ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษคนอ่านก่อนเลยนะคะ ตกใจที่เพิ่งเห็นว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ไม่ได้อัพ เพราะเรางานยุ่งมากและป่วยกระเสาะกระแสะ บวกกับคำสารภาพที่ต้องบอก...ติดซีรีย์ปรมาจารย์ลัทธิมารค่ะ จนเพจแจ้งว่าไม่มีข่าวสารอัพเดทนั่นแหละค่ะ ถึงนึกได้ว้า เฮ้ย...ไม่ได้อัพนิยาย เลยรีบมาอัพด้วยความรวดเร็วนี่แหละค่ะ กราบขอโทษคนอ่านจริงๆนะคะ
ตอนนี้เป็นตอนที่ 66 ค่ะ อีกห้าตอนจบก็แล้วนะคะ ซึ่งเราก็เขียนไว้แล้ว เหลือแค่ตรวจทานเท่านั้น จะมาลงให้เร็วที่สุดนะคะ และถ้าเราหายไปนานแบบครั้งนี้อีก ทักมาทวงทางเพจได้นะคะ บางครั้งวุ่นวายหลายเรื่องจนลืมไปบ้าง ขอโทษเป็นครั้งที่สามและขอบคุณที่ยังรออ่านกันนะคะ ตอนนี้หากมีข้อผิดพลาดใดๆก็ขออภัยไว้ตรงนี้ค่ะ ช่วงนี้สภาพอากาศแปรปรวนมาก อย่าลืมรักษาสุขภาพนะคะ เพราะเรานี่ติดเชื้อไวรัสในลำคอเลยล่ะค่ะ เพราะปรับสภาพไม่ทันบวกกับร่างกายล้า ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ รักเสมอค่ะ เจอกันตอนหน้านะคะ
+++++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 66 Don’t leave me.
Now please don’t go
ขอร้องเถอะ อย่าไปจากฉันเลย
Most nights I hardly sleep when I’m alone
ฉันแทบจะนอนหลับไม่ได้สักคืนเวลาอยู่คนเดียว
Now please don’t go, oh no
ขอร้องเถอะ อย่าไปจากฉันเลย
I think of you whenever I’m alone
ฉันคิดถึงแต่เธอทุกๆครั้งที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
So please don’t go
เช่นนั้น โปรดอย่าไปจากฉันเลย
“เสียใจขนาดนั้นเลยเหรอ” เพลงขวัญถาม หลังจากที่ยืนอยู่กับพิธานมาพักหนึ่งและมองเห็นถึงความอ่อนแอของพิธานที่ชัดเจนมากในตอนนี้
“ไม่อยากเสียเขาไป” พิธานพูดเสียงเบาเป็นคำตอบ
“ก็หาพระพายให้เจอแล้วบอกเขา” เพลงขวัญตบหลังพิธานพลางพูด
“บอกว่าอะไร บอกว่าขอโทษที่พูดโง่ ๆ ออกไปเหรอ”
“บอกทุกอย่างที่คิดนั่นแหละ และรู้ใช่ไหม ถ้าทำผิดสิ่งแรกที่จะต้องพูดคืออะไร”
“รู้..แต่กลัวเขาจะ....ไม่อยากฟัง” ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกทรมาน หากถึงตอนนั้นที่พระพายอาจจะไม่รับฟังเขา
“อย่าเพิ่งคิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นสิ”
เพลงขวัญไม่อาจรู้ได้ว่าพระพายรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ อาจจะยังอยากคบกับพิธานต่อหรืออยากจบลงทุกอย่าง ถึงเรื่องนี้เธอได้โทรคุยกับพระพายในช่วงที่บอกให้มาขนเสื้อผ้าออกไป ว่าทุกอย่างสุดแล้วแต่เจ้าตัว ใจจริงก็อยากให้จบเร็วที่สุดเหมือนกัน แต่พระพายเหมือนขอเวลาสักหน่อย ซึ่งไม่อาจจะรู้ได้ว่าที่ขอเวลานั้นทำไปเพื่ออะไร รู้แค่ว่าเธอต้องประวิงเวลาให้พิธานไม่เจอพระพายก่อนเพราะฝั่งนั้นยังไม่พร้อม นอกจากพิธานจะหาพระพายเจอก่อนด้วยตัวเองเท่านั้น และหากทั้งสองได้เจอหน้ากันแล้วก็อยากให้พิธานได้ลองทำในสิ่งที่ต้องทำคือการขอโทษและพูดถึงความรู้สึกจากใจจริงทั้งหมดให้ฟัง จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังว่าไม่ได้พยายามให้เต็มที่ในขณะที่มีโอกาส
