สวัสดีค่ะ ตอนที่ 63 มาแล้ว มาพร้อมกับคนที่คุณก็เรียกร้อง เขากลับมาแล้วค่ะในตอนนี้ ยังไงก็ไปอ่านกันเลยนะคะ ขอบคุณทุกๆกำลังใจและความเห็นมากๆค่ะ ดีใจที่ยังติดตามกันแต่แม้ว่าทางนี้จะอัพช้าไปหลายต่อหลายครั้ง ยังไงก็อยู่ด้วยกันก่อนนะคะ สำหรับตอนนี้หากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ ตอนนี้พายุฟ้าฝนเทลงมากระหน่ำเลย ยังไงก็รักษาสุขภาพและระมัดระวังกันด้วยนะคะ รัก ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ +++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 63 Freedom.
Everybody knows
ทุก ๆคนต่างก็รู้
How the story goes
ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร
But fairy tales have been lying to me
แต่เทพนิยายนั้นลวงหลอกฉันไว้
Every time I try
ทุกครั้งที่ฉันพยายาม
You just run and hide
เธอเองเอาแต่วิ่งหนีและหลบซ่อน
Now I’m finally feeling free
ในที่สุด ตอนนี้ฉันก็เป็นอิสระเสียที
อัทธ์และเลขาปอเดินนำเพลงขวัญกับพระพายมาถึงห้อง เพลงขวัญนั่งลงบนโซฟาอย่างรู้งาน ในขณะที่เลขาปอไปหยิบน้ำดื่มมาให้พลางใช้สายตาเหลือบมองไปยังอัทธ์ราวกับกำลังด่าใจในเพราะดูก็รู้ว่าที่เพลงขวัญมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นฝีมือของใคร
“สบายดีไหมอัทธ์” เพลงขวัญถาม พลางจิบน้ำ
“สบายดี ว่าแต่เธอเถอะ ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้”
“เรื่องน้องชายงี่เง่าของฉันทั้งคน ไม่ใช่ฉันแล้วใครจะจัดการ”
“เอ่อ คือ..” เลขาปอเอ่ยพลางมองหน้าพระพายที่ตอนนี้ก้มหน้าต่ำลงจนน่าสงสาร คงจะกลัวเพลงขวัญอยู่ไม่น้อย
“นี่แฟนนายสินะ” เพลงขวัญหันมามองเลขาปอ
“ใช่ ก็เลขาน้องชายเธอนั่นแหละ”
“ขอโทษด้วยนะที่มารบกวนแบบนี้ และจำนายไม่ได้จริง ๆ ก็ฉันไม่ค่อยไปที่นั่นเท่าไหร่”
เพลงขวัญคงจะหมายถึงโรงแรมของที่บ้าน เรื่องนั้นเลขาปอไม่ได้ถือสาเพราะเขาก็เป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง แต่กลับกันเป็นทางเลขาปอที่ต้องรู้จักเพลงขวัญอยู่แล้วถึงแม้จะเห็นตัวจริงไม่กี่ครั้งเพราะเป็นถึงลูกสาวคนโตของเจ้าของโรงแรม
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ” เลขาปอว่าพลางลุกขึ้น
“ไปด้วยสิ” อัทธ์ว่าและลุกขึ้นตาม เลขาปอมองค้อนอัทธ์แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร
“ขอใช้ห้องนั่งเล่นหน่อยละกัน”
“ตามสบายเลย” อัทธ์ว่า พลางเดินตามเลขาปอเข้าห้องไป
ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่เพลงขวัญและพระพายที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น พระพายรู้สึกว่าเพลงขวัญกำลังจ้องมองอยู่ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเลยสักนิด ทั้งที่เจอกันล่าสุดพระพายก็ออกจะสนิทมากขึ้นแล้วแท้ ๆ แต่เมื่อมาเจอกันในตอนนี้ ตอนที่พระพายเองก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรถึงสาเหตุที่มานั่งอยู่ตรงนี้
