้ง
“วันนี้ไม่อยากเห็นกูมีความสุขเหรอวะ” ผมแกล้งแหย่มันเล่น จริง ๆ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเลือกจะกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่ของโปรดผมและผมก็มักจะแหย่มันแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เพียงแต่วันนี้ต้องทำตัว alert หน่อยเพราะมีคดีติดตัวอยู่
“ไม่!” มันตอบเสียงเรียบทว่าหนักแน่น “กูจะทำโทษมึง” พูดจบมันก็ชิงเดินหนีไปร้านบุฟเฟ่ต์ที่มันอยากกินก่อนเลย ส่วนผมก็ได้แต่ร้องต่อว่ามันตามหลังไปเท่านั้น
“ใจร้ายจังวะ”
รู้สึกดีที่มันไม่ได้ปั้นปึงหรือทำหน้าบึ้งใส่ผมตลอดมื้ออาหาร นั่นทำให้ผมเบาใจว่ามันคงแค่อยากแกล้งผมเล่นเท่านั้น ไม่ได้คิดโกรธเคืองกันจริง ๆ บางทีมันอาจจะใจอ่อนตั้งแต่ตอนที่ผมง้อแล้วด้วยซ้ำ
ก่อนไปหาซื้อของสดตุนไว้ที่ห้อง ผมกับมันแวะร้านหนังสือกันก่อน เราต่างก็มีเป้าหมาย ผมมาหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการแพทย์ไปศึกษาเผื่อจะเกิดไอเดียโปรเจคจบขึ้นมาได้
เดินอยู่สิบนาทีก็ได้หนังสือหนึ่งเล่มกับนิตยสารหัวการแพทย์เล่มเดิม ๆ ที่ซื้อประจำมาอีกหนึ่งเล่มแล้วเดินไปต่อแถวหลังไอ้โอมที่คงซื้อหนังสือนิยายหรือพวกปรัชญาเอาไปสร้างแรงบันดาลใจอีกอย่างเคย
“อุ๊ยพี่โอม สวัสดีค่ะ” ผมแสร้งมองตรงไปข้างหน้าแต่แอบมองสำรวจเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ยกมือไหว้ทักทายมันหลังเจ้าตัวจ่ายเงินเสร็จแล้วหันหลังมาเจอมันยืนต่อแถวเดียวกันอยู่
“อ้าวรดา มากับใครครับ” หือ...สุภาพเชียวนะมึง
“รดามากับคุณแม่ค่ะ” เจ้าตัวพูดบอกไม่ทันไรก็รีบบอกว่าคุณแม่โทร.ตามแล้ว เธอยกมือไหว้ไอ้โอมที่แม้จะรีบเร่งอย่างไรแต่กิริยามารยาทก็ยังคงงดงาม
“ใครวะ เรียบร้อยจัง ดูเป็นผู้ดีตีนแดงชะมัด” ผมยังคงมองตามเด็กสาวคนนี้ไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
“แม่เขาสอนมาดี” ผมตวัดตามองมัน
“มึงเองก็ดูเป็นผู้ดีนะ ถ้าไม่พูดคำหยาบ แม่มึงก็สอนมาดีเหมือนกัน”
ผมชะงัก รีบถามซ้ำกลับไปก่อนที่มันจะหลุดคำเรียกว่าคุณชายออกมาอีก “แล้วตกลงว่าใคร?”
“เพื่อนสนิทน้องสาวคนเล็ก...เดี๋ยวนะ ถามแบบนี้คือหึงกูหรือว่าสนใจเธอ” ไอ้โอมถามเสียงแข็ง ตาที่มองมาก็เขียวปั๊ด ผมจึงกระทุ้งศอกใส่มันไปหนึ่งที
“หึง พอใจไหม” ต่อให้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ขนาดไหนก็ดูรู้ว่าชอบไอ้โอมแน่ ๆ ยิ่งใส ๆ แบบนี้ยิ่งชัดเจนด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้หึงมันหรอก คนอื่นอยากจะมองมันหวานชื่นแค่ไหนก็มองไป ตราบใดที่มันยังใช้สายตาแบบเดียวกันนั้นแค่กับผมคนเดียว ผมก็ไม่จำเป็นต้องหึงหรือไม่พอใจอะไรมัน
“กูหลงมึงคนเดียวหน่าเมีย” อย่าคิดว่าผมจะเขิน ไม่กระทืบมันตายตรงนี้ก็บุญหัวมันมากแล้ว ใครใช้ให้มันพูดแบบนี้ในที่สาธารณะ ถึงจะเบามากราวกับกระซิบก็เถอะนะ
ผมทุบไหล่มันแรง ๆ หนึ่งที ทั้งเป็นการประทุษร้ายและเป็นสัญญาณให้มันเดินขึ้นหน้าไปจ่ายเงิน ไอ้โอมยิ้มได้น่าหมั่นไส้ ก่อนดึงหนังสือในมือผมไปวางบนเคาน์เตอร์เพื่อคิดเงินรวมกัน
ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่พวกเราจะผลัดกันจ่าย แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ไอ้โอมมักจะออกให้เสมอ มันดูแลผมดีแบบไม่บกพร่องสักนิด เป็นผมเองเสียอีกที่หาเรื่องมากวนใจมันไม่เว้นแต่ละวัน
...และเป็นมันอีกเช่นกันที่เดินเลือกซื้อของสด
ผมเลือกของพวกนี้เป็นเสียที่ไหน ยอมรับว่าจุดนี้ตัวเองคุณชายพอสมควร แต่ก็เป็นธรรมชาติของผู้ชายไม่ใช่เหรอที่จะไม่รู้เรื่องการเลือกซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ ไอ้โอมสิอัจฉริยะเกินชาย เลือกเป็นทุกอย่าง ถ้าไม่มีป้ายปักไว้ผมยังไม่รู้เลยว่าเนื้อแต่ละอย่างมาจากส่วนไหนของหมู สันคอ สันนอก สันในอะไรดูยุ่งยากไปหมด ผมว่ารู้แค่ว่าติดมันหรือไม่ติด สามชั้นหรือเนื้อแดงก็น่าจะพอแล้วนะ