“นี่พระพายเริ่มทำงานวันไหน” เพลงขวัญถาม
“น่าจะสอง..ใช่ วันที่สอง” พิธานตอบทันที
“ก็วันนี้ไม่ใช่เหรอ” เพลงขวัญว่า
“ที่ออฟฟิศ” ราวกับเห็นแสงสว่างส่องเข้ามาในความมืดมิด
“ก็ไปสิ แต่ก่อนอื่นไปส่งพี่ก่อน แล้วค่อยไปที่นั่น”
“ค่อยไปส่งได้ไหม อยากไปตอนนี้เลย” เหมือนมีแรงฮึดขึ้นมาเมื่อเห็นถึงโอกาสที่จะเจอพระพายอีกครั้ง
“ก็ได้” เพลงขวัญยอมตามใจ
พิธานจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปจากห้อง ขับรถไปยังออฟฟิศของพระพายที่เขาเคยมารับหลังเลิกงานหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้หลาย ๆ สถานที่เริ่มกลับมาเปิดตามปกติ ไม่ว่าจะร้านรวงหรือสำนักงานต่าง ๆ พิธานขับรถมาด้วยความรวดเร็วเท่าที่ท้องถนนจะเอื้ออำนวย ขับรถไปด้วยความรู้สึกสองอย่าง หนึ่งคือการหอบความหวังที่มีอยู่น้อยนิดเพื่อจะไปหาพระพายและสองหัวใจที่ปวดหนึบเหมือนโดนบีบจนแหลกหลังจากที่อ่านข้อความในกระดาษนั้นหมาด ๆ แต่ตอนนี้พิธานเลือกที่จะเอาความหวังทั้งหมดลองเสี่ยงอีกครั้ง ถ้าหากเขาเห็นหน้าพระพายในครั้งนี้ เขาจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเย็นซึ่งใกล้เวลาเลิกงานของพระพายแล้ว พิธานมาจอดรอด้วยความระทึกใจ เขากับพระพายเพิ่งจะทะเลาะกันได้แค่วันสองวัน แต่เหมือนเรื่องมันยาวมานานมาเป็นสัปดาห์ก็ไม่ผิดนัก พิธานเคาะนิ้วรัว ๆ บนพวงมาลัยรถยนต์อย่างคนเฝ้ารอ จ้องมองไปยังประตูทางเข้าออกของออฟฟิศที่พระพายทำงานอย่างใจจดใจจ่อ รอพระพายด้วยความรู้สึกหน่วงไปหมด ตอนนี้เหมือนกำลังจะดีใจที่จะได้เห็นหน้าพระพายและเสียใจพร้อมกันหากเมื่อเห็นใบหน้าของพระพายที่ขอจากลาเขาไป ถ้าหากเจอหน้าเข้าเขาจะต้องทำอย่างไรดี
ในที่สุดก็ถึงเวลาห้าโมง พนักงานหลายคนพากันเดินออกมาจากออฟฟิศอย่างรู้เวลา พิธานรีบลงจากรถไปยืนรอทันที จนในที่สุดก็เห็นกลุ่มคนที่พิธานคุ้นหน้า คือรุ่นพี่ในออฟฟิศของพระพาย พิธานรีบเดินเข้าไปหาทันที
“อ้าว พิธาน” พี่ปีเอ่ยเรียก
“แฟนน้องพายของเรานี่หว่า” คนอื่น ๆ ต่างทักทายที่ได้เห็นพิธานมายืนอยู่ตรงนี้
“เอ่อ...พระพายล่ะ” พิธานถาม
“มันไม่มา มันขอลาเพิ่ม ไม่รู้ไปไหนของมัน” พี่กล้วยบอกพลางทำหน้าเซ็ง
“จริงเหรอ” พิธานหันไปถามพี่ปีซึ่งรายนี้น่าเชื่อถือว่าพี่กล้วยมากกว่าเป็นไหน ๆ
“ไม่มาจริง ๆ” พี่ปียืนยัน
“อ้าว ไม่เชื่อกูเหรอ” พี่กล้วยไม่พอใจทันทีที่พิธานทำท่าทีเหมือนเขาไม่ใช่คนน่าเชื่อถือ
