[แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหนังสือ] 8.03.63「โรคประจำใจ」Follow up ครั้งที่ 24 [END] P.8 [25/01/62]  (อ่าน 105378 ครั้ง)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :m16:อึดอัด​ อึมครึม​ 55555

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:
อ่าน 3 ตอนรวดหายคิดถึงหน่อย
รักนะ ศรโอม
 :กอด1:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านไปด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ อย่าเลิกกันเลยนะะะะะะ :ling1:

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
 :z2:
เข้ามาเพื่อปูเสื่อรอ
 :กอด1:

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เหมือนเนื้อเรื่องไม่เดินเท่าไหร่เลยอ่า เป็นกำลังใจให้ไรต์อยู่ตรงนี้นะคะ ยังไงก็จะรออ่านจนจบ หลงศรมากกกกกกกก มาลงให้หายคิดถึงซะดีดี :mew2:

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
อย่ามีปัญหากันอีกเรยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ MacaroonCookie

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอ้ม่ายยย ยังไม่จบรึนี่ ค้างเลย  :katai1: รอนะคะะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 12

---OMIN---








ผมมีเวลาว่างสองสัปดาห์หลังสอบและก่อนเริ่มฝึกงานในต้นเดือนหน้า เพื่อนหลาย ๆ คนในเอกฟิล์มก็เช่นเดียวกัน และมันก็มากพอที่จะให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันในการตัดสินใจอะไรหลาย ๆ เกี่ยวกับละครเวทีร่วมกับรุ่นน้อง


รูปถ่ายมากมายของผู้สมัครกระจายอยู่เต็มบอร์ด แต่ละตัวละครจะมีนักแสดงที่เข้าเค้าอยู่ตัวละไม่เกินห้าคน บางตัวละครเราได้นักแสดงที่ตรงคาแรคเตอร์อย่างรวดเร็วตามผลโหวตเป็นเอกฉันท์ แต่บางตัวละครอย่างเช่นบทเจคที่ยัยจี๊ดเคยออกปากว่าไม่มีใครเหมาะเท่าธรรมศรก็ยังไม่สามารถเลือกใครมารับบทนั้นได้สักที


“ศรไม่น่าโดนแย่งตัวไปเลยว่ะ หงุดหงิดโว้ย” ยัยจี๊ดยีผมสั้น ๆ ของตัวเองระบายอารมณ์ ไม่วายยังส่งสายตาอาฆาตมาทางผมอีกด้วย


“มองอย่างนี้จะให้กูเล่นแทนเลยไหมล่ะ” ผมประชด มองกูดีนัก ก็บอกไปแล้วว่ามันช้าตั้งแต่คนสั่งให้ไปชวนศรมาเล่นแล้ว


“หล่อให้เท่าเมียก่อนเถอะเชี่ยโอม”


“แฟน” ผมพูดเสียงเข้ม หวังว่าใบหน้าขึงขังของผมจะช่วยให้เพื่อนเข้าใจด้วยว่าผมค่อนข้างจริงจังกับสถานะที่คนอื่นมองคนรักของผม


“โทษที ๆ แฟนก็แฟน”


“แล้วเอาไงละวะ เปิดรับสมัครรอบสองเหรอ” ไอ้เต๋าถามขึ้นมา งานนี้มันอยู่ฝ่ายฉากกับไอ้พีท เรื่องงานศิลป์งานอาร์ตต้องยกให้พวกมัน ส่วนไอ้โจโดดไปอยู่ฝ่ายเสียงคนเดียวเลย


“มึงว่าไงอ่ะ” จี๊ดพยักพเยิดหน้าไปทางทีมผู้กำกับเพื่อขอความเห็น “ที่ได้มาพอใจป่ะ”


คนเป็นผู้กำกับทำสีหน้าลำบากใจ “พวกกูคิดกันมาแล้ว หาใหม่อีกรอบได้ป่ะวะ หรือไม่ก็เรียกมาแคสต์ใหม่ ลองเล่นดูใหม่”


“ถ้าไม่ใช่ไม่ถูกใจก็อย่าเปลืองเวลาแคสต์ใหม่เลยว่ะ เปิดอีกรอบไปเลยง่ายกว่า” ผมเสนอ ซึ่งหลายคนก็เห็นด้วย


ฝ่ายประชาสัมพันธ์รีบประกาศผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยระบุวันเวลาที่จะแคสติ้งใหม่เป็นวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย ที่พวกเราไม่ยอมเริ่มตั้งแต่เช้าหรือสาย ๆ หน่อยเพราะไม่อยากให้ติดเที่ยง ไม่อยากเสียเวลากับอาหารมื้อกลางวันอีก ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าแคสติ้งครั้งนี้ต้องกินเวลานานไปถึงเย็นแน่ ๆ


“ถ้าไม่มีใครถูกใจ กูจะให้มึงเล่นนะไอ้โอม” อยู่ดี ๆ ความซวยก็มาตกที่กูเฉย ทุกคนหันมองผมตามสายตาของไอ้ผู้กำกับ


“มึงจะบ้าเหรอวะ” เป็นยัยจี๊ดที่โวยขึ้นมาก่อนใคร


“เอมว่าก็ดีนะพี่” น้องสาวตัวดีของผมที่นั่งอยู่ในกลุ่มน้องปีสองออกเสียงแสดงความเห็นหลังจากที่นั่งพยักหน้างึกงักกันมาตลอด


“เงียบไปเลยยัยเอม”


“ความจริงโอมก็เหมาะกับบทเจคอยู่นะ” ความเห็นดังกล่าวมาจากทีมเขียนบท ทีมที่มีอำนาจสูงสุดในการคัดเลือกนักแสดง


“กูไม่เล่น!” ผมประกาศกร้าว


“เห้ย เล่นดูหน่อยสิวะ”


“กูแสดงไม่เก่ง พวกมึงก็รู้”


“ของแบบนี้มันโค้ชกันได้ เพื่องานอ่ะทำไม่ได้เหรอวะ”


ผมตั้งท่าจะแย้งอีกครั้งแต่ไอ้เต๋ารั้งไว้ก่อนด้วยการกระซิบบอกถึงข้อดีของการยอมรับบทนี้ “มึงก็ลองเล่นดูหน่อยสิวะ ไม่อยากรู้เหรอว่าไอ้ศรมันจะหึงมึงบ้างรึเปล่า”


“มันจะคุ้มกันเหรอวะ”


“ไม่ลองไม่รู้นะมึง”


บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยสักนิดว่ามันคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ รู้แค่ว่าในตอนที่ไอ้เต๋ารับปากเพื่อน ๆ แทนผม ผมยังคงลังเลอยู่


อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมไม่เคยเห็นไอ้ศรหึง ส่วนสำคัญคือผมไม่เคยทำอะไรที่ให้มันหึงเลยแม้แต่น้อย งานนี้ถ้าผมได้รับบทพระเอกของเรื่องจริง...ผมเองก็อดหวังอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ว่าจะได้เห็นมันหึงบ้าง


เย็นวันนั้นผมจึงลองหยั่งเชิงดูท่าทีมันในตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกันที่ห้อง


“บทที่อยากให้มึงเล่นอ่ะ ยังหาคนมาเล่นไม่ได้ พรุ่งนี้จะแคสต์กันใหม่ พวกมันบอกว่าถ้าหาคนเล่นไม่ได้มันจะให้กูเล่นบทนี้...มึงว่าไง”


“ก็ดีนี่ กูอยากไปดูมึงเล่น” ศรเงยหน้าจากจานข้าวมามอง แสดงถึงความสนใจจริง ๆ


“มึง...ไม่หวงกูหน่อยเหรอ”


“มันเป็นงานหน่ามึง งานก็คืองาน กูสนใจแค่นั้น” พูดจบก็หันไปสนใจอาหารต่อ ไม่เงยขึ้นมาสบตากันอีกเลย กลายเป็นการตัดบทไปโดยปริยายที่ผมต้องจำยอม


ช่วงนี้ผมกับศรเจอกันแค่เฉพาะที่ห้อง ถึงอย่างนั้นก็มีเวลาน้อยแค่ตอนเย็นเพราะตอนเช้าเราออกจากห้องไม่พร้อมกันเหมือนช่วงมีเรียน อาหารเช้าของศรถูกละเว้นโดยที่ผมไม่สามารถขู่เข็นให้มันตื่นมาทานได้ ผมออกจากห้องช่วงสายทุกวันเพราะเป็นทีมงานละครเวที ขณะที่ศรออกใกล้ ๆ เที่ยงเพื่อไปเวิร์คชอปในฐานะนักแสดง


อดสงสัยไม่ได้ว่าละครเวทีของคณะสถาปัตยกรรมมีกำหนดแสดงหลังคณะผมแต่ทำไมถึงได้ตัวละครครบและเวิร์คชอปกันก่อนเสียอีก ถามศรไปก็ไม่ได้คำตอบ แฟนผมมันแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการตั้งข้อสงสัยใด ๆ กับทีมงานคณะนั้น


ในช่วงเย็นที่เจอกันก็แทบไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากไปกว่าการทานมื้อเย็นด้วยกันที่ส่วนใหญ่แล้วอีกฝ่ายสั่งมารอผมกลับมาทานพร้อมกัน ปิดท้ายความเหนื่อยล้ามาทั้งวันด้วยการที่ผมเป็นฝ่ายวอแวไปนอนกอดมันโดยไม่ได้อะไรที่มากกว่านั้นเลยสักครั้ง


“โอม...หลับรึยัง”


“อือ” ผมครางรับในลำคอ กำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้หลับเต็มที ก่อนหน้านี้เห็นมันนิ่งไปนานก็คิดว่าหลับไปก่อนแล้วเสียอีก


“วันนั้นที่บ้านอาภพ...มึงได้ยินใช่ไหม” ธรรมศรถามเสียงเบาทว่ากลับทำให้โสตประสาทผมตื่นตัวจนพาลให้ตื่นเต็มตาไปด้วย ผมมองมันจากด้านหลัง ผมดำขลำของมันห่างออกไปแค่คืบหนึ่งเท่านั้น เรียกได้ว่าใกล้จนได้กลิ่นแชมพูที่เราใช้ร่วมกัน ใกล้กันขนาดนี้แต่ผมกลับไม่สามารถล่วงรู้ความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลย


“อือ” ผมยังคงครางตอบในลำคอ ขยับตัวเข้าใกล้มันอีกนิดจนคราวนี้สามารถจูบเรือนผมอีกฝ่ายได้ “เสียงมึงดังออกมา กูตกใจ”


ศรเงียบไปนานทีเดียว นานจนผมคิดว่ามันคงหยุดพูดถึงเรื่องนี้และชิงหลับไปก่อนแล้วเสียอีก “มึงไม่เห็นใช่ไหม”


“อือ ก็มึงสั่งไว้” ผมไม่ได้เชื่อฟังเพียงเพราะว่าเป็นคำสั่งจากศร ผมเพียงแต่เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายเท่านั้น ถ้ามันบอกให้นั่งอยู่แต่ในรถ ผมก็จะยอมทำตามแม้ว่าเสียงที่ดังออกมาให้ได้ยินจะทำให้ผมห่วงความรู้สึกมันมากแค่ไหนก็ตาม


ตอนนั้นผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าครอบครัวมันไม่ได้เพอร์เฟ็คอย่างที่คิด


“กูไม่อยากให้มึงเครียดหรือกังวลนะ ไม่ชอบแบบนั้น มึงรู้ใช่ไหม” เสียงผมหนักแน่นและชัดเจนไร้แววงัวเงียอย่างก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง


“อือ ไว้วันหนึ่งจะเล่าให้มึงฟัง...ถ้ามึงยังไม่ไปไหน”


ผมยิ้ม ยิ้มทั้งที่ศรไม่มีทางมองเห็น ยิ้มให้ตัวเองที่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสจะได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้อีกฝ่าย แม้ว่าอาจจะต้องรอต่อไปอีกก็ตาม...แต่ผมก็ยินดี


“กูรอเก่งกว่าที่มึงคิดเยอะ”


“...”


“ศร”


“หือ”


“อย่ากลัวว่าจะเดียวดาย จำเอาไว้ว่ากูจะจับมือมึงไว้เสมอ”


“อือ ปากหวานจังวะ อยากได้อะไรไหนพูด!”


ผมหัวเราะน้อย ๆ “เห็นกูเป็นพวกทำดีหวังผลไปได้” ว่าแล้วก็กระชับกอดให้เนื้อตัวเราแนบแน่นขึ้น ฝังหน้าลงกับหลังคอของศรแต่ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ดิ้นออกหรือแสดงท่าทีรำคาญเหมือนทุกที


ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปปล่อยให้ความเงียบของค่ำคืนได้ทำหน้าที่ของมันแทนทุกสรรพเสียง มันนานจนผมเคลิ้มหลับอีกครั้ง แต่เพราะว่าอยู่ใกล้มาก ในตอนสติสัมปชัญญะสุดท้าย โสตประสาทของผมก็ได้ทำงานอีกครั้งก่อนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเต็มที


“เชื่อเถอะ...ไม่มีใครทำอะไรเพื่อหวังผลเท่ากูอีกแล้ว






เป็นไปตามคาด งานแคสติ้งครั้งที่สองกินเวลายาวจนผมต้องส่งข้อความไปบอกศรว่าให้ทานอาหารเย็นไปก่อนไม่ต้องหิ้วท้องรอ ผลสรุปของการแคสต์ในวันนี้คือผมต้องรับบทพระเอกของเรื่องอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากหน้าที่ฝ่ายภาพกลายเป็นพระเอกเฉยเลยกู


จากที่ชีวิตยุ่งพอประมาณกลายเป็นยุ่งมาก ไหนจะต้องมาถ่ายรูปรวม เข้าพระเข้านาง และนัดเวิร์คชอปก่อนจะต่อบทในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้อีก ไม่ต้องทำนายก็รู้เลยว่าผมคงแทบไม่มีเวลาเจอหน้าแฟนแน่ ๆ ลำพังแค่มันแสดงละครเวทีคนเดียวผมก็คงได้เจอมันน้อยลงแล้ว พอผมต้องเล่นด้วยอีกคนและเป็นคนละเรื่องกันด้วย งานนี้คงได้เจอกันแค่ตอนนอนเท่านั้นแน่ ๆ


ขนาดยังไม่ทันได้เริ่มฝึกงานและซ้อมละครเป็นจริงเป็นจังเรายังได้เจอกันแบบนับชั่วโมงได้เลย และเพราะเจอกันน้อย ผมจึงนัดมันไปเดทด้วยหนังรอบดึกเสียหน่อย แต่ก็นะ...ไม่ได้เตรียมใจที่จะถูกปฏิเสธเลยสักนิด


[กลับไปดูที่ห้องเถอะว่ะ กูเพลียมาก]


ก็พอรู้อยู่ว่าการเวิร์คชอปมันใช้พลังงานชีวิตเยอะขนาดไหน แต่ไม่คิดว่าคนที่บอกว่าเพลียมากจะกลับห้องมาด้วยสภาพเหมือนศพเดินได้ที่ทิ้งตัวใส่ผมทันทีที่เจอกัน


“อุ้มหน่อย” ศรพูดเสียงยานคาง ฟังดูเหมือนอ้อนจนผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมา


“อุ้มขึ้นเตียงนะ” ผมแกล้งกระซิบเสียงแหบพร่าชิดใบหูศร อีกฝ่ายก็ดูว่าง่ายไม่ฟึดฟัดขัดขืน มีแต่ครางอือรับแล้วบอกว่าไปไหนก็ได้หมด


ผมพลิกตัวให้มันขี่หลังจนโดนตีด้วยแรงอันน้อยนิดพร้อมคำด่าว่าเล่นใหญ่แต่ผมไม่สน ในเมื่อมันบอกว่าให้อุ้มแต่ผมไม่กล้าอุ้มมันในท่าเจ้าสาวเพราะกลัวตัวเองจะหลังเดาะแล้วพามันล้มไปด้วยจึงจำต้องใช้วิธีนี้เพื่อพามันไปนอนพักได้ ผมไม่ได้พาไอ้คุณชายไปนอนบนเตียงอย่างที่หยอกไว้ แต่เลือกที่จะพามันไปนอนเอนที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นแทน


“กินข้าวมายัง”


“กินแล้ว”


ผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รองขาที่ถูกขยับมาใกล้กัน มองดวงหน้าหล่อราวเทพช่างปั้นแต่วันนี้แสนอ่อนล้าแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนยื่นมือไปเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้าหล่อ “เหนื่อยมากเลยดิ หื้ม”


“เออดิ ทีมงานเขาบอกว่าจะรีบให้กูเป็นตัวละครนั้นให้ได้ก่อนแยกย้ายไปฝึกงาน ช่วงนั้นกลับมาซ้อมจะได้ลื่นไหล” ศรตอบทั้งหลับตา เสียงยานคางเอื่อยเฉื่อยบ่งบอกว่าเจ้าตัวเหนื่อยมากจนน่าสงสาร


“ดื่มน้ำหวานหน่อยไหม”


“ไม่อ่ะ อยากพัก”


แม้จะได้ยินอย่างนั้นแต่ผมก็ตัดสินใจรบกวนการนอนของมันอีกครั้งด้วยการใช้ผ้าเย็นเช็ดใบหน้าราวกับประติมากรรมของมันเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้


ถึงจะหลับตาพักความอ่อนล้าแต่หัวคิ้วยังเคลื่อนเข้าหากันจนหน้ายุ่งไปหมด เห็นแล้วก็ขัดใจไม่อยากให้ศรเครียดมากจึงโน้มตัวเข้าไปกดจูบหนัก ๆ ตรงหว่างคิ้ว


“อื้อ” คนถูกรบกวนเวลาพักครางเสียงรำคาญออกมาจากลำคอก่อนลืมตาขึ้นมองผมตาขวาง “ทำอะไร”


“จะหลับก็หลับ ขมวดคิ้วทำไม”


“มันเป็นไปเองหน่า” ศรหลับตาลงอีกครั้ง ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าตัวจะพยายามควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ให้ยุ่งเหยิงเหมือนเมื่อครู่


“เหนื่อยมากไหม”


“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”


“งั้นก็คงอาบน้ำเองไม่ไหวสินะ”


“อย่าคิดทะลึ่ง กูไม่มีแรงจะสู้รบกับมึงหรอกนะ”


ผมหลุดขำ


“เอ้อ...ศุกร์นี้กูต้องไปกินหมูกระทะกับทีมละครเวที มึงไปกับกูนะ”


“ที่ไหน”


“ยกครัว” ผมบอกชื่อร้าน ยกครัวเป็นร้านหมูกระทะใกล้มหา’ลัยที่แทบจะกลายเป็นโรงอาหารมื้อเย็นของนักศึกษาสถาบันนี้ไปแล้ว


“งั้นไปพร้อมกัน” ผมเลิกคิ้วแทนคำถามทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางเห็น ไปพร้อมกันไม่ได้แปลว่า ‘ไปด้วยกัน’ แน่ ๆ “พวกกูก็นัดกินที่นั่นเหมือนกัน”


เซ็งนิดหน่อยที่ต้องนั่งแยก แต่ถือว่าโชคดีที่บังเอิญนัดวันเดียวกัน ผมจะได้ไม่ต้องร้องขอตามไปด้วยในวันอื่น มารู้สึกเซ็งสุด ๆ ก็ตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมองแล้วพูดขึ้นมาว่า “บอกไว้ก่อนเลยว่าห้ามเข้าไปยุ่งกับโต๊ะกูเด็ดขาด”


เหมือนโดนคำสั่งว่าห้ามหึง...