ผมปล่อยให้มันเลือกของสด ส่วนตัวเองเข็นรถตาม เออ...จริง ๆ หน้าที่กูต้องเป็นหน้าที่ผัวไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูเป็นเมียอ่ะ
“ตกลงมึงจะลีนไหม กูจะได้ซื้ออกไก่ไปทำให้” มันที่เดินห่างออกไปตอนไหนไม่รู้หันมาถาม ผมเคยบอกมันว่าจะกลับมากินคลีนสร้างกล้ามเนื้อสักหน่อย ซึ่งมันก็เสนอตัวว่าจะต้มอกไก่ให้ผมไปกินมื้อกลางวันทุกวัน
ผมเข็นรถเข้าไปใกล้มันที่กระบะเนื้อไก่ “มึงว่ากูไอเอฟดีไหมวะ” ผมหมายถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารรูปแบบหนึ่ง มีทั้งช่วงที่กินและช่วงที่อด ซึ่งอดนานถึง 16 ชั่วโมงเลยทีเดียว โดยทำไปพร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีการหนึ่งที่เริ่มฮิตในหมู่คนที่ต้องการลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้อ
ไอ้โอมยื่นมือมาเขกหน้าผากผมไม่แรงนัก “มึงอ้วนนักเหรอวะ จะอดอาหารทำไม มึงต้องใช้สมองเยอะนะ ถ้าอยากเบิร์นออกให้บอกกูนี่ เดี๋ยวทำให้”
“สัด!” สาระไม่เคยมีหรอกมันน่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ‘ทำให้’ ที่ว่าน่ะคือวิธีการไหน
สายตาแพรวพราวพร้อมรอยยิ้มมุมปากของมันทำให้ผมต้องรีบผลักมันให้เดินต่อไปก่อนที่มันจะเล่นพิเรนทร์อะไรแถวนี้ขึ้นมาจริง ๆ
“หึ เขิน ๆ แล้วตกลงจะเอาไหมอกไก่อ่ะ”
“เอาสิวะ!”
ผ่านไปหลายวันทีเดียวกว่าผมจะนึกออกว่ายังไม่ได้บอกมันเรื่องที่ผมมีเรียนเสริมในวันเสาร์ มานึกได้ตอนที่ดูหนังด้วยกันในห้องนั่งเล่นของเย็นวันหนึ่ง
เรานั่งกันคนละมุมของโซฟา ต่างก็เหยียดขาพาดบนเก้าอี้นุนวมอีกตัวที่ถูกเลื่อนมาแทนที่โต๊ะเล็ก ผมเหลือบมองมันทางหางตา หาจังหวะจะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่กล้า จนแล้วจนรอดก็ตัดสินใจยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขามัน ผมเห็นไอ้โอมเหลือบมามองแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรือเลื่อนขาหนีแต่อย่างใด
“วันเสาร์นี้กูมีเรียน” ผมพูดขึ้นลอย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าเสียงที่เปล่งออกไปจะดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน
ผมหันไปมองมันเต็มตาเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายมองมาก่อนแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นแทนคำถาม
“อาจารย์เพิ่มคลาส”
“...”
“มึง...กลับบ้านใช่ป่ะ” หนังฉายถึงไหนแล้ววะ หรือว่าจอดับไปแล้ว ทำไมรอบข้างกูไม่มีเสียงอะไรเลย
“...”
“กู...”
“มึงเลิกเรียนกี่โมง”
ผมนิ่งเงียบ มองมันอย่างประเมิณ “เที่ยง”
“ไปไหนต่อ”
“ถ้าไม่ไปห้องสมุดก็คงกลับมาห้อง” ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว โปรเจคก็เร่งหนังสือก็ต้องอ่าน
“รีบกลับมา”
“มึงไม่...”
“กูจะรอ”
อ่า...วาเลนไทน์ปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้งว่ะ
พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 6
-------------------------------------------
ไทม์ไลน์จะล้อกับ 'หากันจนเจอ' นะคะ
เพราะจุดเริ่มเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันงานแสดงสารนิพนธ์ของเอกฟิล์ม
เรื่องนี้คนเยอะนิดนึงค่ะ ธรรมศรของเราเขาเป็นคนกว้างขวาง
หายไปนาน 2 เดือน เพราะตั้งใจแต่งคุณดีนให้จบก่อน ตอนนี้จบแล้ว ตอนพิเศษจะตามมาเร็วๆนี้นะคะ
หวังว่าทุกคนยังไม่ลืมเรื่องนี้กันนะคะ ฮ่าาา
#โรคประจำใจ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์