“พระพาย เล่ามา เกิดอะไรขึ้น” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็เอ่ยถามเรื่องได้อย่างตรงประเด็น
“เอ่อ....” พระพายไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาได้อย่างไรเพราะนึกไม่ออกว่าจะบอกมันโดยปกติเหมือนเรื่องดินฟ้าอากาศได้หรือไม่
“เงยหน้าแล้วเล่ามา” เพลงขวัญยังคงย้ำคำพูดอย่างชัดเจน จนพระพายต้องยอมแพ้
“คุณอัทธ์...บอกพี่เพลงว่าอะไรครับ” พระพายถาม
“อัทธ์บอกว่าพระพายอยู่ที่นี่ ทะเลาะกับพิธาน สภาพไม่ดีเท่าไหร่” เพลงขวัญบอก พระพายเงียบไปก่อนจะยอมเอ่ยออกมา
“ครับ...พวกเราทะเลาะกัน”
“ทะเลาะกันจนถึงขั้นออกจากห้องโดยไม่หยิบอะไรติดตัวมานี่ไม่ปกติแล้วนะ เรื่องมันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ” เพลงขวัญนั่งซักถามเป็นเรื่องเป็นราว อัทธ์บอกกับเธอว่าพระพายมานั่งอยู่ที่คอนโดในสภาพที่มีแต่ตัวจริง ๆ
“คุณพิธาน...ขอให้ผมห่างกับเขา...สักพัก” พระพายบอก เพลงขวัญถึงกับถลึงตา
“อะไรนะ...ห่างกันสักพัก นี่กำลังคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกเอ็มวีค่ายกามิกาเซ่อยู่รึไง” เพลงขวัญที่ได้ยินถึงกับของขึ้น สีหน้านั้นดูโมโหไม่น้อย
“น้องชายฉันนี่น่าขายหน้าจริง ๆ ใช้คำพูดเสียเชยสะบัด” ยังคงบ่นต่อเนื่องโดยไม่ได้ดูท่าทีของพระพายเลย
“พิธานพูดอะไรมากว่านั้นไหม เหตุผลล่ะ” เพลงขวัญกลับเข้าสู่บทสนทนาหลังจากที่บ่นอยู่ครู่หนึ่ง
“เขาบอกว่าผมหักหลังเขา”
“หักหลัง...เรื่องอะไร ไปแอบมีกิ๊กเหรอ” เพลงขวัญหรี่ตาถาม
“ไม่ครับ ไม่เคยมี” พระพายส่ายหน้าทันที
“ก็นั่นสิ ถ้ามีกิ๊กจริง ๆ ไม่ใช่แบบนี้หรอก ป่านนี้กิ๊กของพระพายได้โดนอัดน่วมอยู่ตรงใต้สะพานลอยไปแล้ว และตัวพระพายเองก็คงโดนล่ามโซ่ไว้ในห้อง ไม่ทันได้หนีไปไหนหรอก”
เพลงขวัญว่า พระพายถึงกับกลืนน้ำลาย...สมกับเป็นพี่สาวที่รู้จักน้องชายดีและแน่นอนว่ามันน่ากลัวมากหากจะเป็นอย่างนั้นจริง การล่ามโซ่แบบกักขังคงไม่ได้เร้าใจเหมือนตอนทำเรื่องอย่างว่าหรอก
“ตัดเรื่องชู้สาวออกไปได้เลย ไม่น่าใช่ และมีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไหม” เพลงขวัญถามต่อ
“ไม่มีนะครับ.....เอาจริง ๆ ก็...มีนิดหน่อย” พูดไปก็นึกขึ้นมา ก่อนหน้านั้นบรรยากาศของเขากับพิธานมีเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร
“ยังไงล่ะ”
“คุณพิธานกลับบ้านดึก น่าจะเรื่องงาน จากนั้นเขาลืมนัดทานข้าวกับผมและผมเห็นเขาเดินอยู่กับแฟนเก่าด้วย” พระพายจึงยอมเปิดปากเล่าทั้งหมด เพราะยากที่จะปิดคนอย่างเพลงขวัญได้
“แฟนเก่า โอน่ะเหรอ....”