“ถ้าพระพายมาเมื่อไหร่ ติดต่อผมได้ไหม” พิธานว่าพลางหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ พี่ปีรับไว้พลางพยักหน้า
“ได้สิ” พิธานพยักหน้าอย่างใจชื้น ที่พี่ปียอมช่วยเหลือ
“ทำไมมาถามหาพายแบบนี้ล่ะ ทะเลาะกันเหรอ” รุ่นพี่อีกคนถามอย่างสงสัย
“เรื่องของเขา กลับกันเถอะ” พี่ปีตัดบท พิธานจึงยอมกลับขึ้นรถไปพร้อมหัวใจที่ห่อเหี่ยว พระพายไปอยู่ที่ไหนกันแน่
เดินกลับรถอย่างหมดเรี่ยวแรง นั่งหลังพิงเบาพลางถอนหายใจออกมา เพลงขวัญเหลือบมองด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“อย่าบอกนะว่าไม่มาทำงาน” เพลงขวัญถาม
“อืม” ตอบสั้น ๆ ได้ใจความ
“ไปตั้งหลักก่อนไหม” เพลงขวัญว่า
“เดี๋ยวไปส่งพี่ก่อน” พิธานบอกเช่นนั้น ก่อนที่จะออกรถไปส่งเพลงขวัญที่ร้านอาหาร
การขับรถของพิธานเลื่อนลอยพอสมควร หลายครั้งที่เบรกกะทันหันเพราะเหมือนสมาธิไม่ค่อยจะมี จนเพลงขวัญเริ่มเป็นห่วงมากขึ้น
“ไหวรึเปล่า” เพลงขวัญถาม เมื่อรถยนต์จอดลงตรงหน้าร้านอาหารของเพลงขวัญ
“ไหว” พิธานยืนยันอย่างนั้น
“ถ้าขืนใจลอยแบบนี้ต่อไป เกิดขับรถชนแล้วเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ เรื่องของพระพายคือหมดหวังเลยนะ” เพลงขวัญเตือนสติ
“รู้ จะตั้งใจขับมากกว่านี้” พิธานพูดด้วยท่าทีเหนื่อย ๆ
“จะไปทำงานเมื่อไหร่”
“คงจะพรุ่งนี้ ปอส่งข้อความมาบอกแล้ว” เพลงขวัญพยักหน้า
“ตั้งใจทำงานล่ะ ถ้าพี่มีข้อมูลเรื่องพระพายจะโทรบอกให้เร็วที่สุด” เพลงขวัญตบไหล่พิธาน ที่พยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เพลงขวัญลงจากรถเดินเข้าไปในร้าน ไม่วายก็ยังหันไปมองพิธานที่ตอนนี้นั่งนิ่งๆอยู่หลังพวงมาลัย สีหน้าเศร้าแสนเศร้าอย่างที่เพลงขวัญได้เห็นเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกคือตอนที่ออกจากบ้านเพราะทะเลาะกับธนิต ตอนนี้เธอดูเป็นพี่สาวใจร้ายไม่น้อยที่ทำเช่นนี้ การช่วยเหลือในวันนี้เป็นการช่วยเหลือไร้ซึ่งประโยชน์อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะอย่างไรพิธานก็จะไม่เจอพระพายโดยการช่วยเหลือของเพลงขวัญอยู่แล้ว
“อีกนิดนะพิธาน”
เพลงขวัญพูดกับตัวเอง ส่งผ่านไปให้พิธานที่ไม่มีทางจะได้ยิน ถึงจะสงสารน้องชายแต่เธอก็เอ็นดูพระพายไม่น้อยไปกว่ากัน ออกจะเอนเอียงไปทางพระพายมากกว่าด้วยซ้ำไปจึงกลายเป็นเช่นนี้
พิธานเอนหลังพิงเบาะอย่างรู้สึกท้อใจ เขาเหมือนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรอีกต่อไปแล้ว การทำงานในวันพรุ่งนี้ก็ไม่อาจจะรู้ว่าจะมีสมาธิมากพอหรือไม่ แต่เขาจะไม่ล้มเลิกเรื่องของพระพาย ต่อให้ต้องใช้วิธีไหนเขาก็จะต้องทำ เขาจะต้องแก้ไขในสิ่งที่ทำลงไปแม้ว่าจะสายไปแล้วก็ตาม
.....
