สวัสดีค่ะ คลานมาอัพอย่างเหนื่อยล้า ที่ผ่านมามีหลายเรื่องมากจริงๆ เช่น อาทิตย์ก่อนโดนรถชน :m15:เมื่อวานเป็นวันเกิดไม่ได้ฉลองใดๆนอกจากการทำงานนอกสถานที่ที่แสนเหนื่อย ช่างเถอะค่ะ ชีวิตคนเรามันก็ต้องดำเนินต่อไป สู้ๆค่ะทุกคน
เอาล่ะค่ะ บ่นเรื่องตัวเองแล้วก็มาพูดถึงเรื่องนิยาย ล่าช้าตามเคยขออภัยนะคะ ตอนนี้เรื่องราวถือว่าดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้วค่ะ คิดว่าอีกไม่กี่อึดใจก็จะดำเนินมาถึงตอนจบแล้วค่ะ อดทนรอกัน อย่าเพิ่งทิ้งกันไปก่อนนะคะ ตอนนี้ฟ้าฝนเริ่มเทลงมากมากขึ้นแล้ว ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เช่นเคย หากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดใดๆก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณทุกๆคนค่ะ
++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 62 Rising sun.
Whatever you’re facing
ไม่ว่าเธอเผชิญหน้ากับอะไรก็แล้วแต่
If your heart is breaking
หากหัวใจของเธอแหลกสลาย
There’s a promise for the ones who just hold on
สัญญาได้เลยกับคนที่ยังพยายามอยู่
Lift up your eyes and see
เงยหน้าขึ้นและมอง
The sun is rising
ตะวันกำลังจะขึ้น
The sun is rising
ดวงตะวันกำลังจะขึ้นแล้ว
เสียงพลุดังสนั่นหวั่นไหว เป็นเสียงพลุฉลองเนื่องในเวลาเริ่มต้นปีใหม่ พระพายสะดุ้งตื่นตกใจเมื่อได้ยินสียงนั้น นี่คงเลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว ล่วงเลยเข้าสู่ปีใหม่อย่างเป็นทางการ พระพายลืมตาโพลงในความมืด ทั้งๆที่ตอนนี้ เวลานี้ เขาจะต้องอยู่นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กับพิธาน ไคและเก้า ตามที่วางแผนไว้แท้ๆ แต่ทุกอย่างกลับพังหมด กลายเป็นเขาต้องมานอนจมความทุกข์มืดดำอยู่อย่างนี้ ช่างเป็นการต้อนรับปีใหม่ที่แสนเศร้าจริงๆ
เมื่อลืมตาตื่นขนาดนี้ก็ยากที่จะนอนหลับลงแล้ว พระพายจึงนอนลืมตาอยู่อย่างนั้น รอบข้างไม่มีอะไรให้ทำนอกจากนอนนิ่งๆ จะเปิดทีวีก็ก็กลัวรบกวนเจ้าของห้อง พระพายนอนอยู่อย่างนั้นจนเริ่มชินกับความมืด ตอนนี้ไม่อยากจะคิดเรื่องของพิธานแล้ว แม้ว่าทุกอย่างมันจะยังวนเวียนอยู่ในความคิดก็ตามแต่พระพายก็ต้องข่มใจไม่ให้คิด เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บก็คือเขาเอง คิดไปเจ็บไป คงไม่ดีกับตัวเองเท่าไหร่นัก
นึกขึ้นได้ว่าเลขาปอบอกว่ามีหนังสือให้อ่านอยู่ พระพายจึงลุกขึ้นคลำๆไปหาสวิตซ์ไฟซึ่งกว่าจะหาเจอก็ใช้เวลานานมากเพราะไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เปิดขึ้นมาความสว่างก็เกิดขึ้นไปทั้งห้อง พระพายจึงเดินไปยังหนังสือที่วางไว้ เลือกเล่มที่ดูเหมือนเป็นวรรณกรรมของเด็ก เพราะหน้าปกลายการ์ตูนที่ดูสดใส พระพายหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับเอนตัวลงบนโซฟา เริ่มอ่านมันโดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนังสือสักอย่าง แค่ไม่อยากนอนต่อในตอนนี้อีกทั้งไม่อยากคิดในเรื่องที่
พระพายอ่านมันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆจนในที่สุดก็ไม่ได้วางมันลง เหมือนกำลังเพลิดเพลินไปกับมันโดยไม่ทันรู้ตัว พระพายอ่านไปเรื่อยๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากรู้ว่าเรื่องราวมันจะจบลงตรงไหนและอย่างไร
“คุณพระพาย” เสียงเรียกดังขึ้นในขณะที่พระพายกำลังอ่านหน้าสุดท้ายพอดี
“เอ่อ เปิดไฟสว่างแบบนี้ทำคุณตื่นรึเปล่า?” พระพายเอ่ยถาม
“ไม่หรอก นี่ก็จะเช้าแล้ว” เลขาปอว่า พระพายหันมองนาฬิกาถึงจะรู้ว่านี่เป็นเวลาย่ำรุ่งแล้ว
“ตื่นตอนกี่โมงล่ะ?” เลขาปอว่าพลางนั่งลงข้างๆ
“ตื่นตอนข้างนอกจุดพลุ”
“อ่า ผมนอนหลับสนิทเลย ไม่รู้สึกตัวสักนิด” พระพายยิ้มให้นิดๆเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ดีขึ้นไหม?” เลขาปอถาม เมื่อได้ยินแบบนั้นพระพายก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“ก็...ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมว่าไม่แย่เท่าเมื่อวานนะ”
“เข้มแข็งกว่าที่คิดมากเลยนะ”
“ไม่หรอก ผมยังไม่ขนาดนั้น คงต้องใช้เวลาหน่อย”
“เอาเถอะ วันนี้อยากไปไหนไหม ผมว่าจะไปวัด ไปไหว้พระเพื่อเป็นมงคลในวันปีใหม่หน่อย...ไปด้วยกันไหม?” เลขาปอเอ่ยชวน
“ไม่เป็นการรบกวนใช่ไหม?” พระพายถามอย่างกังวลนิดๆ แค่มานอนอยู่ตรงนี้ก็รู้สึกว่าได้รับความช่วยเหลือมากพอแล้ว
“ไม่เลย ผมอยากให้ไปนะ อย่างน้อยจิตใจจะได้สงบ”
“อืม ได้สิ”
“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำนะ เดี๋ยวจะไปเตรียมเสื้อผ้ามาให้ ถ้าใส่เสื้อผ้าผมได้ใช่ไหม?” เลขาปอถาม
“ไม่เป็นไร ใส่ได้” พระพายพยักหน้ารับ
“ขอห้านาที เดี๋ยวไปหยิบมาให้”
พูดจบก็ลุกออกไปทันที พระพายมองตามหลังเลขาปอไป ไม่คาดคิดเลยจริงๆว่าเขาจะหึงเลขาปอมาก่อน รู้สึกผิดไม่น้อยที่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน
ห้านาทีอย่างที่เจ้าตัวว่า เลขาปอมาพร้อมเสื้อผ้าในมือ เป็นกางเกงลำลองขายาวแบบผูกเอวสีเทาและเสื้อยืดคอกลมสีขาวซึ่งขนาดน่าจะพอดีตัวแต่ความยาวคงยาวไปนิดหน่อย
“ขอบคุณครับ” พระพายรับมันไว้
“ไปอาบน้ำเถอะ ห้องน้ำอีกห้องว่าง เดี๋ยวผมรอห้องน้ำต่อจากอัทธ์ เสร็จแล้วจะได้ไปกันเลย”
พระพายลุกไปอาบน้ำตามที่เลขาปอบอก ตอนนี้ในหัวไม่ค่อยคิดอะไรมากเท่าไหร่ รู้สึกว่าว่างเปล่านิดๆจะมีแค่บางจังหวะที่นึกถึงพิธานขึ้นมา รู้ดีว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางจะหยุดความคิดเหล่านี้ได้แต่อย่างน้อยบางช่วง บางจังหวะพระพายก็มีคิดเรื่องอื่นๆบ้าง
อาบน้ำด้วยความไวและแต่งตัวออกมาด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวเจ้าของห้องจะรอนาน ออกมาก็พบว่าอัทธ์นั่งอยู่ตรงโซฟาแล้ว
“มอร์นิ่งพระพาย” อัทธ์ว่าพลางยิ้มให้
“ครับ” พระพายพยักหน้ารับ
“เป็นไง เมื่อคืนหลับสบายไหม?”
“ก็...ดีครับ” คงไม่กล้าบอกว่าไม่ได้นอนเท่าที่ควร
“เดี๋ยวไปวัดกันนะ ปอบอกแล้วใช่ไหม?”
“ครับ บอกแล้ว”
“รอหน่อย ปอเขาอาบน้ำแต่งตัวเร็ว เดี๋ยวก็มา”
ใช้เวลาไม่นานอย่างที่อัทธ์บอกไว้ เลขาปอก็ออกมาและทั้งหมดจึงออกจากห้อง แน่นอนว่าพระพายที่ไม่มีแม้แต่รองเท้าก็ต้องสวมรองเท้ากีฬาของเลขาปอ เรียกได้ว่าชุดนี้ทั้งชุดนอกเหนือจากชั้นในก็เป็นของเลขาปอทั้งหมด ช่างน่ารันทดเสียจริง
อัทธ์ขับรถออกมา ยามเช้าตรู่อีกทั้งวันปีใหม่เช่นนี้ รถราไม่มากมายไปกว่าที่คิดไว้ รู้สึกปลอดโปร่งไม่น้อยเพราะจะเห็นภาพแบบนี้ไม่กี่ครั้งในปีๆหนึ่ง พระพายนั่งตรงเบาะหลังพลางเอนตัวลง
วันนี้เป็นวันที่หนึ่งมกราคม วันปีใหม่ที่แท้จริง วันนี้จริงๆแล้วพระพายจะต้องไปบ้านของพิธานเพื่อไปปาร์ตี้ปีใหม่ภายในครอบครัว ไม่รู้ว่าพัชชาแม่ของพิธานจะเป็นอย่างไร ถ้ารู้ว่าเขาคงจะไม่ได้ไปที่นั่นอีกแล้ว ธนิตที่ยอมใจอ่อนถึงขนาดนั้นแล้วคงผิดหวังไม่น้อยที่พระพายไม่อาจจะคบหากันได้นานกับพิธานอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกทั้งคำปรามาสของธนิตนั้นคือความจริง...ความรักเช่นนี้ไม่อาจจะจะจีรังยั่งยืน
รถขับออกมายังวัดที่ดูเงียบสงบ เป็นวัดเล็กๆที่ผู้คนไม่ได้คลาคล่ำเหมือนวัดดังทั่วๆไป หน้าวัดนั้นมีสังฆทานวางขาย เลขาปอกับพระพายเป็นคนลงไปซื้อ
“หน้าวัดตรงนี้เป็นสังฆทานที่ไม่เวียน ทุกอย่างใช้งานได้จริงและมีคุณภาพ ผมกับอัทธ์ชอบมาซื้อตรงนี้” เลขาปอด้วยรอยยิ้ม
“เอาสามถังนะครับ” เลขปอยื่นเงิน
“ให้ผมด้วยเหรอ?”
“ใช่ คุณไม่มีเงินติดตัวนะ อย่าลืมสิ”
“แต่มันจะดีเหรอ นี่มันของทำบุญ”
“ดีสิ อย่างน้อยมันก็เป็นบุญกุศลที่ทำให้คุณจิตใจปลอดโปร่งขึ้น ผมเองก็พลอยได้มันไปด้วย...ดูหวังผลเนอะ” เลขาปอหัวเราะ พระพายยิ้มออกมานิดๆ
สังฆทานสามถังวางตรงเบาะหลังข้างๆพระพาย จากนั้นอัทธ์ก็ขับรถเข้าไปในวัด ตรงไปยังศาลาการเปรียญที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก โดยมีเด็กวัดเดินนำเข้าไปด้านใน ทั้งสามนั่งรอสักครู่ จากนั้นพระสงฆ์อายุมากแล้วรูปหนึ่งก็เดินมายังศาลาการเปรียญ
“โยมปอ โยมอัทธ์ มาแต่เช้าเชียว” เลขาปอ อัทธ์และพระพายจึงก้มลงกราบ
“นมัสการครับหลวงตา” เลขาปอเอ่ยขึ้นหลังจากก้มลงกราบ
“สบายดีหรือ?”
“สบายดีครับ วันนี้ปีใหม่เลยมาถวายสังฆทานและมาเยี่ยมหลวงตาด้วยครับ” อัทธ์ว่า
“แล้วนี่เพื่อนหรือ?” สายตานั้นมองมายังพระพายที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยรอยยิ้ม
“ครับ เพื่อนพวกผมเอง” เลขาปอว่า
“อย่างนั้นก็ไปจุดธูปเทียนเสียก่อน”
ทั้งสามคนจึงขยับตัวไปยังหน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ เมื่อกราบเสร็จก็หันมากล่าวถวายสังฆทานต่อหน้าหลวงตา พระพายเองก็ไม่สันทัดนัก ท่องผิดบ้างถูกบ้างดำน้ำตามอัทธ์และเลขาปอไป แต่คำสวดต่าง ๆนั้นทำให้พระพายรู้สึกดีขึ้นมา เหมือนหัวใจที่แกว่งไปมาเริ่มสงบมากขึ้น การทำบุญคงจะช่วยได้อย่างที่เลขาปอบอกจริง ๆ หลวงตาสวดอานิสงค์และอะไรอีกที่พระพายไม่แน่ใจนัก จนตอนนี้มาถึงขั้นตอนประเคนสังฆทาน อัทธ์เป็นคนแรกที่ทำจากนั้นก็เป็นเลขาปอตามด้วยพระพาย เมื่อถวายเสร็จก็มาถึงสิ่งสุดท้ายที่ทำ คือการกรวดน้ำ
“ยะถา วาริวะหา...”
หลวงตาสวดขึ้น พระพายแตะไหล่ของเลขาปอพลางเอ่ยชื่อและนามสกุลของป้าที่พระพายรักและเคารพที่สุดที่ลาลับไปแล้วรวมถึงพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน จากนั้นก็ขอให้เจ้ากรรมนายเวรหรืออะไรก็แล้วแต่ที่พระพายจะนึกได้ ใช้เวลาไม่นานนักก็เป็นอันเสร็จสิ้น
“นี่ปัจจัยครับหลวงตา” เลขาปอยื่นซองสีขาวให้ ตอนนี้ทั้งสามคนมานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าหลวงตา
“ให้อาตมาบ่อยไปแล้ว เก็บไว้เถอะโยมปอ”
“รับเถอะครับหลวงตา ปอมีแค่หลวงตาเป็นญาติคนเดียวแล้ว ให้ปอทำในสิ่งที่ทำได้เถอะครับ”
“ดื้อตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ” หลวงตายอมรับซองปัจจัยมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“จริงครับหลวงตา ดื้อเสมอต้นเสมอปลาย” อัทธ์เสริม
“พอเลย” ปอหันไปดุอัทธ์ที่หัวเราะถูกใจ
“ปีใหม่ ทำไมไม่ไปเที่ยวกัน” หลวงตาเอ่ยถาม
“เรื่องเที่ยวเด็ก ๆ เขาทำกัน พวกผมไม่เด็กแล้ว” เลขาปอว่า
“อายุแปดสิบแล้วหรือถึงไม่เด็ก”
“หลวงตาก็” เลขาปอหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“พี่ปอ!” เสียงเด็กวัดสองสามคนดังขึ้น
“อ้าว เด็ก ๆ อยากกินขนมกันล่ะสิ ไปๆเดี๋ยวพี่พาไปซื้อ...อัทธ์ ไปด้วยกันไหม?” เลขาปอว่าพลางลุกขึ้น
“ไปสิ พระพายนั่งคุยกับหลวงตาไปก่อนนะ” เลขาปอ พระพายได้แต่พยักหน้า
“โยมชื่ออะไร?” หลวงตาหันมาถามพระพาย หลังจากทั้งสองคนออกไปจากศาลาการเปรียญแล้ว
“พระพายครับ หลวงตา”
“พระพาย....สายลมอย่างนั้นหรือ....แต่ดูไม่โลเลเหมือนสายลมเลยนี่” หลวงตาว่าพลางยิ้ม
“ไม่จริงหรอกครับ ผมออกจะโลเลบ่อย” พระพายยิ้มนิดๆเมื่อได้ยินจากหลวงตาเช่นนั้น
“หน้าตาอมทุกข์เหลือเกิน” หลวงตาพูดขึ้น พระพายนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น
“ครับ ทุกข์จนไม่รู้จะทำยังไงดี” การยอมรับความรู้สึกตัวเองโดยง่ายก็เหมือนการระบายความรู้สึกให้มันเบาบางลงไปได้บ้าง
“โยมพระพาย.....ความทุกข์ มันก็คือความทุกข์ ถ้าไม่ยึดติดก็จะไม่ทุกข์ โยมพระพายรู้ใช่ไหม?” หลวงตาเอ่ยขึ้น
“ยากครับหลวงตา ผม...ผมปล่อยความทุกข์ไปไม่ได้” พระพายเอ่ยอย่างรู้สึกเศร้า
“การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจจธรรมของชีวิต มันย่อมเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพระพายรู้สึกความจุกแน่นในอกตีขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ราวกับหลวงตาไปกดโดนจุดเข้าอะไรสักอย่าง...คำว่านิรันดร์มันไม่มีอยู่จริง
“ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ยามรักก็มีความสุขจนลืมไปเสียว่ามันต้องมีความทุกข์เข้ามา สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน แต่โปรดจำไว้ หากมีสติแล้วโยมพระพายก็จะผ่านมันไปได้ กาลเวลาจะเยียวยาและรักษาทุกอย่างให้โยมพระพายเข้มแข็งเอง มันเป็นกฎแห่งธรรมชาติ”
คำสอนที่เรียบง่ายและเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ทำพระพายหยุดนิ่งพลางทบทวน ชีวิตคนเรามีแค่นี้จริง ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพระพายก็ต้องมีสติและประคองตัวเองให้ผ่านไปให้ได้ ทุกอย่างผ่านเข้ามาก็จะผ่านไป เวลาและสติจะนำทางให้ไปถึงฝั่งอย่างแท้จริง พระพายค่อยยิ้มอออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พระพายร้องไห้เพราะเรื่องนี้ ต่อจากวันนี้ไปจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้อีกแล้ว
“โยมพระพาย ให้เวลากับตัวเอง ให้เวลากับทุกอย่าง อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็จะจากหายไปเองเมื่อหมดเวลาของมัน” พระพายพยักหน้ารับพลางเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ
“แต่หากเป็นคู่กันอย่างแท้จริง ก็จะไม่แคล้วกันหรอก” พระพายพยักหน้าอีกครั้งจากนั้นก็ก้มกราบหลวงตา
“ขอบพระคุณครับหลวงตา ผมคิดอะไรได้เยอะเลยครับ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้า พระอาทิตย์ขึ้นก็คือวันใหม่แล้ว ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เชื่อมั่นเท่านั้นก็พอ” หลวงตายิ้มให้
จากนั้นไม่นานอัทธ์กับเลขาปอก็มา พระพายหันไปยิ้มให้ทั้งสองคน เป็นยิ้มที่เลขาปอถึงกับชะงัก นี่เป็นยิ้มแรกอย่างจริงจังที่ได้เห็นจากพระพาย
“พอยิ้มก็น่ารักขึ้นเป็นกอง” เลขาปอว่า
ทั้งสามคนนั่งคุยกับหลวงตาสัพเพเหระอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะกราบนมัสการลาและออกจากวัดเพราะไม่อยากรบกวนเวลาของหลวงตาไปมากกว่านี้ พระพายดูแจ่มใสขึ้นหลังจากออกมากจากศาลาการเปรียญ ตอนนี้รถเคลื่อนออกไปจากวัดแล้วและน่าจะกลับไปยังคอนโดของอัทธ์
“สบายใจขึ้นไหม?” เลขาปอถาม
“มากเลย ขอบคุณครับ”
“ด้วยความยินดีครับ” เลขาปอว่า
“ไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วค่อยกลับห้องดีกว่า” อัทธ์ว่า
“ได้สิ ร้านอะไรก็ได้ เอาแถวๆนี้แหละ”
อัทธ์จึงพามาจอดที่ร้านอาหารปักษ์ใต้ที่ติดแอร์ดูนั่งสบาย เป็นร้านที่เปิดอยู่ร้านเดียวในละแวกนี้ ทั้งสามคนนั่งลงสั่งอาหาร พระพายไม่ได้สั่งอะไรให้ทั้งสองคนเลือกที่อยากกิน แค่มานั่งกินข้าวตัวเปล่าก็น่าเกลียดมากพออยู่แล้ว
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องเงินหรอก เดี๋ยวผมค่อยไปเอาเงินจากเจ้านายเอง” เลขาปอว่า พระพายได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกชะงักมือที่กำลังเทน้ำดื่มให้ทั้งสองคน
“ตามสบายเลย” พระพายว่าแล้วยิ้มออกมานิด ๆ
อาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสามคนกินอาหารด้วยกัน มีบ้างที่พูดคุยขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ใช้เวลาไม่นานก็อิ่มท้องแล้วกลับคอนโด ขับรถไปเพียงนิดก็ถึงคอนโดแล้ว พระพายเดินลงจากรถ พร้อมเลขาปอ ทั้งสองคนเดินเข้าไปข้างในนำอัทธ์ที่เดินตามหลังมา
“อัทธ์...” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเรียกขึ้นมา อัทธ์หันหลังไปก็เห็นหน้าคนที่เอ่ยเรียก เลขาปอกับพระพายจึงต้องชะงักหันหลังมองว่าใครกันเป็นคนเรียกอัทธ์
“มาแล้วเหรอเพลง” พระพายที่ได้ยินอย่างนั้นถึงกับตาโต
“พี่เพลง!” พระพายเผลอเรียกชื่อเพลงขวัญเสียงดังว่าปกติไปนิดเพราะความตกใจ
“อัทธ์...นี่พี่สาวคุณพิธานใช่ไหม?” เลาปอเดินมากระซิบถามอัทธ์หลัวจากที่ยกมือไหว้เพลงขวัญแล้ว
“ใช่ เพลงขวัญ พี่สาวของพิธานนั่นแหละ” อัทธ์ยืนยันคำถามของแฟนตัวเอง
“พี่เพลง...สบายดีไหมครับ?” พระพายพยายามทำตัวปกติ เชื่อว่าเพลงขวัญยังไม่รู้เรื่องของเขากับพิธานแน่นอนเพราะเรื่องมันเพิ่งเกิดเมื่อวานเท่านั้น
“ไม่สบายเท่าไหร่ มีเรื่องกวนใจเยอะเลย” เพลงขวัญยิ้มแหย่เหมือนที่ชอบทำบ่อย ๆ
“ว่าแต่เราเหอะ มาทำอะไรที่นี่?” เพลงขวัญถามกลับบ้าง
“เอ่อ...ไปวัดทำบุญด้วยกันครับ”
“กับคนอื่นที่ไม่ใช่น้องชายฉันเหรอ...ยังไงล่ะเนี่ย” เพลงขวัญทำหน้าสงสัยและจับผิดพระพายอย่างเปิดเผย
“เพลง...เลิกแกล้งพระพายได้ไหม” อัทธ์ส่ายหน้า จะให้มาช่วยไม่ใช่มาทำให้พระพายรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม
“ฉันชอบต้อนผู้ร้ายปากแข็ง” เพลงขวัญว่า พระพายรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองต้องซีดลงเพราะมันรู้สึกเย็นจนตึงหน้า
“อัทธ์...อะไรยังไง” เลขาปอถาม งงมากเลยทีเดียวที่จู่ ๆพี่สาวของเจ้านายมาโผล่ที่นี่ เวลานี้ เวลาที่แฟนของน้องชายตัวเองหลบมาอยู่ที่นี่ อะไรจะบังเอิญตรงกันได้ขนาดนี้
“ไปคุยกันที่ห้องดีกว่า ไปกัน” เพลงขวัญเดินไปจูงมือพระพายนำหน้าไป
“รู้เหรอว่าห้องไหน” อัทธ์ถาม
“ก็เดินนำไปสิ” เพลงขวัญหันมาพูดพลางเลิกคิ้วใส่ อัทธ์ได้แต่สายหน้า
อัทธ์จึงเดินก้าวๆเร็วนำขึ้นลิฟต์ไป ทั้งสี่คนจึงกำลังขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปยังห้องของอัทธ์ โดยที่พระพายยังคงถูกเพลงขวัญจูงมืออยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพลงขวัญมาที่นี่เพื่ออะไรและจะทำอะไรกันแน่ ได้แต่มาลุ้นเอาว่าทำไมเพลงขวัญมาอยู่ที่นี่ตรงนี้ได...
Lyric: The sun is rising by Britt Nicole.