7
เราไม่ได้เกลียดการโตขึ้นหรอก แต่เราเกลียดการเปลี่ยนแปลงต่างหาก ผมชินกับการเห็นพี่เป็นเด็กผู้ชายที่หัวร้อน เด็กที่ชอบทำหน้าบูดตลอดเวลา เด็กผู้ชายที่ชอบพูดอะไรห้วนๆไม่ค่อยสนใจใครนอกจากแม่ตัวเอง ตอนนี้พี่โตขึ้นมากใจเย็นลงกว่าเดิมมาก หน้าที่บูดก็เริ่มยิ้มบ่อยขึ้น การพูดจาห้วนๆถึงจะมีอยู่บ้างแต่ก็ลดลงไปเยอะ คงเพราะโตขึ้น วุฒิภาวะก็มากขึ้น แต่เพราะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีนั่นแหล่ะทำให้ผมหวงมากขึ้น
มากกว่าตอนเรายังเด็กเยอะเลย
ตอนนั้น อย่างมากก็แค่กลัวพี่ไปเล่นกับคนอื่น ยังจำได้อยู่เลย ตอนที่มองหลังของพี่ที่วิ่งออกไปช่วยไอ้ปิ้วโยกชิงช้าแค่ไม่กี่นาที ผมก็ได้แต่จ้องมองด้วยความคันที่หัวใจจนน้ำตาคลอ ความกลัวตอนนั้นนั่นเทียบไม่ได้กับตอนนี้ เพราะคราวนี้ถ้าหลังของพี่หันหลังวิ่งออกไป มันอาจจะไม่หันกลับมาอีกเลย
“ขยะกับหน้ามึงอันไหนบูดกว่ากัน” ผมสะดุ้งกับสัมผัสเย็นๆที่ข้างแก้ม
“เย็น”
“ไหนบอกจะซ้อมบาส ไม่เห็นมึงขยับตัวสักมิลเลยหญิง”
“เออไอ้หญิง ขนาดกูบอกให้เก็บบาสยังไม่ช่วยกูเลย”
“จริงปิ้ว” ผมมองไอ้ลูกโป่งกับไอ้ปิ้วที่ยืนเท้าเอวตัวเปียกเหงื่ออยู่กลางสนามบาสของหมู่บ้าน ไอ้คู่หูนรกทีเป็นลูกคู่กันมาตั้งแต่เด็กยันโต จริงๆวันนี้เป็นหยุด ผมควรจะได้นอนอยู่บนเตียงแท้ๆ ไหงต้องโดนปลุกมานั่งดูพวกมันซ้อมบาสท่ามกลางอากาศร้อนอย่างนี้ด้วยวะ
“อะไร กูไม่ได้บอกจะซ้อมด้วยสักหน่อย”
“วันพรุ่งนี้มึงจะแข่งแล้วนะโว้ย บอกเลยว่าสีกูไม่มีทางออมมือให้” ผมมองไอ้ปิ้วอย่างเวทนา ไอ้ปิ้วโตมาอย่างไร้คุณภาพครับ เตะทีเดียวปลิว ตอนแรกที่เจอกันมันตัวแห้งๆเป็นลูกกระจ๊อกให้ไอ้เวรลูกโป่ง ปัจจุบันไอ้โป่งสูงขึ้นมากแต่ความเวรยังเท่าเดิม ส่วนไอ้ปิ้วก็ไร้การพัฒนาสูงเท่าเด็กประถมและยังแห้งแคระเหมือนเดิม
“ไอ้ปิ้ว กูหายใจมึงก็ปลิวแล้วป่ะ”
“โป่ง ไอ้หญิงมันว่าปิ้วเป็นทัมโปโปะ”
“ดอกทัมโปโปะคือไรวะ มึงเล่นมุกสายวิทย์มากไอ้เหี้ยปิ้ว สายศิลป์อย่างกูไม่เกท”
“ดอกทัมโปโปะคือดอกแดนดิไลออน”
“กูรู้จักแต่ไลออนคิง”
“อ่ะ มันคือดอกที่ในโดเรม่อนที่เป่าแล้วปลิวๆอ่ะ”
“อ๋อ หมามุ่ย”
“ไม่ๆ ไม่ใช่หมามุ่ย นี่เดี๋ยวเปิดรูปให้ดู”
ใช้เวลาเล่นมุกกันเกือบครึ่งสิบนาที มึงบ้าป่ะเนี่ย ไอ้ปิ้วก็พยายามจะอธิบายอย่างจริงจังตามภาษา ส่วนไอ้โป่งก็พยักหน้าเออออตามน้ำไปเรื่อย โป่งไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกับผม มันสอบติดอีกโรงเรียนหนึ่งแล้วก็เห็นว่าจริงจังกับการวาดรูปมากๆ อนาคตอยากเข้าศิลปกรรม ส่วนไอ้ปิ้วก็เห็นว่าจะเข้าคณะวิทยาแต่ยังลังเลภาคอยู่ ก็ดีครับ เส้นทางชัดเจนดี