ผ่านมากว่าสามสัปดาห์แล้วที่พิธานทำงานด้วยจิตใจที่ไม่ค่อยปกตินัก เขายังคงตามหาพระพายและคว้าน้ำเหลวโดยตลอด ห้องเก่าของพระพายที่พิธานจำได้ว่าไม่ได้ยกเลิกการเช่า ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพายรักมากที่สุดก็ไม่เจอ ภายในห้องมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าสิ่งมีชีวิตอยู่ในห้องนี้
ที่น่าแปลกใจสำหรับพิธาน คือที่ทำงานของพระพายนั้นจะทำอย่างไรก็ไม่เจอสักที พี่ปีบอกเขาว่าพระพายกลับมาทำงานหลังจากลาหยุดเพิ่มสองวัน แต่พิธานก็ไม่เคยจะเจอได้สักครั้ง พระพายหายออกไปจากออฟฟิศราวกับล่องหนหรืออันตรธานไปทุกวันที่เขาไปหาตอนเลิกงาน ไม่ว่าจะไปรอก่อนเวลาหรือรอจนเลยเวลาก็ไม่เคยเจอสักที จนตอนนี้รุ่นพี่ในออฟฟิศต่างรู้กันดีแล้วว่าพระพายหลบหน้าเขา พี่กล้วยที่ขากวนกว่าใครยังได้แต่ถอนหายใจทุกครั้งที่เจอเขาไปยืนรอตรงนั้น ที่เดิมที่ยืนรออยู่ทุกวัน
“พิธาน....ไม่เหนื่อยเหรอ” พี่กล้วยถามขึ้น วันนี้เป็นวันเสาร์วันสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์นี้และเป็นอีกวันที่พิธานมายืนรออยู่ตรงนี้เหมือนอย่างวันก่อน ๆ
“เขาเป็นยังไงบ้าง” และทุกครั้งที่พิธานจะถามถึงพระพายจากพี่ปีแล้วพี่กล้วย สองคนนี้มักจะบอกเรื่องพระพายให้กับเขาเสมอ
“มันก็มีความสุขดี ไม่ได้เหมือนใครบางคนที่หน้าหงอยอยู่แบบนี้” พี่กล้วยว่า
“เขากินข้าวปกติไหม” พิธานเอ่ยถาม
“อ๋อ....แต่ช่วงมันกินน้อยกว่าเมื่อก่อนนะ เมื่อก่อนมันกินได้เยอะกว่านี้ จะว่าไปก็ซูบลง จากปกติมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้” เมื่อได้ยินเช่นนั้นพิธานถึงกับใจแฟบ...พระพายไม่ได้ปกติอย่างที่คิดเอาไว้
“อย่าคิดมากสิ เอาเป็นว่าพระพายไม่ได้ดูทุกข์ใจมากขนาดนั้น”
พี่ปีสำทับให้ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจะกังวลของพิธาน พิธานที่ตั้งแต่มีปัญหากับพระพาย ดูเหมือนจะหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด จากปกติจะดูเปล่งประกายโดดเด่นแม้ว่าหน้าจะนิ่งเฉยก็ตาม แต่ตอนนี้ร่างกายนั้นก็ดูซูบลงถนัดตา เจ้าตัวคงจะไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะดูแลตัวเองเท่าไหร่นัก
“ช่วยบอกเขาได้ไหม ว่าผมอยากเจอเขา”
“คิดว่าพวกเราไม่พูดรึไง พูดจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว มันก็เฉยเหมือนไม่ได้ยินพวกเราซะแบบนั้น” พี่กล้วยตอบทันควัน พิธานหรุบตามองที่พื้นครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนสายตาไปมองพี่ปี
“ขอบคุณ...ถ้ามีอะไรก็โทรบอกผมได้ตลอดเลย” พิธานพูดเช่นนี้ทุกครั้งที่มาเจอรุ่นพี่ในออฟฟิศของพระพาย