“คงจะใช่ครับ น่าจะชื่อโอ”
“ถ้าเรื่องถ่านไฟเก่าจะคุกับโอนี่ตัดไปได้เลย เพราะรายนั้นเขามีแฟนฝรั่งแล้วและกำลังจะบินไปแต่งงานที่ประเทศของแฟนด้วย” เพลงขวัญว่า พระพายเลิกตาขึ้นอย่างงุนงง
“เหรอ..ครับ” พระพายหน้าเจื่อนลงทันควัน นี่เขาเข้าใจผิดเรื่องนี้ไปอย่างนั้นหรือ
“ใช่ เพราะรู้จักกันกับทางผู้ใหญ่เลยรู้เรื่องนี้” สมกับเป็นเพลงขวัญที่ไม่เคยมีอะไรลอดผ่านเธอไปได้เลย
“ฉะนั้นเรื่องนี้นายไม่ต้องไปคิดอะไรแล้ว แต่พิธานนี่สิคิดอะไรถึงพูดว่าขอห่างแบบนั้น...นั่นมันบอกเลิกกันทางอ้อมชัด ๆ”
เพลงขวัญขมวดคิ้วเป็นปมเพราะยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายตัวเอง ไม่ใช่พระพายคนเดียวที่คิดแบบนั้น เพลงขวัญก็คิดเช่นเดียวกันกับเขา พูดแบบนั้นออกมาเท่ากับกำลังบอกเลิกจริง ๆ
“และนี่หนีออกมาอยู่กับอัทธ์ได้ยังไง”
“บังเอิญมากกว่าครับ ผมเดินออกมาเรื่อย ๆ จนมาโผล่ที่นี่”
“โชคดีแค่ไหนที่เจอคนรู้จัก ไม่อย่างนั้นคงอันตราย”
“ขอโทษครับ” พระพายพูดได้เท่านี้ในตอนนี้ เขาทำคนรอบข้างลำบากมากเลยทีเดียว
“ฉันสิต้องขอโทษ น้องชายฉันทำเรื่องแบบนั้น นี่คงจะเสียใจมากแน่ ๆ แค่ดูหน้าซึม ๆเซื่อง ๆ แบบนี้ก็รู้แล้ว” เพลงขวัญมองหน้าพระพาย
“ร้องไห้ไปเยอะขนาดไหนแล้วล่ะ” เพลงขวัญลูบหัวพระพายเบา ๆ ความใจดีของเพลงขวัญทำเอาพระพายรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง อาการจุกแน่นตีขึ้นในอกนี่มาบ่อยจนห้ามไม่ค่อยอยู่
“จะเอายังไงต่อ ถ้าอยากเลิกก็เลิกได้เลยนะ ฉันไม่คิดเข้าข้างน้องชายหรอกถ้าทำนิสัยแบบนั้น”
“เขาเป็นคนขอเอง..ผมก็คงต้องทำอย่างที่เขาขอ”
“แต่คิดดูอีกที ฉันว่ามันอาจจะมีอะไรที่เข้าใจผิดกันได้”
“ผมไม่รู้หรอกครับแต่เขาไม่ยอมอธิบายอะไรผมเลย ผมถามเขาก็ไม่ยอมตอบ”
“ถ้าอย่างนั้นนิ่งเอาไว้ก่อน รอคุยกันให้ชัดเจน เชื่อว่าตอนนั้นจะตัดสินใจได้เองว่าจะทำยังไงต่อ แต่บอกไว้ก่อนนะ แม้ว่ายืนยันจะเลิกกับพิธาน ฉันก็เห็นพระพายเป็นน้องชายอยู่ดี ฉันถูกใจมากจนไม่อยากปล่อยไปไหนเลย” เพลงขวัญยิ้มให้ เห็นแล้วเหมือนพิธานตอนที่เจอเขาใหม่ ๆ ไม่มีผิด.....คงจะถูกชะตาในแง่ของคนน่ารังแกอย่างแน่นอน
“ขอบคุณครับพี่เพลง”
“อยู่ที่นี่ไปก่อนนะ คืนนี้ที่บ้านจะมีปาร์ตี้ก็รู้กันอยู่ ฉันจะไปดูเสียหน่อยว่าพิธานจะเป็นยังไง อยู่ทางนี้เดี๋ยวฉันจะติดต่อผ่านอัทธ์เอง”
“ฝากขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยนะครับ แล้วผมจะไปขอโทษด้วยตัวเองอีกที”
“จริง ๆเลย ทั้ง ๆที่ปาร์ตี้นี้จัดขึ้นเพราะพระพายแท้ ๆ แต่ดันไม่อยู่แบบนั้น คุณแม่คงโกรธน่าดู ”