ผมอ้าปากตั้งท่าจะแย้งแต่ก็ถูกห้ามด้วยสายตาที่มองดุกลับมา “มันเป็นงานละลายพฤติกรรม กูไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน”


“งั้นมึงก็ต้องทำตัวดี ๆ”


“กูจะไม่ยุ่งกับใคร” มันตอบแบ่งรับแบ่งสู้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองแม่งดึงดูดคนรอบข้างดีแค่ไหน


“ปฏิเสธใครได้ก็ควรทำ”


“กูจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนะเว้ย...อีกอย่างนะ ตั้งแต่กูคบกับมึง กูก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางเหอะ ครั้งนี้มึงอย่าทำงานกูพังก็แล้วกัน”


ผมถอนหายใจแรง จริงอย่างที่มันว่า ศรไม่เคยนอกลู่นอกทางหรือทำตัวเจ้าชู้ให้เห็นเหมือนอย่างก่อนคบกัน แต่ความมีมนุษยสัมพันธ์ของมันก็ยังดีอยู่เหมือนเดิม รับน้ำใจเขาไปเสียหมด ใครเข้าใกล้ก็ยินดีปรีดาไม่ได้หวงเนื้อหวงตัว มันไม่ถนอมใจคนขี้หวงอย่างผมเลยสักนิด


“แล้วนี่จะเริ่มฝึกงานเมื่อไหร่” ผมเปลี่ยนเรื่องแก้เซ็ง ได้ยินมันบอกว่าติดต่อบริษัทฝึกงานตั้งแต่ช่วงก่อนสอบแล้ว


“เดือนหน้า”


“อือ พร้อมกัน”


ผมปล่อยศรให้นอนพักอยู่ตรงนั้นโดยที่ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ลุกไปไหน เราอยู่กับแบบเงียบ ๆ สุดท้ายวันนี้ผมก็ไม่ได้ดูหนังกับมันอย่างที่ตั้งใจไว้ นั่งไปนั่งมาก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็กลางดึกแต่นอนเหยียดยาวบนโซฟาเบดไม่ใช่เก้าอี้ตัวเดิมแล้ว และยังมีผ้าห่มคลุมกายอยู่ด้วย ผมไม่ได้ลุกขึ้นนั่ง แค่หันไปมองยังทิศของศรก่อนที่ผมจะหลับไป เมื่อเห็นว่าอีกคนก็ยังนอนอยู่ตรงนั้นผมก็ตัดสินใจหลับต่อพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ


ศรเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่อาบน้ำก็ห้ามขึ้นเตียง และผมก็ไม่ซีเรียสกับการนอนตรงนี้เสียด้วย แค่มันยอมลุกจากที่นอนมาจัดท่านอนผมเสียใหม่ทั้งที่ตัวเองเหนื่อยแทบแย่ก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่ทำให้ใจผมฟูยิ่งกว่าการเดทกันเสียอีก






ในวันที่นัดกินเลี้ยงสานสัมพันธ์ทีมงานละครเวที พวกผมมีนัดถ่ายรูปรวมนักแสดงกันก่อนในตอนบ่าย จากเดิมที่ตั้งใจจะไปร้านอาหารด้วยกันจึงกลายเป็นว่าศรต้องติดรถเพื่อนไปด้วยเพื่อที่ขากลับจะได้กลับพร้อมผม ก่อนออกมาที่คณะผมก็เพิ่งไปส่งมันที่คณะโน้นมา


งานนี้ผมเก๊กหน้าจนเมื่อยไปหมด ไหนจะถ่ายคนเดียว ถ่ายเข้าคู่พระนาง ถ่ายกับนางร้าย ถ่ายกับเพื่อนพระเอก ฝ่ายคอสตูมก็ช่างขยันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเสียจริง ถ่ายกับนางเอกชุดนึง ถ่ายกับนางร้ายก็อีกชุด บ่นใส่พวกนั้นไปก็โดนด่าว่าไม่ทุ่มเทแล้วก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทั้งที่มันก็แค่รูปโปรโมทเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่รูปใช้จริงในการแสดงหรือสูจิบัตรเสียหน่อย ทำไมต้องทำอะไรให้เยอะด้วย


“เชี่ย” อยู่ดี ๆ ไอ้พีทที่เพิ่งหลุดออกจากโลกของฝ่ายฉากมาร่วมชมของสวย ๆ งาม ๆ ที่สตูดิโอก็อุทานออกมาหน้าตื่นข้างผมที่รอเข้าฉากต่อจากมิ้นซึ่งรับบทเป็นนางร้ายของเรื่อง


“อะไรของมึง” โจถามแทนสายตาของผมกับเต๋าที่หันมองอย่างสนใจเช่นกัน


“มึงจำวันที่มึงบอกให้กูแยกผู้หญิงออกจากไอ้ศรในผับได้ป่ะ” ไอ้พีทเล่าด้วยเสียงที่เบาลงจนแทบกระซิบทำให้พวกผมต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเหมือนสุมหัวกัน


“วันไหน กูก็ใช้มึงทุกวันที่มันออกเที่ยวอ่ะ”


ไอ้พีทขยี้หัว “โว้ย วันนั้นอ่ะ วันแสดงสารนิพนธ์รุ่นพี่อ่ะ ที่กูจูบเขาจนปกเจ่อ”


“อ๋อ ทำไม” พอจะนึกออก วันที่ศรกลับไปนอนบ้านอาคนที่เป็นหมอ


“ก็ผู้หญิงที่รับบทเคทอ่ะ นั่นน่ะ คือคนเดียวกับคืนนั้นเว้ย”


“เชี่ยยย” พวกผมสามคนเผลอร้องเสียงหลงออกมาเสียงดังจนแทบงับปากไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวก็มีสายตาหลายคู่มองมา รวมถึงสายตายัยจี๊ดที่มองมาอย่างตำหนิด้วย


ผมค้อมหัวให้มันแทนการขอโทษที่เสียงดังทำให้คนที่กำลังทำงานอยู่เสียสมาธิ


“แล้วไงต่อวะ” ไอ้โจถามซื่อ ๆ


“โว๊ะ! ก็ต้องระวังตัวไงวะ เอ๊ะ! หรือกูจะสานต่อดี”


“เขาสนใจกู” ผมไม่ได้อยากทำลายฝันเปียก ๆ ของเพื่อน แต่มันคือความจริง หน้าหื่น ๆ ของพีทตึงขึ้นแต่ก็แฝงไปด้วยความสงสัย


“จะอวดว่าหล่อหรืออะไร”


“เขาเข้าหากู พวกมึงต้องช่วยกันเขาออกไป”


“กันทำไมวะ” เต๋าแสดงความเห็นบ้าง แม้ความเห็นของมันจะฟังดูไม่เข้าหูผมสักเท่าไหร่แต่ก็อดรู้สึกเสียววาบไม่ได้ คนที่ชอบฟังมากกว่าพูด เก็บข้อมูลเก่งและจอมวางแผนอย่างมันพูดออกมาแต่ละครั้งทำผมคิดไม่ตกทุกที “ลองปล่อยให้เธอเข้าหาดูดิ เผื่อไอ้ศรจะหึงบ้าง”


“หาเรื่องใส่ตัว” ผมส่ายหน้า จริงจังครับ ยังไงก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด


“ไม่ลองดูสักหน่อยวะ เอาแต่พองาม พอให้รู้ว่ามันหึงก็พอไง”


“ไม่…”


“มึงอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่ามันแคร์มึงบ้างรึเปล่า กูว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีนะ วันนี้ไปกินเลี้ยงร้านเดียวกันด้วยใช่ป่ะ เหมาะมาก เชื่อกู”


“แต่ช่วงนี้มันแสดงออกเยอะขึ้นนะว่ารักกู”


“แต่กูว่าผลลัพธ์มันอาจมีได้หลายแบบ” ไอ้โจขัดขึ้นมา ท่าทางมันซีเรียสดูเอาการเอางานผิดกับตอนเรียน “มันอาจจะหึงมึงจริง หรืออาจจะแค่รู้สึกเสียหน้า หวงของเฉย ๆ ก็ได้”


“แรงว่ะ!” พีทว่า


“อ้าว! ก็จริงนี่หว่า เรื่องของความรู้สึกมันซับซ้อนนะเว้ย อย่างมึงอ่ะแสดงออกทั้งท่าทางและคำพูดมาตลอด แต่มันไม่เคยนะ มึงจะแน่ใจได้ไงว่าหึงจริง”


“พูดเหมือนรู้จักความรักเว้ยเห้ย” เต๋าว่าไอ้โจ ขณะที่ผมเงียบไปนานแล้ว ทุกคำพูดของเพื่อนเข้าหูผมทั้งหมด มันซึมลึกไปถึงสมองและผมก็ดันคล้อยตามคนไม่ได้เรื่องที่สุดอย่างโจแทนเต๋าเสียแล้ว


“สุดแล้วแต่มึงแล้วกันนะ” เต๋าตบบ่าผมให้กำลังใจ มันเองก็คงเห็นด้วยกับโจไม่มากก็น้อยถึงได้ไม่ยุให้ผมทำแบบเดิมต่อ






แม้จะไม่อยากทำตามคำแนะนำเดิมของไอ้เต๋า แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจสักเท่าไหร่เมื่อผมถูกเพื่อนบังคับให้นั่งตรงกลางระหว่างสาวรุ่นน้องที่รับบทนางเอกและมิ้นที่รับบทนางร้ายด้วยเหตุผมที่ว่าต้องสร้างความคุ้นเคยสนิทสนมกันไว้เพื่องานแสดงที่ลื่นไหล


ผมเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ด้วยการทำตัวยุ่งตลอดเวลากับหน้าจอโทรศัพท์บ้าง เดินออกไปคุยนอกโต๊ะบ้าง ซึ่งเป็นการโทรถามศรว่าจะมาถึงร้านกันเมื่อไหร่ จองโต๊ะหรือยัง นั่งกันตรงไหน จนเมื่อถาปัดกลุ่มใหญ่มาถึงกันนั่นแหละ ผมจึงจำต้องพาตัวเองกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างช่วยไม่ได้


พวกผมต่อโต๊ะกันจนเป็นแถวยาวที่รองรับกว่าสามสิบชีวิต ผมนั่งโซนกลางซึ่งห้อมล้อมด้วยนักแสดง ขณะที่เพื่อน ๆ ผมต้องระเห็จไปนั่งกับกลุ่มคนเบื้องหลังซึ่งห่างไกลจากจุดที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้


กลุ่มศรนั่งห่างออกไปสองโต๊ะ ไม่ไกลเกินกว่าที่สายตาของผมจะมองเห็น และการที่มันเลือกนั่งหันหน้ามาทางผมก็ยิ่งทำให้ผมสะดวกในการสอดส่อง แต่ที่ทำให้หงุดหงิดสุด ๆ คือการที่ไอ้เด็กจากคณะเกษตรนั่งอยู่ข้างมันที่โต๊ะนั้นด้วย!


“หายไปนานเลยนะคะโอม มิ้นย่างไว้ให้แล้วค่ะ” ผมไม่ทันสนใจเนื้อหมูสุกแล้วที่เธอคีบใส่จานผม ไม่สนใจจะเอ่ยขอบคุณด้วยซ้ำเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับไอ้ศรและเหี้ยนั่น


การที่มันก็เล่นละครเวทีเรื่องนั้นด้วยทำให้ผมร้อนรน อยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้เรื่องแต่ทำได้แค่ส่งข้อความไปเท่านั้น



OMIN : มันเล่นเรื่องเดียวกับมึงเหรอ
DharmaSORN : ใคร
OMIN : ไอ้เด็กเกษตรที่นั่งข้างมึง
DharmaSORN : ไอ้ท็อปอ่ะนะ
OMIN : เออสิวะ
DharmaSORN : ก็เออ มันเล่นเป็นคู่แข่งกู
OMIN : ทำไมมึงไม่บอกกู
DharmaSORN : ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรป่ะวะ มันจะเล่นก็สิทธิของมันอ่ะ เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับกู



ฮึ่ย!! แต่มันชอบมึงไงโว้ย!!!



OMIN : อย่าให้มันเข้าใกล้มาก
OMIN : กูหวง
OMIN : กับคนนี้กูจริงจังมากนะศร


ไม่อยากบอกมันตรง ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรด้วย ผมเลยต้องทำตัวหมาหวงก้างแบบงี่เง่าอยู่อย่างนี้



DharmaSORN : กูไม่ยุ่งกับมันอยู่แล้วหน่า รำคาญมันจะแย่



ถามว่าผมเชื่อมันได้ไหม


ดูจากที่มันไม่ได้คุยกับโอ้ท็อปอะไรนั่นมากนักและยังมีท่าทีรำคาญจริงดังว่าแล้วผมก็เชื่อสนิทใจ แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด มันคันยุบยิบในใจจนแทบบ้า


นี่ยังไม่นับรวมสาวสวยพวกนั้นที่ห้อมล้อมและพร้อมใจกันปรณนิบัติเอาใจมันสารพัดอีกนะ


ให้ตายเหอะ ผมหัวร้อนมากจริง ๆ แล้วตอนนี้


ผมคีบหมูที่มีคนย่างให้เข้าปากด้วยความหงุดหงิด นี่ผมนั่งมองแฟนตัวเองถูกคนอื่นกระแซะตักนั่นคีบนี่ให้มาเกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้วมั้ง อยากจะเดินเข้าไปอาละวาดเสียให้วงแตก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันห้ามไว้ก่อนตั้งแต่ต้น มันมากับเพื่อนใหม่ นี่เป็นการละลายพฤติกรรม ไม่ใช่มาทำให้ทุกคนขยาดกับการร่วมงานกันเพราะความขี้หึงของผม


งาน


งาน


งาน


งานโว้ยยยย


นี่ผมเอาแต่ท่องคำนี้มานานแค่ไหนแล้ว บอกเลยว่าครั้งนี้ผมทนได้นานกว่าที่เคยทำสถิติไว้เยอะมาก และตอนนี้ผมก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว!!


ไม่ครับ ผมไม่ได้ทำอย่างที่ใจต้องการหรอก คนอย่างกูทำได้แค่เดินไปสงบสติที่ห้องน้ำเท่านั้นแหละ


วิถี loser สัด ๆ


ผมเดินวนอยู่หน้าห้องน้ำซึ่งเป็นโซนสำหรับสูบบุหรี่ ผมไม่อยากสูบเพราะเลิกไปนานแล้ว (ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้ติดบุหรี่อะไรมากนัก) ถึงจะเครียดถึงจะหงุดหงิดแต่ก็ต้องห้ามใจตัวเองไว้ ผมเป็นคนชวนศรเลิก ผมก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้มันด้วย


“โอมคะ” ผมสะดุ้งสุดตัว ไม่ใช่เพราะเสียงหวานหู แต่เพราะถูกใครก็ไม่รู้เข้ามาเกาะแขน จนเมื่อหันไปมองเต็มตาถึงได้รู้ว่าเป็นมิ้น


“ปล่อย” ผมพูดนิ่ง ๆ อย่างไม่สบอารมณ์


“คืนนี้เราไปต่อกันนะคะโอม”


ผมชักสีหน้า นอกจากเธอจะไม่ปล่อยแล้วยังเบียดเนื้อตัวเข้าใกล้ผมอีก “นี่มันที่สาธารณะนะคุณ จะทำอะไรหัดคิดบ้าง”


เธอยิ้ม ไม่ได้สนใจสิ่งที่ผมเพิ่งตำหนิไปสักนิด “หมายความว่าถ้าเป็นที่ลับตาคนก็ทำได้สินะคะ”


“จะที่ไหนก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น ผมมีแฟนแล้ว และที่สำคัญคือไม่ได้ชอบคุณ!” ผมสะบัดสาวเจ้าออกได้ในครั้งเดียวด้วยแรงมหาศาลอย่างที่ไม่เคยคิดจะใช้กับผู้หญิงคนไหน วิถีไม่เป็นสุภาพบุรุษไม่เคยมีอยู่ในหัว แต่เวลานี้ผมหงุดหงิดเกินกว่าจะมีอารมณ์ถนอมน้ำใจใครได้อีก








(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

ผมเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ อยากจะย้ายที่นั่งแต่ก็ทำไม่ได้เพราะทุกคนกำลังนั่งประจำที่ตนเองและสนุกสนานกับคนรอบข้าง ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ผมต้องนั่งติดกับเธอต่อไป


ความขุ่นมัวในอารมณ์ของผมพุ่งสูงยิ่งขึ้นเมื่อเห็นไอ้คุณชายเอาอกเอาใจผู้หญิงรอบข้างมัน ตอนมันถูกเอาใจผมยังเข้าใจว่าเป็นมารยาทที่มันต้องรับน้ำใจไว้เพื่อการร่วมงานที่ราบรื่น แต่ตอนที่มันเอาใจเขาด้วยท่าทียินดีปรีดาเสียเหลือเกินนั่นทำให้ผมฟิวล์ขาด ยิ่งเห็นมันคุยกับไอ้เด็กคณะเกษตรคนนั้นอย่างหน้าชื่นตาบานผมก็ยิ่งทนต่อไปไม่ไหว คำห้ามที่เคยได้รับไม่อยู่ในหัวผมอีกต่อไป ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากพามันออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด


“กูกลับก่อนนะ”


“อ้าวเห้ย รีบไปไหนวะ” ผมได้ยินเสียงไอ้โจร้องถาม แต่ผมไม่สนใจจะตอบ เดินดุ่ม ๆ มุ่งหน้าไปยังโต๊ะของเด็กถาปัดด้วยความร้อนรุ่ม


“กลับ!” ผมกระชากแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน มันยืนตามแต่ยังขืนตัวไปออกจากตรงนี้ เรายืนจ้องตากัน นัยน์ตาคู่สวยที่ผมชอบมองเต็มไปด้วยความว่างเปล่าที่ยากจะคาดเดา เป็นอีกครั้งที่ผมอ่านมันไม่ออก


“เกิดอะไรขึ้นวะศร” ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักเข้ามาแทรกตัวระหว่างเรา นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววเป็นห่วงคนของผมอย่างออกนอกหน้า ขัดหูขัดตาเสียจนผมอยากจะอัดหน้ามันสักครั้งถ้าศรไม่แทรกตัวเข้ามาคั่นกลางเสียก่อน


“ไม่มีอะไร กูกลับก่อนนะฟ้า ผมกลับก่อนนะครับทุกคน”








อันที่จริง...ผมไม่ควรคาดหวังว่าคน ๆ หนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เขาเป็น เพียงเพราะ ณ เวลานี้เขาดูเหมือนจะรักเรา


คงจะจริงอย่างนั้น


ผมไม่ควรคาดหวังว่าไอ้ศรจะเลิกทำตัวเพลย์บอย


“บางทีกูก็คิดนะว่ามึงอาจจะไม่ได้รักกูเหมือนที่กูรักมึง!” ผมระเบิดเสียงทันทีที่เข้ามาในห้องหลังจากใช้ความเร็วสูงในการขับรถมาถึงคอนโดโดยสวัสดิภาพ


“พูดบ้าอะไรของมึงวะ”


“ถ้ามึงรักหรือชอบกูสักนิด มึงก็คงไม่มีความรู้สึกอยากใกล้ชิดคนอื่นที่ไม่ใช่กูอีก”


“หมายความว่ากูไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยรึไง”


“มีได้เว้ย แต่ไม่ใช่แบบเมื่อกี๊!”