“ได้สิ” พี่ปีว่า
พิธานกลับขึ้นมาบนรถ นั่งถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ทุกวันนี้เขาทำงานอย่างบ้าคลั่งเพื่อชดเชยเวลาที่ออกไปรอพระพายที่ออฟฟิศในทุก ๆ วัน เลขาปอตำหนิอยู่หลายครั้งเพราะเขาฝืนตัวเองและเคร่งเครียดจนร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหว ร่างกายก็เหนื่อยล้าไม่ต่างกับจิตใจ ระยะเวลาสามสัปดาห์ช่างยาวนานและทรมานเขาเหลือเกิน ถึงเวลาที่ต้องกลับแล้ว พิธานจะกลับไปที่คอนโดเสมอ ไปนั่งนิ่งๆและหาทางคิดวิธีที่จะเจอพระพาย
พิธานเอาแต่ขบคิดว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้เจอกันอีกครั้ง โดนหลบหน้าแบบนี้ราวกับโอกาสของเอาเองก็หลบหายไปเช่นกัน พิธานนั่งคิดวนอยู่ในรถ จากนั้นจึงติดเครื่องยนต์เพื่อจะขับรถออกจากออฟฟิศไปได้สักพัก จู่ๆก็มีคนโทรเข้ามา เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักเสียด้วย
“สวัสดี พิธานพูด” พิธานรับสายเมื่อรถติดไฟแดง แม้ไม่อยากสนใจเท่าไหร่ว่าเป็นใครแต่ก็ต้องรับสายเพราะอาจจะเกี่ยวกับงานของเขาเองก็ได้
“สวัสดีพิธาน”
“ใคร” พิธานอีกครั้ง
“จำไม่ได้รึไง กล้วยไงกล้วย” พิธานผละหน้าออกมาจากโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะแนบมันที่หูอีกครั้ง
“กล้วย..”
“พี่กล้วยของไอ้น้องพายไง”
“พี่กล้วย” พิธานออกจะแปลกใจเพราะเสียงในโทรศัพท์มือถือค่อนข้างจะต่างกับตัวจริง และเสียงพูดก็เบาหวิวเสียขนาดนั้น อีกทั้งคนที่เขาให้เบอร์คือพี่ปีคนเดียวเท่านั้น
“เออ นี่อยู่ไหน” พิธานคิดได้ว่าพี่กล้วยคงจะเอาเบอร์มาจากพี่ปีอย่างแน่นอน
“ขับรถอยู่”
“นี่ ฟังนะ คืนนี้ที่บ้านมีปาร์ตี้ปิ้งย่าง และน้องพายก็มาด้วย” พี่กล้วยบอกด้วยเสียงกระซิบ
“จริงเหรอ” ดั่งเสียงสวรรค์ก็ไม่ผิดนัก พิธานเบิกตาอย่างดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น
“เออ สามทุ่ม แต่มาสักสี่ห้าทุ่มก็ได้ เพราะมันจะค้างที่บ้าน”
“ทำไมต้องรอถึงตอนนั้น”
“รอให้มันเมาก่อนสิวะ ขืนมาเจอกันแบบปกติ คิดเหรอว่าจะได้คุยกัน”
“นั่นสิ” ดูมีเหตุผลจนน่าตกใจว่าพี่กล้วยคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง
“ว่าแต่...ทำไมถึงยอมบอก”
“ช่างหัวเรื่องนั้นเถอะ คืนดีกันเร็ว ๆ ก็ดีกับทางนี้ด้วย เอ่อ..หมายถึงกับทุกคนอะนะ” พี่กล้วยว่า พิธานพยักหน้ากับตัวเอง ฟังดูแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่นี่คือการช่วยเหลือแน่นอนว่าเขายินดีที่จะรับมัน
“ได้ เดี๋ยวผมไป”
“เออ เจอกัน” พี่กล้วยวางสายไปแล้ว