“ขอโทษครับ” พระพายได้แต่พูดขอโทษไปอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็จะได้รู้กันว่าน้องชายฉันคิดอะไรอยู่” เพลงขวัญลุกขึ้นยืน
“เอาล่ะ ฉันต้องกลับแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะ เดี๋ยวฉันจะบอกมาอีกทีว่าจะเอาไง”
“ครับพี่เพลง”
“ฉันกลับละนะอัทธ์ ขอบใจมาก” เพลงขวัญส่งเสียงบอกอัทธ์เสียงดังพอควร อัทธ์กับเลขาปอจึงออกมาจากห้อง
“กลับแล้วเหรอครับ” เลขาปอถาม
“จ้ะ ขอบใจมาก เดี๋ยวจะติดต่อกลับมา ฝากพระพายด้วยนะ” เพลงขวัญฝากฝังไว้
“ไม่ต้องห่วง” อัทธ์รับคำ
“ไม่ต้องเศร้าแล้วนะ ฉันจะจัดการน้องชายตัวดีเอง” เพลงขวัญลูบหัวพระพายอีกครั้งก่อนที่จะออกจากห้องไป
“ขับรถดีๆนะครับ” พระพายเดินไปส่งหน้าประตู เพลงขวัญยิ้มให้และเดินก้าวสับขาเร็วๆไปยังลิฟต์
“พระพาย....ผมขอโทษ” เลขาปอเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิดทันทีที่พระพายหันหลังมา
“ขอโทษทำไม”
“ความแตกซะได้ ว่าคุณอยู่ที่นี่” เลขาปอว่า
“จริงๆผมเองเป็นคนบอก ไม่ใช่ปอหรอก” อัทธ์รีบบอกทันที
“ไม่เป็นหรอกครับ จริงๆมันก็ดีเหมือนกัน เรื่องมันจะได้จบเร็วขึ้น” พระพายว่าและนั่งลงบนโซฟา
“ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณเพลงขวัญรู้จักกับอัทธ์” เลขาปอนั่งลงข้างๆในขณะที่พระพายเอ่ยถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“ก็รู้จักกัน เจอกันในงานปาร์ตี้ของเพื่อนอีกที พอรู้ว่าเป็นลูกสาวของเพื่อนซี้คุณพ่อ เลยเป็นเพื่อนกัน”
“อย่าว่าแต่คุณเลย ผมเป็นแฟนมาตั้งกี่ปีก็ยังไม่รู้เรื่องนี้” น้ำเสียงประชดประชันออกมาจากเลขาปอ
“หึงเหรอ” อัทธ์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“เปล่าเลย แค่ไม่คิดว่าจะรู้จักกับพี่สาวของเจ้านายเป็นการส่วนตัว” เลขาปอตอบทันที
“หึงก็บอกสิ” อัทธ์แหย่อย่างชอบใจ
“พอได้แล้ว” เลขาปอปราม
“พระพายก็นั่งดูทีวีไปก่อนนะ ผมขอไปทำงานต่ออีกนิดหน่อย เดี๋ยวออกมาหา” อัทธ์ว่า
“ผมก็ด้วย เดี๋ยวออกมานะ” เลขาปอบอก
พระพายพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินไปที่โซฟานั่งอ่านหนังสือเล่มอื่นของเลขาปอต่อ อย่างน้อยการนั่งอ่านหนังสือในครั้งนี้ก็ทำให้จิตใจของพระพายตกตะกอนได้เยอะขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต้องยอมรับผลของมันและเดินหน้าต่อไป รู้สึกว่าหลังจากที่เจอกับหลวงตาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คิดอะไรได้เยอะจากคำสั่งสอนนั้น แม้จะยังเสียใจและรู้สึกถึงความผิดหวังเต็มอยู่ในอก แต่พระพายไม่ได้ฟูมฟายเหมือนเมื่อวานแล้ว เท่านี้ก็แปลว่าพระพายเข้มแข็งขึ้นมาได้อีกนิดหนึ่งแล้ว
.