“หญิง ร้อนป่ะเนี่ย” มือใหญ่ๆแปะลงบนหัวผม พร้อมกับเกลี่ยปอยผมไปทัดหูให้
“ร้อนดิ”
“กลับบ้านป่ะ เดี๋ยวไปส่งก่อน”
“ไม่เป็นไร ซ้อมก่อนก็ได้”
“กูลากมึงมาเผื่อมึงจะซ้อม เดี๋ยวพรุ่งนี้ถ้าได้ลงสนามแล้วโดนชนล้มจะทำยังไง”
“พี่จะชนหญิงล้มอ่อ”
“กูหมายถึงคนอื่นในสี” พี่มันหมายถึงการแข่งที่จะเริ่มขึ้นพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันแข่งขันกีฬาภายใน แล้วเหมือนพระเจ้าจะรู้เลยส่งให้สีผมกับพี่ได้เจอกันเป็นศึกแรก สีผมนี่ฮึกเหิมเหมือนศึกระหว่างประเทศซ้อมกันเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ที่ผมใจเย็นขนาดนี้เป็นเพราะได้รับเป็นตัวสำรองอันดับท้ายๆเพราะเทียบสกิลระหว่างที่ตัวสำรองหน้าโง่ๆที่เหลืออย่างซันตั๋งที่ยังพอเล่นได้บ้างแล้ว ทุกคนก็ตกลงแบบนั้น
“ไม่ได้ลงหรอกน่า ต้องรอให้พวกตัวจริงล้มทั้งสนามอ่ะ หญิงถึงได้ลง”
“เออ ถ้าโดนลงแล้วล้มได้แผลกูจะขำให้” หึ จะคอยดู น้ำหน้าอย่างพี่หน่ะหรอจะยืนขำ สักพักเสียงไอ้โป่งที่ร้องอ๋อก็ดังขึ้น เป็นอันว่าเพิ่งเกทว่าดอกทัมโปโปะคืออะไร ไอ้ปิ้วก็หน้าตาสดใสขึ้นมาทันที ที่อย่างน้อยวันนี้สมองไอ้โป่งก็ได้รับความรู้ไปบ้างแล้ว
“เชี่ย กูเพิ่งรู้ว่าดอกมัมมี่พอกโกะกับหมามุ่ยมันคนละดอกกัน”
“ทะ ทัมโปโปะโป่ง” จากดอกไม้สู่ผ้าอ้อมเด็กภายในสิบนาที
“เออๆ ดอกอะไรโปะๆนั่นแหล่ะ”
“ฮือออออ โป่งง ความจำโป่งสั้นกว่าปลาทองอีกอ่ะ”
“ไอ้ปิ้วมึงร้องไห้ทำไมเนี่ย!!!”
เอาเป็นว่าการซ้อมบาสก็จำเป็นต้องหยุดลงแค่นั้น เพราะไอ้ปิ้วมัวแต่ร้องไห้กลัวไอ้โป่งเป็นอัลไซเมอร์ นี่ก็งงอยู่เหมือนกัน จากมุกดอกไม้โง่ๆมึงไปจบที่อัลไซเมอร์ได้ยังไง ตกลงใครควรจะพบแพทย์ก่อนกัน
จบจากการซ้อมบาสพวกเราก็เดินไปกินร้านไอติมหน้าหมู่บ้าน คุณยายใจดีที่ชอบแถมเยลลี่ให้สองก้อน จากตอนที่ต้องเขย่งสุดเท้าเพื่อเลือกรสชาตจนตอนนี้สูงจนเลยตู้ไอติมแถมยังสูงเลยคุณยายทั้งแก็งแล้วก็ตาม พวกเราก็ยังคงได้เยลลี่แถมเท่าเดิม
“ลูกโป่งยังขี้แกล้งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆนะ วันนี้ไม่แถมเยลลี่โป่งแล้วกัน”
“เดี๋ยวๆ ผมยังไม่ได้แกล้งอะไรไอ้ปิ้วเลยนะยาย” ไอ้โป่งรีบโวยวาย ทวงสิทธิเยลลี่สองก้อนทันทีทันใด
“แล้วปิ้วร้องไห้ได้ยังไง”
“ผมแค่ลืมชื่อดอกไม้ อะไรนะ ดอกเมอไลออน?”
“ฮือออออออออออ มันคือทัมโปโปะ”
“แล้วมึงร้องต่อทำไมเนี่ย!!!”
“โป่ง จะต้องลืมทางกลับบ้านในอีกสิบปีข้างหน้าแล้วกลายเป็นโฮมเลสแถวๆสะพานลอยแน่เลย ฮือออออออออออออ สงสารรรรร”
“ไอ้ปิ้วมึงพูดอะไรของมึงเนี่ย หยุดร้องไห้นะโว้ย!!”
“โอเค ไม่ให้เยลลี่”
“ย๊าย!!!”