ความลิงโลดที่ไม่ได้รู้สึกมาพักใหญ่แล้วกำลังเกิดขึ้น พิธานแทบอยากจะไปดักรอที่บ้านของพี่กล้วยตั้งแต่ตอนนี้เสียด้วยซ้ำ แต่อาจจะถูกพระพายจับได้เสียก่อน เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วพิธานจึงขับรถกลับคอนโดด้วยความรวดเร็ว กลับไปอาบน้ำแต่งตัว รอเวลาที่จะได้ไปเจอพระพายอีกครั้ง
มาถึงคอนโดก็พบว่าไคยืนรออยู่หน้าห้องของเขา ไคที่เจอหน้าพิธานก็ยิ้มให้ ในช่วงที่พิธานตามหาตัวพระพายมาตลอดนั้น ไคเองก็ช่วยด้วยเช่นกันและแน่นอนว่าหาไม่เจอสักที ทั้งที่ไคออกจะมือโปรคนหนึ่งในเรื่องการตามหาคนและแฟนของไคอย่างเก้าเองก็ยืนยันว่าไม่รู้ว่าพระพายอยู่ไหนและหัวเสียทุกครั้งที่เอ่ยถามถึงเรื่องพวกนี้ กลายเป็นว่าทั้งพิธานและไคเองก็มีวันที่จะพลาดได้เช่นกัน
“เป็นไงบ้าง” พิธานเปิดประตูห้องและให้ไคเข้ามาด้วย
“สีหน้าแบบนี้ มีข่าวดีใช่ไหม” ไคถาม เพราะหลายวันมานี้พิธานดูหม่นหมองจนไม่น่าดู แต่ตอนนี้เหมือนเจ้าตัวกำลังดีใจอยู่
“กำลังจะได้เจอพระพายแล้ว” พิธานบอกด้วยรอยยิ้มนิดๆอย่างมีความหวัง
“จริงเหรอ” ไคเองก็ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น
“ใช่ คืนนี้ พระพายไปกินปิ้งย่างบ้านของรุ่นพี่ในออฟฟิศ”
“รู้ได้ยังไง” ไคเองก็ดีใจไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น
“รุ่นพี่เจ้าของบ้านเป็นคนบอก” พิธานไม่อาจจะปิดความดีใจนี้ไว้ได้จริงๆ
“จะไปกี่โมง”
“ว่าจะไปสองสามทุ่มประมาณนั้น”
“อยากให้ไปเป็นเพื่อนไหม” ไคถาม
“ไม่เป็นไร” พิธานส่ายหน้า
“แต่ฉันอยากไปด้วย จะรออยู่บนรถ” ไคว่า
เพราะนึกเป็นห่วงหากการไปเจอครั้งนี้มันไม่เป็นอย่างที่พิธานคิดไว้ เขารู้ดีว่าพระพายตั้งใจจะหลบหนีอย่างเห็นได้ชัด การที่เป็นเช่นนั้นแปลว่าตัวพระพายเองคงจะไม่อยากเจอจริงๆ และหากโดนปฏิเสธขึ้นมา ถึงตอนนั้นไม่อยากนึกสภาพของเพื่อนตัวเองว่าจะเป็นอย่างไร
“ได้สิ”
“เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแล้วจะมาเรียก อย่าเพิ่งกังวลอะไร ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” ไคว่าพลางตบไหล่ พิธานพยักหน้าให้ ไคเป็นเพื่อนที่เข้าใจเขาเสมอ
พิธานมองนาฬิกาที่ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงกว่าเท่านั้น พิธานเอนตัวลงบนโซฟาพลางนึกถึงพระพาย ตั้งแต่พระพายออกไปจากห้องนี้ พิธานนั้นไม่อาจจะหลับสนิทได้อีกเลย หลายต่อหลายครั้งที่เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าพื้นที่ข้างๆของเขาว่างเปล่า และกว่าจะหลับอีกครั้งก็ใช้เวลาอยู่นานพอควร คงเพราะสาเหตุนี้ทำให้เขาดูหน้าหม่นหมองและไม่กระปรี้กระเปร่าเอาเสียเลย
เพราะความดีใจและความหวังที่จู่ๆก็มาอย่างไม่ทันคาดคิด เหมือนความรู้สึกหนักที่ทับร่างกายเริ่มจางหายไปเล็กน้อย พิธานหลับตาลงและคิดกับตัวเองว่าหากเจอหน้าพระพายแล้วเขาจะต้องทำอย่างไร ต้องพูดแบบไหน จะยิ้มให้หรือทำอะไรดี คิดวนไปวนมาอย่างนั้นจนในที่สุดก็เผลอหลับไป คงเพราะดีใจจนรู้สึกความตึงเครียดลดหายไปทำให้พิธานหลับลงอย่างที่ไม่ได้เป็นมาสามสัปดาห์แล้ว
เวลาผ่านไปพอสมควร เสียงกดออดดังรัวๆปลุกให้พิธานตื่น ตกใจไม่น้อยที่ตื่นแบบกะทันหันและเหมือนกำลังสับสนว่าตอนนี้มันเวลาไหนกันแล้ว
“กี่โมงแล้ว” เมื่อตั้งสติได้จึงพลิกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือขึ้นมา พบว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว รวมถึงเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังอยู่ อาจจะเป็นไคที่กำลังโทรตาม รวมถึงเสียงกดออดยังคงดังอยู่แน่นอน
“โทษที เผลอหลับ” พิธานลุกขึ้นไปเปิดประตูพร้อมเอ่ยปากบอกไคที่ยืนรออยู่
“ก็ว่าทำไมไม่ยอมออกมา นี่สามทุ่มแล้ว”
“จะรีบไปอาบน้ำ” พิธานว่าและวิ่งไปอาบน้ำด้วยความรวดเร็วโดยไคนั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น
ใช้เวลาอย่างรวดเร็วอย่างที่บอกไว้จริง ๆ แต่งตัวออกมาและรีบขึ้นรถไปโดยที่ไคขอเป็นคนขับ ประมาณการว่าน่าจะถึงที่บ้านของพี่กล้วยราวๆสี่ทุ่มอย่างที่พี่กล้วยอยากให้ไป ระหว่างทางที่ไคขับรถนั้นพิธานเอาแต่นั่งหน้าตึงคงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
ในที่สุดก็มาถึงหน้าบ้านของพี่กล้วย ตอนนี้พิธานเริ่มประหม่าขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ว่าไม่ได้ออกท่าทางมากมายนักแต่ไครู้ได้จากสีหน้าที่ดูไม่มั่นใจนั้น
“เข้าไปเถอะ ทำให้เต็มที่ บอกสิ่งที่อยากบอก” ไคพูดให้กำลังใจ พิธานมองหน้าไคด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้
“ฉันอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนและนายต้องทำได้”
ไคพูดเสริมอีกครั้ง พิธานพยักหน้ารับนิดๆก่อนที่จะโทรหาพี่กล้วย แน่นอนว่าทางนั้นตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็วและเพียงอึดใจเดียวก็ออกมาเปิดประตูรั้วหน้าบ้านให้ แล้วหายเข้าไปในบ้าน คงไม่อยากให้คนอื่นสงสัย
พิธานเดินลงจากรถและเดินเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบ ใจนั้นรู้สึกเต้นแรงจนอกแทบจะระเบิด เขากำลังจะได้เจอพระพายแล้ว คนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดในหลายวันนี้ ในที่สุดก็จะได้เจอสักที...
Lyrics: Please don’t go by Joel Adams.