เวลาเย็นจนพลบค่ำ บ้านหลังโตแถวชานเมืองอย่างบ้านธนิตกำลังมีปาร์ตี้เล็กๆกันตรงข้างบ้าน คนในบ้านช่วยกันจัดเตรียมอาหารรวมถึงเครื่องดื่มแบบง่ายๆจัดวางบนโต๊ะ โดยมีพัชชาจัดแจงชี้บอกออกคำสั่ง
“นี่พระพายไม่รับสายเลย แต่คงจะรู้นั่นแหละว่าต้องมาตอนนี้” พัชชาที่นั่งลงหลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยบ่นกับธนิตที่นั่งดื่มวิสกี้
“เดี๋ยวก็มา จะอะไรนักหนา”
ธนิตว่าแต่มือนั้นพลิกข้อมือดูนาฬิกาบ่อยพอสมควร พัชชาแอบอมยิ้มกับความปากแข็งนั้น แต่ก็ไม่อยากจะทักให้เจ้าตัวรู้สึกอายและคนแรกที่มาคือเพลงขวัญ ที่หิ้วถุงผ้าใบโตมาด้วย พัชชาลุกขึ้นไปหาด้วยความรวดเร็ว
“เพลง มาแล้วเหรอ” พัชชาทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะคุณพ่อ” เพลงขวัญทักทาย
“หิ้วอะไรมาเยอะแยะ” ธนิตถามราวกับตำหนิกลาย ๆ
“ก็เอามาให้ทุกคนเนื่องในวันปีใหม่ไงคะ”
เพลงขวัญพยายามไม่ให้บรรยากาศแย่เพราะที่ผ่านมาธนิตนั้นยังคงเป็นธนิตเหมือนที่ผ่านมาในความรู้สึกเธอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้วคือบรรยากาศที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น เพลงขวัญนั่งลงข้างพัชชาและจากนั้นไม่นานพิธานก็มา...มาคนเดียว
“พิธาน...มาแล้วเหรอ ล่ะนั่นหน้าไปโดนอะไรมา”
พัชชาที่ดีใจไม่กี่วินาทีก็ต้องตกใจไม่น้อยเมื่อสังเกตเห็นรอยแดงเถือกจนเกือบช้ำบนใบหน้า พิธานเงียบไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่นั่งลงบนเก้าอี้ที่ห่างจากธนิตไปหนึ่งที่นั่ง
“พิธาน เกิดอะไรขึ้น แล้วไหนพระพายล่ะ” พัชชาเริ่มเห็นท่าทีของพิธานที่ดูแปลกไป สีหน้าที่ดูไม่ปกติ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่เธอเลี้ยงพิธานมา
“เขา...ไม่มาครับ” พิธานตอบเสียงเบา เพลงขวัญจ้องมองพิธานที่ตอนนี้ดูก็รู้ว่ามีเรื่องขั้นรุนแรงและไม่สามารถทำอะไรได้จึงดูสิ้นหวังขนาดนี้
“เกิดอะไรขึ้น พระพายเป็นอะไร” พัชชาเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนทั้งสอง พิธานไม่พูดอะไรแต่ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งขึ้นมาและวางบนโต๊ะ
“อะไร มือถือใคร” พัชชาถาม
“ของ...พระพายครับ” พิธานตอบ
“พิธาน บอกแม่มา นี่มันเรื่องอะไรกัน” พัชชาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ของพิธานเลยสักนิด ดูหดหู่ ดูเศร้าหมองและดูสับสนในตัวเอง ธนิตมองหน้าพิธานก่อนที่จะยกแก้ววิสกี้ดื่ม
“อมพะนำอยู่ได้ ปากไม่มีเหรอ” ธนิตเอ่ยลอยๆขึ้นมา พิธานไม่มีอารมณ์แม้แต่จะหันไปโมโหหรือหาคำพูดเจ็บแสบได้เลยในตอนนี้
“สรุปแฟนแกไปไหน” คราวนี้เป็นธนิตเองที่เอ่ยถามแทนพัชชา เพลงขวัญแปลกใจไม่น้อยที่เห็นธนิตเอ่ยถามถึงพระพายเช่นนี้ พิธานยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น
“แกเป็นอะไร ทะเลาะกันมารึไง” ธนิตพูดออกมาจี้ใจดำพิธานไม่น้อย
“ไม่ใช่เรื่องของคุณพ่อครับ” พิธานพูดออกมาด้วยความรวดเร็ว
“แล้วมันเป็นเรื่องของใครล่ะ ถ้ามันเป็นเรื่องของแกเองทำไมถึงจัดการอะไรไม่ได้” ธนิตยังคงดูสบาย ๆกับแก้ววิสกี้ที่ยังคงยกดื่มอยู่