“...”


“รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าควรจะแคร์กูให้มากกว่านี้อ่ะ!!”


“...”


“อย่าให้กูทำแบบมึงบ้างนะศร!”


“แล้วตอนนี้ยังไม่ได้ทำอยู่รึไง!”


“หมายความว่าไง? ศร หันมาคุยกันก่อน มึงไปเห็นหรือได้ยินอะไรมา”


“...”


“ไม่คุยกันแล้วจะเข้าใจกันเหรอวะ”


“กูไม่อยากคุย”


ผมแค่นหัวเราะ “หึ แน่ล่ะ มึงไม่ได้รักกูอยู่แล้วนี่ มึงอยากเลิกอยู่แล้วกูรู้” เพราะที่ผ่านมาศรไม่เคยทำให้ผมมั่นใจเลยว่ามันเองก็คิดแบบเดียวกับผม มันยังทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับทุกคน หว่านเสน่ห์เขาไปทั่ว ที่สำคัญคือมันไม่เคยเปิดใจ ทำเหมือนผมเป็นแค่คู่นอนไม่ใช่คู่รักจนอดคิดไม่ได้ว่ามีผมฝ่ายเดียวที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้ไว้


“เราเลิกกันดีไหมวะ”


“อะ อะไรนะ” ผมรู้สึกเหมือนหมดเรี่ยวแรงเมื่อได้ยินคำว่าเลิกออกจากปากของศรเข้าจริง ๆ


“คบกับกูแล้วมึงดูเหนื่อย ยิ่งคบกันมึงก็ยิ่งเหนื่อย ถ้ามึงเหนื่อย เราก็เลิกกะ…”


“เงียบ!” ผมตะโกนสุดเสียง มือไม้ผมสั่นพอ ๆ กับหน้าที่สั่นเพราะกัดกรามเพื่อคุมอารมณ์ ขมับผมคงมีเส้นเลือดปูดโปน และคงจะแตกได้ง่าย ๆ หากได้ยินถ้อยคำทำร้ายจิตใจจากศรอีกครั้ง


“...”


“กูบอกให้หยุดพูด ได้ยินไหม!!” ผมแหกปากสุดเสียงอีกครั้งทั้งที่อีกฝ่ายเงียบไปนานแล้ว จากคนที่เหมือนไร้เรี่ยวแรงก็ไม่รู้ว่าไปเอากำลังมหาศาลมาจากไหนถึงได้พุ่งเข้าหากายที่สูงพอกันอย่าบ้าคลั่ง แรงปะทะจากการจับไหล่ทั้งสองข้างของศรทำให้ร่างของมันเซไถลไปด้านหลังก้าวครึ่ง


ผมจ้องตามันในระยะใกล้ นัยน์ตาคู่นั้นว่างเปล่าจนผมกลัว “อย่าพูดแบบนี้อีก...อย่าพูดว่าเลิกกัน” คล้ายกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะรั้นยึดความต้องการเดิมที่จะจากไปผมจึงรีบคว้าร่างนั้นมากอดไว้แน่น


“มึงไม่เหนื่อยจริง ๆ เหรอวะโอม กูคบกับมึงกูยังรู้สึกเลยว่ามึงเหนื่อย มึงกังวลตลอดว่ากูไม่ได้รักมึง มึงระแวงว่ากูจะมีคนอื่น มึงไม่เคยเชื่อใจกู ความสัมพันธ์ที่มันดำเนินบนพื้นฐานของความรู้สึกแบบนี้...มึงไม่เหนื่อยจริง ๆ เหรอวะ”


“กูรักมึง” ผมพูดด้วยเสียงหนักแน่นทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกสั่นไหว “อย่าทิ้งกูไป”


“...”


“กูไม่เหนื่อยเลยศร กูขอโทษ กูขอโทษ”


“โอม ปล่อยกูก่อน กูเจ็บ”


“กูรักมึง”


“...มึงได้ยินไหมว่ากูเจ็บ!!”


“ขะ ขอโทษ เจ็บตรงไหนไหม กูขอโทษ” ผมผละออก ละล่ำละลักขอโทษพร้อมพลิกตัวมันไปมาราวกับหาร่องรอยการบาดเจ็บราวกับคนขาดสติ


“พอเถอะหน่า!” ศรผลักผมออก


“ศร กู…”


“ถ้าอยากคุยกูก็จะคุย”




แม่งโคตรเจ็บ


เป็นความรู้สึกที่นั่งคนละมุมของโซฟาเหมือนเดิมแต่รู้สึกถึงความห่างเหินกว่าทุกที


ผมรู้สึกเหมือนกำแพงของศรทั้งสูงและหนาตัวขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย


แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่มันพูดคำนั้นออกมา


คำว่าเลิกกัน


“แล้วยังไง? ถ้าไม่เลิกแล้วมึงจะเอายังไง มึงรับได้เหรอถ้ากูจะสนิทกับคนอื่น” ศรไม่ได้หันมามองผมอย่างที่ผมทำ มันเอาแต่มองหน้าจอมืดดำของโทรทัศน์ราวกับว่ามันน่าสนใจเสียเต็มประดา


“ขอแค่อยู่ในขอบเขต”


“แบบไหนล่ะ” ศรหันมามองกันเต็มตา “แบบที่เกาะแขนออดอ้อนกันเนื้อแนบเนื้อน่ะเหรอถึงจะอยู่ในขอบเขต ถ้าถึงขั้นมีเซ็กซ์กันแล้วบอกว่านอกขอบเขตงั้นกูก็ไม่เคยทำอะไรผิดนะ!”


“ไอ้ศร!!”


“ทำไม!? กูพูดอะไรผิดเหรอ”


“...”


“เหอะ อยากต่อยกูสักหมัดไหมล่ะ” มันหลุบตาลงต่ำ คงเห็นว่าผมกำลังกำหมัดแน่นถึงได้พูดอย่างนั้น “เอาไหม ต่อยกันให้น่วมแล้วแยกกันไปเลย”


“พูดบ้าอะไรวะ!”


“...”


“คิดว่าคนอย่างกูจะทำร้ายมึงได้ลงคอเหรอ!!”


“...”


“แล้วเรื่องแยกกันก็เลิกคิดไปได้เลย”


“...”


“เราพูดกันดี ๆ ไม่ได้เหรอวะ” เสียงของผมอ่อนลง


“...”


“ศร...มึงไปรู้ไปเห็นอะไรมา กูอธิบายได้นะ แค่มึงถาม แค่มึงถามมาเท่านั้น มึงยังแคลงใจอะไรในตัวกูอีกเหรอ กูเคยทำอะไรให้มึงไม่มั่นใจในความรักของกูรึไง”


ศรหรี่ตามอง ถึงจะเรียวเล็กกว่าปกติแต่ผมก็เห็นว่ามันเริ่มแดง


“...เคยมีซักครั้งเหรอ”


ผมไม่ได้คาดคั้นต่อจากนั้น ปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ให้อีกฝ่ายได้ตรึกตรอง ศรยังคงจ้องหน้าผม ใบหน้าเรียบเฉยก็ยังหล่อไร้ที่ติ เพียงแต่สิ่งที่แสดงออกทางแววตาไม่ได้ว่างเปล่าอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ยิ่งมองลึกลงไปผมก็ยิ่งสับสนเมื่อพบว่ามันมีอะไรมากมายอยู่ในนั้น อะไรที่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดจากความผิดใจกันครั้งนี้หรือสะสมมานานแค่ไหนแล้ว


“มึงกับผู้หญิงคนนั้น...” ผมรออยู่นานแค่ไหนไม่รู้กว่าที่ศรจะยอมเปิดปากพูด “..ที่หน้าห้องน้ำ”


“ถ้าหมายถึงเรื่องวันนี้กูอธิบายได้นะ” ผมใจร้อนเกินกว่าจะรอให้อีกฝ่ายเล่าจบ เพียงแค่เกริ่นมาแค่นี้ผมก็พอจะเดาได้ว่าศรไปเห็นอะไรมา


“วันแคสติ้งนั่นด้วย”


ผมพุ่งเข้าไปหมายจะคว้ามือมันไว้แต่กลับคว้าได้เพียงลมราวกับอีกฝ่ายรู้ทัน มันรีบชักหลบพร้อมกับหันหน้าหนี “ถอยออกไปแล้วเล่ามา”


ผมถอยกลับมาที่เดิมตามคำสั่งนั้น สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งหลักก่อนเริ่มเล่าความจริงในแง่มุมของตัวเอง “ไม่ว่าจะเป็นวันนั้นหรือคืนนี้ ที่มึงเห็นคือเธอพยายามเข้าใกล้กูแต่กูไม่เล่นด้วย” ผมไม่อยากพูดจาไม่ให้เกียรติเพศแม่ แต่เพราะผมแคร์ไอ้ศรมากกว่าจึงจำต้องพูดอะไรแบบนั้นออกไป “กูรักมึงมาก รักมึงคนเดียวมึงก็รู้”


“...”


ไอ้ศรเงียบ ความเงียบของมันทำให้ผมต้องย้ำอีกครั้ง “กูรักมึง”


“...”


“กูรักมึงมากนะศร” ผมเอาแต่พร่ำพูดคำว่ารักซ้ำไปซ้ำมาผิดจากที่เคยค่อนขอดว่าพูดบ่อยจะฟังดูไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่นาทีนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันคือคำเดียวที่จะช่วยรั้งใจศรให้อยู่กับผมได้ “มึงเชื่อกูใช่ไหม”


“เธอไม่รู้ว่ามึงมีแฟน?”


“รู้สิ กูอยากบอกคนทั้งโลกเลยด้วยซ้ำว่ามึงเป็นแฟนกู” ผมว่าผมพูดยาวเกินไป และนั่นทำให้ผมลิ้นรัวเพราะความเร่งรีบด้วย


“เธอไม่ปล่อยมึงแน่” ศรหันมามองหน้ากัน ตามันยังแดงเหมือนเดิม แต่คราวนี้จมูกแดงด้วย มันคงกำลังกลั้นรอยสะอื้นอยู่


“กูจะรีบจัดการ”


“ถ้ามึงทำไมได้?”


“กูแคร์มึงคนเดียวศร กูไม่แคร์ใครทั้งนั้น เชื่อกู”


ผมจ้องตามันราวกับจะให้คำมั่นสัญญาว่าผมจะรีบแก้ปัญหานี้ให้ได้ และมันก็ไม่ใจร้ายด้วยการหันหน้าหนี ศรจ้องมองตอบราวกับรับรู้ถึงความจริงใจของผม แต่แล้วสุดท้ายมันกลับลุกขึ้นยืน


“กูจะไปนอนบ้านอา” ใจผมหล่นวูบ แม้จะดีใจที่ไม่ว่ามันจะไปไหนก็ยังยอมบอกกัน แต่การที่มันเลือกจะหนีหน้าผมในคืนนี้ก็นับว่าสร้างความเจ็บปวดและรอยร้าวในความสัมพันธ์ของเรามากทีเดียว


“มึงไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ถ้ายังไม่อยากนอนกับกู กูจะกลับไปนอนห้องกูเอง”


“มึงนอนที่นี่ไปเถอะ เพราะต่อให้มึงกลับห้องไปกูก็จะไปนอนบ้านอาภพอยู่ดี”


“แล้วพรุ่งนี้….” ...จะกลับมาไหม




“กูไปนะ”












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอครั้งที่ 13
-----------------------------------------------------------------------
เหตุผลของการเขียนด้วยสรรพนามบุรุษที่ 1 เพราะอยากนำเสนอมุมมองความรักของแต่ละฝ่ายในฐานะคนที่เป็นแฟนกันแล้ว คนหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง อีกคนก็คิดอีกอย่าง ทั้งความคิดและการกระทำหรือมุมมองเกี่ยวกับเรื่องความรัก ทั้งหมดล้วนเกิดจากพื้นเดิมของแต่ละคน
ครั้งหน้ามาดูมุมมองของธรรมศรกันบ้างค่ะ

อย่ากลัวว่าเขาจะเลิกกัน (ตอนนี้)
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ปวดจิต ปวดใจเหลือเกิน :sad4:

ออฟไลน์ Wine

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ขอคอมเม้นต์ยาว ๆ ในฐานะคนรักศรนะคะ55555

เราคงเป็นคนนึงในส่วนน้อยมาก ๆ ของคนติดตามเรื่องนี้ เราอยากให้ทั้งคู่เลิกกัน เลิกให้จบ ๆ ไป เลิกให้พิสูจน์อะไรต่าง ๆ มันดูเป็นความสัมพันธ์ที่เหนื่อยจริง ๆ โอมให้ความรักในรูปแบบที่เหนื่อยเกินไป แต่รูปแบบนั้นก็ไม่ผิด ถ้าโอมผิด อะไร ๆ คงเคลียร์กันง่ายกว่านี้ อันนี้ใคร ๆ ก็เทาหมด เลือกเข้าข้างไม่ถูก(แต่เอียงทางศรแน่นอนอยู่แล้ว555)

เราตามเรื่องนี้มาแต่แรกขอเดาเลยว่า ยังไงความสัมพันธ์นี้ก็ต้องเลิกกัน และถ้าไรต์ไม่ใจร้าย5555 คงกลับมารักกันให้เราได้ชื่นใจ ฮืออออ

สุดท้ายคือ รักนะคะไรต์ งานวิชาการที่ลำบากของไรต์ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ ไรต์จะได้อารมณ์ดีดี ปรานีโอมศรบ้าง55555555

จะติดตามเสมอไม่ว่าจะจบยังไง :pig4:

ออฟไลน์ saiimai1998

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แงงงงง คุณธัญญ์ทำไมมันมึนๆตึงๆอย่างนี้ละคะะะ
อ่านทอล์คแล้วใจแป้วเลย อย่าเลิกกานนนน้องโอมน้องศร มาต่อเร็วๆนะคะไรท์

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เห้อ เศร้าอ่ะ อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ เอาจริงๆเราก็สงสัยแบบโอมแหละว่าจริงๆแล้วศรรักโอมบ้างมั้ย...

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เหนื่อยแทนค่ะ โอมระแวงตลอด ศรก็มีเรื่องในใจ อึดอัดแทนทั้งคู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าจบ bad end นะคะ  :hao5:

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :sad4: :z3: :z3:
ทรมานจิตจายยยย
เห็นคนสปอยในทวิตว่าเศร้า นี่เลยไม่ค่อยกล้าอ่าน ต้องขอทำใจก่อน
ศรลูกกกก ไม่เอาไม่พูดว่าเลิกกันอีกแล้วนะ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4



Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」

Follow up ครั้งที่ 13

---DharmaSORN---






**พาร์ทที่ธรรมศรคุยกับอาภพ อยากให้อ่านเว้นวรรคตามนั้นนะคะ อ่านช้า ๆ ด้วยรัก.







วันนี้โอมอินพูดคำว่ารักเยอะกว่าปกติตลอดเวลาที่เราคบกันมาเสียอีก


แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่รู้สึกใจฟูฟ่องอย่างที่เคยคิด


ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ ไม่ใช่จะไม่รับรู้ถึงความจริงใจที่โอมมีให้


แต่เพราะผมกลัว…


ผมกำลังกลัวจะเสียมันไปจริง ๆ


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหนีออกมา


ใครบอกว่าผมไม่แคร์ความรู้สึกมัน ถ้าไม่แคร์ ตอนอยู่ที่ร้านผมคงไม่เดินตามมันออกไปเพราะอยากทำให้มันเชื่อใจหรอก


เพราะเห็นโอมเดินออกไปทางห้องน้ำ ผมจึงลุกออกจากโต๊ะเดินตามไปด้วย รู้ดีว่ามันคงหงุดหงิดกับคำห้ามของผม ผมจึงอยากจะตามไปคุยด้วยเพื่อให้มันสบายใจ ไม่อยากให้มันอยู่กับอารมณ์ขุ่นมัวตลอดทั้งคืน แต่ภาพที่ผมเห็นมันไม่ใช่ โอมไม่ได้ลุกออกมาเพราะสิ่งที่ผู้หญิงพวกนั้นทำกับผมแล้วทำให้มันไม่สบายใจ แต่มันออกมาเพราะอยากทำอะไร ๆ กับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างถนัดมากกว่า ตอนนั้นใจผมแกว่ง มันทั้งบีบหน่วงและอึดอัด ความรู้สึกที่โอมมีให้ถูกสั่นคลอน มันมีแต่ความไม่แน่นอนเต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะคิดว่าผมกำลังจะเสียมันไปจริง ๆ โอมอินคนที่รักผมแคร์ผมทุกอย่างกำลังจะทิ้งผมไปอีกคน


ผมทนดูอยู่ได้ไม่นานก็กลับไปนั่งที่โต๊ะด้วยความขุ่นมัว ใครพูดอะไรก็ไม่เข้าหูสักอย่าง จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายกลับมานั่งที่เดิมพร้อมผู้หญิงคนนั้น ผมก็เริ่มทำเหมือน ๆ เดิมอย่างที่เคยทำเวลาต้องการความมั่นใจในความรู้สึกที่มันมีให้


ที่ผ่านมาอาจจะแค่เล่นหูเล่นตากับคนรอบข้างเพื่อยั่วหยอกมันเล่น ๆ แต่ครั้งนี้ผมทำมากกว่าทุกครั้ง


ผมเริ่มเอาใจพวกเธอกลับบ้างหลังจากที่เป็นฝ่ายได้รับมาตลอด คีบนั่นตักนี่ให้คนโน้นทีคนนี้ที หรือแม้กระทั่งกับท็อปเองผมก็ยังบริการและเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง


ท็อปดูงง ๆ แต่ไม่ได้ถามอะไรกลับ แหงอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าผมเป็นคนเฟรนลี่ ที่ปากดีใส่ตอนแรกเพราะไม่สนิทกันก็เท่านั้น


ผมทำตัวเกินกว่าภาวะปกติได้ไม่นานเท่าไหร่ไอ้โอมก็บุกเข้ามา หน้าตาขมึงตึงของมันทำเอาเพื่อนร่วมงานของผมตกใจ มันพุ่งตรงเข้ามาหาผม ออกคำสั่งใส่เสียงดังลั่น สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ขมับมันเองก็เช่นกัน ดูก็รู้ว่ากำลังโกรธมาก เพื่อนผมที่ชื่อเท่าฟ้าเข้ามาขวางด้วยความเป็นห่วงเพราะมันไม่รู้จักโอมอิน แต่ผมห้ามไว้แล้วบอกลาทุกคนตอนนั้น


สุดท้ายเราก็ทะเลาะกัน


เราหนีไม่พ้นการทะเลาะกัน...มันรุนแรงกว่าทุกครั้ง


และผมก็เป็นฝ่ายหลุดปากพูดคำนั้นออกไปก่อน


คำว่าเลิกกัน


ผมไม่เคยมีสัมพันธ์ที่ยืนยาวกับใครเพราะผมกลัวที่จะได้ยินมัน คำ ๆ นั้นที่จะทำให้ชีวิตผมต้องโดดเดี่ยวและไม่มีใครต้องการอีกครั้ง


ในภาวะที่ผมไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร ผมก็มักจะนึกถึงอาภพ


อาภพเป็นแพทย์เฉพาะทางด้าน palliative care ผมไม่รู้เรื่องงานของอามากนัก รู้แค่ว่าคนไข้ของอาเป็นกลุ่มคนใกล้ตาย อยู่ในระยะสุดท้ายของโรค รักษาไม่หายแล้วทั้งนั้น ชีวิตผมแทบจะโตมาในบ้านหลังนั้นหลังจากที่คุณย่าเสียไปตอนผมอายุได้สิบขวบ


ผมโทรหาอาภพทันทีที่ออกจากคอนโด บอกให้ท่านรอเพราะผมต้องการความช่วยเหลือแม้จะดึกมากแล้วก็ตาม


ผมขับรถออกจากคอนโดด้วยความเร็วสูงแม้ว่าจะถูกอาภพสั่งห้าม แต่ถ้าขับช้ากว่านี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะมัวแต่หลุดลอยไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่มีสมาธิพอจะโฟกัสถนนหนทาง


ในขณะที่รถติดไฟแดงเพียงแยกแรกที่ออกจากคอนโดผมก็ได้รับสายจากกอล์ฟที่ระดมโทรมาหลายสายตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


“ว่าไง” ผมพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น ตัดสินใจเปิดลำโพงแทนการใส่สมอลทอร์ค


“เกิดอะไรขึ้นวะ นี่มึงอยู่ไหน”


“มีอะไร” ผมไม่ตอบ เมื่อสัญญาณไฟเขียวขึ้นมาผมก็ออกรถต่อทันทีด้วยความเร็วในระดับเดิม


“ไอ้ฟ้ามันเป็นห่วงมึง มันโทร.มาเล่าให้กูฟังว่ามึงมีปัญหากับใครสักคนในกลุ่มนิเทศฯ แล้วมึงก็เดินออกไปกับมัน...ใช่ไอ้โอมไหม”


“เออ ก็มีอยู่คนเดียวอ่ะที่กูยอม” ผมได้ยินเสียงถอนหายใจหลังจากนั้น คิดว่ามันคงเบาใจจากการเป็นห่วงผมเพราะการตื่นตูมของเท่าฟ้า


“แล้วเป็นบ้าอะไรกันอีก”


“ไม่มีอะไรก็แค่มันหึงกู” ผมพูดเสียงนิ่ง พยายามให้ดูเหมือนทุกครั้งที่โอมหึงผม


“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำตัวแบบนี้วะ” ขอบคุณที่กอล์ฟไม่ขึ้นเสียงใส่ผม แต่การที่มันพูดด้วยความเหนื่อยหน่ายมันยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่าโอมอินเองก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกัน


...เบื่อผม


“ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งอื่น ไอ้...ไอ้โอมมันอยู่กับผู้หญิงคนอื่น”


“อยู่กันแบบไหน”


“แนบชิดกัน” ผมลดระดับความเร็วของรถลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ตอนที่ตอบเสียงแผ่วเบามันทำให้ผมได้รู้ว่าระดับความเร็วตอนนี้แทบไม่ต่างจากคนเพิ่งหัดขับและยังเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง โชคดีที่ดึกเกินกว่าจะมีรถราแน่นขนัด ทำให้ผมไม่ต้องเสี่ยงโดนเสยตูดหรือโดนด่าไปถึงบุพการี


“แล้วยังไงวะ…”


ผมเร่งความเร็วของยานพาหนะขึ้นอีกครั้ง อยากจะไปให้ถึงบ้านอาภพเต็มทีแล้ว


“...พวกมึงเล่นบ้าอะไรกันอยู่ ใครทำให้อีกฝ่ายเสียใจได้มากกว่าคนนั้นจะชนะหรอ”


กึก


เอี้ยดดดดดด


ไม่ใช่แค่ลมหายใจผมที่สะดุดหลังได้ยินประโยคนั้นของกอล์ฟ แต่รถที่ขับอยู่ก็สูญเสียการควบคุมจนเสียหลักเบรกกะทันหันไปด้วย ด้วยความเร็วที่เกินจำกัดกับการเบรกเฉียบพลันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ล้อจะสะบัดจนสูญเสียทิศทางและสุดท้ายผมก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หัวรถยังหันไปด้านเดิมหรือเปล่าและอยู่มุมไหนของถนน ไม่สนใจว่าภาพตรงหน้าคืออะไร รับรู้แต่มือสั่นเทาที่ยังจับพวงมาลัยไว้แน่น มีเสียงลมหายใจที่ดังกว่าปกติเล็กน้อยกำลังดังแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงเร็วกว่าครั้งไหน ๆ จนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากช่องอก


“เลิกซะทีเถอะ ไอ้การพยายามทำให้มันหึงเพื่อเรียกร้องความสนใจอ่ะ” ผมยังได้ยินเสียงกอล์ฟดังอย่างต่อเนื่อง เพราะผมไม่ร้อง ปลายสายจึงไม่รู้ว่าฝั่งนี้เกิดอะไรขึ้น


ริมฝีปากผมสั่น ผมต้องใช้ความพยายามในการโต้ตอบกลับไปทั้งที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจะดังพอหรือเปล่า และดูเหมือนว่าผมจะโชคดีที่ไม่ต้องพูดซ้ำอีกครั้ง


“ถ้าไม่ทำแบบนั้น จะรู้ได้ยังไงว่ามันยังสนใจกูอยู่”


“มึงยังต้องสงสัยอะไรในตัวมันอีกเหรอวะ ทั้งหมดที่ผ่านมามันยังแสดงออกไม่มากพอเหรอว่ารักมึงอ่ะ”


“แล้วกูไม่แสดงออกตรงไหน ถ้ากูไม่รักมันกูจะยอมให้มันเอาทั้งที่เอาคนอื่นมาทั้งชีวิตเหรอวะ” นั่นน่ะ ศักดิ์ศรีทั้งหมดในชีวิตกูเลยนะ ผมเริ่มขึ้นเสียง แต่ไม่รู้ว่ามันจะดังได้สักแค่ไหน


“แล้วไม่คิดเหรอว่ามันเองก็กลัวว่ามึงจะภูมิใจในตัวเองมากกว่าถ้าได้รุกคนอื่น”


“...” ผมเริ่มรู้สึกว่าวันนี้ไอ้กอล์ฟพูดมากผิดปกติ และมันทำให้ผมรำคาญเอามาก ๆ


“ช่างแม่งเถอะ เราควรเลิกคิดแทนมัน แต่ที่แน่ ๆ คือมึงต้องเลิกคิดอะไรแบบนี้ซะ ถ้าอยากคบกันไปนาน ๆ ก็เปิดอกคุยกันซะ”


“...”


“เลิกคิดเถอะว่าการหึงคือการแสดงความรัก เพราะถ้ามึงไม่เลิกทำตัวให้มันหึง มึงก็เลิกกับมันซะ เลือกเอาว่าอยากมีคนที่รักมึงมากอยู่ในชีวิต หรืออยากกลับไปใช้ชีวิตที่ไม่มีใครเหมือนเดิม กูพูดได้แค่นี้นะศร”


“...”


“อยากรักยืนยาวก็ต้องเชื่อใจกันก่อน เชื่อใจเขา ซื่อสัตย์กับเขา ไม่ใช่คิดจะทดสอบเขาตลอดเวลา เข้าใจใช่ไหม”


“อือ” ผมตอบ ไม่ได้ใส่ใจอะไรคำตอบรับของตัวเองเลยสักนิด แค่อยากให้มันวางสายไปเสียทีเท่านั้นเอง


เสียงจากสมาร์ทโฟนเครื่องบางเงียบหายไปแล้ว มีเพียงเสียงหายใจหนัก ๆ ที่ย้ำเตือนว่าผมยังมีชีวิตอยู่ในรถที่ไม่รู้ว่าภายนอกอยู่ในสภาพไหน มือทั้งสองของผมยังจับพวงมาลัยไว้แน่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะออกรถอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้


‘รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าควรจะแคร์กูให้มากกว่านี้อ่ะ’

‘อย่าให้กูทำแบบมึงบ้างนะศร’

‘เราเลิกกันดีไหมวะ’

.
.
.
‘เราเลิกกันดีไหมวะ’


เสียงที่เราทะเลาะกันดังก้องวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวราวกับมีใครเปิดเล่นไฟล์ซ้ำแล้วนำเฮดโฟนมาครอบหูของผมไว้จนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกเลย


ผมส่ายหน้าไปมาด้วยความหวังว่าจะไล่มันออกไปได้ แต่เปล่าเลย ยิ่งส่ายหน้า เสียงนั้นก็ยิ่งดังชัดขึ้น ชัดทั้งภาพทั้งเสียง...และอารมณ์ของเรา


‘อย่าให้กูทำแบบมึงบ้างนะศร’


ก็อก ก็อก ก็อก


เสียงเคาะกระจกดังแทรกเสียงบ้าบอในหัวที่วนซ้ำอยู่กี่รอบแล้วก็ไม่รู้ ผมหันไปมอง เพราะทัศนียภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปหมดถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ และน้ำในตาก็เอ่อล้นจนบดบังทุกสิ่งอย่าง


ก็อก ก็อก ก็อก


คงเป็นใครสักคนที่ผ่านมาในบริเวณนี้แล้วเห็นสิ่งผิดสังเกต ผมยังคงปล่อยให้เสียงนั้นดังต่อไป ต่อเมื่อเช็ดน้ำตาออกลวก ๆ แล้วถึงได้รู้ว่าคนที่กำลังเคาะกระจกเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ข้างนอกคือใคร


“กลับบ้านกับอานะศร”


ผมยิ้ม อาภพคงเห็นว่าผมใช้เวลาเดินทางนานเกินไป ท่านจึงได้ขับรถออกมาตาม ข้างหลังท่านคือลุงแช่มคนขับรถที่บ้านคนเก่าคนแก่ ไม่รู้ว่าผมอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชขนาดไหน แต่ดีใจที่อาไม่ให้เพชรมาด้วย ท่านรู้ว่าผมไม่ต้องการให้ใครเห็นผมในสภาพนี้ เว้นเสียแต่ลุงแช่มที่มีส่วนในการเลี้ยงดูผมมาเหมือนกัน


ผมยิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเองที่แม้แต่เรี่ยวแรงในการพาร่างออกจากรถยังไม่มี ต้องให้คนวัยเกือบเกษียณถึงสองคนช่วยฉุดดึงออกมาและพยุงไปจนนั่งในรถอีกคันได้


อาภพให้ลุงแช่มขับรถของผมกลับบ้าน ระหว่างทางท่านไม่ถามอะไรสักคำ ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบ ๆ แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรต่ออีกแล้วจึงได้แต่มองวิวข้างทางอย่างเลื่อนลอย


“พี่ศร!” ยัยเพชรโผล่หน้ามารับทันทีที่ผมเหยียบเท้าเข้าบ้าน “เกิดอะไรขึ้นคะ”


“พ่อบอกว่าให้ขึ้นไปนอนไม่ต้องลงมาไง ไม่เชื่อพ่อแล้วเหรอ” อาภพดุ


เพชรทำหน้าสำนึกผิดก่อนอ้อมแอ้มตอบ “พี่โอมติดต่อเพชรมาค่ะว่าฝากดูแลพี่ศร พี่เขาเป็นห่วงพี่ศรมากเลยนะคะ”


“ขึ้นไปนอน” อาภพย้ำเสียงเข้มอีกครั้ง ฟังดูจริงจังจนเพชรไม่กล้าขัดคำสั่งอีก


“ฝากบอกมันว่าพี่สบายดี” เพชรชะงัก คงเห็นจากสีหน้าของผมแล้วว่าไม่ได้เป็นอย่างที่พูดผมจึงย้ำอีกครั้งให้น้องยอมทำตาม “บอกไปด้วยว่าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ก็กลับไป”





“อยากพักก่อนไหม” อาภพถามทันทีที่อยู่ในห้องนอนประจำของผมกันแค่สองคน ผมส่ายหน้า แต่ถึงอย่างนั้นอาภพก็ยังให้เวลาผมได้อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเพื่อความผ่อนคลายก่อนจะมานั่งหันหน้าเข้าหากันบนโซฟาตัวยาว นานมากแล้วที่ผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ตั้งแต่คบกับไอ้โอมใหม่ ๆ ผมก็แทบไม่ได้อยู่ตรงนี้บ่อยเท่าตอนวัยเด็ก


“ตอนนี้เป็นยังไงบ้างศร” อาภพเปิดบทสนทนาด้วยคำถามเดิมอย่างทุกครั้ง


“ครั้งนี้มันหนักครับ”


อารออยู่หลายอึดใจกว่าจะถามผมต่อว่า “มันเป็นยังไง”


“ผมเห็นโอมอยู่กับผู้หญิงคนอื่น สองคนแนบชิดกัน...มากกว่าที่ผมเคยทำต่อหน้ามันซะอีก ผมโมโห หงุดหงิด ผิดหวัง ผม…” ผมเล่าช้า ๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายก่อนจะรู้สึกสับสนในตอนท้าย ผมเริ่มกำมือแน่นราวกับว่ามันจะช่วยให้ใจผมสงบขึ้น


“...ผมกลัว...”


“อาเข้าใจนะ ว่าศรกำลังกลัว” สายตาที่อาภพมองมาสื่อว่าอาเข้าใจความรู้สึกผมจริงอย่างที่พูด


“ผมก็เลยแกล้งทำให้มันหึงบ้าง แต่ครั้งนี้มากกว่าครั้งก่อน ๆ และสุดท้ายเราก็ทะเลาะกัน” ผมก้มหน้าหลังพูดจบ รู้สึกลำคอตีบตันจนไม่อาจพูดต่อได้


“ในความรู้สึกของศร ครั้งนี้คงรุนแรงมากใช่ไหม” เสียงของอาภพทุ้มนุ่มน่าฟังชวนให้รู้สึกผ่อนคลายดีเสียจนมือที่กำอยู่ของผมค่อย ๆ คลายออก


“ครับ เราทะเลาะกัน จนสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายขอเลิก”


“...”


“ผมไม่รู้อ่ะอา ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูดออกไป ผมไม่รู้” ผมรู้ตัวว่าท้ายเสียงผมสั่นเพราะแรงสะอื้น และก็ห้ามได้ยากที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างน่าละอาย


ผมคิดไม่ออกว่าทำไมตอนนั้นถึงบอกเลิกออกไปทั้งที่ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ


หรืออาจเป็นเพราะว่าแววตาเหนื่อยล้าของโอมที่ทำให้ผมยอมแพ้


ยอมที่จะถูกทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายอีกครั้ง


คงเพราะอย่างนั้นผมจึงชิงพูดคำนั้นออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้สิทธิพูด


คำว่า ‘เลิก’ ที่บ่งบอกว่าไม่ต้องการกันอีกแล้ว


ผมรับทิชชูที่อายื่นมาให้เงียบ ๆ อารอให้ผมซับน้ำตาลวก ๆ ได้ประมาณหนึ่งแล้วค่อยพูดต่อ “ครั้งก่อน ๆ ทำไมศรถึงพยายามทำให้โอมหึงแค่เล็กน้อยล่ะ”


“เพราะผมแค่อยากมั่นใจว่ามันยังต้องการผมอยู่ครับ”


“แล้วที่ครั้งนี้ศรทำมากกว่าทุกครั้ง ศรคาดหวังอะไรอยู่บ้างครับ”


“ผมหวัง...หวังว่ามันจะยังสนใจผมอยู่ หวังว่ามันจะรีบทิ้งผู้หญิงคนนั้นมาหาผม”


อาภพยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้คนมองอย่างผมรู้สึกอุ่นใจได้มากทีเดียว “แล้วโอมทำอย่างที่ลูกหวังไหม”


“ครับ มันมาหาผม”


“ตอนนั้นศรรู้สึกยังไง”


“...ดีใจครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผลอยิ้มตามอาภพ แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผมว่าภายในใจผมเองก็กำลังแย้มยิ้มน้อย ๆ ออกมาได้เหมือนกัน “รู้สึกดีที่ตัวเองถูกเลือก”


“สิ่งที่โอมทำคือการแสดงออกว่าศรยังมีค่าสำหรับเขานะ และมีค่ามากด้วย”


“ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เชื่อใจมัน ผมยังระแวง”


“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”


“อาก็รู้ว่า...แม่ยังทิ้งผมไปเลย” ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงมันสักเท่าไหร่ “แม่บอกว่ารักผมทุกวัน แต่สุดท้ายก็ทิ้งไปไม่ใยดี”


“ศรก็เลยคิดว่าโอมจะเป็นเหมือนแม่ใช่รึเปล่า”


ผมนิ่งไปหลายอึดใจกว่าจะกล้ายอมรับออกมาด้วยการพยักหน้า


“แม่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งศรหรอกนะ แต่เพราะความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่มันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่เด็กอย่างเรารู้ ศรก็เห็นใช่ไหมว่าระหว่างศรกับแม่ ยังมีคนอื่นที่เป็นปัจจัยร่วมกันอยู่”


“...” ผมคิดตามเงียบ ๆ ผมรู้ว่าอาภพหมายถึงพ่อ


“โอมมีอะไรที่เหมือนแม่ของศรไหม”


“...”