วุ่นวายสุดๆแต่ก็ตลกดี
ผมชอบความเหมือนเดิมท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ระหว่างที่ตกอย่างกำลังเปลี่ยนไป คุณยายที่แก่มากขึ้นดูจากผิวหนังที่เหี่ยวย่น สีตู้ไอติมที่ซีดจนแทบมองชื่อแบรนด์ไม่ออก เก้าอี้ไม้ที่เริ่มผุพัง แต่เสียงโวยวายของโป่งกับปิ้วยังคงเหมือนเดิมกับหลายปีที่ผ่านมา ไอติมยังรสชาตเหมือนเดิมทุกครั้งที่แตะโดนลิ้น เยลลี่สีแดงสี่ชิ้นที่ได้มาจากการแถมของคุณยายและผู้ชายที่นั่งข้างๆ
“โตขึ้นเรื่อยๆทุกปีเลยนะพวกเราเนี่ย” คุณยายเดินไปตักเยลลี่ใส่ช้อนมาก่อนจะแปะลงบนไอติมของไอ้โป่งให้มันหยุดโวยวายเสียที
“แต่ยังน่ารำคาญเท่าเดิมใช่ไหมครับ” พี่เสริมพรางหัวเราะ
“โวยวายเหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเลย มีแค่เจ้าสองคนนี้หล่ะมั้งที่เหมือนเดิม” คุณยายเดินเอาช้อนมาเคาะหัวผมดังป๊อก
“ไรอ่ะ หญิงสูงขึ้นนะ”
“หือ ก็สูงขึ้นจริงๆแหล่ะ ตอนเจอกันยังสูงแค่เอวฉันอยู่เลย”
“แล้วหญิงกับพี่ไม่เปลี่ยนไปตรงไหน หล่อขึ้นจม”
“ฮึ ยังคงตัวติดกันเหมือนเดิมเลยไม่เคยเปลี่ยนเลยหน่ะสิ” คุณยายพูดยิ้มๆแล้วก็เดินออกไปตักไอติมขายให้ลูกค้าต่อ ผมหันไปมองหน้าพี่ พี่ก็มองหน้าผมกลับก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวผมแล้วก้มหน้าก้มตากินไอติมต่อ
เห้อ จริงครับยาย ผมไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆแหล่ะ หมายถึงความรู้สึกของผมเอง
...ยังคงเหมือนเดิมกับตอนที่สูงเท่าสะโพกยายเลยแหล่ะครับ .
.
ในที่สุดกีฬาสีภายในก็เริ่มขึ้น เด็กนักเรียนจะเอาผ้าพันคอสีตัวเองมาผูกตามข้อมือ มีความแบ่งบ้านเยี่ยงฮอกวอร์ต บางคนก็เอาผ้ามาพันหัวบ้างก็พันเป็นผ้าพันคอ มาพร้อมกับเสียงกลองดันสนั่นลั่นโรงเรียน เพลงฮิตของช่วงนี้ก็จะมีหลายเพลงครับ เพลงแรกก็ซู่ๆซ่าๆปาทังก้าปาทังกี้ เพลงสองก็อังกะลีลีลาอังกะลู กาลีซุ่ม กาลี กาลี กาลีซุ่ม ห้ามถามคำแปลครับเพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนบทสวดของเผ่าอะไรสักอย่าง เพลงสุดท้าย ยอดฮิตติดอันดับต้องร้องทุกสี
พายุ!! พระอาทิตย์!! อิทธิฤทธิ!! สีแดง!!
พายุพระอาทิตย์อิทธิฤทธิ์ผู้พิชิตสีแดง 1212312121 เฮ้!!
ไม่เชื่อมโยงแต่ฟังแล้วก็ฮึกเหิมแทนสีแดงดีเหมือนกัน นอกจากจะมีการแข่งกีฬาแล้วก็ยังมีซุ้มขายของ ซู้มเล่มเกมแจกของต่างๆอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่หลอกเด็ก ส่วนผมตอนนี้ก็มานั่งเป็นหมาหอบแดดอยู่ในโรงอาหารอยู่กับทีมบาสรอเวลาแข่งอีกประมาณสองชั่วโมง โคตรร้อนเลยประเทศไทย ทำไมเราต้องมาเสี่ยงตายใช้ชีวิตร้อนๆในวันนี้เพื่อขนมปี๊ปถังเดียวด้วยวะ
“ไอ้หญิง มึงกินอะไรวะ” พี่เป้ชะโงกคอถามผม
“ผัดผัก”
“เฮลท์ตี้จังวะ” แท้จริงคือผมกินเผ็ดไม่เก่ง ผัดผักเลยมักจะเป็นตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่ พอเห็นเป็นผักใบเขียวพี่เป้มันก็ถอยทัพช้อนส้อมกลับไปที่เดิมพรางบ่นงุบงิบว่าทำไมผมไม่ยอมสั่งมัสมั่น งงมาก ตกลงจานใครวะ
“พี่เป้พี่ พี่รู้ไหมผักอะไรตกใจ” ไอ้ซันที่นั่งเงียบมานานจู่ๆก็โผล่มากลางวง ไอ้ตั๋งนี่เตรียมหัวเราะแห้งให้เลย
“โห ไอ้ซัน กระจอกมาก ตำลึงใช่ไหม”
“ผิด”
“โหหหหห ระพา”
“ผิด”
“ผักบุ้ง!! กรี๊ด บุ้งไต่ค่าคุณหญิง!!” รัชดาลัยไม่มีใครเกิน...
“ผิด”
“งั้น ถั่วงอก!!!”