“หยุด!” พิธานพูดผ่านฟันที่ขบอยู่
“พิธาน อย่าพูดกับคุณพ่อแบบนั้นสิ” พัชชาเองก็พยายามปรามพิธานไว้ ดูท่าว่าเพลงขวัญคงต้องออกโรงแล้ว
“บอกเลิกกันแล้วเหรอ” เพลงขวัญถามด้วยสีหน้านิ่งๆ พิธานหันมองเพลงขวัญทันที
“ไม่ใช่ ไม่ได้.....” พิธานพูดเสียงเบาลง
“แล้วอะไรล่ะ ไม่เลิกกันแล้วมันยังไง ทะเลาะอะไรกัน” เพลงขวัญถามต่อ พิธานเงียบไป แววตาดูเจ็บปวดขึ้นมามากกว่าเดิม
“ผม...” ถึงคราวพิธานพูดไม่ออก
“พูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจเขาไปรึเปล่าล่ะ” เพลงขวัญจี้จุดเข้าไปอีก คราวนี้พิธานถึงกับเงียบ พูดอะไรไม่ออก
“รู้ไหม บางครั้งการที่หลุดปากพูดอะไรออกไป สิ่งที่ตามมามันมากกว่าที่คิดนะ ปกติน้องเป็นคนที่คิดก่อนพูดเสมอนี่ แล้วครั้งนี้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”
“พี่พูดเหมือนรู้เรื่อง” พิธานหันมามองเพลงขวัญอย่างสงสัย
“ฉันไม่รู้อะไรกับพวกนายหรอก แต่ปกติคนรักกันมันก็ที่ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง แล้วแกทำอย่างนั้นรึเปล่า” พิธานเงียบไปอีกครั้ง
“แล้วนี่รู้อะไรบ้าง ทะเลาะเรื่องอะไรกัน”
“บอกไม่ถูก...อาจจะเพราะเป็นผมเอง”
“เพราะแก ยังไงล่ะ เพราะแกไม่ไม่ยอมพูดอะไรอยู่แบบนี้ใช่ไหม ที่ผ่านมาเคยคุยเปิดอกกันบ้างไหม” เพลงขวัญถามต่อ พัชชาและธนิตนั่งเงียบปล่อยให้ทั้งสองคุยกัน
“แรก ๆ ก็...มี”
ใช่ แรก ๆ ก็ทำอย่างนั้น แต่พอมาช่วงหลังดูเหมือนเป็นเขาเองที่ละเลยเรื่องพวกนี้ไปเพียงเพราะบางครั้งก็อยากให้พระพายเอ่ยปากบอกด้วยตัวเอง ไม่ใช่การถามไถ่หรือจับผิดจากเขาเสมอ
“แปลว่าตอนนี้ไม่มี” เพลงขวัญสรุปอย่างนั้น
“เพราะเขา...ไม่ยอมบอกอะไรผมเลย” พิธานหรุบตาต่ำมองพื้น เหมือนกันกำลังน้อยใจอะไรบางอย่าง
“เขาปิดเรื่องอะไรล่ะ”
ล้วงเอาคำตอบกันต่อหน้าพ่อแม่เลยทีเดียว พัชชานั่งนิ่งฟังบทสนทนาของสองพี่น้องอย่างใจจดใจจ่อ ธนิตนั้นแม้จะท่าทีเฉยเมย แต่แท้จริงแล้วก็กำลังตั้งใจฟังอยู่มากเลยทีเดียว พิธานที่เริ่มจะรู้ตัวว่าตอนนี้ทุกคนกำลังกดดันเขา พิธานจึงเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมา เพราะไม่อยากให้พ่อที่ตนเองไม่ชอบใจเท่าไหร่ได้ยินมันด้วย
“พิธาน ไม่ต้องสนใจคุณพ่อได้ไหม บอกแม่มาว่าเรื่องอะไร” พัชชาเริ่มหน้าม้าน เพราะรู้ดีว่าไม่อยากให้ธนิตรู้เรื่องส่วนตัวอีกทั้งความเงียบของพิธานนั้นน่าหงุดหงิดไม่น้อยเลยทีเดียว
“คุณแม่รู้ดีไม่ใช่เหรอครับ ว่าเรื่องอะไร” พิธานเงยหน้ามองพัชชาด้วยสายตาผิดหวัง
“เรื่องอะไร พูดเรื่องอะไรพิธาน” พัชชายังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ไม่ใช่คุณแม่หรอกเหรอครับที่ร่วมมือกับพระพายเพื่อที่จะให้ผมกับคุณพ่อคืนดีกัน”
พิธานเสียงแข็งจนแทบจะเหมือนคำตำหนิกลาย ๆ ธนิตเลิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น พัชชารู้สึกหน้าชาวาบขึ้นเมื่อเรื่องนี้ถูกพูดต่อหน้าของสามีและลูกชาย คนที่ไม่อยากให้รู้เรื่องนี้มากที่สุด เพลงขวัญพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอจะเข้าใจแล้วว่าสาเหตุเรื่องนี้เกิดจากอะไร