“ความสัมพันธ์ระหว่างโอมกับศร เกี่ยวข้องกับใครอีกรึเปล่า”


“ไม่มีครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว


“เห็นไหม สถานการณ์มันต่างกัน ลูกจะเอามาเทียบกันได้ยังไง จริงไหม...เพราะฉะนั้น จะไม่มีใครทำให้โอมไปจากศรได้ นอกจากความรู้สึกของเราแค่สองคนเท่านั้น...ศรคิดว่ายังไง”


“หมายความว่า...ถ้าผมทำตัวดี ๆ ไม่ชวนทะเลาะ โอมก็จะไม่ทิ้งผมไปไหนใช่ไหมครับ”


“แล้วที่ผ่านมา โอมเคยมีท่าทีนอกลู่นอกทางไหม นี่อาพูดถึงกรณีที่โอมเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อนนะ”


“ไม่เลยครับ” เท่าที่เห็น ผมว่าครั้งนี้เธอเข้าหาโอมก่อนแน่ ๆ


“แค่นี้ก็ชัดแล้วว่าโอมซื่อสัตย์กับลูกมากแค่ไหน จริงไหม”


ผมไม่ตอบ แต่สีหน้าผมคงแสดงสิ่งที่น่าพอใจสำหรับอาภพออกมา คนสูงวัยกว่าถึงได้ยิ้มกว้างเสริมกำลังใจให้กันยิ่งกว่าเดิม

“แต่ผมก็ยังบอกเลิกมัน”


“ตอนที่พูดออกไปรู้สึกยังไง ต้องการแบบนั้นจริง ๆ ไหม”


ผมส่ายหน้าทันที “ไม่เลยครับ ไม่เคยคิด...แต่เพราะโอมไม่เคยเชื่อมั่นในตัวผม ผมจึงพูดออกไปด้วยอารมณ์”


“โอมบอกเหรอว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวลูก”


“โอมบอกว่าผมไม่ได้รักมัน ผมอยากจะเลิกอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว”


“อืม นั่นทำให้ศรฟิวล์ขาดใช่ไหม”


ผมพยักหน้า


“ถึงจะฟิวล์ขาด แต่ศรก็ไม่ได้อยากให้โอมคิดแบบนั้นใช่รึเปล่า”


“ครับ”


“ศรคิดว่าทำไมโอมเขาถึงคิดแบบนั้น”


“...” ผมก้มหน้า ตอบเสียงอ้อมแอ้มอย่างคนไม่กล้าสารภาพผิด “เพราะผมทำตัวไม่ดีเองครับ”


อาเว้นช่วงให้ผมได้คิดถึง ‘การทำตัวไม่ดี’ ของตัวเองได้ไม่กี่ลมหายใจก็พูดขึ้นมาต่อ “แล้วหลังจากพูดไปแล้ว ศรรู้สึกยังไง”


“เสียใจครับ ไม่น่าพูดออกไปเลย”


“หมายความว่าศรเองก็รักโอมมากและยังอยากคบกันต่อ อาเข้าใจถูกไหมครับ”


ผมพยักหน้า


อาภพยิ้ม ไม่มียิ้มครั้งไหนของอาที่ดูไม่จริงใจเลยสักครั้ง “อาจำได้ว่าศรเคยเล่าให้ฟังว่าเจอคนที่ชอบและอยากอยู่ด้วยแล้ว…” ผมจำได้ ผมเล่าเรื่องของโอมอินให้อาภพฟังตั้งแต่วันที่ตอบตกลงคบกับมัน หลังจากนั้นผมก็มาค้างที่บ้านนี้น้อยลง จากเกือบทุกวันกลายเป็นเดือนละครั้งเพื่ออัพเดตสภาพจิตใจให้อาภพฟัง “...จำได้ไหมว่าลูกให้เหตุผลที่ชอบโอมว่ายังไง”


ผมจำได้แบบไม่ต้องคิด ไม่ใช่เพราะความจำดี แต่เพราะมันยังคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผม ‘รัก’ มัน...มากขึ้นทุกวัน “เพราะโอมดูแลเอาใจใส่...ไม่ว่าใครจะเข้ามาก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผมครับ”


ผมรวย หน้าตาดี มีชาติตระกูล คู่ควงผมแต่ละคนดีแต่ประจบไม่ก็วอแวอ้อนขอนั่นนี่ ทุกคนเข้าผมด้วยผลประโยชน์ทั้งนั้น ซึ่งความจริงผมก็ว่ามันคุ้มกันกับการเติมเต็มชั่วครั้งชั่วคราวที่ผมได้รับ โอมอินเป็นคนแรกที่ไม่เคยคิดหวังผลประโยชน์จากผม มันดูแลผมดีทุกอย่างด้วยความจริงใจ และผมแพ้ให้กับคุณสมบัตินี้ของมันเข้าจริง ๆ


“ศรเคยคิดไว้ไหมว่าถ้าไม่มีโอมแล้ว...จะเป็นยังไง”


ผมส่ายหน้าก่อนตอบย้ำคำตอบให้ชัดขึ้น “ไม่เคยครับ”


“ทำไมล่ะ”


“..ไม่อยากไม่มีโอม”


อาภพยิ้ม มันยังคงดูจริงใจเสมอ “พูดถึงตรงนี้ อาเชื่อว่าศรมีคำตอบในใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ อาเคารพการตัดสินใจของศรนะลูก ไม่ว่าศรจะตัดสินใจยังไง อาก็ยังอยู่ข้างศรเสมอ”


ผมยิ้ม รู้สึกได้ว่าริมฝีปากฉีกได้กว้างกว่าครั้งไหน ๆ ในคำ่คืนนี้ “ขอบคุณครับ”


อาภพโถมตัวมากอดผมหลวม ๆ ตบบ่าสองสามทีให้กำลังใจแล้วออกจากห้องไปทิ้งไว้เพียงเม็ดยาสีน้ำเงินในแก้วยาข้างแก้วน้ำบนโต๊ะข้างเตียง


มันเป็นยานอนหลับ ผมไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร อย่างน้อยอาภพก็บอกผมอย่างนั้น ผมเพียงแต่ต้องทำสิ่งที่เรียกว่าจิตบำบัดบ่อยครั้งในช่วงเด็กและไม่เคยทำอีกเลยในตอนที่ความรักระหว่างผมกับโอมเริ่มคงที่ จนกระทั่งวันนี้


ผมรู้ว่าอาไม่อยากถามว่าผมต้องการมันไหม อาจจะเพราะไม่อยากกดดัน แต่ผมก็รู้ว่าอาจะแวะมาดูผลตอนดึกอีกครั้ง ถ้าหลังคุยกันแล้วผมยังต้องพึ่งมันในการนอนหลับ นั่นหมายถึงอาภพยังทำหน้าที่ตัวเองไม่สำเร็จ


ผมนั่งอยู่ที่เดิมได้ไม่นานก็ลุกไปที่เตียง ใกล้ข้ามเข้าวันใหม่อยู่รอมร่อ ผมก็ควรจะนอนได้แล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนเตียงขึ้นมาดูหน้าล็อคสกรีน การแจ้งเตือนมากมายขึ้นบนหน้าจอ หลายข้อความในนั้นมาจากโอม และข้อความล่าสุดจากอีกฝ่ายคือ


‘อย่านอนดึกนัก ห่มผ้าด้วย ฝันดีนะ’


ผมยิ้มกว้างกว่าตอนที่หาคำตอบให้ตัวเองได้เสียอีก แม้จะทะเลาะกันแต่โอมก็ยังทำให้ผมยิ้มได้ด้วยการเอาใจใส่ของมัน


ยาที่อาภพเตรียมให้ เห็นทีว่าคืนนี้ผมคงไม่ต้องพึ่งมันแล้ว









(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
เช้านี้ใบหน้าผมไม่สดชื่นนักแต่ก็ไม่ได้โทรมสักเท่าไหร่ มันดูดีกว่าที่คิด อาภพและเพชรว่าอย่างนั้นตอนที่ร่วมมื้ออาหารเช้าด้วยกัน ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสดใสรับเช้าวันใหม่ได้คงเป็นเพราะข้อความอรุณสวัสดิ์ของโอมอิน ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายผิด แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายถูกง้อเสียมากกว่า


วันนี้ผมมีนัดละลายพฤติกรรมกับทีมละครเวทีอีกครั้งในครึ่งวันเช้า ตั้งใจไว้ว่าจะไปหาโอมอินที่คณะในตอนบ่าย อยากจะเคลียร์ความรู้สึกระหว่างกันให้ชัดเจนเสียที


ก่อนออกจากบ้าน ผมทักไปหาไอ้เต๋า เพื่อนสนิทไอ้โอม ในที่สุดผมก็ได้ตารางชีวิตของโอมในวันนี้มา ถามว่าทำไมถึงไม่ทักไปถามมันตรง ๆ ทั้งที่อยากจะเคลียร์ความรู้สึกกันอยู่แล้ว ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าประหม่า ยังไม่กล้าเนียนทำเหมือนทุกอย่างปกติทั้งที่เมื่อวานเราทะเลาะกันรุนแรงมากที่สุดในชีวิตคู่


ก่อนถึงที่หมายผมได้รับสายจากไอ้เด็กรัก เจ้านั่นบ่นใหญ่ว่าผมไม่ยอมตอบไลน์เมื่อคืนนี้ มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองค้างการแจ้งเตือนไว้เยอะมากทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่คิดจะเคลียร์ในหนึ่งถึงสองชั่วโมงนี้แน่ ไอ้น้องรักโทรมาเพื่อนัดวันที่จะไปชิมอาหารญี่ปุ่นด้วยกันที่ร้านหนึ่ง แม้กำหนดการคืออีกสองวันถัดไปและผมยังไม่ได้เริ่มฝึกงาน แต่ผมก็ยังไม่รับปากในทันที เอ่ยต่อรองว่าขอชวนโอมไปด้วยซึ่งรักก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากจะไปจริงจะคอนเฟิร์มอีกครั้งก่อนถึงวันนัดแน่นอน


หลายคนมองหน้าผมเหมือนต้องการจะถามเรื่องเมื่อคืนที่ร้านหมูกระทะ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าถาม แม้ผมจะเป็นคนอัธยาศัยดีเป็นมิตรกับทุกคน แต่ถ้าผมหน้านิ่ง คนอื่นก็น่าจะฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมเป็นบุคคลไม่ควรเข้าใกล้ได้เหมือนกัน


แต่ดูเหมือนไอ้ท็อปจะไม่รู้


“แฟนมึงขี้หึงฉิบหาย”


ผมตวัดตามองก่อนพูดเสียงนิ่ง “เสือก”


“เห้ยศร” เท่าฟ้า เพื่อนของผมที่เรียนถาปัดเดินเข้ามากอดคอขัดสถานการณ์พร้อมรบระหว่างเรา “ไปช่วยกูยกของหน่อยไป”


“เป็นไงบ้างวะมึง กูเป็นห่วงแทบแย่ มันเป็นใครวะ ทำไมมึงต้องไปกับมัน” ไอ้ฟ้าถามผมด้วยความเป็นห่วงทันทีที่อยู่ในที่ลับตาคน มันเป็นคนรู้งานใช้ได้ แทนที่จะโพล่งถามขึ้นกลางห้องกลับลากผมออกมาคุยด้านนอกที่ปลอดคนแทน


“ไอ้กอล์ฟไม่ได้บอก?”


เท่าฟ้าส่ายหน้า ความจริงแล้วผมไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่กอล์ฟไม่ได้เล่าอะไรออกไปมากกว่ารับเรื่องมา “มันบอกแค่ว่าให้มาถามมึง มันยังบอกอีกด้วยว่ากูควรจะรู้ไว้เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและงานของคณะ”


ผมขำ “มันชื่อโอม เรียนนิเทศฯ เป็นแฟนกู”


“ห๊ะ!!” ไอ้เท่าฟ้าจ้องผมตาโตเหมือนรอการยืนยันจากผมอีกครั้ง และผมก็ไม่ปล่อยให้มันรอเก้อ รีบสนองให้มันทันทีด้วยการพยักหน้า “คนนี้น่ะเหรอวะที่ลือกันว่าทำให้มึงเปิดใจได้”


“เออ มันเนี่ยแหละ….ทำไม? มึงรับไม่ได้ที่กูคบผู้ชาย?”


“เปล่า ๆ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูก็คงยอมรับได้ยากอยู่เหมือนกันว่ะ”


“เมื่อก่อน? หมายความว่าตอนนี้รับได้ง่าย ๆ เหรอวะ”


“ก็...ของแบบนี้ไม่เจอกับตัวคงไม่เข้าใจ จริงไหมละวะ”


ผมยิ้มมุมปาก เพื่อนผมดันไปชอบผู้ชายเข้าให้อีกคนซะแล้วสิ “ใครวะ”


“เห้ย มาพูดเรื่องกูทำไมวะ ว่าเรื่องของมึงเหอะ คบกันยังไงวะทำไมมันดูน่ากลัวขนาดนั้น”


“มันขี้หึง”


“แล้วไงวะ แค่ขี้หึงเนี่ยเหรอที่กูต้องระวัง”


“หึ มึงคิดว่าถ้าแค่นั้นไอ้กอล์ฟจะเตือนมึงเหรอวะ”


“เชี่ย” ไอ้เท่าฟ้าหน้าเครียด


ผมยิ้ม ตบบ่ามันสองทีพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเข้าไปในห้องก่อน “กูจัดการได้ สบายใจเถอะหน่า”





ช่วงบ่ายผมตรงดิ่งไปตึกคณะนิเทศศาสตร์ ผมบอกให้เต๋าลงมารับ เพราะนอกจากผมจะไปห้องที่พวกมันซ้อมกันไม่ถูกแล้ว ผมยังมีสิ่งที่อยากให้มันช่วยอีกด้วย


“ซื้ออะไรมาเยอะแยะวะ จะเอาใจแค่คน ๆ เดียวไม่จำเป็นต้องเปย์คนทั้งกองหรอก” ไอ้เต๋าบ่นเมื่อผมให้มันช่วยถือถุงที่มีแก้วสารพัดเครื่องดื่มอยู่ในนั้น ในบรรดาเพื่อนของโอมผมสนิทกับมันที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่ในขั้นที่แค่คุยเล่นกันได้บ้างเท่านั้น “พวกมึงสองคนนี่ก็เว่อร์เหมือนกันเลยจริง ๆ”


“กูจะเข้าไปได้จริง ๆ เหรอวะ” ไม่ใช่แค่เป็นคนนอก แต่ผมยังเป็นนักแสดงของละครเวทีเรื่องอื่นอีกด้วย


“ได้สิวะ ถ้ายัยจี๊ดอนุญาต ใครจะกล้าขัดมัน”


“แล้ว...อยู่กันเยอะไหม”


ไอ้เต๋าถอนหายใจดัง “ทำไม? กลัวไอ้ที่ซื้อมาจะไม่พอแดกกันรึไงวะ”


“อือ” เต๋าส่ายหัวอย่างระอามากกว่าจะเป็นการให้คำตอบผม


“แล้ว...ทุกคนกินข้าวกันรึยัง”


คราวนี้ไอ้เต๋าถอนหายใจหนักและดังกว่าเดิม มันหยุดเดินแล้วหันมาจ้องหน้าผม “ไอ้โอมเป็นยังไงบ้าง...ไหนพูดซิ”


ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอที่ถูกรู้ทัน


“แค่ถามถึงมันนี่ยากมากเลยเหรอวะ มึงเป็นห่วงมันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พูดอะไรให้ตรงกับใจหน่อยเว้ย เพื่อนกูมันโง่ มันจะเข้าใจถ้ามึงแสดงออกแบบซื่อ ๆ ตรง ๆ ไอ้ประเภทที่อ้อมไปเขาลูกโน้นทีลูกนี้ทีอ่ะเลิกเถอะ ระวังจะทำมึงเสียเวลาโดยใช่เหตุนะ”


ผมเม้มริมฝีปาก กลืนมันจนมิด การเอ่ยปากถามถึงโอมอินในภาวะแบบนี้มันยากจริง ๆ นั่นแหละ “มันเป็นไงบ้าง”


“ก็แค่นั้น กูอยากตอบจะแย่อยู่แล้วไอ้ห่า” เต๋าบ่นแล้วก็เริ่มออกเดินอีกครั้ง “เพื่อนกูหนักเอาเรื่องอยู่ มึงก็รู้ว่านอกจากครอบครัวแล้ว มึงก็เป็นทั้งหมดชีวิตของมัน ไม่ดิ มึงเป็นครอบครัวของมันด้วย เชี่ยโอมเหม่อ ใจลอยจนจะโดนยัยจี๊ดแดกหัวแทนข้าวอยู่แล้ว”


“หรือกูไม่ควรเข้าไปตอนนี้วะ” กลัวจะยิ่งทำให้มันเสียสมาธิ


“มึงอ่ะควรเข้าไปเลย เชี่ยเอ้ย! พวกมึงนี่ก็ช่างเลือกเวลาทะเลาะกันได้ดีจริง ๆ”


เต๋านำทางผมมาถึงชั้นห้าที่มันบอกว่าเป็นตึกกิจกรรมของคณะ ห้องที่พวกมันเวิร์คชอปกันเป็นสตูดิโอขนาดกลางที่ตอนนี้บรรจุคนไว้มากราว ๆ เกือบสี่สิบคนเห็นจะได้


“ลาภปากเว้นทุกคน อภินันทนาการจากสวัสดิการกิตติมศักดิ์” ไอ้เต๋าประกาศเสียงลั่นจนก้องห้องทำเอาทุกคนหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วหันมามองกันหมด ผมกวาดตามองไปรอบห้องแต่ก็ยังไม่เห็นคนที่อยากเจอ


“กรี๊ดดดดดดดด ศรของจี๊ด” จี๊ดร้องกรี๊ดมาแต่ไกลพร้อมกับร่างที่พุ่งเข้ามาหาผมโดยเร็ว ผมยืนนิ่งไม่คิดหลบหลีกเพราะตอนนี้หลายคนกำลังเข้ามารุมเพื่อหยิบเครื่องดื่มจากมือผม จึงกลายเป็นว่าผมกลายเป็นเป้านิ่งให้จี๊ดเข้าถึงตัวได้ง่ายก่อนที่จี๊ดจะถูกกันออกไปโดยเร็วแล้วมีใบหน้าของใครบางคนมาแทนที่ในระดับสายตาเดียวกัน


ถ้าเทียบกันแล้ว ใบหน้าของโอมดูอิดโรยกว่าผมมาก ให้เดาก็คงเพราะเจ้าตัวอดนอนมาแน่ ๆ ได้แต่หวังว่ามันจะไม่นอนร้องไห้ทั้งคืน