“ผิด” เออ สมควรผิด พี่เป้ มึงจะชอบถั่วงอกแล้วเอามาตอบโง่ๆแบบนี้ก็ได้หรอวะ
“เชี่ยไรวะ ทำไมยาก” ไอ้ซันที่นั่งหน้าตายอยู่ยกยิ้มขึ้นเบาๆ
“เฉลย”
“...”
“ผักกวางตุ้ง”
“ทำไมวะ”
“ผักกวางตุ้ง... ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ตุ้งแช่”
โห...
เชิดสิงโตไหมหล่ะมึง
โต๊ะถึงกับเดธแอร์ไปยาวเกือบสิบวิกับผักกวางตุ้งแช่ ตุ้งแช่ของไอ้ซันและผักบุ้งไต่ค่ะคุณหญิงของไอ้พี่เป้ ก่อนที่ไอ้ตั๋งจะตัดความเงียบด้วยการชวนผมไปเก็บจาน สู้ต่อไปว่ะเพื่อนซัน มันต้องมีวันที่เป็นของมึงแน่ๆ ส่วนพี่เป้ผมโนคอมเมนต์ เกินเยียวยาแล้วสำหรับคนนี้ นั่งเล่นกันสักพักก็ได้เวลาเข้ายิม วันนี้พวกผมมาแบบเยี่ยงการ์ตูนบาสญี่ปุ่น มีเสื้อทีมสีขาวกุ๊นขอบและสกรีนชื่อกับเลขสีชมพู ดูมีความมุ้งมิ้งสูงมากถ้าเทียบกับอีกฝั่งทีมพี่สีแดงที่มาเป็นเสื้อทีมสีดำแดง เอาจริงๆนะครับ เหมือนเอาพุดเดิ้ลผูกโบว์มาแข่งกับล็อตไวเลอร์โดยแท้จริง
“กูสัมผัสได้ถึงถึงคำว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่แข่งเลยว่ะ”
“อย่าไปกลัวตั๋ง มึงไม่เคยได้ยินคำกล่าวของเชคสเปียร์หรอ”
“ว่าอะไร”
“แพ้เป็นพระ มะระเป็นผัก”
“...”
“ส่วนมะรู้ เป็น-“
“พอเถ๊อะ กูไหว้แหล่ะ” ไอ้ตั๋งถึงกับต้องรีบเบรกก่อนที่มุกจะควายไปมากกว่านี้ ไอ้ซันได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมเดินตามไอ้ตั๋งไปเงียบๆ พอเดินเข้ายิมไปเสียงเชียร์จากแสตนด์ก็ดังกระหึ่ง ขาดไม่ได้เลยคือเพลง สีชมพูน่ารัก คึกคักเวลาลงเล่น สีชมพูใจเย็นๆ เวลาลงเล่น น่ารัก น่ารัก เพิ่มความจิ้มลิ้มให้กับสีตัวเองไปอีก
ผมมองผ่านไปอีกฝั่งก็เจอพี่ยืนส่งยิ้มมาให้อยู่ ผมเลยชูสองนิ้วกลับไปแล้วขยับปากบอกว่าสู้ๆ พี่มันทำหน้าเหนือก่อนจะตบอกตัวเองป้าปๆเป็นเชิงบอกว่านี่ใครครับไอ้น้อง โคตรหมั่นไส้เลยว่ะให้ตาย
จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็เริ่มการแข่ง เสียงรองเท้าเสียดกับพื้นยิมดังเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญไม่น้อย แต่สายตาผมก็มัวแต่โฟกัสอยู่กับการเคลื่อนไหวของพี่ ตัวก็ใหญ่เป็นหมี ไหงพอได้จับลูกบอลหน่อยถึงไหลเป็นลูกแมวเลย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนพี่เป้จะจริงจังกับการเล่นแปลกๆ ดูจากหน้าที่ปกติชอบยิ้มแบบกวนตีน ตอนนี้ขมวดเป็นปมแน่น หรือจู่ๆพี่แกก็อยากกินขนมขาไก่
“มึง พี่เป้แม่งจริงจังสัด”
“จริงมึง” ผมหันไปพยักหน้ากับไอ้ตั๋ง
คะแนนห่างไปไกลอย่างรวดเร็ว ครึ่งแรกจบไปด้วยคะแนนที่ห่างจนควรจะถอดใจ ผมที่ไม่ได้มีความสนใจกับการแข่ง แต่พอได้มาอยู่ในการแข่งขันจริงๆก็อดเอาใจช่วยทีมตัวเองไม่ได้แฮะ ยิ่งเห็นสภาพรุ่นพี่รุ่นเพื่อตัวเองที่เป็นตัวจริงหน้าเครียดตัวเปียกเหงื่อยิ่งรู้สึกอยากเอาใจช่วย เอ้า สีชมพุน่ารัก น่ารักเวลาลงเล่น
“ไอ้หญิง”
“ครับ?”
“ครึ่งหลังมึงลงไปแทนไอ้กันนะ” ห๊ะ?