“แม่....แม่ ไม่ได้ตั้งใจจะปิดพิธานนะ” พัชชาพยายามอธิบาย
“ไม่ปิด แต่ไม่คิดบอก ทำทุกอย่างลับหลังผม....ทั้งที่คุณแม่ก็รู้ ว่าผมรู้สึกยังไงกับเขา” พิธานเกร็งหน้าเพราะพยายามข่มความโมโหเอาไว้
“กับฉันมันยังไง” ธนิตหันมาถามพิธานทันที พิธานหน้าตึงราวกับไม่อยากตอบธนิต
“ฉันเป็นพ่อแกนะ อย่าลืมเรื่องนี้สิ”
“แต่เป็นพ่อที่ทำพวกเราเสียใจ” พิธานเปิดปากออกมา นานแค่ไหนกันที่เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา คงตั้งแต่ตอนออกจากบ้านหลังนี้ไป
“ฉันยอมรับว่าฉันเคยทำพลาดและทำเรื่องไม่ดีกับครอบครัว ฉันผิดเอง” สีหน้าที่ดูเจ็บปวดของธนิตนั้นทำเองเพลงขวัญชะงัก มุมนี้ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
“มาแก้ตัวอะไรเอาป่านนี้ หลังจากที่ทำเรื่องแบบนั้นไปแล้ว คุณพ่อมาสำนึกผิดทำไม ทำไมไม่คิดก่อนจะทำ” พิธานระเบิดความรู้สึกออกมา
“แกเองก็เคยทำเรื่องผิดมาก่อน แล้วทำไมแกคิดว่าคนอื่นเขาก็ทำผิดพลาดได้เหมือนกัน” ธนิตเองก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง พิธานที่ได้ยินอย่างนั้นถึงกับนิ่ง....ธนิตพูดถูก
“แกไม่เคยมองเห็นถึงความรู้สึกของคนอื่นเลย แกมองเห็นแค่ตัวเอง” พิธานฉุนกึกทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“คุณพ่อไม่มีสิทธิ์มาว่าผมแบบนั้น” พิธานโกรธไม่น้อยกับคำพูดนั้น รู้สึกเหมือนโดนตำหนิว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว จากปากคนที่พิธานคิดมาเสมอว่าเห็นแก่ตัวมากคนหนึ่ง
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อแกเป็นลูกชายของฉัน แกสองคนคือลูกของฉัน ต่อให้พวกแกไม่เคยนับว่าฉันเป็นพ่อ แต่พวกแกก็คือลูกฉันเสมอ แม้ว่าพวกแกจะใช้คำพูดถากถางว่าฉัน เมินเฉยกับฉันเหมือนคนไม่มีตัวตน...แต่ฉันก็ไม่เคยเกลียดพวกแกอย่างที่พวกแกเข้าใจ ฉันไม่เคยหมดรักในตัวพวกแกเลยสักนิด”
เสียงนั้นดังลั่นจนคนงานในบ้านยังได้ยิน ธนิตหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นนิดๆเมื่อได้พูดความรู้สึกที่ปกปิดมาตลอด....นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยิน พัชชาน้ำตาไหลออกมาอย่างเศร้าใจ เธอรู้ดีเสมอว่าธนิตนั้นเป็นคนอย่างไร คงจะมาถึงขีดสูงสุดของตัวเองแล้ว ความรู้สึกนี้ได้เป็นอิสระจากการเก็บกดมานานเสียที
เพลงขวัญเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจของคนเป็นพ่อ ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เจ็บปวดใจกว่าพวกเขาคือคนเป็นพ่อ คิดมาเสมอว่าพวกเขาโดนกระทำ แต่เปล่าเลย ธนิตเองก็ถูกกระทำจากพวกเขาเช่นกัน
พิธานเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น รู้สึกทุกอย่างกำลังจะเปิดเผยออกมาจากธนิตที่ปกปิดมาเนิ่นนาน วันนี้ทุกอย่างจะจบลงแล้ว วันนี้ที่ต้องสะสางความบาดหมางของคนในบ้านเสียที...
Lyrics: Nothing to stopping me by Vicetone ft. Kat Nestel.