ผมไม่ได้พูดอะไร รู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก เงอะ ๆ เงิ่น ๆอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรหยิบแก้วน้ำจากถุงกระดาษใบเดียวที่ยังถือติดมือไว้ตลอดออกมาได้แล้ว “นี่ของมึง” ผมยิ้มให้มันที่ยังทำหน้างง ๆ “บ่ายแก่แบบนี้ดื่มน้ำผลไม้ปั่นจะได้สดชื่นขึ้น” เพราะโอมยังไม่รับไป ผมจึงยื่นแก้วไปแตะแก้มมันให้เย็นผิวเล่น “รับไปหน่อยดิวะ กูเอามาง้อนะเนี่ย”


ไอ้โอมหลุดขำเสียงหลง “มึงนี่มัน หึ่ย! จริง ๆ เลย” มันรับแก้วน้ำไปแล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม “ซื้อมาง้อกูแต่ทำไมทุกคนก็ได้เหมือนกันวะ”


“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ไปกินข้าวเย็นกับกูนะ”


“หึหึ แค่มึงกลับมา กูก็ดีใจมากแล้ว”


ผมหันหน้าหนี ทำเป็นมองนั่นมองนี่ รู้สึกเขินสายตามันเป็นบ้า “ไปทำงานไป กูจะลงไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ”


“ไม่ต้อง” โอมคว้ามือผมไว้ “นั่งรอในนี้แหละ เก้าอี้ว่างเยอะ”


ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจโอมอินด้วยการยอมตามใจนั่งรอในห้องนี้อย่างที่มันต้องการ แต่เพราะผมเองก็อยากเห็นมันในมุมที่จริงจังกับงานอีกครั้ง เพราะหลังจากหนังสั้นของพี่สัม ผมก็ไม่เคยเห็นโอมตอนทำงานอีกเลย มิหนำซ้ำครั้งนี้ยังเป็นบทบาทที่มันไม่เคยทำอีกด้วย


ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทหรือคาแร็คเตอร์ตัวละครของเรื่องนี้เลย แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของตัวละครที่โอมอินแสดงออกมา ผมมองอยู่ได้ครู่ใหญ่ก็หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเคลียร์ข้อความที่ยังค้างคาจากเมื่อคืน ผมได้รับข้อความแสดงความเป็นห่วงเยอะมาก ไอ้ท็อปเองก็ส่งมาด้วย แม้จะเจือไปด้วยความกวนตีนอย่างเช่นชวนไปดื่มเหล้าด้วยกันถ้าผมเฮิร์ท ข้อความจากเพื่อน ๆ และจากโอม เกือบร้อยข้อความมีแต่คำว่าขอโทษ จะต่างออกไปก็แค่ข้อความที่ส่งเข้านอนเมื่อคืนและทักทายเมื่อเช้า


ผมเงยหน้ามองโอมอีกครั้ง ตั้งใจว่าเย็นนี้จะขอโทษมันที่พูดจาไม่คิดออกไป เราจะปรับจูนความรู้สึกและความคิดกันใหม่ พลันสายตาก็ดันไปเห็นหญิงสาวคนเมื่อวานที่วนเวียนอยู่รอบตัวมัน อยากจะไม่สนใจสาวเจ้าอยู่หรอก แต่ให้ตายเถอะ! สาบานได้ว่าผมไม่ได้อยากให้งานของคณะมันเสียหายเพราะเรื่องของเรา แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอเองก็ไม่ได้อยากทำงานตรงนั้นมากนักอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาแต่เกาะแฟนผมแจจนไม่สนอะไรกับการแสดงบทบาทที่ได้รับ


เห็นทีผมคงต้องออกโรงจัดการเองซะแล้ว












พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 14
---------------------------------------------------------------
ปกติแล้วการทำจิตบำบัดจะต้องทำด้วยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่มีใบเซอร์ฯ
แต่สำหรับอาภพที่เป็นหมอด้าน palliative care จะมีทักษะด้านการ counselling อยู่แล้ว
แม้ไม่สามารถทำได้เท่าจิตแพทย์ แต่ก็สามารถใช้ทักษะด้านนั้นในการพูดคุยถึงปัญหาลึกๆในใจผู้ป่วยได้ค่ะ
อยากพูดคุย/สอบถาม ทักมาในทวิตได้ค่ะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ yasperjer

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เฮ้อ เข้าใจและว่าทำไมศรถึงเป็นแบบนี้ฝังใจจากเรื่องแม่นี่เอง
คุณอาสอนได้ดีมากจริงๆ นี่คือโอมไม่ใช่แม่คนละคนกัน และที่ผ่านมาโอมไม่เคยนอกลู่นอกทาง
เป็นกำลังใจให้ศรไม่จมปลักกับเรื่องเก่าๆ จนมาเป็นปัญหาในปัจจุบันนะ จะต้องผ่านมันไปได้
กินมาม่าจนเหนื่อยแย้วววววว  ขอให้เจอแต่ความสดใสบ้างนะค้า

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
จัดการขั้นเด็ดขาดไปเลยจ๊ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เพราะมีอดีตเกี่ยวกับแม่ตอนเด็กๆนี่เองถึงทำให้ศรเป็นแบบนี้ ยังดีที่ยังมีเพื่อนกับอาคอยช่วยเหลืออยู่

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ฮืออออ อย่าทะเลาะกันอีกเลยยยยย  :ling3:
รู้สึกว่าอ่านตอนนี้ทำให้เข้าใจศรมากขึ้น

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สิ่งที่เรากลัวตอนนี้คือถ้ามีการบอกเลิกครั้งต่อไป คนที่พูดจะไม่ใช่ศร  :katai1:

ออฟไลน์ nizzarinz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ฮือออน้ำตาซึมไปแล้วววว;-; สงสารโอมอินคนหลงแฟนนน แต่ก็เข้าใจศรมากๆๆ

ออฟไลน์ kstation

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สิ่งที่กลัวตอนนี้คือดราม่าหรือจบไม่สวย  :ling1: รอลุ้นตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
Underlying diseases.

「โรคประจำใจ」


Follow up ครั้งที่ 14

---DharmaSORN---








ประดักประเดิดอยู่พอสมควรกับการอยู่กันตามลำพังหลังจากทะเลาะอย่างหนักและหายหน้ากันไปหนึ่งคืน ขามาไอ้เต๋าพาผมเดินขึ้นบันไดทั้งที่ถือของพะรุงพะรัง แต่ขาลงตัวเปล่ากลับลงลิฟต์กันสองคน ทั้งที่ไม่มีใครกล้าร่วมโดยสารในตู้แคบ ๆ นี่พร้อมเราสักคน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างอึดอัดจนไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว


“เรา...จูบกันหน่อยดีไหมวะ”


คำชวนของโอมอินทำให้ผมตื่นตระหนก ไอ้บ้าเอ๊ย แล้วกูยังไม่ทันตอบตกลงเลย มึงจะเข้าประชิดตัวแล้วตะโบมจูบอย่างหน้าด้าน ๆ ในลิฟต์ที่มีกล้องวงจรปิดไม่ได้นะ!


“อื้อ” เกลียดที่สุดคงเป็นตัวเองที่เผลอไผลไปกับรสจูบของมันด้วยความสิเน่หาไม่แพ้กันเนี่ยแหละ


ผมดันมันออกห่างเมื่อรู้สึกตัว ไม่อยากเป็นนายเอกหนังสดในลิฟต์ให้คนหลังกล้องดูนานนักหรอก “เชี่ย! พอก่อน มีกล้อง”


ไอ้โอมยกยิ้มมุมปากได้น่าหมั่นไส้แบบสุด ๆ “ก็เห็นมึงประหม่า จูบกันสักหน่อยจะได้จูนกันติด”


“แกล้งกู” ผมส่งกำปั้นไปกระแทกต้นแขนมันแรง ๆ หนึ่งครั้งแต่ก็ไม่อาจทำให้ร่างควาย ๆ ของมันสะทกสะท้านสักนิด มิหนำซ้ำยังเลียริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งได้น่าหมั่นไส้จนเป็นผมเสียเองที่ต้องเบนสายตาหนีเม้มปากเสียแน่นด้วยความอายราวกับไม่เคยจูบกัน


ดีหน่อยที่มีเวลาให้หายใจหายคอเพราะขับรถกันมาคนละคัน และไม่อยากจอดทิ้งไว้ที่มหาวิทยาลัยด้วย เราจึงนัดมาเจอกันที่ห้างแห่งหนึ่งแทน


“มึงอยากกินอะไร” ผมเปรยถามตอนเดินคู่กันเข้ามาในชั้นเครื่องแก้วที่ติดกับลานจอดรถ “แต่ไม่เอาอาหารญี่ปุ่นนะ วันนี้ห้ามมึงตามใจกู” ผมดักทาง เพราะจั่วหัวแบบนี้ทีไรเป็นต้องได้คำตอบเป็นพวกอาหารสัญชาติญี่ปุ่นทุกที


“ถ้าตามใจกูก็ต้องกินอาหารญี่ปุ่น เพราะกูอยากตามใจมึง”


“เป็นงี๊ทุกทีเลยนะมึงเนี่ย” ผมจับหลังคอโอมแล้วโยกไปมาให้หัวมันคลอน “วันนี้อยากกินอย่างอื่น เลือกมา เร็ว ๆ ด้วย กูหิวจนจะแดกมึงได้ทั้งตัวละ”


“งั้นแดกกูก่อนไหม”


“เชี่ยโอม!”


ผมไล่ตีกับมันในแผนกที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายต่อเงินในกระเป๋าที่สุดโดยไม่ลืมระวังเครื่องแก้วพวกนั้นด้วย ทว่าเพราะมัวแต่ระวังจะโดนสิ่งที่เปราะบางที่สุดในที่นี้จนไม่ทันระวังคนที่เดินสวนมา โอมอินที่นำหน้าผมอยู่ก้าวหนึ่งจึงชนเข้ากับใครบางคน


“ขอโทษครับ” โอมอินเอ่ยอย่างสุภาพพร้อมยกมือไหว้ก่อนหันมาจับจูงผมให้เดินไปด้วยกันเมื่ออีกฝ่ายไม่ติดใจเอาความอะไร


“มาเที่ยวกันเหรอ” ผมเองก็คงจะเดินผ่านเขาไปได้ถ้าไม่ถูกคำถามนี้รั้งไว้ ไอ้โอมหันมามองด้วยความสงสัย คงไม่คิดว่าจะรู้จักกัน แต่ครู่หนึ่งหลังมันพินิจมองอีกฝ่าย สีหน้าก็ดูอ่อนลงราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นที่ไหน


“พ่อมึง?” โอมกระซิบถาม ผมไม่ตอบ ปรายตามองหญิงสาววัยเอ๊าะที่พ่อควงมาด้วยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ไม่ทันรู้ว่าคนของตัวเองกำลังถูกพ่อมองด้วยสายตาแบบไหน จนเมื่อละสายตาจากสาวเจ้ามานั่นแหละถึงได้รู้ว่าโอมอินเกือบจะพรุนซะแล้ว ผมขยับตัวเข้าไปบังไอ้โอมจากสายตาเขา สบตาให้รู้ว่าอย่ามายุ่งกับคนของตน


“ทานข้าวกันรึยัง ไปด้วยกันไหม ชวนเพื่อนแกไปด้วย”


“ชวนไปให้รู้ว่าผมมีพ่อที่มาทานข้าวกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่น่ะเหรอครับ”


“ธรรมศร!” พ่อไม่ได้ตะคอก เขาแค่ใช้เสียงนิ่ง ๆ เย็น ๆ ข่มใส่เท่านั้น


“หรือผมควรเรียกเธอว่าแม่ละครับ”


“ศร” คราวนี้เป็นโอมอินที่เรียกเตือนสติผมพร้อมมือที่สอดมาจับตรงแขนรั้งให้ผมไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามไปมากกว่านี้


“ไปกันเถอะ ทางใครทางมัน” ผมลากโอมออกมาจากตรงนั้น ได้ยินเสียงถอนหายใจของพ่อดังไล่หลังมา ระหว่างเราไม่มีอะไรที่เขาจะนำมาต่อรองกับผมได้ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผมล้วนได้มาจากมรดกตกทอดของคุณย่าทั้งนั้น ไหนจะเงินปันผลจากหุ้นในบริษัททั้งส่วนของย่าและของตัวเองที่ทำให้มีกินมีใช้ได้ไม่ขาดมืออีก เรียกได้ว่าผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอะไรผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด


อารมณ์ขุ่นมัวของผมเริ่มเบาบางเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงบีบมือของโอมอินที่ย้ำให้รู้ว่ามันยังอยู่ข้างผมไม่ไปไหน และนั่นก็ทำให้ผมอุ่นใจได้มากทีเดียว “อย่าเพิ่งถามตอนนี้นะมึง”


“แล้วที่พาเดินดุ่ม ๆ มานี่รู้แล้วเหรอว่าจะกินอะไร”


“เออว่ะ” ผมหยุดเดินทันที


“แล้วเนี่ย ไม่ปล่อยก่อนเหรอ” ผมมองตามสายตาโอมที่นำทางไปพบกับมือของเราที่ยังจับกันไว้แน่น


“อยากให้ปล่อยเหรอวะ”


โอมอินไหวไหล่ หันหน้าหนีด้วยความเขิน “ถ้าไม่อายก็แล้วแต่มึง”


ผมหัวเราะหึ เราไม่เคยเดินจับมือกระหนุงกระหนิงกันที่ไหน ไม่ใช่ว่าอายที่เป็นแฟนกับผู้ชายร่างควายเหมือนกัน แต่เพราะมันไม่ใช่นิสัยของเราสองคนเท่านั้นเอง “ไม่อายแต่เขินเว้ย” พูดได้แค่นั้นผมก็เป็นฝ่ายดึงมือออกก่อนเปลี่ยนเป็นกอดคออีกฝ่ายเดินไปด้วยกัน


นอกจากจูบในลิฟต์ ผมว่าก็มีการทานอาหารด้วยกันเนี่ยแหละที่ช่วยลดความประหม่าของเราลงไปได้ อย่างน้อยที่คีบในมือที่คอยปิ้งย่างเนื้ออย่างเอาเป็นเอาตายก็ทำให้เรามีส่วนร่วมกันมากกว่าการสนใจอาหารจานเดียวเฉพาะที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น


“อะไร” โอมอินเงยขึ้นถามเมื่อเนื้อชิ้นหนึ่งที่สุกกำลังดีถูกคีบไปวางบนจานตัวเอง


“ให้” ผมตอบสั้น ๆ ปกติถ้ากินปิ้งย่างเราจะคีบทุกอย่างใส่จานรวมไว้ทะยอยกิน มีบ้างที่โอมอินคีบอาหารให้ผม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกุ้งที่ผ่านการแกะให้แล้วเสียมากกว่า แต่ครั้งนี้ผมอยากคีบให้มันบ้าง ถึงจะเป็นแค่เนื้อหมูธรรมดาก็ตาม ครั้นจะให้ยื่นไปจ่อถึงปากเลยก็ดูจะขัดกับตัวเองไปสักนิด เอาแค่นี้ก็พอกำลังดี


“ทำไม”


“ถามมาก แดก ๆ ไปเถอะหน่า” ผมแกล้งหงุดหงิดกลบเกลื่อน เห็นอยู่หรอก รอยยิ้มมุมปากบนหน้ามันน่ะ


“คิดจะทำดีไถ่โทษ?”


“ไม่อยากให้คิดอย่างนั้น”


“แล้วยังไง?...กูจะบอกว่ามึงไม่ผิดหรอกนะ ไม่ต้องไถ่โทษอะไรทั้งนั้น”


“กูแค่อยากทำให้ เห็นว่าชิ้นนั้นน่ากินเลยคีบให้ เท่านั้นเอง...ก็แค่อยากเทคแคร์มึงบ้าง” ประโยคหลังผมก้มหน้างุด คิดว่าไม่ได้เขินอะไร แต่รู้สึกละอายเสียมากกว่า ที่ผ่านมาผมไม่เคยดูแลอะไรมันเลย เป็นโอมฝ่ายเดียวที่ดูแลผมสารพัด


“มึงไม่ต้องฝืนเทคแคร์กู มึงเป็นอย่างที่มึงสบายใจก็พอแล้ว อยู่กับกู เป็นแบบไหนแล้วสบายใจก็เป็นไปเถอะ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่กูที่จะยอมรับมัน”


“แต่กูเต็มใจนะ” ผมสบตาให้รู้ว่าเต็มใจจริง ๆ ไม่ได้ฝืนอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจเลยสักนิด


โอมอินยิ้มกว้าง “มึงจะน่ารักไปไหนวะ หาเรื่องให้กูหลงเก่งจริง ๆ”


“แดก ๆ ไปเลย จะได้หลงกูเยอะ ๆ” ผมคีบเนื้อย่างให้อีกฝ่ายจนพูนจานด้วยความหมั่นไส้ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแสดงความชอบใจแล้วก็ยิ่งรู้สึกแพ้ที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย


ถ้าผมเอาใจใส่แล้วทำให้อีกฝ่ายหลงจนไปไหนไม่รอดก็คงจะดี...