“ผมหรอ?” ผมชี้มือเข้าตัวแบบงงๆ
“เห้ยพี่ อย่าเลย หญิงมันเล่นบาสไม่เป็น” พี่เป้เดินมาจับไหล่พี่นามที่เป็นพี่ม.หกคนเดียวในสนามนี้ ปกติพี่ม.หกจะไม่ค่อยลงมาแข่งกีฬาหรือทำกิจกรรมเพราะติดอ่านหนังสือสอบ แต่พี่นามแกรักการเล่นบาสมาก รวมถึงอยู่ในชมรมบาสด้วย เลยขอเป็นกรณีพิเศษ
“เออ กูอยู่ชมรมบาสมา กูรู้หน่ะ เอาไอ้หญิงลง เชื่อกู”
“พี่นาม แต่ผม...”
“เชื่อกูสิวะ”
กะ กะ ก็ได้จ้า เชื่อก็เชื่อ ฮือ อยากจะร้องไห้ หันไปขอความช่วยเหลือจากไอ้ตั๋งไอ้ซันก็ได้หน้าโง่ๆว่าไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันตอบกลับมา เอาวะ อย่างน้อยก็ใส่เสื้อทีมลงไปโง่ๆ ครึ่งสองเริ่มหลังจากพักได้ไม่นาน พอพี่เห็นผมลงไปในสนามเท่านั้น ร่างหมีนั่นก็เดินหน้าเครียดเข้ามาหาทันที
“มึงลงได้ยังไง”
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ พี่นามบอกให้ผมลง” พี่เงยหน้ามองพี่นามก่อนจะสบถออกมา
“ไอ้เชี่ยพี่นาม เล่นสกปรก”
“ทำไมอ่ะ”
“กูทำแต้มไม่ได้หรอกถ้ามึงอยู่ในสนาม พี่มันก็รู้” พี่ดูหัวเสียหนักมาก หน้าตาที่ว่าดุอยู่แล้วทวีความดุขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไรหรอก” มั้ง... ไม่แน่ใจนัก ดูจากหุ่นฝั่งสีแดงแล้ว เหมือนคัดเกรดยักษ์มาแล้วล้วนๆ
“ไม่ได้หญิง”
“ต้องได้พี่ เกมจะเริ่มแล้ว” สิ้นเสียงกรรมการก็เดินมาเป่านกหวีดให้พี่กลับไปในฝั่งของตัวเอง ผมก็เดินมาอยู่ตรงจุดที่พี่นามบอกให้ยืน ผมได้แต่หลับตานึกภาพการ์ตูนบาสที่ดูทั้งหมดมารวมตัวในสมอง เชี่ย ไม่แน่ป่ะวะ เราอาจจะเป็นนักเล่นปฏิหาริย์ก็ได้
ปรี๊ด!!
เอี๊ยด!!
ไอ้ห่า ไม่มีแล้วนักเล่นปฏิหาริย์ ขอปฏิหาริย์ให้กูรอดจากสนามก่อนน!!
“หญิง มึงวิ่งไปตรงนู้น”
“คะ ครับพี่” นู้นไหนโว้ย นู้นไหน ผมได้แต่มองหาจุดนู้นของไอ้พี่นาม พอวิ่งไปก็โดนอีกฝ่ายกระแทกอย่างแรงจนแทบล้ม ถ้าไม่ติดว่าพี่มันวิ่งมายืนซ้อนหลังไว้เสียก่อน พี่ยังคงโฟกัสลูกบาส ถึงจะทำท่าเหมือนมากันไม่ให้ผมรับหรือส่งลูกแต่แท้จริงคือมันมายืนซ้อนไม่ให้ผมล้มมากกว่า รู้ตัวอีกทีพี่เป้ก็ชู้ตลูกเข้าห่วงไปแล้วเรียบร้อย พี่มันไม่ลืมแอคท่าประหนึ่งตัวเองชนะแล้วให้อีกฝ่ายหมั่นไส้เล่นด้วยอีกต่างหาก
“เชี่ยเอ๊ย ไอ้พี่ มึงไม่แย่งลูกวะ”
“โทษทีว่ะ”
พี่หงุดหงิด...
ดูจากไอ้หน้าการหัวฟัดหัวเหวี่หยงนั่นก็ค่อนข้างชัดอยู่เหมือนกัน เกมยังคงดำเนินต่อ ผมไม่ค่อยรับรู้สถานการณ์อะไรเสียเท่าไหร่ เพราะวิ่งเป็นหมาไล่ลูกบอลเลย เหมือนต้องคอยวิ่งไปตามลูกบาสกับทำตามที่พี่นามพูด เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา
“หญิงรับลูก!!” ผมหันขวับไปทางขวาทันทีที่ได้ยินเสียงพี่เป้ จังหวะที่ลูกกำลังลอยมาหาผม อยู่ดีๆก็มีร่างยักษ์โผล่มาบังพร้อมกับแรงกระแทกอย่างรุนแรงตรงประเวณไหล่ รู้ตัวอีกทีก็ล้มกระแทกพื้นยิมไปแล้วดังปั้งตามด้วยเสียงเป่านกหวีดลั่น
“หญิง!!!” อ๋อย โคตรเจ็บเลย เจ็บจนน้ำตาคลอ
“เชี่ยมึงเล่นอะไรของมึงวะ ไม่เห็นหรอว่าน้องมันยืนอยู่”
“กูขอโทษว่ะพี่ น้องมันตัวเล็ก ไม่ทันมอง”
บาสจืดจางที่แท้จริงไหมหล่ะมึง ผมกุมไหล่ตัวเองลุกขึ้นนั่งเพื่อพบกันไอ้พี่เป้ที่ประคองผมอยู่ ส่วนไอ้พี่ก็กระชากเสื้อเพื่อนร่วมทีมตัวเองไม่ไกล หน้าตาก็พร้อมมีเรื่องอย่างชัดเจน
“พี่...”
“เปลี่ยนตัว เอาหญิงออกไปก่อนแล้วกัน” พี่นามเดินมาตบไหล่ผมปุๆ
“กูก็ออก เอาไอ้นัทมาลงแทน” พี่ตะโกนลั่นแล้ววิ่งมาหาผม ไม่ลืมปัดมือไอ้พี่เป้ที่จับไหล่ผมอยู่ออกดังเพี๊ยะ
“กูจะพาหญิงไปห้องพยาบาล”
“เสือกไร กูพาไปเอง”
“หญิงอยู่ทีมกู”
“หญิงเป็นน้องกู”
ส่วนไอ้หญิงคือกู ที่ปวดแขนจะตายห่าแล้ว ฮัลโหล
พี่เป้กับพี่ส่งสายตาปะทะกันแต่สุด้ายพี่เป้ก็ยอมถอยทัพไปเพราะพี่นามเรียกให้ไปประชุมก่อนเกมจะเริ่มอีกครั้ง พี่ส่ายหัวแล้วหันมาหาผม
“เป็นไงหล่ะมึง กูเตือนแล้ว”
“ไหนบอกว่าจะขำถ้าหญิงเจ็บตัวไง”
“ขำห่าอะไร ยืนไหวไหม” อยากทดลองกระแดะบอกไม่ไหวให้อุ้มจัง แต่คิดดูแล้ว สถานที่ไม่ค่อยเหมาะ เลยได้แต่พยักหน้าว่าไหว พี่เลยแค่ยกแขนผมพาดบ่าตัวเองแล้วแล้วประคองให้ผมลุกขึ้นยืน จริงๆแล้วผมไม่ค่อยถนัดเพราะพี่ตัวสูงกว่าผมค่อนข้างเยอะ เลยกลายเป็นว่าต้องยกแขนสูงขึ้น แต่พอเห็นความเป็นห่วงที่ทะลุหน้ามาขนาดนั้นก็เลยกัดฟันทนเอา
ฮืออ นี่สินะ ความสุขในความเจ็บปวดที่แท้จริง
จริงผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่พี่แม่งเว่อร์ ได้รับการพันต้นแขนงงๆมาพร้อมกับทายา อาจารย์ห้องพยาบาลก็จะเกร็งเป็นพิเศษ เพราะญาติคนไข้ทำหน้าดุยิ่งกว่าหมา เนี่ย มันก็อดใจเต้นไม่ได้ใช่ไหมหล่ะครับ เวลาโดนคนที่ชอบห่วงขนาดนี้
“ยิ้มทำเด๋อไร” โดนดีดหน้าผากเข้าหนึ่งที
“รังแกคนเจ็บว่ะ”
“ก็คนเจ็บมันดื้อ บอกแล้วไงว่าพวกกูเล่นแรง ดูดิ ล้มแรงขนาดนั้นไม่หักก็บุญแล้ว”
“แต่แบบนี้ เหมือนหญิงทำพี่แพ้เลยว่ะ” ผมยิ้มแห้งๆ จริงก็รู้สึกไม่ดีตั้งแต่ที่พี่ต้องมาคอยกันผมให้ทั้งๆที่อยู่คนละทีมอยู่แล้ว
“นี่ไอ้หญิง ไอ้พี่นามมันเล่นบาสกับกูมาตั้งนาน มันรู้อยู่แล้ว”
“...” นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดป่ะวะ
“กูพูดเรื่องมึงออกบ่อย ตอนซ้อมพี่มันก็รู้”
“...”
“อะไรที่เป็นมึง กูก็แพ้หมดแหล่ะ” อ่อหรอ...
แล้วแพ้ใจบ้างป่ะ ถ้าพี่มึงไม่แพ้ จะบอกเลยว่า
กูแพ้โว้ย!!! แม่งเอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!
