-26-
เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก...สำหรับคนอื่นนะ
ทั้งพี่ภู ป้าเจน หรือแม้แต่แม่เฮเลนที่เพิ่งเดินมาถึงต่างก็มีใบหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกันนัก คงมีแค่ผมกับภามที่ยังนิ่งอยู่ได้ สำหรับภามผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่โดยส่วนตัวผมไม่รู้ว่าจะเครียดไปทำไมอยู่แล้ว อาจเพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว หรือเพราะยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ถึงอย่างนั้นผมก็ยังจ้องมองคนตัวผอมนิ่งๆ อย่างพิจารณา
ภามยังคงดูผอมแห้งไม่ต่างจากในกล้องเท่าไหร่ แต่หน้าตาเขาดูดีกว่าในกล้องที่ผมเคยเห็นพอสมควร ไม่รู้ว่ากินเยอะขึ้นหรืออายุเยอะขึ้นถึงได้ไม่ดูตาโบ๋เหมือนเมื่อสองปีก่อน ยิ่งโตก็ยิ่งคล้ายพี่ภูมากขึ้นทุกที แต่ดวงตาและบรรยากาศยังคงแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
“คุณหนู มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” ป้าเจนเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวและเดินเข้าไปทักทายภามก่อน แต่ฝั่งนั้นนอกจากจะไม่หือไม่อือแล้วยังเดินสวนผ่านผู้ใหญ่มาโดยไม่สนใจ เล่นเอาป้าเจนหน้าเศร้าไปแวบหนึ่ง
ผมมองภามเดินตรงเข้ามาหาคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความไม่พอใจหน่อยๆ ถึงตัวเองจะไม่ใช่คนดีนักแต่ผมก็ไม่เคยเมินผู้ใหญ่ด้วยการกระทำแบบนั้นเลยสักครั้ง แล้วเด็กนี่อายุน้อยกว่าผมอีก ทำไมถึงได้กล้าทำแบบนั้นกัน
“ขอโทษป้าเจนซะ” ยังดีที่พี่ภูเองก็คิดเหมือนผม เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ซึ่งภามเองก็ไม่ได้แสดงอาการต้อต้านอะไร เขาแค่หันหน้าไปหาป้าเจนแล้วใช้ภาษามือบอกขอโทษสั้นๆ ก่อนจะหันกลับมาโดยไม่สนใจอะไรอีก ส่วนคนสั่งถึงจะขมวดคิ้วไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ
‘นั่นอะไร’ ภามชี้นิ้วไปที่กระต่ายปุกปุยที่พี่ภูอุ้มอยู่ คราวนี้ผมเริ่มรู้สึกไม่โอเคจนต้องแอบยื่นมือไปจับหางกระต่ายไว้ล่วงหน้า
“ตุ๊กตาของพี่” พี่ภูตอบสั้นๆ เขากอดกระต่ายแน่นกว่าเดิม ท่าทางคงเดาได้ไม่ต่างจากผมว่าภามจะทำอะไร
‘ผมอยากได้’
กูว่าแล้ว ซื้อหวยไม่ถูกงี้วะ
“ไม่ได้” พี่ภูทำหน้าตายุ่งยากใจหน่อยๆ เขาเหลือบตามองผมเหมือนจะบอกให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ยกให้ภามแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงรู้สึกไม่ดีพอควรที่ตัวเองได้ของแล้วน้องไม่ได้ เห็นแบบนั้นผมเลยจำเป็นต้องพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงต่อหน้าคนๆ นี้ดี
“ผมมีของขวัญมาให้ภามเหมือนกันนะ”
‘ผมไม่ได้ถาม’
“ผมพูดกับพี่ภู” ผมฉีกยิ้มเมื่อเห็นความแปลกใจในดวงตาว่างเปล่าแวบหนึ่ง แต่วินาทีถัดมาความเป็นศัตรูก็ฉายชัดออกมาจากดวงตาคู่นั้นทันที ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดนัก ถ้าภามยิ้มยินดีที่เห็นกันสิผมคงแปลกใจน่าดู