ความประดักประเดิดเข้าครอบคลุมเราทั้งคู่อีกครั้งตอนที่รอขึ้นลิฟต์คอนโดพร้อมกัน ผมโยนรีโหมดรถเล่นแก้เก้อ ระหว่างรอลิฟต์ไม่มีใครพูดอะไร แต่บอกตามตรงว่าผมแอบลุ้นอยู่เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำไปทั้งวันจะให้ผลลัพธ์แบบไหน


โอมอินจะยอมกลับไป ‘ห้องของเรา’ ไหม


“เมื่อคืนมึงนอนที่ไหน” กลายเป็นผมเสียเองที่ทนไม่ไหว กลัวว่าเข้าไปในลิฟต์แล้วอีกฝ่ายจะไม่ได้กดแค่ชั้นที่ผมอยู่


“ห้องกูสิ...ใครจะอยากอยู่ในห้องที่ไม่มึง”


ผมชั่งใจ ในเสี้ยววินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมรีบแทรกตัวเข้าไปก่อนแล้วจัดการกดเลขชั้นห้องของโอมอินเพียงชั้นเดียว


ผมไม่ได้หันไปมองหน้าคนข้าง ๆ แต่เพราะกล่องโดยสารนี้เป็นกระจก สีหน้าฉงนของมันจึงฉายให้ผมเห็นได้ไม่ยาก ผมยักไหล่หน้าเรียบนิ่งทั้งที่ในใจสั่นไหวไปหมด “ไม่ได้นอนห้องมึงนานแล้ว”



นานแล้วจริง ๆ


นานจนลืมไปแล้วว่าห้องแฟนผมไม่ได้กว้างเท่าห้องตัวเอง โอมอินเป็นแค่ลูกอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ใช่ลูกนักธุรกิจอย่างผม แค่ซื้อคอนโดอยู่ช่วงวัยเรียนก็จัดว่าชีวิตหรูมากแล้ว จะให้อยู่ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางอย่างผมคงไม่ได้


ห้องขนาดเล็กที่ไม่น่าเกิน 30 ตารางเมตรที่เปิดไปก็เจอครัวทางซ้ายมือ ตรงหน้าเป็นห้องนั่งเล่นที่มีเพียงโซฟาติดผนังกับโทรทัศน์ฝั่งตรงข้าม ถัดเข้าไปเป็นห้องนอนเตียงคิงส์ไซซ์ที่มีเพียงบานประตูกระจกกั้นเท่านั้น มุมเดียวในห้องนี้ที่ผมชอบคือเคาน์เตอร์บาร์ในพื้นที่อันน้อยนิดของครัวที่เจ้าของห้องต่อเติมขึ้นมาใหม่


“น้ำหน่อยไหม”


“ขอเบียร์” ผมตอบคนที่เดินไปถึงตู้เย็นแล้วปล่อยให้ผมรอที่โซฟา


แต่เรื่องอะไรจะนั่งรอเฉย ๆ จังหวะที่มันหันหลังนั่นแหละคือโอกาสเหมาะที่จะเริ่มอะไรต่อมิอะไรที่ปกติแล้วต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก


ผมเดินเข้าไปยืนซ้อนหลัง เว้นระยะห่างเล็กน้อยแต่ไม่มากพอให้อีกฝ่ายหันมาได้


ผมด้านหลังมันเริ่มยาวละต้นคอ ผมสอดมือเข้าไปลูบหลังคอเบา ๆ  “ผมมึงยาวแล้วนะ พรุ่งนี้ไปตัดผมก่อนเริ่มฝึกงานกัน”


“ตัดไม่ได้ ต้องเล่นละครเวที”


ผมยิ้มบาง พูดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกผิด ไม่รู้ตอนนี้ในมืออีกฝ่ายถืออะไรอยู่บ้าง รู้แค่ประตูตู้เย็นปิดสนิทไปครู่หนึ่งแล้ว


ผมโน้มลงกดจูบหนัก ๆ บนหลังคอโอม “ขอโทษนะ”


“บอกแล้วไงว่ามึงไม่ผิด”


“ก็ยังอยากขอโทษ” ผมกระซิบบอกข้างหูแล้วประทับจูบหนัก ๆ หลังกกหูก่อนไล้ริมฝีปากลงมาตามต้นคอ


“ทำอะไร?”


“ไอ้เต๋าบอกไม่ให้กูอ้อมค้อม…” ผมตอบทั้งที่ริมฝีปากยังทำหน้าที่เดิมต่อไปด้วย “...อยากทำอะไรก็...” คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายเมื่อโอมอินพลิกตัวกลับมาฉกริมฝีปากผมไปครองด้วยท่าทางราวกับหิวโหยเสียเต็มประดา


จูบของโอมอินดุดันทว่าหวานล้ำเหมือนเคย ร่างของผมถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนจนสะโพกถอยไปชนขอบเคาน์เตอร์ สองแขนยกขึ้นคล้องคออีกฝ่ายไว้เพื่อกดให้ริมฝีปากของเราเชื่อมกันได้นานขึ้นแม้ว่าช่วงบนของผมจะเอนลงไปมากเพราะถูกอีกคนรุกไล่ไม่หยุดก็ตาม


บทรักของเราเริ่มร้อนแรงขึ้น ในจังหวะนั้นโอมอินพยายามควบคุมร่างของเราสองคนให้เคลื่อนออกจากตรงนี้เพื่อเข้าห้องนอน แต่ผมกลับยื้อไว้  ลิ้นของอีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยอาจด้วยเพราะแปลกใจ จนกระทั่งถอนจูบออกไปเพื่อโกยอากาศโอมถึงได้ถามออกมาหน้านิ่ง “ตรงนี้?”


ผมยิ้มยั่วยื่นหน้าเข้าไปกดจูบที่มุมปากอีกฝ่ายก่อนจะพลิกตัวสลับด้านกัน กลายเป็นว่าตอนนี้มันเป็นฝ่ายตกอยู่ใต้การควบคุมของผมบ้างแล้ว


ผมไม่เคยบอกมันสินะว่าชอบเคาน์เตอร์บาร์ของมันมากแค่ไหน


วันนี้ผมจะทำให้ตรงนี้เป็นมุมที่ชอบมากขึ้นไปอีก


...และจะบอกมันให้รู้ไว้ด้วย


ผมค้ำมือสองข้างกับเคาน์เตอร์ขวางลำตัวเพื่อกักอีกฝ่ายไว้ รู้สึกตื่นเต้นจนแทบบ้า ไม่รู้มีร่างกายส่วนไหนของผมสั่นจนผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า แต่ผมไม่อยากให้มันรู้ว่าผมกำลังประหม่า ทั้งที่เราเมคเลิฟกันมาตั้งหลายครั้งแต่ครั้งนี้ผมกลับตื่นเต้นที่สุด ถ้าให้เทียบก็คงไม่ต่างจากสาวพรหมจรรย์เข้าหอคืนแรกกับเจ้าบ่าวของเธอสักเท่าไหร่


ผมเริ่มจากจูบ ค่อย ๆ ละเลียดบรรจงชิมอย่างละเมียดละไมราวกับกลีบเนื้อหยุ่นสีสดที่กำลังดูดดึงอยู่เป็นเนื้อปลาแซลมอนชั้นดีที่โปรดปราน เสียงอื้ออึงจากอีกฝ่ายดังขึ้นเป็นระยะ ผมมองเห็นความสุขสมจนเกินบรรยายจากใบหน้าหล่อเหลาของโอมจนทำให้ลืมความตื่นเต้นที่เคยมีไปได้ มือซ้ายยกขึ้นปลดกระดุมเสื้ออีกฝ่ายออกทีละเม็ดอย่างเชื่องช้าโดยไม่ลืมทิ้งความร้อนผ่าวจากการสัมผัสเล็กน้อยผ่านปลายนิ้วที่ไล่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ ด้วย ในขณะที่ขาข้างหนึ่งก็แอบแทรกเข้าไปตรงกลาง ยกสูงเลยเข่าให้เสียดสีอีกฝ่ายผ่านเนื้อผ้าชั้นดี เมื่อรับรู้ว่ากายอีกฝ่ายกระตุกผมก็ยิ้มย่องทั้งที่ยังจูบอยู่


ผมผละออกจากริมฝีปากหลังจากจูบกันอยู่หลายครั้งไล้มาตามสันกรามลงลำคอแกร่งที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นรับอย่างยินดี ผมไม่ได้กดจูบหนัก ๆ เพื่อฝากรอยทิ้งไว้ เพราะเพียงแค่ลากริมฝีปากผ่านอย่างจงใจและกดจูบเบา ๆ ในบางจุดก็ทำเอามันครางแผ่วและตัวสั่นได้แล้ว


“อื้มมมม ศร”


ลิ้นสากไล้ลงต่ำเรื่อย ๆ ให้ตายเถอะ! ตรงนี้มันแคบเกินไปชะมัด! แค่ผมลากลิ้นลงถึงช่วงอก ขาผมที่ยืดออกเพื่อให้ระดับใบหน้าพอดีกับอกอีกฝ่ายก็ทำเอาเมื่อยตัวเสียเหลือเกิน


ทว่าอุปสรรคนี้ก็ไม่สามารถหยุดผมได้


หลังจากที่เสื้อเชิ้ตขาวหลุดออกเผยร่างกายสุดเย้ายวนที่แม้จะดูดีได้ไม่เท่าผมแต่กลับเร้าอารมณ์ผมได้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร


ผมผละออกมามองสำรวจกายนั้นเต็มตาราวกับกำลังชื่นชมผลงานประติมากรรมชิ้นเอกที่ปั้นขึ้นมาเอง แต่ไม่รู้ว่าสายตาผมมันหื่นกระหายเกินไปรึเปล่า อีกฝ่ายมองแล้วถึงได้กระชากผมเข้าไปละเลงบทรักเร่าร้อนต่างจากก่อนหน้าที่ในทันที


ร่างกายเราแนบชิดกันมากขึ้นเพราะริมฝีปากที่นัวเนียกันไม่ห่าง จังหวะแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่เราผละจากกันเพื่อโกยอากาศเฮือกใหญ่และดึงดูดเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อของผมหลุดออกอย่างง่ายดายและรวดเร็วโดยฝีมือโอมอิน และเพราะกายที่แนบชิดกันผมจึงไม่พลาดที่จะแทรกขาตัวเองเข้าหว่างขามันอีกครั้งเพื่อโหมแรงราคะให้ลุกโชนยิ่งขึ้น


“อ๊ะ อ๊า~~~”


โอมอินครางเสียงแหบพร่าออกมาพร้อมร่างกายที่เกร็งงอเล็กน้อย ให้ผมเดาตอนนี้น้องชายมันคงแข็งจนเริ่มรู้สึกปวดเพราะอยากปลดปล่อยเต็มทีแล้ว


และบังเอิญว่าผมไม่ใช่คนใจร้ายเสียด้วย


ผมรีบปลดอาภรณ์ทุกด่านที่ขวางกั้นออกให้ไปกองอยู่ที่เข่าก่อนจงใจปัดมือโดนแท่งแกนกลางของมันที่แม้จะแค่ปัดผ่านแต่ก็รับรู้ได้จากความร้อนผ่าวว่าน่าจะแข็งขืนขึ้นมากแล้ว


“ขึ้นไป” ผมพูดทั้งที่ยังรัวลิ้นหยอกล้อกับตุ่มไตแข็งของโอมอิน


“อ๊า~~ หืม?”


“ขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์”


โอมอินทำตามแต่โดยดี ตัวมันสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนนั้นแล้ว คงเพราะเย็นผิวที่สัมผัส ว่าแล้วก็จูบปลอบคนขวัญอ่อนเสียหน่อย


เพราะตอนนี้ผมแทรกอยู่กลางระหว่างขาโอม ท่อนเอ็นที่บวมใหญ่เต็มที่จึงสีไปมากับท้องน้อยของผม ซึ่งถ้าผมไม่รีบ คงกลายเป็นผมเองที่จะแตกก่อนมัน ผมส่งมือไปกำรอบส่วนนั้นพลางลากริมฝีปากลงมาเรื่อย ๆ สองขาก็ถอยออกห่างพร้อมกางออกให้ได้องศาที่พอดี เมื่อส้นเท้าชนตู้เย็นจึงช่วยไม่ได้ที่ผมจะต้องงอตัวลงเยอะหน่อยเพื่อให้ริมฝีปากใกล้เป้าหมาย


“ศ...ศร”


“หืม”


“ย...อย่า” สองมือหนากอบใบหน้าของผมไว้ให้เงยขึ้นมองก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นในการเมคเลิฟของเรามาก่อน


“จะห้ามจริง ๆ เหรอ”


“บ้าชะมัด” ไอ้โอมขยี้หัวคล้ายกำลังถกเถียงกับความขัดแย้งในตัวเองก่อนพูดออกมาอาย ๆ ว่า “เดี๋ยวมันแตกคาปาก”


“ก็จะทำให้แตกอยู่แล้ว”


“มันเยอะ” ไอ้โอมอ้อมแอ้มบอก มันยังไม่เลิกอาย หน้าแดงหูแดงไม่พอตัวมันยังแดงด้วย มันน่านัก!


“ไม่ได้เอาออกเลยเหรอวะ”


“มีใครที่ไหนช่วยตัวเองทั้งที่มีแฟน มีแฟนก็ต้องให้แฟนช่วยสิวะ”


“ก็นี่ไง แฟนจะช่วย จะมัวกลัวอะไร” พูดจบผมก็แกล้งหยอกมันด้วยการจุ๊บลงบนท่อนเอ็นบวมเต่งของมันทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหยง


“กูไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครนะ รู้ใช่ไหม”


โอมอินพยักหน้า สีหน้ามันตอนนี้บิดเบี้ยวดูทรมานเพราะส่วนปลายเริ่มมีน้ำใสหลั่งออกมาแล้ว


เรามีเซ็กซ์กันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมยอมใช้ปากให้มัน ไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นกับผมด้วย แต่ครั้งนี้ผมจะทำ และผมต้องได้เป็นฝ่ายเริ่มทำแบบนี้ก่อนด้วย


เพราะผมอยากให้โอมรู้ว่าผมรักมันจริง ๆ


“กูขอนะ ถือเป็นการจองจำมึงให้อยู่กับกูตลอดไป”


เหมือนจะขออนุญาตแต่ผมก็ไม่ได้รอคำตอบ แม้ไม่รู้วิธีการแต่ก็ไม่ลังเลที่จะครอบครองตัวตนของอีกฝ่ายไว้ในปาก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้รับมีเพียงแค่ความจุกในช่องปาก มันคับแน่นในปากจนจะสำลัก จุกจนสงสัยว่าคนอื่น ๆ เขาทำกันได้อย่างไร หรือว่าที่อม ๆ กันมันไม่ใหญ่เท่าของไอ้บ้านี่


“ฟัน ๆ” โอมอินร้องบอก “ฟันโดน เจ็บ”


อ่า...ผมรู้แล้วว่ามันผิดตรงไหน


ผมถอนปากออกก่อน เห็นสายตาล้อแซวของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกเสียหน้าจนต้องส่งสายตาข่มขู่ไปให้ “ไม่ทำแล้ว”


“ไม่ดิ ลองใหม่” โอมจับล็อคใบหน้าของผมไว้ไม่ให้ย้ายไปไหนได้ก่อนก้มลงมาจูบหน้าผากผมอย่างอ่อนโยน


“ลองใหม่นะครับ”


บ้าเอ๊ย! หน้าผมต้องแดงมากแน่ ๆ นอกจากคำพูดคำจาที่สุภาพอ่อนโยนเป็นพิเศษแล้วก็ยังมีสายตาเชื่อมหวานที่มองมาอีก


ผมช้อนตามองอย่างคาดโทษก่อนจะเริ่มทำใหม่อีกครั้ง ความจริงแล้วน้องชายของมันในตอนนี้แค่โดนมือผมรูดรั้งไม่กี่ครั้งก็น่าจะแตกแล้ว  ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าผมใช้ปากอย่างถูกวิธีจริง ๆ จะใช้เวลาถึงสองนาทีรึเปล่า


มือผมที่วางค้ำโต๊ะบริเวณสะโพกของโอมถูกอีกฝ่ายแกะออกแล้วสอดนิ้วเข้ามาประสานจับกันไว้แน่น ให้ตายเหอะ! ผมเขินจนแทบบ้า ไม่กล้าเงยขึ้นไปมองหน้ามันเลยจึงได้แต่กระชับมือให้แน่นยิ่งขึ้นแล้วเริ่มละเลงลิ้นลงบนส่วนปลายที่บานออกก่อนครอบปากลงไปอีกครั้ง


“อ๊าาาาา ศร...ดี”


หน้าผมร้อนจนแทบไหม้ ความรู้สึกตอนนี้ต่างจากครั้งแรกมาก ไม่จุกเหมือนเดิมแล้ว มีแต่ความรู้สึกวูบหวิวในช่องอก ยิ่งลากริมฝีปากครอบลงไปลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งใจเต้นแรง ผมเผลอบีบมือแรงขึ้นและอีกฝ่ายก็บีบกลับเป็นจังหวะราวกับให้กำลังใจกัน ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นโอมทำตาเยิ้มมองมาอยู่ก่อนแล้วก็ยิ่งเขินจึงแกล้งเร่งความเร็วในการรูดริมฝีปากขึ้นเรียกเสียงครางต่ำได้เป็นอย่างดี


“อ๊าาาาาาา ศ...ศรครับ”


ร่างกายของโอมอินเกร็งไปหมดทุกส่วน สะโพกแกร่งก็พาลแอ่นเด้งขึ้นทำให้แท่งร้อนแกนกายดันเข้ามาจนผมเกือบจุก โอมนำมือผมไปกอดเอวสอบไว้ก่อนจะละมือออกมาสอดเข้าเส้นผมของผมเพื่อคุมจังหวะด้วยตัวเอง


จริงอย่างที่คิด ผมใช้เวลาเพียงน้อยนิดเท่านั้นร่างสมชายชาตรีที่ผมหลงใหลก็เกร็งกระตุกพร้อมปล่อยน้ำรักมากมายออกมาแล้ว


“อ๊าาา! ศร...ออก ไม่แตกในปาก” โอมบอกพร้อมพยายามจะบังคับศีรษะผมให้ยกออกอย่างนุ่มนวลที่สุดแต่ผมกลับดื้อรั้น ส่งเสียงครางอือออกไปยืนยันให้รู้ว่ายินดีจะกลืนกินตัวตนของอีกฝ่าย


ผมดึงมือโอมออกมาประสานกันไว้อีกครั้ง ช้อนตามองหวังจะให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรักทั้งหมดที่ผมมีให้ก่อนจะกลับมาเร่งความเร็วในช่วงโค้งสุดท้ายจนในที่สุดความแข็งขืนที่เกิดขึ้นมานานก็ถูกปลดปล่อยออกมาในปากผมตามความตั้งใจ


น้ำอุ่นคาวรสชาติปะแล่ม ๆ ที่บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรออกมาเยอะจนเปรอะออกมาข้างแก้มถึงคาง ผมหลุดหัวเราะให้กับประสบการณ์ครั้งแรกของตัวเองก่อนส่งลิ้นร้อนออกมาตวัดเลียริมฝีปากจนเกลี้ยงต่อหน้าไอ้คนที่กำลังมีความสุขมากกว่าเซ็กซ์ครั้งไหน ๆ ของเรา


ตัวของผมถูกกระชากให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่โอมอินจะฉกริมฝีปากไปดูดดึงส่งลิ้นเข้ามาไล่ต้อนชิมรสชาติน้ำรักของตัวเองที่ยังตกหล่นอยู่ในปากผม...รวมถึงคราบที่ติดอยู่ข้างแก้มผมด้วย



ให้ตายเถอะ! ผมว่าผมรักเคาน์เตอร์บาร์ของมันมากจริง ๆ






(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4

บทรักอีกครั้ง...และอีกครั้ง...หลาย ๆ ครั้ง เกิดขึ้นที่ตรงนั้นก่อนพากันประคองร่างอ่อนแรงมานอนก่ายกันบนเตียง


ห้องนอนไม่ได้มืดสนิท แม้จะไม่ได้เปิดไฟภายในแต่ยังมีแสงจากห้องนั่งเล่นที่มีเพียงบานกระจกกั้นส่องผ่านเข้ามา บรรยากาศโรแมนติกจนน่าขนลุก และท่าทางของเราตอนนี้ก็ดูไม่ต่างจากคู่สามีภรรยาในเช้าหลังคืนส่งตัวสักเท่าไหร่


โอมอินนอนหลับตา หน้าอกที่ผมนอนทับอยู่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มีเพียงผมที่ยังนอนมองหน้าอีกฝ่ายอยู่นานทีเดียวกว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลับอย่างที่คิด


“เลิกจ้องยัง เหนื่อยจะแกล้งหลับแล้ว”


ไม่รู้ความสาวน้อยที่ไหนเข้าสิงให้ผมกล้ายื่นมือออกไปบีบจมูกลงโทษพวกเอกฟิล์มที่บังอาจเล่นละครได้ดีราวกับเรียนเอกการแสดง


“โอ้ยยย” ยิ่งได้ยินเสียงแกล้งร้องที่โคตรเสแสร้งพร้อมสายตาแพรวพราวก็ยิ่งอยากทำมากกว่านี้


“คราวหน้าโรลเพลย์ไหม เดี๋ยวเขียนบทให้ เลือกมุมกล้องให้ด้วย”


“ได้ทีละเอาใหญ่เลยนะ” ว่าจบพร้อมกับได้ยินเสียงร้องโอยของจริงแบบไม่แกล้งทำอีกต่อไปเพราะคราวนี้ผมดีดหัวนมมันแบบเต็มรัก


“เจ็บจริงนะเนี่ย” เจ้าตัวว่าพลางลูบส่วนนั้นไปมา


“เหรอ กำลังจะชมเลยว่าเล่นละครเก่ง” ผมปัดมือมันออกเพื่อช่วยลูบเสียเอง


“อือ~~~” โอมครางเสียงซ่าน “คิดจะยั่วกันอีกรึไง ยาวไปจนถึงวันฝึกงานเลยไหม”


“อยากโดนดีดอีกครั้งใช่ไหม”


ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจดังเล็กน้อยก่อนเราจะเงียบกันไป ต่างคนต่างจมกับความคิดตัวเอง หรือบางทีโอมอาจจะหลับไปแล้วจริง ๆ ผมก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง


ผมหยุดลูบส่วนที่ตัวเองประทุศร้าย ทิ้งแขนพาดตัวอีกคนให้เหมือนกำลังกอดไว้หลวม ๆ


“ขอโทษนะ” ผมพูดเสียงเบาที่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนได้ยินมันไหม


“บอกแล้วไงว่า…”


“จะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว”


“...”