พูดจาขี้อ่อย เดี๋ยวบรรยากาศพาไปให้หน้าด้านสารภาพรักออกไปแล้วจะหนาว ไอ้พี่เวร อยากจะตัดพี่ตัดน้องแล้วเป็นอย่างอื่นจะตายห่าแล้วเนี่ย ได้โวยวายอย่างเกรี้ยวกราดในใจ ส่วนความจริงทำได้แต่ทำเป็นเมินชมนมชมไม้แก้เขินความขี้มโนของตัวเอง
“เออ เดี๋ยวหญิงมีต้องไปขึ้นเวทีของชมรมต่ออีกนี่หว่า”
“กี่โมง”
“เนี่ย น่าจะต้องไปแล้ว” เรื่องของเรื่องคือพี่เป้กลัวว่าชมรมเราจะไม่มีผลงานมากเกินไป เพราะนอกเหนือจากผลิตถั่วงอกส่งโรงอาหารแล้วชมรมพวกเราก็แทบจะไม่มีกิจกรรมอย่างอื่นเลย พอดีกิจกรรมบนเวทีว่างเลยลงชื่อทำการแสดงไป ดีที่พี่เป้มันเล่นกีตาร์เป็นอยู่แล้ว ผมก็เลยจะอาสาร้องเพลงให้ เพราะถ้าให้ซันกับตั๋งร้องอาจจะโดนตัดคะแนนความประพฤติแทน ชมรมอื่นจะขอต่อเป็นเพลงมันส์ๆไว้ปิดงานกีฬาสีภายในอยู่แล้ว เราเลยขอเป็นส่วนหนึ่งของโชว์ไปด้วยเลย
“ป่ะ เดี๋ยวไปส่งที่เวที เออ แข่งเสร็จไปนานแล้ว พี่นามไลน์มาบอกว่าสีแดงชนะ ขนาดโกงยังแพ้ กระจอกมากสีมึงอ่ะ” จ้าพ่อสีแดงคนเก่ง ระหว่างทางเดินไปเวทีที่มีนักเรียนอออยู่เต็มลาน พี่ก็ยังคอยประคองผมไม่ห่างเยี่ยงแม่ลูกอ่อน
“หญิง เป็นไงบ้างวะ”
“โอเคมึง กรามหักซี่โครงร้าวกระดูกหักแปดท่อน”
“เชี่ย!! อันนี้ล้มในสนามบาสหรือโดนไดโนเสาร์กระทืบมา” เออ เสือกเชื่อไปอีก ไอ้ตั๋งรีบเข้ามาถูๆแขนผมทันที
“แขนไม่เป็นไรใช่ไหมมึง” พี่เป้เดินถือกีตาร์เข้ามาหาผม
“สบายพี่”
“แขนไม่เป็นไรจริงอ่ะ”
“จริง”
“แขนมึงไม่เป็นไร แล้วแขนเป็นฟอได้ไหมอ้ะ”
“...”
“ไม่ได้โว้ย ไอ้หน้าหงอนไก่” เปิดสงครามแล้วครับ ไอ้พี่กอดอกขมวดคิ้วจ้องหน้าพี่เป้อย่างหาเรื่องทันทีทันใด
“ช่วยด้วยคร้าบ ผมโดนเสือก” ไอ้พี่เป้ก็หาได้แคร์ไม่ ยังคงกวนตีนไอ้พี่มันเหมือนเดิม
“ไอ้เป้!!”
“ว่าไงไอ้พี่!!”
“อย่าตีกันๆ” ผมจับแขนพี่ไว้
“ชิ เออหญิง ตกลงมึงจะร้องเพลงอะไรวะ กูจะได้เปิดคอร์ด” เรียกได้ว่าตายเอาดาบหน้า ไม่มีการฝึกซ้อมใดๆทั้งสิ้น ผมมองไอ้พี่เป้ที่เปิดสมุดคอร์ดเพลงแบบเหนื่อยใจ กะว่าจะซ้อมสักรอบก่อนขึ้นเวที แต่ยังไม่ทันได้เลือกเพลง บนเวทีก็ตะโกนเรียกชื่อชมรมผมลั่นโดม เลยต้องรีบออกไปที่เวทีกันอย่างงงๆ
“อ่า”
“สวัสดีครับ พวกเรามาจากชมรม คนรักถั่วงอก ผมนายเป้ ไม่ได้อยู่วงเสลอแต่อยากมีเธอในทุกๆวันคร้าบบบ”
“ผมหญิงครับ”
“เห้ย นิสัยไม่ดีนะครับแบบนี้”
“ทำไมครับ”
“ก็คุณหยิ่งอ่ะ”
“...”
ไอ้ห่าพี่เป้ เล่นไม่นัดกูเลย พัฒนาจากเดธแอร์ระดับโต๊ะอาหารสู่ระดับเวที แต่ยังดีครับที่มีไอ้ตั๋งคอยหัวเราะแห้งๆให้อยู่ตรงหน้าเวที
“เอาหล่ะครับ อย่าไปสนใจมุกเมื่อกี้ วันนี้เราจะมาทำอะไรครับ”
“ครับ วันนี้เราก็จะมา”
“โอ้โห!!!”
“ยัง!!!”
“แอ่แฮ่!!”
“พอเถอะพี่ ผมเหนื่อยแทนคนดู ฮ่าๆ วันนี้จะมาร้องเพลงครับ ยังไงถ้าร้องได้ ช่วยร้องตามด้วยนะครับ” พูดจบพี่เป้ก็หยิบสมุดคอร์ดเพลงมาวางไว้ตรงแท่นด้านหน้าที่วงก่อนหน้านี้ตั้งทิ้งไว้
“ผู้สาวขาเลาะมึงร้องได้ป่ะวะหญิง”
“ไม่ได้พี่”
“น้ำตาบักเตี้ย”
“ก็ไม่ได้”
“ชอบสั่งของฟรีเพลย์”
“เกิดไม่ทัน”
“ไอตะกัตต้า”
“อันนี้หนักเลย...”
“ไอ้หญิง ไอ้เวร เออ สุ่มหน้าเอาแล้วกัน”
พี่เป้เปิดลวกๆแล้วก็เริ่มเกาคอร์ดทันที พอผมไล่สายตามองชื่อเพลงแล้วก็...
...เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้งเลยแฮะ
‘รักในใจเก็บมันเอาไว้เรื่อยมา ก็เพียงแค่มองในตาเธออาจจะพอเข้าใจ
รักที่ใครบางคนต้องทนเก็บไว้ข้างใน ไม่อาจจะเปิดเผยไปให้ใครได้รู้
ฉันจึงต้องทำ เป็นเฉยชา กลัวซักวันเธอรู้ว่าฉันรักเธอตลอดมา แล้วเธอก็จะบอกลากันไป
’ หน้าของใครบางคนเด่นชัดมาแทนที่เนื้อเพลง ใครคนนั้นที่ยืนอยู่หน้าเวที
แต่ต้องเก็บต่อไปอีกนานแค่ไหน รักที่เอ่อล้นใจ
รักที่มีให้เธอมากมาย สุดท้ายไม่มีค่าใด
จะทำให้เธอเห็นใจ จะทำให้เธอมาสนใจ
เพราะรักที่มีมันเกินเอ่ยไป เกินกว่าคำอธิบายใดใดจะเท่าเทียม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องเก็บไปอีกนานแค่ไหน อีกหนึ่งปี สองปีหรือทั้งชีวิต ความใกล้ชิดกันทุกวันยิ่งทำให้กลอนที่ปิดมันไว้สั่นไหว
เหมือนในใจจะมีเส้นใยบางบาง ที่คอยที่เข้ามาบังกั้นขวางระหว่างสองใจ
จึงทำให้เราเจอกัน แต่จะรักกันไม่ได้ ทำได้เพียงเก็บไว้ ในใจดวงนี้ ถ้าทำให้เจอกันแต่รักกันไม่ได้ มันดีกว่าไหม ที่เราจะไม่เจอกันตั้งแต่แรก ผมเคยคิดแบบนี้ร้อยครั้งและคำตอบก็ยังคงเป็น ไม่ ยังไงผมก็ยังอยากเจอพี่ ต่อให้ย้อนเวลาได้ ผมก็ยังอยากเจอพี่ นั่นคือคำตอบร้อยครั้งเหมือนกัน
แต่ต้องเก็บต่อไปอีกนานแค่ไหน รักที่เอ่อล้นใจ
รักที่มีให้เธอมากมาย สุดท้ายไม่มีค่าใด
จะทำให้เธอเห็นใจ จะทำให้เธอมาสนใจ
เพราะรักที่มีมันเกินเอ่ยไป เกินกว่าคำอธิบายใดใดจะเท่าเทียม “และหากวันใดเส้นใยบางบางได้จางลงไป คงถึงวันที่ใจสองใจ ได้รักกัน ซักที” พี่เป้เป็นคนแย่งท่อนนี้ไปร้องพร้อมกับจ้องตาผมไปด้วย นึกขอบคุณที่มีหน้าพี่เป้มาให้มอง
เพราะถ้าผมมองหน้าพี่ตอนนี้ ผมคงร้องไห้ออกมาแน่นอน...
แต่ต้องเก็บต่อไปอีกนานแค่ไหน รักที่เอ่อล้นใจ รักที่มีให้เธอมากมาย สุดท้ายไม่มีค่าใด
จะทำให้เธอเห็นใจ จะทำให้เธอมาสนใจ เพราะรักที่มีมันเกินเอ่ยไป
จะบอกเธอด้วยคำคำไหน
แต่ต้องเก็บต่อไปอีกนานแค่ไหน รักที่เอ่อล้นใจ รักที่มีให้เธอมากมาย แต่สุดท้ายไม่มีค่าใด
จะทำให้เธอเห็นใจ จะทำให้เธอมาสนใจ เพราะรักที่มีมันเกินเอ่ยไป
เกินกว่าคำอธิบายใดใดจะเท่าเทียม
ผมรักพี่...
“จบไปแล้วนะครับกับเพลงช้าซึ่งเป็นเพลงโปรดของต้นอ่อนถั่วงอก โคตรซึ้งเลยครับ ถ้าไม่ติดว่าคนดูเป็นชายล้วน มีช้างกันหมดโรแมนติกไม่ออก ฮ่าๆ เอาเป็นว่าไปสนุกกันต่อกับวงต่อไป ชมรมดนตรี!!” พี่เป้ส่งต่อได้อย่างมืออาชีพ ผมได้แต่กลืนน้ำลาย สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินลุกขึ้นเตรียมเดินลงเวที ถ้าไม่ติดว่าก่อนจะถึงทางลงก็โดนกระชากแขนไว้เสียก่อน
“หือ?” พี่เป้ยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาข้างๆหูผม
“จริงด้วยสินะ”
“อะไรของพี่”
“ตอนแรกกูก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอก”
“ห๊ะ”
“มึงหน่ะ...”
“....?”
“ชอบไอ้พี่ใช่ไหม”---
หวังว่าจะมีใครยกยิ้มขึ้นหนึ่งทีในช่วงเวลาที่หม่นแบบนี้
งดอัพนิยายทุกเรื่องและจะอัพอีกทีเดือนหน้านะคะ
ขอบคุณค่ะ