‘คุณเป็นใคร’ พยายามแปลให้เป็นกลางแล้วกัน เพราะถ้าเอาแบบจากความคิดตัวเองผมว่าอีกฝ่ายคงอยากถามว่ามึงเป็นใครมากกว่า
“เป็นเพื่อนพี่ภู”
‘พี่ไม่มีเพื่อน’
นี่มันน้องภาษาอะไรวะเนี่ย
“เก้าเป็นเพื่อนพี่” คนข้างๆ ที่ยืนนิ่งมานานยกมือแตะไหล่ผมเพื่อย้ำความมั่นใจ แต่การกระทำนั้นกลับทำให้ภามขมวดคิ้วหนักด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม
อันที่จริงผมยังไม่รู้จักภามดีนักเลยไม่กล้าตัดสินว่าจะเล่นกับเขาได้ในระดับไหน เพราะงั้นเลยพยายามไม่พูดให้ตัวเองดูใกล้ชิดกับพี่ภูหรือกวนตีนมากเกินไป แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะพูดจามุ้งมิ้งกับเขาอยู่ดี
“ภาม ไปทานขนมกับแม่เถอะลูก” แม่เฮเลนที่เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้ามาแตะแขนภามเป็นเชิงเรียก ตอนแรกผมคิดว่าฝั่งนั้นจะมองเมิน แต่ผิดคาด...ภามแค่ปรายตามองผมครู่เดียวก่อนจะเดินตามแม่เฮเลนออกไปด้านนอกแต่โดยดี
“น้องพี่คาดเดายากไปไหมเนี่ย” ผมแอบกระซิบกับคนข้างๆ “คงไม่ได้แปรปรวนเหมือนผู้หญิงเมนส์มานะ”
แค่คิดภาพภามที่เข้าใจยากและอารมณ์รุนแรงหมุนไปหมุนมาเหมือนจ๋าเวลาประจำเดือนมาก็อยากจะกุมหัวแล้ววิ่งหนีไปไกลๆ แล้ว
“เปรียบเทียบอะไรของมึง”
“แค่จะบอกว่าแบบนั้นเก้าไม่โอเคมากๆ”
“กระต่ายบ้า” คนหน้าดุส่ายหน้าหน่าย ท่าทางดูผ่อนคลายกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แค่นั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำความดีใหญ่หลวงแล้ว
“แล้วทำไมวันนี้ภามยอมลงมาข้างล่างได้ล่ะ”
“น่าจะได้ยินเสียงมึงโวยวาย”
“เดี๋ยวๆ โทษกันแบบนี้เลยเหรอ” ผมทำหน้าเหวอสนิท อยากจะอ้าปากค้างแถมอีกอย่างให้คนที่พูดออกมาได้หน้าตาเฉย
“หึ”
ไม่แก้ด้วยนะคนเรา
“ล้อเล่น” พี่ภูขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงก่อนเขาจะเข้ามาล็อคคอแล้วลากให้เดินตามออกไปจากห้อง “มึงพร้อมแล้วใช่ไหม”
“พี่ต้องถามน้องพี่ว่าพร้อมเจอผมแล้วเหรอ”
“ปากดี” คนหน้าดุยิ้มมุมปากก่อนจะขยี้หัวผมซ้ำอีกรอบ เจอแบบนี้เข้าจะไม่ยิ้มตามก็คงยาก ผมเลยถือโอเคยิ้มแล้วเดินเกาะเอวพี่ภูตามไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
ดูเหมือนพี่ภูจะรู้อยู่แล้วว่าภามจะกลับขึ้นไปบนห้องตอนไหน เพราะในห้องอาหารที่พวกเราเพิ่งเดินเข้ามามีเพียงแค่ป้าเจนที่กำลังเก็บโต๊ะอยู่ แถมขนมในถ้วยยังดูสดใหม่เหมือนไม่ได้ถูกแตะเลยสักนิดด้วยซ้ำ
“ป้าครับ ภามไม่กินเหรอ” ผมเดินเข้าไปเกาะหลังป้าเจนจนท่านสะดุ้งหันมามองอย่างตกใจ แต่พอเจอรอยยิ้มอ้อนเข้าไปท่านก็รีบยิ้มกลับแล้วจับมือผมไว้
“ป้าเข้าไปเตรียมขนมครู่เดียว พอออกมาคุณผู้หญิงก็บอกว่าคุณหนูเธอขึ้นข้างบนไปแล้วค่ะ”
“งั้นป้าไม่ต้องเก็บนะ เดี๋ยวผมกินเอง” อุตส่าห์ทำขนมมาให้แต่กลับไม่ยอมแตะสักนิด แบบนี้คนทำไม่เสียใจตายเลยหรือไง
“เดี๋ยวป้าไปเอามาให้ใหม่นะคะ”
“ไม่ต้องครับป้า ผมกับพี่ภูกินได้” ผมเอาแขนสะกิดคนข้างๆ ที่กำลังทำหน้างงเบาๆ ให้เขาช่วยสนับสนุน ซึ่งพี่ภูก็ทำเพียงแค่พยักหน้าทีเดียวเป็นคำตอบ แต่เห็นแค่นั้นป้าเจนก็ยอมถอยห่างออกไปอย่างง่ายดาย
ขนมเค้กที่น่าจะเป็นขนมทำมือในจานไม่ใช่รสที่ผมชอบ แต่หลังจากโดนดัดนิสัยหักค่าขนมมาเป็นเวลานานก็ทำให้ผมคิดได้ว่าไม่ควรเลือกกินมากเกินไปนัก...ไม่งั้นจะโดนหักอีก
“หวาน” พี่ภูจิ้มกินเพียงคำเดียวแล้วทำหน้าแหยะ เขาหันหน้าหนีไปคุยเล่นกับกระต่ายปัญญาอ่อนปล่อยให้ผมนั่งกินอยู่คนเดียว เท่านั้นยังไม่พอ...ผมแอบเหลือบตามองก็แทบหัวลุกเป็นไฟเมื่อพบว่าสายตาที่เขาใช้จ้องไอ้กระต่ายนั่นดูอ่อนโยนกว่าเวลาจ้องผมเสียอีก
ไม่ได้การ...เผา ต้องเผา
“ไอ้หน้าตาชั่วร้ายของมึงมันแก้ไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม” คนพูดเอานิ้วจิ้มๆ แก้มผมแล้วมองมาด้วยสายตาเหนื่อยอ่อน ทำเอาความชั่วร้ายวิ่งออกจากหัวแทบไม่ทัน ผมเองก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเวลาคิดอะไรชั่วร้ายสติจะหายจนโดนจับได้ทุกที น่าจะเป็นมาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วด้วยมั้ง
“เลิกวิจารณ์เรื่องความชั่วร้ายของผมแล้วพูดเรื่องภามดีกว่า”
“มึงดูมีความคิดขึ้นนะ”
“อันนี้ด่าถูกไหม” จะบอกว่าเมื่อก่อนไร้ความคิดก็ว่ามาตรงๆ เลยก็ได้มั้งแบบนี้
“คิดไปเอง” เขาหัวเราะหึเบาๆ แล้วผลักหัวผมจนแทบกระเด็น “เมื่อก่อนมึงมองแต่เรื่องตัวเองไม่ใช่หรือไง”
นั่นก็ใช่อยู่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงปล่อยเรื่องของภามไปง่ายๆ คิดแค่ว่าถึงเวลาเดี๋ยวก็ได้คุยแล้วหาวิธีได้เอง ไม่มีทางมานั่งคิดนั่งคุยถามรายละเอียดเยอะแยะขนาดนี้ก่อนแน่ๆ
“แต่ผมก็ยังเป็นผมนะ” ผมวางช้อนลงก่อนจะหันไปมองหน้าพี่ภูเต็มตา “ยังทำอะไรตามสไตล์ตัวเองเหมือนเดิม ถึงจะคิดเยอะขึ้นเพราะโตขึ้น แต่ผมก็ยังเป็นเก้าคนเดิม”
ไม่อยากให้คาดหวังว่าผมจะเปลี่ยนไปทุกอย่าง เก่งขึ้นทุกอย่าง หรือเอาใจใส่ทุกอย่าง เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังเป็นคนๆ เดิมที่สนใจเขามากกว่าใคร
“รู้แล้ว” พี่ภูยื่นมือมาดีดหน้าผากผมเบาๆ เหมือนจะบ่นที่ผมคิดมาก ใบหน้าราบเรียบของเขาอ่อนลงหลายส่วนในขณะที่ยื่นมือมาลูบหัวผมเป็นการปลอบ “กูแค่ดีใจที่มึงโตขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้มึงเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น”
“อื้อ”
“แล้วเข้าใจที่ภามสื่อสารได้ยังไง ไปเรียนมา?”
“อื้อ ลงเรียนวันเสาร์ โคตรเหนื่อย” ผมยักไหล่เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น จำได้ว่าตอนไปลงเรียนก็คิดหนักอยู่พอสมควร แต่มันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร สุดท้ายก็ผ่านมาได้
“ขอบคุณที่ทุ่มเท” คนพูดยิ้มบางให้ผม แค่นั้นก็เหมือนได้รางวัลจากความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดแล้ว
“ผมเต็มใจ”
“กูให้มึงเลือก”
“เลือก?”
“จะไปวันนี้หรือพรุ่งนี้”
“หือ…” ผมทำหน้างงก่อนจะตาเป็นประกายอย่างรวดเร็วเมื่อตีความหมายออก สาเหตุที่พี่ภูไม่ไปทำงานก็เพราะ…
“กูหยุดสองวัน อยากไปเที่ยววันไหน”
“พรุ่งนี้!” เสียเวลามาเกือบครึ่งวันแล้ว เรื่องอะไรผมจะยอมไปวันนี้กันเล่า สู้รอไปพรุ่งนี้แล้วได้อยู่ด้วยกันทั้งวันดีกว่าตั้งเยอะ แถมวันนี้ยังเป็นวันต้นปี คนน่าจะเยอะกว่าพรุ่งนี้แน่ๆ เรื่องมองการณ์ไกลนี่ขอให้บอก
“เป็นกระต่ายดี๊ด๊าเชียวนะมึง”
“แน่นอน” ผมหัวเราะรับรอยยิ้มเอ็นดูอย่างยินดี มีความสุขจนอยากจะให้เวลาแบบนี้อยู่ไปนานๆ ยิ่งได้เห็นความชัดเจนของเขาตั้งแต่เราได้กลับมาเจอกันยิ่งแล้วใหญ่ ณ เวลานี้คำพูดจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันเถอะ มาเจอการกระทำอย่างนี้ใครจะทนสงสัยได้อีกวะ
“ถ้างั้นวันนี้จะทำอะไร”
“พี่อยากทำอะไรล่ะ” ผมถามกลับทันควันแล้วยกให้เขาตัดสินใจเอง ไม่ใช่เพราะคิดอะไรไม่ออก แต่เป็นเพราะอยากให้เขาได้ทำสิ่งที่อยากทำในวันหยุดที่นานๆ จะมีสักทีมากกว่า
“คิดไม่ออก” เขาตอบไวเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยแม้แต่นิดเดียว
“พี่ไม่เคยอยากทำอะไรบ้างเลยเหรอ” ผมถามด้วยความข้องใจ บางทีก็นึกอยากแกะสมองพี่ภูมาแยกส่วนดูเหมือนกันว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
“สองปีมานี้คงอยากอย่างเดิมซ้ำๆ จนลืมความอยากอย่างอื่นไปหมดแล้วมั้ง”
“อยาก?”
“อยากเจอมึง”
“อย่ามาโจมตีกันด้วยคำพูดแบบนี้ดิ!” ผมชี้หน้าคนที่นั่งยิ้มขำไม่เลิกอย่างหมดความอดทน มาทำให้หน้าร้อนโดยตั้งใจแบบนี้เป็นการแกล้งที่เลวร้ายมาก ช่างเป็นคนที่พัฒนาได้น่ากลัวที่สุดในสามโลก
“เออ ไม่เล่นแล้ว นั่งดีๆ เดี๋ยวตกเก้าอี้” เขาทำหน้าดุก่อนจะดึงแขนผมให้นั่งตรงๆ “มึงอยากขึ้นไปคุยกับภามไหม”
เป็นการตัดอารมณ์เข้าโหมดเคร่งเครียดที่ได้ผลฉับพลันไปอีก
“ไปสิ ผมรู้ว่าพี่ห่วงภาม ขึ้นไปดูกันเถอะ” อีกอย่าง...ถึงจะเขม่นกันแต่ผมก็ยังอยากให้ของขวัญกับเขาอยู่ อุตส่าห์เตรียมการมาตั้งนาน ถ้าไม่ได้ให้คงเสียดายแย่
ผมเดินตามพี่ภูกลับไปที่ห้องของเขา คนหน้าดุวางกระต่ายหน้าโง่ลงบนเตียงก่อนจะเป็นฝ่ายยกกล่องของขวัญที่ผมจะให้ภามขึ้นมาถือไว้ให้ เขาคงรู้อยู่แล้วว่ามันหนักเลยจะช่วย…
“ยืนทำไม มาถือดิ”
“...”
“กูล้อเล่น”
ผมว่าผมเริ่มเกลียดการล้อเล่นหน้าตายของเขาแล้วล่ะ
ห้องของภามอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องของพี่ภู แค่ได้มายืนอยู่หน้าประตูผมก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศมืดมนที่กำลังขับไล่คนมาเยือนเหมือนจะบอกให้ไปไกลๆ แน่นอนว่ามันเป็นการมโนของตัวเอง วินาทีที่พี่ภูเคาะประตูผมยืนนึกอยู่ในใจว่าจะโดนอะไรเป็นอย่างแรก ขอแค่ไม่โดนเอาของแข็งปาหัวแตกก็พอ
ภามเปิดประตูออกมาด้วยใบหน้าว่างเปล่าเหมือนเคย แต่เมื่อเขาเหลือบมาเห็นผมยืนอยู่ข้างๆ ด้วยเจ้าตัวก็หรี่ตาลงในทันที
“เก้าเอาของมาให้” พี่ภูเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน ฝั่งนั้นแค่มองของในมือเขาเงียบๆ ก่อนจะถอยออกให้เดินเข้าไปด้านใน ผมถอนหายใจโล่งออกเมื่อพบว่าเขาไม่ได้เอาอะไรมาปาหัวแบบที่คิด
ห้องภามไม่ได้แตกต่างจากห้องพี่ภูมากนักในเรื่องของการตกแต่ง เพียงแต่ผ้าม่านในห้องนี้มีสีเข้มมากจนทำให้ทุกอย่างดูมืดมนไปหมด ไม่รู้เจ้าของห้องคิดว่าตัวเองเป็นแวมไพร์หรือยังไง
“เอาดิ” พี่ภูสะกิดแขนผมแล้วยื่นกล่องที่เขาถืออยู่มาให้ เล่นเอาผมที่สำรวจห้องอยู่เงียบๆ ออกอาการเอ๋อแดก ผมชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่าจะให้ผมให้เองจริงเหรอ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าแค่ครั้งเดียว
“ถ้าเขาปาทิ้งนี่ผมร้องไห้เลยนะ” ผมกระซิบเบาๆ ในขณะที่รับกล่องมาถือไว้เอง “พี่รู้ไหมว่าในนี้มีมูลค่าเท่าไหร่”
มูลค่าทางราคาอาจไม่มากมายสำหรับเขา แต่มูลค่าทางใจสำหรับผมเรียกได้ว่ามากมายมหาศาลเลยล่ะ
“ไม่ปาหรอกน่า”
“ภาม…” ผมเรียกคนที่นั่งหันหลังอยู่ที่อีกฝั่งของเตียงเบาๆ รอจนเขาหันมาหาแล้วก็ยื่นกล่องในมือไปให้ “ผมให้”
เขาละสายตาจากผมลงไปมองกล่องที่วางอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง แต่พอผมคิดจะพูดอะไรต่อเจ้าตัวก็หันหน้าหนีกลับไปนั่งหันหลังให้เหมือนเดิม เล่นเอาปากที่กำลังจะพูดสั่นยิกๆ
เกิดมาไม่เคยโดนคนเมิน เป็นการกระทำที่น่าเตะสักร้อยตลบ
“ภาม รับของก่อน” ร้อนถึงคนหน้าดุที่น่าจะรู้ทันความคิดผมต้องรีบเรียกให้น้องชายตัวเองหันกลับมารับของ แล้วภามก็ทำตัวเป็นน้องที่ดีโดยการ....แตะที่กล่องเบาๆ เป็นเชิงรับแล้วหันกลับไปเหมือนเดิม
ไอ้เด็กกวนตีน!
คิดว่าผมไม่เห็นตอนเขาพ่นลมในจมูกแล้วมองเหยียดกันหรือไง
“น้องพี่ต้องโดนสักที ไม่วันนี้ก็วันหน้า ผมบอกเลย” ผมหันกลับมากระซิบกับคนที่นั่งทำหน้าง่วงอยู่ข้างๆ แล้วแทนที่เมื่อได้ยินคุณพี่จะสลด ไม่สักนิด...ทำหน้าขำใส่เฉยเลย
“ดีแล้วไง เท่าเทียมกัน”
สรุปพี่ห่วงน้องบ้างเปล่าวะเนี่ย งงใจ
“ภามไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง” พี่ภูอธิบายต่อเมื่อเห็นผมทำหน้าตาสงสัยแบบจริงจัง “น้องกูก็เหมือนคนปกติทั่วไป แต่แค่มีอะไรหลายอย่างอยู่ในใจ บางการกระทำเราเลยคาดเดาไม่ได้”
“อืม…”
“ที่นี่ไม่มีใครเข้าถึงภามได้เลยสักคน แต่ถ้าเป็นมึง...อาจจะทำได้”
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าผมจะทำได้”
“เพราะมึงไม่ปกติ”
“ตอบเร็วไปนะบางที” ช่วยคิดสักนิดก็ได้ จะด่าก็ไม่ว่ากันแต่น่าจะหยุดคิดสักหน่อย
“กูจะไปคุยงานสักพัก มึงดูแลภามให้หน่อยแล้วกัน”
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อคนพูดขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปจากห้องหน้าตาเฉย ทิ้งผมไว้กับตุ๊กตาหน้าตายอีกตัว อย่างน้อยก็ควรจะให้คำแนะนำอะไรหน่อยไม่ใช่เหรอวะ ทิ้งกันไว้ดื้อๆ แบบนี้ก็ได้ด้วย
ว่าแต่...เด็กนี่คงไม่ได้ซ่อนมีดหรือปืนอะไรไว้แอบยิงหัวผมใช่ไหม
คิดแล้วก็เสียวสันหลังจนต้องกวาดสายตามองรอบห้องโดยละเอียดอีกหนึ่งครั้ง และเมื่อไม่พบสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายกับตัวเองแล้วผมก็ถอนหายใจก่อนจะเอนกายนอนลงบนเตียงโดยตะแคงหันไปมองแผ่นหลังกว้างของตุ๊กตาที่นั่งอยู่ริมเตียงไม่ขยับ
“นี่นายไม่คิดจะแกะของขวัญของผมจริงๆ เหรอ”
เงียบ…
“ให้ผมแกะให้ไหม”
เงียบ…
“ในนั้นมีอะไรสนุกๆ อยู่นะ”
คราวนี้คนฟังหันหน้ามามองด้วยสายตาไม่พอใจ ผมมองมือที่เขาใช้สื่อสารจนจบด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้ม
‘เลิกเสแสร้งสักทีได้ไหม’
“งั้นก็ดีเลย อยากให้คุยตรงๆ ก็บอกแต่แรกดิวะ กูแอ๊บเรียบร้อยจนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย” ผมผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะยกมือตบไหล่ภามแรงๆ เป็นการผูกมิตรอย่างจริงใจ ให้พูดผมๆ นายๆ กับคนอายุน้อยกว่ามันจั๊กจี้จริงๆ นะ คนห่ามๆ อย่างผมรับไม่ไหว
‘...’ เด็กหน้าตายมองผมด้วยใบหน้าที่ดูว่างเปล่ากว่าเดิมหนึ่งระดับ แต่ก็ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ได้หันหน้าหนีเหมือนตอนแรก
“เปิดดูดิ รับรองถูกใจ” ผมพยักพเยิดไปที่กล่องข้างๆ ใจอยากเปิดให้ด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่ามันดูเสียมารยาทเกินไป ดีที่คราวนี้ภามไม่ได้เมินผมอีก เขายอมหันมานั่งบนเตียงแล้วเปิดกล่องออกแต่โดยดี และในวินาทีที่เห็นของด้านใน ผมมองเห็นความแปลกใจปะปนอยู่ในสายตาว่างเปล่าของเขาได้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่เครื่องเล่นเกม แต่มีแผ่นเกมมากมายอยู่ด้านในนั้นด้วย
“นั่นคอลเล็คชั่นหายากของกูเลยนะ” ผมพูดอวดๆ แล้วมองแผ่นเกมมากมายในกล่องด้วยสายตาอาวรณ์
‘ไร้สาระ’ ว่าจบเจ้าตัวก็ยกแผ่นเกมมวยปล้ำแผ่นหนึ่งขึ้นสูงคล้ายจะปา แต่ผมรู้ตัวทันเอามือชี้หน้าเขาไว้ก่อน
“มึงหยุดความคิดนั้นเลย!” ตวาดก้องจนสะดุ้งกันทั้งคู่ ผมคว้าแผ่นเกมแผ่นนั้นมาถือไว้เองก่อนจะตีมันลงบนหัวยุ่งๆ ของไอ้เด็กหน้าตุ๊กตาเต็มแรง “มันเป็นของเล่นก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปาทิ้งได้นะ”
ยิ่งเป็นเกมที่มีความทรงจำร่วมกับผม...เกมที่ผมเคยเล่นกับพี่ภูเมื่อสองปีก่อน ผมอุตส่าห์ยกให้ทั้งหมดแต่ไอ้เด็กบ้านี่กลับจะปาแผ่นเกมแผ่นนี้ทิ้ง
‘กล้าตีผมเหรอ’ ภามยกมือลูบหัวแล้วมองหน้าผมด้วยดวงตาวาวโรจน์
“แล้วทำไมจะตีไม่ได้วะ” ผมถามก่อนจะดึงกล่องใส่เกมออกห่างจากมืออีกฝ่าย เพราะดูท่าทางถ้าไม่ทำเจ้านั่นต้องหยิบมาปาใส่หน้าผมแน่
‘ผมจะบอกพี่’
“ก็เอาดิ คิดว่าทำแล้วสบายใจก็ทำไป แต่…”
‘...’
“กูก็จะฟ้องเหมือนกัน...จะบอกให้หมดเลยว่ามึงจะปาแผ่นเกมที่เขาชอบทิ้ง…” ผมวางแผ่นเกมที่ถืออยู่ลงในกล่องก่อนจะเงยหน้ามองภามด้วยสายตาจริงจัง “อย่าทำลายข้าวของดิวะ ในนั้นมีความทรงจำของพี่ภูอยู่ด้วยนะ ไม่กลัวเสียใจทีหลังเหรอ”
เอาแต่รับความรักจากคนอื่น เรียกร้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามใจต้องการ แต่จะว่าเจ้าตัวอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะคนรอบข้างก็ไม่ได้ช่วยเขาแบบถูกวิธีแต่แรก สิ่งที่ภามรู้สึก ถ้าไม่พูดออกมายังไงก็คงไม่มีใครเข้าใจ
“มึงจะไม่ไว้ใจไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ก็ทำไป แต่คนที่นี่เขาห่วงมึงจริงๆ นะ”
คนฟังหลุบตาลงต่ำแต่ยังมีท่าทีไม่ยอมลง ผมลอบสังเกตท่าทางของภามดูนิดเดียวก็รู้แล้วว่าพูดตรงจุด ถึงจะไม่แสดงออกแต่ก็คงส่งเข้าไปถึงข้างในได้แน่ ดูท่าทางทั้งชีวิตคงไม่เคยโดนพูดดุแบบจริงจังมาก่อนมั้ง พี่ภูก็ดุไปแป๊บๆ แล้วก็กลับมาโอ๋เหมือนเดิม เอาจริงๆ ผมว่าบ้านนี้ควรปฏิวัติทั้งบ้าน แต่ก็ไม่ได้อีก...ปฏิวัติที่ตัวต้นเหตุน่าจะได้ผลดีที่สุด
“เดี๋ยวกูมาหาใหม่แล้วกัน อย่าเสือกปาของล่ะ จะเตะให้เอวหัก” ผมขู่ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนบิด ก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไม่วายหันหน้ากลับไปบอกย้ำอีกที “ในนั้นมีแผ่นเกมที่พี่ภูชอบเล่นอยู่ตั้งหลายแผ่น ลองทำพังดูดิ โดนโกรธแน่”
ถึงให้ไปแล้วเขาจะทำอะไรกับของก็ได้ แต่ผมคงทนดูแผ่นเกมของรักของหวงที่อุตส่าห์ยกให้เพื่อกระชับมิตรถูกขว้างปาเป็นเศษขยะไม่ไหว การเอาพี่ภูมาขู่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“เป็นไง”
ว่าแล้วว่าต้องไม่ได้ไปคุยงานแบบที่บอก
ผมมองคนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ข้างประตูห้องเคืองๆ ก่อนจะออกแรงดึงแขนเขาแล้วลากให้เดินตามเข้าไปในห้องตรงข้ามซึ่งเป็นห้องของเจ้าตัว
“พี่เป็นคนนิสัยไม่ดี” ผมเริ่มบ่นเขาเป็นลำดับแรก แน่นอนว่าคนหน้าดุไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากยืนกอดอกพิงกำแพงมองผม “กล้าทิ้งผมไว้แบบนั้นได้ยังไง”
“แล้วทำไมไม่ตามออกมาล่ะ”
“พี่เห็นผมเป็นคนยังไง” ผมจับกระต่ายหน้าโง่มาบีบคอเล่นอยู่บนตักก่อนจะมองคนถามด้วยสายตาไม่พอใจ “ถ้าผมลุกขึ้นเดินออกไปด้วยพี่คิดว่าภามจะรู้สึกยังไงไม่ทราบ”
“นั่นสินะ”
“เดี๋ยวนะ พี่รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าผมไม่มีทางตามออกไป”
“...” เขาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ เท่านั้นผมก็รู้ความหมายของเขาได้ในทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมจะไม่ปล่อยภามไว้เขาถึงทำแบบนั้น แล้วเขาไม่กลัวมีเหตุฆาตกรรมเกิดในบ้านเลยหรือไง แค่เห็นก็น่าจะรู้ว่าเขม่นกันตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว “แล้วมึงคิดว่ายังไง”
“เรื่องภาม?” ผมหยุดทุบกระต่ายในมือเมื่อเจ้าของเดินมานั่งข้างๆ แล้วดึงมันออกไปลูบอย่างทะนุถนอมด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ระดับสิบ
“อืม”
“จริงๆ ผมต้องถามพี่หรือคนอื่นๆ รอบตัวภามมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
“คนใกล้ตัวก็เห็นแต่อะไรเดิมๆ ที่เจ้าตัวอยากให้เห็น กูเจอแบบหนึ่ง ป้าเจนเจอแบบหนึ่ง พ่อกับเฮเลนก็เจออีกแบบ เอาทุกนิสัยมารวมกันพวกเรายังรู้จักภามไม่ครบทุกด้านเลยด้วยซ้ำ”
ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นพี่ภูทำหน้าเศร้า ถึงจะดีใจที่ได้เห็นเขาในทุกสีหน้า แต่ถ้าต้องเห็นสีหน้าแบบนี้ผมยอมเห็นแค่ใบหน้าเย็นชาเหมือนปกติดีกว่า แค่มองก็รู้สึกปวดใจตามไปด้วยแล้ว
“ไม่ใช่ว่าพี่รู้จักภามไม่ครบทุกด้านหรอก แต่ผมว่าเขาอยากให้พี่เห็นแต่ด้านดีๆ ของตัวเองมากกว่า” ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ แต่พอได้คุยและสังเกตอย่างจริงจังก็พบว่าภามไม่ได้เลวร้ายแบบที่คิด เขาแค่ปิดใจและต้องการการดูแลมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น “เมื่อกี้ผมเกือบบอกภามว่าการป่วยไม่ใช่ข้ออ้างของการเรียกร้องสิ่งต่างๆ”
คนฟังเงยหน้ามองด้วยสายตาตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่าผมยังไม่ได้มีท่าทีผิดปกติอะไรเขาก็ลดความตกใจลง คงจะกลัวว่าถ้าพูดไปแบบนั้นแล้วภามจะทำอะไรผม
“แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรพูดกับภาม เลยเอามาบอกพี่แทน ผมขอพูดในฐานะของคนเอาแต่ใจที่เคยโดนดัดนิสัยมาแล้วเลยนะ…”
“อืม”
“ไม่มีอะไรเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการเอาแต่ใจได้ทั้งนั้น แต่การที่เขามีอาการมันเป็นสัญญาณเตือนเพื่อให้คนรอบข้างใส่ใจเขามากกว่าเดิม ใส่ใจ...ไม่ใช่ตามใจ” ลำพังตัวพี่ภูยังพอว่าเพราะเขาก็พยายามไม่ตามใจภามอยู่ อย่างเรื่องน้ำเสียงหรืออะไรเวลาพูดกับภามผ่านโทรศัพท์เมื่อก่อน ที่ทำก็คงเพราะไม่อยากให้น้องได้ใจ แต่พอมาอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้วก็ไม่รู้จะทนได้นานแค่ไหน แต่ป้าเจนกับแม่เฮเลนแล้วก็พ่อเขาที่ผมยังไม่เคยเจอต่างหากที่เป็นปัญหา “ผมคงพูดอะไรกับครอบครัวพี่ไม่ได้ แต่ถ้าพี่ให้ผมช่วยดูแลภาม ผมจะพยายามช่วยทางนั้นแล้วกัน”
“เข้าใจแล้ว” ไม่รู้ว่าเผลอทำหน้าเครียดคิดหนักออกไปตอนไหน แต่พอสัมผัสอ่อนนุ่มของมือ...กระต่ายแตะลงที่แก้มผมก็รู้สึกตัว
“พี่ต้องให้รางวัลผมเยอะแน่ๆ บอกเลย”
“รู้แล้ว”
“ต้องตามใจด้วย”
“เมื่อกี้บอกไม่ให้ตามใจคนเอาแต่ใจไม่ใช่หรือไง”
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเลิกเอาแต่ใจได้นะ แต่ก็ดีขึ้นในระดับหนึ่งไง คือเอาแต่ใจเฉพาะกับคนที่เต็มใจ ไม่ผิดๆ” ผมโบกไม้โบกมือประกอบจนคนมองยิ้มขำ
“งั้นก็ได้”
“แล้วนี่พี่ทำงานทุกวันใช่ไหม”
“อืม” เขาพยักหน้าตอบ
“ไม่ได้ๆ ผมไปสืบมาแล้วว่าบริษัทพี่หยุดวันอาทิตย์ ปล่อยให้ประธานทำงานคนเดียวได้ไง บ้าเปล่า” ถ้าไอ้โซไม่บอกผมคงไม่รู้เลยว่าบริษัทพี่ภูเองก็มีวันหยุดเหมือนกัน เขาเล่นทำงานเหมือนเป็นเครื่องจักรตั้งแต่กลับมาอังกฤษ ผมเพิ่งรู้ก็ตอนก่อนมานี่เองว่าจริงๆ เขาต้องหยุด “พี่ต้องให้เวลากับคนอื่นบ้าง ทำงานอย่างเดียวไม่ได้ มิน่าผอมเป็นกุ้งแห้ง”
“ให้เวลากับภาม?”
“ให้เวลากับผมดิ” คิดว่าบินมาหาถึงที่นี่เพื่อช่วยเรื่องภามอย่างเดียวหรือไง ทำอะไรไม่ได้กำไรผมไม่ทำหรอก “อีกอย่างนะ ช่วยรับประทานอาหารให้ครบด้วย ถ้าเบื่ออาหารที่นี่ผมจะทำข้าวกล่องไปให้ทุกวันเลย โอเคดีล”
“เดี๋ยว…”
“ไม่ต้องพูดเลยพี่ ถ้าปล่อยให้พูดพี่ต้องหาเรื่องขัดผมได้อีกแน่ๆ เพราะงั้นเงียบไว้เลย” ผมดึงตุ๊กตากระต่ายในมือเขามาถือไว้เองแล้วเอามือมันแปะปากคนหน้าดุไม่ให้พูดต่อ “เรื่องภามผมดูแลเอง แต่พี่ต้องดูแลตัวเองเป็นการตอบแทน ต้องเชื่อฟังโทษฐานที่หนีมาตั้งสองปี เข้าใจเปล่า”
คนฟังหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเขาจะส่งสายตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกำลังกลั้นขำมาให้ รอจนผมพูดจบแล้วมือใหญ่ก็ดึงกระต่ายที่ปิดปากตัวเองอยู่ลง
“ปฏิเสธไม่ได้เลยใช่ไหม”
“ใช่”
“กระต่ายบ้า” ว่าแล้วก็ส่งมือมาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง “เข้าใจแล้ว”
ผมเงยหน้ามองคนพูดด้วยความตกใจเมื่ออะไรๆ ง่ายดายผิดคาด อุตส่าห์คิดคำพูดร้อยแปดพันเก้าไว้ในใจแต่กลับไม่ได้ใช้ซะงั้น แถมเมื่อเงยหน้ามองแล้วยังโดนแอทแทคด้วยสายตาอ่อนโยนซ้ำอีก
“ฝากด้วยนะ”
จะเอาให้ตายกันไปข้างเลยใช่ไหม
-------------------------