“จะไม่บอกเลิกอีกแล้ว”


“...” โอมก้มลงมาจูบหน้าผากของผม


“ขอโทษจริง ๆ”


“กูเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน...ต่อไปจะขี้หึงให้น้อยลง”


“กัดฟันพูดรึเปล่าวะ” ผมแซวติดตลก


“มึงก็อย่าทำตัวให้กูหึงสิวะ”


“กูจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องห่วง” ผมผงกศีรษะขึ้นก่อนยื่นหน้าเข้าไปจูบปากคนที่เป็นอุทิศตัวเป็นหมอนให้นอนหนุนอย่างรวดเร็วแล้วผละออกมายิ้มหวานที่สุดเท่าที่คิดว่าน่าจะหวานแล้ว “จะน่ารักแบบนี้กับมึงแค่คนเดียว”


ธรรมศรคนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน่ะ ไม่จำเป็นต้องอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว


“แม่ง” โอมอินหลุดสบถออกมาและยิ่งสบถดังขึ้นเมื่อผมหลบจูบมาหนุนอกของมันอีกครั้ง


“กูจะเลิกบุหรี่ตามที่มึงขอด้วย เลิกถาวรเลย”


“...”


“ถ้ามึงสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


“ต่อให้มึงไล่...กูก็จะไม่ไปไหน”









ชีวิตฝึกงานของนักศึกษาวิศวะชีวการแพทย์ตลอดสองสัปดาห์ของผมไม่มีอะไรมากไปกว่าการเดินตามตูดพี่ ๆ วิศวะในโรงงานและห้องแลป โชคดีหน่อยถ้าวันไหนได้ตามตูดคนระดับหัวหน้าหรือรุ่นซีเนียร์ แต่ถ้าได้ตามตูดพวกรุ่นใหม่ ๆ ก็หนีไม่พ้นสถานะเจนฯเบ้ละครับ อย่าไปหวังจะได้ความรู้อะไรมาพอกพูนปัญญา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจัดว่าชีวิตดี เพื่อนต่างสาขาของผมบ่นให้ฟังตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เริ่มฝึกว่าถูกขังให้จมปลักอยู่แต่ในออฟฟิศ ให้ทำหน้าที่ไม่ต่างจากคนไม่มีความรู้ด้านวิชาชีพเฉพาะ ดีแต่ถ่ายเอกสารไปวัน ๆ


ชีวิตผมช่วงนี้จัดว่าค่อนข้างสบาย มีแค่ฝึกงานอย่างเดียวไม่ต้องซ้อมละครเวทีไปด้วยอย่างโอมอิน สองสัปดาห์มานี้สภาพของโอมแทบไม่เหลือเค้าออร่าความเป็นพระเอกละครเวที ชีวิตนักศึกษาฝึกงานในบริษัทผลิตภาพยนตร์ชื่อดังของมันค่อนข้างหนัก บางวันออกกองตั้งแต่เช้ากลับมาดึก หรือกลับเช้าอีกวันก็ยังมี ได้ยินมันบ่นว่าชีวิตไม่ต่างจากเจนฯเบ้มากนัก อาศัยครูพักลักจำเอาถึงจะได้ประสบการณ์หน้างานจริง


วันไหนได้ออฟงานหรือเลิกเร็วก็ต้องเข้ามหา’ลัยไปซ้อมละครเวทีที่จะเปิดการแสดงตั้งแต่ช่วงเดือนแรกของเทอม ต่างจากผมที่เป็นช่วงหลังสอบกลางภาค กำหนดการช่วงนี้เลยมีแค่เวิร์คชอปบางบทให้เข้าถึงตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างเช่นตัวเอกอย่างผม


วันนี้ผมพอมีเวลาเลยมานั่งเฝ้าโอมซ้อมละครเวทีตามแผนของอีกฝ่ายที่อยากให้ผมมากดดันผู้กำกับของมันให้ปล่อยเร็วขึ้นเพราะสาว ๆ ในคณะนี้ต่างก็หลงใหลได้ปลื้มในตัวผมและแทบจะทำทุกอย่างตามที่ผมขอทั้งนั้น


ผมไม่ค่อยได้โผล่หน้ามาที่นี่เท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะเกรงใจทีมงานคนอื่น ๆ ด้วย จึงไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังมาเกาะแกะกับคนของผมอยู่อีกหรือว่าถูกจัดการให้พ้นทางไปแล้ว


ระหว่างนั่งรอ นอกจากจะได้รับการทักทายจากบรรดาเพื่อนฝูงของโอมรวมถึงพูดคุยสัพเพเหระพอหอมปากหอมคอแล้วผมก็ว่างตอบไลน์ไอ้น้องรัก รุ่นน้องในชมรมไปด้วย ไอ้ตัวเล็กมันไลน์มารบเร้าชวนไปลองอาหารญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากครั้งก่อนผมไปไม่ได้เพราะนอนกกกับแฟนอยู่แต่ในห้อง ไม่สะดวกออกไปไหนทั้งนั้น ครั้งนี้อีกฝ่ายบอกว่าเป็นสัปดาห์หน้า ถ้าตามตารางงานน่ะผมว่าง แต่ต้องรอดูก่อนว่าโอมว่างด้วยรึเปล่า ไม่อยากไปกับน้องแค่สองคน กลัวโอมไม่สบายใจอีกแม้ผมจะมั่นใจว่าน้องมันไม่ได้คิดเกินเลยกับผมแน่ ๆ ก็ตาม


ผมคุยตอบโต้แค่ไม่กี่ประโยคก็เป็นอันจบบทสนทนา เงยหน้าขึ้นมามองความเคลื่อนไหวในห้องซ้อมก็พบว่าร่างบอบบางของใครบางคนวนเวียนอยู่ใกล้คนของผมเกินความจำเป็นโดยที่ไอ้บ้านั่นก็ไม่รู้สึกตัวสักนิด เห็นแล้วก็หงุดหงิด ทำไมไม่ยอมทำอะไรสักอย่างให้เจ้าหล่อนหลุดไปไกล ๆ เสียที


หนึ่งชั่วโมงหลังจากผมมีตัวตนในห้องนี้ ทีมผู้กำกับหลายคนก็เริ่มเหลือบมองมาทางผมอย่างเกรง ๆ นี่เพิ่งจะหกโมงเย็นเองครับ ปกติกว่าผู้กำกับจะปล่อยก็สองสามทุ่มโน่น แต่ดูเหมือนแผนของโอมจะได้ผลเมื่อมีเสียงประกาศขึ้นมาว่าจะซ้อมต่ออีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น


ผมรออย่างใจจดใจจ่อทว่าก็แอบสังเกตพฤติกรรมของผู้หญิงคนนั้นไปด้วย ทั้งชีวิตผมไม่เคยไม่เป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิง แต่ดูท่าวันนี้คงต้องทำอะไรสักอย่างที่เด็ดขาดเสียที


“หิวรึยัง” โอมอินถามทันทีที่เดินมาถึงตัว ผมว่าคนที่หิวน่าจะเป็นมันมากกว่า ผมส่ายหน้าให้รู้ว่าเต็มใจรอ


“เธอยังยุ่งย่ามกับมึง” ผมมองไปที่สาวเจ้าให้รู้ว่าหมายถึงใคร


“ก็ไม่ได้เยอะอะไร กูไม่อยากทำอะไรมาก ยังต้องร่วมงานกันอีก”


ผมรู้ เพราะรู้ว่าโอมกลัวกระทบกับงาน เธอถึงได้กล้าลอยหน้าลอยตาเกาะแกะมันได้โดยไม่แคร์สายตาใคร อย่างเช่นตอนนี้ ผมมองมือเล็กที่สอดเข้ามาเกาะแขนคนของผมอย่างถือเป็นของตัวขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นอย่างออดอ้อน


นี่เรียกว่าไม่เยอะเหรอ?


“โอมคะ มิ้นท์ขอติดรถไปลงที่คอนโดได้ไหมคะ พอดีขามาติดรถเพื่อนเข้ามาน่ะค่ะ”


“เอ่อ...”


“ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ เดี๋ยวพวกเราไปส่งที่คอนโดให้เอง” ผมเอ่ยชวนด้วยสีหน้าเป็นมิตร แสดงออกให้รู้ว่าสนใจเธออยู่ลึก ๆ ซึ่งเธอก็รีบตอบรับทันที จะด้วยหลงเสน่ห์ผมหรืออยากไปกับโอมผมก็ไม่สนใจ ขอแค่เธอยอมไปด้วยเพื่อจบเรื่องยุบยิบในใจผมได้ก็พอแล้ว


ไม่มีจังหวะไหนที่โอมจะได้ถามว่าผมทำแบบนี้เพื่ออะไรเพราะเธออยู่กับเราตลอดเวลาจนกระทั่งถึงร้านอาหาร แต่เพราะสีหน้าอีกฝ่ายดูฉงนและเป็นกังวลอยู่มาก ผมจึงส่งข้อความไปให้อ่านเงียบ ๆ โดยที่หญิงสาวไม่ต้องรู้เรื่องไปด้วย


‘มึงจัดการไม่ได้ กูจะจัดการเอง’



ระหว่างรออาหารผมมองเธออยู่เกือบตลอดแม้ว่าเจ้าตัวจะเอาแต่พูดกับคนของผมอยู่ตลอดเวลาเช่นกันก็ตาม


“เดี๋ยวมานะ” ผมบอกโอม แน่นอนว่าต้องถูกรั้งไว้ซึ่งผมก็รีบชูโทรศัพท์ให้ดูพร้อมสำทับด้วยการบอกทันทีว่าขอออกไปคุยงานกับเจ้านายสักครู่ ก่อนออกมาผมจงใจทิ้งหางตาให้หญิงสาวคนเดียวในโต๊ะ เพราะถ้าเธอฉลาดพอเธอก็คงจะรีบหาข้ออ้างปลีกตัวตามผมออกมา


“มีอะไร” เธอถามเสียงห้วนทันทีที่ตามออกมาถึงสวนหลังร้าน ตรงนี้มีม้านั่งริมบ่อปลาคาร์ฟ ช่วงเวลานี้มีแค่แสงสลัวจากหลอดไฟซึ่งจัดว่าทึบและลับสายตาผู้คนได้ดีทีเดียว อีกอย่างคืนนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าว ลูกค้าคนอื่น ๆ คงอยากจะอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำมากกว่าจะออกมาชื่นชมความงามของสวยและปลาราคาแพงพวกนี้


“พูดจาตัดรอนน้ำใจจังเลยคนสวย” ผมตบมือลงข้างตัวเป็นสัญญาณให้เธอนั่งลงก่อน


“มีอะไรก็รีบพูด โอมรอฉันอยู่”


ผมต้องท่องพุทธโธในใจเพื่อระงับอารมณ์ร้อนของตัวเอง เพียรบอกว่าอย่าเพิ่งวู่วามจะเสียเรื่อง พาดแขนบนขอบพนักไปทางด้านหลังเธอด้วยท่าทีใจเย็น “ไม่รู้เหรอว่าไอ้โอมมีแฟนแล้ว”


เธอไหวไหล่ด้วยท่าทีมั่นใจไม่แยแสสิ่งที่ผมพูด “แล้วไง”


“ไม่สนใจ?”


“ก็แค่แฟนที่ไม่เคยมาเฝ้าสักครั้ง หึ คงรักกันน่าดู”


ผมพยายามไม่สนใจท่าทางเย้ยหยันของเธอ “แล้วรู้ไหมว่าแฟนมันเป็นใคร”


“จำเป็นต้องรู้เหรอ”


ผมมองเธออย่างพิจารณาว่าคำตอบที่ได้ยินจริงเท็จแคไหน ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียวที่เธอคงไม่รู้จริง ๆ อย่างปากว่า ผมจะได้ทำอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น


“ไม่คิดจะสนใจผมหน่อยเหรอ” ผมยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้ผู้หญิงตกบ่วงมานักต่อนักแล้ว


เธอยิ้มยั่ว “โทษทีนะ หล่อกว่ารวยกว่าน่ะก็ใช่ แต่มาเสนอกันถึงที่แบบนี้ไม่ใช่สเปคฉันหรอกนะ”


ผมยกยิ้มมุมปาก “เสนอให้ถึงที่แล้วก็ควรจะลองชิมดูก่อนไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็เป็นจังหวะเดียวกับช่วงแขนที่พาดไปตามพนักเก้าอี้ตวัดเอาร่างอวบอิ่มทับลงมาบนตัก เธอหวีดร้อง ยันฝ่ามือไว้กับแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวของผม นัยน์ตาผมมองสบกับประกายวาววับในหน่วยตากลมโตอย่างตื่น ๆ


“นายจะทำอะไร?”


“ลองชิมแล้วไม่ชอบ ก็ไม่ว่ากันหรอกนะ”


เธอครุ่นคิดตามอย่างจริงจังแต่แล้วระบบความคิดของเธอก็ถูกตัดฉับเพราะฝ่ามือผมที่ฉวยโอกาสเลื่อนไปกดตรงท้ายทอย เธอเบิกตากว้างยามถูกโน้มลงมาหาสิ่งที่รออยู่ ริมฝีปากสองคู่ประกบกันโดยความจงใจของผม เธอผงะออกแต่ริมฝีปากผมตามติด ดื้อดึงรุกรานจนหญิงสาวหมดทางเลี่ยง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำแผ่วเบาดังคล้ายการท้าทาย เธอกำหมัดแน่นก่อนจะคลายออกแล้วโอบแขนรั้งเจ้าของตักอย่างผมเข้าไปชิดมากขึ้น ผมจูบเก่ง ก่อนหน้านี้สาว ๆ ที่เคยผ่านมือผมบอกแบบนี้ทุกราย...หรือแม้แต่ไอ้โอมเองยังเคยพูด


ผมครางอื้ออึงในลำคอเสริมอารมณ์ให้เธอยิ่งรุกไล่เข้าหา เธอหยอกล้อและเพลิดเพลินกับปลายลิ้นรสหวานนุ่มที่ผมประเคนให้จนตอนนี้เธอได้กลายเป็นฝ่ายประคองใบหน้าผมเพื่อป้อนจูบลงมาอีกครั้งและอีกครั้งเสียเอง โดยไม่ทันสังเกตว่าผมได้ปล่อยสองแขนลงข้างตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่


“สนุกกันพอรึยัง!”


หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เธอผละออกจากริมฝีปากของผมหันไปมองต้นเสียงทั้งที่มือทั้งสองข้างยังอยู่บนเนื้อตัวผม ดวงตาคู่โตเบิกมองพร้อมสำนึกรับรู้ที่พุ่งเข้าใส่หน้า แต่ก็ยังเคลื่อนไหวตัวได้ช้าจนผมต้องดันเธอออกจากตัก แล้วถอยห่างพร้อมเช็ดปากตัวเองแรง ๆ


“โอมคะ...คือ…”


แน่สิ ต่อให้เป็นผู้หญิงกร้านโลกขนาดไหน แต่ถ้าผู้ชายที่หมายตามาเห็นตัวเองพลอดรักกับคนอื่นแบบนี้เธอก็คงทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน


“ผมว่าคุณควรเลิกยุ่งกับผมซักทีนะ ถ้าไม่ใช่ตอนซ้อมบท เป็นไปได้ก็ควรอยู่ห่าง ๆ ผมไว้”


“มิ้นท์อธิบายได้นะคะ มิ้นท์ไม่ได้เริ่มก่อน คือ...”


“คุณรู้อะไรไหม ที่ผมเห็นคือคุณนั่งตักเขา มือของคุณจับใบหน้าเขา และปากของคุณก็จูบกับปากเขา เขาที่เป็นคนของผม!!”


ผมยืนเม้มปาก ปั้นหน้าให้ดูเหมือนสงสารเพื่อนร่วมโลกอย่างเธออย่างสุดความสามารถ เธอกำมือแน่น คงอยากจะกรี๊ดออกมาในตอนนี้จะแย่ แต่ก็ทำได้แค่กระทืบเท้าระบายความคับแค้นใจแล้วจากไปตามทางที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก


พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ยกยิ้มออกมาในตอนนี้ ไม่ทันคิดเลยว่าแท้จริงแล้วตนไม่มีสิทธิยิ้มออกเลยสักนิดเมื่อเห็นโอมอินยืนกำหมัดอยู่ตรงหน้า


“เช็ดคราบลิปสติกนั่นออกซะ…”


“...”


“...ก่อนที่กูจะทำให้เลือดมึงออกมากลบสีบ้า ๆ นั่นแทน”
















พบกันใหม่ตามใบนัดหมอในครั้งที่ 15
---------------------------------------------------------------
ให้อภัยกับการแต่ง NC ลุ่มๆดอนๆของเราด้วย
ยังคงยืนยันว่าไม่ถนัดเขียนฉากแบบนี้เลย
#โรคประจำใจ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

ออฟไลน์ Tiffany

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คราวนี้นางคงจะยุ่งกับโอมน้อยลงนะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด